The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะการสร้างคำ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aum2407amornwan, 2024-06-20 13:10:36

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะการสร้างคำ

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะการสร้างคำ

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ รสธร กลั่นชาติ ศิริวรรณ หนูผาสุข สุขรินทร์ เครือวัลย์ สุดารัตน์ ทัดช่อม่วง สุวนันท์ วิเศษสังข์ อมรวรรณ กันทองสุข วิทยานิพนธ์เสนอบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย กุมภาพันธ์ 2565 ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยนเรศวร


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ รสธร กลั่นชาติ ศิริวรรณ หนูผาสุข สุขรินทร์ เครือวัลย์ สุดารัตน์ ทัดช่อม่วง สุวนันท์ วิเศษสังข์ อมรวรรณ กันทองสุข วิทยานิพนธ์เสนอบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย กุมภาพันธ์ 2565 ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยนเรศวร


ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ฉบับนี้ สำเร็จลุล่วงลงได้ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชำนาญ ปาณาวงษ์ ที่ได้เสียสละเวลาอันมีค่าในการให้คำปรึกษา คำแนะนำ เสนอแนวคิด ให้ความรู้อันเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยนี้ และตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ เพื่อให้งานวิจัยสมบูรณ์ยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยพัฒนาการทำงานของผู้วิจัยให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ ทำให้ผู้วิจัยได้รับประสบการณ์ในการทำงาน วิจัยในครั้งนี้ จนงานวิจัยนี้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งถึงความกรุณาดังกล่าว และ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทรงภพ ขุนมธุรส และ นายภัคพล คำหน้อย และนางอัจฉรา ภาระเวช ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ขอขอบคุณนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านส้มป่อย ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย โดยใช้ ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ และตอบแบบสอบถามความพึงพอใจเพื่อการวิจัยครั้งนี้ ท้ายที่สุดของความสำเร็จในครั้งนี้ผู้วิจัยขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในงานวิจัยจนสำเร็จไปได้ด้วยดี ทั้งบุคคลที่ได้กล่าวมาและยังไม่ได้กล่าวถึง ขอขอบพระคุณบิดามารดาที่ให้ชีวิตและสติปัญญา ขอขอบใจเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยให้กำลังใจและความช่วยเหลือทุกอย่างด้วยดีเสมอมา คุณค่าที่เกิดขึ้นจากการศึกษางานวิจัยในครั้งนี้ ขอมอบคุณค่านั้นแด่บิดา มารดา ตลอดจนสมาชิกในครอบครัวทุกคนที่ให้การสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ ความห่วงใย และให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยมาตลอด หากมีสิ่งใดบกพร่องผู้วิจัยขอน้อมรับไว้และขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ รสธร กลั่นชาติและคณะ


ง ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ผู้วิจัย นางสาวรสธร กลั่นชาติ รหัสนิสิต 63413203 นางสาวศิริวรรณ หนูผาสุข รหัสนิสิต 63413814 นายสุขรินทร์ เครือวัลย์ รหัสนิสิต 63414163 นางสาวสุดารัตน์ ทัดช่อม่วง รหัสนิสิต 63414200 นางสาวสุวนันท์ วิเศษสังข์ รหัสนิสิต 63414408 นางสาวอมรวรรณ กันทองสุข รหัสนิสิต 63414576 อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชำนาญ ปาณาวงษ์ ประเภทสารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี กศ.บ. (ภาษาไทย) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร คําสําคัญ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างคำประสมในภาษาไทย ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการ สร้างคำ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ด้วยชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้าน ส้มป่อย รวมจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยใช้ ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ด้วยวิธีการจับสลาก 1 ห้องเรียน จากห้องเรียนทั้งหมด 12 ห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การสร้างคำ ประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบ ฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ รูปแบบที่ใช้ในการทดลองแบบกลุ่มทดลองเดียวมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) วิธีการสอบซ้ำ (Test – Retest Method) ค่าแอลฟ่าของครอนบาค (Cronbach is alpha) และค่าสถิติทดสอบที แบบไม่อิสระต่อกัน (Dependent samples t-test)


จ ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 หลัง ใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำโดยภาพ รวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด


ฉ สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ.................................................................................................................................................ค บทคัดย่อ................................................................................................................................................................ง สารบัญ ..................................................................................................................................................................ฉ สารบัญตาราง .......................................................................................................................................................ฌ สารบัญภาพ..........................................................................................................................................................ญ บทที่ 1 บทนำ........................................................................................................................................................1 1. ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย......................................................................................................1 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย...............................................................................................................................3 3. สมมติฐานการวิจัย.........................................................................................................................................3 4. กรอบความคิดการวิจัย..................................................................................................................................3 5. ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า.......................................................................................................................5 6. นิยามศัพท์เฉพาะ..........................................................................................................................................5 7. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ............................................................................................................................6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.................................................................................................................7 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551..........................................................................7 2. หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านส้มป่อย พุทธศักราช 2562.....................................................................13 3. คำประสมในภาษาไทย...............................................................................................................................25 3.1 การสร้างคำประสมในภาษาไทย...........................................................................................................25 3.2 ลักษณะของคำประสมในภาษาไทย......................................................................................................25 3.3 วิธีสร้างคำประสม ................................................................................................................................26 4. ชุดแบบฝึกทักษะ........................................................................................................................................27 4.1 ความหมายของชุดแบบฝึกทักษะ.........................................................................................................27


ช 4.2 ลักษณะชุดแบบฝึกทักษะที่ดี................................................................................................................29 4.3 หลักการสร้างชุดแบบฝึกทักษะที่ดี.......................................................................................................30 4.4 จิตวิทยาการเรียนรู้กับการสร้างชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ....................................................32 5. การเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะ...................................................................................................34 5.1 การเรียนการสอน.................................................................................................................................34 5.2 ความสำคัญของแบบฝึกทักษะ.............................................................................................................35 5.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ.................................................................................................................36 6. ความพึงพอใจ.............................................................................................................................................37 6.1 ความหมายของความพึงพอใจ..............................................................................................................37 6.2 แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ..................................................................................................38 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.....................................................................................................................................39 7.1 งานวิจัยในประเทศ...............................................................................................................................40 7.2 งานวิจัยต่างประเทศ............................................................................................................................43 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย...................................................................................................................................44 1. แบบแผนการวิจัย.......................................................................................................................................44 2. การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.......................................................................................................45 3. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...........................................................................45 4. การดำเนินวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล..................................................................................................53 5. การวิเคราะห์ข้อมูล.....................................................................................................................................54 6.การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล..............................................................................................................55 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................................................56 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ......56 2. ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ .......................................................................................................................................................................57


ซ บทที่ 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ........................................................................................................60 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.....................................................................................................................60 สรุปผลการวิจัย...............................................................................................................................................60 อภิปรายผล.....................................................................................................................................................61 ข้อเสนอแนะ...................................................................................................................................................67 ข้อเสนอแนะเพื่อนำผลการวิจัยไปใช้...........................................................................................................67 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป.............................................................................................................67 บรรณานุกรม ......................................................................................................................................................68 ภาคผนวก...........................................................................................................................................................72 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...................................................73 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ......................................................................................................75 ภาคผนวก ค เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล....................................................................................126 ภาคผนวก ง การวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ.................................................................................................133 ภาคผนวก จ ผลการวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ............................................................................................139 ภาคผนวก ฉ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์....................................................................152 ประวัติผู้วิจัย.....................................................................................................................................................154


ฌ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 เกณฑ์การแปลความหมายระดับค่าเฉลี่ยความคิดเห็น ………………………………………………………………..46 ตารางที่ 2 โครงสร้างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างคำประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ การสร้างคำ……………………………………………………………………………………………………………………………47 ตารางที่ 3 เกณฑ์การแปลความหมายระดับค่าเฉลี่ยความคิดเห็น…………………………………………………………………48 ตารางที่ 4 โครงสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ............................................................................................................................. ....50 ตารางที่ 5 เกณฑ์การแปลความหมายระดับค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ........................................................................52 ตารางที่ 6 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการ สร้างคำ.............................................................................................................................. ...................56 ตารางที่ 7 ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการ สร้างคำ.............................................................................................................................. ...................57


ญ สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 1 กรอบความคิดการวิจัย ..........................................................................................................................4


บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของการวิจัย ภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ประเทศไทยมีภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติ เป็นเอกลักษณ์ของชาติและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่แสดงถึงความภาคภูมิใจและ ความเป็นปึกแผ่นของสังคมไทย ซึ่งคนไทยใช้ภาษาไทยในการติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน การที่จะสื่อสาร ได้ผลดีนั้นผู้ใช้ภาษาควรคำนึงถึงการใช้ภาษาให้ถูกกาลเทศะและถูกระดับตามฐานะทางสังคม นอกจากนี้ผู้ใช้ภาษา ควรมีความรู้เรื่องการใช้คำ ความหมายของคำตลอดจนการสร้างประโยคให้ชัดเจน ถูกต้อง และสละสลวย เพื่อสามารถสื่อสารความคิดของตนเองให้ผู้อื่นรับทราบได้ การสื่อสารจึงจะบรรลุผล (จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ, อารียา หุตินทะ 2555) สอดคล้องกับ รสริน ดิษฐบรรจง (2555) ที่กล่าวว่า ทุกชาติไม่ว่าจะเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่เป็น มหาอำนาจหรือชาติเล็ก ๆ ต่างมีภาษาเป็นสื่อกลางสำคัญระหว่างคนในชาติ มนุษย์จะติดต่อกับบุคคลอื่นในสังคม โดยผ่านการใช้ภาษา ทำให้การติดต่อสื่อสารทำความเข้าใจตกลงกันได้อย่างราบรื่น นอกจากนั้นแล้วภาษายังทำให้ คนในชาติพัฒนาความรู้ ความคิด และสามารถสร้างชาติให้พัฒนาก้าวไกลโดยใช้ภาษาเป็นสื่อกลางได้อีกด้วย กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติและเป็น เครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสารกันของคนในสังคม มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความสามารถและมีทักษะใน การใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง จึงได้กำหนดให้วิชาภาษาไทยเป็นวิชาที่นักเรียนทุกคนต้องเรียน ซึ่งได้กำหนดไว้ใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยกำหนดสาระและ มาตรฐานการเรียนรู้ 5 สาระ ได้แก่ การอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด หลักการใช้ภาษาไทย และ วรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งสาระการเรียนรู้ที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท.4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษา และหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็น สมบัติของชาติ ตัวชี้วัด ม.1/2 สร้างคำในภาษาไทย โดยกำหนดวิสัยทัศน์การจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยไว้ในสาระ การเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในหัวข้อเรียนรู้อะไรในภาษาไทย ส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลักภาษา ได้แก่ การศึกษาธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย (กระทรวงศึกษาธิการ, สำนัก วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2551) หลักการใช้ภาษาไทยถือเป็นสาระหนึ่งที่สำคัญ เนื่องจากการกฎเกณฑ์ทาง ภาษาและไวยากรณ์ของภาษาไทยที่เรียกว่าหลักภาษานั้น จะทำให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอย่างเข้าใจ ถูกต้อง และ มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร การเรียนหลักการใช้ภาษาไทยในปัจจุบันเกิดปัญหาความสับสน เรื่องการสร้างคำใน ภาษาไทยที่มีกฎเกณฑ์ทางภาษาที่ซับซ้อน เช่น คำซ้อนและคำประสมที่มีลักษณะคล้ายกัน จึงส่งผลต่อการเรียนรู้ และความเข้าใจของผู้เรียน จากการศึกษาค่าสถิติพื้นฐานผลการทดสอบโอเน็ตระดับประเทศปีการศึกษา 2560


2 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รายวิชาภาษาไทย พบว่าค่าเฉลี่ยผลการทดสอบตั้งแต่ปี 2560 - 2564 มีแนวโน้มลดลง และผ่านร้อยละ 50 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากผลคะแนนนี้ทำให้เห็นว่านักเรียนไทยขาดความเข้าใจในการใช้ ภาษาไทย โดยเฉพาะสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย ดังนั้นแนวทางหนึ่งที่น่าจะนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ และ พัฒนาความสามารถทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เข้าใจ และสามารถใช้ ภาษาได้อย่างถูกต้อง คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกการสร้างคำประสมในภาษาไทย เนื่องจากสื่อการ เรียนรู้ดังกล่าวช่วยเอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนให้พัฒนาทักษะและความสามารถทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำ ประสม และพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำมีประโยชน์ใน การจัดการเรียนการสอนหลายประการ และมีความสำคัญในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยมีส่วนช่วย ให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ช่วยถ่ายทอดเนื้อหาและหลักเกณฑ์ทางภาษาที่ซับซ้อน และช่วย ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ซึ่งผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะความสามารถ และทบทวนความรู้โดย การทำแบบฝึกทักษะด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนให้ดีขึ้นอีกด้วย (เสาวนีย์ โพธิ์เต็ง, 2557) ซึ่งสอดคล้องกับ ธนพร ดวงพรกชกร (2559) ที่กล่าวว่า แบบฝึก เป็นสื่อทางการศึกษาที่ มีคุณค่าทางการจัดการเรียนการสอน เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูดำเนินการสอนตามลำดับขั้นตอน และถ่ายทอด เนื้อหาหรือประสบการณ์ที่ซับซ้อนให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมีส่วนช่วยให้ ผู้เรียนพัฒนาความสามารถของตนเองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สอดคล้องกับ จิรัชยา สอนพงศ์ (2561) ที่กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนด้วยแบบฝึกทักษะเป็นสื่อการสอนที่ครูจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจน เกิดความรู้ ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดแยกแยะ และเกิดกระบวนการเชื่อมโยง และบูรณาการไปยังวิชาอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ มยุรา ศรีส่อง ยังกล่าวว่า แบบฝึกทักษะสามารถแก้ไขปัญหาการใช้ ภาษาของนักเรียนได้ เนื่องจากแบบฝึกทักษะมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใน การพัฒนาทักษะของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีและฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากแนวคิดเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและปัญหาการจัดการเรียนการสอนหลักการใช้ภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ทำให้ผู้วิจัยมองเห็นภาพรวมได้ว่าการจัดการเรียนรู้โดยนำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ การสร้างคำเข้ามาเป็นสื่อการเรียนรู้ จะทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักภาษาไทย และมีความสามารถใน การสร้างคำประสมเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะจัดการเรียนการสอนโดยนำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ การสร้างคำมาใช้เป็นสื่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องการสร้างคำประสมในภาษาไทยให้สูงขึ้น รวมทั้งเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาและ หลักการใช้ภาษาไทยสืบต่อไป


3 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การสร้างคำประสม ด้วยแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 2.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการ สร้างคำ 3. สมมติฐานการวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมโดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 4. กรอบความคิดการวิจัย ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ คือ สื่อประกอบการเรียนการสอนและพัฒนาการเรียนรู้ด้านการใช้คำ ประสมในภาษาไทย สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งประกอบไปด้วยหน้าปก คำนำ สารบัญ คำแนะนำการใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน ใบความรู้ แบบฝึกหัดเรื่องคำประสม แบบทดสอบหลังเรียนเฉลย แบบฝึกหัดเรื่องคำประสม เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ มีขั้นตอนและรายละเอียด สรุปได้ดังนี้ ขั้นที่ 1 ศึกษาหลักสูตร คู่มือการใช้หลักสูตรแกนกลาง พุทธศักราช 2551 ขั้นที่ 2 ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวกับการสร้างคำประสม ขั้นที่ 3 ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดแบบฝึก ขั้นที่ 4 ศึกษาตำรา เอกสาร และงานวิจัยเกี่ยวกับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์การสร้างคำประสม และแบบสอบถามความพึงพอใจ ขั้นที่ 5 สร้างชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1


4 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำผู้วิจัยสามารถแสดงกรอบแนวคิดของการวิจัยเป็นโครงสร้าง ดังแสดงใน ภาพประกอบ 1 ดังนี้ ภาพที่ 1 กรอบความคิดการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบ ฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ขั้นที่ 1 ศึกษาหลักสูตร คู่มือการใช้ หลักสูตรแกนกลาง พุทธศักราช 2551 ขั้นที่ 2 ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวกับการสร้างคำประสม ขั้นที่ 3 ศึกษาหนังสือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดแบบฝึก ขั้นที่ 4 ศึกษาตำรา เอกสาร และ งานวิจัยเกี่ยวกับการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การสร้างคำ ประสม และแบบสอบถามความพึงพอใจ ขั้นที่ 5 สร้างชุดแบบฝึกทักษะการสร้าง คำประสมในภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นที่ 2 ขั้นจัดการเรียนการ สอน ขั้นที่ 3 นักเรียนใช้ชุดแบบ ฝึกทักษะการสร้างคำ ประสม ขั้นที่ 4 ขั้นสรุป ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง การสร้างคำ ประสมในภาษาไทย ข อ ง น ั ก เ ร ี ย น ชั้ น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ค ว า ม พ ึ ง พ อ ใ จ ข อ ง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึก ท ั ก ษ ะ ก า ร ส ร ้ า ง ค ำ ประสมในภาษาไทย


5 5. ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า 5.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่นำมาสร้างเป็นชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ผู้วิจัยคัดเลือกเนื้อหาตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษา และหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ โดยสาระการเรียนรู้ ท 4.1 ม 1/2 การสร้างคำ ประกอบด้วยคำประสม คำซ้ำ คำซ้อน คำพ้อง 5.2 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 5.2.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านส้มป่อย จำนวน 12 ห้องเรียน รวมจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 384 คน 5.2.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านส้มป่อย รวมจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่มด้วยวิธีการจับสลาก 1 ห้องเรียน จากห้องเรียนทั้งหมด 12 ห้องเรียน 5.3 ขอบเขตด้านตัวแปร 5.3.1 ตัวแปรต้น ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 5.3.2 ตัวแปรตาม 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 6. นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันในการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำ ประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ผู้วิจัยจึงได้นิยาม ศัพท์เฉพาะในการวิจัย ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถด้านสติปัญญาของนักเรียนแต่ละบุคคลที่เรียนด้วย ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย ซึ่งวัดได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและผ่านการตรวจหาคุณภาพ โดยเป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ


6 2. ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ หมายถึง สื่อประกอบการเรียนการสอนและพัฒนาการเรียนรู้ ด้านการสร้างคำประสมในภาษาไทย สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งประกอบไปด้วยหน้าปก คำนำ สารบัญ คำแนะนำการใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน ใบความรู้และแบบฝึกหัด เรื่อง ลักษณะของคำประสม ในภาษาไทย หน้าที่ของคำประสมในภาษาไทย หลักการสร้างคำประสมในภาษาไทย การสร้างคำประสมใน ภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำไทย และการสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำภาษาต่างประเทศ แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบฝึกหัด เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3. ความพึงพอใจของผู้เรียน หมายถึง ความรู้สึกยินดี เจตคติและทัศนคติของผู้เรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกการสร้างคำประสมในภาษาไทย ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วย ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นขั้นตอนต่อเนื่อง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะการสร้างคำประสมที่สูงขึ้น นักเรียนมีความสนุกสนานในการปฏิบัติกิจกรรมตลอดการ เรียนการสอน นักเรียนมีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และครูส่งเสริมให้นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการเรียนรู้ด้านเนื้อหา ประกอบด้วย ความยากง่ายของเนื้อหาเหมาะสมกับความสามารถของ นักเรียน เนื้อหา ภาษา และรูปแบบชุดแบบฝึกตรงกับความสนใจ และความต้องการของนักเรียน เนื้อหาเรียงลำดับ จากง่ายไปยาก แบบฝึกหัดสอดคล้องกับเนื้อหาในชุดแบบฝึกทักษะ การจัดเนื้อหาเหมาะสมกับเวลาเรียน และด้าน ประโยชน์ที่ได้รับ ประกอบด้วย นักเรียนได้รับความรู้ใหม่จากชุดแบบฝึกทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย นักเรียนได้พัฒนาทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย นักเรียนสามารถนำความรู้การสร้างคำประสมใน ภาษาไทยไปใช้ในชีวิตประจำวัน นักเรียนสามารถจำแนกประเภทของคำประสมในภาษาไทยได้ถูกต้อง ช่วยให้ นักเรียนมีแนวทางในการเขียนที่ดีขึ้น ซึ่งประเมินระดับความพึงพอใจได้จากแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกการสร้างคำประสมใน ภาษาไทย 7. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 7.1 ได้แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมใน ภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 7.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยสูงขึ้น หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 7.3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย 7.4 นำผลการวิจัยไปพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ และสามารถยกระดับคุณภาพ การศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้


7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านส้มป่อย พุทธศักราช 2562 3. คำประสมในภาษาไทย 4. ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 5. การเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 6. ความพึงพอใจ 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1.1 วิสัยทัศน์ กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้ เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ บนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 1.2 หลักการ กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงหลักการของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทย ควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ


8 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ เรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 1.3 จุดหมาย กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงจุดหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดีมีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้น พื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์พัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์ สร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข 1.4 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ไว้ว่า หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐาน การเรียนรู้ที่กำหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสาร และ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา ความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้ วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม


9 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และ การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไข ปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม 1.5 มาตรฐานการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ว่า การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและ พหุปัญญา จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ภาษาไทย 2. คณิตศาสตร์ 3. วิทยาศาสตร์ 4. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5. สุขศึกษาและพลศึกษา 6. ศิลปะ 7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8. ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนา คุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึง ประสงค์ ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไก


10 สำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่า ต้องการอะไร ต้องสอนอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพ การศึกษา โดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายใน และการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับ เขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนดเพียงใด 1.6 ตัวชี้วัด กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงตัวชี้วัดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ว่า ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ในการกำหนดเนื้อหา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัดประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพ ผู้เรียน 1. ตัวชี้วัดชั้นปีเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษา ภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 3) 2. ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6) 1.7 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงเหตุผลที่นักเรียนควรเรียนภาษาไทย ไว้ว่าภาษาไทยเป็น เอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรม อันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนใน ชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้ สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือใน การแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อ พัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของ บรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ ชาติไทยตลอดไป กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กำหนดสิ่งที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทยไว้ดังนี้ การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ ชนิดต่าง ๆ การอ่านใน ใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จาก สิ่งที่อ่าน เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน การเขียน การเขียนสะกดคำตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ การเขียนเรียงความ ย่อความ เขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า เขียนตามจินตนาการ เขียนวิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์


11 การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็น ทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ หลักการใช้ภาษาไทย ศึกษาธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้อง เหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และเพื่อความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจ บทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก เพลง พื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษามาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจในบรรพ บุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอด กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงคุณภาพของผู้เรียนรายวิชาภาษาไทยที่เรียนจบชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ไว้ว่า 1. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง เข้าใจความหมาย โดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งที่อ่าน แสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้ง เกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียนรายงานจากสิ่งที่อ่านได้ วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอนและความเป็นไปได้ของเรื่องที่อ่าน รวมทั้งประเมินความถูกต้อง ของ ข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน 2. เขียนสื่อสารด้วยลายมือที่อ่านง่ายชัดเจน ใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับภาษา เขียน คำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและประสบการณ์ ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดหรือ โต้แย้งอย่างมีเหตุผล เขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้าและเขียนโครงงาน 3. พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นำข้อคิดไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มีศิลปะในการ พูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ มีมารยาทในการฟัง ดู และพูด 4. เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลี สันสกฤต คำภาษาถิ่น คำภาษาต่างประเทศ คำทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของประโยครวม ประโยค ซ้อน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ กึ่งทางการ และไม่เป็นทางการ แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ กาพย์ และโคลงสี่สุภาพ


12 5. สรุปเนื้อหาจากวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ตัวละครสำคัญ วิถีชีวิตไทย และคุณค่าที่ได้รับจากวรรณคดี วรรณกรรม และบทอาขยาน พร้อมทั้งสรุปความรู้ ข้อคิดเพื่อนําไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตจริง กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของรายวิชาภาษาไทยใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ดังนี้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนำไปใช้ ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อ ความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและ รายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณ และสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์ วรรณคดี และวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนํามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำเป็นการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการ สร้างคำ เพื่อมุ่งพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในเรื่องการสร้างคำประสม ซึ่งอยู่ ในสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงตัวชี้วัดชั้นปีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ในสาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การ เปลี่ยนแปลงของภาษาและ พลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ไว้ดังนี้ 1. อธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย 2. สร้างคำในภาษาไทย 3. วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค 4. วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียน 5. แต่งบทร้อยกรอง 6. จําแนกและใช้สํานวน ที่เป็นคำพังเพย และ สุภาษิต


13 1.8 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย ไว้ดังนี้ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.1 1. อธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย 2. สร้างคำในภาษาไทย 3. วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำใน ประโยค 4. วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูด และภาษาเขียน 5.แต่งบทร้อยกรอง 6.จำแนกและใช้สำนวนที่เป็นคำพังเพย และสุภาษิต • เสียงในภาษาไทย • การสร้างคำ - คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน - คำพ้อง • ชนิดและหน้าที่ของคำ • ภาษาพูด • ภาษาเขียน • กาพย์ยานี 11 • สำนวนที่เป็นคำพังเพยและ สุภาษิต การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เลือกใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะมาช่วยพัฒนาทักษะการสร้างคำ ประสมของนักเรียนในสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระการเรียนรู้ที่ 4 หลักการใช้ ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตัวชี้วัดที่ 2 การสร้างคำในภาษาไทย สาระการเรียนรู้แกนกลาง คือ การสร้างคำ ได้แก่ คำประสม 2. หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านส้มป่อย พุทธศักราช 2562 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียน บ้านส้มป่อย จึงได้ทำหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านส้มป่อย พุทธศักราช 2561 ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อนำไปใช้ประโยชน์และเป็นกรอบในการวางแผนและพัฒนาหลักสูตร ของสถานศึกษา และออกแบบการจัดการเรียนการสอน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ให้มี กระบวนการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ โดยมีการกำหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด โครงสร้างเวลาเรียน ตลอดจนเกณฑ์การวัด


14 และประเมินผล ให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ เปิดโอกาสให้โรงเรียนสามารถกำหนดทิศทางในการ จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน ในแต่ละระดับตามความพร้อมและจุดเน้น โดยมีกรอบแกนกลางแนวทางที่ ชัดเจน เพื่อตอบสนองนโยบายไทยแลนด์ 4.0 มีความพร้อมในการก้าวสู่สังคมคุณภาพ มีความรู้อย่างแท้จริง และ มีทักษะในศตวรรษที่ 21 2.1 วิสัยทัศน์กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและ เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและ ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่าง สันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนา ความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่า ควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป 2.2 พันธกิจกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่าง มีประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง • การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่าน ในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่าน เพื่อนำไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวัน • การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่าง ๆ ของ การเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และเขียน เชิงสร้างสรรค์ • การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็น ทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ • หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมกับ โอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย • วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่า ของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก เพลง พื้นบ้านที่ เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี


15 เรื่องราวของ สังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและภูมิใจในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสม สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน 2.3 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา ความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้ วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และ การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไข ปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วย การสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม


16 2.4 คำอธิบายรายวิชา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย คำอธิบายรายวิชา รหัสวิชา ท 21101 ชื่อ วิชาภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชั่วโมง / จำนวน 1.5หน่วยกิต ฝึกทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด การวิเคราะห์และประเมินค่าวรรณคดีและ วรรณกรรม โดยศึกษาเกี่ยวกับการอ่านออกเสียง การอ่านจับใจความ การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ การ อ่านหนังสือตามความสนใจ ฝึกทักษะการคัดลายมือ เขียนเรียงความ เขียนแสดงความคิดเห็น การพูด สรุปความ และศึกษาลักษณะของเสียงในภาษาไทย การสร้างคำประสม คำซ้ำ คำซ้อน และคำพ้อง วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ ของค่า วิเคราะห์ ประเมินค่า และข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเรื่องที่อ่าน และนิทานพื้นบ้าน ท่องจำ บท อาขยานตามที่กำหนด และบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ โดยใช้กระบวนการอ่านเพื่อสร้างความรู้ความคิดนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต กระบวนการเขียนเพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟัง การดู และการพูด สามารถเลือกฟัง ดู และ พูดแสดงความรู้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติภาษาและหลักภาษาไทย การ เปลี่ยนแปลงของภาษา พลังภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา วิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีและ วรรณกรรมอย่างเห็นคุณค่า นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง รักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ และมีนิสัยรัก การอ่าน การเขียน มีมารยาทใน การอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด ตัวชี้วัด ท 1.1 ม.1/1 ท 1.1 ม.1/2 ท 1.1 ม.1/3 ท 1.1 ม.1/8 ท. 1.1 ม.1/9 ท 2.1 ม.1/1 ท 2.1 ม.1/4 ท 2.1 ม.1/6 ท 2.1 ม.1/9 ท 3.1 ม.1/1 ท 3.1 ม.1/2 ท 3.1 ม.1/6 ท 4.1 ม.1/1 ท 4.1 ม.1/2 ท 4.1 ม.1/3 ท 5.1 ม.1/1 ท 5.1 ม.1/2 ท 5.1 ม.1/3 ท 5.1 ม.1/4 ท 5.1 ม.1/5 รวม ๒๐ ตัวชี้วัด


17 คำอธิบายรายวิชาพื้นฐาน (ภาคเรียนที่ 2) รหัสวิชา ท 21101 ชื่อวิชาภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 50 ชั่วโมง / จำนวน 1.5 หน่วยกิต ฝึกทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด การวิเคราะห์และประเมินค่าวรรณคดีและ วรรณกรรม โดยศึกษาเกี่ยวกับการอ่านออกเสียง การอ่านจับใจความ การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ การ อ่านหนังสือตามความสนใจ การเขียนสื่อสาร เขียนบรรยายประสบการณ์ เขียนย่อความ การเขียน จดหมาย ส่วนตัวและจดหมายกิจธุระ การเขียนรายงาน พูดแสดงความรู้ ความคิดอย่างสร้างสรรค์จากเรื่อง ที่ฟังและดู พูด ประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อที่มีเนื้อหาโน้มน้าว พูดรายงานการศึกษาค้นคว้า ความ แตกต่างของภาษาพูดและ ภาษาเขียน การแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี 11 จําแนกและใช้สำนวนที่ เป็นคำพังเพยและสุภาษิต วิเคราะห์ ประเมินค่า และข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเรื่องที่อ่าน และนิทานพื้นบ้าน ท่องจำ บท อาขยานตามที่กำหนด และบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ โดยใช้กระบวนการอ่านเพื่อสร้างความรู้ความคิดนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต กระบวนการเขียนเพื่อการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟัง การดู และการพูด สามารถเลือกฟัง และดู และพูดแสดงความรู้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติภาษาและ หลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา พลังภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา วิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีและ วรรณกรรมอย่างเห็น คุณค่านำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง รักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ และมีนิสัยรัก การอ่าน การเขียน มี มารยาทในการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด ตัวชี้วัด ท 1.1 ม.1/4 ท 1.1 ม.1/5 ท 1.1 ม.1/6 ท 1.1 ม.1/7 ท 2.1 ม.1/2 ท 2.1 ม.1/3 ท 2.1 ม.1/5 ท 2.1 ม.1/7 ท 2.1 ม.1/8 ท 3.1 ม.1/3 ท 3.1 ม.1/4 ท 3.1 ม.1/5 ท 4.1 ม.1/4 ท 4.1 ม.1/5 ท 4.1 ม.1/6 ท 5.1 ม.1/1 ท 5.1 ม.1/2 ท 5.1 ม.1/3 ท 1.1 ม.1/7 ท 5.1 ม.1/5 รวม ๒๐ ตัวชี้วัด


18 2.5 โครงสร้างเวลาเรียน รหัสวิชา ท 21101 ชื่อ วิชาภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชั่วโมง / จำนวน 1.5หน่วยกิต ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เวลา ชั่วโมง น้ำหนัก คะแนน 1. นิราศภูเขา ทอง ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/3 ท. 1.1 ม.1/8 ท. 1.1 ม.1/9 ท. 2.1 ม.1/1 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 2.1 ม.1/9 ท. 3.1 ม.1/5 ท. 3.1 ม.1/6 ท. 5.1 ม.1/1 ท. 5.1 ม.1/2 ท. 5.1 ม.1/3 ท. 5.1 ม.1/4 ท. 5.1 ม.1/5 -การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง -การอ่านและจับใจความสำคัญ -การแยกข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง -การอ่านหนังสือตามความสนใจ -มารยาทการอ่านหนังสือ -การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดตามรูปแบบ การเขียนตัวอักษรไทย -การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสื่อต่าง ๆ -มารยาทในการเขียน -การพูดสรุปความ พูดแสดงความรู้ ความคิด อย่างสร้างสรรค์จากเรื่องที่ฟังและดู -มารยาทในการฟัง การดู และการพูด -การวิเคราะห์วรรณคดี -ประวัติสุนทรภู่ -เรียนรู้คำประพันธ์ประเภทกลอน -การแต่งกลอนสมบัติวรรณคดี 8 10 2. โคลงโลกนิติ ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 2.1 ม.1/1 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 3.1 ม.1/1 ท. 3.1 ม.1/2 ท. 3.1 ม.1/6 ท. 5.1 ม.1/3 -การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง -การอ่านจับใจความจากวรรณคดี -การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสื่อต่าง ๆ -การพูดสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง -การเล่าเรื่องย่อจากเรื่องที่ฟังและดู -มารยาทในการฟัง การดู และการพูด -สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน - 8 10


19 ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เวลา ชั่วโมง น้ำหนัก คะแนน ท. 5.1 ม.1/4 ท. 5.1 ม.1/5 -สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน -ท่องจำบทอาขยาน 3. สุภาษิตพระ ร่วง ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/3 ท. 1.1 ม.1/8 ท. 1.1 ม.1/9 ท. 2.1 ม.1/1 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 2.1 ม.1/9 ท. 3.1 ม.1/5 ท. 3.1 ม.1/6 ท. 5.1 ม.1/1 ท. 5.1 ม.1/2 ท. 5.1 ม.1/3 ท. 5.1 ม.1/4 ท. 5.1 ม.1/5 -การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง -การอ่านและจับใจความสำคัญ -การแยกข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง -การอ่านหนังสือตามความสนใจ -มารยาทการอ่านหนังสือ -การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดตาม รูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย -การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ สาระจากสื่อต่าง ๆ -มารยาทในการเขียน -การพูดสรุปความ พูดแสดงความรู้ ความคิดอย่างสร้างสรรค์จากเรื่องที่ฟังและดู -มารยาทในการฟัง การดู และการพูด -การวิเคราะห์วรรณคดี -คุณสมบัติวรรณคดี 7 10 4. กาพย์พระ ไชยสุริยา ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 2.1 ม.1/1 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 3.1 ม.1/5 ท. 3.1 ม.1/6 ท. 3.1 ม.1/1 ท. 5.1 ม.1/2 ท. 5.1 ม.1/3 ท. 5.1 ม.1/4 -การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง -การอ่านจับใจความจากวรรณคดี -การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสื่อต่าง ๆ - การพูดสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่ฟัง และดู -สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน -วิเคราะห์ อธิบายคุณค่าวรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่าน -สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่าน -ท่องจำบทอาขยาน 6 10


20 ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เวลา ชั่วโมง น้ำหนัก คะแนน 5. เที่ยวท่าเรือ ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/3 ท. 2.1 ม.1/3 ท. 2.1 ม.1/4 ท. 4.1 ม.1/3 -การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ -ข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็น -การบรรยายประสบการณ์ -การเขียนพรรณนา -โวหารในงานเขียน -ชนิดและหน้าที่ของคำ (คำวิเศษณ์) 4 5 6.วิถีงามความ พอเพียง ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/3 ท. 1.1 ม.1/8 ท. 1.1 ม.1/9 ท. 2.1 ม.1/1 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 2.1 ม.1/9 ท. 3.1 ม.1/5 ท. 3.1 ม.1/6 ท. 5.1 ม.1/1 ท. 5.1 ม.1/2 ท. 5.1 ม.1/3 ท. 5.1 ม.1/4 -การอ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว -การอ่านจับใจความจากสื่อต่าง ๆ -การวิเคราะห์คุณค่าการอ่าน -ความรู้เรื่องเสียงและอักษรไทย -การอ่านหนังสือตามความสนใจ เช่น หนังสือที่นักเรียนสนใจและเหมาะสมกับวัย หนังสืออ่านที่ครูและนักเรียนกำหนดร่วมกัน -มารยาทในการอ่าน -การคัดลายมือ -การเขียนบรรยาย การเขียนสื่อความ -การเขียนความเรียง -การพูดสรุปความ พูดแสดงความรู้ ความคิด อย่างสร้างสรรค์จากเรื่องที่ฟังและดู -เสียงในภาษาไทย 5 4 7. เพื่อนกัน ท. 1.1 ม.1/1 ท. 4.1 ม.1/3 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 3.1 ม.1/1 ท. 4.1 ม.1/1 ท. 4.1 ม.1/2 ท. 4.1 ม.1/3 -การอ่านบทความ -การวิเคราะห์คำ -การอ่านพยัญชนะ -การอ่านเลขไทย -การอ่านสะกดคำ -การเขียนอธิบาย ชี้แจง แสดงความคิดเห็น และ โต้แย้งในเรื่องต่าง ๆ -ชนิดและหน้าทีของคำนาม คำสรรพนาม 3 4


21 ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เวลา ชั่วโมง น้ำหนัก คะแนน 8. แต่งให้งาม ตามที่เหมาะ ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/3 ท. 1.1 ม.1/5 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 4.1 ม.1/1 -การอ่านออกเสียงร้อยแก้ว -การอ่านจับใจความ -การระบุเหตุและผล และข้อเท็จจริงกับ ข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน -การตีความคํายากในเอกสารวิชาการ โดย พิจารณาจากบริบท -การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจาก สื่อต่าง ๆ -เสียงในภาษาไทย 3 4 9. รอให้น้ำลาย ไหลเสียก่อน ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/8 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 4.1 ม.1/2 ท. 4.1 ม.1/6 -การอ่านและการจับใจความสำคัญ -การวิเคราะห์เรื่องที่อ่าน -การอ่านหนังสือตามความสนใจ -คำซ้ำ คำซ้อน -สำนวนที่เป็นคำพังเพยและสุภาษิต 5 4 10. เก็บมาเล่า เอามาคุย ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 4.1 ม.1/2 -การอ่านและการจับใจความสำคัญ -การวิเคราะห์เรื่องที่อ่าน -คำพ้องรูป คำพ้องเสียง คําพ้องความหมาย 5 4 11. เข้าเมืองตา หลิ่วต้องหลิ่งตา ตาม ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 4.1 ม.1/6 -การอ่านและการจับใจความสำคัญ -การวิเคราะห์เรื่องที่อ่าน -สํานวนไทย คุณค่าของสำนวน 5 4 คะแนนระหว่างภาคเรียน 70 คะแนนสอบปลายภาคเรียน 30 รวม 60 100


22 รหัสวิชา ท 21101 ชื่อ วิชาภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 60 ชั่วโมง / จำนวน 1.5หน่วยกิต ชื่อหน่วยการ เรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เวลา ชั่วโมง น้ำหนัก คะแนน 1. ราชาธิราช ท. 1.1 ม.1/4 ท. 2.1 ม.1/5 ท. 4.1 ม.1/6 ท. 5.1 ม.1/1 ท. 5.1 ม.1/2 ท. 5.1 ม.1/3 ท. 5.1 ม.1/4 -คำเปรียบเทียบ และคำที่มีหลายความหมายใน บริบทต่าง ๆ -การเขียนย่อความจากสื่อต่าง ๆ -สำนวนที่เป็นคำพังเพยและสุภาษิต -การสรุปเนื้อหา วิเคราะห์เรื่องที่อ่าน -การอธิบายคุณค่าของเรื่องที่อ่าน -สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตจริง 10 8 2. กาพย์เห่ ชมเครื่องคาว หวาน ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/8 ท. 3.1 ม.1/4 ท. 4.1 ม.1/5 ท. 5.1 ม.1/1 ท. 5.1 ม.1/3 ท. 5.1 ม.1/4 ท. 5.1 ม.1/5 -การอ่านบทร้อยกรอง -การอ่านจับใจความจากเรื่องที่อ่าน -การวิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่าน -การพูดแสดงความคิดเห็น -การแต่งกาพย์ยานี 11 -การสรุปเนื้อหา วิเคราะห์เรื่องที่อ่าน -การอธิบายคุณค่าของเรื่องเพื่อนำความรู้และ ข้อคิดจากการอ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง -การท่องจำบทร้อยกรอง 10 10 3. นิทาน พื้นบ้าน ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/3 ท. 3.1 ม.1/4 ท. 3.1 ม.1/5 ท. 3.1 ม.1/6 -การอ่านออกเสียง -การจับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน -ข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็น -การพูดประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อที่มีเนื้อหา โน้มน้าว -การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้าจากแหล่ง เรียนรู้ต่าง ๆ ในชุมชน และท้องถิ่นของตน -มารยาทในการฟัง การดู และการพูด 4 5


23 4. เสียงเพลง กับเสียงกรี๊ด ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/3 ท. 2.1 ม.1/3 ท. 3.1 ม.1/6 ท. 4.1 ม.1/3 ท. 4.1 ม.1/4 -การอ่านจับใจความจากสื่อต่าง ๆ -ข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็น -การเขียนบรรยาย -ชนิดและหน้าที่ของคำ(คำอุทาน) -มารยาทในการฟัง การดู และการพูด -ภาษาพูดและภาษาเขียน 4 5 5. ภาษามี พลัง ท. 4.1 ม.1/2 -ลักษณะของคำประสมในภาษาไทย -หน้าที่ของคำประสมในภาษาไทย -หลักการสร้างคำประสมในภาษาไทย -การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทย กับคำไทย -การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทย กับคำภาษาต่างประเทศ 5 10 6. คิดต่างกัน แต่อยู่ร่วมกัน ได้ ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/5 ท. 1.1 ม.1/6 ท. 1.1 ม.1/7 ท. 2.1 ม.1/6 ท. 3.1 ม.1/4 ท. 3.1 ม.1/5 ท. 3.1 ม.1/6 -การอ่านและการจับใจความ -การอ่านตีความ -งานเขียนประเภทชักจูงโน้มน้าวใจเชิงสร้างสรรค์ -การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ -การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจากสื่อ ต่าง ๆ -การพูดประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อที่มีเนื้อหา โน้มน้าว -การพูดสรุปความ พูดแสดงความความคิดอย่าง สร้างสรรค์จากเรื่องที่ฟังและดู -มารยาทในการฟัง การดู และการพูด 4 4 7. บ.ก. ที่รัก ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/8 ท. 2.1 ม.1/5 ท. 2.1 ม.1/7 ท. 2.1 ม.1/9 ท. 3.1 ม.1/1 -การอ่านและการจับใจความ -การวิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่าน -การเขียนจดหมายส่วนตัว -มารยาทในการเขียน -การพูดสรุปความ พูดแสดงความรู้ ความคิดอย่าง สร้างสรรค์จากเรื่องที่ฟังและดู 5 5


24 ท. 3.1 ม.1/5 ท. 3.1 ม.1/6 ท. 4.1 ม.1/3 -การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้าจากแหล่ง เรียนรู้ต่าง ๆ -มารยาทในการฟัง การดู และการพูด -ชนิดและหน้าที่ของคำ (คำนาม) 8. ท่องเว็บฟ เก็บความรู้ ท. 1.1 ม.1/2 ท. 1.1 ม.1/7 ท. 1.1 ม.1/8 ท. 1.1 ม.1/9 ท. 2.1 ม.1/8 ท. 2.1 ม.1/9 ท. 3.1 ม.1/4 ท. 3.1 ม.1/6 ท. 3.1 ม.1/5 ท. 4.1 ม.1/4 ท. 5.1 ม.1/4 -การอ่านจับใจความจากสื่อต่าง ๆ -การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ -การวิเคราะห์ภาษาพูดภาษาเขียนทาง อินเทอร์เน็ต -มารยาทการใช้อินเทอร์เน็ต - การเขียนรายงานจากการศึกษาค้นคว้า -มารยาทในการฟัง การดู และการพูด -ภาษาพูดและภาษาเขียน -การสรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อ ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 4 8 9. โครงงาน เด่นเน้น กระบวนการ ท. 1.1 ม.1/3 ท. 1.1 ม.1/7 ท. 2.1 ม.1/8 ท. 2.1 ม.1/9 ท. 3.1 ม.1/5 ท. 4.1 ม.1/2 -การระบุเหตุและผล และข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็น จากเรื่องที่อ่าน -การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ - การเขียนรายงานโครงงาน -การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้า -คำพ้องความหมาย 9 10 10. คำเพราะ เสนาะทำนอง ท. 1.1 ม.1/1 ท. 1.1 ม.1/2 ท. 4.1 ม.1/5 -การอ่านและการจับใจความ -คำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ -การแต่งคำประพันธ์ 5 5 คะแนนระหว่างภาคเรียน 70 คะแนนสอบปลายภาคเรียน 30 รวม 60 100


25 การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้เนื้อหาในการสอนร่วมกับชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ในภาคเรียนที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ภาษามีพลัง จำนวน 5 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระสำคัญ ได้แก่ ลักษณะของคำประสมในภาษาไทย หน้าที่ของคำประสมในภาษาไทย หลักการสร้างคำประสมในภาษาไทย การ สร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำไทย และการสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำ ภาษาต่างประเทศ 3. คำประสมในภาษาไทย 3.1 การสร้างคำประสมในภาษาไทย คำเป็นหน่วยคำที่เล็กที่สุดในภาษาที่มีความหมายและสามารถปรากฎได้อย่างอิสระ การสร้างคำขึ้น ใช้ในภาษาไทยแสดงถึงความเจริญทางภาษา คำภาษาไทยดั้งเดิมส่วนมากมักจะเป็นคำพยางค์เดียว แต่เนื่องจาก ความก้าวหน้าทางวิชาการ การพัฒนาทางเทคโนโลยี ตลอดจนการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศทำให้มีความ จำเป็นที่จะต้องสร้างคำขึ้นใหม่ เพื่อให้เพียงพอต่อความจำเป็นในการติดต่อสื่อสาร ดังนั้นการศึกษาหลักการสร้าง คำจะช่วยให้การพัฒนาคำทางภาษาไทยมีความถูกต้องตามหลักการสร้างคำในภาษาไทยที่ใช้ในปัจจุบัน การสร้าง คำประสมก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งในสร้างคำของภาษาไทย โดยการสร้างคำประสมเป็นการนำคำที่สร้างจากคำมูล ตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประสมกัน อาจเป็นคำไทยแท้หรือคำที่มาจากภาษาอื่นประสมกันแล้วทำให้เกิดเป็นคำที่มี ความหมายใหม่ หรืออาจมีเค้าความหมายเดิมอยู่บ้าง 3.2 ลักษณะของคำประสมในภาษาไทย 1. เกิดจากคำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป เช่น ดาวเทียม สะพานลอย ภูเขาไฟ 2. เกิดจากคำมูลที่มาจากภาษาใดก็ได้ เช่น คำไทยแท้ ม้าเร็ว ลูกน้ำ แม่ครัว คำไทยกับคำภาษาอื่น ราชวัง ผลไม้ ความมัธยัสถ์ คำที่มาจากภาษาอื่น การแพทย์ การศึกษา ยานอวกาศ 3. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายต่างกัน เมื่อเป็นคำประสมจะเกิดความหมายใหม่ต่างกับคำมูลเดิมแต่ ยังมีเค้าความเดิม เช่น ดาวเทียม หมายถึง ยานชนิดหนึ่งโคจรไปในอวกาศได้อย่างดาวแต่ไม่ใช่ดาวจริง ๆ ม้าเร็ว หมายถึง คนขี่ม้าซึ่งทำหน้าที่เดินข่าวสืบเหตุการณ์ของข้าศึกแล้วรีบแจ้งแก่กองทัพ 4. คำที่เกิดจากคำมูลที่ยังคงความหมายเดิมไว้ทั้งหมดไม่ใช่คำประสม อาจเป็นวลีหรือ ประโยค เช่น แกงร้อนต้องกินกำลังร้อน แกงร้อนเป็นคำประสม หมายถึง แกงชนิดหนึ่ง แกงร้อนเกินไปกินไม่ได้ แกงร้อนเป็นประโยค แกงร้อน ๆ กินลวกปาก แกงร้อน ๆ เป็นวลี


26 5. ส่วนมากความหมายหลักอยู่ที่คำหน้า คำขยายอยู่หลัง เช่น การศึกษา ประธานสภา ผลผลิต 6. คำประสมบางคำคำขยายอยู่หน้าคำตั้ง คำประสมประเภทนี้ส่วนมากคำขยายมาจากคำบาลี สันสกฤต ส่วนคำตั้งเป็นคำไทยหรือมาจากภาษาอื่น เช่น พระธำมรงค์ พระแสง พระเก้าอี้ 7. เกิดจากคำมูลชนิดต่าง ๆ และทำหน้าที่ต่าง ๆ เช่น นาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์ หรือบุพบท 3.3 วิธีสร้างคำประสม 1. คำตั้งเป็นคำนาม คำขยายเป็นคำนาม สรรพนาม กริยา และวิเศษณ์ เช่น คำขยายเป็นนามหรือสรรพนาม พ่อบ้าน แม่บ้าน พระคุณท่าน คำขยายเป็นกริยา สมุดพก แบบเรียน ไม้เท้า คำขยายเป็นคำวิเศษณ์ มดแดง ถั่วเขียว บ้านนอก 2. คำตั้งเป็นคำกริยา คำขยายเป็นคำนาม กริยา และวิเศษณ์ คำขยายเป็นนาม กินใจ เข้าใจ เข้าฝัก จับตา คำขยายเป็นกริยา ท่องจำ ตื่นเต้น ล่วงรู้ คำขยายเป็นวิเศษณ์ งอกงาม ตื่นเต้น ล่วงรู้ 3. คำตั้งเป็นคำวิเศษณ์ คำขยายเป็นนามและวิเศษณ์ คำขยายเป็นนาม หลายใจ สามง่าม หลายใจ คำขยายเป็นวิเศษณ์ อ่อนหวาน เขียวหวาน สุกดิบ 4. คำตั้งเป็นบุพบท คำขยายเป็นคำนาม กริยา คำขยายเป็นคำนาม ข้างถนน กลางบ้าน ใต้เท้า คำขยายเป็นกริยา ตามมีตามเกิด นอกจากนี้ยังมีการนำคำที่ไม่สามารถปรากฏตามอิสระได้ เช่น คำว่า “ ช่าง ชาว นัก หมอ การ ความ เครื่อง ของ ที่” เป็นคำตั้งประสมกับคำที่สามารถปรากฏตามอิสระได้ เช่น ช่างทอง ชาวนา นักเขียน การกิน ความดี เครื่องเขียน เป็นต้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ (2564) การประสมคำ (Compounding) คือ การนำคำหรือหน่วยคำมารวมกันเป็นคำใหม่ หน่วยคำที่มาประกอบเป็นคำประสมมักเป็น หน่วยคำที่สามารถปรากฏตามลำพังได้ ซึ่งเรียกว่า หน่วยคำอิสระ เช่น หน่วยคำอิสระ + หน่วยคำอิสระ คำประสม {ฝน} + {กรด} = ฝนกรด {ยา} + {แดง} = ยาแดง {กรอบ} + {รูป} = กรอบรูป {กุ้ง} + {เต้น} = กุ้งเต้น


27 อย่างไรก็ตาม หน่วยคำที่ไม่พบว่าปรากฏตามลำพัง ซึ่งเรียกว่า หน่วยคำไม่อิสระก็อาจนำมาประกอบ เป็นคำประสมได้ หากหน่วยคำไม่อิสระนั้นปรากฏเฉพาะกับหน่วยคำบางหน่วย เช่น หน่วยคำอิสระ + หน่วยคำไม่อิสระ คำประสม {ข้าว} + {-ตอก} = ข้าวตอก {นา} + {-ปรัง} = นาปรัง {ปลา} + {-ทู} = ปลาทู {น้ำ} + {-ลาย} = น้ำลาย การประสมคำเป็นการสร้างคำใหม่ขึ้นมาใช้เฉพาะคำ ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ว่าจะต้องนำคำใด มารวมกับคำใด ไม่สามารถบอกได้ว่าคำใดจะประสมกับคำใดเพื่อใช้แทนสิ่งที่ต้องการอ้างถึง เมื่อหน่วยคำมา รวมกันเป็นคำประสม ไม่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ว่า คำประสมที่จะเกิดนั้นจะหมายถึงอะไร มีความหมาย สัมพันธ์กับหน่วยคำที่มาประกอบกันเป็นคำประสมมากน้อยเพียงใด หน่วยคำเดียวกันเมื่อประกอบกับหน่วยคำอื่น เป็นคำประสม อาจมีความหมายแตกต่างกันและมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่แตกต่างกันไปก็ได้ การประสมคำเป็นกระบวนการการสร้างคำที่เป็นสากล ปรากฏในภาษาทุกภาษา คำที่เกิดจากการ ประสมคำในภาษาไทยเรียกว่า คำประสม ภาษาอังกฤษเรียกว่า Compound ส่วนภาษาบาลีและสันสกฤตเรียกว่า สมาส /samaasa/ คำประสมในภาษาไทย สรุปได้ว่า การสร้างคำประสมเป็นการสร้างคำใหม่ขึ้นมา โดยนำคำมูลตั้งแต่ 2 คำ ขึ้นไปมารวมกัน อาจเป็นคำไทยแท้หรือคำที่มาจากภาษาอื่น เมื่อประสมกันแล้วทำให้เกิดเป็นคำที่มีความหมาย ใหม่ และยังมีเค้าความหมายเดิมหรือความหมายในเชิงเปรียบเทียบ ส่วนมากความหมายหลักของคำประสมจะอยู่ ที่คำหน้า คำขยายอยู่ที่คำหลัง โดยคำประสมบางคำ ที่คำขยายอยู่ข้างหน้าคำ คำประสมประเภทนี้คำขยายมักมา จากคำบาลีสันสกฤต คำตั้งเป็นคำไทยหรือมาจากภาษาอื่น 4. ชุดแบบฝึกทักษะ 4.1 ความหมายของชุดแบบฝึกทักษะ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกทำซ้ำบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญ ดังนั้นกระบวนการ เรียนรู้จึงเน้นในเรื่องการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติซ้ำ ๆ และสื่อการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาการ เรียนรู้ คือ ชุดแบบฝึก มีนักวิชาการหลายท่านให้ความหมายชุดแบบฝึกไว้ดังนี้ วรรณ แก้วแพรก ( 2526) ได้ให้ความหมายของชุดฝึกว่า เป็นแบบฝึกหัดที่ครูจัดขึ้นให้แก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้มีทักษะเพิ่มเติม โดยมีการจัดกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย ความสนใจหลังจากที่นักเรียนได้ เรียนรู้เรื่องนั้น ๆ มาบ้างแล้ว


28 ขนิษฐา แสงภัคดี (2540) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า แบบฝึกเป็นอุปกรณ์หรือสื่อการสอนที่ สร้างขึ้น เพื่อฝึกฝนหรือเสริมสร้างและพัฒนาทักษะต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียนจนมีประสบการณ์ และสามารถนำความรู้ ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง นวลนุช สีทองดี (2541) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนที่ใช้ฝึกทักษะเพื่อ สร้างความคิดรวบยอดให้แก่นักเรียน เพื่อจะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและรวดเร็ว แต่ต้องได้รับการฝึก หลาย ๆ ครั้งหลายรูปแบบ เมื่อนักเรียนได้รับการฝึกแล้วอย่างน้อยก็พัฒนาตนเองที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน สุกิจ ศรีพรหม (2541) ได้ให้ความหมายของชุดการฝึกว่า หมายถึง การนำสื่อประสมที่สอดคล้องกับ เนื้อหาและจุดประสงค์ของวิชา มาใช้ในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2542) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า แบบฝึกหรือ แบบฝึกหัด หรือแบบฝึกเสริมทักษะ เป็นสื่อการเรียนประเภทหนึ่ง สำหรับให้นักเรียนฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะเพิ่มขึ้น เตือนใจ ตรีเนตร (2544) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า เป็นสื่อประกอบ การจัดกิจกรรมทางการ เรียนการสอน ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ฝึกทักษะเพิ่มเติมจากเนื้อหาจนปฏิบัติ ได้อย่างชำนาญ และให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ชีวิตประจำวันได้โดยมีครูแนะนำ พรชัย ผาดไทสง (2545) ได้ให้ความหมายของชุดฝึกว่า หมายถึง สื่อการสอนที่ใช้ในการประกอบการ สอน โดยให้นักศึกษาเป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมเอง ช่วยให้นักศึกษามีพัฒนาการในการเรียนรู้ ทักษะที่เพิ่มขึ้น และ นักศึกษาเรียนรู้อย่างสนุกสนาน อารีย์ วาศน์อำนวย (2545) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า แบบฝึกคืออุปกรณ์การเรียน การสอน อย่างหนึ่งอันประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย น่าสนใจที่จะนำไปใช้ เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกฝนปฏิบัติเพิ่มเติม เพื่อ จะได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเรียนรู้ ให้เกิดความคล่องแคล่วชำนาญ ตลอดจนเกิดความแม่นยำซึ่งเป็นไปโดย อัตโนมัติ ด้วยการทบทวนเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนไปแล้วอย่างมีทิศทาง พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน (2546) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า แบบฝึกหัด หมายถึง แบบ ตัวอย่างปัญหาหรือคำสั่งที่ตั้งขึ้นเพื่อให้นักเรียนฝึกตอบ เป็นต้น พิทักษ์ (2552) ได้ให้ความหมายของชุดแบบฝึกทักษะว่า หมายถึง สื่อการเรียนการสอนชนิดหนึ่งที่ มุ่งให้ผู้เรียน ได้ทบทวนความเข้าใจและพัฒนาทักษะ ตลอดจนเจตคติเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทำให้ผู้เรียนมีความ ชัดเจน แม่นยําและเกิดความชํานาญในการปฏิบัติมากขึ้น ทั้งนี้โดยมีการวางแผนการฝึกทักษะไว้อย่างเป็นระบบ สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553) ได้ให้ความหมายของชุดแบบฝึกทักษะว่า สิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ ทำกิจกรรมที่เป็นการทบทวนหรือเสริมเพิ่มเติมความรู้ให้แก่นักเรียน หรือให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการเรียนรู้หลาย ๆ รูปแบบเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ได้มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ


29 ณัฐชา อักษรเดช (2554) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นอย่าง จุดหมายที่แน่นอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการกระทำจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียน เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียน สามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งที่เรียนได้ดีและนำการเรียนรู้และความรู้ที่ได้ไปใช้ใน สถานการณ์อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน ศันสนีย์ สื่อสกุล (2554) ได้ให้ความหมายของชุดฝึกทักษะว่า งานหรือกิจกรรมที่ครูผู้สอนมอบหมาย ให้นักเรียนทำเพื่อฝึกทักษะและทบทวนความรู้ที่ได้เรียนไปแล้วให้เกิดความชำนาญ ถูกต้อง คล่องแคล่ว จนสามารถนำความรู้ไปแก้ปัญหาได้โดยอัตโนมัติ จากแนวคิดของนักวิชาการในข้างต้น ได้มีการกล่าวถึง แบบฝึก ชุดฝึก ชุดฝึกทักษะ แบบฝึกหัด ชุดการฝึก ซึ่งมีความหมายคล้ายคลึงและเป็นไปในทางเดียวกัน สรุปได้ว่า หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้น เพื่อฝึกฝนและพัฒนาทักษะต่าง ๆ ของผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติฝึกทำด้วยตนเองจนเกิดการเรียนรู้ ความเข้าใจ เพิ่มขึ้น และทำให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทางด้านพฤติกรรม ทักษะ และความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น ให้ผู้เรียนสามารถ นำไปปฏิบัติได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ และในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยเลือกใช้คำว่าชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะในการทำ วิจัย 4.2 ลักษณะชุดแบบฝึกทักษะที่ดี การจัดทำแบบฝึกเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์นั้น จะต้องมี ความเหมาะสมและสอดคล้องกับผู้เรียน ได้มีนักวิชาการหลายท่านกล่าวถึงลักษณะของชุดแบบฝึกที่ดีไว้ดังนี้ วรรณ แก้วแพรก (2526) กล่าวถึงแบบฝึกทักษะที่ดีว่ามีลักษณะดังนี้ 1. เนื้อหาที่จะนํามาควรเป็นเนื้อหาในบทเรียนหรือสอดคล้องสัมพันธ์กับบทเรียนทั้งที่เป็นคํา ประโยค ข้อความ เนื้อเรื่อง และเนื้อหาตรงตามหลักสูตรที่กำหนด 2. มีหลายแบบหลายลักษณะ เพื่อไม่ให้เบื่อและเป็นการท้าทายให้อยากทำ 3. ต้องช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับคํา 3 ประการคือ รู้คําเพิ่มขึ้น เข้าใจ ความหมายของคําดีขึ้น และมีความสามารถในการใช้คําสูงขึ้นตามระดับชั้นของนักเรียน 4. ต้องส่งเสริมให้นักเรียนใช้ความคิด โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจเดิมเป็นพื้นฐาน 5. ต้องไม่มีลักษณะอย่างข้อสอบโดยทั่วไป ที่มุ่งวัดความรู้และความเข้าใจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมี ลักษณะเร้าความสนใจ ยั่วยุและจูงใจให้นักเรียนคิดพิจารณาและได้ศึกษาจนเกิดความรู้ความเข้าใจในทักษะและ สามารถใช้คําได้สูงขึ้น อัญชลี แจ่มเจริญ (2526) ได้กล่าวถึงลักษณะแบบฝึกทักษะที่ดีดังนี้ 1. ควรใช้หลักจิตวิทยาและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน 2. ควรสร้างขึ้นเพื่อสิ่งที่จะสอนและเกี่ยวข้องกับนักเรียน 3. คำพูดและเนื้อหาความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและเป็นสิ่งที่นักเรียนพบเห็นอยู่แล้ว


30 4. สิ่งที่ฝึกแต่ละครั้งควรเป็นแบบฝึกสั้น ๆ และเข้าใจง่ายไม่น่าเบื่อและที่สำคัญจะกระตุ้นให้เด็ก สนใจใคร่ฝึก วันชัย เพชรเรือง (2531) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับเกี่ยวกับลักษณะที่ดีของชุดฝึกทักษะไว้ว่า 1. ชุดฝึกทักษะแต่ละชุดควรใช้จิตวิทยาเข้ามาช่วย เช่น มีการสร้างแรงจูงใจให้กับเด็กเกิด ความ อยากรู้อยากเห็น และกระตือรือร้นที่อยากจะทำกิจกรรมนั้น ๆ และเมื่อจบการฝึกแต่ละครั้งควรเสริมแรงให้เด็กทุก ครั้ง เพื่อที่เด็กจะได้ทำกิจกรรมต่อ ๆ ไปเมื่อตนเองประสบผลสำเร็จ 2. การสร้างชุดฝึกทักษะแต่ละครั้ง ควรให้นักศึกษามีส่วนร่วมด้วยเพื่อเด็กจะได้เกิด ความรู้สึกภูมิใจ ที่เป็นเจ้าของกิจกรรมและเต็มที่กระทำกิจกรรมนั้น ๆ ได้บรรลุเป้าหมาย 3. สํานวนภาษาไม่ควรใช้คํายากเกินไป เพราะเด็กจะเกิดความท้อถอยและไม่ง่ายจนเกิด ความเบื่อ หน่าย ขันธชัย มหาโพธิ์ (2535) ได้กล่าวถึงลักษณะแบบฝึกหัดที่ดี ดังนี้ 1. ควรมีข้อแนะนำในการใช้ 2. มีให้เลือกทั้งแบบตอบ แบบจำกัด และแบบเสรี 4.3 หลักการสร้างชุดแบบฝึกทักษะที่ดี การสร้างชุดแบบฝึกให้มีประสิทธิภาพถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง จะต้องมีความเข้าใจและทราบถึง หลักและขั้นตอนในการสร้างแบบฝึก เพื่อจะได้มีการสร้างชุดแบบฝึกให้มีประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุด ได้มี นักวิชาการเสนอแนวทางในการสร้างชุดแบบฝึกที่ดีดังนี้ วรรณ แก้วแพรก (2526) ได้กล่าวถึงหลักการสร้างแบบฝึกดังนี้ 1. มีความมุ่งหมายในการจัดแน่นอน 2. ต้องจัดจากง่ายไปหายากและคำนึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 3. ต้องจัดจากหลังสอนบทเรียนหรือเนื้อหานั้น ๆ แล้ว 4. ต้องจัดทำแบบฝึกไว้ล่วงหน้าโดยทำไว้เป็นรายเนื้อหาหรือทำเป็นบท ๆ ตามบทเรียนพร้อม ทำเลย วิชัย เพชรเรือง (2531) ได้กล่าวถึงหลักการสร้างแบบฝึกดังนี้ 1. แบบฝึกต้องมีเอกภาพและสมบูรณ์แบบในตัว 2. เกิดจากความต้องการของผู้เรียนและสังคม 3. ครอบคลุมเนื้อหาหลายวิธีโดยบูรณาการกับการอ่าน 4. ใช้แนวคิดใหม่ในการทำกิจกรรม 5. สนองความสนใจใคร่รู้และความสามารถของผู้เรียนและส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 6. คำนึงถึงพัฒนาการและวุฒิภาวะของผู้เรียน


31 7. เน้นการแก้ปัญหา 8. ครูและนักเรียนมีโอกาสวางแผนร่วมกัน 9. แบบฝึกควรเป็นสิ่งที่น่าสนใจ มีความแปลกใหม่ เป็นสิ่งที่สามารถปรับและรับเข้าสู่โครงสร้าง ทางความคิดของเด็กได้ พรรณิภา อ่อนแสง (2532) ได้กล่าวถึงหลักการสร้างแบบฝึกดังนี้ 1. จะต้องตั้งวัตถุประสงค์ 2. ศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับการสร้างแบบฝึก 3. ขั้นต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างแบบฝึก 3.1 ศึกษาปัญหาความบกพร่องของเด็กในการเรียนการสอน 3.2 ศึกษาจิตวิทยาและกระบวนการเรียนรู้ 3.3 ศึกษาเนื้อหาวิชาที่สอน 3.4 ศึกษาลักษณะของแบบฝึก สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2537) ได้กล่าวถึงหลักการสร้างแบบฝึก ดังนี้ 1. ศึกษาปัญหาและความต้องการ โดยการศึกษาจากการผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หากเป็นไปได้ควรศึกษาความต่อเนื่องของปัญหาทุกระดับชั้น 2. วิเคราะห์เนื้อหาหรือทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาหรือทักษะย่อย ๆ เพื่อใช้ในการสร้าง แบบทดสอบ 3. พิจารณาวัตถุประสงค์ รูปแบบ และขั้นตอนการใช้ฝึก เช่น จะนำแบบฝึกไปใช้อย่างไร ในแต่ละ ชุดจะประกอบด้วยอะไรบ้าง 4. สร้างแบบทดสอบซึ่งอาจมีแบบทดสอบเชิงสำรวจ แบบทดสอบเพื่อวินิจฉัย 5. สร้างแบบฝึกเพื่อใช้พัฒนาทักษะย่อยแต่ละทักษะในแต่ละบัตรจะมีคำถามให้นักเรียนตอบ กำหนดรูปแบบ ขนาดของบัตรพิจารณาตามความเหมาะสม 5. สร้างบัตรอ้างอิง เพื่อใช้อธิบายแนวคำตอบในแต่งละเรื่อง การสร้างบัตรอ้างอิงนี้ อาจทำ เพิ่มเติมเมื่อได้นำบัตรฝึกหัดไปทดลองใช้แล้ว 6. สร้างแบบบันทึกความก้าวหน้าเป็นระยะ ๆ สอดคล้องกับแบบทดสอบความก้าวหน้า 7. นำแบบฝึกไปทดลองใช้ เพื่อหาข้อบกพร่องคุณภาพของแบบฝึกและคุณภาพของแบบทดสอบ 8. ปรับปรุงแก้ไข 9. รวบรวมเป็นชุด


32 พรพรหม อัตตวัฒนากุล (2547) ได้กล่าวถึงหลักการสร้างแบบฝึกดังนี้ หลักในการสร้างแบบฝึกควร คำนึงตัวนักเรียนเป็นหลัก โดยมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนว่าจะฝึกเรื่องอะไร จัดเนื้อหาได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เนื้อหาไม่ยากจนเกินไปและมีรูปแบบหลายแบบที่น่าสนใจ จิรเดช เหมือนสมาน (2551) ได้ให้แนวทางในการดำเนินการสร้างชุดฝึกทักษะไว้ดังนี้ กำหนด จุดมุ่งหมายและวางแผนในการดำเนินการสร้างชุดฝึกทักษะ วิเคราะห์ทักษะ และเนื้อหาวิชาที่ต้องการสร้างชุดฝึก ทักษะเป็นทักษะย่อย ๆ และเขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมตามทักษะและเนื้อหาย่อ ๆ นั้น เขียนชุดฝึกทักษะตาม เนื้อหาและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ ให้สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ และจิตวิทยาพัฒนาการ ตามวัยของผู้เรียน กำหนดรูปแบบของชุดฝึกทักษะ เกสร รองเดช (2553) ได้เสนอแนวทางในการสร้างชุดฝึกทักษะไว้ดังนี้ 1. สร้างชุดฝึกทักษะให้เหมาะกับวัยของเด็ก 2. ชุดฝึกทักษะเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก 3. ให้ใช้ภาพประกอบเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจ 4. เป็นชุดฝึกทักษะที่สั้น ๆ ง่าย ๆ ใช้เวลาฝึก 30-40 นาที 5. ชุดฝึกทักษะต้องมีหลายลักษณะ สรุปได้ว่า ในการสร้างชุดแบบฝึกควรกำหนดวัตถุประสงค์ก่อน และศึกษาเนื้อหาที่จะสร้างแบบฝึก โดยต้องศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาในการเรียนการสอน การสร้างควรคำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ คำนึงถึง นักเรียนเป็นหลัก ควรเริ่มจากง่ายไปยาก มีหลากหลายแบบ มีตัวอย่างและภาพประกอบ ผู้เรียนสามารถศึกษาได้ ด้วยตัวเอง 4.4 จิตวิทยาการเรียนรู้กับการสร้างชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ การสร้างชุดแบบฝึกจำเป็นต้องใช้หลักจิตวิทยาเพื่อให้ได้แบบฝึกที่สมบูรณ์และเหมาะสมกับผู้เรียน หลักจิตวิทยาการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างชุดแบบฝึกมีหลายประการ ดังนี้ ธอร์นไดด์ (Thorndike 1976, อ้างถึงในวัฒนา เสนนอก, 2550) ได้ตั้งกฎการเรียนรู้3 ข้อ ซึ่ง นำมาใช้ในการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียน ได้แก่ 1. กฎแห่งผล (Low of Effect) หมายถึงการที่ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ ถ้าได้รับผลที่พึง พอใจก็จะเกิดผลดีต่อการเรียนรู้ ทำให้อยากเรียนรู้ต่อไปอีก แต่ถ้าไม่ได้รับผลที่พึงพอใจ ก็จะไม่อยากเรียนรู้หรือ เบื่อหน่าย และเป็นผลเสียต่อการเรียนรู้ อาจทำให้ผู้กระทำเลิกการกระทำสิ่งนั้นได้การนำกฎแห่งผลที่พอใจมาใช้ ครูควรส่งเสริมให้เกิดความพึงพอใจจากการฝึกการรู้จักผู้เรียนอย่างแท้จริง ว่าใครมีความสามารถความสนใจ เพียงใดแค่ไหนแล้วพยายามจัดการเรียนการสอนรวมถึงการมอบหมายงานที่มีความยากง่ายเหมาะสมเพื่อให้ผู้เรียน สร้างความรู้สึกดี และสามารถทำได้สำเร็จในงานที่ตนได้รับมอบหมาย ก็จะทำให้ผู้เรียนมีกำลังใจที่จะฝึกมากขึ้น


33 2. กฎแห่งการฝึกหัด (Low of Exercise) คือการที่ได้มีโอกาสกระทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ในพฤติกรรม พฤติกรรมหนึ่ง จะทำให้พฤติกรรมนั้นเกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งการฝึกหัดที่มีการควบคุมที่ดีจะส่งผลต่อการ เรียนรู้ที่มั่นคงและคงทนถาวรแบ่งเป็น 2 กฎ คือ 2.1 กฎแห่งการใช้ (Law of Use) เมื่อเกิดความเข้าใจหรือเรียนรู้แล้วมีการกระทำหรือนำ สิ่งเรียนรู้นั้นไปใช้บ่อย ๆ จะทำให้เกิดการเรียนรู้นั้นคงทนถาวร 2.2 กฎแห่งการไม่ใช้ (Low of Disused) เมื่อเกิดความเข้าใจหรือเรียนรู้แล้วไม่ได้กระทำ บ่อย ๆ หรือไม่ได้ใช้เลยย่อมทำให้ค่อย ๆ ลบเลือนไปในที่สุดหรือเกิดการลืมจนไม่เรียนรู้อีกเลย 3. กฎแห่งความพร้อม (Low of Readiness) แบ่งเป็น 3 ข้อย่อย คือ 3.1 ถ้าบุคคลพร้อมแล้วได้กระทำมีหลักการว่า เมื่อบุคคลพร้อมแล้วได้กระทำจะเกิดความ พอใจ 3.2 ถ้าบุคคลพร้อมแล้วไม่ได้กระทำมีหลักการว่า เมื่อบุคคลพร้อมแล้วไม่ได้กระทำก็ย่อมเกิด ความรำคาญใจ 3.3 ถ้าบุคคลไม่พร้อมแล้วถูกบังคับให้กระทำมีหลักการว่า เมื่อบุคคลไม่พร้อมแต่ถูกบังคับให้ กระทำจะเกิดความรำคาญใจ พรรณี ชูทัย (2555) ได้กล่าวถึงหลักความสำคัญและทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อนำมาสร้างชุดแบบฝึกดังนี้ 1. ความใกล้ชิด หมายถึง กรณีที่ว่าถ้าใช้สิ่งเร้าและการตอบสนองที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน จะ สร้างความพอใจให้แก่ผู้เรียนเป็นอย่างมาก 2. การฝึกเป็นการกระทำให้ผู้เรียนได้ทำซํ้า ๆ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่แม่นยํา 3. กฎแห่งผล คือ การเรียนรู้ได้ทราบผลปฏิบัติงานของตนด้วย มีการเฉลยคําตอบให้ จะช่วยให้ นักศึกษาทราบข้อบกพร่อง เพื่อปรับปรุงตนเองเป็นการสร้างความพอใจให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน 4. กฎการจูงใจ คือ การจัดชุดฝึกเรียงลำดับจากชุดที่ง่ายไปหาชุดที่ยากขึ้น ควรมีภาพประกอบ และมีหลายรสหลายรูปแบบ ชุดแบบฝึกทักษะ สรุปได้ว่า สื่อประกอบการเรียนการสอนและพัฒนาการเรียนรู้ด้านการสร้างคำประสม ในภาษาไทย สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งประกอบไปด้วยหน้าปก คำนำ สารบัญ คำแนะนำการ ใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน ใบความรู้และแบบฝึกหัด เรื่อง ลักษณะของคำประสมในภาษาไทย หน้าที่ของคำประสม ในภาษาไทย หลักการสร้างคำประสมในภาษาไทย การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำไทย และ การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำภาษาต่างประเทศ แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบฝึกหัด เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน


34 5. การเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะ 5.1 การเรียนการสอน มีผู้รู้กล่าวถึงแนวคิดการจัดการเรียนการสอนไว้ ดังนี้ สุมิตร คุณานุกร (2528) ได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนการสอนไว้ว่า เป็นกระบวนการจัด ประสบการณ์ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการไปตามเป้าหมายที่หลักสูตร ต้องการ แนวทางการจัดกิจกรรมหรือการสอนย่อมแตกต่างกันตามสภาพและลักษณะธรรมชาติของเนื้อหาวิชา ผู้สอนจะต้องรู้จักเลือกใช้วิธีสอนและสื่อการเรียนรู้การสอนได้อย่างเหมาะสม ลัดดา ศิริพันธุ์ (2545) กล่าวถึงความหมายและแนวในการจัดการเรียนการสอนไว้ดังนี้ แนวในการ จัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน สำหรับครูมี 4 ประการ ได้แก่ 1. พร้อมให้ความช่วยเหลือและมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ (wittiness) คือ ความสามารถที่ครูเดิน รอบห้องเรียนตลอดเวลาเข้ามามีส่วนร่วมในสถานการณ์ได้ทันทีแต่ต้องหลีกเลี่ยงการขัดจังหวะการเรียนการสอน 2. การทำงานหลาย ๆ งานได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกัน (overlapping) คือ ความสามารถที่ครู จะ ทำกิจกรรมมากกว่าหนึ่งกิจกรรมในเวลาเดียวกัน เช่น การจัดเรียนเป็นกลุ่มหรือเฉพาะบุคคล 3. ความลื่นไหลระหว่างการจัดการเรียนการสอน (momentum during lessons) คือ ความสามารถที่ครูจะจัดบทเรียนที่ทำให้นักเรียนชนะอุปสรรคและปัญหา และให้นักเรียนเห็นถึงการเตรียมความ พร้อมของครูผู้สอน 4. ให้งานหลากหลายและท้าทาย (challenge and variety in assignments) คือ ความสามารถ ที่ครูจะจัดการเรียนการสอนที่หลากหลายท้าทายความสามารถของนักเรียน สุราษฎร์ พรมจันทร์ (2550) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนนั้น มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ถาวรให้แก่ผู้เรียน การเรียนรู้เกิดขึ้นโดยตัวผู้เรียนเอง ครูเป็นแต่เพียงผู้ที่จะ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นเท่านั้น การเรียนการสอนจึงเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในกระบวนการ ทางการศึกษาในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553) กล่าวว่า การเรียนการสอนคือ กระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับ ผู้เรียน เพื่อทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์ที่กำหนด ซึ่งต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ของผู้สอน ปรียาพร วงศ์อนุตรโรน์ (2553) กล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนว่า หมายถึง การจัดกิจกรรมในการ เรียนรู้ เช่น การใช้สื่อการสอน การจัดกิจกรรมระหว่างสอน การทดสอบเป็นต้น รวมทั้งความสามารถในการจัดการ เรียนรู้ของครูในการให้ความช่วยเหลือแนะแนวแก่ผู้เรียนในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการให้กำลังใจ ให้ความรักและความ เอาใจใส่ด้วย


35 การเรียนการสอนจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายด้านทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกับการสอน และมีส่วนส่งเสริมในการสอนประสบความสำเร็จได้จัดเป็นองค์ประกอบของการเรียนการสอนทั้งสิ้น โดยมี นัก การศึกษาได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับองค์ประกอบของการเรียนการสอนไว้ดังนี้ สุพิน บุญชูวงศ์ (2532) กล่าวว่า องค์ประกอบในการจัดการเรียนการสอนว่า มี 2 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านองค์ประกอบรวม หมายถึง องค์ประกอบด้านโครงสร้างที่มาประกอบกันเป็นการสอนซึ่ง ประกอบด้วย ครู นักเรียน หลักสูตร 2. ด้านองค์ประกอบย่อย หมายถึง องค์ประกอบต้านรายละเอียดของการสอน ซึ่งจะทำให้การ สอนสมบูรณ์ ได้แก่ การตั้งจุดประสงค์ การกำหนดเนื้อหา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน การวัดผลประเมินผล จำเนียร ศิลปะวานิช (2538) กล่าวไว้ว่า ในกระบวนการเรียนการสอนทุกระดับจะต้องมีองค์ประกอบ ทั้ง 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ครูผู้สอน 2) ผู้เรียน 3) หลักสูตร 4) สื่อการสอน 5) การวัดผลและประเมินผล ปรียาพร วงศ์อนุตรโรน์ (2542) กล่าวไว้ว่า องค์ประกอบของการจัดการเรียนการสอน จะต้อง ประกอบด้วยเนื้อหาวิชา ทักษะกระบวนการและการประเมินผล ซึ่งมีองค์ประกอบย่อย ๆ ได้แก่ การเตรียมการ สอน วัตถุประสงค์ของวิชา เอกสารประกอบการสอน ความสามารถในการสอน การจัดกิจกรรมการสอน การใช้สื่อ การสอน การประเมินผลการสอน สรุปว่า การจัดการเรียนการสอน หมายถึง การจัดกิจกรรมในการเรียนรู้ เช่น การใช้สื่อการสอนการ จัดกิจกรรมระหว่างสอน การทดสอบเป็นต้น รวมทั้งความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของครูในการให้ความ ช่วยเหลือ แนะแนวแก่ผู้เรียนในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการให้กำลังใจ ให้ความรักและความเอาใจใส่ด้วย โดยมี องค์ประกอบการจัดการเรียนการสอน คือ หลักสูตรการเรียนการสอน การจัดการเรียนการสอน สื่อการเรียนการ สอน และการวัดผละประเมินผล 5.2 ความสำคัญของแบบฝึกทักษะ แบบฝึกเป็นส่วนที่เพิ่มหรือเสริมบทเรียน ใช้เป็นสื่อการเรียนที่ทำขึ้นอย่างเป็นระบบ เป็นประโยชน์ใน การจัดการเรียนการสอนคือเป็นเครื่องมือช่วยให้เกิดการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนที่ช่วยให้ ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน ชาญชัย อาจินสมาจาร (2540) ได้ให้ความสำคัญของแบบฝึกว่า เป็นส่วนหนึ่งของบทเรียนที่นักเรียน ต้องเรียนและเป็นโครงการที่ต้องทำให้เสร็จ โดยคำถามให้นักเรียนทบทวนความรู้จากบทเรียนที่ผ่านมาทำให้ทราบ ได้ว่านักเรียนทำอะไรและทำให้สำเร็จผลอะไรในบทเรียน ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในชั้นเรียนและที่บ้าน มะลิ อาจวิชัย (2540) ได้ให้ความสำคัญของแบบว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพจะช่วยทำให้ นักเรียนประสบผลสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี แบบฝึกที่ดีเปรียบเสมือนผู้ช่วยที่สำคัญของครู ทำให้ครูลด ภาระการสอน ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่และเพิ่มความมั่นใจในการเรียนเป็นอย่างดี


36 กันต์ดนัย วรจิตติพล (2542) ได้ให้ความสำคัญของแบบฝึกว่า เป็นเครื่องมือทางการเรียนอย่างหนึ่งที่ มุ่งให้นักเรียนฝึกกระทำด้วยตนเอง เพื่อจะได้มีทักษะหรือความชำนาญเพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้เรียนรู้ในภาคทฤษฎี หรือด้านเนื้อหาแล้ว สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2543) ได้ให้ความสำคัญของแบบฝึกว่า แบบฝึกหัดเป็นสื่อการสอนที่ทำขึ้น เพื่อฝึกฝนทักษะของนักเรียนหลังจากที่เรียนเนื้อหาไปแล้ว ช่วยทำให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ดีขึ้น ทำให้ นักเรียนมีโอกาสนำความรู้ที่ได้เรียนแล้วมาฝึกซ้ำให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น และเป็นสื่อการเรียนให้ผู้เรียนได้ฝึก ปฏิบัติ แบบฝึกมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเรียน เป็นอุปกรณ์ทางการเรียนการสอนที่มีส่วนช่วยสำคัญใน การพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ช่วยทบทวนความรู้ เพิ่มทักษะของผู้เรียน ให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญในเนื้อหา และยังช่วยให้เห็นถึงความก้าวหน้าและข้อบกพร่องทางการเรียนของผู้เรียนเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข 5.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ แบบฝึกทักษะเป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนที่มีประโยชน์ทั้งสำหรับครูผู้สอนและนักเรียน เพราะ แบบฝึกมีส่วนช่วยในการฝึกฝนความรู้ความเข้าใจ และทักษะของนักเรียน เป็นการช่วยเพิ่มพูนองค์ความรู้ และ ช่วยให้ครูผู้สอนประเมินนักเรียน ได้มีนักวิชาการหลายท่านกล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึก ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2537) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. เป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมหนังสือเรียน 2. ช่วยเสริมทักษะการใช้ภาษาให้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องอาศัยการส่งเสริมและความเอาใจใส่จาก ครูผู้สอน 3. ช่วยเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะการที่ให้นักเรียนทำแบบฝึกที่เหมาะสมกับ ความสามารถของเขาจะช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จ 4. แบบฝึกช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน 5. การให้นักเรียนทำแบบฝึกช่วยทำให้ครูมองเห็นจุดเด่นจุดพร่องของนักเรียนได้ชัดเจน ซึ่งช่วย ให้ครูดำเนินการปรับปรุง แก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้ทันท่วงที 5. แบบฝึกที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วจะช่วยให้ครูประหยัดเวลาในการสร้างแบบฝึก นักเรียนไม่ ต้องเสียงเวลาลอกแบบฝึก ทำให้มีเวลาและฝึกฝนมากขึ้น ประทีป แสงเปี่ยมสุข (2538) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. เป็นอุปกรณ์ช่วยลดภาระครู 2. ช่วยให้นักเรียนฝึกทักษะทางภาษาได้ดีขึ้น 3. ช่วยเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในจิตใจมาก 4. ช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน


37 5. เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียน หลังจากเรียนบทเรียนแล้ว 6. ช่วยให้นักเรียนสามารถทบทวนได้ด้วยตนเอง 7. ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ชัดเจน 8. ช่วยให้นักเรียนฝึกฝนได้เต็มที่ นอกเหนือจากที่เรียนในเวลาเรียน 9. ช่วยให้นักเรียนมองเห็นความก้าวหน้าของตนเอง 10. ช่วยให้นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการสะกดคำ เตือนใจ ตรีเนตร (2544) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกจะช่วยให้นักเรียนมี พัฒนาการที่ดีมีความชำนาญและเกิดการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะ สรุปได้ว่า เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ชุดแบบฝึก พัฒนาทักษะการสร้างคำเป็นสื่อประกอบการเรียนการสอน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย เพื่อพัฒนาการ เรียนรู้ของผู้เรียน ทบทวนความรู้ และเพิ่มทักษะให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญในเนื้อหา พร้อมทั้งช่วยทำให้เห็น ความก้าวหน้าและข้อบกพร่องทางการเรียนของผู้เรียน นำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีพัฒนา ทางการเรียนรู้ที่ดีมากยิ่งขึ้น 6. ความพึงพอใจ 6.1 ความหมายของความพึงพอใจ กู๊ด (Good, อ้างถึงใน ปุณยภาพัชร อาจหาญ, 2555) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพ คุณภาพ หรือระดับความพึงพอใจซึ่งเป็นผลมาจาก ความสนใจต่าง ๆ และทัศนคติที่บุคคลนั้นมีต่อสิ่งนั้น วิรุฬ พรรณเทวี (2542, อ้างถึงใน ปุณยภาพัชร อาจหาญ, 2555) ให้ความหมายว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ที่ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะคาดหวังกับสิ่งหนึ่งอย่างไร ถ้า คาดหวังหรือมีความตั้งใจมากและได้รับการตอบสนองด้วยดีจะมีความพึงพอใจมาก แต่ในทางตรงกันข้ามอาจ ผิดหวังหรือไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนตั้งใจไว้ว่ามี มากหรือน้อย อรรถพร คำคม (2546, อ้างถึงใน ปุณยภาพัชร อาจหาญ, 2555) ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติ หรือระดับความพึงพอใจของบุคคลต่อกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกิจกรรมนั้น ๆ โดยเกิด จากพื้นฐานของการรับรู้ค่านิยมและประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลจะได้รับ ระดับของความพึงพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อ กิจกรรมนั้น ๆ สามารถตอบสนองความต้องการแก่บุคคลนั้นได้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2556) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง รักและชอบใจ


38 โวลแมน (Wolman, อ้างถึงใน รัชฎาพร พันธุ์ทวี, 2562) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก ที่มีความสุขเมื่อได้รับผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย ความต้องการหรือแรงจูงใจ มณี โพธิเสน (2543, อ้างถึงใน รัชฎาพร พันธุ์ทวี, 2562) ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจเป็น ความรู้สึกยินดี หรือเจตคติที่ดีของบุคคลเมื่อได้รับการตอบสนองความต้องการของตน ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีในสิ่ง นั้น ๆ จิราพร กำจัดทุกข์ (2552, อ้างถึงใน รัชฎาพร พันธุ์ทวี, 2562) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่เป็นการยอมรับความรู้สึกที่ยินดีความรู้สึกชอบในการได้รับบริการหรือได้รับการตอบสนองตามความ คาดหวังหรือความต้องการที่บุคคลนั้นได้ตั้งไว้ สรุปได้ว่า ความพึงพอใจของผู้เรียน หมายถึง ความรู้สึกยินดี เจตคติและทัศนคติของผู้เรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกการสร้างคำประสมในภาษาไทย ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่ง ประกอบด้วย ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นขั้นตอนต่อเนื่อง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะการสร้างคำประสมที่สูงขึ้น นักเรียนมีความสนุกสนานในการปฏิบัติกิจกรรมตลอดการ เรียนการสอน นักเรียนมีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน และครูส่งเสริมให้นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการเรียนรู้ ด้านเนื้อหา ประกอบด้วย ความยากง่ายของเนื้อหาเหมาะสมกับความสามารถของ นักเรียน เนื้อหา ภาษา และรูปแบบชุดแบบฝึกตรงกับความสนใจ และความต้องการของนักเรียน เนื้อหาเรียงลำดับ จากง่ายไปยาก แบบฝึกหัดสอดคล้องกับเนื้อหาในชุดแบบฝึกทักษะ การจัดเนื้อหาเหมาะสมกับเวลาเรียน และด้าน ประโยชน์ที่ได้รับ ประกอบด้วย นักเรียนได้รับความรู้ใหม่จากชุดแบบฝึกทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย นักเรียนได้พัฒนาทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย นักเรียนสามารถนำความรู้การสร้างคำประสมใน ภาษาไทยไปใช้ในชีวิตประจำวัน นักเรียนสามารถจำแนกประเภทของคำประสมในภาษาไทยได้ถูกต้อง ช่วยให้ นักเรียนมีแนวทางในการเขียนที่ดีขึ้น ซึ่งประเมินระดับความพึงพอใจได้จากแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกการสร้างคำประสมใน ภาษาไทย 6.2 แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ อับราฮัม มาสโลว์ (1970) เสนอทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of Needs) ซึ่ง จะถูกเรียงตามลำดับจากสิ่งที่กดดันมากที่สุดไปถึงน้อยที่สุด ทฤษฎีของมาสโลว์ได้จัดลำดับความต้องการตาม ความสำคัญ คือ 1. ความต้องการทางกาย (physiological needs) เป็นความต้องการพื้นฐาน คือ อาหาร ที่พัก อากาศ ยารักษาโรค 2. ความต้องการความปลอดภัย (safety needs) เป็นความต้องการที่เหนือกว่า ความต้องการ เพื่อความอยู่รอด เป็นความต้องการในด้านความปลอดภัยจากอันตราย


39 3. ความต้องการทางสังคม (social needs) เป็นการต้องการการยอมรับจากเพื่อน 4. ความต้องการการยกย่อง (esteem needs) เป็นความต้องการการยกย่องส่วนตัว ความนับถือ และสถานะทางสังคม 5. ความต้องการให้ตนประสบความสำเร็จ (self – actualization needs) เป็นความต้องการ สูงสุดของแต่ละบุคคล ความต้องการทำทุกสิ่งทุกอย่างได้สำเร็จ พิทักษ์ (2538) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นปฏิกิริยาด้านความรู้สึกต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นที่แสดงผล ออกมาในลักษณะของผลลัพธ์สุดท้ายของกระบวนการประเมิน โดยบ่งบอกทิศทางของผลการประเมินว่าเป็นไปใน ลักษณะทิศทางบวกหรือทิศทางลบหรือไม่มีปฏิกิริยาคือเฉย ๆ ต่อสิ่งเร้าหรือสิ่งที่มากระตุ้น Scott (1970, อ้างถึงใน ไพจิตต ตาระบัตร, 2558) เสนอแนวคิดการสร้างความพึงพอใจต่อการ ทำงานที่จะก่อให้เกิดผลดีในการปฏิบัติงาน ดังนี้ 1. งานควรมีส่วนสัมพันธ์กับความปรารถนาส่วนตัว งานนั้นจะมีความหมายสำหรับผู้ทำ 2. งานนั้นต้องมีการวางแผนและวัดความสำเร็จได้ โดยใช้ระบบการทำงาน และการควบคุมที่มี ประสิทธิภาพ 3. เพื่อให้ได้ผลในการสร้างแรงจูงใจภายในเป้าหมายของงาน จะต้องมีลักษณะดังนี้ 3.1 คนทำงานมีส่วนในการตั้งเป้าหมาย 3.2 ผู้ปฏิบัติได้รับทราบผลสำเร็จในการทำงานโดยตรง 3.3 งานนั้นสามารถทำให้สำเร็จได้ สมยศ นาวีการ (2545, อ้างถึงใน ไพจิตต ตาระบัตร, 2558) ความพึงพอใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะกระตุ้น ให้ผู้เรียนทำงานที่ได้รับมอบหมายหรือต้องการปฏิบัติงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของผู้สอน ความพึงพอใจ สรุปได้ว่า แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับความพึงพอใจ เป็นสิ่งสำคัญเมื่อนำมาใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมในการเรียนการสอนนั้นบรรลุตามวัตถุประสงค์ โดย บ่งบอกทิศทางของผลการประเมินความพึงพอใจว่าเป็นไปในลักษณะทิศทางบวกหรือทิศทางลบ เมื่อนำแนวคิด และทฤษฎีเหล่านี้มาประยุกต์กับการทำกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนต้องสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้เรียน โดย การพัฒนาและใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำเรื่องคำประสม โดยคำนึงถึงหลักต่าง ๆ ที่จะเสริมสร้างความ พึงพอใจแก่ผู้เรียน และให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพในการเรียนมากที่สุด 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคำประสม และการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึก พัฒนาทักษะการสร้างคำ ดังนี้


40 7.1 งานวิจัยในประเทศ 7.1.1 งานวิจัยเกี่ยวกับการสร้างคำประสม อัญชสา ยิ้มถนอม (2553) ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการสร้างคำใน ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการสร้างคำใน ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป และศึกษาความคิดเห็นของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/7 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 1 จำนวน 46 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการสร้างคำในภาษาไทย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการสร้างคำใน ภาษาไทย และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป เรื่องการสร้างคำในภาษาไทย ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 91.34/88.47 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูปสูงกว่า ก่อนการเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอยู่ที่ระดับ 0.05 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มี ความคิดเห็นต่อการเรียนเรื่องการสร้างคำในภาษาไทยด้วยบทเรียนสำเร็จรูปอยู่ในระดับมาก เสาวนีย์ โพธิ์เต็ง (2557) ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องการสร้างคำในภาษาไทย โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับแบบฝึกทักษะ เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องการสร้างคำใน ภาษาไทย โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับแบบฝึกทักษะ และเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบอุปนัยร่วมกับแบบฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 3 (เทศบาลสงเคราะห์) สังกัดเทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย แบบฝึกทักษะเรื่องการ สร้างคำในภาษาไทย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย และแบบสอบถามความ คิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับแบบฝึกทักษะเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษปีที่ 1 เรื่องการสร้างคำในภาษาไทย โดย จัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับแบบฝึกทักษะ หลักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับแบบฝึกทักษะ ใน ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด


Click to View FlipBook Version