41 ศิริโชค เจริญราช จิรัฏฐ์ เพ็งแดง และฉัตรอนงค์ เงินเมือง (2560) ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนา ทักษะการสร้างคำโดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะคำประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านวังบัว ปี การศึกษา 2560 เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการสร้างคำประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 โดยใช้แบบฝึกทักษะคำประสม กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน โรงเรียนบ้านวังบัวภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการสร้างคำจำนวน 5 แผน แบบฝึกทักษะการสร้างคำประสม แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์การสร้างคำก่อนเรียนและหลังเรียน ผลการวิจัยพบว่า การหาประสิทธิภาพของแบบทดสอบนวัตกรรม จำนวน 30 ข้อ ผ่านเกณฑ์ ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก ซึ่งสามารถใช้แบบทดสอบและนวัตกรรมไปใช้ในการ สอนนักเรียนเพื่อพัฒนาทักษะการสร้างคำประสม และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียนที่ได้รับการสอนและฝึกทักษะการสร้างคำประสมและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลการวิจัย นักเรียนมีค่าประสิทธิภาพด้านกระบวนการและประสิทธิภาพด้านผลลัพธ์ (E1/E2) เท่ากับ (85.95/83.15 ) โดยตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 และมีนัยสำคัญทางสถิต 7.1.2 งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะ ฉัตรชนก อินทะนาม (2551) ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนคำประสม กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนคำประสม กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 88.27/84.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้ และหลังจากการใช้แบบฝึกคำประสม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนคำประสม หลังเรียนสูงกว่าก่อนใช้แบบฝึกทักษะอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 เครือฟ้า ไวแสน (2553) ได้ศึกษาเรื่องการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการเรียนรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านโนนสูง ดอนหลี่ สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 2 พบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ การเรียนรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.53/89.71 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างมีนัยสำคัญ สถิติที่ระดับ .01และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะในภาพรวมอยู่ในระดับพอใจ ซึ่ง เป็นระดับที่สูงสุดที่ตั้งไว้ ราวัน สัมปัญนัง (2553 ) ได้ศึกษาเรื่องการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึก เสริมทักษะประกอบบทเรียนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค L.T. เรื่องการอ่านและเขียนคำยากชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะประกอบบทเรียนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค L.T. เรื่อง การอ่านและเขียนคำยาก ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ 80.48/82.59 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75 /75
42 ที่ตั้งไว้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะประกอบบทเรียนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค L.T. เรื่อง การอ่านและเขียนคำยาก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6391 และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะประกอบบทเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค L.T. เรื่องการอ่านและเขียนคำยากโดยรวมอยู่ในระดับมาก สมพงษ์ ศรีพยาต (2553) ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดแบบฝึกการเขียนสะกดคำสำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อพัฒนาชุดแบบฝึกการเขียนสะกดคำสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 กับคะแนนร้อยละ 80 เพื่อศึกษาความคงทนของความรู้ทางการเรียนภาษาไทยเรื่องการเขียน สะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการ เรียนรู้เรื่องการเขียนสะกดคำ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ อำเภอศรีสัชนา ลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้การเขียนสะกดคำ แบบฝึกเรื่องการ เขียนสะกดคำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เรื่องการเขียนสะกดคำ และแบบสัมภาษณ์นักเรียน ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกการเขียนสะกดคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.90/86.75 แสดงว่า แบบฝึกการเขียนสะกดคำมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ แบบฝึก การเรียนสะกดคำส่งผลให้นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าร้อยละ 80 ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ความคงทนทางการเรียนภาษาไทยเรื่องการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่สอนโดยชุดแบบฝึกการเขียนสะกดคำมีความคงทนในการจำไม่แตกต่างกัน และนักเรียนมีความคิดเห็นที่ดีในความยากง่ายของเนื้อหาและรูปแบบของชุดแบบฝึก แสงระวี ประจวบวัน (2553) ศึกษาเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนความเรียง โดยใช้แบบฝึก ทักษะที่ใช้วิธีการแผนที่ความคิดสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและหา ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนความเรียง สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการเขียนความเรียง สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะที่ใช้วิธีการแผนที่ความคิด และเพื่อศึกษาความคิดเห็น ของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะที่ใช้วิธีการแผนที่ความคิด กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนละเอียดอุปถัมภ์ อำเภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้การเขียนที่ใช้แผนที่ความคิด แบบฝึกทักษะการเขียนความเรียง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเขียนความเรียง และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ผลการวิจัยพบว่าแบบ ฝึกทักษะการเขียนความเรียงมีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ80.31/82.11 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนด้านทักษะการเขียนความเรียงของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 โดยผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และผู้เรียนมีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ แบบฝึกทักษะการเขียนความเรียงที่ใช้วิธีการแผนที่ความคิดสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อยู่ในระดับมาก
43 ณัฏฐิราภรณ์ อะสุรินิทร์, กมลทิพย์ วรเชษฐ์ ,กฤติยาภรณ์ จันทร์หา,กาญจนา คำสะไมล์ และ จักรกฤต ปัตติลาพัง (2559) ศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคำซ้อนโดยใช้ชุดแบบฝึก ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคำซ้อน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ ที่เรียนโดยใช้ชุดแบบฝึกกับเกณฑ์ร้อยละ 75 เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคำซ้อน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ ที่เรียนโดยใช้ชุด แบบฝึกระหว่างก่อนและหลังเรียน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนาดูน ประชาสรรพ์ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องคำซ้อนโดยใช้ชุดแบบฝึก กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์ จำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องคำซ้อน จำนวน 3 แผน ชุดแบบฝึกเรื่องคำซ้อน จำนวน 3 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคำซ้อน และ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 5 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนนาดูนประชาสรรพ์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคำซ้อนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคำซ้อนสูงกว่าหลังเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ เรื่องคำซ้อนโดยใช้ชุดแบบฝึก โดยรวมอยู่ในระดับมาก 7.2 งานวิจัยต่างประเทศ Clanton (1977) ได้ศึกษาผลของการทำแบบฝึกทักษะชนิดที่ลบด้วยอักษรออกจากคำ และให้ นักเรียนเติมอักษรที่หายไป สัปดาห์ละ 4 แบบฝึกทักษะ รวม 3 สัปดาห์ กับนักเรียนระดับ 6-7 จำนวน 194 คน พบว่า คะแนนจากการทดลองสอบสะกดคำของนักเรียนกลุ่มทดลองไม่สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม นักเรียนกลุ่ม ทดลองไม่มีคะแนนสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมในการทดสอบหลังการทำแบบฝึกทักษะ แต่คะแนนของนักเรียน กลุ่มทดลองหลังทำแบบฝึกทักษะสูงกว่าคะแนนก่อนการทำแบบฝึกทักษะ ซึ่งนักเรียนระดับ 6 ที่จัดระบบการสอน ที่ดี ได้คะแนนสูงกว่านักเรียนระดับ 7 ที่เป็นกลุ่มทดลอง Lowray (1978, อ้างอิงใน สมพงษ์ ศรีพยาต, 2553: 51) ได้ศึกษาผลในการใช้แบบฝึกทักษะกับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 87 คน พบว่า แบบฝึกหัดเป็นเครื่องมือที่ช่วย นักเรียนในการเรียนรู้ นักเรียนที่ได้รับการฝึกโดยใช้แบบฝึกทักษะมีคะแนนการทดสอบหลังเรียนมากกว่าคะแนน ก่อนแบบฝึกหัด และนักเรียนสามารถทำข้อทดสอบหลังจากการทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้องเฉลี่ยร้อยละ 98.8 แบบฝึกหัดช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากนักเรียนมีความสามารถทางด้านภาษาแตกต่างกัน การนำแบบฝึกหัดมาใช้จึงเป็นการช่วยให้นักเรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนมากขึ้น จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกประเทศดังที่กล่าวมา สรุปได้ว่า มีผู้ศึกษาเกี่ยวกับ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสม และการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำไว้จำนวนไม่แน่นอน แต่การใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำการสร้างคำในการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคำประสมยังมีจำนวนน้อย งานวิจัยที่นำเสนอไว้ข้างต้นผู้วิจัยจึงนำความรู้ที่ได้รับ
44 ข้อเสนอแนะจากการศึกษา มาปรับใช้ในการวิจัยเพื่อให้การจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทยด้านการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คำประสม โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำการสร้างคำประสมเป็นไปอย่าง มีประสิทธิภาพ
บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ มีวัตถุประสงค์การวิจัย 2 ประการ คือ 1) เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การสร้างคำประสม ด้วยชุดแบบ ฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการใช้ชุดแบบฝึก พัฒนาทักษะการสร้างคำ มีวิธีการดำเนินการวิจัย ดังนี้ 1. แบบแผนการวิจัย 2. การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย วิธีการสร้าง และการตรวจสอบคุณภาพ 4. การดำเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองตามแบบ แผนการวิจัยขั้นพื้นฐาน (Pre - Experimental Design) แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (The One Group Pretest Posttest Design) มีแบบแผนการวิจัยดังนี้ (มาเรียม นิลพันธุ์, 2554 :147) สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบจำลอง T1 แทน การทดสอบก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำใน ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 X แทน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในการสร้างคำประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ T2 แทน การทดสอบหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำใน ภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
45 2. การกำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2.1 ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านส้มป่อย จำนวน 12 ห้องเรียน รวมจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 384 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน บ้านส้มป่อย รวมจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ด้วย วิธีการจับสลาก 1 ห้องเรียน จากห้องเรียนทั้งหมด 12 ห้องเรียน โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม (Sampling Unit) 3. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีดังนี้ 3.1.1 ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 3.1.2 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างคำประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ การสร้างคำ 3.1.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย 3.1.4 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ การสร้างคำ 3.2 วิธีการสร้าง และการตรวจสอบคุณภาพ 3.2.1 ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและพัฒนาชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 3.2.1.1 ศึกษาค้นคว้าเอกสาร ตำรา หนังสือ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องการสร้างคำประสม วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย เพื่อกำหนดขอบเขตและครอบคลุมเนื้อหาสาระที่ต้องการ 3.2.1.2 ศึกษาค้นคว้าเอกสาร ตำรา หนังสือและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคำประสมในภาษาไทย ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ และเอกสารต่าง ๆ 3.2.1.3 กำหนดเวลาเนื้อหาในชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 3.2.1.4 สร้างชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 9 โรงเรียนบ้านส้มป่อย ที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 32 คน
46 3.2.1.5 นำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ เสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยตรวจสอบ ความถูกต้องด้านเนื้อหา การใช้ถ้อยคำ และปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย 3.2.1.6 นำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ ที่ปรึกษาวิจัยแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญซึ่งสำเร็จการศึกษาไม่น้อยกว่าระดับปริญญามหาบัณฑิตด้านภาษาไทย การสอน ภาษาไทย ภาษาศาสตร์ หรือการวิจัยและประเมินผล จำนวน 3 ท่าน และมีประสบการณ์ด้านการสอนภาษาไทย ไม่น้อยกว่า 5 ปี (รายนามอยู่ในภาคผนวก ก) ตรวจสอบความเหมาะสมของชุดแบบฝึกด้วยวิธีการหาค่าความ เหมาะสมของชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (แบบประเมินอยู่ใน ภาคผนวก ง) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน พิจารณาและให้คะแนนตามทฤษฎีของลิเคิร์ท (Likert) ดังนี้ 5 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด 4 หมายถึง เหมาะสมมาก 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 2 หมายถึง เหมาะสมน้อย 1 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด การแปลความหมายค่าเฉลี่ยที่วัดได้ผู้วิจัยกำหนดเกณฑ์การให้ความหมายตามเกณฑ์ของ นรินทร์ สังข์รักษา (2556: 155) ดังตารางที่ 1 ดังนี้ ตารางที่ 1 เกณฑ์การแปลความหมายระดับค่าเฉลี่ยความคิดเห็น ระดับคะแนน ระดับความคิดเห็น 4.50 - 5.00 เหมาะสมมากที่สุด 3.50 – 4.49 เหมาะสมมาก 2.50 – 3.49 เหมาะสมปานกลาง 1.50 – 2.49 เหมาะสมน้อย 1.00 – 1.49 เหมาะสมน้อยที่สุด 3.2.1.7 ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญได้ค่าลักษณะการจัดรูปเล่ม (̅= 4.78, S.D. = 0.38) ลักษณะเนื้อหา (̅= 4.50, S.D. = 0.28) ลักษณะภาษาไทยที่ใช้ (̅= 4.83, S.D. = 0.28) ของชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำ ซึ่งแสดงว่าชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำมีความเหมาะสม ในระดับความคิดเห็นเหมาะสม มากที่สุด (ผลการวิเคราะห์อยู่ในภาคผนวก จ) 3.2.1.8 ปรับปรุงชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ และให้ อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยตรวจสอบอีกครั้ง
47 3.2.1.9 นำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มทดลอง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านส้มป่อย ที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการ สร้างคำ ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเป็นอย่างดีทุกขั้นตอน 3.2.2 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การสร้างคำประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำ จำนวน 5 แผน ใช้เวลา 5 คาบ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การ สร้างคำประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ตามขั้นตอนดังนี้ 3.2.2.1 ศึกษาค้นคว้าเอกสาร ตำรา หนังสือที่เกี่ยวกับการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3.2.2.2 วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย เพื่อกำหนดขอบเขตและครอบคลุมเนื้อหาสาระที่ต้องการ 3.2.2.3 ศึกษาค้นคว้าเอกสาร ตำรา หนังสือและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคำประสมในภาษาไทย ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ และเอกสารต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3.2.2.4 กำหนดเวลาเนื้อหา เวลาเรียน กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัด ประเมินผล 3.2.2.5 สร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างคำประสมในภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 5 แผน แผนละ 1 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง รวม 5 คาบ ดังตารางที่ 1 ดังนี้ ตารางที่ 2 โครงสร้างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างคำประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ การสร้างคำ แผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่ เรื่อง จำนวนคาบ 1 ลักษณะของคำประสมในภาษาไทย 1 2 หน้าที่ของคำประสมในภาษาไทย 1 3 หลักการสร้างคำประสมในภาษาไทย 1 4 การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำไทย 1 5 การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำภาษาต่างประเทศ 1 รวม 5
48 3.2.2.6 นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้ง 5 แผน เสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยตรวจสอบ ความถูกต้องด้านเนื้อหา การใช้ถ้อยคำ และปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามคำแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย 3.2.2.7 นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา วิจัยแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสำเร็จการศึกษาไม่น้อยกว่าระดับปริญญามหาบัณฑิตด้านภาษาไทย การสอน ภาษาไทย ภาษาศาสตร์ หรือการวิจัยและประเมินผล จำนวน 3 ท่าน และมีประสบการณ์ด้านการสอนภาษาไทย ไม่น้อยกว่า 5 ปี (รายนามอยู่ในภาคผนวก ก) ตรวจสอบความเหมาะสมของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย วิธีการหาค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (แบบประเมินอยู่ ในภาคผนวก ง) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน พิจารณาและให้คะแนนตามทฤษฎีของลิเคิร์ท (Likert) ดังนี้ 5 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด 4 หมายถึง เหมาะสมมาก 3 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 2 หมายถึง เหมาะสมน้อย 1 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด การแปลความหมายค่าเฉลี่ยที่วัดได้ผู้วิจัยกำหนดเกณฑ์การให้ความหมายตามเกณฑ์ของ นรินทร์ สังข์รักษา (2556: 155) ดังตารางที่ 3 ดังนี้ ตารางที่ 3 เกณฑ์การแปลความหมายระดับค่าเฉลี่ยความคิดเห็น ระดับคะแนน ระดับความคิดเห็น 4.50 - 5.00 เหมาะสมมากที่สุด 3.50 – 4.49 เหมาะสมมาก 2.50 – 3.49 เหมาะสมปานกลาง 1.50 – 2.49 เหมาะสมน้อย 1.00 – 1.49 เหมาะสมน้อยที่สุด 3.2.2.8 ผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญได้ค่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 (̅= 4.40, S.D. = 0.44) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 2 (̅= 4.44, S.D. = 0.55) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 3 (̅= 4.47, S.D. = 0.44) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 4 (̅= 4.40, S.D. = 0.57) แผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ 5 (̅= 4.59, S.D. = 0.50) ของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งแสดงว่าแผนการจัดกิจกรรม
49 การเรียนรู้มีความเหมาะสม ในระดับความคิดเห็นเหมาะสมมากและเหมาะสมมากที่สุด (ผลการวิเคราะห์อยู่ใน ภาคผนวก จ) 3.2.2.9 ปรับปรุงแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ และให้อาจารย์ ที่ปรึกษาวิจัยตรวจสอบอีกครั้ง อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ให้ดำเนินการทดลองเครื่องมือวิจัยได้ 3.2.10 นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ห้อง 2/9 โรงเรียนบ้านส้มป่อย ที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน พบว่า นักเรียนที่ ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมเป็นอย่างดีทุกขั้นตอน 3.2.11 นำผลการทดลองใช้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แล้วนำไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านส้มป่อย จำนวน 32 คน (ตัวอย่างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ใน ภาคผนวก ค) 3.2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย แบบทดสอบการสร้างคำประสมในภาษาไทยที่สร้างขึ้นเป็นข้อสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ผู้วิจัยกำหนดการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 3.2.3.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย 3.2.3.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.2.3.3 วิเคราะห์เนื้อหาสาระ และสาระการเรียนรู้แกนกลางเพื่อกำหนดจุดประสงค์การ เรียนรู้ของเนื้อหาสาระที่เรียน 3.2.3.4 สร้างตารางวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำ ประสมในภาษาไทย ตามแนวคิด Bloom’s Revised Taxonomy ดังนี้
50 ตารางที่ 4 โครงสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 หัวข้อ/เนื้อหา พฤติกรรมการวัด จดจำ ทำความ เข้าใจ ประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ ประเมิน สร้างสรรค์ รวม 1. ลักษณะของคำประสม 2 (1) 2 (1) - 2 (1) - - 6 (3) 2. หน้าที่ของคำประสมใน ภาษาไทย 2 (1) 2 (1) 2 (1) 3 (2) - - 9 (5) 3.หลักการสร้างคำประสม ในภาษาไทย 2 (1) 4 (1) 2 (1) 3 (1) - - 11 (4) 4. การสร้างคำประสมใน ภาษาไทยที่เกิดจากคำไทย กับคำไทย - 4 (2) - 3 (2) - - 7 (4) 5. การสร้างคำประสมใน ภาษาไทยที่เกิดจากคำไทย กับคำภาษาต่างประเทศ - 4 (2) - 3 (2) - - 7 (4) รวมจำนวนข้อสอบ 6 (3) 16 (7) 4 (2) 14 (8) - - 40 (20) * ตัวเลขที่อยู่ในวงเล็บคือจำนวนข้อสอบที่นำมาใช้ในแบบทดสอบ 3.2.3.5 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วยข้อสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ และ คัดเลือกเพื่อนำไปใช้ทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน กำหนดจำนวนข้อสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ โดยข้อสอบที่สร้างขึ้นมีเกณฑ์การตรวจให้คะแนน คือ ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน 3.2.3.6 เสนอแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างขึ้นต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ด้านภาษา ด้าน เนื้อหา ตามเกณฑ์การประเมินและดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง
51 3.2.3.7 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ที่ ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญซึ่งสำเร็จการศึกษาไม่น้อยกว่าระดับ ปริญญามหาบัณฑิตด้านภาษาไทย การสอนภาษาไทย ภาษาศาสตร์หรือการวิจัยและประเมินผล จำนวน 3 ท่าน และมีประสบการณ์ด้านการสอนภาษาไทยไม่น้อยกว่า 5 ปี (รายนามอยู่ในภาคผนวก ก) ประเมินแบบทดสอบเพื่อ หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาของแบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ นำผลจากการวิเคราะห์ค่า ดัชนีความสอดคล้อง ≥ 0.5 ขึ้นไป โดยผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของ แบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยเท่ากับ 1.00 (ผลการวิเคราะห์อยู่ ในภาคผนวก จ) 3.3.8 ปรับปรุงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญและให้อาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบอีกครั้ง อาจารย์ที่ปรึกษาให้ดำเนินการทดลอง เครื่องมือวิจัยได้ 3.2.3.9 นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try Out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน บ้านส้มป่อย ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 40 คน ที่เคยศึกษาเรื่องการการสร้างคำ ประสมในภาษาไทยมาแล้ว ผลการทดลองใช้ พบว่า นักเรียนสามารถอ่าน และเข้าใจข้อคำถามได้ด้วยตนเองและไม่ มีข้อสงสัยเกี่ยวกับแบบทดสอบ 3.2.3.10 นำผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย มาตรวจให้คะแนนโดยข้อสอบปรนัยตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน 3.2.3.11 ดำเนินการนำแบบทดสอบมาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และอำนาจจำแนก (r) ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ดังนี้ 1) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) คือ สัดส่วนระหว่างจำนวนผู้ตอบแบบทดสอบถูกในแต่ละข้อ ต่อจำนวนผู้เข้า สอบทั้งหมด โดยใช้เกณฑ์ความยากง่ายระหว่าง 0.20–0.80 (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543: 129) ได้ค่าความยากง่ายอยู่ ระหว่าง 0.50–0.80 (ผลการวิเคราะห์อยู่ในภาคผนวก จ) 2) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมใน ภาษาไทยมาวิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนก (r) คือการตรวจสอบว่าแบบทดสอบสามารถจำแนกนักเรียนกลุ่มเก่ง และกลุ่มอ่อนได้ดีเพียงใด โดยใช้เกณฑ์ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2543: 130) ได้ค่า อำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20–0.90 (ผลการวิเคราะห์อยู่ในภาคผนวก จ) 3) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมใน ภาษาไทยไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านส้มป่อย จำนวน 32 คน (ตัวอย่างแบบทดสอบอยู่ ในภาคผนวก ข)
52 3.2.3.12 ดำเนินการนำแบบทดสอบมาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นด้วยวิธีการสอบซ้ำ (Test – Retest Method) โดยการตรวจสอบการวัดค่าความเชื่อมั่นที่สม่ำเสมอและคงที่ ผู้วิจัยนำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย มาหาค่าความเชื่อมั่นและใช้เกณฑ์ความเชื่อมั่น ตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป โดยได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 (ผลการวิเคราะห์อยู่ในภาคผนวก จ) และตัดข้อสอบข้อที่ไม่ มีคุณภาพตามเกณฑ์ออก 3.2.4 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ การสร้างคำ มีขั้นตอนการสร้าง ดังนี้ 3.2.4.1 ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทยจากเอกสารและตำราที่เกี่ยวข้อง 3.2.4.2 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึก พัฒนาทักษะการสร้างคำ ประกอบด้วยคำถาม จำนวน 15 ข้อ แบ่งเป็นคำถาม 3 ด้าน คือ ด้านกิจกรรมการเรียน การสอน ด้านเนื้อหา และด้านประโยชน์ที่ได้รับ ซึ่งแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตาม ทฤษฎีของลิเคิร์ท (Likert) ดังนี้ 5 หมายถึง นักเรียนพึงพอใจในระดับมากที่สุด 4 หมายถึง นักเรียนพึงพอใจในระดับมาก 3 หมายถึง นักเรียนพึงพอใจในระดับปานกลาง 2 หมายถึง นักเรียนพึงพอใจในระดับน้อย 1 หมายถึง นักเรียนพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด การแปลความหมายค่าเฉลี่ยที่วัดได้ผู้วิจัยกำหนดเกณฑ์การให้ความหมายตามเกณฑ์ของ นรินทร์ สังข์รักษา (2556: 155) ดังตารางที่ 5 ดังนี้ ตารางที่ 5 เกณฑ์การแปลความหมายระดับค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ ระดับคะแนน ระดับความพึงพอใจ 4.50 - 5.00 พึงพอใจในระดับมากที่สุด 3.50 – 4.49 พึงพอใจในระดับมาก 2.50 – 3.49 พึงพอใจในระดับปานกลาง 1.50 – 2.49 พึงพอใจในระดับน้อย
53 1.00 – 1.49 พึงพอใจในระดับน้อยที่สุด 3.2.4.3 เสนอแบบสอบถามความพึงพอใจต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง และให้คำแนะนำ 3.2.4.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษา วิจัยแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสำเร็จการศึกษาไม่น้อยกว่าระดับปริญญามหาบัณฑิตด้านภาษาไทย การสอน ภาษาไทย ภาษาศาสตร์หรือการวิจัยและการประเมินผล จำนวน 3 ท่าน และมีประสบการณ์การสอนภาษาไทยไม่ น้อยกว่า 5 ปี (รายนามอยู่ในภาคผนวก ก) ประเมินแบบสอบถามเพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างเนื้อหา ของแบบสอบถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้ นำผลจากการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 3 ท่าน มาคำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้องและคัดเลือกข้อสอบถามที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง ≥ 0.5 ขึ้นไป โดยผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญได้ค่าความสอดคล้องเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 3.2.4.5 นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านส้มป่อย รวมจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 40 คน เพื่อหาคุณภาพของ แบบทดสอบความพึงพอใจ 3.2.4.6 นำแบบสอบถามความพึงพอใจมาหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยการหา สัมประสิทธิ์แอลฟาของ Cronbach method (Cronbach 1984, 161) ใช้เกณฑ์ความเชื่อมั่นตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป โดยได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.72 (ผลการวิเคราะห์อยู่ในภาคผนวก ฉ) 3.2.4.7 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ปรับปรุงแล้วไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านส้มป่อย รวมจำนวนนักเรียน ทั้งสิ้น 32 คน 4. การดำเนินวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 4.1 ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) กับนักเรียนกลุ่มทดลอง เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้าง คำประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและผ่านการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาและ ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ซึ่งเป็นข้อสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ กำหนดเวลาในการทำแบบทดสอบ 60 นาที 4.2 ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมใน ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ตามแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่สร้างไว้ จำนวน 5 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง รวม 5 ชั่วโมง จำนวน 3 สัปดาห์
54 4.3 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย หลังการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ (Posttest) ทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง เป็นข้อสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ซึ่งเป็นแบบทดสอบชุดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียนแต่มีการสลับข้อ กำหนดเวลาในการทำแบบทดสอบ 60 นาที จากนั้นให้นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ชุดแบบฝึก พัฒนาทักษะการสร้างคำ ตรวจผลการทำแบบทดสอบและตรวจผลการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจ แล้วนำผล ที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 5.1 การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย โดยใช้สถิติดังนี้ 5.1.1 การวิเคราะห์ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ การสร้างคำ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างคำประสมในภาษาไทย ตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ใช้การหาด้วยวิธีการหาค่าความเหมาะสมแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน พิจารณาและให้คะแนนตามทฤษฎีของลิเคิร์ท (Likert) และแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่องการสร้างคำ ประสมในภาษาไทย แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำ ที่ตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ใช้การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) การพิจารณาค่า IOC จะต้องมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 ขึ้นไป ซึ่งแสดงว่าข้อ คำถามนั้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์หรือลักษณะพฤติกรรม 5.1.2 การหาความยากง่ายของแบบทดสอบการสร้างคำประสมในภาษาไทย โดยมีเกณฑ์กำหนดค่า ความยากง่ายคือ 0.20-0.80 ถ้าค่าความยากง่าย < 0.20 ถือว่าข้อคำถามนั้นยากเกินไป และถ้าค่าความยากง่าย ≥ 0.80 ถือว่าข้อคำถามนั้นง่ายเกินไป 5.1.3 การหาค่าอำนาจจำแนก โดยเลือกข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.2 ขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็น ข้อสอบที่ใช้ได้ 5.1.4 หาค่าความเชื่อมั่น (reliability) ของแบบทดสอบการสร้างคำประสมในภาษาไทยแบบปรนัย โดยใช้สูตรคำนวณหาค่าของแบบทดสอบด้วยวิธีการสอบซ้ำ (Test – Retest Method) และแบบสอบถามความ พึงพอใจที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำการสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้สูตรค่าแอลฟาของ ครอนบาค (Cronbach’s alpha) 5.2. การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย โดยดำเนินการ ดังนี้ 5.2.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ โดยการหาค่าเฉลี่ย (̅) และ
55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent samples t-test) ใน การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ตั้งระดับนัยสำคัญทางสถิติไว้ที่ระดับ .05 5.2.2 วิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกการสร้างคำ ประสมในภาษาไทยจากแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยใช้ค่าเฉลี่ยเลข คณิต (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 6.การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยและนำเสนอผลกาวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 6.1 ข้อมูลจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ผู้วิจัย นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตารางประกอบความเรียงเพื่อแสดงผลการวิเคราะห์และเปรียบเทียบ คะแนนของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย 6.2 ข้อมูลจากแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตารางประกอบความเรียงเพื่อแสดงระดับ ความคิดเห็นของนักเรียนในด้านต่าง ๆ
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ มีวัตถุประสงค์การวิจัย 2 ประการ คือ 1) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การสร้างคำประสม ด้วยชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการใช้ ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ผู้วิจัยจึงนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ 1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ผู้วิจัยเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ โดยการคำนวณหาค่าเฉลี่ย (̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้านการเรียนเรื่อง การสร้างคำประสม ในภาษาไทย โดยใช้สถิติทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent samples t-test) ที่ ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล มีรายละเอียดดังแสดงในตารางที่ 6 ดังนี้ ตารางที่ 6 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้าง คำ การทดลอง N คะแนนเต็ม ̅ S.D. t sig การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้ 32 20 10.50 1.69 24.92* <.001 การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้ 32 20 17.37 2.62 * P< .05 จากตารางที่ 6 พบว่า ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การสร้างคำประสมใน ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้าง คำ หลังการจัดการเรียนรู้ (̅=17.37, S.D. = 2.62) สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ (̅= 10.50, S.D. = 1.69) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ (ผลการวิเคราะห์อยู่ในภาคผนวก ฉ)
57 2. ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้าง คำ ผู้วิจัยวิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ จากแบบสอบถามหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จากการตอบแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 32 คน สรุปผลการวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจโดยการคำนวณค่าเฉลี่ย (̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล มีรายละเอียดดังแสดงในตารางที่ 7 ดังนี้ ตารางที่ 7 ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำ ที่ รายการประเมิน ̅ S.D. ระดับความ คิดเห็น ลำดับ ที่ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 1 ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็น ขั้นตอนต่อเนื่อง 4.96 0.17 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 2 2 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนส่งเสริมให้นักเรียน มีทักษะการสร้างคำประสมที่สูงขึ้น 4.87 0.42 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 4 3 นักเรียนมีความสนุกสนานในการปฏิบัติกิจกรรม ตลอดการเรียนการสอน 4.84 0.36 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 5 4 นักเรียนมีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นซึ่งกัน และกัน 5.00 0.00 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 1 5 ครูส่งเสริมให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการ เรียนรู้ 4.90 0.39 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 3 ภาพรวมด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 4.91 0.26 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด (3) ด้านเนื้อหา 6 ความยากง่ายของเนื้อหาเหมาะสมกับความสามารถ ของนักเรียน 4.93 0.24 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 3
58 ที่ รายการประเมิน ̅ S.D. ระดับความ คิดเห็น ลำดับ ที่ 7 เนื้อหา ภาษา และรูปแบบชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะ การสร้างคำตรงกับความสนใจ และความต้องการ ของนักเรียน 4.93 0.35 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 2 8 เนื้อหาเรียงลำดับจากง่ายไปยาก 4.96 0.17 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 1 9 แบบฝึกหัดสอดคล้องกับเนื้อหาในชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำ 4.90 0.29 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 4 10 การจัดเนื้อหาเหมาะสมกับเวลาเรียน 4.87 0.33 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 5 ภาพรวมด้านเนื้อหา 4.91 0.27 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด (2) ด้านประโยชน์ที่ได้รับ 11 นักเรียนได้รับความรู้ใหม่จากชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำ 4.93 0.24 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 4 12 นักเรียนได้พัฒนาทักษะการสร้างคำประสมใน ภาษาไทย 4.90 0.39 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 5 13 นักเรียนสามารถนำความรู้การสร้างคำประสมใน ภาษาไทยไปใช้ในชีวิตประจำวัน 5.00 0.00 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 1 14 นักเรียนสามารถจำแนกประเภทของคำประสมใน ภาษาไทยได้ถูกต้อง 4.96 0.17 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 2 15 ช่วยให้นักเรียนมีแนวทางในการเขียนที่ดีขึ้น 4.93 0.35 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด 3 ภาพรวมด้านประโยชน์ที่ได้รับ 4.94 0.23 เห็นด้วยใน ระดับมากที่สุด (1) สรุปความคิดเห็นโดยรวม 4.92 0.25 เห็นด้วยในระดับมาก ที่สุด *ใน () เป็นลำดับภาพรวมของแต่ละด้าน
59 จากตารางที่ 7 พบว่า ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุด แบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ โดยภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด (̅=4.92, S.D. =0.25) เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้าง คำ (̅= 4.94, S.D. = 0.23) รองลงมาได้แก่ ด้านเนื้อหาของชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ (̅= 4.91, S.D. = 0.27) และด้านกิจกรรมการเรียนการสอนจากชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ (̅= 4.91, S.D. = 0.26) เป็นลำดับสุดท้าย เมื่อพิจารณารายละเอียดของคะแนนค่าเฉลี่ยในแต่ละด้านปรากฏผล ดังนี้ ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ความคิดเห็นของนักเรียน โดยภาพ รวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด (̅= 4.94, S.D. = 0.23) โดยมีค่าเฉลี่ยเรียงจากสูงสุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้ คือ นักเรียนสามารถนำความรู้การสร้างคำประสมในภาษาไทยไปใช้ในชีวิตประจำวัน (̅= 5.00, S.D. = 0.00) นักเรียนสามารถจำแนกประเภทของคำประสมในภาษาไทยได้ถูกต้อง(̅= 4.96, S.D. = 0.17) และ ช่วยให้นักเรียนมีแนวทางในการเขียนที่ดีขึ้น (̅= 4.93, S.D. = 0.35) ด้านเนื้อหาของชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ความคิดเห็นของนักเรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับ เห็นด้วยมากที่สุด (̅= 4.91, S.D. = 0.27) โดยมีค่าเฉลี่ยเรียงจากสูงสุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้ คือ เนื้อหา เรียงลำดับจากง่ายไปยาก (̅= 4.96, S.D. = 0.17) เนื้อหา ภาษา และรูปแบบชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้าง คำตรงกับความสนใจ และความต้องการของนักเรียน (̅= 4.93, S.D. = 0.35) และความยากง่ายของเนื้อหา เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน (̅= 4.93, S.D. = 0.24) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ความคิดเห็นของนักเรียนโดย ภาพรวมอยู่ใน ระดับเห็นด้วยมากที่สุด (̅= 4.91, S.D. = 0.26) โดยมีค่าเฉลี่ยเรียงจากสูงสุดลงมา 3 ลำดับ ดังนี้ คือ นักเรียนมีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน (̅= 5.00, S.D. = 0.00) ขั้นตอนการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนเป็นขั้นตอนต่อเนื่อง (̅= 4.96, S.D. = 0.17) และครูส่งเสริมให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นใน การเรียนรู้ (̅= 4.90, S.D. = 0.39)
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ มีวัตถุประสงค์การวิจัย 2 ประการ คือ 1) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การสร้างคำประสม ด้วยชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการใช้ ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ มีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านส้มป่อย รวมจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็น หน่วยสุ่มด้วยวิธีการจับสลาก 1 ห้องเรียน จากห้องเรียนทั้งหมด 12 ห้องเรียน การดำเนินการวิจัยมีการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้าง คำ 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การสร้างคำประสมในภาษาไทย โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ จำนวน 5 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ดำเนินการทดลองตามแบบแผนการวิจัยขั้นพื้นฐาน (Pre - Experimental Design) แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (The One Group Pretest Posttest Design) และนำผลที่ได้จากการทดลองมาดำเนินการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำ ประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะ ก่อนและหลังการใช้ชุดแบบฝึกทักษะ โดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (x ̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (S.D.) นำคะแนน มาเปรียบเทียบก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent วิเคราะห์ แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ จาก แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ใช้สถิติ คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (x ̅) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผู้วิจัยจึงนำเสนอสรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะตามลำดับ ดังนี้ สรุปผลการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ สรุปผลการวิจัยได้ ดังนี้
61 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดย ใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ มีคะแนนการทดสอบหลังเรียนเรียนสูงกว่าการทดสอบก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้าง คำ มีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด อภิปรายผล การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ สามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดย ใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ มีคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยที่กำหนดไว้ เนื่องจากการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในการสร้างคำประสม เพื่อให้นักเรียนได้มีทักษะความรู้ เพิ่มเติมจากเนื้อหาที่ได้เรียน และได้ฝึกปฏิบัติฝึกทำด้วยตนเอง เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ นักเรียนได้มีคุณลักษณะตามที่ผู้สอนพึงประสงค์ ซึ่งสอดคล้องกับคำนิยามของ เตือนใจ ตรีเนตร (2544) ได้ให้ ความหมายของแบบฝึกว่า เป็นสื่อประกอบ การจัดกิจกรรมทางการเรียนการสอน ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ จากการปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ฝึกทักษะเพิ่มเติมจากเนื้อหาจนปฏิบัติได้อย่างชำนาญ และให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ ชีวิตประจำวันได้โดยมีครูแนะนำ และ สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553) ได้ให้ความหมายของชุดฝึกทักษะว่า สิ่งที่สร้าง ขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมที่เป็นการทบทวนหรือเสริมเพิ่มเติมความรู้ให้แก่นักเรียน หรือให้นักเรียนได้ฝึก ทักษะการเรียนรู้หลาย ๆ รูปแบบเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนได้มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในการสร้างคำประสม ได้ฝึกปฏิบัติด้วย ตนเอง เป็นการเพิ่มพูนความรู้ของนักเรียนเพิ่มเติมหลังจากที่ได้เรียนมา ส่งผลให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้ ความสามารถของนักเรียนด้านการสร้างคำประสมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และผู้วิจัยพบผลหลังการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ดังนี้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ลักษณะของคำประสมในภาษาไทย พบว่า นักเรียนให้ความสนใจ ในการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างดี นักเรียนได้ลองตอบคำถามตามความเข้าใจและได้ศึกษาใบความรู้ เรื่อง ลักษณะคำประสมในภาษาไทยด้วยตนเอง และฟังอธิบายเพิ่มจากครูผู้สอนเพื่อให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น พบว่า นักเรียนมีความสนใจในการเรียนรู้เป็นอย่างดี นักเรียนได้ทำกิจกรรม “ใช่หรือไม่ไหนลองบอก” และฟังการอธิบาย เพิ่มเติมจากครู นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมและมีความสนุกสนานในการร่วมตอบคำถาม นักเรียนทำชุด
62 แบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ เรื่อง ลักษณะของคำประสมในภาษาไทย ในกิจกรรมนี้นักเรียนมีความตั้งใจใน การทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำด้วยตนเอง หลังจากที่ได้เรียนในบทเรียนมาแล้ว ซึ่งหลังจากที่นักเรียน ได้ทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ นักเรียนสามารถเข้าใจในเรื่อง ลักษณะของคำประสมมากยิ่งขึ้น และ สามารถทำแบบฝึกหัดในชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ นักเรียนสามารถนำ ความรู้ความเข้าใจหรือความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากการเรียนรู้และจากการทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำมา สรุปลงสมุดได้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง หน้าที่ของคำประสมในภาษาไทย พบว่า นักเรียนให้ความสนใจ ในการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างดี นักเรียนสามารถตอบปัญหาจากความรู้เดิมที่ได้เรียนในคาบที่แล้วได้ นักเรียนได้ลองตอบคำถามตามความเข้าใจและได้ศึกษาใบความรู้ เรื่อง หน้าที่ของคำประสมในภาษาไทยด้วย ตนเอง และฟังอธิบายเพิ่มจากครูผู้สอนเพื่อให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น พบว่า นักเรียนมีความสนใจในการเรียนรู้ เป็นอย่างดี และนักเรียนทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ เรื่อง หน้าที่ของคำประสมในภาษาไทย ใน กิจกรรมนี้นักเรียนมีความตั้งใจในการทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำด้วยตนเอง หลังจากที่ได้เรียนใน บทเรียนมาแล้ว ซึ่งหลังจากที่นักเรียนได้ทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ นักเรียนสามารถเข้าใจในเรื่อง หน้าที่ของคำประสมมากยิ่งขึ้น และสามารถทำแบบฝึกหัดในชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำได้อย่างดีและมี ประสิทธิภาพ นักเรียนสามารถนำความรู้ความเข้าใจหรือความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากการเรียนรู้และจากการทำชุดแบบ ฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำมาสรุปลงสมุดได้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง หลักการสร้างคำประสมในภาษาไทย พบว่า นักเรียนให้ความ สนใจในการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างดี นักเรียนสามารถแต่งประโยคที่มีคำประสมทำหน้าที่ต่าง ๆ จาก ความรู้เดิมที่ได้เรียนในคาบที่แล้วได้ นักเรียนได้ลองตอบคำถามตามความเข้าใจและได้ศึกษาใบความรู้ เรื่อง หลักการสร้างคำประสมในภาษาไทยด้วยตนเอง และฟังอธิบายเพิ่มจากครูผู้สอนเพื่อให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น พบว่า นักเรียนมีความสนใจในการเรียนรู้เป็นอย่างดี และนักเรียนทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ เรื่อง หลักการคำประสมในภาษาไทย ในกิจกรรมนี้นักเรียนมีความตั้งใจในการทำชุดแบบฝึกทักษะด้วยตนเอง หลังจากที่ ได้เรียนในบทเรียนมาแล้ว ซึ่งหลังจากที่นักเรียนได้ทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ นักเรียนสามารถเข้าใจ ในเรื่อง หลักการคำประสมมากยิ่งขึ้น และสามารถทำแบบฝึกหัดในชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพ นักเรียนสามารถนำความรู้ความเข้าใจหรือความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากการเรียนรู้และจากการทำ ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำมาสรุปลงสมุดได้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำไทย พบว่า นักเรียนให้ความสนใจในการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างดี นักเรียนสามารถตอบปัญหาจากความรู้เดิม ที่ได้เรียนในคาบที่แล้วได้ นักเรียนฟังอธิบายเพิ่มจากครูผู้สอนเพื่อให้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น พบว่า นักเรียนมีความ สนใจในการเรียนรู้เป็นอย่างดี นักเรียนได้ทำกิจกรรม “จับคู่คำไทย” และฟังการอธิบายเพิ่มเติมจากครู นักเรียน
63 ต่างมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมและมีความสนุกสนานในกิจกรรมที่ทำ และนักเรียนทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการ สร้างคำ เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำไทย ในกิจกรรมนี้นักเรียนมีความตั้งใจในการ ทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำด้วยตนเอง หลังจากที่ได้เรียนในบทเรียนมาแล้ว ซึ่งหลังจากที่นักเรียนได้ทำ ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ นักเรียนสามารถเข้าใจในเรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำ ไทยกับคำไทยมากยิ่งขึ้น และสามารถทำแบบฝึกหัดในชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำได้อย่างดีและมี ประสิทธิภาพ นักเรียนสามารถนำความรู้ความเข้าใจหรือความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากการเรียนรู้และจากการทำชุดแบบ ฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำมาสรุปลงสมุดได้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำ ภาษาต่างประเทศ พบว่า นักเรียนให้ความสนใจในการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างดี นักเรียนสามารถตอบ ปัญหาจากความรู้เดิมที่ได้เรียนในคาบที่แล้วได้ นักเรียนได้ทำกิจกรรม “ทายภาษาของคำ” นักเรียนต่างมีส่วนร่วม ในการทำกิจกรรมและมีความสนุกสนานในกิจกรรมที่ทำ นักเรียนฟังอธิบายวิธีวิธีการสร้างคำประสมในภาษาไทยที่ เกิดจากคำไทยกับคำภาษาต่างประเทศ ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ภาษาบาลีสันสกฤต ภาษาเขมร และภาษาจีน พบว่า นักเรียนมีความสนใจในการเรียนรู้เป็นอย่างดี นักเรียนได้ลองยกตัวอย่างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทย กับคำภาษาต่างประเทศ ในกิจกรรมนี้นักเรียนสามารถยกตัวอย่างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับ คำภาษาต่างประเทศได้อย่างหลากหลาย และนักเรียนเมื่อได้ทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ เรื่อง การ สร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจากคำไทยกับคำภาษาต่างประเทศ พบว่าในกิจกรรมนี้นักเรียนมีความตั้งใจใน การทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำด้วยตนเอง หลังจากที่ได้เรียนในบทเรียนมาแล้ว ซึ่งหลังจากที่นักเรียน ได้ทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ นักเรียนสามารถเข้าใจในเรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทยที่เกิดจาก คำไทยกับคำภาษาต่างประเทศมากยิ่งขึ้น และสามารถทำแบบฝึกหัดในชุดแบบฝึกทักษะได้อย่างดีมีและ ประสิทธิภาพ นักเรียนสามารถนำความรู้ความเข้าใจหรือความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากการเรียนรู้และจากการทำชุดแบบ ฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำมาสรุปลงสมุดได้ ผลการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยพบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำประสม ในภาษาไทย ทำให้นักเรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีของ ธอร์นไดด์ (Thorndike) ที่ได้ตั้งกฎการเรียนรู้ 3 ข้อ เรื่อง กฎแห่งการฝึกหัด (Low of Exercise) คือการที่ได้มีโอกาสกระทำ ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ในพฤติกรรมพฤติกรรมหนึ่ง จะทำให้พฤติกรรมนั้นเกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งการฝึกหัดที่มีการ ควบคุมที่ดี จะส่งผลต่อการเรียนรู้ที่มั่นคงและคงทนถาวรแบ่งเป็น 2 กฎ คือ กฎแห่งการใช้ (Law of Use) และ กฎแห่งการไม่ใช้ (Low of Disused) นักเรียนสามารถฝึกปฏิบัติฝึกทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำได้อย่าง รวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบไม่ใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ผู้เรียนมี ทักษะในการสร้างคำประสมที่เพิ่มพูนมากขึ้น ช่วยส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ และการลงมือปฏิบัติของนักเรียน ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นจากการฝึกทำชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำซ้ำ ๆ
64 2. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้าง คำประสมในภาษาไทยมีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบ ฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำได้เปิดพัฒนาโอกาสให้ผู้เรียนได้ลองฝึกทำ ฝึกปฏิบัติ ฝึกสร้างคำประสม ซึ่งการฝึก ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้มีความก้าวหน้า และตอบสนองความต้องการในการ เรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ผู้เรียนสามารถบรรลุเป้าหมายในการเรียนรู้ตามที่คาดไว้ จึงส่งผลให้ผู้เรียน เกิดความพึงพอใจในการทำกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำไปด้วย เมื่อพิจารณาการประเมินความพึงพอใจจำแนกตามด้าน พบว่า ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ในเรื่อง นักเรียนแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตที่สูงสุด คือ 5.00 มีส่วนเบี่ยงเบน มาตราฐานเท่ากับ 0.00 ด้านเนื้อหา ในเรื่อง เนื้อหาเรียงลำดับจากง่ายไปยาก มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตที่สูงสุด คือ 4.96 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.17 และด้านประโยชน์ที่ได้รับ ในเรื่อง นักเรียนสามารถนำความรู้การสร้างคำ ประสมในภาษาไทยไปใช้ในชีวิตประจำวัน มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตที่สูงสุด คือ 5.00 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.00 ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งอยู่ใน ลำดับที่ 3 ของการประเมินรายการทั้งสามด้าน เพราะ มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตอยู่ที่ 4.91 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.26 โดยในเรื่อง นักเรียนแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตสูงที่สุด ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ผู้วิจัยได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำ ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำด้วยตนเองและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ช่วยเหลือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการ สร้างคำประสมในภาษาไทยซึ่งกันและกัน ซึ่งสอดคล้องกับประโยชน์แบบฝึก ที่สำนักงานคณะกรรมการการ ประถมศึกษาแห่งชาติ และ ประทีป แสงเปี่ยมสุข ได้กล่าวว่า แบบฝึกช่วยเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งใน ส่วนนี้นักเรียนที่มีความแตกต่างกันของแต่ละบุคคลจะได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในขณะทำชุด แบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ทำให้นักเรียนได้มองเห็นจุดเด่นและจุดด้วยเพื่อที่จะพัฒนาทักษะในการสร้างคำ ได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับ ปรียาพรรณ พระชัย (2560) ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ทักษะการแก้ไขโจทย์ปัญหาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ในเรื่อง กิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริมให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิด อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อโดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยคณิตจากมากไปหาน้อยปรากฏความพึงพอใจเรียง ตามลำดับ ดังนี้ นักเรียนมีการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนเป็นขั้นตอนต่อเนื่อง ครูส่งเสริมให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะการสร้างคำประสมที่สูงขึ้น และนักเรียนมีความสนุกสนานในการปฏิบัติกิจกรรมตลอด การเรียนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย
65 สอดคล้องกับ อินต๊ะ, เมลดา (2558) ศึกษาการสร้างและใช้แบบฝึกเสริมทักษะ เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง โรงเรียนบ้านผาแดง พบว่า ระดับความพึง พอใจที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ ที่มีต่อแบบฝึกเสริมทักษะ เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียน สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง โรงเรียนบ้านผาแดง ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านเนื้อหา นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งอยู่ในลำดับ 2 ของรายการ ประเมินทั้งสามด้าน รองจากด้านประโยชน์ที่ได้รับ มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตอยู่ที่ 4.91 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐานอยู่ที่ 0.27 โดยขั้นเนื้อหาเรียงลำดับจากง่ายไปยากมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตสูงที่สุด ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย ผู้วิจัยได้มีการลำดับเนื้อหาการเรียนรู้โดยมี การเรียงจากง่ายไปหายากตามลำดับและเป็นระบบ เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกการเรียนรู้และฝึกทักษะสร้างคำได้อย่าง เป็นขั้นตอนอย่างต่อเนื่องจนจบเนื้อหา ซึ่งสอดคล้องกับคำนิยามของ พิทักษ์ (2552 : 1) ได้ให้ความหมายของ ชุดฝึกทักษะว่า หมายถึง สื่อการเรียนการสอนชนิดหนึ่งที่มุ่งให้ผู้เรียน ได้ทบทวนความเข้าใจ และพัฒนาทักษะ ตลอดจนเจตคติเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทําให้ผู้เรียนมีความ ชัดเจนแม่นยําและเกิดความชํานาญในการปฏิบัติมากขึ้น ทั้งนี้โดยมีการวางแผนการฝึกทักษะไว้อย่างเป็นระบบ และสอดคล้องกับหลักการสร้างชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการ สร้างคำที่ดีของ เกสร รองเดช (2553 : 36-37) และ วรรณ แก้วแพรก (2526 : 87) ที่ได้กล่าวไปในทางเดียวกันว่า ชุดแบบฝึกทักษะที่ดีต้องมีการเรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก โดยต้องมีการจัดทำแบบฝึกไว้เป็นรายเนื้อหา หรือทำเป็นบท ๆ ตามบทเรียน และสอดคล้องกับหลักจิตวิทยาการเรียนรู้กับการสร้างชุดแบบฝึกทักษะ ของ พรรณี ชูทัย (2555 :142) ได้กล่าวถึงหลักความสำคัญและทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อนำมาสร้างชุดแบบฝึก ในเรื่องของ กฎการจูงใจ ซึ่งคือ การจัดชุดฝึกเรียงลําดับจากชุดที่ง่ายไปหาชุดที่ยากขึ้น และมีความสอดคล้องกับ พิรม พูล สวัสดิ์ (2559) ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน โดยใช้แบบฝึกทักษะ สำหรับนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในเรื่องแบบฝึกทักษะเรียงลำดับ เนื้อหาจากง่ายไปยาก อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อโดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยคณิตจากมากไปหาน้อยปรากฏความพึงพอใจเรียง ตามลำดับ ดังนี้ เนื้อหาเรียงลำดับจากง่ายไปยาก เนื้อหา ภาษา และรูปแบบชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ตรงกับความสนใจ และความต้องการของนักเรียน ความยากง่ายของเนื้อหาเหมาะสมกับความสามารถของ นักเรียน แบบฝึกหัดสอดคล้องกับเนื้อหาในชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ และการจัดเนื้อหาเหมาะสมกับ เวลาเรียน ที่เป็นเช่นนี้เพราะ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ สอดคล้องกับ ศรันย์ เปรมปรีดา (2559) ศึกษาการพัฒนาชุดฝึกทักษะในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ด้วยทฤษฎีบาร์ โมเดล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ระดับความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในด้าน เนื้อหาด้านบทเรียน ภาพรวมอยูในระดับดีมาก ซึ่งเทียบเคียงในระดับมากที่สุดของวิจัยนี้
66 ด้านประโยชน์ที่ได้รับ นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 1 ของ รายการประเมินทั้งสามด้าน มีค่าเฉลี่ยคณิตอยู่ที่ 4.94 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.23 โดยขั้นนักเรียน สามารถนำความรู้การสร้างคำประสมในภาษาไทยไปใช้ในชีวิตประจำวันมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตสูงที่สุด เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย ผู้วิจัยได้เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้ทำชุดแบบฝึกทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทยด้วยตนเอง เพื่อให้นักเรียนนำทักษะในด้าน การสร้างคำประสมไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งสอดคล้องกับคำนิยามของ เตือนใจ ตรีเนตร (2544 : 375) ที่ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า เป็นสื่อประกอบ การจัดกิจกรรมทางการเรียนการสอน ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ฝึกทักษะเพิ่มเติมจากเนื้อหาจนปฏิบัติได้อย่างชำนาญ และให้ผู้เรียนสามารถ นำไปใช้ชีวิตประจำวันได้โดยมีครูแนะนำ และ ขนิษฐา แสงภัคดี (2540 : 10) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกว่า แบบ ฝึกเป็นอุปกรณ์หรือสื่อการสอนที่สร้างขึ้น เพื่อฝึกฝนหรือเสริมสร้างและพัฒนาทักษะต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียนจนมี ประสบการณ์ และสามารถนำความรู้ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง และสอดคล้องกับ วรรณาภรณ์ พระเมด (2562) ศึกษา การพัฒนาชุดแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย เพื่อแก้ปัญหาการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนสามารถนำความรู้จากการใช้ แบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำไปใช้ในชีวิตประจำวัน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อโดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยคณิตจากมากไปหาน้อยปรากฏความพึงพอใจเรียง ตามลำดับ ดังนี้ นักเรียนสามารถนำความรู้การสร้างคำประสมในภาษาไทยไปใช้ในชีวิตประจำวัน นักเรียนสามารถ จำแนกประเภทของคำประสมในภาษาไทยได้ถูกต้อง ช่วยให้นักเรียนมีแนวทางในการเขียนที่ดีขึ้น นักเรียนได้รับ ความรู้ใหม่จากชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ และนักเรียนได้พัฒนาทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย ที่เป็นเช่นนี้เพราะ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำประสมในภาษาไทย สอดคล้องกับ เสาวนีย์ โพธิ์เต็ง (2557) ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่องการสร้างคำในภาษาไทย โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยกับแบบฝึกทักษะ พบว่า ระดับความพึงพอใจที่มีต่อ กิจกรรมการเรียนรู้ โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับแบบฝึกทักษะ ในด้านประโยชน์ที่ได้รับ ภาพรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด ฉะนั้น จากการอภิปรายทั้งหมดข้างต้นจึงสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนา ทักษะการสร้างคำ ช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงขึ้น รวมถึงนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการ สร้างคำ มีความพึงพอใจต่อการใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำอยู่ในระดับมากที่สุด
67 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะเพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ 1. จากผลวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะ มีคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าการทดสอบก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางการเรียนที่ดีขึ้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุด แบบฝึกทักษะ ควรใช้เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์ ฝึกปฏิบัติ อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ให้ผู้เรียนมีทักษะในการสร้างคำประสมยิ่งขึ้นจนมีความชำนาญ 2. จากผลวิจัยพบว่า ระดับความคิดเห็นในแบบทดสอบความพึงพอใจ ด้านกิจกรรมการเรียนการ สอน ข้อที่ 2 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนส่งเสริมให้นักเรียนมีทักษะการสร้างคำประสมที่สูงขึ้น อยู่ในระดับ เห็นด้วยในระดับมากที่สุด และข้อที่ 3 นักเรียนมีความสนุกสนานในการปฏิบัติกิจกรรมตลอดการเรียนการสอน อยู่ ในระดับ เห็นด้วยในระดับมากที่สุด การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะ ครูอาจจะนำชุดแบบฝึก ทักษะมาแทรกในกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีรูปแบบที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บรรยากาศในการเรียนการสอนดีขึ้นก็ อาจจะส่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนอาจจะดียิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการวิจัยและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะในเนื้อหาอื่น ๆ เช่น การฝึกสะกดคำ การสร้างประโยค เป็นต้น เนื่องจากการใช้ชุดแบบฝึกทักษะในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สามารถ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเพิ่มสูงขึ้น เพราะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยชุดใช้ชุดแบบฝึกจะส่งเสริม ให้นักเรียนได้ฝึกทักษะ และได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง ส่งผลให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้ความสามารถของนักเรียนให้ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2. ควรมีการวิจัยและพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะควบคู่กับการจัดการ เรียนการสอนในรูปแบบอื่น เช่น วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน โดยให้นักเรียนนำแบบชุดแบบฝึกทักษะไปทำร่วมกัน เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศในชั้น เรียนให้มีความหลากหลายและน่าสนใจ ซึ่งอาจใช้ชุดแบบฝึกทักษะเป็นเครื่องมือในการดำเนินกิจกรรมการสอน
68 บรรณานุกรม กมลทิพย์ ศรีนุ่ม. (2558). การพัฒนาความสามารถการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึก. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์ มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร). ithesis-ir. http://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/handle/ 123456789/56 กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จิรัชยา สอนพงศ์. (2561). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลักภาษาไทยโดยวิธีการสอนด้วยชุด แบบฝึกทักษะกับวิธีการสอนแบบปกติ เรื่อง ชนิดของคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาละยรามคำแหง). edu-journal. http://www.edujournal.ru.ac.th/index.php/abstractData/viewIndex/2280.ru จิราพร กำจัดทุกข์. (2552). ความพึงพอใจหลังการตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียม ในเขตกรุงเทพมหานคร (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต,สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์). dric.nrct. https://dric.nrct.go.th /index.php?/Search/SearchDetail/224394 จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ. (2530). การสร้างคำในภาษาไทยสมัยสุโขทัย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร). sure. http://www.sure.su.ac.th/xmlui/bitstream/handle/ 123456789/1765/fulltext.pdf? ณัชชา ชัยชุมพล. (ม.ป.ป.). การสร้างคำวิธีแบบภาษาไทย. สืบค้น 27 มกราคม 2566, จาก https://sites.google.com/site/moomoopow11/kar-srang-kha-withi-baeb-phasa-thiy ธนพร ดวงพรกชกร. (2559). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการเรียนรู้ร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึก. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร). ithesis-ir. http://ithesis-ir.su.ac.th/dspace/handle/123456789/989 เบ็ญจมาศ บางอ้น. (2529). การสร้างคำภาษาไทยสมัยอยุธยา. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย ศิลปากร). Thesis online. http://www.thapra.lib.su.ac.th/thesis/showthesis_th.asp?
69 id=0000000276 ปรียาพรรณ พระชัย. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ไขโจทย์ปัญหาโดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกทักษะ เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม). Rmu. http://fulltext.rmu.ac.th/fulltext/2560/123157/Phrachai%20Preeyapun.pdf ปุณยภาพัชร อาจหาญ. (2555). ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการให้บริการของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี(ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยบูรพา). RBRU e-Theses. http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files//53930109/title.pdf พิรม พูลสวัสดิ์. (2559). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน โดยใช้แบบฝึกทักษะ สำหรับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5. วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม, 15(2), 72-79. https://ph01.tcithaijo.org/index.php/JIE/article/view/122424. พรธณา เจือจารย์. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ เรื่องการใช้โปรแกรม Microsoft Word 2016 วิชาคอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ สำหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ (วิจัยพัฒนาทาง การศึกษา, วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ). ATCWeb. http://www.atc.ac.th/ ATCWeb/FileATC.pdf ไพจิตต ตาระบัตร. (2558). การพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย เรื่อง หลักการใช้ภาษาไทย มาตราตัวสะกดและคำควบกล้ำ โดนใช้การออกแบบย้อนกลับและการเรียนรู้แบบโครงงาน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร). snru jci. https://jci.snru.ac.th/ArticleView?ArticleID=199 ภวรรณ การุญญะวีร์. (2564). การเรียนการสอนสำหรับนักเรียนในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19. วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์, 2(2), 50-51. https://so03.tci-thaijo.org/ index.php/JOB_EHS/article/view/258869 มณีโพธิเสน. (2543). ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนต่อการจัดการศึกษา ของโรงเรียนโพธิเสนวิทยา อําเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย (รายงานค้นคว้าอิสระปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม). มยุรา ศรีส่อง. (2564). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับเทคนิคการเรียนรู้ แบบร่วมมือ LT เรื่องการเขียนเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6. วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น, 7(9), 306-307. https://li01.tcithaijo.org/index.php/crujournal/article/view/210736
70 เมลดา อินต๊ะ. (2558). การสร้างและใช้แบบฝึกเสริมทักษะ เพื่อพัฒนาการอ่านและการเขียน สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง โรงเรียนบ้านผาแดง (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศา สตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่) http://cmruir.cmru.ac.th/handle/123456789/19 รัชฎาพร พันธุ์ทวี. (2562). ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการต่อการให้บริการของสำนักงานคณบดี คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (โครงการวิจัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงใหม่). http://www.cmruir.cmru.ac.th/handle/123456789/1110?mode=full ราชบัณฑิตยสถาน. (2554). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (พิมพ์ครั้งที่ 2). นานมีบุ๊คส์ โรงเรียนบ้านส้มป่อย. (2561). หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนบ้านส้มป่อย พุทธศักราช 2562. https://www2.chaiyaphum3.go.th/schoolweb/files/202009221053261734.pdf วรรณาภรณ์ พระเมด. (2562). การพัฒนาชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำการอ่านและการเขียนภาษาไทย เพื่อแก้ปัญหาการ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม). Rmu. http://fulltext.rmu.ac.th/fulltext/2562/M126988/ Pramada%20Wannaporn.pdf วิรุฬ พรรณเทวี. (2542). ความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานกระทรวงมหาดไทย ในอําเภอเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอน (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่). CMUDC. https://cmudc.library.cmu.ac.th/frontend/Info/item/dc:96198 ศรันย์ เปรมปรีดา. (2559). การพัฒนาชุดฝึกทักษะในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ด้วยทฤษฎีบาร์ โมเดล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย ราชภัฏธนบุรี). Dru. http://cms.dru.ac.th/jspui/handle/123456789/164 สันติศักดิ์ ทองสร้อย. (2564). การพัฒนาความสามารถในการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคคารูซัลร่วมกับการใช้คำถามพัฒนาการคิดขั้นสูง. (วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร). ithesis-ir. http://ithesis-ir.su.ac.th /dspace/bitstream/123456789/3812/1/60255315.pdf สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2564). บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม 2 (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพ: องค์การค้าของ สกสค. สมพงษ์ ศรีพยาต. (2553). การพัฒนาชุดแบบฝึกการเขียนสะกดคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร). Sure. http://www.sure.su.ac. th/xmlui/bitstream/handle/123456789/8444/fulltext.pdf?sequence=2&isAllowed=y
71 เสาวณีย์ โพธิ์เต็ง. (2557). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทยโดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับแบบฝึกทักษะ (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร. Sure. http://www.sure.su.ac.th/xmlui/bitstream /handle/123456789/8742/fulltext.pdf?sequence=2&isAllowed=y อนิรุต ทองชิว. (2563). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทยของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จัดการเรียนแบบโครงงาน (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย ศิลปากร). Thaijo. https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jmbr/article/view/253167 อัญชสา ยิ้มถนอม. (2553). การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป เรื่องการสร้างคำในภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3. (วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร). Sure. http://www.sure.su.ac.th/xmlui/handle/123456789/8449 อารินธร ตลับทอง. (2553). การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป เรื่อง การสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนคลองปักหลัก สำนักงานเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร. (สารนิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) . DSpace Repository. https://ir.swu.ac.th/jspui/bits tream/123456789/956/1/Arrintorn_T.pdf prasert rk. (ม.ป.ป.). ทฤษฎีความพึงพอใจ. Gotoknow. https://www.gotoknow.org/posts/492000
ภาคผนวก
73 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
74 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำประสมในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ จำนวน 3 ท่าน ดังนี้ 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทรงภพ ขุนมธุรส อาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 2. นายภัคพล คำหน้อย อาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 3. นางอัจฉรา ภาระเวช ครูชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนบ้านส้มป่อย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3
75 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ ตัวอย่างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ
76 ชุดแบบฝึกพัฒนาทักษะการสร้างคำ
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89