The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พิสมัย สืบเลย, 2022-12-13 23:34:19

ขุนช้างขุนแผน

ขุนช้างขุนแผน

กระตนุ้ ความสนใจ ตอสนา� รE๑วxpจloคreน้ หา อธบิ ายความรู้ คมั ขภยราี ยฉ์ Eคxนั pวaาทnมdศเขาา้ ใสจ ตร์ แตพรวทจสยอบศ์ ผาลสตรส์ งเคราะห์

Engage Explain

เรม่ิ บทกวี Evaluate

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ๕. เน้ือเร่อื ง
• นกั เรยี นคดิ วา การบนั ทกึ ตาํ ราการแพทยด ว ย
คมั ภรี ฉ์ นั ทศาสตร์ แพทยศ์ าสตรส์ งเคราะห์
คาํ ประพนั ธป ระเภทรอ ยกรองจะสง ผลตอ
ความเขา ใจของผอู า นหรอื ไม อยา งไร

สา� รวจคน้ หา Explore ขา้ ขอประนมหดั ถ์ พระไตรรัตนนาถา
ตรโี ลกอมรมา อภวิ าทนาการ
นกั เรียนสบื คนขอ มูลเกี่ยวกบั คณุ คา ทาง อนึ่งขา้ อญั ชล ี พระฤๅษีผทู้ รงญาณ
วรรณศลิ ปจากวรรณคดีเร่อื ง คัมภรี ฉ ันทศาสตร แปดองคเ์ ธอมฌี าน โดยรอบรู้ในโรคา
แพทยศาสตรสงเคราะห ประกอบดว ย คณุ คา ดาน ไหวค้ ุณอศิ วเรศ ท้ังพรหมเมศทกุ ชั้นฟา้
เนือ้ หา ภาษา และรูปแบบ สาปสรรค์ซง่ึ หว้านยา ประทานทว่ั โลกธาตรี
ไหวค้ รูกุมารภัจ ผ้เู จนจัดในคมั ภีร์
อธบิ ายความรู้ Explain เวชศาสตรบรรดาม ี ใหท้ านทว่ั แกน่ รชน
ไหว้ครผู ูส้ ั่งสอน แตป่ างก่อนเจริญผล
1. นกั เรยี นจบั ครู ว มกนั แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ ล่วงลนุ พิ พานดล ส�าเร็จกิจประสิทธพิ์ ร
ตอ ไปน้ี จะกล่าวคมั ภีรฉ์ นั - ทศาสตรบรรพท์ ่คี รสู อน
• นกั เรยี นคดิ วา บทเปด เรื่องวรรณคดีเร่ือง เสมอดวงทนิ กร แลดวงจนั ทรก์ ระจา่ งตา
คมั ภีรฉ นั ทศาสตร แพทยศ าสตรสงเคราะห สอ่ งสัตว์ให้สวา่ ง กระจา่ งแจ้งในมรรคา
มีเน้ือหากลา วถงึ เรอื่ งใดบา ง อยางไร หมอนวดแลหมอยา ผู้เรียนรคู้ มั ภีรไ์ สย
(แนวตอบ บทเปดเร่ืองหรือบทประณามพจน เรยี นรใู้ ห้ครบหมด จนจบบทคัมภรี ์ใน
เร่มิ ตน ดวยการไหวครู ซึง่ เปนการไหว ฉันทศาสตรทา่ นกลา่ วไข สบิ สข่ี ้อจงควรจ�า
พระรัตนตรยั ไหวเ ทพเจาของพราหมณ เป็นแพทย์นยี้ ากนัก จะรู้จักซง่ึ กองกรรม
ไหวห มอชีวกโกมารภัจจ และไหวค รูแพทย ตดั เสยี ซึง่ บาปธรรม สบิ สต่ี วั จ่ึงเทย่ี งตรง
โดยท่ัวไป) เป็นแพทยไ์ ม่รใู้ น คัมภรี ์ไสยทา่ นบรรจง
• นกั เรยี นคดิ วา เนื้อหาในบทเปดเรื่องมคี วาม ร้แู ต่ยามาอ่าองค์ รกั ษาไข้ไม่เข็ดขาม
สําคัญอยา งไร และเนือ้ หาดงั กลาวสะทอน บางหมอก็กลา่ วคา� มุสาซา้� กระหนา�่ ความ
คา นยิ มทางสงั คมและวัฒนธรรมไทยอยางไร ยกตนว่าตนงาม ประเสรฐิ ย่ิงในการยา
(แนวตอบ สะทอ นคติความเชื่อทางพระพทุ ธ- บางหมอก็เกยี จกัน ท่พี วกอันแพทย์รักษา
ศาสนา ศาสนาพราหมณ รวมถึงคา นยิ มเรอ่ื ง บางกล่าวเปน็ มารยา เขาเจบ็ นอ้ ยว่ามากครนั
ความกตัญกู ตเวทีตอครอู าจารย)

2. ครขู ออาสาสมคั รนกั เรยี น 2-3 คน ออกมานาํ เสนอ

ขยายความเขา้ ใจ Expand 142

นกั เรยี นยกบทประพนั ธที่มเี นอื้ หาสะทอ นคติ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
ความเชอื่ ในสงั คมและวฒั นธรรมไทย พรอ มคาํ อธบิ าย

เกรด็ แนะครู “ขาขอประนมหัดถ พระไตรรตั นนาถา
ตรโี ลกอมรมา อภวิ าทนาการ
ครคู วรเพ่ิมเตมิ ความรู ความเขา ใจเก่ียวกับภาพสะทอ นทางสงั คมและวัฒนธรรม อนงึ่ ขาอัญชลี พระฤๅษีผูทรงญาณ
จากบทประพนั ธ โดยวรรณคดีเรอื่ ง คัมภรี ฉ นั ทศาสตร แพทยศาสตรส งเคราะห แปดองคเธอมีฌาน โดยรอบรใู นโรคา
สะทอ นคตคิ วามเช่ือทีผ่ สมผสานกันระหวางคติความเชื่อทางพระพทุ ธศาสนากับคติ ไหวค ณุ อิศวเรศ ทงั้ พรหมเมศทุกชัน้ ฟา
ความเชอ่ื ทางศาสนาพราหมณ สาปสรรคซ ึ่งหวานยา ประทานท่ัวโลกธาตรี”
จากบทประพันธขา งตน สะทอนคุณธรรมใดในสงั คมไทย
คติความเชอื่ ทางพระพทุ ธศาสนาที่ปรากฏในบทประพันธ เปน การกลาวยกยอ ง 1. กตญั ู 2. เมตตา
พระพุทธองคไ ววา “พระไตรรตั นนาถา” ทรงสอนจรรยาทางการแพทย และกลาวถึง 3. มทุ ติ า 4. กรณุ า
คตคิ วามเชอ่ื ของศาสนาพราหมณ โดยกลาวถึงพระอิศวร หรอื พระศวิ ะ จากความ
ตอนทว่ี า “อศิ วเรศ” และ “พรหมเมศ” หมายถงึ พระพรหม ปรากฏความเชอ่ื เกย่ี วกบั วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. กตญั ู สอดคลอ งกับเนอื้ หาในบท
ตรมี รู ตทิ างศาสนา เชอ่ื วา เปน เทพเจา ผสู รา งโลก รวมถงึ ยารกั ษาอีกดวย ครคู วร ประพันธข างตนมากทส่ี ดุ สงั เกตจากการแสดงความเคารพ
พยายามชีใ้ หน ักเรียนเหน็ การผสมผสานคติความเชื่ออนั หลากหลายท่ปี รากฏใน นอบนอ มตอส่งิ ศักดส์ิ ทิ ธ์ทิ ้งั หลายตามคตคิ วามเชือ่ ซ่ึงเปน ผูสรา ง
วัฒนธรรมไทยจากวรรณคดเี ร่อื ง คัมภีรฉนั ทศาสตร แพทยศาสตรสงเคราะห
องคค วามรูแ ละถายทอดองคค วามรูตา งๆ ตอบขอ 1.

142 คมู่ ือครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู้

บางกลา่ วอบุ ายให ้ แก่คนไข้นั้นหลายพัน 1. นกั เรียนรว มกันแสดงความคิดเหน็ ดังตอ ไปนี้
หวังลาภจะเกิดพลัน ด้วยเช่อื ถอ้ ยอาตมา • จากบทประพันธ นักเรยี นบอกลกั ษณะของ
บางทไี ปเยียนไข ้ บ มใี ครจะเชิญหา แพทยท ไี่ มดี พรอ มยกบทประพนั ธประกอบ
กลา่ วยกถึงคุณยา อันตนรใู้ หเ้ ช่อื ฟัง การอธบิ าย
บางแพทยก์ ็หลงเล่ห์ ดว้ ยกาเมเขา้ ปดิ บงั (แนวตอบ นกั เรียนสามารถยกตวั อยา ง
รกั ษาโรคดว้ ยก�าลัง กเิ ลศโลภะเจตนา ลักษณะของแพทยท ีไ่ มดไี ดอ ยางหลากหลาย
บางพวกก็ถือตน ว่าไข้คนอนาถา ข้ึนอยูก ับเหตุผลของนกั เรียน เปนตนวา
ให้ยาจะเสยี ยา บ ห่อนลาภจะพึงมี 1. หมอบางคนพูดโกหกซ้าํ ๆ ย้าํ คําพดู ยกยอ
บางถอื วา่ ตนเฒ่า เปน็ หมอเก่าชา� นาญดี ตนเองวา มคี วามรดู ียิง่ ในเรือ่ งยา 2. บางคน
รยู้ าไม่รทู้ ี รักษาไดก้ ช็ ื่นบาน หมกมุนในกลอุบายใหคนเขาใจผิดดว ยความ
แกก่ ายไม่แก่รู้ ประมาทผอู้ ุดมญาณ โลภ ปดบังรักษาโรคเพราะความอยากได
3. บางคนหยง่ิ ในตนเองวา คนไขย ากจนให
ยาไปจะเสียยา ไมไดร ับของท่คี วรจะไดร บั )
แม้เดก็ เปน็ เดก็ ชาญ ไม่ควรหมิน่ ประมาทใจ • นักเรียนคดิ วา แพทยพึงแกความขุนของ
ในตนเอง โดยเฉพาะอยางย่งิ ในใจของตน
เรยี นรูใ้ หเ้ จนจัด จบจงั หวดั คมั ภีรไ์ สย อยางไร
(แนวตอบ ดว ยการนาํ หลกั ธรรมทางพระพทุ ธ-
อตไง้ั ภตยน้ สปปนั ฐฐตมมาใจน ิน3 ดา1 สโมฉชนัทิรตณทธริสศะัตาาญ2ครสรานตรณนรภตทด์ร5างัป์กั มพษักครษารัมี ณ4ภรีา์ ศาสนามาเปนแนวทางในการประพฤติ
ปฏบิ ตั ติ น ดงั ปรากฏในบทประพันธ)
ธาตบุ ัญจบโรคนิทาน • นักเรยี นคิดวา หลกั ธรรมทปี่ รากฏใน
ยังนอกนั้นหลายสถาน บทประพนั ธประกอบดว ยหลกั ธรรมทาง
อติสารอะวะสาน เกดิ กา� เริบแลหยอ่ นไป พระพทุ ธศาสนาขอใดบา ง อยางไร
ยกยกั แยกขยายไข (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตัวอยางได
สรรพคุณรศอันม ี ใหพ้ งึ เรียนตา� หรบั จ�า อยา งหลากหลายดังปรากฏในบทประพนั ธ)
ห่อนเห็นเหตซุ ่ึงโรคทา� 2. นกั เรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ
ฤดูแลเดือนวนั

ลักษณะธาตุพิการ

ทัง้ น้ีเป็นต้นแรก

กล่าวยอ่ แต่ชื่อไว ้

ไม่ร้คู ัมภรี ์เวช ขยายความเขา้ ใจ

แพทย์เอ๋ยอย่างมคล�า จกั ขมุ ดื บ เห็นหน Expand

แพทยใ์ ดจะหนีทุกข์ ไปสู่ศุขนพิ พานดล นักเรียนรวมกันอภปิ รายในประเดน็ ที่วา
พิรยิ สติตน ประพฤตไิ ด้จึ่งเป็นการ นักเรียนคดิ วา นกั เรียนสามารถนําหลักธรรม
ศีลแปดแลศลี ห้า เรง่ รกั ษาสมาทาน ทปี่ รากฏในวรรณคดีเร่อื ง คมั ภีรฉันทศาสตร
ทรงไว้เปน็ นิจกาล ท้ังไตรรตั น์สรณา แพทยศ าสตรส งเคราะห มาประยกุ ตใ ชเ ปน แนวทาง
ในการดําเนนิ ชวี ิตไดอ ยางไร นักเรียนยกบท
143

ประพันธ พรอ มบอกขอคิดหรอื คตธิ รรมท่ีปรากฏใน
บทประพันธ พรอมอธิบายประกอบ
ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
นกั เรียนควรรู

“บางถือวาตนเฒา เปน หมอเกาชาํ นาญดี 1 ปฐมจนิ ดา เปนชอ่ื คัมภีรแพทยเร่ืองสําคัญในชุดแพทยศาสตรส งเคราะห เปน
รูยาไมรทู ี รกั ษาไดก ็ชื่นบาน” ตําราแพทยแผนไทยท่มี ีเนอื้ หาเกี่ยวกับแมและเดก็ กลาวถงึ เรอ่ื งกําเนิดชวี ติ มนุษย
ขอใดมีความหมายตรงกับบทประพันธข า งตน ต้งั แตแ รกปฏิสนธิ การเจรญิ เติบโตของทารกในครรภ การรกั ษาครรภ การคลอด
1. รูนอยบงั อาจทํา การเล้ยี งดูทารกและการรกั ษาสุขภาพของมารดา อาการของโรค การรกั ษาโรค
2. อวดรูวาชํานาญ และรายละเอยี ดเก่ยี วกับยาสมนุ ไพร
3. รนู อ ยอยา บงั อาจ 2 โชตรัต หรือมหาโชตรตั น ตาํ ราวา ดว ยโรคของสตรี ปรากฏหลักฐานต้งั แต
4. รแู ลว เที่ยวโจทยทาย สมัยอยุธยา ในตําราพระโอสถพระนารายณ ซึง่ แตง ขน้ึ ในสมยั สมเด็จพระนารายณ
มหาราช
วเิ คราะหค าํ ตอบ ขอ 2. สอดคลองกบั บทประพนั ธข า งตน มากทสี่ ดุ 3 อไภยสันตา เปนชือ่ คมั ภรี แ พทยเลมหน่งึ ที่ผูเขียนคัมภีรป ฐมจินดาใชในการ
เนอ่ื งจากบทประพนั ธข า งตน กลา วถงึ การคดิ วา ตนเองมคี วามรู ความ อา งอิง
ชํานาญแตจ ริงแลว ไมไดรจู ักยาและการรกั ษา พอรกั ษาไดก ด็ ีใจ
4 สิทธิสารนนทปก ษี สันนิษฐานวา นาจะเปนชอื่ คัมภรี  แตไ มป รากฏอางในทใ่ี ด
อาจนําไปสูก ารกระทําทีผ่ ิดพลาดได ตอบขอ 2.

5 มรณะญาณ สัญญาณบอกวา ใกลต าย คมู่ อื ครู 143

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Evaluate
Engage Explain Explain Expand

อธบิ ายความรู้

ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ
ดังตอ ไปนี้
• จากบทประพนั ธใ นเรอื่ ง คัมภรี ฉนั ทศาสตร เห็นลาภอยา่ โลภนัก อย่าหาญหักดว้ ยมารยา
แพทยศ าสตรส งเคราะห นกั เรียนคิดวา ไข้น้อยว่าไขห้ นา อบุ ายกลา่ วใหพ้ ึงกลวั
ความรู ความเช่ยี วชาญในการบําบดั รกั ษา โทโสจงอดใจ สุขมุ ไว้อยู่ในตวั
โรคมีความสําคญั อยา งไร และแพทยค วรมี คนไข้ยงิ่ ครา้ มกลวั มคิ วรข่ใู หอ้ ดใจ
ความเชีย่ วชาญในเร่ืองใดบาง อยา งไร โมโหอยา่ หลงเล่ห์ ดว้ ยกาเมมจิ ฉาใน
(แนวตอบ ความรูในการบําบดั รักษาโรค พยาบาทแกค่ นไข ้ ทง้ั ผ้อู ื่นอนั กลา่ วกล
มคี วามสาํ คัญอยา งยิ่ง เปน ตนวา เมอื่ เกดิ วิจิกิจฉาเล่า จงถอื เอาซึง่ ครตู น
อาการเจ็บปวย แพทยตองรกั ษาโรคใหทนั อย่าเคลือบแคลงอาการกล เห็นแม่นแลว้ เรง่ วางยา
ทว งที และรกั ษาโรคใหถูกโรค เนอื่ งจาก อทุ ธัจจงั อยา่ อุทธัจ เหน็ ถนัดในโรคา
อาการปวยอาจลกุ ลามจนรักษาไมหาย และ ใหต้ งั้ ตนดงั พระยา ไกรสรราชเข้าราวี
ควรรอบรใู นการรกั ษาท้งั “คมั ภีรพ ุทธไ สย ” อน่ึงโสดอยา่ ซบเซา อยา่ ง่วงเหงานัน้ มดิ ี

อยางรอบดาน เพ่ือใหส ามารถวินจิ ฉยั และ เหน็ โรคน้นั ถอยหน ี กระหน�่ายาอยา่ ละเมนิ
ถา ยทอดความรแู กผ ูอ ่ืนไดอยา งเหมาะสม)
• นักเรยี นคดิ วา เนอ้ื หาของเรอ่ื งนาํ เสนอ ทิฏฐิมาโนเล่า อยา่ ถือเอาซ่งึ โรคเกิน
รูน้ อ้ ยอยา่ ด่วนเดิน ทางใดรกอยา่ ครรไล
จรรยาบรรณของแพทยใ นประเดน็ ใดบา ง อย่าถือวา่ ตนด ี ยังจะมีย่งิ ข้ึนไป
อยางไร อย่าถอื วา่ ตนใหญ่ กวา่ เด็กน้อยผเู้ ชี่ยวชาญ
(แนวตอบ กลา วถึงขอ ทค่ี วรหลกี เลีย่ งในการ ผใู้ ดรู้ในทางธรรม ให้ควรย�าอยา่ โวหาร
ประพฤตขิ องแพทย 14 ประการ อาทิ โทโส เรียนเอาเปน็ นิจกาล เร่งนบนอบใหช้ อบที
โมหะ ความใคร พยาบาท ฯลฯ ความชาํ นาญ ครูพักแลครเู รียน อกั ษรเขยี นไว้ตามมี
ในการรกั ษา และความรูในทางธรรม) จงถอื วา่ ครูดี เพราะได้เรยี นจงึ่ รมู้ า

ขยายความเขา้ ใจ Expand วติ ักโกน้ันบทหน่ึง ใหต้ ดั ซง่ึ วิตักกา
พยาบาทวิหงิ ษา กามราคในสนั ดาน
นกั เรยี นรวมกันอภิปรายในประเดน็ ท่วี า
• นกั เรยี นคดิ วา จรรยาบรรณของแพทยที่ วิจาโรใหพ้ ินิจ จะทา� ผดิ ฤๅชอบกาล
ใหต้ อ้ งกันจะพลนั หาย
ปรากฏในวรรณคดเี รอ่ื ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร ดโู รคกับย1าญาณ อันยงุ่ หยาบสน้ิ ทั้งหลาย
แพทยศ าสตรส งเคราะห ใหข อ คดิ กบั นกั เรยี น คอื ตัดเสยี ซงึ่ กองกรรม
ในเรอ่ื งใดบา ง และนกั เรยี นสามารถนาํ ขอ คดิ หริ ิกงั ละอายบาป บาปที่ลับอย่าพึงทา�
ดงั กลาวไปประยกุ ตใ ชใ นการดาํ เนินชวี ติ ได ทั้งทีแ่ จง้ จงเวน้ วาง
อยางไร ป ระหาอรโในหต้เสปั อื่ปมงั 2บคลทาบยัง คับ
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็
ไดอ ยา งหลากหลายขึ้นอยกู ับเหตผุ ลของ
กลวั บาปแลว้ จงจ�า

144

นกั เรียน) ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT

นกั เรียนควรรู

1 หิริ หรอื หริ โิ อตตัปปะ เปนธรรมขอ หนงึ่ ในโลกบาลธรรม หรอื ธรรมคมุ ครอง “ครูพักแลครูเรียน อักษรเขียนไวต ามม”ี
โลก ธรรมทป่ี กครอง ควบคมุ ใจมนษุ ยไวใหอยูในความดี มใิ หล ะเมิดศลี ธรรม เพ่อื ให จากบทประพันธขา งตน คําวา “ครพู กั ” และ “ครเู รยี น”
มนษุ ยและสง่ิ มชี วี ติ ท้งั หลายสามารถอยรู ว มกันไดอ ยางเปน สขุ ไมเกดิ ความเดอื ดรอ น มคี วามหมายวา อยางไร และนักเรียนไดขอ คิดใดจากบทประพันธ
สบั สน หริ ิ คอื ความละอายตอ บาป ละอายตอ การกระทาํ ความชว่ั โอตตปั ปะ หมายถงึ ขา งตน และบทประพนั ธข า งตน สามารถประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ ประจาํ วนั
ความกลัวบาป เกรงกลวั ตอความชัว่ และผลของกรรมชวั่ ไดอยางไร
2 อโนตปั ปง ความไมสะดงุ กลวั ตอบาป แนวตอบ “ครูพัก” มาจากคําเต็มวา “ครพู กั ลกั จํา” คอื ไดย ิน
ไดฟง ไดคน ควา แลว นํามาปฏบิ ัตดิ ว ยตนเอง สว นคําวา “ครเู รียน”
หมายถงึ รา่ํ เรยี นมา โดยมคี รสู อนจนจบหลกั สตู ร นกั เรยี นสามารถ
นาํ ขอ คดิ ทไี่ ดจ ากบทประพนั ธม าประยกุ ตใ ชใ นการศกึ ษาเลา เรยี นได
โดยการเรียนรมู ไิ ดเกดิ จากการศึกษาถายทอดความรเู ทานัน้ แต
นักเรยี นตอ งเรียนรจู ากการปฏิบัติและต้ังสมมติฐานของนกั เรียน
เอง จากนน้ั จงึ สบื คน และพฒั นาองคค วามรเู พอ่ื ตอ ยอดองคค วามรู
ท่ีมีอยเู ดมิ ใหม ีความกา วหนา มากย่งิ ขึ้น ซ่งึ จะสงผลดที ัง้ ตอ ตัว
นักเรียน และสงั คมโดยรวมท่ีไดพฒั นาองคความรทู างศิลปวทิ ยา
144 คู่มอื ครู การใหมีความกา วหนา ยง่ิ ๆ ข้นึ ไป

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู้

อยา่ เกยี จ1แก่คนไข ้ คนเข็ญใจขาดในทาง 1. นกั เรยี นจบั คู จากนน้ั รว มกนั แลกเปลยี่ นความ
อย่าเกียจคนพยาบาล คดิ เหน็ ดงั ตอ ไปนี้
ลาภผลอนั เบาบาง ฉนั ทศาสตรเป็นประธาน • นกั เรยี นคดิ วา วรรณคดเี รอื่ ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร
ใครรู้แท้นบั ว่าชาย แพทยศ าสตรส งเคราะหม กี ลวธิ กี ารเปรยี บ
เทา่ นกี้ ล่าวไว้ใน กายนครมมี ากหลาย เทยี บทแี่ สดงถงึ ความสาํ คญั ของรา งกาย
ทกุ หญงิ ชายในโลกา อยา งไร
กลอนกล่าวให้วถิ าร ผา่ นสมบัติอันโอฬาร์ (แนวตอบ เปรยี บเทยี บรา งกายกบั บานเมอื ง
เกดิ เขน่ ฆา่ ในกายเรา โดยใหค วามสําคญั กบั ดวงจติ ดวยการ
อนึง่ จะกล่าวสอน อันชา� นาญร้ลู า� เนา เปรียบดวงจติ เปนกษตั ริย และเปรียบโรคภัย
หอ้ มล้อมรอบทุกทิศา เปน ขาศึกศัตรทู ่ีจะเขา มาทาํ ลายบานเมอื ง)
ประเทียบเปรียบในกาย คือดวงใจให้เร่งยา • นกั เรียนคดิ วา กายนครมเี นื้อหากลาวถงึ
ขา้ ศึกมาจะอนั ตราย เร่ืองใดบาง อยา งไร
ดวงจติ คือกระษัตริย ์ เร่งรักษาเขมน้ หมาย (แนวตอบ นักเรียนสามารถพิจารณาเน้ือหา
คอื เสบยี งเลีย้ งโยธา และกลวธิ ีการเปรียบเทียบไดจากบท
ข้าศึกคือโรคา เรง่ จดั แจงอยรู่ ักษา ประพนั ธ)
ปิดทางไดจ้ ะเสียที • นกั เรียนคิดวา กลวธิ ีการเปรยี บเทียบ
เปรียบแพทยค์ อื ทหาร กลา่ วยกโทษแพทย์อนั มี “กายนคร” สง ผลตอ การสอื่ สารเนอื้ หา
เหตฉุ ันใดแก้มฟิ ัง อยา งไร
ข้าศึกมาอยา่ ใจเบา รูร้ ักษาก็จรงิ จงั (แนวตอบ สง ผลตอ การสอ่ื สารเนอื้ หาไดอ ยา ง
จง่ึ มิฟงั ในการยา ชดั เจน โดยนาํ สง่ิ ทผี่ อู า นคนุ เคย คอื เรอื่ งของ
ให้ดา� รงกระษัตริยไ์ ว ้ แก่แลว้ ไซรย้ ากนกั หนา บา นเมอื งและการปองกนั บานเมืองใหรอดพน
จากขาศกึ ศัตรูมากลาวเปรยี บเทียบ)
อน่งึ หา้ มอย่าโกรธา
2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ
ปติ ต � คอื วังหน้า

อาหารอย่ใู นกาย

หนทางท้ังสามแหง่

หา้ มอยา่ ให้ขา้ ศึกมา

อน่ึงเลา่ มีคา� โจทย ์

ปรีชารคคู้ �ามั เฉภลรี ย ์ แกป้ จุ ฉา2


ดว้ ยโรคเหลือก�าลงั

เม่ือออ่ นรักษาได้

ไข้น้ันอปุ มา เหมอื นเพลิงปา่ ไหมล้ ุกลาม ขยายความเขา้ ใจ Expand

เปน็ แพทย์พงึ สา� คญั โอกาสนน้ั มอี ย่สู าม นกั เรยี นรว มกนั อภปิ รายในประเดน็ ทวี่ า
บางทรี ้เู กนิ ร้ไู ป • นกั เรียนคิดวา กลวธิ ีการเปรียบเทียบ
เคราะห์รา้ ยขัดโชคนาม ด้วยโรคน้ันใชว่ ิสัย
ถือวา่ รขู้ นื กระท�า “กายนคร” สะทอนคติความเชื่อ รวมถงึ
ต น บ บรู้ทางิฏทฐ3ีริใจมู้ ิทัน โรคนนั้ สวู้ า่ แรงกรรม คานยิ มทางสงั คมและวฒั นธรรมไทยอยางไร
สดุ มือมว้ ยนา่ เสยี ดาย (แนวตอบ สะทอ นความสาํ คญั ของสถาบนั กษตั รยิ 
ในสังคมและวฒั นธรรมไทย นกั เรียนสามารถ
จบเรอ่ื งทีต่ นรู้ สงั เกตไดจ ากบทประพนั ธซึ่งมีการใหความ

ไม่สนิ้ สงสยั ทา�

145

สาํ คัญกับพระมหากษัตริย โดยเปรยี บเทยี บ
“ดวงจติ คือกระษตั ริย” ท่ีตอ งปอ งกันรกั ษา)
ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
“ดวงจิตคอื กระษัตรยิ  ผานสมบตั ิอันโอฬาร นกั เรยี นควรรู

ขา ศกึ คอื โรคา เกิดเขน ฆาในกายเรา 1 เกยี จ ในท่ีนี้ใชใ นหลายความหมาย โดยคาํ วา เกยี จ ในบทประพันธเ รื่อง คมั ภีร
เปรยี บแพทยคอื ทหาร อันชํานาญรูลําเนา ฉนั ทศาสตร แพทยศ าสตรสงเคราะห หมายถงึ คด ไมซ ือ่ โกง หรอื หมายถงึ คราน
ขาศึกมาอยาใจเบา หอมลอ มรอบทุกทิศา 2 ปุจฉา ถาม อาทิ ขอปุจฉาพระคุณเจา แตในบทประพันธน้ีใชใ นความหมายวา
ใหด าํ รงกระษัตรยิ ไ ว คือดวงใจใหเ รง ยา” สงสัย หรือขอ สงสัย
บทประพนั ธข างตนมีคุณคา ทางวรรณศลิ ปโ ดดเดน ที่สดุ 3 ทฏิ ฐิ หรือทิฐิ ความเห็น เชน สัมมาทฐิ ิ ความเหน็ ชอบ มจิ ฉาทฐิ ิ ความเห็นผดิ
ในดา นใด หรอื อีกความหมายหนึง่ หมายถึง ความอวดดื้อถือดี เชน เขามที ิฐมิ าก เปน ตน
1. การเลนคาํ 2. การเลน เสียง
3. การใชภาพพจน 4. การลําดบั ความชดั เจน

วิเคราะหค าํ ตอบ จากบทประพนั ธข างตน มกี ารใชภ าพพจน
แบบอุปมาโดยเปรียบเทยี บอวยั วะในรางกายกับการเมอื ง

การปกครอง ตอบขอ 3.

คมู่ ือครู 145

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand
Engage Explain Evaluate

อธบิ ายความรู้ แต่ยาใหโ้ รคนนั้ หาย
ว่าชอบโรคนั้นเป็นดี
1. นกั เรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ บางทีกม็ ชี ัย ตามระบอบพระบาฬี
ตอ ไปนี้ ทา่ นกล่าวอภปิ ราย อเนกนบั เบือ้ งน่าไป
• นกั เรยี นคดิ วา ลลี าการแตงของกาพยย านี ผู้ใดใครทา� ชอบ เห็นโรคชัดอยา่ สงสยั
11 เหมาะสมกับเน้ือหาในคัมภีรฉันทศาสตร กุศลผลจะมี อยา่ ถือใจว่าลองยา
แพทยศาสตรส งเคราะหห รอื ไม อยา งไร เรียนรู้ใหแ้ จ้งกระจัด ต่อจวนใกลจ้ ะมรณา
(แนวตอบ ลลี าการแตง ดว ยบทประพนั ธป ระเภท เร่งยากระหน่�าไป ว่ามริ ูใ้ นท่าทาง
กาพยย านี 11 มคี วามเหมาะสมกบั เนอื้ หาที่ จะหนีๆ แตไ่ กล แพทย์อน่ื มาก็ขัดขวาง
นาํ เสนอในลกั ษณะของสารคดที ใ่ี หข อ มลู จ่ึงหนแี พทย์นัน้ หนา ตรโี ทษแล้วจงึ่ ออกตัว
ความรรู วมถงึ ขอ เทจ็ จรงิ อยา งชดั เจน เพอื่ ให อา� ไว้จนแกก่ ล้า
ผอู า นสามารถนาํ ไปใชใ นการสงั เกตและบาํ บดั ตอ่ โรคเขา้ ระวาง จสเวะุขรตุมา2กมไวไีมอ้ปไิ ยใดน่าก้ แอลพบัวราง่ยพ1ราย
อาการรกั ษาของโรคไดเ ปน อยา งด)ี หนิ ชาติแพทยเ์ หล่าน้ี
ทา� กรรมนา� ใสต่ ัว อยา่ ยืน่ แก้วแก่วานร
2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ เรียนรู้คมั ภีรไ์ สย พาตา� หรบั เท่ยี วขจร
ควรกลา่ วจ่ึงขยาย ทัง้ บุญคณุ ก็เสื่อมสญู
ขยายความเขา้ ใจ Expand ไมร่ กั จะทา� ยบั
เสียแรงเปน็ ครสู อน เแพกรลา้งะภสปิ ารมาหยาถวา3เมปเ็นคใ้าจมพลู าล
นกั เรียนรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ที่วา รูแ้ ลว้ เท่ยี วโจทย์ทาย
• นกั เรยี นคดิ วา ลลี าการแตง ของกาพยย านี 11 ความรู้นนั้ จะสญู พิเคราะห์ดผู ู้อาจารย์
ผู้ใดจะเรียนร ู้ ทั้งพทุ ธไ์ สยจ่ึงควรเรยี น
สงผลตอกลวิธใี นการส่ือสารอยางไร เท่ียงแท้วา่ พิสดาร คัมภรี ์ไสยไมจ่ า� เนียร
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ แตส่ กั เป็นแพทย์ได้ จะนา� ตนให้หลงทาง
ไดอยางหลากหลายข้ึนอยกู บั เหตผุ ลของ ครูนั้นไม่ควรเรียน
นักเรยี น) เราแจง้ คมั ภรี ฉ์ นั - นทพิศาพสาตนรสอศุ นั วิ บาุรไลายณ4ปาง
กอ่ นกล่าวไวเ้ ปน็ ทาง
อยา่ หมิน่ วา่ รงู้ ่าย ตา� รบั รายอยู่ถมไป
รบี ดว่ นประมาทใจ ดังนัน้ แท้มเิ ป็นการ
ลอกได้แต่ต�ารา เท่ียวรกั ษาโดยโวหาร
อวดร้วู า่ ช�านาญ จะแก้ไขให้พลนั หาย

146

นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
“ผูใดใครทาํ ชอบ ตามระบอบพระบาฬ
1 อบาย ท่ีทป่ี ราศจากความเจริญ ความฉิบหาย หมายถึง อบายภมู หิ รือภูมิ กุศลผลจะมี อเนกนบั เบื้องนาไป
ทเ่ี กดิ อนั ปราศจากความเจรญิ คอื 1. นริ ยะภมู ิ หรอื ภมู ขิ องสตั วน รก 2. เปตตภิ มู ิ หรอื เรียนรใู หแ จงกระจดั เห็นโรคชดั อยา สงสัย
ภูมิของเปรต เปนสตั วท่ีมคี วามเดือดรอนมากเพราะอดอยากหวิ โหย 3. อสรุ กายภูมิ เรงยากระหน่ําไป อยา ถอื ใจวาลองยา”
หรอื ภมู ขิ องหมสู ตั วท มี่ คี วามเปน อยฝู ด เคอื ง 4. ตริ จั ฉานภมู ิ หรอื ภมู ขิ องสตั วเ ดรจั ฉาน ขอ ความขางตนมกี ารใชโ วหารประเภทใด และโวหารดงั กลา ว
2 สขุ ุม ประณตี ลกึ ซง้ึ รอบคอบ ไมววู าม เชน เขาจะไมด วนตัดสนิ ใจ กอนทีจ่ ะ มีจุดมุง หมายในการสอื่ สารอยา งไร
พจิ ารณาอยา งสุขมุ ท้ังทางไดและทางเสีย เขามีปญ ญาสขุ มุ เปน ตน บางคร้ังใชเขา คู ขอ ประเภทโวหาร จดุ มุงหมาย
กับคําอ่ืน เชน สุขมุ คมั ภรี ภาพ สขุ ุมรอบคอบ สขุ ุมลกึ ซง้ึ เปน ตน 1. บรรยายโวหาร อธบิ ายเรอ่ื งราวอยางชดั เจน
3 สามหาว หยาบคาย โอหงั กา วรา วผหู ลกั ผูใหญ (ใชแกว าจา) เชน 2. บรรยายโวหาร เสนอความคดิ เห็น
เด็กพูดจาสามหาวกับผใู หญ เปน ตน 3. พรรณนาโวหาร นาํ เสนอเนือ้ หาตรงไปตรงมา
4 สศุ วิ าไลย ตามรปู ศพั ทหมายถงึ ทป่ี ระทบั ของพระศิวะ แตโ ดยรวมหมายถงึ 4. พรรณนาโวหาร ใหต คี วามไดหลายมมุ มอง
ทอ่ี ยอู นั เกษมสุข
วเิ คราะหคําตอบ จากขอ ความขางตนเปน การบรรยายโวหาร
146 คมู่ อื ครู มจี ดุ มงุ หมายเพอ่ื อธบิ ายเรอื่ งราวอยา งชดั เจน ใชภ าษาท่ีสน้ั กระชับ

นาํ เสนอเฉพาะสาระสําคญั เปน หลัก ตอบขอ 1.

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain

โรคคือครุกรรม1 อธบิ ายความรู้ Explain

กล่าวเลห่ อ์ ุบายหมาย บรรจบจ�าอย่าพงึ ทาย นกั เรยี นจบั คู แลวรว มกันตอบคาํ ถามตอไปน้ี
บา้ งจ�าแต่เพศไข้ ด้วยโลภหลงในลาภา • นกั เรียนคดิ วา เร่อื งคมั ภรี ฉนั ทศาสตร
กองเลือดว่าเสมหา
คัมภรี ์กลา่ วไวห้ มด สกง่ิอเงดวยี าวตไาด2วส้ ่างักเ�ากเตดมา3า แพทยศาสตรส งเคราะห มคี วามดีเดนดาน
ทายโรคแต่โดยเดา วรรณศิลปอยา งไร
ร้นู ้อยอยา่ บังอาจ ไยมจิ ดมิจ�าเอา (แนวตอบ วรรณคดเี ร่อื งคัมภีรฉ นั ทศาสตร
แรงโรคว่าแรงยา ให้เช่อื ถือในอาตมา แพทยศ าสตรส งเคราะหป ระพันธโดยใช
อน่ึงทา่ นได้กลา่ วถาม หม่ินประมาทในโรคา ถอยคําท่เี หมาะสมกบั เนอ้ื หา สามารถสื่อ
เภอใจว่าตนจา� มคิ วรถอื คือแรงกรรม ความไดอยา งตรงไปตรงมา รวมถึงมีการใช
ใช่โรคสิ่งเดยี วดาย อยา่ กลา่ วความบังอาจอ�า- สาํ นวนและภาพพจนเชิงเปรียบเทียบเพ่ือให
ต่างเนอ้ื ก็ตา่ งยา เพศไข้นีอ้ นั เคยยา ผอู านเห็นภาพชดั เจน)
บางทีกย็ าชอบ จะพลนั หายในโรคา
หายคลายแลว้ ทบทวน จะชอบโรคอนั แปรปรวน ขยายความเขา้ ใจ Expand
อวดยาครัน้ ให้ยา แตเ่ คราะห์ครอบจ่งึ หันหวน
กลบั กล่าวว่าแรงผี จะโทษยาก็ผดิ ที 1. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท แี่ สดงถงึ ลกั ษณะเดน
เหน็ ลาภจะใครไ่ ด ้ เห็นโรคาไม่ถอยหนี ดา นกลวิธที างวรรณศิลปท ส่ี อดคลอ งกับ
รู้นอ้ ยบังอาจท�า ท่แี ท้ทา� ไมร่ ้ทู า� ประเดน็ ท่ีกลา วไวในกิจกรรม พรอมอธบิ าย
โรคนนั้ คือโทโส นยิ มใจไมเ่ กรงกรรม บทประพันธท ีน่ กั เรยี นยกมาวา มคี ุณคาทาง
แพทยเ์ รง่ กระหน่�ายา วรรณศิลปห รือไม อยา งไร
ร้แู ล้วอย่าอวดร้ ู โจระคภรยิะโยย�า4เเรพง่ วรัฒาะนแารงยา
ควรยาหรือยาเกิน 2. นักเรียนบันทึกความเขาใจลงในสมุด
ถนอมทา� แต่พอควร กย็ ่งิ ยบั ระยา� เยิน
ผิโรคนั้นกลบั กลาย พินิจดอู ยา่ หมิน่ เมนิ ตรวจสอบผล Evaluate
บ้างไดแ้ ตย่ าผาย กวา่ โรคนน้ั จึง่ กลับกลาย
เห็นโทษเขา้ เปน็ ตรี อย่าโดยดว่ นเอาพลนั หาย 1. นกั เรยี นสามารถสรปุ สาระสาํ คญั เกย่ี วกบั คณุ คา
บา้ งรู้แตย่ ากวาด จะเสยี ทา่ ด้วยผิดที ทางวรรณศลิ ปป ระกอบดวย คณุ คา ดานเนือ้ หา
โรคนอ้ ยใหห้ นกั ไป บรรจุถา่ ยจนถึงดี ภาษา และรูปแบบ จากวรรณคดีเรอื่ ง คัมภีร
จง่ึ ออกตวั ด้วยตกใจ ฉนั ทศาสตร แพทยศ าสตรส งเคราะห
เทย่ี วอวดอาจไมเ่ กรงภยั
ดงั ก่อกรรมให้ตดิ กาย 2. นักเรยี นสามารถยกตัวอยา งบทประพันธที่มี
คุณคาทางวรรณศลิ ปประกอบการอธบิ ายได

147

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู
“บา งไดแ ตย าผาย บรรจถุ า ยจนถึงดี
เห็นโทษเขา เปนตรี จงึ่ ออกตวั ดว ยตกใจ 1 ครุกรรม บาปหนกั
บา งรูแ ตยากวาด เที่ยวอวดอาจไมเกรงภัย 2 วาตา ลม
โรคนอยใหห นกั ไป ดงั กอกรรมใหต ดิ กาย” 3 กาํ เดา อาการไขอ ยา งหนึ่งเกิดจากหวัดเรียกวา ไขกาํ เดา อาหารของโรคมีเลอื ด
บทประพันธขางตนใชกลวธิ ีการแตงคาํ ประพันธใ ด ออกจากทางจมูกเรียกวา เลอื ดกาํ เดา
1. อุปมาโวหาร 4 ภิยโย ภญิ โญ หมายถงึ มากข้นึ ย่ิงข้นึ
2. เทศนาโวหาร
3. พรรณนาโวหาร
4. สาธกโวหาร

วิเคราะหคาํ ตอบ บทประพันธยกตวั อยางหมอท่ีขาดความ

เชี่ยวชาญชํานาญในการรกั ษาคนไขแบบตา งๆ ตอบขอ 4.

คมู่ อื ครู 147

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

นกั เรยี นพจิ ารณาบทประพนั ธ จากนนั้ ครสู นทนา ๖. คำ�ศพั ท์
ซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี
“อาํ ไวจ นแกก ลา แพทยอ น่ื มากข็ ดั ขวาง คา� ศพั ท์
ตอ โรคเขา ระวาง ตรโี ทษแลว จง่ึ ออกตวั กอง ความหมาย
กำเม
หนิ ชาตแิ พทยเ หลา น้ี เวรามมี ไิ ดก ลวั กุมำรภจั จำ� พวก ประเภท หมวด
ทาํ กรรมนาํ ใสต วั จะตกไปในอบาย”
• จากบทประพันธข างตน มคี าํ ศพั ทคาํ ใดบา ง กำ� เดำ ควำมใคร่ ควำมอยำก ส่งิ ทน่ี ำ่ ใคร่ น่ำปรำรถนำ

ทน่ี กั เรยี นไมเ ขา ใจ และนกั เรียนมีวธิ กี าร เกียจ ชีวกโกมำรภัจ แพทย์ผู้ได้รับยกย่องให้เป็นบิดำแห่งกำรแพทย์
สรา งความเขา ใจใหตนเองอยา งไร เขำ้ ระวำง เคยเป็นแพทยห์ ลวงของพระเจ้ำพิมพสิ ำรแหง่ แคว้นมคธ
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ครรไล
ไดอยา งหลากหลายขึ้นอยูกับพื้นฐานความรู คมั ภรี ฉ์ ันทศำสตร อำกำรไข้อย่ำงหน่ึงเกดิ จำกหวัด เรยี กวำ่ ไข้ก�ำเดำ อำกำรของโรค
ความเขา ใจ รวมถงึ เหตุผลของนกั เรยี นที่ มีเลอื ดออกทำงจมกู เรียกว่ำ เลือดก�ำเดำ
คมั ภรี ์ไสย
ยกมาประกอบการอธิบาย) ครกุ รรม คดโกง กีดกัน ไมซ่ ่อื คร้ำน
ครูพกั
• นกั เรียนเหน็ วา คําศพั ทดงั กลาวสงผลตอ เขำ้ ไปถึง
เนอ้ื หาอยา งไร จกั ขุ
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ จังหวดั ไป

ไดอยา งหลากหลายข้นึ อยูก ับเหตผุ ลของ จำ� เนียร ตน้ ฉบบั ในเนอื้ เรอ่ื งเขยี นเชน่ น้ี ยกเวน้ ทส่ี ำรบญั มตี วั ทณั ฑฆำต( ์)
นกั เรยี น) ทตี่ วั อักษรสุดท้ำย
148
สา� รวจคน้ หา Explore คัมภีร์ไสยศำสตร์ หมำยถงึ คัมภีรอ์ ำถรรพเวทของพรำหมณ์

นกั เรยี นสืบคนขอมลู คําศัพทท ี่นกั เรียนสนใจ บำปหนกั
จากวรรณคดีเรือ่ ง คมั ภรี ฉนั ทศาสตร แพทยศ าสตร
สงเคราะห โดยยกขอ ความทปี่ รากฏคาํ ศพั ทป ระกอบ กำรเรียนรู้ด้วยวิธีจ�ำจำกบุคคลที่ไม่ได้รับผู้เรียนเป็นศิษย์ เช่น
คาํ อธบิ าย แลว สืบคน เนื้อหาในประเดน็ ตอไปนี้ เรียนจำกต�ำรำโดยไม่มีครูสอน หรือดูแบบอย่ำงแล้วจดจ�ำมำท�ำ
กำรเรียนด้วยวธิ ีอย่ำงน้ีเป็นควำมรู้ที่ไดจ้ ำกครูพกั ส�ำนวนโบรำณ
• คาํ ประสม มักใชว้ ่ำ ครพู กั ลักจำ�
• คํายืมภาษาตางประเทศ
• กลวธิ ีทางวรรณศิลปจากการสรรคํา สำยตำ

อธบิ ายความรู้ ขอบเขต ในทีน่ ้ีหมำยถึง ขอบเขตเนอ้ื หำสำระของเรอ่ื งในคมั ภีร์
ในควำมวำ่ จบจงั หวัดคัมภรี ์ไสย

Explain ในทีน่ ีห้ มำยถงึ เชย่ี วชำญ

นักเรยี นบนั ทกึ คําทน่ี ักเรียนรวบรวมมาได
ประกอบดว ย คาํ ประสม และคาํ ยืมภาษา
ตางประเทศ พรอ มยกขอ ความประกอบ

เกร็ดแนะครู บูรณาการเชอื่ มสาระ
ครสู ามารถนาํ ความรเู กย่ี วกบั สขุ ภาพรา งกายและวธิ กี ารรกั ษาโรค
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู พอ่ื ใหน กั เรยี นเกดิ ความซาบซง้ึ ในคณุ คา และความงดงาม ดว ยความรทู างการแพทยแ ผนไทยจากวรรณคดเี รอ่ื ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร
ของวรรณคดี ครคู วรเนน ใหน ักเรยี นไดเรียนรตู ง้ั แตโครงสรางภาษาในระดบั คําท่ี แพทยศาสตรส งเคราะห บรู ณาการเชื่อมโยงกับกลมุ สาระการเรยี นรู
นํามาใชใ นการประพันธวา มีการใชค าํ ที่กอใหเ กดิ ความงดงามท้งั ดา นเสียงและ สขุ ศึกษาและพลศึกษา รายวิชาสขุ ศึกษา ท่ีมเี น้ือหาเกีย่ วกบั สาเหตุ
ความหมายหรือไม มากนอ ยเพยี งไร กวสี รรคํามาใชในตําแหนงที่เหมาะสมกอใหเ กิด และแนวทางการปองกนั การเจบ็ ปว ยและการตายของคนไทย
รสคาํ และรสความทสี่ งผลตอคณุ คาทางวรรณศิลปอยางไร รวมถึงการสรรคาํ มาใชใน นกั เรยี นสามารถประยุกตภมู ปิ ญ ญาดานการแพทยแผนไทยมาใช
บทประพนั ธท ่ีนกั เรยี นศึกษานัน้ มลี กั ษณะเฉพาะอนั เปนลักษณะเดน ที่มีความแตกตา ง ในการดูแลรกั ษาสขุ ภาพอนามยั พรอมเปรียบเทียบวธิ กี ารรกั ษาตาม
จากวรรณคดีเรอื่ งอ่ืนหรอื ไม อยา งไร แนวทางท้ังการแพทยแผนไทยและการแพทยแผนปจจุบนั เพ่อื ให
นักเรียนตระหนกั ในคุณคา และความสําคญั ของการรักษาโรคดวย
นอกจากนี้ นกั เรยี นควรศึกษาคน ควา เพิม่ เติมเก่ียวกบั ความหมายของคําศพั ทว า วธิ ีการทางการแพทยแ ผนไทยมากยงิ่ ข้ึน ชวยใหน กั เรียนมคี วามรู
คําศพั ทย อมมกี ารเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา ตลอดจนสภาพสังคมและวัฒนธรรม ความเขา ใจเก่ยี วกับการรกั ษาโรคดว ยการแพทยแ ผนไทย และเห็น
ทป่ี รากฏในบทประพนั ธ หากนกั เรยี นอา นบทประพนั ธแ ลว ไมส ามารถเขา ใจความหมาย ความสําคัญของวรรณคดใี นฐานะทที่ ําหนาท่บี นั ทกึ ขอมลู ความรู
ของคาํ หรืออานบทประพันธแ ลวไมก อใหเกดิ ความซาบซึ้ง นักเรยี นควรแกปญหา ความเขาใจทางวิชาการไดเ ปน อยางดี
ดังกลา วโดยการแสวงหาความรูและความเขา ใจจากบทประพันธต า งๆ ใหม คี วาม
หลากหลายมากย่งิ ข้ึน

148 คมู่ อื ครู

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

คา� ศพั ท์ ความหมาย 1. นกั เรียนแบงกลุม กลมุ ละ 4 - 5 คน รวมกัน
โจทย์ พดู โออ้ วด ในควำมว่ำ รแู้ ล้วเที่ยวโจทย์ทำย แลกเปลย่ี นความคดิ เห็นในประเดน็ ตอไปน้ี
ไซร้ อยำ่ งนนั้ เชน่ นน้ั ในบำงคมั ภรี เ์ ขียน ไซร้ หรือ ไซ้ • นักเรยี นอธิบายการสรางคําประสม พรอม
ฌำน กำรเพ่งอำรมณ์จนจิตแนว่ แนเ่ ปน็ สมำธิ แบ่งเป็น ๒ ประเภท คอื รวบรวมคาํ ประสมท่ปี รากฏในวรรณคดีเรื่อง
รูปฌำน และอรปู ฌำน คมั ภรี ฉนั ทศาสตร แพทยศาสตรส งเคราะห
ต่ำงเน้ือก็ตำ่ งยำ เนื้อ ในท่นี ี้หมำยถงึ บคุ คล คน จงึ หมำยควำมว่ำ แต่ละบคุ คล พรอมท้ังยกตวั อยางขอ ความท่ปี รากฏ
ก็ควรใชย้ ำแตกต่ำงกันไป คาํ ประสมในเรอื่ ง
ตรโี ทษ อำกำรไข้หนกั มำก อยู่ในระยะท่เี ลือด ลม เสมหะบังเกิดเปน็ พิษ (แนวตอบ คําประสมเกดิ จากคํามลู ตั้งแต
ขน้ึ พรอ้ มกันในรำ่ งกำย 2 คาํ ขน้ึ ไป รวมกนั แลว เกดิ ความหมาย
ตรโี ลก ตำมหลักไสยศำสตร์ หมำยถงึ สวรรค์ มนษุ ยโลก และบำดำล ข้นึ อีกความหมายหนึ่ง หรอื กลา วไดวา
ไตรรตั น์ แกว้ ประเสรฐิ ๓ ประกำร ไดแ้ ก่ พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ เกดิ ความหมายใหมจากการประสมคาํ
ทิฏฐิมำโน มำจำกศัพท์ ทิฏฐิ + มำนะ คําประสมในเร่ือง เชน ยากวาด ยาเย็น
(ทิฏฐิ หมำยถงึ ควำมเหน็ มำนะ หมำยถึง ควำมถือตวั ) ยายาย แมท ราง ขาศกึ ใจเบา สุดมอื แรงผี
โทโส ควำมโกรธ ควำมฉุนเฉยี ว อวดรู ออกตัว สามหาว วางยา ยาตรี
ธำตุ ธำตุท้ัง ๔ อันมีอยู่ในร่ำงกำย ได้แก่ ธำตุดิน ธำตุน้�ำ ธำตุลม ปลายมือ ทอ งขนึ้ เปน ตน)
และธำตุไฟ • นกั เรยี นรวบรวมคาํ ศัพทภ าษาบาลีสันสกฤต
ธำตพุ กิ ำร ธำตทุ ัง้ ๔ ในร่ำงกำยผันแปรผิดปกติไป ท�ำให้เกิดโรคต่ำงๆ ข้ึน ทปี่ รากฏในวรรณคดเี รอ่ื ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร
ตำมกองธำตุเหล่ำนัน้ แพทยศ าสตรส งเคราะห พรอ มทง้ั ยกตวั อยา ง
นรชน คน ขอความที่ปรากฏคาํ ศพั ทภาษาบาลี
บรรจถุ ่ำย ยำประจุ ยำทขี่ ับพษิ ถ่ำยพิษ สนั สกฤตมาเปน ตวั อยา งประกอบความเขา ใจ
บรรพ์ ฉบบั เลม่ หมวด ตอน (แนวตอบ คําศัพทภาษาบาลสี นั สกฤตท่ี
ประเทยี บ เปรียบ ปรากฏในวรรณคดีเร่อื ง คัมภรี ฉ นั ทศาสตร
แพทยศาสตรสงเคราะห มีดงั ตอไปนี้
149 1. ภาษาบาลี เชน อญั ชลี คัมภีร นพิ พาน
จักขุ มจิ ฉา วิจิกิจฉา ทฏิ ฐมิ าโน อโนตัปปง
ปุจฉา องค อจุ จาระ เปน ตน 2. ภาษา
สันสกฤต เชน ฤๅษี กรรม แพทย
กระษัตรยิ  ตรโี ทษ บรรพ โทษ ศึกษา รกั ษา
พิสดาร จติ ร เปนตน )

2. ครสู มุ ตวั แทนนกั เรยี นแตล ะกลมุ กลมุ 2 - 3 คน
ออกมานําเสนอหนา ชน้ั เรียน

บูรณาการเชื่อมสาระ เกรด็ แนะครู

ครสู ามารถนําความรเู กยี่ วกบั สุขภาพรา งกายและวธิ กี ารรักษาโรค ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรู ความเขา ใจเกยี่ วกบั วธิ กี ารศกึ ษาคาํ ศพั ทท นี่ าํ มาใชใ น
ดว ยความรทู างการแพทยแ ผนไทยจากวรรณคดเี รอ่ื ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร บทประพนั ธเ รอื่ ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร แพทยศ าสตรส งเคราะห โดยคาํ ศพั ทท น่ี าํ มาใชใ น
แพทยศ าสตรส งเคราะห บรู ณาการเช่ือมโยงกบั กลมุ สาระการเรยี นรู บทประพนั ธก ลา วถงึ คตคิ วามเชอ่ื ทางพระพทุ ธศาสนา รวมถงึ คตขิ องศาสนาพราหมณ
วิทยาศาสตร รายวิชาชีววิทยา และรายวิชาส่ิงมีชวี ติ กบั กระบวนการ ซง่ึ เปน คตคิ วามเชอื่ หลกั ทไ่ี ดร บั การยกยอ งในสงั คมและวฒั นธรรมไทย จงึ มกี ารใช
ดาํ รงชีวติ ชีวิตกบั สง่ิ แวดลอม เนือ้ หาเก่ียวกบั รางกาย ท้งั ในดา น คาํ ศพั ทภ าษาบาลสี นั สกฤตซงึ่ เปน ภาษาสงู ทมี่ คี วามไพเราะ งดงาม ทง้ั ดา นเสยี งและ
อวยั วะและสขุ ภาพรา งกาย กลไกการรกั ษาดุลยภาพของส่งิ มีชวี ติ ความหมาย กวจี งึ ตอ งมคี วามรอบรคู าํ ศพั ทภ าษาบาลสี นั สกฤตอยา งหลากหลาย รวมถงึ
รวมถึงภูมคิ มุ กันของรา งกาย โดยประยกุ ตภูมปิ ญญาดานการแพทย การใชภ าษาของกวที ม่ี คี วามสอดคลอ งกบั โลกทศั นท างสงั คมและวฒั นธรรมไทย
แผนไทยมาใชในการดแู ลรักษาสุขภาพอนามัย ดวยการพิจารณา นกั เรยี นสามารถพจิ ารณาการสรรคาํ ใหส อดคลอ งกบั บรบิ ทของขอ ความ ในการนาํ
กลไกการรกั ษาดลุ ยภาพของรางกาย เพื่อปองกันไมใหเกิดโรค พรอ ม คาํ ศพั ทม าวางไวใ นตาํ แหนง ทม่ี คี วามเหมาะสม ทาํ ใหเ กดิ รสคาํ และรสความ ครคู วร
เปรียบเทียบองคความรใู นปจ จุบนั กับองคความรดู า นกายวภิ าคหรอื สง เสรมิ การเรยี นรคู าํ ศพั ทข องนกั เรยี นดว ยการใหน กั เรยี นพยายามสบื คน ความหมาย
ความรเู กยี่ วกับสขุ ภาพรา งกายของคนในอดีตกบั ปจ จุบัน ของคาํ ศพั ท แลว จดั เกบ็ รวบรวมไวเ ปน หมวดหมู และในการเกบ็ รวบรวมคาํ ศพั ทน น้ั
นกั เรยี นควรพจิ ารณาความหมายและความไพเราะ เพอ่ื ใหน กั เรยี นสามารถนาํ ไปปรบั ใช
นอกจากน้ี ครูยังสามารถช้ีใหนกั เรียนเห็นวธิ กี ารรักษาทั้งแนวทาง ไมว า จะเปน การศกึ ษาวรรณคดเี รอ่ื งอน่ื ๆ รวมถงึ การนาํ องคค วามรดู งั กลา วมาใชเ ปน
ดา นการแพทยแผนไทยและการแพทยแ ผนปจจุบนั ชวยใหนกั เรียน พนื้ ฐานในการประพนั ธไ ดอ ยา งเหมาะสม
มคี วามรู ความเขา ใจเก่ยี วกับการรักษาโรคดวยการแพทยแ ผนไทย คูม่ อื ครู 149
และเหน็ ความสําคัญของวรรณคดใี นฐานะทท่ี าํ หนาทีบ่ นั ทกึ ขอ มลู
ความรคู วามเขาใจทางวิชาการไดเ ปนอยา งดี

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Evaluate
Engage Explain Explain Expand

อธบิ ายความรู้

ครสู มุ นกั เรยี นแตล ะกลมุ รว มกนั ตอบคาํ ถามทว่ี า
• จากวรรณคดีเร่อื ง คัมภรี ฉ ันทศาสตร
แพทยศ าสตรสงเคราะหท ี่ไดศกึ ษามาขางตน คา� ศพั ท์ ความหมาย
นกั เรียนคดิ วา เหตใุ ดจงึ ปรากฏการใช ปิตต�
นำ้� ดี

คาํ ประสม คาํ ศพั ทภาษาบาลสี นั สกฤต พรหมเมศ พระพรหม
และมคี วามสอดคลอ งกับฉนั ทลักษณอยางไร พระบำฬี พระพทุ ธพจน์
(แนวตอบ เปนกลวธิ ีการสรรคําโดยการเลือก
ใชคําใหสอดคลองเหมาะสมกบั ฉันทลกั ษณ
หรือลกั ษณะคาํ ประพันธ เพ่อื ใหบ ทประพันธ พิกำร ควำมผิดปกติ เสียไปจำกสภำพเดิม
มคี วามไพเราะ สมบรู ณ ทัง้ ในดา นเสยี งและ พิปรำย อภิปรำย พดู ช้ีแจงแสดงควำมคดิ เห็น

ความหมาย) พิริย ควำมเพยี ร
• นักเรียนคิดวา การใชคาํ ศพั ทภาษาบาลี พิสดำร ละเอยี ดลออ กวำ้ งขวำง

สันสกฤตและคําศพั ทภาษาไทยทเี่ ปน
คาํ ประสมในบทประพันธม ีความสอดคลอง เพศไข้ ชนิดของโรค
กบั จุดมงุ หมายในการส่ือสารหรอื ไม อยางไร ภยิ โย มำกยง่ิ ยิง่ ขึน้ มำกขึ้น
(แนวตอบ การใชคาํ ศัพทภ าษาบาลสี นั สกฤต
และคําศัพทภ าษาไทยท่ีเปน คําประสมในบท มรรคำ ทำง เหตุ
ประพันธม คี วามสอดคลองกับจดุ มงุ หมายใน
การสื่อสารเปน อยา งยงิ่ เน่อื งจากบทประพนั ธ มะเมอ ละเมอ พดู ในเวลำหลบั แสดงอำกำรตำ่ งๆ โดยไม่รูส้ กึ ตวั

มงุ ส่อื สารสาระ ความรู ความเขา ใจเกี่ยวกับ มำรยำ กำรหลอกลวง เลห่ ก์ ล
การรกั ษาโรค อาการของโรค รวมถงึ จรรยา-
บรรณของแพทย จึงใชค ําศัพทภาษาบาลี มจิ ฉำ ควำมผิด
สันสกฤตเพื่อสรา งความศักด์ิสทิ ธิ์ นา เช่ือถอื มุสำ เทจ็ ปด

และใชคาํ ประสมเพอื่ สื่อสารเนอื้ หาอยาง โมหะ ควำมหลง ควำมเขลำ ควำมโง่
ชัดเจน ตรงไปตรงมา) ยำกวำด เรยี กประเภทยำทปี่ รงุ แลว้ บดใหล้ ะเอยี ด ประสมนำ�้ หรอื นำ้� กระสำย

ขยายความเขา้ ใจ Expand ยำชอบ ยำพอใหย้ ำเปยี ก ใชน้ วิ้ ปำ้ ยยำแลว้ ลว้ งกวำดท่ีโคนลนิ้ หรอื ในลำ� คอ
ยำตรี ถกู กบั ตัวยำ
นักเรียนยกบทประพันธท ีม่ กี ารใชค ําศพั ท ยำสมุนไพรชนิดหน่ึงซ่ึงประกอบด้วย เมล็ดพริกไทย ดอกดีปลี
ภาษาบาลีสันสกฤตและคําศัพทภ าษาไทยทเ่ี ปน และเหงำ้ ขิงแห้ง
คาํ ประสมจากบทประพนั ธว รรณคดเี ร่อื ง คมั ภีร
ฉนั ทศาสตร แพทยศ าสตรส งเคราะห พรอม
อธบิ ายวา บทประพนั ธท ่ยี กมามีกลวธิ ีการสรรคาํ 150

ใหส อดคลองกับฉันทลักษณแ ละจดุ มงุ หมายในการ
สือ่ สารเนอื้ หาจากบทประพันธอ ยา งไร
ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
เกรด็ แนะครู

ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรเู กยี่ วกบั การสอนคาํ ศพั ทใ นวรรณคดวี า การสอนคาํ ศพั ท “เรยี นรูค ัมภรี ไ สย สุขุมไวอ ยา แพรง พราย
ตอ งสอนรสคาํ ศลิ ปะการใชค าํ รวมถงึ ศลิ ปะในการเรยี บเรยี งถอ ยคาํ ควบคกู นั ไปดว ย ควรกลาวจึง่ ขยาย อยา ย่ืนแกวแกวานร”
พรอ มชใ้ี หน กั เรยี นเหน็ วา การสรรคาํ ของกวมี าใชใ นบทประพนั ธม คี วามแตกตา งจาก สํานวนขอ ใดไมส อดคลองกบั เน้อื หาในบทประพันธ
คาํ สามญั ฉะนน้ั การสอนคาํ ศพั ทใ นวรรณคดี ครผู สู อนจงึ ไมค วรสอนเพยี งความหมาย 1. กงิ้ กา ไดท อง
ของคําศัพทเทาน้ัน แตควรพิจารณาเนื้อหาและรูปแบบของบทประพันธ รวมถงึ 2. ไกไ ดพลอย
พจิ ารณาบริบทของบทประพันธรวมกัน และเพือ่ ใหน ักเรยี นไดว เิ คราะหค ุณคาทาง 3. หัวลา นไดหวี
วรรณศลิ ปวา มคี วามสอดคลอ งกนั หรอื ไม อยางไร 4. ตาบอดไดแ วน

การเรยี นรคู วามหมายและคณุ คา ทางวรรณศลิ ปจ ากการใชค าํ ศพั ท นอกจากจะ วิเคราะหคําตอบ กงิ้ กา ไดท อง หมายถึง คนทีไ่ ดลาภยศแลว
ชว ยใหน กั เรยี นสามารถอา นวรรณคดดี ว ยความรสู กึ ซาบซงึ้ แลว นกั เรยี นยงั สามารถ ทะนงตน ลืมฐานะเดมิ ของตน แตกตา งจากความหมายของ
ประยกุ ตใ ชค วามรทู ไี่ ดจ ากการศกึ ษาคน ควา มาเปน พน้ื ฐานในการประพนั ธไ ดเ ปน อยา งดี บทประพนั ธใ นตวั เลือกอ่ืนๆ ซงึ่ หมายถงึ ไมร คู ุณคาของสง่ิ มีคา
เนอ่ื งจากการสรรคาํ มาใชใ นบทประพนั ธข องกวมี คี ณุ คา ทางวรรณศลิ ป ทงั้ ความไพเราะ
งดงามทางดา นเสยี งและความหมาย สะทอ นความสามารถของกวี ตลอดจนภมู ปิ ญ ญา ทไ่ี ดม าหรือสิง่ ท่ีมีอยู ตอบขอ 1.

ทางภาษา

150 คู่มอื ครู

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู้

1. นักเรียนแตละกลมุ รว มกนั แลกเปล่ยี นความ
คดิ เห็นในประเด็นตอไปนี้
คา� ศพั ท์ ความหมาย • นกั เรียนคดิ วา การใชคาํ ศัพทภาษาบาลี
ยำผำย เรียกประเภทยำท่ีใช้เป็นยำขบั ลมหรอื ยำไลล่ มให้ออกทำงทวำร
สันสกฤตและคาํ ศัพทภ าษาไทยท่เี ปน
ยำเย็น เรียกประเภทยำที่ใชแ้ กโ้ รครอ้ นใน ดับพิษไข้ คําประสมในบทประพนั ธมีความสอดคลอ ง
กบั เนอ้ื หาของเรอื่ งอยางไร
เยยี น ไปมำหำสู่ มกั ใช้คูก่ ับค�ำวำ่ เยีย่ ม เปน็ เยีย่ มเยียน (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็
ระย�ำ แยล่ ง ทรุดหนักลง ในควำมวำ่ โรคระยำ� เพรำะแรงยำ ไดอ ยา งหลากหลายขึ้นอยกู บั เหตุผลของ

แรงผี อำ� นำจผี อำ� นำจวญิ ญำณ นกั เรยี น เปนตนวา การใชคําศัพทภ าษาบาลี
สันสกฤตนนั้ ตามคตคิ วามเชื่อในสงั คมและ
ฤๅษีแปดองค๑์ ฤๅษีตำมคติอินเดีย ผูเ้ ปน็ ปรมำจำรยท์ ำงกำรแพทย์ คือ อำเตรยะ วฒั นธรรมไทยถือวา ภาษาบาลีสนั สกฤต
ลำภำ หำริด อัคนเิ วส กำศยป เภท จรกะ สศุ รุต และวำคภฎั เปน ภาษาที่มีความศักดส์ิ ทิ ธ์ิ เนอื่ งจากเปน
ลำภ สิ่งที่ได้มำโดยไมไ่ ดค้ ำดคดิ ภาษาทใ่ี ชใ นการบนั ทกึ คมั ภรี ห รอื หลกั คาํ สอน

ล�ำเนำ แนว แถว แถบ ถิ่น ทางศาสนา ฉะน้นั การใชคําภาษาบาลี
วำงยำ ใหก้ ินยำเพื่อรักษำโรค สนั สกฤตในบทประพนั ธ จึงแสดงใหเหน็
ถึงความเช่ือถอื ศรทั ธา และสรา งความ
วำตำ ลม ศกั ด์สิ ิทธ์นิ า เชอ่ื ถือใหก บั บทประพนั ธไ ด

วิจำโร ในค�ำวิจำโรให้พินิจ หมำยถึง วิจำรณญำณปัญหำท่ีสำมำรถรู้ เปน อยา งดี สว นคาํ ศพั ทภ าษาไทยทเี่ ปน
หรือใหเ้ หตุผลทถ่ี ูกต้อง คําประสมใชใ นการพรรณนาภาพ เพือ่ สรา ง
จนิ ตภาพใหเ กดิ ข้นึ ในใจของผูอา น ผอู าน
วิถำร ละเอยี ด ถ่ถี ้วน หรอื ผศู ึกษาตําราจึงสามารถรับรเู น้ือหาได

วจิ ิกิจฉำ ควำมลังเล ควำมคลำงแคลงสงสัย ควำมไมแ่ น่ใจ อยา งชัดเจน และเขา ใจงาย สามารถนาํ
องคความรทู ไ่ี ดไปประยกุ ตใชไ ดเปนอยา งด)ี
วิตักโก ควำมนึกคดิ วติ กั กำ คือ ควำมนกึ คิดที่ไม่ดี ในควำมว่ำ วติ ักโก 2. ครูขออาสาสมัคร 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ
วิหิงษำ นั้นบทหนงึ่ ใหต้ ดั ซง่ึ วติ กั กำ
เบยี ดเบยี น ในทน่ี ห้ี มำยถงึ ทำ� ลำย ทำ� รำ้ ย กอ่ ใหเ้ กดิ ควำมเดอื ดรอ้ น หนา ชัน้ เรยี น

แก่ผ้อู น่ื คอื คนไข้ ขยายความเขา้ ใจ Expand

สมอไทย พชื ที่ใช้ท�ำยำในตระกลู Terminalia วงศ์ Combretaceae 1. นกั เรยี นยกบทประพันธที่มีการใชค าํ ศพั ท
สมำทำน กำรถือรับเอำเป็นขอ้ ปฏิบัติ ภาษาบาลสี ันสกฤตและคําศัพทภาษาไทยทีเ่ ปน

๑ สถำบนั ภำษำไทย, แพทยศ์ าสตรส์ งเคราะห์ ภมู ปิ ญั ญาทางการแพทยแ์ ละมรดกทางวรรณกรรมของชาต.ิ หนำ้ ๒๕ - ๒๖. คําประสมในบทประพันธจากวรรณคดีเรอ่ื ง
คมั ภีรฉันทศาสตร แพทยศ าสตรสงเคราะห
151 พรอ มอธบิ ายวา บทประพนั ธท ยี่ กมามกี ลวธิ ี

การสรรคาํ ใหสอดคลองกบั เนอ้ื หาอยา งไร
2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ
ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
เกร็ดแนะครู

บทประพนั ธในขอ ใดสื่อถงึ ของส่งิ เดยี วกนั ท่คี นหนึ่งชอบแต ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรเู กย่ี วกบั การศกึ ษาคาํ ศพั ทใ นวรรณคดี ครคู วรเนน ใหน กั เรยี น
อกี คนหน่งึ ไมชอบ ไดเ รยี นรตู งั้ แตร ะดบั ของคาํ ทนี่ าํ มาใชใ นการประพนั ธ นอกจากการพจิ ารณาคณุ คา ทาง
วรรณศลิ ป มกี ารใชค าํ ทกี่ อ ใหเ กดิ ความงดงามทงั้ ดา นเสยี งและความหมาย กวสี รรคาํ
1. ใชโรคสง่ิ เดยี วดาย จะพลนั หายในโรคา มาใชใ นตาํ แหนง ทเี่ หมาะสมกอ ใหเ กดิ รสคาํ และรสความ เพอ่ื ใหน กั เรยี นเกดิ ความ
ตา งเนอ้ื ก็ตางยา จะชอบโรคอนั แปรปรวน ซาบซง้ึ ในคณุ คา และความงดงามของวรรณคดี เพอื่ ขยายความเขา ใจความหมายของคาํ
ทมี่ คี วามสอดคลอ งกนั ในภาษาไทย
2. รนู อยอยา บงั อาจ หมน่ิ ประมาทในโรคา
แรงโรควา แรงยา มิควรถือคือแรงกรรม นอกจากน้ี ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรเู กยี่ วกบั ภาพสะทอ นทางสงั คมและวฒั นธรรมจาก
การศกึ ษาคณุ คา ทางวรรณศลิ ปใ นบทประพนั ธ นบั ตง้ั แตค ณุ คา ในระดบั คาํ เนอ่ื งจากการ
3. คมั ภรี กลาวไวหมด ไยมจิ ดมิจําเอา สรรคาํ มาใชใ นวรรณคดแี ตล ะเรอ่ื งนน้ั ยอ มสะทอ นสภาพสงั คมและวฒั นธรรม ตลอดจน
ทายโรคแตโ ดยเดา ใหเ ชื่อถือในอาตมา วธิ คี ดิ ของคนในสงั คมทใี่ หค ณุ คา และความหมายตอ สงิ่ ใดสง่ิ หนง่ึ ดงั เชน การใชค าํ ภาษา

4. อยาหมิ่นวา รงู าย ตําหรบั รายอยูถมไป
รีบดวนประมาทใจ ดงั น้ันแทม เิ ปนการ

วเิ คราะหคําตอบ ขอ 1. เนื้อหากลาวถึงการทีค่ นบางคนถูกกบั บาลสี นั สกฤตในบทประพนั ธ โดยกลา วถงึ จรรยาบรรณของแพทยใ นการบาํ บดั รกั ษา
ยาบางอยา ง ตา งคนกถ็ กู กบั ยาตา งชนดิ กนั สอดคลอ งกบั สาํ นวนไทย ผปู ว ย รวมถงึ ความศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา และยงั สะทอ นถงึ ความอลงั การทางภาษา
ทวี่ า ลางเนอ้ื ชอบลางยา ซึ่งหมายถึง ของส่ิงเดียวกันคนหนงึ่ ชอบ สามารถสรา งจนิ ตภาพหรอื ภาพในใจใหเ กดิ กบั ผอู า นไดเ ปน อยา งดี
คมู่ อื ครู 151
แตอกี คนหนึง่ อาจไมชอบ ตอบขอ 1.

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Expand

ขยายความเขา้ ใจ

1. นกั เรียนยกบทประพันธท ่ีมีการใชคาํ ศัพท คา� ศพั ท์ ความหมาย
• นักเรยี นคิดวา กลวิธกี ารสรรคาํ ใหม ีความ สรณำ
สอดคลอ งกับฉนั ทลกั ษณข องบทประพนั ธ สำมหำว ทพี่ ง่ึ ทีย่ ึดถอื
รวมถงึ เนื้อหาและจุดมุงหมายในการสอื่ สาร สุดมือ หยำบคำย โอหังก้ำวรำ้ วผ้หู ลักผู้ใหญ่
สะทอ นลักษณะทางวรรณศลิ ปของวรรณคดี สศุ ิวำไลย สดุ ฝมี ือ หมดควำมรู้ท่มี อี ยู่
ไทยอยา งไร เสมหำ ที่สขุ เกษมยิง่
(แนวตอบ เปน ตน วา กลวิธีการสรรคําใหมี หว้ำนยำ เสลด เมอื กทอ่ี อกจำกลำ� คอ เสมหะ
ความสอดคลอ งกบั ฉันทลักษณกอ ใหเ กิด ห่อน วำ่ นยำ พืชสมุนไพรท่ีใชท้ �ำยำท้งั ชนิดมีหวั และไมม่ หี ัว
ความสมบรู ณทง้ั ดานเสียงและความหมาย หนิ ชำติ ไม่
โดยเฉพาะการเกดิ เสยี งเสนาะ ทงั้ จากสมั ผสั ใน เลว ไมม่ จี รรยำแพทย์ ในควำมวำ่ หนิ ชำตแิ พทยเ์ หลำ่ น้ี เวรำมี
และสมั ผสั นอก ตลอดจนการสรรคํามาใช เหน็ โทษเขำ้ เปน็ ตรี มไิ ดก้ ลัว
เพื่อใหส ัมพนั ธกบั คตคิ วามเช่ือทางสงั คมและ อวดอำจ เห็นวำ่ เข้ำข้ันตรโี ทษ คอื อำกำรหนกั จวนตำย
วัฒนธรรมท่ีปรากฏในบทประพนั ธ สง ผลตอ อนำถำ อวดรู้
การสื่อสารเนื้อหาเพ่อื ใหผ ูอา นเกิดความเขา ใจ อยำ่ ย่ืนแก้วแก่วำนร ยำกจน ขัดสน ไมม่ ีท่ีพ่งึ
อยางชดั เจน และสามารถนําองคความรทู ี่ได ส�ำนวนไทยใชใ้ นควำมหมำยว่ำ ไม่ควรมอบของมีค่ำใหแ้ กผ่ ้ทู ่ีไม่รู้
ไปประยุกตใ ชในการดําเนินชีวิตไดเ ปน อยางดี อโนตัปปัง คณุ ค่ำของนั้น
นอกจากน้ี บทประพนั ธยังสามารถสราง อ่ำองค์ ควำมไมส่ ะดุ้งกลวั ตอ่ บำป
อารมณ ความรสู กึ ของผฟู งหรอื ผอู า น ใหเ กิด อำตมำ อวดตน
ความไพเราะและสามารถรับรสอารมณใ น อำ� เภอใจ ตน
บทกวีไดเปน อยางดี รวมถึงชวยในการจดจาํ อศิ วเรศ ควำมคดิ เหน็ ที่เอำแต่ใจตวั เอง
และสามารถนาํ ไปถา ยทอดไดอยา งครบถวน พระอิศวร พระศวิ ะ
ชดั เจน กลาวไดว า บทประพนั ธแ สดงถึง
ธรรมชาตขิ องวรรณคดีไทยทีเ่ นนเสยี งสมั ผัส
และการนาํ คาํ จากภาษาบาลีสันสกฤตมาใช
นอกจากจะแสดงศกั ด์ิของคาํ แลว การใช
คาํ ประสมในภาษาไทยยังชวยสื่อสารเนอ้ื หา
อยา งชัดเจน ตรงไปตรงมา)

2. นกั เรยี นบันทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ

ตรวจสอบผล Evaluate อุทธจั ควำมฟุ้งซ่ำน ควำมประหมำ่
อบุ ำย เล่หก์ ล เล่หเ์ หล่ยี ม
นักเรยี นรวบรวมคําประสม คํายมื ภาษา
ตา งประเทศ พรอ มยกขอความที่ปรากฏคําศพั ท 152
ประกอบคําอธิบาย พรอมนําเสนอภาพสะทอ น
สังคมและวัฒนธรรมจากบทประพนั ธ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT

เกร็ดแนะครู บทประพันธใ นขอ ใดหมายถึง “เอาของมคี า ใหแกคนที่ไมรคู า
ของสงิ่ นั้น”
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู พอ่ื ใหน กั เรยี นเกดิ ความซาบซง้ึ ในคณุ คา และความงดงาม 1. บางทไี ปเยยี นไข บ มีใครจะเชิญหา
ของวรรณคดี ครคู วรเนน ใหน กั เรยี นไดเ รยี นรตู ง้ั แตร ะดบั ของคาํ ทนี่ าํ มาใชใ นการประพนั ธ กลา วยกถึงคุณยา อันตนรูใ หเ ชื่อฟง
โดยสอนวรรณคดใี หส มั พนั ธก บั หลกั ภาษา เนอื่ งจากคาํ บางคาํ มปี ระวตั คิ วามเปน มาที่ 2. เรียนรูใ หแ จง กระจดั เหน็ โรคชัดอยาสงสัย
สะทอ นถงึ สภาพสงั คม รวมถงึ ประเพณี พธิ กี รรมในสงั คมไทยทไี่ ดร บั อทิ ธพิ ลมาจากตา ง เรงยากระหนํา่ ไป อยาถือใจวาลองยา
สงั คมและวฒั นธรรม 3. อาํ ไวจนแกกลา แพทยอ ่นื มากข็ ัดขวาง
ตอ โรคเขา ระวาง ตรโี ทษแลว จ่งึ ออกตวั
ครคู วรใหน กั เรยี นศกึ ษาคาํ ศพั ทเ หลา นดี้ ว ยวธิ กี ารสบื คน ขอ มลู อาจแบง กลมุ สบื คน 4. เรยี นรูคัมภรี ไ สย สุขุมไวอยาแพรง พราย
หรอื ใหน กั เรยี นเลอื กคาํ ศพั ทท ตี่ นเองสนใจ จะชว ยใหน กั เรยี นเกดิ การเรยี นรคู วามหมาย ควรกลาวจึ่งขยาย อยา ยืน่ แกวแกว านร
และทมี่ าของคาํ ศพั ท ไดท าํ ความเขา ใจสภาพสงั คมและวฒั นธรรมทปี่ รากฏในวรรณคดี
ทส่ี าํ คญั นกั เรยี นยงั ไดฝ ก ฝนทกั ษะการสบื คน ขอ มลู เพอ่ื นาํ มาใชใ นการสรา งองคค วามรู วเิ คราะหคาํ ตอบ เนื้อหาขางตน กลา วถึงการถา ยทอดความรู
ใหม เพอ่ื เตรยี มความพรอ มใหน กั เรยี นสามารถจดั การองคค วามรทู มี่ คี วามหลากหลาย ทางการแพทย โดยช้ีแนะวา ไมควรถา ยทอดความรูใหก ับผูท่ี
กอ ใหเ กดิ การเรยี นรอู ยา งเชอ่ื มโยงกนั รวมถงึ การใชท กั ษะตา งๆ ทง้ั ทกั ษะทางดา นการฟง
การพดู การอา น และการเขยี นในการศกึ ษาคน ควา เพอ่ื เตรยี มความพรอ มใหน กั เรยี น ไมเ ห็นคุณคาขององคความรทู างการแพทย ตอบขอ 4.
สามารถจดั การองคค วามรทู ม่ี คี วามหลากหลายในยคุ ขอ มลู ขา วสารไดเ ปน อยา งดี

152 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Engage
กระตนุ้ ความสนใจ

สรรพส์ าระ ร้านเจา้ กรมเปอ๋ : รา้ นขายยาสมนุ ไพรไทย นกั เรียนยกบทประพันธจ ากวรรณคดีเร่ือง
คัมภรี ฉันทศาสตร แพทยศาสตรส งเคราะหท่แี สดง
ร้านเจ้ากรมเป๋อ เป็นร้านขายยาสมุนไพรไทย ความรดู า นการแพทย พรอ มอธิบายวา ขอมลู
แผนโบราณท่ีมีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ซ่ึงมีอายุ ความรูที่นักเรยี นยกมายงั ปรากฏในปจจบุ ันหรือไม
ยาวนานกว่า ๑๑๙ ปี ในปัจจุบันร้านเจ้ากรมเป๋อต้ังอยู่ อยางไร
บนถนนจักรวรรดิ บริเวณปากซอยวัดจักรวรรดิราชาวาส
หรือวัดสามปล้ืม (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็
ร้านเจ้ากรมเป๋อ ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยรัชกาลท่ี ๕ ไดอยางหลากหลายขึน้ อยกู ับเหตผุ ลของนกั เรยี น)

โดยนายเป๋อ สุวรรณเตมีย์ ซึ่งมีหน้าท่ีรับใช้ดูแลกิจการของ สา� รวจคน้ หา Explore
วัดจักรวรรดิราชาวาส ท�าให้ได้รับแต่งตั้งยศเป็นเจ้ากรม
ของวัดในเวลาตอ่ มา กระทง่ั ในป ี พ.ศ. ๒๔๘๗ เจา้ กรมเป๋อ ร้านเจ้ากรมเป๋อในปัจจบุ นั
นักเรียนสบื คน ขอ มลู เกี่ยวกับคุณคา ดานเนื้อหา
กเ็ สียชวี ิตลง สริ อิ ายไุ ด ้ ๘๔ ปี วรรณศิลป และคุณคาดา นสังคมจากวรรณคดี
ในปัจจุบันร้านเจ้ากรมเป๋อบริหารงานโดยทายาทเจ้ากรมเป๋อรุ่นเหลน ภายในร้านมีตัวยา เรอื่ ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร แพทยศ าสตรสงเคราะห
สมนุ ไพรกวา่ ๗๕๐ ชนดิ ซง่ึ ถอื วา่ มากกวา่ รา้ นขายยาสมนุ ไพรไทยแผนโบราณรา้ นอนื่ ๆ ในประเทศไทย
นอกจากตวั ยาสมนุ ไพรแล้ว ต�ารับยาสมุนไพรท่ีร้านเจ้ากรมเปอ๋ ยังสามารถรกั ษาโรคไดก้ ว่า ๕๐ โรค

๗. บทวิเคร�ะห์ อธบิ ายความรู้ Explain

๗.๑ คณุ ค่าด้านเน้ือหา นกั เรยี นรวมแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่วา
• นกั เรยี นคดิ วา วรรณคดีเรอ่ื ง คมั ภรี ฉ ันท-
๑) รูปแบบ คัมภีร์ฉันทศำสตร์ เป็นช่ือต�ำรำหน่ึงที่รวบรวมควำมรู้หลำกหลำยจำก
ต�ำรำเร่ืองอื่นๆ ในชุดแพทย์ศำสตร์สงเครำะห์เอำไว้ เนื้อหำแบ่งเป็น ๑๙ ตอน ผู้แต่งเลือกใช้ ศาสตร แพทยศาสตรสงเคราะห นําเสนอ
ค�ำประพันธ์ในกำรน�ำเสนอเน้ือหำได้เหมำะสม โดยเฉพำะในบทน�ำหรือตอนเปิดเรื่อง ผู้แต่งใช1้ เนือ้ หาในประเด็นใดบาง อยา งไร
ค�ำประพันธป์ ระเภทกำพย์ยำนี ๑๑ เรม่ิ ตน้ ด้วยบทไหวค้ รู และตอ่ ด้วยเนื้อหำทสี่ อนจรรยำแพทย์ (แนวตอบ กลาวถึงจรรยาบรรณของแพทยกบั
กับขอ้ ควรปฏบิ ตั แิ ละข้อท่ีไมค่ วรปฏิบตั สิ ำ� หรบั แพทย์ ขอควรปฏบิ ตั ิของแพทย และเนื้อหาเร่ืองทับ
หรือโรคแทรกซอ น 8 ประการ พรอ มอธบิ าย
๒) องค์ประกอบของเรือ่ ง ความรเู กี่ยวกบั โรคและการรกั ษาโรคของ
๒.๑) สาระ สำระส�ำคัญหรือแก่นของเรื่องคัมภีร์ฉันทศำสตร์ ส่วนที่คัดเลือกมำ แพทยแ ผนไทย)
• นกั เรียนคิดวา การข้ึนตนบทประพนั ธด วย
ให้เรียนเปน็ กำรกลำ่ วถึงควำมสำ� คญั ของแพทย์และคุณสมบตั ิทแ่ี พทย์พงึ มี ซง่ึ จะช่วยใหร้ กั ษำโรค บทไหวครู มีความสาํ คญั ตอ การสอื่ สาร
ไดผ้ ลมำกกวำ่ ร้เู รอื่ งยำเพยี งอย่ำงเดียว เนอ้ื หาอยา งไร
(แนวตอบ แสดงถึงคา นิยมทางสังคมและ
๒.๒) โครงเรื่อง กำรล�ำดับเนื้อควำมเริ่มต้นด้วยบทไหว้ครู ซึ่งเป็นกำรไหว้ วฒั นธรรมที่แสดงถงึ ความสาํ คัญรวมถงึ
พระรตั นตรยั ไหวเ้ ทพเจำ้ ของพรำหมณ์ ไหวห้ มอชวี กโกมำรภจั (แพทยห์ ลวงของพระเจำ้ พมิ พสิ ำร ความศกั ดสิ์ ิทธิข์ องตาํ ราแพทย วชิ าชพี
แห่งแคว้นมคธ) และไหว้ครูแพทย์โดยทั่วไป เนื้อหำบทต่อมำกล่ำวถึงควำมส�ำคัญของแพทย์ แพทยทช่ี วยในการบาํ บดั รักษาอาการ
และจรรยำแพทย์ ซงึ่ เปน็ คณุ สมบตั ทิ แ่ี พทยพ์ งึ มี และนอกจำกนน้ั ยงั กลำ่ วถงึ กำรกระทำ� หรอื ลกั ษณะ
ที่ไมด่ หี รือไม่เหมำะสมอันเป็นส่งิ ที่แพทยค์ วรหลีกเลยี่ ง

153 เจ็บปวยของผคู น สงผลใหผ ูอา นหรอื ผทู ี่
ประกอบวิชาชีพแพทยตระหนักในความ
สาํ คญั ของวิชาชพี ของตนเอง)
ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
“ดวงจติ คอื กระษัตรยิ  ผานสมบัตอิ ันโอฬาร นักเรียนควรรู

ขา ศกึ คือโรคา เกดิ เขน ฆาในกายเรา” 1 จรรยาแพทย จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลความประพฤติที่ผปู ระกอบอาชพี
ขอใดไมปรากฏ ภาพพจนส อดคลอ งกับบทประพันธข างตน การงานแตละอยา งกําหนดขน้ึ เพื่อรกั ษาและสงเสรมิ เกียรติคณุ ชื่อเสยี ง และฐานะ
1. เปรยี บแพทยคือทหาร อันชาํ นาญรูลาํ เนา ของสมาชิก อาจเขยี นเปนลายลกั ษณอ กั ษรหรอื ไมก็ได
2. ปต ตํ คอื วังหนา เรง รกั ษาเขมน หมาย
3. อาหารอยูในกาย คอื เสบยี งเลยี้ งโยธา จรรยาบรรณแพทยเ ปน จรรยาบรรณของผปู ระกอบวชิ าชพี แพทยแ ละพยาบาล
4. ใหทองน้ันรว งลงมา เปน สาเหลาแลไขเ นา นําเสนอวิธีปฏิบัติบนพ้ืนฐานหลกั จริยธรรมวา แพทยแ ละพยาบาลควรปฏิบตั ิตอคนไข
อยา งไรจงึ จะถกู ตอ งและเหมาะสม แตล ะประเทศกจ็ ะมอี งคค วามรใู นสาขานแี้ ตกตา ง
วิเคราะหค าํ ตอบ ขอ 4. “ใหท อ งนน้ั รว งลงมา เปน สา เหลา แลไขเ นา ” กันบาง จรรยาบรรณของแพทยตามหลกั สากล มีดงั ตอไปนี้ 1. เนนประโยชนผ ูป ว ย
สงู สดุ (beneffi icence) เนน ไมใ หผ ปู ว ยไดร บั อนั ตรายใดๆ เพมิ่ ขน้ึ (Non-maleffi icence)
ไมป รากฏการใชภาพพจน สว นในขอ อ่นื ๆ มีการใชภาพพจน 2. ผปู วยมสี ทิ ธอ์ิ นั ชอบธรรมทจี่ ะรสู าเหตแุ ละอาการปว ยของตวั เองและเลอื กวธิ รี กั ษา
แบบอปุ ลกั ษณ ซง่ึ เปรียบวา สง่ิ หนงึ่ เปนอีกส่ิงหนึ่ง โดยนําสง่ิ สองส่ิง ตามความเหมาะสม (Autonomy) 3. การรักษาตองอาศัยความบรสิ ุทธ์ิ ยตุ ิธรรม
ทีต่ างจําพวกกันแตม ลี ักษณะเดนเหมือนกันมาเปรยี บเทยี บกนั และ ไปตามสมมตฐิ านโรคของผูปว ยแตละคนอยางแทจริง (Justice) 4. ท้งั ผูร ักษาหรือ
คาํ ท่ใี ชแสดงความเปรียบไดแกค ําวา เปน และคําวา คอื จึง ผูดแู ลพยาบาลและคนไขตางมเี กียรติและสมควรไดรับการปฏิบตั ติ อกันอยา งมีเกยี รติ
(Dignity) 5. แพทยแ ละพยาบาลตองไมป กปดอาการปว ยตอ ผปู ว ย และควรใหผ ปู ว ย
ตอบขอ 4. รบั รูอาการปว ยตามความจรงิ (Truthfulness and Honesty)
คมู่ อื ครู
153

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Evaluate
Engage Explain Explain Expand

อธบิ ายความรู้

1. นกั เรยี นจบั คู แลว รว มกนั ตอบคาํ ถาม ดงั ตอ ไปนี้ เฉพำะด้ำน กำรน๒�ำ.๓เส)นกอลใวชิธ้โวีกหาำรรแอตธ่งิบำคยัมเปภ็นีรส์ฉ่วันนทใหศญำส่ ตแรต์เ่เปม็นื่อหจะนกังลส่ำือวทถ่ีจึงัดเรเื่อปง็นทต่ีเป�ำ็รนำนมำีเมนธ้ือรหรมำ1
• นกั เรยี นคดิ วา วรรณคดเี รอื่ ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร ผู้เขียนเลือกใช้อุปมำโวหำรหรือบทเปรียบเทียบ ซึ่งช่วยให้ผู้อ่ำนเข้ำใจควำมหมำยได้ง่ำยและ
แพทยศ าสตรส งเคราะห มคี ณุ คา ทางวรรณศลิ ป ท�ำให้เหน็ ภำพจำกบทประพนั ธช์ ดั เจนมำกข้นึ ดังบทประทพศนั าธส์ ตรบรรพ2์ท่คี รูสอน
ดานใดบาง และคุณคา ดงั กลาวสง ผลตอการ
ดาํ เนนิ เรอื่ งอยางไร จะกลา่ วคัมภรี ฉ์ นั -
(แนวตอบ คณุ คาทางวรรณศลิ ปท ป่ี รากฏใน เสมอดวงทินกร แลดวงจนั ทรก์ ระจา่ งตา
บทประพันธม ีความสอดคลองทงั้ ในดานภาษา
เนือ้ หา และรูปแบบเปนอยา งดี นับต้ังแต ๗.๒ คณุ ค่าด้านวรรณศิลป์
ระดบั คาํ ดว ยการสรรคําท่ีสื่อความคิด
ความเขาใจไดเปน อยางดี ดว ยการใชภาษา ๑) การสรรคา� ผู้แต่งได้เลอื กใช้คำ� ทส่ี ่อื ควำมคิด ควำมเขำ้ ใจ ดงั นี้
ถายทอดเนื้อหาและองคค วามรอู ยางตรงไป ๑.๑) การใชถ้ อ้ ยคา� ทเ่ี หมาะกบั เนอ้ื เรอ่ื งและบคุ คลในเรอ่ื ง กวเี ลอื กใชค้ ำ� ทส่ี ำมำรถ
ตรงมา รวมถึงการใชสํานวนภาษาเพื่อ
ส่ือสารเนอื้ หา กอ ใหเ กดิ ความเขา ใจท่ชี ัดเจน ถำ่ ยทอดควำมรู้ใหเ้ ข้ำใจได้อย่ำงตรงไปตรงมำ ดงั บทประพนั ธ์
นอกจากน้ี ในระดบั คํายงั มกี ารใชโวหาร
เปรียบเทยี บ โดยเฉพาะโวหารอปุ มา เพอ่ื บางหมอก็กล่าวคา� มุสาซา�้ กระหน�่าความ
ใหผ ูอ า นเกิดความเขาใจและเหน็ ภาพอยาง ยกตนว่าตนงาม ประเสรฐิ ยิ่งในการยา
ชดั เจน) บางหมอกเ็ กียจกัน ท่ีพวกอันแพทยร์ ักษา
• นักเรยี นคิดวา คุณคาทางวรรณศลิ ป บางกลา่ วเป็นมารยา เขาเจ็บน้อยวา่ มากครัน
ของวรรณคดีเรือ่ ง คัมภรี ฉันทศาสตร บางกลา่ วอบุ ายให้ แก่คนไข้นัน้ หลายพนั
แพทยศาสตรสงเคราะห มีความสอดคลอ ง หวงั ลาภจะเกดิ พลัน ดว้ ยเช่อื ถ้อยอาตมา
กับคณุ คา ดานเนือ้ หาหรอื ไม อยางไร
(แนวตอบ คุณคา ทางวรรณศลิ ปม ีความ ๑.๒) การใชส้ �านวนไทย มกี ำรใชส้ ำ� นวนไทยประกอบกำรอธบิ ำย ชว่ ยให้ผู้อำ่ น
สอดคลองกบั คณุ คา ดานเนือ้ หาอยา งกลมกลืน เขำ้ ใจเน้อื ควำมได้ชัดเจนยิ่งขนึ้ ดงั บทประพันธ์
ประกอบดวยการสรรคาํ และการใชค วาม เรยี นรู้คัมภรี ์ไสย3 สขุ ุมไว้อย่าแพร่งพราย
เปรยี บสอ่ื สารเนอ้ื หาไดอ ยางเดน ชดั ) ควรกล่าวจึ่งขยาย อยา่ ยน่ื แกว้ แก่วานร
ไมร่ ักจะท�ายับ พาต�าหรับเท่ยี วขจร
2. ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ เสียแรงเปน็ ครสู อน ทงั้ บุญคณุ กเ็ สื่อมสูญ
หนา ชน้ั เรยี น

ขยายความเขา้ ใจ Expand จำกบทประพนั ธ์ กลำ่ วถงึ สำ� นวนยนื่ แกว้ ใหว้ ำนร หมำยถงึ กำรใหข้ องมคี ำ่ แกค่ นท่ี
ไมร่ คู้ ณุ คำ่ ของสงิ่ นน้ั เปรยี บเทยี บกบั กำรเรยี นรคู้ มั ภรี ไ์ สยทค่ี วรนำ� ไปบอกตอ่ เมอื่ เหมำะสมเทำ่ นน้ั

1. นกั เรยี นยกตวั อยา งบทประพนั ธท ่ีมีกลวธิ ที าง 154
วรรณศิลปจ ากวรรณคดเี รือ่ ง คัมภีรฉันทศาสตร
แพทยศาสตรส งเคราะห ทม่ี คี วามสอดคลอ งกบั ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
คุณคา ดานเน้ือหา

2. นักเรยี นบนั ทึกความเขา ใจลงในสมดุ

นักเรยี นควรรู “เรียนรูตอ ครูไว เหมอื นใสแวน เม่อื ตามวั
อยา ควรทนงตวั วาไมเ รียนจะยาทํา”
1 นามธรรม สิ่งทไ่ี มมรี ปู คือ รไู มไ ดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รไู ดเฉพาะทางใจ ขอ ใดแสดงคณุ ธรรมสอดคลองกบั บทประพนั ธข างตน มากที่สุด
เทาน้นั ตรงขา มกบั คําวา รูปธรรม ส่ิงที่รูไดท างตา หู จมูก ลนิ้ กาย อนั ไดแ ก รูป 1. เคารพครูอาจารย
เสยี ง กลิน่ รส และส่งิ ทสี่ ามารถสัมผัสไดดว ยกาย หรอื เปน ส่งิ ท่ีสามารถแสดงออกมา 2. ซอื่ สัตยในอาชีพของตน
ใหปรากฏเปน จรงิ เปน จังมิใชเปนเพยี งทฤษฎเี ทานัน้ หรือสิ่งทสี่ ามารถปฏบิ ัติได เชน 3. หมนั่ เพยี รศึกษาหาความรู
ตองทาํ โครงการพัฒนาชนบทใหเ ปน รปู ธรรมดวยการจดั ใหม นี า้ํ กนิ นา้ํ ใช เปน ตน 4. รกั ษาโรคดว ยความรคู วามเขาใจ
2 บรรพ กอน ทแี รก เบือ้ งตน

3 คมั ภีรไ สย หากพิจารณาจากเน้ือเรื่องในคมั ภีรฉนั ทศาสตร ไมมกี ารกลาวถึง วเิ คราะหค ําตอบ เนอื้ หาบทประพนั ธขา งตน สอดคลอ งกบั ขอ 4.
ความเชือ่ เร่อื งเวทมนตร คาถา หรืออาํ นาจลึกลบั ตามแนวไสยศาสตร ซ่งึ เชือ่ วา รักษาโรคดว ยความรู ความเขาใจ เนื่องจากบทประพันธก ลาวถงึ
ผีสางเทวดาทําใหเกดิ โรคภยั ไขเจ็บท่ตี อ งรักษาดวยเวทมนตรจาก “คัมภีรไสย” คณุ ธรรมของแพทย ประกอบดว ย การหมนั่ ศึกษาหาความรู
เมอื่ พจิ ารณาแลว พบวา ไมไดห มายถึงคมั ภรี ไ สยศาสตรโดยตรง แตเ ปน ตํารา
ทีม่ เี น้อื หาเก่ียวกับคมั ภรี อ าถรรพเวทของพราหมณซ งึ่ เปน ตน ตํารับไสยศาสตร อยางแตกฉาน และไมทะนงในตนเอง ตอบขอ 4.
นอกจากนี้ ยังพยายามแฝงความคดิ ความเชื่อตา งๆ ทางพระพุทธศาสนาเอาไว

154 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู้

1. นกั เรียนรวมกนั แสดงความคดิ เห็นตอ ไปน้ี
๒) การใชโ้ วหาร มกี ำรใชถ้ อ้ ยคำ� ในกำรเปรยี บเทยี บเพอื่ ใหผ้ อู้ ำ่ นเขำ้ ใจควำมหมำย • นกั เรยี นคิดวา บทประพันธจากวรรณคดี
และเห็นภำพได้ชดั เจนยงิ่ ขนึ้ ดงั บทประพนั ธ์ เรือ่ ง คัมภีรฉนั ทศาสตร แพทยศาสตร
สงเคราะห สะทอนคุณคา ทางสงั คมใน
อุทธจั จังอย่าอุทธจั เห็นถนดั ในโรคา ประเด็นใดบา ง พรอ มยกตวั อยา งประกอบ
ให้ตัง้ ตนดังพระยา ไกรสรราชเขา้ ราวี (แนวตอบ สะทอนคติความเช่อื ของสงั คม

จำกบทประพนั ธ์ สอนใหแ้ พทย์ทำ� ตนเหมอื นพญำรำชสีห์ที่เขำ้ ตะครุบเหยือ่ คือ และวัฒนธรรม ทง้ั ความเชอื่ ทางพระพทุ ธ-
เมื่อแพทย์เห็นโรคแลว้ ใหร้ บี รกั ษำ อยำ่ มัวประหม่ำฟงุ้ ซำ่ น ศาสนาและศาสนาพราหมณ สะทอ น
องคความรูเก่ยี วกบั การรักษาดวยแพทยแผน
๗.๓ คณุ คา่ ด้านสงั คม ไทย สะทอ นขอ คดิ ในการดําเนนิ ชวี ติ รวมถงึ
จรรยาบรรณของวิชาชพี แพทยท ่ีสามารถนํา
๑) สะทอ้ นใหเ้ หน็ ความเชอ่ื ของสงั คมไทย ฉนั ทศำสตร์ นำ่ จะมคี วำมหมำยวำ่ ตำ� รำ ไปปรับใชในการดาํ เนินชีวิตไดเ ปน อยางดี
(ศำสตร)์ ทแี่ ตง่ เป็นสตู ร (ฉันท)์ ตำมอย่ำงตำ� รำกำรแพทย์ในคัมภีร์อำถรรพเวท และด้วยเหตทุ ว่ี ่ำ นอกจากน้ี ยังใหค วามรูเก่ยี วกับคาํ ศพั ทหรอื
คมั ภีร์อำถรรพเวทมเี ร่อื งรำวเก่ียวกับไสยศำสตร์ จึงมกั เรียกว่ำ “คมั ภีร์ไสย” ดังบทประพันธ์ ความรูเกย่ี วกบั โรคภยั ไขเ จ็บของคนในอดีต)
• นักเรียนคิดวา คตคิ วามเช่ือท่ปี รากฏ
เรียนรูใ้ ห้เจนจดั จบจงั หวัดคมั ภีร์ไสย
ตง้ั ตน้ ปฐมใน ฉนั ทศาสตรดังพรรณา

แต่ในคัมภรี ฉ์ นั ทศำสตร์มีกำรประสำนควำมคดิ ควำมเช่อื ต่ำงๆ ทำงสังคม และ ในบทประพันธม ีความสําคญั อยางไร
ทำงพระพุทธศำสนำเข้ำด้วยกัน เนื้อหำจึงมีค�ำภำษำบำลีปรำกฏให้เห็นโดยตลอด ท�ำให้ได้รับ และสง ผลตอ การสอ่ื สารเนื้อหาอยา งไร
ควำมรเู้ ร่อื งศพั ท์ท่ีเก่ยี วกับศำสนำ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็
๒) สะทอ้ นใหเ้ หน็ คณุ คา่ เรอ่ื งแพทยแ์ ผนไทย ถำ้ พจิ ำรณำสำระในคมั ภรี ฉ์ นั ทศำสตร์ ไดอ ยา งหลากหลายขึน้ อยกู บั เหตผุ ลของ
แพทย์ศำสตร์สงเครำะห์นี้ให้ลึกซ้ึงแล้ว จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ำกำรแพทย์แผนไทยเป็นกำรรักษำ นกั เรยี น เปนตนวา คตคิ วามเช่อื ทีป่ รากฏ
อกี วธิ หี นงึ่ เปน็ แพทยท์ ำงเลอื กทย่ี งั จำ� เปน็ สำ� หรบั ชำวชนบททหี่ ำ่ งไกลควำมเจรญิ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งลำ้ สมยั ในบทประพันธมคี วามสําคัญตอการส่อื สาร
เพรำะเวชกรรมตำมแบบเภสัชกรรมแผนโบรำณได้รับควำมเชื่อถือมำช้ำนำนก่อนที่จะรับเอำ เนอ่ื งจากคตคิ วามเชอ่ื ทป่ี รากฏในบทประพนั ธ
วิทยำกำรทำงกำรแพทย์แบบตะวันตกมำใช้ ซ่ึงปัจจุบันกำรค้นคว้ำวิจัยทำงกำรแพทย์ก็กลับมำ ชวยใหเนอื้ หามคี วามศกั ดิส์ ิทธ์ิ และเปนการ
ให้ควำมส�ำคัญต่อคุณสมบัติของสมุนไพรในแต่ละท้องถ่ิน โดยถือเป็นทำงเลือกหน่ึงในกำรบ�ำบัด เนนยาํ้ คติความเช่ือของสังคมจากอดีตถึง
รักษำโรคใหก้ ับคนไข้ ปจจุบนั )
๓) สะท้อนข้อคิดเพ่ือน�าไปใช้ในการด�าเนินชีวิต เน้ือหำในคัมภีร์ฉันทศำสตร์ 2. นกั เรียนบันทึกความเขา ใจลงในสมดุ

แพทยศ์ ำสตรส์ งเครำะห์ สำมำรถนำ� ไปปรบั ใชไ้ ดก้ บั ทกุ วชิ ำชพี เพรำะไมว่ ำ่ จะเปน็ บคุ คลในอำชพี ใด ขยายความเขา้ ใจ Expand
ถำ้ ไมม่ คี วำมประมำท ควำมอวดดี ควำมรษิ ยำ ควำมโลภ ควำมเหน็ แกต่ ัว ควำมหลงตนเอง และ
มศี ลี ธรรมประจ�ำใจ ยอ่ มได้รบั กำรยกยอ่ งจำกบุคคลต่ำงๆ โดยเฉพำะอำชพี แพทย์ซง่ึ เก่ยี วขอ้ งกบั
ควำมเปน็ ควำมตำยของชวี ติ คน ตอ้ งเปน็ ผรู้ อบรจู้ รงิ ตงั้ แตก่ ำรวนิ จิ ฉยั สมมตฐิ ำนของโรค กำรใชย้ ำ 1. นกั เรียนยกตวั อยางบทประพนั ธที่สะทอนคุณคา
และควำมรับผดิ ชอบตอ่ ผู้ปว่ ย ดงั บทประพนั ธ์ ทางสังคมและวัฒนธรรมจากวรรณคดีเรือ่ ง
คมั ภรี ฉ ันทศาสตร แพทยศาสตรส งเคราะห
155 พรอ มอธบิ ายคณุ คาทางสังคมและวฒั นธรรม

ท่ปี รากฏในบทประพนั ธ
2. นักเรียนบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด
ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
เกร็ดแนะครู

ขอ ใดคอื ลกั ษณะของแพทยท่ีดี มสุ าซํา้ กระหนํา่ ความ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู พอ่ื ใหน กั เรยี นเกดิ ความซาบซงึ้ ในคณุ คา และความงดงาม
1. บางหมอกก็ ลาวคาํ ของวรรณคดี ครคู วรเนน ใหน กั เรยี นไดเ รยี นรใู นการจดั การเรยี นการสอนเพอ่ื ใหน กั เรยี น
ยกตนวา ตนงาม ประเสริฐยิง่ ในการยา เกดิ ความเขา ใจและตระหนกั ในคณุ คา ของวรรณคดี นอกจากการใหค วามสาํ คญั กบั
2. บางหมอก็เกียจกนั ทีพ่ วกอนั แพทยร กั ษา ความงามทางภาษาแลว ครคู วรชแ้ี นะใหน กั เรยี นไดพ จิ ารณาขอ คดิ ทลี่ กึ ซงึ้ นาํ เสนอ
บางกลาวเปน มารยา เขาเจ็บนอ ยวา มากครนั ผา นกลวธิ ที างภาษาทมี่ คี วามคมคายและแยบยล ความเขา ใจดงั กลา วขา งตน ตอ งเกดิ
3. บางกลา วอบุ ายให แกคนไขนน้ั หลายพนั จากการวเิ คราะหแ ละสงั เคราะหจ ากตวั นกั เรยี นเอง พรอ มกนั นนั้ ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรู
หวังลาภจะเกดิ พลัน ดวยเชือ่ ถอ ยอาตมา เกย่ี วกบั สภาพสงั คมและวฒั นธรรมในยคุ สมยั ของกวี เพอื่ ใหน กั เรยี นสามารถนาํ
4. เรยี นรูคมั ภรี ไ สย สขุ มุ ไวอยา แพรงพราย องคค วามรดู งั กลา วมาปรบั ใชใ นการพจิ ารณาบทประพนั ธ
ควรกลาวจึง่ ขยาย อยา ยืน่ แกวแกวานร
นอกจากน้ี การพจิ ารณาเปรยี บเทยี บแนวคดิ หรอื สาระสาํ คญั ในบทประพนั ธก บั
วิเคราะหคําตอบ บทประพนั ธข อ 1. - 3. กลา วถงึ แนวทางความ สภาพสงั คมและวฒั นธรรม แสดงถงึ ภมู หิ ลงั ของวรรณคดี ตลอดจนอทิ ธพิ ลทางสงั คม
ประพฤติทไี่ มเ หมาะสมของแพทย สว นในขอ 4. กลาวถงึ ลักษณะ และวฒั นธรรมทสี่ ง ผลตอ แนวคดิ ของกวี จะชว ยใหน กั เรยี นสามารถพจิ ารณาความ
เปลยี่ นแปลงของสภาพสงั คมและวฒั นธรรมไทยไดเ ปน อยา งดี นกั เรยี นนาํ ความรดู งั กลา ว
การประพฤติตนของแพทยท เี่ หมาะสม ตอบขอ 4. มาใชใ นการพจิ ารณาเนอื้ หารว มกบั บรบิ ททางสงั คมและวฒั นธรรม สง ผลใหก ารตคี วาม

บทประพนั ธม คี วามลกึ ซงึ้ ชดั เจนยงิ่ ขน้ึ คูม่ ือครู 155

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู้

1. นกั เรยี นยกตวั อยา งจรรยาบรรณทางการแพทย ศีลแปดแลศลี หา้ เรง่ รกั ษาสมาทาน
ทปี่ รากฏในวรรณคดเี รอ่ื ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร ทรงไวเ้ ปน็ นิจกาล ทัง้ ไตรรัตน์สรณา
แพทยศ าสตรส งเคราะห อย่าหาญหกั ด้วยมารยา
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ ได เหน็ ลาภอยา่ โลภนกั อุบายกล่าวใหพ้ ึงกลวั
อยางหลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตุผลของนักเรยี น ไขน้ อ้ ยว่าไข้หนา
เปน ตนวา หม่ันศกึ ษาความรูรักษาโรคตาม
อาการท่เี ปนจริง ไมถอื ตัว) นอกจำกนี้ยังชี้ให้เห็นว่ำ กำรเยียวยำรักษำโรคนั้น ถ้ำคนไข้ไม่หำย อย่ำคิดว่ำ
เปน็ “กรรม” อำจจะเปน็ เพรำะควำมบกพรอ่ งของแพทยเ์ อง ดงั นนั้ ถำ้ นำ� แนวคดิ นเ้ี ปน็ ขอ้ เตอื นสติ
2. นกั เรยี นจบั คู แลว รว มกนั ตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี ผ้อู ำ่ นกจ็ ะประจักษ์ว่ำ ไมว่ ำ่ จะอยูใ่ นอำชีพใด ตอ้ งตง้ั ใจท�ำหน้ำทอี่ ยำ่ งเต็มควำมสำมำรถ
• นักเรียนคิดวา จรรยาบรรณของแพทยท่ี
ปรากฏในวรรณคดีเร่อื ง คมั ภรี ฉ ันทศาสตร ๔) ใหค้ วามรเู้ รอื่ งศพั ทท์ างการแพทยแ์ ผนโบราณ คมั ภรี ฉ์ นั ทศำสตร์ แพทยศ์ ำสตร์
แพทยศาสตรสงเคราะห ใหข อคดิ ในการ สงเครำะห์น้ีได้ให้ควำมรู้เก่ียวกับศัพท์ทำงกำรแพทย์ในอดีตไว้มำกมำย เช่น ค�ำว่ำ “ธำตุพิกำร”
ดาํ เนินชวี ติ แกน กั เรยี นอยางไร หมำยถงึ ธำตทุ ั้ง ๔ ในรำ่ งกำยผันแปรผดิ ปกตไิ ป ทำ� ใหเ้ กดิ โรคตำ่ งๆ ขึน้ ตำมกองธำตุเหลำ่ นั้น
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ค�ำว่ำ ตรีโทษ หมำยถงึ อำกำรไข้หนกั มำก อยใู่ นระยะทีเ่ ลอื ด ลม เสมหะเปน็ พษิ ขนึ้ พร้อมกนั
ไดอยางหลากหลายขน้ึ อยูก ับเหตผุ ลของ ในรำ่ งกำย
นักเรียน)
ความเจริญทางด้านการแพทย์ของคนไทยในอดีตเป็นสิ่งที่ควรเรียนรู้และ
3. ครสู มุ นกั เรยี น 3 - 4 คู ออกมานาํ เสนอ ศึกษา เพราะเกิดจากการส่ังสมจากสติปัญญาและประสบการณ์ที่มีการพิสูจน์ผ่านมาแล้ว
หนา ชน้ั เรยี น แพทย์และเภสัชกรไทยสามารถนำาองค์ความรู้จากตำาราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์น้ีไปใช้ได้
โดยไม่ต้องจดทะเบียนใหม่ ย่อมเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า ความรู้จากตำาราแพทย์เล่มนี้
ขยายความเขา้ ใจ Expand นำาไปใช้ในชีวิตประจำาวันได้จริง นอกจากความรู้ด้านการแพทย์แล้ว คัมภีร์ฉันทศาสตร์
แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์น้ียังสอนเก่ียวกับจรรยาบรรณแพทย์ ซ่ึงเป็นสิ่งจำาเป็นอย่างยิ่ง
1. นักเรียนรวมกันอภปิ รายในประเด็น ดังตอ ไปนี้ สาำ หรบั ผ้ปู ระกอบอาชพี แพทย์ท้งั ปวงไมว่ ่าจะในอดตี หรอื ปจั จุบัน
• นอกจากอาชพี แพทยทตี่ อ งมจี รรยาบรรณ
ในวิชาชพี ของตนเองแลว นกั เรยี นคดิ วา 156
อาชพี ใดบา งท่คี วรมีจรรยาบรรณในวชิ าชีพ
หากผปู ระกอบอาชพี ดงั กลา วไมม จี รรยาบรรณ
ในวิชาชีพจะสง ผลอยางไร
• นักเรยี นคิดวา นักเรยี นมจี รรยาบรรณใน
ความเปนนักเรียนหรอื ไม และจรรยาบรรณ
ของความเปน นักเรยี นคอื อะไร หากนกั เรยี น
มจี รรยาบรรณแลว จะสง ผลดีตอ ตัวนักเรยี น
อยา งไร และหากนักเรยี นไมม จี รรยาบรรณ
จะสง ผลเสียอยา งไร

2. นกั เรยี นบนั ทึกความเขาใจลงในสมุด

บรู ณาการอาเซยี น ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
“ขาขอประนมหดั ถ พระไตรรตั นนาถา
ภมู ภิ าคอาเซยี นเปน กลมุ ประเทศทเ่ี ปน แหลง รวมตน ตาํ รบั ศาสตรโ บราณเกยี่ วกบั ตรีโลกอมรมา อภวิ าทนาการ
ยาสมนุ ไพรและการรกั ษาโรคตา งๆ และในปจ จบุ นั ความรเู กย่ี วกบั การรกั ษาพนื้ บา น อนึ่งขาอัญชลี พระฤๅษผี ทู รงญาณ
ไดพ ฒั นาจนเปน ทย่ี อมรบั อยา งกวา งขวาง มกี ารฝก สอน ถา ยทอดองคค วามรู ผลติ แปดองคเ ธอมีฌาน โดยรอบรูในโรคา
แพทยท ส่ี ามารถวนิ จิ ฉยั โรคและรกั ษาอาการของโรค โดยใชน วตั กรรมแบบดง้ั เดมิ ไหวค ณุ อศิ วเรศ ทง้ั พรหมเมศทุกชั้นฟา
ยาแผนโบราณ ตลอดจนประยกุ ตศ าสตรอ นื่ ๆ เพอื่ การรกั ษาได เชน การนวดแบบ สาปสรรคซึ่งหวา นยา ประทานทั่วโลกธาตร”ี
ฤๅษดี ดั ตน การนวดแกป วดหลงั เพอ่ื ลดอาการอกั เสบหรอื ปวดกระดกู เปน ตน บทประพันธขา งตน ไมป รากฏ คตคิ วามเชื่อในขอ ใด
1. กรรม 2. ไตรภมู ิ
ดงั จะเหน็ ไดว า ภมู ปิ ญ ญาของคนในภมู ภิ าคไดถ า ยทอดกนั มาเปน เวลาชา นาน 3. พระรตั นตรัย 4. ศาสนาพราหมณ- ฮินดู
เชน ทปี่ ระเทศเวยี ดนามมกี ารเรยี นการสอนแพทยพ นื้ บา นมานานแลว และมกี าร
กอ ตงั้ กรมการพฒั นาแพทยพ น้ื บา น (Traditional Medicine) มานานกวา 50 ป วเิ คราะหคําตอบ ขอ 1. กรรม ไมป รากฏในบทประพนั ธข า งตน
จากขอ มลู ความรนู ้ี ครนู าํ ไปยกเปน ตวั อยา งของการสบื คน ขอ มลู เกยี่ วกบั แพทย แตป รากฏความเชื่ออ่ืนๆ ดังน้ี ขอ ท่ี 2. ไตรภมู ิ จาก “ตรีโลก
พนื้ บา นของประเทศสมาชกิ อน่ื ๆ เพมิ่ เตมิ มานาํ เสนอและแลกเปลย่ี นเรยี นรรู ว มกนั อมรมา” ขอที่ 3. พระรัตนตรยั จาก “พระไตรรตั นนาถา” ขอท่ี 4.
จดั ทาํ ปา ยนเิ ทศเพอ่ื เปน แหลง เรยี นรเู รอ่ื งวถิ ชี วี ติ ความเปน อยู และวฒั นธรรมของ ศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู จาก “ไหวค ณุ อศิ วเรศ ทง้ั พรหมเมศทกุ ชนั้ ฟา ”
ประเทศเพอื่ นบา น
ตอบขอ 1.
156 คมู่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand
Evaluate
ตรวจสอบผล
Evaluate

ค�าถามประจ�าหน่วยการเรยี นรู้ 1. นกั เรยี นสามารถสรปุ สาระสาํ คญั เกย่ี วกบั คณุ คา
ดานเน้อื หา ดา นวรรณศิลป และคุณคา ดาน
๑. ควำมประพฤตทิ ีแ่ พทย์ควรหลีกเล่ยี ง ที่กล่ำวไวใ้ นบทประพนั ธม์ อี ะไรบ้ำง สงั คมจากวรรณคดเี รื่อง คมั ภีรฉ นั ทศาสตร
๒. บทประพันธ์ใดเหมำะที่จะน�ำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวันของนักเรียนมำกท่ีสุด แพทยศ าสตรสงเคราะห

เพรำะเหตุใด ยกตัวอยำ่ งบทประพนั ธ์ พร้อมใหเ้ หตผุ ลประกอบใหช้ ัดเจน 2. นักเรยี นสามารถยกบทประพนั ธท ีม่ คี ณุ คา
๓. จงเลอื กบทประพนั ธท์ ช่ี อบ ๑ บท และอธบิ ำยวำ่ ไดข้ อ้ คดิ อะไรจำกบทประพนั ธด์ งั กลำ่ ว ดา นเนอื้ หา ดานวรรณศิลป และคุณคาดาน
๔. นักเรยี นคิดว่ำ วธิ ีกำรรกั ษำอำกำรเจ็บปว่ ยในคมั ภรี ฉ์ ันทศำสตรส์ ำมำรถนำ� ไปรักษำ สงั คมจากวรรณคดเี ร่อื ง คัมภีรฉ นั ทศาสตร
แพทยศ าสตรส งเคราะหป ระกอบการอธบิ ายได
อำกำรเจบ็ ปว่ ยทเี่ กดิ ขน้ึ ในปจั จบุ นั ไดอ้ ยำ่ งไร
๕. กำรรวบรวมคมั ภรี แ์ พทยเ์ ปน็ หนงั สอื แพทยศ์ ำสตรส์ งเครำะหเ์ ปน็ กำรรกั ษำภมู ปิ ญั ญำ หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู

ของไทยไวอ้ ยำ่ งไร 1. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คัญเก่ยี วกับความเปน มา
ประวัตผิ แู ตง และลกั ษณะคําประพนั ธจากเรือ่ ง
กจิ กรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรียนรู้ คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร แพทยศาสตรส งเคราะห

๑. ให้นกั เรียนแบง่ กลุ่มโต้วำทีในญตั ติ “กำรรกั ษำกับแพทย์แผนไทย สบำยใจกว่ำ 2. บทประพันธท สี่ ะทอนคณุ คาทางภมู ปิ ญญาของ
แพทย์แผนปัจจบุ ัน” สงั คมและวฒั นธรรมไทย คุณคาทางวรรณศิลป
คุณคาดา นเนอื้ หา ภาษา และรปู แบบ จาก
๒. ให้นกั เรียนค้นคว้ำเก่ียวกบั สมุนไพรไทย คนละ ๑ ชนิด พร้อมบอกลักษณะและ วรรณคดีเรื่อง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร แพทยศาสตร
สรรพคุณ จดั ทำ� เปน็ รูปเลม่ รำยงำน สงเคราะห

๓. เชิญวิทยำกรท่ีเปน็ แพทย์หรอื บุคลำกรทำงกำรแพทยม์ ำบรรยำยใหค้ วำมรเู้ กีย่ วกับ 3. ความเรยี งบนั ทึกคาํ ประสม คาํ ยมื ภาษา
จรรยำบรรณทำงกำรแพทย์ ตา งประเทศ พรอมยกขอ ความทปี่ รากฏคําศัพท
ประกอบคาํ อธิบายเกีย่ วกบั กลวธิ ที างวรรณศิลป
จากบทประพนั ธ

4. ความเรียงสรุปสาระสําคญั เกยี่ วกับภาพสะทอ น
สงั คมและวัฒนธรรมจากกลวิธที างวรรณศลิ ป
ในบทประพนั ธ

157

แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู

1. ความประพฤติทแ่ี พทยควรหลกี เล่ียงมี 14 ประการ ไดแก โลภะ มารยา โทสะ โมหะ ความใคร พยาบาท ความคลางแคลงใจ ความประหมา ความงวงเหงา
ความถอื ดี ความลงั เลใจ ความคดิ เบียดเบียน ความไมก ลวั บาป ความรังเกยี จ
2. นักเรยี นสามารถยกบทประพนั ธไดอ ยา งหลากหลายข้ึนอยกู บั เหตุผลของนกั เรียน เปนตนวา บทประพนั ธท เ่ี หมาะสมทจี่ ะนาํ ไปประยกุ ตใชใ นชีวิตประจําวนั ไดแก
อโนตัปปง บทบงั คบั บาปท่ลี บั อยาพึงทาํ
กลวั บาปแลว จงจาํ ทงั้ ที่แจง จงเวน วาง
บทประพันธข า งตนกลาวถึง ความเกรงกลัวตอบาป พฤติกรรมท่ไี มด เี ปนเรอื่ งสาํ คัญ ท้ังตอ หนา และลับหลงั กไ็ มค วรทํา และสามารถนาํ ไปใชประยกุ ตใช คือ
ไมก ระทาํ ทกุ อยางท่ีไมดีหรือไมเ หมาะสมท้ังตอ หนาและลบั หลงั และประพฤตปิ ฏบิ ัตแิ ตสิ่งทีด่ ี
3. นกั เรียนสามารถยกบทประพนั ธไดอยางหลากหลายขึ้นอยูกบั เหตุผลของนักเรียน เปนตน วา
ศลี แปดแลศลี หา เรงรกั ษาสมาทาน
ทรงไวเ ปน นจิ กาล ทัง้ ไตรรัตนส รณา
บทประพันธข างตน นาํ เสนอขอ คดิ คอื ถานักเรียนรักษาศีล 8 และศีล 5 อยา งสมบูรณแลว สงผลดชี วยใหดําเนนิ ชีวติ อยา งมีความสขุ
4. นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเห็นไดอยางหลากหลายขน้ึ อยูกบั เหตุผลของนักเรยี น เปน ตน วา รับประทานอาหารท่ีมีคณุ คา เพอื่ บํารุงรางกายใหแ ข็งแรง
5. ชวยใหอ งคความรดู ้งั เดมิ ของไทยหรือภูมปิ ญ ญาไทยอยรู วมกัน ไมก ระจัดกระจายหรอื สญู หายไป เพอื่ จะไดสบื ทอดใหแ กค นรนุ หลังตอ ไป

ค่มู อื ครู 157

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage

Explore

เปา หมายการเรียนรู

1. วเิ คราะหวจิ ารณวรรณคดีและวรรณกรรม
เรื่อง โคลนติดลอ ตอน ความนยิ มเปน เสมียน
ตามหลักการวจิ ารณเ บอ้ื งตน

2. วเิ คราะหล กั ษณะเดน ของวรรณคดแี ละวรรณกรรม
เรื่อง โคลนติดลอ ตอน ความนิยมเปน เสมียน
เชื่อมโยงกบั การเรยี นรทู างประวตั ิศาสตรแ ละ
วถิ ีชวี ิตของสงั คมไทยในอดีต

3. วเิ คราะหและประเมนิ คุณคาดา นวรรณศลิ ป
ของวรรณคดีและวรรณกรรมเรือ่ ง โคลนติดลอ
ตอน ความนยิ มเปน เสมยี น ในฐานะทเี่ ปน
มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ

4. สังเคราะหข อคดิ จากวรรณคดแี ละวรรณกรรม
เรอื่ ง โคลนตดิ ลอ ตอน ความนิยมเปน เสมยี น
เพอื่ นําไปประยกุ ตใชในชีวติ จรงิ

สมรรถนะของผเู รยี น õหน่วยการเรียนร้ทู ี่ โคลนตดิ ลอ ตอน
ความนิยมเปน เสมียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ เปนบทความรอยแกวพระราชนิพนธใน
3. ความสามารถในการแกปญ หา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว
4. ความสามารถในการใชทกั ษะชวี ิต เขียนข้ึนเพื่อแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับปญหาที่
คนมีการศึกษาสูงนิยมแตจะเปนเสมียน ไมยอม
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค กลับภูมิลาํ เนาตนไปทําอาชีพเกษตรกรรม บทความน้ีมี
การแสดงความคิดเห็นที่มีประโยชน จึงสามารถนําไปใช
1. ใฝเ รียนรู เปนแนวทางในการดําเนินชีวิตได
2. มงุ ม่ันในการทาํ งาน
3. รักความเปน ไทย โคลนตดิ ลอ ตอน ความนยิ มเปน เสมยี น
ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

• ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๒, ๓, ๔ • วิเคราะหแ์ ละประเมนิ คุณคา่ วรรณคดแี ละวรรณกรรม
เร่อื ง โคลนตดิ ล้อ ตอน ควำมนยิ มเปน เสมียน

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี 15๘
• นักเรยี นคิดวา คาํ วา “โคลนติดลอ”

มคี วามหมายวา อยางไร
• นกั เรียนคดิ วา เพราะเหตใุ ดความนิยมเปน

เสมียนจงึ มีความสมั พนั ธก บั ภาพโคลนตดิ ลอ

เกร็ดแนะครู

หนว ยการเรยี นรนู ้ี ครคู วรใหน กั เรยี นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมทช่ี ว ยสรา งปฏสิ มั พนั ธแ ละ
รว มกนั ระดมความคดิ เพอ่ื ใหน กั เรยี นมสี ว นรว มในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมเพอ่ื พฒั นา
สตปิ ญ ญา และสรา งความสมั พนั ธอ นั ดกี บั เพอ่ื นรว มชนั้ เรยี น โดยในการปฏบิ ตั ิ
กจิ กรรมนน้ั นกั เรยี นควรชว ยกนั อา นและพจิ ารณาเนอ้ื เรอ่ื ง ตง้ั คาํ ถามเพอื่ คน หา
คาํ ตอบจากเรอ่ื งทอ่ี า น และรว มกนั อภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ จากคาํ ตอบทน่ี กั เรยี น
คน พบ หรอื การรว มกนั ตง้ั สมมตฐิ าน เพอ่ื คาดเดาแนวคดิ ทไี่ ดจ ากเรอื่ ง จากนน้ั จงึ
รว มกนั อภปิ ราย

ครเู รม่ิ ตน จากการใชค าํ ถามกระตนุ ความสนใจเพอ่ื ทบทวนความรเู ดมิ ของนกั เรยี น
รวมถงึ กระตนุ ความคดิ ใหน กั เรยี นเหน็ ความสมั พนั ธร ะหวา งเนอ้ื หาสาระสาํ คญั ของ
เรอื่ งกบั แนวคดิ สาํ คญั ทผี่ แู ตง ตอ งการนาํ เสนอ ผา นกลวธิ กี ารเปรยี บเทยี บ เพอื่ ขยาย
ความรคู วามเขา ใจของนกั เรยี นจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม รวมถงึ นกั เรยี นสามารถ
ประยกุ ตแ นวคดิ ทไี่ ดจ ากเรอ่ื งไปใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั ไดอ กี ดว ย

158 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

๑. ความเปน มา ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี
• จากช่ือเร่ือง โคลนตดิ ลอ ตอน ความนิยม
บทความเร่ือง โคลนติดล้อ เป็นหนังสือรวมบทความแสดงความคิด พระราชนิพนธ์ใน
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หัว โดยทรงใชพ้ ระนามแฝงวา่ อัศวพาหุ ทรงพระราชนพิ นธ์ เปนเสมยี น นักเรียนคิดวา คาํ วา “โคลน”
เปน็ ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๕๘ เพอ่ื ลงพมิ พ์ในหนงั สอื พมิ พช์ อื่ หนงั สอื พมิ พไ ทย และ “ลอ ” มีความสมั พันธก ันอยา งไร
และผูแตงตองการสือ่ ถึงอะไร

ต่อมา หนังสอื พิมพส ยามออบเซอรเวอร ได้นา� บทความเหลา่ นม้ี าลงพิมพ์ไว้อีกครั้งหนึ่ง สา� รวจคน้ หา Explore
เร่ือง โคลนตดิ ลอ้ แบง่ ออกเป็น ๑๒ บท ดงั นี้
บทที่ ๑ การเอาอยา่ งโดยไมต่ ริตรอง บทท่ี ๗ ความจนไมจ่ ริง นักเรยี นสืบคนขอมูลเก่ยี วกบั ประวตั ิผแู ตง
บทท่ี ๒ การท�าตนให้ต่า� ตอ้ ย บทท่ี ๘ แตง่ งานชัว่ คราว ความเปนมา และลักษณะคาํ ประพันธ
บทที่ ๓ การบชู าหนังสือจนเกินเหตุ บทท่ี ๙ ความไมร่ บั ผดิ ชอบของบดิ ามารดา
บทท่ี ๔ ความนยิ มเปน็ เสมียน บทท่ี ๑๐ การค้าหญงิ สาว อธบิ ายความรู้ Explain
บทท่ี ๕ ความเห็นผดิ บทท่ี ๑๑ ความหยุมหยมิ
บทท่ี ๖ ถอื เกียรตยิ ศไม่มมี ลู บทท่ี ๑๒ หลกั ฐานไมม่ ่ันคง นกั เรยี นรว มกนั ตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี
ตอนท่ีน�ามาให้นักเรียนเรียนนี้ เป็นบทท่ี ๔ ซึ่งมีชื่อว่า “ความนิยมเปนเสมียน” • นักเรียนคดิ วา คาํ วา “โคลนตดิ ลอ ” มี
ลงพิมพ์ในหนังสอื พิมพ์สยามออบเซอร์เวอร์ วนั ท่ี ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘
ความหมายวา อยางไร
๒. ประวัติผูแตง (แนวตอบ ความนยิ มเปนเสมยี นคอื เหตทุ ี่
ขดั ขวางความเจรญิ กาวหนาของชาต)ิ
พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้เรียนสามารถศึกษาได้จาก • นกั เรยี นคดิ วา การนาํ เสนอเรอื่ ง โคลนตดิ ลอ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๒ บทละครพดู คา� ฉันท์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา ตอน ความนยิ มเปนเสมยี น แสดงถึง
พระอจั ฉริยภาพดา นอกั ษรศาสตรข อง
๓. ลักษณะคําประพันธ์ รชั กาลท่ี 6 อยา งไร
(แนวตอบ ทรงนําเสนอพระราชดําริตอ ความ
เร่ืองโคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียน เป็นบทความร้อยแก้วท่ีแสดงความคิดเห็น เปลยี่ นแปลงทางสังคมและวฒั นธรรมได
เก่ียวกับคา่ นยิ มของคนไทยซึ่งนยิ มอาชพี เสมยี น อยา งลึกซงึ้ แยบยล)

๔. เรือ่ งยอ ขยายความเขา้ ใจ Expand

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงทรรศนะเกี่ยวกับปัญหาสังคมและ นักเรยี นคน ควา บทพระราชนพิ นธที่แสดง
ปัญหาของบ้านเมืองในขณะน้ัน โดยเฉพาะปัญหาท่ีคนหนุ่มสาวซึ่งมีความรู้สูง แต่กลับไม่นิยม พระอจั ฉรยิ ภาพดานอักษรศาสตรของรชั กาลที่ 6
ท�างานในภาคเกษตรกรรม พระองค์ทรงวิเคราะห์สาเหตุแห่งปัญหาเพ่ือให้คนในชาติร่วมมือกัน
ปรบั ปรงุ แก้ไข ตรวจสอบผล Evaluate

15๙ นักเรียนสรปุ สาระสําคัญ พรอมยกตัวอยางทม่ี ี
ความสอดคลอ งกันได

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู

หากพจิ ารณาโดยเนน ดา นรปู แบบเรอื่ ง โคลนตดิ ลอ เปน งานเขยี น ครูควรเพ่มิ เตมิ ความรูเก่ียวกบั ทีม่ าของเรื่อง โคลนตดิ ลอ ตอน ความนยิ ม
ประเภทใด เปน เสมียน เปนบทความลําดบั ที่ 4 ใน 12 บทความของหนังสอื เร่อื ง โคลนตดิ ลอ
พระราชนิพนธในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา เจาอยหู วั รชั กาลท่ี 6 แตเ ดิมทรง
1. พงศาวดาร พระราชนพิ นธขึ้นทงั้ ในฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยทรงใชพระนามแฝงวา
2. จดหมายเหตุ อศั วพาหุ ทรงพระราชนพิ นธ “คาํ นาํ ” ทกี่ ลา วถงึ ความหมายของคาํ วา “โคลนตดิ ลอ ”
3. บทความวิจารณ มกี ลวิธีการใชค วามเปรียบสอื่ ภาพและความหมายอยา งชัดเจน ความวา
4. บทความแสดงความคิดเหน็ “ธรรมดารถซ่ึงขบั เร็วไปในถนนซงึ่ มีโคลน โคลนนัน้ กย็ อ มกระเดน็ เปรอะเปอ นรถ
วิเคราะหคาํ ตอบ โคลนตดิ ลอ เปนบทความแสดงความคดิ เห็น เปน ธรรมดา และบางทกี ็เปนอันตรายได โดยเหตทุ ม่ี า พลาดหรือลมลง แตล อ แหง
เนน การพจิ ารณาดา นรปู แบบรอ ยแกวทม่ี อี งคประกอบสวนนาํ รถน้นั ในเวลาท่ีถงึ ทห่ี ยุดแลว จะมีโคลนกอ นใหญๆ ตดิ อยกู ห็ าไม เพราะวาโคลน
เนอ้ื เรอ่ื ง และสรปุ อยา งครบถว น มเี นอื้ หามงุ นาํ เสนอความคดิ เหน็ ซึ่งตดิ ลอในระหวางเดนิ ทางนัน้ ไดห ลุดกระเดน็ ไปเสียแลว ดว ยอาํ นาจแหง ความเร็ว
แหง รถน้นั สว นรถท่ีขบั ชา ๆ ...ลอแหง รถนนั้ ยอมจะเต็มไปดว ยโคลนอนั ใหญแ ละ
เปนหลกั ตอบขอ 4. เหนียวเตอะตัง ซึง่ นอกจากแลดูไมเ ปน ที่จําเรญิ ตาแลว ยังสามารถเปนเครื่อง
กดี ขวางและทําใหล อ เคลอื่ นชาลงได”

คู่มือครู 159

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ ๕. เน้ือเรื่อง
• นกั เรยี นคดิ วา ความนยิ มเปน เสมียนจะเปน โคลนตดิ ลอ้

เคร่ืองกดี ขวางการพฒั นาชาติ ซึ่งสอดคลอ ง ความนยิ มเป็นเสมยี น
กบั ช่อื เร่อื งโคลนติดลอ อยา งไร ผลแห่งการบชู าหนงั สือจนเกนิ เหตตุ ามที่ขา้ พเจา้ ได้กลา่ วมาแล้วนั้น มอี ยูอ่ ีกอย่างหน่ึง
ซ่งึ ข้าพเจา้ จะขอเรียกวา่ ความนิยมเป็นเสมยี น เพราะจะหาค�าให้ส้นั กว่าน้ไี มไ่ ด้
สา� รวจคน้ หา Explore การตั้งโรงเรียนข้ึนทั่วทั้งพระราชอาณาจักร ให้โอกาสแก่บรรดาชายหญิงทุกๆ ชั้น
ได้ศึกษาใหร้ ้อู า่ นรเู้ ขียนหนงั สือนัน้ กลบั ให้ผลทีท่ า� ให้เป็นที่รา� คาญ และอาจจะท�าให้รา� คาญ
นกั เรยี นศกึ ษาเนอื้ หาบทความเรอ่ื งโคลนตดิ ลอ ยิ่งกว่าท่ีเปน็ อยเู่ ดยี๋ วน้กี ็เปน็ ได ้ โดยไมก่ ลา่ วถึงความเสยี หายอยา่ งอืน่ ซ่งึ จะพึงมีมาในไมช่ ้าวัน
ตอน ความนิยมเปน เสมียน เด็กทุกๆ คนซ่ึงเล่าเรียนส�าเร็จออกมาจากโรงเรียนล้วนแต่มีความหวังฝังอยู่ว่าจะ
ได้มาเป็นเสมียนหรือเป็นเลขานุการ และจะได้เล่ือนยศเล่ือนต�าแหน่งข้ึนเร็วๆ เป็นล�าดับ
อธบิ ายความรู้ Explain ไป เด็กที่ออกมาจากโรงเรียนเหล่าน้ีย่อมเห็นว่ากิจการอย่างอ่ืนไม่สมเกียรติยศนอกจากการ
เป็นเสมียน ข้าพเจ้าเองได้เคยพบเห็นพวกหนุ่มๆ ชนิดนี้หลายคน เป็นคนฉลาดและว่องไว
นักเรียนรว มกันแสดงความคิดเหน็ ตอไปน้ี และถ้าหากเขาท้ังหลายนั้นไม่มีความกระหายจะท�างานอย่างท่ีพวกเขาเรียกกันว่า
• นกั เรยี นคิดวา บทความเรื่อง โคลนตดิ ลอ “งานออฟฟิศ” มากีดขวางอยู่แล้วเขาก็อาจจะท�าประโยชน์ได้มาก การที่จะบอกให้เขา
เหล่านี้กระท�าตัวของเขาให้เป็นประโยชน์โดยกลับไปบ้านและช่วยบิดามารดาเขาท�า
ตอน ความนิยมเปน เสมยี นมกี ลวิธีการเปด การเพาะปลูกน้ันเป็นการป่วยกล่าวเสียเวลา เขาตอบว่าเขาเป็นผู้ท่ีได้รับความศึกษามาจาก
เรอื่ งอยา งไร และกลาวถงึ ประเดน็ ใดบา ง โรงเรียนแล้ว ไม่ควรจะเสียเวลาไปท�างานชนิดซึ่งคนท่ีไม่รู้หนังสือก็ท�าได้ และเพราะเขา
(แนวตอบ ทรงชีใ้ หเหน็ ปญ หาและความสาํ คัญ ไมอ่ ยากจะลมื วชิ าทเ่ี ขาไดเ้ รยี นรมู้ าจากโรงเรยี นนนั้ ดว้ ย เพราะเหตนุ เี้ ขาสสู้ มคั รอดอยากอยใู่ น
ของปญ หา การมคี า นิยมทไ่ี มเ หมาะสมของ กรงุ เทพฯ ไดเ้ งนิ เดอื นเพียงเดือนละ ๑๕ บาท หรอื ๒๐ บาท ย่ิงกว่าที่จะกลับไปประกอบการ
คนไทย โดยใชวธิ ีการแจกแจงปญหาใน เพ่อื เพ่มิ พนู ความสมบรู ณ์แหง่ ประเทศในภูมลิ �าเนาเดมิ ของเขา
ประเด็นตา งๆ เพื่อแสดงใหเห็นความสมั พนั ธ นึกไปก็น่าประหลาดที่สุด ท่ีคนจ�าพวกนี้สู้อดทนต่อความล�าบากเพื่อแสวงหาและ
ของปญ หาตางๆ) รกั ษาต�าแหนง่ เสมียนของเขา ในเงินเดือน ๑๕ บาทนพี้ ่อเสมยี นยงั อุตสา่ ห์จา� หนา่ ยจา่ ยทรพั ย์
• นักเรียนคดิ วา บทความนําเสนอทศั นะ ได้ต่างๆ เช่น นุ่งผ้าม่วงสี ใส่เสื้อขาว สวมหมวกสักหลาด และในเวลาที่กลับจากออฟฟิศ
ทางการศกึ ษาและการประกอบอาชีพเสมียน แล้วก็ต้องสวมกางเกงแพรจีนด้วย และจะต้องไปดูหนังอีกอาทิตย์ละ ๒ คร้ังเป็นอย่างน้อย
อยางไร ตอ้ งไปกนิ ขา้ วตามกกุ๊ ชอ้ ป แลว้ ยงั มหิ นา� ซา้� จะตอ้ งเสยี คา่ เชา่ หอ้ งอกี ดว้ ย (หรอื บางทเี ขาจะไมเ่ สยี
(แนวตอบ นําเสนอทัศนะเกย่ี วกบั การศกึ ษา กไ็ ม่ทราบ) ครั้นเมื่อเงนิ เดอื นข้ึนเป็นเดือนละ ๒๐ บาท เขากค็ ดิ อา่ นแตง่ งานทีเดยี ว (ขา้ พเจ้า
และคนทําอาชีพเสมยี นในทางลบ โดยมกั ยก ต้องขออธิบายค�าว่าแต่งงานไว้ในวงเล็บในที่น้ีว่า ที่ข้าพเจ้าเรียกว่าแต่งงานนั้น ข้าพเจ้า
ตนใหอ ยูเ หนือผูอ ่นื ) พูดอย่างละม่อม เพราะว่าการแต่งงานชนิดน้ีมักเป็นการชั่วคราวโดยมาก ซ่ึงข้าพเจ้าจะได้
กลา่ วต่อไปในบทหนา้ เพราะว่าเปน็ โคลนกอ้ นหนึ่งซึ่งจะไดย้ กขนึ้ ใหท้ า่ นพิจารณาต่อไป)
160

เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
“โคลนตดิ ลอ” มีความหมายสอดคลองกับขอ ใดมากท่ีสุด
ครูควรกระตุน ใหน กั เรียนเห็นความสาํ คัญของอาชพี ทุกอาชพี ครูควรช้ีใหเ หน็ 1. เหตุการณที่เกิดขนึ้ ในสมยั รชั กาลท่ี 6
วา หากบคุ คลประกอบอาชีพสุจริต ทุกอาชพี ลว นมเี กยี รตเิ ทา เทียมกนั นักเรยี นไม 2. การรบั คา นยิ มตะวันตกทไ่ี มเ หมาะสม
ควรดูถกู หรอื หม่นิ เกยี รติชาวนาและกรรมกร เพราะทุกอาชพี มคี วามสําคัญและทุก 3. คานยิ มและวัฒนธรรมไทยดง้ั เดมิ ที่ไมเหมาะสม
อาชีพตองพบกับปญ หาเชน เดียวกนั โดยเฉพาะอยา งยิ่งอาชพี ชาวนา ชาวสวน หรือ 4. ปญ หาและอปุ สรรคท่ขี ดั ขวางการพัฒนาประเทศ
กรรมกรที่เปน ปจจัยสาํ คญั ในการผลิต เพื่อใหช ีวิตของคนโดยรวมไดอยอู ยา งมคี วาม วิเคราะหคําตอบ โคลนตดิ ลอมีความหมายสอดคลอ งกบั ปญ หา
สุขและสะดวกสบาย รวมถึงผลติ อาหารเลีย้ งคนใหอ ยูรอด แตบ คุ คลทปี่ ระกอบ และอปุ สรรคทข่ี ดั ขวางการพฒั นาประเทศ เปน การตง้ั ชอื่ เรอื่ งโดยใช
อาชพี เหลา นก้ี ลบั ตอ งพบอุปสรรคและปญ หาตางๆ มากมาย ท้งั จากภยั ธรรมชาติ โวหารภาพพจนแ บบอปุ ลกั ษณ เพอ่ื สอื่ ความหมายแฝง ตอบขอ 4.
และการคดโกงของมนุษย นับตงั้ แตอ ดตี จนถงึ ปจ จุบัน ทีส่ าํ คญั นอกจากนกั เรยี นจะ
ตองเคารพในอาชพี ทกุ อาชพี แลว ยังตอ งเคารพในคุณคา และศักด์ิศรี
ของความเปน มนุษยท ่เี ทา เทียมกัน เนือ่ งจากอาชพี ที่สจุ ริตทกุ อาชพี ยอ มสงผลดี
ตอการพฒั นาประเทศ ชวยขบั เคล่อื นประเทศไปขางหนา ไดเ ปนอยา งดี

160 ค่มู อื ครู

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

ข้าพเจ้าย่อมเข้าใจอยู่ว่า ชายหนุ่มซ่ึงได้ฝึกตัวให้คุ้นแก่ความสนุกสนานในเมือง ย่อม นกั เรียนรวมกันจับคแู สดงความคิดเหน็ ตอ ไปนี้
จะรู้สึกเบ่ือหน่ายถ่ินฐานบ้านเดิมของเขาตามบ้านนอก และที่จะกล่าวว่าถ้าเขาอยู่ในเมือง • นักเรียนคิดวา บทประพันธห นา 161 มกี าร
เขาอาจจะทา� ประโยชนใ์ หแ้ กบ่ า้ นเกดิ เมอื งนอนของเขาดกี วา่ อยบู่ า้ นนอกนน้ั เปน็ ความเหลวไหล
โดยแท้ ท่านผู้มีความคิดคงจะเข้าใจได้ดีว่า อันประเทศอย่างเมืองไทยของเราน้ีชาวนา เปรยี บเทียบอาชพี ชาวนากบั อาชีพเสมยี น
ชาวสวนอาจจะทา� ประโยชนใ์ หแ้ กบ่ า้ นเมอื งไดม้ ากกวา่ เสมยี น ซง่ึ เปน็ แตเ่ ครอ่ื งมอื เทา่ กบั ปากกา ในดา นใดบา ง
แไดล้กะินพเมิขพ้าได์ ปดี 1 แซตง่ึ เถ่ ขงึ ากใชระ ้ (หนรนั้ อื เขใชาผ้กดิ็ย)ัง ถนา้กึ จวะ่าเตปัวรเยีขบาดพกี ชื วท่าเ่ี ชขาาวไดนท้า า� แใหละง้ อขก้อตทอ้ ี่รงา้ นยบันวนั้ า่ นพอ้วยกกเรวาา่ ทผง้ั ลหทลเี่ ขายา (แนวตอบ ความแตกตางดานศักด์ิศรีในการ
กพ็ ลอยยอมใหเ้ ขาคดิ เหน็ เช่นนั้นเสียด้วย ประกอบอาชพี ซงึ่ ถือเปนคา นิยมทผ่ี ดิ
เมื่อไรหนอ พวกหนุ่มๆ ของเราจึงจะเข้าใจได้บ้างว่า การเป็นชาวนาชาวสวน หรือ อาชพี ทง้ั สองลว นอาํ นวยประโยชนและเพมิ่
คนท�างานการอื่นๆ น้ัน ก็มีเกียรติยศเท่ากับที่จะเป็นผู้ท�างานด้วยปากกาเหมือนกัน? เมื่อไร ความสมบูรณแกประเทศชาติ อาชีพดังกลาว
จึงจะบงั เกดิ ความร้สู กึ เกียรติยศแหง่ การงานอ่นื ๆ นอกจากงานที่ทา� ด้วยปากกาและพิมพด์ ีด? ยังสรา งนิสัยใหเสมียนมคี วามทะเยอทะยาน
ค�าตอบแห่งปัญหาข้อน้ีก็เป็นดังท่ีกล่าวมาแล้วนั้นเอง กล่าวคือเป็นความผิดของเรา แตห ยบิ โหยง และมคี า นยิ มผดิ ๆ ในการ
ท้ังหลายด้วยกัน มิใช่ความผิดของพวกหนุ่มๆ โดยเฉพาะเท่าน้ันหามิได้ ถ้าเรายังแสดง ใชจ า ยเกนิ รายได)
ความเห็นโดยประการต่างๆ ว่าเสมียนเป็นบุคคลช้ันท่ีสูงกว่าชาวนาชาวสวน หรือพ่อค้าอยู่ • นกั เรียนคดิ วา ผูทรงพระราชนพิ นธม ี
เตทร่าานบน้ัใด ย งัพมวีคกนหอนย่มุ ู่เๆป น็ ขออันงมเราากกท็ค่ชีงจว่ ยะทเปะิดเยทอาทงหะายกาานรฝงกั าในฝใ่ใหน้แทกา่ผงู้ทเป่อี น็ ยเาสกมจยี ะนเปอน็ยู่ตเสรมายีบนน2 ้ันส ว่ ในชผแ่ ทู้ต่ี่ ความเห็นอยางไรตอ คานิยมทางสงั คม
ปรารถนาจะช่วยให้คนได้ตั้งตัวเป็นชาวนาชาวสวน หรือคนท�างานอื่นๆ ท่ีเป็นประโยชน์ และวัฒนธรรมไทย
เหมือนกันนั้นมีน้อยนัก ข้อที่ว่าบรรดากระทรวงทบวงการมีเสมียนมากกว่าความจ�าเป็นน้ัน (แนวตอบ ไมเ ห็นดวยกับคา นยิ มทางสงั คม
ถึงแม้ผู้ที่ดูแต่เผินๆ ก็เห็นได้ว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้นสถานท่ีเหล่านั้นจึงต้องจัดการ และวฒั นธรรมในการยกยอ งอาชีพเสมยี นให
ถ า่ ยเทพสว่วกนทพีเ่ กวกินทต่ีถอ้ ูกงกคาัดรออออกกนเส้ันียเลเปา่ เน็ ปค็นรอัง้ คย่ารงาไวรเบพ้าื่องไ?ด ร้ขบั ้อคนนแี้ ใหหลมะๆ่ เป ต็นอ่ ทไป่นี ่าสงั เวช3ยง่ิ นัก คนเรา เหนอื กวา อาชพี อืน่ ทรงเห็นวาทุกอาชพี มี
ความสาํ คญั ตอ ชาติบา นเมอื งไมนอยไป
กวากัน นอกจากน้ี อาชีพเสมยี นหรือเลขา
มีรายไดนอย แตมักใชจายเกินตัว ยอมสราง
หายนะในอนาคต เนือ่ งจากมีนิสัย
ทะเยอทะยานแตหยิบโหยง )

ทป่ี ลอ่ ยใหช้ วี ติ ลว่ งไปโดยทา� การเปน็ เสมยี นเสยี นานแลว้ จะไปทา� งานการอะไรอน่ื กไ็ มส่ ามารถ ขยายความเขา้ ใจ Expand
จะท�าได้ ถ้าเขาเป็นคนที่ท�าประโยชน์ได้อยู่ เขาก็คงจะได้เลื่อนขึ้นไปในต�าแหน่งอ่ืนไม่ต้อง
ถูกคัดออก กก็เ็เชพ่นรนาะั้นคเขวาามจหะไยปิ่งทอัน�าอหะาไมรลู เลม่าิได?4 ้ขอเขงาเขจาะนเปนั้ ็นเอชงา วเขนาาเไหมน็ ่ไดวา่้ดไ้วมยส่ เมหเตกุหยี รลตาิยยศปทระ่จี กะไาปร
ประการ ๑ นกั เรยี นรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ตอ ไปน้ี
หาการงานท�ากับชาวนา ซ่ึงเขาเห็นว่าเป็นคนชั้นต่�าและสามัญ คร้ันเขาจะเป็นเจ้าของเอง • นักเรียนคิดวา ผูท รงพระราชนิพนธท รงชน้ี ํา
ก็ไม่ได้ด้วยเหตุว่าเป็นการเหลือวิสัยท่ีเขาจะเก็บหอมรอมริบไว้ได้จากเงินเดือนอันน้อย
ซ่ึงเขาต้องจับจ่ายซื้อสิ่งของซึ่งเขาถือว่าเป็นของจ�าเป็นในระหว่างที่เขาท�าการเป็นเสมียนอยู่ แนวทางการแกไขปญ หาอยางไร
แต่เหตุส�าคัญที่เขาจะเป็นชาวนาไม่ได้นั้นก็คือ เขาตกลงใจไม่ได้ท่ีจะท้ิงเมืองไปอยู่ตาม (แนวตอบ ควรมีความเปลี่ยนแปลงดาน
บา้ นนอกขอกนา เพราะฉะนน้ั พวกเสมียนทีเ่ กินอตั ราเหล่านจ้ี งึ คงอยู่ในเมอื ง เทยี่ วพยายาม คานยิ ม โดยสรา งความเขา ใจทีถ่ กู ตอ งแก
เยาวชนคนหนมุ สาวที่มกี ารศกึ ษาวา
161 อาชพี ตา งๆ มิไดดอยเกียรติไปกวา กัน)

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู

คา นยิ มสาํ คญั ทส่ี ะทอ นจากเรอ่ื ง โคลนตดิ ลอ ตอน ความนยิ ม 1 ถา จะเปรยี บพืชทเ่ี ขาไดท ําใหง อกตอ งนับวานอยกวาผลทเี่ ขาไดกินเขา ไป ผทู ่ี
เปน เสมยี นขอใดมคี วามเดนชดั มากทส่ี ุด เปน เสมยี นสามารถสรางประโยชนใ หแกส งั คมไดนอยกวา ส่งิ ท่ีเขาบริโภคเขาไปเลี้ยง
ชวี ติ คือ เปนผรู ับมากกวาเปน ผูให
1. การยกยอ งผมู ฐี านะ 2 ยังมคี นอยูเปน อนั มากที่ชว ยเปด ทางหาการงานใหแกผทู ่อี ยากจะเปนเสมยี น
2. นยิ มทาํ งานท่มี เี กียรติ ขอ ความนแี้ ฝงทัศนะของผูทรงพระราชนิพนธซ่งึ ไมพอใจกับระบบอุปถมั ภ การใช
3. การยกยองผไู ดรบั การศึกษา เสนสายในการทํางาน และสะทอนสภาพสงั คมในยคุ สมยั รชั กาลที่ 6 ไดเปน อยางดี
4. เหยียดหยามอาชพี เกษตรกร 3 สงั เวช รูส ึกเศรา สลดหดหูตอ ผทู ่ไี ดรับทุกขเวทนาหรือตอ งตายไป หรอื ตอ ผทู ี่
วิเคราะหคําตอบ โคลนตดิ ลอ ตอน ความนยิ มเปนเสมยี น ตนเคารพนับถือซงึ่ ประพฤติตนไมเหมาะสม เปนตน วา เห็นผคู นประสบอบุ ัติเหตุ
สะทอนเรอื่ งความนิยมทาํ งานที่มเี กยี รติ พิจารณาจากสาระ เคร่อื งบนิ ตกแลว สังเวช พอรขู า ววา ญาติผูใ หญของตนพวั พันคดีฉอ ราษฎรบงั หลวง
สาํ คญั ของเรื่อง ทมี่ งุ เนนแสดงความคดิ เห็นโตแ ยง คานิยมหลกั ก็สงั เวช
4 ความหยงิ่ อันหามูลมไิ ด ความหยิ่งอยางไมม ีสาเหตุ
ทางสังคมและวัฒนธรรมรว มยคุ สมัย ตอบขอ 2.

คมู่ อื ครู 161

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู้

นกั เรยี นรว มกนั ตอบคาํ ถามตอไปน้ี แสวงหาต�าแหน่งเสมียนต่อไป และถ้าโชคดีก็คงจะเข้าได้ชั่วคราว แต่ไม่ช้าก็ต้อง
• นักเรียนเห็นดว ยกับทศั นะของผทู รงพระราช- เปิดออกไปอีก ในระหว่างน้ีอายุของเขาก็ล่วงเข้าไปทุกวัน และผู้ที่เป็นนายหรือก็
ชอบใช้แต่เสมียนที่หนุ่ม เพราะฉะน้ัน โอกาสที่จะหางานท�าก็มีน้อยเข้าทุกวันจนเป็นที่น่า
นพิ นธในเรอ่ื งใดบา ง อยางไร อัศจรรย์ว่าเขาหาเล้ียงชีพอยู่ได้อย่างไร ถ้าเขาเป็นผู้ท่ีมีนิสัยสุจริตเขาก็จะเลี่ยงไปตาย
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ อยู่ในที่ลับๆ แห่ง ๑ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรัก ไม่มีใครอาลัย เป็นการ
ไดอยา งหลากหลายขึน้ อยูกบั เหตุผลของ ลงเอยอยา่ งมดื แหง่ ชวี ติ ทม่ี ดื ไมม่ สี าระ! แตถ่ า้ ความยากจนขน้ แคน้ ของเขานา� เขาไปสทู่ างทจุ รติ
นักเรยี น) เขาอาจจะได้ความสนุกสนานอยู่พัก ๑ แล้วเขาก็คงจะต้องยาตราเข้าสู่ศาลพระราชอาญา
• นักเรียนคิดวา บทพระราชนิพนธเ รือ่ งนี้ และไม่ช้าก็คงจะได้เข้าไปอยู่ในคุก แล้วต่อไปก็เท่ากับอันตรธาน ตกลงเป็นลงเอยอย่าง
มีกลวิธีการโนม นา วใจอยา งไร นา่ สังเวชทั้ง ๒ สถาน
(แนวตอบ ใชภ าษาทกี่ ระชบั ตรงไปตรงมา ดังนี้จะไม่เป็นการสมควรแลหรือ ท่ีเราจะสอนให้พวกหนุ่มๆ ของเราปรารถนาหา
รวมถงึ ใชป ระโยคคาํ ถามทีไ่ มต อ งการคําตอบ การงานอ่ืนๆ อันพึงหวังประโยชน์ได้ดีกว่าการเป็นเสมียน ถ้าเราจะสอนเขาทั้งหลายให้รู้สึก
อยางสมา่ํ เสมอ) เกียรติยศแห่งการท่ีจะเป็นผู้เพาะความสมบูรณ์ให้แก่ประเทศ เช่น ชาวนาชาวสวน พ่อค้า
และช่างต่างๆ จะไม่ดีกว่าหรือ? ท่านเชื่อหรือว่าพวกหนุ่มๆ ของเราจะท�าประโยชน์ให้แก่
ขยายความเขา้ ใจ Expand บ้านเมืองโดยทางเป็นเสมียนมากกว่าทางอ่ืนๆ? เราจะมีข้าวของเคร่ืองใช้อื่นๆ ได้อย่างไร
ถา้ เราไมอ่ ุดหนนุ คนจา� พวกท่ีจะเพาะสิ่งของนัน้ ๆ ขนึ้ ?
นกั เรียนรวมกันอภปิ รายในประเด็นตอ ไปน้ี ทา่ นท้งั หลายจะช่วยได้เปน็ อนั มากด้วยความเห็นของท่าน เพราะว่าถงึ แม้พวกหนมุ่ ๆ
• นักเรียนคิดวา บทพระราชนพิ นธเ รอื่ งน้ี น้ันจะมีความคิดเห็นว่าตัวส�าคัญปานใดก็คงจะต้องฟังความเห็นของผู้อื่น ถ้าความเห็นของ
สาธารณชนเห็นว่าชาวนาชาวสวน พ่อค้า และช่างต่างๆ มีเกียรติยศเสมอเสมียนและไม่ยก
สะทอนลกั ษณะเดนดา นการประพันธข อง เสมียนข้นึ ลอยไวใ้ นท่อี ันสูงเกนิ กว่าควร ก็จะเป็นประโยชน์ชว่ ยเหลือได้มาก
พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลาเจาอยูหวั เพราะฉะน้นั ทา่ นจะไม่ชว่ ยกันในทางนี้บา้ งหรอื ?
อยา งไร พรอ มยกตวั อยา งประกอบ
(แนวตอบ ทรงใชภ าษาทกี่ ระชับ ชดั เจน
แฝงแงคิด เฉียบคม สํานวนโวหารดเี ดน
และมีการใชคาํ ถามเชิงวาทศิลป เพ่อื กระตุน
ความสนใจของผูอา น จงึ มีพลงั ในการ
โนม นา วใจอยา งยิง่ )

ตรวจสอบผล Evaluate

นักเรียนสามารถสรุปสาระสาํ คัญดานเน้อื หา
ภาษา และรปู แบบจากบทความเรอ่ื ง โคลนตดิ ลอ
ตอน ความนยิ มเปน เสมียนได

162

เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
“ถาเราจะสอนเขาทง้ั หลายใหรสู กึ เกยี รตยิ ศแหงการที่จะเปน
ครคู วรเชือ่ มโยงความรเู กย่ี วกับพระอัจฉรยิ ภาพดานอกั ษรศาสตรข อง ผูเพาะความสมบรู ณใหแกประเทศ เชน ชาวนา ชาวสวน พอ คา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยหู ัว รัชกาลท่ี 6 โดยทรงพระราชนิพนธ ชางตา งๆ จะไมด กี วา หรอื ”
วรรณกรรมเรอ่ื งนีใ้ หมคี วามโดดเดน ทางวรรณศิลป ทรงถา ยทอดความรสู กึ นกึ คิด ขอ ความขา งตน ใชกลวธิ ีทางวรรณศิลปแบบใดเดน ชดั ที่สุด
และสภาพสังคมไดอ ยางสมจริง และนาํ เสนอพระราชดาํ รติ อความเปลีย่ นแปลง และกลวธิ ีดังกลาวมจี ดุ มงุ หมายอยางไร
ทางสังคมและวัฒนธรรมอยา งแยบยลผานองคประกอบที่แสดงถึงพระอัจฉรยิ ภาพ ขอ กลวิธีทางวรรณศิลป จดุ มุงหมาย
ดานอกั ษรศาสตรไ ดเ ปน อยา งดี 1. ใชก ารเปรียบเทยี บ ยํา้ ใหจดจาํ
2. ใชภาษาไพเราะ มคี วามไพเราะนาอาน
นอกจากน้ี พระองคย งั ทรงพระราชนิพนธว รรณคดีทีแ่ สดงคุณคา ทางวรรณศิลป 3. ใชประโยคคาํ ถาม กระตนุ ใหค ดิ
อยา งเชน วรรณคดเี รอ่ื ง มทั นะพาธา เปนตน นกั เรียนสามารถใชเปน พ้นื ฐานในการ 4. ใชค ําแสดงความรสู ึก ทาํ ใหนา เช่อื ถือ
ทาํ ความเขา ใจลีลาการเขยี นอนั ถือเปน ลกั ษณะเฉพาะของพระองค รวมถึงเปน
พ้นื ฐานในการศกึ ษาพระราชนพิ นธเร่ือง โคลนติดลอ ตอน ความนิยมเปน เสมียน วิเคราะหคาํ ตอบ กลวธิ ที างวรรณศลิ ป คอื ใชป ระโยคคาํ ถาม
ไดล ึกซงึ้ ยิ่งข้นึ มจี ดุ มงุ หมายเพ่ือกระตนุ ใหคิด โดยคําถามทใ่ี ชนั้น เปนคาํ ถามเชงิ
วาทศลิ ปหรอื คาํ ถามทีไ่ มต องการคาํ ตอบ มจี ดุ มุง หมายเพ่ือกระตนุ
162 คมู่ อื ครู
ใหผ อู า นเกดิ ความคดิ ตอบขอ 3.

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

๖. คาํ ศัพท นกั เรยี นยกตัวอยางอาชพี ท่ีทาํ งาน “ออฟฟศ ”
ในปจ จุบนั จากนั้นครูสนทนาซกั ถามกระตุน
คาํ ศพั ท ความหมาย ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้

กกุ ชอ ป ภัตตาคาร มาจากคําวา Cook shop • นกั เรยี นคดิ วา มอี าชพี ใดบา งทม่ี คี วามหมาย
สอดคลอ งกบั อาชพี เสมยี น
เกียรติยศ เกียรติโดยฐานะตาํ แหนง หนา ท่ีหรอื ชาติชน้ั วรรณะ
บา นนอกขอกนา เรียกคนทเี่ ปนชาวไรช าวนาอยนู อกกรงุ หรอื เมืองหลวง • นกั เรยี นคดิ วา คาํ วา “เสมยี น” ในอดตี และ
ผา มว ง ผา นงุ แบบโจงกระเบนของขา ราชการสมยั กอ น ปจ จบุ นั ยงั คงใชค าํ นใ้ี นความหมายเดยี วกนั
พดู อยางละมอม พูดอยา งสุภาพ หรอื ไม อยา งไร
ยากจนขน แคน อัตคัต ขัดสน ไรทรพั ย
ยาตรา เดิน สา� รวจคน้ หา Explore
ศาลพระราชอาญา ศาลอาญา
สาธารณชน คนทั�วไป นกั เรียนสืบคนคําศัพท พรอมหาความหมาย
หมวกสกั หลาด หมวกท่ีตัดเยบ็ ดว ยผาสักหลาด จากบทความเร่ือง โคลนติดลอ ตอน ความนิยม
ออฟฟศ สํานักงาน มาจากคําวา office เปน เสมียน

อธบิ ายความรู้ Explain

สรรพส าระ ¡Ô¨¡ÒÃ˹§Ñ ÊÍ× ¾ÔÁ¾ ã¹ÊÁÑÂÃѪ¡ÒÅ·èÕ ö นกั เรยี นรวบรวมคาํ ทบั ศพั ทภ าษาตา งประเทศ
รวมถงึ สาํ นวนทน่ี กั เรยี นสนใจ จากนน้ั ใหน กั เรยี น
ปกหนังสือพิมพดุสิตสมิต ในสมัยรัชกาลท่ี ๖ หนังสือพิมพเขาถึงมวลชนมากขึ้นกวา หาความหมาย พรอ มเปรยี บเทยี บคาํ ศพั ทท ป่ี รากฏ
แตกอน มีผูนิยมทําหนังสือพิมพเปนอาชีพและเน่ืองดวยเปนชวง ในเรอื่ งกบั คาํ ศพั ทท ใี่ ชใ นปจ จบุ นั วา มคี วามแตกตา ง
สงครามโลกครั้งที่ ๑ ประชาชนจึงมีความต่ืนตัวทางการเมือง กนั หรอื ไม อยา งไร รวมถงึ มกี ารบญั ญตั ศิ พั ทใ ชแ ทน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวก็ทรงโปรดงานหนังสือพิมพ หรอื ไม อยา งไร จากนนั้ บนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ
และทรงโปรดการโตแยงแสดงความคิดเห็นเพราะไดรับอิทธิพลมา
จากการศึกษาในประเทศอังกฤษ ทําใหมีหนังสือพิมพออกมาอยาง ขยายความเขา้ ใจ Expand
แพรห ลายท้งั ภาษาอังกฤษและภาษาไทย
นักเรยี นนาํ คําศพั ทห รอื สํานวนทน่ี ักเรยี น
นอกจากนี้ในเมืองจําลองดุสิตธานีไดออกหนังสือขาวทั้ง รวบรวมไดจากเรื่องมาแตงประโยค
รายวันและรายสปั ดาห ไดแก ดุสติ สมยั ดุสิตสมติ ซึ่งไดรับความนยิ ม
มากทง้ั เร่อื งการเมือง เร่อื งตลก เรอ่ื งเบด็ เตลด็ กวนี พิ นธ รวมท้ังยงั มี ตรวจสอบผล Evaluate
การตนู ลอการเมืองอกี ดว ย
1. นักเรียนสามารถรวบรวมคาํ ศัพทภ าษา
๑๖๓ ตา งประเทศ และความหมายได

2. นักเรยี นสามารถเปรียบเทยี บความแตกตาง
ดา นความหมายของคาํ ศพั ทแ ละแตง ประโยคได

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู
“ทา นเชอ่ื หรอื วาพวกหนมุ ๆ ของเราจะทาํ ประโยชนใ หแ กบานเมอื ง
โดยทางเสมยี นมากกวาทางอืน่ ๆ ไดอยา งไร ถาไมอดุ หนุนจาํ นวนท่ี การจัดกจิ กรรมการเรยี นรูเ กย่ี วกับคาํ ศพั ทในวรรณคดีและวรรณกรรม เพ่อื ให
จาํ เพาะสง่ิ ของนนั้ ๆ ข้ึน?” ผเู รยี นเกิดความซาบซงึ้ ในคุณคาและความงดงามของวรรณคดแี ละวรรณกรรม
ครคู วรเนน ใหนกั เรยี นไดเรียนรตู ั้งแตร ะดับของคาํ ท่ีนาํ มาใชในการประพนั ธว า
ขอความขา งตน คาํ วา “เพาะ” มีความหมายในลกั ษณะใด และมี มีการใชค ําท่ีกอ ใหเกิดความสมบรู ณข องคณุ คาทางวรรณศลิ ป ทง้ั ความงดงาม
ความหมายวา อยางไร ดา นเสยี งและความหมาย รวมถึงกวีสรรคํามาใชใ นตําแหนงทเ่ี หมาะสมกอ ใหเกิด
รสคาํ และรสความไดอยางไร
ขอ ลกั ษณะความหมาย ความหมาย
นอกจากน้ี ครูควรเพม่ิ เติมเนอื้ หาเกี่ยวกับความหมายของคาํ ศัพทวา คาํ ศพั ท
1. ความหมายตรง ทําใหง อก ยอมมกี ารเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เม่ือเวลาผา นไปคําศัพทท ่ปี รากฏในบท
ประพนั ธยอมมคี วามเปลีย่ นแปลง นกั เรยี นอาจไมสามารถเขาใจความหมายของคาํ
2. ความหมายตรง ปลูก หรืออา นบทประพันธแ ลว ไมกอใหเกิดความซาบซงึ้ นกั เรยี นควรแกป ญหาดงั กลาว
ดว ยการหมั่นแสวงหาความรูจากบทประพันธตา งๆ โดยใชว ธิ เี รียนรูคําศัพทอ ยาง
3. ความหมายแฝง สง เสริม กวา งขวาง

4. ความหมายแฝง ทําใหเกิด คู่มือครู 163

วเิ คราะหคําตอบ ลักษณะความหมายเปน ความหมายแฝง

หมายถงึ สงเสรมิ ตอบขอ 3.

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ โดยให ๗. บทวิเคราะห์
นกั เรยี นยกตวั อยา งสง่ิ ทถ่ี อื เปน “โคลน” และ “ลอ ”
ในการขบั เคลอ่ื นสงั คมไทยในปจ จบุ นั ๗.๑ คณุ คา่ ดา้ นเน้อื หา

สา� รวจคน้ หา Explore ๑) รปู แบบ บทความเรือ่ งโคลนติดลอ้ ตอน ความนยิ มเปน็ เสมียน เปน็ งานเขียน
ประเภทรอ้ ยแกว้ ทใ่ี หท้ ง้ั ความรูแ้ ละความคิด มเี น้อื หาสร้างสรรคท์ รงคณุ คา่ ซ่งึ เป็นการใชร้ ูปแบบ
นกั เรยี นศกึ ษาคณุ คา ดา นเนอ้ื หา คณุ คา ดา น งานเขยี นได้อยา่ งเหมาะสมกับเน้ือหา
วรรณศลิ ป และคณุ คา ดา นสงั คม
๒) องค์ประกอบของเร่อื ง
อธบิ ายความรู้ Explain ๒.๑) สาระ เปน็ การแสดงแนวความคดิ เรอื่ งคา่ นยิ มเกยี่ วกบั อาชพี ทค่ี นทว่ั ไปมกั นยิ ม

นกั เรยี นรวมกนั ตอบคาํ ถามตอไปนี้ ยกยอ่ งข้าราชการและผทู้ ท่ี า� งานในส�านักงาน จนมองข้ามความสา� คัญของอาชีพอน่ื เสมือนโคลน
• นักเรียนคิดวา บทความเรอื่ ง โคลนติดลอ ทต่ี ดิ ล้อรถ

ตอน ความนิยมเปนเสมียน ใชลกั ษณะ ๒.๒) โครงเรื่อง มี่การล�าดับเรื่องตามลักษณะของการเขียนบทความ ซ่ึงมี
การประพันธใ ด องคป์ ระกอบ ๓ สว่ น ดงั น้ี
(แนวตอบ มลี กั ษณะการประพนั ธเ ปน ส่วนน�ำ มีการใช้ข้อความที่ต่อเน่ืองจากบทท่ี ๓ เร่ืองการบูชาหนังสือ
“บทความแสดงความคดิ เหน็ ” โดยแสดง จนเกินเหตุ ดังนั้น ผู้อ่านบทความเรื่องโคลนติดล้อที่ลงพิมพ์อย่างต่อเนื่องในหนังสือพิมพ์
ความคิดเห็น นาํ เสนอวิธกี ารแกปญ หาหรือ สยามออบเซอรเ์ วอรจ์ ะเหน็ การเชอื่ มโยงเขา้ สเู่ นอ้ื หาทผี่ ปู้ ระพนั ธเ์ ปดิ ประเดน็ ถงึ ความเสยี หายทจี่ ะ
โตแ ยง รวมทัง้ นาํ เสนอทัศนะใหมท ม่ี เี หตผุ ล ตามมาเมอ่ื ผูเ้ ข้าศึกษาในระบบโรงเรยี นมมี ากข้ึน
และสรา งสรรค)
• นักเรียนคดิ วา บทความเรอื่ ง โคลนติดลอ เนอ้ื เร่อื ง มกี ารแบ่งออกเปน็ ยอ่ หนา้ ท้งั หมด ๗ ย่อหนา้ แตล่ ะเร่ืองโยงกัน
ตอน ความนยิ มเปนเสมียน มีกลวธิ กี าร เป็นล�าดับ ตั้งแต่การต้ังความหวังในอนาคตเมื่อเรียนจบโดยลืมดูพ้ืนความหลังทางวัฒนธรรมว่า
ประพนั ธอ ยา งไร สงั คมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม แต่ละย่อหน้ามกี ารยกตัวอยา่ งมาอธบิ ายใหเ้ ขา้ ใจชัดเจน
(แนวตอบ การลาํ ดบั เนอื้ หาเปน ระบบ เขา ใจงา ย
เปดเรือ่ งโดยเนน ประเด็นสําคญั นาํ เสนอ ส่วนท้ำย ผู้ประพันธ์ได้กล่าวถึงวิธีการแก้ปัญหาและใช้กลวิธีการปิดเร่ือง
รายละเอยี ดของเนื้อหา ปดทา ยดว ยการแกไ ข โดยใช้คา� ถามในบรรทัดสุดท้ายว่า “เพรำะฉะน้ันทำ่ นจะไมช่ ว่ ยกนั ในทำงน้ีบ้ำงหรอื ?”
ปญหาและตัง้ คาํ ถามเชิงวาทศิลปใ หค รนุ คิด)
๒.๓) กลวธิ กี ารแตง่ บทความเรอื่ งโคลนตดิ ลอ้ ตอน ความนยิ มเปน็ เสมยี น ผปู้ ระพนั ธ์
มกี ลวธิ กี ารเขียนที่ชวนอ่าน น่าติดตาม มีการลา� ดับเนือ้ หาเป็นขน้ั ตอน อ่านเข้าใจง่าย โดยแบ่ง
ยอ่ หนา้ ยาวส้นั สลับกันไป รวม ๑๑ ย่อหนา้ แต่ละย่อหน้ามีประเด็นส�าคญั มีเนอ้ื หาสาระน่าสนใจ
และมีการน�าเสนอต่อเนื่องสัมพันธ์กันอย่างดี เริ่มต้นจากค�าน�าที่จูงใจให้ผู้อ่านสนใจติดตามโดย
การน�าเสนอปัญหาท่ีเกิดจากการให้การศึกษาแก่ประชาชน ซึ่งผู้ประพันธ์แสดงความคิดเห็นว่า
“ให้ผลทที่ า� ให้เปน็ ท่รี า� คาญ” ท�าใหผ้ ู้อา่ นเกิดความสนใจติดตามหาคา� ตอบว่าปญั หาน้นั คืออะไร

เน้ือหาท่ีน�าเสนอในแต่ละย่อหน้า ผู้ประพันธ์ได้อธิบายเน้ือความส�าคัญ แสดง
เหตุผล ใช้ตัวอย่างประกอบได้อย่างชัดเจน บางคร้ังมีการกระตุ้นให้ผู้อ่านคิดโดยใช้ค�าถามที่
ไม่ต้องการค�าตอบ และสุดท้ายผู้ประพันธ์จบเรื่องด้วยวิธีการตั้งค�าถามให้ผู้อ่านน�าไปคิดต่อ
นับเป็นกลวิธีการประพนั ธ์ที่มคี ุณคา่ เปน็ แบบอยา่ งของบทความแสดงความคิดเห็นได้เปน็ อยา่ งดี

164

เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
“ถาจะเปรียบพืชทเี่ ขาไดทําใหงอกตองนบั วา นอยกวา ผลที่เขาได
ครคู วรเพม่ิ เติมความรเู กย่ี วกบั หลกั การเขียนบทความแสดงความคิดเห็นวา กนิ เขา ไป”
การเขียนบทความแสดงความคิดเหน็ ใหมีความนา เชื่อถือหรอื เปนทย่ี อมรับของ ขอ ความขา งตนใชก ลวธิ ีทางวรรณศิลปแบบใดเดนชดั ทส่ี ุด
ผูอา นไดน นั้ มีหลกั การเขียน ดงั นี้ 1. ใชการเปรยี บเทียบ
2. ใชภ าษาไพเราะ
1. ศึกษาขอ มลู จากแหลงความรตู า งๆ อยางละเอยี ดและหลากหลาย พรอม 3. ใชประโยคคําถาม
จับใจความสําคัญใหชัดเจน 4. ใชคาํ สรางอารมณ ความรสู กึ
วิเคราะหค ําตอบ ขอความขา งตน ใชก ลวธิ กี ารเปรยี บเทยี บแบบ
2. พจิ ารณาคุณคาของขอ มลู วา มจี ดุ เดน และจุดดอ ย รวมถึงวิเคราะหขอ เทจ็ จรงิ อปุ มา หมายความวา ผทู ีเ่ ปน เสมยี นสามารถสรางประโยชนใ หแก
จากหลกั ฐานท่ใี ชอางองิ วา มีความนาเชอื่ ถือหรอื ไม อยางไร เพื่อปรับปรุง แกไข สงั คมไดน อยกวา ส่ิงท่เี ขาบริโภคเขา ไปเลีย้ งชีวิต คอื เปน ผรู บั
เน้ือหาหรือขอ มลู ที่นาํ มาใชในการเรียบเรยี งใหมคี วามเหมาะสม มากกวา เปนผใู ห ตอบขอ 1.

3. แสดงความคดิ เหน็ อยา งเปนกลาง ปราศจากอคติ และใชภาษาอยาง
สรา งสรรค เพ่อื ใหเกิดประโยชนต อสวนรวมมากท่ีสดุ

4. นําเสนอเน้ือหาอยา งมีเหตผุ ล ในขณะเดยี วกนั ผูเขียนและผูอ า นตองยอมรบั
ความคดิ เห็นและมมุ มองทีแ่ ตกตา ง โดยใหค วามสาํ คญั กับเหตผุ ลท่นี ําเสนอเปนหลัก

164 คู่มือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

๗.๒ คณุ ค่าด้านวรรณศิลป์ นกั เรยี นรว มกันตอบคาํ ถามตอ ไปนี้
• นักเรียนคดิ วา บทความเรอื่ ง โคลนติดลอ
๑) การสรรค�า บทความเรื่องโคลนติดล้อใช้ส�านวนภาษาเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วย
ศิลปะการใช้ภาษา ท�าใหบ้ ทความนา่ อ่านและน่าติดตาม ดงั ต่อไปน้ี ตอน ความนยิ มเปน เสมียน มคี วามโดดเดน
ดานกลวธิ ีทางวรรณศิลปอ ยางไร และกลวิธี
๑.๑) การใช้ถ้อยค�าเรียบง่าย ส่ือความตรงไปตรงมา มีการใช้ค�าทับศัพท์ ดงั กลาวสง ผลตอ การสอ่ื สารเนอ้ื หาสผู อู า น
ภาษาอังกฤษบา้ ง ดังบทประพนั ธ์ อยา งไร
(แนวตอบ บทความเรอื่ ง โคลนตดิ ลอ ตอน
...เด็กทุกๆ คนซึ่งเล่าเรียนส�าเร็จออกมาจากโรงเรียนล้วนแต่มีความหวังฝังอยู่ว่า ความนยิ มเปน เสมยี น มคี วามโดดเดน ดา น
จะได้มาเป็นเสมียนหรือเป็นเลขานุการ และจะได้เล่ือนยศเลื่อนต�าแหน่งขึ้นเร็วๆ เป็นล�าดับ กลวธิ ที างวรรณศลิ ปด า นการใชภ าษาทง้ั ใน
ไป เด็กที่ออกมาจากโรงเรียนเหล่านี้ย่อมเห็นว่ากิจการอย่างอื่นไม่สมเกียรติยศนอกจากการ ระดบั คาํ และระดบั ความ ในระดบั คาํ มกี ารใช
เปน็ เสมียน ข้าพเจ้าเองไดเ้ คยพบเหน็ พวกหนุม่ ๆ ชนดิ นหี้ ลายคนเปน็ คนฉลาดว่องไว และถา้ คาํ เรียบงาย สามารถส่ือสารเนื้อหาสูผอู า น
หากเขาท้ังหลายนั้นไม่มีความกระหายจะท�างานอย่างที่พวกเขาเรียกกันว่า “งานออฟฟิศ” ไดอยางชัดเจน และมกี ารใชก ลวธิ ีการซ้าํ คาํ
มากีดขวางอยู่แลว้ เขากอ็ าจจะท�าประโยชน์ไดม้ าก... เพอื่ เนนย้าํ เนอ้ื หาใหม คี วามหนักแนน เพอ่ื ให
ผูอา นเกดิ ความรสู กึ คลอยตาม ถือเปน กลวิธี
๑.๒) การซ�า้ ค�า เพอ่ื เนน้ ย้�าและแสดงความหนกั แน่นของความ ทา� ใหผ้ ู้อา่ นเกิด การใชภาษาท่มี คี วามสอดคลองกับประเภท
อารมณ์คล้อยตาม ดังบทประพนั ธ์ ของสื่อและสามารถสือ่ สารไดบรรลตุ าม
จุดมงุ หมาย)
...ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรัก ไม่มีใครอาลัย เป็นการลงเอยอย่างมืด
แหง่ ชวี ติ ทมี่ ืดไม่มสี าระ! ... ขยายความเขา้ ใจ Expand

๒) การใช้โวหาร1 ทา� ให้ผ้อู า่ นเหน็ ภาพ เขา้ ใจชัดเจนย่ิงขน้ึ เช่น ช่ือเรอ่ื ง บทความ นักเรียนรวมกันยกตัวอยา งบทความท่ีมกี ลวิธี
“โคลนตดิ ลอ้ ” เปน็ การใชภ้ าพพจนป์ ระเภทอปุ ลกั ษณ์ โคลน หมายถงึ ปญั หาและอปุ สรรคทก่ี ดี ขวาง การแตง สอดคลอ งกบั บทความเรอ่ื ง โคลนตดิ ลอ
ความเจรญิ ของประเทศชาติ เหมือนโคลนทต่ี ิดล้อรถท�าใหร้ ถเคล่อื นไปไดไ้ มส่ ะดวก ตอน ความนิยมเปนเสมยี น พรอ มอธิบายวา
บทประพนั ธท นี่ กั เรยี นยกมามคี วามโดดเดน ทาง
นอกจากน้ียังมีการใช้ภาพพจน์ประเภทอุปมา เป็นการใช้ความเปรียบให้ผู้อ่านเกิด วรรณศิลปในดา นใดบาง อยา งไร
ความรู้สึกคลอ้ ยตามและเหน็ ดว้ ย ดังบทประพันธ์
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถยกตัวอยา งประกอบ
...ข้าพเจ้าย่อมเข้าใจอยู่ว่า ชายหนุ่มซ่ึงได้ฝึกตัวให้คุ้นแก่ความสนุกสนานในเมือง และแสดงความคิดเหน็ ไดอ ยางหลากหลาย
ยอ่ มจะรสู้ กึ เบอื่ หนา่ ยถนิ่ ฐานบา้ นเดมิ ของเขาตามบา้ นนอก และทจ่ี ะกลา่ ววา่ ถา้ เขาอยใู่ นเมอื ง ข้ึนอยกู บั เหตผุ ลของนักเรียน)
เขาอาจจะทา� ประโยชนใ์ หแ้ กบ่ า้ นเกดิ เมอื งนอนของเขาดกี วา่ อยบู่ า้ นนอกนน้ั เปน็ ความเหลวไหล
โดยแท้ ท่านผู้มีความคิดคงจะเข้าใจได้ดีว่า อันประเทศอย่างเมืองไทยของเรานี้ชาวนา
ชาวสวนอาจจะทา� ประโยชนใ์ หแ้ กบ่ า้ นเมอื งไดม้ ากกวา่ เสมยี น ซง่ึ เปน็ แตเ่ ครอ่ื งมอื เทา่ กบั ปากกา
และพมิ พด์ ดี ซงึ่ เขาใช ้ (หรอื ใชผ้ ดิ ) ถา้ จะเปรยี บพชื ทเี่ ขาไดท้ �าใหง้ อกตอ้ งนบั วา่ นอ้ ยกวา่ ผลทเี่ ขา
ได้กินเข้าไป แต่ถึงกระน้นั เขากย็ งั นกึ ว่าตัวเขาดกี ว่าชาวนา และข้อทร่ี ้ายนน้ั พวกเราทงั้ หลาย
กพ็ ลอยยอมให้เขาคดิ เห็นเช่นนัน้ เสยี ดว้ ย...

165

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นกั เรียนควรรู

ขอใดแสดงความหมายอยา งสมบูรณข องคาํ วา “โคลนตดิ ลอ” 1 โวหาร ในที่นีค้ อื โวหารภาพพจน หมายถึง การใชถอ ยคาํ อยา งมีชัน้ เชงิ
1. ลอ ทมี่ ีโคลนเกาะตดิ ทําใหรถว่งิ ชาลง เปนการแสดงขอ ความออกมาในทํานองตางๆ เพอื่ ใหขอ ความไดเนอื้ ความ
2. ลอท่ีมีโคลนติดหนาทําใหร ถวง่ิ ไมไ ด มคี วามหมายชดั เจน เหมาะสม ในการเขียนเรื่องราวอาจใชโ วหาร โดยประเภท
3. ถาประชาชนนิยมเปนเสมยี นมาก เปรยี บเหมือนโคลนตดิ ลอ ของโวหารภาพพจนใ นบทความเรอ่ื ง โคลนตดิ ลอ ตอน ความนยิ มเปน เสมียน
ปรากฏโวหารภาพพจนท่ีมีความโดดเดน 2 ประเภท ประกอบดวย
ประเทศชาตจิ ะพฒั นาไดช าลง
4. โคลนที่เกาะติดลอ หนามากทําใหรถวงิ่ ไดชา เปรียบกบั ประชาชน 1. อปุ มาโวหาร (Simile) คอื การเปรยี บเทยี บสง่ิ หนงึ่ เหมอื นกบั สงิ่ หนง่ึ โดย
ใชค าํ เชอื่ มทม่ี คี วามหมาย เชน เดยี วกับคาํ วา “เหมอื น” เชน ดจุ ด่งั ราว ราวกบั
ทมี่ ุงเปนเสมียนทาํ ใหประเทศไมเ จรญิ เปรยี บ ประดุจ เฉก เลห  ปาน ประหน่ึง เพยี ง เพี้ยง พาง ปนู ถนัด หมา ย เสมอ
วิเคราะหค าํ ตอบ ขอ 3. แสดงความหมายของโคลนตดิ ลอ อยา ง เทา เปน ตน ตวั อยางเชน ปญญาประดจุ ดังอาวุธ ความรกั เหมือนยาขม เปนตน
สมบูรณว า ถาประชาชนนยิ มเปนเสมยี นมาก เปรยี บเหมือนโคลน
ตดิ ลอประเทศชาตจิ ะพฒั นาไดช า ลง เนือ่ งจากคาํ วา “โคลนติดลอ” 2. อปุ ลักษณ (Metaphor) คลายกับอปุ มาโวหาร คือ เปน การเปรยี บเทยี บ
มีความหมายโดยนยั โดยใชโวหารภาพพจนแ บบอุปลกั ษณเ ปน เชนเดียวกัน แตเ ปนการเปรยี บเทยี บสงิ่ หนึง่ เปน อีกสิง่ หนึ่ง อุปลักษณจ ะไมก ลา ว
โดยตรงเหมอื นอุปมา แตใ ชว ธิ ีกลาวเปนนัยใหเ ขาใจเอาเอง และที่สําคญั ไมมี
กลวธิ ีในการต้ังช่อื เร่อื ง ตอบขอ 3. คําเชอ่ื มเหมอื นอปุ มา

คู่มอื ครู 165

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู้

นักเรียนรว มกนั แสดงความคิดเหน็ ตามประเดน็ ๗.๓ คุณคา่ ด้านสงั คม
ตอไปน้ี
๑) สะทอ้ นค่านิยมเกยี่ วกบั สงั คมไทย เม่อื ผอู้ ่านได้อา่ นบทความเรือ่ งโคลนตดิ ล้อ
• นักเรียนคิดวา บทความเรอ่ื ง โคลนตดิ ลอ จะมองเห็นสภาพสังคมและค่านิยมในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้เป็นอย่างดี เช่น ค่านิยมของสังคมท่ี
ตอน ความนิยมเปนเสมียน มคี ณุ คา ยกย่องการเป็นข้าราชการ ท�าให้ผู้มีการศึกษาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงไม่กลับไปประกอบอาชีพท่ี
ดา นสังคมอยา งไร ภูมลิ า� เนาเดมิ ของตน อนั จะกอ่ ประโยชน์ให้ประเทศชาติมากกวา่ ดงั บทประพนั ธ์
(แนวตอบ สะทอนคา นิยมเกีย่ วกบั สังคมไทย
สมยั รัชกาลท่ี 6 โดยเฉพาะคานิยมทีไ่ ม ...เขาตอบว่าเขาเป็นผู้ท่ีได้รับการศึกษามาจากโรงเรียนแล้ว ไม่ควรจะเสียเวลา
เหมาะสม เพือ่ ใหเกิดการปรบั เปลี่ยนคา นิยม ไปท�างานชนิดซ่ึงคนท่ีไม่รู้หนังสือก็ท�าได้ และเพราะเขาไม่อยากจะลืมวิชาที่เขาได้เรียนรู้
อาทิ การเหยยี ดหยามอาชพี เกษตรกร ซ่งึ มาจากโรงเรียนน้ันด้วย เพราะเหตุนี้เขาสู้สมัครอดอยากอยู่ในกรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเพียง
แทจ รงิ สรางประโยชนใหป ระเทศชาติมากกวา เดือนละ ๑๕ บาท หรอื ๒๐ บาท ยิ่งกวา่ ทีจ่ ะกลบั ไปประกอบการเพ่อื เพ่มิ พนู ความสมบูรณ์
อาชีพเสมยี น รวมถึงการใชจ ายเกนิ ฐานะ) แหง่ ประเทศในภมู ิล�าเนาเดมิ ของเขา...

ขยายความเขา้ ใจ Expand ค่านยิ มผดิ ๆ ของผู้ทน่ี ยิ มเปน็ เสมยี นซึง่ ส่งผลให้ต้องอดทนต่อความล�าบาก คอื
มกั มสี ภาพความเปน็ อยเู่ กนิ ฐานะ โดยเฉพาะการใชจ้ า่ ยอยา่ งสรุ ยุ่ สรุ า่ ย เพอื่ รกั ษาเกยี รตแิ ละหนา้ ตา
1. นักเรยี นรว มกันอภปิ รายในประเดน็ ตอไปน้ี ของตน ดังบทประพนั ธ์
• นักเรยี นคิดวา คา นยิ มทีป่ รากฏในบทความ
เรอ่ื ง โคลนตดิ ลอ ตอน ความนิยมเปน ...ในเงินเดือน ๑๕ บาทน้ีพ่อเสมียนยังอุตส่าห์จ�าหน่ายจ่ายทรัพย์ได้ต่างๆ เช่น
เสมยี น ยงั คงปรากฏในสงั คมไทยในปจ จุบัน นุ่งผ้าม่วงสี ใส่เส้ือขาว สวมหมวกสักหลาด และในเวลาที่กลับจากออฟฟิศแล้วก็ต้องสวม
หรอื ไม อยา งไร กางเกงแพรจีนด้วย และจะตอ้ งไปดหู นงั อีกอาทติ ยล์ ะ ๒ ครง้ั เป็นอยา่ งน้อย...
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคิดเหน็
ไดอ ยางหลากหลายข้นึ อยูกับเหตุผลของ ๒) สะทอ้ นขอ้ คิดเพือ่ น�าไปใชใ้ นการด�าเนินชวี ิต บทความเรอื่ งโคลนตดิ ล้อใหค้ ติ
นกั เรียน เปนตนวา คานยิ มท่ไี มเ หมาะสม ข้อคิดแก่คนในสังคมไทยได้อย่างดีว่า ไม่ควรลืมรากฐานของตนเอง ไม่ดูถูกอาชีพเกษตรกรรม
อาทิ การดถู ูกอาชพี เกษตรกร ผูมกี ารศกึ ษา ไมค่ วรใชจ้ า่ ยเกนิ รายไดแ้ ละฐานะทางเศรษฐกจิ ของตน ทส่ี า� คญั คอื ควรรจู้ กั ใชค้ วามรู้ ความสามารถ
ถอื ตนวา มีคุณคาเหนือกวาบคุ คลอนื่ การลืม ของตนสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมอย่างเต็มที่ ซึ่งข้อคิดน้ีก็ยังไม่ล้าสมัย สามารถน�ามาปรับใช้ใน
รากฐานฐานะของตนเอง) ปจั จุบันได้
• นักเรยี นสามารถนาํ ขอคิดจากเรือ่ งไปปรับใช
ในการดาํ เนนิ ชีวติ ไดอยา งไร การนา� ขอ้ คดิ จากบทความเรอื่ งโคลนตดิ ลอ้ ไปใชใ้ นชวี ติ ประจา� วนั จงึ เปน็ การเปลย่ี น
(แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเห็น โลกทัศน์และแนวคิดใหม่ ซ่ึงถ้าผู้อ่านเห็นด้วยกับแนวพระราชด�าริ คนไทยท้ังหลายก็จะไม่ท้ิง
ไดอยางหลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตผุ ล ภูมิปัญญาดั้งเดิมท่ีเคยเป็นมา เป็นท่ีน่ายินดีว่าแผนการศึกษาของชาติในปัจจุบันได้มีการจัด
ของนกั เรยี น) หลักสูตรทอ้ งถิน่ เขา้ ไวใ้ นการเรียนการสอนด้วย แตส่ ิ่งท่ียังต้องแก้ไขคอื การปลกู จติ สา� นึก มิให้
คนลืมถ่ินก�าเนิดของตน และต้องสนับสนุนให้ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถกลับไปช่วยพัฒนา
2. นกั เรียนรวมกันระดมความคิดวา ปจจุบันมี ทอ้ งถน่ิ ของตน
คา นยิ มใดในสงั คมไทยทไ่ี มเ หมาะสม แลว ให 166
นกั เรยี นเลอื กแนวคดิ ดังกลา วนาํ มาเขยี น
บทความแสดงความคิดเห็น

เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
ขอ ใดไมใช คุณคา ท่ไี ดรับจากเร่ืองโคลนตดิ ลอ ตอน ความนิยม
ครูควรเพม่ิ เติมความรเู กี่ยวกบั คุณคาทางสังคมและวัฒนธรรมในแตละยคุ สมัย เปนเสมียน
โดยครูชีแ้ นะหรือใหนกั เรยี นคนควาเกย่ี วกบั คานยิ ม ประเพณี วถิ ีชีวติ นกั เรียนเกดิ 1. เปนตวั อยางบทความท่ดี ี
ความเขา ใจและสามารถนําองคค วามรดู ังกลาวไปปรับใชใ นการพัฒนาความคิดและ 2. เสนอแนวทางแกไ ขปญหาใหประกอบอาชพี เสมยี นไดด ขี ึ้น
การตคี วามบทประพนั ธไ ดล กึ ซ้งึ ย่งิ ข้ึน 3. สะทอ นสภาพสังคมในสมยั กอน ตลอดจนความคดิ และ
คานยิ มไดอ ยางดี
เน่อื งจากวรรณคดถี ือเปนกระจกสอ งสะทอนสภาพสงั คมและวัฒนธรรม โดย 4. เสนอขอ คดิ เก่ยี วกบั ปญ หาบา นเมอื งในเรื่องคา นิยมที่เปน
ผแู ตงซงึ่ อยรู วมสังคมและวัฒนธรรมยอมเกิดการหลอหลอมความคิดใหม คี วาม อปุ สรรคทําใหประเทศเจริญไดช า
ขัดแยงหรือสอดคลองกบั สภาพสงั คมและวัฒนธรรม เพ่อื ใหน กั เรยี นมเี จตคตทิ ่ีดี วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอทไ่ี มใชคณุ คา จากเรื่อง คอื เสนอแนวทาง
ในการศกึ ษาวรรณคดี ครเู นนใหน กั เรียนไมย ึดตดิ กับความคิดของตนเองเปน หลัก แกไ ขปญ หาใหประกอบอาชพี เสมียนไดดขี ้นึ เนื่องจากทศั นะหลกั
แตเ นน ใหเ ปด กวางทางความคดิ และนาํ เสนอมุมมองหรอื ความเขาใจของนักเรยี น ทผี่ ทู รงพระราชนพิ นธต อ งการนาํ เสนอนนั้ มจี ดุ มงุ หมายในการ
จากบทประพนั ธ การตีความวรรณคดีดว ยความคดิ เหน็ ใหมๆ และรว มยคุ สมยั กบั โตแ ยงคา นยิ มความเปน เสมยี นซึง่ เปน คานยิ มหลกั ของสังคม
ผอู า นอยา งตอ เนอ่ื ง ยอ มสง ผลใหว รรณคดมี คี ณุ คา รว มยคุ สมยั ปจ จบุ นั ได และเปนวิธี ตอบขอ 2.
การสบื ทอดคุณคา ของวรรณคดีไดเ ปนอยา งดี

166 คูม่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand
Evaluate
ตรวจสอบผล
Evaluate

ค�าถามประจา� หน่วยการเรียนรู้ 1. นกั เรยี นสรุปสาระสําคญั ของบทความเรอ่ื ง
โคลนติดลอ ตอน ความนิยมเปนเสมยี น
๑. บทความเรื่องโคลนติดลอ้ ตอน ความนยิ มเปน็ เสมียน มแี นวคดิ สา� คัญอยา่ งไร เปนความเรยี งดว ยสํานวนของนกั เรียนเอง
๒. ความส�าคัญของเกษตรกรส�าหรับประเทศเกษตรกรรมอย่างประเทศไทยมีอะไรบ้าง
2. นักเรียนสรปุ คณุ คาของบทความเร่ือง โคลน
จงอธิบาย ติดลอ ตอน ความนยิ มเปน เสมียน ในดาน
๓. ข้อคิดจากบทความเร่ืองโคลนติดล้อ ตอน ความนิยมเป็นเสมียนข้อใดที่นักเรียน ภาษา เนอ้ื หา และรปู แบบ พรอมคาํ อธิบาย

สามารถน�าไปเปน็ ขอ้ เตือนใจในการใช้ชีวิตได้ จงอธิบาย 3. นักเรียนยกตวั อยา งวรรณศิลปที่พบในเรอ่ื ง
๔. ค่านิยมของคนไทยในปัจจุบันเหมือนหรือแตกต่างไปจากค่านิยมในบทความเร่ือง พรอมคาํ อธิบาย

โคลนติดล้อ จงอธบิ าย 4. นักเรยี นอธิบายเปรียบเทียบประเด็นดานสงั คม
๕. นกั เรยี นคดิ วา่ “โคลน” ทก่ี ีดขวางความเจริญของประเทศชาติในปัจจบุ ัน มอี ะไรบ้าง และวัฒนธรรมที่ปรากฏในเรือ่ ง พรอมสรุป
ทศั นคติของสงั คมจากบทความ
และจะมีวิธแี กไ้ ขอย่างไร
5. นกั เรยี นนาํ ขอคดิ ทีไ่ ดจ ากเรื่องมาเรียบเรียงเปน
บทความแสดงความคดิ เห็น

6. นกั เรียนตอบคําถามประจาํ หนวยการเรยี นรู

กจิ กรรมสร้างสรรคพ์ ัฒนาการเรียนรู้ หลักฐานแสดงผลการเรียนรู

๑. เขียนบทความแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกับคา่ นยิ มในยคุ ปจั จบุ นั ทนี่ กั เรยี นคดิ วา่ เปน็ 1. ความเรียงสรปุ สาระสําคญั ทีไ่ ดจากการเรยี นรู
อปุ สรรคตอ่ การพัฒนาประเทศ พรอ้ มทง้ั เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข 2. ตัวอยางบทประพันธท ่มี ีความโดดเดนทาง

๒. เลือกบทความในตอนอน่ื ๆ ของเรอื่ งโคลนติดลอ้ อธบิ ายวา่ เร่อื งเหลา่ น้นั สะทอ้ น วรรณศลิ ป พรอมคาํ อธบิ าย
ขอ้ คิดอยา่ งไร และข้อคิดเหล่านัน้ ยังมอี ยู่ในปัจจบุ ันหรือไม่ 3. ความเรียงเปรียบเทียบความหมายของคําศัพท

๓. ให้นกั เรียนอภิปรายหนา้ ชัน้ เรยี นในหวั ข้อ “เกษตรกรช่วยชาติ” จากเรอื่ งและคาํ ศพั ทท ใี่ ชท วั่ ไป พรอ มคาํ อธบิ าย
๔. ใหน้ กั เรียนเขียนผังมโนทศั น์แสดงข้อคดิ จาก “โคลนติดล้อ” เกย่ี วกบั กลวิธีทางวรรณศิลป
๕. ให้นกั เรยี นเสนอมุมมองผ่านกระบวนการคดิ เก่ียวกบั “โคลนติดลอ้ ” 4. ความเรยี งอธบิ ายเปรยี บเทยี บประเดน็ ดา นสงั คม
และวัฒนธรรมท่ีปรากฏในเร่อื ง
5. บทความแสดงความคดิ เห็น
6. บนั ทึกการตอบคําถามประจาํ หนวยการเรยี นรู

167

แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรยี นรู
1. ความนยิ มเปน เสมยี นเปน เครอ่ื งกดี ขวางการพฒั นาประเทศ เพราะเหน็ วา เปน อาชพี ทมี่ เี กยี รตกิ วา อาชพี อน่ื จงึ ทาํ ใหค นหนมุ ทมี่ กี ารศกึ ษาไมค ดิ จะประกอบอาชพี อนื่

ทง้ั ทีอ่ าชีพอื่นมคี วามสําคญั กวา สามารถสรางประโยชนแ ละความสมบูรณแ กป ระเทศไดไ มยิง่ หยอนไปกวา กัน
2. นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเหน็ ไดอยางหลากหลายขึน้ อยูกับเหตผุ ลของนกั เรียน เปน ตน วา อาชพี เกษตรกรมีความสาํ คัญมากตอการพฒั นาประเทศ

นอกจากเกษตรกรจะทําหนาท่ีผลิตอาหารหลอ เลีย้ งชีวิตของคนในประเทศแลว ผลผลติ สวนใหญทส่ี รา งรายไดใหแกป ระเทศก็มีทีม่ าจากการเกษตร ฉะน้นั
เกษตรกรจึงมคี วามสาํ คญั ในฐานะผูผลิตและขบั เคลื่อนเศรษฐกิจ ตลอดจนการพฒั นาประเทศในดา นตางๆ
3. นกั เรยี นสามารถยกขอ คดิ ตา งๆ มาแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งหลากหลาย เปน ตน วา
1. การดาํ รงชวี ติ ควรใชจ า ยใหเ หมาะสมกบั ตนเอง ไมใ ชจ า ยเกนิ ตวั
2. ไมล มื รากฐานของตนเอง ไมด ูถูกผูอน่ื หรอื อาชพี อืน่ ใหค วามเคารพคนทกุ คนอยา งเทาเทยี มกนั
3. การประกอบอาชีพหลงั จบการศกึ ษา เลือกอาชพี ตา งๆ ตามท่ตี นเองชอบและถนัด การงานที่ทําตอ งสามารถสรา งประโยชนตอ ประเทศชาตไิ ด
4. แตกตา งไปจากเดมิ เพราะคนในสงั คมปจ จบุ นั มอี สิ รเสรภี าพในการเลอื กประกอบอาชพี ตามความถนดั และความสนใจของตนเอง ดงั นน้ั ความนยิ มในการประกอบ
อาชพี จงึ มคี วามหลากหลาย ไมไ ดย ดึ ตดิ กบั อาชพี เสมยี นหรอื อาชพี ใดอาชพี หนงึ่
5. นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ไดอ ยา งหลากหลาย เปน ตน วา การทจุ รติ คอรร ปั ชนั การใชเ สน สายชว ยเหลอื พวกพอ งของตนเอง

คูม่ ือครู 167

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage
บทเสรมิ
Explore
บทอาขยาน
เปาหมายการเรียนรู

ทองจําและบอกคณุ คา บทอาขยานตามที่กาํ หนด
และบทรอ ยกรองท่มี คี ุณคา ตามความสนใจและนํา
ไปใชอ างองิ

สมรรถนะของผเู รยี น

1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกปญหา
4. ความสามารถในการใชท กั ษะชีวติ

คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค

1. มวี นิ ัย
2. ใฝเ รียนรู
3. มุง มนั่ ในการทาํ งาน
4. รกั ความเปน ไทย

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ บทอาขยาน คอื บททองจํา การเลา การบอก การสวด เรอ่ื ง นทิ าน ซ่งึ เปน
• นกั เรียนเคยทองบทอาขยานหรอื ไม
• บทอาขยานท่นี ักเรยี นทอ งมเี นือ้ หาเกี่ยวกับ การทองจําขอความหรือคําประพันธท่ีชอบ บทรอยกรองที่ไพเราะ โดยอาจตัดตอน
มาจากหนงั สอื วรรณคดี เพอ่ื ใหผ ทู อ งจาํ และเหน็ ความงดงามของบทรอ ยกรอง ทงั้ ใน
อะไรบา ง ดา นวรรณศลิ ป การใชภ าษา เนอื้ หา และวธิ กี ารประพนั ธ สามารถนาํ ไปเปน แบบอยา ง
• นักเรียนมเี ทคนิควิธีการทองจําบทอาขยาน ในการแตงบทรอยกรองหรือนําไปใชเพ่ือเปนขอมูลอางอิงในการพูดและการเขียน
ไดเ ปนอยางดี
อยา งไร
• นกั เรียนคิดวา การทองบทอาขยานมีคุณคา

ตอการศกึ ษาวรรณคดขี องนกั เรียนอยา งไร
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็
ไดอ ยางหลากหลายข้ึนอยูกับเหตุผลของ
นกั เรียน)

เกร็ดแนะครู

ในการปฏิบตั ิกิจกรรมในบทเรยี นนี้ ครคู วรเนนการทบทวนความรูเดมิ ของ
นักเรียนเปน หลกั วา นักเรียนจดจาํ บทอาขยานไดมากนอยเพยี งไร และบททน่ี กั เรียน
จดจาํ ไดน ้นั มเี นือ้ หาเก่ยี วกับอะไรบา ง รวมถึงนักเรียนมีทัศนคตอิ ยางไรในการทอ งจาํ
บทอาขยาน เพอ่ื ใหค รูสามารถประเมนิ ความสนใจของนักเรยี นทมี่ ตี อ บทเรียน และ
เปน การชแ้ี นะใหน กั เรยี นเหน็ ความสาํ คญั ของการทอ งจาํ บทอาขยานแตล ะบทมากขน้ึ

นอกจากนี้ นกั เรยี นควรพจิ ารณาความสาํ คญั ของบทอาขยานแตล ะบทวา มคี ณุ คา
ทางวรรณศลิ ปอยา งไร สอดคลอ งกับเนื้อหาหรือไม มากนอ ยเพยี งไร เพื่อใหนกั เรยี น
ไดเขา ใจและตระหนักในคุณคาและความสําคญั ของบทอาขยาน เกิดความซาบซ้ึง
ในบทประพนั ธ และตระหนกั ในคณุ คาและความสาํ คัญของวรรณคดีในฐานะท่เี ปน
มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ และเปน พืน้ ฐานท่ีสาํ คญั ในการรวมกนั อนรุ ักษ
วรรณคดแี ละวรรณกรรมใหยง่ั ยืนมากยงิ่ ขึ้น

168 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Engage
กระตนุ้ ความสนใจ

๑. การทอ งจําบทอาขยาน นกั เรยี นรว มกนั ถา ยทอดประสบการณ โดย
นกั เรยี นในชนั้ เรยี นรว มกนั ลงมตวิ า บทอาขยานที่
พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔ ไดน้ ยิ ามคา� อาขยาน (อา-ขะ-หยฺ าน) นกั เรยี นจดจาํ ไดม ากทส่ี ดุ คอื บทใด ใหน กั เรยี นทอ ง
ไว้วา่ หมายถงึ บทท่องจา� การเลา่ การบอก การสวด เรอ่ื ง และนิทาน บทอาขยานทน่ี กั เรยี นไดเ รยี นมาพรอ มกนั จากนน้ั ครู
สนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี
ในระยะแรก (พ.ศ. ๒๔๗๗ - ๒๔๗๘) การท่องอาขยานเปนการท่องจ�าบทร้อยกรองที่
ไพเราะ ซง�ึ ตดั ตอนมาจากหนงั สอื วรรณคดี โดยนา� มาทอ่ งประมาณ ๓-๔ หนา้ แตเ่ มอ่ื มกี ารประกาศ • นักเรยี นคิดวา บทอาขยานทน่ี ักเรยี นทองไป
ใช้หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช ๒๕๒๑ หลักสูตรมัธยมศึกษา พุทธศักราช ๒๕๒๑ และ ขางตน มีคุณคาดา นใดบา ง อยางไร
หลักสูตรมัธยมศึกษา พุทธศักราช ๒๕๒๔ จนถึงหลักสูตรฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๓๓ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็
ซ�ึงในทุกหลักสูตรที่กล่าวมา มิได้ระบุชัดเจนเก่ียวกับการท่องบทอาขยาน เปนสาเหตุให้การท่อง ไดอ ยา งหลากหลายขึน้ อยูกบั เหตผุ ลของ
บทอาขยานเริ�มลดนอ้ ยลงไป จนถงึ พุทธศักราช ๒๕๓๘ จงึ ไดม้ ีการกา� หนดใหท้ อ่ งบทอาขยานใน นักเรียน)
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่กย็ งั ไมแ่ พร่หลายเทา่ ท่ีควร
สา� รวจคน้ หา Explore
ดังน้ันต้ังแต่พุทธศักราช ๒๕๔๒ เปนต้นมา กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบายก�าหนดให้
มกี ารทอ่ งบทอาขยานในสถานศกึ ษาอยา่ งจรงิ จงั ทง้ั นเ้� พอ่ื ใหน้ กั เรยี นมโี อกาสทอ่ งจา� บทรอ้ ยกรองที่ นกั เรยี นทั้งหมดรวมกันศกึ ษาความหมายและ
มีความไพเราะ ใหค้ ติสอนใจ เพ่ือเปน การส่งเสริมใหน้ กั เรียนเกิดความซาบซงึ้ เหน็ ความงดงาม ความสําคัญของบทอาขยาน รวมท้งั นกั เรยี นฝก
ของภาษาและเห็นคุณค่าของภาษาและวรรณคดีไทยท่ีเปนเอกลักษณ์และมรดกทางวัฒนธรรม ทอ งบทอาขยาน จากนั้นแบงนกั เรยี นเปน 3 กลุม
ของชาติ ที่ควรค่าแก่การรักษาและสืบสานให้คงอยู่ตลอดไป รวมทั้งยังช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้ จับสลากศกึ ษาบทอาขยานแตล ะบท
นา� ไปสู่การดา� เนินชีวติ ทีด่ ีงามอกี ดว้ ย
อธบิ ายความรู้ Explain
๑.๑ วตั ถปุ ระสงค์ในการอา่ น
นกั เรยี นรวมกนั ตอบคาํ ถาม ตอไปนี้
การอา่ นและการทอ่ งจา� บทอาขยานมีวัตถปุ ระสงค์ส�าคัญ เพ่อื ให้นักเรยี นตระหนักถงึ • นักเรียนคิดวา การทองจาํ บทอาขยานมี
คุณค่าของภาษาไทย มีความซาบซึ้งในความไพเราะของบทร้อยกรอง เกิดความภาคภูมิใจใน
ความสามารถของกวไี ทย นอกจากนบ�้ ทอาขยานยงั เปน สอ่ื ในการถา่ ยทอดคณุ ธรรม คตธิ รรม และ วตั ถุประสงคอ ยางไร
ขอ้ คดิ ทส่ี า� คญั ซงึ� จะชว่ ยสง่ เสรมิ จติ สา� นกึ ทางวฒั นธรรมของคนในชาติในฐานะ “รากรว่ มวฒั นธรรม” (แนวตอบ เพ่อื ใหนักเรียนจดจาํ บทประพนั ธ
นอกจากน�้ ยังเปนพนื้ ฐานสา� คญั ในการแต่งคา� ประพนั ธอ์ กี ดว้ ย ท่ีมคี วามไพเราะและใหค ติสอนใจ นักเรียน
เกดิ ความซาบซ้งึ เห็นความงามและคณุ คา
๑.๒ บทอาขยานท่กี าํ หนดใหท อ่ งจาํ ของภาษาและวรรณคดไี ทย)
• นกั เรยี นคิดวา การทอ งจําบทอาขยาน
บทอาขยานทกี่ �าหนดใหท้ อ่ งจ�า แยกประเภทได้ ดงั น้� มีคณุ คา อยางไร
๑) บทหลกั หมายถงึ บทอาขยานที่กระทรวงศึกษาธิการก�าหนดให้นักเรยี นทอ่ งจา� (แนวตอบ เห็นความสําคัญของภาษาและ
เพอ่ื ความเปน อนั หนงึ� อนั เดยี วกนั ทว�ั ประเทศ สว่ นใหญค่ ดั เลอื กจากวรรณคดที กี่ า� หนดใหเ้ รยี นตาม วรรณคดี ชว ยกลอ มเกลาจิตใจใหดงี าม
ประกาศของกระทรวงศกึ ษาธิการ รวมถงึ สามารถนาํ ไปกลา วอา งไดอ กี ดว ย)
๒) บทเลอื ก หมายถงึ บทอาขยานทีน่ กั เรยี นท่องตามความสนใจมิไดเ้ ปน การบงั คบั
โดยอาจเลือกท่องจากบทอาขยานท่ีกระทรวงศึกษาธิการคัดเลือกไว้ หรือบทประพันธ์ท่ีครูผู้สอน
แนะนา� เพมิ� เตมิ หรอื บทอาขยานทน่ี กั เรยี นชอบ นกั เรยี นแตง่ ขน้ึ หรอื ผปู้ กครอง ผมู้ คี วามสามารถ
ในท้องถ�นิ แตง่ ข้นึ ก็ได้ การทีน่ ักเรยี นรู้จกั คดั เลือกบทประพนั ธ์ที่มีคณุ คา่ และท่องจ�าไว้ใชป้ ระโยชน์
ย่อมแสดงถึงความเปนผู้รู้จักคิด ความเปนผู้มีเหตุผล มีสุนทรียรสภาษา ท�าให้นักเรียนภูมิใจใน
การท่องบทอาขยานมากยิง� ข้ึน

1๖๙

บรู ณาการเชื่อมสาระ เกรด็ แนะครู

ครูสามารถเช่ือมโยงความรูจ ากการทอ งบทอาขยานกบั วชิ า ครคู วรกระตุนความสนใจของนักเรยี นดว ยการเนนทบทวนความรเู ดมิ ในบท
ในกลุมสาระการเรยี นรศู ลิ ปะ ในรายวชิ าดนตร-ี นาฏศลิ ป เนื้อหา อาขยานที่นกั เรียนทองจาํ โดยเฉพาะอยา งย่งิ ความโดดเดนของบทอาขยาน
เกี่ยวกับการขับรอ งเพลงไทย ชว ยใหนกั เรียนสามารถทาํ ความเขาใจ ดา นเนือ้ หา ภาษา และรปู แบบ รวมถึงภาพสะทอนสังคมจากบทประพันธท ี่นกั เรยี น
หลักการและขัน้ ตอนการขับรองเพลงไทย และสามารถนําองคค วามรู นาํ เสนอ
จากรายวิชาดังกลา วมาฝก ฝน เพอ่ื ใหเ กิดการอานบทประพนั ธโดยใช
ทาํ นองเสนาะไดอ ยางเหมาะสม นอกจากนี้ ครคู วรกระตุนความสนใจของนักเรียนดวยคําถาม เพ่อื ใหนกั เรยี น
ตระหนกั ในคณุ คา ของการทอ งจาํ บทอาขยาน เปน การทบทวนความรเู ดมิ ของนกั เรยี น
รวมถงึ เปน การตอ ยอดความคิดของนักเรียนจากความรูท ่ีนกั เรียนไดทําการศกึ ษา
เพื่อใหน กั เรียนเกดิ ความเขาใจและตระหนักในคณุ คา ของวรรณคดใี นฐานะ
วฒั นธรรมทางภาษา เปน ตน วา คณุ คา ทางวรรณศลิ ปจ ากการใชภ าษาทม่ี คี วามไพเราะ
สอดคลอ งกับเน้ือหาอยางลกึ ซงึ้ นําเสนอผานกลวธิ ที างวรรณศลิ ปท ม่ี คี วามแยบยล
คมคายดวยภาษาและขอ คิดจากมมุ มองทางภาษาท่ีลึกซ้ึง โดยผูเรยี นสามารถ
สงั เคราะหค วามเขา ใจดังกลาวไดดว ยตนเอง เพอ่ื ใหนักเรียนไดศ ึกษาเรยี นรู
ดวยตนเอง

คมู่ ือครู 169

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู้

1. นกั เรยี นกลมุ ท่ี 1 นาํ เสนอบทอาขยาน เรื่อง ๒. บทอาขยาน ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๕
ลลิ ติ ตะเลงพา ย ดวยวิธกี ารทองจําพรอมกัน
จากน้ันรวมกันตอบคําถาม ดงั ตอ ไปนี้ บทอาขยานหลกั
• บทอาขยานเร่อื ง ลิลิตตะเลงพา ย มคี วาม
โดดเดน ดานวรรณศลิ ปอยางไร ลลิ ิตตะเลงพา่ ย
(แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็
ไดอ ยา งหลากหลายขน้ึ อยกู บั เหตผุ ลของ เบ้ืองนั้นนฤนาถผู้ สยามินทร์
นักเรียน เปนตน วา บทประพันธดงั กลา ว เบ่ียงพระมาลาผิน ห่อนพ้อง
มคี วามโดดเดนดา นการใชภาษาใหเกดิ
จนิ ตภาพ แสดงภาพเคลอ่ื นไหวไดอยา ง ศัสตราวุธอรินทร์ ฤ ๅถูก องค์เอย
สงางาม ถือเปนความงดงามท่ีเกิดจากการ เพราะพระหัตถ์หากป้อง ปัดด้วยขอทรง
สรรคําของกวี ใหท ้งั ภาพและความรสู ึกที่ ทวารัติ
แสดงถึงการส้ินพระชนมอยา งสมพระเกยี รติ บัดมงคลพ่าห์ไท้
นอกจากนี้ ยงั มีการเลน เสียง โดยใชสมั ผัส
อกั ษรระหวางคาํ สดุ ทา ยของวรรคหนา แว้งเหว่ียงเบี่ยงเศียรสะบัด ตกใต้
กับคาํ แรกหรอื คาํ ท่ีสองของวรรคหลังใน
โคลงบาทเดียวกัน ซงึ่ เปน ลักษณะของกลวิธี อุกคลุกพลุกเงยงัด คอคช เศิกแฮ
ท่เี รียกวา การถวงเสยี ง)
เบนบ่ายหงายแหงนให้ ท่วงท้อทีถอย
2. นักเรียนกลุม ท่ี 2 นาํ เสนอบทอาขยานจากมหา-
เวสสนั ดรชาดก กณั ฑมทั รี ดว ยวธิ กี ารทอ งจํา พลอยพล�้าเพลียกถ้าท่าน ในรณ
พรอ มกนั จากนน้ั รว มกนั ตอบคาํ ถาม ดงั ตอ ไปน้ี
• บทอาขยานจากมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี บัดราชฟาดแสงพล- พ่ายฟ้อน
มคี วามโดดเดนดานวรรณศลิ ปอ ยา งไร พระเดชพระแสดงดล เผด็จคู่ เข็ญแฮ
(แนวตอบ บทประพนั ธขางตน ใชถ อยคาํ รําพงึ ถนัดพระอังสาข้อน ขาดด้าวโดยขวา
รําพัน ทาํ ใหเกิดอารมณโศกเศรา เห็นใจ
และยังมกี ารใชส มั ผสั อกั ษรคลอ งจอง อุรารานร้าวแยก ยลสยบ
ตลอดท้ังตอน จึงเกดิ เปน ความไพเราะของ เอนพระองค์ลงทบ ท่าวดิ้น
บทประพันธ) เหนือคอคชซอนซบ สังเวช
วายชิวาตม์สุดสิ้น สู่ฟ้าเสวยสวรรค์

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑม์ ัทรี

“...จ่ึงตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะน้ีเอ่ยจะมิดึกดื่น จวนจะส้ินคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้ว

หรือกระไรไม่รู้เลย พระพายร�าเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดละห้อย ทั้งดาวเดือน

ก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้ สุดท่ีแม่จะติดตามเจ้าไปในยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอนหลับก็กลิ้งกลับ

เกลือกตัวอยู่ย้ัวเย้ีย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เท่ียวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศ

ทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาท่ีแม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วท่ีแม่จะซับทราบฟังส�าเนียง

สุดสุรเสียงท่ีแม่จะร่�าเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื้องย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญา

ขยายความเขา้ ใจ Expand สดุ หาสดุ คน้ เห็นสุดคดิ จะไดพ้ านพบประสบรอยพระลูกนอ้ ยแต่สกั นดิ ไม่มเี ลย จ่ึงตรัสว่าเจา้ ดวงมณฑาทองทงั้ คู่

ของแมเ่ อย๋ หรือว่าเจ้าทิ้งขวา้ งวางจิตไปเกิดอนื่ เหมอื นแม่ฝนั เมื่อคนื น้แี ล้วแล...”

นกั เรียนยกบทประพันธท ่มี ีเนอื้ หาสอดคลอ งกับ เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
กลวธิ ที างวรรณศลิ ปจ ากบทประพันธท่ีนักเรียนได
นําเสนอ 170

เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ

ครคู วรเพ่ิมเติมความรู ความเขา ใจเกีย่ วกบั การอา นทํานองเสนาะวา การอาน นกั เรยี นแบง วรรคตอนการอา นบทอาขยานเรอ่ื งลลิ ติ ตะเลงพา ย
บทรอ ยกรองประเภทตา งๆ ตามทํานอง ลลี า และจงั หวะของบทประพันธทีม่ มี าแต และมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี จากนน้ั ใหน กั เรยี นอา นออกเสยี ง
เกากอน เพือ่ ใหผ อู า น ผฟู ง ไดเ ขา ถงึ ความงามของภาษาในบทประพันธ ผทู ่มี ีความ โดยใสทาํ นองและอารมณ ความรูสึกในการอาน
สามารถในการอา นบทประพนั ธไ ดอ ยา งไพเราะจะสามารถถา ยทอดความงามของ
ภาษาใหผฟู งเกิดจนิ ตภาพและความประทับใจยิง่ ขึ้น การอานทาํ นองเสนาะใน กิจกรรมทา ทาย
บทรอยกรองแตล ะชนดิ จะมคี วามแตกตา งกนั ท้งั ในดานทาํ นอง ลีลา การทอดเสียง
ความไพเราะจากการอานทํานองเสนาะเกดิ จากน้ําเสยี งและความสามารถของ นักเรียนยกบทประพนั ธป ระเภทโคลงและรา ยทีม่ ลี ักษณะ
ผูอาน คาํ ประพนั ธส อดคลองกับบทประพนั ธท่นี กั เรยี นไดอ านทาํ นอง
เสนาะ จากนนั้ นกั เรียนแบงวรรคในการอา น และฝก อา นออก
นอกจากนี้ การอา นออกเสยี งทาํ นองเสนาะควรพิจารณากลวิธีทางวรรณศิลป เสียงโดยใสท ํานอง อารมณ และความรูสกึ ในการอาน
ประกอบดวย การซ้าํ คํา การกระเพ่ือมของเสยี งสูง - ตา่ํ สน้ั - ยาว หนกั - เบา ซ่งึ เกดิ
จากการวางถอ ยคําสมั ผัส และการแบงวรรคตอนในชว งจงั หวะของบทประพนั ธ
รวมทั้งการสรรคําใหเหมาะสมกับชว งจังหวะหรอื บรรยากาศ เพื่อแสดงอารมณ
ความรสู กึ จากบทประพันธ

170 คูม่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

บทอาขยานเลอื ก นักเรียนกลมุ ที่ 3 นําเสนอบทอาขยานเร่อื ง
มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑก มุ าร ดว ยวธิ กี ารทอ งจาํ
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กมุ าร พรอ มกนั จากนัน้ รวมกันตอบคาํ ถาม ตอไปนี้

โส โพธสิ ตโฺ ต ปางนนั้ สมเดจ็ พระบรมโพธสิ ตั ว ์ ตรสั ไดท้ รงฟงั พระลกู นอ้ ยทรงกนั แสงทลู ละหอ้ ย • บทอาขยานเร่อื ง มหาเวสสนั ดรชาดก
วนั น้ัน กล้นั พระโศกมิได้ละอายพระทยั แกเ่ ทพดา ปณณฺ สาล� ปวิสติ วฺ า เสด็จเข้าสูภ่ ายในพระบรรณศาลา ซบพระ กณั ฑก ุมาร สะทอนความสามารถของกวี
พักตราทรงพระกันแสงสะอ้นื ไห้ วา่ โอ้เจ้าเพอ่ื นเข็ญใจของพ่อเอ่ย เจ้าเคยกระท�ากรรมไวเ้ ป็นไฉน จ่งึ มาตกเข็ญใจ อยา งไร
ไร้ยากอนาถาใหพ้ ราหมณ์ชรารา่ งรา้ ยกาจ ตะแกมาท�าสีหนาทโพยโบยตี โอเวลาปานฉะนีก้ ส็ ายณั ห ์ คนทง้ั หลาย (แนวตอบ สะทอ นความสามารถดา นวรรณศลิ ป
เขาเรียกกันกินอาหาร บา้ งก็เลา้ โลมลูกหลานใหอ้ าบนา�้ แล้วหลบั นอน แตส่ องบังอรของพ่อน ี้ ใครจะปรานีให้นม จากบทประพันธ โดยกวไี ดถ า ยทอดอารมณ
น้�า ก็จะตรากตร�าล�าบากใจ ท่ีไหนจะเดินได้ด้วยพระบาทเปล่า ท้ังไอแดดจะแผดเผาให้พุพอง จะชอกช�้าคล้�า ความรูส กึ ของตัวละครผานบทประพนั ธไ ด
เปน็ หนองลงลามไหล สองสรุ ยิ วงศ์ต้งั แต่ว่าจะทรงกนั แสงไห้ สุดอาลัยของพอ่ แล้วท่จี ะตดิ ตาม จะบา่ ยหนา้ ไปหา กลมกลืนกบั คณุ คาทางวรรณศิลป)
พราหมณ์เมอ่ื ยามเย็น เฒ่าจัญไรไหนเลยจะเหน็ ดว้ ยสองเจ้า มแี ตจ่ ะรุกเร้าค�ารามต ี ธชีเอ่ยกระไรเลยไมเ่ กรงขาม
เราบ้างเมื่อยามจน จะคิดดูบ้างเป็นไรว่าลูกทั้งสองคนคู่ชีวาตม์ ยังตัดใจให้ขาดมิให้เสียประโยชน์ แต่ก่อนโสด ขยายความเขา้ ใจ Expand
ข้าสินไถ่สืบมาถึงสี่ชั่ว ผู้อื่นรู้ก็เกรงกลัวไม่ท�าได้เหมือนพราหมณ์ผู้น้ี วาริชสฺเสว เม สโต เสมือนหน่ึงพรานเบ็ด
มาตปี ลาทห่ี นา้ ไซ บรรดาปลาจะเขา้ ไปใหแ้ ตกฉาน ตวั เราผทู้ า� ทานเหมอื นตวั ปลา พระโพธญิ าณในภายหนา้ นนั้ คอื นกั เรียนรว มกนั อภปิ รายในประเด็นทว่ี า
ไซ ปรารถนาจะเข้าไปจ่งึ ยกพระลกู ใหเ้ ป็นทานบารม ี พระลูกรักท้งั สองศรีดงั่ กระแสสินธ ์ุ พราหมณ์ประมาทหมิน่ บทอาขยานที่นกั เรียนนาํ เสนอสะทอนจติ สํานกึ
มาด่าตี เสมอื นกระท่มุ วารใี ห้ปลาตนื่ นา�้ พระทัยทา้ วเธอถอยคืนจากอุเบกษา บงั เกิดอวชิ ชามาหอ่ หมุ้ พระปญั ญา ทางวฒั นธรรมของคนในชาติ ในฐานะ
นน้ั กลดั กลมุ้ ไปดว้ ยโมโหใหล้ มุ่ หลง โทโสเขา้ ซา้� สง่ ใหบ้ งั เกดิ วหิ งิ สาขนึ้ ทนั ท ี วา่ อเุ หม!่ อเุ หม!่ พราหมณผ์ นู้ น้ี อี่ าจอง “รากรวมวัฒนธรรม” อยางไร
ทะนงหนอ มาตีลูกตอ่ หน้าพ่อไมเ่ กรงใจ ธชเี อ่ย กูมาอยูป่ า่ เปลา่ เมอื่ ไร ทงั้ พระขรรค์ศิลป์ชยั ก็ถือมา ธนจุ าป ํ คเหตฺ
วา ก็ทรงพระแสงธนศู รกระสนั ม่นั กับมือ ฆ่าพราหมณ์ผูน้ เี้ สียเถดิ หรอื เธอกฮ็ ึดหือ้ อยแู่ ตใ่ นพระทยั ภายหลังจึ่งต้ัง ตรวจสอบผล Evaluate
จติ พจิ ารณาในพระอรยิ ประเพณหี นอ่ พทุ ธางกรู กร็ วู้ า่ อาตมะนเ่ี พม่ิ พนู มหาปตุ ตบรจิ าคเจยี วสหิ วา่ เมอื่ พระปญั ญา
บงั เกดิ ม ี พระบรมราชฤษเี ธอจึง่ ตรสั สอนพระองค์เองว่า โภ เวสฺสนตฺ ร ดูกรมหาเวสสนั ดร อย่าอาวรณโ์ วเ้ ว้ทา� เนา นักเรยี นสามารถทองบทอาขยานและสรปุ สาระ
เขา ขา้ กบั เจา้ เขาจะตกี นั ไมต่ อ้ งการ ใหล้ กู เปน็ ทานแลว้ ยงั มาสอดแคลว้ เมอ่ื ภายหลงั ทา้ วเธอกต็ งั้ พระสมาธริ ะงบั สําคัญของบทอาขยาน พรอมยกตวั อยา งประกอบ
ดับพระวิโยค กล้นั พระโศกสงบแล้ว พระพกั ตรก์ ผ็ อ่ งแผว้ แจม่ ใส ดจุ ทองอไุ รท้ังแท่ง อนั บคุ คลแกล้งหลอ่ แลว้ มา
วางไว้ในพระอาศรม ต้ังแต่จะเชยชมพระปิยบตุ รทานบารมแี หง่ หน่อพระชนิ ศรเี จา้ นนั้ แล

เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

171

กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู

นักเรยี นรวบรวมคําศัพทท ี่แสดงถงึ จนิ ตภาพ รวมถึงอารมณ ในการจดั กจิ กรรมขยายความเขาใจดว ยการรวมอภิปรายบทอาขยาน ในฐานะ
ความรูสกึ จากบทประพนั ธ พรอ มหาความหมาย “รากรว มวัฒนธรรม” นนั้ ครูควรเพิม่ เตมิ ความรเู ก่ยี วกับคุณคาของวรรณคดใี นฐานะ
วัฒนธรรมทางภาษา ซ่งึ เปน ภาพสะทอนสงั คมและวฒั นธรรมไทยที่มีพัฒนาการ
กจิ กรรมทาทาย ตอ เนอื่ งมาเปน ลาํ ดบั ครชู แี้ นะเกยี่ วกบั คณุ คา ทางวรรณศลิ ปจ ากการใชภ าษาทมี่ คี วาม
ไพเราะ ใหข อ คิดทลี่ กึ ซ้ึง นาํ เสนอผานกลวิธที ี่มีวรรณศิลปไดส อดคลอ งกลมกลนื เปน
นักเรยี นนําคําศพั ทที่ไดไ ปใชในการแตงประโยค เพือ่ แสดง เน้อื เดียวกนั
จนิ ตภาพและอารมณความรูส กึ
ในการจัดการเรียนการสอนครูผสู อนจงึ ควรใชค าํ ถามหรือยกตัวอยาง
ในลักษณะตา งๆ ใหนกั เรียนไดพ ิจารณา เพื่อใหนกั เรียนเกดิ ความเขาใจลกั ษณะ
รวมทางสังคมและวฒั นธรรมท่ีปรากฏในบทประพันธ พรอ มเสนอความคิดเห็น
ตามศกั ยภาพของตัวนักเรยี น จากน้นั จงึ สรุปความคิดเหน็ ของนักเรียน เพอื่ สรา ง
ความสนใจและใหน กั เรยี นศกึ ษาคน ควาขอ มลู ในระดบั สูงตอไป

คมู่ อื ครู 171

กระตนุ้ ความสนใจ สำ� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

บรรณานุกรม

กุสมุ า รักษมณี. ๒๕๔๙. การวิเคราะห์วรรณคดไี ทยตามทฤษฎวี รรณคดสี ันสกฤต. พิมพ์ครัง้ ที่ ๒. กรุงเทพมหานคร:
ภาควชิ าภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร.

คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน, ส�านักงาน. ๒๕๔๘. หนังสืออ่านเพ่ิมเติม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
บทอาขยานภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว.

ชลดา เรอื งรกั ษล์ ขิ ติ . ๒๕๔๖. วรรณลลติ : รวมบทความวจิ ยั วรรณคดแี ละคา� ประพนั ธไ์ ทย. กรงุ เทพมหานคร: โครงการ
เผยแพรผ่ ลงานวิชาการ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

ชติ บุรทัต. ๒๕๔๑. สามัคคเี ภทคา� ฉันท.์ พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๓๔. กรุงเทพมหานคร: องคก์ ารค้าของครุ ุสภา.
ชวี ิตและงานของสนุ ทรภู่ ฉบับกรมศิลปากรตรวจชา� ระใหม.่ ๒๕๓๔. พิมพ์ครงั้ ที่ ๗. กรุงเทพมหานคร: องคก์ ารค้า

ของคุรุสภา.
เดชาดศิ ร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา. ๒๕๔๓. โคลงโลกนติ ิ. พมิ พ์ครั้งที่ ๘. กรงุ เทพมหานคร: อกั ษร

เจริญทัศน.์
ธเนศ เวศร์ภาดา. ๒๕๔๙. หอมโลกวรรณศิลป:์ การสร้างรสสนุ ทรีย์แห่งวรรณคดีไทย. กรงุ เทพมหานคร: ปาเจรา.
เปลอ้ื ง ณ นคร. ๒๕๔๑. ประวัติวรรณคดีไทย. กรงุ เทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานชิ .
ปรมานุชติ ชิโนรส, สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า. ๒๕๔๓. ลิลิตตะเลงพา่ ย. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พค์ รุ ุสภาลาดพรา้ ว.
ภาษาไทย, สถาบัน. วชิ าการ, กรม กระทรวงศกึ ษาธิการ. ๒๕๔๒. พินจิ วรรณกรรม. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์

ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
. ๒๕๔๒. แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพรา้ ว.
ภาษาไทย, สถาบัน ส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน. ๒๕๔๖. แนวการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม.
กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั ภาษาไทย สา� นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน.
มงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ๒๕๔๗. โคลนตดิ ลอ้ . พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: อักษรเจรญิ ทศั น์.
. ๒๕๔๗. หวั ใจชายหนมุ่ . พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๒. กรงุ เทพมหานคร: อกั ษรเจรญิ ทศั น.์
. ๒๕๔๒. มทั นะพาธา. พิมพค์ รงั้ ท่ี ๒๕. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว.
มหาเวสสนั ดรชาดก ฉบับ ๑๓ กัณฑ์. ๒๕๒๗. พิมพ์ครัง้ ที่ ๑๑. กรงุ เทพมหานคร: องคก์ ารค้าของครุ ุสภา.
ราชบณั ฑติ ยสถาน. ๒๕๕๖. พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒. กรงุ เทพมหานคร:
นานมีบุ๊คส์พบั ลเิ คชนั่ ส์.
. ๒๕๕๐. พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย ภาคฉันทลักษณ์. กรุงเทพมหานคร: ราชบัณฑิตยสถาน.
รื่นฤทยั สจั จพันธ์ุ ชมยั ภร แสงกระจา่ ง และอรพนิ ท์ ค�าสอน. ๒๕๔๗. พลงั การวิจารณ:์ วรรณศลิ ป์. กรงุ เทพมหานคร:
ประพนั ธส์ าสน์ .
วทิ ย์ ศวิ ะศรยิ านนท.์ ๒๕๔๔. วรรณคดแี ละวรรณคดวี จิ ารณ.์ พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๖. กรงุ เทพมหานคร: ธรรมชาต.ิ
ศิลปศาสตร์, สาขาวิชา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๕๐. เอกสารการสอนชุดวิชา ๑๒๓๐๖ พัฒนาการ
วรรณคดีไทย. พมิ พค์ รั้งที่ ๗. นนทบุร:ี มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
เสฐียรโกเศศ (นามแฝง). ๒๕๔๖. การศกึ ษาวรรณคดแี ง่วรรณศลิ ป์. พมิ พ์ครงั้ ที่ ๕. กรุงเทพมหานคร: ศยาม.
ขอ้ มูลเวบ็ ไซต์
พระบรมราชานสุ าวรยี ส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช. ๒๕๕๒. [ออนไลน]์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: http://www.holidaythai.com
/9kimjor/photo-193625.htm. (วนั ทค่ี ้นขอ้ มูล ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒).
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส. ๒๕๕๒.[ออนไลน]์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: http://amnaj-amulet.blogspot.com/
p/blog-page_158.html. (วันทค่ี ้นข้อมูล ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒).
172

172 คูม่ อื ครู


Click to View FlipBook Version