คูม่ ือบาลไี วยากรณ์ ๑๔๑
สานักเรียนวัดโสธรวราราม
นตฺถิ ตสฺส ปตุ ฺตาติ = อปุตฺตโก อ. บุตร ท. ของเขา ไม่มี เหตุน้นั
(โส อ. เขา) ช่ือวา่ มีบตุ รหามิได้ หรือ ไม่มีบุตร.
ภินนาธิกรณพหุพพหิ ิสมาส
ในวเิ คราะห์แห่งสมาสใด บทท้งั หลายมีวภิ ตั ติต่างกนั ท่านเรียกสมาสน้ี
วา่ ภินนาธกิ รณพหุพพหิ ิสมาส อุทาหรณ์ อยา่ งน้ี
เอกรตฺตึ วาโส อสฺสาติ = เอกรตฺติวาโส อ. ความอยู่ ของเขา
(อสฺส ชนสฺส ของชนน้นั ) สิ้นคืนเดียว เหตุน้นั (โส อ. เขา) ชื่อวา่ มีความอยู่
สิ้นคืนเดียว.
อรุ สิ โลมานิ ยสฺส โส = อรุ สิโลโม (พฺราหฺมโณ) อ. ขน ท. ที่อก
ของพราหมณ์ใด (อตฺถิ มีอย่)ู (อ. พราหมณ์) น้นั ช่ือวา่ มีขนที่อก.
อสิ หตฺเถ ยสฺส โส = อสิหตฺโถ (โยโธ) อ.ดาบ (มี) ในมือ
ของทหารใด (อ. ทหาร) น้นั ชื่อวา่ มดี าบในมือ.
ฉตฺต ปาณิมฺหิ ยสฺส โส = ฉตฺตปาณิ (ปุริโส) อ.ร่ม (มี)ในมือ
ของบรุ ุษใด (อ. บุรุษ) น้นั ช่ือวา่ มีร่มในมือ
มณิ กณฺเ° ยสฺส โส = มณิกณโฺ ° (นาคราชา) อ. แกว้ (มี)ท่ีคอ
ของนาคราชใด (อ. นาคราช) น้นั ชื่อวา่ มีแกว้ ท่ีคอ.
วิเคราะห์ท่ีแสดงมาน้ี เป็นแต่รูปเอกวจนะอยา่ งเดียว ถ้าประสงค์ความ
เป็ นพหุวจนะ จะแสดงเป็ นรูปพหุวจนะกไ็ ด้ อุ. อยา่ งน้ี
กต กุสล เยหิ เต = กตกสุ ลา (ชนา) อ. กุศล อนั ชน ท. เหล่าใด
กระทาแลว้ (อ. ชน ท.) เหล่าน้นั ช่ือวา่ มีกศุ ลอนั กระทาแลว้
อาวุธา หตฺเถสุ เยส เต = อาวธุ หตฺถา (โยธา) อ. อาวธุ ท.
(มี) ในมือ ท. ของทหาร ท. ใด (ทหาร ท.) น้นั ชื่อวา่ มอี าวุธในมือ.
๑๔๒ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
คู่มอื บาลไี วยากรณ์
สหบุพพบท พหุพพหิ สิ มาส
สมาสท่ีมี สห อยู่ข้างหน้า เรียกว่า สห บุพพบท พหุพพิหิสมาส
แปลวา่ เป็ นไปกบั ด้วย... มีอุทาหรณ์ ดงั น้ี
สห ปุตฺเตน โย วตฺตตีติ = สปุตฺโต (ปิ ตา) (อ.ชน) ใด ยอ่ มเป็นไปกบั
ดว้ ยบุตร เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ เป็ นไปกบั ด้วยบตุ ร (คอื ) บิดา.
สห รญฺญา ยา วตฺตตีติ = สราชิกา (ปริสา) (อ.บริษทั ) ใด
ยอ่ มเป็นไป กบั ดว้ ยพระราชา เหตนุ ้นั (สา ปริสา อ.บริษทั น้นั ) ชื่อวา่
เป็ นไปกบั ด้วยพระราชา.
สห มจฺเฉเรน ย วตฺตตีติ = สมจฺเฉร (จิตฺต) (อ.จิต) ใด ยอ่ มเป็นไปกบั
ดว้ ยความตระหน่ี เหตนุ ้นั (ต จิตฺต อ. จิตน้นั ) ช่ือวา่ เป็ นไปกบั ด้วยความตระหน่ี.
สมาสท้อง
สมาสท่ีมสี มาสอ่ืนเป็ นเป็ นภายใน หรือสมาสซ้อนสมาส (คือนามศพั ท์
ต้งั แต่ ๓ ศพั ทข์ ้ึนไป) เรียกวา่ สมาสท้อง
พหุพพหิ ิท่ีแสดงมาน้ีเป็นแต่ช้นั เดียว พหุพพหิ บิ างอย่าง มสี มาสอ่ืน
เป็ นภายใน (เป็ นท้อง) อุ. อยา่ งน้ี
ธมฺโม เอว จกกฺ = ธมฺมจกกฺ อ. จกั รคือธรรม (เป็น) กมั . อว.
ปวร ธมฺมจกกฺ = ปวรธมฺมจกฺก อ.จกั รคือธรรมอนั ประเสริฐ
(เป็น) กมั . วิ.
ปวตฺติต ปวรธมฺมจกฺก เยน โส = ปวตฺติตปฺปวรธฺมจกโฺ ก (ภควา) อ. จกั ร
คอื ธรรมอนั ประเสริฐ อนั พระผมู้ ีพระภาคใด ใหเ้ ป็นไปแลว้ (อ.พระผมู้ ีพระภาค)
น้นั ชื่อวา่ มจี กั รคือธรรม อนั ประเสริฐ อนั เป็นไปทว่ั แลว้ .
สมาสน้ีเรียกวา่ ตตยิ าตลุ ยาธิกรณพหุพิหิ มี กมั มธารยะ เป็นทอ้ ง.
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์ ๑๔๓
สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คนฺโธ จ มาลา จ = คนฺธมาลา อ. ของหอมดว้ ย อ.ระเบียบดว้ ย
ช่ือวา่ ของหอมและระเบียบ ท. (เป็น) อสมาหาร. ทวนั ทวสมาส.
ตา อาทโย เยส ตานิ = คนฺธมาลาทนี ิ (วตฺถนู ิ) (อ. ของหอมและ
ระเบียบ ท.) น้นั เป็นตน้ ของวตั ถุ ท. ใด (อ. วตั ถุ ท.) น้นั ช่ือวา่ มีของหอม
และระเบียบเป็นตน้ .
สมาสน้ีเรียกวา่ ฉัฏฐีตุลยาธิกรณพหุพพหิ ิ มี อสมาหาร ทวนั ทวสมาส
เป็นทอ้ ง (หรือภายใน)
คนฺธมาลาทนี ิ หตฺเถสุ เยส เต = คนฺธมาลาทหิ ตฺถา (มนุสฺสา).
(อ. วตั ถุ ท.) มีของหอมและระเบียบเป็นตน้ (มี) ในมือ ท. (ของมนุษย์ ท.)
ใด (อ. มนุษย์ ท.) น้นั ชื่อวา่ มวี ตั ถุมีของหอมและระเบียบเป็นตน้ ในมือ
สมาสน้ีเรียกวา่ ฉัฏฐีภินนาธิกรณพหุพพิหิ มี อสมาหาร ทวันทวสมาส
และ ฉัฏฐีพหุพพหิ ิสมาส เป็นทอ้ ง. (หรือภายใน)
จบสมาส
๑๔๔ สำนักเรยี นวดั โสธรวราราม
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์
ตทั ธิต
ปัจจัยหมู่หนึ่ง เป็ นประโยชน์เกื้อกูล แก่เนื้อความย่อ สาหรับใช้แทน
ศัพท์ ย่อคาพูดลงให้ส้ัน เรียกงา่ ย ๆ เหมือนคาว่า “สฺยาเม ชาโต เกิดในสยาม”
ลงปัจจยั (คอื ณิก) แทน ชาต เอาไวแ้ ต่ สฺยาม เป็น สฺยามโิ ก เรียกวา่ ตทั ธิต.
ตทั ธติ น้ัน โดยสังเขป แบ่งเป็น ๓ อยา่ ง คือ สามัญญตัทธิต ๑ ภาวตัทธิต ๑
อพั ยยตัทธิต ๑.
สามัญญตัทธิต
สามญั ญตัทธิต มี ๑๓ อยา่ ง คือ
โคตตตัทธติ ๑ ตรัตยาทติ ทั ธิต ๑ ราคาทิตัทธิต ๑
ชาตาทติ ทั ธิต ๑ สมหุ ตัทธิต ๑ ฐานตัทธิต ๑
พหุลตัทธิต ๑ เสฏฐตทั ธติ ๑ ตทัสสัตถิตทั ธติ ๑
ปกติตทั ธติ ๑ สังขยาตัทธติ ๑ ปูรณตัทธิต ๑
วิภาคตัทธิต ๑.
(ยอ่ วา่ โค, ต, รา, ชา, ส, ฐา, พ, เส, ต, ป, สัง, ปู, ว)ิ
ในคมั ภรี ์ศัพทศาสตร์ท้งั หลาย ท่านแบง่ เป็น ๑๕ โดยเติม อุปมาตทั ธิต
และ นสิ ิตตทั ธติ .
(ปัจจยั ในตัทธติ )
๑. ในโคตตตทั ธิต มีปัจจยั ๘ ตวั คือ ณ, ณายน, ณาน, เณยฺย, ณิ, ณิก,
ณว, เณร
๒. ในตรตฺยาทิตทั ธิต มีปัจจยั ๑ ตวั คือ ณกิ
๓. ในราคาทิตทั ธิต มีปัจจยั ๑ ตวั คือ ณ
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์ ๑๔๕
สานกั เรียนวัดโสธรวราราม
๔. ในชาตาทิตทั ธิต มีปัจจยั ๓ ตวั คือ อมิ , อยิ , กยิ
๕. ในสมุหตทั ธิต มีปัจจยั ๓ ตวั คือ กณ,ฺ ณ, ตา
๖. ในฐานตทั ธิต มีปัจจยั ๒ ตวั คอื อยี , เอยฺย
๗. ในพหุลตทั ธิต มีปัจจยั ๑ ตวั คือ อาลุ
๘. ในเสฏฐตทั ธิต มีปัจจยั ๕ ตวั คือ ตร, ตม, อยิ ิสฺสก, อยิ , อฏิ ฺ °
๙. ในตทสั สตั ถิตทั ธิต มีปัจจยั ๙ ตวั คือ วี, ส, สี, อกิ , อ,ี ร, วนฺตุ, มนฺต,ุ ณ
๑๐. ในปกติตทั ธิตลง มีปัจจยั ๑ ตวั คือ มย
๑๑. ในสังขยาตทั ธิต มีปัจจยั ๑ ตวั คือ ก
๑๒. ในปูรณตทั ธิต มีปัจจยั ๕ ตวั คือ ติย, ถ, °, ม, อี
๑๓. ในวิภาคตทั ธิต มีปัจจยั ๒ ตวั คอื ธา, โส.
๑๔. ในภาวตทั ธิต มีปัจจยั ๖ ตวั คือ ตฺต, ณยฺ , ตฺตน, ตา, ณ, กณฺ
๑๕. ในอพั ยยตทั ธิต มีปัจจยั ๒ ตวั คือ ถา, ถ
โคตตตทั ธิต
มี ปัจจยั ๘ ตวั คือ ณ, ณายน, ณาน, เณยยฺ , ณิ, ณิก, ณว, เณร
ผศู้ ึกษาพึงทราบวา่ เม่ือลงปัจจยั ท่ีมี ณ ถา้ สระอย่หู น้าศัพท์เป็ นรัสสะ
ลว้ น ไม่มพี ยัญชนะสังโยคอยเู่ บ้ืองหลงั ต้องพฤทธ์ิ คือ ทีฆะ อ เป็น อา, วกิ าร
อิ เป็น เอ, อุ เป็น โอ, เวน้ ไวแ้ ตส่ ระที่อยหู่ นา้ ศพั ทเ์ ป็นรัสสะ มีพยญั ชนะ
สงั โยคอยเู่ บ้ืองหลงั หรือเป็นทีฆะ ไมต่ อ้ งพฤทธ์ิ และพยญั ชนะ คือ ณ น้นั
ตอ้ งลบเสีย คงไวแ้ ตส่ ระที่ ณ อาศยั และสระพยญั ชนะอื่น ๆ.
๑๔๖ สำนกั เรียนวดั โสธรวราราม
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์
ศัพท์ท่ีลง ณ ปัจจัย อย่างนี้
วสิฏฺ°สฺส อปจฺจ = วาสิฏฺ โ° อ. เหลา่ กอ แห่งวสิฏฐะ ชื่อ วาสิฏฐะ.
โคตมสฺส อปจฺจ = โคตโม อ. เหลา่ กอ แห่งโคตมะ ชื่อ โคตมะ.
วสุเทวสฺส อปจฺจ = วาสุเทโว อ. เหล่ากอ แห่งวสุเทวะ ช่ือ วาสุเทวะ.
ศัพท์ที่ลง ณายน ปัจจัย อย่างนี้
กจฺจสฺส อปจฺจ = กจฺจายโน อ. เหลา่ กอ แห่งกจั จะ ชื่อ กจั จายนะ.
วจฺฉสฺส อปจฺจ = วจฺฉายโน อ. เหล่ากอ แห่งวจั ฉะ ชื่อ วจั ฉายนะ.
โมคฺคลฺลิยา อปจฺจ = โมคฺคลฺลายโน อ.เหล่ากอ แห่งนางโมคคลั ลี ชื่อโมคคลั ลายนะ.
ศัพท์ท่ลี ง ณาน ปัจจัย อย่างนี้
กจฺจาโน, วจฺฉาโน, โมคฺคลฺลาโน. วิเคราะห์และคาแปลเหมือนใน ณายน ปัจจยั .
ศัพท์ทล่ี ง เณยฺย ปัจจยั อย่างนี้
ภคินิยา อปจฺจ = ภาคเิ นยโฺ ย อ.เหล่ากอ แห่งพีน่ อ้ งหญิง ช่ือ ภาคิเนยยะ.
วนิ ตาย อปจฺจ = เวนเตยโฺ ย อ. เหล่ากอ แห่งนางวินตา ช่ือ เวนเตยยะ.
โรหิณิยา อปจฺจ = โรหิเณยฺโย อ. เหลา่ กอ แห่งนางโรหิณี ช่ือ โรหิเณยยะ.
ศัพท์ทลี่ ง ณิ ปัจจยั อย่างนี้
ทกฺขสฺส อปจฺจ = ทกขฺ ิ อ. เหลา่ กอ แห่งทกั ขะ ชื่อ ทกั ข.ิ
วสวสฺส อปจฺจ = วาสวิ อ. เหลา่ กอ แห่งวสวะ ช่ือ วาสว.ิ
วรุณสฺส อปจฺจ = วารุณิ อ. เหล่ากอ แห่งวรุณะ ช่ือ วารุณิ.
ศัพท์ที่ลง ณกิ ปัจจัย อย่างนี้
สกฺยปุตฺตสฺส อปจฺจ = สากฺยปตุ ฺติโก อ. เหล่ากอ แห่งบุตรสักยะ ชื่อ สากยปตุ ติกะ.
นาฏปุตฺตสฺส อปจฺจ = นาฏปุตฺติโก อ. เหล่ากอ แห่งบุตรแห่งชนรา ช่ือนาฏปตุ ติกะ.
ชินทตฺตสฺส อปจฺจ = เชนทตฺตโิ ก อ. เหล่ากอ แห่งชินทตั ตะ ชื่อ เชนทตั ติกะ.
คู่มอื บาลีไวยากรณ์ ๑๔๗
สานักเรยี นวดั โสธรวราราม
อุปกสุ ฺส อปจฺจ ศัพท์ที่ลง ณว ปัจจัย อย่างนี้
มนุโน อปจฺจ = โอปกโว อ. เหลา่ กอ แห่งอุปกุ ช่ือ โอปกวะ.
ภคฺคุโน อปจฺจ = มานโว อ. เหลา่ กอ แห่งมนุ ช่ือ มานวะ.
= ภคฺคโว อ. เหล่ากอ แห่งภคั คุ ช่ือ ภคั ควะ.
วธิ วาย อปจฺจ
สมณสฺส อปจฺจ ศัพท์ที่ลง เณร ปัจจยั อย่างนี้
= เวธเวโร อ. เหลา่ กอ แห่งแม่หมา้ ย ช่ือ เวธเวระ.
= สามเณโร อ. เหลา่ กอ แห่งสมณะ ช่ือ สามเณระ.
ตรัตยาทิตทั ธิต
มีปัจจยั ๑ ตวั คือ ณิก (มี อุ.) อย่างนี้
นาวาย ตรตีติ = นาวิโก (โย ชโน อ. ชนใด) ยอ่ มขา้ ม ดว้ ยเรือ
เหตนุ ้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือ นาวิกะ (ผขู้ า้ มดว้ ยเรือ).
ติเลหิ สสฏฺ°í โภชน = เตลกิ อ. โภชนะ ระคนพร้อมแลว้ ดว้ ย
เมลด็ งา ท. ชื่อ เตลิกะ (ระคนแลว้ ดว้ ยงา).
สกเฏน จรตีติ = สากฏิโก (โย ชโน อ. ชนใด) ยอ่ มเท่ียวไป ดว้ ยเกวียน
เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือ สากฏิกะ (ผเู้ ที่ยวไปดว้ ยเกวยี น).
ราชคเห ชาโต = ราชคหิโก (ชโน อ. ชน) เกิดแลว้ ในเมืองราชคฤห์
ช่ือ ราชคหิกะ (ผเู้ กิดในเมืองราชคฤห์).
ตสฺมึ วสติ = ราชคหิโก (โย ชโน อ. ชนใด) ยอ่ มอยู่ ในเมืองราชคฤห์
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือ ราชคหิกะ (ผอู้ ยใู่ นเมืองราชคฤห์).
กาเยน กต กมฺ ม = กายิก อ. กรรม (อันชน) ทาแล้ว ด้วยกาย
ชื่อกายกิ ะ (อนั ชนทาแลว้ ดว้ ยกาย)
๑๔๘ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์
ตสฺมึ วตฺตตีติ = กายกิ (ย กมฺม อ. กรรมใด) ยอ่ มเป็นไป
(ในกาย) น้นั เหตนุ ้นั (ต กมฺม อ. กรรมน้นั ) ชื่อ กายกิ ะ (เป็นไปในกาย).
ทฺวาเร นิยตุ ฺโต = โทวาริโก (ชโน อ.ชน) ประกอบในประตู
ชื่อโทวาริกะ (ผปู้ ระกอบในประตู).
สกุเณ หนฺตฺวา ชีวตีติ = สากุณิโก (โย ชโน อ. ชนใด) ฆ่า ซ่ึงนก ท.
เป็ นอยู่ (เล้ียงชีวิต) เหตุน้ัน (โส ชโน อ. ชนน้ัน) ชื่อ สากุณิกะ (ผูฆ้ ่าซ่ึงนก
เป็นอย)ู่ .
สงฺฆสฺส สนฺตก = สงฆฺ ิก (ย วตฺถุ อ. สิ่งของใด) เป็นของมีอยู่ แห่งสงฆ์
(ต วตฺถุ อ. สิ่งของน้นั ) ชื่อ สงั ฆิกะ (ของมีอยแู่ ห่งสงฆ)์ .
อกฺเขน ทิพฺพตีติ = อกขฺ โิ ก (โย ชโน อ. ชนใด) ยอ่ มเลน่ ดว้ ยสะกา
เหตนุ ้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อ อกั ขกิ ะ (ผเู้ ล่นดว้ ยสะกา).
ราคาทิตทั ธิต
มปี ัจจยั ๑ ตัว คือ ณ (มี อุ.) อย่างนี้
กสาเวน รตฺต วตฺถ = กาสาว อ. ผา้ (อนั บุคคล) ยอ้ มแลว้ ดว้ ยรสฝาด
ชื่อ กาสาวะ (ผา้ อนั บคุ คลยอ้ มแลว้ ดว้ ยรสฝาด).
มหิสสฺส อิท มส = มาหสิ อ. เน้ือน้ี ของกระบือ ชื่อ มาหิสะ
(เน้ือของกระบือ).
มคเธ ชาโต = มาคโธ (ชโน อ. ชน) เกิดแล้ว ในแว่นแควน้ มคธ
ช่ือ มาคธะ (ผเู้ กิดในแวน่ แควน้ มคธ).
ตสฺมึ วสตีติ = มาคโธ (โย ชโน อ. ชนใด) ย่อมอยู่ ในแว่นแควน้
มคธน้นั เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อ มาคธะ (ผอู้ ยใู่ นแควน้ มคธ),
คู่มอื บาลไี วยากรณ์ ๑๔๙
สานกั เรยี นวัดโสธรวราราม
ตตฺร อิสฺสโร = มาคโธ (ชโน อ. ชน) เป็ นอิสระ ในแว่นแควน้ มคธน้ัน
ช่ือ มาคธะ (เป็นอิสระในแวน่ แควน้ มคธ).
กตฺติกาย นิยตุ ฺโต มาโส = กตฺติโก อ. เดือน ประกอบดว้ ยฤกษก์ ตั ติกา
ชื่อ กตั ติกา (เดือนประกอบดว้ ยฤกษก์ ตั ติกา).
วฺยากรณ อธิเตติ = เวยฺยากรโณ (โย ชโน อ. ชนใด) ย่อมเรียน
ซ่ึงพยากรณ์ เหตุน้ัน (โส ชโน อ. ชนน้ัน) ชื่อ เวยยากรณะ (ผูเ้ รียนซ่ึง
พยากรณ์).
ชาตาทติ ทั ธิต
มปี ัจจัย ๓ ตัว คือ อมิ , อยิ , กยิ
ศัพท์ทลี่ ง อมิ ปัจจยั อย่างนี้
ปเุ ร ชาโต = ปุริโม (ชโน อ. ชน) เกิดแลว้ ในก่อน ช่ือ ปุริมะ
(เกิดแลว้ ในก่อน)
มชฺเฌ ชาโต = มชฺฌโิ ม (ชโน อ. ชน) เกิดแลว้ ในท่ามกลาง
ชื่อ มชั ฌิมะ (เกิดแลว้ ในทา่ มกลาง).
ปจฺฉา ชาโต = ปจฺฉิโม (ชโน อ. ชน) เกิดแลว้ ในภายหลงั
ชื่อ ปัจฉิมะ (เกิดแลว้ ในภายหลงั ).
ปตุ ฺโต อสฺส อตฺถีติ = ปตุ ฺติโม อ. บตุ ร (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้นั
(ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีบุตร.
อนฺเต นิยตุ ฺโต = อนฺตโิ ม (ชโน อ. ชน) ประกอบในท่ีสุด ช่ือ อนั ติมะ
(ประกอบในท่ีสุด).
๑๕๐ สำนกั เรียนวัดโสธรวราราม
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์
ศัพท์ที่ลง อยิ ปัจจัย อย่างนี้
มนุสฺสชาติยา ชาโต = มนุสฺสชาตโิ ย (ชโน อ. ชน) เกิดแลว้ โดยชาติ
แห่งมนุษย์ ชื่อ มนุสสชาติยะ (เกิดแลว้ โดยชาติแห่งมนุษย)์ .
อสฺสชาติยา ชาโต = อสฺสชาติโย (สตฺโต อ. สตั ว)์ เกิดแลว้ โดยชาติ
แห่งมา้ ช่ือ อสั สชาติยะ (เกิดแลว้ โดยชาติแห่งมา้ ).
ปณฺฑิตชาติยา ชาโต = ปณฺฑิตชาตโิ ย (ชโน อ. ชน) เกิดแลว้ โดยชาติ
แห่งบณั ฑิต ช่ือ ปัณฑิตชาติยะ (เกิดแลว้ โดยชาติแห่งบณั ฑิต).
ปณฺฑิตชาติ อสฺส อตฺถีติ = ปณฑฺ ิตชาตโิ ย อ.ชาติแห่งบณั ฑิต
(ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีชาติแห่งบณั ฑิต.
ศัพท์ทล่ี ง กยิ ปัจจัย อย่างนี้
อนฺเธ นิยุตฺโต = อนฺธกิโย (ชโน อ.ชน) ประกอบในมืด ชื่อ
อนั ธกิยะ (ประกอบในมืด).
สมุหตัทธิต
มปี ัจจยั ๓ ตัว คือ กณฺ, ณ, ตา
ศัพท์ทีล่ ง กณฺ ปัจจยั อย่างนี้
มนุสฺสาน สมโุ ห = มานุสโก อ. ประชุมแห่งมนุษย์ ท. ชื่อ มานุกะ
(ประชุมแห่งมนุษย์ หรือ หมแู่ ห่งมนุษย)์ .
มยรุ าน สมุโห = มายรุ โก อ. ประชุม แห่งนกยงู ท. ชื่อ มายรุ กะ
(ประชุมแห่งนกยงู หรือ ฝงู แห่งนกยงู ).
กโปตาน สมโุ ห = กาโปตโก อ. ประชุม แห่งนกพิราบ ท.
ช่ือ กาโปตกะ (ประชุมแห่งนกพริ าบ หรือ ฝงู แห่งนกพิราบ).
ค่มู อื บาลีไวยากรณ์ ๑๕๑
สานักเรยี นวดั โสธรวราราม
ศัพท์ทีล่ ง ณ ปัจจยั อย่างนี้
มานุโส, มายุโร, กาโปโต วิเคราะห์และคาแปล เหมือนใน กณฺ ปัจจยั .
ศัพท์ทล่ี ง ตา ปัจจยั อย่างนี้
คามาน สมุโห = คามตา อ. ประชุม แห่งชาวบา้ น ท. ชื่อ คามตา
(ประชุมแห่งชาวบา้ น).
ชนาน สมโุ ห = ชนตา อ. ประชุม แห่งชน ท. ชื่อ ชนตา
(ประชุมแห่งชน).
สหายาน สมโุ ห = สหายตา อ. ประชุม แห่งสหาย ท. ช่ือ สหายตา
(ประชุมแห่งสหาย).
ฐานตทั ธิต
มีปัจจยั ๑ ตวั คือ อยี อย่างนี้
มทนสฺส °าน = มทนีย อ. ที่ต้งั แห่งความเมา ชื่อ มทนียะ
(ท่ีต้งั แห่งความเมา).
พนฺธนสฺส °าน = พนฺธนยี อ. ท่ีต้งั แห่งความผกู ชื่อ พนั ธนียะ
(ท่ีต้งั แห่งความผกู ).
โมจนสฺส °าน = โมจนีย อ. ที่ต้งั แห่งความแก้ ชื่อ โมจนียะ
(ที่ต้งั แห่งความแก)้ .
อยี , เอยยฺ ปัจจัย ๒ นลี้ งในอรรถ คือ อรห (ควร) อย่างนี้
ทสฺ สน อรหตีติ = ทสฺ สนีโย (โย ชโน อ. ชนใด) ย่อมควร
ซ่ึงความเห็น เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อ ทสั สนียะ (ผูค้ วรซ่ึงความเห็น
หรือ น่าดู).
๑๕๒ สำนกั เรียนวัดโสธรวราราม
ค่มู ือบาลีไวยากรณ์
ปชู น อรหตีติ = ปูชนีโย ปูชเนยโฺ ย วา (โย ชโน อ. ชนใด) ย่อมควร
ซ่ึงการบชู า เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือปูชนียะ ชื่อ ปูชเนยยะบา้ ง (ผคู้ วร
ซ่ึงการบชู า).
ทกฺขิณ อรหตีติ = ทกฺขิเณยฺโย (โย ชโน อ. ชนใด) ย่อมควร
ซ่ึงทกั ขณิ า เหตนุ ้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือ ทกั ขิเณยยะ (ผคู้ วรซ่ึงทกั ขิณา).
ในสัททนีติวา่ อยี ปัจจยั ลงในอรรถอนั อื่นได้ (เก้ือกลู และ มี) บา้ ง อยา่ งน้ี
อุปาทานาน หิต = อปุ าทานีย อ. เก้ือกูล แก่อุปาทาน ท. ช่ือ
อุปาทานียะ (เก้ือกลู แก่อปุ าทาน).
อทุ เร ภว = อทุ รีย (โภชน อ. โภชนะ) มี ในทอ้ ง ช่ือ อุทรียะ
(โภชนะมีในทอ้ ง).
พหุลตัทธิต
มีปัจจัย ๑ ตวั คือ อาลุ อย่างนี้
อภิชฺฌา อสฺส ปกติ = อภิชฺฌาลุ อ. อภิชฌา เป็ นปกติ (ของชน) น้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีอภิชฌาเป็นปกติ,
อภิชฺฌา อสฺส พหุลา = อภิชฺฌาลุ อ. อภิชฌา (ของชน) น้ัน มาก
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีอภิชฌามาก.
สี ต อสฺ ส ปกติ = สีตาลุ อ. หนาว เป็ นปกติ (ของประเทศ) น้ัน
(โส ปเทโส อ. ประเทศน้นั ) ช่ือวา่ มีหนาวเป็นปกติ,
สีต เอตฺถ พหุล = สีตาลุ อ. หนาว (ในประเทศ) น้นั มาก (โส ปเทโส
อ. ประเทศน้นั ) ชื่อวา่ มีหนาวมาก.
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์ ๑๕๓
สานักเรียนวดั โสธรวราราม
ทยา อสฺส ปกติ = ทยาลุ อ. ความเอ็นดู เป็นปกติ (ของชน) น้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีความเอน็ ดูเป็นปกติ.
ทยา อสฺส พหุลา = ทยาลุ อ. ความเอน็ ดู (ของชน) น้นั มาก
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีความเอน็ ดูมาก.
เสฏฐตทั ธิต
มีปัจจัย ๕ ตวั คือ ตร, ตม, อยิ ิสฺสก, อยิ , อฏิ ฺ °
ศัพท์ที่ลง ตร ปัจจยั อย่างนี้
ปาปตโร เป็นบาปกวา่ ,
ปณฺฑิตตโร เป็นบณั ฑิตกวา่ ,
หีนตโร เลวกวา่ ,
ปณีตตโร ประณีตกวา่ .
ศัพท์ที่ลง ตม ปัจจยั อย่างนี้
ปาปตโม เป็นบาปที่สุด,
ปณฺฑิตตโม เป็นบณั ฑิตท่ีสุด,
หีนตโม เลวที่สุด,
ปณีตตโม ประณีตที่สุด.
ศัพท์ท่ลี ง อยิ สิ ฺสก ปัจจัย
ปาปิ ยิสฺสโก เป็นบาปกวา่ .
ศัพท์ท่ลี ง อยิ ปัจจยั อย่างนี้ นอ้ ยกวา่ ,
ปาปิ โย เป็นบาปกวา่ , กนิโย เจริญกวา่ .
เสยฺโย ประเสริฐกวา่ , เชยโฺ ย
๑๕๔ สำนักเรียนวัดโสธรวราราม
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์
ศัพท์ท่ีลง อฏิ ฺ ° ปัจจยั อย่างนี้
ปาปิ ฏฺ โ° เป็นบาปที่สุด, กนฏิ ฺ โ° นอ้ ยท่ีสุด.
เสฏฺ โ° ประเสริฐที่สุด. เชฏโ° เจริญที่สุด.
ตัวอย่างรูปวเิ คราะห์
สพฺเพ อเิ ม ปาปา, อยมิเมส วเิ สเสน ปาโปติ ปาปตโร ปาปตโม.
(ชนา อ. ชน ท.) เหล่าน้ี ท้ังปวง เป็ นบาป, (ชโน อ. ชน) น้ี เป็ นบาป
โดยวิเศษ (แห่งชน ท.) เหลา่ น้ี เหตนุ ้นั (ชโน อ. ชนน้ี) ชื่อ ปาปตระ ปาปตมะ.
ตทัสสัตถิตัทธิต
มปี ัจจยั ๙ ตวั คือ วี, ส, สี, อกิ , อ,ี ร, วนฺตุ, มนฺตุ, ณ
ศัพท์ทีล่ ง วี ปัจจยั อย่างนี้
เมธา อสฺส อตฺถีติ = เมธาวี อ. เมธา (ปัญญา) (ของชน) น้ัน มีอยู่
เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีเมธา.
มายา อสฺส อตฺถีติ = มายาวี อ. มายา (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้ัน
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีมายา.
ศัพท์ทล่ี ง ส ปัจจัย อย่างนี้
สุเมธา อสฺส อตฺถีติ = สุเมธโส อ. เมธาดี (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้ัน
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีเมธาดี.
ศัพท์ที่ลง สี ปัจจยั อย่างนี้
ตโป อสฺส อตฺถีติ = ตปสี อ. ตปะ (ความเพยี รอนั เผาบาป)
(ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีตปะ.
เตโช อสฺ ส อตฺถีติ = เตชสี อ. เดช (อานาจ) (ของชน) น้ัน มีอยู่
เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีเดช.
คูม่ ือบาลไี วยากรณ์ ๑๕๕
สานกั เรียนวัดโสธรวราราม
ศัพท์ท่ีลง อกิ ปัจจัย อย่างนี้
ทณฺโฑ อสฺส อตฺถีติ = ทณฑฺ ิโก อ. ไมเ้ ทา้ (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีไมเ้ ทา้ .
อตฺโถ อสฺส อตฺถีติ = อตฺถิโก อ. ความต้องการ (ของชน) น้ัน มีอยู่
เหตนุ ้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีความตอ้ งการ.
ศัพท์ทีล่ ง อี ปัจจยั อย่างนี้
ทณฺฑี อ. คนมีไมเ้ ทา้ (วเิ คราะหเ์ หมือน ทณฺฑิโก)
สุข อสฺส อตฺถีติ = สุขี อ. สุข (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้นั
(โส ชโน อ. ชน น้นั ) ช่ือวา่ มีสุข.
โภโค อสฺส อตฺถีติ = โภคี อ. โภคะ (สมบตั ิ) (ของชน) น้นั มีอยู่
เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีโภคะ.
ศัพท์ท่ีลง ร ปัจจยั อย่างนี้
มธุ อสฺส อตฺถีติ = มธุโร อ. น้าผ้งึ (ของขนม) น้นั มีอยู่ เหตุน้นั
(โส ปูโว อ. ขนมน้นั ) ช่ือวา่ มีน้าผ้งึ (มีรสหวาน).
มุข อสฺส อตฺถีติ = มขุ โร อ. ปาก (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีปาก (คนปากกลา้ ).
ศัพท์ทล่ี ง วนฺตุ ปัจจัย อย่างนี้
คุโณ อสฺส อตฺถีติ = คณุ วา อ. คุณ (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตนุ ้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีคุณ.
ธน อสฺส อตฺถีติ = ธนวา อ. ทรัพย์ (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตนุ ้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีทรัพย.์
๑๕๖ สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
คูม่ ือบาลไี วยากรณ์
ปญฺญา อสฺส อตฺถีติ = ปญฺญวา อ. ปัญญา (ของชน) น้นั มีอยู่
เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีปัญญา.
ปุญฺญí อสฺส อตฺถีติ = ปญุ ฺญวา อ. บญุ (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตนุ ้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีบุญ.
ศัพท์ทล่ี ง มนฺตุ ปัจจัย อย่างนี้
อายุ อสฺส อตฺถีติ = อายสฺมา อ. อายุ (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีอายุ (ความเจริญ).
สติ อสฺส อตฺถีติ = สตมิ า อ. สติ (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตนุ ้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีสติ (ความระลึก).
จกฺขุ อสฺส อตฺถีติ = จกขฺ ุมา อ. จกั ษุ (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตนุ ้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีจกั ษุ (คนตาดี หรือ คนมีญาณ).
ชุติ อสฺส อตฺถีติ = ชุตมิ า อ. ความโพลง (ของชน) น้นั มีอยู่
เหตนุ ้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ช่ือวา่ มีความโพลง. (รุ่งเรือง)
ในสัททนีติวา่ ศพั ท์ คือ ปุตฺตมิ า อ.ชนมีบุตร, ปาปิ มา อ.ชนมีบาป ลง
อมิ นฺตุ ปัจจยั .
ศัพท์ทล่ี ง ณ ปัจจยั อย่างนี้
สทฺธา อสฺส อตฺถีติ = สทฺโธ อ. ศรัทธา (ของชน) น้นั มีอยู่ เหตุน้นั
(โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีศรัทธา.
มจฺเฉร อสฺส อตฺถีติ = มจฺเฉโร อ. ความตระหนี่ (ของชน) น้นั มีอยู่
เหตุน้นั (โส ชโน อ. ชนน้นั ) ชื่อวา่ มีความตระหนี่.
คูม่ อื บาลไี วยากรณ์ ๑๕๗
สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
ปกติตัทธิต
มปี ัจจัย ๑ ตวั คือ มย อย่างนี้
สุวณฺเณน ปกต = โสวณฺณมย (ภาชน อ.ภาชนะ) อันบุคคล
กระทาแลว้ ดว้ ยทอง ชื่อ โสวณั ณมยะ (อนั บุคคลทาแลว้ ดว้ ยทอง).
สุวณฺณสฺส วิกาโร = โสวณฺณมย (ภาชน อ ภาชนะ) เป็นวกิ าร
แห่งทอง ชื่อวา่ เป็นวกิ ารแห่งทอง.
มตฺติกาย ปกต = มตฺติกามย (ภาชน อ. ภาชนะ) อนั บุคคลทา
แลว้ ดว้ ยดิน ช่ือ มตั ติกามยะ (อนั บุคคลทาแลว้ ดว้ ยดิน).
มตฺติกาย วิกาโร = มตฺติกามย (ภาชน อ. ภาชนะ) เป็นวกิ าร
แห่งดิน ช่ือ มตั ติกามยะ (เป็นวกิ ารแห่งดิน).
อยสา ปกต = อโยมย. (ภาชน อ. ภาชนะ) อนั บคุ คลทาแลว้
ดว้ ยเหลก็ ช่ือ อโยมยะ (อนั บุคคลทาแลว้ ดว้ ยเหลก็ ).
อยโส วกิ าโร = อโยมย (ภาชน อ. ภาชนะ) เป็นวกิ าร
แห่งเหลก็ ชื่อ อโยมยะ (เป็นวกิ ารแห่งเหลก็ ).
ปรู ณตทั ธิต
มีปัจจยั ๕ ตวั คือ ติย, ถ, °, ม, อี
ศัพท์ที่ลง ตยิ ปัจจัย อย่างนี้
ทฺวินฺน ปรู โณ = ทุติโย (อ. ชน) เป็นที่เตม็ แห่งชน ท. ๒ ช่ือวา่ ที่ ๒.
ติณฺณ ปูรโณ = ตติโย (อ. ชน) เป็นที่เตม็ แห่งชน ท. ๓ ช่ือวา่ ท่ี ๓.
ศัพท์ทล่ี ง ถ ปัจจัย อย่างนี้
จตุนฺน ปูรโณ = จตตุ ฺโถ (อ.ชน) เป็นท่ีเตม็ แห่งชน ท. ๔ ชื่อวา่ ท่ี ๔.
๑๕๘ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คู่มือบาลีไวยากรณ์
ศัพท์ที่ลง ° ปัจจยั อย่างนี้
ฉนฺน ปูรโณ = ฉฏฺ โ° (อ. ชน) เป็นที่เตม็ แห่งชน ท. ๖ ช่ือวา่ ท่ี ๖.
ศัพท์ท่ีลง ม ปัจจัย อย่างนี้
ปญฺจนฺน ปูรโณ = ปญจฺ โม (อ.ชน) เป็นท่ีเตม็ แห่งชน ท. ๕ ชื่อวา่ ที่ ๕.
สตฺตนฺน ปูรโณ = สตฺตโม (อ. ชน) เป็นท่ีเตม็ แห่งชน ท. ๗ ชื่อวา่ ที่ ๗.
(เป็นตวั อยา่ ง)
ศัพท์ท่ีลง อี ปัจจัย อย่างนี้
อี ปัจจัย เป็น อติ ถีลงิ ค์ ลงไดต้ ้งั แต่ เอกาทส ถึง อฏฺ °ารส
(ถา้ ตอ้ งการใหเ้ ป็นลิงคอ์ ่ืน ใหล้ ง ม ปัจจยั ) อยา่ งน้ี
เอกาทสนฺน ปรู ณี = เอกาทสี (อ. หญิง) เป็นที่เตม็ แห่งหญิง ท. ๑๑ ช่ือวา่ ที่ ๑๑.
ทฺวาทสนฺน ปรู ณี = ทฺวาทสี (อ. หญิง) เป็นที่เตม็ แห่งหญิง ท. ๑๒ ช่ือวา่ ที่ ๑๒.
เตรสนฺน ปรู ณี = ทวฺ าทสี (อ. หญิง) เป็นท่ีเตม็ แห่งหญิง ท. ๑๓ ชื่อวา่ ท่ี ๑๓.
ในตัทธิตนี้ มีศัพท์พเิ ศษอกี ศัพท์หน่ึง คือ อฑฺฒ แปลวา่ กงึ่ หรือ ครึ่ง
แปลงกบั ปรู ณสังขยา มีเศษเป็นคร่ึง ต้งั วิเคราะห์เป็น ตตยิ าตปั ปุริสสมาส
และ อฑฺฒ ศพั ทแ์ ปลงกบั ปรู ณสังขยา มีรูปต่าง ๆ ดงั น้ี
อฑฺเฒน ทตุ ิโย = ทิวฑฺโฒ หรือ ทยิ ฑฺโฒ (ชโน อ. ชน) ท่ี ๒
ดว้ ยท้งั ก่ึง ช่ือวา่ ท่ี ๒ ดว้ ยท้งั ก่ึง. (๑ กบั คร่ึง)
อฑฺเฒน ตติโย = อฑฺฒติโย หรือ อฑฺฒเตยฺโย (ชโน อ. ชน) ที่ ๓
ดว้ ยท้งั ก่ึง ช่ือวา่ ท่ี ๓ ดว้ ยท้งั ก่ึง. (๒ กบั คร่ึง)
อฑฺเฒน จตตุ ฺโถ = อฑฺฒุฑฺโฒ (ชโน อ. ชน) ที่ ๔ ดว้ ยท้งั ก่ึง ชื่อว่า
ท่ี ๔ ดว้ ยท้งั ก่ึง. (๓ กบั คร่ึง)
คู่มอื บาลไี วยากรณ์ ๑๕๙
สานักเรียนวัดโสธรวราราม
สังขยาตัทธิต
มีปัจจัย ๑ ตัว คือ ก อย่างนี้
เทฺว ปริมาณานิ อสฺสาติ = ทวฺ ิก อ. ปริมาณ ท. (ของวตั ถุ) น้นั ๒
เหตนุ ้นั (ต วตฺถุ อ. วตั ถนุ ้นั ) ช่ือวา่ มีปริมาณ ๒.
ตีณิ ปริมาณานิ อสฺสาติ = ตกิ อ. ปริมาณ ท. (ของวตั ถุ) น้นั ๓
เหตนุ ้นั (ต วตฺถุ อ. วตั ถุน้นั ) ช่ือวา่ มีปริมาณ ๓.
วภิ าคตัทธติ
มีปัจจยั ๒ ตวั คือ ธา, โส
ศัพท์ที่ลง ธา ปัจจยั อย่างนี้
เอเกน วิภาเคน = เอกธา โดยส่วนเดียว ช่ือ เอกธา.
ทฺวหี ิ วิภาเคหิ = ทฺวิธา โดยส่วน ท. ๒ ช่ือ ทฺวธิ า.
ศัพท์ท่ลี ง โส ปัจจัย อย่างนี้
ปเทน วิภาเคน = ปทโส โดยความจาแนก โดยบท ชื่อ ปทโส.
สุตฺเตน วภิ าเคน = สุตตฺ โส โดยความจาแนก โดยสูตร ช่ือ สุตฺตโส.
ภาวตัทธติ
มีปัจจัย ๖ ตัว คือ ตฺต, ณยฺ , ตตฺ น, ตา, ณ, กณฺ
ศัพท์ท่ลี ง ตฺต ปัจจยั อย่างนี้
(แจกแบบ อ การันตใ์ นนปุงสกลิงค)์
ในชื่อ จนฺทสฺส ภาโว = จนฺทตตฺ อ. ความเป็น แห่งพระจนั ทร์ ช่ือ จนั ทตั ตะ.
ในชาติ มนุสฺสสฺส ภาโว = มนุสฺสตฺต อ. ความเป็น แห่งมนุษย์ ชื่อ มนุสสัตตะ.
ในทัพพะ ทณฺฑิโน ภาโว = ทณฑฺ ติ ตฺ อ.ความเป็น แห่งคนมีไมเ้ ทา้ ชื่อทณั ฑิตตะ.
ในกิริยา ปาจกสฺส ภาโว = ปาจกตตฺ อ. ความเป็น แห่งคนหุง ชื่อ ปาจกตั ตะ.
ในคณุ นีลสฺส ภาโว = นลี ตตฺ อ. ความเป็น แห่งของเขียว ชื่อ นีลตั ตะ.
๑๖๐ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
คู่มอื บาลไี วยากรณ์
ศัพท์ทล่ี ง ณฺย ปัจจยั อย่างนี้
(แจกแบบ อ การันตใ์ นนปุงสกลิงค)์
ปณฺฑิตสฺส ภาโว = ปณฺฑิจฺจ อ. ความเป็น แห่งบณั ฑิต ช่ือ ปัณฑิจจะ.
กสุ ลสฺส ภาโว = โกสลลฺ อ. ความเป็น แห่งคนฉลาด ชื่อ โกสัลละ.
สมณสฺส ภาโว = สามญญฺ í อ. ความเป็น แห่งสมณะ ช่ือ สามญั ญะ.
สุหทสฺส ภาโว = โสหชฺช อ. ความเป็ น แห่งเพื่อน (คนมใี จดี) ช่ือโสหชั ชะ.
ปุริสสฺส ภาโว = โปริสฺส อ. ความเป็น แห่งบุรุษ ชื่อ โปริสสะ.
นิปกสฺส ภาโว = เนปกกฺ อ. ความเป็น แห่งคนมีปัญญา ชื่อ เนปักกะ.
อปุ มาย ภาโว = โอปมฺม อ. ความเป็น แห่งอปุ มา ช่ือ โอปัมมะ.
ในสัททนตี วิ ่า ศัพท์ คือ
วริ ิย อ. ความเป็นผกู้ ลา้ (ความเพยี ร) ลง ณิย ปัจจยั .
อาลสิย อ. ความเป็นผเู้ กียจคร้าน ลง ณิย ปัจจยั .
โสเจยฺย อ. ความเป็นของสะอาด ลง เณยฺย ปัจจยั .
ทาสพยฺ อ. ความเป็นทาส ลง พยฺ ปัจจยั .
ศัพท์ท่ลี ง ตฺตน ปัจจยั มี ๒ ศัพท์เท่าน้นั คือ
(แจกแบบ อ การันตใ์ นนปงุ สกลิงค)์
ปถุ ุชฺชนตฺตน อ. ความเป็นปุถชุ น, เวทนตฺตน อ. ความเป็นผมู้ ีเวทนา.
ศัพท์ท่ีลง ตา ปัจจยั อย่างนี้
(แจกแบบ อา การันตใ์ นอติ ถีลิงค)์
มทุ โุ น ภาโว = มุทตุ า อ.ความเป็น แห่งคนอ่อน (คนใจอ่อน) ชื่อ มทุ ตุ า.
นิทฺทารามสฺส ภาโว = นิทฺทารามตา อ. ความเป็น แห่งคนมีความหลบั
เป็นท่ีมายนิ ดี ช่ือ นิทฺทารามตา.
สหายสฺส ภาโว = สหายตา อ. ความเป็น แห่งสหาย ช่ือ สหายตา.
คู่มือบาลไี วยากรณ์ ๑๖๑
สานกั เรยี นวัดโสธรวราราม
ศัพท์ท่ีลง ณ ปัจจัย อย่างนี้
(แจกแบบ อ การันตใ์ นนปุงสกลิงค)์
วสิ มสฺส ภาโว = เวสม อ.ความเป็น แห่งของเสมอปราศ (ไม่เสมอ) ชื่อ เวสมะ.
สุจิโน ภาโว = โสจ อ.ความเป็น แห่งของสะอาด ช่ือ โสจะ.
มุทโุ น ภาโว = มทฺทว อ.ความเป็น แห่งคนอ่อน ช่ือ มทั ทวะ.
ศัพท์ทล่ี ง กณฺ ปัจจยั อย่างนี้
(แจกแบบ อ การันตใ์ นนปุงสกลิงค)์
รมณียสฺส ภาโว = รามณยี ก อ.ความเป็น แห่งของอนั บคุ คลพึงยนิ ดี ช่ือ รามณียกะ
มนุญฺญสฺส ภาโว = มานุญฺญก อ. ความเป็น แห่งของท่ีเป็นที่ฟูใจ ชื่อมานุญญกะ.
ข้อควรจา :- (ใหท้ ่องจา)
ตฺต, ณยฺ , ตฺตน, ณ, กณฺ ปัจจยั เป็น นปุงสกลงิ ค์ (แจกอยา่ ง กุล),
ตา ปัจจัย เป็น อติ ถีลงิ ค์ (แจกอยา่ ง กญฺญา),
ภาว ศัพท์ เป็น ปíลุ งิ ค์ (แจกอยา่ ง ปุริส) มีวิธีแปล ดงั น้ี
(๑) ลงหลงั นามนาม แปลวา่ ความเป็ นแห่ง...
(๒) ลงหลงั คณุ นาม, นามกิตก์ (เวน้ ภาวรูป ภาวสาธนะ)
แปลวา่ ความทแ่ี ห่ง... เป็ น...
(๓) ลงหลงั กิริยากิตก์ (ต ปัจจยั ) ถา้ เป็น สกมั มธาตุ แปลวา่ ความทแ่ี ห่ง.
เป็ น...อนั ..แล้ว, ถา้ เป็น อกมั มธาตุ แปลวา่ ความที่แห่ง...เป็ น...แล้ว.
(๔) ลงหลงั ยุ ปัจจยั (ภาวรูป ภาวสาธนะ) แปลวา่ ความเป็ น คือ อนั ...
(๕) ลงหลงั อตฺถ,ิ นตฺถิ แปลวา่ ความทแี่ ห่ง...มีอยู่,ความท่แี ห่ง...ไม่มอี ย่.ู
๑๖๒ สำนกั เรียนวัดโสธรวราราม
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์
อพั ยยีภาวตัทธิต
มปี ัจจัย ๒ ตัว คือ ถา, ถ
ถา ปัจจัย ใชล้ งใน ประการ หลงั สัพพนาม อยา่ งน้ี
ยถา ประการใด, ตถา ประการน้นั , สพพฺ ถา ประการท้งั ปวง เป็นตน้ .
ถ ปัจจัย ใชล้ งใน ประการ หลงั กึ และ อมิ อยา่ งน้ี
กถ ประการไร, อยา่ งไร, อติ ฺถ ประการน้ี, อยา่ งน้ี.
ข้อควรจา :-
๑. โคตตตัทธติ , สมหุ ตทั ธิต, ภาวตทั ธติ เป็นตทั ธิตนามนาม
นอกน้นั เป็นตทั ธิตคุณนาม (เวน้ วิภาคตทั ธิต และอพั ยยตทั ธิต)
๒. วภิ าคตัทธิต (ออกสาเนียงตติยาวิภตั ติ) และอพั ยยตัทธิต เป็นอลิงค์
แจกดว้ ยวภิ ตั ตินามไม่ได้ เป็นอพั ยยศพั ท.์
อปุ มาตัทธติ
มีปัจจัย ๑ ตัว คือ อายิตตฺต อ.ุ ดงั นี้
อายติ ตฺต ปัจจยั ในอปุ มาตทั ธิต ใชแ้ ทน วิย ทิสฺสติ แปลวา่ ยอ่ มปรากฏ
ราวกะวา่ ... เช่น
ธูมายติ ตฺต (วตฺถุ) ปรากฎราวกะวา่ ควนั
นิสสิตตทั ธิต
มีปัจจัย ๑ ตวั คือ ล อ.ุ ดงั นี้
ล ปัจจยั ในนิสสิตตทั ธิต ใชแ้ ทน นิสฺสิต, °าน ศพั ท,์ นิสฺสิต แปลวา่
อาศยั แลว้ ส่วน °าน แปลว่า เป็นที่ต้งั เช่น
เวทลฺล (สาสน) อาศยั แลว้ ซ่ึงเวท / เป็นท่ีต้งั แห่งเวท
ทฏุ ฺ°ลฺลí (กมฺม) อาศยั แลว้ ซ่ึงวตั ถอุ นั ชวั่ / เป็นท่ีต้งั แห่งวตั ถอุ นั ชว่ั
จบตัทธติ
คูม่ ือบาลีไวยากรณ์ ๑๖๓
สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
หลกั การแปลมคธเป็ นไทย ๙ ประการ
***********
การแปลมคธเป็นไทย มีหลกั การแปลไปตามลาดบั ดงั ต่อไปน้ี
๑. อาลปนะ (ถา้ มี) อาลปนะมีอยู่ ๒ อยา่ ง คือ
๑) อาลปนะนาม เช่น ปุริส, เสฏฺฐิ ฯเปฯ
๒) อาลปนะนิบาต เช่น ภนฺเต, อาวุโสฯเปฯ ถา้ มาพร้อมกนั ใหแ้ ปล
อาลปนะนาม ก่อนอาลปนะนิบาต เช่น (อานนฺท อาวโุ ส) ดูก่อนอานนท์ ผมู้ ีอายุ
๒. นิบาตต้นข้อความ (ถา้ มี) จาพวก กิร, ขลุ, สุท, หนฺท, ตคฺฆ, อิงฺฆ,
อาม, สเจ, เจ, อถ, ยทิ, ยนฺนูน, อปฺเปวนาม, หิ, จ, ปน, ตุ, ฯเปฯ
๓. บทกาลสัตตมี (ถา้ มี) ท่ีข้ึนตน้ ขอ้ ความจาพวก อิทานิ, อถ, อชฺช ฯเปฯ
๔. บทประธานของประโยค (ไม่มีตอ้ งโยคข้นึ มา) บทนามนาม ปุริส
สัพพนามที่ประกอบดว้ ยปฐมาวภิ ตั ติ ท้งั ๓ ลิงค์ ๒ วจนะ เช่น
ปรุ ิโส - ปุริสา, กญฺญา - กญฺญาโย, กลุ - กลุ านิ, โส - เต, ตฺว - ตมุ ฺเห,
อห - มย ฯเปฯ หรือบทท่ีประกอบดว้ ย ตุí ปัจจยั เช่น กาตุí, คนฺตíุ และกาลสัตตมี
เช่น อิทานิ, อชฺช, ฯเปฯ ที่ใชเ้ ป็นประธานของประโยคได้
๕. บทท่ีเน่ืองด้วยบทประธาน (ถา้ มี)
๖. กริ ิยาในระหว่าง (ถา้ มี)
๗. บททเี่ นื่องด้วยกริ ิยาในระหว่าง (ถา้ มี)
๘. กริ ิยาคมุ พากย์ (ตอ้ งมี ยกเวน้ ประโยคลิงคตั ถะ)
๙. บททเี่ นื่องด้วยกริ ิยาคุมพากย์ (ถา้ มี)
หมายเหตุ อาลปนะ (คาสาหรับร้องเรียก) และปุริสสัพพนาม ที่เป็ นมธั ยม
บุรุษ, อุตตมบุรุษ (อมฺห, ตุมฺห ศพั ท)์ จะมีเฉพาะประโยคเลขในเทา่ น้นั
๑๖๔ สำนกั เรียนวดั โสธรวราราม
คู่มอื บาลไี วยากรณ์
หลกั สัมพนั ธ์ (สาหรับท่องจา)
๑. บทนามทปี่ ระกอบด้วยปฐมาวภิ ตั ตใิ ช้ในอรรถ ๗ อย่าง คือ
๑) เป็นประธานในประโยคท่ีไม่มีกริ ิยาคมุ พากย์ สมั พนั ธ์วา่ ลงิ คฺ ตฺถ
๒) เป็นประธานในประโยคที่เป็ นอุปมา สมั พนั ธว์ า่ อุปมาลงิ คฺ ตฺถ
๓) เป็นประธานในประโยค กตฺตวุ าจก สมั พนั ธ์วา่ สยกตฺตา
๔) เป็นประธานในประโยค เหตุกตฺตวุ าจก สมั พนั ธว์ า่ เหตกุ ตฺตา
๕) เป็นประธานในประโยค เหตุกมฺมวาจก, กมฺมวาจก สัมพนั ธ์วา่ วุตฺตกมฺม
๖) บทประธานที่ประกอบดว้ ย ตุ ปัจจยั แปลวา่ อ. อนั .. สัมพนั ธว์ า่ ตมุ ตฺถกตฺตา
๗) เป็นประธานในประโยคกิริยาปธานนัย(ตฺวา คมุ พากษ)์ สัมพนั ธ์วา่ ปกติกตฺตา
๒. ทตุ ิยาวภิ ตติสัมพนั ธ์ได้ ๖ อย่าง เข้ากบั กริ ิยา อย่างเดียว คือ
๑) แปลวา่ ซึ่ง เป็นผถู้ กู ทา สัมพนั ธว์ า่ อวตุ ฺตกมฺม
๒) แปลวา่ สู่ เป็นที่ไปถึง สมั พนั ธว์ า่ สมฺปาปุณิยกมฺม
๓) แปลวา่ ยัง เป็นท่ีใหท้ า สมั พนั ธว์ า่ การิตกมฺม
๔) แปลวา่ สิ้น, ตลอด เป็นที่ลุลว่ ง สมั พนั ธ์วา่ อจฺจนฺตสโยค
๕) แปลวา่ กะ, เฉพาะ เป็นที่รับรู้ สัมพนั ธ์วา่ อกถติ กมฺม
๖) แปลไม่ออกสาเนียงทุติยาวภิ ตั ติ สัมพนั ธว์ า่ กริ ิยาวเิ สสน
๓. ตติยาวิภตั ตสิ ัมพนั ธ์ได้ ๖ อย่าง เข้ากบั นาม,กริ ิยา, และอพั ยยศัพท์ คือ
๑) แปลวา่ ด้วย เป็นวตั ถุเคร่ืองทา สัมพนั ธ์วา่ กรณ
๒) แปลวา่ โดย,ตาม,ข้าง เป็นทางเคร่ืองแปลก สัมพนั ธ์วา่ ตติยาวิเสสน
๓) แปลวา่ อนั เป็นผทู้ าและผใู้ ห้ สมั พนั ธว์ า่ อนภิหติ กตฺตา
ค่มู อื บาลไี วยากรณ์ ๑๖๕
สานักเรยี นวัดโสธรวราราม
๔) แปลวา่ เพราะ เป็นเหตุ สมั พนั ธ์วา่ เหตุ
๕) แปลวา่ มี เขา้ กบั นาม, ด้วยท้ัง เขา้ กบั กิริยา เป็นอาการ สมั พนั ธว์ า่ อติ ฺถมฺภูต
๖) แปลวา่ กบั เป็นเครื่องประกอบเขา้ กบั สห, สทธึ ศพั ท์ สมั พนั ธว์ ่า สหตฺถตติยา
๔. จตุตถีวภิ ตั ติ ใช้ในอรรถ ๒ อย่าง เข้ากบั นามบ้าง กริ ิยาบ้าง
(โดยมากเขา้ กริยา) คือ
๑) แปลวา่ แก่, เพ่ือ, ต่อ, แด่ สัมพนั ธว์ า่ สมฺปทาน
๒) แปลวา่ เพื่อ ออกจาก ตุí ปัจจยั สมั พนั ธว์ า่ ตมุ ตถฺ สมฺปทาน
๕. ปัญจมีวิภัตติ ใช้ในอรรถ ๒ อย่าง เข้ากบั นามบ้าง กริ ิยาบ้าง คือ
๑) แปลวา่ แต่, จาก, กว่า สัมพนั ธว์ า่ อปาทาน
๒) แปลวา่ เหต,ุ เพราะ สมั พนั ธ์วา่ เหตุ
๖. ฉัฎฐีวิภตั ติใช้ในอรรถ ๖ อย่าง เข้ากบั นามอย่างเดียว
๑) แปลวา่ แห่ง, ของ เน่ืองดว้ ยเป็นเจา้ ของ สมั พนั ธ์วา่ สามีสมฺพนฺธ
๒) แปลวา่ ของ เก่ียวเน่ืองอยใู่ นหมู่ สมั พนั ธ์วา่ สมุหสมฺพนฺธ
๓) แปลวา่ แห่ง เขา้ กบั ภาวศพั ท์ ภาวตทั ธิต สัมพนั ธ์วา่ ภาวาทสิ มฺพนฺธ
๔) แปลวา่ เม่ือ เป็นประธานในประโยคท่ีแทรกเขา้ มา
และ (มี อนาทรกริ ิยา รับ) สัมพนั ธ์วา่ อนาทร
๕) แปลวา่ แห่ง แปลถอนออก เป็น แห่ง...หนา
และ (มี นิทฺธารณีย รับ) สัมพนั ธว์ า่ นทิ ฺธารณ
๖) แปลวา่ ซ่ึง แปลหกั ฉัฎฐีวิภตั ติเป็นกรรม สมั พนั ธว์ า่ ฉฏฺ ฐีกมฺม
๑๖๖ สำนกั เรียนวดั โสธรวราราม
คูม่ อื บาลีไวยากรณ์
๗. สัตตมวี ิภตั ติ ใช้ในอรรถ ๑๑ อย่าง เข้ากบั นามบ้าง เข้ากับกริ ิยาบ้าง คือ
๑) แปลวา่ ใน เป็นที่กาบงั สัมพนั ธ์วา่ ปฏิฉนฺนาธาร
๒) แปลวา่ ใน เป็นท่ีซึมซาบ สัมพนั ธ์วา่ พฺยาปิ กาธาร
๓) แปลวา่ ใน เป็นที่อยู่อาศยั สมั พนั ธ์วา่ วิสยาธาร
๔) แปลวา่ เหนือ, บน, ที่ เป็นที่รองรับ สมั พนั ธว์ า่ อปุ สิเลสิกาธาร
๕) แปลวา่ ใกล้, ณ เป็ นที่ใกล้ สัมพนั ธว์ า่ สมีปาธาร
๖) แปลวา่ ใน บอกกาลเวลา สัมพนั ธว์ า่ กาลสตฺตมี
๗) แปลวา่ ในเพราะ เป็นเคร่ืองหมาย สัมพนั ธ์วา่ นมิ ิตฺตสตฺตมี
๘) แปลวา่ คร้ันเมื่อ เป็นประธานในประโยคที่แทรกเขา้ มา
และ (มี ลกขฺ ณวนฺตกริ ิยา รับ) สัมพนั ธว์ า่ ลกฺขณวนฺต
๙) แปลวา่ ใน....หนา เป็นบทแปลถอนออก
และ (มี นิทฺธารณีย รับ) สัมพนั ธว์ า่ นิทธารณ
๑๐) แปลวา่ ใน เป็นคากลาง ๆ ถา้ เขา้ กบั นาม สัมพนั ธว์ า่ ภินฺนาธาร
๑๑) แปลวา่ ใน เป็นคากลาง ๆ ถา้ เขา้ กบั กิริยา สัมพนั ธว์ า่ อาธาร
สัมพนั ธ์บทกริ ิยาคมุ พากย์
กริ ิยาคมุ พากย์ที่เป็ น อาขยฺ าต เรียกชื่อตามวาจกท้งั ๕ คือ
๑. กิริยาท่ีเป็น กตฺตวุ าจก สัมพนั ธว์ า่ อาขฺยาตบท กตฺตวุ าจก
๒. กิริยาที่เป็น กมฺมวาจก สัมพนั ธว์ า่ อาขฺยาตบท กมฺมวาจก
๓. กิริยาท่ีเป็น เหตกุ ตฺตุวาจก สมั พนั ธว์ า่ อาขฺยาตบท เหตุกตฺตุวาจก
๔. กิริยาท่ีเป็น เหตกุ มฺมวาจก สมั พนั ธ์วา่ อาขฺยาตบท เหตุกมฺมวาจก
๕. กิริยาที่เป็น ภาววาจก สัมพนั ธว์ า่ อาขยฺ าตบท ภาววาจก
คมู่ อื บาลไี วยากรณ์ ๑๖๗
สานกั เรียนวัดโสธรวราราม
สัมพนั ธ์บทกริ ิยาคุมพากย์ทเี่ ป็ นกริ ิยากติ ก์
กริ ิยากติ ก์ท่ลี ง อนีย, ตพพฺ , ต ปัจจัย ใช้คมุ พากย์ เรียกช่ือ ตามวาจกท้ัง ๕ คือ
๑. กิริยาท่ีเป็น กตฺตวุ าจก สัมพนั ธ์วา่ กติ บท กตฺตวุ าจก
๒. กิริยาท่ีเป็น กมฺมวาจก สมั พนั ธ์วา่ กติ บท กมฺมวาจก
๓. กิริยาที่เป็น เหตุกตฺตวุ าจก สมั พนั ธ์วา่ กติ บท เหตุกตฺตวุ าจก
๔. กิริยาที่เป็น เหตุกมฺมวาจก สมั พนั ธว์ า่ กติ บท เหตกุ มฺมวาจก
๕. กิริยาที่เป็น ภาววาจก สัมพนั ธ์วา่ กติ บท ภาววาจก
หลกั สัมพนั ธ์นิบาต
๑. หิ แปลวา่ ดงั จะกลา่ วโดยพสิ ดาร สัมพนั ธ์วา่ วติ ฺถารโชตก
๒. หิ แปลวา่ ดงั จะกล่าวโดยยอ่ สมั พนั ธว์ า่ สงเฺ ขปโชตก
๓. ห,ิ จ, ปน แปลวา่ ก็ สมั พนั ธว์ า่ วากยฺ ารมฺภ (วากยฺ ารมฺภโชตก)
๔. หิ แปลวา่ เพราะวา่ สมั พนั ธ์วา่ เหตุโชตก
๕. ห,ิ จ, ปน แปลวา่ ดว้ ยวา่ สัมพนั ธ์วา่ ผลโชตก
๖. ห,ิ จ, ปน แปลวา่ แตว่ า่ , ก็แต่วา่ สมั พนั ธ์วา่ วเิ สสโชตก
๗. ห,ิ ปน แปลวา่ เหมือนอยา่ งวา่ สัมพนั ธ์วา่ ตปฺปาฏิกรณโชตก
๘. ห,ิ จ, ปน แปลวา่ ก็, แล ทาบทในคาถาให้เตม็ สัมพนั ธว์ า่ ปทปูรณ
๙. หิ, จ แปลวา่ จริงอย,ู่ แทจ้ ริง สมั พนั ธ์วา่ ทฬฺหกี รณโชตก
๑๐. จ, ปน, ตุ แปลวา่ ส่วนวา่ , ฝ่ายวา่ สมั พนั ธ์วา่ ปกฺขนฺตรโชตก
๑๑. จ แปลวา่ ดว้ ย ใชค้ วบพากย์ สมั พนั ธ์วา่ วากฺยสมุจฺจยตถฺ
๑๒. จ แปลวา่ ดว้ ย ใชค้ วบบท สัมพนั ธว์ า่ ปทสมุจฺจยตฺถ
๑๓. จ แปลวา่ อน่ึง สัมพนั ธว์ า่ สมฺปิ ณฑฺ นตฺถ
๑๔. วา แปลวา่ หรือ, หรือวา่ ใชค้ วบพากย์ สัมพนั ธ์วา่ วากยฺ วิกปฺปตฺถ
๑๖๘ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คูม่ อื บาลีไวยากรณ์
๑๕. วา แปลวา่ หรือ,หรือวา่ ใชค้ วบบท สมั พนั ธว์ า่ ปทวกิ ปปฺ ตถฺ
๑๖. อปิ จ, วา, อถวา แปลวา่ เออ, ก,็ อีกอยา่ งหน่ึง สัมพนั ธ์วา่ อปรนัย
๑๗. สเจ, เจ, ยทิ แปลวา่ ถา้ วา่ , หากวา่ , ผิวา่ สมั พนั ธ์วา่ ปริกปฺปตฺถ
๑๘. ยนฺนูน, อปเฺ ปวนาม แปลว่า กระไรหนอ, ช่ือแมไ้ ฉน สัมพนั ธว์ า่ ปริกปฺปตฺถ
๑๙. ยนฺนูน แปลวา่ กระไรหนอ ใชใ้ นความเทียบเคียงสงสยั สมั พนั ธว์ า่ ปริตกฺกนตถฺ
๒๐. ยนฺนูน แปลวา่ กระไรหนอ ใชใ้ นความสละสลวย สัมพนั ธว์ า่ วจนสิลิฏฺ °ก
๒๑. ปนุ , ปนุ ปฺปุน, เอว แปลวา่ อีก, บอ่ ย ๆ, อยา่ งน้ี สมั พนั ธ์วา่ กริ ิยาวเิ สสน
๒๒. กญิ จฺ าปิ , ยทิปิ , กาม แปลวา่ แมก้ จ็ ริง สมั พนั ธว์ า่ อนุคฺคหตฺถ
๒๓. ตถาปิ , ปน แปลวา่ ถึงอยา่ งน้นั สมั พนั ธว์ า่ อรุจสิ ูจนตฺถ
๒๔. อถโข แปลวา่ โดยแทแ้ ล สัมพนั ธว์ า่ อรุจสิ ูจนตฺถ
๒๕. ตถา แปลวา่ เหมือนอยา่ งน้นั สัมพนั ธ์วา่ กริ ิยาวิเสสน
๒๖. วิย, อวิ แปลวา่ ราวกะ, เพยี งดงั สัมพนั ธ์วา่ อุปมาโชตก
๒๗. ยถา, เสยยฺ ถาปิ แปลวา่ ฉนั ใด, แมฉ้ นั ใด สัมพนั ธ์วา่ อุปมาโชตก
๒๘. ตถา, เอว แปลวา่ ฉนั น้นั สมั พนั ธ์วา่ อุปเมยฺยโชตก
๒๙. กริ , ขลุ, สุท แปลวา่ ไดย้ นิ วา่ สมั พนั ธว์ า่ อนุสฺสวนตฺถ
๓๐. ก,ึ กถ, กจิ ฺจิ, นุ, นนุ, อทุ าหุ แปลวา่ ทาไม,
อยา่ งไร, แลหรือ, หนอ, มิใช่หรือ, หรือวา่ สมั พนั ธ์วา่ ปจุ ฺฉนตฺถ
๓๑. อาม แปลวา่ เออ สัมพนั ธ์วา่ สมฺปฏจิ ฺฉนตฺถ
๓๒. หนฺท แปลวา่ เชิญเถิด สัมพนั ธว์ า่ อุยโฺ ยชนตฺถ
๓๓. เตนหิ แปลวา่ ถา้ อยา่ งน้นั สัมพนั ธว์ า่ วภิ ตฺตปิ ฏิรูปก
๓๔. อโห, วต แปลวา่ โอ! หนอ ใชใ้ นความสลดใจ สัมพนั ธว์ า่ สเวคตฺถ
๓๕. อโห, วต แปลวา่ โอ! หนอ ใชใ้ นความประหลาดใจ สัมพนั ธว์ า่ อจฺฉริยตฺถ
คู่มือบาลีไวยากรณ์ ๑๖๙
สานักเรยี นวัดโสธรวราราม
๓๖. ว, เอว แปลวา่ เทียว, นนั่ เทียว สัมพนั ธ์วา่ อวธารณ
๓๗. ปิ , อปิ แปลวา่ แม,้ บา้ ง สัมพนั ธว์ า่ อเปกฺขตฺถ
๓๘. สห, สทฺธึ แปลวา่ พร้อม, กบั เขา้ กบั นาม สัมพนั ธว์ า่ ทพพฺ สมวาย
๓๙. สห, สทฺธึ แปลวา่ พร้อม, กบั เขา้ กบั กิริยา สมั พนั ธว์ า่ กริ ิยาสมวาย
๔๐. ตตยิ าวภิ ตั ติ แปลวา่ ดว้ ย เขา้ กบั สห, สทฺธึ สัมพนั ธ์วา่ สหตฺถตตยิ า
๔๑. น, โน, มา แปลวา่ ไม,่ อยา่ เขา้ กบั กิริยา สัมพนั ธว์ า่ ปฏเิ สธ
๔๒. น, โน แปลวา่ หามิได้ ปฏเิ สธท้งั ประโยค สัมพนั ธ์วา่ ปฏเิ สธนตฺถ
๔๓. อญฺญตฺร แปลวา่ เวน้ ถา้ เขา้ กบั กิริยา สัมพนั ธ์วา่ กริ ิยาวิเสสน
๔๔. อญฺญตฺร แปลวา่ เวน้ ถา้ เขา้ กบั นาม สัมพนั ธว์ า่ วิเสสน
๔๕. สกกฺ จฺจ, สจฺจ แปลวา่ โดยความเคารพ, จริงหรือ
เขา้ กบั กิริยา สัมพนั ธว์ า่ กริ ิยาวิเสสน
๔๖. เอกโต แปลวา่ โดยความเป็นอนั เดียวกนั สมั พนั ธ์วา่ ตตยิ าวิเสสน
๔๗. มญฺเญ แปลวา่ เห็นจะ อนุมานขอ้ ความ สมั พนั ธ์วา่ สสยตฺถ
๔๘. ยถา แปลวา่ โดยประการใด สัมพนั ธว์ า่ ปการตฺถ
๔๙. ตถา แปลวา่ โดยประการน้นั สมั พนั ธว์ า่ ปการตฺถ
๕๐. อชฺช, อทิ านิ, ตทา แปลวา่ อ.วนั น้ี, อ.บดั น้ี,
อ.กาลน้นั สมั พนั ธว์ า่ สตฺตมีปจฺจตฺตสยกตฺตา
๕๑. เอว แปลวา่ อ.อยา่ งน้นั สัมพนั ธว์ า่ สจฺจวาจกลงิ คฺ ตฺถ
๕๒. อล แปลวา่ อ.พอละ สมั พนั ธ์วา่ ปฏิเสธลงิ ฺคตฺถ
๕๓. อล แปลวา่ เป็นของเพยี งพอ สัมพนั ธ์วา่ วกิ ตกิ ตฺตา
๕๔. สกกฺ า แปลวา่ อาจ เป็นภาววาจก สมั พนั ธว์ า่ กริ ิยาบท ภาววาจก
๕๕. สกกฺ า แปลวา่ อาจ เป็นกมั มวาจก สัมพนั ธว์ า่ กิริยาบท กมั มวาจก
๑๗๐ สำนักเรียนวดั โสธรวราราม
ค่มู ือบาลไี วยากรณ์
๕๖. สาธุ แปลวา่ อ.ดีละ สัมพนั ธว์ า่ ลงิ ฺคตฺถ
๕๗. ห,ิ ต, โข แปลวา่ แล สมั พนั ธว์ า่ วจนาลงฺการ
๕๘. นิบาตที่รวมกนั อยู่ ถา้ แปลพร้อมกนั สัมพนั ธว์ า่ นิปาตสมุห
๕๙. นิบาตบอกอาลปนะท้งั ปวง เช่น ภนฺเต เป็นตน้ สัมพนั ธ์วา่ อาลปน
๖๐. นิบาตบอกกาลท้งั ปวง เช่น ปาโต, สาย เป็นตน้ สมั พนั ธว์ า่ กาลสตฺตมี
๖๑. นิบาตบอกท่ีท้งั ปวง เช่น อนฺโต, พหิ เป็นตน้ สัมพนั ธ์วา่ อาธาร
๖๒. นิบาตบอกปริเฉทท้งั หมด เช่น ยาว, ตาว เป็นตน้ สมั พนั ธว์ า่
กริ ิยาวเิ สสน (ปริจฺเฉทนตฺถ)
๖๓. นิบาตบอกเน้ือความตา่ งๆ เป็นคุณของกิริยา เช่น
สนฺธาย (หมายเอา), อทฺธา (แน่แท)้ เป็นตน้ สมั พนั ธ์วา่ กริ ิยาวิเสสน
๖๔. นามนาม หรือ วเิ สสน แปลว่า วา่ เป็น....... สมั พนั ธ์วา่ สมฺภาวน
หลกั สัมพนั ธ์ของ อนฺต, มาน ปัจจยั
๑. อนฺต, มาน ปัจจยั ประกอบดว้ ยปฐมาวภิ ตั ติ ท่ีเป็น กตั ตวุ าจก และ
เหตกุ ตั ตุวาจก
- ถา้ อยู่หน้าของตวั ประธาน และอยใู่ นฐานะวเิ สสนะ สมั พนั ธ์วา่ วิเสสน
- แตถ่ า้ อย่หู ลงั ของตวั ประธาน สมั พนั ธว์ า่ อพฺภนฺตรกริ ิยา
- กิริยาที่เป็นวาจกอื่น นอกจากวาจกท้งั สอง สมั พนั ธ์วา่ วิเสสน
๒. อนฺต, มาน ปัจจยั ประกอบดว้ ยวภิ ตั ติอ่ืน
- นอกจากปฐมาวภิ ตั ติ สมั พนั ธ์วา่ วิเสสน
- ถา้ เป็นกิริยาของประโยคอนาทร สัมพนั ธว์ า่ อนาทรกริ ิยา
- ถา้ เป็นกิริยาของประโยคลักขณะ สัมพนั ธว์ า่ ลกฺขณวนฺตกริ ิยา
คู่มอื บาลีไวยากรณ์ ๑๗๑
สานกั เรียนวัดโสธรวราราม
กริ ิยากติ ก์ทีใ่ ช้ทั่วไป
กิริยากิตกท์ ่ีประกอบดว้ ยปัจจยั ซ่ึงมิใช่ อพยฺ ย คอื อนฺต, ตวนฺต,ุ ตาว,ี ตพฺพ,
มาน, ต ปัจจยั ประกอบดว้ ยวภิ ตั ติใชเ้ ป็น วิเสสน, วิกติกตฺตา, วกิ ตกิ มฺม
ไดอ้ ยา่ งเดียวกนั กบั คณุ นาม เรื่องชื่อสมั พนั ธเ์ หมือนคณุ นาม
คุณนามใช้สัมพนั ธ์ได้ ๓ อย่าง
๑. เป็นเคร่ืองทานามใหแ้ ปลกจากปกติ แปลวา่ ผ้,ู ม,ี อนั สัมพนั ธ์วา่ วิเสสน
๒. เป็นคุณนาม หรือ เป็นวเิ สสนะ ประกอบดว้ ยปฐมาวภิ ตั ติอยใู่ กลก้ บั หุ, ภู,
อสฺ, ชนฺ ธาตุ ในประโยค กตั ตวุ าจก, เหตุกตั ตวุ าจก หรือประกอบดว้ ย
ตติยาวภิ ตั ติ ในประโยค กมั มวาจก, เหตุกมั มวาจก และภาววาจก
แปลวา่ เป็ น... สัมพนั ธว์ า่ วกิ ติกตฺตา
๓. เป็นคุณนามหรือเป็นวเิ สสนะ ประกอบดว้ ยทตุ ิยาวิภตั ติอยใู่ กลก้ บั กรฺ, จรฺ
ธาตใุ นประโยค กตั ตุวาจก, เหตกุ ตั ตุวาจก หรือประกอบดว้ ยปฐมาวภิ ตั ติ
ในประโยคกมั มวาจก และเหตกุ มั มวาจก
แปลวา่ ให้เป็ น... สมั พนั ธ์วา่ วิกติกมฺม
ถา้ อยใู่ กลก้ บั วจฺ, วทฺ, พฺรู, ทิส, ญา ธาตุ เป็นตน้
แปลวา่ ว่าเป็ น..... , ให้ชื่อว่า..... สมั พนั ธ์วา่ สมฺภาวน
อติ ิ ศัพท์ มีแปล และ สัมพนั ธ์ได้ ๙ อย่าง คือ
๑. อติ ิ แปลวา่ คือ เขา้ กบั นาม สัมพนั ธว์ า่ สรูป
๒. อติ ิ แปลวา่ วา่ ... ดงั น้ี เขา้ กบั นาม สัมพนั ธว์ า่ สรูป
๓. อติ ิ แปลวา่ วา่ ... ดงั น้ี เขา้ กบั กิริยา สมั พนั ธว์ า่ อาการ
๔. อติ ิ แปลวา่ ดว้ ยประการฉะน้ี สัมพนั ธว์ า่ ปการตฺถ
๕. อติ ิ แปลวา่ ดงั น้ีแล สัมพนั ธว์ า่ สมาปนฺน, ปริสมาปนฺน
๑๗๒ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คู่มือบาลีไวยากรณ์
๖. อติ ิ แปลวา่ วา่ ..... ดงั น้ี เป็นตน้ สมั พนั ธ์วา่ สรูป และ อาทยตฺถ
๗. อติ ิ แปลวา่ เพราะเหตนุ ้ี สมั พนั ธ์วา่ นทิ สฺสน
๘. อติ ิ แปลวา่ เพราะเหตุน้นั สัมพนั ธว์ า่ เหตวตฺถ
๙. อติ ิ แปลวา่ ชื่อวา่ สมั พนั ธ์วา่ สญฺญาโชตก
กฎของการสัมพนั ธ์ ตูนาทิ ปัจจยั
ปัจจยั กริ ิยากติ ก์จาพวก ตูนาทิ ปัจจยั มชี ่ือเรียกสัมพนั ธ์ได้หลายอย่าง คือ
๑. ถา้ ใชค้ ุมพากยแ์ ทน ต ปัจจยั หรือแทนกิริยาอาขยาต สัมพนั ธ์ว่า กริ ิยาปธานนัย
๒. ถา้ เป็นกิริยาอยใู่ นระหวา่ งกิริยาบทอ่ืน ทาก่อนแปล
ออกสาเนียงปัจจยั วา่ “แล้ว” สมั พนั ธ์วา่ ปุพพฺ กาลกริ ิยา
๓. ถา้ เป็นกิริยาอยใู่ นระหวา่ งกิริยาบทอ่ืน ทาซ้ากิริยาก่อน
แปลออกสาเนียงปัจจยั วา่ “คร้ัน...แล้ว” สัมพนั ธว์ า่ ปริโยสานกาลกริ ิยา
๔. ถา้ ทาหลงั กิริยาบทอ่ืน คือ หลงั กิริยา ยนื , เดิน, นงั่ , นอน, เกิด
แปลออกสาเนียงปัจจยั วา่ “แล้ว” สมั พนั ธ์วา่ อปรกาลกริ ิยา
๕. แปลไปตามลาดบั หรือทาพร้อมกบั กิริยาบทอ่ืน และ
แปลไม่ออกสาเนียงปัจจยั คือไมม่ ี “แล้ว” สมั พนั ธว์ า่ สมานกาลกริ ิยา
๖. แปลไม่ออกสาเนียงปัจจยั คือไมม่ ี “แล้ว”
แตเ่ น้ือความเกี่ยวขอ้ งกบั บทนาม สมั พนั ธ์วา่ วเิ สสน
๗. แปลไม่ออกสาเนียงปัจจยั คอื ไม่มี “แล้ว”
แตเ่ น้ือความเกี่ยวขอ้ งกบั กิริยา สมั พนั ธ์วา่ กริ ิยาวเิ สสน
๘. แปลไม่ออกสาเนียงปัจจยั คอื ไม่มี “แล้ว”
แต่แปลหนุนวา่ “เพราะ” เขา้ ไปดว้ ย สมั พนั ธว์ า่ เหตุ
คูม่ ือบาลีไวยากรณ์ ๑๗๓
สานักเรยี นวดั โสธรวราราม
บทพเิ ศษ
๑. ย ท่ีบ่งวา่ เป็นวิเสสนะของนาม
และกิริยาท้งั ประโยค สมั พนั ธ์วา่ กริ ิยาปรามาส
๒. ห,ิ ยสฺมา แปลวา่ เหตใุ ด สมั พนั ธว์ า่ กริ ิยาปรามาส
๓. นามนามท่ีเป็นบทแยกจานวนออกไป แปลเพิม่ คาวา่ “คือ”
มีลิงค์ วจนะ วิภตั ติ เสมอกนั กบั บทนาม สมั พนั ธว์ า่ วเิ สสลาภี
๔. บทวิเสสนะที่มีลิงคต์ า่ งกบั บทนาม สัมพนั ธ์วา่ วเิ สสนลงิ คฺ วปิ ลลฺ าส
๕. บทวเิ สสนะที่มีวจนะตา่ งกบั บทนาม สมั พนั ธ์วา่ วิเสสนวจนวิปลฺลาส
๖. นามนามที่เป็นบทแยกจานวนออกไป แปลเพม่ิ คาวา่ “คือ”
มีลิงค์ วจนะ วภิ ตั ติ ไม่เสมอกนั กบั บทนาม สัมพนั ธ์วา่ สรูป
๗. นามท่ีเป็นช่ือ แต่ไมม่ ีนามศพั ทป์ รากฏอยขู่ า้ งหลงั เวลาแปลเพิ่มคาวา่ “ช่ือว่า”
เขา้ มา มีลิงค์ วจนะ วภิ ตั ติเสมอกนั กบั บทนาม สมั พนั ธว์ า่ สญฺญาวเิ สสน
๘. บทนามท่ีมาจากคาถาอยหู่ ลงั แปลเพิม่ คาวา่ “ชื่อว่า”
มีลิงค์ วจนะ วิภตั ติ เสมอกนั กบั บทนาม สัมพนั ธ์วา่ สญฺญาวเิ สสน
๙. บทอธิบายอยหู่ นา้ น้นั เหมือนบทที่มาจากคาถา
บทอธิบายน้นั สมั พนั ธว์ า่ สญฺญี
๑๐. บทที่มาจากคาถาอยหู่ ลงั น้นั แปลเพิม่ คาวา่
“ชื่อว่า” เขา้ มา สัมพนั ธว์ า่ สญฺญา
๑๑. บทที่มาจากคาถาอยหู่ นา้ อา่ นไขวา่ “คือว่า” สัมพนั ธ์วา่ ววิ ริย
๑๒. บทอธิบายอยหู่ ลงั เหมือนบทที่มาจากคาถา
บทอธิบายน้นั สัมพนั ธว์ า่ วิวรณ
๑๗๔ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คมู่ อื บาลีไวยากรณ์
คาเช่ือม
นาม เชื่อมกบั นาม...................................... ใชค้ าเช่ือมวา่ ............. ใน
นาม เชื่อมกบั กริยา..................................... ใชค้ าเช่ือมวา่ ............. ใน
กิริยา เช่ือมกบั กิริยา................................... ใชค้ าเช่ือมวา่ ............. ใน
วิเสสน.......................................................... ใชค้ าเช่ือมวา่ ............. ของ
สญฺญาวิเสสน............................................... ใชค้ าเช่ือมวา่ ............. ของ
กิริยาวเิ สสน................................................. ใชค้ าเชื่อมวา่ ............. ใน
สหตฺถตติยา.................................................. ใชค้ าเช่ือมวา่ ............. เข้ากบั
สญฺญาโชตก................................................. ใชค้ าเชื่อมวา่ ............. เข้ากบั
อวธารณ...................................................... ใชค้ าเชื่อมวา่ ............. เข้ากบั
อเปกฺขตฺถ..................................................... ใชค้ าเชื่อมวา่ ............. เข้ากบั
อพฺภนฺตรกิริยา (เขา้ กบั ประธาน)................. ใชค้ าเช่ือมวา่ .............. ของ
อพฺภนฺตรกิริยา (เขา้ กบั กิริยา).................... ใชค้ าเช่ือมวา่ .............. ใน
หลกั การเดินสัมพนั ธ์
หลกั การเดินสัมพนั ธ์ไทย มีหลกั การสัมพนั ธ์ไปตามลาดบั ดงั น้ี
๑. อาลปนะ (ถา้ มี)
๒. นิบาตตน้ ขอ้ ความ เช่น หิ, จ, ปน, ตุ เป็นตน้ (ถา้ มี)
๓. กาลสัตตมี (ถา้ มี)
๔. วเิ สสนะของประธาน และตวั ประธาน สมั พนั ธเ์ ขา้ กิริยาคุมพากย์ และ
บอกวาจกของประโยค
๕. สัมพนั ธ์ เรียงลาดบั จากซา้ ยไปขวา ไปตามลาดบั จนหมดศพั ทใ์ น
ประโยคน้นั ๆ
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์ ๑๗๕
สานักเรยี นวัดโสธรวราราม
หลกั การแปล ไทยเป็ นมคธ ๓๓ ข้อ
๑. วิธีเรียงความภาษามคธ ไม่เหมือนเรียงภาษาไทย ใช้กลบั กัน เช่น คาไทยว่า
“สาวก ของพระพทุ ธเจ้า” คามคธตอ้ งเรียงกลบั ตรงขา้ มกนั วา่
พุทธฺ สฺส สาวโก ฯ (ของพระพุทธเจา้ สาวก) ฯ
๒. คุณนามของนามนามบทใด ตอ้ งมีลิงค์ วจนะ วิภัตติ เหมือนลิงค์ วจนะ
วิภัตติ ของนามนามบทน้นั เรียงไวห้ นา้ นามนามบทน้นั ดงั น้ี
อุจฺโจ รุกโฺ ข (ตน้ ไมส้ ูง), อจฺเจ รุกฺเข สกณุ า (นกท้งั หลาย บนตน้ ไม้ สูง). ฯ
๓. กิริยากิตก์ ที่ไม่ใช่อพั ยยะ ของนามนามบทใด ตอ้ งมีลิงค์ วจนะ วภิ ัตติ เหมือน
ลิงค์ วจนะ วิภัตติ ของนามนามบทน้นั เหมือนกบั คุณนามที่แสดงมาแลว้ แต่เรียง
ไวห้ ลงั นามนาม ดงั น้ี
ปตุ โฺ ต ชาโต (บตุ ร เกิดแลว้ ), ปิ ตา ตฏุ ฺ โ° (บิดา ยนิ ดีแลว้ ). ฯ
๔. เอกศัพท์ซ่ึงเป็นสังขยา เป็นเอกวจนะอยา่ งเดียว, ต้งั แต่ ทวฺ ิ จนถึง อฏฺ °ารส
เป็ นพหุวจนะอย่างเดียว, ต้งั แต่ เอกูนวีสติ ถึง อฏฺ °นวุติ เป็ นเอกวจนะ อิตถีลิงค์
อย่างเดียว แมเ้ ขา้ กบั ศพั ทท์ ่ีเป็ นพหุวจนะลิงค์อื่น ก็คงอยอู่ ยา่ งน้นั ไม่เปลี่ยนไปตาม
ดงั น้ี
เอโก ชโน (ชน ผเู้ ดียว), เทวฺ ชนา (ชนท้งั หลาย ๒), ปญจฺ ตฺตึสาย
ชนานí ลาโภ อปุ ฺปนฺโน (ลาภ เกิดข้ึนแลว้ แก่ชนท้งั หลาย ๓๕). ฯ
๕. ปุริสสัพพนาม ประถมบุรุษ ใช้แทนนามนามบทใดต้องมีลิงค์ และ วจนะ
เหมือนลิงค์ และวจนะ ของนามนามบทน้นั ส่วนวิภตั ติน้นั เหมือนกนั ก็ได้ ต่างกนั ก็
ได้ ดงั น้ี.
เอโก อยุ ยฺ าเน รุกโฺ ข, โส วาเตน ปหโต, ตสฺส ปณณฺ านิ ปติตานิ. ตน้ ไม้
ในสวน ต้นหน่ึง, ต้นไม้น้ัน อันลม กระทบแล้ว, ใบท้ังหลาย ของต้นไม้น้ัน
หลน่ แลว้ ฯ
๑๗๖
คู่มอื บาลไี วยากรณ์ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
๖. เต, เม, โว, โน, มธั ยมบุรุษ และอตุ ตมบุรุษ สัพพนามน้นั ตอ้ งมีบทอื่นนาหน้า
ก่อน จึงใชไ้ ด้ (หา้ มเรียงไวเ้ ป็นลาดบั ท่ี ๑) เช่น
อาจริโย โน (อาจารย์ ของขา้ ท.), อยนฺเต ปตฺโต (น้ี บาตร ของเจา้ ) ฯ
๗. วิเสสนสัพพนาม ของนามนามบทใด ตอ้ งมีลิงค์ วจนะ วิภัตติ เหมือน ลิงค์
วจนะ วิภตั ติ ของนามนามบทน้นั เรียงไวข้ า้ งหนา้ แห่งนามนามบทน้นั ดงั น้ี
ยสฺมึ ภควติ มย อภปิ ฺปสนฺนา, ต ภควนฺต สรณ คตา. (เรา ท. เล่ือมใส
ยงิ่ แลว้ ในพระผมู้ ีพระภาค ใด, เรา ท. ถึงแลว้ ซ่ึงพระผมู้ ีพระภาคน้นั เป็นท่ีระลึก.) ฯ
ถา้ ไม่ใชน้ ามนาม เป็นแตใ่ ชล้ ิงคเ์ ท่าน้นั จะไมเ่ รียงนามนามไวด้ ว้ ยกไ็ ด้
ดงั น้ี ยสฺส ลาโภ อปุ ปฺ นฺโน, ตสฺส อลาโภ อปุ ปฺ นฺโน. (ลาภ เกิดข้นึ แลว้
แก่ผใู้ ด, ความไม่มีลาภ เกิดข้นึ แลว้ แก่ผนู้ ้นั .)
ยสฺสา ปุตโฺ ต ชาโต, สา ตุฏฺ °า. (บุตรของหญิงใด เกิดแลว้ . หญิงน้นั
ยนิ ดีแลว้ ) ฯ
๘. กิริยาอาขยาต ของนามนาม หรือ ของปรุ ิสสัพพนาม บทใด ตอ้ งมีวจนะ และ
บรุ ุษ เหมือนวจนะ และบรุ ุษของนามนาม หรือ ของปุริสสัพพนาม บทน้นั ดงั น้ี
- กิริยาอาขยาตน้ี เรียงไวใ้ นท่ีสุดประโยค เช่น
ชโน ยาติ (ชน ไป) ชนา ยนฺติ (ชน ท.ไป) โส ยาติ (เขา ไป)
เต ยนฺติ (เขา ท. ไป) ตฺว ยาสิ (ทา่ น ไป) ตุมเฺ ห ยาถ (ทา่ น ท.ไป)
อห ยามิ (เรา ไป) มย ยาม (เรา ท. ไป)
- บางทีก็เรียงไวห้ นา้ ประโยค เช่น สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ. (ทา่ นผเู้ จริญ
ขอสงฆจ์ งฟัง ขา้ พเจา้ )
- วธิ ีใชม้ ธั ยมบรุ ุษ และอตุ ตมบรุ ุษ จะไม่เขียนตวั ประธานลงดว้ ยกไ็ ด้
แตต่ อ้ งใชก้ ิริยาใหถ้ ูกตามวจนะ และบุรุษ ดงั น้ี
กตรสฺมึ อาวาเส วสฺส วสสิ. (ท่าน อยตู่ ลอดพรรษา ในอาวาสไหน ?)
ปวรนเิ วเส วสฺส วสาม.ิ (ขา้ พเจา้ อยู่ ตลอดพรรษา ในวนั บวรนิเวศ) ฯ
๑๗๗
คู่มือบาลีไวยากรณ์ สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
๙. คุณนาม ที่เนื่องดว้ ยกิริยา วา่ มี ว่าเป็ น เรียงไวห้ ลงั นามนาม ซ่ึงเป็ นเจา้ ของ
หนา้ กิริยา วา่ มี วา่ เป็ น น้นั ดงั น้ี
สุคนฺธ ปปุ ฺผ สพเฺ พส มนาป โหติ. (ดอกไม้ หอม เป็นที่ชอบใจ ของชน
ท้งั หลายท้งั ปวง).
แมจ้ ะไมเ่ รียงกิริยาไวด้ ว้ ยก็ได้ ดงั น้ี
อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ. (ตนแล เป็นที่พ่งึ ของตน) ฯ
๑๐. นามนาม ที่ใชเ้ ป็นคุณนาม ตอ้ งมีวจนะ และวิภตั ติ เหมือนนามนาม ท่ีเป็น
เจา้ ของ แตล่ ิงคน์ ้นั คงอยตู่ ามเดิม คือศพั ทเ์ ดิมเป็นลิงคอ์ ะไร กค็ งเป็นลิงคน์ ้นั ดงั น้ี
พทุ ฺโธ เม วร สรณ. (พระพุทธเจา้ เป็นท่ีพ่งึ อนั ประเสริฐ ของเรา) ฯ
๑๑. กิริยากิตก์ ที่ไม่ใช่อพั ยยะ ถา้ มีกิริยา ว่ามี ว่าเป็ น อยหู่ ลงั เขา้ กบั กิริยา ว่ามี
ว่าเป็ น น้นั ใชเ้ หมือนกิริยาอาขยาต ซ่ึงมีธาตอุ ยา่ งเดียวกบั กิริยากิตกน์ ้นั เช่น
เสฏฺ °โÔ น ลาโภ อุปปฺ นฺโน โหติ. มีเน้ือความเป็นอยา่ งเดียวกนั กบั
เสฏฺ °โÔ น ลาโภ อปุ ปฺ ชฺชต.ิ ฯ
๑๒. ถา้ มีข้อความเรื่องอ่ืน แทรกเขา้ มาในระหวา่ งแห่งประโยค, นามนาม ท่ีเป็น
ประธานในข้อความน้นั ตอ้ งประกอบเป็นฉัฏฐี หรือสัตตมวี ิภตั ติ, กิริยาของนามนาม
บทน้ันเป็ นกิริยากิตก์ (ต, อนฺต, มาน ปัจจัย) มีลิงค์ วจนะ วิภัตติ เหมือน ลิงค์
วจนะ วิภัตติ ของนามนามบทน้นั แทรกเขา้ มาในท่ีไหน กเ็ รียงไวใ้ นที่น้นั ดงั น้ี
สุริเย อตฺถงคฺ เต, จนฺโท อคุ ฺคจฺฉติ. (คร้ันเมื่อพระอาทิตย์ ตกแลว้ ,
พระจนั ทร์ ข้นึ ไปอย)ู่ .
ทารกสฺส รุทนฺตสฺส, ปิ ตา ปพพฺ ชิ. (เมื่อเด็ก ร้องใหอ้ ย,ู่ พอ่ บวชแลว้ ) ฯ
๑๓. ในเน้ือความหน่ึงประโยค ถา้ มีกิริยาหลายตวั ต่อเน่ืองกนั โดยมากใชก้ ิริยา
อาขยาตวางไวต้ วั สุดทา้ ย (กิริยาคุมพากย์) ส่วนกิริยาขา้ งหนา้ (กิริยาในระหว่าง) ใช้
กิริยากิตกท์ ่ีเป็นอัพยยะบา้ ง ไม่เป็นอัพยยะบา้ งท้งั สิ้น แต่ท่ีใชก้ ิริยากิตกท์ ี่เป็นอพั ยยะ
คือ กิริยาท่ีลง ตวฺ า ปัจจยั มากกวา่ อยา่ งอ่ืน ดงั น้ี:
๑๗๘
คู่มือบาลีไวยากรณ์ สำนักเรียนวดั โสธรวราราม
สพฺเพ สกุณา ปุพฺพณฺเห อตฺตโน กุลาวกา นิกฺขมิตฺวา สกล ทิวส
จริตฺวา สายณฺเห ปฏินิวตฺตนฺติ. (นก ท. ท้งั ปวง ออกแลว้ จากรัง ของตน ๆ ใน
เวลาเชา้ เที่ยวไปแลว้ ตลอดวนั ท้งั สิ้น กลบั คนื มา ในเวลาเยน็ ) ฯ
๑๔. ศพั ทท์ ่ีเป็ นอพั ยยะ คือ นิบาตและปัจจัย บางเหล่า ไม่ตอ้ งแจกวิภตั ติอย่าง
ใดอยา่ งหน่ึง เรียงลงตามรูปศพั ทเ์ ดิม ดงั น้ี
สเจ ปาป น กเรยฺยาสิ, สุข ลภิสฺสสิ. (ถา้ เจา้ ไม่พงึ ทา ซ่ึงบาป, เจา้
จกั ได้ ซ่ึงสุข). ฯ
๑๕. นิบาตท่ีเป็นตน้ ขอ้ ความ มกั เรียงไวเ้ ป็นศพั ทท์ ี่ ๒ ในขอ้ ความอนั น้นั (หา้ ม
เรียงไวเ้ ป็นท่ี ๑) ดงั น้ี:
กหุ ึ ปน ตฺว วสสิ. (ก็ เจา้ อยทู่ ่ีไหน ?) ฯ
๑๖. อาลปนะ ตามสานวนบาลี เรียงไวเ้ ป็นท่ี ๒ ในขอ้ ความอนั น้นั ดงั น้ี
สงฆฺ ภนฺเต อุปสมฺปท ยาจาม.ิ (ขา้ แตท่ ่านผเู้ จริญ ขา้ พเจา้ ขอ
ซ่ึงอปุ สมบท กะสงฆ.์ )
- ถา้ มีสัพพนามหรือ นิบาตอยู่ ใหเ้ รียงอาลปนะไว้ เป็นที่ ๓ บา้ ง เป็นท่ี ๔
บา้ ง ดงั น้ี ธมฺม หิ โว ภกิ ฺขเว เทเสสฺสาม.ิ (แน่ะภิกษุ ท. เรา จกั แสดง ซ่ึงธรรม
แก่ท่าน ท.)
กหุ ึ ปน ตวฺ อาวุโส วสฺส วตุ โฺ ถ. (ดูก่อนผมู้ ีอายุ ก็ ทา่ น อยตู่ ลอด
พรรษาแลว้ ในท่ีไหน ?) ฯ
- ตามสานวนอรรถกถา เรียงอาลปนะไวข้ า้ งตน้ ประโยคบา้ ง ในที่สุดแห่ง
ประโยคบา้ ง ดงั น้ี
ภนฺเต ม มา นาเสถ. (ขา้ แตท่ า่ นผเู้ จริญ ขอทา่ น ท. อยา่ ยงั ขา้ พเจา้
ใหฉ้ ิบหาย.)
เอว กโรหิ มหาราช. (ขา้ แต่มหาราช ขอพระองค์ จงทรงทาอยา่ งน้ี.) ฯ
๑๗๙
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์ สานกั เรียนวดั โสธรวราราม
๑๗. มา ศพั ท์ ซ่ึงแปลวา่ อย่า ใชไ้ ดแ้ ตก่ บั กิริยาท่ีเป็นวิภัตติปัญจมี และอัชชัตตนี
เทา่ น้นั ใชก้ บั กิริยาท่ีเป็นวิภตั ติอื่นไมไ่ ด้ ดงั น้ี:
มา ม ภนฺเต นาเสถ. (ขา้ แตท่ ่านผเู้ จริญ ขอทา่ น ท. จงอยา่ ยงั ขา้ พเจา้
ใหฉ้ ิบหาย.
มา เอว กริ. (เจา้ อยา่ ทาแลว้ อยา่ งน้ี) ฯ
๑๘. ในประโยคท่เี ป็ นคาถาม ถา้ มี กึ ศพั ท์ หรือศพั ทท์ ่ีแปลงจาก กึ ศพั ทน์ ้นั
ใหเ้ รียง กึ ศพั ท์ ไวห้ นา้ เช่น
กึ ตยา ปพฺพชิตุí น วฏฺ ฏต.ิ (อนั ท่าน บวช ไม่ควรหรือ ?)
กจฺจิตถฺ ปริสุทธฺ า. (ทา่ นเป็นผบู้ ริสุทธ์ิ แลหรือ ?) ฯ (แปลง กึ ศพั ท์
ในประโยค)
ถา้ ไม่มี กึ ศพั ทไ์ วห้ นา้ ควรเรียงกริ ิยาไวห้ นา้ , วาง ปน ศพั ทไ์ วท้ ี่ ๒,
ต่อน้นั มาเป็นประธาน หรือศพั ทท์ ี่เน่ืองกบั ประธาน ดงั น้ี:
สกขฺ สิ ปน ตฺว คหปติ เอเกน ปสฺเสน สตฺต มาเส นปิ ชฺชิตุ.í (ดูก่อน
คฤหบดี ก็ ท่าน อาจ เพ่ือจะนอน โดยขา้ ง อนั เดียว ตลอดเดือน ท. ๗ หรือ ?)
ทียติ ปน คหปติ กุเล ทาน.í (แน่ะคฤหบดี ก็ ทานในตระกลู อนั ทา่ น
ยงั ใหอ้ ยหู่ รือ ? (เป็นประโยคคาถาม แต่ไมม่ ี กึ ใหว้ างกิริยาไวห้ นา้ ) ฯ
๑๙. ศพั ท์ท่ีเป็ นกิริยาวิเสสนะ คือแสดงลกั ษณะของกิริยาที่แปลกจากกิริยาอ่ืน
ใช้ทุติยาวิภตั ติ เป็ นวิเสสนะของกิริยาบทใด เรียงไวห้ น้ากิริยาบทน้ัน หรือหน้าบท
อื่น ที่เน่ืองดว้ ยกิริยาบทน้นั ดงั น้ี
ธมฺมจารี สุข เสต.ิ (คนประพฤติธรรม นอน เป็นสุข.)
ทุกขฺ เสติ ปราชิโต. (คนแพ้ (แต่ผอู้ ่ืน) นอน เป็นทกุ ข.์ ) ฯ
๒๐. ถ้าในหนึ่งประโยค มีข้อความซับซ้อนกันหลายข้อ (ประโยคเลขใน)
เหมือนเช่นผเู้ ลา่ นิทานเล่าเร่ืองไป แลว้ อา้ งคนในนิทานที่ตวั เล่าว่า “คนน้นั พูดอยา่ งน้ี
คนน้ีพูดอยา่ งน้นั ” ในที่สุดขอ้ ความอนั หน่ึง ๆ ตอ้ งลง อิติ ศพั ทค์ นั่ ดงั น้ี.
๑๘๐ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
คูม่ ือบาลไี วยากรณ์
เอกสฺมึ สมเย ภควา ราชคหโต นกิ ขฺ มติ ฺวา ฉ ทสิ า นมสฺสนฺต สิคาลก
มาณว ทสิ ฺวา "กิสฺส ตฺว คหปติปตุ ตฺ ทสิ า นมสฺสสีติ ปุจฺฉิ. ฯ
ในสมยั หน่ึง พระผมู้ ีพระภาค เสด็จออกแลว้ จากกรุงราชคฤห์ ทอดพระเนตร
เห็นแลว้ ซ่ึงสิงคาลมาณพ นอบนอ้ มอยซู่ ่ึงทิศท้งั หลาย ๖ จึงตรัสถามแลว้ วา่ "แน่ะ
บุตรแห่งคฤหบดี ท่านนอบนอ้ มอยซู่ ่ึงทิศท้งั หลาย เพอ่ื เหตอุ ะไร ?"
ต สุตวฺ า สิคาลโก มาณโว "ปิ ตา เม ภนฺเต กาล กโรนฺโต เอว อวจ
'ทิสา ตาต นมสฺเสยยฺ าสีต,ิ โส อห ปิ ตุ วจน กโรนฺโต ทิสา นมสฺสามตี ิ อาห. ฯ
สิงคาลมาณพ ฟังแลว้ ซ่ึงคาน้นั จึงทลู วา่ "ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จริญ บิดา ของ
ขา้ พระเจา้ เม่ือทา ซ่ึงกาลกิริยา ไดพ้ ูด แลว้ อยา่ งน้ีวา่ 'แน่ะพอ่ เจา้ จงนอบน้อม ซ่ึง
ทิศท้งั หลาย' ขา้ พระเจา้ น้นั เม่ือทา ซ่ึงคา ของบิดา จึงนอบนอ้ มอยู่ ซ่ึงทิศท้งั หลาย."
อถ น ภควา "น โข คหปตปิ ุตตฺ อริยสฺส วินเย เอว ทิสา นมสฺสิตพฺพาติ
วตวฺ า เตน ปจุ ฺฉิโต คิหวิ ินย กเถสิ. ฯ
ลาดบั น้นั พระผมู้ ีพระภาค ตรัสแลว้ กะสิงคาลมาณพน้นั วา่ "แน่ะบุตรแห่ง
คฤหบดี ในวินยั ของพระอริยเจา้ ทิศท้งั หลาย อนั เขา ไม่พึงนอบน้อม อยา่ งน้ีเลย."
พระองคเ์ ป็นผอู้ นั สิงคาลมาณพน้นั ทลู ถามแลว้ ตรัสแลว้ ซ่ึงวินยั แห่งคฤหสั ถ.์ ฯ
๒๑. นามนามท่ีออกจากกิริยา เช่น กรณ ความทา, คมน ความไป เป็ นต้น
มีกิริยาขา้ งหน้าได้ แต่ตอ้ งเป็ นกิริยา ลง ตฺวา ปัจจยั หรือ ตติยาวิภตั ติ ถา้ ตอ้ งการ
กตั ตา คอื ผู้ทา ก็มีได้ ดงั น้ี.
ปุญญฺ ตถฺ ิกาน "อย โน อตโฺ ถติ สลฺลกเฺ ขตฺวา ปญุ ญฺ í กรณ ภาโร. (ความ
กาหนดว่า "น้ีประโยชน์ ของเรา ท." แลว้ จึงทาซ่ึงบุญ เป็นธุระ ของชนผมู้ ีตอ้ งการ
ดว้ ยบญุ ท.) ฯ
๒๒. ศพั ท์กรรมท่ีเกี่ยวกับนามนามที่ออกจากกิริยา (ขอ้ ๒๑) น้ัน (ยุ ปัจจัย)
ใชฉ้ ัฏฐีวิภตั ติ แทนทตุ ิยาวิภตั ติ ดงั น้ี: ปุญญฺ สฺส กรณ. (ความทา ซ่ึงบญุ .)
อริยสจฺจาน ทสฺสน (ความเห็น ซ่ึงอริยสจั ท.) ฯ
๑๘๑
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์ สานกั เรยี นวัดโสธรวราราม
๒๓. ประโยคมคธ ตามสานวนในช้นั หลงั ๆ มกั ตดั ความที่ซ้ากบั ประโยคตน้ ๆ
ออกเสีย คงไวแ้ ตค่ าที่ไมซ่ ้า และคาที่ถา้ ตดั ออกแลว้ จะเสียความหมาย ดงั น้ี
กุโต อาคจฺฉสิ ? (เจา้ มาแต่ไหน ?) ประโยคถาม
ชนปทโต ภนฺเต. (จากบา้ นนอก พระผเู้ จริญ). ประโยคตอบ ฯ
๒๔. คาของผนู้ อ้ ยพูดกบั ผใู้ หญ่แมค้ นเดียว ตอ้ งใชม้ ธั ยมบุรุษ พหุวจนะ.
๒๕. อาลปนะในภาษามคธ ในเวลาพูดกนั มกั ใชบ้ อ่ ยกวา่ ภาษาไทย ประโยคใด
ในภาษาไทย ไมม่ ีอาลปนะ ถา้ แปลเป็นมคธ ตอ้ งลงอาลปนะในที่ควรลง.
๒๖. กิริยาท่ีลง ตวฺ า ปัจจยั ใชห้ มายเหตุก็ได้ แต่ตอ้ งมุ่งเอาตวั ประธาน ต่างจาก
ตวั ประธานของกิริยาอาขยาต ดงั น้ี
สีห ทิสฺวา ภย อุปปฺ ชฺชติ. (ความกลวั เกิดข้นึ เหตเุ ห็น ซ่ึงราชสีห.์ ) ฯ
๒๗. นามนาม ท่ีเป็ นเอกวจนะหลายศพั ท์ ถ้ามีเน้ือความรวมกนั เช่น ชายกับ
หญิง เป็ นต้น ต้องใช้ จ ศัพท์กากับศัพท์เหล่าน้ัน คุณนามก็ดี กิริยาก็ดี ของ
นามนามเหล่าน้นั จะใชเ้ ป็นพหุวจนะโดยมาก ดงั น้ี :
เทสนาวสาเน กมุ ารโก จ กุมาริกา จ โสตาปนฺนา อเหสุí. (ในกาลเป็นที่
จบแห่งเทศนา กมุ ารดว้ ย กมุ ารีดว้ ย ไดเ้ ป็นโสดาบนั แลว้ ) ฯ
๒๘. ถ้าคุณนาม ที่เก่ียวดว้ ยกิริยา ว่ามี ว่าเป็ น หลายบท เรียงไวห้ น้ากิริยาน้ัน
แตบ่ ทเดียว เหลือน้นั เรียงไวห้ ลงั กิริยา ดงั น้ี:
เตน โข ปน สมเยน เวสาลี สุภิกขฺ า โหติ สุสสฺสา สุลภปิ ณฺฑา. ก็ โดย
สมยั น้นั แล เมืองไพศาลี เป็นเมืองมีภิกษาดี มีขา้ วกลา้ งาม มีกอ้ นขา้ วหาไดโ้ ดยงา่ ย. ฯ
๒๙. คุณนาม หรือกิริยาของนาม ท่ีรู้กันได้โดยง่าย จะเขียนแต่คุณนามหรือ
กริ ิยาเทา่ น้นั จะไมเ่ ขียนนามดว้ ยกไ็ ด้ ดงั น้ี
ปุพฺเพ โข กมุ าร มนุสฺสา ทฆี ายุกา. (ดูก่อนกมุ าร มนุษย์ ท. ในก่อนแล
มีอายยุ นื ), อตเี ต พาราณสิย พรฺ หฺมทตฺเต รชฺช กาเรนฺเต. (ในกาลล่วงแลว้ คร้ันเม่ือ
พระเจา้ พรหมทตั ต์ ใหท้ าอยู่ ซ่ึ งราชกิจ ในเมืองพาราณสี) ฯ
๑๘๒
คู่มือบาลีไวยากรณ์ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
๓๐. กิริยาอาขยาตในทอ้ งนิทานใช้ ๒ วิภตั ติ คือ วตฺตมานา ๑ อชฺชตฺตนี ๑
แตใ่ ชอ้ ชฺชตฺตนีมากกวา่ วตตฺ มานา ดงั น้ี :
เตน สมเยน พทุ ฺโธ ภควา ราชคเห วหิ รติ คชิ ฺฌกูเฏ ปพพฺ เต. (โดยสมยั
น้นั พระผมู้ ีพระภาค ผรู้ ู้ เสดจ็ อยู่ ที่เขาคิชฌกูฏ ใกลก้ รุงราชคฤห์).
อถโข ภควา ภกิ ขฺ ู อามนฺเตสิ. (ลาดบั น้นั แลพระผมู้ ีพระภาค ตรัสเรียก
แลว้ ซ่ึงภิกษุ ท.)
อถโข สามเณราน เอตทโหสิ "กติ นุโข อมหฺ าก สิกขฺ าปทานิ, กตฺถ จ
อมฺเหหิ สิกฺขิตพฺพนฺติ. (คร้ังน้นั แล ขอ้ น้ีไดม้ ีแลว้ แก่สามเณร ท. ว่า "สิกขาบท ท.
ของเรา ท. เทา่ ไร หนอแล ? อน่ึง เรา ท. ตอ้ งศึกษา ในขอ้ ไหน ?") ฯ
๓๑. คุณนามก็ดี นามนามที่ใช้เป็ นคุณนามก็ดี ท่ีเข้ากับ กิริยาว่ามี ว่าเป็ น
ซ่ึงประกอบ ตíุ ปัจจยั ใชป้ ฐมาวิภตั ติบา้ ง ใชต้ ตยิ าวภิ ตั ติ บา้ ง ดงั น้ี:
นาย ปาโป โหตุí อรหติ. (ผนู้ ้ี ไม่ควร เป็นคนชวั่ ),
ปมตเฺ ตน ภวิตุí น วฏฺ ฏติ. (ไมค่ วร เป็นคนประมาท) ฯ
๓๒. ภาวตทั ธิต เขา้ สมาสกบั ศพั ทอ์ ่ืน เอาภาวะ ออกเสียกไ็ ด้ ดงั น้ี:
สตฺถุ นิสินฺนตฺถาย มชฺเฌ อาสน ปญฺญาเปสิ. (เขาปูแลว้ ซ่ึงอาสนะ
ในท่ามกลาง เพื่อความเป็นที่นงั่ แห่งพระศาสดา) ฯ
๓๓. คาพูดที่ใช้ มัธยมบุรุษ ในความเคารพ จะใช้ประถมบุรุษ เอกวจนะก็ได้
ดงั น้ี: สาธุ เม ภนฺเต ภควา สงขฺ ิตเตน ธมมฺ เทเสตุ. (ขา้ แต่พระองคผ์ เู้ จริญ
ขอพระผมู้ ีพระภาค จงทรงแสดงธรรม แก่ขา้ พระองค์ โดยยอ่ .) ฯ
บรรณานุกรม
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ . บาลีไวยากรณ์
อักขรวธิ ี ภาคท่ี ๑ สมัญญาภิธานและสนธิ. กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘.
บาลีไวยากรณ์ วจีวภิ าค ภาคที่ ๒ นามและอัพยยศัพท์.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘.
บาลีไวยากรณ์ วจวี ภิ าค ภาคท่ี ๒ อาขยาตและกิตก์.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘.
บาลีไวยากรณ์ วจวี ภิ าค ภาคที่ ๒ สมาสและตทั ธิต.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๓๘.
พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยตุ ฺโต). พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๑.
พระมหานิยม อุตฺตโม. บนั ทึกการเรียนบาลี ฉบับสมบูรณ์. ขอนแก่น : โรงพิมพ์
คลงั นานาวทิ ยา, ๒๕๓๕.
พนั ตรี ป. หลงสมบุญ. พจนานุกรมมคธ-ไทย. กรุงเทพมหานคร : อาทรการพมิ พ,์
๒๕๔๐.
บญุ สืบ อินสาร. แนะแนวการเรียนการสอน วิชาไวยากรณ์ ฉบบั สืบสานพุทธศาสน์.
นนทบุรี : หจก. โรงพิมพแ์ ละทาปกเจริญผล, ๒๕๕๔.
ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕.
กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พอ์ กั ษรเจริญทศั น์, ๒๕๓๖.
พระศรีปริยตั ยาภรณ์ (ฉลาด ปริญฺญาโณ ป.ธ.๙). คู่มือการเรียนบาลีไวยากรณ์.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพเ์ ลี่ยงเชียง, ๒๕๓๐.
พระราชปริยตั ิโมลี (สุทศั น์ ป.ธ.๙, ปร.ด.). หลกั สูตรบาลีไวยากรณ์และหลักสัมพนั ธ์.
กรุงเทพมหานคร : สานกั เรียนวดั โมลีโลกยาราม, ๒๕๕๙.
รายนามคณะผ้บู ริหาร – ครูสอนบาลี
สานกั เรียนวดั โสธรวราราม
อาเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ปี ๒๕๖๔
*************
๑. พระราชปริยตั ิสุนทร (อมรภิรักษ์ ปสนฺโน ป.ธ.๔) ผอู้ านวยการ
๒. พระราชภาวนาพธิ าน (ศิริวฒั น์ สิริวฑฺฒโน) ท่ีปรึกษา
๓. พระครูสุตภาวนาภิธาน (สนั ติภทั ร ชุติปญฺโ ป.ธ.๔) รองผอู้ านวยการบริหารทวั่ ไป
๔. พระมหาพีชายมก์ ปริปุณฺโณ ป.ธ. ๗ หวั หนา้ งานบริหารวชิ าการ/
ครูสอน ประโยค ป.ธ. ๖-๗
๕. พระมหาชาตรี เตชธมฺโม ป.ธ. ๔ หวั หนา้ งานบริหารบคุ คล/
ครูสอน ประโยค ๑-๒
๖. พระมหาเมธา อภินนฺโท ป.ธ. ๖ หวั หนา้ งานบริหารทวั่ ไป/
ครูสอน ประโยค ๑-๒
๗. พระมหาสมถวิล อธิจิตฺโต ป.ธ. ๔ หวั หนา้ งานบริหารงบประมาณ/
ครูสอน ไวยากรณ์
๘.พระมหาฉลอง เขมรโต ป.ธ. ๘ ครูสอน ประโยค ป.ธ.๓
๙.พระมหาสนิท สมนฺตปาสาทิโก ป.ธ. ๖ ครูสอน ประโยค ป.ธ.๓
๑๐.พระมหาวทิ ยา กิตติปญฺโ ป.ธ. ๘ ครูสอน ประโยค ป.ธ. ๔
๑๑.พระมหาวญิ ญู กิตฺติเมธี ป.ธ. ๗ ครูสอน ประโยค ๑-๒
๑๒.พระมหาอุทิศ ธีรวโร ป.ธ.๖ ครูสอน ประโยค ๑-๒
๑๓.พระมหานพคณุ สาสมนฺตี ป.ธ.๔ ครูสอน ประโยค ๑-๒
๑๔.พระมหาประดษิ ฐ์ นนฺทเมธี ป.ธ.๕ ครูสอน ประโยค ๑-๒
๑๕.พระมหาอาทิตย์ อาทิตฺตปญฺโญ ป.ธ.๔ ครูสอน ไวยากรณ์
๑๖.พระมหาภานุพงศ์ ธมฺมทสฺสี ป.ธ.๖ ครูสอน ไวยากรณ์
-----------------------