ค่มู อื บาลไี วยากรณ์ ๙๑
สานักเรียนวดั โสธรวราราม
วจนะ
วิภัตติน้ัน จดั เป็ น ๒ วจนะ คือ เอกวจนะ ๑ พหุวจนะ ๑ เหมือนวิภตั ติ
นาม ถ้านามศัพท์ที่เป็ นประธาน เป็ นเอกวจนะ ต้องประกอบ กิริยาศัพท์
ให้เป็ น เอกวจนะตาม ถา้ นามศัพท์ เป็ นพหุวจนะ ก็ตอ้ งประกอบ กิริยาศัพท์
เป็นพหุวจนะตาม ให้มวี จนะเหมือนกนั อยา่ งน้ี
โส คจฺฉติ. อ.เขา ไปอยู่. เต คจฺฉนฺติ. อ.เขาท้ังหลาย ไปอยู่. ยกเว้นแต่
นามศัพท์ที่เป็ นเอกวจนะ หลาย ๆ ศัพท์ รวมกันด้วย “จ” ศัพท์ ใช้กิริยาเป็ น
พหุวจนะ อุ.เถโร จ สามเณโร จ คจฺฉนฺติ. อ.พระเถระดว้ ย อ.สามเณรดว้ ย ไปอย.ู่
บุรุษ
วภิ ัตตนิ ้นั จดั เป็น ๓ บุรุษ คือ ประถมบุรุษ ๑ มัธยมบุรุษ ๑ อตุ ฺตมบุรุษ ๑
เหมือนปุริสสัพพนาม ถา้ ปุริสสัพพนามใดเป็ นประธาน ตอ้ งใช้ กริ ิยาประกอบ
วิภตั ตใิ ห้ถกู ต้องตามปรุ ิสสัพพนามน้ัน อยา่ งน้ี
โส ยาติ อ.เขา ไปอย.ู่ ตฺว ยาสิ อ.เจา้ ยอ่ มไป. อห ยามิ อ.ขา้ จะไป.
บางที ท่านใช้แต่วภิ ตั ตขิ องกริ ิยา ก็บอกให้รู้ถึงตัวประธาน เช่น
เอหิ อ. เจา้ จงมา. (เอหิ บอกใหร้ ู้ ตฺว) ปุญฺญí กริสฺสาม อ. เรา ท. จกั ทา
ซ่ึงบุญ (กริสฺสาม บอกให้รู้ มย)
๙๒ สำนักเรียนวัดโสธรวราราม
คู่มือบาลีไวยากรณ์
ธาตุ
ธาตุ คือ กิริยาศัพท์ที่เป็ นมูลราก. ธาตุน้ัน ท่านรวบรวมจัดไว้เป็ น ๘
หมวด ตามพวกท่ีประกอบดว้ ยปัจจัย เป็นอนั เดียวกนั แสดงแต่พอเป็นตวั อยา่ ง
ดงั น้ี
๑. หมวด ภู ธาตุ (ลง อ, เอ ปัจจยั )
ภู เป็นไปในความ มี ในความ เป็ น (ภ+ู อ=ภว+ติ) สาเร็จรูปเป็น ภวติ
ยอ่ มมี, ยอ่ มเป็น.
หุ เป็นไปในความ มี ในความ เป็ น (หุ+อ=โห+ติ) สาเร็จรูปเป็น โหติ
ยอ่ มมี, ยอ่ มเป็น.
สี เป็นไปในความ นอน (สี+อ = เส หรือ สย+ติ) สาเร็จรูปเป็น เสติ,
สยติ ยอ่ มนอน.
มรฺ เป็นไปในความ ตาย (มรฺ+อ+ติ) สาเร็จรูปเป็น มรติ ยอ่ มตาย.
ปจฺ เป็นไปในความ หุง ในความ ต้ม (ปจฺ+อ+ติ) สาเร็จรูปเป็น ปจติ
ยอ่ มหุง, ยอ่ มตม้ .
อกิ ฺข เป็นไปในความ เห็น (อิกฺขฺ+อ+ติ) สาเร็จรูปเป็น อิกฺขติ ยอ่ มเห็น.
ลภฺ เป็นไปในความ ได้ (ลภฺ+อ+ติ) สาเร็จรูปเป็น ลภติ ยอ่ มได.้
คมฺ เป็นไปในความ ไป (คมฺ+อ=คจฺฉ+ติ) สาเร็จรูปเป็น คจฺฉติ ยอ่ มไป.
๒. หมวด รุธฺ ธาตุ (ลง อ, เอ ปัจจยั และ นคิ คหิตอาคม)
รุธฺ เป็นไปในความ ก้นั , ในความ ปิ ด (รุíธฺ+อ/เอ+ติ) สาเร็จรูปเป็น รุนฺธต,ิ
รุนฺเธติ ยอ่ มปิ ด.
มุจฺ เป็นไปในความ ปล่อย (มจíุ ฺ+อ+ติ) สาเร็จรูปเป็น มุญจฺ ติ ยอ่ มปลอ่ ย.
คู่มือบาลีไวยากรณ์ ๙๓
สานกั เรยี นวัดโสธรวราราม
ภชุ ฺ เป็นไปในความ กนิ (ภชíุ ฺ+อ+ติ) สาเร็จรูปเป็น ภญุ ชฺ ติ ยอ่ มกิน.
ภทิ ฺ เป็นไปในความ ต่อย (ภึทฺ+อ+ติ) สาเร็จรูปเป็น ภนิ ฺทติ ยอ่ มต่อย.
ลปิ ฺ เป็นไปในความ ฉาบ (ลึป+ฺ อ+ติ) สาเร็จรูปเป็น ลมิ ฺปติ ยอ่ มฉาบ.
๓. หมวด ทวิ ฺ ธาตุ (ลง ย ปัจจยั )
ทิวฺ เป็นไปในความ เล่น (ทิวฺ+ย=พฺพ+ติ) สาเร็จรูปเป็น ทพิ ฺพติ ยอ่ มเล่น.
สิวฺ เป็นไปในความ เยบ็ (สิวฺ+ย=พฺพ+ติ สาเร็จรูปเป็น สิพฺพติ ยอ่ มเยบ็ .
พธุ ฺ เป็นไปในความ ตรัสรู้ (พุธฺ+ย=ชฺฌ+ติ) สาเร็จรูปเป็น พุชฺฌติ ยอ่ มตรัสรู้.
ขี เป็นไปในความ สิ้น (ข+ี ย+ติ) สาเร็จรูปเป็น ขยี ติ ยอ่ มสิ้น.
มหุ ฺ เป็นไปในความ หลง (มหุ ฺ+ย=ยฺห+ติ) สาเร็จรูปเป็น มุยหฺ ติ ยอ่ มหลง.
มุสฺ เป็นไปในความ ลืม (มสุ ฺ+ย=สฺส+ติ) สาเร็จรูปเป็น มสุ ฺสติ ยอ่ มลืม.
รชฺ เป็นไปในความ ย้อม (รชฺ+ย=ชฺช+ติ) สาเร็จรูปเป็น รชฺชติ ยอ่ มยอ้ ม.
๔. หมวด สุ ธาตุ (ลง ณุ, ณา ปัจจยั )
สุ เป็นไปในความ ฟัง (สุ+ณา+ติ) สาเร็จรูปเป็น สุณาติ ยอ่ มฟัง.
วุ เป็นไปในความ ร้อย (ว+ุ ณา+ติ) สาเร็จรูปเป็น วุณาติ ยอ่ มร้อย.
สิ เป็นไปในความ ผูก (สิ+ณุ=โณ+ติ) สาเร็จรูปเป็น สิโณติ ยอ่ มผกู .
๕. หมวด กี ธาตุ (ลง นา ปัจจยั )
กี เป็นไปในความ ซื้อ (กี+นา+ติ) สาเร็จรูปเป็น กีนาติ ยอ่ มซ้ือ.
ชิ เป็นไปในความ ชนะ (ชิ+นา+ติ) สาเร็จรูปเป็น ชินาติ ยอ่ มชนะ.
ธุ เป็นไปในความ กาจัด (ธุ+นา+ติ) สาเร็จรูปเป็น ธุนาติ ยอ่ มกาจดั .
จิ เป็นไปในความ ก่อ ในความ สั่งสม (จิ+นา+ติ) สาเร็จรูปเป็น จนิ าติ
ยอ่ มก่อ, ยอ่ มส่งั สม.
๙๔ สำนักเรียนวัดโสธรวราราม
คูม่ อื บาลไี วยากรณ์
ลุ เป็นไปในความ เก่ียว ในความตัด (ลุ+นา+ติ) สาเร็จรูปเป็น ลุนาติ
ยอ่ มเก่ียว, ยอ่ มตดั .
ญา เป็นไปในความ รู้ (ญา=ชา+นา+ติ) สาเร็จรูปเป็น ชานาติ ยอ่ มรู้.
ผุ เป็นไปในความ ฝัด ในความ โปรย (ผ+ุ นา+ติ) สาเร็จรูปเป็น ผนุ าติ
ยอ่ มฝัด, ยอ่ มโปรย.
๖. หมวด คหฺ ธาตุ (ลง ณฺหา ปัจจยั )
คหฺ เป็นไปในความ ถือเอา (คหฺ+ณฺหา+ติ) สาเร็จรูปเป็น คณฺหาติ
ยอ่ มถือเอา.
หมวด คหฺ ธาตุ ท่ีใชใ้ นอาขยาตมีเพียงเทา่ น้ี.
๗. หมวด ตนฺ ธาตุ (ลง โอ ปัจจยั )
ตนฺ เป็นไปในความ แผ่ไป (ตนฺ+โอ+ติ) สาเร็จรูปเป็น ตโนติ ยอ่ มแผไ่ ป.
กรฺ เป็นไปในความ ทา (กรฺ+โอ+ติ) สาเร็จรูปเป็น กโรติ ยอ่ มทา.
สกกฺ เป็นไปในความ อาจ (สกฺก+โอ+ติ) สาเร็จรูปเป็น สกฺโกติ ยอ่ มอาจ.
ชาครฺ เป็นไปในความ ตื่น (ชาครฺ+โอ+ติ) สาเร็จรูปเป็น ชาคโรติ ยอ่ มตื่น.
๘. หมวด จุร ธาตุ (ลง เณ, ณย ปัจจยั )
จรุ เป็นไปในความ ลกั (จุรฺ+เณ/ณย+ติ) สาเร็จรูปเป็น โจเรต,ิ โจรยติ ยอ่ มลกั .
ตกฺก เป็นไปในความ ตรึก (ตกฺก+เณ–ณย+ติ) สาเร็จรูปเป็น ตกฺเกต,ิ ตกฺกยติ
ยอ่ มตรึก.
ลกฺขฺ เป็นไปในความ กาหนด (ลกฺขฺ+เณ/ณย+ติ) สาเร็จเร็จรูป ลกฺเขติ, ลกฺขยติ
ยอ่ มกาหนด.
คู่มอื บาลีไวยากรณ์ ๙๕
สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
มนฺต เป็นไปในความ ปรึกษา (มนฺตฺ+เณ/ณย+ติ) สาเร็จรูปเป็น มนฺเตติ,
มนฺตยติ ยอ่ มปรึกษา.
จินฺต เป็นไปในความ คดิ (จินฺต+เณ/ณย+ติ) สาเร็จรูปเป็น จนิ ฺเตต,ิ จนิ ตยติ
ยอ่ มคิด.
สกมั มธาตุ – อกมั มธาตุ
ในธาตุท้งั ๘ หมู่น้ี ธาตบุ างเหล่าเป็นธาตไุ มม่ ีกรรม ธาตุบางเหล่ามีกรรม
ธาตเุ หลา่ ใด ไม่ต้องเรียกหากรรม คือส่ิงอันบุคคลพงึ ทา ธาตุเหลา่ น้นั
เรียกวา่ อกมั มธาตุ ธาตไุ ม่มีกรรม,
ธาตุเหลา่ ใด เรียกหากรรม ธาตเุ หล่าน้นั เรียกวา่ สกมั มธาตุ ธาตมุ ีกรรม.
สกมั มธาตุ เป็นได้ ๔ วาจก เว้นภาววาจก, อกมั มธาตุ เป็นได้ ๓ วาจก คือ
กตั ตวุ าจก เหตกุ ตั ตวุ าจก และภาววาจก.
ข้อควรรู้ :-ธาตุท่ีเป็นอกมั มธาตุ เช่น ภ,ู หุ, อสฺ, มรฺ, สี, ชาครฺ, มนฺต, จินฺต, ตกฺก
วาจก
กริ ิยาศัพท์ท่ปี ระกอบด้วยวภิ ัตติ กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ ดงั น้ี จดั เป็น
วาจก คือกล่าวบทที่เป็ นประธานของกริ ิยา ๕ อย่าง คือ กัตตวุ าจก ๑ กมั มวาจก ๑
ภาววาจก ๑ เหตุกตั ตวุ าจก ๑ เหตกุ มั มวาจก ๑.
๑) กตั ตุวาจก
กริ ิยาศัพท์ใด กล่าวผู้ทา คือ แสดงว่าเป็ นกิริยาของผู้ทาน้ันเอง กิริยาศพั ทน์ ้ัน
ชื่อวา่ กตั ตวุ าจก มีอทุ าหรณ์วา่ สูโท โอทน ปจติ. พอ่ ครัว หุงอยู่ ซ่ึงขา้ วสุก.
๙๖ สำนักเรียนวดั โสธรวราราม
คู่มือบาลไี วยากรณ์
๒) กมั มวาจก
กิริยาศัพท์ใด กล่าวกรรม ส่ิงที่บุคคลพึงทา คือ แสดงว่าเป็ นกิริยา
ของกรรมน้นั เอง กิริยาศพั ทน์ ้นั ชื่อวา่ กมั มวาจก มีอทุ าหรณ์วา่
สูเทน โอทโน ปจยิ เต. ขา้ วสุก อนั พอ่ ครัว หุงอย.ู่
๓) ภาววาจก
กริ ิยาศัพท์ใด กล่าวแต่สักว่าความมี ความเป็ น เท่าน้นั ไม่กล่าวกตั ตา และ
กรรม กิริยาศพั ทน์ ้นั ช่ือวา่ ภาววาจก มีอทุ าหรณ์วา่ เตน ภูยเต. อนั เขา เป็นอย.ู่
กิริยาศพั ท์ที่เป็ นภาววาจกน้ี ต้องเป็ นประถมบุรุษ เอกวจนะอย่างเดียว
ส่วน ตวั กตั ตา จะเป็ นพหุวจนะ และบุรุษอื่นกไ็ ด้ ไม่หา้ ม.
๔) เหตุกตั ตวุ าจก
กิริยาศัพท์ใด กล่าวผู้ใช้ให้คนอ่ืนทา คือ แสดงว่าเป็ นกิริยาของผู้ใช้ให้ผู้อื่น
ทาน้นั กิริยาศพั ทน์ ้นั ชื่อวา่ เหตุกตั ตวุ าจก มีอุทาหรณ์วา่
สามโิ ก สูท โอทน ปาเจติ. นาย ยงั (ใช)้ พ่อครัว ใหห้ ุงอยู่ ซ่ึงขา้ วสุก.
๕) เหตกุ มั มวาจก
กิริยาศัพท์ใด กล่าวส่ิงที่เขาใช้ให้คนอ่ืนทา คือ แสดงว่าเป็ นกิริยาของส่ิงท่ี
เขาให้คนอ่ืนทาน้นั กิริยาศพั ทน์ ้นั ช่ือวา่ เหตกุ มั มวาจก มีอทุ าหรณ์วา่
สามเิ กน สูเทน (สูท) โอทโน ปาจาปิ ยเต.ขา้ วสุก อนั นาย ยงั (ใช)้ พ่อครัวใหห้ ุงอย.ู่
คูม่ อื บาลีไวยากรณ์ ๙๗
สานักเรียนวัดโสธรวราราม
ปัจจยั
วาจกท้งั ๕ นี้ จะกาหนดได้แม่นยา ก็เพราะอาศัยปัจจัยทปี่ ระกอบ.
ปัจจยั น้นั ก็จดั เป็ น ๕ หมวดตามวาจก.
๑) กตั ตุวาจก ลงปัจจัย ๑๐ ตวั คือ อ, เอ, ย, ณุ, ณา, นา, ณหฺ า, โอ, เณ,
ณย. ปัจจยั ท้งั ๑๐ ตวั น้ี แบ่งลงในธาตุ ๘ หมวดน้นั อยา่ งน้ี.
อ เอ ปัจจยั ลงในหมวด ภู ธาตุ และในหมวด รุธฺ ธาตุ
แต่ในหมวด รุธฺ ธาตุ ลง นิคคหติ อาคม ท่พี ยัญชนะต้นธาตดุ ้วย.
ย ปัจจยั ลงในหมวด ทิวฺ ธาตุ
ณุ ณา ปัจจยั ลงในหมวด สุ ธาตุ
นา ปัจจยั ลงในหมวด กี ธาตุ
ณฺหา ปัจจยั ลงในหมวด คหฺ ธาตุ
โอ ปัจจยั ลงในหมวด ตนฺ ธาตุ
เณ ณย ปัจจยั ลงในหมวด จุรฺ ธาตุ.
๒) กมั มวาจก ลงปัจจยั ๑ ตวั คอื ย ปัจจยั กบั ท้งั อิ อาคม หน้า ย ด้วย
อทุ าหรณ์วา่ ปจยิ เต, สิวยิ เต เป็นตน้ .
๓) ภาววาจก ลงปัจจยั ๑ ตวั คอื ย ปัจจยั อ.ุ ภูยเต เป็นตน้
๔) เหตกุ ตั ตวุ าจก ลงปัจจยั ๔ ตวั คือ เณ, ณย, ณาเป, ณาปย ตวั ใดตวั หน่ึง
อ.ุ ดงั น้ี
เณ = ปาเจติ, สิพฺเพติ. ณย = ปาจยติ, สิพฺพยติ.
ณาเป = ปาจาเปติ, สิพฺพาเปติ. ณาปย = ปาจาปยติ, สิพฺพาปยติ.
๕) เหตกุ มั มวาจก ลง ปัจจยั ๑๐ ตัว (ในกตั ตวุ าจก) น้นั ดว้ ย, ลงเหตุปัจจัย คือ
ณาเป ดว้ ย และ ลง ย ปัจจยั กบั ท้งั อิ อาคม หน้า ย ดว้ ย อุ. ดงั น้ี
ปาจาปิ ยเต = ปจ + อ + ณาเป + อิ + ย + เต
สิพฺพาปิ ยเต = สิพฺพ (สิวฺ + ย) + ณาเป + อิ + ย + เต เป็นตน้ .
๙๘ สำนกั เรียนวดั โสธรวราราม
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์
ปัจจัยพเิ ศษ
ข ฉ ส ปัจจัย
ปัจจัยทีส่ าหรับประกอบกบั ธาตุอีก ๓ ตวั คือ ข, ฉ, ส เป็นไปในความ
ปรารถนา อ.ุ ดงั น้ี
ภุชฺ ธาตุ เป็นไปในความ กนิ ลง ข ปัจจยั (ภชุ ฺ+ข=พุภุกฺข+ติ)
สาเร็จรูปเป็น พุภุกขฺ ติ ปรารถนาจะกิน.
ฆสฺ ธาตุ เป็นไปในความ กนิ ลง ฉ ปัจจยั (ฆสฺ+ฉ=ชิฆจฺฉ+ติ)
สาเร็จรูปเป็น ชิฆจฺฉติ ปรารถนาจะกิน.
หรฺ ธาตุ เป็นไปในความ นาไป ลง ส ปัจจยั (หรฺ+ส=ชิคึส+ติ)
สาเร็จรูปเป็น ชิคสึ ติ ปรารถนาจะนาไป.
อาย, อยิ ปัจจัย
ปัจจัยทสี่ าหรับประกอบกบั นามศัพท์ ใหเ้ ป็นกริ ิยาศัพท์ ๒ ตวั คือ
อาย, อยิ เป็นไปในความ ประพฤติ อ.ุ ดงั น้ี
จิรายติ ประพฤติชา้ อยู่
ปุตฺติยติ ยอ่ มประพฤติใหเ้ ป็นเพียงดงั บุตร เป็นตน้ .
ข้อควรจา :-
๑) ถา้ ประกอบกบั คณุ นาม แปลวา่ ประพฤติ เช่น จริ ายติ ประพฤติชา้ อย,ู่
ปิ ยายติ ยอ่ มประพฤติรัก,
๒) ถา้ ประกอบกบั นามนาม แปลวา่ ประพฤตใิ ห้เป็ นเพยี งดัง, ประพฤตเิ พยี งดงั .
เช่น ปุตตฺ ิยติ ยอ่ มประพฤติใหเ้ ป็นเพยี งดงั บุตร,
ธูมายติ ยอ่ มประพฤติเพยี งดงั ควนั เป็นตน้
๙๙
คมู่ อื บาลไี วยากรณ์ สานกั เรยี นวัดโสธรวราราม
อสฺ ธาตุ
อสฺ ธาตุ เป็นไปใน ความมี, ความเป็ น อยหู่ นา้ แปลงวิภตั ติท้งั หลายแลว้
ลบพยญั ชนะต้นธาตบุ ้าง ทส่ี ุดธาตุบ้าง อยา่ งน้ี
๑) ติ แปลงเป็น ตฺถิ ลบที่สุดธาตุ สาเร็จรูปเป็น อตฺถิ
๒) อนฺติ คงรูป ลบตน้ ธาตุ สาเร็จรูปเป็น สนฺติ
๓) สิ คงรูป ลบท่ีสุดธาตุ สาเร็จรูปเป็น อสิ
๔) ถ แปลงเป็น ตฺถ ลบที่สุดธาตุ สาเร็จรูปเป็น อตฺถ
๕) มิ แปลงเป็น มฺหิ ลบท่ีสุดธาตุ สาเร็จรูปเป็น อมฺหิ
๖) ม แปลงเป็น มฺห ลบที่สุดธาตุ สาเร็จรูปเป็น อมฺห
๗) ตุ แปลงเป็น ตฺถุ ลบที่สุดธาตุ สาเร็จรูปเป็น อตฺถุ
๘) เอยยฺ แปลงเป็น อยิ า ลบตน้ ธาตุ สาเร็จรูปเป็น สิยา
๙) เอยฺย กบั ท้งั ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อสฺส
๑๐) เอยฺยíุ กบั ท้งั ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อสฺสุí
๑๑) เอยยฺ íุ แปลงเป็น อยิ íุ ลบตน้ ธาตุ สาเร็จรูปเป็น สิยíุ
๑๒) เอยฺยาสิ กบั ท้งั ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อสฺส
๑๓) เอยยฺ าถ กบั ท้งั ธาตุ สาเร็นรูปเป็น อสฺสถ
๑๔) เอยฺยามิ กบั ท้งั ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อสฺส
๑๕) เอยฺยาม กบั ท้งั ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อสฺสาม
๑๖) อิ คงรูป ทีฆะตน้ ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อาสิ
๑๗) อíุ คงรูป ทีฆะตน้ ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อาสุí
๑๘) ตฺถ คงรูป ทีฆะตน้ ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อาสิตฺถ
๑๙) อึ คงรูป ทีฆะตน้ ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อาสึ
๒๐) มฺหา คงรูป ทีฆะตน้ ธาตุ สาเร็จรูปเป็น อาสิมฺหา
จบอาขยาต
๑๐๐ สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
คูม่ อื บาลีไวยากรณ์
กติ ก์
กติ ก์น้ัน เป็ นชื่อของศัพท์ที่ท่านประกอบปัจจัยหมู่หน่ึง ซ่ึงเป็ นเครื่อง
กาหนดหมายเนื้อความของนามศัพท์และกิริยาศัพท์ที่ต่าง ๆ กนั เหมือนนาม
ศพั ท์ ท่ีเอามาใชใ้ นภาษาของเรา มี “ทาน” เป็นตน้ ยอ่ มมีเน้ือความต่าง ๆ กนั .
“ทาน” น้ัน เป็ นช่ือของสิ่งของที่จะพึงสละก็มี เหมือนคาว่า “คนมีให้
ทาน คนจนรับทาน” เป็ นตน้ , เป็ นช่ือของการให้ก็มี เหมือนคาว่า “ผู้นี้ยินดีให้
ทาน” เป็ นตน้ , เป็ นช่ือของเจตนาก็มี เหมือนคาว่า “ทานมัยกุศล” เป็ นตน้ ,
เป็นช่ือของที่ก็มี เหมือนคาวา่ “โรงทาน” เป็นตน้ .
ส่ วน กิริยาศั พ ท์ มี คาว่า “ท า” เป็ น ต้น ก็มี เน้ื อความต่างกัน ,
เป็ นกัตตุวาจก บอกผู้ทาก็มี เหมือนคาว่า “นายช่ างทางามจริง” เป็ นต้น,
เป็ นกัมมวาจก บอกส่ิงท่ีเขาทาก็มี เหมือนคาว่า “เรือนนี้ทางามจริง” เป็ นต้น
ศพั ทเ์ หล่าน้ีในภาษามคธ ลว้ นหมายรู้ด้วยปัจจยั ท้งั สิ้น.
กิตก์น้ัน แบ่งออกเป็ น ๒ คือ นามกิตก์ กิตก์ท่ีเป็ นนามศพั ท์อย่าง ๑
กริ ิยากติ ก์ กิตกท์ ่ีเป็นกิริยาศพั ทอ์ ยา่ ง ๑.
กติ ก์ท้งั ๒ อย่างนี้ ลว้ นมีธาตเุ ป็ นท่ีต้ังท้งั สิ้น.
นามกติ ก์
กติ ก์ที่เป็ นนามนามกด็ ี เป็ นคณุ นามกด็ ี เรียกวา่ นามกติ ก์.
นามกิตก์น้ี จัดเป็ นสาธนะ มีปัจจยั เป็ นเครื่องหมายให้รู้ว่า ศพั ท์น้ี เป็ น
สาธนะน้นั ๆ เพื่อจะใหม้ ีเน้ือความแปลกกนั .
คู่มอื บาลีไวยากรณ์ ๑๐๑
สานกั เรยี นวัดโสธรวราราม
สาธนะ
ศัพท์ที่ท่านให้สาเร็จมาแต่รูปวเิ คราะห์ ชื่อ สาธนะ
สาธนะน้นั แบ่งเป็ น ๗ คือ กัตตสุ าธนะ ๑ กมั มสาธนะ ๑ ภาวสาธนะ ๑
กรณสาธนะ ๑ สัมปทานสาธนะ ๑ อปาทานสาธนะ ๑ อธิกรณสาธนะ ๑.
รูปวิเคราะห์แห่งสาธนะ จดั เป็น ๓ คือ กตั ตรุ ูป ๑ กมั มรูป ๑ ภาวรูป ๑.
๑) กตั ตสุ าธนะ
ศัพท์ใด เป็ นชื่อของผู้ทา คือผูป้ ระกอบกิริยาน้ันเป็ นตน้ ว่า กุมฺภกาโร
ผทู้ าซ่ึงหมอ้ , ทายโก ผใู้ ห,้ โอวาทโก ผกู้ ลา่ วสอน, สาวโก ผฟู้ ัง ศพั ทน์ ้นั ช่ือว่า
กตั ตสุ าธนะ.
กตั ตุสาธนะ นกั ปราชญฝ์ ่ายเราบญั ญตั ิ ใหแ้ ปลวา่ “ผู้ -” ถา้ ลงในอรรถ
คือ ตสั สีละ แปลวา่ “ผู้ - โดยปกติ”.
๒) กมั มสาธนะ
ผู้ทา ๆ ซึ่งสิ่งใด ศัพท์ที่เป็ นชื่อของสิ่งน้ันเป็นตน้ วา่ ปิ โย เป็นที่รัก, รโส
วิสัยเป็ นท่ียินดี ก็ดี ศัพท์ท่ีเป็ นช่ือของสิ่งของที่เขาทา เป็ นตน้ ว่า กิจฺจ กรรม
อนั เขา พงึ ทา,ทาน สิ่งของอนั เขาพงึ ให้ (มีขา้ วน้าเป็นตน้ ) กด็ ี ชื่อวา่ กมั มสาธนะ
กมั มสาธนะ เป็น กตั ตรุ ูป แปลวา่ “เป็ นที่ -”, ที่เป็น กมั มรูป แปลวา่
“เป็ นที่อนั เขา -”.
๓) ภาวสาธนะ
ศัพท์บอกกริ ิยา คือความทาของผ้ทู า เป็นตน้ วา่ คมน ความไป, °าน
ความยนื , นิสชฺชา ความนงั่ , สยน ความนอน ชื่อวา่ ภาวสาธนะ.
ภาวสาธนะ เป็น ภาวรูป อยา่ งเดียว แปลวา่ “ความ-” กไ็ ด,้ “การ-”ก็ได.้
๑๐๒ สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
คมู่ อื บาลีไวยากรณ์
๔) กรณสาธนะ
ผู้ทา ๆ ด้วยส่ิงใด ศัพท์ท่ีเป็ นชื่อของส่ิงน้ัน เป็ นตน้ วา่ พนฺธน วตั ถุเป็ น
เครื่องผกู มีเชือกและโซ่ เป็นตน้ , ปหรณ วตั ถุเป็นเคร่ืองประหาร มีดาบและงา้ ว
เป็ นต้น, วิชฺฌน วตั ถุเป็ นเครื่องไช มีเหล็กหมาด และสว่าน เป็ นต้น ชื่อว่า
กรณสาธนะ.
กรณสาธนะ เป็น กตั ตุรูป แปลวา่ “เป็ นเครื่อง-”ก็ได,้ แปลวา่ “เป็ นเหตุ-”
กไ็ ด,้ ที่เป็น กมั มรูป แปลวา่ “เป็ นเครื่องอนั เขา -”ก็ได,้ “เป็ นเหตอุ นั เขา -”ก็ได.้
๕) สัมปทานสาธนะ
ผ้ทู า ๆ ให้แก่ผ้ใู ดหรือแก่ส่ิงใด ศัพท์ทเ่ี ป็ นช่ือของผ้นู ้ัน ของสิ่งน้นั
เป็นตน้ วา่ สมฺปทาน วตั ถเุ ป็นท่ีมอบให,้ ชื่อวา่ สัมปทานสาธนะ.
สัมปทานสาธนะ เป็น กตั ตรุ ูป แปลวา่ “เป็ นที่ -”, ท่ีเป็น กมั มรูป
แปลวา่ “เป็ นทีอ่ นั เขา -”.
๖) อปาทานสาธนะ
ผู้ทาไปปราศจากส่ิงใด ศัพท์ที่เป็ นชื่อของส่ิงน้นั เป็นตน้ วา่ ปภสฺสโร
แดนสร้านออกแห่งรัศมี, ปภโว แดนเกิดก่อน, ภีโม แดนกลวั ชื่อวา่
อปาทานสาธนะ. อปาทานสาธนะ แปลวา่ “เป็ นแดน -”.
๗) อธกิ รณสาธนะ
ผ้ทู า ๆ ในทใี่ ด ศัพท์ที่เป็ นช่ือของท่ีน้นั เป็นตน้ วา่ °าน ที่ต้งั ,ท่ียนื ,
อาสน ที่นง่ั , สยน ที่นอน, ช่ือวา่ อธิกรณสาธนะ.
อธิกรณสาธนะ เป็น กตั ตุรูป แปลวา่ “เป็ นที่ -”, ที่เป็น กัมมรูป
แปลวา่ “เป็ นทอี่ นั เขา -”.
ค่มู ือบาลไี วยากรณ์ ๑๐๓
สานักเรียนวัดโสธรวราราม
รูปวเิ คราะห์แห่งสาธนะ
รูปวิเคราะห์แห่งสาธนะ จัดเป็ น ๓ คือ กตั ตรุ ูป ๑ กมั มรูป ๑ ภาวรูป ๑.
๑) รูปวิเคราะหแ์ ห่งสาธนะใด เป็น กตั ตุวาจก หรือ เหตกุ ตั ตุวาจก
สาธนะน้นั จดั เป็น กตั ตุรูป
๒) รูปวเิ คราะห์แห่งสาธนะใด เป็น กมั มวาจก หรือ เหตุกมั มวาจก
สาธนะน้นั จดั เป็น กมั มรูป
๓) รูปวิเคราะห์แห่งสาธนะใด เป็น ภาววาจก
สาธนะน้นั จดั เป็น ภาวรูป.
ปัจจัยแห่งนามกติ ก์
ปัจจยั แห่งนามกติ ก์น้นั จดั เป็ น ๓ พวก คือ
กติ ปัจจัย สาหรับประกอบกบั ศัพท์ที่เป็ น กตั ตุรูปอย่างเดยี ว ๑
กจิ จปัจจัย สาหรับประกอบกบั ศัพท์ทเ่ี ป็ น กมั มรูปและภาวรูป ๑
กติ กจิ จปัจจยั สาหรับประกอบกบั ศัพท์แม้ท้งั ๓ เหล่า ๑
๑. กติ ปัจจัย อยา่ งน้ี กฺวิ, ณี, ณฺวุ, ตุ, รู
๒. กจิ จปัจจัย อยา่ งน้ี ข, ณฺย
๓. กติ กจิ จปัจจัย อยา่ งน้ี อ, อ,ิ ณ, ตเว, ติ, ต,íุ ยุ
๑๐๔ สำนกั เรียนวัดโสธรวราราม
คู่มือบาลีไวยากรณ์
วเิ คราะห์แห่งนามกติ ก์
วเิ คราะห์ในกติ ปัจจัย
กฺวิ ปัจจยั มี อ.ุ (อุทาหรณ์) อย่างนี้
สย ภวตีติ สยมฺภู. (อ. บุคคลใด) ย่อมเป็ นเอง, เหตุน้ัน (อ. บุคคล
น้ัน) ชื่อว่า ผูเ้ ป็ นเอง. สย เป็ นบทหน้า ภู ธาตุ ในความเป็ น, เป็ น กัตตุรูป
กตั ตุสาธนะ.
อุเรน คจฺฉตีติ อุรโค. (อ. สัตว์ใด) ย่อมไป ด้วยอก เหตุน้ัน
(อ. สัตวน์ ้นั ) ช่ือวา่ ผไู้ ปดว้ ยอก. อุร เป็นบทหนา้ คมฺ ธาตุ ในความไป, เป็น
กตั ตุรูป กตั ตสุ าธนะ.
ส สุฏฺ ° ขนตีติ สงฺโข. (สัตว์ใด) ย่อมขุด ดี คือว่า ด้วยดี เหตุน้ัน
(สัตวน์ ้ัน) ช่ือว่าผูข้ ุดดี. ส เป็ นบทหน้า ขนฺ ธาตุ ในความขุด, เป็ น กัตตุรูป
กตั ตสุ าธนะ.
ณี ปัจจัย มี อุ. อย่างนี้
ธมฺม วทติ สีเลนาติ ธมฺมวาท.ี (อ. บุคคลใด) ยอ่ มกลา่ วซ่ึงธรรมโดยปกติ
เหตนุ ้นั (อ. บุคคลน้นั ) ช่ือวา่ ผกู้ ล่าวซ่ึงธรรมโดยปกติ. เป็น กตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ
ลงในอรรถแห่งตสั สีละ,
ธมฺม วตฺตíุ สีลมสฺสาติ ธมฺมวาท.ี อ. ความกล่าว ซ่ึงธรรม เป็นปกติ
ของภิกษนุ ้นั เหตุน้นั (อ. ภิกษนุ ้นั ) ชื่อวา่ ผมู้ ีการกลา่ วซ่ึงธรรมเป็นปกติ.
เป็น สมาสรูป ตัสสีลสาธนะ.
ธมฺม เป็ นบทหน้า วทฺ ธาตุ ในความกล่าว ถา้ เป็ น อิตถีลิงค์ เป็ น
ธมฺมวาทนิ ี, ถา้ เป็น นปุíสกลงิ ค์ เป็น ธมฺมวาทิ.
ค่มู อื บาลีไวยากรณ์ ๑๐๕
สานกั เรยี นวัดโสธรวราราม
ปาป กโรติ สีเลนาติ ปาปการี. (อ. บคุ คลใด) ยอ่ มทา ซ่ึงบาป โดยปกติ
เหตนุ ้นั (อ. บคุ คลน้นั ) ชื่อวา่ ผทู้ าซ่ึงบาปโดยปกติ.
ปาป เป็ นบทหน้า กรฺ ธาตุ ในความทา, เป็ น กัตตุรูป กัตตุสาธนะ
ลงในอรรถแห่งตสั สีละ.
ธมฺม จรติ สีเลนาติ ธมฺมจารี. (อ. บุคคลใด) ย่อมประพฤติซ่ึงธรรม
โดยปกติ เหตนุ ้นั (อ. บุคคลน้นั ) ชื่อวา่ ผปู้ ระพฤติซ่ึงธรรมโดยปกติ.
ธมฺม เป็ นบทหนา้ จรฺ ธาตุ ในความประพฤติ, ในความเที่ยว. เป็ น
กตั ตรุ ูป กตั ตุสาธนะ ลงในอรรถแห่งตัสสีละ.
ณฺวุ ปัจจยั (แปลง ณวุ เป็น อก) มี อ.ุ อย่างนี้
เทตีติ ทายโก. (อ.บุคคลใด) ย่อมให้, เหตุน้ัน (อ. บุคคลน้ัน)
ชื่อวา่ ผใู้ ห.้ ทา ธาตุ ในความให,้ เป็น กตั ตุรูป กตั ตสุ าธนะ. ถา้ เป็น อติ ฺถีลงิ ค์
เป็น ทายิกา.
เนตีติ นายโก. (อ. บุคคลใด) ย่อมนาไป, เหตุน้ัน (อ. บุคคลน้ัน)
ชื่อวา่ ผนู้ าไป. นี ธาตุ ในความนาไป, เป็น กตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ.
อนุสาสตีติ อนุสาสโก. (อ. บุคคลใด) ย่อมตามสอน เหตุน้ัน
(อ. บคุ คลน้นั ) ชื่อวา่ ผตู้ ามสอน. อนุ เป็นบทหนา้ สาสฺ ธาตุ ในความสอน,
เป็น กตั ตรุ ูป กตั ตุสาธนะ.
สุณาตีติ สาวโก. (อ.บุคคลใด) ย่อมฟัง เหตุน้ัน (อ.บุคคลน้ัน)
ช่ือวา่ ผฟู้ ัง. สุ ธาตุ ในความฟัง, เป็น กตั ตุรูป กตั ตสุ าธนะ.
๑๐๖ สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
คมู่ อื บาลีไวยากรณ์
ตุ ปัจจยั มี อุ. อย่างนี้ (แจกอยา่ ง สตฺถุ )
กโรตีติ กตฺตา. (อ. บุคคลใด) ย่อมทา เหตุน้ัน (อ. บุคคลน้ัน) ช่ือว่า
ผทู้ า. กรฺ ธาตุ ในความทา, เป็น กตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ.
กโรติ สี เลนาติ กตฺตา. (อ. บุคคลใด) ย่อมทาโดยปกติ เหตุน้ัน
(อ. บุคคลน้นั ) ชื่อวา่ ผทู้ าโดยปกติ. กรฺ ธาตุ ในความทา, เป็น กตั ตุรูป กตั ตุ
สาธนะ ลงในอรรถแห่ง ตสั สีละ.
ธาเรตีติ ธาตา. (อ. บุคคลใด) ยอ่ มทรงไว้ เหตนุ ้นั (อ. บุคคลน้นั ) ชื่อวา่
ผทู้ รงไว.้ ธรฺ - ธา ธาตุ ในความทรง, เป็น กตั ตรุ ูป กตั ตสุ าธนะ.
ชานาตตี ิ ญาตา. (อ.บคุ คลใด) ยอ่ มรู้ เหตุน้นั (อ.บคุ คลน้นั ) ชื่อวา่ ผรู้ ู้.
ญา ธาตุ ในความรู้, เป็น กตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ.
วทตีติ วตฺตา. (อ.บุคคลใด) ยอ่ มกลา่ ว เหตุน้นั (อ.บคุ คลน้นั ) ช่ือวา่
ผกู้ ล่าว. วทฺ ธาตุ ในความกล่าว, เป็น กตั ตรุ ูป กตั ตสุ าธนะ.
รู ปัจจยั มี อ.ุ อย่างนี้
ปาร คจฺฉติ สีเลนาติ ปารคู. (อ. บุคคลใด) ย่อมถึง ซ่ึงฝ่ังโดยปกติ
เหตุน้นั (อ. บุคคลน้นั ) ช่ือวา่ ผถู้ ึงซ่ึงฝั่งโดยปกติ. ปาร เป็นบทหนา้ คมฺ ธาตุ
ในความถึง, เป็น กตั ตรุ ูป กตั ตสุ าธนะ ลงในอรรถแห่งตัสสีละ.
วิชานาติ สีเลนาติ วิญฺญู. (อ. บุคคลใด) ย่อมรู้วิเศษ โดยปกติ,
เหตุน้ัน (อ. บุคคลน้ัน) ชื่อว่า ผูร้ ู้วิเศษโดยปกติ. วิ เป็ นบทหน้า ญา ธาตุ
ในความรู้, เป็น กตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ ลงในอรรถแห่งตัสสีละ.
ภิกฺขติ สีเลนาติ ภิกฺขุ. (อ.บุคคลใด) ย่อมขอ โดยปกติ เหตุน้ัน
(อ.บุคคลน้ัน) ช่ือว่า ผูข้ อโดยปกติ. ภิกฺข ธาตุ ในความขอ, เป็ น กัตตุรูป
กตั ตสุ าธนะ ลงในอรรถแห่งตสั สีละ.
ค่มู อื บาลไี วยากรณ์ ๑๐๗
สานกั เรียนวัดโสธรวราราม
วเิ คราะห์ในกจิ จปัจจยั
ข ปัจจยั มี อ.ุ อย่างนี้
ทุกฺเขน กริยตีติ ทุกฺกร. (อ. กรรมใด) อนั เขาทาไดโ้ ดยยาก, เหตุน้ัน
(อ.กรรมน้นั ) ชื่อวา่ อนั เขาทาไดโ้ ดยยาก. ทุ เป็นบทหนา้ กรฺ ธาตุ ในความทา,
เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
สุเขน ภริยตีติ สุภโร. (อ. บุคคลใด) อนั เขาเล้ียงไดโ้ ดยง่าย, เหตุน้ัน
(อ. บุคคลน้ัน) ช่ือว่า ผูอ้ ันเขาเล้ียงได้โดยง่าย. สุ เป็ นบทหน้า ภรฺ ธาตุ
ในความเล้ียง, เป็น กมั มรูป กัมมสาธนะ.
ทุกฺเขน รกฺขิยตีติ ทุรกฺข. (อ. จิตใด) อนั เขารักษาไดโ้ ดยยาก, เหตุน้นั
(อ. จิตน้นั ) ช่ือวา่ อนั เขารักษาไดโ้ ดยยาก. ทุ เป็นบทหนา้ รกฺข ธาตุ ในความ
รักษา, เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
ณยฺ ปัจจัย มี อุ. อย่างนี้
กาตพฺพนฺติ การิย. (อ. กรรมใด) อนั เขาพึงทา เหตุน้นั (อ. กรรมน้ัน)
ช่ือวา่ อนั เขาพึงทา. กรฺ ธาตุ ในความทา, เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
เนตพฺพนฺติ เนยฺย. (อ. ส่ิงใด) อนั เขา พึงนาไป เหตุน้ัน (อ. สิ่งน้ัน)
ชื่อวา่ อนั เขาพงึ นาไป. นี ธาตุ ในความนาไป, เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
วตฺตพฺพนฺติ วชฺช. (อ. คาใด) อนั เขา พึงกล่าว เหตุน้ัน (อ. คาน้ัน)
ช่ือวา่ อนั เขาพงึ กลา่ ว. วทฺ ธาตุ ในความกลา่ ว, เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
ทมิตพฺโพติ ทมฺโม. (อ. บุคคลใด) อันเขาพึงทรมานได้ เหตุน้ัน
(อ. บุคคลน้นั ) ชื่อวา่ อนั เขาพึงทรมานได.้ ทมฺ ธาตุ ในความฝึก, เป็น กมั มรูป
กมั มสาธนะ.
๑๐๘ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์
ยุญฺชิตพฺพนฺติ โยคฺค. (อ. ส่ิ งใด) อันเขาพึงประกอบ เหตุน้ัน
(อ.ส่ิงน้นั ) ช่ือวา่ อนั เขาพึงประกอบ. ยุชฺ ธาตุ ในความประกอบ, เป็น กมั มรูป
กมั มสาธนะ.
ครหิตพฺพนฺติ คารยฺห. (อ. กรรมใด) อันเขาพึงติเตียน เหตุน้ัน
(อ. กรรมน้นั ) ชื่อวา่ อนั เขาพึงติเตียน. ครหฺ ธาตุ ในความติเตียน, เป็น กมั มรูป
กมั มสาธนะ.
ทาตพฺพนฺติ เทยฺย. (อ. ส่ิงใด) อนั เขาพึงให้, เหตุน้นั (อ. สิ่งน้นั ) ชื่อว่า
อนั เขา พึงให.้ ทา ธาตุ ในความให,้ เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
ศพั ทท์ ี่ประกอบดว้ ย ณฺย ปัจจยั น้ี บางศพั ทก์ ใ็ ชเ้ ป็ นกริ ิยากติ ก์ คือ กิริยา
คมุ พากย์บา้ ง อ.ุ เต จ ภิกฺขู คารยหฺ า อน่ึง อ.ภิกษุ ท. เหล่าน้นั อนั ทา่ นพึงติเตียน.
วเิ คราะห์ในกติ กจิ จปัจจัย
อ ปัจจยั มี อุ. อย่างนี้
ปฏิ ส ภิชฺชตีติ ปฏิสมฺภิทา. (อ. ปัญญาใด) ย่อมแตกฉานดี โดยต่าง
เหตุน้ัน (อ. ปัญญาน้ัน) ช่ือว่า แตกฉานดีโดยต่าง. ปฏิ + ส เป็ นบทหน้า
ภทิ ฺ ธาตุ ในความแตก, เป็นอติ ถีลงิ ค์ เป็น กตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ.
หิต กโรตีติ หิตกฺกโร. (อ. บุคคลใด) ย่อมทา ซ่ึงประโยชน์เก้ือกูล
เหตุน้ัน (อ. บุคคลน้ัน) ช่ือว่า ผูท้ าซ่ึงประโยชน์เก้ือกูล. หิต เป็ นบทหน้า
กรฺ ธาตุ ในความทา, เป็น กตั ตรุ ูป กตั ตุสาธนะ.
นิสฺสาย น วสตีติ นิสฺสโย. (อ. ศิษย)์ อาศยั ซ่ึงอาจารยน์ ้นั อยู่ เหตนุ ้นั
(อ. อาจารยน์ ้ัน) ชื่อว่า เป็ นท่ีอาศัยอยู่ (ของศิษย)์ . นิ เป็ นบทหน้า สี ธาตุ
ในความอาศยั , เป็น กตั ตรุ ูป กมั มสาธนะ.
คู่มือบาลีไวยากรณ์ ๑๐๙
สานกั เรียนวัดโสธรวราราม
สิ กฺขิยตีติ สิ กฺขา. (อ. ธรรมชาติใด) อัน เขา ศึกษ า เห ตุน้ัน
(อ. ธรรมชาติน้นั ) ชื่อวา่ อนั เขาศึกษา. สิกฺข ธาตุ ในความศึกษา, เป็น กัมมรูป
กมั มสาธนะ.
สิกฺขน สิกขฺ า. อ. ความศึกษา ชื่อวา่ สิกขา. สิกฺข ธาตุ ในความศึกษา,
เป็น ภาวรูป ภาวสาธนะ.
วเิ นติ เตนาติ วนิ โย. (อ. บณั ฑิต) ยอ่ มแนะนา ดว้ ยอุบายน้นั , เหตุน้นั
(อ. อุบายน้นั ) ช่ือวา่ เป็นเครื่องแนะนา (ของบณั ฑิต). วิ เป็นบทหนา้ นี ธาตุ
ในความนาไป (แนะนา) เป็น กตั ตุรูป กรณสาธนะ.
ป°ม ภวติ เอตสฺมาติ ปภโว. (อ. แม่น้า) ยอ่ มเกิดก่อน แต่ประเทศนนั่
เหตุน้นั (อ. ประเทศนน่ั ) ชื่อวา่ เป็นแดนเกิดก่อน (แห่งแมน่ ้า). ป เป็นบทหนา้
ภู ธาตุ ในความมี, ความเป็น, เป็น กตั ตรุ ูป อปาทานสาธนะ.
อิ ปัจจัย มี อุ. อย่างนี้
อุทก ทธาตีติ อุทธิ. (อ. ประเทศใด) ย่อมทรงไว้ ซ่ึงน้ า เหตุน้ัน
(อ. ประเทศน้ัน) ชื่อว่า ผูท้ รงไว้ซ่ึงน้า (ทะเล). อุท เป็ นบทหน้า ธา ธาตุ
ในความทรง, เป็น กตั ตุรูป กตั ตุสาธนะ.
สนฺธิยตีติ สนฺธิ. (อ. วาจาใด) อนั เขาต่อ เหตุน้ัน (อ. วาจาน้ัน) ชื่อว่า
อนั เขาตอ่ . ส เป็นบทหนา้ ธา ธาตุ ในความตอ่ , เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
นิธิยตีติ นิธิ. (อ.สมบัติใด) อันเขาฝังไว้ เหตุน้ัน (อ.สมบัติน้ัน)
ชื่อว่า อนั เขาฝ่ังไว.้ นิ เป็ นบทหน้า ธา ธาตุ ในความฝังไว,้ เป็ น กัมมรูป
กมั มสาธนะ.
๑๑๐ สำนกั เรยี นวัดโสธรวราราม
คู่มือบาลีไวยากรณ์
ณ ปัจจยั มี อุ. อย่างนี้
กมฺม กโรตีติ กมฺมกาโร. (อ. บุคคลใด) ย่อมทา ซ่ึงกรรม เหตุน้ัน
(อ. บุคคลน้นั ) ช่ือว่า ผูท้ าซ่ึงกรรม. กมฺม เป็ นบทหน้า กรฺ ธาตุ ในความทา,
เป็น กตั ตุรูป กตั ตสุ าธนะ.
รุชฺชตตี ิ โรโค. (อ. อาพาธใด) ยอ่ มเสียดแทง เหตนุ ้นั (อ. อาพาธน้นั )
ชื่อวา่ ผเู้ สียดแทง. รุชฺ ธาตุ ในความเสียดแทง, เป็น กตั ตุรูป กตั ตสุ าธนะ.
วหิตพฺโพติ วาโห. (อ. ภาระใด) อนั เขา พึงนาไป เหตุน้นั (อ.ภาระน้นั )
ช่ือวา่ อนั เขาพึงนาไป. วหฺ ในความนาไป, เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
ปจน ปาโก. อ. ความหุง ชื่อวา่ ปากะ. ปจฺ ธาตุ ในความหุง, ความตม้ ,
เป็น ภาวรูป ภาวสาธนะ.
ทุสฺสติ เตนาติ โทโส. (อ. ชน) ย่อมประทุษร้าย ดว้ ยกิเลสน้ัน เหตุน้ัน
(อ. กิเลสน้ัน) ช่ือว่า เป็ นเหตุประทุษร้าย (แห่งชน). ทุส ธาตุ ในความ
ประทษุ ร้าย, เป็น กตั ตรุ ูป กรณสาธนะ.
อาวสนฺติ เอตฺถาติ อาวาโส. (อ. ภิกษุ ท.) ย่อมอาศยั อยู่ ในประเทศน้ัน
เหตุน้นั (อ. ประเทศนนั่ ) ช่ือวา่ เป็นท่ีอาศยั อยู่ (แห่งภิกษุ ท.), อา เป็นบทหนา้
วสฺ ธาตุ ในความอย,ู่ เป็น กตั ตุรูป อธกิ รณสาธนะ.
ตเว ปัจจัย มี อุ. อย่างนี้
กาตเว เพือ่ จะทา กรฺ ธาตุ ในความทา แปลงเป็น กา,
คนฺตเว เพอื่ จะไป คมฺ ธาตุ ในความไป, ความถึง แปลงท่ีสุดธาตุ เป็น นฺ
ปัจจยั ตวั น้ี ลงใน จตตุ ถีวิภตั ตนิ าม.
คู่มอื บาลีไวยากรณ์ ๑๑๑
สานกั เรียนวัดโสธรวราราม
ติ ปัจจัย มี อ.ุ อย่างนี้
มญฺญตีติ มติ. (อ. ปัญญาใด) ยอ่ มรู้, เหตุน้นั (อ. ปัญญาน้นั ) ชื่อวา่ ผรู้ ู้.
มนฺ ธาตุ ในความรู้, เป็น กัตตุรูป กตั ตุสาธนะ.
มญฺญติ เอตายาติ มติ. (อ. ชน) ยอ่ มรู้ ดว้ ยปัญญานนั่ เหตนุ ้นั
(อ. ปัญญานน่ั ) ช่ือวา่ เป็นเหตรุ ู้ (แห่งชน). มนฺ ธาตุ ในความรู้, เป็น กตั ตุรูป
กรณสาธนะ.
มนน มติ. อ.ความรู้ ช่ือวา่ มติ. มนฺ ธาตุ ในความรู้, เป็น ภาวรูป
ภาวสาธนะ.
สรตีติ สติ. (อ. ธรรมชาติใด) ย่อมระลึก เหตุน้ัน (อ. ธรรมชาติน้ัน)
ช่ือวา่ ผรู้ ะลึก. สรฺ ธาตุ ในความระลึก, เป็น กตั ตรุ ูป กตั ตสุ าธนะ.
สรติ เอตายาติ สติ. (อ. ชน) ย่อมระลึก ด้วยธรรมชาติน่ัน เหตุน้ัน
(อ. ธรรมชาตินั่น) ช่ือว่า เป็ นเหตุระลึก (แห่งชน). สรฺ ธาตุ ในความระลึก,
เป็น กตั ตุรูป กรณสาธนะ.
สรณ สติ. อ. ความระลึก ช่ือว่า สติ. สรฺ ธาตุ ในความระลึก,
เป็น ภาวรูป ภาวสาธนะ.
สมฺปชฺชิตพพฺ าติ สมฺปตฺต.ิ (อ. ธรรมชาติใด) อนั เขาพึงถึงพร้อม เหตนุ ้นั
(อ. ธรรมชาติน้ัน) ชื่อว่า อันเขาพึงถึงพร้อม. ส เป็ นบทหน้า ปทฺ ธาตุ ใน
ความถึง, เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
คจฺฉนฺติ เอตฺถาติ คติ. (อ. ชน ท.) ย่อมไป ในภูมิน่ัน, เหตุน้ัน
(อ. ภูมินั่น) ช่ือว่า เป็ นที่ไป (แห่งชน ท.). คมฺ ธาตุ ในความไป ความถึง,
เป็น กตั ตุรูป อธกิ รณสาธนะ.
๑๑๒ สำนักเรยี นวดั โสธรวราราม
คูม่ อื บาลีไวยากรณ์
ตุí ปัจจัย มี อ.ุ อย่างนี้
กาตุí เพื่อจะทา กรฺ ธาตุ เป็น กา, คนฺตุí เพื่อจะไป คมฺ ธาตุ แปลงท่ีสุด
ธาตุ เป็น นฺ. ปัจจยั ตวั น้ีลงในอรรถปฐมาวภิ ตั ติ (เป็นประธาน แปลวา่ อ. อนั ...)
และจตตุ ถีวิภตั ติ (แปลวา่ เพอ่ื อนั )
ยุ ปัจจยั มี อุ. อย่างนี้
(ธาตทุ ว่ั ไป แปลง ยุ เป็น อน, ธาตุที่มี รฺ หรือ หฺ อยู่หลงั แปลง ยุ เป็น อณ)
เจตยตีติ เจตนา. (อ.ธรรมชาติใด) ยอ่ มคิด เหตุน้นั (อ.ธรรมชาติน้ัน)
ช่ือวา่ ผคู้ ดิ . จิตฺ ธาตุ ในความคิด, เป็น อติ ถีลงิ ค์ เป็น กตั ตรุ ูป กตั ตุสาธนะ.
กุชฺฌติ สีเลนาติ โกธโน. (อ. บุคคลใด) ย่อมโกรธ โดยปกติ เหตุน้ัน
(อ. บุคคลน้นั ) ช่ือวา่ ผูโ้ กรธโดยปกติ. กุธฺ ธาตุ ในความโกรธ, เป็น กัตตุรูป
กตั ตุสาธนะ ลงใน ตัสสีละ.
ภุญฺชิตพฺพนฺติ โภชน. (อ.สิ่งใด) อนั เขาพึงกิน เหตุน้ัน (อ.สิ่งน้ัน)
ชื่อวา่ อนั เขา พึงกิน. ภุชฺ ธาตุ ในความกิน, เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
คจฺฉิยเตติ คมน. (อนั เขา) ยอ่ มไป เหตุน้นั ช่ือวา่ ความไป.
คมฺ ธาตุ ในความไป, เป็น ภาวรูป ภาวสาธนะ.
กโรติ เตนาติ กรณ. (อ. เขา) ยอ่ มทา ดว้ ยส่ิงน้นั เหตนุ ้นั (อ. ส่ิงน้นั )
ชื่อวา่ เป็ นเครื่องทา (แห่งเขา). กรฺ ธาตุ ในความทา, เป็น กตั ตรุ ูป กรณสาธนะ.
สวณฺณิยติ เอตายาติ สวณฺณนา. (อ. เน้ือความ) อนั ท่านยอ่ มพรรณนา
พร้อม ดว้ ยวาจาน่ัน เหตุน้นั (อ. วาจานน่ั ) ชื่อว่า เป็ นเคร่ืองอนั ท่านพรรณนา
พร้อม (แห่งเน้ือความ). ส เป็ นบทหน้า วณฺณ ธาตุ ในความพรรณนา,
เป็น กมั มรูป กรณสาธนะ.
คู่มือบาลไี วยากรณ์ ๑๑๓
สานักเรยี นวดั โสธรวราราม
สยนฺติ เอตฺถาติ สยน. (อ.เขา ท.) ยอ่ มนอนในที่นน่ั เหตุน้นั (อ.ท่ีนนั่ )
ช่ือวา่ เป็ นท่ีนอน (แห่งเขา ท.) สี ธาตุ ในความนอน,เป็นกตั ตุรูป อธิกรณสาธนะ.
ข้อควรจา :-
ภาวสาธนะ จดั เป็น นามนาม แจกดว้ ยวิภตั ติท้งั ๗ แปลงรูปไปต่าง ๆ
และแปลออกสาเนียงอายตนิบาตได้ ส่วน สาธนะอกี ๖ นอกน้ี เป็น คุณนาม
ปัจจยั นามกติ ก์พเิ ศษ ท่ีมใี ช้มากในนามกติ ก์
มีอยู่ ๑๔ ตวั คือ อาวี, อณิ , อกิ , ณกุ , ตยยฺ , ตกุ , ม, ร, รตฺถ,ุ รมฺม,
ริจฺจ, ริต,ุ ริริย, ราตุ.
๑. อาวี ปัจจยั
ใช้ลงในอรรถแห่งตัสสีลสาธนะ เช่น ภยทสฺสาวี (ภย+ทิส=ทสฺส+อาวี)
มีวิเคราะห์วา่ ภย ปสฺสติ สีเลนาติ = ภยทสฺสาวี แปลวา่ (ชนใด) ยอ่ มเห็น ช่ึง
ภยั โดยปกติ เหตุน้นั (อ. ชนน้ัน) ชื่อว่า ภยทสฺสาวี ผูเ้ ห็นช่ึงภยั โดยปกติ เป็ น
กตั ตรุ ูป ตสั สีลสาธนะ.
๒. อณิ ปัจจัย
ใช้ลงใน ๒ สาธนะ คือ กัตตุสาธนะและภาวสาธนะ นอกน้ีลงไม่ได้
เช่น ชิโน สุปิ น เป็นตน้
ชิโน (ภควา) (อ. พระผูม้ ีพระภาคเจา้ ) ผูช้ นะ (ชิ+อิน) เป็ น กัตตุรูป
กตั ตสุ าธนะ
ว.ิ วา่ ชินาตีติ ชิโน (ภควา)
สุปิ น อ. ความหลบั (สุป+อนิ ) เป็นภาวรูป ภาวสาธนะ
วิ. วา่ สุปยเตติ สุปิ น.
๑๑๔ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
คมู่ อื บาลไี วยากรณ์
๓. อกิ ปัจจัย
ปัจจัยนี้มีท่ีใช้โดยมาก เป็ น กัตตุรูป กัตตุสาธนะ และ ตามคัมภีร์
มูลกจั จายน์ กล่าวว่าลงในอรรถว่า ''ควร'' แต่บางตวั ก็ไม่ไดล้ งในอรรถวา่ ''
ควร'' เสมอไป เช่น คมิโก (คม+อกิ ) วิ. วา่ คนฺตุí ภพฺโพติ คมิโก (อ. ภิกฺษุ) ผคู้ วร
เพ่ือจะไป.
๔. ณกุ ปัจจัย
ปัจจยั น้ีนิยมใช้เป็ น กัตตุรูป กัตตุสาธนะ และใช้ลงในอรรถ ตัสสีล
สาธนะ เช่น การุโก (กร+ณุก) วิ. ว่า กโรติ สีเลนาติ การุโก ปัจจัยตัวน้ี
เป็นปัจจยั ท่ีเนื่องดว้ ย ณ มีอานาจในพฤทธติ ้นธาตุท่ีเป็ นรัสสะได.้
๕. ตยฺย ปัจจยั
ปัจจยั น้ีเม่ือลงกบั ธาตุแลว้ เป็นได้ ๒ สาธนะ คือ กมั มสาธนะ ภาวสาธนะ
มีหลกั ๓ ประการดงั น้ี
๑. ธาตุตวั เดยี วคงไว้ตามเดิม เช่น ญาตยยฺ วิ.วา่ ญาตพฺพนฺติ
ญาตยยฺ (ธมฺมชาต) ช่ือวา่ อนั เขาพงึ รู้. เป็น กมั มรูป กัมสาธนะ
๒. ธาตสุ องตัวแปลงท่สี ุดธาตุ เช่น ปตฺตยยฺ (ปท+ตยฺย) อนั เขาพงึ ถึง
วิ.วา่ ปตฺตพพฺ นฺติ ปตฺตยฺย. เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ
๓. แปลง ต เป็ น ตยฺย เป็นอยา่ งอ่ืน แลว้ ลบท่ีสุดธาตุ เช่น ทฎฺ °ยยฺ อนั
เขาพงึ เห็น (ทิส+ตยยฺ ), ลทฺธยฺย อนั เขาพงึ ได้ (ลภ+ตยยฺ ).
๖. ตกุ ปัจจยั
ปัจจัยตัวนี้ลงได้เฉพาะ คมฺ ธาตุ มี อา เป็ นบทหน้าเท่าน้ัน เช่น
อาคนฺตโุ ก ผมู้ า (อา+คม+ตุก) ว.ิ วา่ อาคจฺฉตีติ อาคนฺตโุ ก (อ. ภิกฺข)ุ เป็น กตั ตุรูป
กตั ตสุ าธนะ.
ค่มู อื บาลไี วยากรณ์ ๑๑๕
สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
๗. ม ปัจจัย
ใช้ลงได้ทกุ ธาตทุ กุ สาธนะไม่จากดั เช่น ทุโม (อ. บุคคล) ผูเ้ จริญ (ท+ุ ม)
วิ. วา่ ทวตีติ ทุโม (ปุคฺคโล) เป็น กตั ตรุ ูป กตั ตสุ าธนะ.
อีกอยา่ งหน่ึง หุ ธาตใุ นความเบยี ดเบยี น มี ว.ิ วา่ หุนียตีติ หุโม
(ปุคฺคโล) ผอู้ นั เขาพงึ เบียดเบียน เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
๘. ร ปัจจยั
ปัจจยั น้ี เม่ือประกอบกับธาตุแล้ว มีอานาจให้ลบท่ีสุดธาตุได้ และลบ
ตัวเอง ถึงปัจจัยอ่ืนท่ีเน่ืองด้วย ร กเ็ หมือนกัน เช่น อนฺตโก (อ. มจั จุ) ผทู้ าช่ึง
ท่ีสุด (อนฺน+ตรฺ +ร) วิ. ว่า อนฺต กโรตีติ อนฺตโก (มจฺจุ). เป็ น กัตตุรูป
กตั ตสุ าธนะ.
๙. รตฺถุ ปัจจยั
เป็ นปัจจยั ทเี่ นื่องด้วย ร มีอานาจให้ลบทสี่ ุดธาตุได้ เช่น วตฺถุ (อ. ท่ี)
เป็นที่อยู่ แห่งชน (วสฺ+รตฺถ)ุ
วิ.วา่ วสติ เอตฺถาติ วตฺถุ (°าน). เป็น กตั ตรุ ูป กตั ตสุ าธนะ.
๑๐. รมฺม ปัจจยั
เป็ นปัจจยั ทีเ่ นื่องด้วย ร มอี านาจและหน้าที่เช่นกบั ร ปัจจัย เช่น
กมฺม (อ. กิจ) อนั เขาพึงทา (กรฺ+รมฺม)
วิ.วา่ กาตพฺพนฺติ กมฺม (กิจฺจ). เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
๑๑. ริจฺจ ปัจจัย
เป็ นปัจจัยท่ีเน่ืองด้วย ร เช่นกนั มีจากดั ให้ลงได้เฉพาะ กรฺ ธาตุเท่าน้ัน
เช่น กจิ ฺจ (อ. กรรม) อนั เขาพึงทา (กรฺ+ริจฺจ) วิ.วา่ กาตพฺพนฺติ กิจฺจ (กมฺม).
เป็น กมั มรูป กมั มสาธนะ.
๑๑๖ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์
๑๒. ริตุ ปัจจยั
เป็ นปัจจัยที่เนื่องด้วย ร มีอานาจเช่นกัน ธีตุ ธาตุ (อ. หญิงสาว)
ผอู้ นั มารดาและบิดาทรงไว้ (ธรฺ+ริตุ) วิ.ว่า ธริยเตติ ธีตา (วธู). เป็ น กัมมรูป
กมั มสาธนะ.
๑๓. ริริย ปัจจัย.
เป็ น ปั จ จ ยัท่ี เน่ื องด้ วย ร มี อ าน าจ ด้ วยเช่ น กัน เช่ น กิริ ยา
(อ. ธรรมชาติ) อนั เขาพึงทา (กรฺ+ริริย) วิ. ว่า กาตพฺตนฺติ กิริยา (ธมฺมชาติ).
เป็น กัมมรูป กมั มสาธนะ. อีกอยา่ งหน่ึง ว.ิ วา่ กรณ กริ ิยา อ. ความทา ช่ือว่า
กิริยา. เป็น ภาวรูป ภาวสาธนะ.
๑๔. ราตุ ปัจจยั .
เป็ นปัจจัยท่ีเนื่องด้วย ร มอี านาจและหน้าที่ดังกล่าวแล้ว เช่น ภาตุ
(อ. ชน) ผกู้ ล่าวก่อน (ภาสฺ+ราต)ุ ว.ิ วา่ ภาสตีติ ภาตา (ชโน). เป็น กตั ตรุ ูป
กตั ตุสาธนะ.
จบนามกติ ก์
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์ ๑๑๗
สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
กริ ิยากติ ก์
กติ ก์ทเี่ ป็ นกิริยา เรียกวา่ กริ ิยากติ ก์.
กิริยากิตกน์ ้ี ประกอบดว้ ย วิภัตติ วจนะ กาล ธาตุ วาจก ปัจจัย,
เหมือนอาขยาต ต่างแต่ไม่มี บท และ บรุ ุษ เท่าน้นั .
วิภัตติ
วิภัตติแห่งกิริยากติ ก์น้ัน ไม่มีแผนกหน่ึงเหมือนวิภตั ติอาขยาต ใช้ตาม
วิภัตตินาม ถา้ นามศัพท์ เป็ นวิภัตติ และวจนะอันใด กิริยากิตก์ก็ตอ้ งเป็ น
วภิ ตั ติ และวจนะอนั น้นั ตาม อยา่ งน้ี
๑) ภกิ ฺขุ คาม ปิ ณฺฑาย ปวฏิ ฺ โ°.
อ. ภิกษุ เข้าไปแล้ว สู่บา้ น เพื่อกอ้ นขา้ ว.
๒) เยเกจิ พทุ ฺธ สรณ คตา เส.
(อ. ชน ท.) เหล่าใดเหล่าหน่ึง ถึงแล้ว ซ่ึงพระพุทธเจา้ วา่ เป็นที่ระลึก ซิ.
๓) เอก ปุริส ฉตฺต คเหตฺวา คจฺฉนฺต ปสฺสามิ.
(อ. เรา) เห็นซ่ึงบุรุษ คนหน่ึง ถือ ซ่ึงร่ม ไปอยู่.
กาล
กริ ิยากติ ก์ แบง่ กาลที่เป็ นประธานได้ ๒ คือ ปัจจุบนั กาล ๑ อดีตกาล
กาลท้งั ๒ น้นั แบง่ ใหล้ ะเอียดออกอีก ดงั น้ี
ปัจจุบนั กาล จดั เป็น ๒ คือ ปัจจบุ นั แท้ ๑ ปัจจุบันใกล้อนาคต ๑.
อดีตกาล จดั เป็น ๒ เหมือนกนั คือ ล่วงแล้ว ๑ ล่วงแล้วเสร็จ ๑.
ปัจจบุ ันกาล
๑) ปัจจบุ นั แท้ แปลวา่ ‘อย่’ู อ.ุ อห ธมฺม สุณนฺโต ปี ตึ ลภามิ.
อ. เรา ฟังอยู่ ซ่ึงธรรม ย่อมได้ ซ่ึงปี ติ.
๑๑๘ สำนักเรียนวัดโสธรวราราม
คูม่ ือบาลไี วยากรณ์
๒) ปัจจุบันใกล้อนาคต แปลว่า ‘เม่ือ’ อุ.ว่า อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ธมฺม
เทเสนฺโต อิม คาถมาห. อ. พระศาสดา เม่ือทรงสืบต่อ ซ่ึงอนุสนธิ แสดง
ซ่ึงธรรม ตรัสแลว้ ซ่ึงคาถาน้ี.
อดตี กาล
๑) ล่วงแล้ว แปลวา่ 'แล้ว'
อ.ุ วา่ ตโย มาสา อตกิ กฺ นฺตา. อ. เดือน ท. สาม กา้ วลว่ งแล้ว.
๒) ล่วงแล้วเสร็จ แปลวา่ “คร้ัน - แล้ว”
อุ. ว่า เยน ภควา, เตนุปสงฺกมิ, อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺต อภิวาเทตฺวา,
เอกมนฺต นิสีทิ. (อ. ภิกษุ รูปหน่ึง), อ. พระผมู้ ีพระภาคเจา้ (ประทบั อยู่ โดยท่ี)
ใด, เขา้ ไปเฝ้าแลว้ (โดยท่ี) น้ัน, คร้ันเขา้ ไปใกลแ้ ล้ว ไหวแ้ ลว้ ซ่ึงพระผมู้ ีพระ
ภาคเจา้ จึงนง่ั แลว้ ณ ส่วนขา้ งหน่ึง.
วาจก
วาจกในกิริยากิตก์ ก็จัดเป็ น ๕ อย่างเดียวกันกับวาจกในอาขยาต
ต่างกัน สักว่ารูปแห่งกิริยาศัพท์ เพราะฉะน้ัน ในที่น้ีจกั แสดงแต่อุทาหรณ์
เท่าน้นั
๑) กตั ตุวาจก
ภกิ ขฺ ุ คาม ปิ ณฺฑาย ปวิฏฺ โ°. อ. ภิกษุ เขา้ ไปแลว้ สู่บา้ น เพ่อื กอ้ นขา้ ว.
๒) กมั มวาจก
อธิคโต โข มยาย ธมฺโม. อ. ธรรม น้ี อนั เรา ถึงทบั แลว้ แล.
๓) ภาววาจก
การเณเนตฺถ ภวติ พฺพ. อนั เหตุ (ในสิ่ง) น้ี พึงมี.
คู่มือบาลไี วยากรณ์ ๑๑๙
สานกั เรียนวัดโสธรวราราม
๔) เหตกุ ตั ตวุ าจก
สเทวก ตารยนฺโต. (อ. ท่าน) ยงั โลกน้ีกบั ท้งั เทวโลก ใหข้ า้ มอย.ู่
๕) เหตุกมั มวาจก
อย ถูโป ปติฏฺ °าปิ โต. อ. พระสถูป น้ี (อนั เขา) ใหต้ ้งั เฉพาะเแลว้ .
ปัจจัยแห่งกริ ิยากติ ก์
ปัจจัยทีส่ าหรับประกอบกบั กิริยากติ ก์น้นั จดั เป็น ๓ พวก เหมือน
ปัจจยั แห่งนามกิตก.์
(๑) กติ ปัจจยั อยา่ งน้ี อนฺต, ตวนฺตุ, ตาวี.
(๒) กจิ จปัจจัย อยา่ งน้ี อนยี , ตพพฺ .
(๓) กติ กจิ จปัจจัย อยา่ งน้ี มาน, ต, ตูน, ตฺวา, ตฺวาน.
ในปัจจยั ท้งั ๓ พวกน้นั (จดั ลงในกาล) ดงั น้ี
อนฺต, มาน ๒ ตวั น้ี บอก ปัจจบุ นั กาล (แปลวา่ อย,ู่ เมื่อ)
ตวนฺตุ, ตาวี, ต, ตูน, ตูวา, ตฺวาน ๖ ตวั น้ี บอก อดีตกาล
(แปลวา่ แลว้ , คร้ัน – แลว้ )
อนีย, ตพพฺ ๒ น้ี บอก ความจาเป็ น (แปลวา่ ควร, พึง)
กติ ปัจจยั (เป็นกตั ตุวาจก และเหตุกตั ตุวาจก)
อนฺต ปัจจัย มี อุ. อย่างนี้
สุณนฺโต ฟังอย.ู่ สุ ธาตุ ในความฟัง ณา ปัจจยั ประจาหมวดธาตุ
กโรนฺโต ทาอย.ู่ กรฺ ธาตุ ในความทา โอ ปัจจยั ประจาหมวดธาตุ
กเถนฺโต กล่าวอย.ู่ กถฺ ธาตุ ในความกลา่ ว เอ ปัจจยั ประจาหมวดธาตุ
ถา้ เป็น อติ ถลี งิ ค์ ลง อี เป็น สุณนฺต,ี กโรนฺตี, กเถนฺตี (แจกอยา่ ง นารี นาง).
๑๒๐ สำนักเรียนวดั โสธรวราราม
คมู่ ือบาลไี วยากรณ์
ตวนฺตุ ปัจจยั มี อุ. อย่างนี้
สุตวา ฟังแลว้ . สุ ธาตุ ในความฟัง.
ภุตฺตวา กินแลว้ . ภุชฺ ธาตุ ในความกิน. เอาที่สุดธาตุ เป็น ตฺ
วสุ ิตวา อยแู่ ลว้ . วสฺ ธาตุ ในความอย.ู่ เอา ว เป็น วุ แลว้ ลง อิ
ถา้ เป็น อติ ถีลงิ ค์ เป็น สุตวตี, ภุตฺตวตี, วสุ ิตวต.ี
ตาวี ปัจจยั มี อุ. อย่างนี้
ปุ.í อติ ฺ. นปíุ. คาแปล
สุตาวี สุตาวนิ ี สุตาวิ ฟังแลว้ .
ภตุ ฺตาวี ภตุ ฺตาวนิ ี ภุตฺตาวิ กินแลว้ .
วสุ ิตาวี วุสิตาวินี วุสิตาวิ อยแู่ ลว้ .
กริ ิยาศัพท์ท่ปี ระกอบด้วยกติ ปัจจัยอยา่ งน้ี อยู่หน้ากริ ิยาอาขยาตโดยมาก
พึงเห็นวา่ เป็ นเหมือนบทวิเสสนะ.
กจิ จปัจจัย
(เป็นกมั มวาจก เหตกุ มั มวาจก และภาววาจก)
อนยี ปัจจัย มี อุ. อย่างนี้
กรณยี อนั เขาพงึ ทา. กรฺ ธาตุ ในความทา เอา น เป็น ณ เพราะธาตุมี ร เป็นที่สุด
วจนยี อนั เขาพึงกล่าว. วจฺ ธาตุ ในความกล่าว
โภชนีย อนั เขาพงึ กิน. ภชุ ฺ ธาตุ ในความกิน พฤทธ์ิ อุ เป็น โอ.
ศพั ทท์ ี่ประกอบดว้ ยปัจจยั ตวั น้ี บางศัพท์กใ็ ช้เป็ นนามกติ ก์บ้าง
อุ. ปณีเตน ขาทนีเยน โภชนีเยน ปริวสิ ิ. (อ. เขา) เล้ียงแลว้ ด้วยของควรเคีย้ ว
ด้วยของควรบริโภค อนั ประณีต.
คูม่ อื บาลไี วยากรณ์ ๑๒๑
สานักเรยี นวดั โสธรวราราม
ตพพฺ ปัจจยั มี อ.ุ อย่างนี้
กตฺตพพฺ อนั เขาพึงทา. กรฺ ธาตุ ในความทา ลบ รฺ ซอ้ น ตฺ
วตฺตพฺพ อนั เขาพงึ กล่าว. วทฺ ธาตุ ในความกลา่ ว เอา ทฺ เป็น ตฺ
ภุญชฺ ิตพฺพ อนั เขาพงึ กิน. ภชุ ฺ ธาตุ ในความกิน ลง อิ อาคม.
กติ กจิ จปัจจยั (เป็นไดท้ ้งั ๕ วาจก)
มาน ปัจจัย มี อุ. อย่างนี้
มาน ปัจจยั น้ี มีคติเหมือน อนฺต กแ็ ต่วา่ ถ้าไม่มี ย ปัจจยั ซึ่งลงใน
กรรม เป็น กตั ตวุ าจก. ถ้ามี ย ปัจจยั น้นั เป็น กมั มวาจก อยา่ งน้ี
กตั ตวุ าจก กมั มวาจก
กรุ ุมาโน ทาอย.ู่ กริยมาโน อนั เขาทาอย.ู่
ภญุ ฺชมาโน กินอย.ู่ ภุญชฺ ิยมาโน อนั เขากินอย.ู่
วทมาโน กล่าวอย.ู่ วจุ ฺจมาโน อนั เขากล่าวอย.ู่
ต ปัจจยั มี อ.ุ อย่างนี้
(๑) ธาตมุ ี มฺ และ นฺ เป็นที่สุด ลบท่ีสุดธาตุ.
คโต ไปแลว้ . คมฺ ธาตุ ในความไป, ความถึง
รโต ยนิ ดีแลว้ . รมฺ ธาตุ ในความยนิ ดี
ขโต อนั เขาขดุ แลว้ . ขนฺ ธาตุ ในความขุด
หโต อนั เขาฆ่าแลว้ . หนฺ ธาตุ ในความฆ่า
(๒) ธาตุ จฺ ชฺ และ ปฺ เป็นที่สุด แปลงที่สุดธาตุ เป็น ตฺ.
สิตฺโต อนั เขารดแลว้ . สิจฺ ธาตุ ในความรด
วิวิตฺโต สงดั แลว้ . ว+ิ วจิ ฺ ธาตุ ในความสงดั
๑๒๒ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คู่มอื บาลีไวยากรณ์
ภตุ ฺโต อนั เขากินแลว้ . ภชุ ฺ ธาตุ ในความกิน
จตฺโต อนั เขาสละแลว้ . จชฺ ธาตุ ในความสละ
คุตฺโต อนั เขาคุม้ ครองแลว้ . คปุ ฺ ธาตุ ในความคมุ้ ครอง
ตตฺโต ร้อนแลว้ . ตปฺ ธาตุ ในความร้อน
(๓) ธาตมุ ี อา เป็นที่สุดกด็ ี ต เป็นกมั มวาจกกด็ ี ลง อิ อาคม.
°Ôโต ยนื แลว้ . °า ธาตุ ในความต้งั อยู่
ปิ โต อนั เขาดื่มแลว้ . ปา ธาตุ ในความด่ืม
ภชิ ฺฌิโต อนั เขาเพง่ จาเพาะแลว้ . อภิ บทหนา้ ฌา ธาตุ ในความเพ่ง
ภาสิโต อนั เขากลา่ วแลว้ . ภาสฺ ธาตุ ในความกลา่ ว
(๔) ธาตุมี ทฺ เป็นท่ีสุดอยหู่ นา้ แปลง ต เป็น นฺน แลว้ ลบท่ีสุดธาตุ.
ฉนฺโน อนั เขามงุ แลว้ . ฉทฺ ธาตุ ในความปิ ด
สนฺโน จมแลว้ . สทฺ หรือ สิทฺ ธาตุ ในความจม
รุนฺโน ร้องใหแ้ ลว้ . รุทฺ ธาตุ ในความร้องไห้
ฉินฺโน อนั เขาตดั แลว้ . ฉิทฺ ธาตุ ในความตดั
ภินฺโน แตกแลว้ . ภทิ ฺ ธาตุ ในความแตก
ทินฺโน อนั เขาใหแ้ ลว้ . ทา ธาตุ ในความให้
(เอา อา ท่ี ทา เป็น อ)ิ
(๕) ธาตุมี รฺ เป็นท่ีสุดอยหู่ นา้ แปลง ต เป็น ณฺณ แลว้ ลบท่ีสุดธาตุ.
ชิณฺโณ แก่แลว้ . ชิรฺ ธาตุ ในความคร่าคร่า
ติณโฺ ณ ขา้ มแลว้ . ตรฺ ธาตุ ในความขา้ ม
ปณุ ฺโณ เตม็ แลว้ . ปรู ฺ ธาตุ ในความเตม็
คู่มอื บาลไี วยากรณ์ ๑๒๓
สานักเรยี นวดั โสธรวราราม
(๖) ธาตุมี สฺ เป็นที่สุดอยหู่ นา้ แปลง ต เป็น ฏฺ ° แลว้ ลบทีส่ ุดธาตุ.
ตุฏฺ โ° ยนิ ดีแลว้ . ตสุ ฺ ธาตุ ในความยนิ ดี
หฏฺ โ° ร่าเริงแลว้ . หสฺ ธาตุ ในความหัวเราะ
ปวฏิ ฺ โ° เขา้ ไปแลว้ . ป+วิสฺ ธาตุ ในความเขา้ ไป
(๗) ธาตมุ ี ธฺ และ ภฺ เป็นที่สุดอยู่หนา้ แปลง ต เป็น ทฺธ แลว้ ลบทสี่ ุดธาตุ.
พุทฺโธ รู้แลว้ . พุธฺ ธาตุ ในความรู้
กุทฺโธ โกรธแลว้ . กธุ ฺ ธาตุ ในความโกรธ
รุทฺโธ ปิ ดแลว้ . รุธฺ ธาตุ ในความก้นั
ลทฺโธ อนั เขาไดแ้ ลว้ . ลภฺ ธาตุ ในความได้
อารทฺโธ อนั เขาปรารภแลว้ . อา+รภฺ ธาตุ ในความเร่ิม
(๘) ธาตุมี มฺ เป็นที่สุดอยหู่ นา้ แปลง ต เป็น นฺต แลว้ ลบท่สี ุดธาตุ.
ปกกฺ นฺโต หลีกไปแลว้ . ป+กมฺ ธาตุ ในความกา้ วไป
ทนฺโต ทรมานแลว้ . ทมฺ ธาตุ ในความทรมาน
สนฺโต ระงบั แลว้ . สมฺ ธาตุ ในความสงบ, ระงบั
(๙) ธาตุมี หฺ เป็นที่สุดอยหู่ นา้ แปลง ต เป็น ฬฺห แลว้ ลบที่สุดธาตุ.
รุฬฺโห งอกแลว้ . รุหฺ ธาตุ ในความงอก
มฬุ ฺโห หลงแลว้ . มุหฺ ธาตุ ในความหลง
วฬุ ฺโห อนั น้าพดั ไปแลว้ . วุหฺ ธาตุ ในความลอย
๑๒๔ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คู่มอื บาลไี วยากรณ์
ข้อควรจา :-
๑. ธาตมุ ีกรรม ลง ต ปัจจยั เป็น กมั มวาจก
๒. ธาตไุ มม่ ีกรรม ลง ต ปัจจยั เป็น กตั ตุวาจก, ภาววาจก.
๓. ธาตุมีกรรมและไมม่ ีกรรมลงปัจจยั ในเหตกุ ตั ตุวาจก เป็น เหตกุ มั มวาจก.
๔. ต ปัจจยั เป็นนามนามได้ เช่น พุทฺโธ เป็นตน้ .
๕. ต ปัจจยั เป็นกิริยาคมุ พากยไ์ ดท้ ้งั ๓ บรุ ุษ เช่น
- ประถมบุรุษ โส คาม คโต. อ. เขา ไปแลว้ สู่บา้ น.
เต คาม คตา. อ. เขา ท. ไปแลว้ สู่บา้ น.
- มธั ยมบุรุษ อห คาม คโต. อ. เรา ไปแลว้ สู่บา้ น.
มย คาม คตา. อ. เรา ท. ไปแลว้ สู่บา้ น.
- อุตตมบุรุษ ตฺว คาม คโต. อ. ทา่ น ไปแลว้ สู่บา้ น.
ตุมฺเห คาม คตา. อ. ทา่ น ท. ไปแลว้ สู่บา้ น.
ตูนาทิปัจจัย
ปัจจยั มี ตูน ปัจจยั เป็นตน้ หมายถึง ปัจจัย ๓ ตัว คือ ตูน ตฺวา
ตฺวาน เรียกวา่ ตูนาทิ ปัจจัย.
ตูน ตฺวา ตฺวาน คาแปล
กาตูน กตฺวา กตฺวาน ทาแลว้
คนฺตูน คนฺตฺวา คนฺตฺวาน ไปแลว้
หนฺตูน หนฺตฺวา หนฺตฺวาน ฆา่ แลว้
(๑) อุปสัคอยู่หน้า แปลงปัจจยั ท้งั ๓ เป็น ย.
อาทาย ถือเอาแลว้ . อา บทหนา้ ทา ธาตุ ในความถือเอา
ปหาย ละแลว้ . ป บทหนา้ หา ธาตุ ในความละ
นสิ ฺสาย อาศยั แลว้ . นิ บทหนา้ สี ธาตุ ในความอาศยั
คู่มือบาลไี วยากรณ์ ๑๒๕
สานักเรยี นวดั โสธรวราราม
(๒) ธาตมุ ี มฺ เป็นที่สุดอยหู่ นา้ แปลง ย กบั ท่สี ุดธาตุ เป็น มฺม.
อาคมฺม มาแลว้ . อา บทหนา้ คมฺ ธาตุ ในความไป
นกิ ฺขมฺม ออกแลว้ . นิ บทหนา้ ขมฺ ธาตุ ในความออก
อภิรมฺม ยนิ ดียงิ่ แลว้ . อภิ บทหนา้ รมฺ ธาตุ ในความยนิ ดี
(๓) ธาตุมี ทฺ เป็นท่ีสุดอยหู่ นา้ แปลง ย กบั ที่สุดธาตุ เป็น ชฺช.
อุปฺปชฺช เกิดข้นึ แลว้ . อุ บทหนา้ ปทฺ ธาตุ ในความเกิด
ปมชฺช ประมาทแลว้ . ป บทหนา้ มทฺ ธาตุ ในความประมาท
อจฺฉิชฺช ชิงเอาแลว้ . อา บทหนา้ ฉิทฺ ธาตุ ในความชิงเอา
(๔) ธาตมุ ี ธฺ และ ภฺ เป็นที่สุดอยหู่ นา้ แปลง ย กบั ที่สุดธาตุ เป็น ทฺธา, พฺภ.
วทิ ฺธา แทงแลว้ . วธิ ฺ ธาตุ ในความแทง
ลทฺธา ไดแ้ ลว้ . ลภฺ ธาตุ ในความได้
อารพฺภ ปรารภแลว้ . อา บทหนา้ รภฺ ธาตุ ในความเริ่ม
(๕) ธาตุมี หฺ เป็นท่ีสุดอยหู่ นา้ แปลง ย กบั ท่ีสุดธาตุเป็น ยหฺ .
ปคฺคยฺห ประคองแลว้ . ป + คหฺ ธาตุ ในความประคอง
สนฺนยฺห ผกู แลว้ . ส + นหฺ ธาตุ ในความผกู
อารุยฺห ข้ึนแลว้ . อา + รุหฺ ธาตุ ในความข้ึน
แปลง ตฺวา เป็น สฺวา, ตฺวาน เป็น สฺวาน เฉพาะแต่ ทิสฺ ธาตุ อยา่ งเดียว
เช่น ทิสฺวา ทิสฺวาน เห็นแลว้ เป็นตน้ .
ปัจจยั ท้งั ๓ ตวั น้ี ตูน ตฺวา ตฺวาน น้ี บอกอดีตกาล โดยมากกวา่ กาลอ่ืน.
จบกริ ิยากติ ก์
๑๒๖ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คมู่ อื บาลไี วยากรณ์
สมาส
นามศัพท์ ต้ังแต่ ๒ ศัพท์ขึ้นไป ท่านย่อเข้าเป็ นบทเดียวกัน ชื่อ
สมาส
สมาสน้ี บางอย่างก็มีในภาษาของเรา เหมือนคาว่า ''อย่าทาซึ่งบาป''
ยอ่ เขา้ สมาสเป็น “อย่าทาบาป”, “ส่ิงนกี้ ้าไหล่ด้วยทอง” เป็น “ส่ิงนีก้ ้าไหล่ทอง”,
“นายให้รางวัลแก่บ่าว” เป็ น “นายให้รางวัลบ่าว”, “สมุดของใคร” เป็ น
“สมดุ ใคร”, “สัตว์ในน้า หรือ สัตว์เกดิ ในน้า” เป็น “สัตว์นา้ ” เป็นตน้ .
สมาสในบาลีภาษา วา่ โดยกจิ มี ๒ อยา่ ง คือ
๑) สมาสท่ีท่านลบวภิ ัตตเิ สียแล้ว เรียกวา่ “ลุตฺตสมาโส”
๒) สมาสท่ีท่านยังมไิ ด้ลบวิภตั ติ เรียกวา่ “อลตุ ฺตสมาโส”
ลตุ ตสมาส มี อุ. วา่ “ก°นÔ สฺส ทสุ ฺส = ก°นÔ ทสุ ฺส อ. ผา้ เพอื่ กฐิน,
รญโฺ ญ ธน = ราชธน อ. ทรัพย์ ของพระราชา” เป็นตน้ .
อลุตตสมาส มี อ.ุ วา่ “ทูเร นิทาน = ทูเรนทิ าน (วตฺถุ) (อ. วตั ถุ)
มีนิทานในท่ีไกล, อรุ สิ โลโม = อรุ สิโลโม (พรฺ าหฺมโณ) (อ. พราหมณ์) มีขน
ท่ีอก”เป็นตน้ .
สมาสน้นั วา่ โดยช่ือ มี ๖ อยา่ ง คือ
๑) กมฺมธารโย, ๒) ทคิ ,ุ ๓) ตปฺปรุ ิโส,
๔) ทวนฺทฺโว, ๕) อพฺยยีภาโว, ๖) พหุพฺพิหิ.
กมั มธารยสมาส
นามศัพท์ ๒ บท มวี ิภัตตแิ ละวจนะเป็ นอย่างเดยี วกนั
บทหน่ึง เป็ นประธาน คือเป็น นามนาม,
บทหน่ึง เป็ นวิเสสนะ คอื เป็น คุณนาม
๑๒๗
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์ สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
หรือ เป็ นคณุ นามท้ัง ๒ บท มีบทอื่น เป็ นประธาน ที่ท่านย่อเข้าเป็ นบท
เดียวกนั ชื่อวา่ กมั มธารยสมาส.
กมั มธารยสมาสน้นั มี ๖ อยา่ ง คือ
๑) วเิ สสนปพุ ฺพปโท, ๒) วเิ สสนุตฺตรปโท, ๓) วเิ สสโนภยปโท,
๔) วเิ สสโนปมปโท, ๕) สมฺภาวนปุพฺพปโท, ๖) อวธารณปพุ ฺพปโท.
วเิ สสนบุพพบท มีบทวเิ สสนะ อยู่หน้า, บทประธาน อยู่ข้างหลงั อยา่ งน้ี
มหนฺโต ปุริโส = มหาปรุ ิโส อ. บรุ ุษใหญ่
ขตฺติยา กญฺญา = ขตฺตยิ กญฺญา อ. นางกษตั ริย์
นลี อปุ ปฺ ล = นลี ุปปฺ ล อ. ดอกอบุ ลเขียว
ในสมาสน้ี เอา มหนฺต ศพั ท์ เป็น มหา อยา่ งน้ี
มหนฺโต ปุริโส = มหาปุริโส อ. บุรุษใหญ่
มหตี ธานี = มหาธานี อ. เมืองใหญ่
มหนฺต นคร = มหานคร อ. นครใหญ่
บางสมาสทา่ นก็ย่อบทวเิ สสนะ เหลือไว้แต่อกั ษรตัวหน้า อยา่ งน้ี
กจุ ฺฉิตา ทิฏฺ°Ô = กุทิฏฺ°Ô อ. ทิฏฐิอนั บณั ฑิตเกลียด
ปธาน วจน = ปาวจน อ. คาเป็นประธาน
สนฺโต ปุริโส = สปปฺ รุ ิโส อ. บรุ ุษระงบั แลว้ .
แม้ถึงอย่างนี้ ก็เป็น วิเสสนบุพพบทแท.้
วเิ สสนุตตรบท มีบทวิเสสนะ อย่หู ลงั , บทประธาน อยู่หน้า อยา่ งน้ี
สตฺโต วเิ สโส = สตฺตวิเสโส อ. สตั วว์ ิเศษ
นโร วโร = นรวโร อ. นระประเสริฐ
มนุสฺโส ทลิทฺโท = มนุสฺสทลทิ ฺโท อ. มนุษยข์ ดั สน
๑๒๘ สำนกั เรียนวัดโสธรวราราม
คู่มอื บาลไี วยากรณ์
วเิ สสโนภยบท มีบทท้งั ๒ เป็ นวิเสสนะ มี บทอ่ืนเป็ นประธาน อยา่ งน้ี
สีตญจฺ สมฏฺ °ญจฺ = สีตสมฏฺ°í (°าน) (อ.ที่) ท้งั เยน็ ท้งั เกล้ียง
อนฺโธ จ วธโิ ร จ = อนฺธวธิโร (ปรุ ิโส) (อ.บรุ ุษ) ท้งั บอดท้งั หนวก
ขญฺโช จ ขุชฺโช จ = ขญฺชขชุ ฺโช (ปุริโส) (อ.บรุ ุษ) ท้งั กระจอกท้งั ค่อม
วเิ สสโนปมบท มีบทวิเสสนะเป็ นอุปมา จดั เป็ น ๒ ตามวเิ สสนะอยู่
หน้าและหลงั คือ อปุ มาปพุ ฺพปโท ๑ อปุ มานุตฺตรปโท ๑
สมาสที่มีอุปมาอยู่หน้า เรียก อปุ มาปพุ ฺพปโท มี อ.ุ อยา่ งน้ี
สงฺข อวิ ปณฺฑร = สงฺขปณฺฑร (ขีร) (อ. น้านม) ขาวเพียงดงั สังข์
กาโก อวิ สูโร = กากสูโร อ. คนกลา้ เพียงดงั กา
ทิพพฺ อวิ จกฺขุ = ทิพฺพจกฺขุ อ. จกั ษุเพยี งดงั ทิพย.์
สมาสทมี่ อี ปุ มาอยู่หลงั เรียก อปุ มานุตฺตรปโท มี อ.ุ อยา่ งน้ี
นโร สีโห อวิ = นรสีโห อ. นระเพียงดงั สีหะ
ญาณ จกขฺ ุ อวิ = ญาณจกขฺ ุ อ. ญาณเพียงดงั จกั ษุ
ปญฺญา ปาสาโท อวิ = ปญฺญาปาสาโท อ. ปัญญาเพียงดงั ปราสาท.
สัมภาวนบุพพบท มี บทหน้า อนั ท่านประกอบด้วย อติ ิ ศัพท์,
บทหลงั เป็ นประธาน ดงั น้ี
ขตฺติโย (อห) อติ ิ มาโน = ขตฺตยิ มาโน อ. มานะวา่ (เรา) เป็นกษตั ริย์
สตฺโต อติ ิ สญฺญา = สตฺตสญฺญา อ. ความสาคญั วา่ สัตว์
สมโณ (อห) อติ ิ ปฏิญฺญา = สมณปฏิญฺญา อ.ปฏิญญาวา่ (เรา)เป็นสมณะ.
คู่มือบาลไี วยากรณ์ ๑๒๙
สานักเรียนวดั โสธรวราราม
อวธารณบพุ พบท มี บทหน้า อนั ท่านประกอบด้วย เอว ศัพท์, บทหลงั
เป็ นประธาน ดงั น้ี
ปญฺญา เอว ปโชโต = ปญญฺ าปโชโต (ปทีโป) (อ.ประทีป) อนั โพลงทวั่
คือปัญญา
พุทฺโธ เอว รตน = พุทฺธรตน อ. รัตนะคอื พระพุทธเจา้
สทฺธา เอว ธน = สทฺธาธน อ. ทรัพยค์ ือศรัทธา.
(ไม่ท่อง)
วิธีวางวิเคราะห์แห่งกัมมธารยสมาส ที่เขียนไวข้ า้ งตน้ น้ัน มิใช่แบบ
ท่ีนักปราชญ์ท่านใช้ในคัมภีร์ศัพทศาสตร์ แบบวิเคราะห์ที่ท่านใช้ในคมั ภีร์
ศพั ทศาสตร์ท้งั หลาย ดงั น้ี
วเิ สสนบพุ พบท
มหนฺโต จ โส ปรุ ิโส จาติ = มหาปุริโส.
อ. บรุ ุษ น้นั ดว้ ย เป็นผใู้ หญ่ดว้ ย เหตนุ ้นั ช่ือวา่ บุรุษผใู้ หญ่.
วเิ สสนุตตรบท
สตฺโต จ โส วเิ สโส จาติ = สตฺตวิเสโส.
อ. สตั ว์ น้นั ดว้ ย วเิ ศษดว้ ย เหตุน้นั ช่ือวา่ สตั วว์ เิ ศษ.
วิเสสโนภยบท
สีตญจฺ ต สมฏฺ °ญจฺ าติ = สีตสมฏฺ °í (°าน).
(อ. ท่ี) น้นั เยน็ ดว้ ย เกล้ียงดว้ ย เหตุน้นั ชื่อวา่ ท้งั เยน็ ท้งั เกล้ียง.
อกี ๓ สมาสน้นั มีแบบวิเคราะห์เหมือนอย่างในที่น.ี้
๑๓๐ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
คมู่ อื บาลไี วยากรณ์
ทคิ สุ มาส
กมั มธารยสมาส ที่มสี ังขยาอยู่ข้างหน้า ช่ือ ทคิ ุสมาส
ทคิ สุ มาสน้นั มี ๒ อย่าง คือ สมาหาโร ๑ อสมาหาโร ๑
ทิคสุ มาส คือ สมาสท่ีท่านรวมนามศพั ทม์ ีเน้ือความท่ีเป็นพหุวจนะ
ทาให้เป็ นเอกวจนะ นปุงสกลงิ ค์ ช่ือ สมาหารทคิ ุ อ.ุ อย่างน้ี
ตโย โลกา = ตโิ ลก อ. โลก ๓
จตสฺโส ทสิ า = จตุทฺทสิ อ. ทิศ ๔
ปญจฺ อนิ ฺทฺริยานิ = ปญฺจนิ ฺทฺริย อ. อินทรีย์ ๕
ทิคุสมาส ที่ท่านไม่ได้ทาอย่างนี้ (ไม่ไดร้ วมนามศพั ทม์ ีเน้ือความที่
เป็นพหุวจนะใหเ้ ป็นเอกวจนะ นปุงสกลงิ ค์) ชื่อ อสมาหารทคิ ุ อ.ุ อยา่ งน้ี
เอโก ปคุ ฺคโล = เอกปุคฺคโล อ. บคุ คลผเู้ ดียว
จตสฺโส ทสิ า = จตทุ ฺทสิ า อ. ทิศ ๔ ท.
ปญจฺ พลานิ = ปญฺจพลานิ อ. กาลงั ๕ ท.
ข้อควรจา :-
๑. ทิคุสมาส ต้องใช้ปกติสังขยาต้ังแต่ เอก (๑) ถึง อฏฺ °นวุติ (๙๘)
นาหนา้ นามนามเท่าน้นั แต่ถา้ มีอญั ญบท เป็ นฉัฏฐีตุลยาธิกรณพหุพพหิ ิสมาส
(ฉ.ตุล.) เช่น ปญจฺ วณฺณา (อ. ปี ติ) มีวรรณะ ๕ เป็นตน้ .
๒. ปกติสังขยา ต้ังแต่ เอกูนสต (๙๙) ข้ึนไป นาหน้านามนามเป็ น
ฉัฏฐีตุลยาธิกรณพหุพพิหิสมาส (ฉ.ตุล) เช่น ปญฺจสตา (โจรา) อ. โจร ท.
มีร้อยห้าเป็ นประมาณ เป็ นต้น, ตามหลังนามนามเป็ นฉัฏฐีตัปปุริสสมาส
(ฉ.ตปั .) เช่น ภิกฺขสุ ต อ. ร้อยแห่งภิกษุ เป็นตน้ .
คู่มอื บาลไี วยากรณ์ ๑๓๑
สานกั เรยี นวดั โสธรวราราม
๓. ปูรณสังขยา นาหนา้ นามนาม เป็นวิเสสนบุพพบท กมั มธารยสมาส
(วิ.บุพ.กัม.) เช่น ป°มภาโค อ. ส่วนที่หน่ึง เป็ นตน้ , ถา้ ตามหลงั นามนาม
มีบทอ่ืนเป็นประธาน (อญั ญบท) เป็นฉัฏฐีตุลยาธิกรณพหุพพหิ ิสมาส (ฉ.ตุล.)
เช่น อตฺตปญฺจทสโม (ชโน) (อ. ชน) มีตนเป็ นที่สิบห้า, ลาชปญฺจม (วตฺถุ)
(อ. วตั ถุ) มีขา้ วตอกเป็นที่หา้ เป็นตน้ .
ตัปปุริสสมาส
นามศัพท์มี อ วิภัตตเิ ป็ นต้น ในทีส่ ุดท่านย่อเข้าด้วยบทเบื้องปลาย
ชื่อวา่ ตัปปุริสสมาส
ตปั ปรุ ิสสมาสน้ี มี ๖ อย่าง คือ ๑) ทุติยาตปปฺ ุริโส, ๒) ตติยาตปฺปรุ ิโส
๓) จตุตฺถตี ปปฺ ุริโส, ๔) ปญฺจมีตปปฺ รุ ิโส, ๕) ฉฏฺ °ีตปฺปรุ ิโส, ๖) สตฺตมีตปฺปรุ ิโส.
ทุติยาตปั ปุริสะ อยา่ งน้ี
สุข ปตฺโต = สุขปฺปตฺโต (ปุริโส) (อ. บุรุษ) ถึงแลว้ ซ่ึงสุข
คาม คโต = คามคโต (ปุริโส) (อ. บุรุษ) ไปแลว้ สู่บา้ น
สพฺพรตฺตึ โสภโณ = สพพฺ รตฺติโสภโณ (จนฺโท) (อ. พระจนั ทร์) งาม
ตลอดราตรีท้งั สิ้น.
ตตยิ าตัปปุริสะ อยา่ งน้ี
อสฺเสน (ยตุ ฺโต) รโถ = อสฺสรโถ อ. รถ (เทียมแลว้ ) ดว้ ยมา้
สลฺเลน วิทฺโธ = สลลฺ วทิ ฺโธ (ชนฺตุ) (อ. สัตว)์ อนั ลกู ศร แทงแลว้
อสินา กลโห = อสิกลโห อ. ความทะเลาะ เพราะดาบ.
จตุตถีตปั ปุริสะ อยา่ งน้ี
ก°Ôนสฺส ทสุ ฺส = ก°Ôนทสุ ฺส อ. ผา้ เพ่ือกฐิน
อาคนฺตกุ สฺส ภตฺต = อาคนฺตุกภตฺต อ. ภตั ร เพ่ือผมู้ า
คิลานสฺส เภสชฺช = คลิ านเภสชฺช อ. ยา เพอื่ คนไข.้
๑๓๒ สำนักเรยี นวดั โสธรวราราม
คู่มือบาลีไวยากรณ์
ปัญจมตี ปั ปรุ ิสะ อยา่ งน้ี
โจรมฺหา ภย = โจรภย อ. ภยั แต่โจร
มรณสฺมา ภย = มรณภย อ. ความกลวั แต่ความตาย
พนฺธนา มตุ ฺโต = พนฺธนมุตฺโต (สตฺโต) (อ.สัตว)์ พน้ แลว้ จากเครื่องผกู .
ฉัฏฐีตปั ปรุ ิสะ อยา่ งน้ี
รญโฺ ญ ปตุ ฺโต = ราชปตุ ฺโต อ. บุตร (พระโอรส) ของพระราชา
ธญญฺ าน ราสิ = ธญฺญราสิ อ. กอง แห่งขา้ วเปลือก
รุกขฺ สฺส สาขา = รุกฺขสาขา อ. ก่ิง แห่งตน้ ไม.้
สัตตมีตัปปรุ ิสะ อยา่ งน้ี
รูเป สญฺญา = รูปสญฺญา อ. ความสาคญั ในรูป
สสาเร ทุกฺข = สสารทุกฺข อ. ทุกข์ ในสงสาร
วเน ปปุ ฺผ = วนปุปผฺ อ. ดอกไม้ ในป่ า.
อุภยตปั ปุริสสมาส หรือ น บพุ พบท กมั มธารยสมาส (แปลวา่ มิใช่...)
สมาสทม่ี ี น อยู่หน้า อยา่ งน้ี
น พฺราหฺมโณ = อพฺราหฺมโณ (อย ชโน) (อ. ชนน้ี) มิใช่พราหมณ์
น วสโล = อวสโล (อย ชโน) (อ. ชนน้ี) มิใช่คนถอ่ ย
น อสฺโส = อนสฺโส (อย สตฺโต) (อ. สตั วน์ ้ี) มิใช่มา้
น อริโย = อนริโย (อย ชโน) (อ. ชนน้ี) มิใช่พระอริยเจา้ .
เป็นตน้ เรียกวา่ อุภยตัปปรุ ิสสมาสบ้าง กมั มธารยสมาสมี น เป็ นบทหน้าบ้าง.
ในสมาสน้ี ถา้ พยญั ชนะ อยหู่ ลงั น, เอา น เป็น อ เหมือน อพฺราหฺมโณ
เป็นตน้ ถา้ สระ อยหู่ ลงั น, เอา น เป็น อน เหมือน อนสฺโส เป็นตน้ .
ค่มู อื บาลไี วยากรณ์ ๑๓๓
สานกั เรียนวัดโสธรวราราม
ตัปปุริสสมาส น้ี แปลกกนั กบั กมั มธารยะ อยา่ งน้ี
กัมมธารยะ มีวิภัตติและวจนะเสมอกัน บทหน่ึง เป็ นประธาน
บทหน่ึงเป็ นวเิ สสนะ หรือ เป็ นวเิ สสนะท้งั ๒ บท
ส่วน ตัปปรุ ิสสมาส มี วภิ ตั ติและวจนะไม่เสมอกนั .
ทวันทวสมาส
นามนามต้งั แต่ ๒ ศัพท์ขนึ้ ไปท่านย่อเข้าเป็ นบทเดยี วกนั ช่ือวา่
ทวนั ทวสมาส.
ทวันทวสมาสน้ี มี ๒ อย่าง คือ สมาหาโร ๑ อสมาหาโร ๑. (เหมือน ทิคุ.)
สมาหารทวันทวะ อยา่ งน้ี
(บทสมาสเป็นเอกวจนะ นปุíสกลงิ ค์)
สมโถ จ วิปสฺสนา จ = สมถวปิ สฺสน อ. สมถะดว้ ย อ. วิปัสสนาดว้ ย
ช่ือวา่ อ. สมถะและวปิ ัสสนา.
สงฺโข จ ปณโว จ = สงฺขปณว อ. สงั ขด์ ว้ ย อ. บณั เฑาะวด์ ว้ ย
ชื่อวา่ อ. สงั ขแ์ ละบณั เฑาะว.์
ปตฺโต จ จีวรญจฺ = ปตฺตจีวร อ. บาตรดว้ ย อ. จีวรดว้ ย
ช่ือวา่ อ. บาตรและจีวร.
หตฺถี จ อสฺโส จ รโถ จ ปตฺตโิ ก จ = หตฺถอี สฺสรถปตฺตกิ อ.ชา้ งดว้ ย
อ. มา้ ดว้ ย อ. รถดว้ ย อ. คนเดินดว้ ย ชื่อวา่ อ. ชา้ งและมา้ และรถและคนเดิน.
๑๓๔ สำนกั เรยี นวดั โสธรวราราม
คู่มอื บาลไี วยากรณ์
อสมาหารทวันทวะ อยา่ งน้ี
(บทสมาสเป็นพหุวจนะ เป็นได้ทกุ ลงิ ค์ ใชล้ ิงคข์ องบทสุดทา้ ยเป็นหลกั )
จนฺทิมา จ สุริโย จ = จนฺทมิ สุริยา อ. พระจนั ทร์ดว้ ย
อ. พระอาทิตยด์ ว้ ย ชื่อวา่ อ. พระจนั ทร์และพระอาทิตย์ ท.
สมโณ จ พรฺ าหฺมโณ จ = สมณพฺราหฺมณา อ. สมณะดว้ ย
อ. พราหมณ์ดว้ ย ช่ือวา่ อ. สมณะและพราหมณ์ ท.
สารีปตุ ฺโต จ โมคฺคลฺลาโน จ = สารีปุตฺตโมคฺคลฺลานา อ. พระสารีบตุ ร
ดว้ ย อ. พระโมคคลั ลานะดว้ ย ช่ือวา่ อ. พระสารีบุตรและพระโมคคลั ลานะ ท.
ปณณฺ ญจฺ ปุปผฺ ญฺจ ผลญจฺ = ปณณฺ ปปุ ฺผผลานิ อ. ใบไมด้ ว้ ย
อ. ดอกไมด้ ว้ ย อ. ผลไมด้ ว้ ย ช่ือวา่ อ. ใบไมแ้ ละดอกไมแ้ ละผลไม้ ท.
ทวันทวสมาส น้ี แปลกกนั กบั วเิ สสโนภยบทกมั มธารยะ อยา่ งน้ี
วเิ สสโนภยบท เป็น บทวเิ สสนะท้งั ๒ บท (มีบทอ่ืนเป็นประธาน)
ทวันทวสมาส เป็น บทประธานท้งั สิ้น.
อพั ยยีภาวสมาส
สมาสท่ีมีอุปสัคหรือนบิ าตอยู่ข้างหน้า ชื่อวา่ อพั ยยภี าวสมาส.
อพั ยยีภาวสมาสน้ี มี ๒ อย่าง คือ อุปสคฺคปพุ พฺ โก ๑ นิปาตปพุ พฺ โก ๑.
อุปสัคคปพุ พกะ (คอื สมาสที่) มี อุปสัคอย่ขู ้างหน้า อยา่ งน้ี
นครสฺส สมปี = อุปนคร (°าน อ. ท่ี) ใกลเ้ คียงแห่งเมือง ช่ือวา่
อ.(ที่)ใกลเ้ มือง.
คูม่ ือบาลีไวยากรณ์ ๑๓๕
สานักเรยี นวดั โสธรวราราม
ทรถสฺส อภาโว = นิทฺทรถ อ. ความไม่มี แห่งความกระวนกระวาย
ช่ือวา่ อ. ความไมม่ ีความกระวนกระวาย
วาต อนุวตฺตตีติ = อนุวาต (ย วตฺถุ อ. ส่ิงใด) ยอ่ มเป็นไปตาม
ซ่ึงลม เหตุน้นั (ต วตฺถุ อ. ส่ิงน้นั ) ชื่อวา่ ตามลม
วาตสฺส ปฏวิ ตฺตตตี ิ = ปฏิวาต (ย วตฺถุ อ. สิ่งใด) ยอ่ มเป็นไปทวน
แก่ลม เหตนุ ้นั (ต วตฺถุ อ. ส่ิงน้นั ) ชื่อวา่ ทวนลม
อตฺตาน อธิวตฺตตีติ = อชฺฌตฺต (ย วตฺถุ อ. สิ่งใด) ยอ่ มเป็นไปทบั
ซ่ึงตน เหตุน้นั (ต วตฺถุ อ. สิ่งน้นั ) ชื่อวา่ ทบั ตน
(เอา อธิ เป็น อชฺฌ ในพยญั ชนะสนธิ).
นิปาตปพุ พกะ มี นบิ าตอยู่ข้างหน้า อยา่ งน้ี
วฑุ ฺฒาน ปฏปิ าฏิ = ยถาวุฑฺฒ อ. ลาดบั แห่งคนเจริญแลว้ ท.
ชื่อวา่ ตามคนเจริญแลว้ .
ชีวสฺส ยตฺตโก ปริจฺเฉโท = ยาวชีว อ. กาหนด เพียงไร แห่งชีวิต
ช่ือวา่ เพียงไรแห่งชีวติ .
ปพพฺ ตสฺส ติโร = ตโิ รปพฺพต อ. ภายนอก แห่งภเู ขา.
นครสฺส พหิ = พหนิ คร อ. ภายนอก แห่งเมือง.
ปาสาทสฺส อนฺโต = อนฺโตปาสาท อ. ภายใน แห่งปราสาท.
ภตฺตสฺส ปจฺฉา = ปจฺฉาภตฺต อ. ภายหลงั แห่งภตั ร.
อพั ยยภี าวสมาส กบั ตปั ปรุ ิสสมาส ต่างกนั ดงั น้ี
อพั ยยีภาวสมาส มีบทหน้าเป็ นประธาน และ เป็ นอปุ สัคและนบิ าต
บทหลงั เป็น นปสุí กลงิ ค์ เอกวจนะ
ส่วนตปั ปรุ ิสสมาส มี บทหลงั เป็นประธาน ไม่ได้นิยมลิงค์และวจนะ.
๑๓๖ สำนกั เรียนวัดโสธรวราราม
คมู่ ือบาลีไวยากรณ์
อพั ยยีภาวสมาส บางสมาสกม็ ีอาการ คล้ายกมั มธารยะ เหมือน
วเิ คราะหว์ า่ เย เย วฑุ ฺฒา = ยถาวฑุ ฺฒ ชนเจริญแลว้ ท. ใด ใด ชื่อวา่
เจริญแลว้ อยา่ งไร
ถึงกระน้นั กม็ ีท่ีสังเกตได้บ้าง ด้วยกมั มธารยะ ไม่นิยมบทหลงั
จะเป็ นลงิ ค์ใดกไ็ ด้ แต่อพั ยยีภาวสมาสน้ี คงเป็นนปíสุ กลิงค์ เอกวจนะ อย่าง
เดียว เหมือนบทวา่ “อนุตฺเถโร พระเถระนอ้ ย” คงเป็น กมั มธารยะแท้.
พหุพพหิ ิสมาส
สมาสอย่างหนง่ึ มีบทอ่ืนเป็ นประธาน ชื่อ พหุพพหิ ิสมาส (แปลวา่ มี..)
พหุพพหิ ิสมาสน้ี มี ๖ อย่าง ตามวิภตั ติ คือ
๑) ทุติยาพหุพพหิ ิ, ๒) ตตยิ าพหุพพิหิ, ๓) จตตุ ถพี หุพพหิ ิ,
๔) ปัญจมีพหุพพิหิ, ๕) ฉัฏฐีพหุพพิหิ, ๖) สัตตมีพหุพพิหิ.
ทตุ ยิ าพหุพพหิ ิ
เอาบทท่ีเป็น ทุติยาวภิ ัตติ ในวเิ คราะห์เป็ นประธาน แห่งบทสมาส อยา่ งน้ี
อาคตา สมณา ย โส = อาคตสมโณ (อาราโม) อ. สมณะ ท. มาแลว้
สู่อารามใด อ. อารามน้นั ช่ือวา่ มสี มณะมาแลว้ .
รุฬฺหา ลตา ย โส = รุฬฺหลโต (รุกฺโข) อ.เครือวลั ย์ ข้ึนแลว้
สู่ตน้ ไมใ้ ด อ. ตน้ ไมน้ ้นั ชื่อวา่ มีเครือวลั ยข์ ้ึนแลว้ .
สมฺปตฺตา ภิกฺขู ย โส = สมฺปตฺตภิกขุ (อาวาโส) อ. ภิกษุ ท.
ถึงพร้อมแลว้ ซ่ึงอาวาสใด อ. อาวาสน้นั ช่ือวา่ มีภิกษุถึงพร้อมแลว้ .
คู่มือบาลไี วยากรณ์ ๑๓๗
สานักเรียนวดั โสธรวราราม
ตตยิ าพหุพพหิ ิ
เอาบทท่ีเป็น ตติยาวภิ ัตติ ในวเิ คราะห์ เป็ นประธาน แห่งบทสมาส อยา่ งน้ี
ชิตานิ อินฺทฺริยานิ เยน โส = ชิตินฺทฺริโย (สมโณ) อ. อินทรีย์ ท.
อนั สมณะใด ชนะแลว้ อ. สมณะน้นั ช่ือวา่ มีอินทรียอ์ นั ชนะแลว้ .
กต ปญุ ฺญí เยน โส = กตปุญฺโญ (ปรุ ิโส) อ. บุญ อนั บรุ ุษใด
ทาแลว้ อ. บุรุษน้นั ชื่อวา่ มีบุญอนั ทาแลว้ .
อาหิโต อคฺคิ เยน โส = อาหิตคฺคิ (พฺราหฺมโณ) อ.ไฟ อนั พราหมณ์ใด
บูชาแลว้ อ. พราหมณ์น้นั ช่ือวา่ มีไฟอนั บชู าแลว้ .
อกี อย่างหนงึ่ บทวเิ สสนะอย่หู ลงั อย่างนบี้ ้าง
อคฺคิ อาหิโต เยน โส = อคฺยาหิโต (พฺราหฺมโณ). (แปลเหมือนแบบก่อน)
วสิ ปี ต เยน โส = วสิ ปี โต (สโร) อ. ยาพษิ อนั ลูกศรใด ด่ืมแลว้
อ. ลูกศรน้นั ชื่อวา่ มยี าพษิ อนั ดื่มแลว้ .
จตุตถีพหุพพหิ ิ
เอาบทท่ีเป็น จตตุ ถวี ิภัตติ ในวเิ คราะห์ เป็ นประธาน แห่งบทสมาส อยา่ งน้ี
ทินฺโน สุงฺโก ยสฺส โส = ทินฺนสุงฺโก (ราชา) อ. ส่วย
(นาคเรหิ) อนั ชาวเมือง ท. ถวายแลว้ แด่พระราชาใด อ. พระราชาน้นั ช่ือวา่
มสี ่วยอนั ชาวเมือง ท. ถวายแลว้ .
กต ทณฺฑกมฺม ยสฺส โส = กตทณฑฺ กมฺโม (สิสฺโส) อ. ทณั ฑกรรม
(อนั อาจารย)์ ทาแลว้ แก่ศิษยใ์ ด อ.ศิษยน์ ้นั ชื่อวา่ มีทณั ฑกรรมอนั อาจารยท์ าแลว้ .
สญฺชาโต สเวโค ยสฺส โส = สญฺชาตสเวโค (ชโน) อ. ความสังเวช
เกิดพร้อมแลว้ แก่ชนใด อ. ชนน้นั ช่ือวา่ มีความสงั เวชเกิดพร้อมแลว้ .
๑๓๘ สำนักเรยี นวดั โสธรวราราม
ค่มู ือบาลไี วยากรณ์
ปัญจมีพหุพพหิ ิ
เอาบทที่เป็น ปัญจมวี ภิ ัตติ ในวิเคราะห์ เป็ นประธาน แห่งบทสมาส อยา่ งน้ี
นิคฺคตา ชนา ยสฺมา โส = นคิ ฺคตชโน (คาโม) อ.ชน ท. ออกไปแลว้
จากบา้ นใด อ. บา้ นน้นั ช่ือว่า มชี นออกไปแลว้ .
ปติตานิ ผลานิ ยสฺมา โส = ปติตผโล (รุกฺโข) อ. ผล ท. หลน่ แลว้
จากตน้ ไมใ้ ด อ. ตน้ ไม้ น้นั ชื่อวา่ มผี ลหล่นแลว้ .
วโี ต ราโค ยสฺมา โส = วีตราโค (ภิกฺข)ุ อ.ราคะ ไปปราศแลว้
จากภิกษใุ ด อ. ภิกษุน้นั ช่ือวา่ มีราคะไปปราศแลว้ .
ฉัฏฐีพหุพพหิ ิ
เอาบทท่ีเป็น ฉัฏฐีวิภัตติ ในวิเคราะห์ เป็ นประธาน แห่งบทสมาส อยา่ งน้ี
ขณี า อาสวา ยสฺส โส = ขีณาสโว (ภิกขฺ ุ) อ. อาสวะ ท. ของภิกษุใด
สิ้นแลว้ อ. ภิกษุน้นั ชื่อวา่ มอี าสวะสิ้นแลว้ .
สนฺต จิตฺต ยสฺส โส = สนฺตจิตฺโต (ภิกขฺ )ุ อ. จิต ของภิกษุใด ระงบั
แลว้ อ. ภิกษุน้นั ชื่อวา่ มีจิตระงบั แลว้ .
ฉินฺนา หตฺถา ยสฺส โส = ฉินฺนหตฺโถ (ปุริโส) อ.มือ ท. ของบุรุษใด
ขาดแลว้ อ. บุรุษน้นั ชื่อวา่ มมี ือขาดแลว้ .
อกี อย่างหนึง่ บทวิเสสนะอยู่หลงั อย่างนบี้ ้าง
หตฺถา ฉินฺนา ยสฺส โส = หตฺถจฺฉินฺโน (ปุริโส). (แปลเหมือนบทก่อน)
ค่มู ือบาลีไวยากรณ์ ๑๓๙
สานักเรยี นวัดโสธรวราราม
ฉัฏฐีอปุ มาพหุพพหิ สิ มาส อยา่ งน้ี
(แปลวา่ มี... เพยี งดงั ... แห่ง...)
สุวณณฺ สฺส วณฺโณ อวิ วณฺโณ ยสฺส โส = สุวณฺณวณโฺ ณ (ภควา)
อ. วรรณะ ของพระผมู้ ีพระภาคใด เพียงดงั วรรณะแห่งทอง อ. พระผมู้ ีพระภาค
น้นั ชื่อวา่ มีวรรณะเพยี งดงั วรรณะแห่งทอง.
พฺรหฺมโุ น สโร อวิ สโร ยสฺส โส = พฺรหฺมสฺสโร (ภควา)
อ. เสียง ของพระผมู้ ีพระภาคใด เพยี งดงั เสียงแห่งพรหม อ. พระผมู้ ีพระภาค
น้นั ชื่อวา่ มีเสียงเพยี งดังเสียงแห่งพรหม.
สัตตมีพหุพพหิ ิ
เอาบทที่เป็น สัตตมวี ภิ ตั ติ ในวิเคราะห์ เป็ นประธาน แห่งบทสมาส อยา่ งน้ี
สมฺปนฺนานิ สสฺสานิ ยสฺมึ โส = สมปนฺนสสฺโส (ชนปโท) อ.ขา้ วกลา้ ท.
ในชนบทใด ถึงพร้อมแลว้ อ. ชนบทน้นั ชื่อวา่ มีขา้ วกลา้ ถึงพร้อมแลว้ .
พหู นทิโย ยสฺมึ โส = พหุนทิโก (ชนปโท) อ. แม่น้า ท. ในชนบทใด
มาก อ. ชนบทน้นั ชื่อวา่ มแี ม่น้ามาก.
°ตÔ า สิริ ยสฺมึ โส = °Ôตสิริ (ชโน) อ. ศรี ต้งั อยู่ ในชนใด
อ. ชนน้นั ชื่อวา่ มีศรีต้งั อย.ู่
ในวิเคราะห์แห่งสมาสท้งั หลายเหล่าน้ี บทประธาน และ บทวิเสสนะ
มวี ิภัตติ และ ลงิ ค์เสมอกนั แปลกแตบ่ ทสพั พนาม ทเี่ ป็ นประธานแห่งบทสมาส
ทา่ นจึงเรียกสมาสท้งั หลายเหล่าน้ีวา่ ตลุ ยาธกิ รณพหุพพหิ .ิ
๑๔๐ สำนักเรยี นวัดโสธรวราราม
ค่มู อื บาลไี วยากรณ์
ข้อควรจา :- (ใหท้ ่องจา)
๑) อาทิ, มตฺต, ปมาณ, ปริวาร, ปมุข และคุณนามต่าง ๆ เมื่อเขา้ สมาส
กับนามนาม มีอญั ญบท (บทอ่ืนเป็ นประธาน) เป็ นฉัฏฐีตุลยาธิกรณพหุพพิหิ
สมาส(ฉ.ตุล.), ถา้ เป็นเพียงบทขยาย เป็นวิเสสนบุพพบท กมั มธารยสมาส
๒) ทุ เม่ือต้งั วิเคราะห์แยกเป็น ทฏุ ฺ ° (อนั โทษประทษุ ร้ายแลว้ )
นาหนา้ นามนาม เช่น ทุสฺสีโล (อ.ชน) ผมู้ ีศีลอนั โทษประทุษร้ายแลว้
ว.ิ วา่ ทฏุ ฺ โ° สีโล ยสฺส โส = ทสุ ฺสีโล (ชโน) เป็นตน้ เป็น ฉ.ตลุ .
๓) นิ เม่ือต้ังวิเคราะห์แยกเป็ น นิกฺขนฺต (ออกแล้ว) หรือ นิคฺคต
(ออกไปแลว้ ) นาหนา้ นามนาม เป็นปัญจมีตลุ ยาธกิ รณพหุพพหิ ิสมาส (ปัญ.ตลุ .)
หรือ ฉ.ตุล. เช่น นทิ ฺทกุ ฺโข (ชโน) (อ.ชน) ผมู้ ีทกุ ขอ์ อกแลว้
ว.ิ วา่ นิกขฺ นฺโต ภโย ยสฺมา โส = นิทฺทกุ ฺโข (ชโน) เป็นตน้
๔) วิ เม่ือต้งั วิเคราะห์แยกเป็ น วิคต (ไปปราศแลว้ ) นาหน้านามนาม
เป็น ปัญ.ตลุ . หรือ ฉ.ตลุ . เช่น วิมโล (ชโน) (อ.ชน) ผมู้ ีมลทินไปปราศแลว้
ว.ิ วา่ วิคโต มโล ยสฺมา โส = วิมโล (ชโน) เป็นตน้ .
น บพุ ฺพบท พหุพพหิ ิสมาส
(แปลวา่ มี...หามิได้, ไม่มี...)
พหุพพิหิสมาสที่มีเน้ือความปฏิเสธวา่ มี...หามิได้, หรือ ไม่มี เรียกวา่
น บพุ พบท พหุพพหิ ิสมาส มี อุ. ดงั น้ี
นตฺถิ ตสฺส สโมติ = อสโม อ. ผเู้ สมอ ไม่มี แก่ท่าน เหตนุ ้นั
(โส อ. ท่าน) ชื่อวา่ มีผเู้ สมอหามิได้ หรือ ไม่มีผเู้ สมอ.
นตฺถิ ตสฺส ปฏิปุคฺคโลติ = อปฺปฏิปคุ ฺคโล อ.บุคคลเปรียบ ไม่มี แก่ท่าน
เหตนุ ้นั (โส อ.ทา่ น) ช่ือวา่ มบี คุ คลเปรียบหามิได้ หรือ ไม่มีบคุ คลเปรียบ.