The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พิสมัย สืบเลย, 2022-12-13 23:34:19

ขุนช้างขุนแผน

ขุนช้างขุนแผน

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

1. นกั เรยี นกลมุ ท่ี 3 รว มกนั อภปิ รายประเดน็ ความรู
ตอน 5 สมเดจ็ พระนเรศวรทรงเตรียมการสูศึก
มอญ โดยยกบทประพันธท ีแ่ สดงใหเ หน็ บุคลิก เห็นเสร็จ ให้ระเห็จเข้าห่ัน บั่นเรือกขาดเป็นท่อน ค่อนพวนขาดเป็นทุ่น๑ เถกิงกรานกรุ่น
พลวกเผา อย่าให้เขาจบั ได้ เขากระทา� ดัง่ ไท้ ธิราชเออ้ื นโองการ สง่ั นา
ลักษณะนสิ ัยทีก่ ลาหาญของสมเด็จพระนเรศวร- โคล๑ง๏๗ ๓๔ นฤบาลสารเสรจ็ อา้ ง
มหาราช ไป่ทนั หึงแฮ
(แนวตอบ ถบั ทูตทุกเขตขัณฑ์ ด่านด้าว
สงิ หส์ รรคส์ ุพรรณบรร- ลถุ ่นิ ทา่ นนา
“จอมสยามขามศกึ ไซร ไปม ี เขา๑เ๏๗ร๔ง่ นบ�าดเฝีศา้ รู ทสา้ ่ังวใ ห อ้ า่ น ถ่ังถอ้ ยแถลงทลู
บานกมลเปรมปรีดิ์ ปราบเส้ียน สารา
สองสรุ ยิ กษัตรยี  ตรสั ตอ กนั แฮ
หาเลศมลายศกึ เหยี้ น หั่นหา วหายคม” พระราช๒รบั บญั ชา ท่านไซร้
แถลงลักษณะทุกธา- นีบอก มานา
โคลงบทนี้แสดงวา สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เสน๑๏อ๗๕ย ุบบลัดขมา่ อวญใกแลล ้ ่น มา้ ลาด1 ศึกตัง้ ในแดน
ทรงมคี วามกลาหาญ ไมห วนั่ เกรงตอขาศกึ เลยแขวง
ไมวา จะเปนศกึ เขมรหรือศกึ พมากต็ าม)
2. นกั เรยี นพิจารณาบทประพนั ธต อไปนี้ แลวตอบ วเิ ศษชัยชาญ๓แสดง ขา่ วซ�้า
เขาน�าอกั ษรแถลง ถวายดับ น้ันนา
คาํ ถาม พร๑ะ๏๗เ๖ร ่งชจ่ืนอมฤสๅชย้�าา มข า ม๔ศกึ ไซร ้ ท่ขี อ้ เข็ญความ
“สมเด็จผายโอษฐอ้ืน ปรึกษา ไปม่ ี
แดภมิ ุขมาตยา ทวั่ ผ”ู บานกมลเปรมปรีด์ิ ปราบเสี้ยน
• จากคําประพนั ธข า งตน แสดงใหเห็น สองสรุ 2ิยกษัตรีย์ ตรสั ต่อ กนั แฮ
คณุ ลกั ษณะใดของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช หาเ๑๏ล๗๗ศ มสลมาเยดศจ็ กึ ผเาหยยี้ โนอ ษฐอ์ ้นื ห่นั หา้ วหายคม
(แนวตอบ จากบทประพนั ธข า งตน แสดงใหเ หน็ ปรึกษา
แดภ่ มิ ขุ มาตยา ทั่วผู้
วา สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงเปนผนู ํา จกั โรมอรริ า- มัญเมอ่ื นี้แฮ
ทีร่ อบคอบ กอนจะตดั สินพระทัยอะไรทรงฟง
ความเหน็ ของเหลาขนุ นางทง้ั หลาย ซ่ึงเปน รบั ท๑๏๗่ีถ๘ ิ่นทฤงั้ๅสมู้ วล หมู่ม า ตย์ซอ้ ง นอกไซร้ ไหน๕ควร
คุณสมบตั ิที่ดขี องการเปนผูนํา) สารพลัน
ทลู พระจอมจรรโลง เลือ่ งหล้า
แถลงลกั ษณะปางบรรพ์ มาเทียบ ถวายแฮ
แนะทค่ี วรเสด็จค้า๖ เศกิ ไซร้ไกลกรุง
ฯลฯ

๒ คอ่ นพวนขาดเปน็ ทุ่น ทา� ลายเชือก (ทมี่ ัดสะพานเรือก) ให้ขาดลอยเปน็ ทนุ่
๓ พระราช เปน็ ชื่อยอ่ ของขนุ นาง ต�าแหนง่ พระราชมหี ลายชือ่ เชน่ ราชวงั สนั เปน็ ทหาร ราชวรนิ ทร ์ เปน็ ตา� รวจ เปน็ ตน้
๔ วิเศษชัยชาญ ปัจจุบันเป็นอา� เภออย่ใู นจังหวดั อา่ งทอง
๕ ขาม ตามฉบับสมดุ ไทย แตใ่ นฉบับพมิ พ ์ “ขาม” เป็น “ครา้ ม”
ไหน ตามฉบับสมุดไทย แต่ในฉบับพิมพ ์ “ไหน” เปน็ “ใน” ท่ถี ูกน่าจะเปน็ “ไหน” เพราะความข้างตน้ บาทที่วา่ “รับทีถ่ นิ่ ”
๖ ก็เปน็ “ใน” อยแู่ ล้ว ความไมส่ นทิ เทา่ “ไหน”
ค้า ตามฉบับสมดุ ไทย แต่ในฉบับพิมพ์ “คา้ ” เป็น “ร้า”
92

เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
“จอมสยามขามศกึ ไซร ไปม ี
ครคู วรจัดกิจกรรมทีส่ งเสริมทกั ษะทางภาษา โดยใหนกั เรียนรวมกันอภิปรายถึง บานกมลเปรมปรดี ิ์ ปราบเส้ียน
ความสามารถทางภาษาของกวีท่ีทําใหวรรณคดีเรอ่ื งลิลติ ตะเลงพา ยมคี วามโดดเดน สองสุรยิ กษตั รยี  ตรสั ตอ กนั แฮ
ในการใชภ าษา ดงั น้ี ครคู วรแนะใหน กั เรยี นพจิ ารณาภาษาวา กวสี ามารถใชภ าษาเพอ่ื หาเลศมลายศกึ เหี้ยน หัน่ หา วหายคม”
ใหไ ดร สทางวรรณคดี เพอ่ื จงู ใจ เพอ่ื ความตดิ ใจและประทบั ใจ ทาํ ใหผ อู า นสามารถ จากบทประพนั ธ ขอ ใดเปน ความรสู กึ ของผูพูด
สงั เกตจดจาํ นาํ ไปใช กอใหเ กิดการใชภาษาทด่ี ี เปนแบบอยางทดี่ ที ัง้ การใชค ํา 1. ความเครงเครียด 2. ความเหมิ หาญ
การใชโวหาร 3. ความสําราญ 4. ความสงสยั

นกั เรียนควรรู วเิ คราะหค ําตอบ จากบทประพันธข างตน ขอทแี่ สดงใหเห็น
ความรูส กึ ของผพู ูดอยางชัดเจน คือ ความเหิมหาญ ซึง่ พจิ ารณา
1 มา ลาด ขบั มา ลาดตระเวน ในความวา “บดั มอญแลน มา ลาด เลยแขวง” ขบั มา ไดจ ากความวา “บานกมลเปรมปรดี ์ิ ปราบเส้ยี น” ทง้ั นพ้ี จิ ารณา
ตระเวนเลยเขา มาในเขตเมอื ง
2 เลศ อุบาย ในความบาทนีก้ ลาวถงึ หาอบุ ายทาํ ลายศกึ ใหขาดหมด ตัดความ จากบริบทของการสูศึกรว มดวย ตอบขอ 2.
ฮกึ เหิม ใหห มดอํานาจ

92 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

๏๑๘๐ 1. นักเรียนกลมุ ท่ี 3 รว มกันอภปิ รายประเดน็
ความรู ตอน 5 สมเด็จพระนเรศวรทรงเตรียม
โทไทท้ รงสดบั ถ้อย ทูลถวาย การสูศึกมอญ ดวยการยกบทประพนั ธท ี่
ถกู ห1ฤทยั ทา่ นผาย โอษฐ์พร้อง
สูตรกิ ต็ รงหมาย เหมือนตร ิ ตนู า แสดงถงึ การจดั ทัพของสมเดจ็ พระนเรศวร
ตริ ๑๏บ๘๑ ่ ต่าภงูธกรันสตั่งใ้อหง้เ ท ีย บ ต่อนา�้ ใจตู มหาราช
โยธ ี ทัพแฮ (แนวตอบ ตวั อยา งบทประพันธทแี่ สดงถึงการจัด
หา้ หม่ืนหมายบัญช ี เรียกได้ ทัพของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
เกณฑ์เมอื งจัตวาตร๑ี
ย่สี ิบ๑๏๘ส๒ ามบเรมรือหงาใรตใ้ ห ้จ ัดผู ้ เไตตรรยีตบร2วตจั้ง ตเออ่ าฉนานา๒ “บรรหารใหจดั ผู อาจอง
เอาพระศรีไสนรงค ฤทธหิ์ า ว
อาจอง เปน จอมพยหุ ยง ไปย่วั ยุทธแ ฮ
เอาพระศรไี สนรงค๓์ ฤทธหิ์ า้ ว นาํ นิกรทพั ทา ว ออกรารอนเข็ญ
เป็นจอมพยหุ ยง ไปย่ัว ยทุ ธแ์ ฮ
น�าน๑๏๘ิก๓ รทพพั ระทเา้ หวน็ จัก เ ปล่ยี วขา้ ง ออกร้ารอนเข็ญ พระเหน็ จกั เปล่ยี วขา ง ขุนพล
ขนุ พล เยยี ว บ มีเพอื่ นผจญ จงึ่ ใช
จึง่ ใช้ พระราชฤทธานนต หนึง่ ชว ย กนั นา
เยียว บ่ มเี พือ่ นผจญ หนงึ่ ชว่ ย กนั นา เปน ปลัดทพั ให ศกึ สูทงั้ สอง”
เพปร็น๑ะ๏๘ปร๔ าลชัดกฤทอทพังธห3ใาหนน้ า้ นนตฤ ๔์ น าถตัง้ ศกึ สทู้ ้ังสอง
เสรจ็ สาร สั่งแฮ เนอ้ื ความขา งตน สรปุ ไดว า ใหพ ระยาศรไี สนรงค
หักกล้า เปนแมท พั และพระราชฤทธานนตเ ปน ปลดั ทพั
เร็วเร่งห�้าหัน่ หาญ มนั รอด ไซรฤ้ ๅ ถาหากสูไมไดพ ระองคจ ะออกสูในภายหลัง)
บ ่ แตก บ ่ ตา้ นทาน ศกึ ร้ายภายหลงั
กูจัก๑๏๘อ๕ อกทโ้ังรสมอรงา้ ร บั ถ อ้ ยท่าน ทลู ลา แลเฮย 2. นักเรยี นบันทกึ ความเขาใจสมุด
ย่างย้าย
ยกพยุหแสนยา วายถนิ่
โดยแดนทรุ าธวา ทุ่งกว้างทางหลวง
ถงึ ท๑๏๘ห่ี ๖ นอปงวสงรทา่ พั ยป๕ทลกูา้ ยค า่ ยสร้าง กลางสมร
ภูมิพยุหไกรสร ศึกตง้ั
เสนาพลากร
คอยจักยอยุทธย์ ้ัง อตยา่ งู่ถรา้ น่ื4ท าเรงิงเขแญฮ

๑ เมอื งจัตวาตรี เมืองช้นั ส่ ี ช้นั สาม การปกครองของไทยสมยั กอ่ นแบ่งหัวเมืองตามความสา� คญั ออกเปน็ เมอื งเอก เมืองโท เมืองตรี
๒ เเมตรอื ยีงบจตัตว้งั าต อ่ (ดฉูกานฎหเมตราียยมตไรวาเ้สปาน็มทดพัวงห)น้า
ศรีไสนรงค์ ราชทนิ นามตา� แหน่งหน่งึ
๓ หรานชอฤงทสธรา่านย นตตา� ์ บรลาชหทนนิอนงสาามหตรา� า่แยห นในง่ เหขนตึง่ จงั หวัดสุพรรณบุรี



93

ขอ ใดเปน การแสดงความเหน็ ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู

1. บ แตก บ ตานทาน มนั รอด ไซร 1 ตริ คดิ ตรึกตรอง
กูจกั ออกโรมรา ศึกรายภายหลัง 2 เตรยี บ เทยี บ ในความวา “เตรียบตงั้ ตอฉาน” หมายความวา จดั ไวเสรจ็
2. สูตริก็ตรงหมาย เหมอื นตริ ตนู า จัดไวพ รอม
ตริ บ ตางกนั ตอง ตอนํ้าใจตู 3 ปลัดทพั ปลัด หมายถงึ ผูม ีตาํ แหนงหนาทร่ี องจากผทู มี่ ีตาํ แหนงหนาทเ่ี หนือตน
3. พระราชฤทธานนต หน่งึ ชว ย กนั นา โดยตรง ปลดั ทพั คือ รองแมทพั
เปนปลัดทัพให ศกึ สทู งั้ สอง 4 ถา เปน คําโทโทษ ในทนี่ ี้หมายถึงคาํ วา “ทา ” หมายความวา รอคอย ปจ จบุ ัน
4. เกณฑเ มอื งจัตวาตรี ไตรตรวจ เอานา มกั ใชเขาคูกบั “คอย” หรือ “รอ” เปน คอยทา รอทา
ยสี่ บิ สามเมืองใต เตรียบตัง้ ตอ ฉาน

วเิ คราะหคําตอบ ขอท่ีเปนการแสดงความเหน็ คอื ขอ 2. มุม IT
มีความวา ทานมีความคดิ ตรงกบั เรา ซงึ่ ความคดิ น้ีถกู ใจเรา
ซึง่ เปน การแสดงความเหน็ วา เหน็ ดวยตรงกัน สว นขออื่นๆ เปน ศึกษาเก่ียวกบั ความรเู ร่ืองการตงั้ ทพั ตามตําราภูมิตา งๆ ในเรือ่ งลิลิตตะเลงพาย
เพม่ิ เติม ไดท ี่ http://www.vcharkarn.com/vblog/18896
ลักษณะของการบอกเลา หรือเปน คาํ สัง่ ใหป ฏิบัตติ าม ตอบขอ 2. คมู่ อื ครู

93

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

นักเรยี นคิดวา ความเชอื่ เร่อื งฤกษย ามมคี วาม ร่าย ตอน ๖
จาํ เปนตอ การทาํ ศึกอยางไร พระนเรศวรทรงตรวจเตรียมทพั

(แนวตอบ การที่สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรง ๏๑๘๗ กษณะนั้นนเรนทร์ไท้ ธ ให้โหรหามหุติฤกษ์ ซ่ึงจะเบิกพยุหบาตรา จึ่งพระโหราผู้รู้
รับสัง่ ใหหลวงญาณโยคโลกทีปหาฤกษย ามในการ
ออกศึกสงคราม ซง่ึ ตรงกบั วนั อาทติ ย ข้นึ สิบเอ็ดคํ่า โศลก หลวงญาณโยคโลกทปี รบี คา� นวณทา� นาย ถวายพยากรณแ์ กไ่ ท้ ทา้ ว ธ ได้จตรุ งคโชค อาจ
เดือนยี่เวลาแปดโมงสามสบิ นาทีซ่ึงเปนฤกษออกศึก ปราบโลกลาญรงค์ เชิญบาทบงสุ์เสด็จคลา จากอโยธยายามเช1้า เข้ารวิวารมหันต์ วันสิบเอ็ด
ตรงกบั บทประพันธวา
ขึน้ ค�่า๑ ยา่� รงุ่ สองนาฬิกา๒ เศษสงั ขยาหา้ บาท ในบษุ ยมาสดฤษถี ศรสี วัสดีฤกษ์อุดม บรมนรินทร์
“...จากอโยธยายามเชา เขารววิ ารมหนั ต ดาลสดับ ธ ให้ตรวจทพั เตรียมพล โดยชลมารคพยหู่ ์ สู่ต�าบลปากโมก คร้นั ณ วันโชควันยาม
วนั สบิ เอ็ดขน้ึ คา่ํ ยํ่ารงุ สองนาฬกา เศษสงั ขยา พยุหสงครามเขาตรวจ ทกุ หมหู่ มวดสรรพเสร็จ จึง่ สมเดจ็ ภูวนาถ กบั บรมราชอนชุ า ธ ก็สรงธารา
หา บาท โดยบษุ ยมาสดฤษถ.ี ..” เสาวรภย ์ ตรลบสคุ นธก�าจร ทรงบวรวิภษู า รตั พสั ตราตรูเนตร ชายแครงเทศเถอื กพร้อย ชายไหว
ห้อยเห็นเพรา พิศสนับเพลายรรยง ฉลองพระองค์แลเลิศ ทับทรวงเพริศพรายพริ้ง สะอ้ิงรัตน
ในตําราพชิ ัยสงครามจะมีเรอื่ งเกีย่ วกบั วชิ า ไพฑูรย์ แก้วเกยูรสวมหัตถ์ แสงนพรัตน์มลังเมลือง เรืองธ�ามรงค์รุ้งร่วง ช่วงพรรเหาเก้าแก้ว
โหราศาสตรแ ทรกอยแู ละมอี ิทธพิ ลอยางย่งิ ในการทาํ แพร้วพรายน้ิวอัษฎางค์ พลางสองกษัตริย์สวมทรง อลงกตกาญจนมกุฎ แสงเพชรผุดพุ่งแพร้ว
สงคราม ดงั นั้น จึงตองมโี หราจารยป ระจาํ กองทพั แก้วเก้ากอบแกมมาศ นาดกรกรายทายธนู ดูสองเจ้าจอมสยาม เฉกลักษมณ์รามรอนราพณ์
เปรียบประดจุ ดวงตาของกองทพั โดยกาํ หนดวา ปราบอเรนทร์ทุกดา้ ว พลางบพิตรโทท้าว ท่านเยอ้ื งยงั ฉนวน น้า� นา
ผทู ที่ าํ หนา ทต่ี อ งมดี วงชะตาใหค ณุ แกพ ระมหากษตั รยิ 
หรอื ประมขุ ของประเทศ นอกจากนน้ั การคัดเลือก ฯลฯ
ทหารเขาประจาํ ในกองทัพตอ งนําชอ่ื ของคนเหลา น้นั
มาคํานวณทางมหาทักษาพยากรณซ งึ่ เปนวชิ า โคลง ๔ 2 เพรยี งสมยั
โหราศาสตรแ ขนงหน่ึงเพอื่ หาตวั เลขมาใชเปน กกึ ก้อง
ชื่อ เชน เลข 1 ชอื่ ครฑุ นาม เลข 2 ช่อื พยัคฆนาม ๏๑๙๗ ครั้นควรพชิ ยั ฤกษพ์ รอ้ ม
เปน ตน แลวจึงใหผมู ีนามตา งๆ เหลานั้นเขา ประจาํ
ตําแหนง ของกระบวนทพั ) โหรคระหมึ ๓มอ้ งชยั
พฤฒิพราหมณพ์ รอกมนตรไ์ สย๔ สงั ข์เปา่ ถวายนา
แตรตรลบเสียงซ้อง แซซ่ ั้นบรรสาน

ฯลฯ

ร่าย
๏๒๐๐
พลันขยายพยุหบาตรา คลาเข้าโขลนทวาเรศ สงฆ์สวดชเยศพุทธมนต์ ปราย
ประชลเฉลิมทัพ ตามต�ารับราชรณยุทธ์ โบกกบี่ธุชคลาพล ยลนาวาดาดาษ ดูสระพราศ
สระพรั่ง คั่งคับขอบคงคา แลมเหาฬาร์พันลึก อธึกท้องแถวธาร ถับถึงสถานปากโมก จึ่ง
พระจอมโลกลือเดช เสด็จเถลิงนิเวศวังทาง พลาง ธ ให้ตรวจเตรียมพล โดยสถลพยุหบาตร

๑ วนั สบิ เอ็ดขน้ึ ค�่า วันข้นึ สิบเอด็ ค่า�
๒ ย�า่ รุ่งสองนาฬิกา เวลาสองโมงเชา้
๓ คระหมึ ในสมดุ ไทยและในฉบบั พมิ พเ์ กา่ ๆ เปน็ “คฤหมึ ” แบบเรียนคร้ังที ่ ๑ เป็น “ครหึม” แบบเรยี นครัง้ ตอ่ ๆ มาเป็น “คระหมึ ” ทเี่ ป็น

๔ “กระหมึ ” ก็มี
พรอกมนตรไ์ สย ร่ายมนตรต์ ามคมั ภีร์ไสยศาสตร์

94

นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
คาํ ประพนั ธใ นขอ ใดเปน การคํานวณเวลาแบบโบราณ
1 เขา รววิ ารมหนั ต วันสบิ เอด็ ขนึ้ ค่ํา ย่าํ รุง สองนาฬก า เศษสังขยาหาบาท 1. เขา รวิวารมหนั ต
ในบุษยมาสดฤษถี มีความหมาย ดังน้ี 2. วนั สบิ เอด็ ข้ึนคา่ํ
3. ย่ํารงุ สองนาฬก า
• เขารวิวารมหันต หมายถึง วนั อาทติ ย 4. เศษสังขยาหา บาท
• วันสิบเอด็ ข้นึ คา่ํ หมายถึง ข้ึน 11 ค่าํ วเิ คราะหค ําตอบ ขอ 4. สงั ขยาเปน การคํานวณหรือการนบั ตัวเลข
• ยํา่ รงุ สองนาฬกา หมายถึง เวลา 08.00 น. แบบบาลีสนั สกฤต แตเ มือ่ นาํ มาใชก บั เวลากแ็ ปลไดว า เกินมาไมถวน
• เศษสังขยาหาบาท คือ สงั ขยา การนบั การคํานวณ และ 1 บาท เทา กบั เศษสังขยาหา บาท หมายถงึ เวลา 30 นาที ตอบขอ 4.

6 นาที ดังนั้น เศษสังขยาหาบาท จงึ หมายถงึ เวลา 30 นาที
• ในบุษยมาสดฤษถี หมายถงึ เดอื นย่ี หรือเดอื นมกราคม
2 พิชยั ฤกษ เปน สว นหนงึ่ ในตําราพชิ ยั สงครามท่ีจดั ทาํ เสรจ็ เมอื่ ป พ.ศ. 2041
ปจ จุบนั สญู หายไปเกือบหมดคงเหลอื อยูเพยี งกฎหมายอาญาศกึ และไดม ีการแกไ ข
เพ่ิมเติมหลายครง้ั ครัง้ หลังสดุ ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลาเจาอยหู วั
เนอ้ื ความแบง เปน 3 ตอน คอื สาเหตขุ องสงคราม อุบายสงครามกบั ยทุ ธศาสตร
และยทุ ธวธิ ี มกี ารดนู มิ ติ ฤกษย ามและการทาํ เลขยนั ต แตง เปน คาํ กลอนเพอ่ื ใหจ าํ งา ย

94 คูม่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

บอกพระราชก�าหนด กฎแก่ขุนทัพขุนพล จักยกพหลยาตรา ในเวลาล่วงค�่า ย�่าสิบเอ็ด นกั เรยี นรว มกันตอบคาํ ถาม ดงั ตอ ไปนี้
สามบาท ครัน้ เข้าราษตรีสมัย ภูวไนยตรสั ตริการ ซง่ึ จะรอนราญอรริ าช ดว้ ยภมิ ุขมาตยากร • นกั เรยี นยกคาํ ประพันธแ สดงใหเ หน็ ความ
จนจันทรลับเลื่อน เคล่ือนเข้าตติยยาม เจ้าจอมสยามไสยาสน์ เหนือบรมอาสน์ก่องแก้ว
คลา้ ยคลา้ ยสบิ ทมุ่ แคล้ว ทา่ นเคลมิ้ หลบั ฝนั ใฝ่นา เช่ือจากการทํานายความฝน ที่ปรากฏใน
วรรณคดเี รื่องลิลิตตะเลงพา ย
โคลง ๔ (แนวตอบ ตวั อยา งบทประพันธทีส่ ะทอ น
๏๒๐๑ ความเช่อื จากการทํานายความฝน
เทวญั แสดงเหตใุ ห้ หสังลหั่งลร น้ เห1น็ แฮ
ไเหห็นลกลบระวแนสาสดาอคนร2 “ทนั ใดดลิ กเจา จอมถวัลย
แดนตก ทิศนา สรางผทมถวิลฝน หอนรู
พระแตเ่ พ่งฤๅพน้ ที่น�้านองสาย พระหาพระโหรพลัน พลางบอก ฝน นา
๏๒๐๒ พระกรายกรยา่ งเยอ้ื ง จรลี เร็วเรงทายโดยกระทู ทถี่ อ ยตูแถลง”)

ลยุ มหาวาร ี เรย่ี วกวา้ ง
พอพานพะกุมภลี ์ หนง่ึ ใหญ่ ไสร้นา
โถมปะทะเจ้าชา้ ง จักเคย้ี วขบองค์
๏๒๐๓ พระทรงแสงดาบแกว้ กับกร
เฟือ่ งน�า้
โจมประจญั ฟนั ฟอน
ต่างฤทธิ์ต่างรบรอน ราญชีพ กนั แฮ
สระท้านทุกถิน่ ทา่ ถ้า� ท่งทอ้ งชลธี
๏๒๐๔ นฤบดีโถมถบี ส้ ู ศึกธาร
มอดม้วย
ฟอนฟาดสุงสมุ าร 3 หายเหือด แห้งแฮ

สายสินธ์ซุ ึ่งนองพนานต ์
พระเร่งปรดี าด้วย เผดจ็ เสีย้ นเศิกกษยั
๏๒๐๕ ทนั ใดดลิ กเจ้า จอมถวลั ย์

สรา่ งผทมถวลิ ฝนั ห่อนรู้
พระหาพระโหรพลัน พลางบอก ฝันนา
เร็วเรง่ ทายโดยกระท้ ู ที่ถอ้ ยตูแถลง
๏๒๐๖ พระโหรเหน็ แจง้ จบ ในมลู ฝนั แฮ

ถวายพยากรณท์ ลู แดไ่ ท้
สบุ ินบดนิ ทร์สูร ฝนั ใฝ ่ นน้ั ฤๅ
หากเทพสังหรให ้ ธริ าชรู้เป็นกล

95

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรยี นควรรู
“พระโหรเห็นแจงจบ ในมลู ฝนแฮ
ถวายพยากรณทูล แดไท 1 หลั่งลน เหน็ กระแสสาคร หลั่งลน หมายความวา เห็นน้ําทีไ่ หลทว มแผนดนิ
สุบนิ บดินทรสรู ฝน ใฝ น้นั ฤๅ 2 วนาดอน ปาดอน
หากเทพสงั หรให ธริ าชรเู ปนกล” 3 พนานต มาจาก พน+อันต แปลวา ปา
ขอ ใดคือใจความสาํ คัญของบทประพนั ธข า งตน
1. การคาํ นวณฤกษยาม คมู่ ือครู 95
2. พยากรณก ารเดินทัพ
3. ฝนเปน ลางบอกเหตุ
4. เทพสงั หรณใหน ิมติ

วเิ คราะหค ําตอบ บทประพนั ธข า งตน กลา วถงึ โหรถวายคาํ ทาํ นาย
ความฝนแกส มเดจ็ พระนเรศวรมหาราชวา ทท่ี รงสบุ ินนั้นเปน
เพราะเทพเทวดาตอ งการใหร เู หตทุ จ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในภายหนา ดงั นนั้

ใจความสําคัญของบทประพนั ธ คือ เปน ลางบอกเหตุ ตอบขอ 3.

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

นกั เรียนจับคกู นั และยกตัวอยางคาํ ประพนั ธ ๏๒๐๗ นสุ นธซิ์ ่ึงน่านน�้า นองพนา สณฑ์เฮย
ทแี่ สดงปรากฏการณเหนือธรรมชาติและเชอื่ วา ทว่ มไซร้
เปน บุญบารมขี องกษตั รยิ  หนปัจฉมิ ทศิ า
คอื ทัพอริรา- มัญหมู่ น้นี า
(แนวตอบ “สองขตั ตยิ ายรุ ยาตร ยงั เกยราชหอทพั สม๒ด๏๐่งั ๘ ลกั เหษตณุแฝ์ สนั ดไงทแ ้ ห ง่ ราชพอ้ ง ธเรศนน้ั อยา่ แหนง
ขุนคชขับชางเทียบ ทวยหาญเพยี งแผน ภู ดูมหมิ า ไดแ้ กอ่ ุปราชา ภยั ชลา
ดาดาษ สระพราศพรอมโดยขบวน องคอดิศวร เชษฐ์ผู้
สองกษัตริย คอยนฤขัตรพชิ ัย บัดเด๋ียวไททฤษฎี สงครามซงึ่ เสดจ็ ครา นใี้ หญ ่ หลวงแฮ
พระศรีสารรี กิ บรมธาตุ ไขโอภาสโศภติ ชวงชวลติ แท๒จ้๏๐กั ๙ ถึงซยงึ่ ุทผจธส์ญ้ ู อรริ า ชด้วย ศกึ ชา้ งสองชน
พางผล สม เกลย้ี งกลกุกอ ง ฟองฟา ฝา ยทักษิณ เดชะ
ผนิ แวดวงตรงทัพ นับคํารบสามครา เปน เพื่อพระเดโชชนะ ศึกน้า�
ทักษิณาวรรตเวียน วา ยฉวดั เฉวยี นอมั พร ผานไป คอื องคอ์ มิตรพระ จกั มอด เมอื เฮย
อดุ รโดยดา ว พลางบพติ รโททา ว ทา นตง้ั สดดุ ี อยนู า” พเพรร๒ะ๏า๑จ๐ะ กั พไเรลบะล่ื่้อหุยงตัลบถารญ์หมา1ข กัต หต�า้ยิ ท์ อ่ งท้อง หน่ั ดว้ ยขอคม
จากคําประพันธที่ยกมา เกดิ เหตุการณทต่ี างพากัน แถวธาร
มองเหน็ พระศรีสารีรกิ บรมธาตปุ รากฏสอ งแสงเรือง รปิ ู บ่ รอราญ เศกิ ไสร้
งามลอยหมนุ เวียนรอบกองทพั เปนทกั ษณิ าวรรต 3 ฤทธร์ิ าช เลยพอ่
รอบ แลว วนไปทางทศิ เหนือ ซ่งึ บนั ดาลใหส มเด็จ พระจกั ชาญชเยศได้ ด่งั ท้าวใฝ่ฝัน
พระนเรศวรมหาราชทรงตัดสนิ พระทยั ไปทางน้นั )
โคล๒ง๏๑ ๑๒ คร้นั บดนิ ทร์ดาลได ้ สดบั พยากรณไ์ ท้
• จากเนอ้ื เรอ่ื งท่ยี กมาสะทอนคตคิ วามเชื่อ ธิรา๒๏ช๑๒แ ผเว้ปพรนูมเปกรษีดมิ์ปราโมทยแ์ ท้
อยา งไร กล๒่า๏๑ว๓ ต้อพงรตะาพมลฝนัันทรงเครื่องต้น2 เพราะพระโหรหากแก้
(แนวตอบ คาํ ประพันธท ย่ี กมาขา งตน สะทอ น
ความเชอื่ เรอ่ื งลางบอกเหตุ ปรากฏการณ แห๒ล๏๑ง่ ๔ หลสา้มคเดวรจ็ ชอมน ชุ ชานนื่ อ้นงาแกว้ งามประเสริฐเลิศลน้
ทางธรรมชาตทิ ่เี ปนมงคล คอื มีแสงสวา ง
เวยี นรอบกองทัพ 3 รอบ จงึ เช่ือวาเปนแสง เพรศิ พรอ้ มเพราตา ยงิ่ แฮ ทรงสภุ าภรณแ์ พรว้
นาํ ทางไปสูช ัยชนะ)

๒ร๏๑่า๕ ย สองขัตติยายุรยาตร ยังเกยราชหอทัพ ขุนคชขับช้างเทียบ ทวยหาญเพียงแผ่นภู
ดมู หิมาดาดาษ สระพราศพร้อมโดยขบวน องคอ์ ดิศวรสองกษัตรยิ ์ คอยนฤขตั รพิชัย บัดเด๋ยี วไท
ทฤษฎ ี พระศรีสารีริกบรมธาตุ ไขโอภาสโศภติ ชว่ งชวลติ พ่างผล สม้ เกล้ยี งกลกุกอ่ ง ฟอ่ งฟา้ ฝา่ ย
ทักษิณ ผินแวดวงตรงทัพ นับค�ารบสามครา เป็นทักษิณาวรรตเวียน ว่ายฉวัดเฉวียนอัมพร
ผา่ นไปอดุ รโดยด้าว พลางบพิตรโทท้าว ท่านตั้งสดุด ี อยู่นา
ฯลฯ
96

เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
1. เบ้อื งบรมขตั ติยทอ งทอ ง แถวธาร
ครแู นะความรูใหนักเรยี นเพ่ิมเติมจากเหตกุ ารณท ่ีสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง 2. พระจกั ไลลยุ ลาญ เศิกไสร
สบุ นิ ไปวา ไดต อสูก ับจระเขในนา้ํ แลวฆา จระเขตายเปน พระสุบินทเ่ี รียกวา 3. ริปู บ รอราญ ฤทธิร์ าช เลยพอ
“เทพสังหรณ” จากความวา “เทวัญแสดงเหตุให สังหร เหน็ แฮ” แสดงใหเ ห็นถึง 4. พระจกั ชาญชเยศได ด่ังทา วใฝฝ น
ความเชอ่ื เกยี่ วกบั ลางบอกเหตุ ซง่ึ นาํ ไปสกู ารตดั สนิ พระทยั และขวญั กาํ ลงั ใจในการทาํ ศกึ คําประพันธใ นขอใดมีคาํ ที่หมายถงึ “รบ”
พระสบุ ินของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเปน ลางดที ่จี ะเอาชนะศัตรใู นการทาํ ศกึ ครงั้ นี้ 1. ขอ 1. ขอ 2.
2. ขอ 2. ขอ 3.
นกั เรยี นควรรู 3. ขอ 3. ขอ 4.
4. ขอ 1. ขอ 4.
1 ลาญ ทาํ ลายใหแ ตกพา ย ลุยไลข า ศึกใหแ ตกพายไปทเี ดียว
2 เคร่อื งตน เครอื่ งทรงสําหรับพระเจา แผน ดินในพระราชพิธี เชน พระราชพิธี วิเคราะหค าํ ตอบ คําประพนั ธท ีม่ ีคาํ ท่หี มายถึง “รบ” คือ
บรมราชาภิเษก เรยี กเต็มวา ฉลองพระองคเคร่ืองตน รวมทง้ั ใชเรยี กของใช ของเสวย
สาํ หรบั พระเจา แผนดนิ ขอ 2. คาํ วา “ลาญ” และขอ 3. คําวา “ราญ” ตอบขอ 2.

96 คู่มือครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

โคล๒ง๏๑ ๘๔ พระเปรมปราโมทยน์ ้อม ฯลฯ วนั ทนา นกั เรยี นกลมุ ที่ 4 รว มกนั ศกึ ษาเนอื้ เรอ่ื ง ตอน 7
ฤทธิแ์ กลว้ พระมหาอปุ ราชาทรงปรกึ ษาการศึกแลวยกทัพเขา
พลางพระทรงไอยรา นภุ าพ๑ พน้ แฮ ปะทะทัพหนา ของไทยในประเด็นตอ ไปน้ี
พระคเชนทร์ชอ่ื ไชยยา แผกแพ้ทุกพาย
เอิกฤทธิ์ • พระมหาอปุ ราชาทรงวางแผนการรบครง้ั น้ี
อาจ๒๏๑เข๙ น่ พคลชาศยกึ ปแรผาว้ บ ไ ตรจักร๒อา้ ง ทั่วไซร้ อยา งไร
วรเสด็จ ทรงนา (แนวตอบ พระมหาอปุ ราชาทรงศกึ ษากาํ ลงั พล
อาจปราบคชทกุ ทิศ ธิราชเจ้าจอมสยาม ของไทยวา มจี าํ นวนเทา ไร ซง่ึ ไดค าํ ตอบวา
เอกาทศรถอิศ ประมาณสิบเจ็ด สบิ แปดหมื่นหรอื หนึง่ แสน
น�าคเชนทเรศไท ้ เจด็ หม่นื หน่งึ แสนแปดหม่นื ซึ่งนอ ยกวา
ทพั พมามากนกั จึงปรึกษาแมท พั นายกองวา
ตอน ๗ ทพั ทย่ี กมานน้ั เปน ทพั จากพระนครเปน ทพั ใหญ
พระมหาอุปราชาทรงปรึกษาการศึกแล้วยกทัพเขา้ ควรจะตที พั แรกทย่ี กมาน้ีใหแ ตกยับเยนิ
ไปกอ น จะไดเปนการงา ยในภายหลงั ทจี่ ะ
ปะทะทัพหน้าของไทย ยดึ กรงุ ศรอี ยธุ ยา จากนน้ั จงึ มบี ัญชาสง่ั ให
๒ร๏๒า่ ๘ ย ฝ่ายกองตระเวนรามญั อนั ขนุ ศกึ ธ ใช้ ให้เอามา้ มาลาด คอยขา่ วราชริป ู ดทู พั ชาว เตรียมพลในเวลา 3 ยามใหพรอม แลวตี
11 นาฬก า หรอื 5 ทมุ เคล่ือนทัพใหไปสวา ง
พระนคร จักออกรอนออกรบ จักออกทบออกทาน เอาอาการมาบอก แม้ บ ออกต่อติด จักประชิด ขางหนา )

เพมวือกงพถหึง ล1หจึงมสู่มมา้ ิง อหะา้ คร้อรย้านมาขมุนอกงอคงว ารมอ งยสลมสิงยเาปม่อย๓าปตลรัดททพั ัพ อยกูท่ับา่สรมับิงรซาายยคมา่ ่วยน ข อทบั้งหสานมอดงส่วนรา่ เยด2เินรพียบล

พยหู ์ ดูกองหนา้ กองหลวง แลทัง้ ปวงทราบเสร็จ เร็วระเหจ็ ไปทลู แดนเรศูรอุปราช ครนั้ พระบาท
ได้สดับ ธ ก็ทราบสรรพโดยควร ว่านเรศวรกษัตรา กับเอกาทศรุถ ยกมายุทธ์แย้งรงค์ แล้ว
พระองค์ตรัสถาม สามสมิงนายกองม้า ถ้าจักประมาณพลไกร สักเท่าใดดูตระหนัก ตรัสซ�้าซัก
เขาสนอง ว่าพลผองทั้งเสร็จ ประมาณสิบเจ็ดสิบแปดหมื่น ดูดาษด่ืนท่งกว้าง คร้ันเจ้าช้างทรง
สดับ ธ ก็ตรัสแก่ขุนทัพขุนกอง ว่าซึ่งสองกษัตริย์กล้า ออกมาถ้ารอรับ เป็นพยุหทัพใหญ่ยง

คคง่อเยขเาบนา้อแยรกงเวบ่าาเรมาือ มเารก็วกเรว่งา่ ฮเือขเาขห้าลหา้อยมส ่วนล้อ มจก�าเรรุงาเดทว่ พนทจวโู่ าจรมัต 3ิ โหชิงมเหอกัาฉเอัตารแตตัด่แเรขก็ญ ตเใีหห็น้แไตดก้เวยียน่ งย4โด่อยย

สะดวก แล้ว ธ สั่งพวกขุนพล เทียบพหลทุกทัพ สรรพแต่สามยามเสร็จ ตีสิบเอ็ดนาฬิกา
จกั ยาตราทพั ขนั ธ ์ กันเอารุง่ ไว้หนา้ ๔ เรว็ เรง่ จดั อยา่ ชา้ พร่งุ เชา้ เราต ี เทอญนา

๑ ไชยยานภุ าพ ชา้ งทรงของสมเดจ็ พระนเรศวร
๒ ปราบไตรจกั ร ชา้ งทรงของสมเด็จพระเอกาทศรถ
๓ สมงิ อะครา้ น ตามฉบับสมุดไทย แต่ในฉบบั สมดุ พมิ พ์เปน็ “สมงิ ครา้ น” คา� “สมิงเป่อ” ตามฉบับสมุดพิมพ์ แต่ในฉบบั สมดุ ไทยเป็น

“สมิงเปอ” ได้สอบในพระราชพงศาวดารของหมอบรัดเลยม์ คี วามวา่ ดังนี ้ “ฝา่ ยสมงิ จกั ตราน สมิงเปว สมงิ ทรายมอญ นายกองมา้
๔ คอยเหต ุ เห็นกองทัพหนา้ และกองทัพหลวง ดังน้นั ” ช่อื ตา่ งกนั อยดู่ ังนี้
กนั เอารงุ่ ไว้หน้า ไปสว่างเอาขา้ งหน้า
97

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู
คาํ ประพันธใ นขอ ใดไมม ี คําทมี่ คี วามหมายวา “ชา ง”
1. อาจเขน คชศึกแผว แผกแพทุกพาย 1 พหล เปนคําวเิ ศษณ หมายความวา หนาแนน ในคําประพนั ธมคี วามหมายวา
2. พลางพระทรงไอยรา ฤทธแ์ิ กลว กองทพั หรอื กระบวนพล
3. นาํ คเชนทเรศไท ธริ าชเจาจอมสยาม 2 หนองสรา ย ตาํ บลหนองสาหรา ย อยทู างทศิ ตะวนั ตกของอาํ เภอศรปี ระจนั ต ใน
4. หอบธมุ างคจ างจา จรสั ดา วแดนสมร จังหวดั สพุ รรณบุรี อยูเหนือเจดียยทุ ธหตั ถีขน้ึ ไปประมาณ 150 เสน (20 วา
เปน 1 เสน)
วเิ คราะหค าํ ตอบ คาํ ที่มคี วามหมายวา “ชาง” ไดแก คาํ วา “คช” 3 ทวารตั ิ ยอ มาจาก ทวารวดี คือ กรงุ เทพทวารวดศี รีอยธุ ยา หมายถงึ กรุงเกา
ในขอ 1. คาํ วา “ไอยรา” ในขอ 2. คาํ วา “คเชนท” ในขอ 3. สว นขอ 4. บัดนี้
“หอบธมุ างคจ างจา จรสั ดา วแดนสมร” หมายความวา หอบเอาฝนุ 4 เวยี ง วัง เมอื ง กําแพง
ตรลบไปทําใหส วางขึ้นมาจนมองเห็นสนามรบ ไมมคี าํ ทม่ี ี

ความหมายวา “ชาง” ตอบขอ 4.

คู่มอื ครู 97

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

นกั เรียนกลมุ ท่ี 4 รว มกนั ตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี โคล๒ง๏๒ ๙๔ เสนีรบั ถอ้ ยท่าน ทกุ ตน
• ฉากการรบระหวา งไทยกบั พมา มีความ ตา่ งเร่งตรวจเตรียมพล ทกุ ผู้
พลหาญหน่ื หนรณ เรงิ รา่ น อยแู่ ฮ
โดดเดนทางดานฉนั ทลกั ษณอ ยางไรบาง คอ๒ย๏๓จ๐ กั ขคบัรนั้เคยยี่ าวมสสู้ ิบ เ อด็ แลว้ เข่นเสี้ยนศึกสยาม
(แนวตอบ ฉากการรบระหวา งไทยกับพมา องค์อัครอุปราชา เวลา ลเุ อย
ถอื วาเปนตอนท่มี ีความโดดเดนทางดาน โสรจสรงรสธารา หน่อไท้
ฉนั ทลักษณม ากท่ีสุด กวีไดสรรคาํ เหมาะกบั เฉลมิ วิเลปนล์ ูบไล ้ รวยรน่ื ฉมนา
การพรรณนาฉากการรบไดอยา งไพเราะ ฯลฯ เฟือ่ งฟุ้งเสาวคนธ์
ทง้ั รสคําและรสความ โดยการใชค ําอพั ภาส ๏๒๓๘ ภเู บนทรบ์ ่ายบาทขึ้น เกยหอ
ทีม่ ีการซาํ้ เสยี งพยญั ชนะตน ดงั ความวา กาจกล้า
“...สองฝา ยยันยืนยทุ ธ อุดองึ โหเอาฤกษ ขี่คชชื่อพทั ธกอ เขาเงือด เงอ้ื แฮ
เอิกอึงเหเ อาชยั สาดปน ไฟยะแยง แผลงปน บ่ เขด็ บ่ ขามขอ เสอื กเสอื้ งส่ายเสย
พษิ ยะยงุ พงุ หอกใหญค ะควา ง ขวา งหอกซัด มันตกติดหลังหน้า
คะไขว ไลคะคลุกบุกบนั เงื้อดาบฟน ฉะฉาด ฯลฯ
งา งา วฟาดฉะฉับ...” ซงึ่ ทาํ ใหเห็นภาพการ อนสุ นธ๒สิ๏ร๖า่ัง่๗ ยไทส ้ ่วธน ใพหร้ยะายตารศยรกีไโสยธน ี รองอคก์ โจสมอตงีตขัดุนศคกึ ง คแวตบย่ ทามัพ1ด กึ กเัดบินพพรละ รเารชง่ ขฤวทาธยาขนวนนเตต์ รยีทมรทาพับ
เคลือ่ นไหวแบบเรง รบี และมีการเลนคําซ้ํากัน
หลายที่ ดังความวา “...อกุ ตอ อุกเขา รา สรรพห้าหมื่นโดยมี ตนพระยาศรีข่ีคช ปรากฏชื่อมาตงค์ พลายสุรงคเดชะ เมืองสิงหะ
กลา ตอ กลา ชงิ บ่ัน กลัน่ ตอ กล่ันชิงรอน ปีกขวา ออกญาสรรค์ปีกซ้าย เห็จคชผ้ายทุกมุล๑ ขุนผู้คู่ก�ากับ เป็นทัพหลังพรั่งพฤนท์
ศรตอศรยงิ ยืน ปนตอ ปน ยิงยนั กทุ ัณฑตา ง ข่ีคชินทรพาหะ นามชนะจ�าบัง รังปีกป้องกองขวา พระยาวิเศษชัยชาญ ขุนหาญปีกอุดร
ตอบโต โลต อโลตอต้งั ดัง้ ตอดัง้ ตอติด
เขนประชิดเขนสู ตาวคูคตู าวตอ หอกหนั เทจัพ้าเนมคือรงชนัยนนทา์ปทีก ขกวอาง หตนร้าีเสอนาจาโเกจม้ากปอรงะ2 จลัญ�า ลใอหง้พเหรละ่ายอาาสสุพาร รสณ�่าผศ้าายสพตยราู่หค์ รผบู้ปมีกือซ ้าถยือเกมรือะงลธับน
รอ หอกรบั งาวงา จับงาวประจัญ ทวนผดั ผัน
ทวนทบ รบอลวนอลเวง ตาง บ เกรง บ กลวั กระลอก หอกดาบปืนแสะสาร แสนยาหาญแน่นขนัด รัดเร่งเท้า๒เร่งเทา โดยล�าเนาล�าดับ
ตวั ตอ ตวั ชิงมลาง ชา งตอ ชา งชิงชน คนตอ ถับถึงโคกเผาเข้า๓ พอยามเช้ายังสาย หมายประมาณโมงครบ ประทบทัพรามัญ ประทัน
คนตอ รบ...” ซง่ึ เปน ลักษณะของการถวงเสียง ทัพพม่า ขับทวยกล้าเข้าแทง ขับทวยแขงเข้าฟัน สองฝ่ายยันยืนยุทธ์ อุดอึงโห่เอาฤกษ์
ดวยการใชคําซาํ้ เพอื่ ยํ้าใหเ หน็ ภาพเหตุการณ เอิกอึงเห่เอาชัย สาดปืนไฟยะแย้ง แผลงปืนพิษยะยุ่ง พุ่งหอกใหญ่คะคว้าง ขว้างหอก
ท่ีกาํ ลังเกิดขน้ึ ไดช ดั เจนและมีความตอ เนอื่ ง ซัดคะไขว ่ ไลค่ ะคลุกบุกบนั เง้ือดาบฟนั ฉะฉาด ง่างา้ วฟาดฉะฉับ ขับปกี ซา้ ยเข้าดา ขบั ปีก
โดยใหอ ารมณ ความรสู ึกจากเบาไปหาหนัก ขวาเข้าแดก แยกกันออกโรมรัน ปันกันออกโรมรณ ทนสู้ศึก บ่ มิดล อดสู้ศึก บ่ มิลาด
และหนักข้ึนเรอื่ ยๆ เปนกลวธิ ที างภาษา
เหมาะสมกบั เน้อื หาและรูปแบบทใ่ี ชรา ย อปาืนจตต่อ่อปอืนาจยเิงขย้าันรุก กอุทุกัณตฑ่อ3อ์ตุก่าเงขต้าอร้าบ โตกล้ ้าโตล่อ่ตก่อลโ้าลช่ติง่อบต่ันั้ง กดลั้ง่ันตต่อ่อดกั้งลต่ัน่อชติงิดรอ นเข นศปรรตะ่อชศิดรยเขิงนยืนสู้
ในการบรรยายเหตกุ ารณสูร บ)
๑ เหจ็ คชผ้ายทกุ มุล นายทหารทุกคนขีช่ า้ งไป
๒ เท้า ตามฉบบั สมดุ ไทยทั้ง ๓ ฉบับ แต่ในสมดุ พิมพ์ท้ัง ๓ ฉบบั เป็น “เทา” คงจะเป็นดว้ ยตกโทตามๆ กันไป
๓ โคกเผาเขา้ ชอ่ื ตา� บลในจงั หวัดสพุ รรณบุรี

98

นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
“...อกุ ตอ อกุ เขา รา กลา ตอ กลา ชิงบัน่ กล่นั ตอ กลนั่ ชงิ รอน
1 ยาม การนับโมงยามแบบโบราณนั้นแบง เวลากลางคนื ออกเปน 4 ยาม กลาง ศรตอ ศรยงิ ยืน ปน ตอปนยิงยนั ...”
วัน 4 ยาม การนับโมงยามแบบโบราณในเวลากลางคนื มีดังนี้ ขอใดไมใ ช ลกั ษณะทางวรรณศลิ ปข องขอความขางตน
1. ใชค ําท่ีทาํ ใหเ กดิ จินตภาพ
• ปฐมยาม (ยามตน ) จากยามคา่ํ ไปถึง 3 ทมุ (18.00-21.00 น.) 2. ใชการซํา้ คาํ ในวรรคเดียวกัน
• ทตุ ยิ ยาม (สองยาม) จาก 3 ทุม ไปจนถงึ 6 ทมุ (21.00-24.00 น.) 3. ใชค ําท่มี เี สยี งสมั ผสั พยญั ชนะ
• ตติยยาม (สามยาม) จาก 6 ทุม ไปจนถงึ 9 ทมุ (24.00-03.00 น.) 4. ใชคาํ ท่ขี ึน้ ตน วรรคเปนคําตายทัง้ หมด
• ปจ ฉมิ ยาม (สยี่ าม) จาก 9 ทุม ไปจนถึงยํา่ รุง (03.00-06.00 น.) วเิ คราะหค ําตอบ ขอ 1. ใชคาํ ทีท่ าํ ใหเหน็ การตอ สูกนั อยา งตอ
2 ตรเี สนาเกา กอง สามทพั จดั เปน เกากอง ซงึ่ ตา งมปี ก ซายขวา เน่อื ง ขอ 2. การซา้ํ คาํ ในวรรค ไดแก คําวา อกุ กลา กล่นั ศร
ทั้งสามกองจึงเปนเกา กอง คือ และปน ขอ 3. เสยี งสัมผสั ของพยญั ชนะ ไดแก ยงิ -ยืน, ยิง-ยัน
• ทพั หลวง “พระยาศรไี สนรงค” ขอ 4. คาํ ทีข่ นึ้ ตนวรรคมีคาํ ตายคําเดียว คอื คาํ วา “อกุ ” จึง
• ทัพหลงั “พระยาฤทธานนต” ไมใ ชล กั ษณะทางวรรณศิลปของขอ ความขา งตน ตอบขอ 4.
• ทัพหนา “พระยาสุพรรณ”
3 กุทัณฑ หรือ เกาทณั ฑ หมายถงึ ธนู

98 คมู่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

ตาวค่คู ตู่ าวตอ่ หอกหนั ร่อหอกรบั งา้ วง่าจบั งา้ วประจญั ทวนผัดผันทวนทบ รบอลวนอลเวง นักเรยี นกลมุ ท่ี 4 รว มกันตอบคาํ ถามตอไปนี้
ตา่ ง บ เกรง บ กลัว ตวั ต่อตวั ชงิ มลา้ ง ช้างตอ่ ช้างชงิ ชน คนตอ่ คนต่อรบ ของา้ วทบทะ๑กนั • ฉากการปะทะกันระหวางทพั พมา กบั ทัพไทย
ตา่ งฟันต่างปอ้ งปดั วางสนดั หลังสาร ขานเสียงคกึ กึกก้อง ว่องต่อว่องชงิ ชัย ไวต่อไวชิงชนะ
ม้าไทยพะม้ามอญ ต่างเข้ารอนเข้าโรม ทวนแทงโถมทวนทบ หอกเข้ารบรอหอก หลอกล่อไล่ ในหนา 98 - 99 มีลกั ษณะทางวรรณศลิ ปท่ี
ไขวแ่ คว้ง แย้งธนเู หน่ียวนา้ ว ห้าวตอ่ ห้าวหกั หาญ ชาญตอ่ ชาญหักเชีย่ ว เรยี่ วตอ่ เรย่ี วหกั แรง โดดเดน อยางไร
แขงต่อแขงหักฤทธ์ิ ต่างประชิดฟอนฟัน ต่างประชันฟอนฟาด ล้วนสามารถมือทัด ล้วน (แนวตอบ บทบรรยายการปะทะกันระหวาง
สามรรถมือทาน ผลาญกันลงเต็มหล้า ผร้ากันลงเต็มแหล่ง แบ่งกันตายลงครัน ปันกันตาย ทัพพมากบั ทัพไทยมีลกั ษณะวรรณศลิ ปที่
ลงมาก ตากเต็มทง่ เตม็ เถ่อื น ตากเตม็ เผอื่ นเตม็ พง ท่ยี ังคง บ มยิ ู่ ท่ียังอยู่ บ มิหย่อน ต่างต่อกร โดดเดน คือ การถวงเสียงดว ยการใชคําซ้ํา
ฮกึ ฮอื ต่างตอ่ มอื ฮึกฮัก หนกั หนุนแน่นมาหนา ดาหนุนแนน่ มาดาษ บ่ รขู้ ยาดย่อทพั บ่ รู้ขยบั ลกั ษณะนที้ าํ ใหเ กิดความสมดลุ ของเสยี ง
ย่อศึก คะคึกเขา้ ตอ่ แกล้ว คะแคล้วเข้าต่อกล้า ต่างชงิ ฆา่ ชงิ หนั่ ต่างชงิ บั่นชิงฟนั ปนั กันยิง และยํา้ ความรูสกึ นนั้ ๆ ใหห นกั แนน หรอื
กันแผลง ปันกนั แทงกนั พุง่ ยอยทุ ธ์ยุ่ง บ มแิ ตก แยกยุทธ์แยง้ บ มิพัง ทวยหน้าหลงั ตอ้ นผา้ ย เบาข้นึ ดงั บทประพนั ธ
ทวยขวาซ้ายต้อนพล เข้าผจญจู่โจม โหมหักหาญราญรบ ต่างท่าวทบระนับ ต่างท่าวทับ “...ตาวคูคตู าวตอ หอกหันรอ กหอกรับ
งาวงา จบั งาวประจญั ทวนผัดผันทวนทบ
ระนาด บ้างตนขาดหวั หวน้ิ บา้ งขาดน้ิ แขนเด็ด บ อยากเข็ดอยากเกรง บ อยากเยงอย1ากย่าน รบอลวนอลเวง ตา ง บ เกรง บ กลวั ตวั ตอ ตวั
ชงิ มลา ง ชา งตอ ชา งชงิ ชน คนตอ คนตอ รบ...”
บัดมอญม่านมาหลาย รายกันโอบกันอ้อม ล้อมกระหนาบหน้าหลัง ไทยประนังน้อยแง่ และอาจมีบางคร้ังเสียงซา้ํ ท่ีใชถ วงอาจไมไ ด
แผอ่ อกรบ บ มริ อด ถอดถอยท้อรอรับ มอญขยับยกตาม หลามเหลือล้นพลเตา้ เสยี งปืน อยูในวรรคหรือบาทเดียวกนั เปน เพราะ
ตึงตื่นเร้า เรง่ ครน้ื เครงครกึ อยูน่ า การเลน คําซํ้าหรือเสยี งซา้ํ นั่นเอง เชน
โคล๒ง๏๖๘๒ พันลึกลม่ ลั่นฟา้ “...ตางทาวทบระนับ ตางทา วทับระนาด
เฉกอสนุ ีผา่ หลา้ บา งตนขาดหัวหวนิ้ บา งขาดน้ิ แขนขาด...”
แห๒ล๏๖่ง๙ เพด้ียงั งตพรกลพบงั โลกแล้ แลนา เปน ตน)
ชน๒ะ๏๗ผ๐ ใู้ ดสดอางลฝา่ ยหาญใช่ชา้ ฤๅ บ่ ร้างรแู้ พ้ • นักเรยี นคิดวา การวางแผนรบของพระมหา-
ฉงนนา อุปราชาประสบความสําเรจ็ หรือไม อยา งไร
ต่อแกล้วในกลาง คอื สีหสูส้ หี กล้า (แนวตอบ ฝายกองทพั ไทยปะทะกับกองทพั
สมรนา พมา ทงั้ สองฝา ยสกู ันตัวตอ ตัวดว ยอาวุธ
ตอน ๘ ชนิดเดียวกัน ตางฝา ยตา งสญู เสีย ลม ตาย
สมเด็จพระนเรศวรทรงปรกึ ษายุทธวิธเี อาชนะข้าศกึ เปนจาํ นวนมาก แตทหารทเ่ี หลอื ก็ยงั คง
โเรคียล๒บง๏๗๑พ๔ ิรปิย2าพงลอพุภรยั รภคเู ์บศเบ้ือง ตอ สกู นั อยางไมก ลวั ตาย อยางไรกต็ ามดว ย
ทเจวียยนทจชิ วาบกรรว3นิว้อรมรณ บรู พถ์ วลั ย ราชย์แฮ วา กองทพั พมามีไพรพลจํานวนมากกวา
พรั่งพรอ้ ม สามารถตามตโี อบลอ มกองทพั ฝา ยไทยไวได
รางเรอื่ แลฤๅ ทาํ ใหฝายไทยตอ งถอย ขณะทฝ่ี า ยพมาก็
ฯลฯ นอบนิว้ เสนอทลู รุกตาม จึงเห็นวาฝายพมา เอาชนะศึกใน
ชวงนไี้ ด)
๑ ทบทะ ตามฉบับสมุดไทย ๒ ฉบับ แต่สมุดไทยอีกฉบับหน่ึง กับฉบับพิมพ์ท้ัง ๓ ฉบับ เป็น “ปะทะ” โดยผู้แต่งตัดพยางค์หน้า
“ปะ” เหลอื แค่ “ทะ” สว่ นค�าวา่ “ทบ” กส็ นั นิษฐานวา่ มาจาก “กระทบ” โดยผู้แต่งตดั พยางค์หน้า “กระ” ออกเช่นเดียวกนั

99

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู
“พนั ลึกลมลนั่ ฟา เฉกอสนุ ีผา หลา
แหลงเพี้ยงพกพงั แลนา ลกั ษณะการถว งเสยี งดว ยคําซ้าํ เปน ลักษณะเดนของรา ยสภุ าพในลลิ ิตตะเลงพา ย
ดังตรลบโลกแล ฤๅ บ รา งรูแ พ ครแู นะใหนักเรียนยกบทประพันธทม่ี ีลกั ษณะน้ีเพ่มิ เตมิ เพ่อื ใหนักเรียนเห็นภาพและ
ชนะผูใ ดดาล ฉงนนา” รายละเอียดของฉากการสรู บ ซง่ึ เปน ฉากท่ีกวสี ามารถใชภาษาในการส่อื บรรยากาศ
คาํ ประพันธขา งตนใชภาพพจนใ ด เหตุการณท ี่ใหอ ารมณส อดคลอ งกบั เนอ้ื เรอื่ ง เปน ภาพของทหารทง้ั สองฝา ยตอ สกู นั
1. ภาพพจนอุปมา ดว ยความฮกึ เหมิ กลา หาญ
2. ภาพพจนส ทั พจน
3. ภาพพจนบ ุคคลวตั นกั เรยี นควรรู
4. ภาพพจนอปุ ลกั ษณ
1 ประนงั ประชมุ รวม ในความวา “ไทยประนงั นอ ยแง” ฝา ยไทยรวมกนั อยนู อ ยคน
วิเคราะหคาํ ตอบ บทประพันธข า งตน ใชภ าพพจนอุปมา โดยมี 2 พิรยิ คนกลา นกั รบ
คําแสดงความเปรยี บ คาํ วา “เฉก” ซึง่ เปรียบการสูรบกันวามีเสียง 3 ทชิ ากร พราหมณ “ทวยทชิ ากร” หมายความวา พวกพราหมณ

ดังสน่ันเหมือนฟา ผากอ งไปทว่ั ตอบขอ 1. คู่มือครู 99

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

นกั เรียนกลุมที่ 4 นําเสนอประเดน็ ที่เกย่ี วกับ ๏๒๗๒ เชญิ ไทย้ รู ยาตรเตา้ เตียงสนาน
ตอน 8 สมเดจ็ พระนเรศวรทรงปรกึ ษายุทธวิธี
เอาชนะขา ศึก ดงั น้ี ถวายมุทธาภิสิตธาร เพรยี กพร1้อง
ศวิ เวทวษิ ณบุ รรสาน
• สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงวางแผนการ สังขโ์ สรจ สรงแฮ
รบอยา งไร เมอื่ กองทพั ไทยลา ถอยไมเ ปน มหรทึกครกึ เครงกอ้ ง เกริกหลา้ หว่ันไหว
กระบวน ฯลฯ
(แนวตอบ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรง
ปรกึ ษากับแมทัพนายกอง และทรงเหน็ ดวย ร่าย
กับการสงไพรพ ลทพั หนาไปกอ น เพ่ือใหขา ศึก ๏๒๗๗
ออ นกาํ ลังลงกอน แลว จึงจะสง ทัพหลวงตาม ฝ่ายชีพ่อทวิชาชาติ ราชปุริโสดม พรหมพิทยาจารย์ เบิกโขลนทวารโดย
ไปเสรมิ แตสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง กระทรวง ปวงละว้าเซ่นไก่ ไขว่สรวงพลีผีสาง พลาง ธ ส่งแสงอาชญา แด่หลวงมหาวิชัย
เลง็ เห็นวา ทัพไทยกําลงั พายอยู ถา สง ไปอกี ใจทระนงองอาจ ยาตรตัดไม้ข่มนาม ตามต�ารับไสยเพท บัดนฤเบศทรงสดับ เสียงปืนทัพ
จะแตกพายเปน ครงั้ ที่สอง พระองคจงึ ทรง แย้งยุทธ ์ สุดอ�าเภอเลอโสต๑ โปรดโองการ 2ธ ใช้ ใหห้ มนื่ ทิพเสนา เห็จอาชาเรว็ รีบ ถีบไปสบื
เห็นวา ควรวางแผนใหทพั ไทยลาถอยลงมา
อยา งเร็ว เพื่อลวงใหท ัพพมา ไดใจคิดวา ไทย เอาการ เขารบั สารข้นึ มา้ ควบ บ ชา้ บ หึง ถงึ ท่ีทวยพลทพั รับพลางถอยพลางลา่ มอญพมา่
กาํ ลงั จะพายแพ ทพั พมา ไมล วงรกู ลศึกก็จะรีบ ตามติด ประชิดไล่อลวน ผจญรับอลหมา่ น ผา่ นทอ้ งทง่ ท้องนา ดามาโดยแดนผล ู ดูคะคลา
ติดตามมาตอี ยา งรวดเร็ว ซึง่ จะทําใหฝายไทย คะคลา�่ บ ่ รกู้ ส่ี า่� สบั สน เขาเอาตนหมน่ื หนงึ่ ๒ ซงึ่ เนาในกองทพั กลบั มา้ นา� มาเฝา้ จง่ึ พระพทุ ธเจา้ 3
ตลบหลงั ตีไดโดยงา ย)
อยู่หัว ตรัสถามตัวหมื่นพล เยียใดกลจึ่งพ่าย เขาจ�าหน่ายเหตุสนอง ว่าเผือผองผาดผ้าย
ท้ายดอนเผาธัญญา๓ พอนาฬิกาหน่ึงนับ ปะทะทัพดัสกร เข้าราญรอนรุมรุก คลุกคลีกัน
หน่นั หนา ปวงปจั จามติ รมาก หลากทุกคราทกุ ครง้ั ตง้ั ตนตอ่ บ มคิ ง ตรงตนต่อ บ มิหยุด
เหลือจักย4ุทธจ์ ่งึ ลาด ครน้ั พระบาทยนิ สาร ธ ก็บรรหารตระบดั ตรสั ปรึกษาหาเลศ แห่งเหตุ

เพโทบาย ถ้วนทุกนายทุกมุล ท่ัวทุกขุนหมู่มาตย์ คาดความคิดทั้งมวล ควรยศใดใครเห็น
จักเข่นเข็ญให้มอด จักขอดเข็ญให้ม้วย ด้วยถ่ายเทเล่ห์ไหน วาน5เขือไขอย่าอ�า เขาขานค�า

ท่านถาม สงครามคราน้ีหนัก เชิญเสด็จพักพลหมั้น แต่งทัพซั้นไปหน่วง ถ่วงศึกไว้จงหนา
ชราัยมชือ7อลบง กธ่อ กนต็ไสรสัร้ ตอไวบ้สมักนคตรรั้ง ี รตั้งรรออง คพดอีดไแู ดผ้ทกีจ6 ึ่งฝยา่ ายตเรรา แยตกกพย่นยุหยับบ าจตกั รสอง่อทกพั รไาปญท าเนห ็นพคอวพรลกอายร

ฉานสองซ้�า ค้�า บ อย่ ู บ หยดุ ชอบถอยทรุดอย่าร้ัง๔ ให้ศึกพล้ังเสยี เชงิ โดยละเลงิ ใจอาจ
ยาตรตามติดผิดขบวน ควรเรายกออกโรม โหมหักหาญราญรงค์ คงช�านะเศิกไสร้ ได้ด้วย
งา่ ยด้วยงาม เขายนิ ความยลชอบ นอบประณตแด่ไท ้ ธ ใหห้ มน่ื ทพิ เสนา กับหมื่นราชามาตย์
เหินหยั ราชรีบร้อน ไปเตือนต้อนกองนา่ เรว็ เร่งล่าอย่ารงั้ ทวยพหลทวั่ ทั้ง ทราบขอ้ บรรหาร
ทา่ นนา

๑ สดุ อ�าเภอเลอโสต สดุ เขตท่จี ะได้ยินชดั เจน คือ ได้ยินเพยี งแว่วๆ
๒ เขาเอาตนหม่นื หนง่ึ เอาทหารชัน้ ขุนหมื่นมาหนึง่ คน
๓ ดอนเผาธญั ญา ตา� บลโคกเผาขา้ ว
๔ ชอบถอยทรดุ อยา่ รงั้ ทางทถี่ ูกน่าจะถอยร่นเรื่อยๆ อย่ารั้งรออยู่

100

นักเรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
ขอใดไมช ี้ ใหเ ห็นวาตองการความเหน็
1 โสรจ เปน คาํ กริยา แปลวา อาบ สรง ชําระ ทําใหสะอาด 1. ธ กบ็ รรหารตระบัด ตรสั ปรึกษาหาเลศ แหงเหตเุ พโทบาย
2 บ หึง ไมน าน 2. ควรยศใดใครเห็น จกั เขนเข็ญใหม อด จักขอดเข็ญใหม วย
3 ผาดผา ย เดินกองทพั 3. จ่งึ พระพุทธเจาอยูหัว ตรัสถามตวั หมน่ื พล เยียใดกลจ่ึงพา ย
4 เพโทบาย อบุ ายกลศกึ 4. เขาขานคําทา นถาม สงครามคราน้หี นัก เชิญเสดจ็ พกั พลหมนั้
5 ซ้นั เปนคาํ กริยา แปลวา ตีถี่ๆ ตีกระชน้ั คาํ วิเศษณ แปลวา ซํ้า รีบ เรว็ วิเคราะหคําตอบ ขอทแ่ี สดงใหเหน็ วา ตอ งการความเหน็ มีดงั นี้
ในความวา “แตง ทพั ซ้นั ไปหนว ง” มีความหมายวา แตง ทพั ซ้ําไปหนว งขาศกึ ไว ขอ 1. ตรสั ปรกึ ษาเพอื่ หาอบุ าย ดงั นนั้ จงึ ตอ งการความเหน็ ขอ 2.
6 แผก แตกตาง แยกออก แตกออก ถามวา ใครทม่ี คี วามเหน็ วา จะใหท าํ อยา งไร ขอ 3. ตอ งการทราบวา
7 ฉาน เปน คาํ นาม แปลวา ขา งหนา ลาน คาํ กริยา แปลวา แตก ในความวา เหตุใดอบุ ายที่วางไวจงึ ลม สว นขอ 4. ตอบคําถามท่ที านถาม
“พอพลอยฉานสองซํา้ ” แปลวา กพ็ อดีพลอยแตกซํ้ามาเปน คร้งั ที่สอง ดังนั้นจึงตอบขอ 4.

100 คู่มอื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

โคลง ๒ นกั เรยี นกลุม ท่ี 5 นําเสนอประเดน็ ท่เี ก่ียวกบั
๏๒๗๘ ตอน 9 ทพั หลวงเคลอื่ นพล ชางทรงสมเดจ็ -
บ นานต่างตนผา้ ย ไป บ่ รอรง้ั ท้าย พระนเรศวรและสมเดจ็ พระเอกาทศรถฝา เขาไป
ถ่ีเทา้ ผาดผงั มานา ในกองทัพขา ศึก ดังน้ี
๏๒๗๙ ผนั หลงั แล่นแผผ่ า้ น บ มีผู้อยตู่ า้ น
หนึ่งนา • ในตอนน้เี กดิ ปรากฏการณใ ดกับทพั ไทย
ตอ่ สูส้ ักตน เห็นไทยผนั หนหี นา้ ท่ีเชอ่ื วา เปน นิมิตหมายทดี่ ี
(แนวตอบ ขณะทสี่ มเด็จพระนเรศวรมหาราช
โคลง ๓ ตน่ื ต1อ้ นแตกฉาน น่านนา ทรงรอฤกษเคลอื่ นทัพหลวงอยนู ้ัน ไดบงั เกิด
๏๒๘๐ เมฆกอ นใหญล อยอยูทางทศิ เหนือ แตแลว
พวกพลทพั รามัญ เท่ห์กลไทยใชน่ อ้ ย ทอ งฟาก็กลับแลดแู จมกระจาง ดวงอาทิตย
ไป บ ่ หยุดยัง้ ชา้ เร่งเต้าตนี ตาม มานา สองแสงจา เปนนิมติ หมายท่ีแสดงถึงพระบรม
๏๒๘๑ ไปแ่ จง้ การแห่งเลห่ ์ บ เปน็ ทพั เป็นขบวนแท้ เดชานภุ าพ และเปนการบงชถ้ี ึงการจะไดร ับ
ไลล่ ้า� ระส�่าระสาย ยง่ิ นา ชัยชนะในการทําศกึ ครัง้ น้ี จากนั้นสมเดจ็
ตา่ งเร่งตดิ เร่งต้อย ประมาทประมาณหม่นิ หมน้ั พระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระ
๏๒๘๒ แลหลงั หลามเหลือนบั ชืน่ หน้ามาสรลม สรลอนนา เอกาทศรถจึงไดเคลอ่ื นกระบวนพล
แบบเกลด็ นาคตามตาํ ราพิชยั สงครามและ
ถวลิ ว่าพา่ ยจริงแล ้ เขาปะทะกบั ทพั ขา ศึก)
๏๒๘๓ หมายละเลิงใจอาจ

เบาเรง่ เบาเชิงชนั้

ตอน ๙
ทัพหลวงเคลื่อนพล ชา้ งทรงสมเด็จพระนเรศวรและ

สมเดจ็ พระเอกาทศรถฝ่าเขา้ ไปในกองทพั ขา้ ศึก

โคลง ๔
๏๒๘๔
เบื้องบรมจักรพรรดิเกล้า กษัตรา
เถลิงพิภพทวารา เกร่นิ แกลว้
สถยิ เกยรตั นราชา อาสน์โอ่ องค์เอย
คอ๒ย๏๘ฤ๕ กษบ์เดั บดกิ ลยวทุ ลธา์แหผกว้2ช อ้ื แผ่นพืน้ หาวหน๑
แหง่ ทิศพายัพยล ชระอบั อยู่แฮ
เยือกฟ้า
เมผลยักผแ่อลงกภราะณลุเามยศกจ3ร้าะ ลับ ลิวลง่ ไปเฮย
แจ่มแจ้งแสงฉาน

๑ คอยฤกษ์เบิกยุทธแ์ ผ้ว แผ่นพ้ืนหาวหน คอยฤกษด์ ทู ้องฟ้าปลอดโปร่งเมือ่ ไรจะไดเ้ คลื่อนทัพ

101

“บัดดลวลาหกชือ้ ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู
ชระอบั อยแู ฮ
แหง ทศิ พายพั ยล เยือกฟา ครทู บทวนความรู ความเขา ใจในเนอื้ เรอื่ งลลิ ติ ตะเลงพา ย ตอน ทพั หลวงเคลอื่ นพล
มลักแลกระลายกระลับ ลวิ ลง ไปเฮย ชา งทรงสมเดจ็ พระนเรศวรและสมเดจ็ พระเอกาทศรถฝา เขา ไปในกองทพั ขา ศกึ
เผยผองภาณเุ มศจา แจม แจง แสงฉาน” โดยใหน ักเรียนจัดกลมุ ปรกึ ษาหารอื กนั เก่ียวกับความรเู ร่ืองการเคลือ่ นทพั แลวให
ขอ ใดเปน ความหมายของคําวา “กระลายกระลบั ” นกั เรียนรวมกันเรียงลาํ ดับเหตกุ ารณต ้งั แตการจัดทพั จนถึงตอนทท่ี พั พาย โดยเขียน
1. ลบั หายไปอยา งชาๆ เรียงลําดบั เปน ขอ ๆ พรอมท้งั รว มกันสรปุ สาเหตทุ ี่ทาํ ใหท ัพพา ย

2. แหลกสลาย นักเรียนควรรู
3. กลบั กลาย
4. มลาย
1 เทห  ตดั คาํ มาจากคาํ วา “สนเทห ” ในความวา “เทหก ลไทยใชนอย”
วเิ คราะหค ําตอบ บทประพันธกลา วถงึ เหตกุ ารณท ท่ี องฟามืดมวั หมายความวา อุบายนาฉงนของไทยมิใชนอ ย
กอ นจะเกิดแสงสวา งจา คําวา “กระลายกระลับ” มคี วามหมายวา
กลับกลาย จากบาทที่ 3 ถอดความไดวา บัดเดย๋ี วกลับกลายแลดู 2 วลาหก เมฆ ในความวา “บัดดลวลาหกช้ือ ชระอบั อยูแฮ” หมายความวา
เมฆมดื มวั
โปรง โลง ลว่ิ ไป ตอบขอ 3.

3 ภาณเุ มศ มาจาก ภานุมา+อศี สกรรถ แปลวา พระอาทิตย 101
คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

นักเรยี นกลุม ท่ี 5 นาํ เสนอประเด็นท่เี ก่ยี วกบั คอื ๒ร๏๘ะ๖ เบคยี ัคบนราัตนนตอน์ นิ ฤทรนาลิส 1รา้ ง ราคนิ
ตอน 9 ทพั หลวงเคลอ่ื นพล ชา งทรงสมเดจ็ พระนเรศวร นบักรสิษทุ ัตธริส์2สรวา่สั งดมิเลดทชไินด ้ ดาดไว้
มหาราชและสมเดจ็ พระเอกาทศรถฝา เขา ไปใน ถ่องโทษ อยนู่ า
กองทพั ขาศึก ดังน้ี โชคชศ้ี ภุ ผล

• เพราะเหตใุ ดสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและ ฯลฯ
สมเดจ็ พระเอกาทศรถจงึ ตกอยูในวงลอมของ
ขา ศกึ ถตับรับ4ปตะรท๒ะร๏๘ะา่ ห๙ ยไนพเักครสินล�าท่ื อเรนน์ ียพงสล ่วตเนสาหีมยัสงเ กฆดลิ้อน็ ดงอกนุภลาัยอค๒ง 3๑ป เจืนต้าศาพึกกร เะตอย็ มึกาทเไอช่ งิกยแกาถ้อนวงุภเกถาาื่ อพหน ล เจเเก้รา่พงลค่ื อร�าะนรยกนา5ลเปร่ นียรแากบสมไนันต ยราชจทันักั พหร ู
(แนวตอบ เหตทุ ส่ี มเด็จพระนเรศวรมหาราชและ ชูหางแล่น แปร้นแปร๋แลคะไขว่ บาทย่างใหญ่ดุ่มด่วน ป่วนกิริยาร่าเริง บ�าเทิงมันครั่นครึก
สมเดจ็ พระเอกาทศรถตกอยใู นวงลอ มของขา ศกึ เข้าสู้ศึกโรมราญ ควาญคัดท้าย บ มิอยู่ วู่วางวิ่งฉับฉิว ปลิวประเล่ห์ลมพาน ส่�าแสะสาร
เพราะชางพระท่ีนงั่ ของทัง้ สองพระองค คอื แสนยา ขวาซา้ ยแซงหนา้ หลัง ท้ังทวยพลตนขุน ถว้ นทกุ มลุ มวลมาตย์ ยาตร บ ทันโทท้าว
เจาพระยาไชยานภุ าพและเจา พระยา ด้าวศึกสู้สองสาร๓ ราญศึกสู้สองไท้๔ ไร้พิริยะแห่ห้อม รพะรเ้อมมียแร6หต่กมลู่ดาัสงกครว ามญอคญช พกม�า่าหดนาดดื่นส ี่
ปราบไตรจักรไดย นิ เสยี งฆอ ง เสยี งกลอง โดยเสด็จ เห็จเข้าใกล้กองหน้า ข้าศึกดูดาษเดียร ธ
กส็ งเสยี งรอ งดว ยความคึกคะนอง เพราะกาํ ลงั เดนิ ดุจคล่ืนคลาฟอง นองนา่ นในอรรณเวศ ตรัสทอดพระเนตรเนืองบร ไลโ่ รมรอนทวยสยาม
ตกมัน ควาญชางบงั คับไวไ มได ทาํ ใหชางทงั้ 2 หลามเหลืองหลั่งค่ังคับ ซับซ้อนแทรกสับสน ยล บ เป็นทัพเป็นกอง ธ ก็ไสสองสารทรง
ชาง ตกเขา ไปอยใู นวงลอมของฝา ย ตรงเข้าถีบเข้าแทง ด้วยแรงมันแรงกาย หงายงาเสยสารเศิก เพิกพังพ่ายบ่ายตน ปนปะไป
พระมหาอปุ ราชา เกิดการตะลมุ บอนวุนวาย
มีฝนุ ตลบตางฝา ยตางมองไมเ หน็ เหมือน
ตกอยูในเวลากลางคนื )

ไขว่คว้าง ช้างศึกได้กล่ินมัน หันหัวหกตกกระหม่า บ่ากันเลี่ยงกันหลบ ประทบประทะ
อลวน สองคชชนชาญเชี่ยว เร่ยี วรณรงค์เริงแรง แทงถีบฉดั ตะลมุ บอน พม่ามอญตายกลาด
ข้าศึกสาดปืนโซรม โรมกุทัณฑ์ธนู ดูด่ังพรรษาซ้อง ไป่ตกต้องตนสาร ธุมาการเกิดกระลบ
อบอลเวงฟากฟ้า ด ู บ ่ รู้จักหนา้ หน่งึ สนิ้ แสงไถง แลนา

โคลง ๔
๏๒๙๐
จง่ึ ไทเทเวศอ้าง สมมุติ
มงิ่ มหศิ วรมกุฎ เกศหลา้
เถลงิ ภพแผน่ อยุธ- ยายงิ่ ยศแฮ
แสดงพระเดชฟ้งุ ฟ้า เฟ่อื งดา้ วดินไหว

๑ เคล่ือนพลตามเกล็ดนาค แบบแผนการเคลื่อนทัพตามต�าราพิชัยสงครามซ่ึงบอกไว้ว่าวันใดนาคจะหันหัวไปทางทิศใด ถ้ายกทัพ
๒ วันนัน้ กต็ ้องเดินไปในทิศทางเดยี วกันกับทห่ี างของนาคหนั ไป จึงจะเกดิ สริ ิมงคล
หสั ดินอภุ ยั ช้างทง้ั คู่ คือ เจา้ พระยาไชยานภุ าพ และเจา้ พระยาปราบไตรจักร
๓ ดา้ วศกึ สสู้ องสาร ช้างทัง้ สองเขา้ ไปสู้ในแดนของขา้ ศึก
๔ ราญศึกส้สู องไท้ สองพระองคส์ กู้ บั ข้าศกึ

102

นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
ขอ ใดใชภาพพจนก ารเคลือ่ นไหว
1 อนิ ทนลิ แกวสนี ้ําเงิน ในความวา “คือระเบียบรัตนอนิ ทนลิ ดาดไว” 1. เสด็จยา งเหยียบหลังสาร
หมายความวา ดูดั่งเอาแกว อินทนิลมาเรียงดาดไว 2. อลงกตแกวแกมกาญจน
2 นกั ษัตร ในที่นี้ คือ ฤกษ เปน ฤกษบ อกความสวัสดแี ละเดชะ นบั วา เปน โชค 3. เครอื่ งพดุ ตานตกแตง
อํานวยผลอนั ดงี าม 4. รเู ชิงพชิ ัยชาญ
3 เคลอื่ นพลตามเกลด็ นาค เปน การเคลอื่ นทพั ตามตาํ ราพชิ ยั สงครามซงึ่ บอกไวว า วิเคราะหค ําตอบ ขอทแ่ี สดงใหเห็นภาพพจนการเคลอ่ื นไหว คือ
วันใดหวั นาคจะหนั ไปทางทศิ ใด ในการยกกองทพั นัน้ จะตอ งเดินทัพไปทางทิศเดียว ขอ 1. เสด็จยา งเหยยี บหลังสาร ซึง่ เปนการเคล่อื นไหวที่กําลังจะ
กบั ทศิ ทางทีห่ ัวนาคหนั ไปจงึ จะเปน สิริมงคลแกกองทพั ทรงชา ง เพ่ือเตรียมออกศึก ขอ 2. และขอ 3. เปน นามวลี กลา วถึง
4 ถับ พลนั ทันใด เครอื่ งประดบั ตกแตงทพั การจัดกองทัพ ซ่งึ ในตาํ ราพชิ ยั สงคราม
5 คํารน คาํ ราม กระหึม ระบุชดั เจนวา กระบวนพยุหยาตราทัพตอ งประกอบดวยรวิ้ ขบวน
6 ระเมยี ร มองดู เหน็ ขนาบขนานของเหลาทหารตามลาํ ดับ ขอ 4. รูเ ชิงพิชัยชาญ
กไ็ มไดแ สดงใหเหน็ ความเคลือ่ นไหวของสง่ิ ใด ตอบขอ 1.
102 คูม่ อื ครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
โชยงการ 1 อธบิ ายความรู้
กฉชม้นัลา2สน ์ 3แลนา
๏๒๙๑ ภูวไนยผายโอษฐอ์ ้นื นักเรียนรว มกันตอบคาํ ถามตอ ไปน้ี
สดบั ถ้อยตแู ถลง • สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงประกาศกับ
แกเ่ ทพทุกถน่ิ สถาน มาอุบตั ิ
โสฬสพรหมพิมาน สบื เชื้อ เทวดาบนสวรรคท้ัง 6 ชัน้ อยา งไร
เชญิ ช่วยชุมโสตซัน้ ตรเั ยศ ยืนนา (แนวตอบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง
๏๒๙๒ ซึ่งแสร้งรังสฤษฏ์ให้ ก่อสรา้ งแสวงผล ประกาศกับเทวดาท้ังหลายบนสวรรคทั้ง 6
นภา ดลฤๅ ช้นั และชั้นพรหมโลก 16 ชนั้ ทรงเอย วาจา
ในประยูรเศวตฉัตร มืดม้วย วา พระองคเปน กษัตรยิ ค รองราชสมบัตกิ ็
หวังผดุงบวรรตั น- ทวยเศกิ สมรแฮ ดวยหวังวาใหท ํานุบาํ รงุ พระศาสนา เหตุใด
ท�านกุ พระศาสนเ์ กื้อ ด่ังนีแ้ หนงฉงาย เทวดาจงึ ไมบ นั ดาลใหท อ งฟาสวา งเปด ทาง
โอษฐ์พระ ใหม องเหน็ ขา ศกึ ไดช ดั เจน เมอ่ื ตรสั จบกเ็ กดิ
ใสส๒๏ร๙๓ว า่ กงธลุมใดา ไ4 ป่ชว่ ย แผว้ ต่นื ฟา้ พายใุ หญ พดั หอบเอาฝุน และควนั หายไป
มลักเล็งเหลา่ พาธา พานพดั หาวแฮ ทองฟา ก็กลับมาสวา งดังเดมิ ทาํ ใหท อด
เห็นตระหนกั เนตรด้วย จรัสด้าวแดนสมร พระเนตรเหน็ สนามรบและฝา ยขา ศึก ทรง
ธ�ารง สารแฮ เห็นพระมหาอปุ ราชาทก่ี าํ ลังประทับยนื ใตต น
ดาล๒๏๙ม5๔ หาพวอาวตาะย วรว า กยอ์ า้ ง เทรดิ เกล้า ขอ ย มที หารลอ มรอบ และเครอ่ื งสงู ครบครนั )
ทรหึงทรหวลพะ- อปุ ราช แลฤๅ • สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสังเกตอะไร
หอบธมุ างคจ์ างจา้ แตต่ ัง้ ตาแสวง จึงทราบวา ใครเปน พระมหาอปุ ราชา
๏๒๙๕ ภูธรเมลิ อมติ รไท้ ทฤษฎี แลนา (แนวตอบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง
หนง่ึ ไสร้ ทอดพระเนตรทช่ี างทรงของศัตรูทม่ี ีการ
บคร่ จบวสนิบ หบก่ จฉวตั บรอ6ทงรคง์ เรยี งคัง่ ขูเฮย ประดับตกแตงอยา งชา งทรงของกษตั ริย)
ข่อยชี้เฌอนาม
พลางเร่งขบั คชเต้า คะเนนึก อย่นู า
๏๒๙๖ โดยแขวงขวาทศิ ทา้ ว นกั โนน้
แลหลาก หลายแฮ
เบถัดล งิธฉ เัตหรน็ จขัตนุรุ พกริร ียี ์ 7 เพ่งเพย้ี นพิศวง
หนแห่งฉายาไม้
๏๒๙๗ ป่ินสยามยลแท้ท่าน

ถวลิ วา่ ขุนศึกส�า-
ทวยทพั เทยี บพนั ลกึ
ครบเคร่อื งอุปโภคโพน้

103

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู
“ภูธรเมิลอมติ รไท ธํารง สารแฮ” และ
“ครบเคร่อื งอุปโภคโพน เพง เพี้ยนพิศวง” 1 โชยงการ คาํ พูดของพระราชา ซง่ึ ในทน่ี คี้ อื สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
คาํ ประพันธขา งตนเปน ตอนท่ีสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง เปน คําทต่ี ัดมาจากคาํ วา “ราโชยงการ”
ทราบวา ผใู ดเปนพระมหาอปุ ราชา ซึ่งแสดงใหเห็นพระปรีชาสามารถ 2 ฉช้ัน ฉ แปลวา หก ฉช้ัน จงึ หมายถึง หกช้นั ฟา ไดแ ก สวรรคห กชัน้ คือ จาตุ
อยา งไร มหาราชกิ า ดาวดึงส ยามะ ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมติ วสวัตดี
3 กมลาสน มาจาก กมล+อาสน แปลวา ผมู ีดอกบัวเปน ทนี่ ่ัง ซึง่ หมายถึง
แนวตอบ จากคาํ ประพนั ธข า งตน แสดงใหเ หน็ วา สมเดจ็ พระนเรศวร พระพรหม
มหาราชทรงมคี วามชางสงั เกต แยกแยะ พจิ ารณาความแตกตา ง 4 ธุมา ควนั ในความวา “ใสสรสวา งธมุ า มืดมว ย” หมายถึง ควนั มดื ใหหมดไป
ของชางทรงและส่ิงแวดลอมรอบขาง เมือ่ สังเกตเคร่ืองทรงที่มี 5 ดาล มาจาก บันดาล หมายถงึ เกดิ ลมพัดครนื้ ครัน่ ในทอ งฟา
เครือ่ งราชูปโภค หรอื เครอื่ งสูงทีม่ อี ยรู อบๆ จงึ แนพ ระทัยวา เปน 6 บ จวน บ จวบ ไมใกลแ ละไมพบ
พระมหาอปุ ราชา แสดงใหเหน็ วา พระองคทรงมีประสบการณ 7 จัตุรพริ ีย พลสเี่ หลา ไดแ ก พลเดนิ เทา พลชา ง พลมา และพลรถ
และความเช่ยี วชาญในการรบ
ค่มู อื ครู 103

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

นักเรยี นกลุมท่ี 5 นําเสนอประเด็นคาํ ถามจาก โคลง ๒
ตอน 10 ยทุ ธหตั ถี และชยั ชนะของไทย ดงั นี้ ๏๒๙๘
สองสรุ ิยพงศ๑์ ผา่ นหล้า ขบั คเชนทรบ์ ่ายหน้า
• สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีวิธีการ แขกเจา้ จอมตะเลง แลนา พกั ตร์ท่านผอ่ งฤๅเศรา้
เอาชนะในสถานการณท ่ีตกเปน ฝา ยเสยี ๏๒๙๙ ไป่เกรงประภาพเท่าเผ้า โซรมปืนไฟไปต่ อ้ ง
เปรียบอยางไร
(แนวตอบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช สูเ่ ส้ยี นไป่หน ี หนา้ นา
วาทศิลปใ นการเชญิ ชวนใหพ ระมหาอปุ ราชา ๏๓๐๐ ไพรีเรง่ สาดซอ้ ง
มาทํายุทธหัตถี ดังบทประพนั ธตอ ไปน้ี
“พระพ่พี ระผผู า น ภพอตุ - ดมเอย ต่ืนเตา้ แตกฉาน ผ้านนา
ไปช อบเชษฐยนื หยุด รมไม
เชิญราชรวมคชยุทธ เผยอเกียรติ ไวแฮ ตอน ๑๐
สบื กวาสองเราไสร สดุ ส้ินม”ี ยทุ ธหัตถี และชยั ชนะของไทย
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชตรัสดวยนํา้ เสียง
ไพเราะ สุภาพวาพระพผ่ี ูค รองราชสมบัตทิ ี่ โคลง ๔
อุดมสมบรู ณ ทาํ ไมพ่ีผยู ่ิงใหญจ งึ มายนื รออยู ๏๓๐๑
ใตต นไม เชญิ มาทําศึกยทุ ธหตั ถใี หเปน เกยี รติ นฤบาลบพิตรเผา้ ภวู นา ยกแฮ
แกเราทัง้ สอง ใหเปน ที่เลอื่ งลอื สบื ตอไปหลงั ผายสหิ นาทกถา ท่านพรอ้ ง
จากนี้) ไพเราะราชสุภา- ษขุน่ิตแสค่ือน้ สคา�ารไนข1า
เสนอ บ่ มขี ้อขอ้ ง ยแา่หนลแ่งตกะลเว้ ล2ง โลกฤๅ
๏๓๐๒ อ้าไทภธู เรศหล้า

เผยพระยศยนิ เยง
สิบทิศท่ัวลือละเวง หว่นั เดช ท่านนา
ไป่เรมิ่ รอฤทธ์ิแผว้ เผือดกล้าแกลนหนี
๏๓๐๓ พระพพ่ี ระผูผ้ ่าน ภพอุต- ดมเอย
รม่ ไม้
ไปช่ อบเชษฐย์ นื หยดุ
เชิญราชรว่ มคชยทุ ธ ์ เผยอเกียรต ิ ไวแ้ ฮ
สบื กวา่ สองเราไสร้ สดุ สน้ิ ฤๅมี
๏๓๐๔ หัสดีรณเรศอา้ ง อวสาน นนี้ า

นับอนาคตกาล หอ่ นพ้อง
ขัตตยิ ายทุ ธ์บรรหาร คชค่ ู กนั แฮ
คงแตเ่ ผือพ่นี ้อง ตราบฟ้าดนิ กษยั

๑ สองสรุ ยิ พงศ์ สมเด็จพระนเรศวรกบั สมเดจ็ พระเอกาทศรถ

104

เกร็ดแนะครู ขอ สอบ O-NET
ขอสอบป ’51 ออกเกีย่ วกบั บุคลกิ ภาพของผพู ูดจากคําประพันธ
ครชู ใ้ี หน กั เรยี นเหน็ คณุ สมบตั ขิ องสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เรอื่ งการเปน คน จากคําประพันธตอไปนี้ ขอใดไมอ าจอนมุ านไดว าเปน บุคลิกภาพ
ชา งสงั เกตและมีไหวพรบิ ทรงเปนพระมหากษัตริยท่มี ีพระปรชี าสามารถทางดาน ของผพู ูด
การรบมีความกลา หาญ สติปญญา และมไี หวพริบเปนเลศิ ดวยเหตนุ ที้ ําใหพ ระองค “พระพพี่ ระผูผา น ภพอุต- ดมเอย
ทรงสามารถแกไ ขสถานการณอ ันคับขนั ในชวงทต่ี กอยูใ นวงลอมของพมาได ครู ไปช อบเชษฐย นื หยดุ รมไม
ใหน ักเรียนรวมกนั อธบิ ายถึงคณุ สมบตั ิขอนีว้ า มีสว นชวยใหส มเด็จพระนเรศวร เชญิ ราชรวมคชยุทธ เผยอเกียรติ ไวแฮ
มหาราช ทรงแกไขสถานการณใ นเรือ่ งไดอ ยา งไร จากน้นั ใหนักเรยี นรวบรวม สบื กวา สองเราไสร สดุ สน้ิ ฤๅมี”
คุณสมบัตขิ อ อน่ื ๆ ของบุคคลในเรอื่ งที่สง ผลตอ การดาํ เนนิ เรือ่ ง 1. กลาหาญ 2. เจา โวหาร
3. สภุ าพ 4. ถอ มตน
นกั เรยี นควรรู วเิ คราะหค ําตอบ จากบทประพันธข า งตนอนมุ านไดว า ผูพ ดู
กลาหาญ เพราะเชื้อเชญิ ใหมกี ารทํายุทธหัตถี เปนเจาโวหารในการ
1 บ มีขอของ ขนุ แคนคาํ ไข ไมใ หมีขอ ขัดเคอื งในถอยคาํ ท่กี ลาวเลย โนม นา วใหอ กี ฝา ยรบั คาํ เชญิ ถา ไมอ ยากถกู กลา วหาวา เปน คนขขี้ ลาด
2 ยา นแกลว ความในบาทนวี้ า พระยศแผไ ป ใครไดย นิ กค็ รน่ั ครา มถงึ ความเกรงกลา และเปนผูท มี่ ีความสุภาพ จากที่ใชค ําวา “พระพ่”ี แตไ มอ าจอนุมาน
ไดวาผูพดู ถอมตน เพราะไมไ ดกลา วถงึ ความดอ ยกวาของตนแต
104 คู่มือครู อยา งใด ตอบขอ 4.

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
105 อธบิ ายความรู้

๏๓๐๕ ไว้เป็นมหรสพซ้อง สุขศาน1ต์ิ นกั เรียนรว มกนั ตอบคาํ ถามเกยี่ วกบั วรรณศิลป
ดังตอ ไปนี้
สา� หรบั ราชสา� ราญ เร่ิมรัง้
บ�าเทิงหฤทยั บาน ประดยิ ทุ ธ์ น้นั นา • กวใี ชโวหารภาพพจนในการพรรณนา
เสนอเนตรมนษุ ย์ต้ัง แต่หล้าเลอสรวง ฉากตอสูอ ยางไร
๏๓๐๖ ปวงไท้เทเวศท้ัง พรหมาน (แนวตอบ กวมี ีความสามารถในการใชโวหาร
ภาพพจนท ําใหเ นือ้ เรือ่ งเดนชดั ขึน้ ดงั โคลง
ชเชมญิ ชปนื่ รคะชชรมุ �าใบนาสญถ2 า น ทนี่ ี้ บทที่ 311
ตูต่อ กนั แฮ “งามสองสุรยิ ราชล้ํา เลอพศิ นาพอ
ใครเชย่ี วใครชาญช ี้ ชเยศอ้างอวยเฉลิม พา งพัชรินทรไพจติ ร ศกึ สรา ง
๏๓๐๗ หวงั เริ่มคุณเกยี รติก้อง กลางรงค์ ฤๅรามเรมิ่ รณฤทธิ์ รบราพณ แล
ทกุ เทศทุกทิศอาง อ่นื ไทไ ปเทยี ม”
ยืนพระยศอยูค่ ง คูห่ ล้า จากโคลงขา งตน กวีไดเปรียบสองกษัตรยิ 
สงครามกษัตรยิ ์ทรง ภพแผน่ สองฤๅ ผูย ่งิ ใหญว า งามเลศิ ลํา้ ย่งิ นกั ประหนง่ึ
สองราชรอนฤทธิ์ร้า เรอ่ื งรู้สรเสรญิ พระอินทรกบั ทา วไพจติ ราสรู ทําสงครามกนั
๏๓๐๘ ดา� เนินพจนพากยพ์ ร้อง พรรณนา หรอื ไมก็เหมอื นสงครามระหวา งพระรามกบั
ทศกณั ฐ ซึ่งไมม ีกษัตรยิ ใ ดจะเทียบเทียมได)
องค์อัครอปุ ราชา ท่านแจง้
กอบเกดิ ขัตติยมา- นะนึก หาญเฮย • จากโคลงบทที่ 305 กลาวถงึ การทํา
ขบั คชเข้ายุทธ์แย้ง ด่วนดว้ ยโดยถวิล ยุทธหัตถอี ยางไร
๏๓๐๙ หัสดินปิ่นธเรศไท ้ โททรง (แนวตอบ กลา ววาการทํายุทธหัตถีเปนการ
ละเลนท่รี ืน่ เรงิ มาต้งั แตโบราณ เปน ความ
คอื สมทิ ธมิ าตงค๑์ หน่ึงอ้าง บันเทงิ ใจท่ีจะสูก นั ตอสายตาหมคู นทั้งหลาย
หน่ึงคอื คริ ิเมขล์๒มง- คลอาสน์ มารเอย ในแผน ดนิ จะเหน็ ไดว า กวีกลาวในลกั ษณะ
เศียรส่ายหงายงาควา้ ง ไเบชขา� ดิวรแ่ด3ู คา�้ 4ว้งแทงโถม เชญิ ชวนใหเ ห็นวา การสกู ันเปนเรื่องปกติ
๏๓๑๐ สองโจมสองจจู่ ้วง ธรรมดาของกษัตรยิ )

สองขตั ติยสองขอชู
กระลงึ กระลอกด ู ไวว่อง นักนา
ควาญขบั คชแขง่ ค้า� เขน่ เขย้ี วในสนาม
๏๓๑๑ งามส5องสุรยิ ราชลา้� เลอพศิ นาพ่อ
ศกึ สร้าง๓
พ่างพชั รินทรไพจิตร
ฤๅรามเร่มิ รณฤทธิ์ รบราพณ ์ แลฤๅ๔
ทกุ เทศทุกทศิ อา้ ง อน่ื ไทไ้ ปเ่ ทียม

๑ สมิทธิมาตงค์ ชา้ งมีฤทธิ์พร้อม คือ ชา้ งพระอนิ ทร์
๒ คิริเมขล์ ชื่อชา้ งทรงของวสวัตตีมาร ทีม่ าผจญพระพทุ ธเจา้ ณ โพธบิ ัลลังก์
๓ พ่างพชั รินทรไพจิตร ศึกสร้าง เปรยี บเสมือนศึกระหว่างพระอินทร์กบั ทา้ วไพจิตราสูร
๔ ฤๅรามเร่มิ รณฤทธ์ิ รบราพณ์ แลฤๅ หรอื เหมือนพระรามเร่ิมรบกบั ทศกัณฐ์

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู

“หสั ดีรณเรศอา ง อวสาน นน้ี า 1 รง้ั รัง ตงั้ เริ่มรงั้ จึงหมายความวา เรมิ่ ตัง้ แตตน มา ความในโคลงบทน้กี ลาวถงึ
นับอนาคตกาล หอ นพอ ง” การชนชางวา มไี วเปน มหรสพเพื่อความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ เปนเครื่องพระสาํ ราญ
ขอ ใดสอดคลองกับคําประพนั ธท ี่ยกมา พระทยั ของกษตั รยิ นกั รบตัง้ แตต นมา โดยเปนการกลาวทเี่ ห็นวาการรบเปน กฬี าท่ี
1. การรบโดยใชอาวุธดา มยาว สนกุ สนาน ทาทาย
2. การทําพิธพี ลีกรรม 2 คชราํ บาญ การรบกนั ดว ยชา ง ซงึ่ คอื การชนชา ง
3. การทําพิธีอศั วเมธ
4. การทาํ ยทุ ธหตั ถี
3 บาํ รู ประงากนั หมายถงึ ชา งเอางาตอ งาเขา ปะทะกนั
วิเคราะหคาํ ตอบ “หัสดี” แปลวา ชาง “รณเรศ” แปลวา รบ
“หสั ดรี ณเรศ” จงึ หมายความวา รบดว ยชาง ขอทม่ี คี วามหมายวา 4 เชดิ ดาํ้ ลกั ษณะการชดู า มของา ว
รบดว ยชาง คอื ขอ 4. การทํายทุ ธหัตถี เพราะคาํ วา “หัตถ”ี เปน
5 พชั รนิ ทร พระอินทรผ ทู มี่ วี ัชระหรือสายฟา เปนอาวธุ ในบาททีว่ า “พางพชั รนิ ทร
คาํ บาลีมคี วามหมายอยา งเดยี วกันกับคาํ วา “หสั ดี” ตอบขอ 4. ไพจิตร ศึกสรา ง” หมายถึง การรบกันระหวา งสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชกับ
พระมหาอปุ ราชานด้ี งั่ พระอนิ ทรก บั ทา วไพจติ ราสรู หรอื ทา วเวปจติ ราสรู ทาํ ศกึ กนั โดย
ทา วไพจิตราสรู นั้นมักยกทัพมารบกับพระอนิ ทร เพื่อชงิ สวรรคช นั้ ดาวดึงสค ืน
เนือ่ งจากถกู พระอินทรแยงชงิ ไป
คู่มอื ครู 105

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

ครสู มุ นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาอธบิ ายกลวธิ ี ๏๓๑๒ ขนุ เสียมสามรรถต้าน ขุนตะเลง
การบรรยายฉากยทุ ธหัตถีระหวา งสมเดจ็ หย่อนหา้ ว
พระนเรศวรมหาราชกบั พระมหาอปุ ราชา ขนุ ต่อขนุ ไป่เยง องั กุศ ไกวแฮ
ยอหัตถเ์ ทิดลบองเลบง ท่านสู้ศึกสาร
• การกระทาํ ยทุ ธหตั ถรี ะหวา งสมเดจ็ พระนเรศวร งาม๓๏เ๑ร๓ ง่ งคาชมยโทานทขา้ ัตว ติเ ยศเบ้อื ง ออกถวัลย์
มหาราชกบั พระมหาอปุ ราชาประกอบดว ย โถมปะทะไปท่ ัน เหยียบยง้ั
เหตกุ ารณใ ดบาง อยา งไร สารทรงราชรามัญ ลงลา่ ง แลนา
(แนวตอบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชสามารถ เสย๓๏ส๑1๔า่ ยดทา� า้ เยนทินนั หตนท์ นุ ้งั ถ นัดได ้ คูค่ �้าคางเขิน
ตานพระมหาอุปราชาได ท้งั สองพระองคสกู นั เชงิ ชดิ
อยา งมไิ ดเกรงกลัวและไมม ีฝา ยใดยอมลดละ หน่อนเรนทรทิศ ตกดา้ ว
ทรงกวัดแกวง พระแสงของา วอยางคลองแคลว เสดจ็ แสดงวราฤทธ์ ิ ร�าร่อน ขอแฮ
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงตา นทาน ฟอ๓น๏๑ฟ๕ าเดบแ้อื สงงนขัน้ อนงา้ฤวน าถผ้ ู อยู่เพี้ยงจกั รผัน
การรกุ ของพระมหาอปุ ราชาไวไ ด ดงั วา เบ่ยี งพระมาลาผิน สยามนิ ทร์
“เพราะพระหัตถห ากปอง ปดดวยขอทรง” ศสั ตราวธุ อรนิ ทร ์ ห่อนพอ้ ง
ขณะเดยี วกนั ชา งทรงของสมเด็จพระนเรศวร เพร๓๏า๑๖ะ พบรัดะหมงัตคถล์หพา่ากหปไ์อ้ ทง้ ฤๅถกู องคเ์ อย
มหาราชก็เอ้ียวหวั หลบ และชางทรงของทงั้ แวง้ เหวยี่ งเบี่ยง๑เศียรสะบดั ปดั ดว้ ยขอทรง
สองพระองคก ็งัดสกู ัน ตา งกเ็ งยหงายใหตอ ง อกุ คลกุ พลกุ เงยงัด ทวารัติ
ถอย ทําใหช า งทรงของพระมหาอปุ ราชาเสยี เบน๓๏๑บ๗ ่ายพหลงอายยพแหล�า้งนเพใหลยี ้ ก3ถ้าทา่ น ตกใต้
จงั หวะเพล่ยี งพลํา้ พระนเรศวรมหาราชจึง บถพนัดร๓ะัดร๏๑เาพ๘ด ชรชฟะอพาอรุ รดาังะ6รแสแาสา5สนขงดพร้อา้งนลดว- แ ล 4ย ก
ทรงฟาดพระแสงพลพาย ซึ่งเปนพระแสง คอคช เศกิ แฮ2
ของา วประจําพระองคฟาดลงบนพระอังสา
ดานขวาของพระมหาอปุ ราชา ทาํ ใหพระมหา ทว่ งท้อทถี อย๒
อปุ ราชาสิ้นพระชนมลงบนคอชา ง) ในรณ
พ่าย๓ฟอ้ น
เอนพระองคล์ งทบ เผดจ็ ค ู่ เข็ญแฮ
เหนอื คอคชซอนซบ ขาดด้าวโดยขวา
วายชวิ าตม์สุดสิน้ ยลสยบ
ทา่ วด้นิ

สสังู่ฟเา้วเชสวย7สวรรค์

๑ เบี่ยง ตามฉบบั สมุดไทย ๒ ฉบับ แตอ่ กี ฉบบั หน่งึ กบั สมดุ พิมพท์ งั้ ๓ ฉบับ ไมม่ ีคา� วา่ “เบยี่ ง” ซง่ึ จะไพเราะกว่าถา้ มคี �าน้ี
๒ ทว่ งทอ้ ทีถอย เสยี ทา่ ตอ้ งถอย
๓ แสงพลพา่ ย อ่านว่า แสง - พน - ละ - พ่าย ช่ือพระแสงของ้าวของสมเดจ็ พระนเรศวร ในปัจจุบนั จะเขียนว่า แสนพลพา่ ย

106

นกั เรียนควรรู ขอ สอบ O-NET
ขอสอบป ’52 ออกเกีย่ วกับคาํ ไวพจน
1 หนอ ลกู ดังนน้ั บาททีก่ ลา ววา “หนอนเรนทรทศิ ตกดาว” คอื โอรสของ ขอ ใดไมได กลาวถงึ “ชาง”
กษัตริยท ่ีเปนประเทศทางทิศตะวันตก ซึ่งกค็ อื พระมหาอปุ ราชา 1. งามเรง งามโททา ว ทานสูศ กึ สาร
2 ทวงทอ ทีถอย เปนการใชค าํ ท่มี ีวรรณยุกตเอกโทตรงกบั คาํ ประพนั ธ 2. สารทรงราชรามัญ ลงลาง แลนา
ซึง่ ปกตเิ ปน “ทว งทที อถอย” คอื มีทวงทตี อ งทอ ถอย หรอื เสียทา ทําใหต อ งถอย 3. ไพเราะราชสุภา ษิตส่อื สารนา
3 เพลยี ก ในท่ีนี้มคี วามหมายวา พลาด 4. ตรึงอกพกตกขว้าํ อยูเบอ้ื งบนสาร
4 ดล ถึง ในความวา “พระเดชพระแสดงดล เผดจ็ คู เขญ็ แฮ” หมายความวา ถงึ วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอ 1. กลาวถึงการสูศกึ ชาง คอื การทํา
ตัดคลู ําบาก คือ ถึงที่สุดในการเอาชนะคูตอ สู ยุทธหตั ถีระหวางสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชกบั พระมหาอปุ ราชา
5 ขอ น เปน คาํ โทโทษ ปกตใิ ชว า “คอ น” ซงึ่ มคี วามหมายวา มากกวา ครง่ึ เกอื บเตม็ เชนเดยี วกบั ขอ 2. กลา วถึงชางทรงของพระมหาอปุ ราชา ขอ 4.
6 อรุ า อก รากศัพทมาจากภาษาบาลีสันสกฤต คาํ วา อรุ ส มคี วามวา สน้ิ บนหลังชา ง ดังน้ัน ขอ ทไ่ี มไ ดกลาวถงึ ชา ง คอื
7 เสวย ครอง อาทิ เสวยราชย รากศัพทม าจากภาษาเขมรคําวา โสฺวย “ไพเราะราชสภุ า ษติ ส่อื สารนา” เพราะ “สาร” ในท่ีนหี้ มายถึง
ขอ ความหรอื ถอ ยคํา ตอบขอ 3.
106 ค่มู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
ไทยไผท อธบิ ายความรู้
ชีพมลา้ ง
๏๓๑๙ บนั้ ทา้ ยคชาธเรศ1ทา้ ว รีราช แลนา นกั เรียนอธบิ ายความรูทางดา นวรรณศิลปของ
ตอกตอ้ งตนสลาย บทประพนั ธ
ถงึ พิราลัยลาญ นฤบาล • นกั เรยี นพจิ ารณาโคลงส่ีสุภาพในวรรณคดี
เพราะเพอื่ พพิ ธิ ไพ- 2 ยาตรเต้า เรือ่ งลิลติ ตะเลงพา ยวามีความโดดเดน
โซร๓๏ม๒๐ส าฝด่าตยรอางดคปอ์ ืนศิ ขววร้านงา ถนอ้ ง ฤทธร์ิ าช แลฤๅ อยางไร
เขน่ คา�้ บา� รู (แนวตอบ ลกั ษณะโคลงสส่ี ภุ าพของ
แสดงยศค3ชยุทธยาน เชงิ ชน สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ิต
เทิดใต้ ชิโนรสมีลกั ษณะโดดเดน คอื เลน เสยี งสัมผัส
มางจาชโรราญ เซซวด ไปแฮ
เรว็ ๓เ๏ร๒๑่ง คบเชัดนภทธู รเรเขศ้าพ า่ ห์ได ้ เพลี่ยงพล้งั เสียที
ของอน พยญั ชนะขามวรรค คือ สมั ผสั คําระหวาง
บ่ันเกลา้ คําสุดทายของวรรคหนากบั คําแรกหรอื คาํ
ลงลา่ งงา้ งโททนต ์ เมือชพี แลเฮย ทส่ี องของวรรคหลงั ในบาทเดียวกนั ดังบท
พัชเนียง๑เบีย่ งเบนตน พน่ี ้องสองไท
หวั ๓ป๏๒่นั ๒ หภนั มูขมีา้ งอื ใงหา่ ้ ง้า ว จุลจกั ร๒ ประพนั ธ
ท่าวซ�า้ “ฝา ยองคอศิ วรนาถนอง นฤบาล
ปนื ปา่ ย เอาเอย แสดงยศคชยทุ ธยาน ยาตรเตา
ฟนั ฟาดขาดคอบร อยู่เบื้องบนสาร มางจาชโรราญ ฤทธิ์ราช แล
อินทรยี ์ซบกญุ ชร เดโช
เผย๓๏พ๒๓ ระทเกนั ียใรดตกิผล่าานงคเผชา้ เ จ้า ทา่ นทา้ ว๔ เร็วเรง คเชนทรเขา เขน คํา้ บําร”ู )
ผา่ นแผ ่ ภพนา
มลายชพิ ิตลาญทกั ศกึ สเู้ สยี สอง๕
เหลือหลามเหล่าปรปักษ ์
ตรงึ๓๏อ๒๔ก พพกรตะกร๓าขญวอ้�าร ริ าชดว้ ย
สีท่ าสสนองบาทโท
พระยศยิ่งภิยโย
สองรอดโดยเสดจ็ ด้าว

๑ พัชเนียง ชื่อช้างของมางจาชโร
๒ เจ้าจุลจักร จกั รพรรดิองค์เลก็ คอื สมเดจ็ พระเอกาทศรถ
๓ ตก ตามฉบบั สมุดไทยฉบับหนง่ึ กบั สมดุ พิมพ์ แตส่ มดุ ไทยอกี ๒ ฉบบั คา� วา่ “ตก” เปน็ “ตน”
๔ สท่ี าสสนองบาทโท ท่านท้าว ผคู้ อยรบั ใช ้ ๔ คน ที่โดยเสดจ็ สมเดจ็ พระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถ หมายถึงกลางช้าง ๒ คน

๕ และควาญ ๒ คน ศึกส้เู สียสอง ผู้ตามเสด็จใกลช้ ดิ ในการศกึ ครง้ั น ้ี รอดชีวติ ๒ คน ตาย ๒ คน
สองรอดโดยเสดจ็ ด้าว

107

“พระราญอรริ าชดวย เดโช ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู

ส่ที าสสนองบาทโท ทา นทาว ครแู นะความรูเ ก่ียวกบั วรรณศลิ ปเพิ่มเติม โดยอธิบายเก่ียวกบั ลักษณะการเลน
พระยศย่งิ ภิยโย ผานแผ ภพนา เสยี งสัมผสั ในโคลงสี่สุภาพ ดังน้ี สมั ผัสอักษรระหวา งคาํ สดุ ทา ยของวรรคหนากบั
สองรอดโดยเสด็จดา ว ศึกสูเ สยี สอง” คาํ แรกของวรรคหลังในบาทเดียวกนั เรยี กวา “คาํ นสิ สัย” สว นสัมผัสระหวา งตัว
คาํ ประพนั ธท ีข่ ีดเสน ใตหมายถงึ ใคร สดุ ทายของวรรคหนากับคาํ ทสี่ องของวรรคหลงั ในบาทเดียวกัน เรยี กวา “คาํ นสิ สติ ”
1. จอมกษตั รยิ 
2. ทาสเดนิ เทา สคี่ น นกั เรยี นควรรู
3. กลางชางและควาญชาง
4. ชางทรงในการรบของกษตั รยิ  1 บนั้ ทา ยคชาธเรศ ควาญทายพระทน่ี ่งั พระเจา แผนดนิ ในท่ีนี้คอื สมเดจ็ พระ
นเรศวรมหาราช
วิเคราะหค ําตอบ คาํ วา “ทาส” คาํ ประพนั ธ หมายถึง ผคู อยรับ 2 ขวาง หมายถึง ยงิ ในความวา “โซรมสาดตราดปน ขวาง ตอกตองตนสลาย”
ใช ซึ่งมี 4 คน โดยเปนผูทค่ี อยรบั ใชส มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช หมายความวา ยิงปน กราดเขา ไปถกู ตัว
และสมเดจ็ พระเอกาทศรถในการทาํ ศึก จึงหมายถึง กลางชา ง 2 3 มางจาชโร เปน ชอ่ื ทหารพมา พเ่ี ล้ียงของพระมหาอุปราชา

คน ควาญชา ง 2 คน ตอบขอ 3. ค่มู อื ครู 107

กระตุน้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู้

นักเรยี นกลุมที่ 6 นาํ เสนอเกย่ี วกับเน้อื หา ๓ร๏๒่า๕ ย จึ่งกองพยุหทวยทัพ สรรพหลังหน้าขวาซ้าย ผ้ายมาทันธิบดินทร์ ขณะ
ตอนท่ี 11 สมเด็จพระนเรศวรทรงสรา งสถูปและ อรินทรพินาศ ขาดคอคชสองเสร็จ ต่างรีบระเห็จเข้าโรม โหมหักหาญราญรุก บุกบั่นฟัน
ปูนบําเหน็จทหาร ดงั นี้ แทงฆ่า พม่ามอญไทยใหญ่ ไล่มล้างลาวดาษดวน ไล่มล้างยวนดาษด่ืน ตื่นกันแตกกันตาย
หลายเหลือนับเนืองนอง กองก่ายกายรายหัว ตัวขาแขนเด็ดดาษ กลาดกลางท่งกลางเถ่ือน
• การท่ีสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสรา ง เกลื่อนกลางดงกลางดอน แล่นซอกซอนซนซุก บุกทุกพายพ่ายแพ้ เพราะพระเดชท่านแท ้
สถูปแสดงถึงอะไร และสือ่ ถงึ เรอ่ื งใดเปน หากใหข้ าดเขญ็ แลนา
สําคญั
(แนวตอบ การสรางสถูปทเี่ ปน ผลมาจากการ โคล๓ง๏๒ ๖๒ เห็นประภาพเจ้าช้าง เชยี่ วกวา่ เชยี่ วเหลอื อา้ ง
สรู บฆา ฟนกนั สรา งไวเ ปน อนุสรณส ถานที่
เปน ทรี่ ูจักและจดจาํ กันในภายภาคหนา )

ขยายความเขา้ ใจ Expand เอิก๓๏อ๒๗ือ้ อขศั วจัญรหรยน ์ ดี ยฝี ิ่งอ่ นพา้น พวกอเรนทร์ดว่ นดน้

1. นักเรียนรว มกันอภปิ รายในประเด็นตอไปน้ี ดดั ดนั้ ทางทวน ไปนา ฯลฯ
• นักเรียนคดิ วา การปนู บาํ เหนจ็ รางวัลใหแก
ทหารทีช่ นะสงครามดังท่สี มเด็จพระนเรศวร โคล๓ง๏๒ ๙๔ นฤบดีดา� รสั ให ้ ขนุ พล
มหาราชทรงทาํ นนั้ สะทอ นคานิยมใดในสงั คม ควบพยุหพหล ไล่มลา้ ง
สมัยน้นั เสรจ็ เสด็จสูต่ า� บล ถ่ินทพั ท่านนา
(แนวตอบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง ปนู ชอบกอบชื่อชา้ ง คูค่ ้า� เขน่ เขญ็
ปนู บําเหน็จ พระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ ฯลฯ
เคร่ืองอปุ โภค บรโิ ภค เสอื้ ผา เงนิ ทองแกเ จา
รามราฆพกลางชา งกบั ขนุ ศรคี ชคง ควาญ ตอน ๑๑
ฝา ยนายมหานภุ าพ ควาญชาง หมืน่ ภักดศี วร สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างสถปู และปูนบ�าเหน็จทหาร
กลางชา งไดส นิ้ ชีพในศกึ นก้ี ใ็ หพ ระราชทาน โคล๓ง๏๓ ๒๔ ราชาชเยศอนื้
ความดีความชอบแกบตุ รและภรรยาของทั้ง โองการ
คู ซ่งึ ไดสูจนเอาชนะขาศึกเคียงขา งพระองค รงั สฤษฎพ์ ระสถปู สถาน ท่ีมลา้ ง
สะทอนใหเห็นความเปนผนู าํ ของสมเด็จพระ ขนุ เข็ญครู่ �าบาญ สวมศพ ไวแ้ ฮ
นเรศวรมหาราชวา เมื่อเสร็จการศกึ และไดร บั หนตระพังตรสุ ร้าง สืบหลา้ แหล่งเฉลมิ
ชัยชนะแลวควรมีการสรา งขวญั และกาํ ลังใจ
ใหผ ูใ ตบังคบั บัญชา ดว ยการพระราชทาน ๓ร๏๓า่ ๓ ย เสร็จเร่ิมรณแล้วไสร้ ธ ให้เจ้าเมืองมล่วน ถ้วนทั้งคชหมอควาญ จ�าทูลสาร
ความดี ความชอบ)
เสียรงค์ องค์อุปราชเอารส ขาดคอคชลาญชีพ รีบเร็วยาตรอย่าหึง ไปแจ้งอึงกฤษฎาการ
2. ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมาสรปุ ความเขา ใจ แดม่ หบิ าลผู้เผา้ เจา้ แผน่ ภพหงสา แล้ว ธ ใหค้ ลาพยุหทัพ กลับคนื ครองครอบเหลา้ เถลงิ อยุธย
หนา ชั้นเรยี น เย็นเกล้า ทว่ั ถ้วนทวยสยาม สิ้นนา

108

เบศรู ณรากษารฐกิจพอเพยี ง ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
“ราชาชเยศอ้นื โองการ
จากเหตกุ ารณการปนู บําเหน็จรางวัลใหแ กทหารของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช รังสฤษฎพระสถูปสถาน ทีม่ ลาง
แสดงใหเห็นถึงการจัดการทรัพยสินของกษัตริยท่ีทรงใชไปในการใดบาง และเพื่อ ขนุ เข็ญครู ําบาญ สวมศพ ไวแฮ
ประโยชนใ นดา นใด จากนัน้ ใหน กั เรียนวางแผนคาใชจ ายของนกั เรยี นในแตล ะเดอื น หนตระพงั ตรุสราง สบื หลาแหลง เฉลมิ ”
โดยทาํ บญั ชรี ายรบั - รายจา ยประกอบใหช ดั เจน เพอ่ื ใหส ามารถปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรม ขอ ใดเปน จดุ ประสงคของบทประพันธข า งตน
การใชจ า ยที่เกนิ ความจําเปน ได 1. เพอื่ แสดงความกตัญู
2. เพอื่ เปนการระลึกถึงความดีของผูต าย
3. เพ่อื เปนการเฉลิมพระเกียรตใิ นวรี กรรม
4. เพ่ือแสดงใหเ ห็นถงึ สิ่งกอ สรา งอนั สวยงาม

วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอ ท่เี ปน จดุ ประสงคข องบทประพนั ธขา งตน
คือ สรา งเพื่อเปนการเฉลิมพระเกียรติในวรี กรรม ดงั ความวา

“สืบหลา แหลง เฉลิม” ตอบขอ 3.

108 ค่มู อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

โคล๓ง๏๓ ๔๔ กรุงราม1ฤทธิเ์ ฟ่อื งฟ้า ฟภู พ นกั เรยี นรวมกันพจิ ารณาบทประพนั ธ จากนั้น
ตระบดั บพิตรปรารภ ชอบพน้ รว มกันตอบคําถาม ตอไปนี้
เจา้ รามราฆพ๑ คงค ู่ เสดจ็ นา
ต�าแ๓๏๓ห๕ นง่กกุญลชารงวชร้าพงต่า้นห ์ทา้ ย ตอ่ ด้วยดัสกร “...ปวงมนตรีนายทัพ สรรพทกุ ตนทกุ ตัว
เถลงิ งาน กลวั อเรนทรเ หลือลน พน ยง่ิ พระราชอาชญา
องคอ์ นชุ นฤบาล บัน่ เส้ยี น ไปยาตราพลขนั ธ ทันเสด็จดา วรณรงค มละสาร
ขุนศรีคชคง๒ชาญ ชเยศ ยง่ิ นา ทรงสองเตา เขาทามกลางปจ นึก ถึงสศู กึ มีชเยศ
สคนุณ๓อ๏ข๓ง๖อ บบาส2ตทออยงบผาบตจร�าญยเหอุทรนธริ ็จเ์ าท ชีย้ ดนว้ ย เพอื่ นไทใ้ นรณ เสร็จสรรพ โทษขนุ ทพั ทง้ั มวล ควรประการใด
โดยเสดจ็ ไสร. ..”
ทา่ นให้
ครบเครอ่ื งอุปโภคเสรจ็ ทุกสง่ิ สรรพแฮ • เน้อื ความขางตน กลา วถงึ เร่อื งใด
เงิน๓๏แ๓๗ล ะแทลอว้ งเทผายสพใจชน ้ ารถซ้ัน อกี ทง้ั ทวยเชลย (แนวตอบ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรง
บรรหาร กลา วกับแมท ัพนายกองท่กี ลัวขา ศึกยงิ่ กวา
ยกชอบกอบบ�านาญ ทม่ี ้วย อาญาแผนดินที่ตามเสดจ็ ไมท ัน ทําใหท รง
ตกอยูทา มกลางวงลอมของศตั รู โดยทไ่ี มม ี
ไพรพลตดิ ตาม ควรจะลงโทษขนุ พลนน้ั
อยา งไร)

นายมหานุภาพควาญ กลางคช หนึ่งนา ขยายความเขา้ ใจ Expand
ทหมรพั๓น่ื๏๓ยภ๘ ์สกั ่ิงบดศดัศี รดวสี ลร�าดดรว้�าดย3ร ัส ใ ห้ ศกึ ส้เู สียตน
ปนู ยศ 1. จากเนื้อความขางตน นกั เรียนรว มกนั อภิปราย
ทัว่ ทง้ั ในประเด็นเก่ียวกับลักษณะเดน ทางวรรณศลิ ป
บตุ รทารทา่ นแทนทด ตค่อวาเหมงช้าอเบผา่ เเขฉาลนิม4า ดังนี้
สมทภ่ี กั ดีตง้ั • เนอื้ ความขา งตน มีการใชค ําถามเชงิ วาทศลิ ป
อยา งไร
ร่าย๓๏๓๙ วเา่พอิ่มรบิรา�าเชหรนปิ จ็ ู เยสกรพจ็ ไยซูหรเ้ หธย ยี ใบหเเ้ ขชตญิ พปรระะอเวัยศกชา6ารนศเกึ ว5 ียปงชรกึัย ษพาโรทะษบขาทุนไททพั ธส รทร้งั พสทองง้ั (แนวตอบ เมอื่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทรงถามวาจะใหม ีการลงโทษขุนพลทตี่ าม
มวลหมู่มาตย์ เสดจ็ ไมทันอยางไร ทรงไมไ ดคาดหวงั
ปองพระศาสน์อ�ารุง ผดุงชุมชีทวิชาติ ทั่วทวยราษฎร์ประชา ไป่ระอาออกท้อ ข้อล�าเค็ญ คําตอบ แตท รงแสดงใหเ หน็ วาขนุ พลนัน้
พระองค์ ทรงพระอุตสาหภาพ เสด็จปราบราชอรี ปวงมนตรีนายทัพ สรรพทุกตนทุกตัว มีความผิด ในความเหน็ ของพระองคสมควร
กลวั อเรนทร์เหลอื ล้น พน้ ยิง่ พระราชอาชญา ไปย่ าตราพลขันธ์ ทันเสด็จดา้ วรณรงค ์ มละสาร ทจ่ี ะถกู ลงโทษอยา งยิ่ง)
ทรงสองเต้า๓ เข้าท่ามกลางปัจนึก ถึงสู้ศึกหัสดี มีชเยศเสร็จสรรพ โทษขุนทัพท้ังมวล
ควรประการใดไสร้ โดยระบอบแบบไว ้ แตเ่ บื้องโบราณ รตี นา 2. ครูสมุ นกั เรยี น 2 - 3 คน ออกมาสรุปเนอ้ื หา
ฯลฯ หนา ชั้นเรยี น

๒ เจา้ รามราฆพ ตา� แหนง่ กลางช้างทรงของสมเดจ็ พระนเรศวร 109
๓ ขุนศรีคชคง ตา� แหน่งท้ายช้างทรงของสมเดจ็ พระเอกาทศรถ
มละสารทรงสองเตา้ ปลอ่ ยใหท้ ้ังสองพระองค์เสดจ็ โดยลา� พังกบั ชา้ งพระท่นี ง่ั

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู
คาํ ประพนั ธในขอใดไมส อ่ื ความ วา กําลงั พูด
1. บัดดลดํารัสให ปนู ยศ 1 กรงุ ราม หรือเมอื งพระราม หมายถงึ พระนครศรอี ยธุ ยา ซง่ึ มีชือ่ พองกับ
2. คุณขอบตอบบําเหนจ็ ทา นให เมืองอโยธยาของพระรามในเรือ่ งรามเกียรติ์
3. แลว เผยพจนารถซ้นั บรรหาร 2 คุณขอบ ขอบคณุ ขอบใจ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงพระราชทาน
4. ตระบัดบพติ รปรารภ ชอบพน บําเหน็จตอบแทนผูท่มี ีความดีความชอบดวยความขอบใจ
3 สํารด ผา คาดเอวปกดว ยดน้ิ เงนิ แลง ทองแลง เปน ลวดลายตา งๆ แบบ
วเิ คราะหคําตอบ คําประพันธท ่สี อ่ื ความวา กําลังพดู มดี งั น้ี โบราณใชเปน เครือ่ งประกอบอยา งหนึง่ ที่แสดงศกั ด์ิ หรือหมายถงึ ผา แฝง
ขอ 1. “บัดดลดํารสั ” หมายความวา พดู ขนึ้ มาทันใด ขอ 3. 4 เผาเฉลิม การสงเสริมใหต ระกูลเจริญรงุ เรืองตอไป
“เผยพจนารถ” หมายความวา กลาวหรือเอยวาจา ขอ 4.
“ตระบัด” หมายถึง ทนั ใด “ตระบดั บพติ รปรารภ” หมายความวา 5 พระอัยการศกึ กฎหมายวาดวยการทําศึก ในความของเน้ือเรือ่ งตอนนี้วา ให
กลา วขน้ึ มาทนั ใด ขอทไี่ มไ ดส ื่อวา กําลังพูด คอื ขอ 2. ท่แี สดง เอากฎหมายอยั การศกึ มาปรกึ ษาโทษนายทัพ
6 ประเวศ การเขา มา การเขาถึง การเขาสู
การขอบคุณดว ยการใหบาํ เหนจ็ ตอบขอ 2.

คมู่ ือครู 109

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู้

นกั เรยี นกลมุ ท่ี 6 นาํ เสนอประเดน็ เกย่ี วกบั เนอ้ื หา โคล๓ง๏๔ ๓๒ ถวายพิพากษาซั้น 1
ตอนที่ 12 ขอพระราชทานอภยั โทษ ดังน้ี แห๓่ง๏๔เ๔บ ื้อคง�าบนนั งึ ทนกึ กึ บ โาทปษใกนลา ้
ด�ารัสโดยเหตุห้นั
• สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงคาดโทษ
ขนุ พลท่ตี ามเสดจ็ ไมท ันอยา งไร ตจวร3บุต๓๏๔รเ๕ข ึง้ า้ตกครา�วาหรกงนขดดัง พ หมรนันุ่ก2อ่เนพยาญ็นาแท ้ วนั บณั รสไี ซร้
(แนวตอบ ทรงเห็นวา ใกลวันพระแลว ควรระงับ
โทษประหารไวก อ นจึงสงั่ ขงั จากนน้ั เม่อื มี พันธนาไว้แล้
การนมิ นตพระสงฆมารวมพธิ ีมงคลเฉลิมชยั
ในวันรุงขนึ้ สมเด็จพระวันรัตไดม กี ารทูลถาม โคล๓ง๏๔ ๖๓ ตั้งแตป่ าฏิบท ล่วงอุโบสถเสรจ็ แลว้
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเกยี่ วกบั การสูศึก เร่งสฤษฏ์โทษอย่าแคลว้ คลาดดา้ วดา� เนนิ บทนา
ท่ที รงเอาชนะได พระนเรศวรมหาราชไดเลา ตอน ๑๒
ถึงแมท ัพนายกองท่ีละเลยหนาทีว่ า เสดจ็ ตาม ขอพระราชทานอภยั โทษ
ไมท ัน ทําใหตอ งตกอยใู นวงลอมของศตั รู พอเสรจ็๓ร๏๔ า่จ๗ ย่งึ สไปมเ่เดก็จินพกราะลวทนั ่ารตัน4 สวั่งดั ปกา่ แรกะว้ทแ่ังคแลร้วมคสลิบาห ก้าบั คร่�าา ชายค�่าณสอะงสนงฆา์ ฬยิก่ีสบิาปหล้าอางยค ์สทอ�างงแนผนงากย๑
และไดคาดโทษอัยการศึกประหารชีวิต ใหเ ปน
ทจ่ี ดจาํ วา อยาไดเ อาแบบอยาง)

ขยายความเขา้ ใจ Expand แฉกงาสานสรลา้ ย ผ้ายลยุ ังวงั ราช พบรพะิตบรากทร กธร รใพหุมน้ 5 มิ นชุตม ์บดรลรเพรชอื ิตนแรัตชน่มมชื่านฬ กข ุนตชกีอแื้นตอ่งวอยาสพนร ์
ลาดเจียม เตรียมเสร็จสงฆ์สู่สถิต
นักเรียนยกเน้อื ความทแี่ สดงใหเหน็ วา ถามขา่ วจรจอมภพ ซ่งึ เสดจ็ รบพารณ จนอเรนทรพนิ าศ ขาดคอคชในรงค์ จ่ึงพระองค์อิศเรศ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไมพอพระทยั แมทัพ บรรหารเหตจุ า� บงั จอมสงฆฟ์ ังซ้ันขาน พระราชสมภารมีชัย ใดทวยบาทมลู ิกา ตอ้ งอาชญา
นายกองท่ีตามเสด็จไมท ัน ยมินนั เแหห็นนเศงิก สตรระัสทแกส ดตงรโะดดยกดดับาล รวะ่ารนัวา ยยิ่งทกัพวท่ากั้งลผัวอสงว าเมกศิ ณ6 บฑ ์เเขต้า้ากตอดิ งตพูตยอ้ ูหย ์ มโลยะมแสตอ่ขงอ้ ตยูตส่ออเงขค็ญน
เขา้ โรมรณราวศิ ในอมิตรหม่กู ลาง แสนเสนางคเ์ นอื งบร จนราญรอนไอยเรศ ลชุ เยศมฤตยู
(แนวตอบ เนอ้ื ความทส่ี มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช จึ่งไดด้ หู น้ามัน เพือ่ มหนั ตบารเมศ เบอื้ งบเุ รศบา� รงุ ผดุงเดชเผอื 7พ่นี อ้ ง ผ8ิ บ พอ้ งบญุ บรู พ ์
ไมพอพระทัยแมท พั นายกองที่ตามเสดจ็ ไมท นั คอื
“...ปวงมนตรนี ายทพั สรรพทกุ ตนทกุ ตวั กลวั อเรนทร ไอศูรย์ศูนย์เสียมภพ ตรลบเลื่องขามนามตะเลง ลือละเวงธาษตรี เป็นธรณีหงสา
เหลอื ลน พน ยง่ิ พระราชอาชญา ไปยาตราพลขนั ธ เสื่อมกฤตยาสยามยศ สาหสหากมากมวล ควรลงทัณฑ์ถึงม้วย ด้วยพระอัยการศึก
ทนั เสดจ็ ดา วรณรงค มละสารทรงสองเตา เขา ทา มกลาง จารกึ ช่อื ช่วั ฟา้ ไว้เป็นขนบภายหนา้ อยา่ ใหใ้ ครยล เย่ยี งนา
ปจ นกึ ถงึ สูศึกหสั ดี มีชเยศเสรจ็ สรรพ โทษขุนทพั
ทัง้ มวล ควรประการใดไสร โดยระบอบแบบไว โคล๓ง๏๔ ๘๔ สมเดจ็ พนรตั เจ้า จอมชี
แตเ บื้องโบราณ รีตนา”) ฉลองพจน์ราชวาท ี ทา่ นไท้

ทวยทลู ละอองธุล ี บวั บาท พระนา
พืน้ ภักดตี ่อใต้ บทเบ้อื งเรณู
๑ สองแผนก คอื แผนกวิปสั สนาธรุ ะ เรยี นกรรมฐาน กบั แผนกคันถธุระ เรียนพระปริยตั ธิ รรม

110

นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
เหตุผลของสมเดจ็ พระวันรตั ขอใด ท่ที าํ ใหสมเดจ็ พระนเรศวร
1 ดํารสั โดยเหตหุ นั้ ตรสั ใหเ ปนไปตามเหตนุ ้นั ทรงอนมุ ัตติ ามน้ัน คือ ให มหาราชพระราชทานอภัยโทษแกแ มท ัพนายกอง
ประหารชวี ิตนายทพั นายกองผูตามเสดจ็ ไมทันตามพระอยั การศึก 1. พระราชสมภารมชี ยั ใดทวยบาทมลู กิ า ตองอาชญายนิ แหนง
2 พรุก วันพรุงนี้ รงุ ขนึ้ 2. ควรลงทณั ฑถ ึงมว ย ดว ยพระอยั การศกึ
3 ตรุ อานวา ตรฺ ุ ในท่ีนีม้ ีความหมายวา ท่ขี ังคน ตะราง เรอื นจํานักโทษ คุก 3. บ เตาตดิ ตตู อย มละแตข อยสองคน เขาโรมรณราวิศ
4 สมเดจ็ พระวนั รัต เปนเจา คณะใหญใ นพระสงฆฝ ายอรัญวาสี (ผูอ ยปู า) คอื 4. ในอมิตรหมูก ลาง แสนเสนางคเนืองบร จนราญรอนไอยเรศ
ฝายเรียนวิปส สนา บดั น้เี ปนตําแหนงเจาคณะใหญท างใต วเิ คราะหค ําตอบ สมเด็จพระวันรัตกลาวถามสมเด็จพระนเรศวร
5 กรกรรพุม ประนมมอื มหาราชวา ในเมื่อพระองคท รงชนะศกึ สงครามแลว เหตใุ ด
6 สวามิศ มาจาก สวามี + อีศ แปลวา นายใหญ ผูยิ่งใหญ แมท ัพนายกองจงึ ตองไดรับโทษดว ย จึงทาํ ใหส มเดจ็ พระนเรศวร
7 ละเวง เสยี งเสนาะ กอ ง กงั วาล ฟุง เฟอ ง ฟุงไป มหาราชพระราชทานอภยั โทษใหแมท พั นายกอง ตอบขอ 1.
8 ธาษตรี แผนดนิ หรอื โลก

110 คู่มือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

๏๓๔๙ ดผู ิดไปร่ กั ท้าว ไป่เกรง 1. นกั เรียนรว มกนั ตอบคําถามในประเดน็ ตอ ไปน้ี
หอ่ นพ้อง • สมเด็จพระวันรัตแสดงเหตุผลอยางไร
แผกระบอบแต่เพรง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรง
พระเดชหากแสดงเอง อา� นาจ พระนา พระราชทานอภยั โทษใหแ กขุนพลทหารที่มี
เสนอทุกทวย ธ เรศกอ้ ง เกยี รติอ้างอศั จรรย์ ความผิด
ฯลฯ (แนวตอบ สมเดจ็ พระวนั รตั ทรงทลู เร่อื งราวที่
๏๓๕๗ พระตรีโลกนาถแผว้ เผดจ็ มาร สมเด็จพระนเรศวรมหาราชชนะศกึ เปรยี บกับ
พ่ีนอ้ ง เรอื่ งที่พระพุทธเจา (พระตรีโลกนาถ) ทรง
เเสฉกดพ็จไรระพ้ รริาิยชะส1รมาภญา ร อรินาศ ลงนา ชนะพระยาวสวตั ตีมาร สมเดจ็ พระนเรศวร
มหาราชเองเปรียบเหมือนพระพทุ ธเจา ท่ี
เสน๓๏อ๕๘พ รผะวิ ยหศลยานิ ยกพอ้ ยงหุ ยทุ ธร์ า้ เกียรตทิ ้าวทกุ พาย ทรงสามารถปราบขา ศกึ จนพา ยแพได โดย
ชนะอมติ รมวลมอญ โรมรอน ปราศจากกาํ ลงั พลชว ยเหลือ แสดงใหเหน็
ม่วั มลา้ ง กฤฎาภินหิ ารหรือบารมที ี่ทรงทาํ ไว ในการ
พระเดช บ ่ ดาลขจร เจรญิ ฤทธิ์ พระนา ชนะศึกคร้ังนี้ พระเกยี รตยิ ศของพระองค
เไพปือ่ท๓๏๕พ่วั ๙ รธะอ รเยราศา่ชไอกทอฤโกษทอฎมา้ นาง2 ัส นอ้ ย เอิกฟ้าดินไหว จะเปนท่เี ลอ่ื งลือประจักษไ ปทวั่ สารทศิ
หฤทยา ขอพระองคอ ยาไดเคืองพระทัยลงโทษขนุ พล
แต่ก้ี ผูกระทาํ การที่ทาํ ใหไมพ อพระทัยเลย)
ทกุ ทวยเทพคณา ชมุ ช่วย พระเอย
แสดงพระเดโชช้ี ชเยศไว้ในสนาม 2. ครูสุม นักเรียน 2 - 3 คน ออกมาสรุปเนือ้ หา
หนา ชน้ั เรียน
โคล๓ง๏๖ ๐๒ สมดง่ั ความตูพร้อง ขอบพติ รอยา่ ขอ้ ง
ขนุ่ ๓แ๏๖ค๑ ้นโเคดือยยงกบุ มลล3ถ อ่ ทงแ่าทน้ นา
ฤๅสนเทห่ ์เลห่ ์แล้ ขยายความเขา้ ใจ Expand

ถกู ถอ้ ยแถลงการ น้ีนา 1. นักเรียนยกบทประพนั ธท ีแ่ แสดงเหตุผลของ
สมเด็จพระวันรัตในการขอพระราชทาน
๓ร๏๖า่ ๒ ย ปางนฤบาลบดินทร์ ยินสมเด็จพระวันรัต จ�าแนกอรรถบรรยาย ถวาย อภยั โทษใหแกพลทหารทมี่ คี วามผดิ
วิสัชนาสาร โดยพิสดารพรรณนา เสนอสมญายศโยค พระบรมโลกโมลี ด้วยวิธีอุปมา (แนวตอบ ครูพิจารณาการยกบทประพันธข อง
แหง่ กฤษฎาภินิหาร ดาลมนสั ชมุ่ ชืน้ ตนื้ เต็มปรีด์ปิ ราโมทย์ โอษฐอ์ อกอื้นสาธู ชูพระกรกรรพมุ นักเรยี น)
ชุมทศนัขเหนอื ผาก เพอื่ ยนิ มลากเลอมาน เจา้ กขู านค�าขอบ ชอบทุกสง่ิ จริงถอ้ ย ถวิล บ่ แหนง
หนงึ่ น้อย แน่แท้ทางแถลง แลนา 2. ครสู มุ นกั เรยี นจาํ นวน 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ
หนา ชนั้ เรยี น

111

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู
“พระตรโี ลกนาถแผว เผด็จมาร
เฉกพระราชสมภาร พนี่ อ ง ครูใหน ักเรียนศกึ ษาเกยี่ วกบั กลวิธกี ารใชภ าษาในการแสดงความเปรียบเทียบใน
เสด็จไรพิริยะราญ อรินาศ ลงนา เรอ่ื งลลิ ติ ตะเลงพา ยวา มลี กั ษณะอยา งไร โดยครแู นะความรใู หน กั เรยี นฟง เพม่ิ เตมิ วา
เสนอพระยศยินกอง เกยี รตทิ า วทกุ พาย” เรอื่ งลลิ ติ ตะเลงพา ยเปน เรอื่ งทมี่ จี ดุ มงุ หมายเพอ่ื เฉลมิ พระเกยี รตขิ องพระมหากษตั รยิ 
คาํ ประพันธขา งตนใชภาพพจนช นดิ ใด ดงั น้ัน การนาํ ความใดมาเปรยี บกับตวั หรอื การกระทําของพระมหากษัตริยยอ ม
1. อุปลกั ษณ 2. บคุ คลวตั เปรยี บเทยี บใหยิง่ ใหญเสมอ เพื่อแสดงใหเหน็ ถึงการเชิดชู เชน เปรียบเปนพระอนิ ทร
3. สัทพจน 4. อปุ มา พระราม

วิเคราะหค าํ ตอบ จากบทประพนั ธข างตน มกี ารใชค าํ แสดงความ นักเรยี นควรรู
เปรียบเทียบคําวา “เฉก” เปรยี บพระตรีโลกนาถ คือ พระพุทธเจา
ท่เี อาชนะมารเหมอื นกบั ท่พี ระราชสมภาร คอื สมเดจ็ พระนเรศวร 1 พริ ยิ ะ พล ทพั ในความวา “เสดจ็ ไรพ ริ ยิ ะราญ อรนิ าศ ลงนา” หมายความวา
มหาราชทรงเอาชนะขา ศกึ ได ใชภาพพจนอ ปุ มาแสดงการ เสดจ็ โดยไมมพี ลทหารยงั รบจนขา ศกึ แพพนิ าศลงได

เปรยี บเทียบ ตอบขอ 4. 2 พระราชกฤษฎา กจิ ท่ีทําแลว

3 ยุบล เร่อื ง คูม่ ือครู 111

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู้

นกั เรยี นสรปุ ความเกย่ี วกบั คาํ ทลู ขอพระราชทาน โคล๓ง๏๖ ๓๔ แจง้ เหตุแห่งเหือดขึง้ ในมนัส
อภยั โทษของสมเดจ็ พระวันรตั จ่ึงพระวันรัตวัด ปสว่าา่แงกโ้วทษ1 ทา่ นนา
ถวายพรบวรศรสี วสั ด์ิ
(แนวตอบ สมเดจ็ พระวันรัตทลู ขอใหย กเวน โทษ นฤ๓ท๏๖ุก๔ ขท์นงั้ฤหภลยั าแยผท้วว ย บาทเบอื้ ง ผอ่ งพ้นอนั ตราย
แมท พั นายกอง ใหย ังคงตาํ แหนง เดิม โดยใหช ดใช บงกช
ความผิดดว ยการสง ไปรบทีเ่ มอื งตะนาวศรี
เมืองทวาย และเมืองมริดแทน)

ขยายความเขา้ ใจ Expand ควรโคตรโทษสาหส๑ อะครา้ ว
แต่ทลู ธลุ บี ท สนองบาท มานา
เพร๓๏ง๖พ๕ รละ่วองยั ถกึงาบทพ้าติวร๒ ผู้ ตราบไท้พระเจ้าหลวง๓
1. นักเรยี นรว มกันอภปิ รายในประเด็นตอ ไปนี้ คอื พุทธบรรษทั สรรพ ์ เถลงิ ถวัลย ราชยฤ์ ๅ
• การที่สมเด็จพระวนั รตั กลาวโนมนา วให สืบสร้าง
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระราชทาน เชิญงดอดอวยทณั ฑ ์ ทวยโทษ นน้ี า
อภัยโทษใหแมท พั นายกองทลี่ ะท้ิงหนา ท่ี เลย๓๏อ๖๖ย ่าไลวาเ้ พญอ่ืชผีพดมุงลเด้างช เจ้า หนง่ึ คร้งั ขอเผอื
แสดงใหเ หน็ ความสามารถในการใชโวหาร จอมปราณ
ของสมเด็จพระวนั รตั อยางไร กอ่ เกิดราชร�าบาญ ใหม่แม้
(แนวตอบ การยกเร่ืองทม่ี ีความสําคญั พูนเพมิ่ พระสมภาร เพญ็ ภพ พระนา
เทยี บเทาหรอื ยิ่งกวา มาเปรียบกบั การท่ี วาย บ ่ หวังตนแก ้ ชอบได้ไปม่ ๔ี
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงชนะศึกใน
ครั้งน้ีสรางความพอใจใหกับสมเด็จพระ ๓๏ร๖า่ ๗ ย นฤบดีดาลสดับอรรถ2 ซ่ึงพระวันรัตภิปราย ถวายพระพรอายาจน์ 3โทษมวล
นเรศวรมหาราช เปนส่ิงท่นี า ยกยองใน มาตยท์ กุ มลุ เพอ่ื การญุ บรริ กั ษ ์ ภกั ดใี นบาทบงส ์ุ จง่ึ พระองคอ์ นญุ าต พระราชทานโทษทง้ั ผอง
ปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระวนั รัต) โดยอันครองคงยศ บรรหารพจนพาที ซง่ึ เจ้าชขี านขอ ข้อยยกยอโทษให ้ แขต้อ่ชโรอมบรใาชญ้ไปรราอวนิศ4
เอานครตะนาวศรี บุรีทวายมริด ถ่ายหนผิดหาชอบ ขุนสงฆ์ตอบค�าขาน
2. ครสู ุมนักเรียนจํานวน 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ ไป่เป็นกิจตูตาม ใช่เง่ือนงามบรรพชิต โดยบพิตรอัธยา เบ้ืองบัญชาเชิงใช้ ขอลาไท้ลีลาศ
หนาช้นั เรียน ยังอาวาสเวียงวัด ตระบัดท่านจรลี พาเพื่อนชีอะคร้าว คืนสู่ด้าวอาราม เจ้าจอมสยาม

เสาวนยี ์ เนอื งมนตรีพ้นโทษ โปรดใหเ้ นาดา� แหน่ง แหง่ ฐานันดรยศ พระราชกา� หนดโดยดับ
ทพสูแ่ัพรดักเจนพ้าเิรศพีย5ิกร์เโทะดียยยบาปพทอรัดงะ ปคร่นิลัดัเงไส ปียรโมรังสมพอตลงะหสน้ารุ าหิยวชมศาื่นรตีเ ิ สตตรรีม็จัสร พิดเิภเหวา็จียษไงปพชโัจยหน มาจเ ่ึงวซชีย่งึ ไองมท6ตุ มวราาา7ตนยยค าเห รศมบ าังเยขคเตัลจสล้าีมาพายรเามะตือยรงาพอจยอักู่หกร ์ี

๑ ควรโคตรโทษสาหส ควรไดร้ บั โทษสาหสั ท้งั โคตร
๒ พระอยั กาท้าว ตา คอื สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิ
๓ พระเจา้ หลวง พระราชบดิ า คอื สมเด็จพระมหาธรรมราชาธริ าช
๔ วาย บ่ หวงั ตนแก้ ชอบไดไ้ ปม่ ี ไมม่ ใี ครเลยทไี่ มอ่ ยากจะทา� ความดคี วามชอบเพอ่ื แกต้ วั หรอื อาจหมายความวา่ ไมม่ ใี ครเลยยอมตาย

โดยไมค่ ดิ แกต้ วั

112

นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
“ไวเพอื่ ผดงุ เดชเจา จอมปราณ
1 สวางโทษ หรือสรางโทษ คอื ถวายพระพรใหพ ระองคเ หอื ดหายโทสะ กอ เกดิ ราชรําบาญ ใหมแ ม
2 นฤบดดี าลสดบั อรรถ เผอญิ ทรงไดฟ งขอ ความที่ถูกพระทัย พูนเพ่ิมพระสมภาร เพ็ญภพ พระนา
3 อายาจน วอน ขอ แตใ นทนี่ ีเ้ ปน กิรยิ า อาการของพระสงฆชั้นผูใหญ วาย บ หวังตนแก ชอบไดไ ปม ”ี
ใชคําราชาศัพท ในความวา “ถวายพระพรอายาจน” จงึ หมายความวา ทลู หรือกลาว ขอ ใดเปนแนวคิดของบทประพนั ธข างตน
4 โรมราญราวิศ รมุ รบ โดยคาํ วา ราวศิ มาจาก ราวี + อศี เปน ราวศิ 1. ความจงรกั ภักดตี อ พระมหากษัตรยิ 
5 พรกั พิรีย พรอ มดว ยพล 2. การเพิ่มพูนบารมี
6 ชไม ท้ังสอง คําวา “จงึ ชไมมาตยา” หมายถงึ นายทัพทงั้ สอง ในทีน่ ี้ คือ 3. ความกลาหาญ
เจาพระยาพระคลงั และเจาพระยาจักรี 4. การใหอ ภยั
7 อตุ รา ซาย เหนอื คําวา “อตุ รานคเรศ” หมายถึง หวั เมืองเหนือ ฝายเหนือ
วิเคราะหค ําตอบ บทประพันธขา งตนกลา ววา เพอ่ื ค้าํ จนุ จอม
112 ค่มู ือครู กษตั ริยเ ม่ือเกดิ ศกึ คร้ังใหม เพือ่ รกั ษาแผนดนิ ขององคกษตั รยิ 
จงึ ไมควรลงโทษประหารโดยท่ยี ังไมมโี อกาสแกตวั ผพู ูดโนม นาว

เพื่อใหพระราชทานอภยั ตอบขอ 4.

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

อธบิ ายความรู้ Explain

เลิกครัวครอกมาหลาย หมาย บ่ หมดท้ังผอง ตริไตรตรองคราวศึก เสื่อมหาญฮึกแบ่งเบา ครสู มุ นกั เรยี น 3 - 4 คน อภปิ รายบทจบของ
จกั โรมเราฤๅย่าน ฝีมอื ม่านมอญมวล ควรผดงุ ชนบท ปรากฏเกียรตยิ ืนยง๑ คงคู่กัลป์ประลยั เรือ่ งลิลิตตะเลงพายวา กวีกลาวถงึ ส่งิ ใดบาง
เฉลิมแหล่งไผทท่ัวด้าว แสดงพระยศไท้ท้าว ธิราชไวไ้ ปว่ าย นามมา
ฯลฯ (แนวตอบ กวีแสดงจุดมงุ หมายของการประพันธ
วา ตอ งการเฉลมิ พระเกยี รตยิ ศของสมเดจ็ พระนเรศวร
โคล๔ง๏๒ ๖๔ เสรจ็ แสดงพระยศเจา้ จอมอยธุ - ยาเอย มหาราชกษัตริยผ ยู ิ่งใหญแหง กรุงศรอี ยธุ ยาไวค ูบา น
องค์อดิศรสมมุติ เทพไท้ เมือง และกวีกลาวอยางถอมตวั ในเรอื่ งของลลี าการ
นเรศวรรตั นมกฎุ เกศกษตั ริย ์ สยามฤๅ ประพนั ธ ดงั วา “โดย บ เชี่ยวเชลงถอ ย ถอ งแท
หว๔งั ๏๒อ๗ ยู่คร่ ูงั ธเร เมิ่รศรจไวเร้ ข1อ ้าง ฟากฟ้าดนิ เฉลมิ แลฉงาย” ซึ่งเปนการกลา วแตเ พยี งขนบธรรมเนยี ม
อรรถา แถลงเอย เทา น้นั และไดส รุปในตอนทา ยวาเปนการบรรยาย
เสมอทิพยม์ าลย์ผกา เกบ็ ร้อย เลา เรอื่ งราวการทาํ ศกึ สงครามยทุ ธหตั ถขี องสองชาติ
ฉโดลยอ๔๏ ๒งบ๘ บ ่ เทบชรรยี่ ัชรวนยเชารลยา-งก ถ3ล อ้ ก ยา พยแ์ สร้ง ธิปผา่ น ภพฤ2ๅ สองกษตั รยิ  และขอใหผ ูอ า นทงั้ หลายไดพ ิจารณา
ถ่องแทแ้ ลฉงาย หากมีขอ สงสัยหรอื ผดิ พลาดกข็ อใหแ กไ ขและรักษา
สมญา ไวแ้ ฮ ไวใหค งอยู ระบชุ อ่ื ตนเองไวโ ดยใชโ คลงกระทูวา
สมลักษณเ์ ลห่ เ์ สาวนา เรือ่ งรู้ “กรมหมนื่ นชุ ติ ชิโนรส ศรีสุคต ขัตติยวงศ”)

“ตะเลงพ่าย” เพอื่ ตะเลงปรา ชเยศ พระเอย ขยายความเขา้ ใจ Expand
เสน๔๏อ๒๙ฤ ทอธวิ์สยอพงรรคาณชสะ ู้ ปราชญพ์ ร้อม ศกึ ชา้ งกลางสมร
พิจารณ ์ เทอญพ่อ นักเรียนยกบทประพันธทกี่ วแี จงใหทราบวาเปน
เร่ืองเกยี่ วกับการสรู บกันของกษัตริย
ใดวิรธุ บรรหาร เหตดุ ว้ ย (แนวตอบ บทประพันธท่ีกวีแจง ใหท ราบวา เปน
จงเฉลิมแหลง่ พสุธาร เจริญรอด หึงแฮ
มล๔า๏๓ย๐ โลกกรอมยห่ามมื่นลนายุชมิต4้ว เยช ื้อ อรรถอนื้ อัญขยม เร่ืองเก่ยี วกับการสูรบกนั ดงั นี้
กวีวร “บรรยายกลกาพยแสรง สมญา ไวแ ฮ
ชิโนรส มง่ิ มหิศร เสกให้ สมลักษณเ ลห เ สวนา เร่ืองรู
ศรสี คุ ต พจนสนุ ทร เถลิงลกั ษณ์ น้ีนา “ตะเลงพา ย” เพอื่ ตะเลงปรา ชเยศ พระเอย
ขัตติยวงศ ์ ผจงโอษฐไ์ ว ้ สบื หลา้ อยา่ ศูนย์ เสนอฤทธสิ์ องราชสู ศกึ ชา งกลางสมร”)
ฯลฯ วาร ี โอฆ6ฤๅ
๏๔๓๗ ผวิ วงว่ายวฏั 5เวิ้ง ตรวจสอบผล Evaluate

บลุโลกตุ รโมล ี เลศิ ลน้
จงเจนจติ กว ี วรวากย ์ เฉลียวเอย 1. นักเรยี นสรุปสาระสาํ คญั ของวรรณคดีเรอื่ ง
ตราบล่วงบ่วงภพพ้น เผดจ็ เส้ียนเบียนสมร ลลิ ติ ตะเลงพา ยได
ฯลฯ
๑ ยืนยง ตามฉบับสมุดไทยฉบับหนงึ่ แต่อกี ฉบับหนงึ่ กับฉบับพมิ พ ์ คา� ว่า “ยนื ยง” เป็น “ยรรยง” 2. นักเรยี นอธบิ ายเกยี่ วกับประเด็นทางวรรณศลิ ป
ในบทประพนั ธได
113
3. นกั เรียนยกบทประพันธทส่ี อดคลอ งกบั
จุดมุงหมายของกวไี ด

“รังเร่ิมรจเรขอา ง ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู
อรรถา แถลงเอย
เสมอทพิ ยม าลยผกา เก็บรอย 1 รจเรข การขดี เขยี น
ฉลองบทรัชนรา ธิปผาน ภพ 2 บทรัชนราธิปผาน ภพ พระคุณ พระบาท พระเจาแผนดิน
โดย บ เชยี่ วเชลงถอ ย ถองแทแ ลฉงาย” 3 เชลง เปน คาํ เขมร มีความหมายวา แตง หรอื ประพนั ธ
บทประพนั ธขา งตนมีลกั ษณะการแตง ตามขนบทางวรรณศิลป 4 กรมหมน่ื นชุ ติ เปน คาํ ขนึ้ ตน โคลงกระทขู องบทนี้ กระทโู คลง คอื “กรมหมนื่ นชุ ติ
อยา งไร ชิโนรส ศรสี คุ ต ขตั ตยิ วงศ” ตองอา นกระทกู อ นแลว จึงอานโคลง
5 วฏั มาจาก สงสารวัฏ คือ ยงั เวียนวา ยอยใู นสังสารวฏั หมายถงึ การเวียนตาย
แนวตอบ จากบทประพนั ธข างตน ถอดคําประพันธไ ดว า ในการ เวยี นเกดิ ในทีน่ ี้ เปรยี บดงั วายวนในหวงนา้ํ
แตง บทประพันธน ้เี ทยี บเทากับการรอยมาลาดอกไม ฉลองพระคณุ 6 โอฆ หวงน้ํา ในพระพุทธศาสนาหมายถงึ กเิ ลสทที่ วมทบั จิตใจของหมสู ตั ว
ของพระเจา แผน ดนิ โดยการประพนั ธย งั ไมเ ชย่ี วชาญนกั ตามที่กวี มี 4 อยา ง คือ 1. กาโมฆะ คือ กาม 2. ภโวฆะ คอื ภพ 3. ทิฏโฐฆะ คอื ทิฐิ
กลาวในบาทสดุ ทา ยวา “โดย บ เชีย่ วเชลงถอย ถองแทแ ลฉงาย” และ 4. อวิชโชฆะ คอื อวิชชา
เปน การกลา วถอมตนตามขนบในตอนทา ยเร่ือง คือ กวที ีม่ คี วาม
สามารถเปน เอกไมจําเปน ตอ งอวดตน และการประพันธง านนี้ คู่มอื ครู 113
นับวาเปน การฉลองพระคณุ พระเจา แผนดนิ

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครูยกคําศัพทใหนักเรียนชวยกนั อธบิ าย ๖. ค�ำ ศพั ท์ ความหมาย
ความหมายตามท่ีปรากฏในเนือ้ เรอื่ ง ดังตอไปนี้
คา� ศพั ท์ ผกู ไมไ้ ผ่เป็นสะพานเรอื ก
• เศษสังขยาหา บาทเก่ียวขอ งกับอาหารหรอื กรองเวฬู ก่อสงครามทา� ให้บา้ นเมอื งเดือดร้อน
คาเงนิ หรอื ไม อยางไร ก่อรงค์รั่วหลา้ เวลาที่ล่วงผา่ นไปหยกๆ
(แนวตอบ คําวา “เศษสังขยาหาบาท” ไมได กี้ กลบั
มีความหมายถงึ ช่ืออาหารหรอื หนว ยเงินแต กระลับ ถอื กวดั แกวง่
อยางไร แตมีความหมายถึง การคํานวณ กระลึงกระลอก อาการเลา่ ลือ เสยี งสรรเสริญ ข่าวเลื่องลอื
เมอื่ มกี ารเคลื่อนทัพในวรรณคดเี รือ่ งลิลิต กิดาการ จระเข้
ตะเลงพา ย ในตอนทส่ี มเดจ็ พระนเรศวร กุมภีล์ ทีท่ �าไวส้ า� หรับพระเจา้ แผ่นดินเสดจ็ ก้าวข้นึ ลงในเวลาทรงช้างและ
มหาราชตรวจตราทพั จากความวา เกย พระราชยาน
“...ยา่ํ รุงสองนาฬกา เศษสังขยาหาบาท เกยท่ที �าเฉพาะในพธิ ีจะเสดจ็ กรธี าทัพออกศึก
ในบษุ ยมาสดฤษถ.ี ..” เกยชัย สรอ้ ยอ่อน สร้อยแขน ทองตน้ แขน กา� ไล
บทประพันธขา งตน กลา วถงึ เวลาแปดโมง เไกกยรสูรร1 ราชสีห์ท่ีตระกูลสูงสุดในบรรดาราชสีห์ ๔ จ�าพวก คือ
สามสิบนาที) ตณิ ราชสหี ์ กนิ หญา้ เปน็ อาหาร มขี นสแี ดง กาฬราชสหี ์ กนิ หญา้
ขัตติยมานะ เปน็ อาหาร มขี นสดี า� บณั ฑรุ าชสหี ์ กนิ เนอื้ เปน็ อาหาร มขี นสเี หลอื ง
สา� รวจคน้ หา Explore ขตั ติยายุทธ์ ไกรสรราชสีห ์ กินเนอ้ื เปน็ อาหาร มขี นสขี าว
ขุนศรี ความถอื ตนวา่ เป็นกษตั ริย์
นกั เรียนศกึ ษาคน ควา เกี่ยวกบั การสรางคํา ขนุ แผน การรบระหว่างกษัตรยิ ์
ท่ีมาของคาํ และความหมายของคาํ ศัพทใ นดา น ขุนเสยี ม นายทพั ท่ขี ่ีชา้ ง
ตางๆ ดงั รายละเอยี ดตอไปน้ี ต�าแหน่งนายด่านผู้น�าใบบอกหวั เมอื งเขา้ สกู่ รงุ
114 กษตั รยิ ์ไทย
• คําไทย
• คําภาษาบาลสี นั สกฤต
• คาํ ที่ยังคงความหมายเดมิ
• คําทีม่ ีความหมายเปลยี่ นไป

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT วารี โอฆ
“ผิววงวายวฏั เวงิ้
วรรณคดีเรือ่ งลลิ ิตตะเลงพายมคี าํ ศพั ทแ ละถอ ยคํา สํานวนมากมาย ครูจงึ ควร บลุโลกตุ รโมลี เลศิ ลน”
ชีแ้ นะใหนักเรียนเห็นความสาํ คัญของการรบั รูความหมายของคาํ ศัพทใ หก วางขวาง ขอใดคอื คําอา นและความหมายของคําขดี เสน ใต
ท้งั นี้เพราะคาํ ศัพทใ นวรรณคดีเร่อื งลลิ ติ ตะเลงพา ยเปนคําศพั ทย าก เปน คําโบราณ 1. โลก-กุ-ตะ-ระ หมายถงึ พนโลก
ทไ่ี มมใี ชในปจ จบุ นั หรอื มปี รากฏอยูในวรรณคดเี ร่อื งนเ้ี ทาน้นั จงึ ยากแกการทาํ 2. โลก-กดุ -ตระ หมายถึง พน จากโลก
ความเขาใจ หากนกั เรยี นไมศึกษาใหลกึ ซ้ึงก็จะเปน อุปสรรคตอ การแปลความและ 3. โลก-กดุ -ระ หมายถึง หลุดไปจากโลก
การตคี วามได 4. โล-กุด-ตะ-ระ หมายถึง พน โลก

นกั เรียนควรรู วิเคราะหคําตอบ โคลงส่ีสภุ าพเปนคาํ ประพันธท่ีไมไดนบั จาํ นวน
พยางคแ ตน บั คําวา วรรคหนาของแตละบาทจะมี 5 คาํ และไมเนน
1 ไกรสร เปน ราชสหี ท่เี หนอื กวา ราชสีหท ัง้ หมด เพราะมีคุณพิเศษกวาราชสหี  เสียงสมั ผัสในวรรคเหมอื นกลอนสุภาพ ในทีน่ ้จี งึ อา นโลกุตรวา
จาํ พวกอ่ืน การเปลง เสียงคํารามของไกรสรราชสีหจะดงั สนน่ั กึกกอ งโดยรอบไปถึง
3 โยชน ไกรสรราชสหี ป ระเสริฐกวาราชสหี อ กี 3 จําพวก คอื มีความสุภาพและ โล-กุด-ตะ-ระ หมายถงึ พน โลก ตอบขอ 4.
แกลวกลากวา

114 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

คำ� ศพั ท์ ควำมหมำย 1. นักเรียนพจิ ารณาการใชค ําศพั ทใ นเร่ืองลลิ ติ
โขลนทวาร ตะเลงพายในประเด็นตอ ไปนี้
ครอก ประตูป่า พิธบี �ารงุ ขวญั ทหารก่อนออกศกึ • การสรางคาํ ศัพทในลิลิตตะเลงพายมีการ
ฝงู ลูกสตั ว์ที่เกดิ รว่ มกันคราวเดยี ว ลกู ของทาสทเี่ กดิ ในเรือนเบ้ีย สรางคําลกั ษณะใดบา ง
ครอเคร่า1 เรียกว่า ลกู ครอก เจา้ โดยก�าเนดิ ตั้งแตช่ นั้ หมอ่ มเจา้ ชนั้ พระเจ้า (แนวตอบ วธิ ีสรา งคาํ ศพั ทในวรรณคดีไทย
ครี ีเมขล์ ลกู เธอ เรียกว่า เจ้าครอก เร่อื งลิลิตตะเลงพายและวรรณคดีหลายเรอ่ื ง
คอย ไดร ับอทิ ธิพลของภาษาบาลีสันสฤต ซึ่งไดร บั
โคกเผาขา้ ว ชอื่ ชา้ งของวสวตั ตีมาร มารทม่ี าผจญพระพุทธองค์ เพ่ือไมใ่ ห้ อทิ ธพิ ลมาจากศาสนาอกี ทหี นง่ึ วธิ สี รา ง
เครื่องพดุ ตาน ส�าเรจ็ เปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คําศพั ทในวรรณคดีเรอื่ งลิลิตตะเลงพา ย
ช่อื ตา� บลในเมอื งสพุ รรณบรุ ี จึงใชการสมาสคาํ โดยมากมักเปน การสมาส
ค้า ราชบลั ลงั ก์ท่ตี ั้งบนหลังช้างเรยี กวา่ พระคชาธารพดุ ตานทอง ทม่ี ีสนธิ เชน ทกั ษณิ าวรรต (ทกั ษิณ + วรรต)
จตุรงค์ ถ้าต้ังบนพระราชยานคานหาม เรียกว่า พระราชยานพุดตานทอง เปน ตน แตก็มบี างคําทส่ี มาสอยา งไมมสี นธิ
จตุรงคโชค ออกแสดง เก่งกล้า เชน่ บค้าอาตม์ออกรงค์ เชน ขตั ติยมานะ จตุรงคโชค เปนตน )
ทหารสีเ่ หลา่ คอื เหลา่ ช้าง เหล่าม้า เหลา่ รถ และเหล่าเดินเทา้
ฉม โชคสีป่ ระการเกยี่ วกับการยาตราทัพ คือ ๑. โชคดี ๒. วนั เดอื นปี 2. ครขู ออาสาสมัครจาํ นวน 2 - 3 คน ออกมา
ฉช้ัน ดี ๓. ก�าลงั ทหารเข้มแขง็ ๔. อาหารบริบูรณ์ นําเสนอหนาชน้ั เรยี น
กลนิ่ หอม เครอ่ื งหอม
ชชาายยไแหควร2ง (เจียระบาด) สวรรค์ ๖ ชั้น คอื จาตมุ หาราชกิ า ดาวดึงส์ ยามะ ดสุ ติ ขยายความเขา้ ใจ Expand
เชวง นมิ มานรดี ปรนมิ วสวัตดี
ซน้ั ผผ้าา้ หคา้อดยเดอา้ วนมหีชนาา้ ยหหนอ้ึง่ ยผทืนบัอยหูร่นะ้าหขวาา่ ทงง้ัชา๒ยแขค้ารงง3 1. นักเรียนนําความรเู รอ่ื งการสรางคํามาคน ควา
โซรม รุ่งเรือง เลื่องลือ คาํ ศพั ทจากเนือ้ เร่อื งเพิ่มเติม โดยนกั เรยี นหาคาํ
รีบ เร็ว ถี่ ตดิ ๆ กนั ท่ีขึน้ ตน ดว ยคําวา จต-ุ พรอ มบอกความหมาย
รมุ กัน ชว่ ยกนั (แนวตอบ ตวั อยา งเชน
• จตุบาท หมายความวา สัตวส ่ีเทา
115 • จตสุ ดมภ หมายความวา วิธจี ดั ระเบยี บ
ราชการบรหิ ารสวนกลางในสมยั โบราณ
โดยตัง้ กรม หรอื กระทรวงใหญข ้ึน 4 กรม
คอื กรมเมอื ง กรมวัง กรมคลงั และกรมนา
มเี สนาบดเี จา กระทรวงวา การในแตล ะกรมนนั้
• จตรุ พกั ตร หมายความวา พระพรหม เปน ตน )

2. ครขู ออาสาสมคั รจํานวน 2 - 3 คน ออกมา
นาํ เสนอหนาชนั้ เรียน

บรู ณาการเช่อื มสาระ นักเรียนควรรู

ครูบูรณาการความรเู ร่ืองเครอ่ื งแตง กาย ซ่งึ เปน คาํ ศพั ทท่พี บมาก 1 ครี เี มขล เปน ชื่อชางของพระยาวสวัตดีทขี่ ่มี าประจญกับพระพุทธเจา ในทน่ี ี้
ในเร่อื งลลิ ติ ตะเลงพา ย โดยใหน กั เรียนรวบรวมคาํ ศพั ทท ่ีเปนเครือ่ ง เปรยี บกบั ชางของพระมหาอุปราชา
แตงกายในการออกศึกสงครามในสมยั กอ น แลว บูรณาการความรู 2 ชายไหว หรอื หอ ยหนา คอื “ผา ปด ชายพก” โบราณมใี ชท ง้ั แบบผนื ตรง และแบบ
เขา กับกลมุ สาระการเรยี นรศู ลิ ปะ วชิ านาฏศลิ ป เรอื่ งเครอ่ื งแตง กาย “ผาทพิ ย” (ซ่งึ มลี ักษณะเหมอื นผาหอยหนาฐานชุกชพี ระพุทธรูป) และยงั มที ่ใี ชส ีพ้ืน
ของตวั ละคร โดยเฉพาะเครือ่ งแตงกายตัวพระ ซ่งึ มอี กี หลายอยาง ตา งจากหอยขางดวย ปจ จบุ ันจะใชแ ตแบบผืนตรง และมสี ีเดยี วกับหอยขางพน้ื ที่
ทีป่ รากฏในวรรณคดีเร่ืองลิลิตตะเลงพาย เชน ชายแครง ชายไหว บนหอยหนาสามารถวางลวดลายตา งๆ ไดอ ยา งอสิ ระตามแตจ ะออกแบบ หรอื อาจ
เปนตน นอกจากน้ี ยังมีเครื่องแตงกายอ่ืนๆ อีก เชน กาํ ไลเทา วางลายเปนรูป “สุวรรณกระถอบ” อยูตรงกลาง (โดยมากมกั ใชสีพ้นื เฉพาะตวั รปู
พระภษู า ฉลององค รัดสะเอว ปน เหนง กรองคอ ทับทรวง สุวรรณกระถอบเปนสเี หลอื งทอง) ชวงปลายผนื แบง เปน ชองกระจกวางลายประเภท
อินทรธนู พาหรุ ัด สงั วาล ตาบทศิ ชฎา ดอกไมเพชร กรรเจียกจร เดยี วกบั ทใ่ี ชในหอ ยขาง ปก แบบลายหนุน ดว ยดนิ้ โปรง และเล่อื มลอมตัวลายดวย
ดอกไมทดั อุบะ ธาํ มรงค แหวนรอบ ปะวะหลาํ่ กําไลแผงหรอื ทองกร ด้ินขอ ชายผืนตดิ ด้ินครยุ เงนิ
เปนตน 3 ชายแครง เคร่ืองแตงกาย เปน ผา หอยทบั หนาขาทั้ง 2 ขา ง

จากการเชอ่ื มสาระการเรยี นรูเ ขา กบั วชิ านาฏศลิ ปจะชวยให
นกั เรียนเห็นภาพของเหตกุ ารณ ตวั ละคร ฉาก บรรยากาศตางๆ
ไดส มจริงยง่ิ ขึน้ ชวยสงเสริมจินตภาพของนักเรยี นไดเ ปนอยางดี

คมู่ ือครู 115

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู้

1. นกั เรยี นพจิ ารณาความหมายของคาํ ศพั ทใ น คำ� ศพั ท์ ควำมหมำย
วรรณคดเี รอื่ งลลิ ติ ตะเลงพา ย แลว รว มกนั ตอบ ดสั กร
คาํ ถามตอ ไปนี้ ตกไถง ข้าศึก
• นกั เรียนคดิ วา ความหมายของคําศพั ทใน ตติยยาม ทิศตะวันตก
เร่ืองลลิ ิตตะเลงพา ยมีความเหมอื นหรอื ตา ง ตระบดั ยามท่ี ๓ คือตั้งแต่ ๖ ทุ่ม ถึง ๙ ทมุ่ (๒๔.๐๐ - ๐๓.๐๐ น.)
กับท่ีใชในปจจุบันหรือไม อยางไร ตาบ ประเด๋ียว บดั ใจ ทนั ใด พลันไป
(แนวตอบ คาํ ศพั ทในเรอื่ งนบ้ี างคํายังมีใชอยู เครอ่ื งประดบั รอบคอหรอื อก ตาบทิศ เป็นแผน่ ประดบั อก
ในปจจุบัน บางคาํ มเี พยี งในวรรณคดเี ทา น้นั เตา้ โยงสังวาลไว้ทงั้ ขา้ งหน้าและข้างหลงั
คําทม่ี ีความหมายเหมือนในปจจบุ ัน เชน ตสี ิบเอด็ ไป
แถลง ทวชิ าติ ดสั กร เปน ตน คาํ ทมี่ คี วามหมาย ถอ้ เวลาตีห้า (กอ่ นรุ่ง)
ตา งไปจากเดมิ หรือมคี วามหมายแคบเขา เชน ถบั โตต้ อบ
เตา ตสี ิบเอด็ ถอ เปน ตน) แถลง ทนั ใด เร็ว พลนั
เถกงิ บอกเลา่ แจง้
2. นักเรียนนาํ คาํ ศัพททร่ี วบรวมไดใ นขางตนมา เถือก สงู ศักด์ิ ร่งุ เรือง กกึ กอ้ ง
อธบิ ายความหมาย โดยทําเปน ตารางคําศัพท ทบ บ่ มทิ าน ดาษ ทว่ั ไป จา้ โพลง พราว บทประพนั ธใ์ ชก้ บั สที อง คอื ทองเถอื ก
สง ครู ทรหงึ ทรหวล เขา้ ไปต่อสู้กต็ า้ นทานไม่ได้
ทวิชาติ นาน เสียงเอ็ดอึง เสยี งดังปน่ั ปว่ น
ขยายความเขา้ ใจ Expand ทกั ษิณาวรรต ผเู้ กิดสองหน หมายถึง นกและพราหมณ์
เททอดครัว การเวยี นขวา เวยี นไปตามเขม็ นาฬกิ า
1. นักเรียนนาํ คําศัพทใ นบทเรียนทมี่ กี าร เทรดิ การถ่ายเทครอบครัว อพยพครอบครัว
เปลย่ี นแปลงความหมายตา งไปจากท่ีใชใ น เทีย้ ร เครอื่ งประดบั ศรี ษะ ยอดสนั้ ไมส่ งู อยา่ งชฎา รปู มงกฎุ มกี รอบหนา้
ปจ จบุ นั มา 4 - 5 คาํ จากน้ันเปรียบเทียบคํา ย่อม แลว้ ไปด้วย
ดังกลา วกับขอความหรอื ประโยคท่ีปรากฏตาม 116
สือ่ ตางๆ ในปจจุบัน เชน หนงั สอื บทความ
เว็บไซต เปน ตน

2. ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน มานาํ เสนอหนา ชนั้ เรยี น
จากน้ันเพ่ือนๆ ในชั้น จดบนั ทึกความรูเ ร่ือง
คําศพั ทจากท่ีเพอ่ื นนํามาเสนอเพมิ่ เติม

เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT ขอยชี้เฌอนาม
คาํ ประพนั ธใ นขอ ใดมชี ่ือดอกไม เยาวย ว่ั แยม 
ครูแนะความรูเรื่องตดั ไมข มนาม โดยครอู ธิบายทม่ี าของคาํ น้ซี งึ่ ปรากฏอยูใน 1. หนแหง ฉายาไม บานเบิก ใจนา
วรรณคดเี รือ่ งลลิ ิตตะเลงพายวา หากเปนพธิ ีหลวงจะเรยี กวา “พระราชพิธตี ดั ไม 2. นางแยมหน่ึงแยมยาม หมดเทวษ
ขม นาม” มกี ารตงั้ ปะราํ เอกิ เกรกิ สง่ิ ทขี่ าดไมไ ด คอื ตน กลว ยตานยี อดมว น (ใบยอด 3. พิศโพน พฤกษพ บู
ยงั ออ นอย)ู กบั ไมต อ งนามขา ศกึ ตามตาํ ราโบราณไมท ตี่ อ งนามขา ศกึ จะดแู คช อื่ อกั ษร 4. แสงจนั ทร บ สองสมร
ตวั หนา หรอื ไมท กี่ าํ หนดไว ตรงกบั วนั เกดิ เชน สะเดาตรงกบั คนเกดิ วนั พธุ และศกุ ร
ตอ งสรา งรปู ปน ทท่ี าํ จากดนิ ใตส ะพาน ดนิ ทา นา้ํ ดนิ ปา ชา อยา งละ 3 แหง พรอ มทง้ั วิเคราะหค าํ ตอบ ขอ 1. ขอ 3. และ ขอ 4. ไมม คี ําใดทเี่ ปนชอ่ื
เขยี นนามขา ศกึ ลงยนั ตก าํ กบั ปลกุ เสกตอ อกี 3 คนื รปู ปน นจ้ี ะถกู ตดั ดว ยมดี พรอ มกบั ดอกไม แตมีคําทม่ี คี วามหมายอน่ื ท่ใี กลเ คยี ง ดังนี้ ขอ 1. “เฌอ”
ตนกลว ยและไมตองนามในวันพิธี แปลวา ตน ไม ขอ 3. “พบ”ู แปลวา ดอกไม และขอ 4. “สมร”

เมือ่ ครูอธิบายที่มาของคาํ นีแ้ ลวใหน กั เรยี นพิจารณาวา พิธีกรรม ความเชอื่ นี้สง ผล นางงามผูซ ึง่ เปนทีร่ กั ขอ 2. มีชือ่ ดอกไมว า “นางแยม” ตอบขอ 2.
ตอขวัญและกาํ ลังทางทหารอยา งไร และใหนักเรียนศึกษาคนควาจากเนื้อเรอื่ งลิลิต
ตะเลงพา ยเพิม่ เติมวา มพี ธิ ีกรรมใดอกี บา งที่ตองทํากอนออกศึก เพื่อสรา งขวัญและ
กําลงั ใจแกทหาร

116 คมู่ ือครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู้

คำ� ศพั ท์ ควำมหมำย 1. นกั เรยี นพจิ ารณาทีม่ าของคาํ ศพั ทใ นวรรณคดี
เทยี ว เรือ่ งลลิ ิตตะเลงพา ย ซง่ึ สวนมากเปนคําบาลี
ธาตรี เวียนไปมา หรือไปมาบ่อยๆ ธงรปู กระบอก สนั สกฤต จากนนั้ นกั เรยี นจบั คกู นั แลว พจิ ารณา
ธเรศ แผน่ ดิน โลก ท่ีมาของคํา
ธมุ างค์ พระเจ้าแผน่ ดนิ • คําใดเปน บาลี คาํ ใดเปนสนั สกฤต
นพรัตน์ ควนั ฝนุ่ (แนวตอบ ตวั อยางการจําแนกคําทีเ่ ปน ภาษา
บางทเี รยี กวา่ นวรตั นห์ รอื เนาวรตั น์ หมายถงึ แกว้ เกา้ ประการ คอื บาลีและสนั สกฤต
นกั ษัตร เพชร ทับทมิ มรกต บุษราคมั โกเมน นลิ มุกดา เพทาย ไพฑรู ย์ • คําศัพททีม่ าจากภาษาบาลี เชน ธุมางค
เนา ดาวฤกษ์ นพรัตน บณั รสี เปนตน
บรรหาร อยู่ • คาํ ศพั ทท ม่ี าจากภาษาสันสกฤต เชน
บัณรสี ตรัส สั่ง ธเรศ นกั ษตั ร บตุ รทาร บุษยมาสดฤษถี
วัน ๑๕ ค�า่ เป็นวนั อุโบสถ (วันพระ) ปราโมทย เปน ตน )

2. ครสู ุมนักเรียน 3 - 4 คู ออกมานาํ เสนอ
การจาํ แนกคําหนาช้นั เรียน และใหเ พ่ือนๆ
ในชน้ั เรียนจดบนั ทกึ คําศัพทท เี่ พ่อื นนาํ มาเสนอ
เพมิ่ เตมิ

บตุ รทาร ลกู เมีย ขยายความเขา้ ใจ Expand
บษุ ยมาสดฤษถี เดือนย่ี คือ ราวเดือนมกราคม
ปจั จามติ ร ข้าศกึ นกั เรยี นรว มกันอภิปรายความสาํ คัญของ
ประนงั นอ้ ยแง่ มคี นอยรู่ วมกนั นอ้ ยคน ภาษาบาลสี นั สกฤตในคําประพันธ
ประพาฬ รัตนะหรอื แกว้ ชนดิ หนึ่งสีแดงอ่อน • การใชค ําภาษาบาลีสันสกฤตในวรรณกรรม
ประลาต หนไี ป ยอพระเกียรตมิ ีความเหมาะสมอยางไร
ปราโมทย์ บันเทงิ ใจ ปลืม้ ใจ (แนวตอบ การใชค าํ บาลีสันสกฤตใน
ปาฏบิ ท วนั ขน้ึ ๑ ค่�า หรือแรม ๑ คา่� วรรณกรรมยอพระเกียรติ จากความเชอ่ื ท่ีวา
ผ้าย เดนิ เปน คําทีศ่ ักด์สิ ิทธิ์ ภาษาบาลเี ปน ภาษาท่ี
เผือด จางไป หมองไป พระพุทธองคใชเผยแผพ ระธรรมคาํ สอน
สวนภาษาสนั สกฤตเปน ภาษาทใี่ ชใ นศาสนา
พราหมณ - ฮินดู เชื่อวา เปน ภาษาของเทพเจา
ดังนนั้ คําที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตจึงมี
ความเหมาะสมทจี่ ะใชในวรรณกรรมท่เี ชิดชู
พระเกยี รตขิ องพระมหากษตั รยิ  อีกท้ังการ
117 ใชคําบาลีสันสกฤตยังชวยใหมกี ารใชค ํา

ในการประพันธมากข้ึน)

คําประพันธในขอใดหมายถงึ วนั พระขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT บรู ณาการอาเซยี น

1. เขา รววิ ารมหนั ต วันสิบเอ็ดข้นึ คา่ํ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉยี งใตน ับถอื พระพุทธศาสนา และการทาํ กิจกรรม
2. คํานึงนกึ บาปใกล วนั บณั รสีไซร ทางศาสนาในวนั พระ ซงึ่ี ในสมยั พทุ ธกาลเปน วนั ทพี่ ระพทุ ธองคอ นญุ าตใหม กี ารประชมุ
3. ยาํ่ รงุ สองนาฬก า เศษสังขยาหา บาท พระสงฆ วัน 8 คา่ํ 15 ค่ํา และอนญุ าตใหพระภกิ ษุสงฆประชมุ สนทนาและแสดง
4. ในบุษยมาสดฤษถี ศรีสวัสดฤี กษอ ุดม ธรรมเทศนาแกป ระชาชน โดยตามพระไตรปฎ กเรยี กวนั พระวา วนั อโุ บสถ (วนั 8 คา่ํ )
หรือวันลงอโุ บสถ (วัน 14 หรอื 15 คํา่ ) แลวแตกรณี ในประเทศไทยปรากฏหลกั ฐาน
วเิ คราะหค ําตอบ วนั พระกําหนดโดยถือการเปลีย่ นแปลงของ วา ไดมีประเพณีวันพระมาตัง้ แตสมัยสุโขทยั
พระจนั ทร จากเดือนเตม็ ดวงจนถงึ เดอื นมดื และกลับเปน เดือนเต็ม
ดวงอกี ครง้ั โดยคนื พระจนั ทรเต็มดวงเรียก ขนึ้ 15 ค่าํ พระจนั ทร ซึง่ ในปจ จุบนั คงเหลอื ธรรมเนยี มปฏิบัตอิ ยูแตเฉพาะประเทศท่นี บั ถือพระพทุ ธ-
คอยๆ ดบั นบั แรม 1 คา่ํ 2 คํ่า ตามลําดบั ถงึ 15 คํ่า เปน วนั ศาสนาเถรวาท เชน ศรลี งั กา พมา ไทย ลาว และเขมร (ในอดตี ประเทศเหลาน้ี
พระจนั ทรดบั พอดี จากน้นั เริม่ นับขึ้นจากวนั ขนึ้ 1 คา่ํ 2 คาํ่ จนถงึ ถอื วนั พระเปน วนั หยดุ ราชการ) โดยพทุ ธศาสนกิ ชนเถรวาทนบั ถอื วา วนั นเ้ี ปน วนั สาํ คญั
ขน้ึ 15 คา่ํ เปน วนั พระจนั ทรเ ตม็ ดวงอกี ครง้ั หนงึ่ เปน อันครบรอบ ทจ่ี ะถอื โอกาสไปวดั เพือ่ ทาํ บญุ ถวายภตั ตาหารแดพระสงฆและฟง พระธรรมเทศนา
1 เดือน ในท่นี ้ี วันบณั รสี หมายถึง วันพระ ซง่ึ ตรงกับ “คาํ นึงนึก ครูใหนักเรยี นศกึ ษาคน ควา วาประเทศในอาเซยี นทนี่ ับถอื พระพทุ ธศาสนามกี าร
ประกอบกจิ กรรมทางศาสนาในวนั พระอยา งไรบา ง ใหน กั เรยี นมานาํ เสนอแลกเปลย่ี น
บาปใกล วันบณั รสไี ซร” ตอบขอ 2. ความรูก ันในชั้นเรียน

คูม่ ือครู 117

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Explain Expand
อธบิ ายความรู้

นักเรยี นรวมกนั ตอบคําถามเก่ียวกบั คําศพั ทใ น คา� ศพั ท์ ความหมาย
เรือ่ งลลิ ิตตะเลงพาย ดังตอไปนี้
แผ้ว ท�าใหเ้ ตยี น สะอาด หรอื หมดสิน้ ไป หมดจด บริสุทธ์ิ
• นกั เรียนคดิ วา การเลือกใชค ําศพั ทใ นเร่อื งมี พก แผน่ ดิน พลิก คว�่า
ความเหมาะสมหรอื ไม อยางไร พบู กาย ตัว หน้า ดอกไม้ งาม ขาว
(แนวตอบ เหมาะสม เพราะคณุ คา ของวรรณศลิ ป พยหุ , พยู่ห์ กระบวน หม่ ู กองทัพ
ในวรรณคดีน้นั จะเดน ชดั อยูทีก่ ารเลือกใชคาํ พลวก พลัก่ ออกมา ทะลักออกมา เพราะเครอ่ื งปดิ กน้ั หลุดออก
การสรางศพั ทข องกวีกเ็ พือ่ ที่จะส่ือความรูสึก พวน เชือกเกลยี วขนาดใหญ ่ แนว
นกึ คดิ ออกมาไดอ ยา งเตม็ ท่ี และตามแบบฉบบั พชั รินทร์ พระอนิ ทร์
ของตวั เอง ทงั้ ถอยคาํ สาํ นวน และโวหาร พาหา แขน
รวมทง้ั กลวธิ กี ารส่อื ภาษา การสรรคํา การใช พิชัย ความชนะ
คาํ ศพั ทข องกวที าํ ไดห ลายวธิ ี เชน การแผลงคาํ พพิ ฒั น์ ความเจรญิ
การตัดคํา การเพมิ่ คําหรอื พยางค การใชคาํ
เอกโทษ คําโทโทษ การสลับเสยี งของคาํ
รวมทั้งการคิดคําศพั ทตา งๆ ขนึ้ มาใหม ทง้ั ใน
ลกั ษณะของสญั ลกั ษณ บุคลาธิษฐาน จงึ กลา ว
ไดว า การใชภาษาของกวีนบั วา เปน ภาษาท่ี
รุมรวยถอ ยคําโดยแท)

ขยายความเขา้ ใจ Expand พพิ ธิ ตา่ งๆ กัน
พริ ยิ ะ ทหาร นกั รบ คนกลา้
นกั เรียนพจิ ารณาเนือ้ เรื่องลิลิตตะเลงพา ย แลว ไพรินทร์ ขา้ ศึก (ทเ่ี ป็นกษตั รยิ ์)
ยกเนอื้ ความทม่ี กี ารใชคาํ เอกโทษ คําโทโทษ พริ าลยั ตาย ใชแ้ กเ่ จ้าประเทศราช สมเดจ็ เจา้ พระยา
(แนวตอบ ตัวอยา งเน้อื ความทม่ี กี ารใชค าํ เอกโทษ พลุก ชงาอ่ื ชรา้ัตงนะ1ชนิดหน่ึง สีเหลืองแกมเขียว น�า้ ตาล และเทา
คาํ โทโทษมรี ายละเอียด ดังตอไปนี้ ไพฑรู ย์ ปดิ กน้ั บงั
• การใชค ําเอกโทษ เฟีย้ ม ดวงอาทิตย์
“กองหนาอาจโจมประจญั ภาณมุ าศ ท่ปี รึกษา ผแู้ นะนา� ท่ีปรกึ ษาราชการ ขา้ ราชการชน้ั ผ้ใู หญ่
ใหพ ระยาสพุ รรณผา ยพยหู  พปู ก ซา ยเมอื งธน” มนตรี
ในท่นี ้ีเขยี นใหต รงรูปวรรณยกุ ตจ ึงใช
คาํ เอกโทษวา “พู” ซ่ึงปกติเขยี นวา “ผ”ู 118
• การใชค ําโทโทษ
“ผันหลังแลน แผผ าน บ มผี อู ยตู า น
ตอ สูส กั ตน หน่งึ นา”
ในท่นี ี้เขียนใหต รงรปู วรรณยุกตจ งึ ใชค ํา
เอกโทษวา “ผา น” ซงึ่ ปกติเขียนวา “พาน”
แปลวา ไมเปน ระเบียบ พลกุ พลา น)
ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
นกั เรียนควรรู คําทข่ี ดี เสน ใตในขอใดที่มคี ําศพั ทห มายถงึ พระอินทร
1. เบ่ยี งพระมาลาผิน หอ นพอ ง
1 รตั นะ แกว ทีถ่ ือวามีคาย่ิง รวมถึง คน สตั ว หรือส่งิ ของทถ่ี อื วาวเิ ศษและ 2. ไพรีสาดซอง โซรมปนไพไปต อ ง
มีคา มาก เชน รตั นะ 7 ของพระเจาจกั รพรรดิ ไดแ ก 3. พางพชั รนิ ทรไพจิตร ศกึ สรา ง
4. ฤๅรามเริม่ รณฤทธิ์ รบราพณ แลฤๅ
1. จักรรตั นะ หมายถึง จักรแกว
2. หตั ถิรัตนะ หมายถึง ชางแกว วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. พระมาลา แปลวา หมวก ขอ 2. ไพรี
3. อัสสรัตนะ หมายถงึ มาแกว แปลวา ขาศกึ ขอ 3. พัชรินทร มาจาก พัชร + อนิ ทร ซงึ่ แปลวา
4. มณิรตั นะ หมายถงึ มณีแกว พระอนิ ทร และขอ 4. รณฤทธ์ิ แปลวา การรบ ดงั นน้ั ขอ ทม่ี ี
5. อติ ถีรตั นะ หมายถงึ นางแกว ความหมายวา พระอนิ ทร คือ “พางพัชรินทรไพจติ ร ศกึ สราง”
6. คหปตริ ตั นะ หมายถึง ขนุ คลังแกว
7. ปริณายกรตั นะ หมายถงึ ขุนพลแกว ตอบขอ 3.
หรอื ในความหมายวา ของประเสรฐิ สดุ ของยอดเยยี่ ม เชน รัตนะ 3 คอื
พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ เปนแกว อันประเสริฐสดุ ของพทุ ธศาสนกิ ชน และใช
ประกอบคําอน่ื หมายถึง ยอดเยี่ยมในพวกนัน้ ๆ เชน บุรุษรัตน นารรี ตั น รัตนกวี
เปน ตน

118 คมู่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

คำ� ศพั ท์ ควำมหมำย 1. นักเรยี นอธบิ ายการใชค ําศัพทท่ีอา งถึงจาก
มุทธาภสิ ิตธาร วรรณคดีเร่อื งอื่น โดยยกบทประพันธป ระกอบ
น�้าสรงในพิธีพราหมณ์ส�าหรับงานพระราชพิธีมงคล เรียกอีกชื่อ • การอางถงึ วรรรณคดีเรอื่ งอ่ืนท่ีปรากฏใน
มหุดฤิ กษ์ คอื นา�้ มุรธาภเิ ษก วรรณคดเี รอ่ื ง ลลิ ิตตะเลงพา ย มสี าเหตุ
แมก่ ษตั ริย์ ฤกษ์ดี ยามดี มาจากอะไร พรอ มยกตัวอยา งประกอบ
เมิล ชอื่ แมน่ ้�าในเขตกาญจนบุรี (แนวตอบ การอา งถึงวรรณคดีเรอ่ื งอน่ื เปน
ยรรยง มอง ดู เพราะกวีไดร บั อทิ ธิพลทางความคดิ
ยอ งามสงา่ กล้าหาญ ความเชอ่ื เชน บางตอนทม่ี าจากเร่อื ง
ย่าน ตี รามเกียรติ์ ดังบทประพนั ธต อไปน้ี
ย�า่ สบิ เอ็ดสามบาท ทอ้ ถอย “งามสองสุริยราชลํา้ เลอพศิ นาพอ
เยีย่ งยุกด์ิ สบิ เอด็ ทมุ่ เทยี บได้กบั เวลาตหี ้ากับ ๑๘ นาที (๑ บาท = ๖ นาที) พา งพัชรนิ ทรไพจติ ร ศกึ สรา ง
เยยี ว ยุติธรรม รามเรมิ่ รณฤทธ์ิ รบราพณ แลฤๅ
ราพณ์ แม้วา่ ผวิ ่า ทกุ เทศทกุ ทิศอา ง อืน่ ไทไ ปเทียบ
รามราฆพ ยักษ์ ชอื่ เรียกทศกณั ฐ์ นอกจากนี้ ยงั สะทอ นใหเ หน็ ตาํ นาน
รังสฤษฏ์ พระราม กลางช้างของพระนเรศวร ความเชอ่ื ในคมั ภรี โ บราณดงั ทีป่ รากฏวา
รรปิตั 1พู สั ตร์ สร้าง แต่งตง้ั “พา งพชั รนิ ทรไพจติ ร ศกึ สราง”
เรอื ก ผ้าสแี ดง ผา้ ยอ้ มสแี ดง สา� หรบั ท�าผ้าคาด เข็มขัด พชั รนิ ทร หมายถึง พระอนิ ทร สวนไพจิตร
ข้าศกึ คอื ไพจติ ราสูรหรือพญาอสูรเวปจิตติ ซงึ่ มัก
ลบอง ไม้ไผ่ท่ีผ่าออกเป็นซีกๆ แล้วถักด้วยหวายส�าหรับปูพ้ืนหรือ จะยกทัพมารบกับพระอนิ ทร เพื่อชิงสวรรค
ละเลิง ก้นั เปน็ ร้วั พน้ื ที่ลาดหรือปูด้วยไมถ้ กั หวาย ชั้นดาวดึงสคนื เน่อื งจากถกู พระอนิ ทร
แบบแผน แบบฉบบั แต่ง ท�า แยง ชิงไป)
เหลงิ จนลมื ตวั เพราะลา� พองหรือคึกคะนอง
2. ครขู ออาสาสมัครนักเรยี นจํานวน 2 - 3 คน
119 ออกมานาํ เสนอหนาช้นั เรียน

ขยายความเขา้ ใจ Expand

นักเรยี นนาํ คําศัพทหนา 119 ท่ีปรากฏใน
วรรณคดีและวรรณกรรมเรอื่ งอื่น แลว อธบิ ายท่มี า
ของคําศัพทน นั้

(แนวตอบ คาํ วา “ราพณ” เปนคําศพั ทท่พี บไดใน
วรรณคดเี รือ่ ง รามเกียรต์ิ เปน ช่ือเรยี กทศกัณฑ)

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู
คําท่ีขีดเสนใตใ นบทประพันธตอไปนีส้ ัมพนั ธก บั ขอใด
“รามเร่ิมรณฤทธ์ิ รบราพณ แล” ครูใหนักเรยี นฝก อา นตีความเนือ้ เรือ่ งทีม่ ลี กั ษณะคําประพันธป ระเภทรอ ยกรอง
1. เมอื่ น้ัน ทาวทศพกั ตรชาญสมร โดยเรมิ่ จากการคน หาความหมายของคาํ ศพั ทใ นเนอื้ เรอ่ื งซง่ึ มจี าํ นวนมากและเปน ศพั ท
2. เมอ่ื นน้ั องคพ ระจกั รกฤษณอดศิ ร ยาก ครใู หน กั เรยี นยกบทประพนั ธอ าจเปน โคลงหรอื รา ย แลว รวบรวมคาํ ศพั ทเ หลา นน้ั
3. เมื่อนนั้ พระกฤษณรุ ักษณเรืองศรี มาอธบิ ายความหมาย จากนนั้ ใหน กั เรยี นถอดคาํ ประพนั ธเ ปน ความเรยี งใหส ละสลวย
4. เม่อื นั้น พระสุรยิ ว งศองคนารายณทรงจกั ร ครแู นะเพมิ่ เตมิ วา การถอดคาํ ประพนั ธท ด่ี นี น้ั ตอ งอาศยั การตคี วามบรบิ ทเปน พนื้ ฐาน
คือ นกั เรยี นจะตอ งรคู ําศพั ทค วบคูกับการตีความบริบททช่ี วยสอื่ ใหเ ขา ใจความหมาย
วิเคราะหคําตอบ จากคําประพันธ ของคําศัพท โดยเฉพาะเมอ่ื มกี ารแปลงคาํ ศัพทตางๆ ใหเ ขา กับรูปแบบคาํ ประพันธ
“รามเร่ิมรณฤทธ์ิ รบราพณ แล”
ถอดคําประพนั ธไดว า พระรามสูรบกบั ทศกณั ฐ นกั เรียนควรรู
คําวา ราพณ หมายถึง “ทศกัณฐ” ขอ ท่กี ลาวถึงทศกัณฐ ซง่ึ มี
ลกั ษณะสบิ หนายสี่ บิ มือ คือ “เม่ือน้นั ทา วทศพักตรช าญสมร” 1 ริปู ขาศึก คาํ ทมี่ ีความหมายเหมือนคาํ นี้หรอื คําพอ งความหมายของคาํ น้ี เชน
เศิก ดสั กร ปจ นึก เส้ียนพารา อริ ปรปก ษ เส้ียนหนาม อมติ ร ไพรี ขา ศกึ
โดยคําวา “ทศพักตร” หมายถึง ทศกณั ฐ ตอบขอ 1. เส้ียนหนาม หลักตอ เปนตน

คมู่ ือครู 119

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate
Expand Expand
ขยายความเขา้ ใจ

1. นกั เรยี นจบั คู กลมุ ละ 3 คน รวบรวมคาํ ศพั ท คา� ศพั ท์ ความหมาย
จากเรอื่ งลลิ ติ ตะเลงพา ยทม่ี คี วามหมายตรงตาม ละเวง
ท่ีกําหนดให ดังตอไปน้ี เลบง เฟ่ืองฟุ้ง เสยี งเสนาะ
• มา แล่นมา้ ลาด การเลน่ การศึกถือเป็นการกีฬาสา� หรับกษตั ริย์
(แนวตอบ ไดแ ก คาํ วา สินธพ หยั ) โลกุตร ขบั ม้าลาดตระเวน
• กษัตรยิ  ล�ากะเพิน พน้ วิสยั ของโลก
(แนวตอบ ไดแ ก คําวา นราธปิ ขนุ เสียม ธเรศ) วลาหก ชือ่ ลา� น�้าในเขตกาญจนบุรี
• ขา ศกึ วิเชยี ร เมฆ
(แนวตอบ ไดแ ก คําวา เสี้ยน ริปู ดสั กร วบิ ลุ สายฟ้า เพชร อาวุธพระอนิ ทร์
ไพรนิ ทร) วภิ ูษติ เตม็ กว้างขวาง มาก
วเิ ลปน์ แต่งแล้ว ประดับแลว้
2. นกั เรียนรว มกันหาคาํ ศพั ทอ ื่นๆ ท่มี คี วามหมาย เวรัมภา การทา การลบู ไล้ เครอ่ื งลูบไล้
ตรงตามทก่ี าํ หนดใหเพิ่มเตมิ ลมพายุทพี่ ัดหมุนด้วยอ�านาจแห่งเวรกรรม เป็นลมร้ายที่พดั พา
(แนวตอบ คําท่ีมคี วามหมายวา มา กษัตรยิ  เศวตฉัตร ให้บ้านเมอื งพนิ าศ
โศศรลเพก1ลงิ ฉัตรสขี าว เครือ่ งก้นั รม่ สีขาว เคร่อื งหมายสา� หรับกษัตรยิ ์
ขาศกึ มดี งั นี้ สมร ปืนไฟ
• มา เชน พาชี อศั วะ อาชา อสั ดร อัศว หยั สรวง คา� ประพันธส์ ันสกฤต คา� ขับร้องสรรเสรญิ เกียรติ
เปนตน สมิทธิมาตงค์ ร่วมตาย การรบ ดวงใจ ผู้หญิง
• กษัตรยิ  เชน นโรดม มหบิ าล ราชา ภูมินทร สระเทินสระทก สวรรค์
นฤบาล วภิ ู เปนตน สะอ้งิ ชา้ งมีฤทธ์ ิ คอื ชา้ งเอราวณั ของพระอนิ ทร์
• ขาศกึ เชน อริ ปจจามิตร ปรปก ษ อรนิ ทร ประหมา่ พร่นั พรงึ
ขา เศกิ ไพรี ไพเรนทร เปน ตน ) 120 สายคาดเอว สรอ้ ยตวั

3. ครขู ออาสาสมคั รนักเรียนจาํ นวน 2 - 3 คน
ออกมานําเสนอหนา ช้ันเรียน

เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
คําประพันธในขอ ใดมีความหมายวา “สราง” และ “แตง ตงั้ ”
ครูอธบิ ายใหน ักเรยี นเขาใจวา การใชคําราชาศพั ทใ นเร่อื งลลิ ิตตะเลงพา ยในการ 1. เสนอฤทธส์ิ องราชสู ศึกชางกลางสมร
บรรยายวาเรอ่ื งลลิ ิตตะเลงพา ยเปนเรอ่ื งที่มีมาตง้ั แตส มยั อยธุ ยาตอนตน ภาษาท่ใี ช 2. จงเฉลมิ แหลงพสธุ า เจรญิ รอด หงึ แฮ
จึงเปน ภาษาถ่ิน ประกอบกบั เปนเรอื่ งราวของกษัตริย คาํ ทใ่ี ชจ งึ เปนราชาศัพทท ่ีตอ ง 3. เสมอทพิ ยม าลยผ กา เก็บรอ ย
บรรยายการตอสูข องกษัตริย ซึ่งภาษาที่ใชนอกจากจะเหมาะสมกบั เนอ้ื เรอื่ งและ 4. รงั สฤษฎพระสถูปสถาน ท่มี ลา ง
รปู แบบแลว ยังตองเปน ถอยคาํ ทท่ี าํ ใหเ กดิ ความไพเราะ สรา งอารมณ ความรสู ึก
ใหผูอ านทราบถงึ พระเกยี รตยิ ศอนั ยงิ่ ใหญข องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วิเคราะหค าํ ตอบ ถอดคําประพนั ธใ นแตล ะขอ ไดดังนี้ ขอ 1.
สองกษตั ริยส ูศ กึ ชางท่ีกลางสมรภูมิ ขอ 2. จงฉลองแผน ดินให
นักเรียนควรรู เจรญิ มน่ั คงยาวนาน ขอ 3. เหมอื นเกบ็ หมมู วลดอกไมม ารอ ย ขอ 4.
สรา งพระสถูปท่รี บราฆาฟนกนั ตาย ดังนน้ั ขอทมี่ คี วามหมายถงึ
1 โศลก คําประพันธใ นวรรณคดีสนั สกฤต 4 บาท เปน 1 บท ตามปกตมิ ีบาทละ
8 พยางค การแตงโศลกนน้ั จะดจู ังหวะเปน หลกั แตล ะบาทแบงเปน 2 จังหวะ สรางและการแตงต้ัง คอื ขอ 4. ตอบขอ 4.
จังหวะละ 4 พยางค ไมเครงครัดในเร่ืองคาํ ครุ คําลหุ หรือสัมผัสของฉันทในตํารา

120 ค่มู ือครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate
Expand Expand

ขยายความเขา้ ใจ

คา� ศพั ท์ ความหมาย 1. นักเรยี นรวมกนั ยกบทประพันธท มี่ ีคําศพั ทท ี่
สลัดได1 นกั เรยี นสนใจ 3 - 4 คาํ เชน คาํ ทมี่ พี ยญั ชนะตน
สวัสดิ ชือ่ พรรณไม้ชนดิ หนง่ึ เสยี งเดียวกนั เปนตน นาํ มาใชใ นการแตงเปน
สังขยา ความด ี ความงาม ความเจริญ โคลงสสี่ ภุ าพ คนละ 1 บท โดยนกั เรยี นแตง เรอื่ ง
สังวาล การนบั การคา� นวณ ท่เี ชิดชพู ระเกียรตขิ องพระมหากษตั รยิ ไ ทย
สร้อยตัว เป็นเคร่อื งประดับชนิดหนงึ่ เหมอื นสายสร้อย
สาร ใช้คล้องสะพาย 2. นกั เรยี นนาํ คาํ ประพนั ธท น่ี กั เรยี นแตง มานาํ เสนอ
สายหยุด ช้าง หนาช้นั เรยี น เพ่ือแลกเปลย่ี นเรียนรกู นั
ชือ่ พรรณไมเ้ ลือ้ ย ดอกคลา้ ยกระดังงา มกี ลิ่นหอม
ส�ารด พอสายก็หมดกลน่ิ 3. นกั เรียนแตงโคลงสี่สภุ าพใหถกู ตองตาม
ลายของเสื้อครุย ผ้าทีป่ กั อย่างเดียวกับลายของเสือ้ ครุยใช ้ ฉันทลกั ษณแ ละเน้อื หา
สนิ ธพ คาดเอว บางทีเรียกวา่ สมรด
สบิ ทุ่ม มา้ พนั ธุด์ ี 4. นกั เรยี นนาํ โคลงทเี่ พ่อื นแตงมาฝก การวิเคราะห
สีมา ตสี ่ี วจิ ารณ และการประเมนิ คา งานวรรณกรรม โดย
สคุ นธ์ธาร เขต แดน เครอื่ งหมายของอาณาเขตโบสถ์ ยดึ หลกั เกณฑจากหนงั สือเรยี นหลกั ภาษาและ
สุงสุมาร นา�้ หอม การใชภาษา
เสนดั จระเข้
เสย้ี น ปืน 5. นักเรียนทาํ ตารางประเมินผลงานการแตงโคลง
เสนอสนองกล ข้าศึก ของเพอ่ื น โดยมอี งคป ระกอบ ดงั น้ี
หน้ั กราบทลู ถวายความคดิ เห็นตา่ งๆ • การใชภาษา
หัย (ภาษาถ่นิ เหนอื ) น้ัน • เน้ือหามีการนาํ เสนอแนวคิดตามทีก่ ําหนด
ม้า • รปู แบบคาํ ประพันธที่เปนโคลงส่ีสภุ าพ

121

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู

ขอใดมีความหมายแตกตางจากขออ่ืน ครูแนะความรูเ กย่ี วกับคําศพั ทท่เี ปนชอ่ื พันธุไ มใ นวรรณคดีเรอ่ื งลิลติ ตะเลงพา ย
1. ทรงคชเอราวณั ใหน ักเรยี นฟง วา พันธไุ มท่ปี รากฏในเรือ่ ง ไดแก มะปราง รัก ชอ งนางคลี่ อโศก
2. ขึ้นทรงกุญชรสงา งาม อบเชย ขานาง กระทมุ เกด เลบ็ มอื นาง ตอง (กระทอ น) ชงโค มะเดื่อ ซอ นกลน่ิ
3. ควาญชางคชสารนั่งรอ ตาด สลาลิง (หมากลิง) สวาด สลดั ได สละ รวก (ไผ) มะไฟ นางแยม มะตมู
4. ทรงสนิ ธพมโนมยั หยั รณ สายหยดุ สุกรม นมสวรรค ครใู หน กั เรยี นจดบันทึกชอื่ พนั ธุไมเ หลา นล้ี งสมดุ
วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอ 1. หมายถงึ ชา งท่งี ดงามและมีพลงั อํานาจ
เหมือนชางเอราวณั ขอ 2. กญุ ชร หมายถงึ ชา ง ขอ 3. กลาวถงึ นักเรียนควรรู
ควาญชาง และขอ 4. คําวา สินธพ หมายถึง มาพนั ธุ มโนมัย
และหยั หมายถงึ มา เชน กัน ดงั นน้ั ขอ ท่แี ตกตา ง คอื ขอที่ 1 สลดั ได เปนพนั ธุไ มป ระดบั อีกชนดิ หน่ึง ท่เี ปนพืชสมุนไพรรักษาโรคได ตน พชื
ชนิดน้ี เมอ่ื นํามาใชจ ะตอ งมีความระมัดระวงั เปนอยา งมาก เพราะสว นท่เี ปน ลําตน
กลาวถึง มา ตอบขอ 4. ก่งิ กาน ดอกของสลดั ไดจะมยี าง และยางนจ้ี ะมีพิษคอนขางรุนแรง แตหากใชให
ถูกวิธกี จ็ ะใหป ระโยชนม าก

ค่มู ือครู 121

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Expand
ขยายความเขา้ ใจ

1. นกั เรยี นบอกความหมายของคาํ ศพั ทท เ่ี ปน คาํ คา� ศพั ท์ ความหมาย
วเิ ศษณใ นเรอื่ งลลิ ติ ตะเลงพา ยทยี่ กมา 5 คาํ หา้ ว กรา้ ว แก ่ กลา้ มุทะลุ มเี สียงดัง
และแตง กลอนสภุ าพ 1 บท หึง นาน
(แนวตอบ ตวั อยางคําศพั ทท่ีเปน คาํ วิเศษณ เชน หนื่ เหิมใจ ยินดี ร่าเรงิ ชน่ื ชม
• ถับ แปลวา ทนั ใด เร็ว พลัน อดุล ช่งั ไม่ได้ ไมม่ อี ะไรเปรยี บ ไม่มีอะไรเท่า
• เผอื ด แปลวา จางไป อรนิ ทร์ ผู้เป็นใหญ่ฝ่ายข้าศึก มักหมายถึงพระราชาหรือเจ้าเมืองของ
• ทรหึงทรหวล แปลวา นาน เสียงเอ็ดองึ ฝ่ายตรงขา้ ม
เสียงดังปนปว น อลงการ การตกแต่ง การประดับ เครือ่ งตกแต่ง เครือ่ งประดับ
• หา ว แปลวา กรา ว แก กลา มทุ ะลุ มเี สียงดงั งามด้วยเคร่ืองประดับ
• เถกงิ แปลวา สงู ศกั ด์ิ รุงเรือง กกึ กอง) อวตาร แบง่ ภาคลงมาเกดิ การลงมาเกดิ การแบง่ ภาคมาเกดิ
ออกญา1 (ใช้กับพระนารายณ์)
2. ครพู จิ ารณาการนําคําศัพทท ่ีนักเรยี นยกมาแตง ต�าแหน่งหัวหน้าข้าราชการ บรรดาศักด์ิช้ันสูงที่พระราชทานใน
คําประพนั ธใ หถ ูกตอง ตรงตามความหมายของ ออกอเรนทร์ สมัยอยธุ ยา
คําและฉนั ทลกั ษณ อสั ดง ศัตรูทางทิศตะวนั ออก คือ เขมร
อปั ระมาณ ทศิ ตะวนั ตก ตกไป
ตรวจสอบผล Evaluate อุรเคนทร์ อบั อาย
ไอศูรย์ ง ู พญานาค2
1. นกั เรียนรวบรวมคาํ ศัพทท่มี าจากภาษาบาลี อนสุ นธิ ความเปน็ เจ้าเป็นใหญ ่ ความเปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ อา� นาจ
สนั สกฤต ภาษาเขมร ท่ปี รากฏในวรรณคดี ต่อเนื่อง
เรอื่ งลลิ ติ ตะเลงพา ย พรอ มกบั อธบิ ายความหมาย
ของคาํ ศัพทนั้น

2. นกั เรยี นแตง คําประพันธป ระเภทกลอนสุภาพ
ชนดิ คาํ วิเศษณจ ากคําศัพทในบทเรียนได

122

นักเรียนควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT

1 ออกญา บรรดาศกั ด์ิชั้นสงู ทีพ่ ระราชทานในสมยั อยธุ ยา สูงกวา “ออกพระ” “สองธาํ รงราชประยูร พนู โภไคยในกรงุ ผดุงภูแผนสยาม
เขา ใจวามาจากเขมร โดยคาํ วา “ออก” ทีเ่ ติมหนา บรรดาศักดส์ิ มัยโบราณ มกั เปนคาํ นามสทุ ัศนเทพนคร บวรทวาราวดี ศรอี ยุธเยศยง ดิลกอลงกตภพ
แสดงความอาวุโสในบรรดาศกั ดน์ิ นั้ แตยังไมไ ดเลื่อนขน้ึ ไปยังบรรดาศกั ด์ิที่สูงกวา นพรัตนราชธานี บูรรี มยสถาน...”
ขอใดมคี ําทม่ี คี วามหมายเหมือนคําวา “อลงกต”
2 พญานาค เปน สตั วใ นเทพนยิ ายจาํ พวกหนงึ่ คมั ภรี ป รุ าณะตา งๆ ของอนิ เดยี 1. พรายแพรวแกว นว้ิ ทา น มรงค
กลา ววา นาคเปน สตั วค รงึ่ เทพ มหี นา เหมอื นมนษุ ยแ ละมหี างเหมอื นงู ลาํ คอแผอ อกไปได 2. นพรัตนร ตั นควรคง คหู ลา
เหมอื นงเู หา แผพ งั พาน ในวรรณคดเี รอ่ื งลลิ ติ โองการแชง นาํ้ ซง่ึ เปน วรรณคดสี มยั อยธุ ยา 3. มาลาลกั ษณะผจง กรวกิ วาลแฮ
ตอนตน กลา วถงึ “นาค” โดยเรยี กนาควา เงอื ก คอื งู ตามคตขิ องอนิ เดยี ทวี่ า พระศวิ ะ 4. เสร็จเสดจ็ สูเกยถา ฤกษผายพลหาญ
มนี าคเปน สงั วาล ความวา
“โอมปรเมศวรา ผายผาหลวงอะครา ว วิเคราะหค ําตอบ ขอความขางตน กลา วถึง สองกษตั ริยทรงบํารุง
ทา วเสดจ็ เหนอื ววั เผอื ก เอาเงอื กเกยี้ วขา ง แผนดินสยาม คาํ วา “อลงกตภพ” หมายความวา บานเมอื งที่แตง
อา งทดั จนั ทรเ ปน ปน ...” งดงาม” ดงั นน้ั คาํ วา “อลงกต” จงึ มคี วามหมายวา แตง ซง่ึ เหมอื น
กับคําวา “ผจง” ในขอ 3. ที่ถอดความไดว า หมวกประดับดว ย

ขนนกการเวก ตอบขอ 3.

122 ค่มู อื ครู

กกรระตะตนุ้ E้นุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage Explore Engage
กระตนุ้ ความสนใจ

๗. บทวเิ คร�ะห์ ครูสนทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั นี้
• นกั เรยี นทราบหรือไมว า กอ นการประพันธ
๗.๑ คณุ คา่ ดา้ นเน้ือหา
เร่ืองลิลิตตะเลงพายมีวรรณคดีลลิ ิตเรื่องใด
๑) รูปแบบ ลิลิตตะเลงพ่ายแต่งเป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลง (แนวตอบ รูปแบบของลลิ ติ นั้นมมี าตั้งแตสมัย
สภุ าพ ได้แก ่ โคลงสองสภุ าพ โคลงสามสภุ าพ และโคลงสี่สุภาพสลับกนั ตามความเหมาะสมของ อยธุ ยา และลิลติ ทเ่ี ปน แบบฉบับของลิลติ
เน้ือหา ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นวรรณคดีแนวประวัติศาสตร์และเป็นวรรณกรรมเฉลิมพระเกียรติที่ ก็คอื ลิลิตยวนพา ย เปน การเฉลมิ พระเกยี รติ
มงุ่ สดดุ วี รี กรรมของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช การทผี่ แู้ ตง่ เลอื กใชค้ า� ประพนั ธป์ ระเภทรา่ ยสภุ าพ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ แตกตา งกนั ท่ี
และโคลงสุภาพในงานประพันธ์ จึงนับว่าเหมาะสมอย่างย่ิงเพราะค�าประพันธ์ทั้งสองประเภทนี้ ลักษณะของลิลติ คือ ลิลติ ยวนพา ยนั้นแตง
นยิ มใชใ้ นการพรรณนาเร่ืองราวที่สงู ส่ง ศักดิส์ ทิ ธิ์ เปนลลิ ิตดนั้ ซึง่ ประกอบดวยรายดนั้ และ
โคลงสีด่ ้ันบาทกุญชร)
๒) องคป์ ระกอบของเรอื่ ง
๒.๑) สาระ แก่นส�าคัญของลิลิตตะเลงพ่าย คือ การยอพระเกียรติสมเด็จ สา� รวจคน้ หา Explore

พระนเรศวรมหาราชในด้านพระปรีชาสามารถทางการรบ โดยการกระท�าสงครามยุทธหัตถีกับ 1. นกั เรียนแบงกลุมจํานวน 6 กลุม แตล ะกลุม
พระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดีและได้รับชัยชนะอย่างงดงาม นอกจากพระปรีชาสามารถ รว มกันศกึ ษาคุณคา ดานเนื้อหาของลลิ ติ
ททาศงพกธิ ารรารชบธแรลรว้ ม ผ ๑แู้ ๐ต ง่ ปยรงั ไะดกเ้านร1น้ สพังรคะหปวรตัชี ถาสุ ๔าม ปารรถะกในาดร า้ แนลกะาจรกัปรกวครรรอดงิวแัตลระ พ๑ร๒ะ จปรรยิ ะวกตั ารรอนั กอปรดว้ ย ตะเลงพาย ในประเดน็ องคป ระกอบของเรอื่ ง
จากหนังสอื เรียน หนา 123-127 ดังน้ี
๒.๒) โครงเรอ่ื ง ลลิ ติ ตะเลงพา่ ยเปน็ วรรณคดเี ฉลมิ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระนเรศวร • กลุม ท่ี 1 สาระของเร่ือง
มหาราช ซ่งึ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ิตชิโนรสทรงนา� มาจากประวตั ิศาสตร ์ โดย • กลุม ท่ี 2 โครงเร่อื ง
มีขอบเขตก�าหนดเน้ือหาไว้เพียงเรื่องการท�าสงครามยุทธหัตถี แต่เพื่อมิให้เน้ือเร่ืองขาดชีวิตชีวา • กลมุ ที่ 3 ตัวละครสมเดจ็ พระนเรศวร
จึงทรงเพิ่มเติมเรื่องที่ไม่ใช่การสงครามเข้าไป เน้ือหาที่ส�าคัญเป็นหลักของเร่ือง “ตะเลงพ่าย” • กลมุ ท่ี 4 ตัวละครพระมหาอปุ ราชา
คือการด�าเนินความตามเค้าเร่ืองในพงศาวดาร ได้แก่ การท�าสงคราม การต่อสู้แบบยุทธหัตถี • กลุมที่ 5 ฉากและบรรยากาศ
การจัดทัพ และรายละเอียดต่างๆ ซ่ึงเป็นไปตามต�าราพิชัยสงครามและโบราณราชประเพณี • กลมุ ที่ 6 กลวิธีการแตง
ทกุ อยา่ ง สา� หรบั เนอื้ หาทเ่ี ปน็ สว่ นเพม่ิ เตมิ หรอื สว่ นเสรมิ เรอื่ ง คอื สว่ นทปี่ ระพนั ธเ์ ปน็ ลกั ษณะนริ าศ
ซึ่งมีการพรรณนาเก่ียวกับการเดินทางและการคร่�าครวญอาลัยถึงนางผู้เป็นที่รักผ่านบทบาทของ 2. นักเรียนศกึ ษาประเดน็ ตอไปนี้
พระมหาอุปราชา • การสรรคาํ
• การใชโ วหาร
๒.๓) ตวั ละคร • ธรรมชาตขิ องมนษุ ย
สมเด็จพระนเรศวร • ขนบธรรมเนียมประเพณี
(๑) มีความเป็นนักปกครองที่ดี ทรงเลือกใช้คนโดยพิจารณาจากคุณวุฒิ • ความเชอ่ื ของสงั คมไทย
• ขอคดิ เพอื่ นําไปใชในการดาํ รงชวี ิต
รวมถงึ ทรงปรับปรงุ ต�าราพชิ ยั สงครามจากของเดมิ ใหเ้ หมาะสม และรัดกุมมากยิง่ ข้ึน นอกจากนี้ • เหตุการณสําคัญทางประวัตศิ าสตร
จากบทประพนั ธบ์ างตอนยงั แสดงใหเ้ หน็ วา่ ทรงเปน็ นกั ปกครองทพี่ รอ้ มรบั ฟงั ความเหน็ ของขนุ นาง
และข้าราชบรพิ าร ดงั บทประพันธ์

123

บูรณาการเชอ่ื มสาระ นกั เรียนควรรู

ครูบูรณาการเช่ือมความรเู ร่อื งหลักธรรมะของผปู กครอง 1 ทศพธิ ราชธรรม 10 ประการ เปน ธรรมะทบ่ี ญั ญัตขิ น้ึ กอ นสมยั พทุ ธกาล
อันไดแ ก ทศพิธราชธรรม 10 ประการ สงั คหวัตถุ 4 ประการ อาจกลา วไดวา เปน ปรัชญาทางการเมืองการปกครองของโลกตะวนั ออกท่วี างกรอบ
และจกั รวรรดิวตั ร 12 ประการ เขากับกลมุ สาระการเรียนรู ปฏบิ ตั หิ รือธรรมนูญของผมู อี าํ นาจปกครอง ตอมานักปราชญท างพระพทุ ธศาสนาได
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรอ่ื งเกีย่ วกบั หลกั ธรรมของ รบั เขา ไวเ ปน ธรรมะในศาสนาของตน
ผปู กครองทช่ี ว ยคาํ้ จนุ ใหป ระเทศชาตสิ งบสขุ ซงึ่ เปน สง่ิ ทมี่ มี าตงั้ แต
สมยั โบราณ ผปู กครองบานเมอื งยดึ ถอื หลกั ธรรมดังกลาวมาเปน จารีตประเพณีในสังคมไทยมักเนนยาํ้ ถงึ ทศพธิ ราชธรรม 10 ประการของ
เวลานาน โดยเหน็ ไดจ ากคณุ ธรรม ภาระหนา ทข่ี องสมเดจ็ พระนเรศวร ผปู กครองบา นเมืองเปนพเิ ศษ ในพระราชพธิ บี รมราชาภิเษกหรือพระราชพิธีเฉลมิ
มหาราชและสมเดจ็ พระเอกาทศรถในวรรณคดเี รอ่ื ง ลลิ ติ ตะเลงพา ย พระชนมพรรษา สมเด็จพระราชาคณะผูถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเศษกถา
ครูเชอื่ มโยงหลักธรรมดงั กลา วใหส อดคลอ งกับคณุ ลักษณะของ กจ็ ะตองนําธรรมดงั กลา วมาอธิบายขยายความ แสดงถวายพระมหากษตั รยิ อยู
ทัง้ สองพระองค แลวใหนกั เรยี นสรปุ ประเดน็ นลี้ งสมุด เสมอ การละเลยหรือหละหลวมในวตั รปฏิบัตเิ หลาน้ี เช่ือกันวา จะกอ ใหเกิดความ
ระสาํ่ ระสายในโครงสรา งแหง อาํ นาจทงั้ เบ้อื งบนและเบ้ืองลา ง จนกระทงั่ ในที่สุดอาจ
กอใหเ กิดความวุน วายแกส ังคมมนษุ ยหรือบานเมืองได

คู่มือครู 123

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

1. นกั เรยี นกลมุ ที่ 1 สงตวั แทนออกมาอธบิ าย ๏ ทั้งมวลหมูม่ าตยซ์ อ้ ง สารพลนั
สาระสาํ คญั ของเรอ่ื ง ซึง่ กลา วถงึ การยอ เลือ่ งหล้า
พระเกียรตสิ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราชท้ังใน ทลู พระจอมจรรโลง มาเทียบ ถวายแฮ
ดานการรบและดา นการปกครอง จากนนั้ บนั ทึก แถลงลกั ษณะปางบรรพ ์ เศกิ ไซร้ไกลกรุง
ความรลู งสมดุ แนะทค่ี วรเสด็จค้า ทลู ถวาย
(แนวตอบ พระปรีชาสามารถของสมเด็จพระ โอษฐ์พร้อง
นเรศวรมหาราชดา นการปกครองและการรบ ๏ โทไทท้ รงสดบั ถ้อย เหมอื นตริ ตูนา
มีดังนี้ ต่อน�้าใจตู
• ดานการปกครอง ภายหลงั ที่สมเดจ็ พระ ถูกหฤทัยทา่ นผาย
นเรศวรมหาราชไดข ึน้ เสวยราชสมบตั ิ ทรง สูตรกิ ต็ รงหมาย
เตรียมไพรพ ลยกทัพไปตีเมอื งละแวก แตเ มือ่ ตร ิ บ่ ต่างกนั ตอ้ ง
ทรงทราบขา ววา ทัพพระมหาอุปราชาและเจา
เมอื งเชยี งใหมย กมากท็ รงเปลยี่ นแผนโจมตที พั ทรงรอบรู้เรื่องกระบวน(๒ศ)ึกม ีคกวาารมจเัดปทน็ ัพน กั รกบา รสเคมลเดื่อจ็นพทรัพะน เกราศรวตรท้ังครง่าเยปต็นานมกั ตร�าบรทาีแ่ พทิช้จัยริงส งเคพรราามะ1
หงสาวดีแทน ท้ังนี้เพราะทรงยอมรับฟง ความ ทส่ี า� คญั คอื พระองคม์ คี วามกลา้ หาญ เดด็ เดยี่ ว ไมห่ วน่ั เกรงตอ่ ขา้ ศกึ แมจ้ ะอยใู่ นลกั ษณะเสยี เปรยี บ
คดิ เหน็ ของเหลาขุนนาง และทรงมคี วามเปน ก็ไม่เกรงกลัว แต่กลับใช้บุคลิกภาพอันกล้าหาญของพระองค์เผชิญกับข้าศึกด้วยพระทัยท่ีมั่นคง
ผูนําสงู ในการตัดสนิ ใจ ควบคมุ พลทหารอยา ง เข้มแขง็ ดังบทประพันธ์
เขม งวด เปนท่เี คารพยําเกรงของผูใ ตบ ังคบั
บัญชา ดังเห็นไดจ ากเมอ่ื การศึกจบลง ๏ สองสรุ ิยพงศผ์ ่านหลา้ ขบั คเชนทร์บ่ายหน้า
แลวทรงมคี ําส่งั ใหลงโทษแมทัพนายกองทต่ี าม พกั ตร์ท่านผ่องฤๅเศรา้
เสด็จไมทัน แขกเจา้ จอมตะเลง แลนา โซรมปนื ไฟไป่ต้อง
• ดา นการรบ ทรงเชีย่ วชาญดา นการรบยิ่งนกั
ทรงวางแผนในการทาํ ศึกอยางรอบคอบ ๏ ไปเ่ กรงประภาพเท่าเผ้า
สามารถแกไ ขสถานการณที่ประสบปญ หา
หรือเปน ฝา ยเสยี เปรยี บได) สู่เสย้ี นไปห่ น ี หนา้ นา

2. นักเรยี นกลมุ ท่ี 2 สง ตวั แทนออกมาอธิบาย ๏ ไพรเี รง่ สาดซ้อง
โครงเรอ่ื งของลิลิตตะเลงพา ย ในประเด็นของ
การเติมสีสันลงในสงครามยทุ ธหัตถี ดวยการ ตนื่ เต้าแตกฉาน ผ้านนา
พรรณนาฉากการรบ การจดั ทพั ซง่ึ มกี ลวิธี
การใชภาษาทม่ี ีความโดดเดนดา นวรรณศิลป (๓) มีพระปรีชาญาณ คือ ความฉลาด รอบรู้ มีไหวพริบ สมเด็จ
คอื นาํ เสนอเนอ้ื หาทาํ นองนริ าศผา นการ พระนเรศวรทรงมีพระปรีชาญาณในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการท�าศึกสงคราม
พรรณนาอารมณ ความรสู กึ ของพระมหาอปุ ราชา พระองค์ทรงสุขุม รอบคอบ ท�าการศึกโดยไม่วู่วามขาดสติ ทรงพิจารณาอุบายกลศึกด้วย
จากนัน้ นกั เรียนบันทกึ ความรูลงสมุด ความรู้และประสบการณ์อยา่ งแทจ้ ริง ตอนทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ความมีพระปรีชาญาณของพระองค ์ เชน่
ตอนทพ่ี ระองค์ตกอยใู่ นวงลอ้ มของข้าศกึ พระองค์ทรงเหน็ นายทพั ฝ่งั ตรงข้ามท่ีข่ชี า้ งมฉี ัตรกน้ั ถงึ
กสิบ็เหห็นกนคานยสทิบัพหคกนเชหือนกึ่ง ขยี่ชา้ากงทม่ีจีฉะัตแรยกก้ันแอยยะู่ใไตด้ร้ว่ม่าใไคมร้ขเ่อปย็น2 ใคมรีพ ลแทตห่ดา้วรยสพ่ีเรหะลป่ารเีชรียาญงราาณยอแยลู่จะช�าน่างวสนังมเกาตก
จงึ คาดว่านายทัพคนนัน้ คอื พระมหาอุปราชาแน่นอน จึงตรงเข้าไปทรงทา้ พระมหาอปุ ราชากระทา�
ยุทธหัตถีด้วยวาจาสุภาพ อ่อนโยนและให้เกียรติ ซึ่งแสดงถึงพระปรีชาญาณและไหวพริบของ
พระองค์อยา่ งดยี ่งิ ดงั บทประพนั ธ์

124

นกั เรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
ขอใดไมใช ลกั ษณะของโครงเร่อื ง
1 ตําราพิชัยสงคราม เปนตาํ ราทม่ี ีเนอ้ื หาเกย่ี วกับยทุ ธศาสตรและยทุ ธวิธกี ารรบ 1. เปน พงศาวดารดา นการทาํ สงครามยทุ ธหตั ถี
เชน การรุก การต้ังรบั การแปรขบวนทัพ การใชอบุ ายทาํ ลายขาศกึ บางตํารามัก 2. เปน วรรณคดเี ฉลิมพระเกยี รติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ใสเ นอ้ื หาท่ีเปนความเช่อื ทางดานโหราศาสตรเขามาประกอบ เชน การดฤู กษยาม 3. เปน ตาํ ราพชิ ัยสงครามตามพระราชประเพณีการจดั ทัพ
เคลอ่ื นทัพ การทําพิธีขม ขวญั ขาศึก และบาํ รงุ ขวญั ฝา ยตน รูปแบบการประพันธ 4. พระมหาสมณเจา กรมพระปรมานุชิตชโิ นรสนิพนธเรือ่ งราว
มีทงั้ รอยแกว และรอ ยกรอง ตามประวตั ิศาสตร
2 ขอย เปน ไมต นขนาดเลก็ ถงึ กลาง สูง 5 -15 เมตร ไมผลัดใบ ลําตนคอ นขาง วเิ คราะหคําตอบ โครงเรอ่ื ง คอื ลาํ ดบั หรอื ทศิ ทางของเรอ่ื งทว่ี างไว
คดงอ เปน ปุมปม รปู ทรง (เรือนยอด) พุม กลม แนนทึบ พบทัว่ ไปในทรี่ าบ ในปา เปน กรอบ เปน แนวทางในการสรางเรื่อง ขอทีจ่ ัดไดวาเปน ลกั ษณะ
เบญจพรรณแลง จนถงึ ปาดิบแลง ทว่ั ไป ซึ่งเปนพนื้ ท่สี ูงจากระดับน้าํ ทะเลปานกลาง โครงเร่ือง ไดแ ก ขอ 1. กรอบเรือ่ งเก่ียวกบั สงครามยุทธหัตถี ขอ 2.
20 - 600 เมตร พบในลาว พมา เขมร ทิศทางของเร่อื ง คอื เฉลมิ พระเกยี รติสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
ขอ 4. พระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรสทรงวางกรอบ
เนอ้ื ไมข อ ยในสมยั โบราณนยิ มนาํ มาทาํ กระดาษขอ ย ลาํ ตน ปลูกเปนแนวกันลม ของเรอื่ งตามประวัติศาสตร ขอ ทไ่ี มใชลกั ษณะโครงเรื่อง คอื ขอ 3.
ปองกนั การพังทลายของหนาดนิ ใหความรม รืน่ หรือนํามาปลกู เปนไมดัด ไมแ คระ ตําราพิชัยสงครามซง่ึ เปน รายละเอียดในเร่อื ง ตอบขอ 3.
ของไทยมาแตโ บราณจนถึงปจ จุบนั และเชอ่ื กนั วา ปลกู ตน ขอ ยไวป ระจําบา นจะ
ทาํ ใหเกดิ ความมั่นคง ชวยปองกันศตั รูจากภายนอกได

124 คมู่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

๏ ปนิ่ สยามยลแท้ทา่ น คะเนนึก อยนู่ า 1. นักเรยี นกลุม ที่ 3 สง ตวั แทนออกมาอธิบาย
นกั โนน้ ลักษณะตัวละครสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
ถวลิ วา่ ขนุ ศึกส�า- แลหลาก หลายแฮ ดังน้ี
ทวยทัพเทยี บพันลึก เพ่งเพี้ยนพิศวง • สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ครบเครือ่ งอปุ โภคโพน้ (แนวตอบ พระองคท รงเปนทงั้ นกั ปกครองที่ดี
ทรงมีความเปนนักรบและมีพระปรชี าญาณ)
พระมหาอุปราชา
(๑) เป็นลูกกตัญญู พระมหาอุปราชาทรงเกรงสมเด็จพระนเรศวรใน 2. นกั เรียนกลมุ ท่ี 4 สงตัวแทนออกมาอธบิ าย
เรอ่ื งฝมี อื และความอาจหาญ แตจ่ า� เปน็ ตอ้ งยกทพั มาตกี รงุ ศรอี ยธุ ยา เพราะขดั พระบรมราชโองการ ลักษณะตัวละครพระมหาอปุ ราชา ดงั นี้
ไม่ได้ ในระหว่างเดินทัพมาได้เกิดลางร้ายต่างๆ พระมหาอุปราชาเกิดความโศกเศร้าเสียพระทัย • พระมหาอปุ ราชา
เพราะไม่มนั่ พระทัยวา่ จะไดร้ ับชยั ชนะ ท�าใหท้ รงห่วงใยพระราชบดิ ายิ่งนัก ข้อความท่แี สดงให้เห็น (แนวตอบ พระมหาอุปราชาน้นั บุคลกิ ของ
ความกตญั ญูของพระมหาอุปราชา คือ ตอนทีค่ ร�า่ ครวญถงึ พระราชบิดาว่าจะว้าเหวแ่ ละขาดคู่คดิ พระองคทรงเปน พระโอรสท่ีกตญั ู
ในการทา� สงคราม และพระองค์เองกไ็ มส่ ามารถทดแทนบุญคุณของพระบดิ าได้ ดังบทประพนั ธ์ มพี ระทยั ออ นไหว แตมขี ัตตยิ มานะถอื ตวั
วาเปนกษตั รยิ  และตระหนกั ในหนาทีข่ อง
๏ พระเนานคั เรศอา้ เอองค์ ตนเปนอยา งดี แมจ ะทรงหวาดหวั่นจาก
ครู่ ้อน การทาํ นายทายทกั แตดว ยขตั ติยมานะของ
ฤๅ บ ่ มีใครคง ฤๅลุ แลว้ แฮ กษัตรยิ ทรงพยายามขม ใจสู ไมทอ ถอยทจ่ี ะ
จกั รจิ กั เรมิ่ รงค์ จักแค้นคับทรวง เอาชนะ)
พระจกั ข่นุ จักข้อน ภวู ดล
บอ่ นใต้
๏ พระคณุ ตวงเพยี บพ้นื ชบุ ชพี มานา
กลับเตา้ ตอบสนอง
เตม็ ตรลอดแหลง่ บน
พระเกิดพระก่อชนม ์
เกรง บ่ ทนั ลกู ได้

(๒) มีพระทัยอ่อนไหว พระมหาอุปราชาทรงระทมทุกข์มาก ไม่ต้องการ
ออกรบ เพราะเสียขวัญก�าลังใจจากการที่โหรท�านายว่าจะถึงฆาต สูญเสียความภูมิใจในฐานะ
พระราชโอรสแหง่ กษตั รยิ ห์ งสาวด ี เพราะถกู เยาะเยย้ ใหอ้ บั อายในทปี่ ระชมุ ขนุ นาง พระองคท์ รงมแี ต่
ความเศร้าโศกเสียพระทัยทีต่ ้องจากบา้ นเมอื ง จากความสขุ สบายทเ่ี คยไดร้ ับ เมอ่ื ใช้ชวี ติ อยู่ในวัง
พรั่งพร้อมดว้ ยพระสนม เพราะเปน็ คนทอี่ อ่ นไหวในอารมณ์ ท�าให้ระทมทกุ ข์ ขณะเดินทางก็คิดถงึ
นางอันเป็นที่รักด้วยความอาลัยอาวรณ์ตลอดเวลา พบเห็นส่ิงใดก็อดไม่ได้ท่ีจะน�ามาเปรียบเทียบ
กับความรกั ความคิดถงึ ทพ่ี ระองคม์ ใี หแ้ กพ่ ระสนม ดงั บทประพนั ธ์

125

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู
คาํ ประพนั ธใ นขอ ใดมลี กั ษณะทางวรรณศลิ ปโ ดดเดน ทส่ี ดุ
1. พระเนานคั เรศอา เอองค ครแู นะใหน กั เรยี นพจิ ารณาลักษณะนสิ ยั ของตัวละครในเรื่องวา มลี กั ษณะนิสยั
2.  บ มใี ครคง คูรอน อยางไร จากน้ันจัดกิจกรรมสงเสรมิ ความรู ความเขา ใจเก่ยี วกบั การศกึ ษาวรรณคดี
3. จักริจักเริม่ รงค ลุ แลว แฮ เรอ่ื งลิลิตตะเลงพายวาการประพนั ธวรรณคดเี ร่อื งนไ้ี มเ พยี งแตแสดงขอมูลทาง
4. พระจกั ขนุ จักขอน จกั แคนคบั ทรวง ประวตั ศิ าสตรเพ่อื ใหไดความรูเทา นั้น แตเปนการถา ยทอดอารมณ ความรูสึกแทรก
1. ขอ 1. กับ 2. เขา ไปดวย เมือ่ อานแลวจะกอใหเ กดิ ความรูสกึ ตอบสนอง มอี ารมณร ว มในความทุกข
2. ขอ 3. กบั 4. ของตวั ละครทีเ่ ปน ฝา ยตรงขาม เกิดความเห็นอกเห็นใจในฐานะมนุษย ซึ่งแสดงให
3. ขอ 2. กับ 3. เห็นคุณคา ของวรรณกรรมอยา งแทจ รงิ ท่ีไดทาํ หนาทข่ี องการจรรโลงใจ สามารถขาม
4. ขอ 1. กบั 4. เขตแดนแหง เช้อื ชาตไิ ปได

วเิ คราะหคําตอบ ขอทม่ี ีลักษณะทางวรรณศลิ ปโ ดดเดน ทส่ี ดุ คือ คมู่ อื ครู 125
ขอ 3. กบั ขอ 4. การเลน คาํ ซา้ํ กันหลายที่ คําวา “จกั ” และมีเสียง
สมั ผสั อักษรในวรรค ดังนี้ ขอ 3. จักริ-จักเริ่ม, ร-ิ เริ่ม-รงค และ

ฤๅ-ลุ-แลว ขอ 4. จักขนุ -จกั ขอน และ แคน -คบั ตอบขอ 2.

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

นกั เรียนอธิบายเปรยี บเทียบการทําศึกของ ๏ มาเดยี วเปล่ยี วอกอ้า อายสู
พระนเรศวรมหาราชและพระมหาอปุ ราชาใน สถิตอยเู่ อ้องคด์ ู ละหอ้ ย
ประเดน็ ตอไปนี้ พศิ โพน้ พฤกษ์พบู บานเบกิ ใจนา
พลางคะนึงนุชนอ้ ย แน่งเน้ือนวลสงวน
• จํานวนไพรพ ล ๏ พระครวญพระคร�่าไห้ โหยหา
(แนวตอบ ฝา ยพระมหาอุปราชาจะไดเ ปรยี บ พลางพระพศิ พฤกษา กง่ิ เก้ียว
เรอื่ งจาํ นวนไพรพลทีม่ มี ากกวา เพราะมีทัพ กลกรกนิษฐนา- รีรตั น ์ เรยี ม
จากเชียงใหมเขา ชวยในการทาํ ศึก มจี ํานวน ยามตระกองเอวเอ้ียว โอบอ้อมองคเ์ รียม
ไพรพ ลมากกวาฝายสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช 2 - 3 เทา ซงึ่ ทาํ ใหฝ ายสมเดจ็ (๓) มีขัตติยมานะ1 คือ การถือตัวว่าเป็นกษัตริย์ ถึงแม้พระมหาอุปราชา
พระนเรศวรมหาราชเสยี เปรยี บในเรอ่ื งนี)้ จะมีความประหวั่นพร่ันพรึงว่าจะต้องสูญเสียชีวิตในการท�าศึกสงคราม และมีความโศกเศร้า
สกั เพยี งใด แตด่ ว้ ยขตั ตยิ มานะ พระองคก์ เ็ ดนิ ทพั ไปดว้ ยความหยงิ่ ทะนงในพระองคเ์ อง ขตั ตยิ มานะ
• ขวญั กําลงั ใจ ของพระองค์ท�าให้เมื่อพระองค์ทราบแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นจอมทัพฝ่ายไทย ก็วางแผนท�าศึกทันที
(แนวตอบ ในการศกึ ครัง้ นี้มีการทาํ นายทายทัก ทงั้ ๆ ที่ยงั มคี วามหวาดหว่นั ในพระทยั อย ู่ ดังบทประพนั ธ์
อยหู ลายคร้งั ทงั้ คร้งั ท่เี ปนความฝนบาง ครัง้ ที่
เปน ปรากฏการณท างธรรมชาตบิ าง และกอน ...ครั้นพระบาทได้สดับ ธ ก็ทราบสรรพโดยควร ว่านเรศวรกษัตรา กับเอกาทศรุถ
การสูศึกบาง โดยสรปุ แลวฝา ยสมเดจ็ พระ ยกมายุทธ์แย้งรงค์ แล้วพระองค์ตรัสถาม สามสมิงนายกองม้า ถ้าจักประมาณพลไกร
นเรศวรมหาราชจะไดร ับคําทํานายท่ดี ี เมื่อ สักเท่าใดดูตระหนัก ตรัสซ้�าซักเขาสนอง ว่าพลผองทั้งเสร็จ ประมาณสิบเจ็ดสิบแปดหม่ืน
เปรียบเทียบกบั พระมหาอปุ ราชา ซ่ึงเสียขวญั ดูดาษดื่นท่งกว้าง คร้ันเจ้าช้างทรงสดับ ธ ก็ตรัสแก่ขุนทัพขุนกอง ว่าซ่ึงสองกษัตริย์กล้า
กําลงั ใจตงั้ แตกอนเสดจ็ ออกจากเมือง เพราะ ออกมาถ้ารอรับ เป็นพยุหทัพใหญ่ยง คงเขาน้อยกว่าเรา มากกว่าเขาหลายส่วน จ�าเรา
โหรทํานายวา จะชะตาขาด ทาํ ใหทรงเกิด ด่วนจู่โจม โหมหักเอาแต่แรก ตีให้แตกย่นย่อย ค่อยเบาแรงเบามือ เร็วเร่งฮือเข้าห้อม
ความวติ กกงั วลตลอดชว งการทาํ ศึก) ล้อมกรุงเทพทวารัติ ชิงเอาฉัตรตัดเข็ญ เห็นได้เวียงโดยสะดวก แล้ว ธ ส่ังพวกขุนพล
เทยี บพหลทุกทัพ สรรพแต่สามยามเสร็จ ตสี ิบเอด็ นาฬิกา จกั ยาตราทพั ขนั ธ ์ กนั เอารุ่งไวห้ นา้
เรว็ เรง่ จดั อย่าชา้ พรุง่ เช้าเราตี เทอญนา

๒.๔) ฉากและบรรยากาศ ฉากทปี่ รากฏในเรอ่ื งตอนทเ่ี รยี น คอื เหตกุ ารณภ์ ายใน
เมืองมอญและบรรยากาศระหว่างการเดินทัพของพระมหาอุปราชาจากเมืองมอญสู่กาญจนบุรี
ผู้แตง่ ไดบ้ รรยายฉากและบรรยากาศไดส้ มจริงสอดคล้องกบั เนื้อเรื่อง ดังบทประพนั ธ์

126

เกรด็ แนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
“พระครวญพระคร่าํ ไห โหยหา
ครชู ี้ใหนกั เรียนเห็นวาเนื้อเร่อื งลิลติ ตะเลงพายไดเ พิ่มบางสวนที่ตางไปจาก พลางพระพศิ พฤกษา ก่ิงเก้ยี ว
พระราชพงศาวดาร คือ บททพ่ี ระมหาอุปราชาไดครํ่าครวญ พรรณนาถึงนางผูเปน กลกรกนษิ ฐนา- รรี ตั น เรยี ม
ทีร่ กั และพระราชบดิ าดวยความเศรา โศก คะนึงหา อาลยั อาวรณ ครูใหนักเรียนยก ยามตระกองเอวเอีย้ ว โอบออ มองคเ รยี ม”
บทประพันธท ีม่ ลี ักษณะดังกลา ว แลว รวมกนั อภปิ รายวา การแทรกอารมณ ความรสู กึ ขอใดไมอาจอนมุ าน ไดจากบทประพนั ธข างตน
ของตัวละครในเรอ่ื งชว ยใหเ ร่อื งนาสนใจ นาติดตามมากข้นึ กวา การแสดงขอมูลทาง 1. ทรงอยูห า งจากนางผเู ปนท่ีรกั
ประวตั ศิ าสตรอ ยา งเดียว 2. ทรงเศรา โศกแทนนางผูเปน ที่รัก
3. ทรงรสู ึกอาลัยรักถงึ นางผูเ ปน ทรี่ ัก
นกั เรยี นควรรู 4. ทรงจินตนาการวาไดใกลชิดกับนางผูเปนท่ีรัก

1 ขัตตยิ มานะ ในวรรณคดมี กั กลา วถงึ ขตั ตยิ มานะของพระมหาอปุ ราชา แมเ กดิ วเิ คราะหคําตอบ บทประพันธขา งตนเปนตอนท่ีพระมหาอปุ ราชา
ลางสงั หรณห รือโหรพยากรณว า จะเกิดเหตรุ ายกบั พระองค แตพระองคก็ยังทรงมี ตองยกทพั มาทําศึก พระองคจ งึ ทรงคราํ่ ครวญหานางผูเปน ท่ีรัก
ขัตติยมานะมุง มน่ั ในสงิ่ ทพ่ี ระองคท รงตดั สินพระทัยแลว มุงมั่นทจี่ ะทาํ หนาท่ขี อง ขอ ทไี่ มอาจอนุมานไดจากบทประพนั ธข า งตน คอื ทรงเศรา โศก
พระมหาอปุ ราชาใหล ลุ วงไป แทนนางผเู ปน ทร่ี ัก เพราะไมไดกลา วถึงความเศรา โศกของนาง

126 คู่มือครู ตอบขอ 2.

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

เหตุการณ์ภายในเมอื งมอญ 1. นักเรยี นกลุมที่ 5 สงตวั แทนมาอธบิ ายฉาก
๏ ฝ่ายพระนครรามัญ ขัณฑ์เขตด้าวอสั ดง หงสาวดบี ุเรศ รว่ั รเู้ หตุ บ มิหงึ แหง่ เอิกองึ และบรรยากาศ ซึง่ สมเด็จพระมหาสมณเจา
กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรสทรงบรรยายไดอยา ง
กดิ าการ ฝา่ ยพสุธารออกทศิ วา่ อดิศวรกษตั รา มหาธรรมราชนรินทร์ เจา้ ปถพินทรผ์ ่านทวปี สมจริงและสอดคลองกบั เน้ือเรื่อง
ดับชนมชีพพิราลัย เอารสไทนฤเบศ นเรศวรเสวยศวรรยา แจ้งกิจจาตระหนัก จึ่งพระปิ่น (แนวตอบ ฉากและบรรยากาศในเร่อื งลิลิต
ปกั ธาษตร ี บรุ ีรตั นหงสา ธ กบ็ ัญชาพิภาษ ดว้ ยมวลมาตยากร วา่ นครรามนิ ทร์ ผลดั แผ่นดิน ตะเลงพา ยมีความสมจรงิ โดยเหตกุ ารณ
เปล่ียนราช เยียววิวาทชิงฉัตร เพ่ือกษัตริย์สองสู้ บ ร้างรู้เหตุผล ควรยาตรพลไปเยือน ตอนทาํ ศกึ สงครามใชคาํ ที่แสดงความฮกึ เหิม
เตือนประยุทธ์เอาเปรียบ แม้นไป่เรียบเป็นที โจมจู่ยีย่�าภพ เสนีนบนึกชอบ ระบอบเบื้อง และตอ สกู นั อยา งหา วหาญ ทาํ ใหผูอานเกิด
บรรหาร ธ ก็เออ้ื นสารเสาวพจน์ แด่เอารสยศเยศ องค์อศิ เรศอุปราช ให้ยกยาตราทพั กับนคร ความรสู กึ ต่ืนเตน และฉากที่กวพี รรณนา
เชียงใหม ่ เปน็ พยุหใหญห่ ้าแสน ไปเหยียบแดนปราจนิ ... ความงามของธรรมชาติก็สรา งความรนื่ รมยใ ห

การเดินทัพของพระมหาอปุ ราชาจากเมอื งมอญสู่กาญจนบรุ ี แกผูอ าน สวนยามทกุ ขโศกก็ใชคําทส่ี ื่ออารมณ

๏ ล่วงลดุ ่านเจดยี ์ สามองค์มแี ห่งหั้น เศรา ไดลกึ ซึ้ง ดังวา
เพือ่ รรู้ าวทาง “พระครวญพระครํา่ ไห โหยหา
แดนต่อแดนกันนัน้ แหง่ อยธุ เยศหลา้ พลางพระพิศพฤกษา กิ่งเกี้ยว
มืดคลุม้ มัวมล ยง่ิ นา กลกรกนษิ ฐนา- รีรัตน เรยี ม
๏ ขับพลวางเขา้ แหลง่ ยามตระกองเอวเอย้ี ว โอบออมองคเรยี ม”
2. นกั เรยี นกลุมที่ 6 สง ตวั แทนออกมาอธบิ าย
แลธุลฟี งุ้ ฟ้า
ฯลฯ

ด�าเนินเรื่องตามธร๒ร.ม๕เ)นกียลมวนิธิยีกมาใรนแกตา่งรแสตม่ง1เ ดก็จลพ่ารวะคมือห าเสรม่ิมณด้วเจย้าบ ทกสรดมุดพี รมะีเปนร้ือมเรา่ือนงุชแิตลชะิโตนอรนสทท้ารยง กลวธิ ีในการแตง จากนัน้ นกั เรยี นบันทกึ
กล่าวสดุดีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และจบด้วยการกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของกวี บอกชื่อ ความรู ความเขาใจลงสมุด
ความเป็นมา และค�าอธิษฐานของพระองค์ท่าน การน�าเสนอเร่ือง พระองค์ไม่ได้สอดแทรก (แนวตอบ กลวธิ กี ารแตงเร่ืองลลิ ติ ตะเลงพา ย
ค�าวิพากษ์วิจารณใ์ ดๆ ลงไป คือ ไม่น�าตวั ตนของกวไี ปสอดแทรกในเรอื่ ง กวแี ตงเนือ้ หาไดอยา งเหมาะสม โดยนําขอเทจ็
การสร้างและให้บทบาทบุคคลในเร่ือง กวีมุ่งแสดงให้เห็นพระบรมเดชานุภาพ จรงิ จากเรอื่ งราวทางประวตั ศิ าสตรม าผสมผสาน
ขคา�อพงสูดมโดเดย็จใชพ้หรละนกั จเรติ ศววิทรยมา2หในารกาาชร ทจ้าึงพมรีกะมารหแาทอรุปกรเารช่ือางอออิทกธริปบา ฏแิหลาะรคิยว ์ามพกรละปา้ หรีชาญาส าดมังานร้นัถ ในบกทาบราใทช้ กบั เนอื้ หาทกี่ วสี รา งสรรคข น้ึ เปน ผูเลา เรอ่ื ง
ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงเป็นประดุจสมมติเทพและเป็นบุคคลตามอุดมคติ เพราะแม้ โดยดําเนนิ เรอ่ื งตามธรรมเนยี มการแตงลลิ ิต
จะมีพระบรมเดชานุภาพมาก แต่พระองค์ก็มิได้ทรงยึดมั่นทางความคิดของพระองค์เองเป็นใหญ ่ ที่เริม่ ตนดวยบทสดุดนี าํ เรื่อง เนือ้ เรอื่ ง และ
ในการทา� สงครามกต็ รสั ปรกึ ษาแมท่ พั นายกองและพระองคก์ เ็ ปน็ ผยู้ ดึ มน่ั ในพระพทุ ธศาสนา เมอื่ จะ กลา วสรปุ จบเรอ่ื ง และมกี ารแทรกบทพรรณนา
ทรงลงโทษประหารชวี ิตทหารทีต่ ดิ ตามพระองค์ไม่ทัน ก็ใหร้ อจนพ้นจากวนั พระเสียก่อน และเมอ่ื ทเี่ กย่ี วกบั อารมณ ความรสู กึ ของพระมหาอปุ ราชา
ไดฟ้ งั คา� ขอพระราชทานอภยั โทษจากสมเดจ็ พระวนั รตั กพ็ ระราชทานอภยั โทษใหโ้ ดยไมม่ ที ฐิ ิ ทา� ให้ โดยไมสง ผลใหโครงเร่อื งผดิ เพ้ยี นแตอยา งใด)
พระเกยี รตคิ ุณของพระองคป์ รากฏเด่นชดั ย่ิงขน้ึ

127

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรียนควรรู
“หวังเรม่ิ คุณเกยี รตกิ อ ง กลางรงค
ยนื พระยศอยูค ง คหู ลา 1 ธรรมเนยี มนยิ มในการแตง เปนลักษณะสําคญั อันเปน ความนิยมและลักษณะ
สงครามกษัตรยิ ท รง ภพแผน สอง เฉพาะในวรรณคดีไทย ซงึ่ เปนไปตามแบบแผนจารีตนยิ มซึง่ ปฏบิ ตั ิสบื ตอ กันมา อาทิ
สองราชรอนฤทธร์ิ า เรือ่ งรูสรเสริญ” เชน การขึ้นตนเรื่องใหมกี ารไหวค รู มบี ทชมนกชมไมในขณะเดนิ ทาง มบี ทแตงองค
ขอ ใดคอื ใจความสําคญั ของบทประพันธ ทรงเคร่อื ง บทชมโฉม หรือบทชมทพั ในเรอื่ งทมี่ ีการรบ ตอนลงทายของเรอ่ื งก็นิยม
1. การทําสงครามครง้ั น้ีจะเปน เกียรติยศแกกษัตรยิ ทัง้ สอง บอกความมงุ มั่นหรือแทรกคา นยิ มแบบไทยๆ เจตนาการแตง ของกวี แทรกอุปนิสยั
2. การทาํ สงครามครัง้ น้ีผคู นจะพากันสรรเสริญผทู ี่ชนะ ซ่งึ เปนลักษณะโดยรวมของคนไทย
3. กษัตริยทัง้ สองจะเปน ที่สรรเสริญของฝายตรงขาม 2 จิตวทิ ยา วชิ าทวี่ า ดว ยจติ เปนวิทยาศาสตรแ ขนงหนงึ่ วา ดว ยปรากฏการณ
4. กษตั รยิ ท ง้ั สองจะสูก ันอยางทัดเทยี ม พฤตกิ รรม และกระบวนการของจิต ปจ จุบนั มีการนําหลกั จิตวทิ ยามาใชใ นการ
ศึกษาวรรณคดี ดว ยการประยกุ ตความรู ความเขาใจดังกลา วมาใชในการพจิ ารณา
วิเคราะหค าํ ตอบ ใจความสาํ คัญของบทประพันธขางตน คือ พฤติกรรมของตวั ละครวา การกระทาํ ของตวั ละครมีความสมเหตสุ มผลหรือไม
การทาํ สงครามคร้งั น้จี ะเปนเกียรติยศแกกษัตริยทั้งสอง จงึ ได อยา งไร และมุงเนนไปท่กี ารพจิ ารณาบุคลิกภาพและพฤตกิ รรมของตวั ละครเปน
หลัก โดยพจิ ารณาวาบทประพันธส ะทอ นลักษณะนสิ ยั ของตัวละครอยา งไร มคี วาม
เชอื้ เชญิ อีกฝายใหมาสูก ัน ตอบขอ 1. คงเสนคงวาหรอื ไม เนน ความสมจรงิ เปนหลกั ซ่ึงในบทวิเคราะหขา งตนเปนการนาํ

หลกั จติ วิทยามาใชในการพจิ ารณาบทสนทนาของตัวละคร คูม่ ือครู 127

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

1. นักเรียนอธบิ ายวรรณศิลปเรื่องการสรรคํา ๗.๒ คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์
พรอมยกตัวอยางบทประพนั ธประกอบการ
อธบิ าย ๑) การสรรค�า ลลิ ิตตะเลงพา่ ย เปน็ วรรณคดมี รดกลา�้ ค่าทคี่ นไทยควรศึกษาเพอ่ื ให้
(แนวตอบ เรือ่ งลิลิตตะเลงพา ย สมเด็จ- เกิดความภูมิใจในวีรกรรมของนักรบไทยและภูมิใจในภาษาไทยที่กวีใช้ถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่าง
พระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส มีคุณค่าทางด้านวรรณศลิ ป ์ ด้วยการเลอื กใช้ถอ้ ยค�าได้อย่างไพเราะ ดงั น้ี
เลือกคํามาใชไดเ หมาะสมกับเนื้อเร่ือง โดย
เลือกสรรคําอยางประณตี ทําใหส่ือความได ๑.๑) การใชค้ า� ทเี่ หมาะแกเ่ นอ้ื เรอื่ งและฐานะของบคุ คล กวเี ลอื กใชค้ า� ทแี่ สดงฐานะ
ชดั เจน และยังเนนความไพเราะของการเลน ของบุคคล ดงั บทประพนั ธ์

เสยี ง สัมผสั ทง้ั สัมผัสสระและสมั ผัสพยญั ชนะ ๏ เบอื้ งนัน้ นฤนาถผ้ ู สยามนิ ทร์
ตลอดจนการเลน เสียงวรรณยกุ ต ดังบทประพนั ธ เบยี่ งพระมาลาผนิ หอ่ นพอ้ ง
“สองโจมสองจจู วง บาํ รู ศัสตราวุธอรินทร์ ฤๅถูก องค์เอย
สองขัตติยสองขอชู เชิดดา้ํ เพราะพระหตั ถ์หากปอ้ ง ปดั ดว้ ยขอทรง

กระลงึ กระลอกดู ไววอ ง นกั นา จากโคลงบทน้ี กวีเลือกใช้ค�าที่มีศักดิ์ค�าสูง แสดงให้เห็นฐานะของบุคคล
ควาญขับคชแขง ค้ํา เขน เขย้ี วในสนาม”
จากโคลงทย่ี กมาน้ี กวีใชค ําวา “โจม” “จ”ู และก่อใหเ้ กดิ ความไพเราะ เช่น
นฤนาถ หมายถึง กษัตรยิ ์
และ “จวง” ใหความหมายสอดรบั กนั คอื สยามนิ ทร์ หมายถึง กษัตริย์สยาม (กษตั รยิ ์อยธุ ยา)
หมายความวา กระทาํ ดวยกําลังแรง และเมื่อ พระมาลา หมายถงึ หมวก
ขยายความหมายดวยคําวา “บาํ รู” จึงแสดง ศตั ราวธุ อรินทร์ หมายถึง อาวุธของขา้ ศกึ
ใหเ ห็นภาพวา สรู บกันอยา งเตม็ กาํ ลงั เตม็ ความ องค ์ หมายถึง สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
สามารถ สว นคําวา “กระลงึ กระลอก” หมายถงึ พระหัตถ์ หมายถงึ มือ
การขยบั อาวุธพระแสงกลับไปกลบั มา แสดงให ขอทรง หมายถงึ ขอสับสา� หรับบงั คบั ชา้ ง อย่ใู ต้คอของงา้ ว
เหน็ วา กษัตรยิ ท้งั สองกวัดแกวงอาวธุ อยาง ๑.๒) การใช้ค�าโดยค�านึงถึงเสียง ความไพเราะของถ้อยค�าหรือความงามของ
คลอ งแคลว ชาํ นาญ) ถ้อยคา� น้ัน พิจารณาท่ีการใช้สัมผสั การเล่นคา� เลน่ ความ การเลียนเสียงธรรมชาติ เป็นตน้ ลิลติ
ตะเลงพา่ ยมีการใชค้ �าท่ีมีเสียงเสนาะ ดงั น้ี
2. ครูขออาสาสมัครจํานวน 2 - 3 คน ออกมาสรปุ (๑) มกี ารใชส้ มั ผสั สระและสมั ผสั พยญั ชนะในคา� ประพนั ธท์ กุ บท ทา� ใหเ้ กดิ
ความเขาใจหนา ชัน้ เรียน
ความไพเราะ ดังบทประพันธ์

...ถับถึงโคกเผาเข้า พอยามเช้ายังสาย หมายประมาณโมงครบ ประทบทัพรามัญ
ประทันทพั พม่า ขบั ทวยกลา้ เข้าแทง ขับทวยแขงเขา้ ฟนั สองฝ่ายยันยนื ยุทธ ์ อุดอึงโหเ่ อาฤกษ ์
เอกิ องึ เหเ่ อาชยั สาดปนื ไฟยะแยง้ แผลงปนื พษิ ยะยงุ่ พงุ่ หอกใหญค่ ะควา้ ง ขวา้ งหอกซดั คะไขว่
ไลค่ ะคลกุ บกุ บัน เงอ้ื ดาบฟนั ฉะฉาด งา่ ง้าวฟาดฉะฉับ...

128

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
บทประพันธบาทใดตอไปน้ที มี่ ีกลวธิ ีการใชค ําเพอ่ื เนนยํา้ ความ
ครูควรเพิม่ เตมิ ความรูเกยี่ วกบั คุณคา ทางวรรณศิลปจากกลวธิ ีการสรรคํา ดงั นี้ หมายและอารมณ ความรสู กึ ไดเ ดนชดั ท่ีสุด
การสรรคาํ คอื การเลือกใชค ําใหเ หมาะสมกับบทประพนั ธ หมายรวมถึงการเลอื ก 1. พระเนานัครเรศอา เอองค
คํา วลี ภาพพจน ท่ีไมไดใชก นั โดยท่วั ไปในชวี ิตประจาํ วัน การสรรคําทด่ี ีตอ งเลือกใช 2. ฤๅ บ มีใครคง ครู อ น
คาํ ทส่ี งา งาม ถา ยทอดความรสู กึ ของกวแี ละสง จนิ ตนาการไปสผู อู า นได ครคู วรชแ้ี นะ 3. จักรจิ ักเร่มิ รงค ลุ แลว แฮ
นกั เรยี นเก่ยี วกับการสรรคาํ เพื่อเสียง ดวยการเลนเสียงสัมผัสใน มีทัง้ สมั ผสั สระและ 4. พระจกั ขนุ จกั ขอ น จักแคนคับทรวง
สัมผัสอักษร โดยคําสัมผัสในจะชวยใหบ ทประพนั ธเ กดิ เสียงเสนาะ อานไดอ ยา ง
ลน่ื ไหล และมคี วามไพเราะ ซึ่งสัมผัสสระนยิ มใชในบทประพนั ธท่ตี อ งการรอ ยเรียง วเิ คราะหค าํ ตอบ คาํ ประพันธขอ 4. “พระจกั ขนุ จกั ขอ น จกั แคน
เสยี งสมั ผสั ใหม คี วามเกย่ี วเนอื่ งสมั พนั ธก นั ทาํ ใหเ กดิ เสยี งเสนาะทใ่ี หค วามรสู กึ นมุ นวล คับทรวง” มกี ลวธิ กี ารเลนเสยี ง เลน คํา เพอ่ื เนน ย้ําความหมายและ
ในขณะทก่ี ารใชส ัมผสั อกั ษรจะทําใหเ กิดเสียงทม่ี คี วามหนักแนนกวาสัมผัสสระ อารมณ ความรูสกึ ที่มคี วามเดนชัดมากท่สี ุด สังเกตไดจ ากการซ้ํา
การสรรคาํ มาใชในบทประพันธอ ยางเหมาะสม สงผลใหเ กดิ ความไพเราะของเสียง คาํ วา “จัก” และการเลน เสยี งสัมผัสอักษรเดียวกัน ไดแ ก คําวา
สัมผัส นับเปน เอกลกั ษณส าํ คญั ในวัฒนธรรมการใชภ าษา เหตนุ คี้ วามเขา ใจเก่ียวกับ
เสยี งสมั ผสั จึงถอื เปน พ้ืนฐานสําคัญในการเขา ใจคุณคา ทางวรรณศิลป ซ่งึ ชวยให ขนุ ขอ น แคน คับ ซงึ่ เปนคเู สยี งเดยี วกัน ตอบขอ 4.
นกั เรยี นสามารถทําความเขา ใจบทประพันธไ ดอ ยางลึกซงึ้ ชดั เจน

128 คู่มอื ครู

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

นกั เรยี นอธบิ ายกลวธิ ีทางวรรณศิลปเรอื่ งการ
ใชค าํ โดยคํานึงถงึ ความไพเราะของเสียง ดงั นี้
สมั ผสั สระ ไดแ้ ก่ เผา - เขา้ เขา้ - เชา้ สาย - หมาย ครบ - ทบ • การใชเสียงสัมผัสสระและสมั ผสั พยญั ชนะ
(รา)มญั - (ประ)ทนั พมา่ - กลา้ แทง - แขง ฟนั - ยนั
ยทุ ธ ์ - อดุ ฤกษ ์ - เอกิ ชยั - ไฟ แยง้ - แผลง ในบทประพันธทุกบท
ยงุ่ - พงุ่ ควา้ ง - ขวา้ ง ไขว ่ - ไล ่ คลกุ - บกุ (แนวตอบ คําประพนั ธทง้ั รายและโคลง กวีใช
บนั - ฟนั ฉาด - ฟาด คาํ ที่มเี สยี งสมั ผสั กนั ในวรรคและขามวรรค
สมั ผสั พยญั ชนะ ไดแ้ ก ่ ถบั - ถงึ โคก - เขา้ ยาม - ยงั หมาย - (ประ)มาณ - โมง
(ประ)ทบ - ทพั (ประ)ทนั - ทพั ขบั - เขา้ ทวย - แทง ซ่ึงมที ้งั เสียงสระและเสยี งพยญั ชนะ ทาํ ให
คาํ ประพนั ธม คี วามไพเราะ อกี ทง้ั การสง เสยี ง
ขบั - แขง - เขา้ ยนั - ยนื - ยทุ ธ ์ อดุ - องึ - เอา สัมผัสกนั ในลักษณะนี้ ยงั ชวยสื่อความหมาย
เอกิ - องึ - เอา ยะ - แยง้ ยะ - ยงุ่ ขวา้ ง - ไขว่
บกุ - บนั ฉะ - ฉาด งา่ - งา้ ว ฉะ - ฉบั อีกดว ย คือ เปนชุดคาํ ทม่ี คี วามหมายไดดี
ใกลเ คยี งกนั เชน โจม จู จวง เปนตน)
(๒) มีการใช้สัมผัสพยญั ชนะเดียวกนั เกือบทั้งวรรค ดังบทประพนั ธ์ • การใชส ัมผัสพยญั ชนะเสียงเดยี วกันในวรรค

๏ กรตระกองกอดแก้ว เรียมจกั รา้ งรสแคลว้ (แนวตอบ การใชส มั ผสั พยญั ชนะเสยี งเดยี วกนั
คลาดเคลา้ คลาสมร อยแู่ มอ่ ยา่ ละห้อย ทาํ ใหบทประพนั ธม ีความไพเราะโดยไมเ สีย
ความ แสดงใหเหน็ ความสามารถของกวี
๏ จา� ใจจรจากสรอ้ ย ทางดา นภาษา)
หอ่ นช้าคนื สม แม่แล • การใชสัมผัสสระในแตละวรรคของโคลง

วรรคท ่ี ๑ ไดแ้ ก ่ กร - กอง - กอด - แก้ว แตล ะบาทคลายกลบท
วรรคที่ ๒ ได้แก ่ เรยี ม - รา้ ง - รส (แนวตอบ การใชสัมผัสสระในวรรคของ
วรรคท ี่ ๓ ได้แก ่ คลาด - เคล้า - คลา โคลงแตละบท คอื คาํ ท่ีสมั ผสั กันจะเปน คํา
วรรคท ี่ ๑ ได้แก่ จ�า - ใจ - จร - จาก ท่ีอยชู ิดกนั ในวรรคนนั้ ดงั บทประพนั ธ
วรรคท่ ี ๒ ได้แก ่ อย ู่ - อยา่ “ชาวสยามครา มเศกิ ส้ิน ทง้ั ผอง
(๓) มกี ารใชส้ มั ผสั สระในแต่ละวรรคคลา้ ยกลบท ดงั บทประพันธ์ นายและไพรไ ปปอง รบรา

๏ ชาวสยามครา้ มเศกิ สน้ิ ทั้งผอง อพยพหลบหลกี มอง เอาเหตุ
นายและไพรไ่ ปป่ อง รบรา้ ซกุ ซอนหอนใหขา ศึกไดไ ปเปน”)
อพยพหลบหลีกมอง เอาเหตุ
ซกุ ซ่อนห่อนให้ข้า ศกึ ไดไ้ ปเป็น

บาทท่ ี ๑ ไดแ้ ก่ สยาม - คร้าม
บาทท่ี ๒ ไดแ้ ก ่ ไพร ่ - ไป่
บาทท ่ี ๓ ไดแ้ ก ่ (อพ)ยพ - หลบ
บาทท่ ี ๔ ไดแ้ ก่ ซอ่ น - หอ่ น ได้ - ไป

129

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกรด็ แนะครู
ขอ ใดมกี ลวธิ กี ารเลนคาํ สอดคลอ งกบั คําประพนั ธตอไปนี้
“พระจกั ขนุ จักขอน จกั แคนคบั ทรวง” กอ นใชวธิ กี ารจัดกิจกรรมดวยการตอบคําถามเก่ยี วกบั ความไพเราะจากเสยี ง
1. สองโจมสองจูจ ว ง บํารู สัมผสั ในบทประพันธน ้ัน ครผู ูสอนควรอานบทประพันธท ่ีใชว ธิ กี ารเลน เสียง เลน คาํ
สองขตั ตยิ สองขอชู เชิดดํ้า ในลกั ษณะตา งๆ ทงั้ สัมผัสนอก สมั ผัสใน รวมถงึ การใชคาํ เลียนเสียงธรรมชาตินน้ั
2. งามสองสุริยราชล้าํ เลอพศิ ครูผสู อนควรอา นบทประพันธห รือใหน ักเรียนไดศกึ ษาบทประพันธอ ยางหลากหลาย
พา งพัชรินทรไพจิตร ศกึ สราง เพอื่ ใหนกั เรยี นไดว ิเคราะหความแตกตางของบทประพันธแตล ะชนิด นกั เรยี น
3. พระพี่พระผูผา น ภพอตุ - ดมเอย สามารถต้ังขอสังเกตไดด ว ยตนเอง จากนนั้ จงึ ตัง้ สมมติฐานในการวเิ คราะห
ไปชอบเชษฐยืนหยดุ รมไม แลว จงึ พิจารณาความแตกตางและสรางหลักการสังเกตไดดว ยตนเอง
4. พระหวงแตศกึ เสย้ี น อัสดง
เกรงกระลบั กอ รงค รว่ั หลา ครแู ละนกั เรียนปฏบิ ัติกจิ กรรมโดยมขี น้ั ตอน ดงั ตอ ไปน้ี 1. ครอู านบทประพนั ธ
ทมี่ ีเสยี งสัมผสั ในและสมั ผสั นอก รวมถงึ บทประพนั ธทีไ่ มม ีเสยี งสมั ผสั ในใหนักเรยี น
วิเคราะหค าํ ตอบ บทประพันธขางตน มีกลวธิ ีการเลน เสยี ง เลน คาํ ฟงอยา งละ 1 ตวั อยา ง พรอมบอกดวยวา บทประพันธดังกลา วมลี กั ษณะเสียงสมั ผสั
โดยการซา้ํ คําวา “จกั ” และการเลนเสียงสมั ผัสอักษรเดียวกนั ประเภทใด 2. ครนู าํ บทประพันธบ ทอืน่ ที่มีลกั ษณะเสยี งสมั ผสั แบบเดียวกนั มาอา น
ไดแก คําวา ขนุ ขอ น แคน คบั ซ่งึ สอดคลอ งกับขอ ท่ี 1. ที่มกี าร ใหน ักเรยี นฟง พรอ มใหนกั เรียนบอกลกั ษณะเสยี งสัมผัสจากบทประพันธ 3. ครูนาํ
เลน คํา คําวา “สอง” และมีเสยี งสัมผัสอกั ษรเดียวกัน ไดแก คาํ วา บทประพนั ธมาอา นใหน กั เรียนฟง พรอ มใหน ักเรยี นบอกวาบทประพันธด ังกลาวมี

โจม จู จวง ตอบขอ 1. 129เสยี งสัมผัสแบบใด 4. ครใู หน ักเรยี นยกตวั อยางท่ีสอดคลอ งกนั
คูม่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Expand Evaluate
Engage Explain Explain

อธบิ ายความรู้

1. นกั เรียนอธิบายวรรณศิลปเ รอื่ งการเลน คํา
พรอ มยกตวั อยา งบทประพนั ธป ระกอบการอธบิ าย
(แนวตอบ การเลน คาํ หมายถงึ การนาํ คาํ คาํ หนงึ่ (๔) การเล่นค�า เพื่อให้มีความลึกซึ้งและเกิดอารมณ์กระทบใจผู้อ่าน
โดยใช้ค�าที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมายแตกต่างกันมาบรรยายเร่ืองและความรู้สึก
ซง่ึ มหี ลายความหมายมาใชใ นการแตง บทประพนั ธ ของกวี ดงั บทประพนั ธ์
ลกั ษณะพเิ ศษของลิลิตตะเลงพา ย คอื กวีเลนคาํ
ทีไ่ มอยใู นบงั คบั ฉันทลักษณ เลนคาํ ในลกั ษณะ ๏ สลดั ไดใดสลัด1น้อง แหนง2นอน ไพรฤๅ
คาํ พองเสยี งและคําพองรูป เชน สเพลระา3สะลเพะสอื่ มมรา ราญรอน เศิกไสร้
“ไมโ รกเหมือนโรคเรา รมุ กาม เสมอช่ือ ไมน้ า
ไฟวาไฟราคลาม ลวกรอน นึกระก�านามไม ้ แม่นแมน้ ทรวงเรยี ม
นางแยมหนึ่งแยมยาม เยาวยว่ั แยม ฤๅ ...
ตูมดั่งตูมตีขอ น อกอัน้ กนั แสง” ๏ สายหยดุ หยดุ กลน่ิ ฟุ้ง ยามสาย
จากโคลงที่ยกมามที งั้ การเลน คําพองเสยี งและ สาย บ ่ หยดุ เสน่หห์ าย หา่ งเศร้า
คาํ พองรูป คาํ พองเสียง ไดแก ไมโ รก-โรค และ ก่คี ืนกีว่ ันวาย วางเทวษ ราแม่
คาํ พองรูป ไดแ ก คาํ วา “ไฟ” ในความหมายวา ถวลิ ทกุ ขวบค�่าเช้า หยดุ ไดฉ้ นั ใด
ความรอ นใจกบั ความปรารถนา คาํ วา “แยม ”
ในความหมายวา เผยอหรอื คลี่ คําวา “ตมู ” (๕) การเลียนเสียงธรรมชาติ คือ การใช้ตัวอักษรสร้างเสียงที่มีลักษณะ
ในความหมายวา คาํ เลียนเสยี งที่ดงั สน่นั กับ คล้ายเสียงทีเ่ กดิ จากธรรมชาต ิ ดงั บทประพนั ธ์

ตวั ผพู ดู นอกจากน้ยี ังมกี ารซํา้ คําขึ้นตนบาท ...เจา้ พระยาไชยานุภาพ เจา้ พระยาปราบไตรจักร ตรบั ตระหนักส�าเนียง เสยี งฆ้อง
เพ่อื เนน นํา้ หนักของสารทตี่ อ งการสื่อ ตวั อยาง กลองปืนศึก อึกเอกิ กอ้ งกาหล เรง่ ค�ารนเรียกมนั ชนั หู ชหู างแลน่ แปร้นแปร๋แลคะไขว.่ ..
เชน ซา้ํ คาํ วา “จง” เนน วา ใหท ําตามทส่ี อน
นํ้าเสยี งบอกความบังคับ หรอื อาจเปน
โคลงกระทู “จง” (๖) การใช้ค�าอัพภาส คือ การซ้�าเสียงอักษร ได้แก่ พยัญชนะต้นและ
จงจาํ คําพอไซร ส่งั สอน เสยี งสระอะลงหนา้ ค�าศัพท์ ทา� ให้เกดิ ความไพเราะ ดงั บทประพนั ธ์

จงประสทิ ธ์ิสมพร พอ ให ...สาดปืนไฟยะแย้ง แผลงปืนพิษยะยุ่ง พุ่งหอกใหญ่คะคว้าง ขว้างหอกซัดคะไขว่
จงเรืองพระฤทธิ์รอน อริราช ไล่คะคลกุ บุกบัน เง้ือดาบฟันฉะฉาด ง่างา้ วฟาดฉะฉับ...
จงพอลลุ าภได เผดจ็ ดา วแดนสยาม)
2. ครขู ออาสาสมคั รจํานวน 2 - 3 คน ออกมา ๒) การใช้โวหาร กวีเลือกใช้ถ้อยค�าในการบรรยาย พรรณนาและเปรียบเทียบ
สรปุ ความเขา ใจหนา ช้นั เรียน ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั เน้ือเร่อื ง ทา� ให้ผู้อา่ นมองเห็นภาพชดั เจน ดงั นี้

๒.๑) การใช้ค�าให้เกิดจินตภาพ เช่น การใช้ค�าท่ีแสดงให้เห็นภาพการต่อสู้
อย่างห้าวหาญของพลทหารทั้งสองฝ่ายท่ีผลัดกันรุกรับขับเคี่ยวกันด้วยอาวุธหลากหลาย
ทัง้ ขอ ง้าว ทวน หอก ธนู จนตา่ งฝ่ายต่างลม้ ตายไปเป็นจ�านวนมาก ดงั บทประพนั ธ์

130

นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
คาํ ประพนั ธใ นขอ ใดใชค ําอัพภาสเปน กลวธิ ีในการประพันธ
1 สลดั ทาํ ใหส่งิ ใดสิ่งหน่งึ ทีต่ ดิ อยใู หหลุดไปโดยวิธสี ะบัด ซัด หรือกระพอื เปน ตน 1. ดคู ะคลาํ คะคล่ํา บ รูกส่ี า่ํ สบั สน
เชน สลดั รองเทา ใหห ลดุ จากเทา เมน สลดั ขน เขาสลดั มดี สน้ั ไปทคี่ ตู อ สู ไกส ลดั ขนปก 2. กองทพั ตามกันเตา เสียงสนั่นล่นั เทา
โดยปรยิ ายหมายถงึ อาการทีค่ ลา ยคลึงเชน นน้ั เชน สลดั รัก เปน ตน ซ่งึ หากพจิ ารณา 3. อดุ องึ โหเอาฤกษ เอิกองึ โหเอาชยั
จากบทประพนั ธนี้มคี วามหมายวา กวไี มสามารถสลดั รัก สลัดความคิดถงึ จากนาง 4. ศรตอ ศรยิงยนื ปน ตอ ปนยิงยนั
อันเปน ทีร่ กั ได
2 แหนง หมาง ระแวง เชน แหนงกนั คอื หมางใจกนั แหนงความ คอื ระแวงความ วิเคราะหค ําตอบ จากคําประพันธในขอ 1. “ดูคะคลําคะคลา่ํ
3 สละ ตามความหมายเปน คาํ ทมี่ ีทม่ี าจากภาษาอินโดนีเซยี วา สะลกั (SALAK) บ รูก ่สี ่าํ สับสน” มกี ารใชค าํ อพั ภาสเปน กลวธิ กี ารซ้ําคาํ รูปแบบ
หมายถึง ตน ไมค ลายระกาํ รสหวาน เนอื้ กรอบ การเอารสหวานของสละอินโดนเี ซีย หน่ึง โดยกรอ นเสยี งของคาํ ขา งหนา ใหส้ันลงเพือ่ เพ่มิ จังหวะและ
หรือสละชวามาใชจาํ แนกวา ระกาํ เปร้ียว เรียกวา ระกาํ ระกําหวาน เรียกวา สละ จนิ ตภาพ มกั ใชใ นบทประพันธท แ่ี สดงการเคล่อื นไหวอยางรวดเร็ว
เชน น้ี ทาํ ใหเ ขา ใจวา คนไทยจาํ นวนนอ ยมากทีร่ จู ัก สละ ของไทยเราเอง และทาํ ให
คําวา สละ มีความหมายสับสน อาทิ ฉากการสรู บ ตอบขอ 1.

130 คูม่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

1. นกั เรียนอธบิ ายเนื้อความทย่ี กมาวา มกี ารใช
คําอยางไร “...สาดปนไฟยะแยง แผลงปน พษิ
... คนต่อคนต่อรบ ของา้ วทบทะกนั ต่างฟันตา่ งป้องปัด วางสนดั หลงั สาร ขานเสยี ง ยะยงุ พงุ หอกใหญค ะควา ง ขวา งหอกซดั คะไขว
คกึ กึกก้อง วอ่ งต่อว่องชิงชัย ไวตอ่ ไวชงิ ชนะ ม้าไทยพะม้ามอญ ต่างเข้ารอนเขา้ โรม ทวนแทง ไลค ะคลุกบกุ บนั เงอื้ ดาบฟนฉะฉาด งา งา ว
โถมทวนทบ หอกเขา้ รบรอหอก หลอกล่อไลไ่ ขว่แควง้ แยง้ ธนเู หนีย่ วน้าว หา้ วตอ่ ห้าวหกั หาญ ฟาดฉะฉบั ขับปก ซา ยเขา ดา ขบั ปกขวา
ชาญตอ่ ชาญหักเชีย่ ว เรย่ี วตอ่ เรย่ี วหกั แรง แขงต่อแขงหักฤทธ ิ์ ตา่ งประชิดฟอนฟนั ตา่ งประชัน เขาแดก....”
ฟอนฟาด ล้วนสามารถมอื ทดั ลว้ นสามรรถมือทาน ผลาญกนั ลงเตม็ หล้า ผรา้ กนั ลงเต็มแหล่ง (แนวตอบ เนื้อความท่ยี กมาขา งตน แสดงใหเ หน็
แบง่ กนั ตายลงครนั ปันกนั ตายลงมาก ตากเต็มท่งเตม็ เถอ่ื น ตากเตม็ เผ่อื นเต็มพง... การใชคําใหเ กิดจินตภาพ มีความโดดเดนใน

นอกจากนผ้ี แู้ ตง่ ใชค้ า� พรรณนา การสรู้ บ ทา� ใหผ้ อู้ า่ นเหน็ ภาพชา้ งทรงของ การใชค าํ อพั ภาส คือ เพม่ิ จงั หวะในการดาํ เนิน
ท้ังสองพระองค์ต่างสะบัดเหวี่ยงกันไปมา ผลัดเปลี่ยนกันได้ทีแต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ ช้างทรงของ เร่ืองใหร ูสึกวา เหตุการณเ กิดข้ึนตอ เน่ืองกนั )
สมเด็จพระนเรศวรไดล้ า่ ง พระมหาอุปราชากเ็ พล่ยี งพลา้� สมเดจ็ พระนเรศวรฟนั พระมหาอปุ ราชา 2. นกั เรยี นอธิบายการใชโ วหารเปรยี บเทียบใน
ด้วยพระแสงของ้าวขาดสะพายแล่ง พระวรกายของพระมหาอุปราชาค่อยๆ เอนลงซบกบั คอชา้ ง ลิลติ ตะเลงพาย พรอ มยกตวั อยางประกอบการ
และสนิ้ พระชนมบ์ นคอชา้ งนน่ั เอง ตอนนนี้ อกจากจะเหน็ ภาพการรบอยา่ งสงา่ งามแคล่วคล่องวอ่ งไว อธิบาย
สมเป็นกษัตริยข์ องทง้ั สองพระองค์ ชว่ งสดุ ท้ายยงั เหน็ ภาพการส้นิ พระชนม์ของพระมหาอปุ ราชา (แนวตอบ การใชโ วหารอปุ มาในลลิ ติ ตะเลงพาย
ท่คี ่อยๆ เอนพระองค์ลงซบกบั คอชา้ ง เปน็ ภาพท่ีหดหแู่ ละสะเทือนใจ ดงั บทประพันธ์ ทําใหการพรรณนาเหตุการณใ นเรอื่ งมคี วาม

๏ พลอยพลา้� เพลียกถา้ ท่าน ในรณ เดน ชดั มากขน้ึ เชน
บัดราชฟาดแสงพล- พ่ายฟอ้ น “พระพลันเห็นเหตไุ ซร เสียวดวง แดเอย
พระเดชพระแสดงดล เผด็จค ู่ เข็ญแฮ ถนัดดั่งภูผาหลวง ตกตอ ง
ถนดั พระองั สาขอ้ น ขาดด้าวโดยขวา กระหมากระเหมน ทรวง ส่นั ซีด พักตรนา

พระราม1ยามต่อสู้ก๒ับ.ท๒ศ) กกัณารฐใ์ ชข้โา้วศหึกาศรัตโดรยูทก่พี าา่ รยเแปพรียไ้ ปบเเหทมียือบน พวล่าสยกัมษเด์ ็จสพมรเดะจ็นพเรรศะวนรเรมศีฤวทรธก์ิเ็เหหมมืออื นน หนกั หฤทยั ทานรอง เรยี กใหโ หรทาย”
องค์พระนารายณ์อวตารลงมา ดังบทประพันธ์ จากโคลงขางตน ความวา พระมหาอปุ ราชา
ตกพระทัย รสู กึ หนกั ใจด่งั มีภเู ขาใหญม าทับอก
จงึ ทรงใหโหรทํานาย จะเห็นไดวา กวีใชคําวา
“ดง่ั ” เปรยี บเทยี บเหตุการณท พี่ ระมหาอุปราชา
๏ บญุ เจา้ จอมภพพนื้ แผ่นสยาม ทรงเหน็ วาความหนกั ใจน้นั มมี ากเหมอื น
แสยงพระยศยนิ ขาม ขาดแกล้ว ภเู ขาใหญตกมาทับอก)
พระฤทธด์ิ ่งั ฤทธร์ิ าม รอนราพณ ์ แลฤๅ
ราญอรริ าชแผว้ แผกแพท้ ุกภาย
พลมาร
๏ ไพรนิ ทรนาศเพยี้ ง แต่ก้ี
พระดง่ั องค์อวตาร รอฤทธ ิ์ พระฤๅ
แสนเศิกห่อนหาญราญ ประลาตหลา้ แหลง่ สถาน
ดาลตระดกเดชล้ี

131

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู
“บัดราชฟาดแสงพล- พา ยฟอ น
พระเดชพระแสดงดล เผดจ็ คู เขญ็ แฮ” ในการจดั การเรยี นการสอนเกีย่ วกับจนิ ตภาพจากภาพเคล่ือนไหวในบทประพันธ
บทประพันธข างตน กลา วถึงอาวธุ ชนิดใด วรรณคดีนน้ั นกั เรียนสามารถพิจารณาองคประกอบของวรรณคดใี นประเดน็ ตา งๆ
1. พระแสงปน รวมกัน ตง้ั แตก ารศกึ ษาคําศพั ทท่ีกวนี าํ มาเรียบเรียงเพ่ือสือ่ จินตภาพ กวมี กั ใช
2. พระแสงขรรค คําศัพทท สี่ ้ัน กระชบั แสดงถึงการเคลอื่ นไหวอยางฉับไว การสรรคํามาใชใน
3. พระแสงของาว บทประพนั ธน อกจากจะใหคณุ คา ดานความหมายแลว ยังสงผลตอความไพเราะ
4. พระแสงดา มยาว ของเสยี งสมั ผสั และจงั หวะที่ไดจ ากการเรียบเรียงคาํ บทประพนั ธท ่แี สดงภาพ
การสูร บในวรรณคดีเรือ่ ง ลลิ ติ ตะเลงพายจึงมีความสมบรู ณทางวรรณศิลปอ ยางยิง่
วเิ คราะหคําตอบ พระแสงทกี่ ลาวถงึ ในบทประพันธม ีลกั ษณะ
การใชแ บบ “ฟาด” อยางมที ีทา มีจงั หวะ และเปน อาวธุ ทเ่ี หมาะ นักเรียนควรรู

สาํ หรบั การสกู นั บนหลงั ชา ง ซง่ึ กค็ อื พระแสงของา ว ตอบขอ 3. 1 มีฤทธิเ์ หมือนพระราม ขอความนีส้ ะทอนความเช่ือวา พระมหากษัตริยทรง
เปน สมมตเิ ทพ ซง่ึ พระรามเปน องคอวตารของพระนารายณ

คู่มือครู 131

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate
Expand Expand
ขยายความเขา้ ใจ

นักเรียนพิจารณาบทประพนั ธ แลวรว มกนั ตอบ
คําถามตอไปน้ี
“อาจอมจกั รพรรดิผู เพ็ญยศ ๒.๓) การใช้ถ้อยค�าสร้างอารมณ์และความรู้สึก แม้ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นเร่ือง
แมพ ระเสยี เอารส แกเสี้ยน เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์ แต่ด้วยความปรีชาในด้านภาษาอย่าง
จักเจบ็ อรุ ะระทด ทกุ ขใ หญ หลวงนา ลึกซึ้งของกวี กวีสามารถใช้ถ้อยค�า ท�าให้ผู้อ่านเกิดความสะเทือนอารมณ์ เกิดความรู้สึกเห็นใจ
ถนัดด่งั พาหาเหย้ี น หั่นกลง้ิ ไกลองค” สะเทือนใจ เจบ็ ปวด โศกเศรา้ ได้ตามจุดมุง่ หมายของกวี ดงั นี้
• นักเรียนคิดวา คาํ ประพนั ธขา งตน ใชถอยคาํ
สรา งอารมณและความรสู ึกอยางไร (๑) การใช้ถ้อยค�าให้เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ เช่น ตอนท่ีพระมหา
(แนวตอบ จากโคลงขางตนเปน ตอนที่ อุปราชาเคล่ือนกระบวนทัพ ขณะเดินทางมีการชมธรรมชาติ ชมพรรณไม้ต่างๆ โดยการน�า
ชื่อต้นไม้ ดอกไมม้ าเล่นค�าใหส้ ัมพันธก์ ับอารมณ์ ความรสู้ กึ ของพระมหาอปุ ราชา ดังบทประพนั ธ์

พระมหาอปุ ราชาครํ่าครวญถึงพระราชบดิ าวา ๏ สลัดไดใดสลัดน้อง แหนงนอน ไพรฤๅ
หากตอ งสญู เสยี พระโอรสเพราะศัตรู เศิกไสร้
พระราชบดิ าของพระองคจะทุกขเศรา เพียงใด เพราะเพ่ือมาราญรอน เสมอชือ่ ไมน้ า
คงเหมือนแขนขาดออกจากตัว คาํ ประพนั ธ สละสละสมร แม่นแม้นทรวงเรียม
ใชถ อ ยคาํ พรรณนาใหเกิดอารมณเ ศรา นกึ ระกา� นามไม้ ยามสาย
สะเทอื นใจ เปนการพรรณนาถึงความรสู ึก ห่างเศรา้
เศราและอาลยั รักของพระมหาอปุ ราชา ๏ สายหยดุ หยุดกลิน่ ฟงุ้ วางเทวษ ราแม่
ทค่ี ิดถึงความรูสึกของพระราชบิดา หาก หยดุ ไดฉ้ นั ใด
สาย บ่ หยุดเสนห่ ห์ าย
กีค่ นื ก่ีวนั วาย
ถวิลทกุ ขวบคา่� เช้า

พระองคตอ งพายแพสิน้ พระชนม ซ่งึ เปน สิง่ (๒) การใช้ถ้อยค�าใหเ้ กดิ อารมณ์สะเทอื นใจ เช่น ตอนทพ่ี ระมหาอปุ ราชา
ทที่ าํ ใหเกดิ ความรูสกึ เศรา โศกย่ิงนกั เพราะ เพล่ียงพล�้าในการศึก สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาท่ี
เปนความรสู กึ หว งใยพระราชบดิ าวา จะทรง พระองั สาขวาขาดสะพายแลง่ จนพระวรกายแยกออกจากกนั และสน้ิ พระชนมช์ พี ซบอยบู่ นคอชา้ ง
เปนอยา งไร แสดงใหเ หน็ ถงึ ความกตัญูของ จนผ้อู ่านเกิดอารมณ์สะเทอื นใจไปกับภาพทจี่ นิ ตนาการตาม ดงั บทประพันธ์
พระองค)
๏ พลอยพล�า้ เพลยี กถา้ ทา่ น ในรณ
พ่ายฟอ้ น
บัดราชฟาดแสงพล- เผดจ็ คู่ เข็ญแฮ
พระเดชพระแสดงดล ขาดด้าวโดยขวา
ถนดั พระอังสาข้อน ยลสยบ
ท่าวดิน้
๏ อุรารานร้าวแยก สังเวช
สฟู่ า้ เสวยสวรรค์
เอนพระองค์ลงทบ
เหนือคอคชซอนซบ
วายชวิ าตมส์ ุดส้ิน

132

เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
ขอ ใดใชถอยคาํ แสดงความรูส กึ ตา งจากขอ อ่นื
ครูผูส อนควรเพมิ่ เติมความรู ความเขาใจเกยี่ วกบั คณุ คา ทางวรรณศลิ ปจาก 1. กรตระกองกอดแกว เรยี มจักรางรสแคลว
การใชถ อยคําในการสรา งอารมณ ความรูสกึ ทเ่ี กดิ จากบทประพันธ โดยนักเรียนควร คลาดเคลา คลาสมร
ทําความเขาใจสารในบทอา นอยา งชัดเจนกอ นเปนอนั ดบั แรก ครผู สู อนควรชแี้ นะ 2. จําใจจรจากสรอ ย อยูแมอยา ละหอย
นกั เรยี นวา การที่นักเรียนจะสามารถเขาใจความคิดและประสบการณท ี่ปรากฏใน หอ นชา คนื สม แมแ ล
บทอานไดถูกตอ งตามเจตนาของผูแตงไดน นั้ ผูอา นตองทาํ ความเขาใจเนือ้ หาใน 3. พระครวญพระคราํ่ ไห โหยหา
บทอา นอยางถอ งแทเ สียกอ น ดว ยการพจิ ารณาความหมายนับต้งั แตร ะดบั คํา พลางพระพิศพฤกษา ก่ิงเกี้ยว
ตลอดจนจุดมงุ หมาย ทศั นคติ และนา้ํ เสยี งของผูแตง ผอู า นตองสรางจินตภาพ 4. เปรมปรดี ์ิปราโมทยแ ท เพราะพระโหรหากแก
จากการอา น เชน การทําความเขา ใจสหี นา ทาทาง อารมณ ความรสู กึ ของตวั ละคร กลาวตองตามฝน
ในบทประพันธทอ่ี าน ฉากท่ีปรากฏ รวมทัง้ องคประกอบอน่ื ท่ีปรากฏจากประสาท
สัมผัส ไมวา จะเปนรูป รส กลิน่ เสียง หรือบรรยากาศ ความทกุ ข เศรา เจบ็ ปวด วเิ คราะหคําตอบ ขอ 1. ขอ 2. และขอ 3. กวใี ชถ อ ยคาํ แสดง
เปน ตน ครผู สู อนควรชแี้ นะนกั เรยี นวา การทาํ ความเขา ใจอารมณ ความรสู กึ ทป่ี รากฏ ความโศกเศรา โดยรําพงึ ถงึ นางผูเปน ทีร่ ัก ขอท่ีใชถอ ยคําแสดง
ในบทประพันธจ ะมีความชดั เจนมากยงิ่ ขึ้นหากนกั เรยี นไดศ ึกษาบทประพนั ธดวย ความรสู กึ ตา งจากขออน่ื คอื ขอ 4. เพราะเปนถอยคาํ ทแ่ี สดง
การอา นออกเสียง เพ่ือจบั จงั หวะลลี าและอารมณ ความรูส กึ จากบทประพันธ
ความรสู กึ ยินดี ตอบขอ 4.
132 คมู่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate
Expand Expand

ขยายความเขา้ ใจ

ครูสุมนกั เรยี น 2-3 คน มานาํ เสนอบทประพันธ
ทมี่ ีความโดดเดน ทางวรรณศิลปใ นดานการ
(๓) การใช้ถ้อยค�าให้เกิดความรู้สึกอับอาย เช่น ตอนพระเจ้าหงสาวดี พรรณนาใหเ ห็นภาพ
มีพระราชบัญชาให้พระมหาอุปราชายกทัพมาตีไทย พระมหาอุปราชาได้ทูลพระเจ้าหงสาวดีว่า (แนวตอบ นักเรยี นยกบทประพนั ธไ ดหลากหลาย
จะมีเคราะห์ไม่ตอ้ งการออกรบ จงึ ถกู พระเจา้ หงสาวดตี รัสประชดด้วยถอ้ ยคา� ทท่ี า� ให้เกิดความรูส้ กึ ครคู วรช้แี นะโดยยกประพนั ธตอ ไปน้เี ปน
อบั อายว่าใหเ้ อาเครื่องแต่งกายหญงิ มาสวมใส ่ ดังบทประพันธ์ ตัวอยางใหน กั เรียนพิจารณาเพ่มิ เตมิ

...ธ กเ็ ออื้ นสารเสาวพจน์ แด่เอารสยศเยศ องคอ์ ิศเรศอปุ ราช ใหย้ กยาตราทัพ กับนคร “อรุ ารานราวแยก ยลสยบ
เชยี งใหม ่ เปน็ พยหุ ใหญห่ า้ แสน ไปเหยยี บแดนปราจนิ บตุ รทา่ นยนิ ถอ้ ถอ้ ย ขอ้ ยผขู้ า้ บาทบงส ์ุโหร เอนพระองคลงทบ ทาวด้ิน
ควรคงทา� นาย ทายพระเคราะหถ์ งึ ฆาต ฟงั สารราชเอารส ธ กผ็ ะชดบญั ชา เจา้ อยธุ ยามบี ตุ ร ลว้ น เหนอื คอคชซอนซบ สงั เวช
ยงยทุ ธเ์ ชย่ี วชาญ หาญหกั ศกึ บ มยิ อ่ ตอ่ สศู้ กึ บ มหิ ยอน ไปพ่ กั วอนวา่ ใช ้ ให ้ ธ หวง ธ หา้ ม แมน้ เจา้ วายชวิ าตมส ดุ ส้นิ สูฟา เสวยสวรรค”
คร้ามเคราะหก์ าจ จงอย่ายาตรยทุ ธนา เอาพัสตราสตรี สวมอินทรยี ส์ รา่ งเคราะห ์ ธ ตรัสเยาะ โคลงส่สี ุภาพบทน้ีมเี นื้อความพรรณนาถึงภาพ
เย่ียงขลาด องค์อุปราชยินสาร แสนอัประมาณมาตย์มวล นวลพระพักตร์ผ่องเผือด เลือดสลด พระมหาอุปราชาส้นิ พระชนมบ นคอชา ง
หมดคล�้า ชา�้ กมลหมองมวั ... เมื่อพระมหาอุปราชาตอ งพระแสงของาวของ

(๔) การใชถ้ อ้ ยคา� แสดงความโศกเศรา้ เชน่ ตอนทลี่ มเวรมั ภาพดั ฉตั รของ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทพ่ี ระอุระหรือท่ีอก
พระมหาอุปราชาตกมาหัก พระองค์ทรงพระทัยเสียและโศกเศร้าว่าหากพระองค์ส้ินพระชนม์ชีพ จากน้นั พระมหาอุปราชาก็คอ ยๆ เอนพระองค
พระราชบิดาจะเป็นอยา่ งไร และใครจะปลงพระศพให้พระองค์ ดงั บทประพนั ธ์ ฟุบแนบลงไปบนคอชา ง ภาพการสนิ้ พระชนม
ของพระมหาอปุ ราชาชวนใหเ กดิ ความเศรา สลด
หดหู ดวงวิญญาณของพระองคไ ดเสด็จลอยขึน้
๏ เอ็นดภู ูธเรศเจา้ จอมถวัลย์ ไปสถติ ที่สวรรคช้นั ฟา)
ทดแท้ 2. นกั เรียนบันทึกความรูลงในสมุด
เปล่ยี วอุระราชรนั - ครองภพ พระเอย
พระชนมช์ ราครนั เพลีย่ งพล�้าศกึ สยาม
เกรงบพติ รจักแพ้ ใจเจ็บ ใจนา
อกโอ้
๏ สงครามคราน้หี นกั ผฝี าก พระเอย
ท่เี พล้ใครเผา
เรยี มเร่งแหนงหนาวเหน็บ เอองค์
ลูกตาย ฤ ใครเก็บ ค่รู อ้ น
ผจี กั เทง้ ทโ่ี พล ้ ฤๅล ุ แล้วแฮ
จักแคน้ คบั ทรวง
๏ พระเนานัคเรศอ้า

ฤๅบม่ ีใครคง
จักรจิ ักเร่ิมรงค์
พระจักขุ่นจกั ข้อน

133

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู
“เสยี ดายคฤหาสนห อ ง หอทอง
ยามวโิ ยคยทุ ธปอง ปราบเส้ยี น ในการจดั การเรียนการสอนเกี่ยวกบั กลวธิ ีการใชภ าษาเพอ่ื ใหเ กิดจินตภาพ
จักคนื บคืนครอง ฤๅแน ไฉนนา ในบทประพนั ธน ัน้ ครผู ูสอนควรเรม่ิ ตนจากการใหความหมายของคาํ วา จินตภาพ
หนกั หฤทัยทานเที้ยร เทวษตืน้ ตันทรวง” ซ่ึงหมายถึงภาพท่เี กดิ จากความนึกคิดหรือทค่ี ดิ วาควรจะเปนเชนนน้ั หรอื เปน
บทประพันธขา งตนแสดงรสวรรณคดใี ด ภาพลกั ษณ ซึ่งภาษาองั กฤษใชว า image จากนัน้ จึงใหค วามรู ความเขา ใจ
1. เสาวรจนี เกย่ี วกบั จนิ ตภาพในการสอ่ื สารจากบทประพนั ธ ในการตคี วามสารจากบทประพนั ธน น้ั
2. นารีปราโมทย นกั เรียนตอ งนาํ ประสบการณก ารอา นมารวมพจิ ารณาสารจากบทอา นดว ย ทงั้ ใน
3. พิโรธวาทัง ดา นความคดิ อารมณ และความรสู กึ การสรา งสรรคบ ทประพนั ธข องกวใี นแตล ะบท
4. สัลลาปง คพสิ ยั หรอื คําพูดของตัวละครน้ัน เกิดจากการผสมผสานความคิด อารมณ และความรสู กึ
จากบทประพนั ธ แลว ถา ยทอดสบู ทประพนั ธ เพอื่ สอื่ สารเนอ้ื หาสผู อู า น ผอู า นจงึ ควร
วเิ คราะหค ําตอบ บทประพนั ธข า งตน มรี สวรรณคดีสัลปงคพิสัย พจิ ารณานาํ้ เสยี งในบทกววี า กวนี าํ เสนอในลกั ษณะเชน ไร เนอ่ื งจากการนาํ เสนอในบท
กลาวพรรณนาความทุกขท ีต่ องจากเมืองไปออกรบ โดยไมอ าจรู ประพนั ธแ ตละบทยอ มมคี วามแตกตา งกนั ไปตามบรบิ ท นักเรยี นจึงจะมคี วามเขาใจ
วาจะไดก ลับเมอื งเม่อื ใด ซงึ่ เปน บทประพันธแสดงความเศรา โศก เกี่ยวกบั รสภาพ ซึ่งหมายถงึ เสยี งทาํ ใหเกิดภาพ ในแตละคาํ จะแฝงไปดวยภาพ
เมอ่ื นกั เรียนอา นออกเสียงก็จะยง่ิ ชว ยใหเ หน็ ภาพท่ีมีความแตกตางกันไปขึน้ อยูกับวา
ครา่ํ ครวญ ราํ พนั ตอบขอ 4. จะใหเกดิ ภาพอยางไร

คมู่ ือครู 133

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Evaluate
Engage Expand Expand

ขยายความเขา้ ใจ

นกั เรยี นพจิ ารณาคณุ คา ดา นสงั คมในลลิ ติ ตะเลงพา ย ๗.๓ คุณคา่ ทางสงั คม
เร่ืองธรรมชาติของมนษุ ย แลว ตอบคาํ ถาม
๑) สะทอ้ นให้เห็นธรรมชาตขิ องมนุษย์ เช่น
• นกั เรยี นคดิ วา กวแี สดงใหเ หน็ ความเปน พระเจ้าหงสาวดีตรัสประชดพระมหาอุปราชาว่า กษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาทรง
ธรรมชาตขิ องมนษุ ยในตัวละครหรอื ไม มีพระราชโอรสที่กล้าหาญไม่ครั่นคร้ามต่อการท�าศึกสงคราม แต่พระราชโอรสของพระองค์เป็น
อยางไร คนขลาดเขลา ทา� ให้พระมหาอปุ ราชาทรงอบั อายและเกรงกลวั พระราชอาญา จึงเกดิ ขัตติยมานะ
(แนวตอบ ธรรมชาติของมนษุ ยเ ปนสง่ิ ท่ีเกดิ ขึน้ ยอมกระท�าตามพระราชประสงค์ของพระราชบดิ า ดงั บทประพนั ธ์
กบั มนุษยทุกคน ในเรอ่ื งลิลติ ตะเลงพายกวไี ด
พรรณนาถึงความเปนธรรมชาตขิ องมนุษย ...องค์อุปราชยินสาร แสนอัประมาณมาตย์มวล นวลพระพักตร์ผ่องเผือด
เพอื่ ใหม คี วามสมจรงิ ยงิ่ ขน้ึ เชน เรอื่ งความกลวั เลอื ดสลดหมดคลา�้ ช้�ากมลหมองมัว กลวั พระอาชญายอบ นอบประณตบทมูล ทลู ลาไท้ลีลาศ
เปนตอนท่ีพระมหาอปุ ราชาไดฟง คําทาํ นาย ธ กป็ ระกาศเกณฑพ์ ล บอกยบุ ล บ ่ มหิ งึ ...
วา พระองคจะสิ้นพระชนมใ นการทําศกึ กับ
พระนเรศวร ซ่ึงความกลัวเปน ธรรมชาตโิ ดย สมเด็จพระนเรศวรเม่ือตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก ทรงใช้วาทศิลป์ตรัสเชิญ
ปกติทว่ั ไปของมนษุ ย แตดวยบทบาทหนา ที่ พระมหาอุปราชามารบตัวต่อตัว เพ่ือเป็นเกียรติยศและศักด์ิศรีของท้ังสองพระองค์ สืบต่อไป
ของกษัตรยิ ท าํ ใหพ ระองคทรงขม ความกลวั ภายหน้าจะไม่มีการรบทีก่ ลา้ หาญเยยี่ งนอ้ี ีก ดงั บทประพันธ์
แลวทําหนา ทีข่ องพระองค)
๏ พระพพ่ี ระผผู้ า่ น ภพอุต- ดมเอย
• นกั เรยี นคดิ วา ในเรอื่ งลลิ ติ ตะเลงพา ย ไปช่ อบเชษฐ์ยนื หยุด ร่มไม้
ตวั ละครมีการใชจติ วิทยาหรือไม อยางไร เชิญราชรว่ มคชยทุ ธ ์ เผยอเกยี รต ิ ไวแ้ ฮ
(แนวตอบ ลลิ ติ ตะเลงพายมีเนอื้ หาบางตอนที่ สืบกว่าสองเราไสร้ สุดสิ้นฤๅมี
แสดงใหเหน็ การใชจ ิตวิทยา ดังตอนทสี่ มเด็จ
พระนเรศวรมหาราชกบั สมเดจ็ พระเอกาทศรถ ตอนทสี่ มเดจ็ พระนเรศวรทรงพโิ รธแมท่ พั นายกองทตี่ ามเสดจ็ เขา้ สนามรบไมท่ นั
ทรงตกอยใู นวงลอ มขาศกึ สมเดจ็ พระนเรศวร จึงตรัสสั่งประหารชีวิต สมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้วขอพระราชทานอภัยโทษ โดยยกเหตุผลว่า
มหาราชทรงแกไขสถานการณค บั ขันดว ยการ เป็นเพราะเทพยดาบันดาลให้เป็นไป เพ่ือให้พระองค์แสดงพระบรมเดชานุภาพให้ปรากฏ
กลา วเชญิ พระมหาอุปราชามาทาํ ศกึ ยทุ ธหัตถี ค�ากล่าวถูกพระทัยสมเด็จพระนเรศวรจึงพระราชทานอภัยโทษให้ แต่ต้องไปท�าการศึกแก้ตัวโดย
ทรงกลา วสรรเสรญิ ถึงความยิ่งใหญแ ละชอ่ื ให้น�าทพั ไปตีเมืองเมาะตะมะและตะนาวศรี
เสยี งอันเล่อื งลอื ของพระมหาอุปราชา แลว
ทรงใชค ําถามเชิงวาทศิลปวา “ไปชอบเชษฐ ๏ พระตรโี ลกนาถแผ้ว เผด็จมาร
ยนื หยุด รม ไม” ซง่ึ เปนการพดู กดดนั พระมหา เฉกพระราชสมภาร พี่น้อง
อุปราชาทา มกลางเหลา ทหารมากมาย เพอื่ ไม เสด็จไรพ้ ริ ิยะราญ อรนิ าศ ลงนา
ใหเสยี เกียรตนิ กั รบ พระมหาอปุ ราชาจึงทรง เสนอพระยศยินก้อง เกียรติท้าวทกุ พาย
ตกลงท่จี ะทาํ ศึกยทุ ธหตั ถี เหน็ ไดวา สมเดจ็
พระนเรศวรมหาราชทรงใชจิตวิทยาเปน เครอ่ื ง 134
มอื อยา งหนงึ่ ในการสศู ึกและใชใ นเชงิ รกุ )

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
ขอใดเปน คตคิ วามเชอ่ื ทีม่ คี วามแตกตา งจากขอ อืน่
ครคู วรเพิม่ เติมความรู ความเขาใจเก่ียวกับการประยุกตใชห ลกั จติ วิทยาในการ 1. ใจทรนงองอาจ ยาตรตดั ไมข ม นาม
ศกึ ษาวรรณคดี โดยในระดับชั้นน้ีการนําหลกั จติ วทิ ยามาใชใ นการพจิ ารณา 2. ดวนเดนิ โดยโขลนทวาร พวกพลหาญแหหนา
บทประพันธ จะมุง เนน ไปที่การพิจารณาบุคลกิ ภาพและพฤติกรรมของตัวละคร 3. ปวงละวา เซนไก ไขวสรวงพลีผีสาง
เปนหลกั วา ตวั ละครดงั กลาวสะทอนภาวะความเปนมนษุ ยหรอื แสดงภาวะความเปน 4. ฝายพอทวชิ าชาติ ราชปุริโสดม พรหมพทิ ยาจารย
มนษุ ยผ า นกลวธิ ีทางภาษาอยางไร โดยบทประพันธข า งตน สะทอนลกั ษณะนิสยั ของ
ตวั ละครอยางไร มีความคงเสนคงวาหรอื ไม และการตัดสินใจ รวมถงึ พฤติกรรม วิเคราะหคําตอบ ขอ ทมี่ คี วามเชอ่ื ตา งจากขอ อนื่ คอื “ปวงละวา
ตา งๆ ของตวั ละครมคี วามสมเหตุสมผลหรือไม อยางไร ถือเปน การพจิ ารณากลวิธี เซน ไก ไขวส รวงพลผี สี าง” สะทอ นคตคิ วามเชอื่ เกยี่ วกบั ผี สว นขอ
ทางวรรณศลิ ป ในการถา ยทอดเนอ้ื หาของตวั ละครทมี่ ลี กั ษณะสมจรงิ สง ผลตอ คณุ คา
ทางวรรณศลิ ปท ่ีปรากฏในวรรณคดีมากยง่ิ ขึ้น การพิจารณาวรรณคดีเรอื่ งตางๆ อน่ื ๆ สะทอ นคตคิ วามเชอ่ื ของศาสนาพราหมณ - ฮนิ ดู ตอบขอ 3.
ดว ยแนวความคดิ น้ีเปนการพจิ ารณาข้นั พนื้ ฐานโดยการใชหลกั การทางจิตวิทยา
มาใชในการวเิ คราะห วจิ ารณต ัวละครเทา น้ัน ครคู วรช้แี นะนกั เรียนเพิ่มเติมวา
การวิเคราะห วิจารณว รรณคดีตามหลกั จิตวิทยาในระดับชน้ั ทีส่ ูงข้นึ ไปน้นั จะมี
การใชหลกั จิตวทิ ยาในการพิจารณาผูแ ตง วรรณคดีและลักษณะสากลของมนุษย

134 คู่มอื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate
Expand Expand

ขยายความเขา้ ใจ

1. จากความเช่อื เปน เหตุบอกเรือ่ งรา ยในลลิ ิต
๏ ผวิ หลายพยหุ ยุทธ์รา้ โรมรอน ตะเลงพา ย นกั เรียนควรนาํ มาปรบั ใชใน
ชนะอมิตรมวลมอญ ม่วั มลา้ ง ชีวติ จริงอยา งไร
พระเดช บ่ ดาลขจร เจริญฤทธ์ิ พระนา (แนวตอบ ความเช่อื เรอ่ื งโชคลางสามารถนาํ มา
ไปท่ัว ธ เรศออกอ้าง เอิกฟา้ ดินไหว เปนแนวการปองกันตัวเองใหตั้งอยูบนความ

๒) สะท้อนให้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณี ขนบธรรมเนียมในการศึก ไมป ระมาท ไมควรนาํ ความจากคาํ ทาํ นายเรื่อง
ทป่ี รากฏในเรอ่ื ง ไดแ้ ก ่ การประสาทและใหโ้ อวาท การสรา้ งขวญั กา� ลงั ใจแกท่ หารและความเดด็ ขาด รา ยๆ มาบน่ั ทอนกําลงั ใจในการดําเนนิ ชวี ติ )
ในการรบ ความรู้เกย่ี วกบั ต�าราพิชัยสงคราม การจดั ทพั ต้งั ทพั ประเพณ ี และพธิ กี รรมเกีย่ วกบั 2. นักเรียนยกตัวอยา งบทประพันธจ ากลิลิต
สงคราม เช่น พิธีโขลนทวารตัดไม้ข่มนาม ดังท่ีปรากฏในบทประพันธ์ที่กล่าวถึงพิธีโขลนทวาร ตะเลงพายท่ีสะทอนความเชือ่ เร่ืองลางบอกเหตุ
ซง่ึ เปน็ พธิ บี า� รงุ ขวญั ทหารกอ่ นออกศกึ ทา� ใหเ้ หลา่ ทหารตา่ งฮกึ เหมิ และมกี า� ลงั ใจ โดยจะมพี ระสงฆ์ (แนวตอบ ตวั อยางเชน โคลงบทท่สี ะทอ น
สวดพระพุทธมนต์และประพรมน้า� พระพทุ ธมนตใ์ ห ้ ดงั บทประพนั ธ์ ความเชอื่ เรอื่ งความฝน ของคนไทยวา มคี วามฝน
4 อยาง ไดแก 1. บุพพนมิ ิต 2. จติ นิวรณ
3. เทพสังหรณ 4. ธาตุโขภ โดยในโคลงท่ียก
๏ พลันขยายพยุหบาตรา คลาเข้าโขลนทวาเรศ สงฆ์สวดชเยศพุทธมนต์ มาเชอื่ วาความฝน ทเี่ กดิ ขนึ้ นน้ั เพราะเทวดา
ปรายประชลเฉลิมทัพ ตามต�ารับราชรณยุทธ์ โบกกบี่ธุชคลาพล ยลนาวาดาดาษ บนั ดาล ดงั ความวา
ดสู ระพราศสระพรงั่ คงั่ คบั ขอบคงคา แลมเหาฬารพ์ นั ลกึ อธึกท้องแถวธาร... “พระโหรเห็นแจงจบ ในมลู ฝนแฮ
ถวายพยากรณท ลู แดไท
ของบรรพบรุ ษุ ๓ ค)ว าสมะเชทอื่อ้ เนรอื่ใหงคเ้ หวาน็ มคฝวนั าบมอเชกเอ่ื หขตอ ุ คง2วสางั มคเมชไอ่ื ทเรยอ่ื1 คงโวชาคมลเชาองื่ ทคปี่วารมากเชฏอ่ืในเรเอ่ืรองื่ คง า� ไทดาแ�้ นกา ่ คยวทาามยเทชกอัื่ สุบนิ บดนิ ทรส ูร ฝน ใฝ นั้นฤๅ
ของโหร เชน่ ตอนทสี่ มเดจ็ พระนเรศวรทรงพระสบุ นิ จงึ ตรสั ใหห้ าพระโหราจารยเ์ พอ่ื ทา� นายนมิ ติ หากเทพสงั หรณใ ห ธริ าชรูเปน กล”)
ดงั บทประพนั ธ์

๏ ทันใดดลิ กเจ้า จอมถวลั ย์
สร่างผทมถวลิ ฝัน หอ่ นรู้
พระหาพระโหรพลนั พลางบอก ฝนั นา
เร็วเร่งทายโดยกระท ู้ ทีถ่ ้อยตแู ถลง

๔) สะท้อนข้อคิดเพื่อน�าไปใช้ในการด�าเนินชีวิต ลิลิตตะเลงพ่ายได้แสดง
คณุ ธรรมดา้ นตา่ งๆ ทมี่ คี ณุ คา่ ตอ่ การดา� เนนิ ชวี ติ เชน่ ความรบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ท ่ี ความเมตตากรณุ า
ความนอบน้อม การให้อภัย โดยสอดแทรกอยู่ในบทประพันธ์ ผู้อ่านจะสามารถซึมซับคุณธรรม
เหลา่ นผี้ า่ นความงามของภาษา สามารถจรรโลงใจผอู้ า่ นได ้ เชน่ ตอนทพ่ี ระเจา้ นนั ทบเุ รงทรงสอน
การศกึ แกพ่ ระมหาอปุ ราชา กเ็ ปน็ ขอ้ คดิ ทมี่ คี ณุ คา่ อยา่ งยงิ่ ตอ่ การดา� เนนิ ชวี ติ ดงั บทประพนั ธ์

135

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู

“ทันใดดลิ กเจา จอมถวัลย 1 ความเชือ่ ของสงั คมไทย ในปจจบุ ันยงั คงปรากฏความเชอ่ื โชคลาง ฝนบอกเหตุ
สรา งผทมถวลิ ฝน หอ นรู คาํ ทาํ นายตา งๆ เสฐยี รโกเศศ ไดอ ธบิ ายความหมาย ถงึ ความเชอื่ ดว ยความรสู กึ เกรงขาม
พระหาพระโหรพลัน พลางบอก ฝน นา ในสิง่ ท่ีเขาใจวา อยเู หนือธรรมชาติ หรือในสง่ิ ลกึ ลบั อันไมส ามารถจะทราบไดด ว ย
เร็วเรง ทายโดยกระทู ท่ีถอยตแู ถลง” เหตุผลตาหลกั ของวิทยาศาสตร และส่งิ นนั้ อาจใหดหี รอื ใหร า ยแกผทู เี่ ชอ่ื กไ็ ด เม่อื มี
จากบทประพันธข อ ใดแสดงความเช่ือของคนไทย ความเช่ือและความรสู ึกเชน น้ีแลว ก็สาํ แดงความเช่ือและความรูส กึ นั้นออกมา
1. ความเช่ือเรอ่ื งการนบั ถอื บรรพบุรษุ เปน รปู พิธีรีตองอันเนือ่ งดวยคาถาอาคมและเวทมนตร เพือ่ อํานวยประโยชนใ ห
2. ความเชอื่ เรื่องลางบอกเหตุ แกต นในทางดแี ละทางชว่ั
3. ความเชอื่ เรอ่ื งการจดั ทัพ
4. ความเชื่อเรือ่ งฤกษย าม 2 ความฝนบอกเหตุ ตามความเชือ่ โบราณความฝน ทเ่ี ปน จรงิ ได ประกอบดวย
เหตุแหง ฝน 2 ประเภท คือ บพุ พนมิ ิตและเทพสังหรณ ซ่งึ เกดิ ขนึ้ ในยามสดุ ทาย
วเิ คราะหค ําตอบ จากบทประพันธขา งตน กลา วถึงความเชอื่ เทาน้ันตามคตโิ บราณสาเหตุของความฝน มี 4 ประการ คือ
เกยี่ วกบั ความฝนที่ใหโหรทาํ นายวา จะเกดิ เหตอุ ะไรข้ึนในอนาคต 1. บพุ พนิมติ ฝนบอกเหตลุ วงหนา
ขา งหนา ท้งั นเ้ี พราะเชือ่ วา เปนลางบอกเหตุสิ่งท่กี ําลงั จะเกดิ ขนึ้ 2. จติ นิวรณ ฝน เพราะจิตผกู พนั เปน หว ง ฝนท่ีเกดิ จากความกังวลใจ
3. เทพสงั หรณ ฝนเพราะเทวดาดลใจใหร ลู ว งหนา
ตอบขอ 2.

4. ธาตโุ ขภ ฝนเพราะธาตุตา งๆ ในรางกายไมป กติ คมู่ ือครู 135

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Evaluate
Engage Expand Expand

ขยายความเขา้ ใจ

1. นกั เรียนรวมกนั อภิปรายในประเดน็ ตอ ไปนี้ ๏ หน่งึ รพู้ ยุหเศกิ ไสร้ สบสถาน
• นกั เรียนคดิ วา วรรณคดเี ร่อื งลลิ ิตตะเลงพา ย เจนจติ วทิ ยาการ กาจแกล้ว
นั้น เปน แรงบันดาลใจใหน กั เรยี นรกั ชาติ รูเ้ ชิงพชิ ยั ชาญ ชุมค่าย ควรนา
และเทดิ ทนู สถาบันพระมหากษตั ริย อาจจักรอนรณแผว้ แผกแพพ้ งั หนี
หรอื ไม อยา งไร ขุนพล
(แนวตอบ นักเรยี นสามารถอภปิ รายไดอ ยา ง ๏ หน่ึงรบู้ �าเหนจ็ ให้ จดื เสยี้ น
กวา งขวางขึ้นอยูกับเหตผุ ลและประสบการณ อันสมรรถมอื ผจญ อยา่ งเกยี จ
ของนักเรยี น ครูแนะแนวตอบใหน ักเรยี น อยา่ หยอ่ นวริ ิยะยล ถ่องแทท้ างแถลง
โดยใหน กั เรยี นพิจารณาบุคลกิ ลักษณะ แปดประการกลเที้ยร
ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทีพ่ ระองคทรง
เปน นักปกครองท่ีดี มคี วามเปนนกั รบ ทรงมี ๕) แสดงเหตกุ ารณ์สา� คัญทางประวตั ศิ าสตร์ ลลิ ติ ตะเลงพ่ายไดอ้ ธบิ ายเหตุการณ์
ความฉลาด มีไหวพริบ ไมข าดสติ และทรงมี ในประวัตศิ าสตร์ ตงั้ แตก่ ารส้นิ พระชนมข์ องสมเดจ็ พระมหาธรรมราชา สมเดจ็ พระนเรศวรทรงขนึ้
วาทศิลป) ครองราชย ์ พระเจา้ หงสาวดมี พี ระราชบญั ชาใหพ้ ระมหาอปุ ราชายกทพั มาตไี ทย จนนา� มาสกู่ ารทา�
• บุคลิกลักษณะเดน ของสมเดจ็ พระนเรศวร ยทุ ธหตั ถรี ะหวา่ งสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชกบั พระมหาอปุ ราชา และพระนเรศวรมหาราชทรงได้
มหาราชและพระมหาอปุ ราชาในดานใดที่ รับชัยชนะ จากนั้นพระองค์ทรงปูนบ�าเหน็จแก่ทหารและปรึกษาโทษนายทัพนายกองท่ีตามเสด็จ
นักเรยี นคดิ วาควรนาํ มาเปน แบบอยา งในการ เข้าไปร่วมรบไม่ทัน แล้วสมเด็จพระวันรัตได้ทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้ โดยต้องไปตีทวาย
ดาํ เนนิ ชวี ิต และตะนาวศรเี ป็นการแกต้ ัว จงึ นับไดว้ ่าลลิ ติ ตะเลงพา่ ยเปน็ เอกสารสา� คัญทางประวตั ศิ าสตร์อย่าง
(แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดห ลากหลาย หนึ่งท่ีให้ความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์การท�ายุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหา
ขึน้ อยูกบั เหตุผลของนักเรยี น เชน การมี อุปราชา
ไหวพรบิ ปฏิภาณ สามารถแกไขสถานการณ
ดวยสติ โดยครแู นะเพ่มิ เติมวา การมีความ วรรณคดีเร่ืองลิลิตตะเลงพ่าย เป็นวรรณคดีที่ผู้อ่านจะต้องมีความรู้พื้นฐาน
สามารถไมว า เรือ่ งใดกต็ าม ลว นเกดิ จาก เกย่ี วกบั คา� ศัพทท์ ้ังภาษาบาลี สันสกฤต เขมร ค�าไทยโบราณ ต้องวิเคราะหแ์ ละหาความหมาย
ความสนใจและตง้ั ใจจรงิ ท้ังน้ี หากนกั เรียน ของคา� ศพั ทย์ าก จงึ จะสามารถตคี วามไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง วรรณคดเี รอื่ งนนี้ อกจากจะมคี วามไพเราะ
อยากเปน คนเกง มีความสามารถ นกั เรยี นตอ ง ในด้านวรรณศิลป์อย่างยอดเยี่ยมแล้ว ผู้อ่านยังจะได้รับความรู้ทางด้านสังคม วัฒนธรรม
มคี วามมงุ มนั่ พยายามในการทาํ สง่ิ สงิ่ นน้ั ) ประวัติศาสตร ์ และขอ้ คิดทส่ี ามารถนา� ไปปรับใชใ้ นชวี ิตได้อีกด้วย

2. นกั เรียนรว มกนั อภิปรายในประเด็น “บรรพบุรุษ 136
ของไทยแตโบราณมีท้งั ความเสยี สละและความ
กลาหาญ”
(แนวตอบ นักเรียนอาจตอบไดห ลากหลาย และ
ยกตวั อยางบรรพบุรุษมากมาย ครคู วรชแ้ี นะ
ใหก ลาวถงึ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชในดาน
ความเสยี สละและความกลาหาญ)

เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
“พระคณุ ตวงเพยี บพน้ื ภวู ดล
ครทู บทวนความรเู กย่ี วกบั วรรณคดเี ฉลมิ พระเกยี รตแิ ละวรรณคดปี ระวตั ศิ าสตร เต็มตรลอดแหลงบน บอนใต
เพมิ่ เตมิ วา เนอื้ หาของวรรณคดปี ระเภทนเี้ ปน ไปตามความยดึ มนั่ ในสถาบนั ของชาติ พระเกิดพระกอชนม ชบุ ชีพ มานา
ความฝง ใจในพระมหากรณุ าธคิ ณุ และพระบรมเดชานภุ าพเปน สว นผลกั ดนั หรอื เปน เกรง บ ทันลูกได กลบั เตาตอบสนอง”
แรงบนั ดาลใจของกวี การเฉลมิ พระเกยี รตนิ น้ั นอกจากจะออกมาในรปู แบบของ ขอใดคือเจตนาของผูพ ดู
วรรณคดปี ระเภทนโี้ ดยตรงแลว ยงั แทรกอยใู นวรรณคดปี ระเภทอนื่ อกี มาก ไมว า อยใู นบท 1. ตอ งการกลาวลา
ไหวค รู บทชมพระนคร หรอื แทรกไวใ นความรสู กึ ของตวั ละคร บางครงั้ กอ็ อกมาในรปู 2. ตองการกลบั เมือง
ของการใหโ อวาทของตวั ละครทแ่ี ทรกความรสู กึ อนั ลกึ ซง้ึ ตอ องคพ ระมหากษตั รยิ  3. ตอ งการทดแทนคณุ
4. ตอ งการแสดงความเคารพนับถอื
มุม IT
วเิ คราะหค าํ ตอบ บทประพนั ธขา งตนถอดความไดว า พระคณุ
ศกึ ษาความเปรยี บเก่ยี วกบั พระมหากษัตรยิ ในวรรณคดยี อพระเกียรติ ของผูท เ่ี ลย้ี งดมู านน้ั ย่ิงใหญเ ทยี บเทา ผนื แผนดิน คอยชุบเลยี้ ง
สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาถงึ กรงุ รตั นโกสนิ ทรต อนตน เพมิ่ เตมิ ไดท ่ี http://thesis.swu.ac.th/ ขน้ึ มาจนเตบิ ใหญ ลูกกลวั วาจะไมไดตอบแทนบุญคุณ ซ่ึงแสดง
swuthesis/Tha(M.A.)/Pramote_S.pdf ใหเหน็ แนวคิดเร่ืองความกตัญู สอดคลอ งกับเจตนาของผูพูด

136 คู่มอื ครู ทีต่ อ งการทดแทนคณุ ตอบขอ 3.

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand
Evaluate
ตรวจสอบผล
Evaluate

คา� ถามประจา� หน่วยการเรยี นรู้ 1. นกั เรียนสรุปสาระสาํ คัญของคุณคา จาก
วรรณคดี เรอ่ื งลลิ ิตตะเลงพา ยได
๑. จากบทประพนั ธ์ท่ีว่า
๏ หนงึ่ รบู้ า� เหน็จให้ ขนุ พล 2. นักเรียนอธิบายเกย่ี วกับคณุ คาดา นวรรณศลิ ป
อนั สมรรถมอื ผจญ จดื เส้ยี น ท้ังการสรรคําและการใชโวหารได
อยา่ หย่อนวิรยิ ะยล อย่างเกยี จ
3. นักเรียนสรปุ ขอ คดิ จากวรรณคดี เรือ่ งลลิ ิต
ตะเลงพาย แลว นาํ มาปรับใชใ นชวี ิตประจําวัน

แปดประการเท้ียร ถ่องแท้ทางแถลง หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู
เปน็ ค�าสอนทกี่ ล่าวถงึ เรื่องใดบ้างและสามารถน�ามาใชใ้ นชีวติ ประจ�าวนั ไดอ้ ย่างไร
๒. วรรณคดีเรื่องลลิ ิตตะเลงพ่ายใหค้ วามรู้เก่ยี วกบั ความเช่ือในสมัยอยธุ ยาอย่างไรบา้ ง 1. การยกคาํ ประพันธจากลิลิตเร่อื งอนื่ ใหต รงกบั
๓. วรรณคดีเรื่องลิลิตตะเลงพ่ายมีข้อคิดที่เหมาะจะน�ามาประยุกต์ใช้ในเหตุการณ์ แผนผงั ลกั ษณะคําประพันธป ระเภทโคลงสุภาพ
บ้านเมืองในปัจจุบนั อย่างไร ในลลิ ิตตะเลงพาย

2. การยกคาํ ประพนั ธไดตรงกบั จุดมุง หมายของกวี
3. การถอดคําประพนั ธ
4. บนั ทกึ คาํ ศพั ทท ่อี างถงึ วรรณคดเี ร่ืองอนื่
5. การสรุปขอคดิ ทไ่ี ดจ ากเร่ือง

กจิ กรรมสรา้ งสรรค์พฒั นาการเรยี นรู้

๑. ศกึ ษาคน้ ควา้ เกยี่ วกบั พธิ กี รรมและความเชอ่ื ทป่ี รากฏในวรรณคดเี รอ่ื งลลิ ติ ตะเลงพา่ ย
๒. จงอภิปรายในหวั ข้อ “การปกป้องเอกราชของบรรพบุรษุ ไทย”
๓. ให้เขียนเรียงความเรือ่ ง “พระราชกรณียกจิ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”

137

แนวตอบ คําถามประจําหนวยการเรยี นรู
1. คําสอนจากบทประพันธทกี่ ลาวถงึ คาํ สอน 8 ประการ ซึง่ เปนบทประพันธต ัง้ แตโ คลงบทท่ี 28 - 30 มคี ําสอน ดงั นี้ 1. เอาใจทหาร 2. อยาขลาด 3. อยา โงเขลา

เบาความ 4. รจู ักกระบวนศกึ 5. รูวชิ า 6. รวู ธิ ตี ้ังคาย 7. บําเหนจ็ นายทัพ และ 8. ตองพากเพยี ร สําหรบั ขุนพลท่ีจะออกศึก นกั เรยี นสามารถนํามาปรบั ใชใน
ชีวติ ประจาํ วันได คอื อยาเกียจครา น มคี วามตัง้ ใจแนวแนในส่ิงที่ทํา หมนั่ ศึกษาวิชาความรู
2. วรรณคดเี ร่อื งลิลติ ตะเลงพา ยแสดงความเชอื่ ในสมัยอยธุ ยาเปน ความเช่ือทีม่ ีมาแตบ รรพบุรษุ ความเชอ่ื เรื่องความฝนบอกเหตุ ความเชือ่ เรื่องโชคลาง
เช่อื คําทาํ นายทายทักของโหร การนับฤกษยามในการทาํ ศกึ
3. นกั เรียนตอบไดห ลากหลาย แตค รูชใี้ หน กั เรียนเหน็ ถงึ ลักษณะเดน ของวรรณคดีท่มี ีขอ มลู ทางประวัตศิ าสตรและมีแนวคิดในการเทดิ พระเกียรตพิ ระมหากษัตริย
เชน การเชดิ ชพู ระเกียรตขิ องมหากษัตรยิ ไทย เปนตน

คมู่ ือครู 137

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage

Explore

เปา หมายการเรยี นรู

1. วิเคราะหว จิ ารณว รรณคดตี ามหลกั การวิจารณ
เบอ้ื งตน

2. วเิ คราะหล กั ษณะเดน ของวรรณคดเี ชอ่ื มโยงกับ
การเรียนรทู างประวตั ศิ าสตรแ ละวถิ ีชวี ิตของ
สงั คมไทยในอดีต

3. วเิ คราะหและประเมนิ คณุ คาดานวรรณศลิ ป
ของวรรณคดใี นฐานะทเ่ี ปน มรดกทางวัฒนธรรม
ของชาติ

4. สงั เคราะหข อ คิดจากวรรณคดีเพื่อนาํ ไป
ประยกุ ตใ ชใ นชีวติ จรงิ

5. ทองจําและบอกคณุ คาบทอาขยานตามทก่ี าํ หนด
และบทรอ ยกรองทีม่ คี ุณคาตามความสนใจและ
นาํ ไปใชอา งอิง

สมรรถนะของผเู รียน ôหนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร
แพทยศาสตรส งเคราะห
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคิด เปนตําราแพทยของไทยโบราณ
3. ความสามารถในการแกป ญ หา ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว
4. ความสามารถในการใชท ักษะชีวติ ทรงพระกรุณาโปรดเกลาฯ ใหรวบรวมไว ซึ่งเปน
ฉบับสมบรู ณเ มอื่ พระยาพศิ ณปุ ระสาทเวชเปน ผรู เิ รม่ิ
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค จดั พมิ พ โดยมเี นอื้ หาเกยี่ วกบั แพทยแ ผนไทย ใหค วามรู
เกยี่ วกบั อาการแทรกซอนตางๆ ของโรค และยงั ส่ังสอน
1. ใฝเ รียนรู เก่ยี วกบั จรรยาบรรณของแพทย
2. มุง มัน่ ในการทํางาน
3. รกั ความเปนไทย คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร แพทยศ าสตรส งเคราะห
ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

• ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ • กำรวเิ ครำะห์และประเมินคณุ คำ่ วรรณคดแี ละวรรณกรรม
เรอ่ื ง คมั ภีร์ฉันทศาสตร์ แพทย์ศาสตรส์ งเคราะห์

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้ 138
• นกั เรียนคิดวา การรักษาดวยแพทยแ ผนไทย

ในสมยั กอ นมีลกั ษณะอยา งไร และมคี วาม
สาํ คัญอยา งไร

เกรด็ แนะครู

หนว ยการเรยี นรนู ี้ ครูควรจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยเนนใหน กั เรียนได
แสดงความคดิ เหน็ ที่มีตอบทประพันธหรือวรรณคดที ี่นักเรียนอาน จากนัน้ จงึ รวมกัน
อภปิ รายแสดงความคิดเหน็ และรว มอภิปรายแลกเปลี่ยนกัน เพอ่ื ใหนกั เรยี นได
เปดใจกวา งในการแสดงความคิดเห็น พรอ มยอมรบั ความคดิ เหน็ ของบคุ คลอื่นอยาง
หลากหลายและกวางขวาง เปน การสรางบรรยากาศการเรียนการสอนท่ีมีความเปน
ประชาธิปไตย

ครูควรใหน กั เรียนศกึ ษาคน ควา เพ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั สภาพสงั คมและวฒั นธรรมใน
แตล ะยคุ สมยั ทงั้ ความรดู า นคา นยิ ม ประเพณี วถิ ชี วี ติ เพอื่ ใหน ักเรียนเกิดความเขาใจ
และสามารถนําองคความรดู งั กลา วไปปรับใชใ นการพฒั นาความคิดและการตีความ
บทประพันธไ ดลึกซึ้งยงิ่ ขนึ้ เพ่อื ใหน ักเรียนมเี จตคติทด่ี ใี นการศกึ ษา โดยไมย ดึ ตดิ กบั
ความคดิ ของตนเองเปน หลกั การตคี วามวรรณคดดี ว ยความคิดเหน็ ใหมๆ ยอ มสง ผล
ใหน ักเรยี นเกดิ ความเขา ใจและยอมรบั คณุ คา ของวรรณคดี และเปนการสืบทอดคุณคา
ของวรรณคดไี ดเปน อยา งดี

138 คู่มือครู

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Expand Evaluate
Engage Explore Explain Engage
กระตนุ้ ความสนใจ

๑. ความเปน็ มา นกั เรยี นรวมกันพจิ ารณาบทประพนั ธ จากนน้ั
ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้
ในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพติ รทรงเจรญิ พระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา ในป ี พ.ศ. ๒๕๔๒ รฐั บาลไดจ้ ดั งานเฉลมิ พระเกยี รติ “ชวยฝนไพลใหเ หลวเร็วเรว็ เขา
น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นราชสักการะ ในการนี้คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและ อเี ปลเอาขันลางหนา ออกมาน่ี
จดหมายเหตุ ได้พิจารณาเห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ ส�านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แกตักนา้ํ ร่ํารดหมดราคี
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ ์ จดั พมิ พห์ นงั สอื เปน็ ทรี่ ะลกึ ใน ชวยขดั สโี ซมขมนิ้ สิน้ เปน ชาม”
นามของรฐั บาล แพทยศ์ าสตรส์ งเคราะห ์ ภมู ปิ ญั ญาทางการแพทย ์ และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ
กรมวชิ าการไดแ้ ตง่ ตงั้ คณะกรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ ิ มศี าสตราจารย ์ (พเิ ศษ) ดร. ชลธริ า สตั ยาวฒั นา • นักเรยี นคิดวา บทประพันธข างตนแสดงถงึ
เป็นประธานของคณะท�างาน แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ภูมิปัญญาทางการแพทย์และมรดกทาง คณุ คา ทางภูมิปญ ญาของไทยในดานใดบาง
และภูมิปญ ญาดงั กลา วยงั มีความสําคัญใน
สังคมไทยปจจบุ ันหรือไม อยางไร

วรรณกรรมของชาต ิ ในฉบับเฉลิมพระเกียรตินี้ ได้น�าต้นฉบับแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ของพระยา สา� รวจคน้ หา Explore
พิศณปุ ระสาทเวช เล่มท ่ี ๑ พิมพค์ ร้ังที ่ ๒ ร.ศ. ๑๒๘ และเลม่ ที ่ ๒ พมิ พ์ครงั้ ที่ ๑ ร.ศ. ๑๒๖ มา
จดั พมิ พข์ น้ึ ใหม ่ โดยจดั ทา� สว่ นอธบิ ายตา่ งๆ เพม่ิ เตมิ เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยและใหเ้ หมาะสมแกก่ าลสมยั
ในการเผยแพร่องค์ความรู้ในแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ให้เกิดประสิทธิภาพ จึงได้ใช้สื่อท่ีผลิตด้วย นักเรียนสืบคน ขอมลู เก่ียวกบั ความเปน มา
วทิ ยาการสมัยใหม่ในรปู แบบซีดรี อม (มัลตมิ เี ดยี ) ประกอบคู่กับหนงั สอื ด้วย ประวัติผแู ตง และลกั ษณะคําประพันธ

หนังสือแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวง รวบรวมพิมพ์โดยพระยาพิศณุประสาทเวช อธบิ ายความรู้ Explain
โดยได้รับพระอนุญาตจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณในขณะนั้น ในการน�ามาเป็นแบบฉบับนี้๑ กอปรด้วยองค์ความรู้อันเป็น 1. ครสู มุ นกั เรยี น 1 - 2 คน ออกมานาํ เสนอเนอื้ หา
ภูมิปัญญาตะวันออกผสานกับภูมิปัญญาไทยด้านเวชกรรมและเภสัชกรรม อีกท้ังยังเป็นหนังสือ ดงั ตอ ไปน้ี
ท่ีแฝงไว้ด้วยปรัชญาอันมีคุณค่า สมบูรณ์ด้วยเนื้อหาที่ครอบคลุมท้ังจักรวาลวิทยา โลกทัศน ์ • นกั เรยี นคดิ วา คัมภีรฉ ันทศาสตร
และวิธีคิดของคนโบราณ รวมไปถึงระบบความเชื่อ พิธีกรรม คาถา และวิธีเยียวยาแผนโบราณ แพทยศ าสตรส งเคราะหมีเน้ือหาเกี่ยวกบั
เหมาะส�าหรับผู้สนใจจะได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยต่อไปให้แตกฉานทั้งในเชิงสหวิทยาการและท่ีเป็น อะไรบาง และเนอื้ หาดังกลาวมีคุณคา และ
วิชาชพี โดยตรง ความสาํ คัญตอสังคมและวัฒนธรรมไทย
อยางไร
๒. ประวตั ผิ แู้ ตง่ (แนวตอบ นําเสนอองคความรทู างแพทย

พระยาพิศณุประสาทเวช (คง ถาวรเวช) เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๖ ประวัติในวัยเยาว์ของ แผนไทย ดานเวชกรรมและเภสัชกรรม
ทา่ นไม่ปรากฏรายละเอยี ด แตจ่ ากหนังสอื นทิ านโบราณคด ี เรือ่ ง “ตง้ั โรงพยาบาล” พระนิพนธ์ใน เน้อื หาดงั กลา วมคี วามสาํ คัญยิ่ง โดยทาํ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดา� รงราชานภุ าพ ทรงเลา่ ไวว้ ่า “หมอคง” เคยเป็นศิษย์ของ หนา ทส่ี ะทอนคณุ คา ทางภมู ิปญญาของ
พระยาประเสริฐศาสตร์ธ�ารง ซึ่งเป็นหมอที่มีชอ่ื เสยี งไดร้ ับพระมหากรุณาธคิ ุณโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ป็น คนไทยสมัยโบราณ ท้งั ความรทู างดานการ
แพทย และคติความเชอื่ รวมถึงประเพณี
๑ เกบ็ ความจากประวัตพิ ระยาพิศณุประสาทเวช เรยี บเรียงโดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.ชลธิรา สตั ยาวฒั นา จากหนงั สือแพทยศ์ าสตร์ พธิ ีกรรมที่ปรากฏในบทประพนั ธ นอกจากนี้
สงเคราะห์ภูมิปญั ญาทางการแพทยแ์ ละมรดกทางวรรณกรรมของชาต.ิ หน้า ๒๓ - ๓๐. ยังเปนแนวทางการเผยแพรความรดู า น
สาธารณสุขใหกับประชาชนไดอกี ดว ย)
139

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT 2. นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจลงในสมดุ

เกรด็ แนะครู

ขอ ใดกลา วถงึ เรอื่ ง คมั ภรี ฉ นั ทศาสตร แพทยศ าสตรส งเคราะห ในการจดั กิจกรรมกระตุนความสนใจครคู วรเนนการทบทวนความรู ความเขาใจ
ไมถ กู ตอ ง ของนกั เรยี นในหนว ยการเรยี นรนู ้ี ดว ยการกระตนุ ความคดิ ของนกั เรยี นใหเ กดิ การเรยี นรู
และทบทวนองคความรูเดมิ เกยี่ วกบั การบําบดั รักษาดวยวถิ ที างแบบแพทยแผนไทย
1. ใหค วามรทู างคตคิ วามเชอื่ ทปี่ รากฏในวรรณคดเี รอ่ื งอน่ื ๆ ดงั ตวั อยา งทยี่ กมาเปน วธิ กี ารบาํ บดั รกั ษาดว ยยาสมนุ ไพร
2. สะทอ นภมู ปิ ญ ญาทางการแพทย ปรากฏในวรรณคดเี รือ่ ง ขนุ ชา ง ขนุ แผน ตอนทพ่ี ลายงามเดินทางไปพบกับ
3. นาํ เสนอองคค วามรดู า นการแพทยแ ผนไทย นางทองประศรีผเู ปน ยา แลว เกิดความเขาใจผดิ เนอ่ื งจากนางทองประศรคี ิดวา
4. เปน แบบอยา งทดี่ ขี องคาํ ประพนั ธป ระเภทกาพยฉ บงั 16

วเิ คราะหค ําตอบ เปน แบบอยางที่ดขี องคําประพนั ธป ระเภท พลายงามเปน ขโมยเขามาขโมยผลไมในสวน จึงเกิดการทุบตที าํ รายจนบาดเจ็บ
กาพยฉ บงั 16 เปน คาํ ตอบท่ีไมถูกตอ ง เนอ่ื งจากบทประพนั ธเ รอื่ ง เมอ่ื เขาใจกันแลว นางทองประศรจี ึงไดหายามารกั ษาพลายงามผูเ ปน หลานจนหาย
คัมภีรฉ นั ทศาสตร แพทยศาสตรส งเคราะห มลี ักษณะคาํ ประพนั ธ จากอาการบาดเจบ็
ประเภทกาพยย านี 11 ในตอนคาํ นาํ หรือตอนเปดเร่ือง และใช ครูควรชใี้ หนักเรียนเหน็ วา วรรณคดเี ร่ืองตางๆ มกั สอดแทรกองคค วามรูเ กีย่ วกบั
คาํ ประพนั ธป ระเภทรายสภุ าพเมอ่ื กลาวถึงลกั ษณะของทบั วิถีชีวติ ในอดตี เอาไว ดงั เชน บทประพันธท่ียกมาขา งตน จากน้ันครจู งึ เชื่อมโยงเขาสู
8 ประการ สว นขอ อน่ื ๆ น้ันเปน คณุ คา ท่ปี รากฏในวรรณคดเี รอ่ื งนี้ เน้อื หาในบทเรียนน้ีวา การรกั ษาโรคภัยไขเ จ็บของคนไทยในอดีตเปนอยางไร และมี
วิธีการรกั ษาอยา งไร ซ่งึ ไดเกบ็ รวบรวมไวใ นตําราที่นักเรียนจะไดศกึ ษาในบทเรยี น
ตอบขอ 4. ตอไป คู่มือครู 139

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Explore Evaluate
Engage Explain Explain Expand

อธบิ ายความรู้

1. นกั เรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ตอ ไปนี้
• นกั เรยี นคิดวา คัมภีรฉ ันทศาสตร แพทย์ใหญป่ ระจำ� โรงพยำบำลศริ ริ ำช (โรงพยำบำลวงั หลงั ) พระยำประเสรฐิ ศำสตรธ์ ำ� รงไดค้ ดั เลอื ก
แพทยศาสตรสงเคราะหสะทอ นภูมิปญญา “หมอคง” ให้เป็นหมอรองประจำ� โรงพยำบำลต้ังแตแ่ รกก่อต้งั
ของสังคมและวฒั นธรรมไทยอยางไร เมื่อกิจกำรของโรงพยำบำลศิริรำชได้รับควำมนิยมมำกขึ้น กรมพยำบำลจึงต้ังโรงพยำบำล
(แนวตอบ นอกจากองคความรทู างการแพทย เพิ่มข้ึนตรงหน้ำวังบูรพำภิรมย์เป็นโรงพยำบำลสำมัญเรียกว่ำ โรงพยำบำลบูรพำ หมอคงจึงย้ำย
แผนไทย ทงั้ ดานเวชกรรมและเภสัชกรรมท่ี มทำ�ำปหรนะ้ำจท�ำ่ีเอปย็นทู่ หนี่ ม่ันอหเมลือ่วปงระหมมำอณปรพะจ.ศ�ำโ.ร๒ง๔พ๓ยำ๖บำแลละไแดลเ้ ะลเ่ือปน็นบหรมรอดเำชศลักยดศ์เิ ักปดน็ 1ิ์ “ขนุ ประสารเวชสิทธิ”์
ปรากฏในคัมภรี ฉันทศาสตร แพทยศาสตร รับรักษำไข้ท่ัวไปตำม
สงเคราะหแ ลว ตําราดงั กลา วยังแฝงไวดวย ที่มีคนไปรักษำ โดยใช้ควำมรู้ในวิชำแพทย์สมัยใหม่ท่ีใช้ในโรงพยำบำลผสำนกับควำมรู้ตำมต�ำรับ
ภูมิปญ ญา และคุณคาทางดา นปรชั ญา ไบทรยรดโบำรศำักณด2ทิเ์ ปี่ไน็ดล้ศ�ำึกดษบั ำกเลร่ำะเทรั่งยี เนปมน็ ำ“พหรมะอยคางพมศิ ชี ณื่อุปเสรียะสงโาดท่งเดวงัชแ”ละเปน็ ทเ่ี คำรพยกยอ่ ง ทำ� ใหไ้ ด้เลื่อน
มีเน้อื หาครอบคลมุ ทัง้ จักรวาลวทิ ยา โลกทัศน พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้เกิดโรคระบำดตำมหัวเมืองแถบจังหวัดลพบุรีและจังหวัดนครรำชสีมำ
วธิ คี ดิ ของคนโบราณ รวมไปถงึ ระบบความเชอื่ พระยำพิศณุประสำทเวชได้รับควำมไว้วำงพระรำชหฤทัยจำกพระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำ
พธิ กี รรม คาถา และวธิ เี ยยี วยาดว ยความรู เจ้ำอยู่หัวโปรดเกล้ำฯ ให้ไปด�ำเนินกำรตรวจรักษำและระงับโรคระบำด ท�ำให้ได้แนวคิดเก่ียวกับ
ทางการแพทยแ ผนโบราณ เหมาะสาํ หรบั ต�ำรำบรรดำแพทย์พื้นบ้ำนที่มีอยู่ในแต่ละท้องถ่ินซึ่งคัดลอกกันต่อๆ มำ พบว่ำอยู่ในสภำพท่ี
การสืบคนคณุ คา ทางภูมิปญญา และการนํา ลบเลือน ผิดเพ้ียน จึงเกิดควำมคิดรวบรวมคัมภีร์แพทย์ข้ึนไว้ให้เป็นคัมภีร์ที่สมบูรณ์ ครบถ้วน
องคความรูดังกลาวมาประยุกตใ ชในวิชาชีพ โดยได้รับพระอนุเครำะห์จำกสมเด็จพระเจ้ำบรมวงศ์เธอ กรมพระยำด�ำรงรำชำนุภำพ สภำนำยก
นอกจากนี้ ยังสะทอนคุณคาทางภมู ปิ ญ ญา หอพระสมดุ วชิรญำณในขณะนั้น แล้วรวบรวมพิมพ์เป็นหนงั สือเรื่อง “แพทยศ์ าสตร์สงเคราะห์”
ดา นภาษาที่ใชในการถา ยทอดเนอ้ื หาของ
วรรณคดีไดเปนอยา งดี) ๓. ลกั ษณะค�ำ ประพนั ธ์

• นกั เรยี นคดิ วา การรวบรวมองคความรูดา น คัมภรี ฉ์ ันทศำสตร์ แพทยศ์ ำสตรส์ งเครำะห์ เฉพำะตอนท่คี ัดมำศกึ ษำ ได้แก่ ตอนเปดิ เร่อื ง
การแพทยท กี่ ระจดั กระจายใหอ ยูในตาํ รา ทเ่ี ปน็ บทไหวค้ รแู ละตอนทก่ี ลำ่ วถงึ จรรยำบรรณของแพทยน์ ้ี ผเู้ ขยี นแตง่ โดยใชค้ ำ� ประพนั ธป์ ระเภท
ฉบับเดียวสงผลดีตอ วถิ ชี ีวติ ของผคู นในสงั คม กำพย์ยำนี ๑๑ ดังแผนผังและตัวอยำ่ งบทประพนั ธ์ ดงั นี้
ไทยอยางไร
(แนวตอบ ชว ยบันทกึ และเผยแพรอ งคค วามรู
ดา นการแพทยท มี่ คี วามถกู ตอ ง และถา ยทอด
ใหป ระชาชนสามารถนําไปบาํ บดั รกั ษาไดอ ยาง
ถูกตอ ง เหมาะสม)
2. ครสู มุ นกั เรยี น 2 คน สรปุ ความรู
ตัวอ ยา่ ง ข้าขอประนมหดั ถ์ พระไตรรตั นนาถา
ขยายความเขา้ ใจ Expand ตรโี ลกอมรมา อภิวาทนาการ
อนึ่งขา้ อัญชลี พระฤๅษผี ู้ทรงญาณ
1. นักเรยี นยกบทประพันธจ ากวรรณคดีเรือ่ งอ่นื แปดองค์เธอมีฌาน โดยรอบรใู้ นโรคา
ท่สี ะทอ นคณุ คา ทางภมู ิปญ ญาของสังคมและ 140
วัฒนธรรมไทย
2. ครสู ุมนักเรียน 2 - 3 คน ออกมานําเสนอ
จากน้นั บันทึกความเขา ใจลงในสมุด
ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
เกร็ดแนะครู

ครูควรเพม่ิ เตมิ ความรู ความเขาใจเก่ยี วกับความหมายและความสําคัญของภาพ เม่อื พจิ ารณาตามลักษณะฉนั ทลักษณ ขอความใดมีลกั ษณะ
สะทอนทางภมู ิปญ ญา หากแปลตามศพั ทแลวยอ มหมายถึงพนื้ ความรู ความสามารถ คําประพนั ธป ระเภทกาพยย านี 11
ในทน่ี หี้ มายถงึ ความรพู น้ื ฐานของสงั คมและวัฒนธรรมไทยเกี่ยวกบั การแพทยแ ผนไทย
ซ่ึงถือเปนมรดกทางภูมิปญ ญาทีท่ รงคณุ คา เกิดจากการส่ังสมองคความรูจากอดีต 1. หนง่ึ บงั คับไวว า กมุ ารากุมารีลม อกตสี ีขางฟด ชอกชํ้าขดั ใน
การศกึ ษาคมั ภรี ฉ ันทศาสตร แพทยศาสตรส งเคราะหยอมสะทอ นมรดกทางภมู ิปญ ญา กายาอยูน านมาจบั ไขต วั รอ นไปเปน เพลา
ทงั้ ในดานองคค วามรูทางการบําบัดรักษาโรค และภูมิปญ ญาทางภาษาจากตัวบท
วรรณคดไี ดเ ปนอยางดี 2. ไหวครกู ุมารภจั ผเู จนจดั ในคัมภรี เวชศาสตรบรรดามีใหทาน
ทวั่ แกนรชน

3. หนง่ึ กําเดาเปน ตนไขทําใหไ อปวดหวั ท่ัวตัวเปน เปลวรอน
นอนสะทอนถอนใจใหญดูหายใจตดิ จะสั้น
4. หนง่ึ ทรางทบั สํารอกอาจารยบ อกไวแจง สาํ รอกแหง กุมาร
มีอาการสี่อยางเหลอื งเขยี วบางเสมหะเปนเม็ดมะเขอื ก็มี
นกั เรยี นควรรู
วิเคราะหค าํ ตอบ กาพยยานี 11 จะพจิ ารณาจากสมั ผสั ของ
1 หมอเชลยศกั ด์ิ หมอท่ไี มไดข้นึ ทะเบียน ขอความและจํานวนคาํ จากการแบงวรรคตอน สามารถแบง
วรรคตอนตามลกั ษณะฉันทลักษณไ ด ดงั น้ี
2 บรรดาศกั ด์ิ ฐานนั ดรศกั ด์ทิ พี่ ระราชทานแกข า ราชการหรอื บุคคลทวั่ ไป “ไหวครูกุมารภัจ ผูเจนจัดในคมั ภีร

140 คู่มือครู เวชศาสตรบรรดามี ใหทานทว่ั แกน รชน” ตอบขอ 2.

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

อธบิ ายความรู้ Explain

๔. เรอื่ งย่อ 1. ครูขออาสาสมคั ร 2 - 3 คน ออกมาแสดง
ความคิดเห็น ดงั ตอ ไปนี้
แพทย์ศำสตร์สงเครำะห์ ตอน คัมภีร์ฉันทศำสตร์ เร่ิมต้นเปิดเร่ืองด้วยบทไหว้ครู • นกั เรยี นคดิ วา การใชค ําประพันธป ระเภท
ซึ่งเรียบเรียงโดย พระยำวิชยำธิบดี (กล่อม) ผู้ว่ำรำชกำรเมืองจันทบุรี ต่อจำกนั้นกล่ำวถึง กาพยย านี 11 และรา ยสภุ าพในการประพนั ธ
ควำมส�ำคัญของแพทย์และคุณสมบัติท่ีพึงมี รวมถึงสิ่งท่ีไม่ควรกระท�ำ ซึ่งโดยทั่วไปท่ีมักจะมี วรรณคดีที่มีลักษณะเนอ้ื หาประเภทสารคดี
ควำมประมำท ควำมถือดี อวดดี ควำมริษยำ ควำมโลภ ควำมเห็นแก่ตัว ควำมหลงตัว และ มคี วามเหมาะสมหรอื ไม อยางไร สง ผลดี
ควำมไม่เสมอภำคในกำรให้กำรรักษำคนรวยกับคนจน ซ่ึงแต่งเป็นกำพย์ยำนี ๑๑ ต่อจำกน้ัน ตอกลวธิ ีการสอ่ื สารหรือไม อยา งไร
จะเป็นเนอื้ หำซ่ึงแบง่ เปน็ ๑๙ ตอน คือ (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็
ไดอยางหลากหลายขึน้ อยูกบั เหตผุ ลของ
๑. ลกั ษณะทบั ๘ ประกำร นกั เรียน)
๒. พระคมั ภีร์ตกั กะศิลำ
๓. สมมติฐำนกำ� เนิดไข้ 2. นักเรียนบันทกึ ความเขาใจลงในสมดุ

๔. ลักษณะอำกำรไขท้ ่เี ขำ้ เพศเปน็ โทษ ๔ อยำ่ ง ขยายความเขา้ ใจ Expand
๕. ลชกัีพษจณร1ะใหน้�ำร้ ะนวมังดในแี กลำะรชรัว่ ะบำย2ยำ
๖. ลลตักกั�ำรษษำณณยำะะแรปัตก่วนง้ส3ธนั ๘ำนตบิปุทำรั้งตะห4กส้ำำอรงคลองและอหิวำตกโรค 1. นกั เรยี นยกบทประพันธท มี่ ีลักษณะคําประพนั ธ
๗. สอดคลองกบั วรรณคดเี รือ่ ง คมั ภีรฉนั ทศาสตร
๘. แพทยศาสตรส งเคราะห พรอมอธบิ ายคุณคา
๙. ทางวรรณศิลปท้งั ดา นภาษา เนื้อหา
๑๐. ลักษณะสมุฏฐำน 5 และรปู แบบจากบทประพนั ธ
๑๑. ลกั ษณะอติสำร 6 ภาพประกอบคัมภรี ฉ์ นั ทศาสตร์
๑๒. ลักษณะมรณะญำณสตู ร วาดโดย นายธรรมศกั ด์ิ เอ้ือรักสกุล 2. ครสู มุ นกั เรียน 2 - 3 คน ออกมานาํ เสนอ
๑๓. โรคภยั ตำ่ งๆ แหง่ กุมำร ลกั ษณะซำง7ต่ำงๆ หนา ชน้ั เรยี น จากนนั้ นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจ
๑๔. ลักษณะกำ� เนิดซำง ลงในสมดุ

๑๕. ลกั ษณะรปู ทำรก ตรวจสอบผล Evaluate
๑๖. ลกั ษณะซำงตัง้
๑๗. ลกั ษณะตำนโจร 1. นกั เรียนสามารถสรปุ สาระสาํ คญั เกยี่ วกบั ความ
๑๘. ลกั ษณะธำตุทั้ง ๔ เปนมา ประวัตผิ แู ตง และลกั ษณะคาํ ประพันธ
๑๙. ตอนลงท้ำย จากเรอื่ ง คัมภรี ฉ ันทศาสตร แพทยศาสตร
ท่นี ำ� มำเป็นบทเรยี นน้ี ไดค้ ดั เลอื กเฉพำะตอนขนึ้ ตน้ ท่ีเป็นบทไหวค้ รู แต่งโดย พระยำวิชยำ สงเคราะห
ธบิ ดี (กลอ่ ม) และตอนทก่ี ลำ่ วถงึ ควำมส�ำคญั ของแพทย์และจรรยำบรรณทแี่ พทย์พึงปฏิบตั ิ
2. นักเรยี นยกบทประพนั ธท่ีสะทอ นคุณคา ทาง
141 ภูมปิ ญ ญาของสังคมและวฒั นธรรมไทย

3. นกั เรียนยกบทประพนั ธท ่ีมีลักษณะคาํ ประพันธ
สอดคลอ งกบั วรรณคดเี ร่ือง คัมภรี ฉันทศาสตร
แพทยศ าสตรสงเคราะห พรอมอธบิ ายคณุ คา
ทางวรรณศิลปไ ด

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู

“ขาขอประนมหัดถ พระไตรรัตนนาถา 1 ชีพจร อาการท่เี สนเลือดเตนอยตู ามรางกาย เชน ทขี่ อมอื
ตรีโลกอมรมา อภิวาทนาการ
อนงึ่ ขา อญั ชลี พระฤๅษผี ทู รงญาณ 2 ระบาย ผอ นออกไป เชน ระบายสนิ คา ระบายนาํ้ ระบายความทุกข หรือ
แปดองคเ ธอมฌี าน โดยรอบรใู นโรคา หมายถึง ถายออก เชน ระบายทอง ระบายอากาศ เปน ตน
ไหวค ณุ อศิ วเรศ ท้ังพรหมเมศทุกชน้ั ฟา 3 ปว ง โรคลงราก หรือโรคระบาดมีอาการทองรวงและอาเจยี น
สาปสรรคซ งึ่ หวา นยา ประทานท่ัวโลกธาตร”ี
ขอใดไมปรากฏ ในบทประพนั ธขางตน 4 สนั นิบาต เรียกไขช นดิ หนึ่งมอี าการส่นั เทิ้ม ชกั กระตกุ และเพอวา ไข
1. พระรตั นตรัย สันนิบาต เชน ไขสนั นิบาตลูกนก ไขสนั นิบาตหนา เพลิง เปนตน ปรากฏในบท
2. แนวทางการรักษาโรค ประพันธเปน ลกั ษณะไขสนั นบิ าตสองคลอง
3. เทพเจา ในศาสนาพราหมณ - ฮินดู 5 สมฏุ ฐาน ทเี่ กดิ ทีต่ ั้ง เหตุ อาทิ สมุฏฐานของโรค โรคน้ีมจี ิตเปนสมฏุ ฐาน
4. การกลาวยกยองผทู ีม่ ีคณุ ทางดา นการแพทย
6 อตสิ าร อาการของการเจ็บไขท ่เี ขา ขดี ตาย หรอื โรคลงแดง
วเิ คราะหคาํ ตอบ เน่ืองจากบทประพนั ธขางตน เปน บทประณาม
พจนมเี น้ือหากลาวถงึ ผมู พี ระคุณในการสรา งสรรคภ มู ปิ ญ ญาทาง 7 ซาง ชื่อโรคชนดิ หนงึ่ ตามตําราแพทยแ ผนโบราณวาเปน แกเดก็ เล็ก
ดา นการแพทย ประกอบดว ย พระรัตนตรัยฤๅษผี ทู รงญาณแปด
141มลี ักษณะเกิดเปนเมด็ ขึน้ ในปากในคอ ลนิ้ เปน ฝา มีอาการ อาทิ ไมก ินนม
องค เทพเจา ในศาสนาพราหมณ - ฮินดู ตอบขอ 2. คมู่ ือครู


Click to View FlipBook Version