The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Aphichaya Weerawong, 2023-10-12 13:40:47

การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและการหารเศษส่วนของนักเรียนชั้นป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ

เล่มวิจัยกลุ่มย่อยที่ 5 Sec.08 คบ.คณิตศาสตร์

รายงานการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและการหารเศษส่วน ของนักเรียนชั้นป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ โดย นางสาวศสิวิมล สมฤทธิ์ รหัสนักศึกษา 64031040153 นางสาวอภิชญา วีระวงค์ รหัสนักศึกษา 64031040154 นางสาวอริสา โชติช่วง รหัสนักศึกษา 64031040155 นางสาวเกศฎา ธรรมสละ รหัสนักศึกษา 64031040156 รายงานการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ รหัสวิชา1043412 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566


รายงานการวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและการหารเศษส่วน ของนักเรียนชั้นป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ โดย นางสาวศสิวิมล สมฤทธิ์ รหัสนักศึกษา 64031040153 นางสาวอภิชญา วีระวงค์ รหัสนักศึกษา 64031040154 นางสาวอริสา โชติช่วง รหัสนักศึกษา 64031040155 นางสาวเกศฎา ธรรมสละ รหัสนักศึกษา 64031040156 รายงานการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ รหัสวิชา1043412 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566


ก กิตติกรรมประกาศ การวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและการหารเศษส่วนของ นักเรียนชั้น ป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ สามารถดำเนินการ จนสำเร็จประสบความสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความอนุเคราะห์และสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่ง จาก อาจารย์อิสระ ทับสีสด ที่ได้กรุณาให้คำปรึกษา ความรู้ ข้อคิด ข้อแนะนำ และปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ จนกระทั่งการวิจัยครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือ ได้แก่ ดร.ศุภราภรณ์ ทองสุขแก้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้นวัตกรรม อาจารย์วรินสินี จันทะคุณ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหารายวิชาคณิตศาสตร์ และอาจารย์คทาวุธ ชาติศักดิ์ยุทธ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหารายวิชาคณิตศาสตร์ ที่ทำให้เครื่องมือมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบคุณครูอนุวัทย์ จันปันเมือง ครูพี่เลี้ยง และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่อำนวยความสะดวก และให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัยเป็นอย่างดี ท้ายที่สุดขอกราบขอบคุณบุพการี ซึ่งเป็นผู้สร้างชีวิต จิตใจ อบรบสั่งสอนในด้านต่างๆ และให้การ สนับสนุนผู้วิจัยในทุกๆด้าน ตลอดจนอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้จนประสบความสำเร็จด้วยดี คุณค่าที่พึงมีจากวิจัยในชั้นเรียนเล่มนี้ ที่จะอำนวยประโยชน์แก่การศึกษาในด้านต่างๆ ผู้วิจัย ขอมอบความดีเหล่านี้แด่ผู้มีพระคุณทุกท่าน นางสาวศสิวิมล สมฤทธิ์ นางสาวอภิชญา วีระวงค์ นางสาวอริสา โชติช่วง นางสาวเกศฎา ธรรมสละ


ข การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและการหารเศษส่วนของนักเรียน ชั้นป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ นางสาวศสิวิมล สมฤทธิ์* นางสาวอภิชญา วีระวงค์* นางสาวอริสา โชติช่วง* นางสาวเกศฎา ธรรมสละ* บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้กระทำกับกลุ่มตัวอย่างเดียว คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มโดยอาศัยหลักการความน่าจะเป็น อย่างง่ายจากนักเรียนชั้นป. 5 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 2) การศึกษาผลการทดลองใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ สำหรับ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและ 3) ศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นป. 5 ที่มีต่อการทดลองใช้ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ ระเบียบวิธีการวิจัยเป็นแบบกึ่งทดลอง เครื่องมือการวิจัยซึ่งผ่านการหาประสิทธิภาพแล้วประกอบด้วย แบบวัดระดับความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ One-Sample t Testผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ที่สร้างขึ้นตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ ของสุนันทา สุนทรประเสริฐ และ Slavin นั้น เมื่อนำมาทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการคูณและการหารเศษส่วน นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ การเรียนรู้ที่ระดับ ดี ตามเกณฑ์ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการพัฒนาผลการเรียนรู้สูง กว่า เกณฑ์เปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 หรือที่ระดับความเชื่อมั่น 95% และมีความพึงพอใจ ต่อการทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ที่ระดับ มาก คำสำคัญ: * นักศึกษาวิชาเอกสาขาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์


ค สารบัญ หน้า กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดย่อ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง จ บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา 1 คำถามการวิจัย 4 วัตถุประสงค์การวิจัย 5 ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 ขอบเขตการวิจัย 6 คำศัพท์นิยามเฉพาะ 7 สมมติฐานการวิจัย 10 บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยในชั้นเรียน 11 นวัตกรรมทางการศึกษา 15 แบบฝึกเสริมทักษะ 16 เทคนิคการสอน 18 วิธีการสร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม 22 เครื่องมือการวิจัย 25 ระดับความพึงพอใจ 27 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ 29 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 33 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ระเบียบวิธีวิจัย 39 แหล่งข้อมูลการวิจัย 39


ง สารบัญ(ต่อ) หน้า เครื่องมือการวิจัย 39 การดำเนินการรวบรวมข้อมูล 44 การวิเคราะห์ข้อมูล 44 การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 45 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 46 ผลการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI 46 การพัฒนาผลการเรียนรู้ 49 ระดับความพึงพอใจ 52 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย 55 อภิปรายผลการวิจัย 56 ข้อเสนอแนะ 58 เอกสารอ้างอิง 60 ภาคผนวก 62 ภาคผนวกที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI ภาคผนวกที่ 2 แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ภาคผนวกที่ 3 เอกสารเชิญผู้เชี่ยวชาญประเมินเครื่องมือวิจัย ภาคผนวกที่ 4 แบบประเมินเครื่องมือวิจัย ภาคผนวกที่ 5 - แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและผลการประเมินความเที่ยงตรงเชิง เนื้อหาของแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรม - แบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรมและผลการประเมินความเหมาะสม ของนวัตกรรม - แบบวัดระดับความพึงพอใจ ภาคผนวกที่ 6 แบบประเมินฉบับแก้ไขตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ภาคผนวกที่ 7 ประวัตินักวิจัย


จ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 : แสดงรายการประเมินความเหมาะสมของ 47 แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการ คิดวิเคราะห์ จากเรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน ของนักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ โดยใช้แบบ ฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ตารางที่ 2 : แสดงคะแนนผลการเรียนรู้เรื่องการคูณ 49 และการหารเศษส่วน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ร่วมกับเทคนิค TAI กับกลุ่มตัวอย่าง คะแนนเต็ม เท่ากับ 60 คะแนน ตารางที่ 3 : แสดงผลการเปรียบเทียบร้อยละค่าคะแนน 51 เฉลี่ยระดับชั้นเรียนและระดับผลการเรียนรู้เรื่องการ คูณและการหารเศษส่วน ของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 25 คน ซึ่งถูกจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการทดลองใช้แบบฝึก เสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI และโดยการใช้การจัด การเรียนรู้โดยใช้วิธีสาธิตและวิธีการจำลองสถานการณ์ เมื่อกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ α0.05 หรือที่ระดับ ความเชื่อมั่น 95% และระดับผลการเรียนรู้กำหนดตาม เกณฑ์ของ สพฐ. ตารางที่ 4 : แสดงระดับความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่าง 52 ที่มีต่อการทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI จัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการคูณและการหารเศษส่วน เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ ตารางที่ 5 : แสดงผลการประเมินความเที่ยงตรง (IOC) 204 ของแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรม จากเรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน ของนักเรียน ป.5 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI


บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนากระบวนการคิดมนุษย์ให้เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ คณิตศาสตร์เป็นการศึกษาเกี่ยวกับแบบแผน เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการคิดเรา ใช้คณิตศาสตร์เพื่อพิสูจน์อย่างมีเหตุผลว่าความคิดทั้งหลายนั้นเป็นความจริงหรือไม่ สามารถวิเคราะห์ปัญหา หรือสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน และรอบคอบ คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ และแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสมซึ่งมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตและช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ อย่างมีความสุข (ฟาฏินา วงศ์เลขา, 2553) และ คณิตศาสตร์ยังมีความสำคัญต่อการศึกษาในโลกปัจจุบันที่ กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เป็นสังคมที่อาศัยเทคโนโลยีชั้นสูงมากมายคน ๆ หนึ่งจะต้องมี ความสามารถ ในการคิดเชิงระบบ การคิดวิจารณญาณ การคิดเชิงวิเคราะห์ การคิดเชิงเหตุผล การคิดในการแก้ปัญหาและ การตัดสินใจซึ่งจำเป็นต้องอาศัยองค์ความรู้จากวิชาคณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์จึงเป็นวิชาที่มีความสำคัญกับ ผู้เรียนทุกคน (นิยูสนี อามะ และสิริพร ทิพย์คง, 2557) นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นพื้นฐานในการศึกษา ด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ ในการพัฒนาบุคคลให้มีคุณภาพ และพัฒนาเศรษฐกิจ ทรัพยากรของ ประเทศให้เท่าเทียมกับนานาชาติ การศึกษาคณิตศาสตร์จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เจริญก้าวหน้าอย่าง รวดเร็ว (กระทรวงการศึกษาธิการ, 2560) กล่าวได้ว่า คณิตศาสตร์จึงมีความจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาอยู่ สม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักใช้ความคิด เหตุผลอย่างมีระบบ และสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม การคูณ คือ การดำเนินการทางคณิตศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการเพิ่มหรือลดจำนวนจำนวนหนึ่ง เป็นอัตราสามารถนิยามบนจำนวนธรรมชาติว่าเป็นการบวกที่ซ้ำกัน สำหรับการคูณของจำนวนตรรกยะ(เศษส่วน) และจำนวนจริง ก็นิยามโดยกรณีทั่วไปที่เป็นระบบของแนวความคิดพื้นฐานดังกล่าว ส่วนกลับของการคูณคือ การหาร ในเมื่อ 3 คูณด้วย 4 เท่ากับ 12 ดังนั้น 12 หารด้วย 4 ก็จะเท่ากับ 3 เป็นต้น การหาร คือ การ ดำเนินการเลขคณิตที่เป็นการดำเนินการผันกลับของการคูณ และบางครั้งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการทำซ้ำการลบ คือ การแบ่งออกเท่า ๆ กัน จนกระทั่งเหลือศูนย์ (หารลงตัว) การคิดวิเคราะห์เป็นความสามารถของนักเรียนใน การระบุข้อสรุปและการให้เหตุผลในการสนับสนุน ประกอบด้วย การจำแนกข้อมูลในแต่ละองค์ประกอบ หาร หาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลในแต่ละองค์ประกอบ และเปรียบเทียบข้อมูลแต่ละส่วนด้วยหลักการที่มีเหตุผล ซึ่ง หลักการแต่ละด้านมีลักษณะความสามารถที่แตกต่างกัน (บลูม, 2499) การคิดวิเคราะห์มีความสัมพันธ์กับ หลักการคูณ การหาร คือความสามารถในการพิจารณาแยกแยะส่วนต่างๆ ว่าส่วนไหนคือการคูณ ส่วนไหนคือ


2 การหาร สามารถพิจารณาได้ว่าการหารเป็นการผันกลับของการคูณ และยังสามารถช่วยในการจัดลำดับการ ดำเนินการของการคูณและการหาร กำหนดเป็นตัวชี้วัดที่ ค 1.1 ป.5/4 ว่า หาผลคูณผลหารของเศษส่วน สำหรับสาระการเรียนรู้แกนกลางระบุว่า เป็นการคูณการหารของเศษส่วน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตั้งแต่ปีการก่อนหน้า พบว่าเฉพาะผลการเรียนรู้เรื่อง การคูณการหารเศษส่วน ได้จัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสาธิต และวิธีการจำลองสถานการณ์ สำหรับการวัดและประเมินผล กำหนดเป็น 3 ด้านคือ ด้านความรู้(K) ด้านทักษะ/ กระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) กำหนดระดับและเกณฑ์ประเมินผลการเรียนรู้แต่ละ ด้านตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2553) เป็น 4 ระดับคือ ดีมาก มีช่วงร้อยละของ คะแนน 80 –100 ดี ช่วงร้อยละของคะแนน 65 – 79 พอใช้ ช่วงร้อยละของคะแนน 50 –64และ ต้องพัฒนา ช่วงร้อยละของคะแนน 0 - 49 สำหรับเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้เป็นรายบุคคลนั้น นักเรียนแต่ละคนต้องมี ผลการเรียนรู้ตั้งแต่ระดับ ดี ส่วนเกณฑ์ประเมินผ่านผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียน ต้องมีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมอย่าง น้อยร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม จึงจะตัดสินว่า นักเรียนระดับชั้นเรียน มีผลการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่าน ระดับชั้นเรียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การคูณและการหารเศษส่วนโดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม คือ วิธีการสาธิต และจำลองสถานการณ์ กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษาก่อนหน้า พบว่าเมื่อ ทำการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านรวมกัน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ/กระบวนการ และ ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พบว่า มีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 75 ซึ่งผ่านเกณฑ์ ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน แต่เมื่อวิเคราะห์เป็นรายด้านพบว่า ผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์มีค่าเฉลี่ย คะแนนรวมของผลการเรียนรู้ร้อยละ 51.65 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน จากการวิเคราะห์ สาเหตุที่ทำให้นักเรียนมีผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน โดยการ สัมภาษณ์ครูพี่เลี้ยงแล้วประมวลผลการสัมภาษณ์ด้วยวิธีการที่เรียกว่าการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) พบว่าขาดทักษะการคิดวิเคราะห์เชื่อมโยงองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อนำมาสู่การแก้โจทย์ปัญหา เช่น นักเรียนไม่รู้ว่าเมื่อมีโจทย์มาให้แล้วควรทำขั้นตอนใดต่อ และเมื่อได้คำตอบหรือผลลัพธ์มาแล้วไม่สามารถทำให้ เป็นเศษส่วนอย่างต่ำได้ เป็นต้น (อนุวัทย์ จันปันเมือง, 27 มิถุนายน 2566) จากสาเหตุของปัญหาดังกล่าว จึงเป็นหน้าที่ของผู้วิจัยในฐานะครูที่จะต้องทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน โดยเฉพาะด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แบบฝึกเสริมทักษะถือเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ครูผู้สอนสามารถนามาพัฒนาหรือแก้ปัญหาของนักเรียนได้ เพราะแบบฝึกจะช่วยฝึกทักษะให้นักเรียนมีความสามารถในทักษะต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่ง สุนันทา สุนทรประเสริฐ ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกจะทำให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอำนวยประโยชน์ใน การเรียนรู้ แบบฝึกทำให้ครูทราบความ เข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน และแบบฝึกจะฝึกให้เด็กมี ความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลตนเองได้


3 Slavin (2533) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบของ TAI (Team Assisted Individualization) ว่า เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative learning) และการสอนรายบุคคล (Individualized instruction) เข้าด้วยกัน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นกับการเรียนรายบุคคลโดยใช้ลักษณะการเรียนเป็นกลุ่มให้นักเรียนในกลุ่มทำการศึกษาและเรียนรู้ร่วมกัน ช่วยกันดำเนินการเรียนและมีการตรวจสอบร่วมกัน มีการร่วมมือช่วยเหลือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายของการเรียน โดยผู้สอนจะให้ความเป็นอิสระแก่นักเรียนที่จะหาความรู้จากเพื่อนในกลุ่มซึ่งสอดคล้องกับ สิริพร ทิพย์คง ที่ กล่าวไว้ว่าเป็นการจัดกิจกรรมที่ใช้กับการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ แต่วิชาอื่นๆ ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่ต้องการเน้นการพัฒนาทักษะให้กับนักเรียน ครูจะใช้การจัดกิจกรรมการสอนแบบต่างๆให้ นักเรียนเข้าใจเรื่องที่เรียนโดยอาจทำการสอน นักเรียนร่วมกันทั้งชั้น แล้วทำการทดสอบว่านักเรียนคนใดเข้าใจ หรือไม่เข้าใจอย่างไร แล้วครูจึงจัดกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิคTAI จะมีการจัดกลุ่มนักเรียนเป็น 2 ลักษณะ คือ จัดนักเรียนเป็นกลุ่มที่คละความสามารถกลุ่มละ 4 คน และจัดนักเรียนเป็นกลุ่มที่มีระดับความสามารถใกล้เคียงกัน สำหรับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI นักเรียนในแต่ละกลุ่มจับคู่กันทำงานและผลัดกันตรวจงานในคู่ของตน และข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือด้วยเทคนิค TAI Slavin สามารถสรุปข้อดีดังนี้ (1) ช่วยให้เกิดแรงจูงใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนตาม ความสามารถของตนเอง (2) ส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความช่วยเหลือ (3) แก้ปัญหาเด็กอ่อนในห้องเรียนได้ (4) สนองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างดีเด็กที่เรียนช้า มีเวลาศึกษาและฝึกฝน เรื่องที่ไม่เข้าใจมากขึ้นและเด็กที่เรียนเร็วใช้เวลาศึกษาน้อย (5) ช่วยให้เกิดการยอมรับในกลุ่ม โดยเด็กเก่ง ยอมรับเด็กอ่อนและเด็กอ่อนเห็นคุณค่าของเด็กเก่ง (6) ช่วยแบ่งเบาภาระของครูทำให้ครูมีเวลาสร้างสรรค์งาน สอน ปรับปรุงการสอนมากขึ้น (7) ปลูกฝังนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม (8) เสริมแรงให้เกิดขึ้นทั้งรายกลุ่ม และรายบุคคล จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI ที่เน้น กระบวนการคิดการฝึกทักษะ การแก้ปัญหาและการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ จึงทำให้ผู้วิจัยมีความต้องการที่ จะมีการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะโดยเน้นให้นักเรียนได้รับการฝึก ทักษะจากแบบฝึกที่หลากหลาย ให้สอดคล้องกับความต้องการและสภาพท้องถิ่นของนักเรียน เพื่อใช้แนวทาง และวิธีการให้ครูผู้สอนเลือกปรับปรุงกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ให้มีประสิทธิภาพและเกิด ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าแบบฝึกเสริมทักษะมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนคณิตศาสตร์เป็น อย่างมาก สามารถพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนได้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พัชรา ท้วมลี้ (พัชรา ท้วมลี้, 2558) ที่ได้ศึกษา เรื่อง ผลการใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณที่มีการทด สำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสันติธรรมราษฎร์บำรุง จังหวัดนครนายก พบว่า แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์


4 ทุกชุดมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.06/81.35 และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน เฉลี่ยร้อยละ 38.80 และสอดคล้องกับผลการศึกษาของ วิไลวรรณ อันทะลัย (วิไลวรรณ อันทะลัย, 2556) ที่ได้ ศึกษาผลการใช้แบบฝึกทักษะ เพื่อพัฒนาความสามารถ ในการแก้โจทย์ปัญหา สถานการณ์ ที่ใช้จำนวนนับ การ บวก การลบ การคูณ และการหาร สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดบรมนิวาส สำนักงานเขตปทุมวัน สังกัดกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษา พบว่า แบบฝึกสามารถช่วยในการแก้โจทย์ปัญหา สถานการณ์ ที่ใช้จำนวนนับ การบวก การลบ การคูณ และการหาร ที่สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.73/81.75 และความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา สถานการณ์ ที่ใช้จำนวนนับ การบวก การลบ การคูณ และการหาร ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการฝึกสูงกว่าก่อนได้รับการฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การคูณ การหาร เศษส่วน สำหรับ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ให้มีคุณภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด และผลการศึกษาจะ เป็นแนวทางในการพัฒนาสื่อ นวัตกรรม เพื่อใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป ด้วยบทบาทหน้าที่ของผู้สอน ตามพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา ที่ 22 มาตรา ที่ 24 วงเล็บ 5 มาตราที่ 30 และจากข้อบกพร่องหรือข้อเสียของ วิธีการสาธิตและจําลองสถานการณ์คือ ทำให้เด็ก ขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ของตัวชี้วัด ค.1.1 ป.5/4 เรื่องการหาผลคูณผลหารของเศษส่วน นักวิจัยจึงมี แนวคิดที่จะทำวิจัยเพื่อพัฒนาด้านการคิดวิเคราะห์เรื่องการคูณและการหารเศษส่วน โดยทดลองใช้กับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยจะทำให้นักเรียนระดับชั้นดังกล่าวมีผลการเรียนรู้ระดับชั้นเรียน ด้านการคิดวิเคราะห์ของตัวชี้วัด ค.1.1 ป.5/4 เรื่องการหาผลคูณผลหารของเศษส่วนสูงขึ้น คำถามการวิจัย 1. การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ ด้านการคิดวิเคราะห์ จากเรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทำอย่างไร 2. ผลการศึกษาการทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะสำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนา ผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ จากเรื่องการคูณและการหารเศษส่วน สำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นอย่างไร 3. ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการทดลองใช้ แบบฝึกเสริมทักษะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ ด้านการคิดวิเคราะห์ จากเรื่องการ คูณและการหารเศษส่วนเป็นอย่างไร


5 วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อสร้างแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อ พัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน สำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 2. เพื่อการศึกษาผลการทดลองใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริม ทักษะ สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณ และการหารเศษส่วน สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการทดลองใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผล การเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและการหารเศษส่วน ผลและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการ เรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ เรื่องการหาผลคูณผลหารของเศษส่วน สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2. ทราบผลการทดลองใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ สำหรับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์เรื่องการหาผลคูณผลหารของ เศษส่วนสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 3. ทราบระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการทดลองจัดกิจกรรม การเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์เรื่องการหาผลคูณผลหารของเศษส่วนสำหรับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 4. ผลการวิจัยจะนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์เรื่องการ หาผลคูณผลหารของเศษส่วนสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 5. ผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์เรื่องการหาผลคูณผลหารของเศษส่วนสำหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 มีการพัฒนาเพิ่มขึ้น ขอบเขตการวิจัย 1. ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเทียบเคียงประชากรที่มีจำนวนไม่จำกัด (Infinite Population)


6 2. ขอบเขตด้านตัวแปร 2.1 ตัวแปรอิสระ 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์เรื่องการคูณและการหารเศษส่วนกับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 5 จากการทดลองใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึก เสริมทักษะ 2.2 ตัวแปรตาม 1. ผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์เรื่องการคูณและการหารเศษส่วนกับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาศึกษาปีที่ 5 จากการทดลองใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ 2. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์เรื่องการคูณและการหารเศษส่วน 3. ขอบเขตด้านเนื้อหา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน ตามตัวชี้วัดที่ ป.5/4 เรื่องการหาผลคูณ ผลหารของเศษส่วน มาตรฐานการเรียนรู้ ค.1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การดำเนินการของจำนวน ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ สมบัติของการดำเนินการ และนำไปใช้ สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต 4. ขอบเขตด้านระยะเวลาและสถานที่ ทำการวิจัย ณ โรงเรียนวัดบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างปีการศึกษา 2565 ถึง ปี การศึกษา 2566 คำศัพท์นิยามเฉพาะ 1.นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หมายถึง นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัด บ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ 2.แบบฝึกเสริมทักษะ หมายถึง สื่อหรือกิจกรรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ประกอบการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณการหารเศษส่วน เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจและมี ทักษะเพิ่มมากขึ้น แบบฝึกทักษะประกอบด้วยคู่มือแนะนำการใช้ใบความรู้ ใบกิจกรรม และแบบทดสอบ ซึ่งมี แบบฝึกเสริมทักษะจำนวน 4 แบบฝึก 3.การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI หมายถึง กิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียน เรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 4 คน และนักเรียนในแต่ละกลุ่มมีความสามารถในระดับต่างกัน คือ ความสามารถ สูง ปานกลาง ต่ำ มีอัตราส่วน 1 : 2 : 1 ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้เรียนจะทำแบบฝึกทักษะ เพื่อให้ เกิดการเรียนรู้ โดยมีการซักถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้กำลังใจ และช่วยเหลือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ทำให้ทุกคนในกลุ่มได้เรียนรู้บรรลุตามจุดประสงค์ และคะแนนความสำเร็จของแต่ละคน จะเป็นคะแนน


7 ความสำเร็จของกลุ่ม หากกลุ่มใดคะแนนเฉลี่ยได้สูง ครูจะเสริมแรงโดยการให้รางวัล คือคำชมเชย และ ใบประการเกียรติคุณ เพื่อให้นักเรียนทุกคนเห็นคุณค่าในความแตกต่างระหว่างบุคคล Slavin ได้กล่าวว่ามี รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1. การจัดกลุ่ม ( Teams ) นักเรียนในห้องจะถูกแบ่งออกเป็น 4-5 คน สมาชิกในแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลาง อ่อน และคละเพศกัน 2. มีการทดสอบเพื่อจัดระดับ (Placement test) นักเรียนจะทำแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อ ตรวจสอบความเหมาะสมในการเรียนเนื้อหาโดยจะจัดตามลำดับของคะแนนที่ได้ 3. เนื้อหาและวัสดุหลักสูตร (Curriculum materials) หลังจากครูสอนบทเรียนแล้วผู้เรียนจะ ทำงานในกลุ่มของตนเอง โดยมีสื่อหรือวัสดุหลักสูตรการสอนที่ครอบคลุมเนื้อหา ซึ่งจะอยู่ในรูปของแบบฝึก เสริมทักษะโดยมีส่วนประกอบดังนี้ 3.1 หน้าเอกสารแนะนำบทเรียนเป็นหน้าที่อธิบายวิธีการทำแบบฝึกเสริมทักษะเป็นขั้นตอน 3.2 หน้าแบฝึกเสริมทักษะประกอบด้วยปัญหาซึ่งจะแบ่งเป็น 9 ขั้นตอน โดยเริ่มด้วยการ แนะนำทักษะย่อย ๆ ที่จะนำไปสู่ความสามารถในการพัฒนาการเรียนรู้ทักษะทั้งหมด 3.3 แบบทดสอบ (Formative test) เป็นคำถามจำนวน 10 ข้อ 3.4 แบบทดสอบประจำหน่วยการเรียนรู้ (Unit Test) จำนวน 15 ข้อ 3.5 แผ่นคำตอบแบบฝึกเสริมทักษะ แบบทดสอบ ส่วนแผ่นคำตอบของแบบทดสอบรวม ประจำหน่วยจะแยกออกไปต่างหาก 4. การเรียนเป็นกลุ่ม (Team Study) เมื่อมีการทดสอบจัดระดับแล้ว นักเรียนจะเริ่มฝึกทักษะ ตามลำดับขั้นที่กำหนดไว้ ดังนี้ 4.1 สมาชิกแต่ละกลุ่มทำการจับคู่กัน เพื่อเช็คหรือตรวจสอบซึ่งกันและกัน 4.2 นักเรียนศึกษาเอกสารแนะนำบทเรียนและถามครูได้หากไม่เข้าใจ 4.3 นักเรียนแต่ละคนเริ่มทำแบบฝึกเสริมทักษะจากโจทย์ปัญหาทีละตอน แล้วให้เพื่อนร่วมทีม ตรวจคำตอบตามบัตรเฉลย ด้านหลังของแบบฝึกเสริมทักษะ ถ้าพบว่านักเรียนไม่ผ่านข้อใดกลุ่มจะต้องอธิบาย หรือสอนให้เข้าใจก่อนที่จะถามครูจนกว่าจะผ่านและทำแบบฝึกเสริมทักษะต่อไป 4.4 เมื่อนักเรียนทั้งกลุ่มทำแบบฝึกเสริมทักษะได้ถูกต้องครบแล้ว ต่อไปครูจะให้นักเรียนทำ แบบทดสอบย่อย จำนวน 10 ข้อ นักเรียนจะต้องทำให้ผ่าน 8 ข้อใน 10 ข้อ ถ้าไม่ผ่านครูจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ ตรวจสอบปัญหาจนกระทั้งนักเรียนเข้าใจ แล้วจึงให้นักเรียนที่สอบไม่ผ่านทำแบบทดสอบย่อยยอีกครั้งหนึ่ง 4.5 นักเรียนจะไปรับแบบทดสอบประจำหน่วยจากหัวหน้ากลุ่ม หัวหน้ากลุ่มจะเป็นผู้บันทึก คะแนนลงแบบบันทึกคะแนนลงในแผ่นสรุปผลประจำกลุ่ม และนำคะแนนผลการสอนส่งให้ครูนำไป เปรียบเทียบกับคะแนนผ่านของแต่ละบุคคล และของแต่ละกลุ่มต่อไป


8 5. คะแนนกลุ่มและความสำเร็จของกลุ่ม (Team Scores and Team Recognition) ในวัน สุดท้ายของแต่ละสัปดาห์ ครูจะรวบรวมคะแนนกลุ่ม ซึ่งได้จากการเอาคะแนนซึ่งสมาชิกแต่ละคนได้รับจากการ ทำแบบทดสอบประจำเรื่อง มาหาคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม เกณฑ์การให้รางวัลเป็น 3 ระดับ คือ กลุ่มที่ได้คะแนน สูงสุดเป็นกลุ่มชนะเลิศ (Super Team) กลุ่มที่ได้คะแนนปานกลางเป็นกลุ่มรองชนะเลิศ (Great Team) และ กลุ่มที่ได้คะแนนน้อยเป็นกลุ่มดี (Good Team) กลุ่มชนะเลิศและรองชนะเลิศก็จะได้รับใบรับรองเป็นรางวัล 6. การสอนกลุ่มย่อย (Teaching Groups) ทุกๆ วันครูจะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ในการ สอนกลุ่มย่อยทุกวัน โดยเลือกนักเรียนจากกลุ่มต่างๆ ที่เรียนเนื้อหาเดียวกันมารวมกันเพื่อให้ข้อแนะนำ หรือทำ การสาธิตเพื่อการเรียนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและตามวัตถุประสงค์ และเพื่อให้นักเรียนเข้าใจความคิดรวบยอดที่ สำคัญของการเรียนนั้นๆ ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ ก็ปฏิบัติงานของตนเอง 7. การทดสอบแบบฝึกเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลา 3 นาที โดยนักเรียนจะได้รับเอกสารไปศึกษาที่บ้านเพื่อเตรียมตัวก่อนทำการทดสอบ 8. การสอนร่วมกันทั้งชั้นเรียน (Whole Class) เมื่อสอนจบหน่วยการเรียนรู้ ครูจะทำการสรุป บทเรียนต่างๆ ให้กับนักเรียนทั้งห้อง โดยให้ครอบคลุมเนื้อหาและทักษะต่างๆ ของบทเรียน 4.การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีสาธิต มีลำดับขั้นตอน ดังนี้ 1. ครูแสดงกระบวนการหรือวิธีการหาคำตอบ 2.ครูและนักเรียนช่วยกันแสดงกระบวนการหรือวิธีการหาคำตอบ 3.นักเรียนร่วมกันแสดงกระบวนการหรือวิธีการหาคำตอบ 5.การจัดการเรียนรู้โดยวิธีการจําลองสถานการณ์ คือ การจำลองสถานการณ์เกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัว ของนักเรียน และแบ่งกลุ่มนักเรียนให้ทำกิจกรรมตามสถานการณ์ 6.ผลการเรียนรู้หมายถึง 6.1 ค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การคูณและการหารเศษส่วนโดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิม 6.2 ค่าคะแนนเฉลี่ยรวมของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องการคูณและการหารเศษส่วนจากการทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะ 7.ระดับผลการเรียนรู้หมายถึงระดับผลการเรียนรู้ที่กำหนดตามเกณฑ์วัดและประเมินผลของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2553) ดังนี้ ดีมาก มีช่วงร้อยละของคะแนน 80 – 100 ดี ช่วงร้อยละของคะแนน 65 – 79 พอใช้ ช่วงร้อยละของคะแนน 50 – 64 ปรับปรุง ช่วงร้อยละของคะแนน 0 – 49


9 8.การพัฒนาผลการเรียนรู้ หมายถึง ผลการเปรียบเทียบระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการคูณและการหารเศษส่วนโดยทดลองใช้การ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ ค่าเฉลี่ยคะแนนรวมอย่างร้อยละ 60 ของ คะแนนเต็ม 9.ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 10.ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดย เรียงลำดับจากระดับมากที่สุดถึงน้อยที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึงพอใจมาก มีความพึง พอใจปานกลาง มีความพึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับดังกล่าวกําหนดโดย เกณฑ์ช่วงค่าเฉลี่ยของบุญชม ศรีสะอาด (2545) ดังนี้ ความพึงพอใจที่ระดับมากสุด มีคะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 ความพึงพอใจที่ระดับมาก มีคะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 ความพึงพอใจที่ระดับปานกลาง มีคะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 ความพึงพอใจที่ระดับน้อย มีคะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 ความพึงพอใจที่ระดับน้อยสุด มีคะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 สมมติฐานการวิจัย 1. สมมติฐานการวิจัยที่ 1 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน กับนักเรียนในระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้นวัตกรรมการเรียนรู้เดิมพบปัญหาคือ นักเรียนมีผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ต่ำ กว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน กล่าวคือ มีค่าเฉลี่ยร้อยละคะแนนเฉลี่ยรวมที่ 51.65 ขณะที่เกณฑ์ ประเมินผ่านระดับชั้นเรียนต้องมีค่าร้อยละคะแนนเฉลี่ยรวมที่ 60 ด้วยปัญหาดังกล่าว นักวิจัยจึงมีแนวคิดที่จะ ปรับปรุงระดับผลการเรียนรู้ของนักเรียนให้ผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน ผลการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่า กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริม ทักษะมีความสอดคล้องกับเทคนิค TAI และจากผลการวิจัยของพจนา เบญจมาศ (2558) เรื่อง การพัฒนาแบบ ฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ผู้วิจัยสร้างแบบฝึกเสริมทักษะขึ้นมา ผลการวิจัย พบว่านักเรียนมีผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ = 0.01 จากการสนับสนุนด้วย เทคนิค TAI และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ดังนั้น จากปัญหานักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลการเรียนรู้ต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน และจากแนวคิด ทฤษฎี หลักการ และกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ ผู้วิจัยจึงกำหนดสมมติฐานที่ 1 ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้


10 แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ มีผลต่อการพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่อง การคูณและการหาร เศษส่วนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่5 2. สมมติฐานการวิจัยที่ 2 จากผลการทบทวนวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวแล้วสมมติฐานที่ 1 ผลการพจนา เบญจมาศ (2558) พบว่า ภายหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ พบว่า นักเรียนมี ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ระดับมากที่สุด (4.31 เครื่องหมายบวกลบ 0.82) จากการสนับสนุน ด้วยผลการวิจัยดังกล่าว ผู้วิจัยจึงกำหนดสมมติฐานการวิจัยที่ 2 ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่องการคูณและการหารเศษส่วนมีผลต่อระดับ ความพึงพอใจที่ระดับปานกลาง


บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและ การหารเศษส่วนของนักเรียนชั้น ป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึก เสริมทักษะ ผู้วิจัยขอเสนอผลการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยหัวข้อหลัก ตามลำดับดังนี้ 1. การวิจัยในชั้นเรียน 2. ความจำเป็นที่ครูต้องทำวิจัยในชั้นเรียน 3. นวัตกรรมทางการศึกษา 4. เครื่องมือการวิจัย 5. ความพึงพอใจ 6. ผลการเรียนรู้ 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ละหัวข้อหลักดังกล่าว นำเสนอรายละเอียดตามลำดับขั้น ดังนี้ การวิจัยในชั้นเรียน 1. ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน มีผู้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียนไว้หลายท่านดังนี้ พิสณุ ฟองศรี (พิสณุ ฟองศรี, 2551) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียนไว้ว่า เป็นการวิจัย ที่มี ขอบเขต ขั้นตอน และกระบวนการที่น้อยกว่าการวิจัยทั่วไป หรือยืดหยุ่นกว่า มีลักษณะเป็นทางการ น้อยกว่า ทำโดยครูผู้สอนภายในห้องเรียน หรือภายใต้ความรับผิดชอบของตน โดยเน้นการนำผลไปใช้ จริง เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนานักเรียน รัตนะ บัวสนธ์ (รัตนะ บัวสนธ์, 2552) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียนไว้ว่า เป็นการ วิจัยที่มุ่งค้นหาความจริงเกี่ยวกับปัญหาการเรียนการสอนในชั้นเรียนหนึ่ง ๆ โดยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำ ความรู้ที่ได้รับมาใช้ในการแก้ปัญหาการเรียนของนักเรียนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือพัฒนาการในการสอน ของครู อนุวัติ คุณแก้ว (อนุวัติ คุณแก้ว, 2555) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียนไว้ว่า เป็นการ วิจัยเชิงปฏิบัติการ และมีลักษณะเป็นการวิจัยและพัฒนา เป็นการวิจัยที่ทำโดยครู เพื่อแก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นในห้องเรียน และนำผลมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน การวิจัยประเภทนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อ พัฒนาการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์สูงสุด


12 พิชิต ฤทธิ์จรูญ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2557) ได้ให้ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียนไว้ว่า เป็นการ วิจัยเชิงปฏิบัติการที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยครูเป็นผู้มีบทบาท สำคัญ ในการวางแผนแก้ปัญหา โดยศึกษาสภาพการณ์หรือปัญหาการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน และครู แสวงหาวิธีการหรือนวัตกรรมในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ ปฏิบัติการแก้ปัญหาหรือพัฒนา สังเกตผลหรือตรวจสอบผลการแก้ปัญหา และสะท้อนผลกลับต่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ ของผู้เรียนเพื่อหาทางปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนบรรลุผลสำเร็จของการแก้ปัญหาหรือ พัฒนาการ เรียนรู้ของผู้เรียน สุวิมล ว่องวาณิช (สุวิมล ว่องวาณิช, 2559) ได้ให้ความหมายของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ไว้ว่า เป็นการวิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในชั้นเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน และนำผลมาใช้ใน การปรับปรุงการเรียนการสอนหรือส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว นำผลไปใช้ทันที และสะท้อนข้อมูล เกี่ยวกับการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของตนเองให้ทั้งตนเองและกลุ่มเพื่อนร่วมงานใน โรงเรียนได้มีโอกาสวิพากษ์ อภิปราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในแนวทางที่ได้ปฏิบัติและผลที่เกิดขึ้นเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ทั้งของครูและผู้เรียน จากความหมายของการวิจัยในชั้นเรียนที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การวิจัยในชั้นเรียน หมายถึง การวิจัยที่ดำเนินการโดยครูผู้สอนในห้องเรียนที่ตนเองรับผิดชอบเพื่อแก้ปัญหาหรือ พัฒนาการ จัดการเรียนการสอนทั้งในด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียน บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ 2. ประเภทของการวิจัยในชั้นเรียน วิจัยในชั้นเรียนสามารถแบ่งตามลักษณะของข้อมูล การวิจัยได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ การ วิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ดังรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้ การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) หมายถึง การวิจัยมุ่งวัดและวิเคราะห์ข้อมูล ทีเป็นตัวเลขเพื่อช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุ และผล แบ่งการวิจัย ไม่ใช่ทดลอง และการวิจัยเชิงทดลอง ดังนี้ 1. การวิจัยที่ไม่ใช่การทดลอง (Non-experimental Research) จำแนกออกเป็น 3 ประเภทคือ 1.1 การวิจัยศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว (Expost Facto Research) เป็น การศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเพื่อสืบค้นหาสาเหตุที่ทาให้เกิดปรากฏการณ์นั้น มีลักษณะการวิจัย เชิงทดลอง เพียงแค่ไม่ต้องควบคุมตัวแปรที่เกิดขึ้น 1.2 การวิจัยเชิงความสัมพันธ์ (Core-relational Research) เป็นการหาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปร 2 ตัวขึ้นไป โดยวัดสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอดีต


13 1.3 การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) เป็นการศึกษาเพื่อรวบรวมข้อมูล ในเรื่อง หรือลักษณะต่างๆจากกลุ่มเป้าหมายที่ศึกษา โดยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็น เจตคติ หรือบุคลิก ของกลุ่มเป้าหมาย 2. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) หมายถึงการวิจัยที่จัดกระทำโดยการ สร้างเงื่อนไข หรือสถานการณ์ที่จะทดลอง และควบคุมตัวแปรต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้อง หรืออาจเรียกว่าเป็น การศึกษาตัวแปรหนึ่ง (สาเหตุ) ที่เรียกว่าตัวแปรตับ และอีกตัวแปรหนึ่ง (ผลลัพธ์) ซึ่งเรียกว่าตัวแปรตาม มีหลายลักษณะ เช่น Pre-experimental Research แบบ One-shiot Case แบบ One-group PrePost Design หรือการวิจัย แบบ Quasi Experimental Research ซึ่งรูปแบบเหล่านี้ผู้วิจัยสามารถ ศึกษารายละเอียดจากตำราวิจัย ทางการศึกษาได้จึงมีอยู่ทั่วไป การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นการศึกษาที่มุ่งศึกษาปรากฏการณ์ทาง สังคมที่ เกิดขึ้นจากมุมมองของมนุษย์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลใน ลักษณะของ การบรรยาย การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นมีหลายประเภท แต่ที่เหมาะที่จะนำมาใช้ในการวิจัย ปฏิบัติการในชั้นเรียน ได้แก่ การศึกษารายกรณี (Case Study) ซึ่งเป็นวิธีการศึกษาเชิงลึกของหน่วย หรือกลุ่มเดียว องค์การเดียว โปรแกรมเดียว ซึ่งการศึกษารายกรณีจะมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้ 1) ขั้นการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับบุคคล (Collecting of the Necessary Data) ซึ่ง จะช่วยให้รู้จักนักเรียนที่ถูกทำการศึกษา ตลอดจนช่วยทราบภาวะความเป็นไปในปัจจุบันของนักเรียน นั้นอีกด้วย 2) ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis) เป็นการนำเอาข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้มาวิเคราะห์หาข้อเท็จจริง ต่าง ๆ และจำแนกออกเป็นด้าน ๆ เพื่อสะดวกในการตีความหมาย 3) ขั้นตรวจวินิจฉัยปัญหา (Diagnosis) เป็นการนำเอาผลการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นที่สอง เป็น พื้นฐานประกอบการพิจารณาเพื่อวินิจฉัยว่าอะไรน่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาเป็นพื้นฐานการ สังเคราะห์ ข้อเท็จจริงขั้นต่อไป 4) ขั้นสังเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม (Synthesis) คือการศึกษาข้อเท็จจริง เกี่ยวกับปัญหานั้นเพิ่มด้วยวิธีการต่างๆ เช่น สังเกต สัมภาษณ์ ทดสอบ ฯลฯ แล้วนำข้อเท็จจริงที่ค้นพบ มาสังเคราะห์เข้าด้วยกันกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่แล้ว ทำให้มองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูลแต่ละด้าน เกิด เป็นภาพรวมทางบุคลิกของบุคคลนั้น 5) ขั้นให้ความช่วยเหลือ (Treatment) เมื่อผู้ศึกษารายกรณีแน่ใจว่าการตรวจวินิจฉัย ปัญหาของตนถูกต้องแล้วก็ควรคิดหามาตรการต่างๆ ที่จะนำมาช่วยเหลือแนะแนวทางนักเรียนในการ แก้ปัญหา 6) ติดตามผล (Follow-up) เพื่อให้ทราบว่าการศึกษากรณีประสบความสำเร็จ มากน้อย เพียงไร มีข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร และต้องให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่


14 3. ความจำเป็นที่ครูต้องทำการวิจัยในชั้นเรียน ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้ มาตรา 24(1) การจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดย คำนึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล และ มาตรา 24(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัด บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนและอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความ รอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนา กระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการ เรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา 4. ประโยชน์/ความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน ความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียนนั้นจะเห็นได้ว่าการวิจัยในชั้นเรียนมุ่งแก้ปัญหาและ พัฒนางานที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนในชั้นเรียน ซึ่งต้องบังเกิดประโยชน์แก่นักเรียนให้ในการ พัฒนาการเรียนรู้อยู่แล้ว และต้องส่งผลต่อผลงานของครูผู้สอนและโรงเรียนตามมา และนอกจากนี้ การวิจัยในชั้นเรียนนี้ยังสอดคล้องกับแนวทางของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 24(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภท ต่างๆ มาตรา 30 ส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับ การศึกษาในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ได้กล่าวถึงการวิจัย ในกระบวนการจัดการศึกษา ของผู้เกี่ยวข้อง ดังเช่น ศึกษา ค้นคว้า วิจัยเพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ ของผู้เรียน ให้ผู้สอนนำกระบวนการวิจัยมาผสมผสานหรือบูรณาการใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนา คุณภาพของผู้เรียนและเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สามารถใช้กระบวนการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการเรียนรู้ด้วย


15 นวัตกรรมทางการศึกษา 1. ความหมาย นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation) คือ การนำสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเป็น ความคิด วิธีการ หรือการกระทำ หรือสิ่งประดิษฐ์ขึ้น ทั้งในส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือเป็นการพัฒนา ดัดแปลงจากสิ่งที่มีอยู่แต่เดิม ให้ดีขึ้น โดยอาศัยหลักการ ทฤษฎี ที่ได้ผ่านการทดลองวิจัยจนเชื่อถือได้ นำมาใช้ให้เกิดผลเพิ่มพูนประสิทธิภาพต่อการเรียนรู้ 2. การจำแนกประเภท 2.1. นวัตกรรมด้านสื่อการสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยีโทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของ เทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเอง การเรียนเป็นกลุ่ม และการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านเครือข่าย คอมพิวเตอร์ เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์บทเรียน CD/VCD คู่มือการ ทำงานกลุ่ม เป็นต้น 2.2. นวัตกรรมด้านวิธีการจัดการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและ คิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา การพัฒนาวิธีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและสนับสนุนการเรียนการสอน เช่น การสอนแบบร่วมมือ การสอน แบบอภิปราย วิธีสอนแบบบทบาทสมมุติ การสอนด้วยรูปแบบการเรียนเป็นคู่ เป็นต้น 2.3. นวัตกรรมด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมในท้องถิ่น และตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมี การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศและของโลก นวัตกรรมทางด้านหลักสูตรได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการ หลักสูตร รายบุคคล หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ และหลักสูตรท้องถิ่น 2.4. นวัตกรรมด้านการวัดและการประเมินผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการ วัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษาการ วิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล ประเมินผลของ สถานศึกษา ครู อาจารย์ เช่น การสร้างแบบวัดต่างๆ การสร้างเครื่องมือ การประยุกต์ใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์ เป็นต้น แนวทางในการสร้างแบบวัดผลและประเมินผล เช่น การสร้างแบบวัดแววครู การ พัฒนาคลังข้อสอบ การสร้างแบบวัดความมีวินัยในตนเอง 2.5. นวัตกรรมด้านการบริหารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษาให้มีความรวดเร็วทัน


16 เหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะ เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา เช่น การบริหารเชิงระบบ การบริหาร เชิงกลยุทธ์ การบริหารเชิงบูรณาการ เป็นต้น 3. ความสำคัญ นวัตกรรมมีความสำคัญต่อการศึกษาหลายประการ ทั้งนี้เนื่องจากในโลกยุคโลกาภิวัฒน์โลก มีการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความก้าวหน้าทั้งด้านเทคโนโลยีและ สารสนเทศ การศึกษาจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากระบบการศึกษาที่มีอยู่เดิม เพื่อให้ ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งเพื่อแก้ไขปัญหา ทางด้านศึกษาบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงทางด้านการศึกษา จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมการศึกษาที่จะนำมาใช้เพ่อแก้ไขปัญหาทางการศึกษาในบาง เรื่อง เช่น ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกัน จำนวนผู้เรียนที่มากขึ้น การพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัย การผลิตและ พัฒนาสื่อใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองการเรียนรู้ของมนุษย์ให้เพิ่มมากขึ้นด้วยระยะเวลาที่สั้นลง การใช้ นวัตกรรมมาประยุกต์ในระบบการบริหารจัดการด้านการศึกษาก็มีส่วนช่วยให้การใช้ทรัพยากรการ เรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง แบบฝึกเสริมทักษะ ซึ่งการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สามารถกล่าวได้โดยละเอียด ดังนี้ 1. แนวคิด/ทฤษฎี/หลักการ/วิธีการ ชุดแบบฝึกเสริมทักษะนี้สร้างขึ้นโดยอาศัยแนวคิดของ สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ซึ่ง ได้กล่าวไว้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะถือเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ครูผู้สอนสามารถนามาพัฒนาหรือแก้ปัญหาของ นักเรียนได้ เพราะแบบฝึกจะช่วยฝึกทักษะให้นักเรียนมีความสามารถในทักษะต่าง ๆ มากขึ้น แบบฝึกจะ ทำให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้ แบบฝึกทำให้ครูทราบความ เข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน และฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลตนเองได้ 2. องค์ประกอบ/โครงสร้าง/ลำดับขั้น สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550) ได้กล่าวถึงลักษณะและองค์ประกอบของแบบฝึกเสริม ทักษะที่ดีไว้ว่า ควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ คำสั่งชัดเจน อีกทั้งยังได้แนะนำผู้สร้างแบบฝึกเสริมทักษะ ให้ยึดลักษณะและองค์ประกอบไว้ดังนี้ 1) ควรมีความชัดเจนทั้งคำสั่ง ตัวอย่าง วิธีทำที่ใช้ไม่ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจ ยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนสามารถศึกษาด้วยตนเองได้ถ้าต้องการ 2) ควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดมุ่งหมายของการฝึกทักษะ ลงทุนน้อยใช้ได้ นานๆ และทันสมัยอยู่เสมอ


17 3) ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกเสริมทักษะควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานของผู้เรียน 4) ควรแยกฝึกเป็นเรื่องๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพื่อ เร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการทำ 5) ควรมีทั้งแบบกำหนดให้โดยเสรี การเลือกช้ำ ข้อความหรือรูปภาพในแบบฝึกหัด ควรเป็น สิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียนเพื่อว่าแบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นจะได้ก่อให้เกิดความ เพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ได้เร็วในการกระทำที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ ฝึก ทักษะใดทักษะหนึ่งจนเกิดความชำนาญ 6) ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อยๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะทำให้นักเรียนสนใจเรื่องนั้นๆ มากยิ่งขึ้นและจะรู้จักความรู้ในชีวิตประจำวันอย่าง ถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่เขาได้ฝึกฝนนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป 7) ควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันหลายๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการทำ แบบฝึกเสริมทักษะแต่ละเรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับ ตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับ ค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทำได้ตามความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กทุกคน ประสบความสำเร็จ ในการทำแบบฝึกเสริมทักษะ 8) ควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไปจนถึงหน้าสุดท้าย 9) ควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กับหนังสือแบบเรียนและควรใช้ได้ดีทั้งในและนอกบทเรียน 10) ควรเป็นแบบที่สามารถประเมิน และจำแนกความเจริญงอกงามของเด็กได้ด้วย 3. ข้อดี/ข้อเสีย 1) ทำให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอำนวยประโยชน์ในการเรียนรู้ 2) ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน 3) ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้ 4) ฝึกให้เด็กทำงานตามลาพัง โดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 5) ช่วยลดภาระครู 6) ช่วยให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ 7) ช่วยพัฒนาตามความแตกต่างระหว่างบุคคล 8) ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้นได้แก่ 8.1 ฝึกทันทีหลังจากที่เด็กได้เรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ 8.2 ฝึกซ้ำหลายๆครั้ง 8.3 เน้นเฉพาะในเรื่องที่ผิด 9) เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง


18 10) ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วยตนเอง 11) ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่างๆของเด็กได้ชัดเจน 12) ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานและเวลาของครู 4. วิธีการใช้ ครูผู้สอนสามารถนำแบบฝึกเสริมทักษะที่ได้จัดทำขึ้นมาพัฒนาหรือแก้ปัญหาของนักเรียนได้ เพราะแบบฝึกจะช่วยฝึกทักษะให้นักเรียนมีความสามารถในทักษะต่าง ๆ มากขึ้น เทคนิคการสอน การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI 1. ความหมาย กิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนเรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 4 คน และนักเรียนในแต่ ละกลุ่มมีความสามารถในระดับต่างกัน คือ ความสามารถสูง ปานกลาง ต่ำ มีอัตราส่วน 1 : 2 : 1 ในการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้เรียนจะทำแบบฝึกทักษะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ โดยมีการซักถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้กำลังใจ และช่วยเหลือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ทำให้ทุกคนในกลุ่มได้ เรียนรู้บรรลุตามจุดประสงค์ และคะแนนความสำเร็จของแต่ละคน จะเป็นคะแนนความสำเร็จของกลุ่ม หากกลุ่มใดคะแนนเฉลี่ยได้สูง ครูจะเสริมแรงโดยการให้รางวัล คือคำชมเชย และใบ ประการ เกียรติคุณ เพื่อให้นักเรียนทุกคนเห็นคุณค่าในความแตกต่างระหว่างบุคคล 2. แนวคิด/ทฤษฎี/หลักการ/วิธีการ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะสร้างขึ้นโดยอาศัย แนวคิด ทฤษฎี หลักการ หรือวิธีการของ Slavin (2533) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนตาม รูปแบบของTAI (Team Assisted Individualization) ว่า เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ผสมผสานระหว่าง การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative learning) และการสอนรายบุคคล (Individualized instruction) เข้าด้วยกัน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเรียนรายบุคคลโดยใช้ลักษณะการเรียนเป็นกลุ่ม ให้นักเรียนในกลุ่มทำการศึกษาและเรียนรู้ร่วมกัน ช่วยกันดำเนินการเรียนและมีการตรวจสอบร่วมกัน มี การร่วมมือช่วยเหลือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายของการเรียน โดยผู้สอนจะให้ความเป็นอิสระแก่นักเรียนที่ จะหาความรู้จากเพื่อนในกลุ่มซึ่งสอดคล้องกับ สิริพร ทิพย์คง (2545) ที่กล่าวไว้ว่าเป็นการจัดกิจกรรมที่ ใช้กับการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ แต่วิชาอื่นๆ ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่ ต้องการเน้นการพัฒนาทักษะให้กับนักเรียน ครูจะใช้การจัดกิจกรรมการสอนแบบต่างๆให้นักเรียนเข้าใจ เรื่องที่เรียนโดยอาจทำการสอน นักเรียนร่วมกันทั้งชั้น แล้วทำการทดสอบว่านักเรียนคนใดเข้าใจหรือไม่ เข้าใจอย่างไร แล้วครูจึงจัดกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิคTAI จะมีการจัดกลุ่มนักเรียนเป็น 2 ลักษณะ คือ จัดนักเรียนเป็นกลุ่มที่คละความสามารถกลุ่มละ


19 4 คน และจัดนักเรียนเป็นกลุ่มที่มีระดับความสามารถใกล้เคียงกัน สำหรับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิคTAI นักเรียนในแต่ละกลุ่มจับคู่กันทำงานและผลัดกันตรวจงานในคู่ของตน 3. องค์ประกอบ/โครงสร้าง/ลำดับขั้น การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI มีลำดับ ขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1) การจัดกลุ่ม ( Teams ) นักเรียนในห้องจะถูกแบ่งออกเป็น 4-5 คน สมาชิกในแต่ละกลุ่ม ประกอบด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลาง อ่อน และคละเพศกัน 2) มีการทดสอบเพื่อจัดระดับ (Placement test) นักเรียนจะทำแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อ ตรวจสอบความเหมาะสมในการการเรียนเนื้อหาโดยจะจัดตามลำดับของคะแนนที่ได้ 3) เนื้อหาและวัสดุหลักสูตร (Curriculum materials) หลังจากครูก็สอนสอนบทเรียนแล้ว ผู้เรียนจะทำงานในกลุ่มของตนเอง โดยมีสื่อหรือวัสดุหลักสูตรการสอนที่ครอบคลุมเนื้อหา ซึ่งจะอยู่ใน รูปของแบบฝึกเสริมทักษะโดยมีส่วนประกอบดังนี้ 3.1 หน้าเอกสารแนะนำบทเรียนเป็นหน้าที่อธิบายวิธีการทำแบบฝึกเสริมทักษะเป็น ขั้นตอน 3.2 หน้าแบบฝึกเสริมทักษะประกอบด้วยปัญหาซึ่งจะแบ่งเป็น 9 ขั้นตอน โดยเริ่มด้วย การแนะนำทักษะย่อย ๆ ที่จะนำไปสู่ความสามารถในการพัฒนาการเรียนรู้ทักษะทั้งหมด 3.3 แบบทดสอบ (Formative test) เป็นคำถามจำนวน 10 ข้อ 3.4 แบบทดสอบประจำหน่วยการเรียนรู้ (Unit Test) จำนวน 15 ข้อ 3.5 แผ่นคำตอบแบบฝึกเสริมทักษะ แบบทดสอบ ส่วนแผ่นคำตอบของแบบทดสอบ รวมประจำหน่วยจะแยกออกไปต่างหาก 4) การเรียนเป็นกลุ่ม (Team Study) เมื่อมีการทดสอบจัดระดับแล้ว นักเรียนจะเริ่มฝึก ทักษะตามลำดับขั้นที่กำหนดไว้ ดังนี้ 4.1 สมาชิกแต่ละกลุ่มทำการจับคู่กัน เพื่อเช็คหรือตรวจสอบซึ่งกันและกัน 4.2 นักเรียนศึกษาเอกสารแนะนำบทเรียนและถามครูได้หากไม่เข้าใจ 4.3 นักเรียนแต่ละคนเริ่มทำแบบฝึกเสริมทักษะจากโจทย์ปัญหาทีละตอน แล้วให้ เพื่อนร่วมทีมตรวจคำตอบตามบัตรเฉลย ด้านหลังของแบบฝึกเสริมทักษะ ถ้าพบว่านักเรียนไม่ผ่านข้อใด กลุ่มจะต้องอธิบายหรือสอนให้เข้าใจก่อนที่จะถามครูจนกว่าจะผ่านและทำแบบฝึกเสริมทักษะต่อไป 4.4 เมื่อนักเรียนทั้งกลุ่มทำแบบฝึกเสริมทักษะได้ถูกต้องครบแล้ว ต่อไปครูจะให้ นักเรียนทำแบบทดสอบย่อย จำนวน 10 ข้อ นักเรียนจะต้องทำให้ผ่าน 8 ข้อใน 10 ข้อ ถ้าไม่ผ่านครู จะต้องเข้าไปช่วยเหลือ ตรวจสอบปัญหาจนกระทั้งนักเรียนเข้าใจ แล้วจึงให้นักเรียนที่สอบไม่ผ่านทำ แบบทดสอบย่อยอีกครั้งหนึ่ง


20 4.5 นักเรียนจะไปรับแบบทดสอบประจำหน่วยจากหัวหน้ากลุ่ม หัวหน้ากลุ่มจะเป็นผู้ บันทึกคะแนนลงแบบบันทึกคะแนนลงในแผ่นสรุปผลประจำกลุ่ม และนำคะแนนผลการสอนส่งให้ครู นำไปเปรียบเทียบกับคะแนนผ่านของแต่ละบุคคล และของแต่ละกลุ่มต่อไป 5) คะแนนกลุ่มและความสำเร็จของกลุ่ม (Team Scores and Team Recognition) ในวัน สุดท้ายของแต่ละสัปดาห์ ครูจะรวบรวมคะแนนกลุ่ม ซึ่งได้จากการเอาคะแนนซึ่งสมาชิกแต่ละคนได้รับ จากการทำแบบทดสอบประจำเรื่อง มาหาคะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม เกณฑ์การให้รางวัลเป็น 3 ระดับ คือ กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นกลุ่มชนะเลิศ (Super Team) กลุ่มที่ได้คะแนนปานกลางเป็นกลุ่มรอง ชนะเลิศ (Great Team) และกลุ่มที่ได้คะแนนน้อยเป็นกลุ่มดี (Good Team) กลุ่มชนะเลิศและรอง ชนะเลิศก็จะได้รับใบรับรองเป็นรางวัล 6) การสอนกลุ่มย่อย (Teaching Groups) ทุกๆ วันครูจะใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที ใน การสอนกลุ่มย่อยทุกวัน โดยเลือกนักเรียนจากกลุ่มต่างๆ ที่เรียนเนื้อหาเดียวกันมารวมกันเพื่อให้ ข้อแนะนำ หรือทำการสาธิตเพื่อการเรียนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและตามวัตถุประสงค์ และเพื่อให้นักเรียน เข้าใจความคิดรวบยอดที่สำคัญของการเรียนนั้นๆ ส่วนนักเรียนคนอื่น ก็ปฏิบัติงานของตนเองไปเรื่อย ๆ 7) การทดสอบแบบฝึกเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่ละครั้ง ใช้เวลา 3 นาที โดยนักเรียนจะได้รับเอกสารไปศึกษาที่บ้านเพื่อเตรียมตัวก่อนทำการทดสอบ 8) การสอนร่วมกันทั้งชั้นเรียน (Whole Class) เมื่อสอนจบหน่วยการเรียนรู้ ครูจะทำการ สรุปบทเรียนต่างๆ ให้กับนักเรียนทั้งห้อง โดยให้ครอบคลุมเนื้อหาและทักษะต่างๆ ของบทเรียน 4. ข้อดี/ข้อเสีย ข้อดี 1) ช่วยให้เกิดแรงจูงใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถของตนเอง 2) ส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความช่วยเหลือ 3) แก้ปัญหาเด็กอ่อนในห้องเรียนได้ 4) สนองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างดีเด็กที่เรียนช้า มีเวลา ศึกษาและฝึกฝนเรื่องที่ไม่เข้าใจมากขึ้นและเด็กที่เรียนเร็วใช้เวลาศึกษาน้อย 5) ช่วยให้เกิดการยอมรับในกลุ่ม เด็กเก่งยอมรับเด็กอ่อนและเด็กอ่อนเห็นคุณค่าของเด็กเก่ง 6) ช่วยแบ่งเบาภาระของครูทำให้ครูมีเวลาสร้างสรรค์งานสอน ปรับปรุงการสอนมากขึ้น 7) ปลูกฝังนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม 8) เสริมแรงให้เกิดขึ้นทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล ข้อควรคำนึง 1) จำนวนนักเรียนในกลุ่มในการแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มไม่ควรให้แต่ละกลุ่มมีจำนวนสมาชิก ในกลุ่มมากเกินไป ควรมีกลุ่มละ 4-6 คน แต่จากการนำไปใช้จริงนั้น กลุ่มละ 4 คน เหมาะสมมากที่สุด


21 เนื่องจากสามารถนำไปจัดกิจกรรมได้หลายอย่างทั้งทำกิจกรรมเป็นคู่ก่อน แล้วจึงทำ กิจกรรมทั้งกลุ่ม เช่น ในเทคนิคตรวจสอบ คู่ร่วมคือ คู่อภิปราย สัมภาษณ์ สามชั้น กลุ่มคู่ช่วยเรียน เป็นต้น หรือเมื่อเข้า กลุ่มแล้วจำนวนนักเรียนในกลุ่มสามารถนั่งกันอย่างสบายไม่เบียดเสียดกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน มัธยมศึกษาตอนปลายที่นักเรียนตัวโตมากขึ้น ถ้าสมาชิกในกลุ่มมากเกินไป อาจทำให้ไม่สะดวกสบายใน การทำกิจกรรม 2) ความแตกต่างกันในกลุ่ม ในการจัดกลุ่มทรูอาจให้นักเรียนจัดกลุ่มเอง หรือครูจัดกลุ่มให้ก็ ได้แต่ควรมีกติการ่วมกันและชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจตรงกันว่าการเรียนตามหลักสูตรใหม่นี้ ต้องจัด กิจกรรมให้สอดคล้องกับชีวิตจริง นั่นคือในสังคมนั้นไม่สามารถเลือกได้ว่า เราจะทำงานหรืออยู่ร่วมกับ เฉพาะกับคนเก่งเท่าเทียมกัน คนที่มีลักษณะเช่นเดียวกัน ชอบเหมือนกันหรือคนที่เรารักเท่านั้น แต่ใน สังคมจริงๆ นั้นมีคนที่แตกต่างกัน ปะปนกัน ดังนั้นจึงต้องฝึกให้มีคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ต่าง ๆ ตาม ความต้องการของหลักสูตรและสังคม โดยในแต่ละกลุ่มต้องมีทั้งเพศชาย เพศหญิง มีทั้งนักเรียนที่มี ความสามารถแตกต่างกัน ทั้งนักเรียนเก่ง ปานกลางและอ่อน 3) รับผิดชอบร่วมกันในการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TAI ครูผู้สอนควรชี้แจง ให้นักเรียนเห็นความสำคัญของกลุ่ม ให้นักเรียนตระหนักและรับผิดชอบงานกลุ่มร่วมกัน โดยนักเรียนแต่ ละคนได้รับมอบหมายให้ทำงานส่วนใดหรือทำหน้าที่ใด ต้องรับผิดชอบ งานส่วนนั้น หรือหน้าที่นั้น เพื่อ ความสำเร็จของกลุ่ม ต้องย้ำนักเรียนเสมอว่าความสำเร็จของกลุ่ม คือ ความสำเร็จของสมาชิกแต่ละคน และความสำเร็จของนักเรียนแต่ละคนคือความสำเร็จของกลุ่ม ดังนั้นความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละ คนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สิ่งที่กรูจะช่วยเสริมให้นักเรียน ร่วมกันทำงานกลุ่มให้สำเร็จได้คือการให้รางวัล อาจเป็นคำชมเชย โบนัสพิเศษหรืออื่น ๆ เมื่อกลุ่ม ประสบความสำเร็จ 4) การทำงานร่วมกัน ครูควรย้ำกับนักเรียนเสมอว่าในการเรียนรู้ตามหลักสูตรใหม่และ การ เรียนแบบร่วมมือเทคนิค TAI นี้ นักเรียนต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ ช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน มีน้ำใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ร่วมแสดงความคิด ร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความ พยายาม ยอมรับฟังความคิดของผู้อื่น เป็นผู้ฟังที่ดีเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีตามบทบาทหน้าที่ ที่ได้รับ มอบหมายจากกลุ่ม และต้องปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกในกลุ่มและในชั้นเรียนตลอดเวลา 5) เลือกใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TAI อย่างเหมาะสม ในการจัดกิจกรรม การ เรียนแบบร่วมมือเทคนิค TAI นั้นครูเลือกใช้ให้เหมาะสมกับธรรมชาติวิชา วิธีสอนของครู เนื้อหา วัยและ วุฒิภาวะของผู้เรียน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน ดังนั้นสิ่งที่ครูไม่ควรละเลยคือ การศึกษา จิตวิทยาพัฒนาการของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นให้ถ่องแท้ด้วยเช่นกัน 6) สื่ออุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค TAI ครู จำเป็นต้องจัดหาสื่ออุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง มี ประสบการณ์ตรงฝึกการคิดแก้ปัญหาร่วมกัน ดังนั้นครูผู้สอนจึงควรเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน เสาะหา ความรู้


22 จากแหล่งเรียนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้เป็นสื่ออุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ ในการจัด กิจกรรม อาจจัดทำเองหรือเป็นสื่อเอกสาร ซีดีรอม หรือค้นหาสื่อหรือแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วเพื่อ นำมาใช้ประกอบในการจัดกิจกรรม เช่น เว็บไซต์ต่าง ๆ วีดีทัศน์หรือแหล่งเรียนรู้ ท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งวัด ศูนย์วิจัย พิพิธภัณฑ์ แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด โบราณสถานต่าง ๆ เป็นต้น 5. วิธีการใช้ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ การเรียนรายบุคคล โดยใช้ลักษณะการเรียนเป็นกลุ่ม ให้นักเรียนในกลุ่มทำการศึกษาและเรียนรู้ร่วมกัน ช่วยกันดำเนินการเรียนและมีการตรวจสอบร่วมกัน มีการร่วมมือช่วยเหลือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายของ การเรียน โดยผู้สอนจะให้ความเป็นอิสระแก่นักเรียนที่จะหาความรู้จากเพื่อนในกลุ่ม วิธีการสร้างและหาคุณภาพของนวัตกรรม 1. วิธีการสร้าง หลักในการสร้างแบบฝึก มีหลักดังต่อไปนี้ 1) ใช้หลักจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็กแต่ละวัน เช่น แบบฝึกสำหรับเด็กเล็ก หรือระดับ อนุบาลและชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 2 เน้นภาพมากกว่าคำ เด็กวัย 9 – 11 ขวบ จะสนใจเรืองราว เนื้อหาสาระประเภทสารคดี เรื่องราวจากตำรา ตำนาน คำบอกเล่ามากกว่านทาน วัย 11 – 16 ปี ชอบ อ่านเรื่องยาว ๆ ต้องการเนื้อหาสาระมากกว่ารูปภาพเป็นต้น 2) ใช้สำนวนภาษาง่าย ๆ โดยเฉพาะคำสั่งต้องกระชับและชัดเจนและไม่ใช้ศัพท์ยากเกินไป 3) ให้ความหมายต่อชีวิต หมายถึงแบบฝึกนั้นมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าต้องการให้นักเรียน ฝึกเพื่ออะไร ให้ข้อคิดคติธรรมอะไรแฝงอยู่ 4) ฝึกให้คิดได้เร็วและสนุก ปกติหนังสือเรียนมักจะสร้างความจำเจ ทำให้นักเรียนเบื่อหน่าย ได้ง่าย ดังนั้น แบบฝึกจะต้องแตกต่างไปจากหนังสือเรียน หรือแบบฝึกหัดในหนังสือเรียน โดยเน้นให้ นักเรียนได้คิดให้เร็วและสนุก โดยมีเกม หรือมีกิจกรรมหลากหลาย 5) ปลุกความสนใจ ด้วยรูปภาพและรูปแบบที่แปลกและแตกต่างจากที่นักเรียนเคยเห็น 6) เหมาะสมกับวัยและความสามารถของนักเรียน แบบฝึกที่ดีไม่ควรมากเกินไป ทำให้ นักเรียนเบื่อและไม่สนใจและไม่ควรมีกิจกรรมซ้ำ ๆ 7) อาจศึกษาด้วยตนเอง ตามลำพัง 2. การหาคุณภาพ 2.1 การหาคุณภาพเชิงเหตุผล 2.1.1 ความหมาย การหาคุณภาพเชิงเหตุผลกระบวนการนี้เป็นการหาประสิทธิภาพ โดยใช้หลักของความรู้และเหตุผลในการตัดสินคุณค่าของสื่อการเรียนการสอน โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญ


23 (Panel of Experts) เป็นผู้พิจารณาตัดสินคุณค่า ซึ่งเป็นการหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และความเหมาะสมในด้านความถูกต้องของการนำไปใช้(Usability) ผลจากการประเมินของ ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนจะนำมาหาประสิทธิภาพโดยใช้สูตร = 2 − 1 2.1.2 วิธีการ 1) ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้อง 2) สร้างฉบับร่างของนวัตกรรมโดยอ้างอิงจากผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง 3) สร้างแบบประเมินความเหมาะสมเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินประสิทธิภาพเชิง เหตุผล 4) สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item –Objective Congruence: IOC) ของแบบประเมินความเหมาะสมเพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินค่าความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแต่ละข้อคำถาม (Item) ของแต่ละประเด็น แบบประเมิน ค่า IOC 5) นำแบบประเมินค่า IOC ของแบบประเมินความเหมาะสมให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน ภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมิน ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็น แต่ละข้อคำถามที่ประเมินต้องมี ค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามีความตรง จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถาม นั้นมีความเที่ยงตรง 6) นำนวัตกรรมที่สร้างฉบับร่างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษา ด้าน ภาษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมิน ความเหมาะสมด้วยแบบประเมิน แต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามที่ประเมินมีความเหมาะสม 7) นำนวัตกรรมที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ 6 มาแก้ไขปรับปรุงตามคำแนะนำของ ผู้เชี่ยวชาญ 8) จัดทำรูปเล่มของนวัตกรรมที่ผ่านการสร้างและหาคุณภาพเชิงเหตุผลแล้ว


24 2.2 การหาคุณภาพเชิงประจักษ์ 2.2.1 ความหมาย การหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์(Empirical Approach) ประสิทธิภาพของ สื่อการเรียนการสอน ที่วัดออกมาจะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์ในการทำแบบฝึกหัดหรือ กระบวนการปฏิสัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์การทำแบบทดสอบเมื่อจบบทเรียนแสดงค่าตัวเลข 2 ตัว E1/ E2 เช่น 80/80, 85/85, 90/90 โดยตัวแรกคือเปอร์เซ็นต์ของการทำแบบฝึกหัดหรือ แบบทดสอบย่อย ถูกต้อง โดยถือเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ และตัวเลขตัวหลังคือ เปอร์เซ็นต์ของการทำ แบบทดสอบถูกต้อง โดยถือเป็นประสิทธิภาพของผลลัพธ์ 2.2.2 วิธีการ 1) นำนวัตกรรมที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ กับนักเรียน ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายการวิจัย การหาประสิทธิภาพจะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ ประสิทธิภาพ E 1 /E 2 เมื่อ E 1 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำกิจกรรม และการทดสอบย่อย ระหว่างการทดลองใช้นวัตกรรม E 2 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสิ้นสุด การทดลองใช้นวัตกรรม การตัดสินประสิทธิภาพจากการทดลองใช้นวัตกรรม เมื่อเทียบกับเกณฑ์ ประสิทธิภาพที่กำหนดขึ้นว่า ถ้าค่าร้อยละของคะแนนที่คำนวณของ E 1 = เกณฑ์ประเมินผ่าน ±2.55 แสดง ว่า ประสิทธิภาพของ E 1 เป็นไปตามเกณฑ์แต่ถ้ามากกว่า หรือน้อยกว่า เกณฑ์ประเมินผ่าน ±2.5 แสดง ว่า ประสิทธิภาพของ E 1 สูงกว่า หรือ น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้ง ต้องปรับนวัตกรรมการเรียนรู้ที่สร้างให้เท่ากับ เกณฑ์ที่ตั้ง ส่วนการตัดสินประสิทธิภาพของ E 2 ทำเช่นเดียวกับ E 1 และถ้าร้อยละของคะแนนระหว่าง E 1 และ E 2 ต่างกันมากกว่าร้อยละ 5 แสดงว่าประสิทธิภาพของนวัตกรรม มีประสิทธิภาพไม่เป็นไปตาม เกณฑ์ต้องทำการปรับปรุงใหม่ 2) จัดทำรูปเล่มของนวัตกรรมให้พร้อมสำหรับการนำไปทดลองใช้กับนักเรียน ระดับชั้นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายการวิจัย


25 เครื่องมือการวิจัย 1. ความหมาย คือ วัสดุ ครุภัณฑ์และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งอาจแบ่งเครื่องมือวิจัย ออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ 1) ครุภัณฑ์การวิจัย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีสภาพคงทนถาวร เช่น เครื่องกลั่นสาร เครื่องบันทึก วีดีโอ เครื่องบันทึกเสียง เป็นต้น 2) วัสดุประกอบการวิจัย เป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือมีสภาพไม่คงทนถาวร และใช้ ประกอบการดำเนินการวิจัย เช่น บทเรียนสำเร็จรูป แผนการสอน แบบฝึกหัด 3) เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดค่าของตัวแปรและสำรวจ ข้อเท็จจริงของปรากฏการณ์ซึ่งได้แก่แบบทดสอบ แบบสอบถาม เป็นต้น (ไพศาล วรคำ, 2559) 2. การจำแนกประเภท 1) นวัตกรรม นวัตกรรมที่สร้างเพื่อทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับการพัฒนาผล การเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ จากเรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 คือ แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI 2) แบบสอบถาม การสอบถามนิยมใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่ค่อนข้างสะดวกและไม่กดดันในการตอบคำถาม โดยการเขียน ซึ่งอาจเขียนตอบเป็นข้อความหรือเป็น เครื่องหมายตามเงื่อนไขที่กำหนด สิ่งที่วัดโดยแบบสอบถามมีทั้งข้อเท็จจริง ความรู้ ความคิดเห็น เจตคติ และพฤติกรรม แบบสอบถามแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 แบบสอบถามแบบเปิด (Open-ended form) เป็นแบบสอบถามที่ข้อคำถามมี ลักษณะเปิดกว้างให้ผู้ตอบตอบอย่างอิสระในขอบเขตคำถามโดยไม่มีการแนะแนวทางในการตอบ 2.2 แบบสอบถามแบบปลายปิด (Close-ended form) เป็นแบบสอบถามที่มีคำถามมี ลักษณะจำกัดให้ตอบ ผู้ตอบเลือกตอบจากคำตอบที่กำหนดให้ 3. ขั้นตอนการหาคุณภาพ 3.1 การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) 3.1.1 ความหมาย ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) เป็นคุณสมบัติของ ข้อคำถามที่สามารถวัดได้ตรงตามเนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด และเมื่อรวบรวมข้อคำถามทุกข้อ เป็นเครื่องมือทั้งฉบับจะต้องวัดได้ครอบคลุมเนื้อหาและพฤติกรรมทั้งหมดที่ต้องการวัด(พิชิต ฤทธิ์จรูญ,2556) 3.1.2 วิธีการหาค่าความเที่ยงตรง มีวิธีการตรวจสอบดังนี้ 1. การตรวจสอบว่าข้อคำถามในเครื่องมือมีความเป็นตัวแทนของเนื้อหาหรือ ครอบคลุมเนื้อหาที่ต้องการจะวัดหรือไม่ 2. ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาที่วัดกับจุดประสงค์ที่ต้องการวัด โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการจะวัดหรือไม่ วิธีนี้จะเป็นการ


26 หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ (Index of Item-Objective Congruence หรือ IOC) โดยให้ผู้เชี่ยวชาญไม่น้อยกว่า 3 คน เป็นผู้พิจารณาให้คะแนนแต่ละข้อดังนี้ +1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อคำถามนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่า ข้อคำถามนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์ -1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อคำถามนั้นไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ จากนั้นนำคะแนนผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับ จุดประสงค์ โดยใช้สูตร สูตร IOC = ΣR N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ ΣR แทน ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้เกณฑ์การคัดเลือกข้อคำถาม ดังนี้ 1. ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5-1.0 คัดเลือกไว้ใช้ได้ 2. ข้อคำถามที่มีค่า IOC ต่ำกว่า 0.5 ควรพิจารณาปรับปรุงหรือตัดทิ้ง 3.2 การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) 3.2.1 ความหมาย ความเชื่อมั่นของเครื่องมือวิจัย (Reliability) หมายถึง คุณสมบัติ ของเครื่องมือที่ให้ผลการวัดที่คงที่หรือคงเส้นคงวา เมื่อทำการวัดซ้ำ หลาย ๆ ครั้งด้วยเครื่องมือที่วัดสิ่ง เดียวกัน (วรรณี แกมเกตุ, 2555) 3.2.2 วิธีการหาค่าความเชื่อมั่น วิธีการหาความเชื่อมั่นที่นิยมใช้กันมีหลายวิธีทุกวิธี เป็นการหาความเชื่อมั่นในความหมายของความคงที่หรือความคงเส้นคงวาของผลการวัดแตกต่างกัน ตรงที่วิธีการที่ใช้ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท 1. การหาความเชื่อมั่นแบบความคงที่ (Measure of Stability) เป็นความคงเส้นคง วาของคะแนนจากการวัดในช่วงเวลาต่างกัน โดยวิธีสอบซ้ำด้วยเครื่องมือฉบับเดิม แล้วนำผลการวัดทั้ง สองครั้งมาหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ วิธีนี้เรียกอีกอย่างว่าวิธีสอบซ้ำ (Test-retest Method) การ คำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนการวัดทั้ง 2 ครั้ง 2. การหาความเชื่อมั่นแบบความเท่าเทียมกัน (Measure of Equivalence) หมายถึง ความสอดคล้องกันของคะแนนจากการวัดในช่วงเวลาเดียวกัน โดยใช้แบบทดสอบคู่ขนาน (Parallel Test) แล้วนำคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบทั้งสองฉบับมาหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การหา ความเชื่อมั่นแบบนี้เป็นผลมาจากความพยายามในการปรับปรุงจุดอ่อนของวิธีแรก อันเนื่องมาจากความ คลาดเคลื่อน ในการวัดซ้ำเพราะผู้สอบอาจจำข้อสอบได้ในการสอบซ้ำ แต่วิธีนี้ก็มีความยุ่งยากที่จะต้อง


27 สร้างแบบทดสอบขึ้นมาอีกชุดหนึ่งที่มีความคู่ขนานกับแบบทดสอบชุดเดิม นักวัดผลจึงได้พัฒนาวิธีการ หาความเชื่อมั่นในรูปของความสอดคล้องภายใน 3. การหาความเชื่อมั่นแบบความสอดคล้องภายใน (Measure of Internal Consistency) ความเที่ยงแบบความสอดคล้องภายใน เป็นความสอดคล้องกันระหว่างคะแนนรายข้อ หรือความเป็นเอกพันธ์ของเนื้อหารายข้ออันเป็นตัวแทนของคุณลักษณะเด่นเดียวกันที่ต้องการวัด วิธีนี้ นักวิจัยนำเครื่องมือฉบับเดียวไปทำการวัดกับกลุ่มตัวอย่างเพียงครั้งเดียว แล้วนำผลการวัดมาหาค่า ความเชื่อมั่นโดยวิธีต่าง ๆ 4 วิธี ดังนี้ 3.1 วิธีแบ่งครึ่งข้อสอบ (Split-Half Method) ดำเนินการดังนี้ 3.1.1 แบ่งครึ่งข้อสอบออกเป็น 2 ฉบับย่อย โดยอาจยึดเกณฑ์ข้อคู่ - ข้อคี่, ครึ่งแรก -ครึ่งหลัง, ตามเนื้อหาหรือโดยการสุ่ม รวมคะแนนข้อคู่-ข้อคี่ของแต่ละคน หรือรวมคะแนนตาม เกณฑ์อื่นๆ ที่ใช้แบ่งครึ่งข้อสอบ 3.1.2 คำนวณค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนข้อคู่ - ข้อคี่ (หรือ ตามเกณฑ์อื่น ๆ ที่ใช้ในการแบ่งครึ่งข้อสอบ) ซึ่งจะได้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของครึ่งฉบับ 3.1.3 คำนวณค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือทั้งฉบับ โดยใช้สูตรของ Spearman -Brown 3.2 วิธีของ Kuder-Richardson ใช้ในกรณีที่เครื่องมือมีการตรวจให้คะแนน แบบ 0, 1 โดย ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน วิธีนี้มีสูตรการคำนวณ 2 แบบ คือ KR-20 และ KR-21 การใช้สูตร KR-21 มีข้อตกลงเบื้องต้นว่า ข้อสอบทุกข้อมีความยากง่ายเท่ากันหรือใกล้เคียง กัน ในกรณีที่ข้อสอบมีความยากง่ายแตกต่างกัน ควรใช้สูตร KR-20 3.3 วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient: α) ใช้ในกรณีที่การให้คะแนนเป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) หรือข้อสอบอัตนัย และยังใช้ได้ กับแบบทดสอบที่ให้คะแนนแบบ 0, 1 ได้ด้วย สูตรนี้เป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลาย 3.4 วิธีวิเคราะห์ความแปรปรวนของ Hoyt (Hoyt’s Analysis of Variance) วิธีนี้ใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางของคะแนนที่ผู้ถูกทดสอบแต่ละคนได้รับจากข้อสอบ แต่ละข้อ โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ วิธีนี้สามารถใช้ในแบบทดสอบที่ให้คะแนนแบบ 0.1 หรือแบบทดสอบ อัตนัย หรือมาตรประมาณค่าก็ได้ ผลการวิเคราะห์ได้ค่าเท่ากับวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค


28 ระดับความพึงพอใจ 1. ความหมาย ระดับความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดย เรียงลำดับจากระดับมากที่สุดถึง น้อยที่สุด 5 ระดับคือ มีความพึงพอใจมากที่สุด มีความพึงพอใจมาก มีความพึงพอใจปานกลาง มีความ พึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับดังกล่าวกำหนดโดยเกณฑ์ช่วงค่าเฉลี่ย ของบุญชม ศรีสะอาด (2545) ดังนี้ ความพึงพอใจที่ระดับมากสุด มีคะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 ความพึงพอใจที่ระดับมาก มีคะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 ความพึงพอใจที่ระดับปานกลาง มีคะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 ความพึงพอใจที่ระดับน้อย มีคะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 ความพึงพอใจที่ระดับน้อยสุด มีคะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 2. เครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ เครื่องมือที่ใช้วัดระดับความพึงพอใจประกอบด้วยแบบสอบถามประเภทต่าง ๆ เช่น แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ เป็นต้น 3. วิธีการสร้างเครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ การสร้างแบบวัดความพึงพอใจมีขั้นตอน ดังนี้ 1) กำหนดเนื้อหาในการ สร้างแบบวัดความพึงพอใจ 2) เลือกประเด็นในการวัดและกำหนดวิธีที่จะใช้ในการวัด 3) สร้างแบบวัดความพึงพอใจ 4) นำแบบสอบถามวัดความพึงพอใจไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 5) นำแบบสอบถามความพึงพอใจมาหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ 6) นำแบบสอบถาม วัดความพึงพอใจไปใช้จริงและแปลผล 4. การประเมินระดับความพึงพอใจด้วยค่าเฉลี่ย การหาค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างหาได้โดยการเฉลี่ยจากค่าน้ำหนักของข้อมูลที่ได้ เพราะ ข้อมูลที่ได้มีค่าน้ำหนัก ต่างกัน จึงต้องใช้สูตรจากการคำนวณทางสถิติ คือ Mean x = สูตรการหาร้อยละ = คะแนนที่ได้×100 คะแนนเต็ม


29 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ 1. ความหมาย มีนักการศึกษากล่าวถึงความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ กู๊ด (1973) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง การทำให้สำเร็จ (Accomplishment) หรือประสิทธิภาพของการปฏิบัติในลักษณะที่กำหนดให้ หรือด้านความรู้ สมพร เชื้อพันธ์ (2547) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียน การ สอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2548) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (2549) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ หรือ ผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและ ประสบการณ์เรียนรู้ ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไว้ตามลักษณะ ของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน เยาวดี วิบูลย์ศรี(2549) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลจากการเรียนรู้ที่แต่ ละคน ได้ศึกษาเรียนรู้มาแล้วในอดีตหรือในปัจจุบัน โดยเป็นผลจากการประเมินความรู้ทางด้านเนื้อหา วิชาการเป็นหลัก เน้นความตรงเชิงเนื้อหาที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาเป็นสำคัญ อุทุมพร จามรมาน (2549) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง เครื่องความสำเร็จใน การจัดการศึกษาของหลักสูตรนั้น ๆ ซึ่งการจัดการศึกษาตามหลักสูตรต่าง ๆ มีความเกี่ยวข้องกับ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ดังนั้น ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจึงเป็นตัวชี้ความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้อง ชวาล รัตนสวนจิก (2550) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลสำเร็จในการ เรียนรู้โดยใช้ความสามารถทางสติปัญญาที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สามารถใช้ความรู้ความเข้าใจ และ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาที่กำหนดได้ นิ่มน้อย แพงปัสสา (2551) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ ความรู้ ความสามารถ และมวลประสบการณ์ของบุคคล อันเป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้ และเป็นผลให้ บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ ซึ่งตรวจสอบได้จากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประทินรัตน์ นิยมสิน (2554) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัดความรู้ ความเข้าใจเนื้อหาสาระวิชาคณิตศาสตร์ และทักษะกระบวนการต่าง ๆ ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการ ให้เหตุผล ทักษะการคิดคำนวณ การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหา หรือ


30 สถานการณ์ใหม่ ซึ่งในงานวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจะศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของ นักเรียน โดยใช้คะแนนจากแบบทดสอบแบบเลือกตอบ จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์การเรียนรู้ที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอนและเป็นผลให้ บุคคลเกิดการเปลี่ยนปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ จากการวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน 2 การจำแนกประเภท 2.2.1 ด้านความรู้(Knowledge: K) เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด หรือพฤติกรรมทางด้านสมองของบุคคล ในอันที่ทำให้มีความเฉลียวฉลาด มีความสามารถใน การคิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นความสามารถทางสติปัญญา การเรียนการสอนใน ปัจจุบันยังเน้นในด้านนี้มาก แบ่งได้เป็น 6 ระดับ ได้แก่ 1. ความรู้ความจำ เป็นความสามารถในการเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่าง ๆ จากการที่ได้รับรู้ไว้และระลึกสิ่งนั้นได้เมื่อต้องการ เปรียบดังเทปบันทึกเสียงหรือวีดิทัศน์ที่สามารถเก็บ เสียงและภาพของเรื่องราวต่าง ๆ ได้ สามารถเปิดฟัง หรือ ดูภาพเหล่านั้นได้เมื่อต้องการ 2. ความเข้าใจ เป็นความสามารถในการจับใจความสำคัญของสื่อได้ และ สามารถแสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรือ การกระทำอื่น ๆ 3. การนำความรู้ไปใช้เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ใน การแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ จึงจะสามารถนำไปใช้ได้ เช่น นำหลักของการใช้ภาษาไทยไปใช้สื่อความหมายในชีวิตประจำวันได้ถูกต้องและเหมาะสม 4. การวิเคราะห์เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย เป็นองค์ประกอบที่สำคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน ความสามารถในการวิเคราะห์จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน 5. การสังเคราะห์ขั้นนี้เป็นความสามารถในการที่ผสมผสานย่อย ๆ เข้าเป็น เรื่องราวเดียวกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่สมบูรณ์และดีกว่าเดิม อาจเป็นการถ่ายทอดความคิด ออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย การกำหนดวางแผนวิธีการดำเนินงานขึ้นใหม่ หรือ อาจจะเกิดความคิดใน อันที่จะสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งที่เป็นนามธรรมขึ้นมาในรูปแบบ หรือ แนวคิดใหม่ 6. การประเมินค่า เป็นความสามารถในการตัดสิน ตีราคา หรือ สรุปเกี่ยวกับ คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งอาจเป็นไปตามเนื้อหา สาระในเรื่องนั้น ๆ หรืออาจเป็นกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับก็ได้


31 2.2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) พฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความ สามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ พฤติกรรมทางทักษะพิสัย 5 ระดับ ตามทฤษฎีการ เรียนรู้ เบนจามิน บลูม และคณะ (Bloom et al, 1956) มี ดังนี้ 1. การเลียนแบบ (Imitation) พฤติกรรมที่แสดงถึงการลอกเลียบแบบ หรือการ ปฏิบัติตามแบบอย่างที่มีต้นแบบ 2. การทำตามแบบ (Manipulation) เป็นพฤติกรรมที่พยายามฝึกตามแบบที่ตน สนใจและพยายามทำซ้ำ เพื่อที่จะให้เกิดทักษะตามแบบที่ตนสนใจหรือสามารถปฏิบัติงานได้ตาม ข้อเสนอแนะ 3. การทำอย่างถูกต้อง (Precision) พฤติกรรมที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องชี้แนะอย่างถูกต้องแม่นยำ ซึ่งผ่านการฝึกฝนมาแล้ว 4. การทำอย่างต่อเนื่อง (Articulation) พฤติกรรมกรรมที่กระทำอย่างต่อเนื่อง จน ปฏิบัติงานที่ยุ่งยากซับซ้อน ได้อย่างรวดเร็ว คล่องแคล่วปฏิบัติงานหลาย ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วย ความถูกต้อง 5. การทำอย่างเป็นธรรมชาติ (Naturalization) พฤติกรรมที่ได้จากการฝึก อย่างต่อเนื่อง จนสามารถปฏิบัติได้คล่องแคล่วว่องไวโดยอัตโนมัติ เป็นไปอย่างธรรมชาติ 2.2.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A) เป็นพฤติกรรมทางด้านจิตใจ ซึ่งจะเกี่ยวกับค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจ และคุณธรรม พฤติกรรม ของผู้เรียนในด้านนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นทันที ดังนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องใช้วิธีปลูกฝัง โดยจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และสอดแทรกสิ่งที่ดีงามอยู่ตลอดเวลา เพื่อทำให้พฤติกรรมของ ผู้เรียนเปลี่ยนไปในแนวทางที่พึงประสงค์ด้านจิตพิสัย จะประกอบด้วย พฤติกรรมย่อย ๆ 5 ระดับ ได้แก่ 1. การรับรู้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อปรากฎการณ์ หรือสิ่งเร้าอย่างใดอย่าง หนึ่ง ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของสิ่งเร้านั้นว่าคืออะไร แล้วจะแสดงออกมาในรูป ของความรู้สึกที่เกิดขึ้น 2. การตอบสนอง เป็นการกระทำที่แสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ ยินยอม และพอใจต่อสิ่งเร้านั้น ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเลือกสรรแล้ว 3. การเกิดค่านิยม เป็นการเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคม ซึ่งจะ แสดงออกมาในรูปของการยอมรับนับถือในคุณค่านั้น ๆ หรือปฏิบัติตามในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนกลายเป็น ความเชื่อ แล้วจึงเกิดทัศนคติที่ดีในสิ่งนั้น 4. การจัดรวบรวม เป็นการสร้างแนวคิดและจัดระบบของค่านิยมที่เกิดขึ้น ซึ่ง จะรวบรวมค่านิยมเหล่านั้น โดยอาศัยความสัมพันธ์กับสิ่งที่ยึดถือ เพื่อใช้เป็นหลักในการพิจารณาในเรื่อง


32 ต่าง ๆ ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดถือต่อไป แต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับค่านิยมใหม่ หรืออาจจะยอมรับค่านิยม ใหม่โดยยกเลิกค่านิยมเก่าไปก็ได้ 5. สร้างลักษณะนิสัยตามค่านิยมที่ยึดถือ เป็นการนำค่านิยมที่ยึดถือนั้นมาใช้ เป็นตัวควบคุมพฤติกรรมที่เป็นนิสัยประจำตัวของตน ให้ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม 2.3 วิธี/เครื่องมือวัดและประเมินผล 2.3.1 ด้านความรู้(Knowledge: K) ลักษณะเครื่องมือวัดและประเมินผลด้าน ความรู้ (Knowledge : K) แบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังนี้ 1. ข้อสอบแบบถูก - ผิด (True-false) 2. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching) 3. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice) 4. ข้อสอบแบบความเรียง (Essay) การใช้เครื่องมือวัดและประเมินผลด้านความรู้ (Knowledge : K) แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement test) 2. แบบทดสอบวินิจฉัย (Diagnostic test) 3. แบบทดสอบวัดเชาวน์ปัญญาและความถนัด (Intelligence and aptitude test) 2.3.2 ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) เครื่องมือวัดและประเมินผล ด้านทักษะกระบวนการ (Process/Product: P) จะวัดได้ใน 2 ส่วนคือ 1. วัดกระบวนการทำงาน (Process) 2. วัดผลผลิต (Product) 2.3.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A) ลักษณะเครื่องมือวัดและ ประเมินผลด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A) แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 1. แบบมาตรวัดประมาณค่า (Rating scale) 2. แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) 3. แบบบันทึกพฤติกรรม (Anecdotal record) การใช้เครื่องมือวัดและประเมินผลด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A)แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 1. แบบสำรวจความสนใจ (Interest inventory) 2. แบบวัดเจตคติ (Attitude test) วิธีวัดและประเมินผลพฤติกรรมด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A) จะสามารถวัดได้ 2 วิธี คือ 1. ให้ผู้อื่นเป็นผู้ประเมิน เช่น การสังเกตโดยครู เพื่อน หรือผู้ปกครอง 2. การประเมินด้วยตนเอง เช่น การตอบแบบวัดเจตคติ


33 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. งานวิจัยที่ทำการทบทวน การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและ การหารเศษส่วน ของนักเรียนชั้นป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึก เสริมทักษะ ผู้วิจัยทำการทบทวนงานเฉพาะวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ร่วมกับเทคนิค พัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เรื่องการคูณและการหารเศษส่วนของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ ผลการทบทวนดังกล่าวนำเสนอตามลำดับ ดังนี้ 1. ภัทรลดา ประมาณพล (2560) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดกิจกรรม เรื่องจำนวนนับ และการบวกการลบ การคูณ การหารสำหรับนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่6 โดยใช้เทคนิค TAI กับ นักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสฤษดิเดช โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1.1 เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม เรื่องจำนวนนับและการบวกการลบ การคูณ การหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 โดยใช้เทคนิค TAI ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 75/75 1.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 ที่ได้รับ การสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมเรื่อง จำนวนนับและการบวกการลบ การคูณ การหาร ก่อนเรียนและหลัง เรียนโดยใช้เทคนิค TAI 1.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อชุดกิจกรรม เรื่องจำนวนนับ และการบวกการลบ การคูณ การหารโดยใช้เทคนิค TAI ผลการวิจัยพบว่า 1.3.1 ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม เรื่องจำนวนนับ และการบวกการลบ การคูณ การหารของนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิค TAI ที่สร้างขึ้นมีค่าเท่ากับ78.27/82.72 ซึ่งสูง กว่าเกณฑ์75/75 1.3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมเรื่องจำนวนนับ และ การบวกการลบ การคูณ การหารโดยใช้เทคนิค TAI หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 1.3.3 ความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรม เรื่องจำนวนนับ และการบวก การลบ การคูณ การหารโดยใช้เทคนิค TAI มีค่าเฉลี่ย 4.46 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 2. นางสาวฒิชากร ปริญญากาญจน์(2561) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดกิจกรรมการ เรียนรู้ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้เรื่องการบวกและ การลบเลขของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางลาน โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ


34 2.1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2.2 การพัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI 2.3 การทดลองใช้ชุดกิจกรรมร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI 2.4 การประเมินชุดกิจกรรมกลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่2 ปี การศึกษา 2561 ภาคเรียนที่1 โรงเรียนวัดบางลาน จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาจากการ สุ่มโดยการจับสลากโดยใช้โรงเรียนเป็นหน่วยสุ่มเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ชุดกิจกรรมการ เรียนรู้จำนวน 2 ชุดกิจกรรม แผนการจัดการเรียนรู้แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนเรื่องการบวกและการ ลบเลขและแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าร้อยละ (%) การทดสอบค่า t แบบไม่เป็นอิสระ (t-test Dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 2.4.1 ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI ที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญ ครูและนักเรียน พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควร ให้นักเรียนสามารถศึกษาความรู้ได้ด้วยตนเองจากการจัดกิจกรรมกลุ่ม สื่อที่ใช้เป็นแบบฝึกหัดท้ายบท และสื่อประสม โดยใช้แบบทดสอบหลังเรียนที่เป็นปรนัย และอัตนัย 2.4.2 ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบด้วยคู่มือครูได้แก่ 1) คำนำ 2) คำชี้แจง 3) แผนการจัดการเรียนรู้ 4) ใบความรู้ 5) เฉลยแบบฝึกหัด 6) เฉลยแบบทดสอบ 7) แบบบันทึกการประเมิน คู่มือนักเรียน 1) คำนำ 2) วัตถุประสงค์ 3) คำชี้แจง 4) ใบความรู้ 5) แบบฝึกหัด 6) แบบทดสอบและมีประสิทธิภาพ 83.00/81.50 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์80/80 ที่กำหนดไว้


35 2.4.3 ผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่าผู้เรียนมีความกระตือรือร้นใน การเรียน และให้ความสนใจในกระบวนการกลุ่ม 2.4.4 ผลการใช้ชุดกิจกรรมพบว่า ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไป ตามเกณฑ์80/80 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีผลการเรียนรู้เรื่องการบวกและการลบเลข หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนมีพัฒนาการสูงขึ้นมากกว่า ร้อยละ40 และ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ที่กำหนดไว้มีความพึงพอใจในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิค TAI อยู่ใน ระดับมาก 3. จำเนียร แซ่เล่า (2561) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านขอนหาด โดย มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 3.1 เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 3.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3.3 เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง การคูณ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า 3.3.1 แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.62/82.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 3.3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณ โดยใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3.3.3 ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่องการคูณ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เท่ากับ 0.6666 หรือร้อยละ66.67 สูงกว่า 0.50 หรือร้อยละ50 ซึ่ง เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ 4. พจนา เบญจมาศ (2558) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ โดย การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนตูมใหญ่วิทยา โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 4.1 เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 4.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อน เรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้ วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI


36 4.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ต่อการเรียนด้วยแบบ ฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI ผลการวิจัยพบว่า 4.3.1 ประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้น ตัวแปรเดียว โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มี ประสิทธิภาพเท่ากับ 85.26/86.17 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 4.3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนด้วยแบบ ฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 4.3.3 ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึก เสริมทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. การสรุปประเด็น จากงานวิจัยที่ผู้วิจัยทำการทบทวนทั้งสิ้นจำนวน 4 เรื่อง ขอสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผล การทบทวนดังกล่าวเป็นรายข้อ ดังนี้ 1. การทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI มีจุดประสงค์การวิจัยเพื่อ 1.1 เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค TAI 1.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนโดย การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI 1.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน 1.4 เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI 2. ผลของการทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค TAI คือ 2.1 ประสิทธิภาพของกิจกรรมโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI ที่ สร้างขึ้นมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นักเรียนมีการพัฒนาที่มากขึ้น 2.3 นักเรียนมีความพึงพอใจจากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI อยู่ใน ระดับมาก


37 2.4 ข้อมูลพื้นฐานในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI พบว่าการจัดการ เรียนรู้ควรให้นักเรียนสามารถศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเองจากการจัดกิจกรรมกลุ่ม สื่อที่ใช้เป็นแบบฝึก ท้ายบท และสื่อประสม โดยใช้แบบทดสอบหลังเรียนที่เป็นปรนัย และอัตนัย 3. การทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้โดยการใช้แบบฝึกเสริมทักษะมีจุดประสงค์การ วิจัยเพื่อ 3.1 เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ 3.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลัง เรียนโดยการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ 3.3 เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะ 3.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ 4. ผลของการทำงานวิจัยเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้โดยการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ คือ 4.1 ประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะมีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 4.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4.3 ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะสูงกว่า 0.50 หรือร้อยละ 50 4.4 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 3. ประเด็นที่ทำการวิจัยต่อยอด จากการสรุปประเด็นความรู้เกี่ยวกับผลการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเป็นรายข้อ ก่อนหน้าแล้วพบว่า การทำวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่อง การคูณและการหารเศษส่วนของนักเรียนชั้น ป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ มีประเด็นความรู้ที่แตกต่างจากการสรุปประเด็นดังกล่าวคือ 1. วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นวิจัยที่เกี่ยวกับการพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จาก เรื่องการคูณและการหารเศษส่วนของนักเรียนชั้น ป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ 2. เป็นการวิจัยที่ใช้ในเรื่อง การคูณและการหารเศษส่วน ตามตัวชี้วัดที่ ป.5/4 เรื่องการหา ผลคูณผลหารของเศษส่วน มาตรฐานการเรียนรู้ ค.1.1 เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การดำเนินการของจำนวน ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ สมบัติของการดำเนินการ และ นำไปใช้ สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต 3. จากการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านรวมกัน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ/ กระบวนการ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนชั้นป.5 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ อำเภอพิชัย


38 จังหวัดอุตรดิตถ์ระหว่างปีการศึกษา 2565 ถึง ปีการศึกษา 2566 พบว่า มีค่าเฉลี่ยคะแนนรวมของผล การเรียนผ่านเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน แต่ผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์มีค่าเฉลี่ยคะแนน รวมต่ำกว่าเกณฑ์ประเมินผ่านระดับชั้นเรียน ผู้วิจัยจึงได้จัดทำแบบฝึกเสริมทักษะโดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียนเฉพาะด้านการคิดวิเคราะห์


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและการหาร เศษส่วนของนักเรียนชั้นป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยตามกรอบของหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ ระเบียบวิธีวิจัย ดำเนินการวิจัยโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experiment Research) ร่วมกับ วิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) วิเคราะห์ข้อมูลจากข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ร่วมกับ ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Quantitative Data) แหล่งข้อมูลการวิจัย 1. ประชากร นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เทียบเคียงประชากรที่มีจำนวนไม่จำกัด (Infinite Population) 2. กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 25 คน วิธีการคัดเลือก เทียบเคียงกับใช้วิธีการสุ่มแบบอาศัย ความน่าจะเป็นอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เพราะถือว่านักเรียนแต่ละคนของระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ของแต่ละปีการศึกษาเมื่อวิเคราะห์โดยภาพรวมแล้วพบว่า มาจากบริบทของชุมชน เดียวกันจึงสร้างข้อสรุปว่าไม่มีความแตกต่างกัน ประชากรของนักเรียนดังกล่าวจึงเป็นเอกพันธ์ (Homogeneous Population)สามารถคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มแบบอาศัยความน่าจะเป็นอย่างง่าย เครื่องมือการวิจัย 1. นวัตกรรม 1.1 เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม นวัตกรรมที่สร้างเพื่อทดลองใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับ การพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์จากเรื่องการคูณและการหารเศษส่วนของนักเรียนชั้นป.5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI และแบบฝึกเสริมทักษะ


40 1.2 วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผล (Rational Approach)และเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) ตามแนวคิดของ เผชิญ กิจระการ (2544) ดังนี้ การสร้างและหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล ให้ดำเนินการตามลำดับขั้น 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ซึ่งการวิจัยนี้จะสร้างโดยอ้างอิงตาม แนวคิด ทฤษฎีหลักการ วิธีการของ แบบฝึกเสริมทักษะ (สุนันทา สุนทรประเสริฐ, 2544) เทคนิค TAI (Slavin, 2533) 2. สร้างฉบับร่างของแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI โดยอ้างอิงจากผล การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้อ 1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินความเหมาะสมของแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินประสิทธิภาพเชิงเหตุผล แบบประเมินความเหมาะสมที่สร้างแสดงแล้วใน ภาคผนวกที่ 5 4. สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence: IOC) ของแบบประเมินความเหมาะสมเพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินค่าความเที่ยงตรง เชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแต่ละข้อคำถาม(Item) ของแต่ละประเด็น แบบประเมินค่า IOC กล่าวแล้วในภาคผนวกที่ 5 5. นำแบบประเมินค่า IOC ของแบบประเมินความเหมาะสมของแบบฝึกเสริมทักษะ ร่วมกับเทคนิค TAI ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัด ประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็น แต่ละข้อคำถามที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามี ความตรง จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินพบว่า แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเหมาะสมของนวัตกรรม มีค่า IOC ระหว่าง 0.00 ถึง 1.00 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเห็นว่ามีความตรง จึงลงข้อสรุปว่า แบบสอบถามเพื่อวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมแสดงแล้วดังภาคผนวกที่ 5 6. นำแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ที่สร้างฉบับร่างแล้วไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน เทคโนโลยีการศึกษา ด้านภาษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 3 คน ทำการประเมินความเหมาะสมด้วยแบบประเมิน แต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมี ค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 3.50 จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามที่ประเมินมีความเหมาะสม 7. นำแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ 6 มาแก้ไข ปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ


41 8. จัดทำรูปเล่มแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ที่ผ่านการสร้างและหาคุณภาพ เชิงเหตุผลแล้ว การสร้างและหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธิภาพ เชิงเหตุผล 1. นำแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ที่จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหา ประสิทธิภาพเชิงประจักษ์กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านเกาะ อำเภอพิชัย จังหวัด อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มเป้าหมายการวิจัย การหาประสิทธิภาพจะใช้วิธีการเทียบกับเกณฑ์ ประสิทธิภาพ E 1 /E 2 = 70/70 เมื่อ E 1 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำกิจกรรม และการทดสอบย่อย ระหว่างการทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ซึ่งเกณฑ์ประเมินผ่านคือ ร้อยละ 70 E 2 หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสิ้นสุด การทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI ซึ่งเกณฑ์ประเมินผ่านคือ ร้อยละ 70 การตัดสินประสิทธิภาพจากการทดลองใช้แบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI เมื่อ เทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพที่กำหนดขึ้นว่า ถ้าค่าร้อยละของคะแนนที่คำนวณของ E 1 = 70 ±2.55 แสดง ว่า ประสิทธิภาพของ E 1 เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70 แต่ถ้ามากกว่า หรือน้อยกว่า 70 ±2.5 แสดงว่า ประสิทธิภาพของ E 1 สูงกว่า หรือ น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้ง ต้องปรับนวัตกรรมการเรียนรู้ที่สร้างให้เท่ากับ เกณฑ์ที่ตั้งคือ 70 ส่วนการตัดสินประสิทธิภาพของ E 2 ทำเช่นเดียวกับ E 1 และถ้าร้อยละของคะแนน ระหว่าง E 1 และ E 2 ต่างกันมากกว่าร้อยละ 5 แสดงว่าประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI มีประสิทธิภาพไม่เป็นไปตามเกณฑ์ต้องทำการปรับปรุงใหม่ 2. จัดทำรูปเล่มแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI พร้อมสำหรับการนำไปทดลอง ใช้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป้าหมายการวิจัย ข้อตกลง เนื่องด้วยปัจจัยจำกัดบางประการคือโรงเรียนวัดบ้านเกาะ เป็นโรงเรียนขนาด เล็ก ซึ่งสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แล้วเปิดการเรียนการสอนเพียงชั้นเรียนเดียวและมี นักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 216 คน ดังนั้น ด้วยปัจจัยจำกัดดังกล่าว จึงสร้างข้อตกลงว่า การทำวิจัยครั้งนี้จะขอ ละเว้นการหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ของแบบฝึกเสริมทักษะร่วมกับเทคนิค TAI 2. เครื่องมือรวบรวมข้อมูล 2.1 ชนิดของเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถามประเภท ต่าง ๆ เช่น แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ แบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรม แบบทดสอบ เป็นต้น


42 2.2 วิธีการสร้างและหาประสิทธิภาพ ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพทั้งเชิงเหตุผล และเชิงประจักษ์ดังนี้ การสร้างและหาประสิทธิภาพเชิงเหตุผล ดำเนินการตามลำดับขั้น 1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถามประเภทต่าง ๆ เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดจะสร้างตาม แนวคิด ทฤษฎีหลักการ วิธีการต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ สร้างตามแนวคิด ทฤษฎีของ หลักการ วิธีการทางการของ ดร.สมชัย ชินะตระกูล (2553) 1.2 แบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรม สร้างตามแนวคิด ทฤษฎีของ หลักการ วิธีการของ ดร. ธีระศักดิ์ อุรัจนานนท์(2553) 1.3 แบบทดสอบ สร้างตามแนวคิด ทฤษฎีของ หลักการ วิธีการของ สุรชัย ขวัญเมือง (2522) 2. สร้างฉบับร่าง แบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจ แบบสอบถามวัดความ เหมาะสมของนวัตกรรม แบบทดสอบ โดยอ้างอิงผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ข้อย่อยข้อ1 ก่อนหน้า 3. สร้างแบบประเมินค่า IOC เพื่อให้ผู้เชียวชาญทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา แต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิด แบบประเมินค่า IOC ของ เครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดกล่าวแล้วในภาคผนวกที่ 5 4. นำแบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่สร้างฉบับร่างไป ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการวิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแต่ละข้อคำถามของแต่ละประเด็นด้วยแบบประเมิน IOC แต่ละ ข้อคำถามของแต่ละประเด็นที่ประเมินต้องมีค่าเฉลี่ยอย่างน้อย 0.5 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เห็นว่ามีความตรง จึงจะตัดสินว่า ข้อคำถามนั้นมีความเที่ยงตรง ผลการประเมินพบว่า 4.1 แต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบมีค่าดรรชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.00 ถึง1.00 จึงลงข้อสรุปว่า แบบทดสอบมีความเที่ยงตรงเป็นส่วนมาก ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแต่ละข้อ คำถามของแบบทดสอบแสดงแล้วดังภาคผนวกที่ 5 4.2 แต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจมีค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.60 ถึง 3.40 ผลการประเมินค่าเฉลี่ยของแต่ละข้อคำถามของแบบถามวัดระดับความพึงพอใจแสดงแล้วดังภาคผนวก ที่5 5. นำเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่ผ่านการประเมินดังกล่าวข้อ 4 มาแก้ไข ปรับปรุงตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ


Click to View FlipBook Version