The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พิสมัย สืบเลย, 2022-12-13 23:34:19

ขุนช้างขุนแผน

ขุนช้างขุนแผน

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage

Explore

เปา หมายการเรียนรู

1. วิเคราะหว ิจารณว รรณคดเี ร่ืองมทั นะพาธา
2. วิเคราะหและประเมินคุณคาวรรณคดีเรอื่ งมัทนะ

พาธา ดานเนอ้ื หา วรรณศิลป และสังคม
3. สงั เคราะหข อ คดิ ทไี่ ดจ ากวรรณคดเี รอื่ งมทั นะพาธา

สมรรถนะของผูเรียน

1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป ญ หา
4. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวติ

คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค มัทนะพาธา

1. รักชาติ ศาสน กษัตริย เปนวรรณคดีผลงานพระราชนิพนธใน
2. ใฝเรียนรู พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา เจา อยหู วั ไดร บั
3. รกั ความเปน ไทย การยกยองจากวรรณคดีสโมสรวาเปนยอดของ
บทละครพดู คาํ ฉนั ท ดว ยความไพเราะของการเลอื กใช
กระตนุ ความสนใจ Engage òหนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ สํานวนภาษาท่ีส่ืออารมณ ความรูสึกของตัวละครและ
สอดแทรกคตสิ อนใจเรอื่ งความรกั ไดอ ยา งซาบซงึ้ กนิ ใจ
ครใู ชคําถามนําเขา สบู ทเรียน โดยถามเก่ยี วกบั
ภาพหนาหนว ย บทละครพดู คาํ ฉนั ท เรอ่ื ง มทั นะพาธา
ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
• นักเรียนคิดวา เรอ่ื งมทั นะพาธาเปนเร่ือง
เก่ยี วกบั อะไร • ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๓, ๔, ๖ • การวิเคราะห์และประเมินคุณคา่ วรรณคดีและวรรณกรรม
(แนวตอบ จากภาพหนาหนว ยที่เปน บทละครพูดคาํ ฉนั ท์ เร่ือง มทั นะพาธา
ดอกกหุ ลาบ นักเรียนอาจตอบวา เปน เร่ือง
เกีย่ วกบั ดอกกหุ ลาบ)

• ดอกกุหลาบเปนสัญลักษณของอะไร
(แนวตอบ เปน สญั ลกั ษณของความรัก ผูหญิง
ท่สี วยและฉลาด)

42

เกรด็ แนะครู

ครแู นะเกยี่ วกับบทละครพดู คาํ ฉนั ท เร่ือง มทั นะพาธาวา เปน พระราชนพิ นธ
เรื่องเอกในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจา อยหู ัว เปนบทละครพูดท่ีใช
คาํ ประพนั ธประเภทฉนั ทซ ึ่งเปน เรื่องทีแ่ ปลกและแตงยาก แตพ ระองคท รง
พระราชนพิ นธไดอยา งไพเราะ มีตัวละครและฉากสอดคลอ งกับวฒั นธรรม
ภารตะโบราณและผสมผสานเขา กบั เนอ้ื เรอ่ื งไดด ี ครคู วรใหน กั เรยี นไดอ า นเพอ่ื สรา ง
ความคนุ เคยกบั บทประพนั ธท ไ่ี พเราะดว ยตนเองและเปด โอกาสใหน กั เรยี นไดว จิ ารณ
บทประพันธอ ยา งกวา งขวาง

42 คูมอื ครู

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain Engage
กระตนุ ความสนใจ

๑. คว�มเปน ม� ครชู วนนกั เรยี นสนทนาและใหน ักเรยี นแสดง
ความคดิ เหน็ ในประเดน็ ตอไปนี้
เ ร่ือง มมัทัทนนะะพพาาธธาา ห แรปอื ลตว�า่าน าคนวแาหมง่เจด็บอปกวกดุหหลราือบค มวาลี มกั เษดณือดะเรป้อ็นนบเพทรลาะะคครวพาูดมครา�ักฉ บนั ททล์ ะจคา� รนพวนดู ค ๕�า ฉอันงทก์ ์1
แบ่งเป็น ๒ ภาค คือ ภาคสวรรค์และภาคพ้ืนดิน เป็นบทพระราชนิพนธ์จากจินตนาการใน • นกั เรยี นเคยอานหรอื รูจ ักวรรณกรรมเรือ่ งใด
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้นางเอกของเรื่องมีนามว่า มัทนา ซ่ึงหมายถึง ที่เปน บทละครพดู และใครเปนผูแตง
ความล่มุ หลงหรือความรกั แทนค�าวา่ กพุ ฺชกะ ทแ่ี ปลวา่ ดอกกุหลาบ
บทละครพูดคา� ฉันท ์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยูห่ ัว ทรงเร่ิม • นกั เรยี นคิดวา “ดอกกุหลาบ” หมายถึงอะไร
พระราชนิพนธ ์ เมอื่ วนั ท ่ี ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ณ พระราชวงั พญาไทและเสรจ็ สมบูรณใ์ นวนั ที่ (แนวตอบ นักเรียนตอบไดห ลากหลาย
๑๘ ตุลาคม ปเี ดียวกนั เมือ่ พระราชนพิ นธ์เสรจ็ กพ็ ระราชทานแก่สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศกั ดศิ์ จี ขน้ึ อยูก บั ประสบการณข องนักเรียน เชน
พระวรราชชายา โดยแนวคดิ สา� คญั ของเรอ่ื ง เปน็ เรอื่ งทเี่ กย่ี วกบั ความรกั ความลมุ่ หลง ความเจบ็ ปวด ดอกกหุ ลาบเปน สญั ลักษณของการแสดง
ทกุ ข์ระทมเพราะความรกั ความรกั เปน ตน)

๒. ประวตั ผิ ูแตง่ สาํ รวจคน หา Explore

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) พระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้า 1. นักเรียนคนหาความเปนมาของบทละครพดู
มหาวชิราวุธ เป็นพระราชโอรสองค์ท่ี ๒๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คาํ ฉนั ท เรอื่ ง มทั นะพาธา และพระราชประวตั ิ
(รัชกาลที่ ๕) และเปน็ พระราชโอรสองค์ท่ี ๒ ในสมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถ พระองค์ ของรัชกาลท่ี 6 ดา นอกั ษรศาสตรเพ่มิ เติม
ทรงพระราชสมภพเมื่อวันท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ ทรงศึกษาในประเทศไทยจนพระชนมายุ
๑๔ พรรษา กเ็ สดจ็ ไปศกึ ษาทปี่ ระเทศองั กฤษ ตอ่ มาสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ 2. นักเรียนศึกษาลกั ษณะของฉันทแ ตละชนิดท่ี
สยามมกุฎราชกุมารเสด็จทิวงคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนา ประพนั ธในบทละครพูดคําฉันท เรื่อง มัทนะ
พระองค์ข้ึนเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ พาธา
๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ โดยมพี ระราชพธิ ที ก่ี รงุ เทพฯ จากนนั้ โปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระยาเสมอใจราช
(ทองดี โชติกเสถียร) อัญเชิญประกาศสถาปนาฐานันดรศักด์ิ พร้อมเครื่องราชอิสริยยศและ 3. นกั เรียนศกึ ษาเนื้อเร่ืองยอจากแหลงเรยี นรู
ราชอิสริยาภรณ์ไปถวายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารที่ ตา งๆ เชน หนังสอื บทความ เว็บไซต เปน ตน
ประเทศองั กฤษ
พระองคท์ รงศกึ ษาวชิ าทหาร ณ โรงเรยี นทหารบกทแ่ี ซนดเ์ ฮซิ ต ์ และทรงฝก วชิ าทหารไดร้ บั อธบิ ายความรู Explain
เกยี รตบิ ตั รเปน็ นายทหารประจา� ณ กรมทหารราบเบาเดอรมั กองพนั ท ่ี ๑ ทอี่ ลั เตอรซ์ อท เมอ่ื พ.ศ.
๒๔๔๓ ทรงเขา้ ศกึ ษาดา้ นวชิ าประวตั ศิ าสตรแ์ ละวชิ ากฎหมาย ณ มหาวทิ ยาลยั ออกซฟอรด์ แตท่ รง 1. นักเรยี นสรุปความเปนมาของบทละครพดู
พระปรชี าสามารถดา้ นภาษาเปน็ พเิ ศษ จนสามารถแตง่ บทละครเปน็ ภาษาองั กฤษได ้ เมอื่ ทรงสา� เรจ็ คําฉนั ท เรอื่ ง มัทนะพาธา ลงสมุด
การศกึ ษา พระองค์เสดจ็ ประพาสยุโรปกอ่ นแลว้ จงึ เสดจ็ นวิ ัตประเทศไทย (แนวตอบ บทละครพดู คาํ ฉนั ท เรอ่ื ง มทั นะพาธา
พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา เจา อยูหัวทรง
43 พระราชนพิ นธแ ดส มเดจ็ พระนางเจา อนิ ทรศกั ด-์ิ
ศจี พระวรราชชายา แนวคิดของเรื่องเปน เร่อื ง
ทเ่ี กย่ี วกบั ความรกั ความลมุ หลง ความเจบ็ ปวด
ทกุ ขระทมเพราะความรกั )

2. ครสู ุม นกั เรยี น 2 - 3 คน มาเลาความเปน มา
ของบทละครพดู คําฉนั ท เร่ือง มัทนะพาธา
หนาชัน้ เรยี น

บูรณาการเชื่อมสาระ เกรด็ แนะครู

ครบู รู ณาการความรเู กย่ี วกบั ลกั ษณะของวรรณคดปี ระเภท ครูใหน ักเรียนศกึ ษาความเปนมาของบทละครพูดคาํ ฉันท เร่ือง มทั นะพาธา
บทละครพดู คาํ ฉนั ท เรอ่ื ง มทั นะพาธา เขา กบั กลมุ สาระการเรยี นรู จากแหลงเรียนรูต างๆ เพื่อใหน ักเรียนเขาใจเร่ืองราวทงั้ หมด ซง่ึ หนังสอื เรียนนํามา
ศลิ ปะ วชิ านาฏศลิ ป ครใู หน กั เรยี นสบื คน วา มผี ลงานพระราชนพิ นธ ใหเรียนเฉพาะองกแ รก ครูแนะใหนกั เรียนศึกษาองกอ นื่ ๆ อีก 4 องกเ พิ่มเติม
ในพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา เจา อยหู วั เรอ่ื งใดอกี บา งทน่ี าํ มาใช จากน้นั จึงเนน ยํ้าความเขาใจของนักเรียนดว ยการตง้ั คาํ ถามถึงแกนของเรือ่ ง
ในการแสดงทางนาฏศลิ ป โดยครแู นะใหน กั เรยี นอธบิ ายเกย่ี วกบั
การดดั แปลงบทประพนั ธท น่ี าํ ไปใชใ นการแสดงทางนาฏศลิ ปว า ตอ ง นกั เรยี นควรรู
คาํ นงึ ถงึ องคป ระกอบตา งๆ เชน ทา ราํ ดนตรี ฉาก เครอ่ื งแตง กาย
ตวั บท เปน ตน 1 บทละครพูดคําฉันท จาํ นวน ๕ องก เปนเรื่องราวเกย่ี วกบั ความรักของมัทนา
ชใี้ หเ หน็ ถงึ ทกุ ขข องความรกั หรอื โทษของความรกั พระราชนพิ นธใ นพระบาทสมเดจ็ -
ครใู หน กั เรยี นแบง กลมุ และจดั การแสดงตามลกั ษณะของละครเวที
โดยเนน ใหน กั เรยี นทกุ คนมสี ว นรว มในการจดั กจิ กรรม กลา แสดงออก
เนน ทกั ษะทเ่ี กย่ี วกบั ทางวรรณคดแี ละนาฏศลิ ป

พระมงกุฎเกลา เจาอยูหวั รัชกาลท่ี 6 (พ.ศ. 2424 - 2468) ทรงคดิ เคา โครงเรอื่ งดว ย
พระองคเอง ทรงพระราชดาํ ริใชคาํ ฉันทเปนบทละครพูด ซึง่ นับวา แปลกมากในทาง
วรรณคดีและแตงยากในทางภาษา จึงไดรับการยกยอ งจากวรรณคดีสโมสรใหเ ปน
หนังสือทแี่ ตงดี เปน เร่อื งทีม่ ตี วั ละครและฉากสอดคลองกนั รวมถึงวัฒนธรรม
ภารตะโบราณเขากบั เนื้อเรือ่ งเปนอยา งดี
คมู อื ครู 43

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

1. นักเรยี นอธบิ ายสรุปพระราชประวตั ิพระบาท- เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้ทรงผนวช ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อทรงลาสิกขา เสด็จประทับ
สมเดจ็ พระมงกฎุ เกลาเจาอยูห ัว รชั กาลที่ 6 ณ พระราชวงั สราญรมย ์ ทรงตงั้ สโมสรการประพันธช์ ือ่ ทวีปญั ญาสโมสรและออกหนังสือรายเดอื น
ดา นอักษรศาสตร โดยยกตัวอยางผลงานตางๆ ชอื่ ทวีปญั ญา เสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบตั ิเมอ่ื วนั ท ่ี ๒๓ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ขณะมพี ระชนมายไุ ด้
ของพระองคท่ีนักเรียนรจู ักคนุ เคยประกอบ ๓๐ พรรษา พระองคท์ รงครองราชสมบัตไิ ด้ ๑๕ ปี และเสด็จสวรรคตเมื่อวนั ที ่ ๒๕ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๔๖๘ พระชนมายุ ๔๕ พรรษา
2. นักเรยี นอธบิ ายลกั ษณะคาํ ประพันธใ นบทละคร วัตถุประสงค์ในการพระราชนิพนธ์บทละครพูดค�าฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา พระองค์ทรง
พูดคําฉันท เรือ่ ง มัทนะพาธา ตงั้ พระทยั ใหเ้ ปน็ หนงั สอื อา่ นกวนี พิ นธเ์ พอ่ื ความสนกุ สนานในด้านเนอ้ื หาและสอนใจโดยใหเ้ หน็ ถงึ
(แนวตอบ บทละครพูดคําฉนั ท เรื่อง มทั นะพาธา อานุภาพแห่งความรักซึ่งไม่ได้ให้แต่ความสุขสมหวังเท่าน้ัน แต่ความรักสามารถสร้างความทุกข ์
ประกอบดว ยกาพย 3 ชนิด ไดแก กาพยย านี 11 ความเจ็บปวด ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักท่ีไม่ฟังค�าเตือนหรือค�าท้วงติงใดๆ จะต้องประสบ
กาพยฉบงั 16 และกาพยสรุ างคนางค 28 และ ความเจ็บปวด ความทกุ ขเ์ สมอ ดงั ค�าของพระฤๅษีกาละทรรศิน ท่ีกลา่ ววา่
ฉันท 21 ชนิด การเลอื กใชฉนั ทห ลายชนดิ ใน
การประพนั ธแ สดงใหเ หน็ พระปรีชาสามารถใน ความรักเหมือนโรคา บนั ดาลตาให้มดื มน
ดานอักษรศาสตร ทรงเปน ปราชญท ่นี ายกยอ ง) ไม่ยนิ และไม่ยล อปุ สัคคะใดใด
ความรักเหมือนโคถกึ กา� ลังคกึ ผิขงั ไว้
3. นกั เรยี นสรุปเรือ่ งยอดว ยสาํ นวนภาษาของ ก็โลดจากคอกไป บย่ อมอยู ่ ณ ทข่ี ัง
นักเรยี นเอง ถงึ หากจะผกู ไว ้ ก็ดึงไปดว้ ยกา� ลัง
ยิ่งหา้ มก็ย่ิงคลงั่ บ่หวนคดิ ถึงเจ็บกาย
ขยายความเขา ใจ Expand

นักเรียนยกตัวอยา งบทประพนั ธเ รื่องอื่นท่เี ปน ท งั้ รอ้ ยพแรกะว้ อแงลคะร์ทอ้ รยงกพรอรงะ ปกรวีชา่ า๒ส๐า๐ม เารรอ่ื ถงท เาชงน่ ด เ้ารนอื่ งอศักกษนุ รตศลาาส1 รตารม์ เกทยี รรงตม ์ิ บีผทลลงะาคนรพเรรอื่ ะงรเวานชสินวิพานนชิธ ์
พระราชนิพนธใ นพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา - ทรงใช้นามปากกาว่า อศั วพาหุ รามจิตติ พันแหลมศรอี ยุธยา นายแกว้ นายขวัญ พระขรรค์เพชร
เจา อยหู วั ทม่ี ีแนวคดิ เร่อื งเกีย่ วกบั ความรกั นายแกว้ ณ อยธุ ยา นอ้ ยลา ท่านราม ณ กรุงเทพ
บทละครพดู ค�าฉนั ท์ เร่อื ง มัทนะพาธา ไดจ้ ัดพิมพเ์ ผยแพรเ่ ปน็ คร้ังแรกเม่อื ป ี พ.ศ. ๒๔๖๗
(แนวตอบ นักเรียนสามารถยกตัวอยางได แล้วจัดแสดงเปน็ ละครพูดค�าฉนั ท ์ ตามคา� กราบบังคมทูลของพระญาตแิ ละพระสหาย โดยก�าหนด
หลากหลาย ครูพิจารณาบทประพันธทีน่ กั เรียน ให้ร้องเฉพาะตอนท่ีมีบทร้องเท่าน้ันและให้มีดนตรีคลอเบาๆ เม่ือเจรจาและมีเพลงหน้าพาทย์
ยกมาเปน ตัวอยา งวาแสดงใหเ หน็ ถึงความรักอยางไร ในการด�าเนนิ เรือ่ ง บทละครพูดค�าฉันท ์ เร่อื ง มทั นะพาธา ไดร้ ับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรวา่
เชน เรือ่ งศกนุ ตลา เปน ตน ) เป็นยอดของบทละครพดู คา� ฉนั ท ์ นอกจากนพ้ี ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั ทรงไดร้ บั
พระราชสมญั ญานามว่า สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ซึง่ มคี วามหมายว่านักปราชญผ์ ู้ยิ่งใหญอ่ กี ดว้ ย

44

นักเรียนควรรู บรู ณาการเช่ือมสาระ
ครบู รู ณาการความรเู กี่ยวกับเรอื่ งการละครไทยกับกลุมสาระ
1 เรือ่ งศกนุ ตลา เปน เร่อื งทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลาเจาอยูหัวทรง การเรียนรูศิลปะ วิชานาฏศิลป ในประเดน็ เรื่องของวิวฒั นาการของ
พระราชนิพนธเ ปนบทละครราํ เมอ่ื พ.ศ.2455 โดยนําเน้ือเรือ่ งมาจากวรรณคดี การละครไทย ซึ่งบทละครพูดคําฉนั ท เร่ือง มทั นะพาธา เปนอกี เรอ่ื ง
อนิ เดยี ซ่ึงกาลิทาส รตั นกวีของอินเดียเปน ผปู ระพันธข ้ึน พระองคทรงมีกลวธิ ีการ หนงึ่ ที่นํามาใชในการแสดง โดยจัดเปน บทละครพูดคําฉันท ครูให
ประพันธท่มี บี ทพากยแ ละบทเจรจาแทรกไวดวย อนั เปน รูปแบบใหมท แี่ ตกตา ง นักเรยี นศึกษาเกย่ี วกบั ลักษณะของบทละครพูดดังกลา ว จากนนั้ ให
ไปจากบทละครราํ ของไทยในอดตี นกั เรียนเลอื กบทละครพดู คําฉนั ทต อนใดตอนหนึ่งในหนงั สือเรียนไปใช
เปน บทในการแสดงละครพดู คาํ ฉนั ท
ศกุนตลาเปน เร่อื งท่ีแทรกอยใู นมหากาพยมหาภารตะ กลาวถึงเรือ่ งราว
ความรกั ระหวางศกนุ ตลา ธดิ าเล้ียงของฤๅษีกณั วะ เปน ผมู ีความงามบรสิ ุทธิ์
ผุดผอง กับทา วทุษยันต กษตั ริยผ ูมคี ุณธรรม แตค วามรักของคนท้งั สองตอ งพบ
อุปสรรค เน่อื งมาจากผลคําสาปของฤๅษที ุรวาส การดําเนินเร่อื งมีความสนุกสนาน
ชวนใหต ิดตาม ท้ังยงั มโี วหารที่ไพเราะ งดงาม ชว ยเพิม่ อรรถรสในการอานใหม ี
มากยิง่ ข้นึ

44 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

ขยายความเขา ใจ Expand

๓. ลักษณะค�ำ ประพันธ์ ครสู ุม นักเรียน 2 - 3 คน มาเลาเร่ืองยอตอ กนั
หนาชน้ั เรียน
บทละครพูดค�ำฉนั ท์ เร่อื ง มทั นะพำธำ ประกอบดว้ ยกำพย์ ๓ ชนดิ คือ กำพย์ยำนี ๑๑
กำพย์ฉบัง ๑๖ กำพย์สุรำงคนำงค์ ๒๘ และฉันท์ ๒๑ ชนิด เช่น วิชชุมมำลำฉันท์ ๘ (แนวตอบ มทั นะพาธาเปน เรอื่ งสมมตวิ าเกิดใน
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ อุปชำติฉันท์ ๑๑ ภุชงคประยำตฉันท์ ๑๒ อินทวงศ์ฉันท์ ๑๒ อนิ เดยี โบราณ
วสันตดลิ กฉันท์ ๑๔ เปน็ ต้น
• องกท ี่ 1 เปน เหตุการณบ นสวรรค สเุ ทษณ
๔. เรอื่ งย่อ ใชเ วทมนตรส ะกดเรียกมัทนามา มทั นาพูดจาไม
รเู รอ่ื ง ทาํ ใหสุเทษณไมพ อใจ สัง่ ใหมายาวินคลาย
ภาคสวรรค์ กล่ำวถงึ สเุ ทษณ์เทพบุตร ซง่ึ ในอดีตกำลคือกษตั รยิ ์แหง่ แคว้นปัญจำล มัทนำ มนตรส ะกด แตเ มื่อนางมัทนาไดส ตกิ ็ยงั ปฏเิ สธ
เป็นรำชธิดำกษัตริย์แคว้นสุรำษฎร์ สุเทษณ์ได้ส่งทูตไปสู่ขอนำง แต่ท้ำวสุรำษฎร์ พระรำชบิดำ ความรกั ของสุเทษณเ หมอื นเดมิ สุเทษณโกรธจงึ
ของนำงไม่ยอมยกให้ สเุ ทษณ์จงึ ยกทัพไปรบท�ำลำยบ้ำนเมืองย่อยยับจบั พระรำชบิดำของนำงมำ สาปใหมัทนาไปเกิดเปน ดอกกหุ ลาบท่โี ลกมนษุ ย
เปน็ เชลยศกึ แลว้ จะใหป้ ระหำรชวี ติ ทำ้ วสรุ ำษฎร ์ แตม่ ทั นำขอไถช่ วี ติ พระรำชบดิ ำไว ้ โดยยนิ ยอมเปน็ สเุ ทษณส าปวาใหนางคืนกลบั มาเปนมนุษยไดแ ค
บำทบรจิ ำรกิ ำของสเุ ทษณ ์ พระบดิ ำของนำงจงึ รอดจำกพระอำญำ จำกนน้ั นำงมทั นำกป็ ลงพระชนม์ วันเพญ็ จนกวานางจะมีความรักจงึ จะพน จาก
ตนเอง แล้วไปบงั เกดิ เป็นเทพธิดำบนสวรรค ์ นำมวำ่ มทั นำ สว่ นท้ำวสเุ ทษณก์ ก็ ระท�ำพลกี รรมจน คาํ สาป แตหากนางทกุ ขเ พราะความรักแลวก็ให
ส�ำเร็จ เม่ือส้ินพระชนม์ก็ไปบังเกิดบนสวรรค์เช่นกัน ด้วยผลกรรมท่ีเคยได้นำงมำเป็นคู่ ท�ำให้มี วิงวอนตอพระองค พระองคจะชว ย)
โ อกำสณได พ้ วบมิ กำนันอขีกอ งแสตุเท่นษำณงม์เทัทนพำบกตุ ็ยรัง ไไมดม่ม้ ใีคี จนรักธรสรุเทพ1ษ์ เณทเ์พทบพุตบรตุ รเทเชพ่นธเดิดำิมที่เป็นบริวำรต่ำงมำบำ� เรอ
ขับกล่อมถวำย แต่ถึงกระนั้นสุเทษณ์เทพบุตรก็ไม่มีควำมสุข เพรำะพระองค์รักนำงมัทนำแต่ไม่ ตรวจสอบผล Evaluate
อำจสมหวงั ในรกั เพรำะทำ� กรรมไว้ในอดตี พระองคจ์ ึงใหว้ ิทยำธรชอ่ื มำยำวนิ ใชเ้ วทมนตร์คำถำไป
สะกดใหน้ ำงมทั นำมำยงั วมิ ำนของพระองค ์ ฝำ่ ยนำงมทั นำเมอื่ ถกู เวทมนตรส์ ะกดมำ สเุ ทษณจ์ ะตรสั 1. นกั เรียนยกตวั อยา งบทประพันธท ่ีเปน ผลงาน
ถำมอยำ่ งไร นำงกท็ วนคำ� ถำมเชน่ นนั้ ทกุ ครงั้ ไป จนสเุ ทษณเ์ ทพบตุ รขดั พระทยั รสู้ กึ เหมอื นตรสั กบั พระราชนพิ นธใ นรัชกาลท่ี 6 ทมี่ แี นวคดิ
หุ่นยนต์จึงให้มำยำวินคลำยมนตร์ เมื่อนำงมัทนำรู้สึกตัวก็ตกใจกลัวท่ีล่วงล้�ำเข้ำมำถึงวิมำนของ เกยี่ วกบั ความรกั ได
สุเทษณ์เทพบุตร สุเทษณ์เทพบุตรถือโอกำสฝำกรัก นำงมัทนำแสดงควำมจริงใจว่ำนำงไม่ได้รัก
สุเทษณ์เทพบุตร จึงไม่อำจรับรักได้ เมื่อได้ยินดังนั้น สุเทษณ์เทพบุตรก็รู้สึกกร้ิวนำงมัทนำเป็น 2. นกั เรยี นเลา เรอื่ งยอ บทละครพูดคําฉนั ท
อย่ำงมำก จึงสำปให้นำงมัทนำจุติจำกสวรรค์ไปเป็นดอกกุหลำบในเมืองมนุษย์และให้โอกำสนำง เร่อื ง มทั นะพาธา องกที่ 1 ตอกันได
เป็นมนุษย์ได้เม่ือถึงคืนวันเพ็ญเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนเท่ำนั้น เมื่อใดที่นำงมีรักเม่ือนั้นจึงจะพ้น
คำ� สำปกลำยรำ่ งเปน็ มนษุ ยไ์ ดต้ ำมปกต ิ และหำกเมอ่ื ใดทน่ี ำงมที กุ ขเ์ พรำะรกั กใ็ หน้ ำงกลำ่ วออ้ นวอน
พระองค์จะยกโทษทัณฑ์ให้ ดังนั้น จึงอำจกล่ำวได้ว่ำ สำเหตุของปมขัดแย้งในเร่ืองคือ สุเทษณ์
รักนำงมัทนำแต่นำงไม่รักตอบ

ภาคพืน้ ดิน พระฤๅษีไดข้ ดุ เอำต้นกหุ ลำบจำกป่ำหมิ วนั มำปลูกไว้ใกล้กบั อำศรม เม่ือถงึ คืน
วันเพ็ญนำงจะปรำกฏโฉมเป็นมนุษย์มำคอยปรนนิบัติรับใช้พระฤๅษี วันหนึ่งท้ำวชัยเสนกษัตริย์

45

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู

การที่สุเทษณเทพบตุ รไดสงทูตไปสูขอมัทนา แตท าวสรุ าษฎร ครูใหน กั เรียนสบื คน ลกั ษณะของฉันทแตละชนดิ ทใ่ี ชเปน คาํ ประพนั ธในเรอ่ื ง
ไมย อมยกนางให จึงยกทพั ไปทําลายบานเมอื งของนาง พฤติกรรม มทั นะพาธา จากนัน้ นําเสนอรปู แบบของฉนั ทชนิดตา งๆ ตามทนี่ ักเรยี นไดสืบคน
ของสุเทษณแ สดงใหเ หน็ อะไร ครูใหน กั เรยี นแลกเปลย่ี นความรเู ร่อื งรปู แบบฉนั ทและนักเรียนทาํ กจิ กรรมรว มกัน
แนวตอบ ความรกั ทไี่ มส มหวังเปนบอเกิดความอาฆาตพยาบาท โดยครยู กชือ่ ฉนั ทใ นบทละครพูดคาํ ฉันท เร่ือง มัทนะพาธามา 1 - 2 ชนิด แลวให
จองเวรจองกรรมกัน ทาํ ใหข าดสตยิ ง้ั คิด ทําในส่งิ ท่สี รา งความ นักเรียนรว มกันอธบิ ายรปู แบบของฉนั ทชนิดนัน้
เดือดรอนใหแ กผ อู ่ืน ทํารายคนรอบขา งหรือผทู ่ีคดิ วามกี าํ ลัง
ขัดขวางโดยไมร ผู ิดชอบวา ส่งิ ที่ทาํ ไปนนั้ สมควรหรือไม นกั เรยี นควรรู

1 คนธรรพ เปน ชาวสวรรคพ วกหน่ึง มคี วามเชยี่ วชาญทางดา นดนตรแี ละ
การขบั รอง พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ระบุวา เปนบรวิ ารของ
ทา วธตรฐ ซง่ึ เปนทา วจตุมหาราชประจาํ ทศิ บรู พา คนธรรพม ีแตเพศชายคกู ับ
อปั สระหรืออัปสร ซึ่งเปน เพศหญงิ ลว นและเปนชาวสวรรคเชนกัน ในตาํ นาน
พระพุทธศาสนากลาววา คนธรรพเกิดจากตน ไมท ่ีมกี ล่นิ หอม

คมู อื ครู 45

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

กระตนุ ความสนใจ Engage

นักเรียนยกตวั อยางสญั ลกั ษณแทนความรกั แหง่ นครหสั ดนิ เสดจ็ ประพาสปา่ และมาถงึ อาศรมพระฤๅษ ี เมอ่ื ถงึ คนื วนั เพญ็ ทนี่ างมทั นากลายรา่ ง
(แนวตอบ ตัวอยา งเชน ดวงใจ แกว ตา เปน็ มนษุ ย ์ นางไดพ้ บกบั ทา้ วชัยเสนก็เกิดความรักตอ่ กนั พระฤๅษจี ึงจัดพธิ ีอภเิ ษกให้
ดอกกหุ ลาบ เปน ตน) ท้าวชัยเสนได้พานางกลับเมือง ท้าวชัยเสนรักใคร่หลงใหลนางมัทนามากท�าให้นางจัณฑี
มเหสีหึงหวง อิจฉาริษยา จึงท�าอุบายให้ท้าวชัยเสนเข้าใจผิดว่านางมัทนาเป็นชู้กับทหารเอก
สาํ รวจคน หา Explore นางมัทนาจึงถูกสั่งประหารชีวิตแต่เพชฌฆาตสงสารจึงปล่อยนางไป นางมัทนากลับไปอาศรม
และวงิ วอนขอใหส้ เุ ทษณเ์ ทพบตุ รชว่ ย สเุ ทษณเ์ ทพบตุ รไดข้ อความรกั นางอกี ครงั้ หนง่ึ แตน่ างปฏเิ สธ
1. นกั เรยี นศกึ ษาลกั ษณะนสิ ยั ของตวั ละครในเรอื่ ง สุเทษณเ์ ทพบตุ รจงึ สาปนางให้เป็นดอกกุหลาบไปตลอดชวี ิต
ดงั นี้
• สเุ ทษณ ๕. เนื้อเร่อื ง
• มทั นา
• มายาวนิ มัทนะพาธา ตอน สเุ ทษณ์ฝากรกั นางมทั นา
[ก่อนเปิดม่าน ตัวละคอนเหล่านี้ต้องพร้อมอยู่บนเวที คือ : สุเทษณะเทพบุตร์, เอกเขนกอยู่
2. นักเรยี นศึกษาการเปด เรอ่ื ง ดําเนินเรื่อง และ บนเตียงที่บนมุขเด็จ, มีนางอับสรอยู่งานพัดคน ๑; จิตระเสนนั่งอยู่หน้ามุขเด็จ, และมีบริวารของ
การปด เรือ่ งของบทละครพูดคาํ ฉันท เรอื่ ง สุเทษณ์น่ังรายเป็นแถวทั้ง ๒ ข้างเวที; กลางเวทีมีพวกคนธรรพ์ส�าหรับ ๑, ถือช่อดอกไม้ท้ัง ๒ มือ
มทั นะพาธา ทุกคน. พิณพาทย์ท�าเพลงโหมโรงจนถึงเวลาควรจะเปิดม่าน, จึ่งท�าเพลงเหาะ. พอเปิดม่าน,
พวกคนธรรพ์ก็เรม่ิ ร้องและร�าอย่างแบบรา� โคม, ดนตรเี ลน่ คลอเสียงไปตลอด, ไม่ตอ้ งรับ.]
อธบิ ายความรู Explain ในโบราณกาลมีเมืองใหญเ่ มืองหนึง่ ชอื่ กรุงธรรมปุระ พระราชาทรงนามท้าวมหาพล

นกั เรียนอธิบายการเปดเร่ืองของบทละครพูด- ๏ บทรอ้ งของคนธรรพ์
คาํ ฉันท เร่อื ง มทั นะพาธา ตอน สเุ ทษณฝากรกั (ล�าเหาะ.)
นางมัทนา ๏ ขา้ บาทผภู้ ักด ี ตอ่ ธลุ พี ระบาทา [ยานี, ๑๑.]
พรอ้ มกันถวายอา- เศยี ระพาทแดเ่ ทวัน
(แนวตอบ บทละครพูดคําฉันท เรอ่ื ง มัทนะพาธา ๏ ขอจงเสวยสขุ นิราศทกุ ขไ์ ร้โรคนั -
เปด เร่ืองดวย ตอน สุเทษณฝากรักนางมัทนา ตะรายแลภยนั - ตะรายาอยา่ ยายี
ลกั ษณะของการเปดเรื่องในบทละครพดู จะให ๏ พระองคท์ รงมคี ณุ กะตะบญุ บาระมี
รายละเอยี ดเกยี่ วกบั ฉาก สถานที่ เวลาอยา งชดั เจน บ�าเพ็ญในอต-ี ตะกาลดลผลไพบลู ย์
เครอื่ งประกอบฉากทเี่ ดน ๆ ฉากเปด เรอื่ งกลา วถงึ ๏ ชาติก่อนเปน็ สุกษัตร ์ เถลงิ รัฐราไชสรู ย์
“สเุ ทษณะเทพบตุ ร, เอกเขนกอยบู นเตยี งทบ่ี นมขุ เดจ็ ” ในวงศะประยรู สรุ ะแมนแคว้นปญั จาล
บอกรายละเอยี ดเก่ียวกบั ตัวละครในเรอ่ื ง มีใครบาง ๏ 1ทรงธรรมล�า้ มะนุษ ฤทธริ ทุ มหาศาล
แตไมไ ดบ อกลกั ษณะรปู รางของตวั ละครเพราะไมใช
ตอนแรกทเ่ี รม่ิ เรอ่ื ง)

บา� เพญ็ พะลกี าร ทุกอย่างงามตามวสิ ัย
๏ ครั้นถงึ เวลาควร ภมู ศิ วรจากไผท
เสด็จสุราลยั เสวยสุขในแดนสรวง
46

เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
ขอ ใดสอดคลอ งกบั บทประพนั ธตอไปน้ี
ครูแนะลักษณะตัวละครมทั นาใหน ักเรียนนาํ ไปใชพิจารณาพฤตกิ รรมตา งๆ “ชาติกอ นเปน สกุ ษตั ร เถลิงรฐั ราไชสูรย
ในบทประพันธวา นางมทั นาเปนหญิงทมี่ คี วามเพยี บพรอ มดวยคณุ สมบัติและ ในวงศะประยรู สุระแมนแควน ปญ จาล”
รูปสมบตั ิ รัชกาลท่ี 6 ทรงพรรณนาความงามของมทั นาวางามราวรูปปน ของ 1. บญุ วาสนาของสุเทษณเ ทพบตุ ร
องคว ศิ วกรรมา ซงึ่ เปนเทพแหง การชา ง ความงามของนางงามกวานางอ่นื ๆ 2. ความเปนมาของสเุ ทษณเทพบุตร
ในวรรณคดี ครใู หน กั เรียนยกบทประพนั ธที่พรรณนาถงึ ความงามของมัทนา 3. บทบาท หนา ทีข่ องสเุ ทษณเทพบตุ ร
4. ชวี ิตความเปน อยขู องสุเทษณเทพบตุ ร
นกั เรยี นควรรู
วิเคราะหค ําตอบ บทประพันธขางตน กลา วถึงความเปนมาของ
1 พะลี ปกติเขยี นวา “พลี” หมายความวา การบวงสรวง เคร่อื งบวงสรวง สว ย สุเทษณเทพบตุ ร ซ่ึงในอดตี กาลเปน กษตั ริยแ หงแควนปญ จาล
การบชู า (ตามแบบมี 5 คือ ญาติพลี สงเคราะหญ าติ อติถิพลี ตอนรับแขก เปตพลี
ทาํ บุญอทุ ิศใหผูต าย ราชพลี ถวายเปนหลวง มีเสยี ภาษี อากร เปน ตน เทวตาพลี ตอบขอ 2.
ทาํ บุญอทุ ิศใหเ ทวดา และแบงเปน 2 อยา ง คือ ธรรมพลี อทุ ิศกุศลให และอามิสพลี
ใหสงิ่ ของ)

46 คูมอื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

๏ เหล่าขา้ พ่ึงพระเดช ปกปอ้ งเกศขา้ ทัง้ ปวง 1. นักเรียนแบง กลมุ กลุม ละ 4 - 5 คน ใหจ ับ
จ่งึ พร้อมณแดดวง ภักดีหมายถวายพร สลากตัวละครในเรื่อง คือ สุเทษณ มัทนา
๏ สงิ่ ใดพระประสงค์ จงสทิ ธนิ ริ ันดร มายาวนิ
ใดองคจ์ อมอมร ไม่โปรดปรานเรง่ ผ่านไปฯ
สเุ ทษณ์. เหวยจิตระเสน มงึ บังอาจเลน่ ลอ้ กไู ฉน? 2. นักเรยี นแตล ะกลุมรวมกันอภิปรายลกั ษณะ
[สุรางคณา, ๒๘.] นสิ ยั ของตัวละครตามท่ีจับสลากได

จิตระเสน. เทวะ, ขา้ บาท จะบังอาจใจ ท�าเชน่ นัน้ ไซร้ ไดบ้ พ่ ึงมี. 3. ตัวแทนของแตล ะกลุม นําเสนอหนาชั้นเรียน
สเุ ทษณ.์ เช่นนน้ั ท�าไม พวกมึงมาให้ พรกูบดั น,ี้ วา่ ประสงคใ์ ด ใหส้ มฤด?ี มงึ รู้ 4. หลังการอภปิ รายตวั ละครของแตละกลมุ
อยนู่ ี่ ว่ากูเศรา้ จิต เพราะไมไ่ ด้สม จิตท่ใี ฝ่ชม, อกกรมเนอื งนิตย์.
จติ ระเสน. ตูข้าภักด ี ก็มีแต่คิด เพอ่ื ใหท้ รงฤทธ์ ิ โปรดทกุ ขณะ. ครูสรุปความรู ความเขา ใจ โดยใหน กั เรียน
สุเทษณ์. กูไมพ่ อใจ! ไลค่ นธรรพ์ไป บัดนี้เทยี วละ อย่ามวั รอรง้ั . ตอบคําถาม ดงั ตอ ไปนี้
จติ ระเสน. เอว�เทวะ! (หันไปสั่งคนธรรพ์) เออพอแล้วนะ, พวกเจ้าจงไป. (พวก • สุเทษณ. “เชนนนั้ ทําไม พวกมงึ มาให พรกู
คนธรรพถ์ วายบงั คมแลว้ เขา้ โรง) ขา้ บาทไดเ้ ตรยี ม อบั สรเสงยี่ ม สงา่ งามไว้
เพ่ือรอ้ งและร�า บา� เรอเทพไท, แม้โปรดจะได้ เรียกมาบัดนี.้ บดั น,้ี วาประสงคใด ใหสมฤดี? มงึ รอู ยนู ่ี
สุเทษณ์. เอาเถิดลองดู เผือ่ วา่ ตวั กู จะคอ่ ยสขุ .ี วา กเู ศราจติ เพราะไมไดส ม จติ ทใ่ี ฝช ม,
จิตระเสน. (เรยี ก) คณาอับสร ผฟู้ อ้ นรา� ดี, ออกมาบัดนี ้ รา� ถวายกร. อกกรมเนอื งนติ ย.” จากบทเจรจาขา งตน
(พิณพาทย์ท�าเพลงเร็ว. คณะอับสรร�าออกมาถึงกลางเวที, ลา, แล้วร�าและร้องบท แสดงใหเ ห็นวา สุเทษณมีบคุ ลกิ ลักษณะ
ต่อไปน,้ี และดนตรเี ลน่ คลอเสยี งไปตลอด, ไม่ตอ้ งรบั .) อยางไร
(แนวตอบ เนอ้ื ความขางตน แสดงใหเหน็ วา
๏ บทร้องของอับสร สเุ ทษณเปนตวั ละครทมี่ ีความมงุ มั่น จรงิ จงั
(ลา� นางนาค.) โดยเฉพาะเรื่องความรักทม่ี ตี อมทั นา รสู กึ
๏ เหล่าขา้ คณาอบั สร กม้ เกศยอกร [ฉบงง, ๑๖.] โศกเศรา เสียใจ และพาลหงุดหงดิ อารมณ
บังคมพระเทพรงั สรรค์ 47 เสยี ใสบริวาร แสดงความไมพอใจออกมา
๏ พ�านกั เนาสขุ ทุกวัน พระคุณอนันต์ ทันทเี มื่อความรกั ไมเปนดงั่ ใจหวงั )
อเนกประดุจโพธ์ิทอง • ในเรือ่ งกลาวถงึ หลักธรรมใดและจะนํามาใช
๏ อันพระเมตตาเนอื งนอง ประดุจลออง กบั เรอื่ งความรักไดหรอื ไม อยางไร
วะรณุ ระร่นื รวยเยน็ (แนวตอบ หลกั ธรรมพรหมวิหาร 4 ไดแ ก
วายรุ �าเพ๏ย 1ช่ืนพใรจะกรุณาแนเ่ หน็ ดิประดุจเป็น 1. เมตตา คอื ความปรารถนาใหผ อู น่ื ไดร บั สขุ
2. กรณุ า คือ ความปรารถนาใหผูอืน่ พน ทุกข
๏ พระมุทิตาแน่วใน ขา้ บาทจง่ึ ได้ 3. มทุ ติ า คอื ความยนิ ดีเมื่อผูอนื่ ไดดี
มานะเปน็ นติ ยใ์ นงาน 4. อุเบกขา คอื การรูจกั วางเฉย
โดยหลักพรหมวิหาร 4 นี้ สามารถนํามาใช
ไดกับความรัก คอื มีความเมตตา กรณุ า
หรอื มีมทุ ติ า เมื่อเขาไมรักตอบก็จงปรารถนา
ใหเขามคี วามสุข ซ่งึ จะทาํ ใหดาํ เนินชีวิต
ตอ ไปไดอ ยา งมคี วามสุข)

ขอใดไมได กลา วถงึ หลกั ธรรม ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู

1. อันพระเมตตาเนืองนอง ประดจุ ลออง ครใู หน กั เรียนรว มกันพจิ ารณาถึงการนําหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช
วะรณุ ระรนื่ รวยเย็น ในการกลา วสรรเสรญิ องคสุเทษณ โดยครูชใี้ หนักเรยี นเห็นการโยงความคดิ ทาง
2. พระมทุ ติ าแนวใน ขา บาทจง่ึ ได พระพุทธศาสนาเขา กบั เน้อื เร่ืองน้ัน เปนสงิ่ ท่สี ะทอ นใหเ ห็นอทิ ธิพลของพระพทุ ธ-
มานะเปน นติ ยในงาน ศาสนาในวรรณคดไี ทย เหน็ การผสมกลมกลนื ระบบความคิด ความเชอื่ ของคนใน
3. ผนู ีม้ คี วามรูช ิน เชิงชาญโยคนิ สงั คมกบั วรรณคดี เปนการสรา งคณุ คาใหก ับวรรณคดี นอกเหนือไปจากความไพเราะ
และเช่ยี วอาถรรพวิทยา ทางวรรณศิลป
4. พระกรุณาแนเห็น ดิประดุจเปน
วายุราํ เพยชนื่ ใจ นกั เรยี นควรรู

วิเคราะหคาํ ตอบ หลกั ธรรมทปี่ รากฏในบทประพนั ธ มดี งั นี้ 1 ราํ เพย เปน คาํ กรยิ าทใี่ ชก บั ลม ในบทประพนั ธใ ชว า “วายรุ าํ เพย” หมายความวา
ขอ 1. เมตตา ขอ 2. มทุ ติ า และขอ 4. กรณุ า ขอ ทไ่ี มไ ดก ลา ว พัดออ นๆ เร่ือยๆ มักพากลิน่ หอมของดอกไมม าดวย
ถงึ หลกั ธรรม คอื ขอ 3. แตก ลา วถงึ พระเวทคมั ภรี อ าถรรพวทิ ยา
คูม ือครู 47
ตอบขอ 3.

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

นักเรียนยกบทประพันธทพ่ี รรณนาถงึ ความงาม ๏ พระอเุ บกขาสมาน จิตใหเ้ บกิ บาน
ของมัทนา บ ่ เสื่อม บ่ สูญภกั ดี
๏ เจา้ นายองคใ์ ดในตรี โลกฤๅจะมี
(แนวตอบ บทประพันธท ีพ่ รรณนาถึงความงาม เหมอื นพระผนู้ ่งั เกศา
ของมัทนามีความวา ๏ ขอพ1ึ่งยคุ ลบาทา ไปจนเวลา

“งามผิวประไพผอง กลทาบศภุ าสุพรรณ, ประจวบเมือ่ กัลปบ์ รรลัยฯ
งามแกม แฉลม ฉนั พระอรณุ แอรม ละลาน. (เพลงเรว็ : อับสรจบั ระบ�าสกั สามท่าแลว้ , สเุ ทษณ์ยกมือห้าม, จิตระเสน. ก็สัง่ พวกนาง
งามเกศะดําขํา กลนํ้า ณ ทอ งละหาน, ใหเ้ ลกิ การระบา� , และพวกนางถวายบงั คมแลว้ , พณิ พาทยท์ า� ลา, พวกอบั สรเขา้ โรง. พวกเทพ
งามเนตรพนิ ศิ ปาน สุมณมี ะโนหะรา;”) บรวิ ารก็คลานเข้าโรงไปด้วย.)
• จากบทประพันธทพ่ี รรณนาถึงความงามของ จิตระเสน. อนั นางอบั สรศร ี รา� มดิ ีประการใด, [ยานี, ๑๑.]
ขอเทวะฤทธไิ์ ด ้ โปรดต�านติ ปิ ระทาน,
มทั นามลี ักษณะเดนทางวรรณศลิ ปอยา งไร สุเทษณ์. ดีแล้วทง้ั การร�า และล�าน�าขบั รอ้ งหวาน,
(แนวตอบ มีการซํ้าคาํ คําวา “งาม” ซึ่งเปน ทัง้ ดนตรีประสาน ก็ฟังเพราะเสนาะดี;
การเนนยาํ้ ความหมายของคาํ นี้ใหเห็นภาพ แต่กทู ่ีใจเศร้า และงึมเหงาอยู่เช่นนี้
ความงามของมทั นาชดั เจนย่ิงขึน้ และยังมี ตวั เจา้ กร็ ดู้ ี ว่าเหตนุ ้นั เป็นฉันใด.
การใชภ าพพจนอ ปุ มาแสดงใหเหน็ ความงาม จติ ระเสน. ขา้ ทราบและพลอยโศก, อันโรครักนหี้ นักใจ;
ของมทั นา ดังนี้ เปรียบผวิ วางามดงั่ ทอง แตใ่ นสุราลัย สรุ างคด์ กี ม็ ถี ม
โดยใชค ําเปรียบวา “กล” เปรียบแกม วาแดง ขา้ เช่ือว่าพระองค ์ ประสงค์นางสอางชม
งามเหมอื นแสงอรณุ ใชค ําเปรยี บเทยี บวา คงได้สมั ฤทธสิ์ ม หทัยแทท้ ุกนงคราญ.
“ฉัน” เปรียบผมดํางามเหมอื นทอ งน้าํ ใชคาํ สุเทษณ์. จนรางิงอใดย ู่นณะ เแจม้าเนอกยา ร2 ผจิ ะเชยสมัครสมาน [อนิ ทวงส์, ๑๒.]
เปรยี บวา “กล” และเปรยี บวาตาของนางงาม ก็จะสทิ ธสิ มฤด,ี
เหมือนแกว ใชคาํ เปรียบวา “ปาน”)


เวน้ เดยี วก็แตโ่ ฉม มะทะนาวิสุทธิศรี
ผูเ้ ลิศสรุ างคม์ ี วรรปู วิเลขวิไล
แตเ่ ห็นอนงคร์ า- มะประเสริฐวิเศษวิสยั
ไม่มอี นงค์ใด นะจะเทยี บจะเทียมจะทนั ;
งามผวิ ประไพผอ่ ง กลทาบศุภาสพุ รรณ,
งามแก้มแฉล้มฉนั พระอรุณแอร่มละลาน.
งามเกศะดา� ข�า กลน้า� ณ ทอ้ งละหาน,
งามเนตรพ์ นิ ศิ ปาน สมุ ณมี ะโนหะรา;
งามทรวงสลา้ งสอง ววรรุบถนัลสสุมะโนรสชุมะาม-าศ3;
48 ลเี ลดิ ประเสรฐิ กวา่

นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
ขอใดทีผ่ ูพูดแสดงความเหน็ ใจ
1 กลั ป หรอื กปั ท้งั นตี้ ามคตขิ องพราหมณ อายขุ องโลกตั้งแตเมอ่ื พระพรหม 1. ขา เชือ่ วา พระองค ประสงคน างสอางชม
สรางเสรจ็ จนถงึ เวลาทไ่ี ฟประลยั กัลปลา งโลก ซง่ึ ไดแกชวงเวลากลางวนั วันหน่งึ 2. คงไดสัมฤทธิส์ ม หทัยแทท ุกนงคราญ
ของพระพรหม คือ 1,000 มหายคุ (เทา กับ 4,320,000,000 ปมนุษย) เม่ือส้ินกลั ป 3. ขาทราบและพลอยโศก อนั โรครักนี้หนกั ใจ
พระอศิ วรจะลางโลกดว ยไฟประลยั กัลป โลกจะไรส ิ่งมชี วี ิตและอยูในความมดื มน 4. แตใ นสรุ าลัย สรุ างคด ีก็มีถม
จนถึงรงุ เชา ของวนั ใหม แลว พระพรหมก็จะสรางโลกเปนการข้นึ ตน กลั ปใหม
โลกจะถกู สรางและถูกทาํ ลายเชนน้สี ลับกันตลอดอายขุ องพระพรหม วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอทก่ี ลา วถงึ ผูท่ีมคี วามทุกขทเี่ กดิ จากความรกั
2 แมนการ ท่ีอยขู องเทวดา ซึ่งกค็ ือ สวรรค พลอยทําใหผ พู ูดรูสึกเหน็ ใจไปดว ย คอื “ขาทราบและพลอยโศก

3 สะโรชะมาศ สะโรชา แปลวา ดอกบวั สวน มาศ แปลวา ทอง สะโรชะมาศ อันโรครกั นหี้ นักใจ” ตอบขอ 3.
จงึ มคี วามหมายวา ดอกบัวทอง

48 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

งามเอวอนงคร์ าว สุระศิลปิชาญฉลาด นักเรียนถอดคาํ ประพนั ธ แลวตอบคาํ ถามจาก
เกลากลึงประหน่ึงวาด วรรูปพไิ ลยพะวง; บทประพนั ธตอ ไปนี้
งามกรประหน่งึ งวง สุระคชสเุ รนทะทรง,
นวยนาฏวิลาศวง ดจุ ะร�าระบ�าระเบง; “ไปท่ัวทุกแดนสามหมด; ในฟากฟา จรด
ซ้า� ไพเราะนา�้ เสยี ง อรเพยี งพริ มประเลง, จนถึงขอบนะภาลัย;
ไดฟ้ งั ก็วงั เวง บ มิวา่ งมิวายถวลิ . ไปทัว่ แดนมนษุ ยสดุ ไกล บ เวน แหงใด,
นางใดจะมเี ทียบ มะทะนา ณ ฟา้ ณ ดิน, กระทง่ั ยงั ขอบจักกะวาฬ;
เปน็ ยอดและจอดจิน- ตะนะแน่ว ณ อก ณ ใจ. ไปทั่วในแดนบาดาล, ทัว่ ทุกสถาน
ทุกถนิ่ จนจบภพไตร.”
(จิตระรถออก, ไปไหวส้ เุ ทษณ,์ แล้วหมอบคอยฟงั รบั สงั่ .) (แนวตอบ บทประพนั ธข างตน มคี วามวา คนหา
สุเทษณ์. ออ้ , จติ ระรถเจา้ ไป ตามทก่ี ูใช้, หญงิ งามในท่ัวทกุ สามแดน คอื แดนสวรรค
[ฉบงง, ๑๖.] แดนมนุษย และแดนบาดาล)
• กวใี ชฉนั ทช นดิ ใด มคี วามสอดคลอง
ส�าเรจ็ ประสงคฤ์ ๅหวา?
จิตระรถ. เทวะ, ขา้ บาทไคลคลา ตามองคม์ หา เหมาะสมกับเนอ้ื หาหรือไม อยางไร
ฤษีผ้นู ามนารท, (แนวตอบ จากบทประพันธขางตน กวีใช
ไปทว่ั ทกุ แดนสามหมด; ในฟากฟา้ จรด อนิ ทวงสฉันท 12 เปน ฉนั ทท ่มี สี าํ เนยี ง
จนถงึ ขอบนะภาลัย; ไพเราะประดจุ เสยี งปข องพระอินทร มีลลี า
ไปทวั่ แดนมนุษสดุ ไกล บ ่ เว้นแห่งใด, สะบัดสะบิ้งมากกวา อินทรวิเชียรฉนั ท
กระทง่ั ยงั ขอบจกั กะวาฬ; เหมาะสมสําหรับการแตงเพ่อื แสดงความ
ไปท่วั ในแดนบาดาล, ทวั่ ทุกสถาน ในใจ)

ทุกถ่นิ จนจบภพไตร. ข้าบาทกไ็ ด้
ไปถงึ ซง่ึ แคว้นแดนใด,
มวาาดเพรปูือ่ ถอวนางยคมง์ หามศิ งรอ1; น,
ขอองคอ์ มร
จงทอดพระเนตรร์ ปู า
สุเทษณ์. มาเถดิ น�ารูปขึน้ มา, และจงเจรจา
แถลงซ่ึงลกั ษณ์ให้ก.ู
(จติ ระรถเรยี กคนใชใ้ หน้ า� รูปออกมา, แลว้ เอาขนึ้ ไปถวายสุเทษณท์ อดพระเนตรพ์ ลาง,
จติ ระรถแถลงลกั ษณะแห่งรูปไปพลาง.)
จิตระรถ. ประถมกร็ ูปเท- วะธิดาสง่าตรู, [อุปชาต,ิ ๑๑.]
มนี ามะเรียกยู- วะสุมาลิโศภน.
งามเนตร์และเกศแก้ม กลดอกกะมลสน-

49

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู
ขอ ใดเปน คําประพนั ธก ลาวถึงความงาม
1. สะขพี ระเทวี มหษิ บี ดีสรู บทละครพดู คําฉันท เรอ่ื ง มัทนะพาธา องกท่ี 1 เนอ้ื เร่อื งกลาวถึงการทีส่ ุเทษณ
2. ประถมก็รปู เท- วะธิดาสงาตรู พรรณนาเก่ียวกบั ความงามของมัทนา โดยครูยกตวั อยา งใหน กั เรยี นฟง เชน วิเลข
3. ขาองคอมุ าศรี สุระอคั คะเทวนิ วไิ ลย สอาง วิสุทธศิ รี วิลาศ เปน ตน ครใู หน ักเรยี นรวบรวมคาํ ศัพทท ม่ี ีความหมายวา
4. นางชา งประเลงขบั วรศัพทะเรงิ รมย “งาม” ท่สี เุ ทษณใชพรรณนาถึงมทั นา จากน้ันนกั เรียนรว มกนั อภปิ รายเก่ยี วกบั การใช
คาํ หลาก ซง่ึ เปนลกั ษณะเดน ทางภาษา โดยครนู ําการอภปิ รายวาทาํ ใหว รรณคดีไทย
วเิ คราะหค าํ ตอบ แตล ะขอถอดคาํ ประพันธ ไดดงั นี้ ขอ 1. มีความงดงามในเรือ่ งการสรรคาํ นกั เรียนชวยกนั แสดงความคดิ เหน็
เปน พระสหายขององคเทวี ขอ 2. รปู แรกเปน รูปของหญงิ ทีส่ งา งาม
โดยคาํ วา “ตร”ู มคี วามหมายวา งาม ขอ 3. เปน ขา รบั ใชข องพระอมุ า นกั เรียนควรรู
และขอ 4. นางเปนผทู บ่ี รรเลงและขบั รองดนตรไี ดไ พเราะย่ิง ขอ ท่ี
1 มหิศร อา นวา มะ-หิด-สอน หรอื มะ-หิ-สวน หมายถงึ ผเู ปนใหญย ่งิ เลือนมา
กลา วถงึ ความงาม คอื “ประถมกร็ ปู เท- วะธดิ าสงา ตร”ู ตอบขอ 2. จาก มเหศวร หมายถงึ พระศวิ ะ หรอื พระเจาแผนดนิ

คมู อื ครู 49

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู

นกั เรยี นจบั คกู บั เพอื่ นตอบคาํ ถามประเดน็ ตอ ไปนี้ ธิสิ่งประเสริฐปน กิรยิ าสง่าศรี
• จติ ระรถเสนอวิธแี กไ ขบรรเทาความเศราใจ วธวู เิ ศษเป็น วระเทพะนารี
ขา้ องคอ์ มุ าศร ี สุระอัคคะเทวนิ ,
ของสุเทษณเ ทพบุตรอยางไร และไดผล เนาคีรไิ กลาศ. อะ๊ ฉะนั้นจะจงจิน-
หรือไม เพราะเหตใุ ด บ ่ มคิ วรคนงึ ถงึ .
(แนวตอบ จิตระรถเสนอใหสุเทษณเ ทพบตุ ร สุเทษณ์. สิริรา่ งสอางซง่ึ
มองหาหญิงงามคนอ่นื เพอื่ ทจี่ ะไดล ืมมัทนา ตะนาจะราคิน, จะประเทยี บ บ ่ แพ้ใคร.
ทป่ี ฏิเสธความรักทสี่ เุ ทษณม ใี ห วธิ กี ารของ กละภาพพเิ ศษไซร้,
จติ ระรถ คอื ตองการใหส ุเทษณล ืมมทั นา จติ ระรถ. ทุตียะรูปนาง ยละรา่ นระตพี นู .
เมื่อสเุ ทษณเพอถึงความงามของมัทนา แสนงามและหากถงึ มหิษีบดีสรู
จติ ระรถก็ชว ยแสวงหานางทม่ี คี วามงาม นางชื่อวเิ ลขา อ๊ะมคิ วรจะม่งุ หมาย.
ทดั เทยี มดังที่สเุ ทษณเ พอถงึ แตก ็ไมไ ดผ ล วโิ รจน์วไิ ลใคร หริราชะนารายณ,์
เพราะสเุ ทษณไมอ าจลมื มทั นาได) กจ็ ะทรงพระโกรธา.
สะขพี ระเทว ี 1 อระเทพะกัญญา,
ขยายความเขา ใจ Expand สะวเิ ลขวิไลวรรณ;
ผสู้ ิงณไวกูณฐ์. อมะราวดีสวรรค์,
จากวิธีการแกไ ขปญหาเรอื่ งความรกั ของ สุเทษณ์. พะสะกนธะชวนชม,
จติ ระรถ นักเรยี นรวมกันแสดงความคดิ เหน็ วรศัพทะเริงรมย์
หลอ่ นเป็นกา� นลั แหง่ กม็ คิ วรจะมุง่ มาด.
• วิธกี ารของจิตระรถจะไดผลเหมือนกันทกุ คน จะมุ่ง ณ โฉมฉาย ธมิ หทิ ธ์กิ �าแหงกาจ,
หรอื ไม เพราะเหตุใด จะประหัดประลัยลาน.
(แนวตอบ วิธีการของจติ ระรถอาจไดผลหรอื จติ ระรถ. ฉะนั้นถวายรูป วรราชะนงคราญ,
ไมไดผ ลก็ได ทั้งน้ขี ้นึ อยูก ับผทู ่กี าํ ลงั ตกอยูใน ชื่อเมนะกาภา วรเขตตะกาศี;
ความรกั ดังสเุ ทษณวา พรอมท่ที าํ ใจหรือไม ข้าเห็น ณ สวนกลาง วมิ ะลาสุนารี,
ยอมรับความผดิ หวังไดหรอื ไม หากเปนอยา ง วิจติ รว์ ิศษิ ฎ์สรร- จะติน้นั บ่ พงึ หา,
สเุ ทษณท่ียึดตดิ อยูกับคนทไ่ี มรักตอบกจ็ ะ นางชา่ งประเลงขบั สุระเทวะกญั ญา.
ทําใหเ ปน ทุกข เพราะมัวแตพยายามคิดหา เปรอองคส์ ุโรดม. ดุจะกากะเปรยี บหงส์
หนทางทีจ่ ะใหไดค รอบครองความรักของนาง
โดยไมฟง คําปฏิเสธของนาง ดังน้นั วธิ กี าร สเุ ทษณ์.
ของจติ ระรถทห่ี ารปู หญงิ งามมาใหสเุ ทษณดู ท้าวศกั ระทรงฤท-
เพอื่ จะไดล ืมนางมัทนาจงึ ไมเกดิ ผลใดๆ ใคร ผทิ รงพโิ รธอาจ
ทคี่ ดิ อยา งสเุ ทษณกจ็ ะเปน เชนน)ี้
จิตระรถ. ฉะนน้ั ถวายรปู
หน่อนาถะผู้ผา่ น
ปรากฎพระนามนาง
วสิ ุทธิ์วศิ ษิ ฎท์ ี่
พระโฉม บ่ แพโ้ ฉม

สุเทษณ.์ แพ้ยอดฤดขี ้า
50

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
ขอ ใดผพู ดู ไมไ ด กลา วชมความงาม
ครูแนะความรูเกีย่ วกบั คําสมาสทพ่ี บในเนอ้ื หาของเรื่องบทละครพดู คําฉนั ท 1. พระโฉม บ แพโ ฉม สุระเทวะกญั ญา
เรื่อง มัทนะพาธาวา นอกจากคาํ ศัพทท่ีเปน คาํ สมาสมาจากภาษาบาลแี ลว 2. ลเี ลดิ ประเสรฐิ กวา วรบุ ลสะโรชะมาศ
ยังมกี ารสรา งคําดว ยวิธีสมาสขน้ึ เอง ซง่ึ มี 2 ลกั ษณะ ดงั นี้ 3. งามเกศะดาํ ขาํ กลน้ํา ณ ทอ งละหาน
4. แพย อดฤดขี า ดจุ ะกากะเปรียบหงส
• คําสมาสทีไ่ มม ีสนธิ เชน สุรภพ สรรพวทิ ยา เปน ตน
• คาํ สมาสทม่ี ีสนธิ เชน สโุ รดม มาจาก สุร+อุดม วโรดม มาจาก วร+อุดม วเิ คราะหค ําตอบ กลา วชมความงามโดยใชคาํ ตา งๆ ทช่ี ัดเจน
ดังนี้ ขอ 1. มีคําวา “บ แพ” ขอ 2. มีคาํ วา “ประเสรฐิ กวา ”
นโรดม มาจาก นร+อุดม เปน ตน ขอ 3. มคี วามวา ผมดาํ งามเหมือนทองน้ํา และขอ 4. กลาววา
งามไมเ ทา คนทข่ี ารกั เปรยี บเหมอื นกาดอ ยกวานางท่ขี า รกั ซึง่ เปน
นกั เรยี นควรรู
ดังหงส ตอบขอ 4.
1 ไวกณู ฐ ทีป่ ระทับของพระนารายณ เชน ผสู งิ ณ ไวกูณฐ และหมายถงึ
พระนารายณท แ่ี บง ภาคลงมา เชน “ซ่ึงจะใหนารายณล งไป ก็ตอ งในไวกณู ฐ
อวตาร” (รามเกียรต์ิ ในรชั กาลท่ี 1) ในท่ีน้หี มายถงึ ท่ีประทบั ของพระนารายณ

50 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

นักเรียนอธบิ ายคาํ ปฏเิ สธของสุเทษณท ่ไี มช ื่น
ชอบภาพวาดนางตางๆ ทจี่ ิตระรถเอาใหช มวา สม
จติ ระรถ. น่รี ปู ธดิ าท้าว วรเกาศกิ าพงศ์ เหตุสมผลหรือไม อยางไร นกั เรียนยกบทประพันธ
นรินทะราชทรง บุระกานยฺ ะกพุ ฺชา,
ประกาศพระนามเรยี ก วรเรณกุ าภา. ประกอบการอธิบาย
(แนวตอบ คําปฏิเสธของสเุ ทษณไมสมเหตสุ มผล
สุเทษณ์. เปรยี บโฉมวเิ ลขา มะทะนา บ ่ แพน้ าง. แตท งั้ น้ีเร่อื งความรสู ึก เปนสง่ิ ท่ไี มส ามารถใช
จิตระรถ. นรี่ ูปธิดารา- ชะวทิ รรภะโศภางค,์
พระนามอนงค์นาง ทมะยนั ตบิ ังอร. เหตุผลมาตดั สินไดว า ถูกหรือผิด แตแ สดงใหเ หน็ วา
เม่ือรกั แลว หากไมสมหวงั กต็ อ งทกุ ขใจเปน ธรรมดา
สเุ ทษณ.์ จะมวั สา� แดงรปู อระเนา ณ ดนิ ดอน, ดังบทประพันธ
หวงั หาสงา่ งอน ฤ จะเปรียบธิดาสรวง.
จิตระรถ. ถข้าววาายดพวรเิ ะลปขิ่นา สรวง1, อระงาม ณ แดนปวง, สุเทษณ. “ปวงรปู เจา วาดมาน้ี เปนรูปนารี
และก็สุดจะโปรดปราน ที่ลวนประเสรฐิ เลิศงาม;
แตก ูดทู กุ นงราม ก็ยังเหน็ ทราม
แอลนั ะเหรูป็น ธณดิ า บนาาด- าล2, คะและลกู อสรู หาญ,
ดนวุ าดถวายไว้ กวานารรี ัตนมัทนา. เทียมเทา มทั นา
ฉะนน้ั แมไมอาจหา
เพ่อื ทอดพระเนตรเ์ ล่น, ตละตนกผ็ อ่ งใส; กจู ะกลา วชมเชย?
จะควรมิควรไซร ้ ฤ กส็ ุดจะปราน.ี
(จิตระรถส่งรูปถวายสุเทษณ์, และสุเทษณ์รับไปดูผาดๆ, แล้วส่งคืนให้แก่จิตระรถ, เปน กรรมกแู ลว เจา เอย, จาํ ตอ งชวดเชย
จติ ระรถสง่ ให้คนใชน้ า� เขา้ โรงไป.) ทรี่ ักสมคั รจรงิ ใจ.”)
สเุ ทษณ.์ ปวงรูปเจ้าวาดมาน้ ี เปน็ รูปนาร ี [ฉบงง, ๑๖.]
ทลี่ ว้ นประเสริฐเลิศงาม; ขยายความเขา ใจ
แต่กดู ูทกุ นงราม ก็ยังเห็นทราม Expand

กวา่ นารีรัตนม์ ัทนา. นกั เรยี นรวบรวมชอ่ื และทมี่ าของรปู วาดหญงิ งาม
ฉะนน้ั แม้ไมอ่ าจหา เทยี มเทา่ มัทนา ทีจ่ ติ ระรถนาํ มาใหส ุเทษณดูวามีกค่ี น ใครบา ง
ฤๅกจู ะกล่าวชมเชย?
เปน็ กรรมกแู ล้วเจ้าเอย, จ�าตอ้ งชวด3เชย (แนวตอบ จากท่ีจติ ระรถนําภาพวาดของ
ท่ีรักสมคั รจริงใจ. หญิงงามท่ัวทงั้ สามแดนมาใหสเุ ทษณไ ดท รง
จิตระรถ. ฉะน้ันตอ้ งคิดแกไ้ ข โดยอุบายให้ พจิ ารณานนั้ มี 6 นาง ดังนี้
พระองคไ์ ดส้ มจนิ ดา.
สเุ ทษณ.์ จะแกฉ้ นั ใดเลา่ หวา? กูหมดปญั ญา. • นางสุมาลิ หรอื สมุ าลี แหงเขาไกรลาศ
จิตระรถ. ข้าบาทขอทลู บัดนี้ เปนขา รบั ใชพ ระอุมา ชายาพระอิศวร
ยามขา้ เทยี่ วไปถงึ ท ่ี ขุนโขดครี ี
ศรีมนั ทะระงามงอน, • นางวเิ ลขา แหง เขาไวกณู ฐ เปนนางกํานัล
ของพระนารายณ
51
• นางเมนะกาภา นางขับลาํ ขององคส โุ รดม
• นางวิมะลา หรอื วิมาลา แหง ตะกาศี
• นางวรเรณกุ าภา ธิดาทา วเกาศิกาพงศ

แหงเมอื งกานยะกุพชา
• นางทมะยันติ ธดิ าทาววิทรรภ)

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู

“ฉะนน้ั ตอ งคดิ แกไข โดยอุบายให 1 สรวง คาํ นาม ฟา สวรรค เทวดา คาํ กรยิ า เซน บชู า บน
พระองคไดสมจินดา” 2 บาดาล เปน ชอ่ื เรยี กแผน ดนิ ตา งๆ ใตแ ผน ดนิ เปน ทอี่ ยขู องบรรดานาค แทตย
ยกั ษ ฯลฯ ในไตรภมู กิ ถา กลา วถงึ พภิ พนาควา อยใู ตพ นื้ ดนิ ชมพทู วปี ลกึ ลงไป 8,000 วา
ขอ ใดเปนเจตนาของผูพดู แสดงวา บาดาลทงั้ หลายอยใู ตแ ผน ดนิ ชมพทู วปี สงู กวา ขมุ นรกทงั้ หลาย สว นในบทละคร
1. ผูพดู ตองการใหค วามชวยเหลือ เรอ่ื งรามเกยี รตก์ิ ลา วถงึ เหตกุ ารณท เี่ มอื งบาดาลไวอ กี ตอนหนง่ึ เมอ่ื ทา วไมยราพไดค รอง
2. ผูพ ดู ตอ งการขอความชวยเหลือ เมอื งบาดาลกร็ บั อาสาทศกณั ฑไ ปทาํ ศกึ กบั พระราม
3. ผูพดู ตองการแสดงปญ หา 3 ชวด เปน คาํ พอ งความหมาย มคี วามหมาย ดงั น้ี
4. ผพู ดู ตอ งการใชอุบาย
วเิ คราะหค ําตอบ จากบทประพนั ธข า งตน ตองการใหค วาม • ชอ่ื ปท ี่ 1 ของรอบปน กั ษตั ร มหี นเู ปน สญั ลกั ษณ
ชว ยเหลอื โดยการใชอบุ าย คาํ ประพันธทีส่ นบั สนุนหรือช้ีให • ผดิ หวงั ไมไ ดด งั หวงั
เห็นวา ตองการใหค วามชวยเหลือ คอื “ใหพระองคไดสมจนิ ดา” • พอ หรอื แมข องปู ยา ตา ยาย หรอื ใชว า ทวด

ตอบขอ 1.

คูมือครู 51

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Evaluate
Engage Explain Explain Expand

อธบิ ายความรู

นกั เรียนอธบิ ายเกยี่ วกับวธิ กี ารแกป ญ หาของ
จิตระรถ
• เมื่อการแนะนําหญิงงามจากทต่ี า งๆ ได้พบหนึ่งวิทยาธร เรอื งวทิ ยากร,
มีนามว่ามายาวนิ ;
แกส เุ ทษณไ มสาํ เร็จ จิตระรถแนะนาํ วิธใี ด ผ้นู ีม้ ีความรู้ชนิ เชิงชาญโยคนิ 1
(แนวตอบ จติ ระรถไดแนะนาํ มายาวนิ ซึ่งเปน
วิทยาธรตนหนึง่ ทม่ี ีความชาํ นาญใชเวทมนตร และเชีย่ วอาถรรพณว์ ิทยา,
รูจ้ ักใชโ้ ยคะนิทรา ไปผูกหทยา
สะกดจติ เรยี กผูท อ่ี ยูหา งไกลใหมาหาได แหง่ ผู้ที่อย่แู ม้ไกล,
ซ่งึ แนะใหส เุ ทษณใ ชเ รียกมัทนามาหา
ดังบทประพนั ธ อาจร่ายมนตร์เรยี กมาได.้
สุเทษณ.์ อ๊ะ! จรงิ หรอื ไฉน?
“ไดพบหนงึ่ วิทยาธร เรืองวิทยากร, จิตระรถ. ขา้ บาทได้เห็นเองแลว้
มนี ามวา มายาวิน;
ผนู ี้มีความรูชิน เชิงชาญโยคนิ สุเทษณ.์ ถ้าจรงิ เขากเ็ ป็นแก้ว!
จิตระรถ. ขา้ บาททราบแล้ว
และเชีย่ วอาถรรพณว ิทยา, จ่งึ กล้านา� ตวั เขามา
รูจ ักใชโยคะนทิ รา ไปผกู หทยา
แหงผทู ่ีอยแู มไกล, สเุ ทษณ.์ พามาดว้ ยแล้วหรือหวา?
จิตระรถ. หมอเอกนั้นมา
อาจรา ยมนตรเ รียกมาได.”) คอยอยู่ข้างนอกพระลาน.

ขยายความเขา ใจ Expand ขอไดโ้ ปรดให้ทา� การ ลองเวทชา� นาญ
ช�านถิ วายสักครัง้ .
สเุ ทษณ์. เจา้ พดู ชวนกใู ห้หวัง! แมไ้ ม่สมดัง
นกั เรียนยกบทประพนั ธจ ากวรรณคดเี รอ่ื งอ่ืนที่ ปากว่าจะทา� ฉันใด? อยู่แล้วจง่ึ ได้
แสดงใหเ หน็ ความเชือ่ เรอ่ื งเวทมนตร จติ ระรถ. ขา้ บาทเช่ือแน่แกใ่ จ เผื่อพระทรงเดช
กล้าพามาเฝา้ ทลู เกศ. ชั่วดกี ็นา่
(แนวตอบ นักเรยี นยกบทประพันธจ ากวรรณคดี ขอโปรดทดลองดูเวท,
ทมี่ ีความเชอื่ เรือ่ งเวทมนตรคาถาไดหลายเรอื่ ง เชน จะไดด้ งั พระจินตนา. แตไ่ ม่อยากทกั
ลิลิตพระลอ พระอภัยมณี ขนุ ชางขุนแผน เปนตน สเุ ทษณ.์ ดีละ, เรียกเขาเข้ามา จรงิ อยู่พอที่
ตัวอยางจากเรอ่ื งขุนชา งขุนแผน ตอน ขนุ ชา งถวาย จะลองให้เหน็ ประจักษ.์
ฎกี า เปนตอนท่พี ลายงามลอบขน้ึ เรอื นขุนชางเพอ่ื ไป (จติ ระรถถวายบังคมแลว้ เข้าโรงไป.)
ลักพานางวนั ทอง ดงั ความวา จติ ระเสน. เทวะ! ขา้ สงสัยนัก,
52 อยากทว้ งต่อหนา้ สารถ.ี
“จงึ รา ยมนตราสะกด เวทมนตรน์ ัน้ เขาอาจมี
เสอื่ มหมดอาถรรพณท ฝ่ี ง อยู จะเรียกเอาใครใครมา;
ภตู พรายนายขนุ พลวงิ่ พรา งพรู
คนผใู นบา นกซ็ านเซอะ
ทงั้ ชายหญงิ งว งงมลม หลบั
นอนควา่ํ ทบั หงายกา ยกนั เปรอะ
จปี่ ลาคาไฟมนั ไหลเลอะ
โงกเงอะงยุ งมไมส มประด”ี )
ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
เกร็ดแนะครู

ครูแนะความรเู ร่อื งการใชเ วทมนตรส ะกดใจทพี่ บในวรรณคดีไทยวา มาจาก ขอใดใชคาํ ถามเชิงวาทศิลป แมไ มสมดงั
ตัวละครทเ่ี ปนอมนุษย หมายถงึ ตัวละครท่ไี มใชเ ทพและมนุษย มอี ทิ ธฤิ ทธิ์ เกงกลา 1. เจาพดู ชวนกใู หห วงั ! เทยี มเทามทั นา
สามารถ มีอํานาจเหนอื มนุษยท่วั ไป แตตํา่ กวา เทพเจาทป่ี รากฏ ไดแ ก ยักษ ผีเสอ้ื นาํ้ อาจดลหัทยา
อสรู คนธรรพ วิทยาธร กนิ รี ภตู ผีปศ าจ และผีกองกอย ซ่งึ ตัวละครประเภทนเ้ี ปน ปากวาจะทาํ ฉนั ใด? ชว ยเปลือ้ งราํ คาญ
ตวั ละครที่ไดรับอทิ ธิพลมาจากศาสนาพราหมณ-ฮินดเู ปน สว นใหญ และจะมลี กั ษณะ 2. ฉะน้นั แมไ มอ าจหา
รปู รา งทเ่ี คยมปี รากฏมาแลว ในวรรณคดเี รอ่ื งอน่ื ๆ เชน ยกั ษ วทิ ยาธร กนิ รี เปน ตน
ครใู หน กั เรียนบอกช่อื วรรณคดีไทยท่ีมีความเชือ่ เรือ่ งเวทมนตร ฤๅกูจะกลาวชมเชย
3. ทา นมเี วทมนตรค าถา

ใครใครไดห มดฤๅไฉน?
4. หากเราจะขอใหทา น
จะไดละหรอื วา มา

นักเรยี นควรรู วิเคราะหค าํ ตอบ ขอ 1. ขอ 3. และขอ 4. ผพู ดู ถามโดยตอ งการ
คาํ ตอบ แตก ารใชคําถามเชิงวาทศลิ ป คอื การถามโดยไมต องการ
1 โยคิน เปน ภาษาสันสกฤต แปลวา ผปู ฏบิ ตั ติ ามลทั ธิโยคะ นกั บวชผูปฏบิ ตั ิ คาํ ตอบ ดังขอ 2. ท่ีผพู ดู เพยี งแตบอกเลาความตอ งการ
ตามลัทธิโยคะ
ตอบขอ 2.

52 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

แตจ่ ะบังคบั หทั ยา ให้รกั นั้นข้า นักเรียนแสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั การตดั สนิ
ยงั นกึ ระแวงแคลงนกั . ใจของสเุ ทษณท ีเ่ หน็ ดวยกับจติ ระรถ
หากเรยี กโฉมยงนงลักษณ์ มาแล้วไม่ภัก-
ดอิ ยูเ่ ป็นขา้ บทมาลย์, (แนวตอบ การท่ีสุเทษณเห็นดวยกับจิตระรถทใี่ ช
กจ็ ะกลบั กลายเป็นการ เส่อื มเกียรตวิ ิศาล เวทมนตรสะกดมทั นา เพราะคดิ วา ตนมโี อกาส
ขององค์พระจอมเทวนั . ที่จะไดรับความรกั จากมัทนา จงึ เหน็ ดว ยโดย
สุเทษณ์. เจ้าพูดถกู ทกุ ส่งิ อนั , แต่กอู ัดอนั้ ไมไ ดไตรตรองวาจะเกดิ ผลอยา งไรตามมา
อุระดว้ ยรกั รงึ ใจ, ดังความวา
ฉะน้ันถึงอย่างไรไร เพยี งแต่ใหไ้ ด้ “ดีละ, เรยี กเขาเขามา ชัว่ ดกี น็ า
จะลองใหเ ห็นประจกั ษ” )

เห็นวรพกั ตร์เลศิ งาม ขยายความเขา ใจ Expand
แห่งมัทนานงราม, ก็อาจมคี วาม
ประโมทย์มนัสสมถวิล. 1. นกั เรยี นหาบทเพลงทเ่ี กยี่ วขอ งกบั ความรกั ที่
ไมส มหวงั และการแยง ชงิ ความรกั โดยไมส นใจ
(จติ ระรถพามายาวนิ ออกมา, มายาวนิ เปน็ วทิ ยาธร นุ่งห่มหนังเสือ.) ความรสู กึ ของอกี ฝา ย
จติ ระรถ. เทวะ, นมี่ ายาวนิ มาเฝา้ บดิน- (แนวตอบ นักเรียนยกบทเพลงไดห ลากหลาย
ทะด้วยมะโนภักด.ี ข้นึ อยกู บั ความสนใจของนกั เรียน ทั้งนีน้ กั เรยี น
สเุ ทษณ.์ ขอบใจทีม่ าคราน;้ี เขาวา่ ทา่ นมี บอกเหตผุ ลประกอบการยกบทเพลงทส่ี นใจดว ย)
ซึ่งโยคะวิทยาชาญ.
หากเราจะขอใหท้ า่ น ชว่ ยเปลื้องร�าคาญ 2. นกั เรยี นรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั ลกั ษณะของ
จเทะวไดะ,ล้ อะันหเรวอื ทวว่าิทมยาา. 1 บทเพลงทเ่ี พอื่ นยกมาวา มแี นวคดิ เกยี่ วกบั ความ
มายาวนิ . ข้ารูเ้ รยี นมา รกั อยา งไร
เต็มใจจะใช้ฉลอง (แนวตอบ ครกู ระตนุ ใหน กั เรยี นทกุ คนมสี ว นรว ม
พระเดชพระคณุ ลออง ธลุ ีบาทลอง ในการแสดงความคดิ เหน็ และเรยี นรมู มุ มอง
จนเตม็ สติปัญญา. ความคดิ เหน็ ทแ่ี ตกตา งกนั เพอ่ื ใหน กั เรยี นได
สุเทษณ.์ ทา่ นมีเวทมนตร์คาถา อาจดลหทั ยา สง่ั สมความรแู ละประสบการณจ ากการอภปิ ราย
ใครใครไดห้ มดฤๅไฉน? ครงั้ น)ี้

มายาวิน. จะทูลเทวะเกรงดู ประหนงึ่ ตทู นงไป, [ภชุ งคปั ปะยาตร,์ ๑๒.]
จะงา� เง่ือน บ ทลู ไซร ้ กเ็ หมือนปดิ วิชาการ
พระจงโปรดประทานซึ่ง อภยั ขา้ จะทลู สาร,
และความจริงวิชาการ กม็ อี ยู่ประจา� ตน.
อถรรพเ์ วทะเจนอย่,ู และมนตร์ครูกไ็ ด้สน

53

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู

“ฉะนนั้ ถงึ อยางไรๆ เพยี งแตใ หไ ดเ ห็นวรพกั ตรเ ลิดงามแหงมทั นา 1 เวทวิทยา ความลว งรใู นพระเวท ซงึ่ พระเวทเปน คมั ภรี ทางศาสนาที่พวก
นงรามก็อาจมคี วามประโมทยม นัสสมถวลิ ” พราหมณไ ดร วบรวมข้นึ จากบทเพลงสวดในเวลาทําศึกและการสังเวย เรียกวา
“ฤคเวท” โดยไดพ ูดถงึ สภาพสังคมของชาวอารยนั พง่ึ มาจารึกเปนตวั อักษรหลังการ
ขอความขา งตน ใชค ําประพันธในขอใด ปรนิ ิพพานของพระพุทธเจารวมพนั ปแ ลว จากฤคเวทพวกพราหมณไ ดข ยายเปน
1. รา ยสุภาพ 4 คัมภีร เรยี กวา “จตุเพทางคศาสตร” ไดแก
2. กาพยฉ บงั 16
3. อนิ ทรวเิ ชยี รฉันท 11 • ฤคเวท บทสวดสรรเสรญิ เทพเจา
4. กาพยสุรางคนางค 28 • สามเวท บทสวดออนวอนในพิธบี ชู ายญั ตางๆ
วิเคราะหคําตอบ ขอ ความขา งตนเปน ลักษณะคําประพันธ • ยชรุ เวท บทเพลงขับสาํ หรบั สวดหรือรอ งเปน ทาํ นองบูชายญั
ประเภทกาพยฉ บัง 16 จํานวน 2 บท ซ่งึ หมายความวา แตละบท • อาถรรพเวท วา ดว ยอาคมทางไสยศาสตร เปนคมั ภรี ทีก่ ลา วถงึ ในเร่อื ง
มจี าํ นวนคาํ 16 คาํ แบง เปน 3 วรรค วรรคแรกมี 6 คํา วรรคท่ีสอง

มี 4 คาํ และวรรคที่สามมี 6 คาํ ตอบขอ 2.

คมู ือครู 53

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู

นักเรยี นอธิบายเกีย่ วกบั ตัวละคร “มายาวนิ ”
และตอบคําถาม
(แนวตอบ มายาวินเปนวทิ ยาธรท่เี ช่ียวชาญใน มโนจ�าและซ�า้ ค้น คดเี พม่ิ บ เคลมิ้ หลง.

เวทวทิ ยา โดยเฉพาะอาถรรพเวท ดังวา ฉะน้ันอาจจะผกู จติ - ตะใครไดป้ ระดจุ จง,

“พระจงโปรดประทานซึง่ อภยั ขา จะทลู สาร, และใชโ้ ยคะแล้วคง จะเรยี กใหต้ ระบงึ มา

และความจรงิ วชิ าการ กม็ อี ยปู ระจาํ ตน. บ นานแม้จะอยู่ถงึ ณ เขาจกั กะวาฬา,

อถรรพเ วทะเจนอย,ู และมนตรครกู ไ็ ดสน ฤ อยสู่ รวง ฤ อยนู่ า- คะโลกต�่า ณ บาดาล.

มโนจาํ และซาํ้ คน คดเี พม่ิ บ เคลม้ิ หลง.”) จะเปน็ หญิง ฤ เปน็ ชาย กเ็ รยี กดายมิยากนาน,

• เวทมนตรทม่ี ายาวนิ จะทํานนั้ มีอํานาจอยา งไร เพราะใครเลยจะทนทาน พระอาถัพพะมนตรไ์ หว.

(แนวตอบ เวทมนตรของมายาวินสะกดจิตให ฉะน้นั แมพ้ ระองคม์ ี ประสงค์ให้ดนไู ซร้

คนท่ีตองการพบมาหาไดโ ดยเรว็ ไมวาจะอยู ประชุมมนตระเรยี กใคร ก็โปรดมพี ระบญั ชา.

รอบโลก สวรรค หรอื บาดาล ไมวา จะเปน ชาย สเุ ทษณ.์ อผูเ้นั ลตศิ ัวเเลรอาสนร ี้ จริต ใจนอ่ ชอน้ั ยก่ทู า่ี มโาฉ มพมะะจทร1ะฟนาาก,ฟ า้ บ ่ มใี ครท นั [สุรางคณา, ๒๘.]
หรอื หญิง ก็สามารถทําไดโ ดยงาย เพราะไมม ี

ผูใดจะทนฝนมนตรส ะกดนไ้ี ด) ต้ังแตเ่ รามา เกิดในฟากฟ้า พภิ พภูมสิ วรรค์,

เราเหน็ ต้องจิต คดิ อยากเชยขวญั แต่โอ้นางน้ัน

ขยายความเขา ใจ Expand หล่อนไมป่ ลงใจ.

นกั เรียนรวมกนั อภิปรายเกยี่ วกับความรกั กับ 54 มายาวนิ . ขา้ บาทเล็งดู ด้วยญาณกร็ ู้ นางนคี้ ือใคร,
การเสยี่ งทาย ดดู วง พ่ึงคุณไสย เปน การกระทาํ ท่ี อีกทง้ั รู้เลศ วา่ เหตไุ ฉน นงรามจ่งึ ไม่
ไมดีเพราะเหตใุ ด
ปลงใจยนิ ดี.
(แนวตอบ ความรักควรเกิดจากความสมคั รใจ
ยินยอมของทงั้ สองฝาย การพงึ่ เวทมนตรค าถา สุเทษณ.์ ร้วู า่ อย่างไร?
ดงั ทสี่ ุเทษณใ หม ายาวินทาํ น้นั เปนการบังคบั ฝนใจ มายาวนิ . หากทูลความไซร ้ จงโปรดปราน.ี
มทั นาใหตอบสนองตามที่ตนตอ งการ ซึ่งเปน ส่ิงที่ สุเทษณ.์ เอาเถดิ อยา่ เกรง, เรง่ บอกบดั น ้ี มีเหตรุ า้ ยดี
ไมถ กู ตอ ง) จงเล่ามาพลัน.

มายาวนิ . เมือ่ คร้ังพระองคเ์ ป็น วรราชะราชนั [อนิ ทะวิเชยี ร, ๑๑.]

ครองเขตประเทศขณั - ฑะวสิ ุทธิปัญจาล,

ตรัสใชอ้ มาตย์เป็น วรฑตู ะทูลสาร

ถึงราชะผผู้ า่ น นรชาตส์ิ ุราษฎรง์ าม,

ขอองคธ์ ดิ าชื่อ มะทะนาวไิ ลราม

เป็นราชนิ ตี าม วรราชประเพณ;ี

แตท่ ้าวสรุ าษฎรไ์ ซร้ บ มยิ อมและยนิ ดี

ใหซ้ งึ่ พระบตุ ร,ี พระก็ทรงพระโกรธา.

นกั เรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ

1 กามาพะจร เปน ภาษาบาลี มาจาก กาม+อวจร ซงึ่ “อสจร” แปลวา แดน นกั เรยี นอา นเนอ้ื เรอ่ื งบทละครพดู คาํ ฉนั ท เรอ่ื ง มทั นะพาธา แลว
บรเิ วณ เขต หรอื อาจเรยี กวา กามาพจรสวรรค เปน สถานทเี่ ลศิ ดวยดีดว ยกามคุณ ยกบทประพนั ธท ส่ี ะทอ นใหเ หน็ เกย่ี วกบั ความเชอ่ื ของคนในสงั คม
ทงั้ 5 หรอื โลกของเทวดา หมายถึง สวรรคท ยี่ ังเกี่ยวขอ งในกาม มี 6 ช้ัน คือ 1 เรอ่ื ง บนั ทกึ ลงในสมดุ และนาํ มาแลกเปลย่ี นเรยี นรกู นั ในชน้ั เรยี น

1. จาตมุ หาราชิกา กิจกรรมทา ทาย
2. ดาวดงึ ส
3. ยามา นักเรยี นอา นเนื้อเรือ่ งบทละครพูดคาํ ฉันท เรอ่ื ง มทั นะพาธา
4. ดสุ ิต แลวระบคุ วามเช่อื ท่ปี รากฏในเรอื่ ง 1 เรื่อง จากนน้ั ศึกษาคน ควาวา
5. นมิ มานรดี มวี รรณคดเี รอ่ื งใดบา งทม่ี คี วามเชอ่ื ดงั กลา ว โดยยกบทประพนั ธ
6. ปรนิมมติ วสวัตดี ประกอบ บันทกึ ลงในสมดุ และแลกเปล่ียนเรียนรูก นั ในชน้ั เรียน

54 คูม อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Evaluate
Engage Explain Expand Explain

ตรัสเกณฑพ์ หลกอง อธบิ ายความรู
ยกไปประชติ รา-
โจมตบี รุ ีป่น ชจตะบรุ งรุ ควี ะโรเสดนมา.21 นกั เรยี นอธบิ ายเกย่ี วกบั ส่ิงท่ีมายาวนิ เลาให
จบั ได้นโรดม สเุ ทษณฟงเรือ่ งความหลงั เมอื่ ภพชาตกิ อ น
จง่ึ มพี ระโองการ บ ่ มิทนทลายล่ม,
แตห่ ากธดิ ามา นรนาถสรุ าษฎร์มา; (แนวตอบ ในอดีตกาลสเุ ทษณเทพบตุ ร คือ
ยอมเป็นวะธบู าท จะประหารพระชวี า, กษตั รยิ แ หง แควนปญจาล สว นมทั นาเปนพระธดิ า
ไถโ่ ทษะชีวนั และประนอมมโนฉันท,์ ของกษัตริยแหงแควน สุราษฎร สเุ ทษณห ลงใหลนาง
ฝา่ ยนางกย็ อมตาม บริจารกิ านนั ท์. จงึ ไดส ง ทตู ไปสขู อนาง แตท า วสรุ าษฎรไ มย กให
พอ่ รอดพระชนมา กจ็ ะงดพระอาญา. สเุ ทษณจ งึ ยกกองทพั ไปตบี า นเมอื งของทา วสรุ าษฎร
ครั้นนางเสดจ็ ถงึ วรราชะบญั ชา, จนยอยยบั และจับทา วสรุ าษฎรม าเปน เชลยกอนจะ
กม้ เกศและกราบท่ ี กเ็ พราะลูกสภิ ักดี. ตดั สินประหาร แตม ทั นาไดท ลู ขอชีวิตพระบิดาไว
แลว้ ทูลแถลงโดย วรมาละกาศรี โดยยอมเปน บาทบรจิ าริกาของสเุ ทษณ ทําใหท า ว
ว่าองค์พระนงคราญ ทวบิ าทพระภูบาล, สุราษฎรอดชีวิต จากน้ันนางก็ไดป ลงชีวิตตวั เอง
แตไ่ ด้ปะฏญิ ญา สริ ิสจั จะวาทหวาน และไดม าเกดิ เปน ขา รบั ใชบ นสวรรค สว นสเุ ทษณเ อง
ว่าจักมิยอมให้ บ มอิ ยากจะขัดไท้, กท็ ําพลกี รรมจนสาํ เร็จไดเกดิ บนสวรรคแ ละไดม า
คร้งั นแี้ หละสดุ แสน วรสจั จะมนั่ ไว้ พบกบั มทั นา แตด ว ยกรรมท่ีทาํ ตอ มทั นาในอดีต
เพราะว่าบดิ ารกั นรฝืนฤดีรัก. ทาํ ใหนางยงั คงปฏิเสธสเุ ทษณเชน เดมิ )
จ่งึ ยอมถวายตวั จะประดักประเดดิ นัก,
ขององคช์ นกนา- จะ บ รอดพระชนมา, ขยายความเขา ใจ Expand
เสรจ็ กจิ จะการด ี และกไ็ ถพ่ ระโทษา
กราบบาทยุคลตน ถะ บ ตอ้ งมลายชนม.์ นกั เรยี นอธบิ ายเกย่ี วกบั ความเชอ่ื เรอ่ื งพรหมลขิ ติ
วา่ พลางยุพาชัก กรณียะเปน็ ผล, หรอื การเกดิ มาคกู นั พรอมแสดงความคิดเห็นใน
แทงตรงพระทรวงตาย มะทะนาจะลาตาย. ประเด็นตอไปนี้
ตายแลว้ ก�าเนิดใน วรขคั คะแพรวพราย
ฝา่ ยองค์พระภมู ี เฉพาะพกั ตร์พระภูม.ี • พรหมลขิ ติ มีความหมายอยา งไร
จนได้สา� เรจ็ ผล สรุ ภพพศิ ษิ ฎ์น;ี้ (แนวตอบ พรหมลิขติ หมายถึง อาํ นาจที่
มาพบและรกั กัน กบ็ า� เพญ็ พะลกี รรม,์ กําหนดความเปน ไปของชวี ติ ถือกันวา
แต่กรรมพระท�าไว ้ จรดล ณ แดนสวรรค์ พระพรหมเขียนไวท่หี นา ผากของเด็กซึง่ เกิด
เพราะวะเคยสิเนหา. ได 6 วนั )
ณ พระชาติอ์ ดีตมา
• นกั เรยี นเช่อื เก่ียวกบั พรหมลขิ ิตหรอื การเกิด
มาคูกันหรอื ไม อยา งไร
(แนวตอบ นกั เรยี นตอบไดห ลากหลายข้ึนอยู
กับเหตุผลของนกั เรยี นแตล ะคน)

55

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู
ขอ ใดไมใช แนวคิดเก่ยี วกบั คา นยิ มในสงั คมไทย
1. จึง่ ยอมถวายตวั และก็ไถพ ระโทษา ครใู หน ักเรยี นทํากิจกรรมเก่ยี วกับแนวคดิ เร่อื งพรหมลขิ ิตเพม่ิ เตมิ โดยให
ขององคช นกนา- ถะ บ ตอ งมลายชนม นักเรยี นเขียนแสดงความคิดเห็นเรอ่ื ง “กรรมลิขติ ” ซ่ึงเปนแนวคิดทีเ่ ปนคติทาง
2. มาพบและรักกัน เพราะวะเคยสิเนหา พระพุทธศาสนา โดยโยงถึงเรือ่ งเกยี่ วกบั ความรกั การทเ่ี กิดมาแลว ไดม าพบกนั
แตกรรมพระทําไว ณ พระชาติ์อดีตมา แตไ มไดครองคกู นั เก่ียวกบั เรื่องกรรมลิขิตหรือไม อยา งไร
3. แลว ทูลแถลงโดย สริ ิสจั จะวาทหวาน
วาองคพ ระนงคราญ บ มิอยากจะขดั ไท นกั เรียนควรรู
4. ฝายองคพระภมู ี ก็บาํ เพ็ญพะลีกรรม
จนไดส ําเร็จผล จรดล ณ แดนสวรรค 1 จตุรงคะเสนา ปกติเขยี นวา จตรุ งคเสนา มาจาก จตรุ งค+เสนา หมายถงึ
กองทัพมกี ําลัง 4 เหลา คือ เหลาชาง เหลา รถ เหลา มา เหลาราบ หรอื จตุรงคินีเสนา
วเิ คราะหค ําตอบ แนวคดิ ท่ีปรากฏในบทประพันธ มดี ังน้ี ขอ 1. 2 วโรดม อา นวา วะ-โร-ดม เปน ภาษาบาลี มาจาก วร+อตุ ตฺ ม แปลวา ประเสรฐิ สดุ
ความกตญั ู ขอ 2. เวรกรรม ขอ 3. การพูดจาไพเราะออนหวาน
สวนขอ 4. การทําพลกี รรมไมใชคานิยมของสงั คมไทยที่นบั ถือ คมู อื ครู 55

พระพทุ ธศาสนา ตอบขอ 4.

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา าใจใจ ตรวจสอบผล
Explore Evaluate
Engage Explain Explain Expand

อธบิ ายความรู

นักเรยี นอธิบายเกีย่ วกับพิธกี รรมท่มี ายาวินทาํ
วา สะทอนความเช่ืออยา งไร ขอ้ งขัดและขวางหน้า บ่ มิใหพ้ ระสมจนิ ต.์
(แนวตอบ พิธกี รรมทมี่ ายาวนิ ทําสะทอนใหเห็น อนั ถอ้ ยดนูทลู ฤ กส็ จั จะทงั้ ส้ิน,
ขอองค์พระผปู้ นิ่ สรุ เทวะปรานี.
ความเชอื่ ในศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดใู นสงั คมไทยท่ี สเุ ทษณ์. ท่ีทา่ นเลา่ ไซร้ เราขอขอบใจ ทที่ ่านไมตร,ี [สุรางคณา, ๒๘.]
สบื ทอดมาแตโ บราณ ศาสนาพราหมณเขา มาปะปน และเราขอเพยี ง เส่ยี งเคราะหด์ ทู ี เผอื่ โชคจะมี
อยูใ นคตคิ วามเชื่อและวฒั นธรรมไทยหลายรปู แบบ ดีได้สกั ครา.
ดังนี้
มายาวิน. แลว้ แต่จะโปรด, ไม่ทรงพิโรธ ก็บุญหนกั หนา;
• ความเชอื่ ในเทพเจา มเี ทพเจาหลายองคใน ขอประทานไฟ จะไดบ้ ชู า.
ศาสนาพราหมณท่ีกลายมาเปน ที่เคารพนับถือของ
ชาวไทย เชน พระพรหมทค่ี นไทยนิยมไปกราบไหว จิตระรถ. (ร้องตะโกนสัง่ ไปในโรง.) เอ1าของออกมา ตามท่ีส่งั ไว้.
บนบาน พระอศิ วร พระพิฆเนศวร เทพแหงศิลปะ
หรือพระอนิ ทร ซึง่ ปรากฏในวรรณคดไี ทยหลายเร่ือง (คนใช้นา� เคร่ืองท�าพิธีออกมา, คือบายศรี ๑, หวั หม,ู เปด็ , ไก,่ มะพร้าวออ่ น, ขนั เหม
อยางไรก็ตาม หากพิจารณาจากคณุ ลักษณะเฉพาะ สา� หรบั จดุ ไฟ, และเทยี นชะนวนจดุ ไฟพรอ้ ม; ของเหลา่ นเี้ อาไปตงั้ ตรงหนา้ มายาวนิ , และมคี น
ของเทพแตล ะองค ตามตํานานเทวกําเนิดแลว เอาหญ้าคามาทอดแล้วเอาหนังกวางปูบนหญ้าคาเป็นอาสนะ มายาวินขึ้นนั่งขัดสมาธิ์บน
กจ็ ะพบวาอปุ นสิ ัยของเทพเหลา น้ี สะทอนถงึ ภาวะ อาสนะ, จุดไฟในขันเหม, แล้วกล่าวค�าบูชาตอ่ ไปน้.ี )
หมนุ เวยี นของโลก โดยเรม่ิ จากพระอศิ วร ซึ่งมักให
พรคนท่บี ําเพ็ญตบะแกก ลา ผไู ดรับพรกม็ ักลืมตวั ใช [สทั ทฺ ลุ ลฺ วิกฺกิฬิต, ๑๙.]
อิทธฤิ ทธ์ิ กอความวุน วาย ความทุกขร อ นแกสังคม
จนพระนารายณตองลงมาปราบดว ยวธิ ลี างโลกดวย มายาวนิ . โอมบงั คมพระคเณศะเทวะศิวะบุตร ์ ฆ่าพฆิ ฺนะส้นิ สุด ประลยั ;
ไฟประลยั กัลป ตอ จากนน้ั พระพรหมกจ็ ะสรางโลก อ้างามกายะพระพรายประหนึง่ ระวอิ ทุ ยั , กอ้ งโกญจะนาทให้ สะหรรษ์;
ขึน้ ใหมห มุนเวียนไปเชน น้ี เป็นเจ้าสปิ ปะประสทิ ธิ์วิวธิ ะวรรณ วิทยฺ าวเิ ศษสรร-พะสอน;
ยามข้ากอบกรณีย์พิธมี ะยะบวร, จงโปรดประทานพร ประสาท,
• ความเชื่อในเร่ืองเวทมนตรค าถา ยนั ต โอมนารายะณะเทพเถลิงอุระคะอาสน์, ขขี่ นุ สุบรรณร์ าช จรัล;
ความเช่ือในโชคลาง และการดฤู กษย าม เปนตน ) ถอื ศงั ข์จักระคะทาธรณผิ ัน ปราบยักษะกมุ ภัณฑ ์ มะลาย;
เช่ียวชาญโยคะวธิ พี ระพรี ะอภปิ ราย ดลกจิ จะทงั้ หลาย สะมิทธ.์ิ
ยามข้ากอบกรณยี ์พธิ ีมะยะวจิ ติ ร ์ จงสมมะโนสทิ -ธิเทอญ.

(พณิ พาทยท์ �าเพลงสาธุการ. มายาวินไหวบ้ ูชาสีท่ ศิ , แล้วร่ายมนตร์ตอ่ ไป.)

ขยายความเขา ใจ [วิชชฺ ุมฺมาลา, ๘.]
อ้าสองเทเวศร์ โปรดเกศขา้ บาท ทรงฟงั ซ่ึงวาท ที่กราบทลู เชญิ ,
Expand โปรดชว่ ยดลใจ ทรามวยั ใหเ้ พลนิ จนลมื ขวยเขนิ แลว้ รบี เร็วมา.
ดว้ ยเดชเทพไท้ ทรามวัยรูปงาม จงไดท้ ราบความ ขา้ ขอนี้นา,
นกั เรยี นยกตัวอยา งพธิ ีกรรมตา งๆ ของศาสนา แมค้ ดิ คัดขนื ฝนื มนตร์คาถา ขอให้นิทรา เขา้ สงึ ถึงใจ
พราหมณ- ฮินดูทีพ่ บในสังคมไทย มาเถดิ นางมา อยา่ ช้าเชอ่ื งช้อย ตขู า้ นีค้ อย ตอ้ นรับทรามวยั ,

(แนวตอบ พธิ ีกรรมตางๆ เชน พธิ โี ลช งิ ชา
ซงึ่ เปน พธิ กี รรมตอ นรบั เทพเจา ของพราหมณ อ้านางโศภา อย่าชา้ มาไว ตูขา้ สั่งให้ โฉมตรูรีบจร.
พธิ แี รกนาขวญั พธิ ีดืม่ นํา้ พระพิพัฒนส ตั ยา พธิ ีขอฝน โฉมยงอยา่ ขัด รีบรดั มาเถดิ ขืนขัดคงเกิด ในทรวงเร่ารอ้ น,
พิธสี ะเดาะเคราะห การตง้ั ศาลพระภมู ิ ตลอดจน มาเรว็ บดั นี้ รีบลลี าจร มาเร็วบังอร ข้าเรียกนางมา.
พธิ ีกรรมตางๆ ท่ีใชน้าํ เปน สว นประกอบสาํ คญั เชน 56

การรดนา้ํ มนต รดนาํ้ สังขในพิธแี ตงงาน การเจิมแปง ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
กระแจะ เปนตน )

นกั เรียนควรรู

1 บายศรี คําวา “บายศร”ี เกิดจากคาํ 2 คาํ รวมกัน คอื “บาย” เปน ภาษาเขมร “ทท่ี านเลาไซร เราขอขอบใจ ท่ที านไมตรี,
แปลวา ขา ว และคําวา “ศร”ี เปนภาษาสนั สกฤต แปลวา มง่ิ ขวญั สิริมงคล และเราขอเพียง เส่ยี งเคราะหด ทู ี เผ่ือโชคจะมดี ไี ดส กั ครา.”
รวมความแลว “บายศร”ี ก็คือ ขา วขวัญหรอื ขา วที่มสี ริ มิ งคล เราจึงพบวาตัวบายศรี
มักจะมีขา วสกุ เปน สว นประกอบ คําประพันธข า งตน สะทอ นความเชอื่ เร่ืองใด
1. จับยามสามตา เชือ่ โชคลาง จันทรกะลา ศูนยกะลา
ประวตั ิความเปนมาของบายศรีน้ันไมม หี ลักฐานแนน อน แตมีขอ สนั นิษฐาน 2. เชอื่ ถือโชคลาง เสย่ี งโชค เสยี่ งเคราะห
วา นาจะมีมาตัง้ แตสมยั อยธุ ยาแลว เนื่องจากมกี ารกลาวถึงบายศรีในวรรณกรรม 3. เชื่อดวงชะตาราศี ตาดไี ดต ารายเสยี
มหาชาติคําหลวง กณั ฑม หาราช ซึ่งแตง ในสมัยอยุธยาวา “แลว ธ กใ็ หบอกบายศรี 4. เสี่ยงเคราะห ทํานายโชคชะตาราศี

บอกม่งิ ” อีกท้งั ศิลปวตั ถุตูลายรดนาํ้ สมยั อยุธยากป็ รากฏเรื่องราวเกีย่ วกบั บายศรี วิเคราะหค าํ ตอบ จากบทเจรจาขางตน จะเห็นไดว าผพู ดู มี
อยางไรกด็ ี เชอ่ื วาบายศรนี นี้ าจะไดคตมิ าจากพราหมณแ นนอน เพราะบายศรี เจตนาท่ีจะเสย่ี งเคราะห โดยหวังวาจะโชคดีสมประสงคในสงิ่ ที่
ตองใชใบตองเปน หลัก ซึ่งตามคตขิ องพราหมณเช่ือวาใบตองเปนของบรสิ ุทธิส์ ะอาด ปรารถนา ตอ งการจะเสยี่ งโชค เสีย่ งเคราะห แสดงใหเ ห็นวา
ไมม ีมลทนิ ของอาหารเกาแปดเปอ นเหมอื นถวยชาม จงึ นาํ มาทาํ ภาชนะใสอาหาร
เปน รปู กระทง ตอ มาจึงไดมีการประดบั ประดาตกแตง ใหสวยงามขนึ้ โดยทั่วไป ผพู ูดมีความเชอื่ เรอ่ื งโชคลาง ตอบขอ 2.

บายศรจี ะแบงออกเปน 2 ประเภท คอื บายศรขี องราษฎร และบายศรขี องหลวง

56 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

1 1. จากหนา 57 นกั เรยี นอธบิ ายสงิ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ กบั มทั นา
(มายาวินประนมมือและนั่งบริกรรม. พิณพาทย์ท�าเพลงตระสันนิบาต. ทุกๆ คน (แนวตอบ ส่งิ ที่เกิดขน้ึ แสดงใหเห็นวามทั นา
ต้ังตาคอยมองดู พอถึงรัวท้ายตระ มัทนาเดินออกมา, ตาจ้องเป๋งไม่แลดูใคร และกิริยา ถูกบงั คบั ใหต อ งทาํ ตามที่สเุ ทษณสั่ง โตตอบ
อาการเปน็ อยา่ งคนทย่ี งั หลบั อย,ู่ และพดู หรอื แสดงกริ ยิ าอยา่ งคนทฝี่ นั . สเุ ทษณล์ กุ จากบลั ลงั ก์ โดยไมรูสึกตวั )
ลงมาต้อนรบั ดว้ ยความยินดี, แต่ครัน้ เห็นมทั นาจังงงั อยู่ ไม่ยม้ิ แยม้ ก็ชงัก, แลว้ หันไปพูดกบั
มายาวิน.) 2. นกั เรยี นอธบิ ายลกั ษณะทางวรรณศลิ ปท โ่ี ดดเดน
สเุ ทษณ์. นางมาแล้วไซร ้ แตว่ ่าฉนั ใด จ่งึ ไมพ่ ดู จา [สุรางคณา, ๒๘.] ของเนอ้ื เรอ่ื งที่ประพันธด ว ยวสันตดิลกฉนั ท 14
มายาวนิ . นางยงั งงงวย ด้วยฤทธม์ิ นตรา, แตว่ า่ ตขู า้ จะแกบ้ ัดน้ี. ในหนา 57 น้ี
(พดู สง่ั มทั นา) (แนวตอบ มีการเลนคําในลกั ษณะการลอ ความ
ดูก่อนสุชาตา มะทะนาวไิ ลศรี, [อนิ ทะวิเชยี ร, ๑๑.] การเลนคาํ ในลกั ษณะนจ้ี ะเปล่ยี นตาํ แหนง คํา
ยามองค์สเุ ทษณ์ม ี วรพจน์ประการใด, หรือความ หรือคงตําแหนงไวแ หงใดแหงหน่งึ
นางจงท�านลู ตอบ มะธรุ ส ธ ตรสั ไซร;้ ดังบทเจรจาวา
เข้าใจมเิ ขา้ ใจ ฤ ก็ตอบพะจพี ลัน. สุเทษณ. รกั จรงิ มจิ ริง ฤ ก็ไฉน อรไท บ
มัทนา. เข้าใจละเจ้าขา้ , ผวิ ะองค์สเุ ทษณน์ นั้ แจงการ?
ตรัสมาดฉิ ันพลัน จะเฉลยพระวาที. มทั นา. รกั จรงิ มจิ รงิ กส็ รุ ะชาญ ชยะโปรดสถานใด?
สเุ ทษณ.์ อ้าโฉมวิไลยะสุปฺริยา มะทะนาสุรางคศ์ ร,ี [วสนั ตะดลิ ก, ๑๔.] จากบทเจรจาทยี่ กมาเปน ตวั อยางมีการเลน
พี่รักและกอบอภิระตี บ มเิ วน้ สเิ น่ห์หนัก; คาํ วา “รักจริงมจิ รงิ ” และลอความกัน เปน
บอกหนอ่ ยเถอะว่าดะรุณิเจา้ ก็จะยอมสมัครรัก. ประโยคคําถามเหมือนกนั ซึ่งสอดคลองกบั
มัทนา. ตูข้าสมคั ร ฤ มสิ มัคร ก็มขิ ัดจะคล้อยตาม. เนือ้ เรื่องท่มี ทั นากําลังพูดจามนึ งงเพราะถูก
สุเทษณ์. จริงฤๅนะเจ้าสุมะทะนา วจะเจา้ แถลงความ? มนตรส ะกด)
มัทนา. ขา้ ขอแถลงวะจะนะตาม สุระเทวะโปรดปราน.
สุเทษณ.์ รกั จรงิ มจิ รงิ ฤ ก็ไฉน อรไท บ ่ แจง้ การ? ขยายความเขา ใจ Expand
มัทนา. รกั จริงมจิ ริงก็สุระชาญ ชยะโปรดสถานใด?
สเุ ทษณ์. พี่รกั และหวงั วธุจะรกั และ บ ทอด บ ทง้ิ ไป. นกั เรยี นยกสํานวนเก่ียวกบั ความรกั ที่เปน
มัทนา. พระรักสมคั ร ณ พระหทัย ฤ จะทอดจะทง้ิ เสยี ? ความรกั ขางเดยี ว พรอมอธิบายความเปนมา
สุเทษณ.์ ความรกั ละเห่ียอุระระทด เพราะมิอาจจะคลอเคลีย. ของสาํ นวนท่ียกมา
มทั นา. ความรักระทดอุระละเหีย่ ฤ จะหายเพราะเคลยี คลอ?
สุเทษณ์. โอโ้ อ๋กระไรนะมะทะนา บ มิตอบพะจีพอ? (แนวตอบ นักเรียนตอบไดห ลากหลาย เชน
มทั นา. โอโ้ อ๋กระไรอะมระง้อ มะทะนามิพอด!ี รกั เขาขา งเดียวขาวเหนยี วน่ึง ซง่ึ หมายถงึ
สเุ ทษณ.์ เสียแรงสเุ ทษณ์นะประดพิ ทั ธ ์ มะทะนา บ เปรมปรีด์.ิ ตนขาวเหนียวในนาทีย่ นื ตายน่งึ เพราะขาดน้าํ
มัทนา. แมข้ า้ บ เปรมปรฺ ยิ ะฉะน ี้ ผจิ ะโปรดก็เสียแรง. มาเล้ยี งกจ็ ะตาย จงึ มปี ระโยคตอวา น้ําทว มไมถ ึง
สุเทษณ์. โอร้ ปู วไิ ลยะศภุ ะเลศิ บ มคิ วรจะใจแข็ง ตายแหงแก เปนตน )

มทั นา. โอร้ ูปวิไลยะมละแรง ละก็จ�าจะแขง็ ใจ. 57

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู

การใชเวทมนตรสะกดเพ่อื ใหอ ีกฝายรกั ตอบเปนหนทางท่คี วรทาํ 1 พณิ พาทย เปน เพลงหนาพาทย แบง ตามฐานนั ดรออกเปน 2 ชนิด คอื
หรอื ไม อยา งไร 1. หนาพาทยธรรมดา ใชบ รรเลงประกอบกริ ยิ า อารมณข องตัวละครที่เปน
แนวตอบ เวทมนตรคาถาบงั คับรา งกายได แตบังคบั จิตใจไมไ ด
โดยเฉพาะเรอ่ื งความรกั จงึ เปนเรื่องทีไ่ มควรทาํ เราไมส ามารถ สามัญชน เปน เพลงหนา พาทยไมบังคับความยาว การจะหยดุ ลงจบ หรือเปล่ยี น
เปล่ยี นใจของผอู ื่นได เราควรทาํ ใจยอมรบั ไมควรโกรธเคือง เพลง ผบู รรเลงจะตองดูทา รําของตวั ละครเปนหลกั เพลงหนาพาทยช นดิ นโี้ ดยมาก
หากความรักที่เรามใี หอกี ฝายไมสามารถมอบคืนใหได อยาได ใชกับการแสดงลิเกหรอื ละคร เชน เพลงเสมอ เพลงเชดิ เพลงรัว เพลงโอด เปน ตน
ทํารา ยคนท่ีรกั เพยี งเพราะเขาไมร กั ตอบ การใชเ วทมนตรบงั คับ
เทา กบั เปน การหลอกตวั เองวาอีกฝา ยรักตอบ กไ็ มทําใหฝายใด 2. หนาพาทยช ้นั สูง ใชบ รรเลงประกอบกิรยิ า อารมณของตัวละครผูส ูงศกั ด์ิ
มีความสขุ หรอื เทพเจา ตา งๆ เปนเพลงหนา พาทยประเภทบงั คับความยาว ผูรําจะตองยึด
ทํานองและจงั หวะของเพลงเปนหลักสาํ คัญ จะตัดใหส้ันหรอื เติมใหยาวตามใจชอบ
ไมไ ด โดยมากใชก ับการแสดงโขน ละคร และใชใ นพธิ ไี หวค รู ครอบครดู นตรีและ
นาฏศลิ ป เชน เพลงตระนอน เพลงกระบองกัน เพลงตระบรรทมสินธุ เพลงบาท
สกุณี เพลงองคพ ระพิราพ โดยเฉพาะอยางยิง่ เพลงอนงคพระพิราพ ถอื กนั วาเปน
เพลงหนา พาทยช ั้นสูงสุดในบรรดาเพลงหนา พาทยท ัง้ หลาย

คมู ือครู 57

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู

นกั เรยี นอธบิ ายผลของการใชเวทมนตรสะกด (สุเทษณ์จ้องดูนาง, แต่นางยังคงตาลอยไม่จับตาอยู่, สุเทษณ์ออกฉงน, จึ่งลองพูด
มทั นา ไปอกี .)
สุเทษณ์. หากพี่จะกอดวธแุ ละจุม- พิตะเจา้ จะวา่ ไร?
• เหตุใดสเุ ทษณจ งึ สง่ั ใหมายาวนิ คลายมนตร มทั นา. ข้าบาทจะขดั ฤ กม็ ิได้ ผพิ ระองค์จะทรงปอง.
สะกดมัทนา สุเทษณ์. ว่าแตจ่ ะเตม็ ฤดิ ฤ หาก ดนกุ อดและจบู น้อง?
(แนวตอบ เพราะเวทมนตรที่มายาวิน มทั นา. เตม็ ใจมเิ ตม็ ดนกุ ็ตอ้ ง ปฏิบัตริ ะเบยี บดี.
ใชก บั มัทนาน้นั ไมไ ดผล เห็นจากการทีม่ ัทนา (สเุ ทษณ์ไมพ่ อใจในค�าตอบของนาง, จงึ่ หันไปพูดกบั มายาวิน.)
ตอบสเุ ทษณวกไปวนมา จนทําใหส ุเทษณโกรธ สเุ ทษณ์. แนะ่ มายาวิน เหตใุ ดยพุ นิ จ่ึงเปน็ เช่นน?ี้ [สุรางคณา, ๒๘.]
สั่งใหมายาวินคลายมนตรใหมทั นา สุเทษณ ดูราวมะเมอ เผลอเผลอฤดี ประดจุ ไมม่ ี ชวี ติ จติ ใจ,
นนั้ ตองการใหมัทนารกั ตนจากใจจรงิ ใหส มกับ คราใดเราถาม หล่อนกย็ อ้ นความ เหมอื นเช่นถามไป,
ท่สี เุ ทษณรักนาง ดงั บทเจรจาวา ดังน้ีจะยวน ชวนเชยฉันใด กเ็ ปรยี บเหมือนไป พดู กับห่นุ ยนต์.
“เสียแรงเรารกั สมัครใจครนั อยากใหนางนนั้ มายาวิน. เทวะ, ท่ีนาง อาการเป็นอยา่ ง นเี้ พราะฤทธม์ิ นตร;์
สมคั รรกั ตอบ. ผกู จติ ดว ยมนตร แลวตามใจ โยคะอนั ขลงั บังคบั ไดจ้ น ใหต้ อบยบุ ล ไดต้ ามตอ้ งการ
ตน ฝายเดยี วมิชอบ, เราใฝล ะโบม ประโลม แตจ่ ะบังคับ ใครใครให้กลับ มโนวญิ ญาณ,
ใจปลอบ ใหนางนึกชอบ นกึ รักจรงิ ใจ. ฉะนน้ั ให้ชอบใหช้ งั ยืนยงั อยนู่ าน ย่อมจะเป็นการ สุดพ้นวิสัย
ทา นครู คลายเวทมนตรดู อยา ชา ร่าํ ไร, หากว่าพระองค์ มพี ระประสงค์ อยู่เพยี งจะให้
หากเราโชคดี คร้งั นค้ี งได สทิ ธส์ิ มดงั ใจ; นงคราญฉลอง รองพระบาทไซร้ ขา้ อาจผูกใจ ไวด้ ว้ ยมนตรา.
รีบคลายมนตรา.”)

ขยายความเขา ใจ Expand มใิ ห้นงรัตน์ ด้ือดงึ ขง้ึ ขดั ซ่งึ พระอชั ฌา,
บังคบั ใหย้ อม ประนอมเป็นข้า บาทบริจา ริกาเทวญั .
นักเรียนแสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ ตอไปนี้ สเุ ทษณ์. อะ๊ ! เราไม่ขอ ได้นางละหนอ โดยวธิ ีนัน้ !
• จากเร่อื งราวในอดีตกาลของสุเทษณกับ เสยี แรงเรารกั สมัครใจครัน อยากให้นางนัน้ สมคั รรกั ตอบ.
ผกู จิตด้วยมนตร์ แล้วตามใจตน ฝ่ายเดยี วมิชอบ,
นางมทั นา นักเรยี นคิดวา เหตทุ ี่มทั นา เราใฝล่ ะโบม ประโลมใจปลอบ ให้นางนึกชอบ นึกรกั จรงิ ใจ.
ไมร ักตอบสเุ ทษณเปน เพราะความแคนเคือง ฉะน้ันทา่ นคร ู คลายเวทมนตรด์ ู อยา่ ชา้ รา่� ไร,
ที่สุเทษณกระทาํ ตอบา นเมืองและบิดาของ หากเราโชคดี คร้ังน้คี งได้ สทิ ธ์ิสมดังใจ; รบี คลายมนตรา.
นางหรอื ไม อยางไร มายาวนิ . เอว� เทวะ.
(แนวตอบ จะเห็นไดวา เรอ่ื งราวในอดตี กาล (มายาวินประนมมอื แล้วรา่ ยมน1ตร์ต่อไปนี)้
มเี พยี งสุเทษณเ ทานั้นท่ีทราบเรื่องราวจาก อันเวทอาถรรพณ์ ทพี่ ันผกู จิต [วิชชฺ มุ มฺ าลา, ๘.]
มายาวิน มัทนาไมไดรดู วย ซง่ึ หมายความวา
นางปฏเิ สธความรกั ของสเุ ทษณโ ดยไมเ กยี่ วกบั แห่งนางม่ิงมิตร อยบู่ ัดนน้ี า,
ความเคยี ดแคนในอดีตกาลท่สี ุเทษณไ ด จงเคลอ่ื นคลายฤทธ์ิ จากจิตกัญญา
ทํารายนางและพระบิดาของนาง จงึ สรุปไดวา คลายคลายอย่าชา้ สวัสดสี วาหาย!
เรอื่ งราวในอดตี กาลไมใ ชเหตุทีม่ ัทนาไมรัก
สุเทษณ) 58

นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
สเุ ทษณ. โอโอกระไรนะมะทะนา บ มติ อบพจีพอ?
1 เวทอาถรรพณ เปน พระเวททสี่ ซี่ ง่ึ เขยี นขนึ้ มาในภายหลงั ประกอบดว ยบทสวด มทั นา. โอโ อก ระไรอะมระงอ มะทะนามพิ อดี!
คาถาเก่ยี วกับไสยศาสตร เปนพระเวทชนิดพิเศษเรียกวา “ฉันท” อนั มไิ ดถกู จดั ขอใดสอดคลองกับบทเจรจาขางตน
อยใู นไตรเพทเพราะไมม ีสวนเก่ียวของกบั การประกอบพิธบี ูชายัญแตอยา งใด 1. คาํ ตอบของมัทนาตรงไปตรงมา
อาถรรพเวทนถ้ี ือวาเปน ความรทู ่ปี รากฏแกพ วกพราหมณอัธวรรยุ พระเวทตอนนี้ 2. ทรรศนะของมทั นาขัดแยงกบั สเุ ทษณ
มีความเกี่ยวของกบั ไสยศาสตร บทสวดตา งๆ อันมจี ดุ ประสงคเ พอ่ื ขจดั โรคและ 3. มทั นากลาวยอกยอนเลียนคาํ สเุ ทษณ
ภยั พบิ ตั ิ ทงั้ กลาวรวมถึงหนาทขี่ องกษตั รยิ แ ละสัจธรรมขัน้ สงู 4. มัทนากลาวเนน ความตองการของตนเองมากเกินไป
วิเคราะหค าํ ตอบ จากบทเจรจาขางตน จะเห็นไดวาลักษณะ
คมั ภรี พ ระเวทแตล ะคัมภีรน ้ันจะแบง ออกเปน 2 ตอนใหญๆ คือ มันตระ การถามตอบระหวางสุเทษณและมัทนามีความยอกยอน คอื
และพราหมณะ “มันตระ” หรือ “มนตร” จะรวบรวมบทสวดท่ีกลา วถึงเทพเจา แหง นางมัทนาตอบสเุ ทษณโ ดยเลยี นคําสุเทษณ ตอบขอ 3.
ปญ ญา สุขภาพ ความมัง่ ค่งั และความมอี ายยุ ืน รวมถึงบทสวดออนวอนเพ่อื ขอ
ทาสบรวิ าร สตั วเ ลีย้ ง บุตร ชยั ชนะในสงคราม หรือแมก ระทงั่ การขอใหยกเลิก
ซึง่ บาปทงั้ ปวงอนั ไดกระทาํ ลงไป บางทีกเ็ รยี กวา สงั หติ า หมายถงึ บทสวดหรือ
มนตรท ่ีใชในการทาํ พธิ บี ชู าน่ันเอง

58 คูม อื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

(พิณพาทย์ท�าเพลงรวั มายาวินยกมือไหว้ แล้วเสกเป่าไปทางมัทนา. ฝา่ ยมทั นาคอ่ ยๆ นกั เรยี นอธบิ ายอาการของมทั นาทถี่ กู มนตรส ะกด
รู้สกึ ตัว, เอามือลูบตาเหมือนคนตน่ื นอน, และพอจบรัวกพ็ อไดส้ ติบรบิ ูรณ.์ บดั น้นี างเหลยี ว พรอ มยกบทประพันธป ระกอบการอธิบาย
แลไปเห็นสเุ ทษณก์ ็ตกใจ, ตงั้ ท่าเหมอื นจะหนีไป, แต่สุเทษณ์ขวางทางไว้.)
สเุ ทษณ์. วอชิ้ามช1ปุัทรนะาโโชฉตมอิ ฉัมาพย ร เฉิดช่วงดังสาย [ฉบงง, ๑๖.] • หลงั คลายมนตรส ะกดแลว มทั นาเปน อยา งไร
(แนวตอบ หลังจากมายาวนิ คลายมนตรส ะกด
ไหนไหนกเ็ จา้ สายสมร มาแล้วจะรอ้ น ใหม ทั นา นางหันไปเหน็ สเุ ทษณก็ตกใจและ
จะรนและรีบไปไหน? ตงั้ ทาจะหนี สเุ ทษณจ งึ รีบขวางทางไว
มทั นา. เทวะ, อันขา้ นีไ้ ซร้ มานอี่ ยา่ งไร มัทนากลา วขออภัยสเุ ทษณท ่ีตนรุกเขา มาถึง
บ ทราบส�านกึ สกั นิด; ที่อยขู องสเุ ทษณโ ดยไมรตู วั แตเ ม่ือรูวา เขา
จ�าไดว้ ่าข้าสถิต ในสวนมาลิศ2 มาเพราะถกู มนตรสะกดกโ็ กรธและตอ วา
และลมรา� เพยเชยใจ, สเุ ทษณทีท่ าํ ใหต นตองอบั อายชาวสวรรค
ท้ังหลาย แลว นางกร็ อ งไหเสยี ใจ)

แต่อยดู่ ีดที ันใด บงั เกิดรอ้ นใน ขยายความเขา ใจ Expand
อุระประหนงึ่ ไฟผลาญ,
รอ้ นจนสดุ ทที่ นทาน แรงไฟในราน3 นักเรยี นอภปิ รายในประเด็นตอ ไปน้ี
กล็ ม้ ลงสิน้ สมฤด.ี • นักเรยี นคดิ วา สเุ ทษณค าดหวงั อะไรหลงั จาก
ฉันใดมาไดแ้ หง่ นี้? หรือว่าไดม้ ี
ผใู้ ดไปอมุ้ ข้ามา? ทใ่ี หมายาวินคลายมนตรมทั นา
ขอพระองค์จงเมตตา และงดโทษข้า (แนวตอบ สุเทษณย ังมีความหวงั ใหมัทนา
ผูบ้ ุกรกุ ถึงลานใน. รกั ตอบ โดยพยายามพดู จาเกีย้ วพาราสี
สุเทษณ์. อา้ อรเอกองคอ์ ุไร พจ่ี ะบอกให้ แสดงความรักใครต อมทั นา แตน างกไ็ ม
เจา้ ทราบคดีดังจนิ ต์; ยนิ ยอม โดยลักษณะนิสยั ของสเุ ทษณม ี
พี่เองใช้มายาวิน ใหเ้ ชญิ ยพุ นิ ความหยิง่ ในศักดศ์ิ รี คอื หากนางไมยนิ ยอม
มาที่นี้ด้วยอาถรรพณ์ พรอมใจ สเุ ทษณก็ไมพอใจเชนกนั จงึ หวังวา
มัทนา. เหตใุ ดพระองค์ทรงธรรม์ จึง่ ท�าเชน่ นัน้ เมอื่ คลายมนตรแ ลว เกย้ี วพานางอาจทาํ ให
ใหข้ า้ พระบาทตอ้ งอาย รกั ตอบ ดังความวา “หากเราโชคดี คร้งั น้ี
แก่หมชู่ าวฟา้ ทงั้ หลาย? โอพ้ ระฦๅสาย คงได สทิ ธ์ิสมดังใจ; รีบคลายมนตรา.”)

พระองค์จงทรงปรานี.
(มทั นารอ้ งไห.้ พิณพาทยท์ �าเพลงโอด. สุเทษณ์ปลอบ.)
สุเทษณ์. อา้ ยอดสเิ นหา มะทะนาวสิ ทุ ธศิ รี, [อินทวงส์, ๑๒.]
อยา่ ทรงพระโศกี วรพักตร์จะหม่นจะหมอง.
พ่นี น้ี ะรกั เจ้า และจะเฝา้ ประคบั ประคอง
59

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู
“อา อรเอกองคอ ุไร พจ่ี ะบอกให
เจาทราบคดดี งั จนิ ต; ” ครูจัดกจิ กรรมการอา นบทละครพูดคาํ ฉันท เรื่อง มทั นะพาธา เพอ่ื ใหน ักเรียน
ขอใดเปน ลกั ษณะเดนของคําประพนั ธข า งตน อานวรรณคดีเร่ืองนีอ้ ยา งมีอรรถรส โดยจดั กิจกรรมเก่ียวกบั บทเจรจาในเร่อื ง
1. การเลนเสยี งวรรณยกุ ต ใหน กั เรยี นฝก อา นใสอ ารมณข องตวั ละครใหเ หมาะสม สอดคลอ งกบั เนอ้ื เรอื่ ง โดยครู
2. การเลน เสยี งสมั ผสั สระ ยกตอนใดตอนหน่งึ ในเรอื่ งทม่ี กี ารเจรจาโตตอบกันอยางนาสนใจมาเปน แบบฝก
3. การเลน เสียงสัมผัสพยญั ชนะ การอา น จากนัน้ แบงนกั เรียนใหอานออกเสียงตามบทเจรจาของตัวละครในเรือ่ ง

4. การเลน เสยี งสมั ผัสทง้ั เสยี งสระและพยญั ชนะ

วิเคราะหค ําตอบ จากคําประพนั ธขา งตนมีลกั ษณะเดน ในการ นกั เรยี นควรรู
เลน เสียงพยญั ชนะ จากวรรค “อาอรเอกองคอ ไุ ร” มีการเลน เสียง
1 วชิ ชุ หรอื วิชชุดา วชิ ชตุ า หมายถึง แสงไฟฟา สายฟา
สมั ผัสพยญั ชนะภายในวรรค เสยี ง /อ/ ตอบขอ 3.

2 สวนมาลศิ สวนดอกไม

3 ราน ในความวา “แรงไฟในราน กล็ ม ลงสิน้ สมฤดี” คือ แรงไฟทาํ ใหแตกราว
มอี าํ นาจในการทาํ ลาย
คูม ือครู 59

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู

1. นกั เรียนอธิบายลักษณะทางวรรณศลิ ปใ นตอนท่ี คชู่ ิดสนทิ นอ้ ง บ่ มิใหร้ ะคางระคาย.
สุเทษณพ ยายามเกลีย้ กลอมมัทนา พรี่ กั วะธูนวล บ ่ มิควรระอาละอาย,
(แนวตอบ บทเจรจาของสเุ ทษณใชคําประพนั ธ รอูปนั เนจา้ารวิกไิ ลบั 1รชาาวย ฤส ุรกะค็แวสรรจ้งะปรร่วะมจจติ 2ะปรรักะ.จกั ษ์,
อนิ ทวงศฉ นั ท เปน ฉนั ทท่เี หมาะกับบทระบาย
ความในใจ แสดงความอัดอ้ันตันใจ ดงั ท่ีสุเทษณ ธมาคิ ดวาร3 จธะ สร้ารง้ารงกัอ งค ์ เพราะพะธพู ิถีพิถัน;
ไดระบายความรกั มากมายของตนทม่ี ีตอ อรเพราพสิ ทุ ธสิ รรพ์
มัทนา กลาวอา งโนม นา วใจนางใหรบั ความรกั ไวเ้ พอื่ จะผูกพนั - ธนะจิตตะจองฤด.ี 4
ของตน) อันพส่ี ิบุญแล้ว
กเ็ ผอญิ ประสบสุรี
2. นกั เรียนอธบิ ายลกั ษณะทางวรรณศิลปในตอนท่ี และรักสมัครมี มนะมุง่ ทะนุถนอม.
มทั นากลา วโตต อบไมย อมรบั ความรกั ของสเุ ทษณ ขอโฉมเฉลาปลง พระฤดปี ระนีประนอม.
(แนวตอบ บทเจรจาของมัทนาใชค ําประพันธ รบั รกั และยนิ ยอม ดนรุ ักสมัครสมาน.
วสนั ตดิลกฉนั ท คือ ฉันทที่มลี ีลาประดุจ หากนางมขิ ้องขดั ประดิพัทธ์ประสมประสาน
ด่งั สายฝน มีทวงทาํ นองสละสลวย ใชพ รรณนา ทั้งสองจะสุขนาน มนะจอ่ บ จืด บ จาง.
ส่งิ สวยงาม ซึ่งเหมาะกบั บทของมทั นาท่กี ลา ว อ้าช่วยระงบั ดบั ทุขะพีร่ ะคายระคาง;
ปฏเิ สธสุเทษณดว ยความละมุนละมอ ม คอยๆ พร่ี กั อนงคน์ าง ผมิ สิ มฤดีถวลิ ,
พูดจา ระมัดระวงั ไมใ หสุเทษณโกรธเคอื งท่ตี น เหมือนพมี่ ไิ ดค้ ง วรชวี ะชีวิติน-
ตอบปฏเิ สธ) ทรยี ์ไซร้ บ่ ใฝจ่ ิน- ตะนะห่วงและห่อนนิยม.

ขยายความเขา ใจ Expand ชีพอยู่กเ็ หมอื นตาย, เพราะมิวายระทวยระทม
ทกุ ข์ยากและกรากกรม อุระชา้� ระก�าทว.ี
จากบทเจรจาของมัทนาท่ีปฏเิ สธความรกั ของ อ้าฟังดนเู ถิด มะทะนาและตอบวจี
สเุ ทษณ นกั เรียนวเิ คราะหประเดน็ คาํ ถามตอไปนี้ พอให้ดนนู ้ี สุขะรื่นระเริงระรวย.
มทั นา. ฟงั ถอ้ ยดา� รสั มะธุระวอน ดนุนี้ผเิ อออวย. [วสนั ตะดิลก, ๑๔.]
• นักเรียนคดิ วา มทั นามีลักษณะนสิ ัยอยา งไร จักเป็นมสุ าวะจะนะด้วย บ มติ รงกะความจริง.
(แนวตอบ จากการท่ีมัทนากลา วปฏเิ สธสเุ ทษณ อนั ชายประกาศวะระประทาน ประดพิ ัทธะแดห่ ญิง,
แมว าสเุ ทษณจ ะเวาวอนเพยี รพยายามขอ หญงิ ควรจะเปรมกะมะละยงิ่ ผวิ ะจิตตะตอบรกั ;
ความรกั จากนาง แตนางก็ปฏเิ สธ ซึ่งแสดงให แต่หากฤด ี บ อะภริ มย์ จะเฉลยฉะนัน้ จกั
เหน็ วา มทั นาเปน หญิงทมี่ คี วามจริงใจ เป็นปดและลวงบุรษุ ะรกั ก็จะหลงละเลิงไป.
แมจ ะกลวั แตก ไ็ มโกหก หลอกลวง แสรงวารกั ตูข้าพระบาทสิสจุ ริต บ มิคดิ จะปดใคร,
นางบอกความในใจอยางตรงไปตรงมา) จง่ึ หวงั และมงุ่ มะนะสะใน วรเมตตะธรรมา.

อันว่าพระองคก์ รณุ ะข้อย ฤ กค็ วรจะปรดี า,
อกี ควรฉลองวรมหา กรณุ าธคิ ณุ ครัน;

60

นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
“อันชายประกาศวะระประทาน ประดิพัทธะแดหญิง
1 วิไล งาม คําทม่ี ีความหมายเหมือนคาํ นี้ เชน วลิ าวณั ย วิลาส สะคราญ หญงิ ควรจะเปรมกะมะละยงิ่ ผวิ ะจิตตะตอบรกั
มาโนชญ รจเรข รจนา รุจริ า อําไพ ลออ พะงา เพรศิ เปน ตน แตหากฤดี บ อภริ มย จะเฉลยฉะนัน้ จกั
2 ประจิต สรางหรอื ทําขนึ้ มา เปนปดและลวงบรุ ุษะรัก ก็จะหลงละเลงิ ไป”
3 ธาดา พระพรหม ขอ ใดสอดคลองกับบทประพันธข า งตน
4 สรุ ี ในความวา “ก็เผอญิ ประสบสุรี” หมายถึง นางฟานางสวรรค นางผมู ี 1. ปฏิเสธความรกั ของอกี ฝาย
ความงดงาม 2. ปฏเิ สธทีจ่ ะบอกความในใจ
3. ปฏิเสธท่จี ะบอกความจริง
มุม IT 4. ปฏเิ สธคาํ สัญญา

ศึกษาเกี่ยวกบั คมั ภรี พ ระเวทตางๆ ของศาสนาพราหมณ-ฮินดเู พิ่มเติม ไดที่ วเิ คราะหค ําตอบ จากบทประพนั ธเ ปน การกลาวปฏเิ สธ
http://www.siamganesh.com/india02.html โดยกลา ววา หากตอบวา รักก็นบั วาเปนการโกหก ดงั น้ัน จึงเทา กบั

60 คูมอื ครู เปน การปฏเิ สธความรักของอีกฝา ย ตอบขอ 1.

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

ดังน้ีคะนงึ ฤ กร็ ะบม อุระแหง่ กระหมอ่ มฉนั , นกั เรยี นอธิบายเกีย่ วกับบทเจรจาของมทั นา
ทต่ี น บ อาจจะอภิวนั - ทะนะตอบพระวาจา • มัทนามนี าํ้ เสยี งอยางไรเมือ่ ปฏเิ สธความรัก
ให้ถูกประดจุ สรุ ะประสงค์, ผวิ ะทรงพระโกรธา,
หมอ่ มฉันกโ็ อนศิระ ณ บา- ทะยุคลและกราบกราน. สเุ ทษณ
สุเทษณ.์ ทหี่ ล่อนมิยินยอม มะนะรกั สมัครสมาน, [อนิ ทวงส,์ ๑๒.] (แนวตอบ แมมทั นาจะกลาวยืนยนั ปฏเิ สธ
มคี สู่ ะมรมาน อภิรมย ์ ฤ เป็นไฉน? ความรักของสุเทษณ แตน างกใ็ ชถ อยคําที่
มัทนา. หมอ่ มฉัน บ มีบุรุษผู้ ประดิพัทธะใดใด, [วสนั ตะดลิ ก, ๑๔.] ออนนอมถอมตน แสดงความซาบซึง้ ท่ีสุเทษณ
เป็นโสด บ มมี ะนะสะใฝ่ อภิรมย ์ ฤ สมรส. รกั ใคร แตห ากนางกลาวตอบรบั แสดงวานาง
สุเทษณ์. เช่นนนั้ กเ็ ชิญฟงั ดนกุ ลา่ วสิเนหะพจน์, [อินทวงส์, ๑๒.] เปนหญิงที่โกหก ซ่งึ เปน การหลกี เลี่ยงการใช
ถอยคาํ ทีบ่ ่นั ทอนความรูส ึกของอกี ฝาย)

เจ้างามประเสรฐิ หมด กม็ คิ วรฤดีจะดา� . ขยายความเขา ใจ Expand
มทั นา. หมอ่ มฉันสดบั มะธรุ ะถ้อย ก็สา� นึกเสนาะคา� , [วสนั ตะดิลก, ๑๔.]
แต่ต้องทา� นูลวะจะนะซ�้า ดุจะไดท้ า� นูลมา. ครูสุม นกั เรยี น 2 - 3 คน แสดงความคดิ เห็นใน
สุเทษณ์. นี่เจา้ มิยอมรับ รสะรักฉะนนั้ ฤ จ๋า? [อินทวงส,์ ๑๒.] ประเด็นตอ ไปนี้
ตัวฉันจะเลวสา- หะสะดว้ ยประการไฉน?
มัทนา. อ้าองค์พระผ้สู ุระวิศษิ ฏ,์ พระจะผดิ สะถานใด? [วสันตะดิลก, ๑๔.] • หากนกั เรยี นเปน สเุ ทษณเ มอ่ื เหน็ วา มทั นา
หมอ่ มฉันสิทรามเพราะ บ่ มิได้ อนวุ ตั นพ์ ระบัณฑรู . ไมรกั ตอบ นักเรียนจะทําอยางไร
สุเทษณ์. ยิ่งฟังพะจศี ร ี ทกร็ุขะะ1ตทปี ว่ รมะรมะวทลมปหระะทมยั ูล!, [อนิ ทวงส์, ๑๒.] (แนวตอบ นักเรยี นตอบไดหลากหลายขึ้นอยู
ยง่ิ ขดั ก็ยิ่งพูน สริ ิลักษะณาวไิ ล, กับประสบการณและเหตผุ ลของแตล ะคน
อ้าเจา้ ลา� เพาพกั ตร์ ครูชใ้ี หนกั เรียนเหน็ วา ความรกั ควรเกดิ จาก
พ่จี วนจะคลั่งไคล ้ สตเิ พอื่ พะวงอนงค.์ ความรสู ึกของทงั้ สองฝาย จึงจะเปน ความรกั
มทั นา. โอโ้ อ๋ละเหี่ยอรุ ะสดบั วรศัพทะทา่ นทรง [วสนั ตะดลิ ก, ๑๔.] ที่มีความสขุ )

ออ้ ยอิ่งแสดงวรประสง- คะ ณ ตัวกระหมอ่ มฉนั ;
อยากใคร่สนองพระวรสุน- ทวสะจุรเรคสิตณุ วปยอรปเะนรตกะิชนโมญฺ ั้นทา,2า3,
จนใจเพราะผดิ คติสธุ รรม์
ขอใหพ้ ระองคอ์ ะมะระเท-
หมอ่ มฉันจะขอประณตะลา สรุ ะราชลลิ าศไป.
(มทั นากราบแล้วตงั้ ท่าจะไป, แต่สุเทษณ์จับข้อมอื ไวด้ ว้ ยกริ ยิ าออกจะโกรธ.)
สเุ ทษณ์. ช้ากอ่ น! หลอ่ นจะไปไหน? [ฉบงง, ๑๖.]
มัทนา. 4 หม่อมฉนั อยไู่ ป
ก็เครอ่ื งแตท่ รงร�าคาญ
สเุ ทษณ.์ ใครหนอบอกแกน่ งคราญ ว่าพรี่ า� คาญ?
61

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู
คําประพันธในขอใดส่อื ถงึ การใหค ําม่นั สัญญา
1. อนั พส่ี บิ ญุ แลว ก็เผอิญประสบสุรี 1 ทขุ ะ ทกุ ขะ ในทน่ี ต้ี องการเสยี งลหุวา “ทุ” ซึ่งเปนพยางคแ รก
2. และรกั สมคั รมี มนะมงุ ทะนถุ นอม 2 ประติชฺญา อา นวา ประ-ตดิ -ยา หมายความวา คําม่นั สญั ญา
3. ขอโฉมเฉลาปลง พระฤดปี ระนีประนอม 3 ประโมทา คอื คาํ วา “ปราโมทย” มีความหมายวา ยนิ ดี
4. รับรกั และยนิ ยอม ดนุรักสมัครสมาน 4 เครอ่ื งแต ในความวา “ก็เคร่อื งแตทรงราํ คาญ” หมายความวา ก็มแี ตจ ะทรง
ทาํ ใหรําคาญ
วิเคราะหคําตอบ คําประพันธทสี่ อ่ื ถงึ การใหค าํ มนั่ สัญญา คอื
“และรกั สมัครมี มนะมงุ ทะนุถนอม” หมายถงึ เมอื่ รกั แลวก็จะเฝา มมุ IT
ถนอม ซง่ึ เปน ลกั ษณะของการใหคาํ สญั ญาวาจะปฏบิ ตั ดิ วย
อยา งไร ในขณะทขี่ อ 3. และขอ 4. ส่อื ถงึ การขอใหต กลงปลงใจ ศกึ ษาเกยี่ วกับเนื้อเร่ืองบทละครพดู คําฉนั ท เร่ือง มัทนะพาธาทัง้ 5 องกเพ่ิมเตมิ
ไดท่ี http://www.reurnthai.com/wiki/มัทนะพาธา
ตอบขอ 2.
คมู ือครู 61

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู

นักเรยี นตอบคาํ ถามจากประเด็นตอ ไปน้ี มัทนา. หมอ่ มฉนั สงั เกตเองเหน็ .
• นักเรยี นคิดวา เพราะเหตใุ ดมัทนาจงึ ไมตอบ สเุ ทษณ.์ เออ! หลอ่ นนีม้ าล้อเล่น! อันตัวพีเ่ ป็น
คนโง่ฤๅบา้ ฉนั ใด? ทลู อย่างจรงิ ใจ
รบั ความรักของสเุ ทษณ มทั นา. หมอ่ มฉนั เคารพเทพไท ชวนชกั ชมเชย
(แนวตอบ เหตทุ มี่ ทั นาไมตอบรับสเุ ทษณไ มใช ก็ บ มิทรงเชอื่ เลย, ธิบดีปรา-
เพราะนางกาํ ลังรักใครอยู แตเ ปนเพราะนาง กลบั ทรงด�ารัสเฉลย มากมวลแล้วไซร้
ไมไ ดรักสเุ ทษณ ไมคดิ วา ตนจะอยูครองคกู บั และชดิ สนิทเสนหา. สักกรี่ าตรี?
คนทตี่ นไมไดร ักได) พระองค์ทรงเป็นเทวา นอนโศกเศรา้ สรอ้ ย
• นกั เรียนคดิ วา สเุ ทษณน าเห็นใจหรอื ไม กฏเกยี รติยศเกรยี งไกร, สัจจาหนึง่ คอื
เพราะเหตใุ ด มสี าวสุรางค์นางใน ขอสมพาสไซร้
(แนวตอบ สุเทษณน าเหน็ ใจทท่ี กุ ขร ะทมเพราะ ในพระพมิ านมณ,ี โปรดข้าน้อยนดิ ,
รกั มทั นาอยฝู า ยเดียว แตเ ม่อื สเุ ทษณใชว ธิ ี จะโปรดปรานข้าบาทนี ้
และอาํ นาจบงั คับฝนใจมัทนาก็เปน การกระทาํ และเมอ่ื พระเบือ่ ขา้ น้อย, [กมล, ๑๒.]
ทีไ่ มนา เหน็ ใจ หากสุเทษณยอมรับกบั ความ จะมติ อ้ งนัง่ ละหอ้ ย
เจ็บปวดและเขา ใจอีกฝา ย สเุ ทษณจ ะนา ชะเงอ้ ชะแงแ้ ลหรือ? ชฤ ิชกชิ รา่ ะงบจิด�านกรรระจบาว,น1ความ.
เหน็ ใจมาก) หมอ่ มฉนั นเี้ ป็นผถู้ อื
ว่าแมม้ ริ ักจรงิ ใจ, บ มิตอบ ณ ค�าถาม,
ขยายความเขา ใจ Expand ถึงแม้จะเป็นชายใด กะละเล่นสา� นวนหวน.
กจ็ ะมยิ อมพรอ้ มจิต. จะสดับดนชู วน,
ครใู หน กั เรียนจัดกลมุ กลุมละ 3 คน แสดง ดงั นีข้ อเทพเรอื งฤทธ์ ิ ชนะหล่อนทะนงใจ.
บทบาทสมมติเปน ตวั ละคร สเุ ทษณ มัทนา และ ข้าบาทขอบงั คมลา. และสมคั รสมรไซร,้
มายาวนิ โดยเลือกเอาบทประพันธต อนท่ีมีตัวละคร สุเทษณ.์ (ตวาด) อเุ หม่! วนดิ านวิ าสสวรรค์
ทง้ั 3 ตวั น้ี มาแสดงบทบาทสมมติ ทั้งน้นี กั เรียน มะทะนาชะเจ้าเลห่ ์
เลือกตามความสนใจและแสดงแนวคดิ ของเร่ือง ตะละคา� อวุ าทา
ความรกั ทีต่ างไปจากเนอ้ื เรื่อง ดนถุ ามกเ็ จา้ ไซร้
วนิดาพยายาม
กแ็ ละเจา้ มิเต็มจิต
ผิวะให้อนงค์นวล
บ่ มยิ อมจะรว่ มรัก
กด็ ะนจู ะยอมให ้
62

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT สัจจาหน่งึ คอื
“หมอ มฉนั นเี้ ปน ผถู อื
ในการทาํ กิจกรรมการแสดงบทบาทสมมติ หลงั จบการแสดงครูใหนักเรียนที่ วาแมม ริ กั จริงใจ
แสดงเปนตวั ละครตา งๆ ในเร่อื ง คือ สุเทษณ มัทนา และมายาวิน แสดงมุมมอง ถึงแมจ ะเปน ชายใด ขอสมพาศไซร
ความรกั ของตัวละครนน้ั ๆ แสดงใหเห็นถงึ ลักษณะนสิ ยั ใจคอทีม่ ผี ลตอ การตดั สินใจ กจ็ ะมยิ อมพรอมจิต”
เร่ืองความรัก และสรปุ ใหเห็นวาความรักในลกั ษณะดังกลา วนําไปสูอะไร และ ขอ ใดกลาวถกู ตอง
นักเรยี นจะสามารถนาํ มาเปน อุทาหรณไ ดห รอื ไม 1. การวางตัวเปน กุลสตรี
2. เปนตวั อยา งหญิงไทยในดา นการวางตัว
นักเรียนควรรู 3. ไมห ลงใหลกบั คํายกยอของชายหนุม
4. มคี วามหย่ิงในศกั ด์ิศรี มจี ติ ใจม่นั คง ไมรกั ก็ไมหลอกลวงให
1 กระบดิ กระบวน เปนคํานาม หมายถึง ช้นั เชงิ เชน ทําจริตกระบิดกระบวน ฝา ยชายเขา ใจผิด
สะบ้ิงสะบัด (รา ยยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑช ชู ก) หากเปนคํากรยิ า หมายถงึ
แกลงทําชน้ั เชงิ เหมือนไมเ ต็มใจ เชน อยา กระบิดกระบวนนักเลย ในที่น้ีหมายถงึ วิเคราะหคาํ ตอบ จากบทประพันธผพู ูดกลา วถงึ ตนเองวา เปนผู
แตละคาํ ทีพ่ ูดมากล็ ว นแลว แตย อ นความไปมา รกั ษาคาํ พูด หากไมร กั จรงิ ก็ไมข อครองคูด วย หากมีชายท่ไี มไดร กั
มาขอใหรักก็จะไมยอม ซงึ่ แสดงใหเ ห็นวาผูพ ูดยึดศกั ดิ์ศรี สจั จะ
62 คมู อื ครู
และไมหลอกใหฝายชายเขาใจผดิ วา มีใจ ตอบขอ 4.

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู

ผวิ ะนางเผอิญชอบ มรอุ ื่นก็ข้าพลนั นกั เรยี นตอบคําถามจากประเด็นตอไปนี้
จะทรุ นทุรายศลั - ยะ บ ่ อยากจะยนิ ยล; • เพราะเหตใุ ดมัทนาจงึ ถกู สาปใหไปเกิด
เพราะฉะน้ันจะให้นาง จุติส่ ู ณ แดนคน,
ทมะวทบิ ะทนจาะปตรรู ะบ์ สางทค1 ์ตน จะกา� เนิด ณ รูปใด? ในโลกมนษุ ย
ฤ จะเป็นอะไรไซร้, (แนวตอบ เพราะนางปฏเิ สธความรกั
วธเุ ลือกจะตามใจ และจะสาปประดุจสรร; ของสเุ ทษณ โดยอา งวา กลวั จะเสยี ใจเพราะ
จะสถติ ฉะน้นั กว่า จะสา� นกึ ณ โทษทัณฑ์ สเุ ทษณน ั้นมีนางสนมมากมาย ซ่ึงสุเทษณ
และผวิ อนดนพู ลัน จะประสาทพระพรให้ รวู า เปนเพยี งการกลา วอา งทน่ี างไมร ักตน จึง
วนดิ าจรลั กลับ ณ ประเทศสรุ าลยั ; ลงโทษมทั นาใหน างไดร บั รูความทกุ ขทรมาน
ก็จะชอบสะถานใด วธตุ อบดนมู า. จากความรกั โดยใหนางไปเกิดในโลกมนุษย
มัทนา. อา้ เทพศกั ด์ิสิทธ์ิซง่ึ พระจะลงพระอาญา, [สาลินี, ๑๑.] และใหมัทนาเปน ผเู ลอื กเองวา จะเกดิ เปน
ข้าเปน็ แตเ่ พยี งข้า บ มมิ งุ่ จะอวดดี. อะไร)
หมอ่ มฉนั นอ่ี าภัพ และกโ็ ชค บ่ พึงมี, • นางมทั นาตองการเกิดเปนอะไร
วรบาทพระจอมแมน. (แนวตอบ นางมัทนาตอ งการเกิดเปน ดอกไม
จะประจบและตอบแทน ท่ีมีกลนิ่ หอมระรวยเพื่อบชู าจอมเทพ)
คณนาประมวลมี.
จึง่ ไมไ่ ด้รองศร ี ฤดขิ ้า ณ บดั น้ี. ขยายความเขา ใจ Expand
อันทรงเมตตาควร รุจเิ รขวิไลวรรณ,
คุณทา่ นท่มี ากแสน จะประสทิ ธ์ิประสาทพนั ธ์ุ
อนั โปรดใหเ้ ลอื กตาม ธะระรน่ื ระรวยหอม. นักเรียนรว มกันแสดงความคิดเหน็ ในประเด็น
ขอเป็นซ่ึงมาล ี กจ็ ะได้ประณตน้อม ตอไปนี้
สุดแทแ้ ตจ่ อมสรวง สุระบ่มบ�าเพญ็ บุญ,
ขอเพยี งให้มีคนั - • นกั เรียนคิดวา นอกจากดอกกุหลาบแลว
ดว้ ยกลนิ่ ของขา้ บาท แมลรทุะปรงรพะรโยะชกนาร ์ บญุ ่ .อยหู่ มัน2. มีสิ่งใดบางทมี่ ทั นาควรไปเกดิ ใหตอ งประสงค
ใจนติ ยบ์ ชู าจอม ของสุเทษณ
ข้าขอแต่เพียงให้ เราจะยอมสรร- [ฉบงง, ๑๖.] (แนวตอบ นกั เรียนตอบไดห ลากหลายขน้ึ อยู
ใหข้ า้ ไดท้ �าคณุ นางนถี้ วลิ กับเหตผุ ลของนกั เรยี น ครเู นนใหน ักเรียน
สุเทษณ.์ ทเ่ี จ้างอนง้อขอน้นั ท่งี ามทั้งสี เขา ใจเพิ่มเตมิ วา ประสงคของสุเทษณ คือ
พะสิทธดิ งั ใจจินต์. ตองการใหนางไดป ระสบพบเจอความรัก
ดรู าทา่ นมายาวนิ , เพอ่ื ใหนางรบั รูวา ความทุกขท รมานจาก
ความรักท่ไี มสมหวงั เปน อยา งไร)

จะถอื รปู เป็นมาล.ี
กบ็ ุปผาอยา่ งใดมี
อีกท้งั มีกล่นิ สง่ ไกล?

63

“ขอเปนซ่ึงมาลี ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู
รจุ เิ รขวิไลวรรณ”
“ขอเพยี งใหม คี ัน- ธะระร่ืนระรวยหอม” ครูใหนกั เรียนรวมกนั แสดงความคดิ เหน็ เกี่ยวกับดอกไมตางๆ ที่สามารถใช
“ใจนิตยบ ูชาจอม สุระบมบําเพญ็ บุญ” เปน สญั ลกั ษณข องความรัก และใหน ักเรียนรวบรวมชื่อดอกไมท ่มี คี วามหมาย
“ใหขาไดท ําคุณ และประโยชน บ อยูหมัน” โดยอธิบายลักษณะดอกไมทีน่ กั เรยี นรวบรวมมา ชว ยกนั พิจารณาวา เหตใุ ดจึงมี
ขอใดสอดคลองกับขอ ความขางตน การใหความหมายเชน นัน้ เชน ดอกเขม็ มีความหมายวา ปญญาฉลาดหลกั แหลม
1. ควรทาํ สง่ิ ที่เปนคุณประโยชนแ กตนเองและผูอ นื่ ท้ังน้ีเพราะดอกเขม็ มลี ักษณะเปน ชอดอกเลก็ ๆ มีความยาวเรียวแหลมเหมอื นเขม็
2. ควรสรา งบญุ กศุ ลดวยการชว ยเหลอื ผูอืน่
3. ควรขยนั ทาํ งาน อยา มวั อยูเ ฉย นักเรียนควรรู
4. ควรทําประโยชนใ หแ กส ังคม
1 ทวิบทจะตูรบ าท ทวบิ ท แปลวา สัตวส องเทา และจะตรู บ าทหรอื จตรุ บาท
วเิ คราะหค ําตอบ จากบทประพันธ หมายความวา นอกจากจะ แปลวา สัตวส เี่ ทา
ขอเปน ดอกไมที่งามแลว ขอเปน ดอกไมท่มี ีกลนิ่ หอมดว ย จะมีใจ 2 อยหู มนั อยอู ยา งไมมีประโยชน
บูชาองคเทพ ใหไ ดท าํ คุณประโยชน ไมอยูเ ฉย ดังน้ัน เนื้อความ
ขางตนจึงสอดคลองกบั ขอ 1. ควรทาํ สิง่ ทเี่ ปนคุณประโยชนแก คูม ือครู 63

ตนเองและผูอน่ื ตอบขอ 1.

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู

ครูสุมนักเรยี นใหวเิ คราะหค ําประพันธตอไปน้ี แตต่ อ้ งใหม้ ีหนามไว ้ ปอ้ งกนั มใิ ห้
“แตตอ งใหม หี นามไว ปอ งกันมิให เหล่าเดรจั ฉานผลาญยับ.
เหลาเดรจั ฉานผลาญยบั .” มายาวนิ . เทวะ! อนั ไมง้ ามสรรพ มลี กั ษณ์ต้องกบั
จากคํากลาวของสุเทษณ ใหนกั เรยี นวิเคราะห ใพนรนะนัอทงคะด์โนา� รทสั ยนา้นัน1มศีร,ี
เจตนาของสุเทษณ 2
(แนวตอบ จากคํากลา วขางตน หากพจิ ารณา ธ โปรดเป็นยอดมาลา.
อาจเหน็ วาสุเทษณเปนหวงมัทนา ไมอ ยากใหถ ูก องคพ์ ระศจี
พวกสัตวท้งั หลายทําลาย แตในอีกทางหนง่ึ
สุเทษณอาจไมอ ยากใหม ัทนาถกู ทําลาย เพราะจะไม เหน็ มีแตใ่ นฟากฟา้ , ในแดนคนหา
เปนไปตามประสงคทีอ่ ยากใหนางไดพ บรักและรับรู ไมน้ ้ีมิได้แหง่ ไหน.
ความทกุ ขทไี่ มสมหวงั ในรักนนั้ ) สุเทษณ์. ไม้น้มี ีนามฉันใด? ท่านจงเลา่ ให้
เราทราบซงึ่ ลกั ษณ์แถลง.
มายาวนิ . ไม้เรียกผะกากุพ-ฺ ชะกะสีอรุณแสง [อนิ ทะวิเชียร, ๑๑.]
ขยายความเขา ใจ Expand ปานแกม้ แฉล้มแดง ดรุณี ณ ยามอาย;

1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท อ่ี ธบิ ายถงึ ดอกกหุ ลาบ ดอกใหญแ่ ละเกสร มสุวธคุรสน3ขธจะรมไากกลม;าย,
อยทู่ น บ วางวาย
(แนวตอบ บทประพนั ธท ่อี ธบิ ายถึงดอกกหุ ลาบ อีกทง้ั สะพร่งั หนาม ดจุ ะเขม็ ประดบั ไว้
ความวา
“ไมเรียกผะกากุพ-ฺ ชะกะสีอรณุ แสง ผ้ึงเขียวสิบนิ ไขว ่ บ มใิ คร่จะห่างเหิน.
อนั กพุ ชฺ ะกาหอม, บรโิ ภคอร่อยเพลิน,
ปานแกม แฉลม แดง ดรณุ ี ณ ยามอาย; รสหวานสหิ วานเชิญ นรลิม้ เพราะเลศิ รส;
ดอกใหญและเกสร สวุ คนธะมากมาย,
อยูทน บ วางวาย มธรุ สขจรไกล; กนิ แล้วระงับตรี พธิ ะโทษะหายหมด,
คอื ลมและดลี ด ทษุ ะเสมหะเสือ่ มสรรพ;์
อกี ทั้งสะพร่งั หนาม ดุจะเข็มประดบั ไว อกี ทั้งเจริญกา- มะคณุ าภิรมย์นัน4ท,์
ผง้ึ เขยี วสิบินไขว บ มิใครจะหางเหนิ .”
2. นักเรยี นหาภาพดอกกุหลาบทน่ี กั เรยี นชน่ื ชอบ เยน็ ในอุราพลัน, และระงับพยาธี.
สเุ ทษณ์. ดีละ, จะให้มารศรี เปน็ ดอกไม้นี ้ [ฉบงง, ๑๖.]
หรือวาดภาพดอกกหุ ลาบ จากนัน้ ใหนักเรยี น โฉมยงจะวา่ ฉนั ใด?
แตงคาํ ประพนั ธอธบิ ายลกั ษณะของดอกกหุ ลาบ
ดว ยฉนั ทช นดิ ใดกไ็ ด อยางนอย 2 บท มัทนา. ไหนไหนจะเป็นดอกไม,้ หมอ่ มฉนั พอใจ
เปน็ ดอกทอี่ อกนามมา.
ข้าขอกม้ เกศวนั ทา ท่ีจอมเทวา
การญุ ใหเ้ ลอื กเชน่ น้ี.
สเุ ทษณ.์ ด้วยอา� นาจอทิ ธ์ฤิ ทธ ี อันประมวลมี
ณ ตวั กผู ูแ้ รงหาญ,

64

นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
ขอใดใชภาพพจน
1 นนั ทะโนทยาน หรือนันทวนั เปนชื่ออทุ ยานของพระอนิ ทร มี 4 แหง คอื 1. ดอกใหญและเกสร สุวคนธะมากมาย
นนั ทวนั ปารสุ กวัน จติ รลดาวัน และมสิ กวัน ตงั้ อยูทางทิศตะวันออกของสวรรค 2. อยทู น บ วางวาย มธุรสขจรไกล
ชน้ั ดาวดึงส ในสวนดา นทีใ่ กลกับตัวเมอื งมีสระใหญ 2 สระ สระหน่งึ มีช่อื วา 3. อีกท้งั สะพรง่ั หนาม ดุจะเขม็ ประดบั ไว
สระนนั ทาโบกขรณี อีกสระหน่งึ มชี ือ่ วา จลุ นนั ทาโบกขรณี กลา วกนั วา หากเทวดา 4. ผงึ้ เขียวสบิ ินไขว บ มิใครจ ะหางเหิน
ทีม่ ที ุกขใ จเขาไปชมสวนนนั ทวัน ความทุกขน น้ั จะมลายหายไปหมดสน้ิ
2 ศจี เปน ชายาองคห น่ึงของพระอนิ ทร วิเคราะหค ําตอบ ขอท่ใี ชภ าพพจน คอื “อีกทั้งสะพรัง่ หนาม
3 มธุรส เปน คํานาม หมายถึง นา้ํ ผ้งึ รสหวาน ออย คาํ วิเศษณ หมายถงึ ไพเราะ ดุจะเขม็ ประดับไว” ใชภาพพจนอ ุปมา โดยเปรียบหนามของ
ในทน่ี ีค้ วามวา “มธรุ สขจรไกล” จึงหมายถึงความหอมหวานฟงุ ไปไกล ดอกไมว า เหมือนเขม็ มีคาํ วา “ดจุ ะ” หรือดจุ เปน คําแสดง
4 พยาธี ความเจบ็ ไข เชน โรคาพยาธิ ชาตชิ ราพยาธิ เปนตน
ความเปรียบ ตอบขอ 3.

64 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

ขยายความเขา ใจ Expand

กสู าปมัทนานงคราญ ใหจ้ ตุ 1ผิ ่าน นักเรยี นอานเนอื้ เรอ่ื งในหนา 65 ครสู ุมนกั เรยี น
ไปจากสุราลัยเลศิ , 2 - 3 คน แสดงความคดิ เห็น ดังน้ี
สูแ่ ดนมนษุ ย์และเกดิ เปน็ มาลเี ลิศ
อันเรยี กวา่ กพุ ฺชะกะ, • เมอื่ ใดมัทนาจงึ จะพนจากคําสาปให
ใหเ้ ป็นเช่นนัน้ กวา่ จะ ร้สู กึ อุระ กลายเปนดอกกุหลาบ
ระอเุ พราะรกั รงึ เขญ็ . (แนวตอบ มัทนาจะพนจากการถูกสาป
ทุกเดือนเม่ือถึงวันเพญ็ ให้นางนเ้ี ปน็ เมื่อนางไดพ บความรักทแ่ี ทจ รงิ และคนท่ี
มนษุ ยอ์ ย่กู า� หนดมี 2 นางรกั รกั นางตอบ แตเ มอื่ ใดกต็ ามทน่ี างทกุ ข
ทรมานเพราะความรกั ก็ใหนางวิงวอนสาํ นึก
เพยี งหนงึ่ ทวิ าราตรี; ในโทษ แลว สเุ ทษณจ ะนํานางกลบั สวรรค)

ความรกั บุรษุ เมอื่ ใด, แตห่ ากนางมี ตรวจสอบผล Evaluate

เม่อื นัน้ แหละให้ทรามวยั คงรูปอยู่ไซร้ 1. นักเรยี นทองบทอาขยานท่ีนักเรยี นประทับใจ
บ คืนกลับเป็นบปุ ผา. จากเนือ้ เรอ่ื งได
หากรกั ชายแลว้ มัทนา บ มสี ุขา
ภิรมยเ์ พราะเริดรา้ งรัก, 2. นักเรียนยกบทประพันธจ ากเนื้อเรื่องและแตง
และนางเปน็ ทกุ ข์ยิ่งนัก จนเหลือท่จี ัก ฉนั ทท อ่ี ธิบายถึงลักษณะของดอกกหุ ลาบได
อดทนอยอู่ ีกตอ่ ไป,
เมอื่ นน้ั ผวิ ่าอรไท กล่าววอนเราไซร้ 3. นกั เรียนแสดงบทบาทสมมติจากบทละครพดู
คาํ ฉันท เร่ือง มทั นะพาธาได

เราจ่ึงจะงดโทษทณั ฑ.์
นางมทะนา จุตอิ ย่านาน [จติ ระปทา, ๘.]
จงมะละฐาน สุระแมนสวรรค์,
ไปเถอะกา� เนิด ณ หมิ าวนั
ดังดนลุ ่นั วจสิ าปไว้!

(พิณพาทย์ทา� เพลงคุกพาทย,์ สุเทษณแ์ ผลงฤทธิ์, ฟา้ แลบแวบวาบตลอดเพลง. พอถงึ

รัวทา้ ย มัทนารอ้ งกรด๊ี และลม้ ลงกบั พนื้ .)
(ปดิ มา่ น.)

65

ขอใดไมใช คุณสมบัตขิ อง “กพุ ฺชกะ”ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู

1. วนิ ิดาพยายาม กะละเลนสาํ นวนหวล 1 จตุ ิ คําวา “จตุ ิ” มักใชเขาคกู ับ “ปฏิสนธิ” และ “อุบตั ”ิ ตามรูปศัพท แปลวา
2. กินแลวระงบั ตรี พธิ ะโทษะหายหมด “การเคลื่อน” คอื เคล่อื นจากภพหนงึ่ ไปสูอ กี ภพหนึง่ หรอื เคลอื่ นจากโลกหน่ึงไปสูอีก
3. อีกทั้งเจรญิ กา- มะคุณาภริ มยน นั ท โลกหนึง่ เมือ่ รวมความแลว ก็คือ “ตาย” นั่นเอง ตามปกติถา เรานําเอาคาํ วา “จุติ”
4. เย็นในอุราพลัน และระงบั พยาธี มาใช เรามิไดใชก ับมนษุ ยท วั่ ๆ ไป และก็มิไดใ ชกบั บรรดาสัตวนรก เปรต อสุรกาย
หรอื สตั วด ิรจั ฉานอื่นๆ จะใชกบั เทวดาหรอื พรหมเทานนั้ เชน เทวดาจตุ จิ ากสวรรค
วิเคราะหคําตอบ ขอ ทไ่ี มใ ชค ณุ สมบตั ขิ อง “กพุ ชฺ กะ” หรอื กหุ ลาบ มาเกิดในโลก หรอื พระโพธสิ ตั วจ ุติจากสวรรคชั้นดสุ ติ มาปฏิสนธใิ นพระครรภ
คอื ขอ 1. วนิ ดิ าพยายาม กะละเลน สาํ นวนหวล ซงึ่ มคี วามหมาย พระนางสิริมหามายา เปนตน เมือ่ “จตุ ิ” แลว กต็ อง “ปฏสิ นธิ” ทนั ที จากนัน้ จงึ
วา นอ งกําลงั พูดจาเลน สํานวน คือ ไมพดู อยา งตรงไปตรงมา สวน “อบุ ัติ” หรอื เกิดน่นั เอง
ขอ อื่นๆ ลวนเปนคุณสมบตั ิของ “กุพฺชกะ” ทง้ั สน้ิ ดงั น้ี ขอ 2. กนิ
แลวชว ยระงับตรโี ทษ คือ โรคลม ดี และเสมหะ ขอ 3. ชว ยบํารุง การใชคาํ วา “จตุ ”ิ มกั มคี วามเขาใจผดิ ทนี่ ํามาใชใ นความหมายวา “เกิด”
อยบู อ ยๆ เชน “เขาจตุ เิ ปนมนษุ ย” ก็หมายความวา “เขาเกดิ เปน มนุษย” ทีจ่ รงิ แลว
รายกาย และขอ 4. ทําใหช ืน่ ใจและระงบั โรคได ตอบขอ 1. จะตองบอกวา “เขาจตุ ิมาเกดิ เปน มนุษย” คอื เขาตายแลว มาเกดิ เปนมนษุ ย
และในท่ีนก้ี ต็ องหมายถึงตายจากเทวโลกหรือพรหมโลกเทา น้ัน

2 หน่งึ ทวิ าราตรี “ทิวา” หมายถงึ วนั “ราตร”ี หมายถงึ คนื “หนึ่งทวิ าราตร”ี
คือ หนง่ึ วันหนง่ึ คืน
คูมอื ครู 65

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตนุ ความสนใจ Engage

ครูและนกั เรียนสนทนาเกี่ยวกบั คาํ ศัพทท ่ีใชใ น ๖. คำ�ศัพท์ ควำมหมำย
การประพนั ธคาํ ประพนั ธประเภทฉนั ท และครถู าม
นกั เรยี นวา คำ� ศพั ท์ เท่ียวไปถงึ
ตาย (มักใชแ้ กเ่ ทวดา)
• เพราะเหตใุ ดคาํ ประพนั ธป ระเภทฉันท จรดล บรเิ วณโดยรอบของโลก ท่วั โลก
จึงมักใชคาํ บาลีสันสกฤต จตุ ิ ขน้ึ เช่น เถลิงราชย์ เถลิงอา� นาจ
(แนวตอบ เพราะคาํ ประพนั ธประเภทฉันท จักกะวาฬ (จักรวาล) นางแกว้
มกั ใชคาํ ตาย ซ่งึ คาํ บาลสี ันสกฤตมลี ักษณะ เถลงิ หญงิ รับใช้
เสยี งสัน้ เปนคาํ ตายตรงตามความตองการ นารรี ตั น์ ปรากฏชัด อาจเป็นทางตาหรือทางใจก็ได้ เช่น ประจักษ์แก่ตา
ตามคาํ ประพันธประเภทฉนั ท) บริจาริกา ประจกั ษ์แกใ่ จ
ประจักษ์ ความรกั ใคร่ ผูกพัน
สาํ รวจคน หา Explore หา้ ล�าดบั ที่ ๕
ประดิพทั ธ์ การใหค้ า� มนั่ สญั ญาหรอื การแสดงการยนื ยนั โดยถอื เอาสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ
นักเรียนศึกษาคนหาคําบาลแี ละคาํ สนั สกฤตท่ีมี ปัญจา, ปัญจ และความสจุ ริตเป็นทต่ี ั้ง
ในบทละครพดู คําฉันท เรอื่ ง มัทนะพาธา ปฏิญญา แผน่ ดนิ
การบวงสรวง การบูชา
อธบิ ายความรู Explain ไผท1 ทีอ่ ยขู่ องเทวดา สวรรค์
พะลี (พลี) มลี ายงาม มลี ายสกุ ใส
นักเรียนรวบรวมคาํ ศัพทในเนื้อเรือ่ งทีเ่ ปน คาํ รังสรรค์ ออ่ นใจ
บาลีและคาํ สันสกฤต อยางละ 5 คาํ รจุ เิ รข เลิศ ยอดเยยี่ ม ดยี ิ่ง ประเสริฐ
ละเหยี่ หญิงสาว
(แนวตอบ ตัวอยา งคําศัพทท ีเ่ ปน คําบาลแี ละคาํ ววิธศ ุษิ วฎธ2์ู ทอ่ี ยู่ของเทวดา สวรรค์
สนั สกฤต สุราลยั นางสวรรค์
สุรางค์ ดอกไม ้ ดอกมะลิ
• คาํ บาลี เชน สจั จะ ปะฏญิ ญา กจิ จะ วรขคั คะ สุมณี สมุ นา ท�าตาม ประพฤติตาม ปฏบิ ตั ิตาม
กัญญา เปนตน อนวุ ตั น์

• คําสันสกฤต เชน สวรรค พิศษิ ฏ พระโทษา 66
พกั ตร กรรม เปน ตน)

ขยายความเขา ใจ Expand

นักเรียนยกบทประพันธ 1 - 2 บท ที่มที งั้ คาํ บาลี
และคาํ สนั สกฤต แลว จาํ แนกคาํ บาลแี ละคาํ สนั สกฤต

ตรวจสอบผล Evaluate

นกั เรยี นจําแนกคาํ บาลแี ละคาํ สันสกฤตจาก
บทประพนั ธที่นกั เรยี นยกมาได

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
“หมอมฉันสทิ รามเพราะ บ มิได อนุวัตนพระบณั ฑรู ”
ครูขยายขอบเขตความรูเกี่ยวกับเรื่องศัพทในวรรณคดีไทยของนกั เรยี น โดยการ ขอใดกลา วถูกตองในคาํ ประพันธข า งตน
ใหนักเรยี นศึกษาคน ควาคําที่มีความหมายเหมอื นกนั ซ่ึงเปน ที่นยิ มในการแตง คํา 1. ไมอาจรักตอบผเู ปน ใหญ
ประพนั ธของกวีไทย หากนกั เรยี นเกิดความติดขัดสงสัยในความหมายของคาํ ศพั ท 2. ไมเ กรงกลวั ตอคําพดู ของผเู ปน ใหญ
จะสงผลใหน กั เรยี นไมสามารถเขาใจเนื้อเรอื่ ง และไมร สู กึ ซาบซ้งึ ในรสวรรณคดี 3. ไมย นิ ยอมทจ่ี ะเปน ชายาของผเู ปน ใหญ
ขาดสุนทรยี ะในการอานวรรณคดดี วย 4. ไมต องการใหผูเปนใหญบ งั คับฝน ใจใหอ ยูใตอ ํานาจ
วเิ คราะหค ําตอบ จากคําประพนั ธกลาวถงึ วา หมอมฉนั ไมดี
นักเรียนควรรู เพราะไมอ าจทาํ ตามความประสงคข องพระผเู ปน ใหญได ขอ ที่กลา ว
ถกู ตอ งในคาํ ประพันธข า งตน คือ ไมอ ยากรักตอบพระผูเปนใหญ
1 ไผท แผนดิน คําทมี่ ีความหมายเหมือนคําน้ี หรอื ท่เี รียกวา คําพอง พิจารณาจากคําวา “อนุวตั น” ซงึ่ หมายถงึ ยอมทาํ ตาม ในบริบท
ความหมาย เชน พสธุ า หลา พิภพ ธรณี ภูมิ ธรณี ปฐพี ธาตรี ธรา เปน ตน หมายถึง ไมต อบรับความรักของพระผเู ปน ใหญ ตอบขอ 1.
2 วธู หญิงสาว คาํ ท่มี คี วามหมายเหมอื นคํานี้ เชน สตรี นงพาล ดรณุ ี อนงค
นงคราญ กัลยา กัญญา กนั ยา นารี เปน ตน

66 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Engage
กระตนุ ความสนใจ

๗. บทวเิ คร�ะห์ ครูและนกั เรียนแลกเปลีย่ นความคดิ เห็น
เกี่ยวกับมุมมองความรกั โดยครใู หน กั เรียนเตรยี ม
๗.๑ คุณคา่ ด้านเนือ้ หา กระดาษขึน้ มา 1 แผน จากนัน้ ใหน ักเรียนเขียน
นยิ ามความรักลงบนกระดาษ
๑) รปู แบบ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธบ์ ทละครพดู
คา� ฉนั ท์ เร่อื ง มัทนะพาธา ดว้ ยคา� ประพนั ธ์ประเภทกาพยแ์ ละฉันท ์ การเลอื กถอ้ ยคา� และรปู แบบ สาํ รวจคน หา Explore
ค�าประพนั ธ์มคี วามเหมาะสมกบั เน้อื หา ทา� ใหผ้ อู้ ่านเกดิ ความรู้สึกคล้อยตาม เกดิ ความประทับใจ
อยากติดตามอ่าน เช่น เมื่อมายาวินเล่าเรื่องราวในอดีตถวายสุเทษณ์ว่า เหตุใดมัทนาจึงไม่รัก 1. นักเรียนศึกษาคณุ คาดา นเนอื้ หา คุณคา ดาน
สุเทษณ์ ทรงเลือกใช้อินทรวิเชียรฉนั ทท์ ม่ี ีท่วงท�านองเร็วเหมาะแกก่ ารเลา่ ความหรอื บรรยายเรื่อง วรรณศลิ ป และคุณคา ดานสงั คมของบทละคร
กสว่รน้ิวมเนัทอ้ื นหาานต้ันอในชส้กเุ มทลษฉณันฝ์ ทา1์ซกร่ึงกัมมีคทั�าคนราุ นลน้ั หใชุ ว้ จส�านั นตวดนลิ เทกฉ่ากนั ันทแซ์ ตง่ึ ม่ขทีึ้นว่ตง้นทว�ารนรอคงดอ้วอ่ ยนคห�าลวาหนุ จเมึงอ่ืมสีทเุ �าทนษอณง์ พดู คาํ ฉันท เร่ือง มัทนะพาธา
กระแทกกระทัน้ ถ่ายทอดอารมณ์โกรธเกรี้ยวได้ดี
2. นกั เรียนศึกษาเก่ียวกบั ปมปญหา การคลายปม
๒) องค์ประกอบของเรื่อง ปญหา และจุดจบของเรื่อง
๒.๑) สาระ สาระหรอื แกน่ สา� คัญของเรอื่ งมอี ย ู่ ๒ ประการ คอื ทรงปรารถนา
อธบิ ายความรู Explain
จะกล่าวถึงต�านานดอกกุหลาบ ซ่ึงเป็นดอกไม้ที่สวยงามแต่ไม่เคยมีต�านานทางเทพนิยาย จึง
พระราชนพิ นธใ์ หด้ อกกหุ ลาบมกี า� เนดิ จากนางฟา้ ทถี่ กู สาปใหจ้ ตุ ลิ งมาเกดิ เปน็ ดอกไมช้ อื่ ดอกกพุ ชฺ กะ นักเรยี นศกึ ษาเกี่ยวกบั องคประกอบของ
คือ ดอกกหุ ลาบ และแก่นสา� คญั อีกประการหนงึ่ คือ เพ่อื แสดงความเจ็บปวดอันเกิดจากความรกั บทละครพดู คาํ ฉันท เรื่อง มทั นะพาธา จากน้ัน
ใหเ้ หน็ วา่ ความรกั นนั้ มอี านภุ าพอยา่ งยง่ิ ผใู้ ดมคี วามรกั กอ็ าจเกดิ ความหลงขนึ้ ดว้ ย ทรงใชช้ อื่ เรอ่ื ง อธบิ ายปมปญ หาของเรอ่ื ง การคลายปมปญ หา
วา่ มัทนะพาธา อันเป็นช่ือตวั ละครเอกของเร่อื งนี้ ซงึ่ แปลว่า ความเจ็บปวดหรอื ความเดอื ดร้อน และจดุ จบของเรื่อง
อนั เกดิ จากความรัก
(แนวตอบ ปมปญ หาของเรอ่ื ง คอื สเุ ทษณห ลงรกั
๒.๒) โครงเร่ือง มัทนะพาธาเป็นบทละครพูดค�าฉันท์ท่ีพระบาทสมเด็จ มทั นาแตน างไมร ักตอบ สุเทษณก ริ้วมากสาปให
พเรรอ่ื ะงมใดง กโุฎดยเกมลีก้าาเรจผ้ากู อเยรือู่่หงัวใทหร้มงีคควิดาโมคขรัดงแเรยื่อ้งงซเ่ึงอเงป น็ ไปมม่ไปดัญ้ใชห้เานขื้ออเงรเ่ือรงอ่ื หง2รคืออื ต สัดุเตทอษนณม์เาทจพาบกตุ วรรหรลณงครดักี มัทนาเปนดอกกหุ ลาบไปเกิดในโลกมนษุ ย ซึ่งนาํ ไป
นางมัทนา แต่นางไม่รักตอบจงึ สาปนางเป็นดอกกุพชฺ กะ (กหุ ลาบ) ปมปัญหาต่อมาคือ นางมทั นา สูการคลายปม คือ มทั นาพบรกั กับชยั เสน แตม ี
พบรักกับท้าวชัยเสน แต่ก็ต้องพบอุปสรรคเพราะนางจัณฑีมเหสีของท้าวชัยเสนวางอุบายให้ นางจณั ฑคี อยขัดขวาง มทั นาเจ็บปวดเพราะ
ท้าวชัยเสนเข้าใจนางมัทนาผิด สุดท้ายนางมัทนาได้พบกับสุเทษณ์เทพบุตรแต่ก็ปฏิเสธความรัก ความรกั วงิ วอนขอใหสเุ ทษณม ารับไปสวรรค
ของสุเทษณ์เทพบุตรเชน่ เคย เร่ืองจึงจบลงดว้ ยความสูญเสยี และความเจ็บปวดด้วยกนั ทุกฝา่ ย สุเทษณข อความรกั มัทนาอีกคร้ัง มทั นาปฏิเสธ
สุเทษณส าปนางใหเปน ดอกกหุ ลาบตลอดไป
๒.๓) ตวั ละคร ในบทละครพดู คา� ฉันท ์ เรื่อง มทั นะพาธา มีตัวละครหลักท่สี า� คัญ จดุ จบของเรอ่ื ง คอื สเุ ทษณไมส มหวังในรกั
ดังน้ี มัทนาเปน ดอกกหุ ลาบตลอดไป ชยั เสนสูญเสีย
คนรกั และนางจณั ฑีเจบ็ ปวดเพราะความรัก)
สุเทษณ์ เปน็ คนหมกมุน่ ในตณั หาราคะ เจ้าอารมณ์ เอาแตใ่ จตนเอง และ
ไม่คา� นึงถึงความรูส้ กึ ของผอู้ ืน่ ดังบทประพนั ธ์

67

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู
“เวทมนตรนนั้ เขาอาจมี จรงิ อยพู อท่ี
จะเรยี กเอาใครใครมา; ครจู ดั กจิ กรรมทบทวนความรขู องนกั เรยี น โดยครูยกเร่อื งการใชด อกกหุ ลาบ
แตจะบังคบั หทั ยา ใหร ักน้นั ขา เปน สญั ลักษณแทนความรกั ท่เี จบ็ ปวด ความรักท่ไี มส มหวัง ครแู นะใหน ักเรียนยก
ยังนึกระแวงแคลงนัก.” ดอกไมชนิดอื่นท่ีสอ่ื ความหมายตา งๆ หรอื เปนสญั ลกั ษณแ ทนความรูสกึ เชน
ขอใดกลา วไมถ ูกตอ ง เกยี่ วกับบทประพนั ธขางตน ดอกมะลแิ ทนความรักที่บรสิ ุทธ์ิ ดอกเข็มแทนความมสี ตปิ ญ ญาเฉยี บแหลม
1. ความรักสาํ คัญที่ใจ รวบรวมและบันทึกลงในสมดุ จากน้ันนํามาแลกเปล่ียนเรียนรูก ันระหวางเพ่ือนๆ
2. รกั แลวก็ยากท่จี ะตดั ใจ ในหองเรยี น
3. ความรกั นัน้ ยากทีจ่ ะบงั คับกนั ได
4. เวทมนตรค าถาเรยี กใหคนมาหาได นักเรยี นควรรู

วิเคราะหคาํ ตอบ บทประพนั ธข า งตนเช่อื วา เวทมนตรน ้ันมอี ํานาจ 1 กมลฉนั ท ฉันทท ี่มีลลี ากลอมใหเ พลดิ เพลิน เหมาะสาํ หรับการใชบรรยาย
ที่จะเรยี กใครๆ ใหมาหาได แตหากบงั คบั ใจใหรกั นั้นสงสัยวา อาจ ความหรอื ดาํ เนินเรอ่ื ง
เปน ไปไมได ดังนน้ั สรปุ วา เวทมนตรบงั คับไดแตก าย แตบงั คับใจ 2 ปมปญหาของเร่ือง คอื ความขัดแยง ทเี่ กิดในเรอ่ื งทําใหเร่ืองราวนาตดิ ตามวา
จะดาํ เนินไปอยา งไรและมกี ารคลคี่ ลายปญ หาอยางไร
ไมไ ด ตอบขอ 3.
คมู อื ครู 67

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

นกั เรยี นอธิบายความรกั ของตวั ละครแตล ะตวั สเุ ทษณ์. เหวยจติ ระเสน มึงบงั อาจเลน่ ลอ้ กูไฉน?
ดงั นี้ จติ ระเสน. เทวะ, ขา้ บาท จะบงั อาจใจ ทา� เช่นน้ันไซร ้ ได้บพ่ ึงม.ี
สเุ ทษณ.์ เวช่าน่ กนเู ศั้นรท้าา�จไิตม เพพวรกาะมไึงมมไ่ าดใส้หม้ พ จริตกทบู ใี่ ดั ฝนช่ ี้,ม ว, า่ อปกรกะรสมง1เคนใ์ ือดง นใหิต้สยม.์ ฤดี? มึงรู้อยนู่ ่ี
• สเุ ทษณ
(แนวตอบ สุเทษณม คี วามรักขา งเดียว พยายาม จิตระเสน. ตขู ้าภักดี กม็ ีแต่คิด เพอ่ื ให้ทรงฤทธิ ์ โปรดทุกขณะ.
ทจ่ี ะใหไดม าซง่ึ ความรักของฝา ยตรงขาม สุเทษณ์. กูไม่พอใจ! ไล่คนธรรพไ์ ป บัดนีเ้ ทยี วละ อย่ามวั รอรัง้ .
แตขณะเดยี วกันดวยลักษณะนิสัยรกั ศักด์ิศรี
จึงตองการความรักท่มี าจากใจ ไมยอมรบั มัทนา เป็นคนซ่ือตรง ไม่มีเล่ห์เหล่ียม ไม่พูดโป้ปด ปากกับใจตรงกัน
ความรักทม่ี าจากความจาํ ยอมหรือฝน ใจ คดิ เหน็ อยา่ งไรกพ็ ดู ไปอยา่ งนน้ั ไมเ่ สแสรง้ แตค่ วามจรงิ ทนี่ างพดู ทา� ใหน้ างตอ้ งไดร้ บั ความลา� บาก
ความรกั ของสุเทษณ คือ ไมไดก ็ทาํ ลาย) ทุกขร์ ะทมใจ ดงั บทประพันธ์

• มัทนา ฟังถ้อยด�ารสั มะธรุ ะวอน ดนุนผี้ เิ อออวย.
(แนวตอบ เร่ืองความรกั มทั นามคี วามมุงมน่ั จักเปน็ มุสาวะจะนะด้วย บ มติ รงกะความจริง.
ดึงดนั ไมแ พสุเทษณเ ชน กนั แมว าสุเทษณได อันชายประกาศวะระประทาน ประดิพทั ธะแด่หญงิ ,
เกย้ี วพา สัญญาอยางไร มทั นาก็ไมยนิ ยอม หญิงควรจะเปรมกะมะละย่งิ ผิวะจิตตะตอบรัก;
รับรกั ของสเุ ทษณ จึงนําไปสกู ารลงโทษสาป แตห่ ากฤดี บ อะภิรมย ์ จะเฉลยฉะนน้ั จกั
ใหก ลายเปน ดอกกหุ ลาบ) เปน็ ปดและลวงบรุ ษุ ะรัก กจ็ ะหลงละเลงิ ไป.
ตูข้าพระบาทสสิ ุจรติ บ มิคิดจะปดใคร,
จ่ึงหวงั และมงุ่ มะนะสะใน วรเมตตะธรรมา.

๒.๔) ฉากและบรรยากาศ ฉากทป่ี รากฏในเรอ่ื งตอนทเ่ี รยี น คอื วมิ านของสเุ ทษณ์
เทพบุตร กวีทรงบรรยายฉากและบรรยากาศได้เหมาะสมและสอดคล้องกับสุเทษณ์เทพบุตร
ผู้ซึ่งหมกมุ่นอยู่ในตัณหาราคะ โดยวิมานของสุเทษณ์เทพบุตรรายล้อมไปด้วยเทพบริวาร
คนธรรพ์ นางอปั สร ทตี่ า่ งมาบ�ารงุ บ�าเรอขับกลอ่ มถวาย

๒.๕) กลวิธีการแต่ง การด�าเนินเรื่องใช้กลวิธีให้วิทยาธรมายาวินเป็นผู้เล่า
อดีตชาติของสุเทษณ์เทพบุตรและด�าเนินเรื่องโดยแสดงให้เห็นลักษณะของสุเทษณ์เทพบุตร
ผู้เป็นใหญ่ มีบุญ มีอ�านาจวาสนา และมีบริวารพร่ังพร้อม ควรท่ีจะเสวยสุขในวิมานของตนเอง
แตก่ ลบั เอาแต่ใจตน หมกมนุ่ ในตณั หาราคะ แค่นางเทพธดิ าท่ปี ระดบั บารมีอยกู่ ็มากมายลน้ เหลอื
จะเสวยสขุ อยา่ งไรก็ได ้ แต่กไ็ มพ่ อใจ

68

เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดTชะกะสีอรุณแสง
“ไมเรยี กผะกากุพ-ฺ
ครจู ดั ใหน กั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ อยา งหลากหลายเกยี่ วกบั ประเดน็ เรอื่ งความรกั ปานแกม แฉลม แดง ดรณุ ี ณ ยามอาย;
โดยใหน กั เรียนเสนอวิธีแกป ญหาเร่ืองความผดิ หวังจากความรกั ครแู นะใหน กั เรยี น ดอกใหญแ ละเกสร สุวคนธะมากมาย,
นําธรรมะมาเปน แนวทางในการแกป ญ หา ใหนักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกับ อยทู น บ วางวาย มธุรสขจรไกล”
แนวทางการแกปญ หาความรกั ทไ่ี มส มหวงั วา นักเรยี นเห็นดว ยหรือไม อยา งไร ขอใดเปน รสวรรณคดขี องบทประพนั ธข า งตน
โดยครอู าจเชอ่ื มโยงเขา กบั สภาพสังคมในปจ จุบัน การถา ยทอดความรสู ึกท่เี รยี ก 1. เสาวรจนี
วา “ความรกั ” ผานสอื่ ตา งๆ ท้ังโทรทัศน หนังสือ อินเทอรเ นต็ นกั เรียนพจิ ารณาวา 2. นารีปราโมทย
คนในสังคมไดร ับอิทธพิ ลเกยี่ วกับเร่อื งความรักอยา งไรบาง จากการเสพสอ่ื เหลา นีเ้ ปน 3. พโิ รธวาทงั
ประจาํ หรือนําไปสแู รงบันดาลใจในการสรา งงานวรรณกรรมของคนรุนใหมอยา งไร 4. สัลลาปง คพิไสย

นกั เรียนควรรู วิเคราะหค าํ ตอบ บทประพนั ธข า งตน เปนบททพี่ รรณนาถงึ
ความงามของดอกกหุ ลาบทีม่ ีสีแดงเหมอื นแสงอรณุ และแกม
1 กรม ระทม เจ็บอยูภายในเร่อื ยไป เชน กรมใจ กรมหนอง (กลัดหนอง) หญงิ สาวยามอาย ดอกขนาดใหญม กี ลนิ่ หอมฟงุ ไปไกล เปน กระบวน
เปน ตน หรอื เรยี ก “ตรม” ชมความงามของดอกกุหลาบเปรยี บเทียบกับหญงิ สาว คือ

68 คูม อื ครู รสเสาวรจนี ตอบขอ 1.

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู

ศิลปะการด�าเนินเร่ืองเปรียบให้เห็นชายท่ีร่�ารวยด้วยเงิน อ�านาจวาสนา อยากได้อะไร นกั เรยี นอธิบายกลวธิ ใี นการดําเนินเรอื่ งของ
ก็จะต้องเอาให้ได้ เม่ือไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ต้องเอาด้วยคาถา ผู้หญิง บทละครพูดคาํ ฉันท เร่ือง มทั นะพาธา
จึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะไม่มีอะไรจะไปต่อสู้และก็มีไม่น้อยท่ีหญิงหลงไปติดในวิมานของ
คนร่า� รวย การด�าเนนิ เรื่องก�าหนดให้สเุ ทษณส์ าปนางมทั นาให้เปน็ ดอกกุหลาบ ต่อเมอ่ื ถึงคนื เพญ็ (แนวตอบ บทละครพดู คาํ ฉนั ท เรอื่ ง มทั นะพาธา
จะเป็นมนุษย์หน่ึงวันกับหน่ึงคืน หากมีความรักเมื่อใดจึงจะเป็นมนุษย์ หากนางมีทุกข์เพราะรัก มลี กั ษณะการเลา เรื่องเพือ่ บอกเลา ความเปนมาของ
ก็ให้กล่าวอ้อนวอนสุเทษณ์จึงจะยกโทษให้ ก็เพราะสุเทษณ์หวังว่าเมื่อนางต้องระทมเพราะ ดอกกหุ ลาบวา เปน สญั ลกั ษณข องความรกั ทไ่ี มส มหวงั
ความรักไม่สมหวังก็คงจะเห็นใจคนท่ีหลงรักตนและคงจะยินดีรับรักสุเทษณ์บ้าง แต่สุเทษณ์ การดําเนนิ เรอ่ื งใชบทเจรจาของตวั ละคร ซงึ่ แสดง
คาดการณ์ผิดเพราะเรื่องจบลงด้วยนางมัทนาอ้อนวอนขอให้รักของนางสมหวัง สุเทษณ์ขอให้ ใหเ ห็นลกั ษณะของตวั ละครไดเ ปนอยา งดี อกี ท้ัง
นางรบั รกั กถ็ กู ปฏิเสธอกี จึงโกรธแคน้ และสาปนางใหเ้ ปน็ ดอกกหุ ลาบชั่วนิรันดร์ นาํ ไปสกู ารดําเนินเรอื่ งดวย เหน็ ไดจ ากการเจรจา
บริวารของสุเทษณ์เทพบุตรเป็นคนธรรพ์คือ จิตระรถ จิตระเสน มีหน้าที่บ�ารุงบ�าเรอให้ โตต อบกนั ทําใหเกิดความไมพอใจ ดังทสี่ เุ ทษณ
เจ้านายมคี วามสขุ มคี วามพอใจ ดงั นน้ั จงึ ท�าทุกอยา่ งเพอ่ื เอาใจผ้เู ป็นนาย เช่น เสาะแสวงหา ขอความรกั จากมทั นา แตม ัทนากลับปฏเิ สธดวย
หญงิ งามมาเสนอสนองกเิ ลสตณั หา ใหว้ ทิ ยาธรมายาวนิ ใชเ้ วทมนตรส์ ะกดนางมทั นามาใหส้ เุ ทษณ ์ ถอยคาํ ประนปี ระนอม แตย ึดม่ันจดุ ยืนอยา ง
หากสเุ ทษณม์ คี วามปรารถนาในตวั นาง ตอ้ งการนางกจ็ ะใชเ้ วทมนตรบ์ งั คบั ฝนื ใจ บรวิ ารประเภทน้ี แนวแนทจ่ี ะปฏิเสธสุเทษณ ทาํ ใหส เุ ทษณไมพอใจ
ก็มมี ากในสังคมซ่ึงมีสว่ นท�าให้เกดิ ความเดอื ดรอ้ นและเสยี หายได้ อยา งมาก สาปใหม ัทนาเปน ดอกกหุ ลาบ)
ส�าหรับนางมัทนาเป็นคนตรง เป็นคนซื่อ คิดอย่างไรก็พูดอย่างน้ัน ไม่รักก็บอก
ตรงๆ ไม่หลอกลวง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดแต่ความจริง ฉะนั้น ถ้าหญิงใดตกอยู่ในฐานะอย่าง ขยายความเขา ใจ Expand
นางมทั นาจงึ ตอ้ งระวงั ตวั หลกี หนชี ายผมู้ ากดว้ ยราคะใหห้ า่ งไกล กวกี า� หนดใหน้ างถกู สาปกลายเปน็
ดอกไมค้ อื กหุ ลาบ ซงึ่ สวยงามมหี นามแหลมคมเปน็ เกราะปอ้ งกนั ตนใหพ้ น้ จากมอื ผหู้ กั หาญรานกงิ่ 1. นักเรียนทํากิจกรรมแสดงความคดิ เหน็ เร่อื ง
เดด็ ดอกไปเชยชม ดอกกหุ ลาบเปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนหญงิ สาวทรี่ ปู สวยยอ่ มเปน็ ทหี่ มายปองของชาย ความรักใหสอดคลองสัมพันธก ับบทละครพูด
ทั่วไป ถา้ หญิงสาวรูปงามมคี วามเฉลยี วฉลาด ร้ทู ันเล่ห์เหล่ยี ม ย่อมสามารถเอาตวั รอดจากชายที่ คําฉนั ท เรื่อง มัทนะพาธา โดยจัดใหม ีการ
จงใจจะมาหยามเกยี รตหิ รอื หม่นิ ศกั ดิ์ศรไี ด้ หากบงั อาจลว่ งเกนิ กจ็ ะตอ้ งถูกหนามตา� จนเจบ็ ปวดได้ โตว าที นักเรียนแบง เปน 2 ฝา ย จากนัน้ รวมกัน
กาํ หนดญตั ตทิ ี่เก่ยี วของกบั ความรกั เชน
๗.๒ คณุ ค่าด้านวรรณศลิ ป์ ควรเลอื กคนทรี่ กั เราดีกวา คนท่ีเรารกั เปน ตน
สง ตวั แทนแตละฝายโตว าที
๑) การสรรค�า เป็นการเลือกใชค้ �าท่สี ่อื ความคดิ และอารมณไ์ ดอ้ ยา่ งงดงาม ดังน้ี
๑.๑) การใชค้ า� ใหเ้ หมาะสมกบั ประเภทของคา� ประพนั ธ ์ กวมี คี วามเชย่ี วชาญดา้ น 2. นักเรียนทรี่ ว มฟงการโตวาที บันทึกความรู
ลงสมุด
ฉนั ทลกั ษณย์ งิ่ สามารถแตง่ บทเจรจาของตวั ละครให1เ้ ปน็ ค�าฉนั ทไ์ ดอ้ ยา่ งคมคาย เชน่ บทเกย้ี วพาราสี
ของสเุ ทษณก์ บั มทั นา แตง่ ดว้ ยวสนั ตดลิ กฉนั ท ์ ๑๔ มกี ารสลบั ตา� แหนง่ คา� เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความไพเราะ
ได้อยา่ งยอดเย่ียม

69

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู
“ความรกั เหมอื นโรคา บันดาลตาใหม ดื มน”
ขอ ใดสอดคลองกับคาํ ประพันธขา งตน ในการทํากจิ กรรมขยายความเขาใจ ครูแนะใหน กั เรียนศึกษาเกย่ี วกบั หลักการ
1. อนั ความรกั ของชายนห้ี ลายช้ัน พูดโตว าที มารยาทในการพูด คุณธรรมในการพูด โดยเนน ใหนกั เรยี นรูจกั การใช
เขาวารกั รักนัน้ ประการใด เหตผุ ลสนับสนุนความคดิ เหน็ ในการเสนอหรือการคาน ในขณะเดียวกันนักเรียน
2. เขายอ มเปรียบเทยี บความเมื่อยามรกั ที่ฟง เพ่ือนอภปิ รายโตว าทกี ็นาํ หลักการฟง อยา งมีวจิ ารณญาณและมารยาทใน
แตน า้ํ ผักตม ขมชมวา หวาน การฟงมาเปนพ้ืนฐานสําหรบั การมสี ว นรวมในการทํากจิ กรรมน้ี
3. อันรสตาลหวานละมา ยคลา ยพมุ พวง
พีเ่ จบ็ ทรวงชํา้ อกเหมือนตกตาล นกั เรยี นควรรู
4. แมน ใครรกั รกั มงั่ ชังชังตอบ
ใหร อบคอบคิดอา นนะหลานหนา 1 วสนั ตดลิ กฉันท ๑๔ ใชแตงบทเกยี้ วพาราสี บทชมความงามของธรรมชาติ
บานเมอื ง สตรี บทชมคุณงามความดี หรือบทแสดงความโศกเศราได
วเิ คราะหคาํ ตอบ จากคําประพันธช ี้ใหเห็นถงึ ผลรายทเ่ี กดิ จาก
ความรกั ขอทม่ี ีความหมายสอดคลอง คอื คูม อื ครู 69
“อนั รสตาลหวานละมา ยคลา ยพมุ พวง พเ่ี จบ็ ทรวงชา้ํ อกเหมอื นตกตาล”

ตอบขอ 3.

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Evaluate
Engage Explain Explain Expand

อธบิ ายความรู

นกั เรยี นอธิบายเก่ียวกบั ประเดน็ ทางวรรณศลิ ป
ดังน้ี
• นกั เรยี นพิจารณาวา การใชภ าษาและรปู แบบ สเุ ทษณ์. พรี่ ักและหวงั วธจุ ะรัก และ บ ทอด บ ทิง้ ไป.
คําประพันธส งผลตอการดาํ เนินเรื่องอยางไร มัทนา. พระรักสมัคร ณ พระหทยั ฤ จะทอดจะท้งิ เสยี ?
(แนวตอบ รูปแบบคาํ ประพันธประเภทฉันท สุเทษณ.์ ความรักละเหี่ยอุระระทด เพราะมิอาจจะคลอเคลีย.
ชนดิ ตางๆ เปนฉนั ทท่ีนยิ มแตงกนั มาแต มัทนา. ความรกั ระทดอรุ ะละเหีย่ ฤ จะหายเพราะเคลียคลอ?

โบราณ โดยองกที่ 1 ท่ีนํามาใหเรียนมฉี นั ท 1 ๑.๒) การใช้ค�าโดยค�านึงถึงเสียง อันเกิดจากการเล่นเสียงสัมผัสคล้องจอง
7 ชนดิ คือ อนิ ทรวิเชียรฉนั ท วสนั ตดิลกฉันท และการหลากคา� ท�าให้เกิดความไพเราะ เชน่ ตอนที่มายาวินร่ายมนตร์
วิชชมุ มาลาฉนั ท อินทวงศฉนั ท กมลฉนั ท
สาลนิ ีฉนั ท และจติ รปทาฉันท ซึ่งนอกจากคํา อา้ สองเทเวศร์ โปรดเกศข้าบาท ทรงฟังซึง่ วาท ท่ีกราบทลู เชญิ ,
ประพนั ธประเภทฉนั ทแลว ยังมีการใชกาพย โปรดชว่ ยดลใจ ทรามวยั ใหเ้ พลนิ จนลืมขวยเขนิ แล้วรบี เรว็ มา.
ชนิดตางๆ ไดแก กาพยย านี กาพยฉ บงั และ ด้วยเดชเทพไท ้ ทรามวัยรปู งาม จงไดท้ ราบความ ข้าขอนีน้ า,
กาพยส รุ างคนางค ซ่ึงสงผลตอการดาํ เนิน แมค้ ดิ ขัดขืน ฝนื มนตร์คาถา ขอให้นทิ รา เข้าสงึ ถงึ ใจ
เรอื่ ง คือ ตอนท่ตี องการจังหวะเสียงและ มาเถดิ นางมา อย่าชา้ เชอ่ื งช้อย ตขู า้ นคี้ อย ตอ้ นรบั ทรามวัย,

ความคลองจองก็ใชกาพย และตอนใดท่ีเนน อ้านางโศภา อยา่ ชา้ มาไว ตขู า้ สั่งให ้ โฉมตรูรีบจร.
อารมณมากก็มักใชฉ นั ท เชน ตอนท่ี
สเุ ทษณก ลา วตดั พอที่มัทนาไมยอมรับรกั ตน โฉมยงอยา่ ขดั รบี รดั มาเถดิ ขืนขดั คงเกิด ในทรวงเร่ารอ้ น,

และมัทนากลา วตอบนนั้ ใชวสันตดลิ กฉนั ท มาเรว็ บัดนี้ รีบลีลาจร มาเรว็ บังอร ข้าเรยี กนางมา.
ซ่ึงทําใหถ อยคาํ มจี งั หวะรวดเร็วเหมาะแกการ
กลาวโตตอบกัน เปน ตน) ขอ้ ความข้างตน้ มีการเล่นเสยี งสมั ผสั ใน ทั้งสัมผัสสระและสมั ผสั อักษร
สมั ผัสสระ เชน่ วัย - ให ้ สงึ - ถงึ
ชา้ - มา

ขยายความเขา ใจ Expand สมั ผัสอกั ษร เช่น รบี - เร็ว ด้วย - เดช เทพ - ไท ้ ขา้ - ขอ
คิด - ขัด - ขืน ช้า - เชอื่ ง - ช้อย
นกั เรยี นยกบทประพนั ธท แ่ี สดงใหเ หน็ การใชค าํ ขา้ - คอย ยง - อยา่ รบี - รดั
โดยคาํ นงึ ถงึ เสยี ง นอกจากน ี้ ยงั มกี ารหลากคา� โดยใชค้ า� ทมี่ คี วามหมายถงึ ผหู้ ญงิ ไวห้ ลายคา� ไดแ้ ก่
(แนวตอบ ตัวอยา งเชน ตอนทีส่ เุ ทษณเจรจาขอ ทรามวยั โฉมตร ู โฉมยง บังอร เปน็ ต้น
ความรกั จากมัทนา
“ย่งิ ฟงพะจศี รี กร็ ะตีประมวลประมูล, ๒) การใช้โวหาร ผู้แต่งใช้อุปมาโวหารในการกล่าวชมความงามของมัทนา
ยิ่งขดั ก็ย่งิ พูน ทขุ ะทว มระทมหะทยั ! เป็นการให้ภาพความงามอย่างไม่มีที่ติ ทั้งผิวพรรณที่ผุดผ่องดั่งทองทา แก้ม ผม นัยน์ตา
อา เจาลาํ เพาพักตร สิริลักษะณาวิไล, ทรวดทรงองคเ์ อว ทา� ใหผ้ ้อู ่านมองเห็นภาพความงามของมัทนาเด่นชดั ข้นึ ดังบทประพนั ธ์

พ่จี วนจะคลั่งไคล สติเพอื่ พะวงอนงค.”
สัมผสั เสยี งสระ เชน (พะ)จี-ศร,ี เจา-(ลํา)เพา,
(พะ)วง-อนงค สัมผสั เสยี งพยญั ชนะ เชน ประมวล- 70

ประมูล, ทุก-ทวม-(ระ)ทม-(หะ)ทัย, (ลาํ )เพา-พักตร,
คลง่ั -ไคล, เพือ่ -พะ(วง))
ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
เกรด็ แนะครู

วรรณคดีเปนมรดกทางวฒั นธรรมของไทยทม่ี มี าแตโบราณ ในการสอนวรรณคดี “ไมเ รยี กผะกากุพฺ- ชะกะสอี รณุ แสง
ครูจงึ ควรเนน ใหน ักเรียนเกดิ ความซาบซ้งึ รูค ุณคา ของวรรณคดี โดยมีจดุ ประสงค ปานแกมแฉลม แดง ดรุณี ณ ยามอาย;”
เพื่อชว ยกันทํานุบํารุงรกั ษามรดกนีไ้ วใหคงอยตู ลอดไป กิจกรรมท่ีจะชวยใหน กั เรยี น การใชคําทสี่ ละสลวยในบทนม้ี คี วามไพเราะในดานใดบา ง

ซาบซึง้ รูค ณุ คาของวรรณคดี เชน ครูยกคาํ ประพันธท ี่ไพเราะขนึ้ มาวิจารณ โดยใช แนวตอบ บทประพันธข า งตนมีการใชโ วหารภาพพจนอุปมา ใช
หลักการวจิ ารณวรรณคดีจากหนังสอื เรยี น เปนตน คําวา “ปาน” แสดงความเปรยี บเทียบ โดยเปรยี บสีของดอกกุหลาบ
แดงสวยเหมอื นแกม ของหญิงสาวยามอาย ซงึ่ การใชความเปรยี บ
ดงั กลา วทาํ ใหเ กดิ จนิ ตภาพอยา งชดั เจนถงึ ความงามของดอกกหุ ลาบ
นักเรยี นควรรู และหญงิ สาว

1 การหลากคํา การใชคาํ ท่มี คี วามหมายคลา ยคลึงกนั แตเ ขียนตา งกนั
เพอื่ ไมใ หค าํ ซา้ํ ซาก นอกจากน้ี ปจ จบุ นั มกี ารศกึ ษาคาํ พอ ง โดยแบง ออกเปน 3 กลมุ
คือ คําพองรูป คําพองเสยี ง และคาํ พองความหมาย หรือคาํ พอ งความ

70 คูม อื ครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู

งามผวิ ประไพผ่อง กลทาบศุภาสพุ รรณ, นกั เรยี นอธิบายเกีย่ วกบั ความเชอ่ื ทป่ี รากฏใน
งามแกม้ แฉล้มฉนั พระอรุณแอร่มละลาน. สังคมไทย ดงั นี้
งามเกศะดา� ขา� กลนา้� ณ ท้องละหาน,
งามเนตร์พนิ ิศปาน สุมณมี ะโนหะรา; • ความเชื่อทป่ี รากฏอยใู นบทละครพูดคาํ ฉนั ท
งามทรวงสลา้ งสอง วรถนั สุมนสุมา- เร่อื ง มทั นะพาธายังคงปรากฏอยใู นปจ จบุ นั
ลเี ลดิ ประเสรฐิ กวา่ วรบุ ลสะโรชะมาศ; หรือไม เพราะเหตุใด
งามเอวอนงคร์ าว สรุ ะศิลปชิ าญฉลาด (แนวตอบ ยังคงปรากฏอยูในปจจุบัน ไมว า
เกลากลงึ ประหนง่ึ วาด วรรปู พิไลยพะวง; จะเปน ความเช่ือเรอ่ื งชาตภิ พ ความเชื่อเร่ือง
งามกรประหนึง่ งวง สรุ ะคชสุเรนทะทรง, ทาํ บญุ มากจะไดไ ปเกดิ ในสวรรค หรอื ความ
นวยนาฏวิลาศวง ดุจะรา� ระบ�าระเบง; เชอ่ื เร่อื งผลกรรม เพราะความเช่ือเหลาน้ี
เปน ความเชอ่ื ทไ่ี ดร บั อทิ ธพิ ลมาจากพระพทุ ธ-
๗.๓ คณุ ค่าด้านสงั คม ศาสนาซงึ่ เปน ศาสนาประจําชาตทิ ี่คนไทย
ผูกพนั มาอยา งยาวนาน)
๑) สะทอ้ นใหเ้ หน็ ความเชอื่ ของสงั คมไทย เช่น
๑.๑) ความเชอื่ เรอ่ื งชาตภิ พ เชน่ เมอ่ื ชาตกิ อ่ นนางมทั นาไดป้ ลงพระชนมต์ วั เอง ขยายความเขา ใจ Expand

จงึ ไดม้ าเกิดบนสวรรคซ์ งึ่ เปน็ ภพภูมิใหม่ ดังบทประพนั ธ์ นกั เรยี นทําสมุดบนั ทึกคาํ สอนทใ่ี หแ งคดิ
เกีย่ วกับความรกั จากแหลง เรยี นรอู ื่นๆ
ว่าพลางยุพาชกั วรขคั คะแพรวพราย
แทงตรงพระทรวงตาย เฉพาะพักตรพ์ ระภมู ี. (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกคาํ สอนได
ตายแลว้ ก�าเนดิ ใน สรุ ภพพศิ ษิ ฎน์ ;ี้ หลากหลายขึน้ อยูก ับประสบการณและเหตผุ ล
ฝา่ ยองคพ์ ระภมู ี กบ็ า� เพ็ญพะลกี รรม,์ ของนักเรยี น เชน

๑.๒) ความเช1่อื เรือ่ งทา� บญุ มาก จะได้ไปบังเกดิ ในสวรรค์ เชน่ เมื่อคร้งั สเุ ทษณ์ “อยาหวงั วาจะไดรับความรกั จากคนท่ีคุณรกั
ยงั เปน็ มนษุ ยไ์ ด้กระทา� พลีกรรม เม่ือตายไปจงึ ไปเกิดในสวรรค์ ดังบทประพนั ธ์ เพราะคนทคี่ ณุ รัก ไมไ ดร ักคุณหมดทุกคน”

(คาํ สอนทานพทุ ธทาสภกิ ขุ))

ทรงธรรมลา้� มะนุษ ฤทธริ ทุ มหาศาล
บ�าเพ็ญพะลกี าร ทุกอยา่ งงามตามวสิ ัย
ครน้ั ถงึ เวลาควร ภูมิศวรจากไผท
เสดจ็ สรุ าลัย เสวยสขุ ในแดนสรวง

๑.๓) ความเชอื่ เรอ่ื งทา� กรรมใดย่อมได้รบั ผลกรรมน้นั เชน่ นางมทั นาไม่รบั รัก
สเุ ทษณ ์ เปน็ เพราะเคราะหก์ รรมเมอื่ ชาตกิ อ่ นทสี่ เุ ทษณไ์ ดเ้ คยจะประหารชวี ติ พระราชบดิ าของนาง
แต่นางขอไถ่ชีวติ พระราชบดิ าไว้ แลว้ นางกป็ ลงพระชนม์ตัวเอง ผลกรรมคร้ังนน้ั จึงส่งผลตามมา
ดังบทประพนั ธ์

71

“งามผวิ ประไพผอ ง ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู
กลทาบศภุ าสพุ รรณ,
งามแกมแฉลม ฉนั พระอรณุ แอรม ละลาน.” 1 พลีกรรม การบูชาหรอื พธิ บี ชู าซึ่งคําวา พลี เปนคําทีม่ าจากภาษาบาลสี ันสกฤต
ขอใดใชภาพพจนต า งจากคําประพนั ธขา งตน หมายถงึ เครื่องบวงสรวง การบวงสรวง ซง่ึ สามารถแบง ได 5 อยาง ดังนี้
1. ปานแกมแฉลม แดง ดรณุ ี ณ ยามอาย
2. อกี ทั้งสะพรงั่ หนาม ดจุ ะเข็มประดับไว 1. ญาตพิ ลี เปนการสงเคราะหญ าติ
3. นางใดจะมเี ทียบ มะทะนา ณ ฟา ณ ดิน 2. อตถิ พิ ลี เปนการตอ นรบั แขก
4. ซํา้ ไพเราะนํ้าเสียง อรเพียงพิรมประเลง 3. เปตพลี เปนการอุทิศสว นบุญสวนกศุ ลใหแกผูทล่ี ว งลบั ไปแลว
4. ราชพลี เปนการใหแ กค นหมมู าก สวนรวม
วิเคราะหคาํ ตอบ จากบทประพันธข า งตน กวีใชภ าพพจนอ ปุ มา 5. เทวตาพลี เปนการอุทศิ สว นบญุ สวนกศุ ลใหแ กเทวดา
มคี าํ วา “กล” ซง่ึ หมายถงึ วา เหมอื น คือ มผี ิวงามเหมอื นทองคาํ
แกม กแ็ ดงงามระเร่อื เหมอื นพระอาทติ ยก ําลงั ขน้ึ ขอ ท่ีไมม ีการใช คมู อื ครู 71
ภาพพจน คอื ขอ 3. “นางใดจะมเี ทียบ มะทะนา ณ ฟา ณ ดิน”
ไมม ีหญิงใดจะงามไปกวา มัทนา สวนขออืน่ ๆ มีคาํ ทีแ่ สดง
ความเปรียบ ดังนี้ ขอ 1. คําวา “ปาน” ขอ 2. คาํ วา “ดุจะ”

หรือ ดุจ ขอ 4. คาํ วา “เพียง” ตอบขอ 3.

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู

นกั เรียนอธบิ ายคณุ คาดานสงั คมในบทละครพดู แตก่ รรมพระทา� ไว้ ณ พระชาต์อิ ดตี มา
คําฉันท เรอื่ ง มัทนะพาธา ในประเดน็ ตอไปนี้ ข้องขัดและขวางหน้า บ่ มใิ ห้พระสมจินต.์

• จากเนื้อเร่อื งซึง่ เปน องกท ี่ 1 ของบทละคร ๑.๔) ความเชือ่ เรอ่ื งเวทมนตร์ การท�าเสน่ห์เลห่ ก์ ล เชน่ มายาวนิ ได้อธบิ ายถึง
พูดคาํ ฉันท นักเรยี นคดิ วา สะทอ นใหเหน็ เวทมนตร ์ คาถาทใี่ ชผ้ กู จิต เรยี กคนให้มาหาได ้ ดังบทประพันธ์
ธรรมชาตขิ องมนษุ ยในเร่ืองใดมากท่สี ุด
เพราะเหตใุ ด อถรรพเ์ วทะเจนอย,ู่ และมนตรค์ รูก็ได้สน
(แนวตอบ เรอ่ื งความรกั ทไ่ี มส มหวัง เพราะ มโนจา� และซ้�าคน้ คดเี พิม่ บ เคลิ้มหลง.
รักฝา ยเดยี ว และไมไ ดรกั คนท่ีรักตนเอง ฉะน้นั อาจจะผกู จติ - ตะใครไดป้ ระดุจจง,
ธรรมชาติของมนุษยต องการความรกั และใช้โยคะแล้วคง จะเรยี กให้ตระบึงมา.
ตองการเปนท่ียอมรับจนกลายเปน การยดึ ตดิ ที่
จะตองใหไดมาครอบครอง แมไ มไ ดมาครอบ ๒) สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ โดยแสดงให้เห็นว่าการมีรักเป็นทุกข์
ก็ไมอ าจละวางจนนาํ ไปสูความทกุ ขทเ่ี กดิ แก อย่างยง่ิ ตรงตามพุทธวจนะที่ว่า ทีใ่ ดมรี กั ทน่ี ั่นมที ุกข ์ ดงั ความรักของตัวละครตอ่ ไปน้ี
ตนเองและผูอ่นื )
๒.๑) สุเทษณ์รักนางมัทนา เมื่อไม่สมหวังในรักก็เป็นทุกข์ แม้เม่ือได้เสวยสุข
ขยายความเขา ใจ Expand เปน็ เทพบตุ รกย็ งั รกั นางมทั นาอย ู่ ทา� ทกุ อยา่ งเพอ่ื ใหไ้ ดน้ างมา แตเ่ มอ่ื ไมส่ มหวงั กพ็ รอ้ มทจี่ ะทา� ลาย

นักเรยี นบอกขอคดิ จากบทละครพดู คาํ ฉนั ท ๒.๒) ทา้ วสรุ าษฎรร์ กั ลกู และรกั ศกั ดศ์ิ ร ี พรอ้ มทจ่ี ะปกปอ้ งศกั ดศิ์ รขี องตนและลกู
เรื่อง มทั นะพาธาที่นกั เรียนเหน็ วา สามารถนาํ ไป แมจ้ ะรวู้ ่าสู้ไมไ่ ด้ ต้องตายแนน่ อนกพ็ ร้อมทจ่ี ะตอ่ สู้ รกั ของพอ่ แมเ่ ป็นรกั ทีบ่ รสิ ุทธเิ์ ทีย่ งแท้
ปรบั ใชในชวี ติ ได
๒.๓) มทั นารกั พระราชบดิ า นางจงึ ยนิ ยอมทา้ วสเุ ทษณเ์ พอื่ ปกปอ้ งพระราชบดิ า
• นกั เรยี นนาํ ขอ คดิ ทไ่ี ดไ ปใชใ นชวี ติ จรงิ อยา งไร รักศกั ดิ์ศรีและรักษาสจั จะ เม่อื ทา� ตามสญั ญาแล้วจงึ ฆา่ ตัวตาย รกั ของมทั นาเปน็ ความรักที่แท้จรงิ
(แนวตอบ นักเรียนตอบไดห ลากหลายขนึ้ อยกู ับ
เหตผุ ลและประสบการณข องนักเรยี น ทั้งน้ี ๒.๔) นางจัณฑีรักท้าวชัยเสน ความรักนี้เป็นความรักที่มีความใคร่ ความหลง
ครแู นะนําวา เร่ือง มทั นะพาธาใหข อคดิ เรอ่ื ง อยดู่ ้วย จึงมีความรู้สกึ หวงแหน โกรธแค้นเมอื่ ถูกแย่งคนรกั พร้อมทีท่ า� ทกุ อยา่ งเพือ่ แยง่ คนรักคืน
ความรักวา เปนสง่ิ ทเ่ี กิดขึน้ ไดใ นชีวติ จรงิ ของ
ทุกคน ทกุ คนมโี อกาสทจ่ี ะประสบกบั ความรัก ๓) สะท้อนข้อคิดเพ่ือน�าไปใช้ในการด�าเนินชีวิต กวีก�าหนดให้นางมัทนาถูกสาป
ทไี่ มสมหวังเหมือนเรื่องนี้ ดงั น้ัน นักเรยี น กลายเป็นดอกไม้ช่ือ กุพฺชกะ (กุหลาบ) ซ่ึงสวยงาม แต่มีหนามแหลมคมเป็นเกราะป้องกันตน
จึงควรพิจารณาและนําเรอื่ งราวความรักใน ให้พ้นจากมือผู้หักหาญรานก่ิงเด็ดดอกไปเชยชม ดอกกุหลาบจึงเป็นสัญลักษณ์แทนหญิงสาว
เรื่อง มทั นะพาธามาเปนอทุ าหรณ พงึ ระวัง ท่ีรูปสวย ย่อมเป็นท่ีหมายปองของชายทั่วไป หนามแหลมคมเปรียบเหมือนสติปัญญา ดังน้ัน
และมสี ติ อยาปลอ ยใหเปน เรอื่ งของอารมณ ถ้าหญิงสาวรูปงามมีความเฉลียวฉลาด รู้ทันเล่ห์เหลี่ยม ย่อมสามารถเอาตัวรอดจากชายที่จงใจ
ความรสู กึ เพยี งอยา งเดียว ใหค าํ นงึ ถงึ ผลราย จะหยามเกยี รติหรือหม่ินศกั ดิศ์ รีได้
ทอ่ี าจเกดิ ตามมา) บทละครพูดค�ำฉ1ันท์ เรื่อง มัทนะพำธำ ถือเป็นวรรณคดีเร่ืองเยี่ยมและได้รับ

กำรยกยอ่ งจำกวรรณคดสี โมสรใหเ้ ปน็ ยอดแหง่ บทละครพดู คำ� ฉนั ท ์ โดยนอกจำกวรรณคดเี รอื่ งน้ี
จะใหค้ วำมเพลดิ เพลนิ จำกเนอื้ หำทช่ี วนตดิ ตำมและวรรณศลิ ปอ์ นั ไพเรำะแลว้ ยงั ใหข้ อ้ คดิ เกยี่ วกบั
ควำมรกั จงึ สมควรที่จะศกึ ษำวรรณคดีอยำ่ งพนิ ิจพิเครำะห์ เพื่อใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ ก่ผูอ้ ำ่ น

72

นักเรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
ขอใดเปน ประโยคความซอ น
1 วรรณคดสี โมสร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา เจา อยูห วั รัชกาลท่ี 6 1. มัทนามาจากศัพท มทน หมายถงึ ความลมุ หลงหรอื ความรกั
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลาฯ ใหตั้ง “วรรณคดีสโมสร” ข้นึ เม่ือวันท่ี 23 กรกฎาคม 2. มทั นะพาธาเปนเรือ่ งสมมตแิ ละเลาเก่ียวกบั บอเกดิ ของความรัก
พทุ ธศักราช 2457 เพ่อื สง เสริมการแตง หนงั สอื ใหถ กู ตอ งตามหลักภาษาไทย 3. บทละครพูดคําฉันท เร่ือง มัทนะพาธาเปน เรือ่ งราวเกีย่ วกับ
โดยคดั เลอื กหนังสือท่แี ตง ดี มีสาระประโยชน เพอื่ ประกาศยกยอ งหนงั สือนั้น และ ความรกั ทไี่ มส มหวงั
พระราชทานพระบรมราชานญุ าตใหประทบั ตราพระราชลญั จกรรูปพระคเณศ 4. มทั นะพาธาเปนบทละครพูดคําฉันทเ พียงเรอ่ื งเดยี วทรี่ ัชกาลท่ี 6
หนังสอื ทก่ี ําหนดใหไดร ับการพิจารณาตามความหมายในพระราชกฤษฎกี าต้งั ทรงพระราชนิพนธ
วรรณคดีสโมสรแบง เปน 5 ประเภท คอื วเิ คราะหค ําตอบ ขอทีเ่ ปน ประโยคความซอน คือ ขอ 4. มัทนะ-
พาธาเปน บทละครพดู คาํ ฉนั ทเพยี งเรอ่ื งเดยี วที่รชั กาลที่ 6 ทรง
1. กวนี พิ นธ คอื เปนโคลง ฉนั ท กาพย กลอน พระราชนพิ นธ โดยแยกประโยคไดว า “มัทนะพาธาเปน บทละคร
2. ละครไทย คือ แตงเปนกลอนแปด มีกาํ หนดหนา พาทย ฯลฯ พดู คาํ ฉนั ทเพียงเรื่องเดยี ว” และมีประโยคยอ ยวา “รชั กาลที่ 6
3. นิทาน คอื เร่อื งราวอันผกู ข้ึนและแตง เปนรอ ยแกว ทรงพระราชนิพนธ” ตอบขอ 4.
4. ละครพดู คอื ละครแบบไทย ไดมาจากตะวันตก เปนละครทไ่ี มแตงเครอ่ื ง
อยางละครรํา แตแตงตัวตามสภาพชีวิตจรงิ แสดงกริ ยิ า ทาทางอยา งคนจรงิ ๆ และ
จดั ฉากจรงิ ๆ ตามเนอ้ื เรือ่ ง (พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา เจาอยหู ัวโปรดรเิ รมิ่ ข้นึ )

72 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand
Evaluate
ตรวจสอบผล
Evaluate

ค�าถามประจ�าหนว่ ยการเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นยกแงค ดิ คาํ สอนที่สอดคลอ งกับ
แกน เรือ่ งมทั นะพาธาได
๑. นักเรยี นคดิ ว่าพฤติกรรมการแสดงความรกั ของสุเทษณท์ ก่ี ระท�าต่อนางมัทนา
เหมาะสมหรอื ไม ่ อย่างไร 2. นักเรยี นบอกขอ คดิ จากบทละครพูดคําฉนั ท
เร่ือง มัทนะพาธาท่สี ามารถนําไปปรบั ใชใ นชีวิต
๒. นกั เรียนคิดว่าลกั ษณะของดอกกุหลาบเหมือนกบั ลักษณะของหญิงสาวอยา่ งไร จรงิ ได
๓. จงแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกบั ความรกั ของตัวละครในวรรณคดีเรอ่ื ง มทั นะพาธา
หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู
วา่ เหตุใดจงึ เกดิ ความทกุ ข์
๔. เพราะเหตุใดวรรณคดเี รื่อง มทั นะพาธา จึงไดร้ ับยกย่องจากวรรณคดสี โมสร 1. สมุดบนั ทกึ เก่ียวกับแงคิดคาํ สอนเร่ืองความรัก
2. การแตงคาํ ประพนั ธ
ให้เป็นยอดของบทละครพดู คา� ฉนั ท์ 3. การทอ งบทอาขยาน
๕. นกั เรียนไดร้ บั ข้อคดิ หรือสาระทเ่ี ปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งไร จากการอา่ นวรรณคดีเร่อื ง 4. การแสดงบทบาทสมมติ
5. การโตว าทีในประเด็นทส่ี อดคลอ งกบั แนวคิด
มัทนะพาธา
ของบทละครพูดคําฉันท เร่ือง มทั นะพาธา

กจิ กรรมสร้างสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้

๑. อภิปรายในหวั ขอ้ “รักอย่างไรไม่ให้เปน็ ทุกข์”
๒. แสดงบทบาทสมมตจิ ากบทละครพดู คา� ฉนั ท ์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา ตอนสเุ ทษณฝ์ ากรกั

นางมทั นา
๓. ศกึ ษาค้นควา้ บทละครพูดคา� ฉันท์ เรอ่ื ง มทั นะพาธา ในตอนอืน่ ๆ แล้ววเิ คราะห์วา่

มีข้อคิดอะไร สามารถนา� มาประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจา� วนั ได้อยา่ งไร

73

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรียนรู
1. พฤติกรรมการแสดงความรกั ของสเุ ทษณท ่ีกระทําตอมัทนาไมเ หมาะสม โดยการขอใหวทิ ยาธรมายาวนิ ใชเ วทมนตรสะกดเรียกนางมา โดยทน่ี างไมรูส ึกตัว

เมอื่ มัทนาปฏเิ สธ สุเทษณกโ็ กรธจึงสาปใหนางไปเกิดเปน ดอกกหุ ลาบในโลกมนษุ ย
2. ลักษณะของกุหลาบมคี วามเหมอื นกับลักษณะของหญิงสาว มีสชี มพูแดงเหมือนแกม สตรเี วลาอาย กหุ ลาบดอกใหญม เี กสร มกี ลน่ิ หอมขจรไกล และทนทาน

มีหนามแหลม มกั มีหมูแ มลง ผ้ึง แมลงภูบ นิ ตอม เหมือนหญงิ สาวทส่ี วยแลวมกั จะมชี ายมาหมายปอง
3. ความคดิ เหน็ เกยี่ วกับความรกั ของตวั ละครในเรื่องมทั นะพาธาท่ีเกิดความทกุ ข ดังนี้ สเุ ทษณเปน ทกุ ขเ พราะไมส มหวังในรัก จณั ฑีเปน ทุกขเ พราะสามหี มดรกั

มทั นาเปน ทกุ ขเพราะสามีท่รี ัก ชยั เสนเปนทุกขเ พราะสญู เสียนางผเู ปนท่ีรัก
4. เพราะใชค ําประพนั ธประเภทฉนั ทหลากหลายชนิดมาแตงเปนบทละครพูดท่ีแสดงถงึ อารมณ ความรูส กึ ของตวั ละครไดอยางดีเย่ียม มกี ารเลอื กใชถอยคําที่

สละสลวย การวางโครงเรือ่ งทีช่ วนใหต ิดตาม อีกทง้ั ยังใหขอคิด คติสอนใจเก่ียวกบั ความรักไดเปน อยางดี
5. เม่อื มีความรกั จะตอ งใชสติ คํานึงถึงความถกู ตอ ง อยาใหอ ารมณอ ยเู หนอื เหตุผล

คมู ือครู 73

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage

Explore

เปาหมายการเรียนรู

1. วเิ คราะหวจิ ารณว รรณคดเี รื่องลลิ ติ ตะเลงพา ย
2. วิเคราะหล ักษณะเดนของวรรณคดเี รอื่ ง

ลลิ ิตตะเลงพา ย เชื่อมโยงกับการเรยี นรทู าง
ประวัตศิ าสตรและวถิ ชี ีวิตของสังคมในอดตี
3. วิเคราะหแ ละประเมินคุณคา วรรณคดีเรื่องลิลิต
ตะเลงพา ยดา นเน้ือหา วรรณศิลป และสังคม
4. สงั เคราะหข อ คดิ จากวรรณคดเี รอื่ งลลิ ติ ตะเลงพา ย

สมรรถนะของผเู รยี น

1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกปญ หา
4. ความสามารถในการใชท ักษะชวี ิต

คุณลักษณะอันพงึ ประสงค óหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี ลลิ ติ ตะเลงพาย

1. รกั ชาติ ศาสน กษัตริย ลลิ ติ ตะเลงพา ย พระนพิ นธใ นสมเดจ็ พระมหาสมณเจา
2. ใฝเ รยี นรู กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เปนวรรณคดี
3. รักความเปนไทย ตวั ช้วี ดั เฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช โดย
กลาวถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทํา
กระตนุ้ ความสนใจ Engage • ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๒, ๓, ๔ ยทุ ธหตั ถกี ับพระมหาอุปราชาของพมาจนไดรับชัยชนะ
ช้ีใหเห็นถึงการรักษาเอกราชของบรรพบุรุษไทย ทําให
ครนู าํ แผน วซี ดี ภี าพยนตรเ รอ่ื งตาํ นานสมเดจ็ - ผอู านเกดิ ความรกั ชาติและมจี ิตสาํ นึกทีด่ ี
พระนเรศวรมหาราชมาใหน กั เรยี นชม แลว ชวน
นกั เรยี นสนทนาในประเดน็ ตอ ไปน้ี สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

• ภาพยนตรเ รือ่ งนม้ี แี นวคิดสําคัญใดบาง • การวเิ คราะหแ์ ละประเมินคณุ คา่ วรรณคดีและวรรณกรรม
(แนวตอบ ความจงรักภกั ดีตอชาติ กษตั ริย เรื่อง ลิลติ ตะเลงพา่ ย
และความสามคั คีกนั ของคนในชาติ การสดุดี
วีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)

74

เกรด็ แนะครู

การเรยี นการสอนวรรณคดเี รอ่ื งลลิ ติ ตะเลงพา ยนนั้ ครคู วรใหน กั เรยี นคน ควา ขอ มลู
เพม่ิ เตมิ โดยเฉพาะขอ มลู ทางประวตั ศิ าสตร รวมถงึ จดุ ประสงคใ นการแตง บทประพนั ธ
ในสมยั รตั นโกสนิ ทร โดยใชเ นอื้ หาเกยี่ วกบั พระมหากษตั รยิ ใ นสมยั อยธุ ยา ซง่ึ เปน
ลกั ษณะหนงึ่ ของการเฉลมิ พระเกยี รตขิ องพระมหากษตั รยิ  ซึง่ ถอื วาเปน วรรณคดใี น
ลักษณะยอพระเกยี รติ นอกจากจะมเี น้อื หาสรรเสรญิ พระเกยี รติของพระมหากษตั รยิ 
ยงั ทาํ หนา ทบ่ี นั ทกึ เหตกุ ารณแ ผน ดนิ ในเชงิ ประวตั ศิ าสตรแ ละสรรเสรญิ พระเกยี รตขิ อง
พระมหากษตั รยิ  เชน วรรณคดเี รือ่ งลิลิตยวนพาย เพลงยาวเฉลมิ พระเกยี รติ หรอื
โคลงเฉลมิ พระเกยี รตติ า งๆ รวมถงึ วรรณคดเี รอ่ื ง ลลิ ติ ตะเลงพา ยอกี ดว ย

นอกจากนี้ วรรณคดีท่ตี อ งการบันทกึ เร่อื งราวสาํ คญั บางประการ เชน โคลงชะลอ
พระพทุ ธไสยาสน เปน ตน ถอื เปน หนงึ่ ในการจาํ แนกวรรณคดตี ามลกั ษณะเนอ้ื หา ครคู วร
ชแี้ นะใหน กั เรยี นคน หาเนอื้ หาเกยี่ วกบั ลกั ษณะวรรณคดเี ฉลมิ พระเกยี รตเิ พม่ิ เตมิ เพอื่ ให
นักเรยี นมีความรู ความเขาใจเกีย่ วกบั เน้อื หาของวรรณคดีประเภทตา งๆ มากย่ิงขึ้น

74 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Engage
กระตนุ้ ความสนใจ

๑. คลลิ ตวิ ต�ะเมลงเพปา่ ย1น เปมน็ ว�รรณคดเี ฉลมิ พระเกยี รต2ิ ครูใหน กั เรียนพจิ ารณาภาพประกอบพระบรม-
ราชานสุ าวรยี ส มเด็จพระนเรศวรมหาราชใน
หนงั สือเรยี น จากน้นั ครูใชค าํ ถามนาํ เขาเนอื้ เรื่อง
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยท่ีด�าเนินเรื่อง
ตามพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เริ่มต้ังแต่ • นกั เรียนคดิ วา พระบรมราชานสุ าวรยี 
สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต จนถึง สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชมคี วามเกย่ี วของ
ตอนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงกระท�ายุทธหัตถีกับ กับวรรณคดเี ร่อื งลิลติ ตะเลงพายอยางไร
พระมหาอุปราชาของพม่า และพระมหาอุปราชา (แนวตอบ เน้ือเรือ่ งเปน การเฉลมิ พระเกยี รติ
สิน้ พระชนมใ์ น พ.ศ. ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซ่ึงมี
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ วตั ถปุ ระสงคเ ชน เดียวกับการสรา งพระบรม-
ชิโนรสทรงพระนิพนธ์เรื่องน้ีเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ราชานุสาวรียส มเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช โดยแตง่ ทา� นองเดยี วกบั เปนการเทดิ พระเกียรตอิ งคสมเดจ็ -
พระนเรศวรมหาราช)

ยวนพา่ ยโคลงด้นั หรือโคลงยวนพ่าย ซึง่ มีมากอ่ น พระบรมราชานุสาวรียส มเด็จพระนเรศวรมหาราช สา� รวจคน้ หา Explore
ตงั้ แตส่ มัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ณ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร จงั หวัดพษิ ณุโลก

๒. ประวัติผแู ตง่ นกั เรียนแบงกลมุ เปน 4 กลมุ ศึกษาความรู
พน้ื ฐานของวรรณคดเี รอื่ งลลิ ติ ตะเลงพา ยในประเดน็
ผทู้ รงพระนพิ นธเ์ รอื่ ง ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย คอื สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส สาํ คญั ตางๆ ตอไปนี้
เป็นพระราชโอรสองคท์ ่ี ๒๘ ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รชั กาลท่ี ๑)
พระมารดา คอื เจา้ จอมมารดาจุ้ย ตอ่ มาไดเ้ ลอ่ื นเป็น “ทา้ วทรงกนั ดาล” เปน็ ต�าแหน่งผรู้ ักษาการ • กลุมที่ 1 ความเปน มาของวรรณคดเี รอื่ งลลิ ติ
คลงั ใน เป็นท่ไี วว้ างพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จ ตะเลงพา ย
พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท ่ี ๓) ประสตู เิ มอ่ื วนั เสาร์
เดอื นอ้าย ขน้ึ ๕ ค่�า ปีจอ จลุ ศักราช ๑๑๕๒ ตรงกับ • กลมุ ที่ 2 ประวัตผิ ูแตง สมเด็จพระมหา-
วนั ท่ ี ๑๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๓๓๓ และมพี ระนามเดิม สมณเจา กรมพระปรมานชุ ิตชิโนรส
วา่ พระองค์เจ้าวาสกุ รี
เมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๓๔๕ ในสมยั รชั กาลท ่ี ๑ พระองค์ • กลุม ที่ 3 ลกั ษณะคาํ ประพนั ธป ระเภทลลิ ติ
• กลมุ ที่ 4 เร่อื งยอของวรรณคดีเรื่องลลิ ติ

ตะเลงพาย

ทรงผนวชเปน็ สามเณรเมอ่ื พระชนมายเุ พยี ง ๑๒ พรรษา
และจ�าพรรษาอยู่ท่ีวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ราชวรมหาวหิ าร ทรงเปน็ ศษิ ยข์ องสมเดจ็ พระพนรตั น ์
พระรปู สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส (แก้ว) พระองค์เจ้าสามเณรวาสุกรีประทับจ�าพรรษา
ณ พระตา� หนกั วาสกุ รี กรงุ เทพฯ และศึกษาอยใู่ นวัดพระเชตพุ นฯ จนส้นิ รัชกาลที ่ ๑

75

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู
ขอใดเปนจดุ ประสงคของการแตง เรอื่ งลิลิตตะเลงพาย
1. ปางปน ธเรศอํารุง โลกเลีย้ ง 1 ลลิ ติ ตะเลงพา ย ไดร บั การยกยอ งอยใู นลลิ ติ ชน้ั สงู เสมอดว ยลลิ ติ ยวนพา ย
2. บรรจงเสาวเลขแลว หลายคุง ขวบฤๅ และลลิ ติ พระลอ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรสทรงแทรกบทชมไม
3. ทาํ นกุ เชตุพนผดงุ เผดิมตกึ เต็มเอย ชมนก ชมเนอ้ื และครวญสวาทไวป ระมาณ 1 ใน 5 ของเนอ้ื เรอ่ื งทง้ั หมด ตวั ละคร
4. เฉลิมพระเกียรตผิ านเผา เจาจกั รพรรดิแผนสยาม สาํ คญั ไดแ ก สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พระมหาอปุ ราชา และสมเดจ็ พระวนั รตั
2 วรรณคดีเฉลิมพระเกยี รติ หรอื เรยี กอกี อยา งวา วรรณคดยี อพระเกยี รติ หมายถงึ
วเิ คราะหคําตอบ คําประพันธใ นแตล ะขอถอดความได ดงั นี้ การเฉลมิ พระเกยี รติของพระมหากษตั รยิ  วรรณคดยี อพระเกียรตนิ อกจากจะมเี นอื้ หา
ขอ 1. เมอ่ื ครงั้ ทพี่ ระเจา แผน ดนิ ไดค รองราชย ขอ 2. เรอ่ื งลลิ ติ สรรเสริญพระเกียรตขิ องพระมหากษัตรยิ แ ลว ยังทาํ หนาทีบ่ นั ทกึ เหตุการณแ ผนดิน
ตะเลงพา ยนไ้ี ดแ ตง มานานหลายป ขอ 3. ตง้ั แตบ รู ณะวดั พระเชตพุ น- ในเชงิ ประวตั ิศาสตรเ ปนการสรรเสรญิ พระเกียรตขิ องพระมหากษัตริย เนื้อหา
วมิ ลมงั คลาราม ขอ 4. เฉลมิ พระเกยี รตกิ ษตั รยิ ผ ยู ง่ิ ใหญแ หง สยาม ลักษณะเชนนป้ี รากฏอยใู นวรรณคดีหลายเรือ่ ง เชน ลิลิตยวนพาย เพลงยาว
ขอ ทแี่ สดงใหเ หน็ จดุ มงุ หมายของการแตง คอื “เฉลมิ พระเกยี รตผิ า นเผา เฉลิมพระเกยี รติ หรือโคลงเฉลมิ พระเกียรติตา งๆ รวมทง้ั วรรณคดที ี่ตองการบนั ทึก
เรือ่ งราวสาํ คัญบางประการ เชน โคลงชะลอพระพทุ ธไสยาสน เปน ตน ถอื เปนหนงึ่
เจา จกั รพรรดแิ ผน สยาม” ตอบขอ 4. ในการจําแนกวรรณคดตี ามลักษณะเน้ือหา

ค่มู ือครู 75

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

นักเรยี นกลุมท่ี 1 มานาํ เสนอความเปน มาของ สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลท่ี ๒) ได้ทรงผนวชเป็น
วรรณคดีเรื่องลลิ ติ ตะเลงพา ยในประเดน็ ตอ ไปนี้ พระภิกษุเมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๓๕๔ ทรงได้รับพระสมณฉายาว่า “สุวัณณรังษี” ทรงผนวชอยู่ได ้
๓ พรรษา สมเด็จพระพนรัตน์อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ ถึงแก่มรณภาพ เม่ือพระบาทสมเด็จ
• เพราะเหตใุ ดลลิ ติ ตะเลงพายจึงถูกจัดวา เปน พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั (รัชกาลท ่ี ๒) เสดจ็ พระราชดา� เนินมาทว่ี ัดพระเชตุพนฯ พระองค์โปรด
วรรณคดเี ฉลมิ พระเกยี รติ แต่งตั้งให้พระองค์เจ้าพระ “สุวัณณรังษี” เป็นพระราชาคณะและอธิบดีสงฆ์ วัดพระเชตุพนฯ
(แนวตอบ เร่ืองลลิ ติ ตะเลงพา ยเปน เรอื่ งหนึ่ง ตอ่ มาทรงไดร้ ับเล่ือนขน้ึ เป็นเจ้าต่างกรม คอื “กรมหมนื่ นุชิตชโิ นรส ศรีสคุ ตขัตติยวงศ”์ และดา� รง
ท่พี ระบาทสมเด็จพระนั่งเกลาเจา อยูห ัวทรง พระยศน้ีอยจู่ นส้ินรัชกาลของพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ ี ๓)
โปรดเกลาฯ ใหสมเดจ็ พระมหาสมณเจา เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๔) เสด็จข้ึนเสวยราชสมบัติแล้ว
กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรสทรงพระนพิ นธขน้ึ มีพระบรมราชโองการประกาศเลือ่ น “กรมหมนื่ นชุ ติ ชโิ นรส ศรีสุคตขตั ติยวงศ”์ ให้ดา� รงต�าแหนง่
เพอื่ จารึกลงบนแผนหินออนและนําไปประดับ สกลมหาสงั ฆปรณิ ายก ณ วนั ศกุ ร์ ขึ้น ๔ ค�่า เดอื น ๙ ปีกุน จลุ ศักราช ๑๒๑๓ (พ.ศ. ๒๓๙๔)
ไวทีว่ ัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม เพอ่ื ให และได้เลื่อนพระอิสริยยศสูงข้ึนตามล�าดับ คือ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประชาชนทวั่ ไปและคนรนุ หลงั ไดศ ึกษา ทรงสถาปนากรมสมเด็จพระปรมานชุ ติ ชิโนรสเปน็ “สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ
เลาเรียน หาความรไู ดโดยสะดวก ทง้ั นีท้ ี่ ชโิ นรส” เมือ่ วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔
ทรงพระนพิ นธล ลิ ติ ตะเลงพา ยขน้ึ ดว ยจดุ พระองค์ทรงเช่ียวชาญท้ังคดีโลกและคดีธรรม และเช่ียวชาญด้านอักษรศาสตร์เป็น
มงุ หมายเฉลมิ พระเกียรติสมเด็จพระนเรศวร อยา่ งยิ่ง มผี ลงานพระนพิ นธ์ต่างๆ มากมาย เชน่ กฤษณาสอนน้องคา� ฉนั ท์ พระปฐมสมโพธกิ ถา
มหาราชแหง กรงุ ศรอี ยธุ ยาทท่ี รงชนะการทาํ ศกึ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ๑๑ กัณฑ ์ สรรพสทิ ธิค์ �าฉนั ท์ สมทุ รโฆษคา� ฉันท ์ เป็นต้น และเปน็
ยทุ ธหัตถีกับพระมหาอปุ ราชา ดังเนื้อความวา พระอาจารยข์ องเจ้านายหลายพระองค ์ เชน่ รัชกาลท่ ี ๓ และรชั กาลท่ี ๔
“...เฉลิมพระเกยี รติแผน เผา เจา จักรพรรดิ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส มีพระชนมายุอยู่ในสมัยรัชกาลท่ี ๔
แผน สยาม สมญานามนฤเบศ นเรศวรนรนิ ทร. ..” เพยี ง ๒ พรรษา กป็ ระชวรดว้ ยพระโรคชราและสิ้นพระชนม์เม่ือวันศกุ ร์ เดอื นอา้ ย ขึ้น ๙ ค่า� ปีฉลู
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงมีวีรกรรม เบญจศก จุลศักราช ๑๒๑๕ เวลาบา่ ย ๓ โมง ตรงกบั วนั ท ่ี ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๖ สริ ริ วม
ดานการรบและเปน วีรบุรุษของชาตไิ ทย พระชนมายุได ้ ๖๔ พรรษา พระองค์อยู่ในสมณเพศเกอื บจะตลอดพระชนมช์ พี รวมระยะเวลาใน
ดังนั้น ลลิ ติ ตะเลงพายจงึ จัดวา เปนวรรณคดี รม่ กาสาวพสั ตร์ได ้ ๕๒ พรรษา
เฉลมิ พระเกียรต)ิ
สรรพส์ าระ สงครามยทุ ธหัตถี
• เพราะเหตุใดลิลติ ตะเลงพา ยจึงถกู จัดวา เปน
วรรณคดีในเชงิ ประวัติศาสตร สงครามยุทธหัตถี เป็นการรบแบบกษัตริย์ในสมัยโบราณ
(แนวตอบ ลลิ ติ ตะเลงพายเปน วรรณคดีทนี่ ํา ดงั ทสี่ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงกระทา� กบั พระมหาอปุ ราชาแหง่
เนอื้ หามาจากบันทึกพระราชพงศาวดาร พม่า การท�ายทุ ธหตั ถีจะใช้ชา้ งเป็นพาหนะ โดยแมท่ ัพน่ังอย่บู นคอ
กรุงศรีอยุธยาฉบับพนั จนั ทนุมาศ (เจมิ ) ป ชา้ ง ถอื ของา้ วเปน็ อาวธุ และมผี ทู้ นี่ งั่ อยบู่ นกบู คอยโบกหางนกยงู เปน็
พ.ศ. 2133 เปน เรือ่ งราวการชนะศึกยุทธหตั ถี สัญญาณซ้ายขวา ส่วนควาญช้างจะอยู่ท้ายช้าง ท่ีเท้าช้างทั้งสี่มี
ของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทที่ รงทาํ ศกึ กบั นายทหารพร้อมอาวุธคอยรกั ษา เรยี กวา่ จาตรุ งคบาท
พระมหาอปุ ราชา พระราชโอรสของพระเจา
นนั ทบเุ รง กษตั รยิ แ หง พมา โดยแทรก 76
จนิ ตนาการบทครวญอาลยั ของพระมหา
อุปราชาไวใ นเน้ือเร่ือง จงึ ทาํ ใหการอานบันทกึ
ทางประวตั ศิ าสตรน มี้ คี วามนา สนใจยิ่งขึ้น)

เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
การแทรกบทครวญอาลยั ของพระมหาอปุ ราชาในวรรณคดีเร่ือง
ครูผูสอนควรเพิ่มเตมิ ความรู ความเขาใจเกย่ี วกบั คณุ คา ของวรรณคดีเร่ือง ลิลติ ตะเลงพา ย สงผลอยา งไรตอ วรรณคดเี รื่องนใ้ี นฐานะบนั ทึก
ลิลติ ตะเลงพา ย โดยเนน ชแี้ จงลักษณะเดน ของลลิ ติ ตะเลงพายใหน กั เรียนฟง ดังน้ี ทางประวัตศิ าสตร
1. ชวยเทิดพระเกยี รตพิ ระมหาอปุ ราชา
1. เน้อื เร่ือง เปน ประวตั ศิ าสตรตอนสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทาํ ยทุ ธหตั ถี 2. ชว ยใหบ นั ทึกทางประวัตศิ าสตรม คี วามนา สนใจยิง่ ข้นึ
กับพระมหาอปุ ราชา นบั เปน ตอนทส่ี าํ คญั ของไทย 3. ชวยนําเสนอขอ เท็จจรงิ ทางประวตั ิศาสตรไดเ ดนชดั ยิ่งขึ้น
4. ชว ยใหบ นั ทกึ ทางประวตั ศิ าสตรม คี วามเปน วรรณคดมี ากยงิ่ ขน้ึ
2. ลลิ ติ ตะเลงพายมรี สทางวรรณคดีครบท้ัง 9 รส (รสวรรณคดีตามตําราบาลี วเิ คราะหคาํ ตอบ ชวยใหบนั ทกึ ทางประวตั ิศาสตรมีความนาสนใจ
สนั สกฤต) ดงั นี้ 1. ศฤงคารรส รสแหงความรกั 2. หาสยรส รสแหงความ ย่งิ ขน้ึ เปนคาํ ตอบท่ีถกู ตอ งท่ีสุด เนอ่ื งจากการบันทกึ ประวตั ศิ าสตร
ขบขัน 3. รทุ รรส รสแหงความโกรธ 4. วรี รส รสแหง ความกลาหาญในการรบ ในรูปแบบวรรณคดี นอกจากจะกลาวถงึ อารมณ ความรสู กึ จากการ
5. พีภัตสรส รสแหง ความรงั เกียจ ชิงชัง 6. กรณุ ารส รสแหง ความเมตตา ตคี วามของผูแตงแลว ยงั ชว ยใหเ นื้อหาทางประวัตศิ าสตรม ีความ
สงสาร 7. อพั ภูตรส รสแหงความประหลาดใจ 8. ภยานกรส รสแหงความกลวั นาสนใจมากยง่ิ ขึ้น สว นในขออน่ื ๆ นนั้ ไมไ ดเนน ความสาํ คญั ของ
9. ศานติรส รสแหงความสงบ งานบันทึกทางดา นประวตั ศิ าสตร ตอบขอ 2.

3. ใหค วามรเู ก่ยี วกับความคดิ ความเช่ือตางๆ ในสมัยกอน เชน การจดั ทพั
การแตง กายของกษตั รยิ  การเคลือ่ นพล เปน ตน

4. เปนวรรณคดที ่ีทาํ ใหเกิดความรกั และเสียสละเพ่อื ชาติ

76 คูม่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand
Explain Evaluate
อธบิ ายความรู้
Explain

๓. ลลิลกัิตตษะเณลงพะ่าคย1เำ�ป็นปวรรระณพคดนั ีแนธว์ประวัติศาสตร2์และเป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติ 1. นักเรยี นกลมุ ที่ 2 นาํ เสนอประวตั ิผแู ตง
สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ิต-
ชโิ นรสหนาช้ันเรียน เพื่อนๆ บันทึกความรูท่ี
นบั เปน็ วรรณคดที มี่ งุ่ สดดุ วี รี กรรมดา้ นการรบของวรี บรุ ษุ ของชาต ิ คอื สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ไดจากการนําเสนอลงสมดุ
แต่งเป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพ อันได้แก่ โคลงสองสุภาพ
โคลงสามสภุ าพ และโคลงสส่ี ภุ าพ สลบั กนั ตามความเหมาะสมของเนอื้ หา โดยเรมิ่ ตน้ ดว้ ยรา่ ยสภุ าพ 2. นกั เรยี นกลุมที่ 3 นําเสนอลกั ษณะคาํ ประพันธ
ซึ่งมีเน้ือหายอพระเกียรติและชื่นชมความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง โดยแต่งให้ค�าสุดท้ายของ ประเภทลิลิต
บทประพนั ธ์บทต้น สง่ สัมผสั มายงั ค�าท่ี ๑ หรอื คา� ท ่ี ๒ หรอื คา� ท ี่ ๓ ของบทต่อไป เช่อื มกันอย่างน้ี (แนวตอบ ลลิ ติ เปน คาํ ประพนั ธป ระเภทรอ ยกรอง
ตลอดทง้ั เรื่อง เรยี กวา่ เขา้ ลลิ ติ ผสม ซึ่งประกอบดว ยรา ยกบั โคลง เม่อื ครงั้ ที่
ลักษณะคา� ประพนั ธ์ของลิลิตตะเลงพา่ ย มดี ังนี้ เจา พระยาพระคลัง (หน) เปน หลวงสรวิชติ
๑) ร่ายสุภาพ ไดแ ตงเรื่อง “เพชรมงกฎุ ” ในสมัยธนบรุ ี
ร่ายสุภาพบทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้ วรรคหนึ่งมี ๕ ค�า ค�าสุดท้ายของทุกวรรค โดยใชโคลงและรา ยแตงผสานตอ เนื่องกัน
ตอ้ งสัมผัสกบั คา� ท ี่ ๑, ๒ หรอื ๓ ของวรรคตอ่ ๆ ไป เป็นเชน่ น้ีตลอด และจบลงด้วยโคลงสองสภุ าพ ซง่ึ ใชค าํ วา “ลิลติ ” ตามท่ไี ดป รากฏในความวา
ดังแผนผังและตวั อย่างบทประพนั ธ์ ดงั น้ี “...ขอ ยจะนพิ นธล ิลิต โดยตาํ นานนติ ยบุราํ
ในปกรณาํ เวตาล และนิทานเปนประถม...”
่้ ่ ้ ่้ (( จึงใชเรยี กบทนพิ นธท แ่ี ตงดวยโคลงผสาน
สลบั กับรายตอ เน่อื งกันไปต้ังแตนนั้ มา เชน
ตัวอยา่ ง ศรสี วสั ดเิ ดชะ ชนะราชอรนิ ทร ์ ยนิ พระยศเกรกิ เกรยี ง เพยี งพกแผน่ ฟากฟา้ ลลิ ิตโองการแชง นา้ํ ลิลติ พระลอ ลิลิตที่มี
หล้าล่มเลื่องชัยเชวง เกรงพระเกียรติระย่อ ฝ่อใจห้าวบมิหาญ ..... เถกิงพระเกียรติฟุ้งฟ้า แตงในวรรณคดีไทย โดยการจาํ แนกตาม
ลอื ตรลบแหลง่ หลา้ โลกลว้ นสดดุ ี ประเภทของโคลงและรา ยทนี่ าํ มาแตง มี
2 ประเภท คอื ลลิ ติ สุภาพ ซงึ่ ประกอบดวย
๒) โคลงสองสภุ าพ โคลงสุภาพและรายสุภาพ และลลิ ติ ดน้ั
โคลงสองสุภาพมีสามวรรค วรรคหนง่ึ และวรรคสองมีวรรคละหา้ ค�า วรรคท่สี ามมสี ีค่ �า ประกอบดวย โคลงดัน้ กบั รา ยดั้น วรรณคดี
และค�าสร้อยสองคา� บังคบั เอกโทในวรรค ดงั แผนผังและตัวอย่างบทประพันธ ์ ดงั น้ี เรอื่ งลิลิตตะเลงพา ยแตง คาํ ประพันธด ว ย
ลลิ ติ สภุ าพ มจี าํ นวนทงั้ สนิ้ 439 บท โคลงสภุ าพ
่้ ่้ ในลิลติ ตะเลงพา ยมีท้งั โคลงสองสภุ าพ
่้ (( โคลงสามสุภาพ และโคลงสส่ี ภุ าพ)

ตวั อย่าง โคลงสองเป็นอยา่ งน้ ี แสดงแกก่ ุลบตุ รชี้
เชน่ ใหเ้ ห็นเลบง แบบนา

77

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรียนควรรู
คําประพันธในขอใดมีคําตายมากทสี่ ุด
1. อา จอมจกั รพรรดิผู เพ็ญยศ 1 ลิลติ ตะเลงพาย แตง ดวยคาํ ประพันธประเภทลิลติ สภุ าพ ลักษณะคาํ ประพนั ธ
2. แมพ ระเสยี เอารส แกเ สี้ยน แตงสลับกันระหวางรายสภุ าพกบั โคลงสภุ าพ ท้ังหมด 439 บท แบง เปนโคลงสอง
3. จกั เจ็บอรุ ะระทด ทกุ ขใหญ หลวงนา สภุ าพ 45 บท โคลงสามสุภาพ 10 บท โคลงสสี่ ุภาพ 335 บท และรายสุภาพ
4. ถนัดดงั่ พาหาเหยี้ น หนั่ กล้งิ ไกลองค จาํ นวน 49 บท ระยะเวลาในการนิพนธ เรมิ่ นพิ นธต้งั แต พ.ศ. 2359 และจบใน
พ.ศ. 2375 ใชเ วลานานถึง 16 ป
วิเคราะหคําตอบ คําตาย คือ คําที่ประกอบดวยเสียงสระส้ันใน 2 วรรณคดีแนวประวตั ิศาสตร วรรณคดนี อกจากจะเปนเรื่องแตง แลว วรรณคดี
แม ก กา (ยกเวน อาํ ใอ ไอ เอา) และคาํ ทม่ี ตี วั สะกดในมาตรา ยังเปนเครื่องมอื สําคัญในการบนั ทกึ ประวัติศาสตรใหคนรุนหลังไดศ ึกษาเร่อื งราว
แม กก กด กบ เชน นกกระจอกกับนกกระปดู จกิ พรกิ ในการแตง ความรู ความคดิ อารมณ ความรูส กึ รวมถงึ สภาพสงั คมของคนรนุ กอ นหนา ได
โคลงทกุ ชนิดใชค าํ ตายแทนตําแหนง ท่ตี อ งใชคําวรรณยกุ ตเอก การศึกษาวรรณคดใี นเชงิ ประวัติศาสตรน้ันมจี ดุ มงุ หมาย ดงั ตอ ไปน้ี 1. เพอ่ื ให
ขอ 1. มี 4 คาํ ขอ 2. มี 2 คํา ขอ 3. มี 7 คํา และขอ 4. มี 2 คาํ ทราบกําเนิดของวรรณคดแี ตละเรอื่ ง 2. เพอื่ ใหท ราบพัฒนาการทางสติปญญา
รวมถงึ พลังทางปญ ญาของคนในชาติ โดยแสดงออกในรูปศลิ ปกรรมประเภทตา งๆ
ดงั นั้น ขอ ที่ 3 มีคําตายมากทสี่ ดุ ตอบขอ 3. รวมถงึ งานวรรณกรรมดวย 3. เพอ่ื ใหทราบเหตกุ ารณท ี่มอี ทิ ธิพลตอการสรา งสรรค
วรรณคดี ไมว าจะเปน สภาพสังคมและวฒั นธรรมทรี่ วมยคุ สมยั กบั กวี

คูม่ ือครู 77

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู้

นักเรยี นศกึ ษาแผนผังลกั ษณะคาํ ประพันธ ๓) โคลงสามสภุ าพ
และตวั อยา งโคลงสภุ าพในลิลติ ตะเลงพา ย ซงึ่ ไดแก โคลงสามสภุ าพ มจี า� นวนวรรคเพม่ิ จากโคลงสองสภุ าพอกี หนง่ึ วรรค โดยคา� สดุ ทา้ ยของ
โคลงสองสภุ าพ โคลงสามสุภาพ และโคลงสส่ี ภุ าพ วรรคแรก ส่งสัมผัสไปยังค�าที่สามของวรรคที่ ๒ ค�าสุดท้ายของวรรคท่ี ๒ สัมผัสกับค�าสุดท้าย
นักเรยี นสรปุ ความแตกตางของโคลงสภุ าพทง้ั ของวรรคท่ ี ๓ บงั คับ เอก โท ดงั แผนผังและตวั อย่างบทประพนั ธ ์ ดังนี้
สามชนิด
่้ ่้
(แนวตอบ โคลงสองสภุ าพกบั โคลงสามสภุ าพมี ่้ ((
จํานวนคณะเทากัน คือ 1 บท มี 2 บาท แตใ นบาท
ท่ี 2 ของโคลงสามสภุ าพมี 2 วรรค สวนโคลงสอง ตวั อย่าง โคลงสามแปลกโคลงสอง ตามท�านองท่ีแท้
สภุ าพมีวรรคเดียว สมั ผัสบังคับของโคลงสองสุภาพ วรรคหนึง่ พึงเติมแล้ เล่ห์นจ้ี งยล เย่ียงเทอญ
มแี หงเดียว คอื คาํ สดุ ทายของวรรคแรกสัมผัสกบั
คาํ สุดทา ยของวรรคท่สี อง สว นโคลงสามสภุ าพมี ๔) โคลงสส่ี ุภาพ
สมั ผสั บังคบั 2 แหง คือ คําสดุ ทา ยของวรรคแรก โคลงสี่สุภาพมีสี่บาท บาทละสองวรรค วรรคหน้าห้าค�า วรรคหลังสองค�า เฉพาะ
สัมผัสกบั คาํ ที่ 1, 2 หรือ 3 ของวรรคท่ี 2 และคาํ วรรคหลงั บาทท ี่ ๔ ม ี ๔ ค�า ค�าสรอ้ ยมีได้ทา้ ยบาทท ่ี ๑ และ ๓ มบี งั คบั เอก ๗ แหง่ โท ๔ แห่ง
สดุ ทา ยของวรรคท่ี 2 สมั ผัสกบั คาํ สุดทายของวรรค ค�าเอก โท ในวรรคท ี่ ๑ บาทท่ ี ๑ นน้ั สลับที่กนั ได้
ที่ 3 โคลงส่ีสภุ าพมีจาํ นวนคณะ คอื 1 บท มี 4 บาท สว่ นในตา� แหนง่ ทตี่ อ้ งการคา� เอกอาจใชค้ า� ตายหรอื คา� เสยี งสนั้ แทนได ้ แตห่ า้ มใชค้ า� ตาย
วรรคหนามี 5 คาํ สว นวรรคหลงั มี 2 คาํ ยกเวน ในค�าที ่ ๔ วรรคหลังของบาทท่ี ๔ บงั คับ เอก โท ดังแผนผังและตัวอยา่ งบทประพนั ธ์ ดังน้ี
วรรคที่ 2 และ 6 มี 4 คํา มีสมั ผัสบงั คับ 2 แหง
ดงั แผนผัง หนา 78)

ขยายความเขา้ ใจ Expand ่้ ((

นกั เรยี นยกคาํ ประพนั ธป ระเภทลลิ ติ จากวรรณคดี ่้
เร่อื งอื่น เชน ลลิ ติ ยวนพาย ลลิ ิตพระลอ เปน ตน ่ ่( (
ใหตรงกับแผนผังลักษณะคาํ ประพันธโ คลงสุภาพใน ่้
ลิลิตตะเลงพาย ทั้งโคลงสองสภุ าพ โคลงสามสุภาพ ่้
และโคลงสส่ี ุภาพ ตวั อย่าง อา้ จอมจกั รพ2รรดผิ ู้
1
(แนวตอบ ครูพิจารณาการยกตัวอยางคาํ ประพนั ธ แมพ้ ระเสียเอารส เพ็ญยศ 3
ใหตรงตามรปู แบบของโคลงสภุ าพชนิดตางๆ) จกั เจบ็ อุระระทด
ถนัดดัง่ พาหาเหย้ี น แก่เสี้ยน
ทกุ ขใ์ หญ ่ หลวงนา
ห่นั กลิ้งไกลองค์

78

นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
“สองสุรยิ พงศผา นหลาขับคเชนทรบ า ยหนา แขกเจา จอมตะเลงแลนา”
1 เพญ็ โดยทวั่ ไปหมายถงึ เตม็ สว นในบทประพนั ธนี้ ใชเพอ่ื แสดงพระเกียรติ ขอความขา งตนเปน คาํ ประพนั ธประเภทใด
ของพระมหากษตั ริย รวมถึงสรรเสรญิ พระเกยี รติของพระมหากษัตริย และแสดง 1. โคลงสองสุภาพ
พระบารมขี องพระมหากษัตริยวา เปย มลน ไปดวยพระบารมี 2. โคลงสามสภุ าพ
2 เอารส หรอื ใชวา โอรส หมายถงึ ลกู ชาย (เปนคําราชาศพั ทใชแกเ จานาย) 3. โคลงสี่สุภาพ
ในภาษาบาลี คําวา โอรส หมายถงึ ผูเกดิ แตอ ก 4. รา ยสภุ าพ
3 เสยี้ น ขา ศกึ เชน “สระทกุ ขร าษฎรร อนเส้ียน” ในวรรณคดเี รื่อง นิราศนรินทร
คาํ โคลง หรอื “เหือดเสี้ยนศึก สยาม ส้นิ นาฯ” ในวรรณคดเี รือ่ งลิลิต วเิ คราะหคาํ ตอบ จากจํานวนคําทัง้ หมดของขอความขางตนมี
ตะเลงพา ย 16 คาํ ทัง้ นพ้ี ิจารณาตําแหนง คําเอก คําโท จึงควรเปนดงั น้ี
“สองสรุ ยิ พงศผ านหลา ขับคเชนทรบ า ยหนา
แขกเจา จอมตะเลง แลนา”
ตรงคําวา “แลนา” เปน คาํ สรอ ยซงึ่ มีหรอื ไมม กี ็ได ลักษณะ
คําประพันธข างตนนเ้ี ปน โคลงสองสภุ าพ ตอบขอ 1.

78 คมู่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

๔. เร่ืองย่อ นกั เรยี นกลุมท่ี 4 นาํ เสนอเร่ืองยอของ
วรรณคดเี ร่อื งลลิ ิตตะเลงพา ยโดยเลา ตอกนั
เร่ืองตะเลงพ่ายนี้ ค�าว่า ตะเลง หมายถึง มอญ พ่าย แปลว่า แพ้ ค�าว่า ตะเลงพ่าย
แปลตามตัวอักษรคอื มอญแพ้ แตพ่ มา่ เปน็ ผปู้ กครองมอญอยู่ คา� ว่าตะเลงในที่นจี้ งึ หมายถงึ พมา่ (แนวตอบ นกั เรยี นสรปุ เร่ืองยอทเี่ พอ่ื นนําเสนอ
เปน สาํ นวนภาษาของนักเรยี นเอง)

และมอญเปน็ ผแู้ พส้ งคราม เรอื่ งนม้ี ี ๑๒ ตอน เรม่ิ เรอื่ งดว้ ยการกลา่ วถงึ การสนิ้ พระชนมข์ องสมเดจ็ ขยายความเขา้ ใจ Expand
พระมหาธรรมราชาธริ าช สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงขน้ึ ครองราชยโ์ ดยมสี มเดจ็ พระเอกาทศรถ
เป็นพระมหาอุปราช พระเจ้าหงสาวดีทรงทราบข่าวไทยผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ก็ปรารภจะมาตี นกั เรยี นพจิ ารณาเรื่องยอของวรรณคดีเรือ่ ง
แไทลยะมเพลี ่ือาหงสยงังั่ หเชริงณ 1 ์จแงึ ตมถ่ ีพกู รพะรราะรชาบชัญบชดิ าาใปหร้พามระามส2ห จางึ อจปุ า� รใจายชกายทกพั ทมพั าตมไีาทตยไี ท เยม อ่ื พลราะนมาหงสาอนปุมรแาลชว้ ากฝย็ นั กรท้าพัย ลิลติ ตะเลงพา ยเปรยี บเทียบกบั ลิลิตยวนพา ยใน
เขา้ มาทางเมืองกาญจนบรุ ี ประเดน็ ตอ ไปน้ี
ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรปรารภจะไปตีเขมร
คร้ันรู้ข่าวก็ทรงเตรียมการสู้ศึกพม่า ทรงตรวจ • การต้งั ช่อื เรอ่ื ง
และตระเตรียมกองทัพ พระมหาอุปราชาทรง • จุดมงุ หมาย (การเฉลิมพระเกียรติ
ปรึกษาการศึก แล้วยกทัพเข้ามาปะทะทัพหน้า
ของไทย ส่วนสมเด็จพระนเรศวรก็ทรงปรึกษา พระมหากษตั รยิ )
เพอื่ หาทางเอาชนะขา้ ศกึ เมอื่ ทพั หลวงเคลอื่ นพล • การเร่ิมเร่ือง (เรม่ิ เรื่องดว ยบทไหวครู)
ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรและช้างทรงของ • การกลา วถงึ ความเปน มาของการแตง วา
สมเด็จพระเอกาทศรถก�าลังตกมัน ก็เตลิดเข้าไป
ในวงล้อมของข้าศกึ ณ ต�าบลตระพังตรุ สมเด็จ แตงเพอ่ื อะไร มีวตั ถปุ ระสงคใดบา ง
พระนเรศวรทรงกระท�ายุทธหัตถีกับพระมหา และอยางไร
• บทสง ทา ยเปนบทสรปุ เน้อื ความ

ภาพจติ รกรรมฝาผนงั การทา� ยทุ ธหัตถรี ะหวา่ ง ตรวจสอบผล Evaluate
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชกบั พระมหาอปุ ราชา
ณ วัดสุวรรณดาราราม จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา

อุปราชา ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถนั้นทรงกระท�ายุทธหัตถีกับมางจาชโรและได้รับชัยชนะ 1. นักเรียนอธิบายลักษณะคําประพนั ธประเภท
ท ั้งสองสพมรเะดอ็จงพค์ รเะมน่อื เพรศรวะมรทหรางอปุปูนราบช�าาเหถูกนฟ็จ3ทันขหาาดรคแอลชะป้างร ึกกษอางโททัพษหนงาสยาทวัพดกีนแ็าตยกกพองา่ ทยกี่ตลาับมไชป้างทรง โคลงสุภาพชนิดตางๆ ในวรรณคดีเรอ่ื ง
เข้าไปในกองทัพพม่าไม่ทัน สมเด็จพระวันรัตทูลขอพระราชทานอภัยโทษแทนแม่ทัพนายกอง ลิลติ ตะเลงพายได
ท้งั หมด สมเด็จพระนเรศวรกโ็ ปรดพระราชทานอภัยโทษให้ โดยให้ยกทพั ไปตที วายและตะนาว4ศรี
เเปปน็็นกเมารือแงกขต้ ึ้นวั5 จสามกเนดนั้ ็จไพดรท้ ะรนงจเรดั ศกวารรจทึงา� ทนรบุ งา� รรับงุ หทวัูตเเมชอื ียงงทใาหงมเห่แนลอืะ เเรจื่อา้ งเมจอืบงลเงชดยี ้วงใยหกมาม่รายสอวพารมะภิ เกกั ดียข์ิรตอิ 2. นักเรียนยกคําประพนั ธป ระเภทลิลติ จาก
สมเด็จพระนเรศวร ตอนท้ายกล่าวถึงธรรมะส�าหรับพระเจ้าแผ่นดินและบอกจุดมุ่งหมายใน วรรณคดีเร่ืองอืน่ ใหต รงกบั แผนผงั ลกั ษณะ
การแตง่ บอกชอื่ ผแู้ ตง่ สมยั ทแี่ ตง่ และคา� อธษิ ฐานของผทู้ รงพระนพิ นธ ์ คอื ขอใหบ้ รรลโุ ลกตุ รธรรม คาํ ประพันธโ คลงสุภาพในลิลิตตะเลงพายได

3. นักเรยี นเปรียบเทียบความเหมอื นและความตาง
ระหวา งวรรณคดเี ร่อื งลลิ ติ ตะเลงพายกับเร่ือง
ลิลติ ยวนพายจากการอา นเรื่องยอ ได

แตถ่ ้ายงั เวยี นว่ายตายเกิดอยู่ก็ขอให้ได้เป็นกวีทุกชาติไป

79

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรยี นควรรู
“จึ่งไทเทเวศอา ง สมมตุ ิ
มิ่งมหิศวรมกฎุ เกศหลา 1 ลางสงั หรณ ลางทีด่ ลใจทาํ ใหเชอื่ วา อาจจะมเี หตุดีหรือเหตรุ ายเกดิ ข้นึ เชน
เถลิงภพแผนอยธุ - ยายง่ิ ยศแฮ จง้ิ จกตกมาตายตอ หนา เชือ่ วา เปนลางสงั หรณจะทําใหเ กิดเหตุรา ย เปนตน

แสดงพระเดชฟงุ ฟา เฟองดา วดินไหว” 2 ปรามาส อา นวา ปรฺ า-มาด หมายถึง ดูถูก มคี าํ พองรูป ซง่ึ เปน คาํ ภาษาบาลี
บทประพนั ธขา งตน บาทใดแสดงจดุ ประสงคในการแตงเร่อื ง เขยี นวา ปรามาส อา นวา ปะ-รา-มาด หมายถึง การจบั ตอ ง การลูบคลํา
ลิลิตตะเลงพา ย
1. บาทท่ี 1 2. บาทท่ี 2 3 ปนู บาํ เหนจ็ รางวลั คา เหน่ือย คา ความชอบเปน พิเศษ เชน ปูนบําเหน็จ
3. บาทท่ี 3 4. บาทที่ 4 เงนิ ตอบแทนที่ไดท าํ งานมา ซึ่งจา ยครัง้ เดียวเมื่อออกจากงาน เปนตน ภาษา
กฎหมาย หมายถงึ เงินตอบแทนความชอบทไ่ี ดรบั ราชการมา ซง่ึ จายคร้งั เดยี วเม่ือ
วิเคราะหคําตอบ บาททแี่ สดงจดุ ประสงคใ นการแตง คอื บาทที่ 4 ออกจากงาน ในบทประพันธน ้ี หมายถึง รางวัลทีเ่ ปนผลตอบแทนความดีความ
“แสดงพระเดชฟงุ ฟา เฟอ งดา วดินไหว” มีเน้อื หาสรรเสรญิ ชอบจากการทําศกึ
พระเกียรติ หรอื ยอพระเกียรติของพระมหากษตั รยิ ส อดคลองกับ
จุดประสงคใ นการแตง วรรณคดเี รอ่ื งลิลติ ตะเลงพา ยมากทีส่ ดุ 4 สวามิภกั ดิ์ ยอมตนหรือมอบตนอยูใตอ าํ นาจ เชน ขาศกึ เขามาสวามภิ ักด์ิ
สามภิ ักดิ์ กว็ า เปน คาํ สมาสแบบมีสนธิ มาจากคําวา สฺวามินฺ + ภกตฺ ิ ในภาษา
ตอบขอ 4. สันสกฤต หมายถงึ ความซื่อตรงตอเจา

5 เมืองขึ้น เมอื งที่เปนขาขอบขัณฑสีมา คูม่ ือครู 79

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครสู นทนากับนักเรียน และใหนักเรยี นชวยกัน ๕. เน้อื เรอื่ ง
ตอบคําถาม ดงั นี้
ล ลิ ติ ตเนะ่ืองเลจางกพลลิ า่ิตยตะเลงพ่าย1 มคี วามยาวมาก ไม่อาจเรียนได้จบในเวลาจา� กัด จึงไดน้ า� มา
• นกั เรียนคิดวา วรรณคดที แ่ี ตง เปน ลิลิต ให้เรียนเพียงบางตอน ตอนใดท่ีข้ามไปได้ใส่เครื่องหมาย “ฯลฯ” ให้เป็นที่สังเกต โดยมี
เหมาะกบั เนอื้ เรอื่ งทม่ี ลี กั ษณะใด เพราะเหตใุ ด บทประพนั ธท์ รี่ วมไว้ทงั้ ส้ิน ๑๒ ตอน ดงั น้ี
(แนวตอบ เหมาะกบั เร่อื งที่ตอ งการเลาเร่อื ง
และเปน เรอ่ื งทเี่ กยี่ วกบั กษตั รยิ  มคี วามสงา งาม)

สา� รวจคน้ หา Explore ตอน ๑
เรม่ิ บทกวี
นกั เรยี นแบงกลุมเปน 6 กลมุ แตละกลมุ ศกึ ษา หลา้ ล่มเ๏ร๑ล่า ื่อยงศชรยั ีสเชววัสงด 2ิเเดกรชงะพ รชะนเกะยี รราตชิรอะรยิน่อท ฝร์ ่อใยจินหพ้ารว ะบย ศมเหิการญิกเ กลราียญงใ จแเพกียลง้วพ บก แมผิก่นลฟา้ าบก ฟค้า้า
วรรณคดีลลิ ิตตะเลงพายจากหนงั สอื เรียนกลุม ละ อาตมอ์ อกรงค๑์ บ คงอาตม์ออกฤทธ์ิ๒ ทา้ วท่ัวทิศทว่ั เทศ ไทท้ ุกเขตทุกดา้ ว น้าวมกุฎมานบ
2 ตอน ดงั นี้ น้อมพิภพมานอบ มอบบัวบาทวิบุล อดุลยานุภาพ ปราบดัสกรแกลนกลัว หัวหั่นหาย
กายกลาด ดาษเต็มท่งเต็มดอน พม่ามอญพ่ายหนี ศรีอโยธยารมเยศ พิเศษสุขบ�าเทิง
• กลุมที่ 1 ศกึ ษาตอน 1 เริม่ บทกวี สเย�า็นเรพิงิภราพชดสับถยาุคน สสน�าุกรสาญบสราีมชา3ส ถสิต�่า เสพนิพาินธโอภบคเสกมลบ้า ัตสิ ่�าพสิพนัฒมเนฝ์โ้าภฝค่าสยมในบ ูรณส่�า์ พพลูนไกพริภเกพรดิกับหเขา็ญญ
และตอน 2 เหตกุ ารณทางกรงุ หงสาวดี สา่� พลสารสินธพ สบศาตราศรเพลิง เถกงิ พระเกยี รตฟิ ุ้งฟา้ ลือตรลบแหล่งหล้า โลกลว้ นสดุด ี
โคลง๏๒ ๔ บญุ เจา้ จอมภพพน้ื
• กลมุ ที่ 2 ศึกษาตอน 3 พระมหาอุปราชา แผ่นสยาม
ยกทพั เขา เมอื งกาญจนบุรี และตอน 4 แสยงพระยศยินขาม ขาดแกลว้
สมเดจ็ พระนเรศวรทรงปรารภเรอ่ื งตเี มอื งเขมร พระฤทธิ์ดั่งฤทธ์ิราม รอนราพณ์ แลฤๅ๓
ราญ๏๓อ รริ ไาพชรแนิ ผทว้ ร นา ศ เพ้ียง แผกแพ้ทกุ ภาย
• กลุมท่ี 3 ศกึ ษาตอน 5 สมเดจ็ พระนเรศวร พระดั่งองค์อวตาร พลมาร
ทรงเตรยี มการสูศกึ มอญ และตอน 6 แตก่ ี้
พระนเรศวรทรงตรวจเตรยี มทัพ แสนเศกิ ห่อนหาญราญ รอฤทธิ์ พระฤๅ
ดาล๏๔ต ระเดสรก็จเดเสชวลยี ้ ศ ว รรเยศอ้าง ประลาตหล้าแหลง่ สถาน
• กลุมท่ี 4 ศกึ ษาตอน 7 พระมหาอปุ ราชา ไอศรู ย ์ สรวงฤๅ
ทรงปรกึ ษาการศกึ แลวยกทัพเขาปะทะทพั เย็นพระยศปูนเดอื น เด่นฟ้า
หนา ของไทย และตอน 8 สมเด็จพระนเรศวร เกษมสุขส่องสมบูรณ์ บานทวปี
ทรงปรึกษายุทธวธิ เี อาชนะขา ศกึ สวา่ งทกุ ข์ทุกธเรศหลา้ แหลง่ ล้วนสรรเสรญิ
ฯลฯ
• กลมุ ที่ 5 ศึกษาตอน 9 ทพั หลวงเคลอ่ื นพล ๑
ชางทรงสมเดจ็ พระนเรศวรและสมเด็จพระ ๒ บ ค้าอาตม์ออกรงค ์ ไมก่ ล้าปรากฏตัวออกสู้รบ
เอกาทศรถฝา เขาไปในกองทัพขา ศึก และ ๓ บ คงอาตมอ์ อกฤทธ์ิ ไม่กลา้ อยูส่ ู้หนา้ และแสดงฤทธิ์
ตอน 10 ยุทธหตั ถี และชยั ชนะของไทย พระฤทธิ์ดง่ั ฤทธริ์ าม รอนราพณ์ แลฤๅ ฤทธ์ิของพระมหากษตั รยิ ์สยามน้ัน เทยี บได้เทา่ กบั ฤทธ์ิของพระรามทีป่ ราบทศกณั ฐ์ลงได้

• กลมุ ที่ 6 ศกึ ษาตอน 11 สมเดจ็ พระนเรศวร
ทรงสรางสถปู และปนู บาํ เนจ็ ทหาร
และตอน 12 ขอพระราชทานอภยั โทษ

80

นกั เรียนควรรู บูรณาการเชอ่ื มสาระ
ครูบรู ณาการความรูเร่ืองการแตง กายของตัวละครในเรอื่ ง
1 ลลิ ิตตะเลงพา ย ในประวัตศิ าสตรอ าจจะจดบันทกึ ไวเ พยี งไมก ี่บรรทดั ผอู า นก็ ลลิ ิตตะเลงพายเช่อื มกับกลุมสาระการเรียนรูศ ลิ ปะ วชิ านาฏศิลป
อาจจะอา นขา มๆ ไปโดยไมท นั สงั เกตและจดจาํ ถา ไดอ า นลลิ ติ ตะเลงพา ยจะจาํ เรอ่ื ง จากเนือ้ เร่ืองทม่ี ีการพรรณนาเกีย่ วกับเคร่อื งทรงของตัวพระและ
ยุทธหัตถีไดด ขี นึ้ และยงั เหน็ ความสําคัญของเหตกุ ารณบานเมืองในตอนนน้ั อีกดว ย ตัวนาง ซง่ึ จะใหร ายละเอยี ดเกีย่ วกบั เครื่องแตงกายในสมยั กอ น
เพราะผอู า นไดร บั รสแหงความสขุ ความบันเทิงใจในขณะทีอ่ า นลลิ ิตตะเลงพา ยท่ีนาํ ไดชัดเจนยิง่ ข้ึน การกลา วถึงองคป ระกอบของเครือ่ งแตง กาย
เรือ่ งราวทางประวตั ศิ าสตรม าเปนพน้ื ฐานในการแตง อยา งไรก็ตามลิลิตตะเลงพาย วธิ ีการสวมใส และความงดงามของเคร่อื งแตง กายที่กวีพรรณนา
มิใชเ อกสารวชิ าการสาํ หรบั อางอิงทางประวตั ิศาสตร ตรงกนั ขามประวัติศาสตรต าง ไดอยางประณตี
หากทเ่ี ปนเอกสารอางองิ ของวรรณกรรม ดงั นั้น การใชว รรณกรรมเปน เอกสารอา งอิง
ทางประวตั ิศาสตรจึงอาจคลาดเคลอ่ื นได
2 เชวง อา นวา ชะ-เวง ใชใ นบทประพนั ธป ระเภทกลอน หมายถึง ความรงุ เรือง
เล่ืองลอื รากศัพทมาจากภาษาเขมรคําวา เฌวฺ ง มคี วามหมายวา ปรีชารงุ เรอื ง
3 สีมา เขต แดน เครื่องหมายบอกเขตโบสถ มกั ทาํ ดวยแผน หินหรอื
หลักหิน เปน ตน เรียกวา ใบพทั ธสีมา ใบสีมา หรอื ใบเสมา กว็ า

80 ค่มู ือครู

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

ตอน ๒ นักเรียนกลมุ ที่ 1 นาํ เสนอเก่ยี วกับการเร่มิ
เหตุการณ์ทางกรุงหงสาวดี บทกวีในประเด็นคาํ ถามตอ ไปน้ี
กิดาการ๏ร3๖ า่ ฝ ย่าฝยา่พยสพุธราะรอนอคกรรทาศิ ม๑ัญ ว ่าขอณั ดฑิศ์เวขรตกดษ้าัตวรอาัส ดมงห1 หาธงรสรามวรดาีบชเุ นรศริน 2รท่ัวรร4เู้ ์ หเจตา้ ุ ปบถ มพิหินงึ ท แรห์ผ่ง่าเนอทกิ วอีปึง
ดับชนมชีพพิราลัย เอารสไทนฤเบศ นเรศวรเสวยศวรรยา แจ้งกิจจาตระหนัก จ่ึงพระปิ่น • ในเนื้อความตอนเริม่ บทกวกี ลาวถึงสิง่ ใด
ปเปกั ลธ่ียานษรตารชี บ รุเยีรีตัยนววหิวงาสทาช ธิง ฉกัตบ็ ร5ัญ เชพาื่อพกิภษาษัต รดิยว้์สยอมงวสลู้ มบา ตรย้าางกรรู้เ หวต่านุผลค รรคาวมรินยทารต์ รผพลลัดไแปผเ่นยือดนิน และกลา วถึงอยางไร
เตือนประยุทธ์เอาเปรียบ แม้นไป่เรียบเป็นที โจมจู่ยีย่�าภพ๒ เสนีนบนึกชอบ ระบอบเบ้ือง (แนวตอบ การเริม่ บทกวี หรือบทไหวครบู างที
บรรหาร ธ กเ็ ออื้ นสารเสาวพจน์ แดเ่ อารสยศเยศ องค์อิศเรศอุปราช ให้ยกยาตราทัพ กับนคร กเ็ รยี กบทชมพระนคร ซึง่ การชมพระนครนนั้
เชยี งใหม ่ เปน็ พยหุ ใหญห่ า้ แสน ไปเหยยี บแดนปราจนิ ๓ บตุ รทา่ นยนิ ถอ้ ถอ้ ย ขอ้ ยผขู้ า้ บาทบงส ์ุ นอกจากจะกลาวถงึ บุญญาธิการและ
โหรควรคงท�านาย ทายพระเคราะห์ถึงฆาต ฟังสารราชเอารส ธ กผ็ ะชดบัญชา เจา้ อยุธยามี พระบรมเดชานุภาพของพระมหากษตั รยิ 
บตุ ร ลว้ นยงยทุ ธ์เชย่ี วชาญ หาญหกั ศึก บ มิยอ่ ต่อสูศ้ ึก บ มิหยอน ไปพ่ กั วอนว่าใช้ ให้ ธ หวง ธ แลว ยงั กลาวถึงศิลปะอันเปนเอกลกั ษณ
หา้ ม แม้นเจ้าครา้ มเคราะห์กาจ จงอย่ายาตรยุทธนา เอาพัสตราสตร ี สวมอินทรยี ์สรา่ งเคราะห์ ของไทยแทรกไวดวย ไมวา จะเปน ดา น
ธ ตรัสเยาะเยี่ยงขลาด องค์อุปราชยินสาร แสนอัประมาณมาตย์มวล นวลพระพักตร์ผ่อง สถาปตยกรรมหรือประติมากรรม บทนี้กวี
เผือด เลอื ดสลดหมดคล�้า ช้�ากมลหมองมัว กลวั พระอาชญายอบ นอบประณตบทมูล ทูลลา จะแสดงฝมอื อยา งเต็มท่ีในการกลาวถึง
ไท้ลีลาศ ธ กป็ ระกาศเกณฑพ์ ล บอกยบุ ล บ่ มิหึง ถึงเชียงใหมต่ ระบดั เร่งแจงจดั จตรุ งค ์ ลงมา สิ่งเหลา น้ี ลลี าการเขยี นบทไหวค รูจะแสดง
สูห่ งสา แลว้ ธ ให้หาเมอื งออก บอกทกุ แดนทกุ ดา้ ว บอกทกุ ท้าวทกุ เทศ ท่ัวทุกเขตทุกขอบ ความสามารถสว นตวั ของกวแี ตล ะคนออกมา
รอบสีมามณฑล ทราบนุสนธิ์ทุกแห่ง ต่างตกแต่งแสะสาร แสนยาหาญมหิมา คลาบรรลุ บทนําในลิลิตตะเลงพา ย กลาวถึงอาํ นาจ
เวยี งราช แลสระพราศสระพรง่ั คงั่ คับนบั เหลอื ตรา ตา่ งภาษาต่างเพศ พเิ ศษสรรพแตง่ ตน ของสิ่งศักด์สิ ิทธิ์ เทพเจา ที่เคารพนบั ถอื
ขา้ ศกึ ยลแสยงฤทธ ์ิ บพติ ร ธ เทยี บทัพหลวง โดยกระทรวงพยุหบาตร จักยาตราตรูเ่ ช้า เสดจ็ ทวั่ ทุกเขตสารทิศ กลา วถงึ พระเกียรตยิ ศของ
คนื เขา้ นิเวศไท้ เกรยี มอรุ ะราชไหม้ หม่นเศรา้ ศรสี ลาย อยนู่ า พระมหากษัตรยิ  แสดงความเคารพนบนอบ
โคลง๏๗ ๒ พระผาดผายสูห่ อ้ ง วา เปน ผูมฤี ทธิ์เกรียงไกรทีช่ นะขาศกึ กลา ว
หนุม่๏๘เ หนปา้ วพงประรสะนนมมนบเกล้า หาอนุชนวลน้อง ชมความเจรญิ รงุ เรืองของบานเมือง เมอื่ คร้ัง
เหตุการณสําคัญทกี่ รุงศรอี ยุธยาทําศึกกบั
อยถู่ ๏๙า้ ทลูกสรนตรอะงกองกอดแก้ว งามเสงย่ี มเฟยี้ มเฝ้า พมา และเอาชนะได กลา วถงึ ความรม เยน็
เปนสุขของบา นเมืองในสมัยนัน้ ซ่ึงสะทอน
คลา๏๑ด๐ เคจลา� า้ ใคจลจารสจมากรสร้อย เรยี มจกั ร้างรสแคล้ว ใหเห็นถึงสิ่งท่ีเปนแรงบันดาลใจทมี่ อี ทิ ธพิ ล
ตอกวี เพราะวรรณคดเี ปน เคร่อื งหมายที่
แสดงใหเ หน็ ถึงความสงบสุขของบานเมอื ง
และความเปน ไปของแผน ดิน)

ห่อนช้าคืนสม แม่แล อยูแ่ มอ่ ย่าละห้อย

๑ ฯลฯ

๓ พสุธารออกทิศ แผน่ ดินดา้ นตะวันออกของพมา่ หมายถงึ เมอื งไทย 81
แม้นไปเ่ รยี บเป็นที โจมจยู่ ีย�่าภพ แมม้ ีเหตกุ ารณ์ไม่เรียบรอ้ ย ก็เป็นโอกาสทจี่ ะยกเข้าโจมตี
แดนปราจนิ แผ่นดินทศิ ตะวนั ออก (ของพมา่ ) หมายถงึ เมอื งไทย

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นกั เรียนควรรู

“แมนเจาครามเคราะหก าจ จงอยา ยาตรยุทธนา เอาพัสตราสตรี 1 ขัณฑเขตดา วอัสดง เมืองทางทศิ ตะวันตก มาจากคําวา ขณั ฑ ซึ่งหมายถึง
สวมอินทรียสรางเคราะห” ภาค สว นคาํ วา ดา ว หมายถงึ แดน ประเทศ เชน คนตา งดา ว หรอื ดา น เชน ดา วทา ย
เปน ตน ใชว า ดา นทาย และคาํ วา อัสดง หมายถงึ ตกไป ใชแกพระอาทติ ย เชน
ขอ ใดเปนน้ําเสยี งผพู ูด อาทติ ยอ สั ดง ภาษาสนั สกฤตใชว า อสฺตมฺ
1. เครง เครยี ดเอาจริงเอาจงั
2. ประชดประชนั 2 บุเรศ หรอื บุรี รากศพั ทม าจากภาษาบาลี คําวา ปุร หมายถงึ เมอื ง
3. วิตกกงั วลใจ
4. ลอเลยี น 3 กดิ าการ อาการเลา ลือ เสียงสรรเสริญ ขา วเล่อื งลือ บางทีเขยี นเปน กิฎาการ
วิเคราะหค าํ ตอบ จากเนื้อความขา งตน เปน คาํ กลาวของพระเจา กม็ ี ดังปรากฏในตน ฉบบั วรรณคดเี รื่องลิลิตตะเลงพา ย เชน “แหงเออกองึ กิฎาการ”
หงสาวดที ่ีตรัสกบั พระมหาอุปราชาวา ถา พระมหาอปุ ราชากลัว เปนการสรา งคาํ ดว ยวิธกี ารสมาสอยางมีสนธิ จากคําวา กติ ฺติ + อาการ
เคราะหม ากนกั ก็จงเอาผานุงสตรีมาสวมใสใหสิ้นเคราะห ซงึ่ เปน
คาํ กลา วท่ีตอวา วา ขี้ขลาด โดยประชดวาใหเ อาผา นุงสตรมี าใส 4 นรนิ ทร พระราชา เปนการสรางคําดวยวิธกี ารสมาสอยางมสี นธิ จากคําวา นร
ซงึ่ เปน ทรี่ กู นั ดวี า บรุ ษุ ยอ มไมน งุ ผา สตรี คาํ กลา วเชน นจี้ งึ เตม็ ไปดว ย + อนิ ทฺ รฺ หรอื นร + อศี หรอื นร + อศี รฺ หรอื นร + อศี วฺ ร เปน คาํ พอ งรปู ดงั ตอ ไปนี้
นรินทร นรศิ นรศิ ร นริศวร ซงึ่ เปนคาํ ภาษาสันสกฤต
น้ําเสียงประชดประชัน ตอบขอ 2.
5 ฉัตร โดยทัว่ ไปหมายถงึ เครื่องสงู ชนดิ หนึง่ มีรูปคลายรม ทซี่ อ นกัน
คู่มอื ครู 81

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

นักเรียนกลุมท่ี 1 ศึกษาเน้อื เรือ่ ง ตอน 2 ร่าย
เหตกุ ารณท างกรงุ หงสาวดีในประเด็นตอไปน้ี ๏๒๓
เสร็จเสาวนีย์สง่ั สนม เนอื งบงั คมคา� ราช พระบาท บ ทนั นทิ รา จวนเวลาลว่ งสาง
• สาเหตขุ องการยกทัพมอญไปกรุงศรีอยธุ ยา พ้ืนนภางค์เผือดดาว แสงเงินขาวขอบฟ้า แสงทองจ้าจับเมฆ รังสีเฉกฉายฉัน ไก่แก้วขัน
คืออะไร ธมยเจา้อกื้อรรยยกแยแลกะจิ่น้วยว้ ตเา กดรบยเุล๒หูรบ 3ว ช่าตแาหายหอบแว4มไคว้พอเรวฑสงลียูรทองยาใบ์เบสรอ ือเจคาง่ึงยรจบือขรรจวัสมัลร ไ ยทส์ท ะธรรอริ ังตาิ้งบชรพ๑ัตวัส รนยตวุรปริภยร์พูษาะรติตพรร1 าณยลสงัย นทรสับ่สีรอรเยพงดง 2ลส ชาังา�ฉพวรลาะิศอลอพงเงพฉรคาวร์ ยียบะพง อนอรงางค้อนค์เย พ์ ท มรรชิศกงาแสุฎยุคพทไหนรร้วธวง์
(แนวตอบ เพราะกรงุ ศรอี ยุธยากําลงั อยใู นชวง เทรดิ เกศ อยา่ งอศิ เรศรามัญ สรรเปน็ รปู อุรเคนทร์ เพญพะพานแผเ่ ศยี ร แสงวเิ ชยี รช่อช่วง
ของการผลัดเปลี่ยนแผน ดนิ สถานการณ ธา� มรงคร์ ว่ งรงุ้ พราย รายนพรตั น์ชชั วาล เครื่องอลงการโอ่อ่า งามสง่าขตั ตเิ ยศ พระแสดงเดช
บานเมอื งวุนวาย เพอ่ื จะเปนฝา ยไดเปรียบจงึ ผงั ผาย กุมแสงกรายกรนาด ยุรยาตรอยา่ งไกรสร๓ จากศขี รคหู า ลีลายงั วงั ราช ไหวบ้ ัวบาท
ควรยกทพั ไปในชว งน้ี จึงเหน็ ชอบตรงกนั ให บิตุรงค์ ขอลาองค์ทา่ นไท ้ ไปเผดจ็ ดัสกรให้ เหอื ดเสีย้ นศกึ สยาม สน้ิ นา
พระมหาอปุ ราชากับเจาเมอื งเชยี งใหม
ยกทัพกาํ ลงั พลหาแสนคนไปในครงั้ นี้) โคลง ๒
๏๒๔
• พระมหาอปุ ราชายนิ ยอมในการสศู ึกครง้ั นี้ พระฟังความลูกทา้ ว ลาเสด็จศกึ ด้าว
หรือไม เพราะเหตุใด ดัง่ เบื้องบรรหาร
(แนวตอบ พระมหาอปุ ราชาทรงไมเตม็ พระทัย
ทจี่ ะสศู กึ ในครั้งน้ี ดว ยโหรทํานายวาดวงชะตา โคลง ๓
ถงึ ฆาต แตก ไ็ มอ าจขดั พระราชบดิ าและดว ย ๏๒๕
ขตั ตยิ มานะของกษัตรยิ จึงจําตอ งนาํ ทัพไปยัง ภูบาลอ้ืนอา� นวย อวยพระพรเลศิ ลน้
กรุงศรอี ยุธยา) จงอยธุ ย์อย่าพ้น แห่งเงื้อมมือเทอญ พอ่ นา

โคลง ๔
๏๒๖
จงเจริญชเยศดว้ ย เดชะ
ชาวอยธุ ยอ์ ยา่ พะ พอ่ ได้
จงแพ้พินาศพระ วริ ิยภาพ พอ่ นา
ชนะแดส่ องทา่ นไท ้ ธิราชเจา้ จอมสยาม
๏๒๗ สงครามความเศกิ ซ้ึง แสนกล
แต่ตนื้
จงพ่ออยา่ ยินยล
อย่าลองคะนองตน ตามชอบ ท�านา
การศกึ ลกึ เลห่ พ์ น้ื ล่อเล้ยี วหลอกหลอน

๑ ธริ าช พบในฉบับสมดุ ไทย แต่ในฉบบั พมิ พเ์ ป็น “อปุ ราช”
๒ ชายไหวยอ้ ยยะยาบ ตามฉบับสมุดไทย แตใ่ นฉบบั พิมพ์ “ย้อย” เปน็ “ห้อย”
๓ อยา่ งไกรสร บางฉบับเปน็ ยา่ งไกรสร

82

นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
คาํ ประพันธใ นขอ ใดไมกลาวถึง เครอ่ื งแตง กายของกษัตริย
1 ทรงบวรวภิ ษู ติ ทรงเครอ่ื งกษตั รยิ แ ลว มดี งั นี้ ภษู า หมายถงึ เครอ่ื งนงุ หม ผา ทรง 1. ฉลองพระองคเ พริศแพรว
ชายแครง หมายถงึ ผา หอ ยทบั หนา ขาทงั้ 2 ขา ง สนบั เพลา หมายถงึ กางเกง สังวาล 2. สนบั เพราพิศพรายพรอ ย
หมายถงึ สรอยเคร่ืองประดับชนิดหนงึ่ ใชคลองเฉวยี งบา ตาบทิศ หมายถึง ตาบท่ี 3. สอดสงั วาลเฉวียงองค
ติดกับสงั วาลอยูทสี่ ะเอวและขางหลัง ชฎา หมายถงึ เคร่อื งสวมศีรษะรปู คลา ยมงกุฎ 4. เครื่องอลงการโออ า
ทับทรวง หมายถงึ เคร่อื งประดับชนดิ หนง่ึ เรียกวา “ตาบ” รปู สีเ่ หลย่ี มขนมเปยกปนู วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอ ท่ีกลาวถงึ เครื่องแตง กายของกษัตริยมดี งั นี้
ฝงเพชรพลอย ติดอยตู รงที่ไขวสงั วาล สะพายแลง ทบั หนาอก ปนเหนง หมายถึง ขอ 1. คาํ วา “ฉลองพระองค” หมายถงึ เสอ้ื ขอ 2. คาํ วา “สนบั เพลา”
เขม็ ขดั หมายถงึ กางเกง ขอ 3. คาํ วา “สงั วาล” หมายถงึ สรอ ยเครอ่ื งประดบั
2 ยรรยง งามสงา กลา หาญ ชนดิ หนงึ่ ใชค ลอ งเฉวยี งบา และขอ 4. เครื่องอลงการ หมายถงึ
3 เกยรู สรอ ยออน สายสรอ ย ทองตนแขน กาํ ไล รากศัพทมาจากภาษาบาลี เครือ่ งตกแตง หรือเครือ่ งประดับ ซึง่ มคี วามโออ า แตไ มไ ดร ะบวุ า เปน
สนั สกฤต เครื่องประดบั ตกแตง อะไร ตอบขอ 4.
4 ตาบ เครอื่ งประดบั คอหรอื อกเปน แผน ๆ ถา เปน ตาบสาํ หรบั มา ประดบั ทหี่ นา ผาก

82 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

๏๒๘ จงแจ้งแห่งเหตุเบื้อง โบราณ นกั เรยี นกลมุ ท่ี 1 นาํ เสนอการสรปุ ความ ตอน 2
เหตกุ ารณท างหงสาวดใี นประเด็นตอ ไปน้ี
เป็นประโยชนย์ ทุ ธการ กลา่ วไว้
เอาใจทหารหาญ เรงิ รนื่ อยูน่ า • พระเจากรุงหงสาวดีทรงส่งั สอนพระมหา-
อย่า๏๒ร๙ ะคหนนป่งึ นรใพู้ กยลหุ ้ เศ ิกไสร ้ เกลอื กกลัว้ ขลาดเขลา อุปราชาและใหโอวาทอยางไร
สบสถาน (แนวตอบ พระเจากรงุ หงสาวดีทรงสง่ั สอน
เจนจติ วทิ ยาการ กาจแกลว้ ใหพระมหาอุปราชาเขมแข็ง และใหโอวาท
รเู้ ชงิ พิชยั ชาญ ชุมคา่ ย ควรนา 8 ประการ ดังน้ี
อาจ๏๓จ๐ ักรหอนนึง่ รรณูบ้ แา� เผห้วน จ็ ให้ แผกแพพ้ ังหนี 1. “จงพอ อยา ยนิ ยล แตต ้นื ” คอื อยา หูเบา
ขนุ พล 2. “อยา ลองคะนองตน ตามชอบ ทาํ นา” คือ
อนั สมรรถมือผจญ จดื เสย้ี น อยา ทําอะไรตามใจตนเอง
อย่าหยอ่ นวิรยิ ะยล อย่างเกยี จ 3. “เอาใจทหารหาญ เรงิ รน่ื อยนู า” คอื รจู กั
แปด๏๓๑ป ระจกงจา�ารคก�าลพเทอ่ ยี้ ไซร ร ้ ถอ่ งแทท้ างแถลง เอาใจทหาร
จงประสทิ ธส์ิ มพร ส่งั สอน 4. “อยา ระคนปนใกล เกลอื กกลวั้
พอ่ ให้ ขลาดเขลา” คือ อยา คบคนโง
จงเรอื งพระฤทธิร์ อน อริราช 5. “หนงึ่ รพู ยุหเศกิ ไสร สบสถาน” คือ รอบรู
จงพอ่ ลุลาภได้ เผดจ็ ด้าวแดนสยาม ในการจัดกระบวนทัพและยุทธศาสตร
6. “รเู ชงิ พชิ ยั ชาญ ชมุ คา ย ควรนา” คอื รหู ลกั
๏ร๓๒า่ ย ยเสรุ รยจ็ าสตง่ัรค1ยวงั าเกมยโอชวัยา ทเส ไนทา ้ ธใน ปเตระรสยี ามททพัพร ะสพรรร พแดพ่ภลูธหร้าเสอิบารหสม ืน่ธ กขป็ นุ รคะชณหต่นื รหับาคญ�า แอกา� ลลว้า พชิ ยั สงคราม
7. “หนง่ึ รบู าํ เหนจ็ ให ขนุ พล” คอื มอบความดี
ทา้ วลีลาศ ความชอบแกแ มท พั นายกองทส่ี รา งความดี
ปขทับักรงเชศค้าวชงตแาฉธกัตา้วรรพ4ฉยัทารนธรกฉยาองย อรคอลลรงาักบยตรค2าแชชกบร้วาิมแทเกยกมายตก ราคาญว จาคญนลีพ่์ เคยเยคุหครคื่อัดลงทาพ้คาุดยลตเาทดาียนแ3บคต ลก้วเแส ตคด่งล็จ ้ายแย่าขคง่งเลหส้าียทยียนอบางยทหทอลแเังนกสตลาว้รร ความชอบอยางเหมาะสม
8. “อยา หยอนวริ ยิ ะยล” คือ อยา เกยี จคราน)

ย่างเยื้องธงทอง แลนา ฯลฯ

โคลง๏๔ ๑๒ ถบั ถงึ ทวารกรงุ แก้ว เดยี รดาษพลคลาดแคล้ว
คล่า� คลา้ ยคลาขบวน

โคลง๏๔ ๒๓ ดว่ นเดินโดยโขลนทวาร5 พวกพลหาญแห่หนา้
ลว้ นทแกล้วทกลา้ กลาดกลมุ้ เกลอื่ นสถล มารคนา
ฯลฯ

83

ขอ สอบ O-NET นักเรียนควรรู
ขอ สอบป ’52 ออกเก่ียวกับลกั ษณะคาํ ประพันธในลลิ ติ ตะเลงพาย
ขอความตอ ไปน้ีเมือ่ จดั วรรคถูกตอ งตามฉนั ทลักษณจ ะเปน 1 ยุรยาตร หรอื ยรู ยาตร ใชใ นบทกลอน หมายถึง เดิน อาจแผลงเปน ยวรยาตร
คาํ ประพันธชนิดใด หรอื ยวั รยาตร กม็ ี
“เสดจ็ พน ทวาเรศขามคูเวยี งหวน่ั ฤทัยทานเพียงจักวา พระองค 2 อลงกต ตกแตง ประดับประดา ภาษาบาลใี ชวา อลงกฺ ต สว นสันสกฤตใชวา
กอ็ อนเอยี งเอนอาสนอกระรัวมัวหนา สั่นสานเสยี วแสยง” อลกํ ฺฤต
1. โคลง 2. กลอน 3 พุดตาน โดยท่วั ไปหมายถงึ ชอื่ ไมพ มุ ชนดิ Hibiscus mutabilis L. ในวงศ
3. ฉันท 4. ราย Malvaceae ใบมขี น ขอบใบหยักเวา ดอกสขี าวแลวเปลยี่ นเปน สีชมพู แตใน
วเิ คราะหค าํ ตอบ พิจารณาจาํ นวนคาํ และตําแหนงคาํ เอก คาํ โท บทประพันธน้ี หมายถงึ เครอ่ื งทรงสําหรบั กษัตรยิ 
ซึ่งตาํ แหนง คําเอกหากไมใ ชค ําท่ีมวี รรณยกุ ตเอกจะใชคําตายแทน 4 เศวตฉตั ร ฉตั รขาว ใชเปน เครอ่ื งหมายแหงความเปนพระเจา แผนดิน เปนตน
สามารถจัดขอ ความขางตน เปน โคลงสี่สุภาพได ดังนี้ รากศัพทม าจากภาษาสนั สกฤตใชว า เศวฺ ตจฺฉตรฺ หมายถงึ ฉัตรขาว
เสดจ็ พนทวาเรศขา ม คเู วียง 5 โขลนทวาร ประตทู ท่ี าํ ตามพธิ ไี สยศาสตร เปน ซมุ ประตทู ท่ี าํ ดว ยตน ไมและใบไม
หวน่ั ฤทยั ทา นเพียง จักวา สําหรบั ใหทหารท่ีจะออกศกึ ลอดผาน มีพราหมณน ่งั รา นสูงที่ประตแู ตละดาน
พระองคก็ออ นเอียง เอนอาสน คอยพรมนาํ้ มนต เปน การบาํ รุงขวญั ทหารใหเ ปน สวัสดมิ งคลแกก องทัพทอ่ี อกศึก
อกระรัวมวั หนา สนั่ สานเสยี วแสยง
ตอบขอ 1. ค่มู ือครู 83

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

นักเรียนกลุมท่ี 2 มานําเสนอเหตุการณ ตอน 3
พระมหาอปุ ราชายกทพั เขาเมืองกาญจนบรุ ี ตอน ๓
จากประเดน็ คําถามตอ ไปนี้ พระมหาอปุ ราชายกทัพเขา้ เมอื งกาญจนบุรี
• นกั เรียนอธิบายลักษณะเนอื้ เรอื่ งของลิลติ
โคลง ๒
ตะเลงพา ย ตอน พระมหาอุปราชายกทัพเขา ๏๕๓
เมอื งกาญจนบุรี ยกพลผา่ นด่านกว้าง เสียงสนั่นมา้ ช้าง
กึกกอ้ งทางหลวง
(แนวตอบ วรรณคดีเรอ่ื งลิลติ ตะเลงพา ย ตอน
โคลง ๓ สามองค1์มีแหง่ ห้ัน
พระมหาอุปราชายกทัพเขาเมืองกาญจนบุรี ๏๕๔
มีทํานองนิราศ คือ เมื่อพระมหาอปุ ราชา ลว่ งลดุ า่ นเจดีย์ เพื่อรรู้ าวทาง
แดนตอ่ แดนกนั นน้ั แหง่ อยุธเยศหลา้
เดินทาง พระองคร สู กึ เศราทต่ี องพลดั พราก ๏๕๕ ขบั พลวางเขา้ แหล่ง
จากนางผเู ปน ท่ีรกั ระหวา งเดนิ ทางทามกลาง มืดคลมุ้ มวั มล ยงิ่ นา
แลธลุ ฟี ้งุ ฟา้
ธรรมชาติท่สี วยงามไดค รา่ํ ครวญหานาง
ดงั ความวา ฯลฯ

โคลง ๔
“พระครวญพระคราํ่ ไห โหยหา ๏๗๙
พลางพระพศิ พฤกษา กง่ิ เกย้ี ว มาเดยี วเปล่ยี วอกอา้ อายสู
พสถิศติโพอน้ยูเ่พอฤอ้ กงษค์ด์พู บ2ู ละห้อย
กลกรกนษิ ฐนา- รรี ตั น เรยี มฤๅ บานเบกิ ใจนา
ยามตระกองเอวเอยี้ ว โอบออ มองคเ รยี ม”) พลางคะนงึ นชุ น้อย แนง่ เน้ือนวลสงวน

ฯลฯ

84

นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
“มาเดยี วเปล่ียวอกอา อายสู
1 ดา นเจดียสามองค พระเจดยี สามองคน ี้เดิมเรียกวา “หินสามกอง” เปน ที่ สถิตอยเู อองคด ู ละหอย
สักการะของคนไทย โดยทว่ั ไปกอนเดินทางออกจากเขตแดนไทยเขาสเู ขตแดน พิศโพนพฤกษพ บู บานเบกิ ใจนา
พมา ตอมาในป พ.ศ. 2472 พระศรีสุวรรณครี ี เจาเมอื งสังขละบุรไี ดเปน ผนู ําชาว พลางคะนงึ นชุ นอ ย แนงเนือ้ นวลสงวน”
บานกอ สรา งเจดยี ขนาดเลก็ สามองคดงั ท่เี หน็ ในปจจุบัน นอกจากนี้ ดานเจดยี ส าม ขอความใดตรงกบั คาํ ทข่ี ีดเสน ใต
องคย ังเปน ชอ งทางเดินทพั ท่สี าํ คัญของไทยและพมา ในอดีต ปจ จุบันบริเวณดา น 1. พระมหาอปุ ราชาชมดอกไมแลวคิดถงึ นางผเู ปนทร่ี ัก
เจดียส ามองคมรี านขายสินคา จากประเทศพมา นักทอ งเท่ยี วสามารถขา มชายแดน 2. พระมหาอุปราชาอยูไ กลจากเมอื งแลว คิดถงึ นางผเู ปนท่ีรัก
เขา ไปชมตลาดพญาตองซู ซ่ึงเปนตลาดชายแดนท่ีมีการจาํ หนายสินคา ของพมา 3. พระเอกาทศรถชน่ื ชมขบวนทพั แลว หวนคิดถงึ นางผูเปนท่รี ัก
2 พบู ใชใ นบทกลอน หมายถงึ หนา ดอกไม เชน “พบบู านประสานสี” เปน ตน 4. พระเอกาทศรถเพลดิ เพลินในการเดินทัพทามกลางสัตวป า
หรอื เปนคําวเิ ศษณ หมายถึง งาม ขาว ดอ น นอกจากนี้ ยังมีอีกหนง่ึ ความหมาย นอยใหญ
คอื หมายถงึ กาย หรอื ตวั รากศพั ทม าจากภาษาบาลีสนั สกฤต คําวา วปุ การใช
คาํ วา พบู ในบทประพันธข า งตนสามารถตีความหมายไดอ ยางหลากหลาย โดย วเิ คราะหค าํ ตอบ จากบทประพันธขา งตน “มาเดยี ว” หมายถงึ
เฉพาะอยางยง่ิ เมือ่ พิจารณาคําวา พบู รวมกบั บรบิ ทในบทประพันธข างตน พระมหาอปุ ราชามาทพั โดยไมม นี างผเู ปน ทร่ี กั มาดว ย “พบ”ู หมายถงึ
ดอกไม และ “นุชนอ ย” หมายถงึ นางผูเปนทีร่ ัก รวมความไดวา
84 คู่มอื ครู
พระมหาอุปราชาชมดอกไมแลวคิดถงึ นางผูเปน ท่ีรกั ตอบขอ 1.

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
โหยหา อธบิ ายความรู้
ก่ิงเกี้ยว
๏๘๐ รีรัตน์ เรยี มฤๅ นกั เรียนกลมุ ท่ี 2 นาํ เสนอเก่ียวกับประเดน็
โอบออ้ มองค์เรียม ทางวรรณศิลป ตอน 3 พระมหาอุปราชายกทพั
พระครวญพระครา่� ไห้ แหนงนอน ไพรฤๅ เขา เมอื งกาญจนบุรี ดังนี้
พลางพระพศิ พฤกษา เศกิ ไสร้
กลกรกนษิ ฐนา- เสมอช่อื ไม้นา • นกั เรียนอธบิ ายลักษณะวรรณศลิ ปท่มี ี
แมน่ แม้นทรวงเรยี ม การเลน คําและเนื้อเร่อื งเปน ทํานองนริ าศ
ยามตระกองเอวเอ้ยี ว รุมกาม (แนวตอบ ดงั โคลงบทท่ี 88 มกี ารเลน คาํ และ
ลวกรอ้ น
๏๘๖ สลัดไดใดสลัดนอ้ ง ฯลฯ เยาว์ยั่ว แย้มฤๅ เน้อื เรอ่ื งเปนทํานองนิราศ
อกอนั้ กนั แสง
เพราะเพื่อมาราญรอน ยามสาย “สายหยุดหยดุ กลนิ่ ฟงุ ยามสาย
หา่ งเศรา้ สาย บ หยุดเสนห ห าย หางเศรา
สละสละสมร วางเทวษ ราแม่ กีค่ ืนกว่ี นั วาย วางเทวษ ราแม
นึกระกา� นามไม้ หยดุ ได้ฉนั ใด
๏๘๗ ไมโ้ รกเหมือนโรคเร้า ถวิลทกุ ขวบคํา่ เชา หยุดไดฉ นั ใด”
จากโคลงทย่ี กมามกี ารเลน คาํ คาํ วา “สายหยดุ ”
ไฟว่าไฟราคลาม
นางแย้มหน่ึงแย้มยาม ซ่งึ หมายถงึ ดอกไมช ่ือสายหยดุ เปนคาํ นาม
และอกี ความหมายของคาํ วา “สาย” หมายถงึ
ตูมด่งั ตมู ตขี ้อน
๏๘๘ สายหยุดหยดุ กลิน่ ฟ้งุ ชวงเวลา 9 โมงถึง 10 โมง และคาํ วา “หยดุ ”
เปน คํากริยา ท่หี มายถงึ ชะงกั หรอื เลิก
สาย บ ่ หยดุ เสน่หห์ าย
กค่ี ืนกวี่ ันวาย โคลงบทน้ีเปนทาํ นองนริ าศ เปน ตอนท่ี
พระมหาอปุ ราชาครํ่าครวญถึงนางผเู ปน ท่รี กั
ถวิลทุกขวบคา่� เช้า วา คดิ ถึงนางทกุ ค่าํ เชา ไมเ คยหยุดคดิ ถึง)

ฯลฯ

85

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู

สลัดไดใดสลดั นอ ง แหนงนอน ไพร ครูเพิ่มเติมความรเู กย่ี วกับลักษณะคาํ ประพันธประเภทนิราศ หากพิจารณา
เพราะเพือ่ มาราญรอน เศกิ ไสร
สละสละสมร เสมอชอ่ื ไมนา ดานเน้ือหาแลว มีการนําความหมายของวรรณคดีนริ าศมาใชใ นการกลา วถงึ ขนบ
ในการประพนั ธ แสดงภาวะทางอารมณในการพรรณนาความทกุ ขแ ละความเศรา
นกึ ระกาํ นามไม แมน แมนทรวงเรยี ม ท่ีเกิดจากการรา งรกั เปน แกน เร่อื ง ครคู วรช้ีแนะใหน ักเรยี นเหน็ วา วรรณคดนี ิราศ
บทประพนั ธขา งตน เดนในขอใด
1. อพั ภาส 2. สทั พจน ประกอบดว ยลกั ษณะสาํ คญั 3 ประการ ดงั ตอ ไปน้ี
1. การเคลือ่ นท่ี โดยเปน การเคล่อื นท่ขี องบุคคลและเวลา โดยการเคลอื่ นทีข่ อง
3. บุคคลวตั 4. การเลน คาํ บคุ คล คอื การเดนิ ทางพรากจากสถานท่ีทเ่ี คยอยูอาศัย พบไดในวรรณคดีนริ าศ

วิเคราะหคําตอบ บทประพันธขางตน มกี ารเลน คํา คาํ วา “สลัด” ท่วั ไป สวนการเคลือ่ นท่ีของเวลา เชน การเปล่ียนแปลงของฤดูกาลตา งๆ พบไดใน
มี 2 ความหมาย คอื “สลัดได” ชือ่ ไมพมุ ตนเปนเหล่ียม มีหนาม วรรณคดเี รอ่ื ง โคลงทวาทศมาส เปนตน
ไมม ใี บ กบั “สลดั ” เปน คาํ กรยิ า หมายความวา ทาํ ใหส งิ่ ใดสงิ่ หนง่ึ 2. การครํา่ ครวญ อาจเปนการครา่ํ ครวญถึงนางอันเปนทร่ี กั ซึ่งพบในวรรณคดี
ท่ีติดอยใู หหลุดไปโดยวิธสี ะบัด ซดั หรือกระพือ และอกี คํา คือ ทั่วไป หรืออาจครา่ํ ครวญถึงพระมหากษตั รยิ  เชน นริ าศกวางตงุ เปนตน
คาํ วา “สละ” ที่หมายถึง ชอื่ ไมล กั ษณะเปนกอคลายระกาํ และอีก 3. การใชธรรมชาติทพ่ี บเหน็ ตลอดการเดินทางเปน สอ่ื เปรยี บเทียบ ไมวาจะ
เปน การเปรยี บเทียบความเศราอันเกดิ จากการรางรัก โดยใชกลวธิ ที างวรรณศิลป
ความหมาย คือ การละท้งิ ดังน้นั จงึ ตอบขอ 4. 85ทงั้ การพองเสยี ง พองคาํ รวมถึงสอ่ื อารมณ ความรูสกึ ผา นธรรมชาติที่กวี

เดินทางผา น คมู่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

นกั เรยี นกลมุ ที่ 2 รวมกนั ตอบคาํ ถามใน ๏๑๒๗ พลมอญเมลิ มดื ท้อง รถั ยา
ประเด็นตอไปนี้
อเนกนกิ รอาชา ชาติชา้ ง
• ฝายเมืองกาญจนบรุ ีรูไดอ ยา งไรวากองทัพ 1เททวียนวทธอวงชั 2เแถลอื สกลท้าองต า เปลอื ยปลาบ
ที่เคลื่อนมาเปนกองทพั ของพระมหาอปุ ราชา เฟ่ืองฟา้ ปลิวปลาย
(แนวตอบ สงั เกตจากฉตั รทมี่ ี 5 ชน้ั ดงั ความวา
“...หวงั กอกจิ ดัสกรแกพ ระนครตระหนกั รา่ ย
เห็นฉัตรปกหาชั้น กั้นบนเบอ้ื งหลังสาร ๏๑๒๘
เขาก็ทราบการโดยขนาดวา อปุ ราชขุนทัพ...”) ฝ่ายนครกาญจน๑ จัดขุนพลพวกด่าน ผ่านไปสืบเอาเหตุ ในขอบเขตรามัญ
เขาก็พากันรบี รดั ลัดเลด็ ลอดเลาะดง ตรงไปทางแมก่ ษตั รยิ ๒์ จดั กนั ซุม่ เปน็ กอง มองเอาเหตุ
• ชาวเมอื งเปน อยางไรเม่อื รูขา ววาทัพพมา วเแอ่ากาอ่พผุปรลระ านชยคขลรุนนตทิกรัพระรห านเมรัก็ัวญ ร ีบเหเกด็นลินฉับแัตมนรา3ป่นบักนอหันก้าต ช์นแ้ันอด งอกเอถ้ันกื่อบญนนา 4เผบเก่าื้อนลงื่เอหผนล้ามัง สาเจทาร้าั่ว นอเคอขรกากทกา็ทิศญร จาหนบวบกังุารกิรน่อโ ดกยิยจินขดยนัสุบกาดลร5
กาํ ลงั เคล่ือนมา รข้ตู่ารวลศอึกด ไพพิรลน่ึกาลยา ญเขขาวทัญัง้ หแลหาลยกต รกิแนัส กขกวมัญลเกทีย่ ะงทก้านิ วเ ผือรน้าวเผออื ุรดะ๓ข ุเนลเือมดือสงล ดเหคืมอดงใหจนร้าา6 ษบฎ เรห์ท็นุกถผา้ ู้
(แนวตอบ ตางพากนั ต่ืนตระหนก ท้งิ บานเรือน
อพยพหนไี ปอยทู ี่อืน่ )

ตอ่ รบ รูว้ า่ ทบ บ มทิ าน รู้วา่ ราญ บ มิรอด คดิ เททอดครัว๔แตก แหกหนีหนา้ อย่าพะ เขากม็ ละ
บ้านเมือง เปลืองเปล่าผู้หมู่ชน๕ ชวนกันซนกันซุก บุกป่าดงป่าแดง แฝงเอาเหตุเอาผล
ยลกระแหน่เศกิ ไสร้ เพ่ือลงลักษณะให ้ สง่ ทา้ วแถลงความ ทา่ นนา

โคลง ๔
๏๑๒๙
ชาวสยามครา้ มเศกิ สิ้น ทั้งผอง
นายและไพรไ่ ป่ปอง รบร้า
อพยพหลบหลกี มอง เอาเหตุ๖
ซุกซ่อนห่อนให้ข้า ศึกไดไ้ ปเปน

รา่ ย
๏๑๓๐
ส่วนนเรนทรสมญา มหาอุปราชรามัญ ธ ก็ให้เร่งผันพลผ้าย ย้ายมาโดยทาง
เถอ่ื น ทพั หน้าเคลือ่ นพลเดนิ ลุลา� กระเพนิ ๗บ มิหึง จึงพระยาจิดตอง ใหพ้ ลกรองเวฬ ู ปูเปน็
สะพานผ่านชล เรง่ เดินพลขา้ มฟาก มากนกิ รค่งั คาม พวกชาวสยามเห็นตระหนัก จงึ่ ลงลกั ษณ์

๑ นครกาญจน เมืองกาญจนบรุ ี
๒ แมก่ ษตั รยิ ์ ชือ่ แมน่ �า้ ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี
๓ ขวญั เกี่ยงกนิ เผอื นเผือด กลัวจนขวัญหนดี ีฝอ่
๔ คดิ เททอดครวั คิดถา่ ยเทครัวหนหี รอื อพยพครอบครัว
๕ เปลอื งเปล่าผูห้ ม่ชู น ว่างคน บา้ นเมืองวา่ งคน
๖ เหตุ (ในความวา่ เอาเหตุ) เร่อื งราว ข่าวคราว
๗ ล�ากระเพนิ ลา� น�า้ ชื่อ กระเพิน

86

นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
คาํ ประพนั ธใ นขอ ใดไมมี คําซอ น
1 เทยี ว ชื่อธงทม่ี รี ปู ลกั ษณะคลายกระบอก ทวิ ก็วา 1. ชาวสยามครามเศกิ ส้ิน ทง้ั ผอง
2 ธวัช ธง 2. นายและไพรไปปอง รบรา
3 ฉตั ร เครอ่ื งกัน้ เปน รม ซอนชนั้ มรี ะบาย มตี ้ังแต 3 ช้นั ถงึ 9 ชั้น แตละชน้ั ของ 3. อพยพหลบหลกี มอง เอาเหตุ
ฉัตรเปน จํานวนเลขค่ี คือ 3 ช้นั 5 ช้ัน 7 ชัน้ และ 9 ชน้ั ฉตั ร 5 ชั้นแสดง 4. ซุกซอ นหอนใหขา ศึกไดไปเปน
พระอสิ รยิ ยศของพระมหาอปุ ราช สว นพระมหาเศวตฉตั รมี 9 ชน้ั หมุ ดว ยผา ขาว
มรี ะบาย 3 ช้ัน ขลบิ ทองแผล วด มียอดเปน ราชกกธุ ภัณฑของพระมหากษัตริย วิเคราะหค าํ ตอบ คําประพนั ธท มี่ คี ําซอน มีดังน้ี ขอ 2. คาํ วา รบ
4 ออกญา เปนบรรดาศกั ดชิ์ น้ั สงู ที่พระราชทานในสมยั อยธุ ยา สงู กวาออกพระ รา (รา มีความวา รบ) ขอ 3. คาํ วา หลบหลกี และขอ 4. คาํ วา
เขา ใจวามาจากเขมร ซุกซอน ขอ ทไี่ มม ีคาํ ซอ น คือ ขอ 1. แมจะมเี สยี งพยัญชนะ
5 ยบุ ล ขอความ เรื่องราว ตน เสียงเดียวกนั ในคําวา เศิกสิน้ ซ่งึ หมายความวา ศึกจบสน้ิ แลว

6 ขวญั เก่ียงกนิ เผือนเผือด เลือดสลดหมดหนา ขวัญหายหนเี ขาปา จนหนาซดี ไมไดเปนคาํ ซอน ตอบขอ 1.
ปจจบุ ันใชส าํ นวนวา ขวญั หนีดีฝอ ขวัญกระเจิง

86 คมู่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

สารส่ือ ใสช่ อื่ ท่วั ตวั ขนุ ถ้วนทกุ มุลทกุ นาย รายเรื่องราชรปิ ู ยกพยูหเหยยี บแดน แตง่ ขุนแผน 1. นักเรยี นอานเนือ้ เร่อื งลลิ ติ ตะเลงพา ย หนา 87
เปน็ ทูต รดู เอาสารมาบอก แดออกญามหาด ทูลบัวบาทมหบิ าล เขาก็รับสารข้นึ ม้า รบี มา แลว บนั ทกึ รายละเอยี ดของเหตุการณใ นเร่อื ง
เร็วฤๅช้า บอกข้อเข็ญความ ทา่ นนา ลงสมุด

โคลง ๒ 2. ครูขออาสาสมคั ร 3 - 4 คน ชวยกันบรรยาย
๏๑๓๑ รายละเอียดของเหตุการณท เี่ กิดข้ึนใหเ พอ่ื นๆ
กองทพั ตามกนั เตา้ เสียงสนน่ั ล่นั เท้า ในหอ งฟง
พ่างพืน้ ไพรพงั เพกิ ฤๅ (แนวตอบ เม่อื กองทัพพมาเดนิ ทางมาถึงเมือง
กาญจนบุรี กพ็ บวา เมอื งรางปราศจากผคู น
โคลง ๔ ไมมผี ใู ดออกมาตานทัพพมา บานเรือนกร็ าง
๏๑๓๒ ผคู น ไมม ีคนอาศยั จะถามใครกไ็ มได เพราะ
ดลยงั เวยี งดา่ นดา้ ว วโด่ายงวมา้ ี ง1 ชาวเมืองรทู นั วาทัพพมาจะยกมา ตางพากนั
เมอื งชอื่ กาญจนบุร ี หนอี อกนอกเมอื งไปหมดแลว จงึ ไดห ยุดทพั
ผใู้ ด บ ่ ออกต ี ตอบต่อ ทพั นา พกั แรม 1 คนื ระหวา งนนั้ องคพ ระมหาอปุ ราชา
ยลแตเ่ หย้าเรอื นรา้ ง อย2่ไู รใ้ ครแรม กค็ ร่าํ ครวญ คิดถงึ นางผูเปนทร่ี กั ทีจ่ ากมา)
๏๑๓๓ สอดแนมจักจบั ถอ้ ย
ไถค่ วาม
ฤๅ บ่ ได้ชาวสยาม สกั ผู้
จักสืบจกั เสาะถาม เหตุหอ่ น รแู้ ฮ
รวู้ า่ ชาวเมอื งร ู้ เล่หแ์ ล้วหลีกหนี
๏๑๓๔ ธ กก็ รธี าทพั เขา้ เนาเมือง
สวาทไหม้
ปค�ารนะทึงนบั ชุ อไยปูแ่ เ่ รปมลคอื ืนง3 เค อื ง จิตทา่ น ถวิลนา
ขนุ่ แค้นคบั ทรวง
เจ็บอรุ ะราชไข้ บงั อร
๏๑๓๕ ระลวงร�าลึกอา้

ยลแต่แสงศศธิ ร ถอ่ งฟา้
แสงจนั ทร์ บ่ สอ่ งสมร หมดเทวษ
ถวิล บ่ ลืมนวลหน้า แมแ่ ม้นนวลจันทร์

๏๑๔๐ พระฝนื ทุกข์เทวษกล�้า ฯลฯ 4
แกลค่ รว5ญ
ขับคชบทจรจวน
บรรลุพนมทวน๑ 6 จักเพล้
เถอื่ นท่ ี นน้ั นา
เหตุอนาถหนักเอ้ อาจให้ชนเหน็

๑ พนมทวน ตา� บลพนมทวน

87

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู
“คํานงึ นชุ ไปเ ปลอื ง จิตทาน ถวลิ นา
เจ็บอุระราชไข ขุนแคนคับทรวง” 1 วา งวา ง วา งวา ง วางเปลา
ขอใดกลาวถงึ ความรสู ึกของผูพดู ไมถ ูกตอ ง 2 ไถ การไตถาม
1. คิดถึงจนเหมอื นจะปวยไข 3 เปลอื ง หมด สิน้ ในความวา “คํานึงนชุ ไปเปลอื ง จิตทา น ถวิลนา”
2. ความคดิ ถึงทไ่ี มมหี มดสิ้น หมายความวา คะนึงถึงนางไมรูห มดความคดิ ถึง
3. ความคิดถงึ ท่ที าํ ใหโ กรธเคอื ง 4 แกล ใกล เกือบ “แกลครวญ” คอื ใกลครา่ํ ครวญ เกอื บถงึ ครํา่ ครวญ
4. ความคดิ ถึงทเ่ี ต็มแนนอยูในอก 5 เพล ตัดคํามาจาก คาํ วา โพลเ พล ในความวา “จวนจกั เพล” จึงหมายความวา
จวนพลบคํ่า
วิเคราะหคาํ ตอบ ขอ ทไี่ มใ ชค วามรสู ึกของผพู ูด คอื ความคิดถึง 6 เอ หน่งึ สําคัญ
ทีท่ ําใหโกรธเคอื ง เพราะผูพูดไมไ ดโ กรธเคือง เพียงแตไมส บายใจ

รูสึกคบั อกคบั ใจ ตอบขอ 3.

ค่มู ือครู 87

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้ เวหา หนเฮย
พดั คลุ้ม
นักเรียนอา นเนื้อเร่อื งหนา 88 แลว ชวยกันตอบ ๏๑๔๑ คชขาด ลงแฮ
คําถามในประเด็นตอ ไปนี้ เกล่อื นเพีย้ งจักรผัน
• นักเรียนคดิ วา เนอ้ื เร่ืองในหนา 88 สะทอน เกดิ เปน็ หมอกมดื ห้อง เสียวดวง แดเอย
ลมชอื่ เวรัมภา ตกต้อง
ความเช่ือเร่อื งใด หวนหอบหักฉตั รา ส่นั ซีด พกั ตร์นา
(แนวตอบ คนไทยมคี วามเช่อื วา ถา ขณะ เรยี กใหโ้ หรทาย
แลธลุ ีกลัดกลุม้
เดินทางมสี ง่ิ ใดเสยี หายหรือแตกหกั หมายถึง ๏๑๔๒ พระพลนั เหน็ เหตุไซร ้ เเจหนตไหุ ส้ายว 1ศาสตรแ์ ฮ
ลางราย จะเกดิ เหตุการณท ี่ไมด ี ดงั เนอื้ เร่อื งใน
ถนดั ดง่ั ภูผาหลวง เกรงโทษ ท่านนา
หนา 88 โคลงบทที่ 141 เปน ตอนที่ กระหม่ากระเหมน่ ทรวง เกลอื่ นร้ายกลายดี
พระมหาอุปราชายกทัพมาถึงเมอื งพนมทวนก็ ฉุกเขญ็
หนักหฤทยั ท่านรอ้ ง ดอกไท้
เกดิ ลมเวรัมภาพัดอยา งรนุ แรง และลมไดพดั ๏๑๔๓ ทง้ั หลายลว้ นจบแจ้ง ใจเจบ็ พระเอย
หวนตรลบหอบฉตั รประจาํ องคพ ระมหาอปุ ราชา เผดจ็ เส้ียนศึกสยาม
เหน็ ตระหนักแน่ใน ฯลฯ
ตกลงมาหกั พระองคทรงตกพระทยั มาก เรยี ก จกั ทูล บ่ ทูลไท ฟังหู หนึ่งนา
โหรมาทาํ นายทนั ที ซงึ่ โหรไดทํานายบา ยเบยี่ ง ซ่งึ พรอ้ ง
เสนอแต่ดีกลบรา้ ว ธรพรั่น อย่นู า
เร่อื งไมใหรา ยแรงดังท่คี ิด ความวา ๏๑๔๔ เหตุนี้ผิวเช้าชวั่ แต่แพด้ สั กร
“เกดิ เปนหมอกมืดหอ ง เวหา หนเฮย ฯลฯ
เกิดเมอื่ ยามเยน็ ด ี ไทถวลิ อยเู่ ฮย
ลมชอ่ื เวรัมภา พดั คลุม อย่าขุ่นอย่าลา� เค็ญ จดื สรอ้ ย
หวนหอบหักฉตั รา คชขาด ลงแฮ บติ เุ รศ พระแฮ
แลธลุ กี ลัดกลุม เกลอ่ื นเพยี้ งจกั รผนั ”) พระจักลุลาภได้ เทวษไห้โหยหา
เพ็ญยศ
๏๑๔๗ ครัน้ ฟงั บพิตรเพีย้ ง แก่เสย้ี น
ทกุ ขใ์ หญ่ หลวงนา
หูหนงึ่ แหนงคา� ส ู หัน่ กลิ้งไกลองค์
ไปไ่ วห้ ฤทยั ภ ู
นกึ เรง่ กริ่งเกรงตอ้ ง

๏๑๕๐ สระเทินสระทกแท้

ฤๅใครค่ ลายใจจนิ ต์
คา� นึงนฤบดินทร ์
พระเร่งลานละห้อย
๏๑๕๑ อา้ จอมจักรพรรดิผู้

แมพ้ ระเสียเอารส
จกั เจ็บอรุ ะระทด
ถนดั ด่ังพาหาเห้ียน

88

เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
“พระพลันเหน็ เหตุไซร เสียวดวง แดเอย
ครคู วรเพม่ิ เติมความรเู กี่ยวกับสภาพสงั คมและวฒั นธรรมในยุคสมยั ของผูแตง ถนดั ดัง่ ภผู าหลวง ตกตอ ง
วรรณคดี เพ่อื ใหน กั เรียนสามารถนาํ คณุ คา ทางสงั คมและวฒั นธรรมในแตละยุคสมัย กระหมา กระเหมนทรวง ส่ันซดี พักตรนา
มาปรบั ใชใ นการพจิ ารณาคณุ คา ของวรรณคดี โดยครชู แ้ี นะใหน กั เรยี นคน ควา เกย่ี วกบั หนักหฤทยั ทานรอง เรยี กใหโ หรทาย”
คา นยิ ม ประเพณี วถิ ชี ีวิตทีม่ คี วามสืบเนอ่ื งกบั วฒั นธรรม ประเพณีในแตล ะยุคสมัย ขอ ใดไมใช อารมณ ความรูสึกทปี่ รากฏในบทประพนั ธขา งตน
ใหน กั เรยี นเกดิ ความเขา ใจและสามารถนาํ องคค วามรดู งั กลา วไปปรบั ใชใ นการพฒั นา 1. หนกั ใจ 2. พรนั่ ใจ
ความคดิ และการตีความบทประพันธไดลกึ ซ้ึงยิ่งข้ึน นอกจากนย้ี ังชวยใหน กั เรียน 3. หวั่นใจ 4. รอ นใจ
มเี จตคตทิ ่ดี ใี นการศึกษาวรรณคดแี ละศกึ ษาวรรณคดีโดยไมยดึ ติดกับความคดิ ของ
ตนเองเปนหลกั วเิ คราะหคาํ ตอบ ความรอ นใจไมใ ชอ ารมณ ความรสู กึ ทป่ี รากฏ
ในบทประพนั ธ สว นขอ อนื่ ๆ ปรากฏอารมณ ความรสู กึ ดงั ตอ ไปนี้
นักเรียนควรรู ขอ 1. หนกั ใจ จากบทประพนั ธท ว่ี า “เสยี วดวง แดเอย” “ถนดั ดง่ั
ภผู าหลวง ตกตอ ง” และ “หนกั หฤทยั ” สว นขอ 2. พรน่ั ใจ และขอ 3.
1 เหตหุ าว เหตรุ า วถึงแตกหัก หวนั่ ใจ จากบทประพนั ธท ว่ี า “กระหมา กระเหมน ทรวง สนั่ ซดี

88 ค่มู อื ครู พกั ตรน า” ตอบขอ 4.

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

๏๑๕๒ ณรงคน์ เรศวร์ดา้ ว ดสั กร จากการอานเนอ้ื เร่ือง นกั เรยี นรวมกันตอบ
คําถามในประเด็นตอ ไปน้ี
ใครจกั อาจออกรอน รบสู้
เสียดายแผ่นดินมอญ พลันมอด ม้วยแฮ • จากโคลงบทท่ี 150 - 156 แสดงใหเห็น
เหต ุ บ ่ มีมือผู้ จออ่นื มตถ้านวัลทยา์1นเขญ็ ลักษณะนสิ ัยของพระมหาอุปราชาอยา งไร
๏๑๕๓ เอ็นดูภูธเรศเจา้ ยกบทประพนั ธประกอบ
ทดแท้ (แนวตอบ นกั เรียนแสดงความคิดเห็นได
เปลยี่ วอรุ ะราชรนั - หลากหลาย โดยครูชี้แนะลักษณะนิสยั ของ
พระชนมช์ ราครนั ครองภพ พระเอย พระมหาอุปราชาทนี่ กั เรยี นควรยึดเปน แบบ
เกรงบพติ รจักแพ้ เพล่ียงพล้า� ศึกสยาม อยา งในการปฏิบัติตน เรือ่ งความกตญั ู
๏๑๕๔ สงครามครานหี้ นกั ใจเจบ็ ใจนา และความหนกั แนนในอารมณ การควบคุม
อกโอ้ ความวติ กกังวล การเตรียมใจใหพ รอม
เรยี มเร่งแหนงหนาวเหน็บ เผชญิ หนา กับความลาํ บากท่ีจะเกิดข้นึ
ลกู ตาย ฤ ใครเก็บ ผีฝาก2 พระเอย การตระหนกั ในหนาที่ทีต่ อ งรับผิดชอบ
ผจี ักเท้งท่ีโพล ้ ดงั บทประพนั ธ
๏๑๕๕ พระเนานคั เรศอา้ ที่เพลใ้ ครเผา “พระคุณตวงเพยี บพ้นื ภูวดล
เอองค์ เต็มตรลอดแหลง บน บอ นใต
ฤๅ บ่ มใี ครคง ครู่ ้อน พระเกิดพระกอ ชนม ชบุ ชีพ มานา
จกั รจิ ักเรมิ่ รงค ์ ฤๅล ุ แลว้ แฮ เกรง บ ทนั ลูกได กลบั เตา ตอบสนอง”)
พระจกั ข่นุ จักข้อน จักแค้นคับทรวง
๏๑๕๖ พระคณุ ตวงเพียบพื้น ภวู ดล
บ่อนใต้
เตม็ ตรลอดแหลง่ บน
พระเกดิ พระก่อชนม์ ชบุ ชีพ มานา
เกรง บ่ ทันลกู ได ้ กลบั เตา้ ตอบสนอง

ฯลฯ

ร่าย
๏๑๕๘
เม่ือน้ันเจ้าธานินทร์ บุรินทรศักดิ์สีมา ทุกบุราราชอาณาเขต ประเทศนคร
สิงห์สรรค์๑ ศรีสุพรรณ๒ทุกพาย เขาก็ขยายครัวครอก ซอกไปซ่อนไปซุก บุกป่าแดงป่าดง
แล้วก็ลงลกั ษณ์ข่าวสาร สง่ อาการเหตุหา้ ว มาบังคมทลู ท้าว ธริ าชผู้ผา่ นถวลั ย ์ แลนา

๑ นครสงิ ห์สรรค์ สิงห์บรุ ี สรรคบ์ รุ ี (อยใู่ นชยั นาท)
๒ ศรีสพุ รรณ สพุ รรณบรุ ี

89

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู
“สงครามครานีห้ นกั ใจเจ็บ ใจนา
เรยี มเรงแหนงหนาวเหนบ็ อกโอ ครูเนนใหนกั เรียนไดเ ปดกวางทางความคดิ และนาํ เสนอมมุ มองหรือความเขาใจ
ลูกตาย ฤ ใครเกบ็ ผีฝาก พระเอย ของนกั เรยี นจากบทประพนั ธ การตคี วามวรรณคดีดว ยความคดิ เหน็ ใหมๆ ดว ย
ผีจักเทงที่โพล ที่เพลใ ครเผา” พน้ื ฐานความเขา ใจทางวฒั นธรรมในแตละยุคสมัย ยอมสรา งความเขา ใจสาํ หรบั
บทประพนั ธขางตน แสดงความรูสึกอยา งไร ผูอา นไดอยางลกึ ซึง้ และการตคี วามทมี่ คี วามหลากหลาย รวมถงึ การแลกเปลย่ี น
1. หวนั่ ใจ ความคิดอยางหลากหลาย ยอ มสง ผลใหว รรณคดีมคี ณุ คารว มยคุ สมัยในสงั คม
2. เศรา ใจ ปจจบุ ันได และเปน วธิ ีการสืบทอดคุณคาของวรรณคดไี ดเปนอยางดี

3. แคน ใจ
4. เปลย่ี วใจ
นักเรียนควรรู
วิเคราะหค าํ ตอบ จากขอ 4. เปลย่ี วใจ หมายถงึ ความรสู กึ
วา เหว พจิ ารณาจากบทประพนั ธทีว่ า “เรยี มเรงแหนงหนาวเหนบ็ 1 ถวัลย ครอง หรอื ผา นราชสมบัติ จอมถวัลย จงึ หมายความวา จอมผผู านราช
สมบัติ หรือจอมกษตั ริย
อกโอ” และ “ผีจกั เทง ท่ีโพล ท่เี พลใ ครเผา” ตอบขอ 4.
2 ที่โพลที่เพล หรอื ทีโ่ พลเพล ทีแ่ ยกคาํ เชนน้เี พราะรูปแบบคําประพันธทเ่ี ปนโคลง
มีความหมายวา ที่มดื มัวเปลา เปลี่ยว
คู่มือครู 89

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

1. นกั เรียนกลมุ ท่ี 2 นําเสนอประเด็นคําถาม ตอน ๔
จากตอน 4 สมเดจ็ พระนเรศวรทรงปรารภ สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภเร่อื งตีเมอื งเขมร
เร่ืองตีเมอื งเขมร ดงั นี้
• อธบิ ายเหตกุ ารณเ มอื่ สมเด็จพระนเรศวร โคลง ๔ บูรพา ภพ1แฮ
มหาราชทรงข้นึ ครองราชย ๏๑๕๙
(แนวตอบ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง ปา่ งน้ันนฤเบศเบื้อง
ขึ้นครองราชยเปนใหญ บุญบารมีดง่ั พระราม เฉลมิ พิภพอโยธยา ฆยิ่งพผ2เขู้ ่น เข็ญเฮย
ทเี่ อาชนะทศกณั ฐไ ด ขาวการผลัดแผนดินรูถงึ พออระก3เอดเชรนดทง่ั รราร์ มั่วรราู ้
กษัตริยเ มอื งอื่น ตางพากันเตรียมทัพทําศกึ ๏๑๖๐ เร่งร้าวราญสมร
ในขณะทเี่ หตกุ ารณใ นอยธุ ยาสงบ ดว ยสมเดจ็ - ภธู รสถติ ทอ้ ง โรงธาร ทา่ นฤๅ
พระนเรศวรมหาราชทรงเอาใจใสท ุกขส ขุ ของ เถลงิ มขุ พิมาน๑ มาศแต้ม
ราษฎร บา นเมืองรม เยน็ เปนสขุ และทรงมี มนตรีชุลีกราน กราบแนน่ เนืองนา
พระราชดาํ รัสทจ่ี ะยกทัพไปยึดเขมร) บัด บ ดศี วรแยม้ โอษฐ์เออื้ นปราศรัย
• สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชมวี ธิ กี ารจดั การกบั ๏๑๖๑ ไต่ถามถึงทุกข์ถ้อย ทวยชน
เมอื งเขมรอยา งไร แก่ท้าว
(แนวตอบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมี ต่างสนองเสนอกล
พระราชดํารสั ถงึ การยกทพั ไปตเี มอื งเขมรวา พระดดั คดีดล รโดายษเฎยรี่ย์รง้อ ยนกุ หด่อนิ์ น4ามี
จะยกไปท้งั ทางบกและทางเรือ ซ่งึ ทัพเรือน้ัน เย็นอุระฤๅร้าว
ใหเกณฑไพรพลทางใตไปตเี มืองพุทไธธานี- ๏๑๖๒ นฤบดีด�ารัสดว้ ย การยุทธ์
มาศหรอื เมอื งบันทายมาศ และเมอื งปา สัก
หรือเมืองบาสัก เพราะเมอื งเหลา นั้นเปน เมือง ซึ่งจกั ยอกัมพชุ แผ่นโพน้
ชายทะเล จากน้ันใหเ ขา ลอ มเมอื งหลวงไว พลบกยกเอาอตุ ดมโชค ชัยนา
แตพระองคก ท็ รงหว งวา หากพมายกทัพมา นับดฤษถีนี้โนน้ แนน่ ั้นวนั เมอื
จะไมมใี ครรักษาเมือง) ๏๑๖๓ พลเรอื พลรบทอ้ ง ทางชลา

2. นกั เรียนบนั ทึกความรลู งสมดุ เกณฑ์แต่พลพารา ปกั ษใ์ ต้
ไปตีพุทไธธา- นมี าศ๒ เมอื งเฮย
ตีปา่ สัก๓เสร็จให้ เร่งลอ้ มขอมหลวง
อสั ดง
๑๏๖๔ พระหว่ งแตศ่ กึ เส้ยี น รัว่ หลา้ ๔
เกรงกระลบั กอ่ รงค์
คอื ใครจกั คุมคง ควรคู่ เขญ็ แฮ
อาจประกนั กรุงถา้ ทัพข้อยคนื ถงึ

๑ มขุ พิมาน พระท่นี ั่ง
๒ พทุ ไธธานมี าศ เมอื งพทุ ไธมาศในประเทศเขมร เรยี กอีกอย่างหน่ึงวา่ บนั ทายมาศ
๓ ปรวั่่าหสลกั า้ เ มลือ่วงงลบ�้าาเสขกั า้ มตา้ังใอนยแูฝ่ ผงั่ น่ ซด้านิยของแมน่ า้� บาสัก เป็นเมืองชายทะเล ปจั จบุ นั อย่ใู นเขตเมอื งฮาเตยี นของเวยี ดนาม


90

นักเรียนควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
คาํ ประพันธข อ ใดแสดงถึงพระบารมีของพระมหากษตั รยิ 
1 นฤเบศเบอ้ื ง บรู พา ภพ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 1. ไตถ ามถงึ ทกุ ขถ อ ย ทวยชน
2 รามราฆพ เปนตวั ละครเอกของวรรณคดเี รอ่ื งรามเกยี รติ์ เปน องคอ วตารของ 2. ตางสนองเสนอกล แกท าว
พระนารายณ เมอ่ื พิจารณาบทประพันธจ ะเห็นไดวา ในบทประพันธนเ้ี ปน การกลาว 3. พระดดั คดีดล โดยเยี่ยง ยุกดิ์นา
เปรยี บเทยี บพระบารมขี องพระนเรศวรมหาราชวา มคี วามยง่ิ ใหญด งั เชน พระบารมขี อง 4. เยน็ อรุ ะฤๅราว ราษฎรรอ นหอ นมี
พระรามซงึ่ สอ่ื ถึงพระนารายณ เทพตามคตขิ องศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู
3 อเรนทร มาจากคาํ วา อรนิ ทร หมายถึง ผเู ปนใหญฝ ายขา ศกึ หรอื ฝายศตั รู วเิ คราะหค ําตอบ ขอ ที่ 4 “เยน็ อรุ ะฤๅราว ราษฎรร อนหอนม”ี
มกั หมายถึง พระราชา หรอื เจา เมืองใหญของฝายตรงกันขาม บทประพันธข า งตน กลาวถงึ ความสงบสขุ ของบา นเมืองและ
4 หอ น เคย เชน “ไปห อ นเหลือคดิ ขา คิดผดิ แมนา” จากวรรณคดีเรื่องลลิ ิต
พระลอ เปนตน แตในคําประพนั ธบ างคราวใชแทนคําวา ไม เชน “สาลิกา มาตาม ปราศจากทกุ ขข องราษฎร ตอบขอ 4.
คู ชมกนั อยูสูสมสมร แตพ น่ี ีอ้ าวรณ หอ นเหน็ เจา เศรา ใจครวญ” จากบทเหชมนก ใน
วรรณคดเี รอ่ื งกาพยเ หเ รอื พระนพิ นธในเจาพระธรรมธิเบศร

90 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

๏๑๖๕ ระพึงพิเคราะหผ์ ู้ ภักด ี ท่านนา นักเรียนกลุม ที่ 2 นาํ เสนอประเด็นคาํ ถาม
กาจแกล้ว จากตอน 4 สมเด็จพระนเรศวรทรงปรารภ
คือพระยาจกั ร ี 1 เรอื่ งตีเมืองเขมร ดงั นี้
ตเมกกอลไบอืถมกงิ่ง2ช 3า้เมคอื ลงาเคฮืนย
พระตรสั แดม่ นตร ี • สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงตดั สิน
กจู กั ไกลกรงุ แก้ว เพ่ิมพอ้ ง พระทัยอยา งไร
ครอเคร่า กเู ฮย (แนวตอบ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชมีพระ
๑๏๖๖ เยยี วพน้ื ภพแผ่นด้าว ปกหลา้ แหล่งสยาม ราชดาํ รสั สง่ั ใหเกณฑหัวเมอื งปกษใตท ัพหนงึ่
ริพบิ ตั ิพนู ภยั เสียที เพอื่ ไปตเี มืองเขมร และมีพระราชโองการ
สกู นั นครใจ ห่อนชา้ ส่งั มุขมนตรีผใู หญใ หอยูรกั ษาพระนครรอ
กูจกั พลันคนื ปอ้ ง มาขวบ นี้เลย พระองคใ นขณะที่พระองคย กทัพไปเขมร
แนแ่ ทก้ ูทาย และตรัสถึงทัพพระเจาหงสาวดีวา ทัพทแ่ี ตก
๑๏๖๗ สงครามพึง่ แผกแพ ้ บรรหาร หนเฮย คร้งั นเ้ี ปนทพั ท่ีจะตอ งใชเวลาบํารงุ ชางมา
แตกเมื่อต้นปไี ป ใส่เกล้า ร้ีพล ซ่งึ จะกลบั ลงในปน ีเ้ ห็นจะไมทนั
บ ร้างกระลบั ม ี จนถับ ถึงแฮ พระองคท รงคาดวา ถา มีกเ็ ปน ปหนา ซึ่งใน
มีกม็ ีปีหนา้ บอกเบอื้ งเคอื งเขญ็ ขณะนน้ั เจาเมืองกาญจนบุรเี ขาเฝา ทูลให
ทราบวาทัพพมายกมาถงึ เมอื งกาญจนบุรแี ลว
๑๏๖๘ ทัง้ หลายสดบั ถอ้ ยท่าน จึงตอ งเตรยี มทพั สูกบั พมา )
ยัง บ่ เย้ือนสนองสาร
บดั ทูตนครกาญ
พระยาอมาตยน์ า� เฝา้

ฯลฯ

โคลง ๒
๏๑๗๐
พระเปรมปราโมทยไ์ ซร้ ซึง่ บดนิ ทร์ดาลได้
สดบั เบื้องบอกรงค์ แถลงยุบลเหตหุ ้าว
๏๑๗๑ ธ ให้หาองค์น้องทา้ ว แลนา

ทา่ นแจง้ ทกุ อัน

ตอน ๕
สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียมการสู้ศึกมอญ

รา่ ย แล้ว ธ บรรหาร4ตระบัด ว่าเราจัดจตุรงค์ จะไปยงยอยุทธ์ ยังกัมพุชพารา5

๏๑๗๒

ศึกมอญมาชงิ ควัน กนั บ ใหไ้ ปออก บอกให้เตา้ โดยตก ควรจกั ยกไปยุทธ์ เป็นมหสุ สวมหนั ต์
ปันเอาชัยชิงช่ืน๑ แล้ว ธ ก็อื้นออกพจน์ พระราชกฎประกาศ แก่เมืองราชบุรี เกณฑ์โยธี
ห้าร้อย คะค้อยไปซุ่มซ่อน ดูศึกผ่อนพลเดิน ผ่านล�ากระเพินโดยสะพาน เพ่งพลหาญ

๑ ปนั เอาชัยชงิ ช่ืน แยง่ เอาชยั ชนะใหไ้ ด้ก่อน 91

“ระพงึ พเิ คราะห ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู
ผภู กั ดี ทา นนา
คือพระยาจกั รี กาจแกลว 1 มนตรี ทปี่ รกึ ษา ผูแนะนาํ ท่ีปรึกษาราชการ ขา ราชการชน้ั ผใู หญ นิยมใชเปน
พระตรสั แดมนตรี มอบมิ่ง เมืองเฮย สวนทา ยของสมาส เชน องคมนตรี รฐั มนตรี เทศมนตรี รากศัพทมาจากภาษาบาลี
กจู กั ไกลกรงุ แกว เกลอื กชา คลาคืน” สนั สกฤตวา มนฺตี
ขอใดสอดคลองกบั บทประพนั ธขางตน 2 เกลอื ก เกรง สัน หาก ถา แม บางที เผอ่ื วา มกั ใชว า เกลือกวา เชน แมอยา
1. ทรงเปน กษัตรยิ ทร่ี ักความยตุ ิธรรม สามานยดว ยวาจา มันจะตามถอยคําเขา มาประสมประสาน เกลือกวา เหยอ่ื มัน
2. ทรงใชค นไดเหมาะกับงาน สาธารณแ มจ ะอดสู จากรา ยยาวมหาชาตหิ รือมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑช ูชก
3. ทรงมีจติ ใจโอบออ มอารี 3 ไถง อานวา ถะไหงฺ หมายถงึ ตะวัน วัน รากศพั ทมาจากภาษาเขมรคาํ วา ไถงฺ
4. ทรงชาํ นาญในการรบ 4 บรรหาร ใชในบทกลอน โดยแผลงมาจากคําวา บรหิ าร หมายถึง เฉลย กลาว
แก ตรัสสั่ง
วเิ คราะหค าํ ตอบ จากบทประพันธขางตน มีความวา สมเดจ็ - 5 มหุสสวมหนั ต อานวา มะ-หดุ -สะ-วะ-มะ-หัน แปลวา มหรสพอันยิง่ ใหญ
พระนเรศวรมหาราชทรงใครครวญวาพระยาจกั รคี วรทจี่ ะอยูรักษา กษัตริยส มยั กอนถือวา การสงครามเปน มหรสพที่สนุกสนาน โดยเฉพาะการกระทาํ
พระนคร ในขณะท่ีพระองคย กทัพไปจากกรุง ขอ ท่ีสอดคลอ งกบั ยุทธหัตถี เปนการแสดงความสามารถและบุญบารมสี วนพระองค
ความน้ี คอื ขอ 2. ขออ่นื แมจะเปนบุคลิกลกั ษณะของสมเดจ็ -
ค่มู ือครู 91
พระนเรศวรมหาราช แตไ มไ ดก ลา วถงึ ในบทประพนั ธน ้ี ตอบขอ 2.


Click to View FlipBook Version