The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kunakorn.im, 2022-09-25 23:24:48

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม

Keywords: หลักสูตรม,กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยม,ภาษาไทย,โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม

199

ช่อื หนว่ ย ผลการเรียนรูท้ ่ีคาดหวัง สาระสำคัญ เวลา คะแนน
การเรียนรู้ ชว่ั โมง
9
ลลิ ติ บอกความหมายของ บอกความหมายของลิลติ 3
11
ลลิ ิต ฉันทลักษณ์ของลลิ ติ และอ่านออก 4
16
ฉนั ทลักษณข์ องลิลิต เสียง 6
20
และอ่านออกเสียงได้ 30
100
อยา่ งถูกต้อง

วิเคราะหต์ ีความ วิเคราะหว์ ิจารณ์ วิเคราะห์วิจารณ์ ตีความบท

บทประพันธ์ ตคี วามบท ประพันธ์ที่อา่ น

ตา่ งๆ ประพนั ธ์ท่ีอ่านได้อยา่ ง

มีเหตุผล

รังสรรคบ์ ท สามารถเลอื กบท เลอื กบทประพนั ธท์ ี่สนใจตามความ

ประพันธ์ชนื่ ชอบ ประพันธท์ ี่สนใจตาม ถนัดมาสรา้ งสรรคง์ าน

ความถนัดมาสร้างสรรค์

งานได้

สอบกลางภาค

สอบปลายภาค

รวม

200

โครงสร้างรายวชิ าเพม่ิ เติม

รหสั วชิ า ท 32209 ชื่อวิชา หลักภาษาไทย 1 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ช่วั โมง จำนวน 1 หนว่ ยกิต

อัตราสว่ นคะแนนระหว่างเรยี น : ตอ่ ปลายภาค = 70/30

ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสำคัญ จำนวน น้ำหนัก

ชวั่ โมง คะแนน

1. รอบรู้ ข้อ 1 เขียนสรปุ ธรรมชาติของภาษาต้องใช้เสยี งสื่อ 7 10

ภาษาไทย ธรรมชาติของ ความหมาย ประกอบเปน็ หน่วยท่ีใหญ่ขึน้ มี

ภาษาและระบบ การเปลยี่ นแปลงในลกั ษณะต่าง ๆ และมที ้ัง

เสียงในภาษาไทย ส่วนทีเ่ หมอื นและส่วนท่ตี ่างกับภาษาอื่น

เปน็ แผนภาพ ระบบเสียงในภาษาไทย มีระบบเสียงสระ

ความคิดได้ ระบบเสยี งพยัญชนะ และระบบเสียง

วรรณยกุ ต์ การเรยี นรธู้ รรมชาติของภาษา

และระบบเสยี งในภาษาไทยให้เขา้ ใจจะชว่ ย

ให้มีความรู้เกีย่ วกบั ภาษา ใช้ภาษาในการ

สอ่ื สารไดถ้ ูกต้อง รวมท้งั สามารถ วเิ คราะห์

และแก้ไขข้อบกพรอ่ งของการใช้ภาษาใน

ชวี ติ ประจำวนั ได้ รกั ภาษาไทยอันเปน็

มรดกทางวัฒนธรรมของชาติและภูมใิ จใน

ความเป็นไทย

2.ไตรยางศ์ ข้อ 2 จำแนก พยญั ชนะไทยแบ่งตามหลักไตรยางศ์ ได้ 4 5

ศกึ ษา พยัญชนะ ผัน เป็นอักษรสูง อกั ษรกลาง อักษรตำ่ ซึ่งอักษร

อกั ษรตามหลัก ตำ่ นนั้ ยังแบง่ ย่อยเปน็ อักษรคู่และอักษรเดี่ยว

ไตรยางศ์ และ อักษรกลาง พน้ื เสยี งเป็นเสยี งสามญั ผันได้

อธบิ าย คำเป็น คำ ครบทง้ั 5 เสยี ง คำตาย จะผนั ได้แค่ 4 เสียง

ตายไดถ้ ูกต้อง อกั ษรสงู พื้นเสยี งเปน็ เสยี งจตั วา ผนั ด้วย

วรรณยุกต์เอกเปน็ เสียงเอก ผันด้วย

วรรณยกุ ตโ์ ทเป็นเสียงโท คำตาย จะผนั ได้

แค่ 2 เสยี ง คือ เสยี งเอก และเสยี งโทอกั ษร

ตำ่ พื้นเสยี งเปน็ เสยี งสามัญผันด้วย

ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั จำนวน 201
ช่วั โมง นำ้ หนกั
วรรณยกุ ตเ์ อกเป็นเสยี งโท ผันดว้ ยวรรณยกุ ต์ คะแนน
4
โทเปน็ เสียงตรี สว่ นคำเปน็ คอื คำที่สะกดใน 5

มาตราแม่ ก.กา สระเสียงยาว และคำที่มี

เสยี งสะกดในมาตราแม่ กง กน กม เกย

เกอว คำตาย คือคำท่ีมีเสยี งสะกดในมาตรา

แม่ กก กด กบ และ แม่ ก.กา สระเสยี งสน้ั

การศึกษาเรื่องไตรยางศ์ คำเป็นคำตาย

รวมท้งั การผันอักษรใหเ้ ข้าใจและมีทักษะ จะ

ช่วยให้มีความร้เู กี่ยวกับภาษา ใช้ภาษาใน

การส่อื สารท้งั อา่ น เขยี น พูด ใน

ชวี ติ ประจำวนั ได้ถกู ตอ้ ง ซ่ึงถือเป็นการสืบ

สานและอนรุ ักษ์ภาษาไทย อันเป็นมรดกทาง

วัฒนธรรมของชาติท่คี วรภาคภมู ใิ จอกี ทาง

หนึง่

3. พจิ ารณา ขอ้ 3 อธบิ ายการ เครอื่ งหมายวรรคตอนของไทยอยู่

ถ้อยคำ ใชเ้ ครอ่ื งหมาย หลายตัว และบางตวั นยิ มใช้มาถงึ ปจั จุบันโดย

วรรคตอนใน แบง่ ได้เป็น 2 กลมุ่ ใหญ่ คือ แบ่งตามเกณฑ์

ภาษาไทยได้ การใชง้ าน ได้แก่ เคร่ืองหมายกำกบั

ขอ้ 4 วิเคราะห์ เสียง ไดแ้ ก่ ไม้ยมก ทัณฑฆาตเปน็ ต้น

เปรียบเทยี บ และเคร่ืองหมายกำกบั วรรคตอน ได้แก่

ลกั ษณะคำไทยกับ ไปยาลนอ้ ย ไปยาลใหญ่ เป็นต้น สว่ นแบง่

คำภาษาอืน่ ในกลุม่ ตามเกณฑ์ท่ีมา คือ เครอื่ งหมายวรรคตอนท่ี

ประเทศอาเซยี นได้ เป็นของไทยแต่เดิม เชน่ ฟองมนั ตาไก่ โค

มตู ร และเคร่ืองหมายวรรคตอนท่ีรบั อทิ ธิพล

การเขยี นจากต่างประเทศ เช่น

จุลภาค ทวภิ าค

เมื่อไทยเรารบั ภาษาอ่ืนในอาเซยี น

เข้ามาใชใ้ นภาษาไทย ย่อมทำให้ภาษาอ่นื มี

อทิ ธิพล เมื่อใชก้ ็จะปะปนกันไป หากใช้ไม่

ถูกกาลเทศะ หรอื บคุ คล อาจจะไม่เหมาะสม

กับวฒั นธรรมการใช้ภาษาของไทยได้ ดังนนั้

จงึ ตอ้ งศึกษาและใช้คำภาษาต่างประเทศให้

เหมาะสม ไมว่ ่าศัพทบ์ ญั ญตั ิ หรือคำทับศพั ท์

หรอื คำยมื ภาษาตา่ ง ๆ การใช้ภาษาในการ

สอื่ สารทง้ั อ่าน เขยี น พูด ในชีวติ ประจำวันได้

ถกู ต้อง ถือเปน็ การสืบสานและอนรุ ักษ์

ภาษาไทย และการรบั ภาษาอื่นอันเป็นมรดก

202

ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั จำนวน น้ำหนัก

ช่ัวโมง คะแนน

ทางวฒั นธรรมเชน่ กนั มาใชถ้ ือเปน็ การ

ประสานวัฒนธรรมอนั จะนำไปสกู่ ารอยู่

รว่ มกันอย่างปกตสิ ุข

4. สรรนำ ข้อ 5. อธิบายการ การสรา้ งคำในภาษาไทยมีทัง้ การสร้างคำ 7 10

คำเพิ่ม สร้างคำใน ตามวิธขี องภาษาไทยและวิธขี องภาษาอน่ื วิธี

ภาษาไทยได้ ของภาษาไทย มี คำมลู การประสมคำ การ

ซ้ำคำ การซ้อนคำ และมีการแผลงคำท่ีเป็น

ภาษาไทย ส่วนการสร้างคำโดยใชว้ ิธีของ

ภาษาอนื่ อันได้แกภ่ าษาบาลีสนั สกฤต มกี าร

สมาสคำซ่ึงมีท้งั สมาสแบบชนคำและสมาส

แบบเชอื่ มคำ บอกจากนย้ี ังมีการแผลงคำ

ตามวิธีการของภาษาเขมร การศกึ ษาเรยี นรู้

การสร้างคำในลักษณะต่าง ๆ จะช่วยภาษา

เจรญิ งอกงาม มีคำเพิ่ม ทง้ั ช่วยให้รทู้ ่ีมาของ

คำ รู้ความหมายอนั จะสง่ เสริมใหผ้ ศู้ กึ ษาใช้

ภาษาไดเ้ หมาะสมถูกต้อง มีทักษะทางภาษา

ทง้ั ฟัง พดู อ่าน เขียน

5. ต่อเติม ขอ้ 6. อา่ น-เขียน การใช้ภาษาไทยในการอ่าน เขยี น และพูด

อา่ นเขยี น คำท่มี ักใชผ้ ิด และ นน้ั ยงั มผี ้ใู ชไ้ มถ่ ูกต้องอยู่มา การศกึ ษาคำ 45

จำแนกข้อความที่ อ่าน คำเขียนในภาษาไทยให้ถูกต้อง ตาม

เป็นสำนวนไทย แนวทางทรี่ าชบณั ฑติ ยสถานใหไ้ ว้ เช่น

และสำนวน หลักการอ่านคำประเภทต่าง ๆ ทัง้ ภาษาไทย

ต่างประเทศได้ และภาษาอ่ืนหลักการเขยี นคำไทยและคำ

ภาษาอ่ืน หลักการเขียนคำย่อ รวมทั้ง การ

วเิ คราะหส์ ำนวนประโยคทเี่ ป็นภาษาไทย

และสำนวนประโยคภาษตา่ งประเทศได้ จะชว่ ย

ให้ใชภ้ าษาในการส่ือสารไดถ้ ูกตอ้ ง สละสลวย

อันเป็นการถกู ตอ้ ง ซง่ึ นบั ว่าเปน็ การสบื สานและ

อนุรักษ์ภาษาไทย อนั เปน็ มรดกทางวฒั นธรรม

ของชาตทิ ค่ี วรภาคภมู ิใจ

203

ชือ่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสำคัญ จำนวน นำ้ หนกั

ชวั่ โมง คะแนน

6. เรยี นรู้ ขอ้ 7 วเิ คราะห์ ความสัมพนั ธ์ของข้อความโดยทัว่ ไปมีหลกั 14 15
เชอ่ื มโยง ความสมั พันธข์ อง ใหญ่ ๆทแ่ี สดงความสมั พนั ธ์อยหู่ ลายลกั ษณะ
ขอ้ ความทีเ่ ปน็ เหตุ เชน่ ความสมั พนั ธ์เช่ือมโยงทีข่ ้อความใด
ขอ้ ความหนง่ึ หรือหลายขอ้ ความมขี ้อความอ่นื
เป็นผล เป็น
เปน็ ผลโดยตรง ความสมั พนั ธท์ ขี่ อ้ ความใด
องค์ประกอบ ข้อความหน่งึ หรอื หลายขอ้ ความมขี อ้ ความอน่ื
ยบั ย้ัง ขดั ขวางหรือ เป็นองค์ประกอบ คณุ สมบัติ ลกั ษณะ และ
ป้องกัน ได้ ความสัมพนั ธท์ ่ขี ้อความใดขอ้ ความหน่งึ หรอื

หลายขอ้ ความมผี ลทำใหข้ ้อความอน่ื ถกู ลด

ยับย้ัง ป้องกนั หา้ ม ขดั ขวาง การวิเคราะห์

ความสมั พันธ์เชอ่ื มโยงของข้อความดังกลา่ วได้

จะช่วยใหส้ ่ือสารไดช้ ดั เจน ตรงประเดน็ หาก

เปน็ ขอ้ ความทส่ี ำคัญ เชน่ ปรากฎในระเบียบ

สัญญา กฎหมาย ก็จะช่วยใหผ้ ้ศู กึ ษาเข้าใจ

สาระสำคัญ องคป์ ระกอบหลัก องคป์ ระกอบ

ยอ่ ย ไมร่ บั สารผดิ พลาดซงึ่ สามารถนำไปใชใ้ น

ชีวิตประจำวนั ได้

สอบกลางภาคเรียน 20

สอบปลายภาคเรียน 30

รวม 50

204

โครงสร้างรายวิชาเพิม่ เติม

รหสั วชิ า ท 32210 ช่ือวิชา ภาษาไทยกับศลิ ปวัฒนธรรม กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย

ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ชัว่ โมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ

อัตราส่วนคะแนนระหวา่ งเรียน : ตอ่ ปลายภาค = 70/30

ชอื่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั จำนวน นำ้ หนกั
ชั่วโมง คะแนน

1. ภาษากับ ข้อ 1 บอก ความร้เู บือ้ งตน้ เกี่ยวกบั ท่มี าและลักษณะ 3 5
วฒั นธรรม ความหมายของภาษา ของภาษาและวฒั นธรรม ต้นกำเนดิ ของภาษา
และวัฒนธรรม แหล่งวัฒนธรรมตา่ ง ๆ การถ่ายทอดและ
ขอ้ 2 บอกลักษณะ การนำเสนอความรู้
ของวัฒนธรรมไทยได้

2. การใช้ ขอ้ 3 จำแนกและ การจำแนกและอธิบายศลิ ปะไทย 15 5
ภาษาท่ี อธิบายศลิ ปะไทย แขนงต่าง ๆทั้งสถาปตั ยกรรม จติ รกรรม
สมั พนั ธ์กับ แขนงตา่ ง ๆ ได้ ประติมากรรม นาฏศิลป์ ดนตรี และ
ศิลปะแขนง วรรณคดี เพ่ือสามารถแยกองคค์ วามร้ทู ่ีได้
ต่าง ๆ จากการศึกษาและนำไปศึกษาเพิม่ เติมจนเกดิ
เปน็ ความรใู้ หม่

3. การใช้ ข้อ 4 อธิบาย การวเิ คราะห์และอธบิ าย 15 5
ภาษาท่ี
สัมพันธ์กับ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง ความสัมพนั ธร์ ะหว่างวรรณคดกี ับศิลปะแขนง
ประเพณี
วรรณคดีกบั ศลิ ปะ ตา่ ง ๆซ่ึงจะเกิดได้โดยการฝกึ อา่ นวเิ คราะห์

แขนงตา่ ง ๆ ได้ ตคี วาม เปน็ ประจำ เพอ่ื ให้เกิดทักษะและองค์

ความรู้ใหม่ ซง่ึ จะชว่ ยใหก้ ารศึกษาข้อมลู มี

ความเขา้ ใจถกู ต้อง บรรลผุ ลตามวตั ถปุ ระสงค์

4. ข้อ 5 ระบุ การระบุความสมั พันธร์ ะหว่าง 15 205
10
ความสำคัญ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง วัฒนธรรมไทยกบั ภาษาไทย ตอ้ งอ่านและ
20
ระหว่างภาษา วฒั นธรรมไทยกับ วเิ คราะหใ์ ห้ ผ้เู รยี นควรมที ักษะในการอา่ น
20
กับคติ ภาษาไทยได้ และทำความเข้าใจเนอื้ หาและข้อมลู ซงึ่ จะ 30
50
ชาวบ้าน เกดิ ไดโ้ ดยการฝกึ อา่ นวเิ คราะห์ ตีความ และ

วจิ ารณ์เปน็ ประจำ เม่ือเกดิ ทักษะแลว้ จะชว่ ย

ให้การอ่านสารมคี วามเข้าใจถูกตอ้ ง บรรลุผล

ตามวัตถปุ ระสงค์

5. การสืบ ข้อ 6. อนุรักษแ์ ละ ภาษาไทยและศิลปวฒั นธรรมไทยมีบทบาทใน 10
ทอด สืบทอดวัฒนธรรม การสร้างความบันเทงิ ใจและจรรโลงใจแก่
วฒั นธรรม ไทยโดยวธิ ีท่ี ผ้เู รยี น จงึ เป็นสง่ิ กลอ่ มเกลาจิตใจมนุษย์ให้
ไทย เหมาะสม เกดิ ความดีงาม คุณค่าของภาษาไทยและ
วฒั นธรรมไทยจึงมหี ลายทงั้ ทางด้านเน้อื หา
ด้านวรรณศลิ ป์ และคุณคา่ ทางสงั คม ซึง่ จะทำ
ให้ผู้เรยี นไดข้ ้อคิดและนำประโยชนไ์ ดจ้ าก
ภาษาและวัฒนธรรมไปประยุกตใ์ ช้ในชีวิต

สอบกลางภาคเรียน

สอบปลายภาคเรียน

รวม

206

โครงสรา้ งรายวิชาเพิม่ เติม

รหสั วชิ า ท 32211 ชื่อวิชา หลักภาษาไทย 2 กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย

ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 60 ชว่ั โมง จำนวน 1 หน่วยกติ

อัตราส่วนคะแนนระหวา่ งเรยี น : ต่อปลายภาค = 70/30

ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั จำนวน นำ้ หนัก

ชวั่ โมง คะแนน

1. ระบบคำ ขอ้ 1 อธิบายระบบคำใน ธรรมชาติของภาษาประการหนง่ึ 4 5
ศึกษา 9 10
ภาษาไทยได้ คอื ประกอบเปน็ หน่วยทีใ่ หญ่ขึ้น เร่ิม
2. พจิ ารณา
ชนดิ คำ จากหนว่ ยเสยี งตา่ ง ๆ ประกอบเป็น

หนว่ ยคำ หน่วยคำประกอบเป็นคำ

การพจิ ารณาชนิดคำตา่ ง ๆใน

ภาษาไทยตามแนวทางบรรทัดฐาน

ภาษาไทยใหเ้ ข้าใจจะช่วยให้มีความรู้

เกย่ี วกบั ภาษาใช้ภาษาในการสอ่ื สาร

ไดถ้ ูกต้อง รวมทงั้ สามารถ วิเคราะห์

และแก้ไข้อบกพร่องของการใชภ้ าษา

ในชวี ิตประจำวนั ได้ รกั ภาษาไทยอัน

เปน็ มรดกทางวัฒนธรรมของชาตแิ ละ

ภูมใิ จในความเปน็ ไทย

ข้อ 3 วิเคราะหช์ นิดของ การจำแนกชนิดของคำใน

คำ และเลอื กใชค้ ำ ภาษาไทยมกี ารศึกษากนั มานาน
กลมุ่ คำมาแต่งประโยคได้ พอสมควร หนงั สอื “บรรทัดฐาน
เหมาะสม
ภาษาไทย เล่ม 3 ชนิด สำนักวชิ าการ

และมาตรฐานการศึกษา สถาบัน

ภาษาไทย กระทรวงศกึ ษาธิการเป็นผู้

จดั ดำเนนิ การ ไดจ้ ำแนกคำ

ออกเป็น 12 ชนิด ได้แก่ คำนาม คำ

สรรพนาม คำกรยิ า คำช่วยกริ ิยา คำ

วเิ ศษณ์ คำทเ่ี กีย่ วกบั จำนวน คำบอก

กำหนด คำบุพบท คำเช่ือม คำลงท้าย

คำอทุ าน และคำปฎิเสธ เป็นการ

จำแนกโดยใช้เกณฑห์ นา้ ที่ เกณฑ์

ตำแหน่งทคี่ ำปรากฏและสมั พันธ์กบั

คำอืน่ และเกณฑ์ความหมาย

207

ชอื่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสำคัญ จำนวน นำ้ หนัก
ชว่ั โมง คะแนน
3. เรยี นย้ำ ข้อ 2 อธิบายลักษณะ การศึกษาชนิดและ
ประโยค กล่มุ คำและประโยคใน หนา้ ท่ีของคำใหเ้ ข้าใจ จะช่วยใหเ้ รา 5 5
ภาษาไทยได้ ส่อื สารได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ และถือ
4. สงั โยค เป็นการสบื สานและอนุรักษ์ภาษาไทย 10
ระดับภาษา ข้อ 4 ใชค้ ำราชาศพั ท์ อกี ทางหน่ึง
และระดบั ภาษาได้อยา่ ง
เหมาะสม ภาษาไทยประกอบข้ึนดว้ ย
หน่อยท่ีมีขนาดตา่ งๆกัน โดยเรมิ่ จาก
ขนาดเล็กสดุ โดยเร่ิมจากขนาดเลก็
ทสี่ ุดไปหาขนาดใหญท่ ีส่ ดุ คอื เสียง
พยางค์ คำ วลี ประโยค และสมั พนั
ธสาร หน่วยทางภาษาซ่ึงทำหนา้ ท่ใี น
ระดับทีใ่ หญ่กวา่ ไม่จำเปน็ ต้อง
ประกอบด้วยหนอ่ ยที่เล็กกวา่ เสมอไป
บางคร้งั หนอ่ ยเล็กเพียงหน่อยเดยี ว
อาจทำหน้าท่ใี นระดับใหญก่ ็ได้ ระบบ
กลุ่มคำและประโยค เป็นคำที่เรียง
ต่อเนอื่ งกนั เป็นกลมุ่ และกลุ่มทใี่ หญ่
สดุ คือสมั พนั ธสาร ในสมั พันธสารมี
กลมุ่ ท่ีเล็กลงมาคือ ประโยค ใน
ประโยคจะมีกลุ่มของวลซี ่ึงประกอบ
มาจากคำ

ระดบั ภาษา คือ รปู แบบการใช้ภาษาที่ 4
มีลกั ษณะความเป็นทางการมากน้อย
ตา่ งกนั ใชแ้ สดงระดบั การส่ือสารตาม
ดลุ พนิ ิจของผู้สง่ สารวา่ ในบริบทการ
สื่อสารนั้นสมควรใช้ภาษาที่มีความ
เปน็ ทางการมากน้อยเพียงใด บรบิ ท
การสอ่ื สารทม่ี ผี ลต่อการเลือกใช้ระดับ
ภาษาตา่ งๆ ได้แก่ ฐานะ/
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งผูร้ บั และผู้สง่ สาร
กาลเทศะ เรื่องท่ีพูด และจุดประสงค์

คำราชาศพั ท์ คอื คำสุภาพทีใ่ ช้
ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ
คือ 1.พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว

208

ชือ่ หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั จำนวน นำ้ หนัก
ชั่วโมง คะแนน
5. รคู้ ่าคำ ขอ้ 5 อธิบายฉนั ทลกั ษณ์ 2.พระบรมวงศานวุ งศ์
ประพนั ธ์ ของคำประพันธช์ นิด 3.พระภิกษุสงฆ์ สามเณร 4.ขุนนาง 5 10
ตา่ งๆ และแตง่ คำ ขา้ ราชการ และ 5.สุภาพชน คำราชา
ประพนั ธ์ได้ ศัพทเ์ ปน็ การกำหนดคำและภาษาที่
สะท้อนให้เหน็ ถงึ วัฒนธรรมอันดีงาม
ของไทย แม้คำราชาศัพทจ์ ะมีโอกาส
ใช้ในชวี ิตน้อย แตเ่ ปน็ ส่งิ ท่ีแสดงถึง
ความละเอยี ดอ่อนของภาษาไทยทม่ี ี
คำหลายรปู หลายเสียงในความหมาย
เดียวกนั และเป็น ลักษณะพิเศษของ
ภาษาไทย โดยเฉพาะ การศึกษา
ระดับภาษาและ คำราชาศัพท์ให้
เขา้ ใจ จะชว่ ยใหเ้ ราส่อื สารได้อยา่ งมี
ประสทิ ธิภาพ และถือเปน็ การสืบสาน
และอนุรักษภ์ าษาไทยอีกทางหนึ่ง

คำประพันธ์ หมายถึง ถ้อยคำท่ี
เรียบเรียงให้เปน็ ระเบียบตามบญั ญัติ
แห่งฉันทลกั ษณ์ โดยมีกำหนด
ขอ้ บงั คบั ตา่ งๆ เพื่อใหเ้ กิดความ
ครกึ คร้ืนและมีความไพเราะแตกต่าง
ไปจากถ้อยคำธรรมดา ลกั ษณะบังคบั
ของคําประพันธ์ มี คณะ คือ
ข้อกำหนดเกย่ี วกบั รูปแบบของคำ
ประพันธ์แต่ละชนดิ วา่ จะต้อง
ประกอบดว้ ยสว่ นย่อยๆ อะไรบา้ ง
สมั ผสั คือเสยี งคล้องจอง แบ่ง
ออกเป็นสัมผัสสระ สมั ผสั อักษร
สมั ผสั นอก สมั ผัสใน คำประพันธ์
ประเภทโคล จะเพิ่มคำบังคบั เอก โท
และคำประพันธ์ประเภทฉันท์จะเพ่ิม
บงั คับ คำครุ ลหุ การศึกษาและแต่ง
คำประพันธเ์ ป็นการฝกึ วินัย เพราะ
ต้อง หม่นั ฝกึ หมั่นอ่านอยเู่ สมอ เป็น
การใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ละ
เป็นการอนรุ ักษว์ ัฒนธรรมไทย
ทางด้านภาษาให้คงอยู่ตลอดไป

209

ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสำคัญ จำนวน นำ้ หนัก
ชว่ั โมง คะแนน
6. รูท้ ัน ขอ้ 6 ประมวลความรู้ ภาษาไทยเป็นเครื่องมือใช้
ภาษาไทย 9 15

ตอบคำถาม อธิบาย สือ่ สารเพ่ือใหเ้ กดิ ความเข้าใจตรงกัน 20
30
ความรูจ้ ากแบบทดสอบ และตรงตามจุดหมาย คำในภาษาไทย 50

ทางการศกึ ษาได้ ย่อมประกอบด้วยเสยี ง รปู พยัญชนะ

สระ วรรณยุกต์ และความหมาย สว่ น

ประโยคเปน็ การเรยี งคำตาม

หลกั เกณฑข์ องภาษา และประโยค

หลายประโยคเรียงกันเปน็ ข้อความ

นอกจากน้นั คำในภาษาไทยยังมีเสยี ง

หนัก เบา มรี ะดบั ของภาษา ซ่ึงใชใ้ ห้

เหมาะแก่กาลเทศะและบุคคล จงึ ตอ้ ง

ใชใ้ หถ้ กู ต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษา

เพือ่ สื่อสารใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพ และ

ใช้อยา่ งคล่องแคล่ว มีวิจารณญาณ

และมคี ุณธรรม การประมวลความรู้

การตอบคำถาม และการอธิบาย

ความสัมพนั ธ์ของคำถามและคำตอบ

ของปัญหาในภาษาไทยโดยเฉพาะใน

แบบทดสอบระดับตา่ ง ๆ จะเพ่มิ พูน

ความรู้ความเข้าใจและความสามารถ

ทางการใช้ภาษา

สอบกลางภาคเรียน

สอบปลายภาคเรียน

รวม

210

โครงสร้างรายวชิ าเพิม่ เติม

รหัสวิชา ท 32212 ชือ่ วชิ า การอา่ นเชงิ วเิ คราะห์ กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 40 ช่วั โมง จำนวน 1.0 หน่วยกติ

อัตราสว่ นคะแนนระหว่างเรยี น : ต่อปลายภาค = 70/30

ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสำคัญ จำนวน นำ้ หนัก
ชั่วโมง คะแนน

1. ความรู้ ขอ้ 1 อธิบาย ความร้เู บ้อื งต้นเกยี่ วกับการอ่านมี 5 4
เบอ้ื งตน้
เกย่ี วกบั การ ความรูเ้ บอ้ื งต้น ความจำเปน็ สำหรบั การอา่ นเชงิ วเิ คราะห์
อ่าน
เกย่ี วกับการอา่ นเชงิ การศึกษาความหมายและความสำคญั ของ

วิเคราะห์ได้ การอา่ น จดุ ม่งุ หมายของการอา่ นวสั ดุ

การอ่านและประเภทของการอ่านให้เข้าใจ

ถอ่ งแทจ้ ะช่วยให้การอ่านบรรลเุ ป้าหมาย

2. ระดับการ ขอ้ 2 วิเคราะห์ ระดบั ของการอ่าน เปน็ ส่ิงทีต่ ้อง 5 12

อา่ น และตคี วามในระดับ ศกึ ษา การเขา้ ใจระดบั ของการอา่ น ท้งั การ

ตา่ ง ๆ ของ ขา่ ว อา่ นระดับจับใจความ การอา่ นระดับ

บทความ โฆษณา วิเคราะห์-วนิ ิจสารและการอา่ นระดับ

ได้ ประเมินค่าจะช่วยให้อา่ นสารประเภท

ต่าง ๆ ไดต้ รงตามวัตถุประสงค์ของผสู้ ง่ สาร

3. วิเคราะห์ ข้อ 3 วเิ คราะหแ์ ละ การวเิ คราะหว์ ิจารณ์สารบทอา่ น 10 12

วิจารณ์งาน วิจารณร์ ะเบียบ ท่ีเป็นงานทางระเบยี บ กฎหมาย หรอื งาน

ภาษา กฎหมาย และงาน ทางวชิ าการ ตอ้ งอ่านและวิเคราะหใ์ ห้

สละสลวย เขยี นทางวชิ าการได้ ละเอยี ด สารจะสละสลวยมคี วามเป็นเหตุ

เปน็ ผล ภาษาชดั เจน จึงตอ้ งมีทักษะในการ

อ่านสารประเภทน้ีซึ่งจะเกดิ ได้โดยการฝกึ

อ่านวิเคราะห์ ตีความ และวิจารณเ์ ปน็

ประจำ เม่อื เกดิ ทักษะแล้วจะชว่ ยให้การอา่ น

สารมีความเขา้ ใจถูกตอ้ ง บรรลุผลตาม

วัตถุประสงค์

211

ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสำคัญ จำนวน นำ้ หนัก
ชั่วโมง คะแนน

4. วเิ คราะห์ ข้อ 4 วิเคราะห์ การวเิ คราะหว์ ิจารณ์สารบทอา่ นที่เป็น 10 12
10
วิจารณง์ าน และวจิ ารณ์ งานทางสารคดีซง่ึ มุ่งเนน้ ใหค้ วามรู้ และบนั เทงิ คดี 10

บนั เทงิ เรงิ รู้ วรรณกรรม ซึ่งมุ่นเนินอารมณ์ ความบนั เทิงใจ และงานปกณิ กะ 20
30
ประเภทสารคดี ตอ้ งอา่ นและวเิ คราะหใ์ ห้ ผู้อา่ นควรมที กั ษะในการ 50

บันเทงิ คดี อ่านสารประเภทน้ีซึง่ จะเกดิ ไดโ้ ดยการฝกึ อา่ น

ปกิณกะได้ วเิ คราะห์ ตคี วาม และวจิ ารณ์เปน็ ประจำ เมื่อเกดิ

ทกั ษะแล้วจะช่วยให้การอา่ นสารมีความเข้าใจ

ถกู ต้อง บรรลผุ ลตามวัตถปุ ระสงค์

5. ประเมนิ ค่า ข้อ 5. วเิ คราะห์ วรรณคดมี บี ทบาทในการสรา้ งความ

วรรณคดเี ฉพาะ คุณค่า ประเมนิ บนั เทิงใจและจรรโลงใจแก่ผู้อ่าน จึงเปน็ สงิ่ กลอ่ ม

เรื่อง คา่ ประโยชนข์ อง เกลาจติ ใจมนษุ ย์ให้รูจ้ ักความจรงิ ความดีงาม

วรรณคดีเฉพาะ คณุ คา่ วรรณคดีจึงมีหลายดา้ น การวเิ คราะห์และ

เร่ืองได้ ประเมนิ ค่าวรรณคดีอันมีคุณค่าทง้ั ทางดา้ นเน้ือหา

ดา้ นวรรณศลิ ป์ และคุณคา่ ทางสงั คม ได้ จะทำให้

ผ้อู ่านได้ข้อคดิ และนำประโยชน์ท่ีสงั เคราะห์ไดจ้ าก

วรรณคดีไปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ

สอบกลางภาคเรยี น

สอบปลายภาคเรยี น

รวม

212

โครงสรา้ งรายวชิ าเพิ่มเติม

รหัสวิชา ท33219 ช่ือวิชา ภาษากับการแสดง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย

ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 40 ช่ัวโมง จำนวน 1 หนว่ ยกติ

อัตราส่วนคะแนนระหว่างเรยี น : ต่อปลายภาค 70 : 30

ช่ือหน่วย ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวัง สาระสำคัญ เวลา คะแนน
การเรยี นรู้ ชว่ั โมง

รอ้ ยเรียงเรอ่ื งเลา่ บอกความหมายและ - ความหมาย 4

จุดหมายใน ของการเลา่ เรอื่ ง

การเลา่ เรอ่ื งไดถ้ ูกต้อง - จดุ หมายและความสำคญั ใน

การเล่าเร่อื ง
- ประเภทของการเลา่ เร่ืองในชีวิต
ประจำวนั

บรรยายพรรณนา อธบิ ายความแตกตา่ ง ความแตกตา่ งของการเขยี นใน 6 10
เหตกุ ารณใ์ น ของการบรรยายและ รูปแบบตา่ งๆ เชน่ การเขยี น
กิจกรรมการ พรรณนาเหตุการณ์ บรรยายและพรรณนาเหตุการณ์การ

แสดง ตา่ งๆได้ วิเคราะห์และประเมินคณุ คา่ การ

เขยี น

พิธีกรและโฆษก อธิบายความหมายของ ความหมายและคุณสมบัตขิ องพธิ กี ร 2

พธิ กี รและโฆษก และโฆษกตลอดจนวิธกี ารพูด

บทบาทสมมุติ อภปิ รายถงึ ความหมาย คณุ ลกั ษณะทีด่ ีของการแสดงบทบาท 3

ข้อควรปฏิบัตติ ลอดจน สมมุติ

ข้ันตอนการแสดง
บทบาทสมมุติได้

การแสดงละคร เลือกใชโ้ วหารในการใช้ โวหารที่นำมาเขียนสามารถเลอื กใช้ 6 10

ภาษากบั การแสดง โวหารต่อไปน้ีคือ
ละครได้อย่างเหมาะสม - บรรยายโวหาร

- อธบิ ายโวหาร
- พรรณนาโวหาร

- อภปิ รายโวหาร

โครงสรา้ ง จดั วางโครงเรอื่ งในการ - โครงสร้างของการเขยี นแต่ละ 6
การเขียนบทเพ่ือ เขยี นบทเพ่อื การแสดง ประเภทประกอบดว้ ยส่วนต่างๆคอื
การแสดง ไดอ้ ยา่ งมหี ลกั เกณฑ์ บทนำหรอื ความนำ
บทเนื้อเร่ือง
บทสรุป

สรา้ งสรรค์สาระ เขียนสร้างสรรคก์ ลอน - กลวิธีในการเขยี นประเภทต่าง ๆ 13 213
การเขียนกลอน สดได้ถูกต้องตาม - การเขียนบรรยาย
สด รูปแบบของงานเขยี น - การเขยี นพรรณนา 30

รูปแบบการแต่งกลอน 20
ประเภทต่าง ๆ 30
- กลอนชนดิ ตา่ ง ๆ 100
- การเลน่

สอบกลางภาค
สอบปลายภาค

รวม

214

อภธิ านศพั ท์

กระบวนการเขยี น

กระบวนการเขียนเป็นการคิดเรื่องที่จะเขียนและรวบรวมความรู้ในการเขียน กระบวนการ
เขยี น มี 5 ขั้น ดงั นี้

1. การเตรียมการเขียน เป็นขั้นเตรียมพร้อมที่จะเขียนโดยเลือกหัวข้อเรื่องที่จะ
เขียน บนพื้นฐานของประสบการณ์ กำหนดรูปแบบการเขียน รวบรวมความคิดในการ
เขียน อาจใช้วิธีการอ่านหนังสือ สนทนา จัดหมวดหมู่ความคิด โดยเขียนเป็นแผนภาพความคิด
จดบันทึกความคดิ ทจ่ี ะเขยี นเปน็ รูปหวั ขอ้ เรอื่ งใหญ่ หวั ข้อยอ่ ย และรายละเอยี ดครา่ วๆ

2. การยกร่างขอ้ เขยี น เม่อื เตรียมหวั ขอ้ เร่อื งและความคดิ รปู แบบการเขียนแล้ว ใหน้ ำความคิด
มาเขียนตามรูปแบบที่กำหนดเป็นการยกร่างข้อเขียน โดยคำนึงถึงว่าจะเขียนให้ใครอ่าน จะใช้ภาษา
อย่างไรให้เหมาะสมกับเรื่องและเหมาะกับผู้อื่น จะเริ่มต้นเขียนอย่างไร มีหัวข้อเรื่องอย่า งไร ลำดับ
ความคิดอยา่ งไร เชอื่ มโยงความคิดอย่างไร

3. การปรับปรุงข้อเขียน เมื่อเขียนยกร่างแล้วอ่านทบทวนเรื่องที่เขียน ปรับปรุงเรื่องที่เขียน
เพิ่มเติมความคิดให้สมบูรณ์ แก้ไขภาษา สำนวนโวหาร นำไปให้เพื่อนหรือผู้อื่นอ่าน นำข้อเสนอแนะมา
ปรับปรงุ อีกครง้ั

4. การบรรณาธิการกิจ นำข้อเขียนที่ปรับปรุงแล้วมาตรวจทานคำผิด แก้ไขให้ถูกต้อง แล้ว
อา่ นตรวจทานแกไ้ ขข้อเขยี นอกี คร้ัง แกไ้ ขข้อผิดพลาดท้ังภาษา ความคดิ และการเวน้ วรรคตอน

5. การเขียนใหส้ มบูรณ์ นำเรอ่ื งท่ีแก้ไขปรบั ปรุงแลว้ มาเขยี นเรื่องให้
สมบูรณ์ จัดพิมพ์ วาดรปู ประกอบ เขยี นให้สมบรู ณด์ ้วยลายมอื ทสี่ วยงามเปน็ ระเบยี บ เมอื่ พิมพ์หรือ
เขียนแลว้ ตรวจทานอีกคร้งั ให้สมบรู ณก์ ่อนจดั ทำรปู เล่ม

กระบวนการคิด

การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เป็นกระบวนการคิด คนที่จะคิดได้ดีต้องเป็นผู้ฟัง ผู้พูด
ผู้อ่าน และผู้เขียนที่ดี บุคคลที่จะคิดได้ดีจะต้องมีความรู้และประสบการณ์พื้นฐานในการคิด บุคคลจะมี
ความสามารถในการรวบรวมข้อมูล ขอ้ เทจ็ จรงิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่า จะตอ้ งมีความรู้
และประสบการณ์พื้นฐานที่นำมาช่วยในการคิดทั้งสิ้น การสอนให้คิดควรให้ผู้เรียนรู้จักคัดเลือก
ขอ้ มลู ถ่ายทอด รวบรวม และจำขอ้ มูลต่างๆ สมองของมนุษย์จะเป็นผู้บรโิ ภคข้อมูลขา่ วสาร และสามารถ
แปลความข้อมูลข่าวสาร และสามารถนำมาใช้อ้างอิง การเป็นผู้ฟัง ผู้พูด ผู้อ่าน และผู้เขียนที่ดี จะต้อง
สอนให้เปน็ ผบู้ ริโภคข้อมลู ข่าวสารทดี่ ีและเป็นนักคิดทีด่ ีด้วย กระบวนการสอนภาษาจึงต้องสอนให้ผู้เรียน
เป็นผู้รับรู้ข้อมูลข่าวสารและมีทักษะการคิด นำข้อมูลข่าวสารที่ได้จากการฟังและการอ่านนำมาสู่การฝกึ
ทักษะการคิด นำการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน มาสอนในรูปแบบ บูรณาการทักษะ ตัวอย่าง
เช่น การเขียนเป็นกระบวนการคิดในการวิเคราะห์ การแยกแยะ การสังเคราะห์ การประเมินค่า การ
สร้างสรรค์ ผู้เขียนจะนำความรู้และประสบการณ์สู่การคิดและแสดงออกตามความคิดของตนเสมอ ต้อง
เป็นผู้อา่ นและผ้ฟู ังเพอื่ รับรขู้ า่ วสารทจี่ ะนำมาวิเคราะห์และสามารถแสดงทรรศนะได้

215

กระบวนการอา่ น

การอ่านเปน็ กระบวนการซ่ึงผู้อา่ นสรา้ งความหมายหรอื พฒั นา การตคี วามระหว่างการอ่านผู้อา่ น
จะต้องรู้หวั ข้อเร่ือง รจู้ ดุ ประสงคข์ องการอา่ น มีความรทู้ างภาษาที่ใกล้เคยี งกับภาษาทีใ่ ช้ในหนังสือท่ี
อา่ น โดยใช้ประสบการณ์เดิมเป็นประสบการณท์ ำความเขา้ ใจกับเรื่องทีอ่ ่าน กระบวนการอ่านมดี งั น้ี

1. การเตรียมการอ่าน ผู้อ่านจะต้องอ่านชื่อเรื่อง หัวข้อย่อยจากสารบัญเรื่อง อ่านคำ
นำ ให้ทราบจุดมุ่งหมายของหนังสือ ตั้งจุดประสงค์ของการอ่านจะอ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรือ
อ่านเพื่อหาความรู้ วางแผนการอ่านโดยอ่านหนังสือตอนใดตอนหนึ่งว่าความยากง่ายอย่างไร หนังสือมี
ความยากมากน้อยเพียงใด รปู แบบของหนังสือเปน็ อย่างไร เหมาะกับผอู้ ่านประเภทใด เดาความว่าเป็น
เร่อื งเก่ียวกบั อะไร เตรียมสมุด ดินสอ สำหรบั จดบันทึกข้อความหรอื เนอื้ เรอ่ื งทสี่ ำคัญขณะอา่ น

2. การอ่าน ผู้อ่านจะอ่านหนังสือให้ตลอดเล่มหรือเฉพาะตอนที่ต้องการอ่าน ขณะอ่านผู้อ่าน
จะใช้ความรู้จากการอ่านคำ ความหมายของคำมาใช้ในการอ่าน รวมทั้งการรู้จักแบ่งวรรคตอนด้วย
การอ่านเร็วจะมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้ดีกว่าผู้อ่านช้า ซึ่งจะสะกดคำอ่านหรืออ่านย้อนไปย้อน
มา ผู้อ่านจะใช้บรบิ ทหรือคำแวดลอ้ มช่วยในการตีความหมายของคำเพ่ือทำความเขา้ ใจเร่ืองท่ีอ่าน

3. การแสดงความคิดเห็น ผู้อ่านจะจดบันทึกข้อความที่มีความสำคัญ หรือเขียน
แสดง ความคิดเห็น ตีความข้อความที่อ่าน อ่านซ้ำในตอนที่ไม่เข้าใจเพื่อทำความเข้าใจให้
ถูกต้อง ขยายความคิดจากการอ่าน จับคู่กับเพื่อนสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตั้งข้อสังเกตจาก
เรื่องที่อ่าน ถ้าเป็นการอ่านบทกลอนจะต้องอ่านทำนองเสนาะดังๆ เพื่อฟังเสียงการอ่านและเกิด
จินตนาการ

4. การอ่านสำรวจ ผู้อ่านจะอ่านซ้ำโดยเลือกอ่านตอนใดตอนหนึ่ง ตรวจสอบคำและ
ภาษา ที่ใช้สำรวจโครงเรื่องของหนังสือเปรียบเทียบหนังสือที่อ่านกับหนังสือที่เคยอ่าน สำรวจและ
เชื่อมโยงเหตกุ ารณ์ในเรือ่ งและการลำดับเร่อื ง และสำรวจคำสำคญั ท่ใี ช้ในหนงั สือ

5. การขยายความคดิ ผู้อ่านจะสะท้อนความเข้าใจในการอ่าน บันทึกข้อคิดเห็น คุณค่าของ
เรือ่ ง เช่ือมโยงเรื่องราวในเร่ืองกบั ชีวิตจริง ความร้สู กึ จากการอา่ น จัดทำโครงงานหลักการอ่าน เช่น
วาดภาพ เขียนบทละคร เขียนบันทึกรายงานการอ่าน อ่านเรื่องอื่นๆ ที่ผู้เขียนคนเดียวกันแต่ง อ่าน
เร่ืองเพ่ิมเตมิ เร่อื งทีเ่ กี่ยวโยงกับเร่อื งทอ่ี า่ น เพือ่ ใหไ้ ดค้ วามรู้ท่ีชดั เจนและกว้างขวางขึ้น

การเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์

การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นการเขียนโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์ และจินตนาการ
ในการเขียน เช่น การเขียนเรียงความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย และบทร้อยกรอง การเขียนเชิง
สร้างสรรค์ผู้เขียนจะต้องมีความคิดดี มีจินตนาการดี มีคลังคำอย่างหลากหลาย สามารถนำคำ
มาใช้ในการเขยี น ต้องใชเ้ ทคนคิ การเขยี น และใช้ถ้อยคำอยา่ งสละสลวย

การดู

การดูเป็นการรับสารจากสื่อภาพและเสยี ง และแสดงทรรศนะได้จากการรบั รู้สาร ตีความ แปล
ความ วิเคราะห์ และประเมนิ คุณค่าสารจากส่ือ เช่น การดโู ทรทัศน์ การดคู อมพวิ เตอร์ การดูละคร การดู
ภาพยนตร์ การดหู นงั สอื การ์ตูน (แมไ้ มม่ เี สยี งแต่มีถ้อยคำอา่ นแทนเสียงพูด) ผูด้ จู ะต้องรับรู้สาร จากการดู
และนำมาวเิ คราะห์ ตคี วาม และประเมนิ คุณค่าของสารท่ีเป็นเนื้อเร่ืองโดยใชห้ ลักการพิจารณาวรรณคดี
หรือการวิเคราะหว์ รรณคดเี บื้องตน้ เชน่ แนวคดิ ของเรอ่ื ง ฉากทีป่ ระกอบเรื่องสมเหตุสมผล กริ ิยาท่าทาง

216

และการแสดงออกของตัวละครมีความสมจริงกับบทบาท โครงเรื่อง เพลง แสง สี เสียง ที่ใช้
ประกอบการแสดงให้อารมณ์แก่ผู้ดูสมจริงและสอดคล้องกับยุคสมัยของเหตุการณ์ที่จำลองสู่บท
ละคร คณุ คา่ ทางจริยธรรม คณุ ธรรม และคุณค่าทางสังคมที่มอี ิทธิพลต่อผู้ดหู รือผชู้ ม ถา้ เป็นการดูข่าว
และเหตุการณ์ หรือการอภิปราย การใช้ความรู้หรือเรื่องที่เป็นสารคดี การโฆษณาทางสื่อจะต้อง
พิจารณาเนื้อหาสาระว่าสมควรเชื่อถือได้หรือไม่ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ความคิดสำคัญและมี
อิทธิพลต่อการเรียนรู้มาก และการดูละครเวที ละครโทรทัศน์ ดูข่าวทางโทรทัศน์จะเป็นประโยชน์ได้รับ
ความสนุกสนาน ตอ้ งดแู ละวิเคราะห์ ประเมนิ ค่า สามารถแสดงทรรศนะของตนได้อย่างมีเหตุผล

การตคี วาม

การตีความเป็นการใช้ความรู้และประสบการณ์ของผู้อา่ นและการใชบ้ รบิ ท ไดแ้ ก่ คำท่ีแวดล้อม
ขอ้ ความ ทำความเข้าใจข้อความหรือกำหนดความหมายของคำใหถ้ กู ต้อง

พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ใหค้ วามหมายว่า การตีความหมาย ชห้ี รือกำหนด
ความหมาย ใหค้ วามหมายหรืออธิบาย ใช้หรอื ปรบั ให้เขา้ ใจเจตนา และความมุง่ หมายเพ่ือความถูกต้อง

การเปล่ยี นแปลงของภาษา

ภาษายอ่ มมีการเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา คำคำหน่งึ ในสมยั หน่ึงเขียนอย่างหน่ึง อีกสมัยหนึ่ง
เขียนอีกอย่างหนึ่ง คำว่า ประเทศ แต่เดิมเขียน ประเทษ คำว่า ปักษ์ใต้ แต่เดิมเขียน
ปักใต้ ในปัจจุบันเขียน ปักษ์ใต้ คำว่า ลุ่มลึก แต่ก่อนเขียน ลุ่มฦก ภาษาจึงมีการเปลี่ยนแปลง ท้ัง
ความหมายและการเขียน บางครั้งคำบางคำ เช่น คำว่า หล่อน เป็นคำสรรพนามแสดงถึงคำพูด สรรพ
นามบุรษุ ที่ 3 ท่เี ปน็ คำสุภาพ แต่เดยี๋ วนีค้ ำว่า หล่อน มคี วามหมายในเชงิ ดูแคลน เป็นตน้

การสรา้ งสรรค์

การสร้างสรรค์ คือ การรู้จักเลือกความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่เดิมมาเป็นพื้นฐานในการสร้าง
ความรู้ ความคิดใหม่ หรือสิ่งแปลกใหม่ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม บุคคลที่จะมี
ความสามารถในการสรา้ งสรรคจ์ ะต้องเป็นบคุ คลที่มีความคิดอิสระอยู่เสมอ มีความเชื่อมั่นในตนเอง มอง
โลกในแง่ดี คิดไตร่ตรอง ไม่ตัดสินใจสิ่งใดง่ายๆ การสร้างสรรค์ของมนุษย์จะเกี่ยวเนื่องกันกับ
ความคิด การพูด การเขียน และการกระทำเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งจะต้องมีการคิดเชิงสร้างสรรค์เป็น
พื้นฐานความคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นความคิดที่พัฒนามาจากความรู้และประสบการณ์เดิม ซึ่งเป็น
ปัจจัยพื้นฐานของการพูด การเขียน และการกระทำเชิงสร้างสรรค์ การพูดและการเขียนเชิงสร้างสรรค์
เปน็ การแสดงออกทางภาษาที่ใชภ้ าษาขดั เกลาให้ไพเราะ งดงาม เหมาะสม ถูกต้องตามเน้ือหาที่พูดและ
เขียนการกระทำเชิงสร้างสรรค์เป็นการกระทำที่ไม่ซ้ำแบบเดิมและคิดค้นใหม่แปลกไปจากเดิม และเป็น
ประโยชนท์ ่สี งู ข้นึ

217

ข้อมูลสารสนเทศ

ข้อมูลสารสนเทศ หมายถึง เรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สามารถ ส่ือ
ความหมายด้วยการพูดบอกเล่า บันทึกเป็นเอกสาร รายงาน หนังสือ แผน
ที่ แผนภาพ ภาพถ่าย บันทึกด้วยเสียงและภาพ บันทึกด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเก็บเรื่องราว
ตา่ งๆ บนั ทกึ ไว้เป็นหลักฐานด้วยวธิ ีต่างๆ

ความหมายของคำ

คำที่ใช้ในการตดิ ตอ่ สื่อสารมคี วามหมายแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ลักษณะ คือ
1. ความหมายโดยตรง เป็นความหมายที่ใช้พูดจากันตรงตามความหมาย คำหนึ่งๆ นั้น อาจมี
ความหมายได้หลายความหมาย เช่น คำว่า กา อาจมีความหมายถึง ภาชนะใส่น้ำ หรืออาจ
หมายถงึ นกชนิดหน่ึง ตัวสดี ำ รอ้ ง กา กา เป็นความหมายโดยตรง
2. ความหมายแฝง คำอาจมีความหมายแฝงเพิ่มจากความหมายโดยตรง มักเป็นความหมาย
เกี่ยวกับความรู้สึก เช่น คำว่า ขี้เหนียว กับ ประหยัด หมายถึง ไม่ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เป็น
ความหมายตรง แตค่ วามรสู้ กึ ต่างกนั ประหยดั เปน็ ส่งิ ดี แต่ข้ีเหนียวเปน็ สิ่งไม่ดี
3. ความหมายในบริบท คำบางคำมีความหมายตรง เมื่อร่วมกับคำอื่นจะมีความหมายเพิ่มเติม
กว้างขึ้น หรือแคบลงได้ เช่น คำว่า ดี เด็กดี หมายถึง ว่านอนสอนง่าย เสียงดี หมายถึง
ไพเราะ ดินสอดี หมายถึง เขียนได้ดี สุขภาพดี หมายถึง ไม่มีโรค ความหมายบริบทเป็นความหมาย
เชน่ เดียวกบั ความหมายแฝง

คณุ ค่าของงานประพนั ธ์

เมื่อผู้อ่านอ่านวรรณคดีหรือวรรณกรรมแล้วจะต้องประเมินงานประพันธ์ ให้เห็นคุณค่าของงาน
ประพันธ์ ทำให้ผู้อ่านอ่านอย่างสนุก และได้รับประโยชน์จาการอ่านงานประพันธ์ คุณค่าของงาน
ประพันธ์แบง่ ได้เปน็ 2 ประการ คือ

1. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ถ้าอ่านบทร้อยกรองก็จะพิจารณากลวิธีการแต่ง การเลือกเฟ้น
ถ้อยคำมาใช้ได้ไพเราะ มีความคดิ สร้างสรรค์ และใหค้ วามสะเทอื นอารมณ์ ถา้ เปน็ บทร้อยแก้วประเภท
สารคดี รปู แบบการเขยี นจะเหมาะสมกับเน้ือเรื่อง วิธีการนำเสนอน่าสนใจ เนื้อหามคี วามถูกต้อง ใช้
ภาษาสละสลวยชัดเจน การนำเสนอมีความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเป็นร้อยแก้วประเภทบันเทิงคดี
องค์ประกอบของเรื่องไม่ว่าเรื่องสั้น นวนิยาย นิทาน จะมีแก่นเรื่อง โครงเรื่อง ตัวละครมี
ความสัมพันธ์กัน กลวิธีการแต่งแปลกใหม่ น่าสนใจ ปมขัดแย้งในการแต่งสร้างความสะเทือน
อารมณ์ การใช้ถ้อยคำสร้างภาพได้ชัดเจน คำพูดในเรื่องเหมาะสมกับบุคลิกของ ตัวละครมีความคิด
สรา้ งสรรค์เก่ยี วกับชีวติ และสงั คม

2. คณุ คา่ ดา้ นสังคม เป็นคุณค่าทางด้านวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะ ชีวิตความ
เปน็ อยขู่ องมนุษย์ และคุณค่าทางจริยธรรม คณุ คา่ ดา้ นสงั คม เปน็ คณุ คา่ ทผ่ี อู้ า่ นจะ เข้าใจชีวิตท้ังใน
โลกทัศน์และชีวทัศน์ เข้าใจการดำเนินชีวิตและเข้าใจเพื่อนมนุษย์ดีขึ้น เนื้อหาย่อมเกี่ยวข้องกับการ
ชว่ ยจรรโลงใจแกผ่ ู้อา่ น ช่วยพัฒนาสังคม ช่วยอนุรักษส์ ่งิ มีคุณค่าของชาติบา้ นเมือง และสนับสนนุ ค่านิยม
อันดีงาม

218

โครงงาน

โครงงานเป็นการจัดการเรียนรู้วิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนด้วยการค้นคว้าลงมือปฏิบัติ
จริง ในลักษณะของการสำรวจ ค้นคว้า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น ผู้เรียนจะรวบรวมข้อมูล นำมา
วิเคราะห์ ทดสอบเพื่อแก้ปัญหาข้องใจ ผู้เรียนจะนำความรู้จากชั้นเรียนมาบูรณาการในการแก้ปัญหา
ค้นหาคำตอบ เป็นกระบวนการค้นพบนำไปสู่การเรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ทักษะการจดั การ ผู้สอนจะเขา้ ใจผู้เรยี น เหน็ รูปแบบการเรยี นรู้ การคิด วิธกี ารทำงานของผเู้ รียน จาก
การสังเกตการทำงานของผู้เรียน

การเรยี นแบบโครงงานเปน็ การเรียนแบบศึกษาค้นควา้ วธิ กี ารหน่ึง แตเ่ ปน็ การศึกษาค้นคว้าท่ีใช้
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนมีเหตุผล สรุป
เรื่องราวอย่างมีกฎเกณฑ์ ทำงานอย่างมีระบบ การเรียนแบบโครงงานไม่ใช่การศึกษาค้นคว้าจัดทำ
รายงานเพียงอย่างเดยี ว ต้องมกี ารวเิ คราะห์ข้อมูลและมกี ารสรปุ ผล

ทักษะการสือ่ สาร

ทักษะการสื่อสาร ได้แก่ ทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ซึ่งเป็นเครื่องมือของ
การส่งสารและการรับสาร การส่งสาร ได้แก่ การส่งความรู้ ความเชื่อ ความคิด ความรู้สึกด้วยการพูด
และการเขียน ส่วนการรับสาร ได้แก่ การรับความรู้ ความเชื่อ ความคิด ด้วยการอ่านและการ
ฟัง การฝึกทักษะการสื่อสารจึงเป็นการฝึกทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน ให้สามารถ
รับสารและส่งสารอย่างมีประสทิ ธภิ าพ

ธรรมชาตขิ องภาษา

ธรรมชาติของภาษาเป็นคณุ สมบัติของภาษาทส่ี ำคัญ มีคุณสมบัติพอสรุปได้ คือประการที่หนึ่ง
ทกุ ภาษาจะประกอบดว้ ยเสยี งและความหมาย โดยมีระเบียบแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ในการใช้ อย่างเป็น
ระบบ ประการที่สอง ภาษามีพลังในการงอกงามมิรู้สิ้นสุด หมายถึง มนุษย์สามารถใช้ภาษา สื่อ
ความหมายได้โดยไม่สิ้นสุด ประการที่สาม ภาษาเป็นเรื่องของการใช้สัญลักษณ์ร่วมกันหรือสมมติ
ร่วมกัน และมีการรับรู้สัญลักษณ์หรือสมมติร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกัน ประการที่สี่ ภาษา
สามารถใชภ้ าษาพดู ในการติดต่อส่ือสาร ไม่จำกดั เพศของผ้สู ง่ สาร ไมว่ า่ หญิง ชาย เดก็ ผใู้ หญ่ สามารถ
ผลดั กนั ในการส่งสารและรับสารได้ ประการท่ีห้า ภาษาพูดยอ่ มใชไ้ ด้ท้ังในปจั จุบนั อดตี และอนาคต ไม่
จำกัดเวลาและสถานท่ี ประการที่หก ภาษาเป็นเครื่องมือการถ่ายทอดวัฒนธรรมและวิชาความรู้
นานาประการ ทำให้เกิดการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมและการสร้างสรรคส์ ่ิงใหม่

แนวคดิ ในวรรณกรรม

แนวคิดในวรรณกรรมหรือแนวเรื่องในวรรณกรรมเป็นความคิดสำคัญในการผูกเรื่องให้ ดำเนิน
เรื่องไปตามแนวคิด หรือเป็นความคิดที่สอดแทรกในเรื่องใหญ่ แนวคิดย่อมเกี่ยวข้องกับมนุษย์และ
สังคม เป็นสารที่ผู้เขียนส่งให้ผู้อ่าน เช่น ความดีย่อมชนะความชั่ว ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ความยุติธรรม
ทำให้โลกสันติสุข คนเราพ้นความตายไปไม่ได้ เป็นต้น ฉะนั้นแนวคิดเป็นสารที่ผู้เขียนต้องการส่งให้
ผูอ้ นื่ ทราบ เช่น ความดี ความยตุ ิธรรม ความรกั เปน็ ต้น

219

บรบิ ท

บริบทเป็นคำที่แวดล้อมข้อความที่อ่านผู้อ่านจะใช้ความรู้สึกและประสบการณ์มากำหนด
ความหมายหรือความเข้าใจ โดยนำคำแวดล้อมมาช่วยประกอบความรู้และประสบการณ์ เพื่อทำความ
เขา้ ใจหรอื ความหมายของคำ

พลงั ของภาษา

ภาษาเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถเรียนรู้ภาษาเพื่อการดำรงชีวิต
เป็นเครื่องมือของการสื่อสารและสามารถพัฒนาภาษาของตนได้ ภาษาช่วยให้คนรู้จักคิดและแสดงออก
ของความคิดด้วยการพูด การเขียน และการกระทำซึ่งเป็นผลจากการคิด ถ้าไม่มีภาษา คนจะคิด
ไม่ได้ ถ้าคนมีภาษาน้อย มีคำศัพท์น้อย ความคิดของคนก็จะแคบไม่กว้างไกล คนที่ใช้ภาษาได้ดีจะมี
ความคิดดีด้วย คนจะใช้ความคิดและแสดงออกทางความคิดเป็นภาษา ซึ่งส่งผลไปสู่การกระทำ ผล
ของการกระทำส่งผลไปสู่ความคิด ซึ่งเป็นพลังของภาษา ภาษาจึงมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ ช่วยให้
มนุษย์พัฒนาความคดิ ชว่ ยดำรงสงั คมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสงั คมอยา่ งสงบสุข มีไมตรีตอ่ กัน ช่วยเหลือ
กันด้วยการใช้ภาษาติดต่อส่ือสารกัน ช่วยให้คนปฏิบัติตนตามกฎเกณฑ์ของสงั คม ภาษาช่วยใหม้ นุษย์
เกิดการพัฒนา ใช้ภาษาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การอภิปรายโต้แย้ง เพื่อนำไปสู่ผลสรุป มนุษย์
ใช้ภาษาในการเรียนรู้ จดบันทึกความรู้ แสวงหาความรู้ และช่วยจรรโลงใจ ด้วยการอ่านบท
กลอน รอ้ งเพลง ภาษายังมพี ลังในตัวของมันเอง เพราะภาพยอ่ มประกอบด้วยเสียงและความหมาย การ
ใช้ภาษาใช้ถ้อยคำทำให้เกิดความรู้สึกต่อผู้รับสาร ให้เกิดความจงเกลียดจงชังหรือเกิด ความช่ืน
ชอบ ความรกั ย่อมเกดิ จากภาษาทัง้ สิน้ ท่นี ำไปสูผ่ ลสรุปที่มปี ระสิทธิภาพ

ภาษาถ่นิ

ภาษาถิ่นเป็นภาษาพื้นเมืองหรือภาษาที่ใช้ในท้องถิ่น ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของชาวพื้นบ้านที่ใช้
พดู จากนั ในหมู่เหล่าของตน บางครงั้ จะใช้คำท่ีมีความหมายตา่ งกันไปเฉพาะถิ่น บางคร้ังคำที่ใช้พูดจา
กันเป็นคำเดียว ความหมายต่างกันแล้วยังใช้สำเนียงที่ต่างกัน จึงมีคำกล่าวที่ว่า “สำเนียงบอก
ภาษา” สำเนียงจะบอกว่าเป็นภาษาอะไร และผู้พูดเป็นคนถิ่นใด อย่างไรก็ตามภาษาถิ่นในประเทศ
ไทยไม่ว่าจะเป็นภาษาถิ่นเหนือ ถิ่นอีสาน ถิ่นใต้ สามารถสื่อสารเข้าใจกันได้ เพียงแต่สำเนียง
แตกตา่ งกันไปเท่าน้ัน

ภาษาไทยมาตรฐาน

ภาษาไทยมาตรฐานหรือบางทีเรียกว่า ภาษาไทยกลางหรือภาษาราชการ เป็นภาษาที่
ใช้ สื่อสารกันทั่วประเทศและเป็นภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้คนไทยสามารถใช้ภาษา
ราชการ ในการติดต่อสื่อสารสร้างความเป็นชาติไทย ภาษาไทยมาตรฐานก็คือภาษาที่ใช้กันในเมือง
หลวง ที่ใช้ติดต่อกันทั้งประเทศ มีคำและสำเนียงภาษาที่เป็นมาตรฐาน ต้องพูดให้ชัดถ้อยชัดคำได้ตาม
มาตรฐานของภาษาไทย ภาษากลางหรือภาษาไทยมาตรฐานมีความสำคัญในการสรา้ งความเป็นปึกแผน่
วรรณคดีมีการถ่ายทอดกันมาเป็นวรรณคดีประจำชาติจะใช้ภาษาที่เป็นภาษาไทยมาตรฐานในการ
สรา้ งสรรค์งานประพนั ธ์ ทำให้วรรณคดีเป็นเครือ่ งมอื ในการศึกษาภาษาไทยมาตรฐานได้

220

ภาษาพูดกับภาษาเขียน

ภาษาพูดเป็นภาษาท่ีใช้พูดจากัน ไมเ่ ป็นแบบแผนภาษา ไมพ่ ถิ ีพิถนั ในการใช้แต่ใช้ส่ือสารกันได้
สร้างความรู้สึกที่เป็นกันเอง ใช้ในหมู่เพื่อนฝูง ในครอบครัว และติดต่อสื่อสารกันอย่างไม่เป็น
ทางการ การใช้ภาษาพูดจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองและสุภาพ ขณะเดียวกันก็คำนึงว่าพูดกับบุคคลที่มี
ฐานะต่างกัน การใช้ถอ้ ยคำก็ต่างกันไปด้วย ไมค่ ำนึงถึงหลกั ภาษาหรอื ระเบยี บแบบแผนการใชภ้ าษา

ส่วนภาษาเขียนเป็นภาษาทีใ่ ช้เคร่งครัดต่อการใช้ถ้อยคำ และคำนึงถึงหลกั ภาษา เพื่อใช้ในการ
สื่อสารให้ถูกต้องและใช้ในการเขียนมากกว่าพูด ต้องใช้ถ้อยคำที่สุภาพ เขียนให้เป็นประโยค เลือกใช้
ถ้อยคำที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในการสื่อสาร เป็นภาษาที่ใช้ในพิธีการต่างๆ เช่น การกล่าว
รายงาน กล่าวปราศรัย กล่าวสดุดี การประชุมอภิปราย การปาฐกถา จะระมัดระวังการใช้คำที่ไม่
จำเปน็ หรือ คำฟุ่มเฟอื ย หรอื การเลน่ คำจนกลายเป็นการพดู หรอื เขยี นเลน่ ๆ

ภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ

ภูมิปัญญาท้องถ่ิน (Local Wisdom) บางครั้งเรียกว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นกระบวนทัศน์
(Paradigm) ของคนในท้องถนิ่ ท่ีมคี วามสัมพันธร์ ะหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติ เพือ่ ความอยรู่ อด แต่
คนในท้องถิ่นจะสร้างความรู้จากประสบการณ์และจากการปฏิบัติ เป็นความรู้ ความคิด ที่นำมาใช้ใน
ท้องถิ่นของตนเพื่อการดำรงชีวิตที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ผู้รู้จึงกลายเป็น ปราชญ์
ชาวบ้านท่ีมีความรู้เกย่ี วกบั ภาษา ยารกั ษาโรคและการดำเนินชีวิตในหมบู่ ้านอยา่ งสงบสุข

ภมู ิปัญญาทางภาษา

ภูมิปัญญาทางภาษาเป็นความรู้ทางภาษา วรรณกรรมท้องถิ่น บทเพลง สุภาษิต คำพังเพย
ในแต่ละท้องถิ่น ที่ได้ใช้ภาษาในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางสังคมที่
ต่างกัน โดยนำภูมิปัญญาทางภาษาในการสั่งสอนอบรมพิธีการต่างๆ การบันเทิงหรือการละเล่น มีการ
แต่งเป็นคำประพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งนิทาน นิทานปรัมปรา ตำนาน บทเพลง บทร้องเล่น บทเห่
กลอ่ ม บทสวดต่างๆ บททำขวญั เพ่ือประโยชนท์ างสังคมและเป็นส่วนหนง่ึ ของวัฒนธรรมประจำถิ่น

ระดับภาษา

ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่คนในสังคมจะต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องกับสถานการณ์และโอกาสที่ใช้
ภาษา บคุ คลและประชมุ ชน การใช้ภาษาจึงแบ่งออกเป็นระดับของการใชภ้ าษาได้หลายรูปแบบ ตำราแต่
ละเล่มจะแบ่งระดับภาษาแตกตา่ งกนั ตามลักษณะของสัมพันธภาพของบุคคลและสถานการณ์

การแบ่งระดับภาษาประมวลไดด้ งั นี้
1. การแบง่ ระดบั ภาษาที่เปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ
1.2 ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการประชุม ใน

การกล่าวสุนทรพจน์ เปน็ ต้น
2.2 ภาษาที่ไม่เป็นทางการหรือภาษาที่ไม่เป็นแบบแผน เช่น การใช้ภาษาในการสนทนา

การใชภ้ าษาในการเขียนจดหมายถึงผคู้ ุ้นเคย การใช้ภาษาในการเลา่ เรอ่ื งหรอื ประสบการณ์
2. การแบ่งระดบั ภาษาที่เปน็ พิธีการกบั ระดับภาษาทไี่ ม่เป็นพิธีการ การแบง่ ภาษาแบบนเ้ี ป็นการ

แบ่งภาษาตามความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลเปน็ ระดบั ดงั นี้

221

2.1 ภาษาระดับพธิ กี าร เปน็ ภาษาแบบแผน
2.2 ภาษาระดับกึ่งพธิ กี าร เป็นภาษากง่ึ แบบแผน
2.3 ภาษาระดบั ที่ไม่เป็นพธิ กี าร เป็นภาษาไม่เปน็ แบบแผน
3. การแบง่ ระดบั ภาษาตามสภาพแวดลอ้ ม โดยแบ่งระดบั ภาษาในระดบั ย่อยเปน็ 5 ระดับ คอื
3.1 ภาษาระดบั พิธีการ เชน่ การกล่าวปราศรัย การกล่าวเปดิ งาน
3.2 ภาษาระดับทางการ เชน่ การรายงาน การอภปิ ราย
3.3 ภาษาระดบั กึ่งทางการ เชน่ การประชุมอภิปราย การปาฐกถา
3.4 ภาษาระดบั การสนทนา เชน่ การสนทนากับบคุ คลอย่างเป็นทางการ
3.5 ภาษาระดบั กนั เอง เชน่ การสนทนาพดู คุยในหมเู่ พื่อนฝงู ในครอบครวั

วิจารณญาณ

วจิ ารณญาณ หมายถึง การใช้ความรู้ ความคิด ทำความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหน่งึ อยา่ งมีเหตุผล การ
มีวจิ ารณญาณต้องอาศัยประสบการณใ์ นการพิจารณาตัดสินสารดว้ ยความรอบคอบ และอยา่ งชาญฉลาด
เป็นเหตุเปน็ ผล

คณะผจู้ ดั ทำ 222

คณะทำงาน ประธานกรรมการ
รองประธานกรรมการ
1. นางสาวพรสภุ า อมิ่ เนย รองประธานกรรมการ
2. นางรินทรน์ ภา ทองออ่ น คณะทำงาน
3. นางวันเพญ็ พยอม คณะทำงาน
4. นางสาวองั คณา ชลฤทธ์ิ คณะทำงาน
5. นางกญั ญาณี ธวัชบณั ฑิต คณะทำงาน
6. นางสาวธญั ลักษณ์ หตุ ะเสวี คณะทำงาน
7. นายนภดล อถมพรมราช คณะทำงาน
8. นางวัฒนา กระต่ายทอง คณะทำงาน
9. นางนเรศ ย้ิมโรจน์ คณะทำงาน
10. นางศิรลิ ักษณ์ ชาญเชย่ี ว คณะทำงาน
11. นางสุรางค์ พลบำรุง คณะทำงาน
12. นางอภญิ ญา ด่อนดี
13. นายกิตตกิ ร ด่อนดี




Click to View FlipBook Version