หนงั สอื หลกั สตู รบาลไี วยากรณ์ สาหรบั ท่อง
ฉบบั รวม ๔ เลม่
*******************************
อกั ขรวธิ ี ภาคที่ ๑
- สมัญญาภธิ าน และ สนธิ
วจวี ภิ าค ภาคที่ ๒
- นาม และ อพั ยยศพั ท์
- อาขยาต และ กิตก์
- สมาส และ ตัทธิต
ฉบบั คดั ยอ่ มาจากหนงั สือบาลไี วยากรณ์
พระนพิ นธ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
รวบรวม เรยี บเรยี ง โดย
คณะครแู ผนกบาลี สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
ตาบลหน้าเมอื ง อาเภอเมอื งฉะเชงิ เทรา จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา
หนังสอื หลกั สตู รบาลไี วยากรณ์ สาหรบั ทอ่ ง
ฉบบั รวม ๔ เลม่
*******************************
อกั ขรวธิ ี ภาคท่ี ๑
- สมัญญาภิธาน และ สนธิ
วจวี ภิ าค ภาคที่ ๒
- นาม และ อัพยยศัพท์
- อาขยาต และ กติ ก์
- สมาส และ ตทั ธิต
ฉบบั คดั ย่อมาจากหนังสือบาลีไวยากรณ์
พระนิพนธ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ปที พ่ี มิ พ์ : พ.ศ. ๒๕๖๔ (พิมพ์ครง้ั ท่ี ๗)
จานวนทพี่ ิมพ์ : จานวน ๒,๐๐๐ เล่ม
ห้ามจาหนา่ ย
ใช้เฉพาะการเรยี นการสอน
สานักเรียนวัดโสธรวราราม วรวิหาร
ตาบลหนา้ เมือง อาเภอเมือง จงั หวัดฉะเชงิ เทรา ๒๔๐๐๐
โทรฯ ๐๓๘-๘๒๑-๓๙๗
ก
คำนำ
หลักสูตรบาลีไวยากรณ์ ฉบับย่อสำหรับท่องจำ ของสำนักเรียน
วัดโสธรวราราม พิมพ์คร้ังท่ี ๗ น้ี ได้รวบรวม เรียบเรียงใหม่ ตามเนื้อหาของ
ฉบับเดิมท่ีพิมพ์มาแล้ว ๖ คร้ัง พร้อมท้ังตรวจชำระแก้ไขส่วนท่ีผิด เพ่ิมเติม
เนื้อหาท่ีจำเป็นจากหลักสูตรเดมิ และจัดรูปแบบใหม่เพ่ือให้ง่ายต่อการอา่ น การ
ท่องจำของนักเรียน และผใู้ ช้หนงั สอื บาลไี วยากรณ์ฉบบั น้ี
คณะครูแผนกบาลี ของสำนักเรียนวัดโสธรวราราม ได้คัดย่อหลักสูตร
การท่องจำบาลีไวยากรณ์ทั้ง ๔ เล่ม รวมไว้เป็นเล่มเดียว เพื่อง่ายต่อการ
ท่องจำ แต่ก็ยังคงสาระสำคัญของไวยากรณ์ไว้เพ่ือเป็นฐานในการแปลธรรมบท
และเป็นความรู้ในการเข้าสอบบาลีสนามหลวงได้ครบสมบูรณ์ตามเดิม พร้อมทั้ง
เพ่ิมเนื้อหาของหลักสัมพันธ์ และอุภัยพากย์ปริวัติ คือหลักการของ วิชาแปลไทย
เป็นมคธ เข้าไว้ด้วย เพ่ือที่จะได้เป็นอุปการะต่อการเรียน การสอนในช้ันประโยค
ป.ธ.๓ และประโยค ช้นั สงู ๆ ให้มคี วามสะดวกย่ิงข้นึ
อน่ึง คณะผู้จัดทำ คู่มือตำราบาลีไวยากรณ์ ขออนุโมทนา บุญกับ
เจ้าภาพ ผู้สร้างหนังสือคู่มือบาลีไวยากรณ์ ในครั้งน้ี ขอให้ท่าน พร้อมครอบครัว
จงประสบแตค่ วามสขุ ความเจริญเทอญ.
ถ้าหากว่าคุณงาม ความดีของการรวบรวม เรียบเรียง คู่มือตำราบาลี
ไวยากรณ์ ในคร้ังนี้พึงมีอยู่ไซร้ คณะผู้จัดทำ ก็ขอมอบถวายบูชาพระคุณของบิดา
มารดา และครูอุปัชฌาย์อาจารย์ แลคณาจารย์ที่ท่านได้แต่งตำราไว้จนตราบเท่า
ถึงทุกวันน้ี “°าตุ จิรํ สตํ ธมฺโม” ขอพระสทั ธรรมของพระผู้มพี ระภาค จงดำรงคง
ม่ันอยู่ตลอดกาลนานเทอญ.
คณะผจู้ ัดทำ
๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๔
ข หน้า
ก
สารบัญ ข
เร่ือง
คำนำ ๑
สารบญั ๒
๓
อักขรวิธี ภาคที่ ๑ ๔
สมัญญาภธิ านและสนธิ ๕
สระ ๖
พยญั ชนะ ๖
ฐานกรณ์ของอักขระ ๗
กรณข์ องอกั ขระ ๘
เสียงของอกั ขระ ๙
โฆสะ และ อโฆสะ ๑๐
สถิ ิล และ ธนติ ๑๑
พยัญชนะสงั โยค ๑๑
อทุ าหรณ์การซ้อนพยัญชนะวรรค ๑๒
การใช้พยญั ชนะ อวรรค ๑๗
สนธิ ๒๐
สนธกิ ิริโยปกรณ์
สระสนธิ ๒๓
พยญั ชนะสนธิ ๒๔
นคิ คหิตสนธิ
วจวี ิภาค ภาคที่ ๒
นามศัพท์
ลิงค์
สารบญั (ต่อ) ค
เรอื่ ง
วจนะ หน้า
วภิ ัตติ ๒๖
อายตนิบาต ๒๗
การันต์ ๒๘
แบบแจกการนั ตข์ องศัพท์ที่เป็นปุงลงิ ค์ ๒๙
แบบแจกการนั ตข์ องศัพท์ที่เป็นอติ ถลี งิ ค์ ๒๙
แบบแจกการันต์ของศัพท์ที่เป็นนปุงสกลงิ ค์ ๓๔
กติปยศัพท์ ๓๘
มโนคณะศพั ท์ ๔๑
สงั ขยาคณุ นาม ๔๘
ปกติสงั ขยา ๕๒
ปรู ณสงั ขยา ๕๒
สพั พนาม ๕๙
อัพยยศพั ท์ ๖๐
อุปสัค ๖๙
นิบาต ๖๙
ปัจจยั ๗๔
อาขยาต ๘๐
วภิ ัตติ ๘๒
กาล ๘๒
บท ๘๗
๙๐
ง สารบัญ (ต่อ)
เรอื่ ง หน้า
วจนะ ๙๑
บุรุษ ๙๑
ธาตุ ๙๒
วาจก ๙๕
ปัจจัย ๙๗
ปจั จยั พิเศษ ๙๘
อสฺ ธาตุ ๙๙
กิตก์ ๑๐๐
นามกติ ก์ ๑๐๐
สาธนะ ๑๐๑
ปจั จัยแหง่ นามกติ ก์ ๑๐๓
วเิ คราะห์แห่งนามกติ ก์ ๑๐๔
กิรยิ ากติ ก์ ๑๑๗
ปจั จยั แห่งกริ ิยากิตก์ ๑๑๙
ต ปัจจยั ๑๒๑
ตนู าทิปจั จยั ๑๒๔
สมาส ๑๒๖
กมั มธารยสมาส ๑๒๖
ทิคสุ มาส ๑๓๐
ตปั ปรุ ิสสมาส ๑๓๑
ทวนั ทวสมาส ๑๓๓
อพั ยยีภาวสมาส ๑๓๔
สารบัญ (ต่อ) จ
เรื่อง หนา้
พหพุ พิหสิ มาส ๑๓๖
น บุพฺพบท พหุพิหสิ มา ๑๔๐
ภินนาธกิ รณพหพุ พิหสิ มาส ๑๔๑
สหบพุ พบทพหุพิหสิ มาส ๑๔๒
สมาสทอ้ ง ๑๔๒
ตทั ธิต ๑๔๔
สามญั ญตัทธติ ๑๔๔
โคตตตทั ธิต ๑๔๕
ตรตฺยาทิตัทธติ ๑๔๗
ราคาทิตทั ธติ ๑๔๘
ชาตาทิตทั ธติ ๑๔๙
สมุหตทั ธติ ๑๕๐
ฐานตัทธติ ๑๕๑
พหุลตทั ธิต ๑๕๒
เสฏฐตทั ธิต ๑๕๓
ตทสั สัตถิตัทธิต ๑๕๔
ปกติตัทธติ ๑๕๗
ปรู ณตัทธติ ๑๕๘
สังขยาตทั ธติ ๑๕๙
วภิ าคตัทธติ ๑๕๙
ภาวตทั ธิต ๑๖๐
อัพยยีภาวตทั ธติ ๑๖๒
ฉ สารบญั (ต่อ)
เรื่อง หน้า
หลกั การแปลมคธเป็นไทย ๑๖๓
หลกั สมั พนั ธ์สำหรับทอ่ งจำ ๑๖๔
หลกั การเดินสัมพนั ธ์ ๑๗๔
หลักการแปลไทยเป็นมคธ ๑๗๕
บรรณานุกรม ๑๘๓
คมู่ อื บาลไี วยากรณ์ ๑
สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
บาลไี วยากรณ์
บาลีไวยากรณ์น้ีแบง่ เป็น ๔ ภาคก่อน คือ อกั ขรวธิ ี ๑ วจวี ภิ าค ๑
วากยสัมพนั ธ์ ๑ ฉันทลกั ษณะ ๑
๑. อกั ขรวิธี วา่ ดว้ ยอกั ษร จดั เป็น ๒ คือ สมัญญาภิธาน แสดงช่ืออกั ษร ท่ี
เป็ นสระและพยญั ชนะ พร้อมท้งั ฐานกรณ์ ๑ สนธิ ต่ออกั ษรท่ีอยู่ในคาอ่ืนให้
เนื่องเป็นอนั เดียวกนั ๑.
๒. วจีวิภาค แบ่งคาพูดออกเป็ น ๖ ส่วน คือ นาม ๑ อัพยยศัพท์ ๑ สมาส ๑
ตัทธติ ๑ อาขยาต ๑ กติ ก์ ๑.
๓. วากยสัมพันธ์ ว่าดว้ ยการก และประพนั ธ์ผูกคาพูดที่แบ่งไว้ ในวจีวิภาค
ใหเ้ ขา้ เป็นประโยคเดียวกนั .
๔. ฉันทลักษณะ แสดงวิธีแต่งฉันท์ คือ คาถาท่ีเป็ นวรรณพฤทธ์ิ และ
มาตราพฤทธ์ ิ.
อกั ขรวธิ ี ภาคท่ี ๑
สมัญญาภิธานและสนธิ
สมญั ญาภธิ าน
เนื้อความของถ้อยคาท้ังปวง ต้องหมายรู้กันด้วยอักขระ เม่ืออกั ขระ
วิบตั ิแลว้ ก็เขา้ ใจเน้ือความยาก เพราะฉะน้ัน เสียงก็ดี ตัวหนังสือก็ดี ช่ือว่า
อกั ขระ ๆ แปลวา่ ไม่รู้จักสิ้นอย่าง ๑ ไม่เป็ นของแข็งอย่าง ๑.
อกั ขระที่ใชใ้ นภาษาบาลีน้นั มี ๔๑ ตัว คือ
อ อา, อิ อ,ี อุ อ,ู เอ โอ
๘ ตวั น้ี ชื่อ สระ
ก ข ค ฆ ง, จ ฉ ช ฌ ญ, ฏ ° ฑ ฒ ณ,
ต ถ ท ธ น, ป ผ พ ภ ม, ย ร ล ว ส ห ฬ í (องั )
๓๓ ตวั น้ี ช่ือ พยญั ชนะ.
๒ สำนกั เรียนวดั โสธรวราราม
ค่มู ือบาลไี วยากรณ์
สระ
ในอกั ขระ ๔๑ ตวั น้นั อกั ขระเบื้องต้น ๘ ตัว ต้งั แต่ อ จนถึง โอ ช่ือสระ
สระ ออกเสียงไดต้ ามลาพงั ตนเอง และทาพยญั ชนะใหอ้ อกเสียงได้
สระ ๘ ตัวนี้ ชื่อวา่ นิสสัย เพราะเป็ นที่อาศัย ของพยัญชนะ
บรรดา พยัญชนะ ตอ้ งอาศยั สระ จึงออกเสียงได้.
(สระ ๘ ตวั แบง่ เป็น ๔ เสียง คือ รัสสะ ทีฆะ ครุ และ ลหุ)
(๑) ในสระ ๘ ตัวน้ัน สระมีมาตราเบา ๓ ตัว คือ อ อิ อุ ชื่อว่า
รัสสะ มีเสียงส้ัน เหมือนคาวา่ อติ ครุ เป็นตน้
(๒) สระอีก ๕ ตวั อื่นจากรัสสะ ๓ ตวั คือ อา อี อู เอ โอ ช่ือวา่
ทฆี ะ มีเสียงยาว เหมือนคาวา่ ภาคี วธู เสโข เป็นตน้
แต่ เอ โอ ท่ีมีพยัญชนะสังโยค (ตัวสะกด) ซ้อนกนั อยู่เบื้องหลงั
ท่านกล่าววา่ เป็น รัสสะ เหมือนคาวา่ เสยโฺ ย โสตฺถิ เป็นตน้
(๓) สระท่ีเป็ นทีฆะล้วน และสระท่ีเป็ นรัสสะ มีพยัญชนะสังโยค
และนิคคหิต อยู่เบื้องหลัง ช่ือว่า ครุ มีเสียงหนัก เหมือนคาว่า ภูปาโล เอสี
มนุสฺสินฺโท โกเสยฺย เป็นตน้
(๔) สระท่ีเป็ นรัสสะล้วน ไม่มีพยญั ชนะสังโยค และนคิ คหติ อยู่
เบือ้ งหลงั ช่ือวา่ ลหุ มเี สียงเบา เหมือนคาวา่ ปติ มนุ ิ เป็นตน้
สระน้นั จดั เป็ นคู่ได้ ๓ คู่ คือ
(๑) อ อา เรียกวา่ อ วณั โณ
(๒) อิ อี เรียกวา่ อิ วัณโณ
(๓) อุ อู เรียกวา่ อุ วัณโณ
คู่มือบาลไี วยากรณ์ ๓
สำนกั เรียนวัดโสธรวราราม
เอ, โอ สองตัวน้ี ช่ือว่า สังยุตตสระ คือ ประกอบเสียงสระ ๒ ตัว
เป็ นเสียงเดียวกัน, อ กับ อิ ผสมกันเป็ น เอ, อ กับ อุ ผสมกันเป็ น โอ,
เพราะฉะน้นั สระ ๒ ตวั น้ี จงึ เกดิ ใน ๒ ฐาน ตามท่ีแสดงไวข้ า้ งหนา้ .
พยัญชนะ
อกั ขระที่เหลือจากสระ ๓๓ ตัว มี ก เป็ นต้น มีนคิ คหิต ( í ) (องั ) เป็ น
ท่ีสุด ช่ือวา่ พยัญชนะ
คาวา่ พยญั ชนะ น้นั แปลวา่ ทาเนื้อความให้ปรากฏ
อกั ขระเหลา่ น้ีเป็น นิสสิต เพราะต้องอาศัยสระจึงออกเสียงได้
พยญั ชนะ ๓๓ ตวั น้ี จัดเป็ น ๒ พวก คือ วรรค ๑ อวรรค ๑
พยัญชนะวรรค จดั เป็น ๕ คือ
ก ข ค ฆ ง ๕ ตวั น้ี เรียกวา่ ก วรรค
จ ฉ ช ฌ ญ ๕ ตวั น้ี เรียกวา่ จ วรรค
ฏ ° ฑ ฒ ณ ๕ ตวั น้ี เรียกวา่ ฏ วรรค
ต ถ ท ธ น ๕ ตวั น้ี เรียกวา่ ต วรรค
ป ผ พ ภ ม ๕ ตวั น้ี เรียกวา่ ป วรรค
พยัญชนะ ๒๕ ตัวนี้เป็ นพวก ๆ กันตามฐานกรณ์ท่ีเกิด ซ่ึงจะว่าต่อไป
ขา้ งหนา้ จึงช่ือวา่ วรรค
พยญั ชนะ ๘ ตวั น้ี คือ ย ร ล ว ส ห ฬ í(อัง) เรียกว่า อวรรค เพราะไม่
เป็ นพวกเป็ นหมู่กนั ตามฐานกรณ์ทีเ่ กดิ
๔ สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์
พยญั ชนะ คือ (í องั ) เรียกวา่ นคิ คหติ ตามสาสนโวหาร
เรียกวา่ อนุสาร ตามคมั ภีร์ศพั ทศาสตร์ มีเน้ือความเป็นอนั เดียวกนั
นคิ คหิต แปลวา่ กดสระ หรือ กรณ์ คือ อวัยวะที่ทาเสียง เวลาเม่ือจะวา่ ไม่
ตอ้ งอา้ ปากเกินกวา่ ปกติ เหมือนวา่ ทฆี ะสระ
อนุสาร แปลว่า ไปตามสระ คือพยญั ชนะตัวน้ี ต้องไปตามหลังสระ คือ
อ อิ อุ เสมอ เหมือนคาวา่ อห เสตุí อกาสึ เป็นตน้
ฐานกรณ์ของอกั ขระ
ฐาน คือ ทีต่ ้งั ท่เี กดิ ของอกั ขระ มี ๖ คือ
(๑) กณโฺ ° คอ (๒) ตาลุ เพดาน
(๓) มุทฺธา ศีรษะกว็ า่ ป่ มุ เหงือกกว็ า่ (๔) ทนฺโต ฟัน
(๕) โอฏฺ โ° ริมฝีปาก (๖) นาสิกา จมกู
อกั ขระบางเหล่าเกดิ ในฐานเดยี ว บางเหล่าเกดิ ใน ๒ ฐาน
อกั ขระท่ีเกดิ ในฐานเดยี ว อยา่ งน้ี
อ อา, ก ข ค ฆ ง, ห ๘ ตวั น้ี เกิดที่ คอ เรียกวา่ กณ°ฺ ชา
อิ อ,ี จ ฉ ช ฌ ญ, ย ๘ ตวั น้ี เกิดที่เพดาน เรียกวา่ ตาลุชา
ฏ ° ฑ ฒ ณ, ร ฬ ๗ ตวั น้ี เกิดท่ี ศีรษะ ก็วา่
ที่ป่ ุมเหงือก ก็วา่ เรียกวา่ มทุ ฺธชา
ต ถ ท ธ น, ล ส ๗ ตวั น้ี เกิดท่ี ฟัน เรียกวา่ ทนฺตชา
อุ อ,ู ป ผ พ ภ ม ๗ ตวั น้ี เกิดที่ริมฝี ปากเรียกวา่ โอฏฺ °ชา
(í องั ) นิคคหิต เกิด ในจมูก เรียกวา่ นาสิกฏฺ °านชา
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์ ๕
สำนกั เรียนวดั โสธรวราราม
อกั ขระท่ีเกดิ ใน ๒ ฐาน มีท้ังหมด ๘ ตัว คือ
เอ เกิดใน ๒ ฐาน คือ คอและเพดาน เรียกวา่ กณ°ฺ ตาลุโช
โอ เกิดใน ๒ ฐาน คือ คอและริมฝี ปาก เรียกวา่ กณฺโ°ฏฺ °โช
พยัญชนะท่สี ุดวรรค ๕ ตัว คือ ง ญ ณ น ม เกิดใน ๒ ฐาน คือ
ตามฐานเดมิ ของตนและจมูก เรียกวา่ สกฏฺ °านนาสิกฏฺ °านชา
ว เกิดใน ๒ ฐาน คือ ฟันและริมฝี ปาก เรียกวา่ ทนฺโตฏฺ °โช
ห พยัญชนะที่ประกอบด้วยพยัญชนะ ๘ ตัวนี้ คือ ญ ณ น ม ย ล ว ฬ ท่าน
กล่าววา่ เกดิ แต่อก ที่ไม่ไดป้ ระกอบ เกดิ ในคอตามฐานเดิมของตน
กรณ์ของอกั ขระ
กรณ์ คือ ทที่ าอกั ขระ มี ๔ คือ
(๑) ชิวหฺ ามชฺฌ ท่ามกลางลิ้น ๑
(๒) ชิวฺโหปคฺค ถดั ปลายลิ้นเขา้ มา ๑
(๓) ชิวหฺ คฺค ปลายลิ้น ๑
(๔) สกฏฺ °าน ฐานของตน ๑
ท่ามกลางลนิ้
เป็นกรณ์ของอกั ขระท่ีเป็น ตาลชุ ะ (อิ อี, จ ฉ ช ฌ ญ, ย)
ถดั ปลายลนิ้ เข้ามา
เป็นกรณ์ของอกั ขระที่เป็น มุทธชะ (ฏ ° ฑ ฒ ณ, ร ฬ)
ปลายลนิ้
เป็นกรณ์ของอกั ขระที่เป็น ทันตชะ (ต ถ ท ธ น, ล ส)
ฐานของตน
เป็นกรณ์ของอกั ขระท่ีเหลือจากน้ี
๖ สำนกั เรียนวดั โสธรวราราม
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์
เสียงของอกั ขระ
มาตราท่ีจะว่าอกั ขระน้นั ดงั น้ี
(๑) สระส้ัน มาตราเดียว
(๒) สระยาว ๒ มาตรา
(๓) สระท่มี พี ยญั ชนะสังโยคอยู่เบื้องหลงั ๓ มาตรา
(๔) พยัญชนะท้งั ปวง กงึ่ มาตรา
เหมือนหน่ึง – ว่าสระส้ัน ตัวหนง่ึ กง่ึ วินาที
– ว่าสระยาว ต้องวนิ าทีหน่ึง
– ว่าสระท่มี พี ยัญชนะสังโยคอย่เู บือ้ งหลัง วินาทคี รึ่ง
– ว่าพยญั ชนะควบกนั เหมือน ตฺย ต้งั แต่ ตฺ จนถึง ย
เท่าส่วนที่ ๔ ของวินาที
สระ ๘ ตัวน้ัน มีเสียงไม่ต่างกบั ภาษาของเรา ย่อลงเป็ น ๒ คงมีเสียงส้ัน
อย่าง ๑ มีเสียงยาวอย่าง ๑
พยัญชนะ ก็มีเสียงไม่ต่างกนั ที่ต่างกัน คือ ค ช ฑ ท พ ๕ ตวั น้ี เป็นแต่
ใหผ้ ศู้ ึกษากาหนดพยญั ชนะท่ีเป็น โฆสะ และ อโฆสะ เป็นตน้
เสียงของพยัญชนะ โฆสะ และ อโฆสะ
เสียงของพยญั ชนะแบ่งเป็น ๒ ตามที่มี เสียงก้อง และ ไม่ก้อง ดงั น้ี
(๑) พยัญชนะทมี่ เี สียงก้อง เรียกวา่ โฆสะ
(๒) พยัญชนะท่มี ีเสียงไม่ก้อง เรียกวา่ อโฆสะ
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์ ๗
สำนักเรียนวดั โสธรวราราม
พยัญชนะท่ี ๑ ท่ี ๒ ในวรรคท้งั ๕ คือ ก ข, จ ฉ, ฏ °, ต ถ, ป ผ และ ส
๑๑ ตวั นี้ เป็น อโฆสะ.
พยญั ชนะที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ในวรรคท้งั ๕ คือ ค ฆ ง, ช ฌ ญ, ฑ ฒ ณ, ท ธ น,
พ ภ ม และ ย ร ล ว ห ฬ ๒๑ ตวั นี้ เป็น โฆสะ.
(í องั ) นคิ คหติ นักปราชญ์ผู้รู้ศัพทศาสตร์ ประสงคเ์ ป็น โฆสะ
ส่วน นักปราชญ์ฝ่ ายศาสนา ประสงคเ์ ป็น โฆสาโฆสวิมตุ ติ
คือ พน้ จาก โฆสะและอโฆสะ และเสียงของนิคคหิตน้ี อ่านตามวิธีบาลีภาษา
มีสาเนียงเหมือนตวั ง สะกด อ่านตามวธิ สี ันสกฤต มีสาเนียงเหมือน ม สะกด
สิถิล และ ธนติ
เสียงของพยัญชนะวรรค ที่เป็ น โฆสะ และ อโฆสะ ก็แบ่งเป็ น ๒
ตามเสียงหย่อนและหนัก
(๑) พยญั ชนะทถี่ กู ฐานของตนหย่อน ๆ ชื่อ สิถิล
(๒) พยญั ชนะท่ถี กู ฐานของตนหนัก บนั ลือเสียงดัง ชื่อ ธนิต
พยญั ชนะท่ี ๑ ที่ ๓ ในวรรคท้งั ๕ เป็น สิถิล (ก ค, จ ช, ฏ ฑ, ต ท, ป พ)
พยญั ชนะที่ ๒ ท่ี ๔ ในวรรคท้งั ๕ เป็น ธนิต (ข ฆ, ฉ ฌ, ° ฒ, ถ ธ, ผ ภ)
ในคัมภีร์กจั จายนเภทแสดงไวว้ า่ พยัญชนะท่ีสุดวรรค ๕ ตัว (ง ญ ณ น ม)
ก็เป็น สิถลิ แต่ในคัมภีร์ท้งั หลายอื่นท่านมิได้กล่าวไว้
๘ สำนักเรียนวัดโสธรวราราม
คมู่ อื บาลไี วยากรณ์
เม่ือผู้ศึกษากาหนดจา โฆสะ อโฆสะ สิถิล ธนิต ได้แล้ว พงึ รู้เสียงดังนี้
(๑) พยญั ชนะที่เป็น สิถลิ อโฆสะ มีเสียงเบากวา่ ทกุ พยญั ชนะ
(ไดแ้ ก่พยญั ชนะที่ ๑ ในวรรคท้งั ๕ คือ ก จ ฏ ต ป)
(๒) พยญั ชนะที่เป็น ธนิตอโฆสะ มีเสียงหนกั กวา่ สิถิลอโฆสะ
(ไดแ้ ก่พยญั ชนะท่ี ๒ ในวรรคท้งั ๕ คือ ข ฉ ° ถ ผ)
(๓) พยญั ชนะท่ีเป็น สิถิลโฆสะ มีเสียงดงั กวา่ ธนิตอโฆสะ
(ไดแ้ ก่พยญั ชนะที่ ๓ ในวรรคท้งั ๕ คือ ค ช ฑ ท พ)
(ไดแ้ ก่พยญั ชนะที่ ๕ ในวรรคท้งั ๕ คือ ง ญ ณ น ม)
(๔) พยญั ชนะที่เป็น ธนติ โฆสะ มีเสียงดงั กอ้ งกวา่ สิถิลโฆสะ
(ไดแ้ ก่พยญั ชนะท่ี ๔ ในวรรคท้งั ๕ คือ ฆ ฌ ฒ ธ ภ)
พยญั ชนะสังโยค (หลกั การซ้อนพยัญชนะ)
ลกั ษณะทจ่ี ะประกอบพยัญชนะซ้อนกนั ได้น้นั (คือใช้เป็ นตัวสะกดได้) ดังนี้
(พยญั ชนะวรรค)
ในพยญั ชนะวรรคท้งั หลาย
พยัญชนะท่ี ๑ ซอ้ นหนา้ พยัญชนะที่ ๑ และท่ี ๒ ในวรรคของตนได้
พยญั ชนะท่ี ๓ ซอ้ นหนา้ พยัญชนะที่ ๓ และท่ี ๔ ในวรรคของตนได้
พยัญชนะที่ ๕ ซ้อนหนา้ พยัญชนะในวรรคของตนได้ท้ัง ๕ ตัว ยกเว้น
แต่ตัว ง ซ่ึงเป็ นตัวสะกดอย่างเดยี ว ซ้อนหน้าตวั เองไม่ได้.
คู่มอื บาลไี วยากรณ์ ๙
สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
อทุ าหรณ์การซ้อนพยญั ชนะวรรค
พยญั ชนะท่ี ๑ ซอ้ นหนา้ พยัญชนะที่ ๑ น้นั ดงั น้ี
ก ซ้อน ก เช่น สกฺโก (อาจ)
จ ซ้อน จ เช่น อจฺจิ (เปลวไฟ) ฯลฯ
พยัญชนะที่ ๑ ซอ้ นหนา้ พยัญชนะที่ ๒ น้นั ดงั น้ี
ก ซ้อน ข เช่น อกขฺ ร (อกั ษร)
จ ซ้อน ฉ เช่น อจฺฉรา (นางอปั สร) ฯลฯ
พยญั ชนะที่ ๓ ซอ้ นหนา้ พยัญชนะที่ ๓ น้นั ดงั น้ี
ค ซ้อน ค เช่น อคฺคิ (ไฟ)
ช ซ้อน ช เช่น อชฺช (วนั น้ี) ฯลฯ
พยญั ชนะที่ ๓ ซอ้ นหนา้ พยญั ชนะท่ี ๔ น้นั ดงั น้ี
ค ซ้อน ฆ เช่น อคฺโฆ (ราคา)
ช ซ้อน ฌ เช่น อชฺฌาสโย (อธั ยาศยั ) ฯลฯ
พยญั ชนะที่สุดวรรค ซอ้ นหนา้ พยัญชนะในวรรคของตน ดงั น้ี
ง ซ้อน ฆ เช่น สงโฺ ฆ (หม)ู่
ญ ซ้อน จ เช่น ปญฺจ (หา้ )
ณ ซ้อน ฏ เช่น กณฺฏโก (หนาม)
น ซ้อน ต เช่น ขนฺติ (อดทน)
ม ซ้อน พ เช่น อมฺโพ (มะมว่ ง) ฯลฯ
๑๐ สำนักเรยี นวดั โสธรวราราม
คูม่ ือบาลไี วยากรณ์
การใช้พยัญชนะอวรรค
(๑) พยัญชนะอวรรค ซ้อนหนา้ ตัวเองได้ ๓ ตัว คือ ย ล ส (เช่น เสยฺโย
สลฺล อสฺโส เป็นตน้ ).
(๒) ย ร ล ว ๔ ตัวน้ี ถ้าอยู่หลังพยัญชนะตัวอื่นๆ ออกเสียงผสมกับ
พยญั ชนะตัวหน้า เช่น วากฺย, ภทฺโร, เกลฺ โส, อนฺเวติ เป็นตน้
(๓) ส เม่ือใช้ เป็ นตัวสะกด มีสาเนียงเป็ น อุสุมะ คือ มีลมออกจากไรฟัน
หน่อยหน่งึ คล้าย S ในภาษาองั กฤษ เช่น ปรุ ิสสฺมา, เสฺนโห เป็นตน้
(๔) ห ถา้ อยู่ หน้าพยัญชนะตัวอื่น ก็ทาให้สระที่อยู่ข้างหน้าตนออกเสียงมี
ลมมากขึน้ เช่น พฺรหฺม ถา้ อยู่ หลงั พยัญชนะ ๘ ตัว คือ ญ ณ น ม, ย ล ว ฬ ก็มี
เสียงเข้ากับพยัญชนะตัวน้ัน เช่น ปญฺโห, อุณฺโห, นฺหาน, อมฺห, คารยฺหา,
วลุ หฺ เต, อวหฺ าน, มุฬฺโห เป็นตน้
(๕) พยัญชนะวรรคท้ังปวง เป็ น มูคพยัญชนะ (พยญั ชนะใบ)้ ไม่มีมาตรา
เลย คือใช้เป็ นตัวสะกดแล้ว ออกเสียงผสมกับพยัญชนะตัวอื่นไม่ได้ คงเป็ นได้
แต่ตวั สะกดอย่างเดียว
(๖) ส่วน พยัญชนะอวรรค คือ ย ร ล ว ส ห ฬ ๗ ตวั น้ี เป็น อฑั ฒสระ
มีเสียงก่ึงสระ คือก่ึงมาตรา เพราะพยญั ชนะเหล่าน้ี บางตัวก็รวมลงในสระ
เดียวกัน ด้วยพยัญชนะอ่ืน และออกเสียงพร้อมกันได้ เช่น เสฺนโห, กฺริยาปท
เป็ นตน้ บางตัวแม้เป็ นตัวสะกด ก็คงออกเสียงได้หน่อยหน่ึง พอให้รู้ว่าเป็ น
ตัวสะกด เช่น คารยฺหา, มุฬฺโห เป็นตน้
(๗) พยัญชนะอวรรค ท้ัง ๗ ตวั น้ี ใช้เป็ นตัวสะกดได้ ๕ ตัว คือ ย ล ว ส
ฬ เช่น เสยฺโย, สลฺโล, ชิวฺหา, อสฺโส, มุฬฺโห เป็นตน้ ใช้เป็ นตัวสะกดไม่ได้ ๒
ตวั คือ ร ห
จบสมัญญาภธิ าน
คมู่ อื บาลีไวยากรณ์ ๑๑
สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
สนธิ
ในบาลีภาษามีวธิ ีต่อศัพท์และอกั ขระให้เน่ืองกนั ด้วยอกั ขระ
มีประโยชน์ ๓ อยา่ ง คือ
(๑) เพ่ือจะย่นอกั ขระให้น้อยลง
(๒) เป็ นอปุ การะในการแต่งฉันท์
(๓) และให้คาพดู สละสลวย
เรียกวา่ สนธิ แตม่ ิใช่สมาส ท่ียน่ บทมีวภิ ตั ติหลาย ๆ บทใหเ้ ป็นบท
เดียวกนั ซ่ึงจะกลา่ วในวจีวิภาคขา้ งหนา้
การต่อมี ๒ คือ
ต่อศัพท์ท่ีมวี ิภัตติ ให้เนื่องด้วยศัพท์ทมี่ วี ิภัตติ เหมือน จตฺตาโร – อเิ ม
ตอ่ เขา้ เป็น จตฺตาโรเม เป็นตน้ อยา่ ง ๑
ต่อบทสมาส ย่นอักษรให้น้อยลง เหมือน กต – อุปกาโร ต่อเข้าเป็ น
กโตปกาโร เป็นตน้ อยา่ ง ๑
การต่ออกั ขระด้วยอกั ขระน้ัน จดั เป็ น ๓ ตามท่เี ป็ นประธานก่อน คือ
สระสนธิ ต่อสระ ๑
พยญั ชนะสนธิ ตอ่ พยญั ชนะ ๑
นคิ คหติ สนธิ ต่อนิคคหิต ๑
สนธิกริ ิโยปกรณ์
สนธกิ ริ ิโยปกรณ์ คือ วธิ ีเป็ นอุปการะแก่การทาสนธิ มี ๘ อย่าง คือ
โลโป ลบ ๑ อาเทโส แปลง ๑
อาคโม ลงอกั ษรตวั ใหม่ ๑ วกิ าโร ทาใหผ้ ดิ จากของเดิม ๑
ปกติ ปกติ ๑ ทีโฆ ทาใหย้ าว ๑
รสฺส ทาใหส้ ้นั ๑ สญโฺ ญโค ซอ้ นตวั ๑
๑๒ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คู่มือบาลไี วยากรณ์
สระสนธิ
สระสนธิ ไดส้ นธกิ ริ ิโยปกรณ์ ๗ อย่าง คือ โลโป ลบ ๑,
อาเทโส แปลง ๑, อาคโม ลงอกั ษรตวั ใหม่ ๑, วิกาโร ทาใหผ้ ิดจากของเดิม
๑, ปกติ ปกติ ๑, ทีโฆ ทาใหย้ าว ๑, รสฺส ทาใหส้ ้ัน ๑
โลปสระสนธิ
โลโป ที่ต้นมี ๒ คือ ลบสระหน้า ๑ ลบสระหลัง ๑
สระทีส่ ุดของศัพท์หน้า เรียก สระหน้า หรือ สระเบื้องต้น
สระหน้าของศัพท์หลัง เรียก สระหลัง หรือ สระเบื้องปลาย
๑. ลบสระหน้า (สระเบื้องต้น) ดังนี้
๑.๑ เม่ือสระท้ัง ๒ น้ี ไม่มีพยัญชนะอ่ืนค่ันในระหว่าง ลบได้ตัวหนึ่ง
ถ้าพยัญชนะคั่นลบไม่ได้ อุทาหรณ์วา่
ยสฺสินฺทฺริยานิ ตดั เป็ น ยสฺส – อินฺทฺริยานิ, ลบสระหน้า คือ อ ในที่สุดแห่ง
ศัพท์ ยสฺส เสีย ตอ่ เป็น ยสฺสินฺทฺริยานิ
โนเหต ตดั เป็ น โนหิ – เอต, ลบสระหน้า คือ อิ ท่ีสุดแห่งศัพท์ โนหิ เสีย ต่อ
เป็น โนเหต
สเมตายสฺมา ตดั เป็ น สเมตุ – อายสฺมา, ลบสระหน้า คือ อุ ที่สุดแห่งศัพท์
สเมตุ เสีย ตอ่ เป็น สเมตายสฺมา
๑.๒ ถ้า สระท้ัง ๒ เป็ นรัสสะ มีรูปเสมอกัน คือ เป็ น อ หรือ อิ หรือ อุ
ท้งั ๒ ตวั เมื่อลบแล้วต้องทาสระที่ไม่ได้ลบด้วยทีฆะสนธิท่ีแสดงไว้ข้างหน้า
เหมือน อ.ุ วา่ ตตฺราย ตดั เป็น ตตฺร – อย ต่อเป็น ตตฺราย เป็นตน้
คู่มอื บาลีไวยากรณ์ ๑๓
สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
๑.๓ ถา้ สระท้ัง ๒ เป็ นรัสสะ แต่มีรูปไม่เสมอกัน คือ ขา้ งหน่ึงเป็ น อ ขา้ ง
หน่ึงเป็ น อิ หรือ อุ ก็ดี, ข้างหน่ึงเป็ น อิ ขา้ งหน่ึงเป็ น อุ หรือ อ ก็ดี, ขา้ ง
หน่ึงเป็น อุ ขา้ งหน่ึงเป็น อ หรือ อิ ก็ดี ไม่ต้องทีฆะกไ็ ด้ เหมือน อ.ุ วา่ จตูหปา
เยหิ ตดั เป็น จตูหิ – อปาเยหิ ต่อเป็น จตูหปาเยหิ เป็นตน้
๑.๔ ถา้ สระหน้าเป็ นทีฆะ สระหลังเป็ นรัสสะ ถ้าลบแล้วต้องทีฆะสระหลัง
เหมือน อุ. วา่ สทฺธธี ตดั เป็น สทฺธา – อธิ ตอ่ เป็น สทฺธีธ เป็นตน้
๒. ลบสระหลงั (สระเบือ้ งปลาย) ดังนี้
๒.๑ ถา้ สระ ๒ ตัว มีรูปไม่เสมอกนั ลบสระเบือ้ งปลายบ้างกไ็ ด้
มีอุทาหรณ์ว่า จตฺตาโรเม ตดั เป็น จตฺตาโร – อเิ ม, ลบสระ อิ ท่ีศัพท์ อิเม เสีย
ตอ่ เป็น จตฺตาโรเม
กินฺนุมา ตดั เป็ น กินฺนุ – อิมา ลบสระ อิ ที่ศัพท์ อิมา เสีย ต่อเป็ น
กนิ ฺนุมา
๒.๒ นิคคหิตอย่หู น้า ลบสระหลงั ได้บ้าง อทุ าหรณ์วา่
อภนิ นฺทุนฺติ ตดั เป็น อภนิ นฺทíุ – อติ ิ ตอ่ เป็น อภินนฺทุนฺติ
อาเทสสระสนธิ
อาเทโส มี ๒ คือ แปลงสระเบื้องหน้า ๑ แปลงสระเบื้องหลงั ๑
๑. แปลงสระเบือ้ งหน้า อยา่ งน้ี
๑.๑ ถา้ อิ, เอ หรือ อุ, โอ อยู่หน้า มีสระอยู่เบ้ืองหลงั แปลง อิ, เอ หรือ
อุ, โอ ตัวหน้า เป็ นพยญั ชนะ คือ แปลง อิ, เอ เป็ น ย แปลง อุ, โอ เป็ น ว ถ้า
พยญั ชนะซอ้ นกนั ๓ ตวั ลบพยญั ชนะที่มีรูปเสมอกนั เสียตวั หน่ึง อุทาหรณ์ว่า
๑๔ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์
ปฏสิ ณฺ°ารวุตฺติ – อสฺส ตอ่ เป็น ปฏิสณฺ°ารวตุ ฺยสฺส
อคฺคิ – อาคาร ตอ่ เป็น อคฺยาคาร
๑.๒ แปลง เอ เป็ น ย อุทาหรณ์วา่
เต – อสฺส ต่อเป็น ตฺยสฺส
เม – อย ตอ่ เป็น มฺยาย
เต – อห ต่อเป็น ตฺยาห
๑.๓ แปลง โอ เป็ น ว อุทาหรณ์วา่
อถโข – อสฺส ตอ่ เป็น อถขฺวสฺส
๑.๔ แปลง อุ เป็ น ว อุทาหรณ์วา่
พหุ – อาพาโธ ต่อเป็น พหฺวาพาโธ
จกขฺ ุ – อาปาถ ต่อเป็น จกฺขวฺ าปาถ
๒. แปลงสระเบื้องปลาย น้ัน ถ้า มีสระอยู่เบื้องหน้า เอว ศัพท์ อยู่หลัง
แปลง เอ ตัวหน้าแห่ง เอว ศัพท์อันต้ังอยู่เบื้องปลายเป็ น ริ ได้บ้าง แล้วรัสสะ
สระเบื้องหน้าให้ส้ัน อทุ าหรณ์วา่
ยถา – เอว ต่อเป็น ยถริว
ตถา – เอว ตอ่ เป็น ตถริว
อาคมสระสนธิ
อาคโม ลงตวั อกั ษรใหม่น้นั มี ๒ อย่าง คือ ลง อ อาคม ๑ ลง โอ อาคม ๑
๑. ถา้ สระ โอ อยู่หน้า พยัญชนะอยู่หลัง ลบ โอ เสีย แล้วลง อ อาคม
ได้บ้าง อทุ าหรณ์วา่
โส – สีลวา ตอ่ เป็น สสีลวา
โส – ปญฺญวา ต่อเป็น สปญฺญวา
เอโส – ธมฺโม ตอ่ เป็น เอสธมฺโม
ค่มู ือบาลไี วยากรณ์ ๑๕
สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
๒. พยัญชนะอยู่เบือ้ งปลายลง โอ อาคมได้บ้าง อุทาหรณ์วา่
ปร – สหสฺส ลบ อ ที่สุดแห่ง ปร ศพั ท์ แลว้ ลง โอ อาคม ต่อเป็น ปโรสหสฺส
สรท – สต ลบ อ ที่สุดแห่ง สรท ศพั ท์ แลว้ ลง โอ อาคม ต่อเป็น สรโทสต
วิการสระสนธิ
วิกาโร มี ๒ คือ วกิ ารในเบือ้ งต้น ๑ วิการในเบือ้ งปลาย ๑
๑. วิการในเบือ้ งต้น น้นั ดงั น้ี เมื่อลบสระเบื้องปลายแล้ว เอาสระเบือ้ งหน้า
คือ เอา อิ เป็ น เอ, เอา อุ เป็ น โอ อทุ าหรณ์วา่
มนุ ิ – อาลโย ตอ่ เป็น มุเนลโย
สุ – อตฺถี ตอ่ เป็น โสตฺถี
๒. วกิ ารในเบื้องหลัง กม็ ีวิธีเหมือนวิการในเบ้ืองหนา้ เป็ นแต่ลบสระหน้า
วกิ ารสระหลงั เท่าน้นั (คือ เอา อิ เป็น เอ, เอา อุ เป็น โอ) อุทาหรณ์วา่
มาลุต – อริ ิต ตอ่ เป็น มาลุเตริต
พนฺธุสฺส – อวิ ตอ่ เป็น พนฺธุสฺเสว
น – อเุ ปติ ตอ่ เป็น โนเปติ
อทุ ก – อมุ ิกชาต ต่อเป็น อุทโกมิกชาต
(ลบนิคคหิตดว้ ยโลปสนธิ)
อาเทสสระ กบั วกิ ารสระ น้ีแตกต่างกนั คือ
อาเทสสระ คือการแปลงสระเป็นพยญั ชนะ เช่น แปลง อุ เป็น ว
วิการสระ คือการแปลงสระหน่ึง เป็นอีกสระหน่ึง ให้ผิดจากรูปเดิม
เช่น แปลง อุ เป็น โอ
๑๖ สำนกั เรียนวัดโสธรวราราม
ค่มู ือบาลไี วยากรณ์
ปกตสิ ระสนธิ
ปกติสระน้นั ไม่มีวิเศษอนั ใด เป็นแต่เมื่อสระเรียงกนั อยู่ ๒ ตวั ควร
จะทาเป็ นสระสนธิอย่างหน่ึงอย่างใดได้ แต่หาทาไม่ คงรูปไว้เป็ นปกติอย่าง
เดียวเท่าน้นั อุทาหรณ์วา่ โก – อมิ กค็ งเป็น โกอมิ .
ทีฆะสระสนธิ
ทฆี เป็ น ๒ คือ ทีฆะสระหน้าอย่าง ๑ ทีฆะสระหลงั อย่าง ๑
๑. ทฆี ะสระหน้า น้นั ดงั น้ี สระหน้า เมื่อสระหลงั ลบแล้ว ทีฆะได้บ้าง
อทุ าหรณ์วา่
กสึ ุ – อธิ ตอ่ เป็น กสึ ูธ
สาธุ – อติ ิ ต่อเป็น สาธูติ
หรือพยัญชนะอยู่หลงั ทีฆะได้บ้าง อุทาหรณ์วา่
มุนิ – จเร ตอ่ เป็น มนุ ีจเร
๒. ทีฆะสระหลงั ก็อยา่ งเดียวกนั ผิดกนั แต่ลบสระหน้า ทีฆะสระหลงั ดงั น้ี
สทฺธา – อธิ ต่อเป็น สทฺธธี
จ – อภุ ย ต่อเป็น จูภย
รัสสะสระสนธิ
รสฺส น้นั ดงั นี้ ถา้ พยญั ชนะกด็ ี เอ แห่ง เอว ศัพท์กด็ ี อยู่เบื้องหลงั รัสสะ
สระข้างหน้า ให้มเี สียงส้ันได้บ้าง อทุ าหรณ์วา่
โภวาที – นาม ต่อเป็น โภวาทินาม
ยถา – เอว ตอ่ เป็น ยถริว
คู่มอื บาลีไวยากรณ์ ๑๗
สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
พยญั ชนะสนธิ
พยัญชนะสนธิ ไดส้ นธิกริ ิโยปกรณ์ ๕ คือ โลโป ลบ ๑ อาเทโส แปลง ๑
อาคโม ลงอกั ษรตวั ใหม่ ๑ ปกติ ปกติ ๑ สัญโญโค ซ้อนตัว ๑
โลปะพยัญชนะสนธิ
ในโลปะท่ีตน้ น้นั ดงั น้ี เมื่อลบสระเบื้องปลายท่ีมีนิคคหติ อย่หู น้าแล้ว
ถ้าพยญั ชนะซ้อนเรียงกนั ๒ ตัว ลบเสียตัวหนึ่ง อุทาหรณ์วา่
เอว – อสฺส ตอ่ เป็น เอวส
ปปุ ฺผ – อสฺสา ต่อเป็น ปุปฺผสา
อาเทสพยัญชนะสนธิ
อาเทสพยัญชนะน้นั ดงั น้ี
๑. ถ้าสระอย่หู ลงั แปลง ติ ท่ีท่านทาเป็ น ตฺย แล้วให้เป็ น จฺจ อุทาหรณ์วา่
อติ ิ – เอว ตอ่ เป็น อจิ ฺเจว
ปติ – อุตฺตริตฺวา ตอ่ เป็น ปจฺจตุ ฺตริตฺวา
๒. ถ้า เอก อยู่หน้า แปลง ธ เป็ น ท ได้บ้าง อทุ าหรณ์วา่
เอก – อธิ – อห ต่อเป็น เอกมิทาห
๓. การแปลงท่ีไม่นยิ มสระหรือพยัญชนะเบือ้ งหลัง อยา่ งน้ี
แปลง ธ เป็ น ห อ.ุ วา่ สาธุ – ทสฺสน เป็น สาหุทสฺสน
แปลง ท เป็ น ต อ.ุ วา่ สุคโท เป็น สุคโต
๑๘ สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
คมู่ อื บาลีไวยากรณ์
แปลง ต เป็ น ฏ อ.ุ วา่ ทุกกฺ ต เป็น ทกุ ฺกฏ
แปลง ต เป็ น ธ อุ. วา่ คนฺตพฺโพ เป็น คนฺธพโฺ พ
แปลง ต เป็ น ตฺร อ.ุ วา่ อตฺตโช เป็น อตฺรโช
แปลง ค เป็ น ก อ.ุ วา่ กลุ ปุ โค เป็น กุลปุ โก
แปลง ร เป็ น ล อ.ุ วา่ มหาสาโร เป็น มหาสาโล
แปลง ย เป็ น ช อุ. วา่ คฺวโย เป็น คฺวโช
แปลง ว เป็ น พ อ.ุ วา่ กุวโต เป็น กพุ ฺพโต
แปลง ย เป็ น ก อุ. วา่ สย เป็น สก
แปลง ช เป็ น ย อ.ุ วา่ นิช เป็น นิย
แปลง ต เป็ น ก อ.ุ วา่ นิยโต เป็น นิยโก
แปลง ต เป็ น จ อุ. วา่ ภโต เป็น ภจฺโจ
แปลง ป เป็ น ผ อ.ุ วา่ นปิ ฺปตฺติ เป็น นปิ ฺผตฺติ
๔. แปลง อภิ เป็ น อพฺภ อุ. วา่ อพฺภุคฺคจฺฉติ
อภิ – อคุ ฺคจฺฉติ ต่อเป็น
อชฺโฌกาโส
๕. แปลง อธิ เป็ น อชฺฌ อุ. วา่ อชฺฌาคมา
อธิ – โอกาโส ตอ่ เป็น
อธิ – อคมา ต่อเป็น โอนทฺธา
๖. แปลง อว เป็ น โอ อ.ุ วา่
อว – นทฺธา ต่อเป็น
คู่มอื บาลีไวยากรณ์ ๑๙
สำนักเรยี นวดั โสธรวราราม
อาคมพยญั ชนะสนธิ
พยัญชนะอาคม ๘ ตวั คือ ย ว ม ท น, ต ร ฬ นี้ ถ้าสระอยู่เบื้องหลงั
ลงได้บ้าง อุทาหรณ์ ดงั น้ี
ย อาคม เช่น ยถา – อทิ ต่อเป็น ยถายทิ
ว อาคม เช่น อุ – ทิกขฺ ติ ต่อเป็น วทุ กิ ฺขติ
ม อาคม เช่น ครุ – เอสฺสติ ตอ่ เป็น ครุเมสฺสติ
ท อาคม เช่น อตฺต – อตฺโถ ต่อเป็น อตฺตทตฺโถ
น อาคม เช่น อโิ ต – อายติ ตอ่ เป็น อโิ ตนายติ
ต อาคม เช่น ตสฺมา – อหิ ตอ่ เป็น ตสฺมาตหิ
ร อาคม เช่น สพฺภิ – เอว ต่อเป็น สพฺภิเรว
ฬ อาคม เช่น ฉ – อายตน ตอ่ เป็น ฉฬายตน
ในสัททนีติว่า ลง ห อาคมได้บ้าง อุทาหรณ์วา่
สุ – อชุ ุ ต่อเป็น สุหุชุ
สุ – อฏุ ฺ °Ôต ตอ่ เป็น สุหุฏฺ °Ôต
ปกตพิ ยญั ชนะสนธิ
ปกติพยญั ชนะสนธิน้นั ก็ไม่มีวิเศษอนั ใด เหมือนกนั กบั ปกติสระ เป็นแต่เม่ือ
ลักษณะที่จะลบหรือแปลง ลงอาคมหรือซ้อนพยญั ชนะ ลงได้ แต่หาทาไม่
คงรูปไว้ตามปกติเดิม เหมือนคาวา่
สาธุ ก็ไมแ่ ปลงเป็น สาหุ คงรูป สาธุ ไว้ตามเดมิ เป็นตน้ เท่าน้นั .
๒๐ สำนักเรยี นวดั โสธรวราราม
คมู่ อื บาลไี วยากรณ์
สัญโญคพยัญชนะสนธิ
สญฺโญโค เป็ น ๒ คือ
๑) ซ้อนพยญั ชนะทม่ี ีรูปเหมือนกนั อย่าง ๑
๒) ซ้อนพยัญชนะทมี่ ีรูปไม่เหมือนกนั อย่าง ๑
อุทาหรณ์ท่ตี ้น ซ้อนพยัญชนะทม่ี ีรูปเหมือนกนั คือ เอาอกั ขระท่ี ๑ ซ้อน
หน้า อกั ขระที่ ๑ เอาอกั ขระที่ ๓ ซ้อนหน้า อกั ขระที่ ๓ ดงั น้ี
อธิ – ปโมทติ ต่อเป็น อธิ ปปฺ โมทติ
จาตุ – ทสี ตอ่ เป็น จาตทุ ฺทสี
อุทาหรณ์ที่ ๒ น้ัน ซ้ อนพยัญชนะท่ีมีรูปไม่เหมือนกัน เอาอักขระท่ี ๑
ซ้อนหน้า อกั ขระท่ี ๒ เอาอกั ขระที่ ๓ ซ้อนหน้า อกั ขระท่ี ๔ ดงั น้ี
จตฺตาริ – °านานิ ต่อเป็น จตฺตาริฏฺ °านานิ
เอโสวจ – ฌานผโล ต่อเป็น เอโสวจชฺฌานผโล
นคิ คหติ สนธิ
นคิ คหติ สนธิ ได้สนธิกริ ิโยปกรณ์ ๔ คือ โลโป ลบ ๑ อาเทโส แปลง ๑
อาคโม ลงอกั ษรตวั ใหม่ ๑ ปกติ ปกติ ๑
โลปะนคิ คหิตสนธิ
ในโลปะที่ตน้ น้นั ดงั น้ื เมื่อมีสระหรือพยญั ชนะอย่เู บื้องหลงั ลบ
นิคคหิตซ่ึงอย่หู น้าบ้างกไ็ ด้ อทุ าหรณ์วา่
ตาส – อห ตอ่ เป็น ตาสาห
วิทูน – อคฺค ต่อเป็น วทิ ูนคฺค
อริยสจฺจาน – ทสฺสน ตอ่ เป็น อริยสจฺจานทสฺสน
พทุ ฺธาน – สาสน ต่อเป็น พทุ ฺธานสาสน
คู่มือบาลีไวยากรณ์ ๒๑
สำนกั เรียนวดั โสธรวราราม
อาเทสนคิ คหิตสนธิ
อาเทสนิคคหติ น้นั ดงั น้ี
๑. เม่ือมีพยัญชนะอยู่หลัง นิคคหิตอยู่หน้า แปลงนิคคหิตเป็ นพยัญชนะ
ทส่ี ุดวรรค ได้ท้งั ๕ ตวั ตามสมควรแก่พยัญชนะวรรคท่อี ย่เู บื้องหลงั ดงั น้ี
แปลงเป็ น ง อ.ุ วา่ เอว – โข ต่อเป็น เอวงฺโข
แปลงเป็ น ญ อุ. วา่ ธมฺม – จเร ตอ่ เป็น ธมฺมญจฺ เร
แปลงเป็ น ณ อุ. วา่ ส – °ตÔ ิ ต่อเป็น สณฺ°ตÔ ิ
แปลงเป็ น น อ.ุ วา่ ต – นพิ พฺ ตุ ตอ่ เป็น ตนฺนิพฺพตุ
แปลงเป็ น ม อ.ุ วา่ จริ – ปวาสึ ต่อเป็น จิรมฺปวาสึ
๒. ถ้า เอ และ ห อย่เู บือ้ งหลัง ให้แปลงนคิ คหติ เป็ น ญ อยา่ งน้ี
ปจฺจตฺต – เอว ตอ่ เป็น ปจฺจตฺตญฺเญว
ต – เอว ต่อเป็น ตญฺเญว
เอว – หิ ตอ่ เป็น เอวญฺหิ
ต – หิ ตอ่ เป็น ตญหฺ ิ
๓. ถ้า ย อย่เู บื้องหลงั แปลงนิคคหิต กบั ย เป็ น ญญฺ อยา่ งน้ี
ส – โยโค ตอ่ เป็น สญโฺ ญโค
๔. ในสทั ทนีติปกรณ์วา่ ถ้า ล อย่เู บือ้ งปลาย แปลง นคิ คหิต เป็น ล อยา่ งน้ี
ปíุ – ลงิ คฺ ต่อเป็น ปลุ ลฺ งิ คฺ
ส – ลกขฺ ณา ต่อเป็น สลลฺ กฺขณา
๕. ถ้าสระอย่เู บื้องปลาย แปลงนคิ คหติ เป็ น ม และ ท อยา่ งน้ี
ต – อห ต่อเป็น ตมห
เอต – อโวจ ต่อเป็น เอตทโวจ
๒๒ สำนกั เรียนวัดโสธรวราราม
ค่มู อื บาลีไวยากรณ์
อาคมนคิ คหติ สนธิ
นคิ คหิตอาคม น้นั ดงั น้ี เมื่อสระกด็ ี พยัญชนะกด็ อี ย่เู บือ้ งหลงั ลงนิคคหิตได้
บ้าง อุทาหรณ์วา่
จกฺข–ุ อทุ ปาทิ ต่อเป็น จกขฺ ุíอุทปาทิ
อว – สิโร ต่อเป็น อวสิโร.
ปกตินิคคหติ สนธิ
ปกตินิคคหิตน้นั ก็ไมว่ เิ ศษอนั ใด ควรจะลบหรือแปลงลงนิคคหิตอาคมได้
ไม่ทาอยา่ งน้นั คงปกตไิ ว้ตามรูปเดมิ เหมือนคาวา่ ธมฺม – จเร กค็ งไว้ตามเดิม
เป็น ธมฺมจเร ไม่อาเทสนิคคหิตเป็น ญ ใหเ้ ป็น ธมฺมญฺจเร เป็นตน้ เท่าน้นั .
จบสนธแิ ต่เพยี งเท่านี้
คู่มอื บาลไี วยากรณ์ ๒๓
สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
วจวี ภิ าค ภาคที่ ๒
นามและอพั ยยศัพท์
นามศัพท์
นามศัพท์น้นั แบ่งเป็ น ๓ คือ นามนาม ๑ คุณนาม ๑ สัพพนาม ๑.
นามท่เี ป็ นชื่อของคน, สัตว์, ท,ี่ สิ่งของ เป็น นามนาม.
นามนามน้ี แบง่ ออกเป็น ๒ คือ สาธารณนาม ๑ อสาธารณนาม ๑.
นามที่ทั่วไปแก่ คน, สัตว์, ท่ี, อื่นได้ เหมือนคาว่า มนุสฺโส มนุษย์
ตริ จฺฉาโน สตั วด์ ิรัจฉาน นคร เมือง เป็นตน้ เป็น สาธารณนาม.
นามที่ไม่ท่ัวไปแก่สิ่งอื่น เหมือนคาว่า ทีฆาวุ กุมารช่ือทีฆาวุ เอราวโณ
ชา้ งช่ือเอราวณั สาวตฺถี เมืองชื่อสาวตั ถี เป็นตน้ เป็น อสาธารณนาม.
นามท่ีแสดงลักษณะของนามนาม สาหรับหมายให้รู้ว่านามนามน้ัน ดี
หรือช่ัว เป็ นต้น เป็น คุณนาม เหมือนคาวา่ ปญฺญวา มีปัญญา ปรุ ิโส บุรุษ
ถือเอาความตามภาษาของเราวา่ บุรุษมีปัญญา ปุริโส เป็นนามนาม ปญฺญวา
เป็ นคุณนาม.
คณุ นาม แบ่งเป็น ๓ ช้นั คือ ปกติ ๑ วิเสส ๑ อติวิเสส ๑.
คุณนามที่แสดงความดหี รือชั่ว เป็ นปกติ เหมือนคาวา่ ปณฺฑิโต เป็นบณั ฑิต
ปาโป เป็นบาป ช่ือ ปกติ.
คณุ นามที่แสดงความดหี รือชั่ว มากหรือน้อย กว่าปกติ เหมือนคาวา่
ปณฑฺ ติ ตโร เป็นบณั ฑิตกวา่ ปาปตโร เป็นบาปกวา่ ชื่อ วิเสส.
๒๔ สำนักเรียนวัดโสธรวราราม
คมู่ อื บาลไี วยากรณ์
คุณนามท่ีแสดง ความดี หรือช่ัว มากท่ีสุด หรือ น้อยที่สุด เหมือนคาว่า
ปณฺฑิตตโม เป็นบณั ฑิตที่สุด ปาปตโม เป็นบาปที่สุด ชื่อ อตวิ เิ สส.
วิเสส น้ัน ใช้ ตร อิย ปัจจัย ในตัทธิต ต่อปกติบ้าง, ใช้อุปสัค อติ (ย่ิง)
นาหน้าบ้าง.
อติวิเสส น้นั ใช้ ตม อฏิ ฺ ° ปัจจัย ในตทั ธิต ต่อปกติบ้าง, ใช้อุปสัคและ
นิบาต คือ อตวิ ยิ (เกนิ เปรียบ) นาหน้าบ้าง.
สัพพนาม เป็ นช่ือสาหรับ ใช้แทน นามนาม ท่ีออกช่ือมาแล้ว เพื่อจะไม่ให้
ซ้า ๆ ซาก ๆ ซึ่งไม่เพราะหู,
นามท้งั ๓ น้นั ต้องประกอบด้วย ลงิ ค์ วจนะ วภิ ัตติ.
ลงิ ค์
ลงิ ค์ คือ เพศของนามศัพท์
นามศัพท์ในบาลภี าษาน้นั ท่านแบ่งเป็ น ๓ ลงิ ค์ คือ
ปุลí งิ คฺ เพศชาย ๑
อติ ฺถลี งิ คฺ เพศหญิง ๑
นปุíสกลงิ ฺค มิใช่เพศชาย มิใช่เพศหญิง ๑
นามนาม ท่ีเป็ นลิงค์เดียว คือ จะเป็ นปุงลิงค์ อิตถีลิงค์ หรือ นปุงสกลิงค์
กอ็ ยา่ งเดียวบา้ ง
นามนามทเ่ี ป็ น ๒ ลงิ ค์ คือ
๑) ศพั ทอ์ นั เดียวมีรูปศพั ทอ์ ยา่ งเดียวเป็นไดท้ ้งั ๒ ลิงค์
๒) หรือมูลศัพท์เป็ นอันเดียว เปลี่ยนแต่สระท่ีสุดให้แปลกกัน พอเป็ น
เคร่ืองหมายใหต้ า่ งลิงคก์ นั บา้ ง
คณุ นาม และ สัพพนาม เป็ นได้ท้งั ๓ ลงิ ค์.
คู่มือบาลีไวยากรณ์ ๒๕
สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
เกณฑ์การจัดลงิ ค์ ๒ อย่าง
ลงิ ค์ น้นั จัดตามสมมติของภาษาบา้ ง ตามกาเนิดบา้ ง
๑) ท่ีจัดตามสมมติ น้นั เหมือนหน่ึงกาเนิดสตรี สมมติให้เป็ นปุงลิงค์
และของท่ีไม่มีวิญญาณ สมมติให้เป็ นปุงลิงค์และอิตถีลิงค์ เหมือนคาว่า ทาโร
(เมีย) สมมติให้เป็ นปุงลิงค์, ปเทโส (ประเทศ) สมมติให้เป็ นปุงลิงค์, ภูมิ
(แผน่ ดิน) สมมติใหเ้ ป็นอิตถีลิงค์
๒) ที่จดั ตามกาเนิดน้นั เหมือน ปุริโส (ชาย) เป็ นปงุ ลงิ ค์ อติ ฺถี (หญิง)
เป็ นอติ ถลี งิ ค์ เป็นตน้ .
(อทุ าหรณ์) นามนามท่เี ป็ นได้ลงิ ค์เดียว (ท่องลง)
ปงุ ลงิ ค์ อติ ถีลงิ ค์ นปงุ สกลงิ ค์
อมโร เทวดา อจฺฉรา นางอปั สร องคฺ องค์
อาทจิ ฺโจ พระอาทิตย์ อาภา รัศมี อารมฺมณ อารมณ์
อนิ ฺโท พระอินทร์ อทิ ฺธิ ฤทธ์ิ อณิ หน้ี
อโี ส คนเป็นใหญ่ อสี า งอนไถ อรี ิณ ทุ่งนา
อุทธิ ทะเล อุฬุ ดาว อทุ ก น้า
(อุทาหรณ์) นามนามศัพท์เดยี ว มีรูปเดิมอย่างเดียวกนั เป็ นได้ ๒ ลงิ ค์ (ท่องขวาง)
ปุงลงิ ค์ นปงุ สกลงิ ค์ คาแปล
อกฺขโร อกฺขร อกั ษร
อคาโร อคาร เรือน
อุตุ อตุ ุ ฤดู
ทิวโส ทวิ ส วนั
มโน มน ใจ
สวจฺฉโร สวจฺฉร ปี
๒๖ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คู่มือบาลีไวยากรณ์
(อุทาหรณ์) นามนามมีมูลศัพท์เป็ นอย่างเดียว เปลย่ี นแต่สระท่ีสุด เป็ น ๒ ลงิ ค์
ปงุ ลงิ ค์ อติ ถีลงิ ค์ คาแปล
อรหา, อรห อรหนฺตี พระอรหนั ต์
อาชีวโก อาชีวกิ า นกั บวช
อุปาสโก อุปาสิกา อุบาสก, อุบาสิกา
กมุ าโร กมุ ารี, กมุ าริกา เดก็
ขตฺติโย ขตฺตยิ านี, ขตฺติยา กษตั ริย์
(อุทาหรณ์) คุณนามเป็ นได้ ๓ ลงิ ค์
ปงุ ลงิ ค์ อติ ถลี งิ ค์ นปุงสกลงิ ค์ คาแปล
ทาการงาน
กมฺมกาโร กมฺมการินี กมฺมการ มีคณุ
คณุ วา ดุร้าย
จณฺโฑ คณุ วตี คุณว เจริญที่สุด
เชฏฺ โ° ตา้ นทาน
ตาโณ จณฺฑา จณฑฺ
เชฏฺ °า เชฏฺ °í
ตาณา ตาณ
วจนะ
วจนะ แปลวา่ คาพดู
คาพูดในบาลีภาษา จัดเป็ น ๒ วจนะ คือ
๑) เอกวจนะ คาพดู สาหรับออกชื่อของสิ่งเดียว
๒) พหุวจนะ คาพูดสาหรับออกช่ือของมากกวา่ ส่ิงเดียว คือต้งั แต่ ๒ สิ่งข้นึ ไป
วจนะท้งั ๒ นี้ มีเครื่องหมายให้แปลกกนั ที่ท้ายศัพท์ เหมือนคาวา่
ปรุ ิโส ชายคนเดียว เป็ นเอกวจนะ, ปุริสา ชายหลายคน เป็ นพหุวจนะ
คู่มือบาลีไวยากรณ์ ๒๗
สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
วภิ ตั ติ
วิภตั ติ แปลวา่ แจก แบ่ง หรือ จาแนก
วิภตั ติน้นั มี ๑๔ ตัว แบง่ เป็น ฝ่ ายเอกวจนะ ๗ ฝ่ ายพหุวจนะ ๗ ดงั น้ี
ลาดบั วิภัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ป°มาท่ี ๑ สิ โย
ทตุ ิยาที่ ๒ อ โย
ตติยาท่ี ๓ นา หิ
จตตุ ฺถีที่ ๔ ส น
ปญฺจมีที่ ๕ สฺมา หิ
ฉฏฺ°ี ท่ี ๖ ส น
สตฺตมีที่ ๗ สฺมึ สุ
ปฐมาวิภัตติ (สิ – โย) น้นั แบ่งเป็ น ๒ คือ
๑) ใช้เป็ น ตวั ประธาน เรียกวา่ ลงิ คฺ ตฺโถ หรือ กตฺตา
๒) ใช้เป็ น คาสาหรับร้องเรียก เรียกวา่ อาลปนะ
ข้อควรจา :- วิภตั ติ คือ เคร่ืองจาแนกนามศพั ทใ์ หม้ ีรูปตา่ ง ๆ กนั บอก
ใหท้ ราบถึง ลงิ ค์ วจนะ และ อายตนิบาต.
๒๘ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
ค่มู อื บาลไี วยากรณ์
อายตนบิ าต
อายตนบิ าต คือ คาเชื่อมหรือคาต่อระหว่างศัพท์ ใชเ้ ป็นคาแปลประจา
หมวดวิภตั ติท้งั ๗ สาเนียงคาแปลของอายตนิบาต จดั ตามวิภตั ติ ดงั น้ี
ลาดบั วิภัตติ เอกวจนะ พหุวจนะ
ป°มา ท่ี ๑ อ. (อนั วา่ ) อ. - ท. (อนั วา่ -ท้งั หลาย)
ทตุ ิยา ท่ี ๒ ซึ่ง สู่ ซึ่ง - ท. สู่ - ท.
ยัง สิ้น ยงั - ท. สิ้น - ท.
ตติยา ที่ ๓ กะ ตลอด กะ - ท. ตลอด - ท.
จตตุ ฺถี ที่ ๔ ด้วย โดย ด้วย - ท. โดย - ท.
ปญฺจมี ที่ ๕ อนั ตาม อนั - ท. ตาม - ท.
ฉฏั ฺ°ี ที่ ๖ เพราะ มี เพราะ - ท. มี - ท.
สตฺตมี ที่ ๗ ด้วยท้งั ข้าง ด้วยท้งั - ท. ข้าง - ท.
แก่ เพ่ือ แก่ - ท. เพื่อ - ท.
ต่อ แด่ ต่อ - ท. แด่ - ท.
แต่ จาก แต่ - ท. จาก - ท.
กว่า เหตุ กว่า - ท. เหตุ - ท.
แห่ง ของ แห่ง - ท. ของ - ท.
เมื่อ เมื่อ - ท.
ใน ใกล้ ใน - ท. ใกล้ - ท.
ท่ี คร้ันเม่ือ ที่ - ท. คร้ันเมื่อ – ท
ในเพราะ เหนือ ในเพราะ- ท. เหนือ - ท.
บน ณ บน - ท. ณ - ท.
อาลปนะ แน่ะ ดกู ่อน แน่ะ - ท. ดกู ่อน - ท.
ข้าแต่ ข้าแด่ ข้าแต่ - ท. ข้าแด่ - ท.
คู่มอื บาลไี วยากรณ์ ๒๙
สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
การันต์
สระทีส่ ุดแห่งศัพท์ เรียกวา่ การันต์ แบง่ ลงในลิงคท์ ้งั ๓ ดงั น้ี
ปงุ ลงิ ค์ มีการันต์ ๕ คือ อา อิ อี อุ อู
อติ ถลี งิ ค์ มีการันต์ ๕ คือ อา อิ อี อุ อู
นปงุ สกลงิ ค์ มีการันต์ ๓ คือ อา อิ อุ
วิธีแจกการันต์ท้ัง ๕ ในปุงลงิ ค์
อ การันต์ ในปงุ ลิงค์ แจกอย่าง ปุริส (บุรุษ) ดงั น้ี
เอก. พหุ.
ป. ปรุ ิโส ปรุ ิสา
ท.ุ ปรุ ิส ปรุ ิเส
ต. ปรุ ิเสน ปรุ ิเสหิ ปรุ ิเสภิ
จ. ปรุ ิสสฺส ปุริสาย ปรุ ิสตฺถ ปรุ ิสาน
ปญ.ฺ ปุริสสฺมา ปรุ ิสมฺหา ปรุ ิสา ปุริเสหิ ปุริเสภิ
ฉ. ปุริสสฺส ปรุ ิสาน
ส. ปุริสสฺมึ ปุริสมฺหิ ปรุ ิเส ปุริเสสุ
อา. ปุริส ปุริสา
ศัพท์ท่เี ป็ น อ การันต์ เช่นนี้ แจกเหมือน ปรุ ิส
อาจริย อาจารย์ ชน ชน
กุมาร เดก็ ตุรค มา้
ขตฺติย กษตั ริย์ เถน ขโมย
คณ หมู่ ทูต ทูต
โจร โจร ธช ธง
๓๐ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
ค่มู อื บาลีไวยากรณ์
วิธที าตวั อ การันต์
๑. ป.เอก. แปลง อ กบั สิ เป็น โอ /พหุ.ลง โย ลบ โย เสียทีฆะ อ เป็น อา
๒. ท.ุ เอก. ลง อ คง อ ไว้ ในที่ท้งั ปวง / พหุ. แปลง อ กบั โย เป็น เอ
๓. ต. ลง นา แปลง อ กบั นา เป็น เอน /พหุ หิ และ สุ อยหู่ ลงั เอา อ เป็น เอ
แปลง หิ เป็น ภิ ไดใ้ นท่ีท้งั ปวง
๔. จ.,ฉ.เอา ส เป็น สฺส แต่ ส จ. เป็น ตถ /อายได้ /พหุ.ลง น อยหู่ ลงั ทีฆะ
สระหนา้
๕. ปญฺ. เอา สฺมา เป็น มฺหา ได้ แปลง สฺมา เป็น อา ไดบ้ า้ ง
๖. ส.เอา สฺมึ เป็น มฺหิ ได้ แปลง เป็น เอ ได้ บา้ ง
๗. อาลปนะ เอก. ลง สิ ลบ สิ เสีย คงเป็น อ /พหุ. ลบ โย เสีย ทีฆะ อ เป็น อา
อิ การันต์ ในปุงลงิ ค์ แจกอย่าง มุนิ (มุนี/ผ้รู ู้) ดงั น้ี
เอก. มนุ ิโน พหุ. มนุ ี
ป. มุนิ มนุ ิมฺหา มุนโย มนุ ี
ทุ. มนุ ึ มุนิโน มนุ โย มุนีภิ
ต. มนุ ินา มนุ ิมฺหิ มุนีหิ
จ. มุนิสฺส มุนีน มนุ ีภิ
ปญฺ. มุนิสฺมา มุนีหิ
ฉ. มนุ ิสฺส มนุ ีน มนุ ี
ส. มนุ ิสฺมึ มุนีสุ
อา. มนุ ิ มนุ โย
คู่มือบาลีไวยากรณ์ ๓๑
สานกั เรยี นวัดโสธรวราราม
ศัพท์ที่เป็ น อิ การันต์ เช่นนี้ แจกเหมือน มุนิ
อคฺคิ ไฟ ปติ เจา้ , ผวั
อริ ขา้ ศึก มณิ แกว้ มณี
อหิ งู วธิ ิ วธิ ี
ถปติ ช่างไม้ วหี ิ ขา้ วเปลือก
นธิ ิ ขมุ ทรัพย์ สมาธิ สมาธิ
อี การันต์ ในปุงลิงค์ แจกอย่าง เสฏฺ °ี (เศรษฐี) ดงั น้ี
เอก. พหุ.
ป. เสฏฺ°ี เสฏฺ °Ôโน เสฏฺ °ี
ท.ุ เสฏฺ°ึ เสฏฺ°ีน เสฏฺ°Ôโน เสฏฺ °ี
ต. เสฏฺ°Ôนา เสฏฺ°ภี ิ
จ. เสฏฺ°Ôสฺส เสฏฺ°หี ิ
ปญ.ฺ เสฏฺ°Ôสฺมา เสฏฺ°Ôโน เสฏฺ°ีน เสฏฺ°ภี ิ
ฉ. เสฏฺ°Ôสฺส เสฏฺ°Ôมฺหา เสฏฺ°ีหิ
ส. เสฏฺ°Ôสฺมึ เสฏฺ°Ôโน เสฏฺ°นี เสฏฺ °ี
อา. เสฏฺ°Ô เสฏฺ°Ôมฺหิ เสฏฺ°สี ุ
เสฏฺ °Ôโน
ศัพท์ท่เี ป็ น อี การันต์ เช่นนี้ แจกเหมือน เสฏฺ °ี
กรี ชา้ ง มนฺตี คนมีความคดิ
ตปสี คนมีตบะ เมธาวี คนมีปัญญา
ทณฺฑี คนมีไมเ้ ทา้ สิขี นกยงู
ภาณี คนช่างพดู สุขี คนมีสุข
โภคี คนมีโภคะ หตฺถี ชา้ ง
๓๒ สำนักเรียนวดั โสธรวราราม
คู่มือบาลไี วยากรณ์
อุ การันต์ ในปงุ ลงิ ค์ แจกอย่าง ครุ (ครู) ดงั น้ี
เอก. พหุ. ครู
ป. ครุ ครโว ครู
ทุ. ครุí ครโว ครูภิ
ต. ครุนา ครูหิ
จ. ครุสฺส ครุโน ครูน ครูภิ
ปญฺ. ครุสฺมา ครุมฺหา ครูหิ
ฉ. ครุสฺส ครุโน ครูน ครโว
ส. ครุสฺมึ ครุมฺหิ ครูสุ
อา. ครุ ครเว
ศัพท์ที่เป็ น อุ การันต์ เช่นนี้ แจกเหมือน ครุ
เกตุ ธง ภกิ ฺขุ ภิกษุ
ชนฺตุ สัตวเ์ กิด ริปุ ขา้ ศึก
ปสุ สัตวเ์ ล้ียง สตฺตุ ศตั รู
พนฺธุ พวกพอ้ ง เสตุ สะพาน
พพฺพุ เสือปลา, แมว เหตุ เหตุ
คู่มือบาลีไวยากรณ์ ๓๓
สานักเรยี นวัดโสธรวราราม
อู การันต์ ในปงุ ลิงค์ แจกอย่าง วิญญฺ ู (ผู้รู้วิเศษ) ดงั น้ี
เอก. พหุ.
ป. วิญฺญู วิญฺญุโน วิญฺญู
ท.ุ วิญฺญุí วญิ ฺญุโน วิญฺญู
ต. วิญฺญุนา วิญฺญูหิ วิญฺญูภิ
จ. วิญฺญุสฺส วิญฺญุโน วญิ ฺญูน
ปญฺ. วิญฺญุสฺมา วิญฺญุมฺหา วิญฺญูหิ วญิ ฺญูภิ
ฉ. วิญฺญสุ ฺส วิญฺญุโน วญิ ฺญนู
ส. วิญฺญสุ ฺมึ วิญฺญุมฺหิ วญิ ฺญูสุ
อา. วิญฺญุ วญิ ฺญุโน วิญฺญู
ศัพท์ทีเ่ ป็ น อู การันต์ เช่นนี้ แจกเหมือน วญิ ญฺ ู
อภภิ ู พระผเู้ ป็นยง่ิ
กตญญฺ ู ผรู้ ู้อุปการะท่ีคนอื่นทาแลว้
ปารคู ผถู้ ึงฝ่ัง
เวทคู ผถู้ ึงเวท
สยมฺภู พระผเู้ ป็นเอง
สพพฺ ญญฺ ู ผ้รู ู้(สิ่ง)ท้งั ปวง
จบวิธีแจกการันต์ ๕ ในปุงลงิ ค์
๓๔ สำนักเรียนวัดโสธรวราราม
คมู่ อื บาลีไวยากรณ์
วิธีแจกการันต์ท้ัง ๕ ในอติ ถีลงิ ค์
อา การันต์ ในอติ ถีลงิ ค์ แจกอย่าง กญฺญา (นางสาวน้อย) ดงั น้ี
เอก. กญฺญาย พหุ. กญฺญา
ป. กญฺญา กญฺญาโย กญฺญา
ทุ. กญฺญí กญฺญาโย กญฺญาภิ
ต. กญฺญาย กญฺญาหิ
จ. กญฺญาย กญฺญาน กญฺญาภิ
ปญ.ฺ กญฺญาย กญฺญาหิ
ฉ. กญฺญาย กญฺญาน กญฺญา
ส. กญฺญาย กญฺญาสุ
อา. กญฺเญ กญฺญาโย
ศัพท์ท่ีเป็ น อา การันต์ ในอิตถลี งิ ค์ เช่นนี้ แจกเหมือน กญฺญา
อจฺฉรา นางอปั สร ตารา ดาว
อาภา รัศมี ถวิกา ถงุ
อกิ ฺขณิกา หญิงแมม่ ด ทาริกา เด็กหญิง
อสี า งอนไถ โทลา ชิงชา้
อกุ กฺ า คบเพลิง ธารา ธารน้า
ค่มู อื บาลีไวยากรณ์ ๓๕
สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
อิ การันต์ ในอติ ถีลงิ ค์ แจกอย่าง รตฺติ (ราตรี) ดงั น้ี
เอก. พหุ.
ป. รตฺติ รตฺติโย รตฺตี
ทุ. รตฺตึ รตฺติโย รตฺตี
ต. รตฺติยา รตฺตีหิ รตฺตีภิ
จ. รตฺติยา รตฺตีน
ปญฺ. รตฺติยา รตฺยา รตฺตีหิ รตฺตีภิ
ฉ. รตฺติยา รตฺตีน
ส. รตฺติยา รตฺติย รตฺย รตฺตีสุ
อา. รตฺติ รตฺติโย รตฺตี
ศัพท์ทเี่ ป็ น อิ การันต์ ในอติ ถลี งิ ค์ เช่นนี้ แจกเหมือน รตฺติ
อาณิ ล่ิม กฏิ สะเอว
อทิ ฺธิ ฤทธ์ิ ขนฺติ ความอดทน
อตี ิ จญั ไร คณฑฺ ิ ระฆงั
อุกฺขลิ หมอ้ ขา้ ว ฉวิ ผวิ
อูมิ คลื่น ชลฺลิ สะเกด็ ไม้
ข้อควรจา :- (ไม่ท่อง)
๑. ชลฺลิ (สะเก็ดไม้), สตฺติ (หอก) ๒ ศพั ทน์ ้ีมีวิธีแจกและทาตวั เหมือน รตฺติ ครบ
ทุกวิภตั ติ อุทาหรณ์ว่า ชลฺลิ ปญฺ. เอก. ชลฺลิยา ชลฺยา, ส. เอก. ชลฺลิยา ชลฺลิย ชลฺย และ
สตตฺ ิ ปญ.ฺ เอก. สตฺติยา สตฺยา, ส. เอก. สตฺติยา สตฺติย สตฺย
๒. ศพั ท์นอกน้นั พอแจกถึง ปญฺ. เอก. จะมีเพียง ๑ ศพั ท์ และ ส. เอก. จะมีเพียง
๒ ศพั ท์เท่าน้ัน อุทาหรณ์ว่า อาณิ ปญฺ. เอก. อาณิยา (ไม่มี อาณฺ ยา), ส. เอก. อาณิยา
อาณิย (ไมม่ ี อาณฺย) เป็นตน้
๓๖ สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
คู่มือบาลไี วยากรณ์
อี การันต์ ในอติ ถลี งิ ค์ แจกอย่าง นารี (นาง) ดงั น้ี
เอก. พหุ.
ป. นารี นาริโย นารี
ท.ุ นารึ นาริย นาริโย นารี
ต. นาริยา นารีหิ นารีภิ
จ. นาริยา นารีน
ปญ.ฺ นาริยา นารีหิ นารีภิ
ฉ. นาริยา นารีน
ส. นาริยา นาริย นารีสุ
อา. นาริ นาริโย นารี
ศัพท์ที่เป็ น อี การันต์ ในอติ ถลี งิ ค์ เช่นนี้ แจกเหมือน นารี
กุมารี เดก็ หญิง ป°วี แผน่ ดิน
ฆรณี หญิงแม่เรือน มาตุลานี ป้า, นา้
ถี หญิง วีชนี พดั
ธานี เมือง สิมฺพลี ไมง้ ิ้ว
อุ การันต์ ในอติ ถีลงิ ค์ แจกอย่าง รชฺชุ (เชือก) ดงั น้ี
เอก. พหุ.
ป. รชฺชุ รชฺชุโย รชฺชู
ท.ุ รชฺชุí รชฺชุโย รชฺชู
ต. รชฺชุยา รชฺชูหิ รชฺชูภิ
คู่มือบาลีไวยากรณ์ รชฺชุย รชฺชูน ๓๗
รชฺชูหิ สานักเรียนวดั โสธรวราราม
จ. รชฺชุยา รชฺชูน
ปญฺ. รชฺชุยา รชฺชูสุ รชฺชูภิ
ฉ. รชฺชุยา รชฺชุโย
ส. รชฺชุยา รชฺชู
อา. รชฺชุ
ศัพท์ท่เี ป็ น อุ การันต์ ในอติ ถลี งิ ค์ เช่นนี้ แจกเหมือน รชฺชุ
อรุ ุ ทราย ยาคุ ขา้ วตม้
กาสุ หลุม ลาวุ น้าเตา้
เธนุ แมโ่ คนม วิชฺชุ สายฟ้า
อู การันต์ ในอติ ถีลงิ ค์ แจกอย่าง วธู (หญงิ สาว) ดงั น้ี
เอก. พหุ.
ป. วธู วธุโย วธู
ทุ. วธุí วธุโย วธู
ต. วธุยา วธูหิ วธูภิ
จ. วธุยา วธูน
ปญฺ. วธุยา วธูหิ วธูภิ
ฉ. วธุยา วธูน
ส. วธุยา วธุย วธูสุ
อา. วธุ วธุโย วธู
๓๘ สำนักเรียนวัดโสธรวราราม
คู่มือบาลไี วยากรณ์
ศัพท์ทีเ่ ป็ น อู การันต์ เช่นนี้ แจกเหมือน วธู
จมู เสนา วิรู เถาวลั ย์
ชมฺพู ไมห้ วา้ สรพู ตกุ๊ แก
ภู แผน่ ดิน, ค้ิว สินฺธู แม่น้าสินธู
จบวิธีแจกการันต์ ๕ ในอติ ถีลงิ ค์
วธิ ีแจกการันต์ท้ัง ๓ ใน นปงุ สกลงิ ค์
อ การันต์ ใน นปุงสกลงิ ค์ แจกอย่าง กุล (ตระกลู ) ดงั น้ี
เอก. กลุ าย กุลตฺถ พหุ. กุเลภิ
ป. กลุ กลุ มฺหา กลุ า กลุ านิ กุเลภิ
ทุ. กลุ กลุ านิ
ต. กุเลน กลุ มฺหิ กุเล กเุ ลหิ
จ. กลุ สฺส กุลาน
ปญฺ. กลุ สฺมา กเุ ลหิ
ฉ. กลุ สฺส กลุ าน
ส. กุลสฺมึ กเุ ลสุ
อา. กุล กุลานิ
คู่มอื บาลีไวยากรณ์ ๓๙
สานักเรียนวดั โสธรวราราม
องคฺ
อณิ ศัพท์ทีเ่ ป็ น อ การันต์ เช่นี้ แจกเหมือน กลุ
อุทร
จกฺก องค์ โอฏฺ ° ริมฝีปาก
ฉตฺต หน้ี กฏฺ ° ไม้
ชล ทอ้ ง กมล ดอกบวั
จกั ร, ลอ้ ตล พ้นื
ฉตั ร, ร่ม ธน ทรัพย์
น้า ปณณฺ ใบไม,้ หนงั สือ
อิ การันต์ ในนปงุ สกลงิ ค์ แจกอย่าง อกขฺ ิ (นยั น์ตา) ดงั น้ี
เอก. พหุ.
ป. อกฺขิ อกฺขีนิ อกฺขี
ทุ. อกฺขึ อกฺขนี ิ อกฺขี
ต. อกฺขินา อกฺขหี ิ อกฺขีภิ
จ. อกฺขิสฺส อกฺขิโน อกฺขีน
ปญฺ. อกฺขิสฺมา อกฺขิมฺหา อกฺขีหิ อกฺขีภิ
ฉ. อกฺขสิ ฺส อกฺขิโน อกฺขีน
ส. อกฺขิสฺมึ อกฺขิมฺหิ อกฺขสี ุ
อา. อกฺขิ อกฺขนี ิ อกฺขี
ศัพท์ทเี่ ป็ น อิ การันต์ เช่นนี้ แจกเหมือน อกขฺ ิ
อจฺจิ เปลวไฟ ทธิ นมสม้
อฏฺ °Ô กระดูก สปปฺ ิ เนยใส
๔๐ สำนกั เรียนวดั โสธรวราราม
คู่มือบาลไี วยากรณ์
อุ การันต์ ในนปุงสกลงิ ค์ แจกอย่าง วตฺถุ (พสั ดุ) ดงั น้ี
เอก. พหุ.
ป. วตฺถุ วตฺถูนิ วตฺถู
ท.ุ วตฺถุí วตฺถูนิ วตฺถู
ต. วตฺถนุ า วตฺถูหิ วตฺถูภิ
จ. วตฺถสุ ฺส วตฺถุโน วตฺถูน
ปญฺ. วตฺถุสฺมา วตฺถมุ ฺหา วตฺถหู ิ วตฺถูภิ
ฉ. วตฺถุสฺส วตฺถโุ น วตฺถูน
ส. วตฺถสุ ฺมึ วตฺถุมฺหิ วตฺถูสุ
อา. วตฺถุ วตฺถนู ิ วตฺถู
ศัพท์ท่ีเป็ น อุ การันต์ เช่นนี้ แจกเหมือน วตฺถุ
อมฺพุ น้า ธนุ ธนู
อสฺสุ น้าตา มธุ น้าผ้ึง
อายุ อายุ มสฺสุ หนวด
จกขฺ ุ นยั นต์ า วปุ กาย
จบวธิ ีแจกการันต์ ๓ ในนปงุ สกลงิ ค์