หนว่ ยกำรเรียนรูท้ ี่ ๑ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๓ พระพุทธศาสนา
หน่วยกำรเรยี นรู้ท่ี ๖ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๗ หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี ๘
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔-๖
กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ่ี ๔ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๕
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี ๙ หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ี่ ๑o
๑_หลักสตู รวิชาพระพทุ ธศาสนา
๒_แผนการจัดการเรียนรู้
๓_PowerPoint_ประกอบการสอน
๔_Clip
๕_ใบงาน_เฉลย
๖_ขอ้ สอบประจาหน่วย_เฉลย
๗_การวดั และประเมนิ ผล
๘_เสรมิ สาระ
๙_ส่ือเสรมิ การเรยี นรู้
บรษิ ัท อักษรเจริญทศั น์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200
Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand
โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๑ตอนที่ พระพุทธ ๑หนว่ ยการเรยี นรู้ที่
ประวัติและความสาคญั
ของพระพุทธศาสนา
ลกั ษณะของชมพูทวปี และคติความเช่อื ทางศาสนาสมยั ก่อนพระพุทธเจ้า
• ชมพูทวปี สมัยกอ่ นพุทธกาล แบ่งตามลักษณะทางภมู ิศาสตร์ ได้เป็น ๒ สว่ น
มชั ฌมิ ประเทศ เป็นดนิ แดนตอนกลำงของชมพทู วีป ประกอบด้วยแคว้นใหญ่ ๑๖ แคว้น คือ แคว้น
อังคะ มคธ กำสี โกศล วชั ชี มลั ละ เจตี วังสะ กรุ ุ ปัญจำละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ
อวนั ตี คันธำระ และกัมโพชะ
ปัจจนั ตประเทศ เปน็ ดินแดนอนั เป็นท่ตี ง้ั ของแคว้นเล็ก ซง่ึ มอี ยดู่ ้วยกัน ๕ แควน้ คือ แควน้ สักกะ
โกลิยะ ภคั คะ วิเทหะ และอังคุตตรำปะ แควน้ เล็กเหลำ่ นี้ แมจ้ ะแยกปกครองตนเอง
แตก่ ็ยังต้องขึน้ กบั แคว้นที่ใหญ่กวำ่ คลำ้ ยกับเป็นเมืองขน้ึ หรือเมอื งประเทศรำช
สรปุ คตคิ วำมเชอ่ื ของชำวชมพูทวปี ในสมยั ก่อนพทุ ธกำล
๑ คตคิ วามเชื่อที่เกดิ จากธรรมชาติ
เป็นควำมเชอ่ื ว่ำปรำกฏกำรณ์ทำงธรรมชำติ ฝนตก ฟ้ำร้อง พำยพุ ัด แผ่นดนิ ไหว มเี ทพเจ้ำหรือ
วิญญำณ เป็นผูบ้ ันดำลใหเ้ กดิ จงึ มีกำรตัง้ ชื่อเทพเจำ้ มีกำรบูชำ บวงสรวง และเซ่นไหว้ เพื่อควำม
สงบสุขของคนในสังคม
๒ คตคิ วามเชอื่ ท่ีเกิดจากคาสอนและพธิ กี รรมของพวกพราหมณ์
ทำใหเ้ กดิ ควำมเช่อื เรื่องวรรณะ และเชื่อว่ำวรรณะพรำหมณ์เป็นผูน้ ำคำสอนจำกเทพเจ้ำมำ
ประกำศ โดยมีคมั ภีรพ์ ระเวทเป็นหลัก
๓ คตคิ วามเช่ือท่ีเกิดจากคาสอนและปรชั ญาของศาสนาต่างๆ
ในสภำพสังคมที่มีควำมทกุ ข์ทำให้มนุษย์ต่ำงคน้ หำคำตอบใหก้ บั ชีวิต จึงทำใหเ้ กิดคตคิ วำมเชื่อ
ตำ่ งๆ จำกพวกทไี่ ม่ยอมรบั คำสอนของศำสนำพรำหมณ์
พระพุทธศาสนามีทฤษฎีและวิธกี ารทเ่ี ป็นสากลและมีข้อปฏิบัติทย่ี ึดทางสายกลาง
พระพทุ ธศาสนามที ฤษฎีท่ีเป็นสากล
อรยิ สัจ ๔ เป็นทฤษฎที พ่ี ระพุทธศำสนำเน้นอยู่เสมอ
สอนวา่ ชวี ิตและโลกมปี ัญหา
• ปญั หำกำรด้นิ รนเล้ยี งชีวติ ปญั หำกำรมีชวี ติ อยูร่ อด ปญั หำสำกลอยำ่ งเกิด แก่ เจ็บ ตำย
สอนว่าปญั หามีสาเหตุ
• สรรพสง่ิ เกิดจำกเหตุ สรรพสิ่งจะดบั หรอื หมดไป กเ็ พรำะดบั เหตุ เมื่อรูว้ ่ำปญั หำทกุ อยำ่ งมสี ำเหตุ กำรแก้ปัญหำจงึ ตอ้ ง
แก้ทส่ี ำเหตุ
สอนวา่ มนุษยส์ ามารถแกป้ ญั หาไดด้ ว้ ยตนเอง
• เมอ่ื รูส้ ำเหตทุ ีแ่ ทจ้ ริงของปญั หำแลว้ ยอ่ มสำมำรถแกป้ ญั หำอันเกดิ จำกสำเหตทุ ีแ่ ท้จรงิ ของปญั หำนั้นได้
สอนวา่ การแกป้ ัญหาต้องใชป้ ัญญาและความพากเพียร
• กำรแก้ปญั หำให้สำเรจ็ ตำมควำมม่งุ หมำยได้ จะตอ้ งใช้ปัญญำกบั ควำมพำกเพียรควบคู่กันไปในกำรแก้ปญั หำ
พระพทุ ธศาสนามขี อ้ ปฏิบตั ทิ ่ยี ดึ ทางสายกลาง
“ มัชฌิมาปฏิปทา ” ๑ สมั มาทฏิ ฐิ (เหน็ ชอบ) มีควำมเห็นถกู ต้องตำมทำนองคลองธรรม
๒ สมั มาสังกัปปะ (ดำริชอบ) ไมล่ ่มุ หลงกบั ควำมสุขทำงกำย ไมพ่ ยำบำท
(อริยมรรค มีองค์ ๘) ๓ สัมมาวาจา (เจรจำชอบ) ไม่พูดเท็จ ไม่พดู ส่อเสียด ไม่พูดหยำบคำย
๔ สัมมากมั มันตะ (กระทำชอบ) ไม่ทำลำยชวี ติ ไม่ลักขโมย
๕ สัมมาอาชวี ะ (เลี้ยงชีพชอบ) หำกนิ ดว้ ยอำชพี ท่สี ุจรติ ไมค่ ดโกง
๖ สมั มาวายามะ (พยำยำมชอบ) พยำยำมละเว้นจำกควำมชั่วต่ำงๆ
๗ สมั มาสติ (ระลกึ ชอบ) มีสติรอบคอบในกำรคิด ทำ พดู
๘ สมั มาสมาธิ (ต้ังจติ มน่ั ชอบ) มจี ติ ตั้งม่นั อยำ่ งถกู ต้องแนว่ แน่ในกำร
ประพฤติธรรม
พระพทุ ธศาสนาเนน้ การพฒั นาศรัทธาและปญั ญาทีถ่ กู ต้อง
การพัฒนาศรัทธา ศรทั ธำ หมำยถงึ ควำมเชอ่ื ม่ันในส่ิงดีงำมท่ีประกอบด้วยเหตุผลศรัทธำทีจ่ ะนำไปส่กู ำรพฒั นำ
๓ ประกำร
๑ เชื่อม่นั ในควำมดงี ำมของมนุษย์
๒ เชื่อมน่ั ในกฎแห่งกำรกระทำและผลของกำรกระทำ
๓ เชอื่ มั่นว่ำมนุษยต์ อ้ งรบั ผดิ ชอบต่อกำรกระทำและผล
ของกำรกระทำนั้น
การพฒั นาปญั ญา พระพุทธเจำ้ สอนให้มนษุ ย์รู้จกั ใช้ปัญญำในกำรพจิ ำรณำคน้ หำเหตผุ ล โดยอำศัยกำรฝกึ จติ
เป็นกำรทำจิตให้แนว่ แนม่ น่ั คงเปน็ สมำธิ
“ หลักคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ”
ถำ้ ทรงสอนเรอ่ื งศรทั ธำในที่ใดก็จะทรงสอน
เร่อื งปัญญำในทนี่ ัน้ ดว้ ย
ตวั อยา่ ง
ในพละ ๕ (ธรรมอันเป็นกาลัง ๕ ประการ)
• ศรทั ธำ
• วริ ิยะ
• สติ
• สมำธิ
ปัญญาในเวสารชั ชกรณธรรม (ธรรมนาความกล้าหาญ)
• ศรทั ธำ
• ศลี
• พำหุสจั จะ
• วริ ิยำรัมภะ
• ปญั ญำ
ลกั ษณะประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา
พระพุทธศาสนาใหส้ ทิ ธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคแก่พระภกิ ษสุ งฆ์
ทุกหม่เู หลา่ ภายใต้พระธรรมวินัย
มกี ิจกรรมที่พระภกิ ษุสงฆท์ กุ รปู จะตอ้ งถือเปน็ เรอ่ื งสาคญั
• กำรประชมุ อุโบสถสังฆกรรม ภกิ ษทุ กุ รปู ต้องเข้ำประชุมโดยพร้อม
เพรยี งกนั
การลงมตใิ นท่ปี ระชุมสงฆ์ พระภกิ ษุสงฆจ์ ะต้องเหน็ พอ้ งตอ้ งกนั เปน็
เอกฉันท์ จึงจะสำมำรถปฏบิ ัตกิ ิจกรรมนน้ั ได้
• พิธีรบั กฐิน พระสงฆท์ ่ไี ด้รบั เลือกจะรับผ้ำกฐนิ ไดพ้ ระภิกษุสงฆ์
ทกุ รปู จะตอ้ งลงมติเปน็ เอกฉนั ท์
การตัดสินปัญหาทม่ี คี วามคิดแตกแยกเปน็ สองฝ่าย ตัดสนิ โดยถือเอำ
เสียงข้ำงมำกเปน็ ข้อยตุ ิ เรยี กว่ำ เยภุยยสิกำ
สทิ ธแิ ละเสรภี าพของภกิ ษุในเรอ่ื งการประชุม พระภกิ ษุสงฆ์ทุกรปู มีสิทธิ
เขำ้ ร่วมประชุม และแสดงควำมคิดเหน็ ทัง้ ที่เห็นดว้ ยหรือคดั ค้ำน
หลกั การของพระพทุ ธศาสนากับหลกั วิทยาศาสตร์
๑ ด้านความเชอื่ ๒ ดา้ นความรู้ ๓ ดา้ นความแตกตา่ ง
๑ ด้านความเชื่อ หลักกำรวทิ ยำศำสตร์น้ันจะเชือ่ ในเร่อื งใดจะต้องมีกำรพิสูจนค์ วำมจรงิ โดยใชก้ ำร
กาลามสูตร ๑๐ ประการ ทดลอง และทกุ อยำ่ งจะต้องดำเนนิ ไปอย่ำงมีกฎเกณฑแ์ ละมเี หตุผลเป็นตัวตดั สินโดย
อำศัยปญั ญำในกำรพิจำรณำ พระพทุ ธศำสนำก็มีหลักกำรด้ำนควำมเชอื่ เช่นเดียวกบั
วทิ ยำศำสตร์ ดงั หลกั คำสอนที่ปรำกฏอยใู่ น “กาลามสูตร”
๑. อย่ำเพง่ิ ปลงใจเชอ่ื เพยี งเพรำะได้ยนิ ได้ฟงั ตำมๆ กนั มำ
๒. อยำ่ เพิง่ ปลงใจเชอื่ เพยี งเพรำะยดึ ถอื สบื ๆ กนั มำ
๓. อย่ำเพงิ่ ปลงใจเชื่อ เพียงเพรำะข่ำวเล่ำลือ
๔. อย่ำเพิง่ ปลงใจเชื่อ เพียงเพรำะอ้ำงตำรำ
๕. อยำ่ เพิง่ ปลงใจเช่ือ เพยี งเพรำะเดำเอำเอง
๖. อย่ำเพง่ิ ปลงใจเชื่อ เพยี งเพรำะคำดคะเน
๗. อยำ่ เพิ่งปลงใจเช่อื เพียงเพรำะตรกึ ตำมอำกำร
๘. อยำ่ เพ่งิ ปลงใจเชือ่ เพียงเพรำะชอบใจว่ำตรงกบั ควำมเห็นของตน
๙. อยำ่ เพง่ิ ปลงใจเชื่อ เพยี งเพรำะเชื่อวำ่ ผูพ้ ดู สมควรจะเชือ่ ถือได้
๑๐. อย่ำเพิ่งปลงใจเชื่อ เพียงเพรำะนบั ถือว่ำสมณะผ้นู ั้นเป็นครูของตน
๒ ด้านความรู้ ท้ังวิทยำศำสตรแ์ ละพระพทุ ธศำสนำตำ่ งยอมรับควำมรจู้ ำกประสบกำรณซ์ ่ึงมกี ำร
พสิ ูจน์โดยผำ่ นตำ หู จมูก ลิ้น กำย และใจ พระพทุ ธเจำ้ ทรงเร่ิมคิดจำกประสบกำรณ์
ที่ได้เหน็ คือ ควำมเจ็บ ควำมแก่ และควำมตำย ซง่ึ ล้วนเป็นควำมทุกข์ พระองค์ทรง
ทดลองโดยอำศยั ประสบกำรณข์ องพระองค์ จนในที่สุดก็ทรงสำมำรถคน้ พบหลกั
ควำมจริงอนั เป็นหนทำงทจี่ ะหลดุ พน้ จำกควำมทกุ ข์
๓ ด้านความแตกต่าง วิทยำศำสตร์มงุ่ แสวงหำควำมจริงภำยนอกด้ำนวตั ถเุ ป็นสำคญั ส่วนพระพุทธศำสนำ
เน้นกำรแสวงหำควำมจริงภำยใน คือ ควำมจรงิ ด้ำนจติ ใจ ท่มี งุ่ ให้มนษุ ย์สำมำรถ
พฒั นำจติ ใจของตนใหห้ ลดุ พน้ จำกกเิ ลสไดอ้ ยำ่ งสนิ้ เชงิ
การคิดตามนยั แหง่ พระพทุ ธศาสนาและการคิดแบบวทิ ยาศาสตร์
• การคิดตามนัยแหง่ พระพทุ ธศาสนา เรียกวา่ “วธิ ีคิดแบบโยนโิ สมนสกิ าร”
๑ วิธคี ิดแบบสืบสำวเหตปุ จั จัย ๖ วธิ ีคิดแบบคณุ โทษและทำงออก
๒ วิธีคดิ แบบแยกแยะส่วนประกอบ ๗ วิธีคิดแบบคุณคำ่ แท้คุณคำ่ เทียม
(วธิ ีคดิ แบบกระจำยเนือ้ หำ) ๘ วิธคี ดิ แบบอุบำยปลกุ เรำ้ คณุ ธรรม
๓ วิธีคิดแบบสำมัญลกั ษณะ (วิธคี ิดแบบปลุกเร้ำกศุ ล)
(วิธคี ดิ แบบรูเ้ ท่ำทนั ธรรมดำ) ๙ วิธคี ิดแบบเป็นอย่ใู นขณะปจั จุบนั
๔ วธิ ีคดิ แบบอรยิ สัจ ๑o วธิ ีคิดแบบวภิ ชั ชวำท
(วิธคี ดิ แบบแก้ปัญหำ)
๕ วธิ คี ิดแบบตำมหลกั กำรและควำมมุ่งหมำย
(วธิ คี ิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์)
• การคิดแบบวิทยาศาสตร์ แยกไดเ้ ป็น ๕ ขัน้ ตอน
ทดลอง ต้งั สมมตฐิ าน กาหนดปัญหา
และเก็บขอ้ มลู
วเิ คราะหข์ อ้ มูล สรุปผล
พระพุทธศาสนาเนน้ การฝึกหัดอบรมตนเอง การพงึ่ ตนเอง และการม่งุ อิสรภาพ
• กำรท่ีบคุ คลจะทำอะไรไดด้ แี ละทำเปน็ นน้ั ขน้ึ อยกู่ บั กำรฝึกหัดอบรม ซงึ่ กระทำได้ ๒ ทำง
การฝึกหัดอบรมตนและการพึ่งตนเอง พระพทุ ธศาสนามุง่ สอู่ สิ รภาพ
เรียกว่า สกิ ขา มี ๓ ข้นั ตอน • เปำ้ หมำยของกำรฝกึ หดั อบรมตนเองตำมหลัก
พระพทุ ธศำสนำคอื วมิ ตุ ติ หรอื ควำมหลดุ พ้น
• อธิศลี สิกขา คอื กำรฝกึ อบรมหรือกำรควบคุมตน หมำยถงึ ควำมหลดุ พน้ จำกกำรครอบงำของควำม
ในเรอ่ื งศลี โลภ ควำมโกรธ และควำมหลง ซ่ึงจดั ไดว้ ำ่ เปน็
อสิ รภำพอย่ำงหน่ึง
• อธจิ ติ ตสกิ ขา คอื ฝกึ อบรมในเร่อื งจิต เรยี กง่ำยๆ
ว่ำ สมาธิ เปน็ กำรฝึกฝนพฒั นำจิตให้ดีงำมยิ่งๆ ข้ึน
ไปในด้ำนต่ำงๆ
• อธิปญั ญาสกิ ขา เปน็ กำรฝกึ อบรมในเรือ่ งปญั ญำ
ให้เกิดควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ทงั้ ควำมรใู้ นทำงวชิ ำกำร
ซ่งึ เป็นประโยชน์ต่อกำรดำเนินชวี ิต
พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสตร์แห่งการศึกษา
ศาสตร์แหง่ การศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนากบั การศึกษาท่สี มบรู ณ์
• ศลี สิกขา • พฤตกิ รรม
• จติ ตสกิ ขา • จติ ใจ
• ปญั ญาสิกขา • ปญั ญา
พระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสมั พันธ์ของเหตปุ จั จัยและวิธีการแก้ปัญหา
หลกั คาสอนท่ีเนน้ เหตุ ปรากฏอยู่ในหลักอรยิ สจั ๔ ซง่ึ เปน็ ศาสตรแ์ ห่งเหตุและผลสามารถแยกเป็นคู่ได้
ทกุ ข์ เปน็ ผล นิโรธ เปน็ ผล
(เป็นตัวปญั หำ เป็นสถำนกำรณ์ท่ีไมต่ ้องกำร) (เปน็ ภำวะสน้ิ ปัญหำ เปน็ จุดหมำยท่ตี ้องกำรจะเขำ้ ถงึ )
สมทุ ัย เปน็ ผล มรรค เปน็ ผล
(เปน็ ท่ีมำของปัญหำ เปน็ จุดทีต่ ้องกำจดั หรือแก้ไข (เปน็ ขอ้ ปฏิบัติที่ตอ้ งกระทำในกำรแกไ้ ขปัญหำเพอ่ื
จงึ จะพ้นจำกปัญหำได้) บรรลุจดุ หมำย คอื ภำวะสิน้ ปญั หำ หรอื ควำมทกุ ข์)
สรปุ ไดว้ ่า สมุทัย-มรรค เป็นเหตุ ทุกข์-นโิ รธ เป็นผล
พระพุทธศาสนาฝึกคนไมใ่ หป้ ระมาท
ความไม่ประมาท
• ควำมเปน็ อยอู่ ย่ำงมีสติรอบคอบหรือระมดั ระวงั ที่จะไมท่ ำเหตุแห่งควำมผดิ พลำดเสียหำย
• แนวทำงในกำรปฏิบตั ิตนไม่ให้ประมำทนัน้ จะตอ้ งเริ่มตน้ จำกกำรตง้ั สติ รู้สกึ ตวั อยู่เสมอวำ่ ตนจะทำอะไร
กำลังทำอะไร
• หลักธรรมในเร่ืองควำมไม่ประมำท มี ๔ ประกำร ได้แก่ ไม่ประมำทในกำรละกำยทจุ ริต (ประพฤตกิ ำยสจุ รติ )
ไม่ประมำทในกำรละวจีทจุ รติ (ประพฤตวิ จีสจุ รติ ) ไม่ประมำทในกำรละมโนทจุ รติ (ประพฤติมโนสจุ ริต) และ
ไมป่ ระมำทในกำรละควำมเห็นผดิ (ทำควำมเหน็ ใหถ้ กู )
พระพุทธศาสนามุง่ ประโยชน์สุขและสันติภาพแก่บุคคล สังคม และโลก
๑ พระพทุ ธศาสนามงุ่ ประโยชน์สขุ และสันตภิ าพแกบ่ ุคคลและสังคม
หลักธรรมที่กอ่ ใหเ้ กิดกำรช่วยเหลือเกือ้ กลู กนั ระหว่ำงสมำชกิ ในสมำชิก คือ สังคหวัตถุ ๔ ดังนี้
• ทำน
• ปยิ วำจำ
• อตั ถจรยิ ำ
• สมำนตั ตตำ
๒ พระพุทธศาสนามุ่งประโยชนส์ ขุ และสันตภิ าพแกช่ าวโลก
• หลกั คำสอนที่ให้ละเว้นจำกกำรเบียดเบยี นชีวิตผ้อู ่ืน
• หลกั คำสอนที่ใหล้ ะควำมโลภ ควำมเหน็ แก่ตัว
• หลกั คำสอนท่ใี ห้ละจำกควำมโกรธ
• หลกั คำสอนทใ่ี หล้ ะจำกควำมหลงผิด
• หลกั คำสอนในเรือ่ งควำมอดทน
• หลกั คำสอนของพระพทุ ธศำสนำซง่ึ อย่ใู นลักษณะของพุทธศำสนสภุ ำษิต
พระพทุ ธศาสนากับเศรษฐกจิ พอเพยี ง
พุทธศาสนกิ ชน
สำมำรถนำหลักคำสอนในพระพทุ ธศำสนำมำเป็นแนวทำงในกำรปฏิบัติตนให้สอดคลอ้ งกับหลกั กำรเศรษฐกิจ
พอเพยี งได้ โดยปฏบิ ัตติ นตำมทำงสำยกลำง คอื
อรยิ มรรคมอี งค์ ๘
สัปปรุ ิสธรรม ๗
บุญกิรยิ าวตั ถุ ๑๐
อุบาสกธรรม ๗
หนว่ ยกำรเรียนรูท้ ี่ ๑ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๓ พระพุทธศาสนา
หน่วยกำรเรยี นรู้ท่ี ๖ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๗ หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี ๘
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔-๖
กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ่ี ๔ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๕
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี ๙ หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ี่ ๑o
๑_หลักสตู รวิชาพระพทุ ธศาสนา
๒_แผนการจัดการเรียนรู้
๓_PowerPoint_ประกอบการสอน
๔_Clip
๕_ใบงาน_เฉลย
๖_ขอ้ สอบประจาหน่วย_เฉลย
๗_การวดั และประเมนิ ผล
๘_เสรมิ สาระ
๙_ส่ือเสรมิ การเรยี นรู้
บรษิ ัท อักษรเจริญทศั น์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200
Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand
โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๒หน่วยการเรียนรู้ที่
พทุ ธประวัตแิ ละชาดก
พทุ ธประวัติ
• เร่อื งราวความเป็นมาของพระพทุ ธเจา้
ประสตู ิ เสดจ็ ออกผนวช ตรสั รู้ แสดงปฐมเทศนา ประกาศศาสนา ปรนิ ิพพาน
การตรัสร้แู ละการก่อตั้งพระพุทธศาสนา
พระพทุ ธเจา้ ตรัสรู้ การตรสั รู้ ควำมทกุ ข์อันย่ิงใหญ่ของมนษุ ย์ในทศั นะ
- ในวนั เพ็ญขน้ึ ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของพระพทุ ธศำสนำ คือ ควำมเกิด ควำมแก่
- มีพระชนมำยุ ๓๕ พรรษำ กำรรูแ้ จ้งเห็นจริงในสัจธรรม ควำมเจบ็ ควำมตำย
- ทุกข์
- สมทุ ัย
- นโิ รธ
- มรรค
การก่อตงั้ พระพุทธศาสนา
• พระพทุ ธเจ้ำเสดจ็ ไปทรงแสดงธรรมเปน็ ครั้งแรกท่เี รียกวำ่ ปฐมเทศนา
โปรดปัญจวัคคยี ์ ณ ปำ่ อสิ ปิ ตนมฤคทำยวัน
• ปัญจวคั คีย์ไดบ้ รรลุธรรมเป็นพระอรหนั ต์ จึงเป็นอันว่ำกำรประกำศและ
กำรกอ่ ตั้งพระพทุ ธศำสนำได้เริม่ ต้นข้ึนด้วยดีและไดเ้ กิดมพี ระสงฆ์ข้นึ ใน
พระพทุ ธศำสนำเป็นครง้ั แรก
วเิ คราะหพ์ ระพทุ ธเจ้าในฐานะมนษุ ย์ผฝู้ ึกตนไดอ้ ยา่ งสงู สดุ
๑ พระพุทธศำสนำเชอ่ื มั่นในศักยภำพของมนษุ ย์
• มองว่ำมนุษย์สำมำรถพฒั นำตนเองไดด้ ้วยแนวทำงทีถ่ ูกตอ้ งและเหมำะสม
๒ มนุษยป์ ระเสริฐสูงสุดได้ดว้ ยกำรฝึก
• มนุษย์เป็นสัตว์ท่ฝี กึ ไดแ้ ละตอ้ งฝกึ ดังนนั้ ควำมประเสริฐของมนษุ ย์จึงอยทู่ ่ีกำร
ฝกึ อบรมและพัฒนำตนเอง
๓ พระพุทธเจำ้ เป็นแบบอยำ่ งของมนษุ ย์ผใู้ ช้ควำมเพยี รเพ่อื ควำมดีงำม
• กำรตรัสรู้ คอื เครอ่ื งหมำยแห่งควำมสำเรจ็ ในกำรเพียรพยำยำมและกำรใชส้ ตปิ ัญญำของ
พระพทุ ธเจำ้ กำรตรัสรมู้ ิใชจ่ ะกระทำไดโ้ ดยง่ำยแตก่ ็สำเร็จได้ด้วยควำมเพียรพยำยำม
กำรใช้สติปญั ญำ และควำมอดทน
วเิ คราะหพ์ ระพทุ ธเจา้ ในฐานะมนุษย์ผู้ฝึกตนได้อยา่ งสงู สดุ
๑ พระพทุ ธศาสนาเชือ่ มั่นในศักยภาพของมนุษย์
• มองวำ่ มนุษย์สำมำรถพฒั นำตนเองได้ดว้ ยแนวทำงทถ่ี กู ต้องและเหมำะสม
๒ มนุษย์ประเสรฐิ สงู สดุ ได้ดว้ ยการฝกึ
• มนุษย์เป็นสตั ว์ท่ีฝกึ ไดแ้ ละตอ้ งฝึก ดังน้ันควำมประเสรฐิ ของ
มนุษย์จงึ อยู่ท่กี ำรฝกึ อบรมและพัฒนำตนเอง
๓ พระพุทธเจ้าเปน็ แบบอยา่ งของมนษุ ยผ์ ้ใู ช้ความเพียรเพ่อื ความดงี าม
• กำรตรสั รู้ คอื เคร่ืองหมำยแห่งควำมสำเรจ็ ในกำรเพยี รพยำยำมและกำรใช้
สตปิ ญั ญำของพระพทุ ธเจ้ำ กำรตรสั ร้มู ใิ ชจ่ ะกระทำไดโ้ ดยงำ่ ยแต่ก็สำเรจ็ ได้
ด้วยควำมเพียรพยำยำม กำรใช้สตปิ ญั ญำ และควำมอดทน
วธิ ีการสอนของพระพทุ ธเจ้า
หลักการสอนพ้นื ฐาน : คณุ ลกั ษณะที่เรียกว่ำ หลักกำรสอนท่ดี ี มอี ยู่ ๔ ประกำร
สนั ทัสสนา กำรอธบิ ำยให้เหน็ ชัดเจน แจ่มแจ้ง
สมาทปนา กำรจูงใจใหอ้ ยำกรับไปปฏบิ ัติ
สมตุ เตชนา กำรทำให้กล้ำหำญและม่ันใจว่ำจะทำใหส้ ำเร็จได้
สัมปหังสนา กำรทำใหเ้ บกิ บำน ฟังไมเ่ บื่อ
วธิ ีการสอน : พระพทุ ธองคท์ รงใชว้ ธิ ีกำรเทศนห์ รอื กำรสอนทีห่ ลำกหลำย
วธิ ีสอนแบบธรรมสากัจฉาหรือวิธีสอนแบบสนทนา
• กำรสนทนำช่วยสร้ำงบรรยำกำศของควำมใกลช้ ดิ ควำมเปน็ กันเองได้ดรี ะหวำ่ งพระพุทธองค์กับผูท้ ่ีมำฟังธรรม ทำให้
เกดิ ควำมกระตอื รอื รน้ และควำมสนุกสนำนในกำรฟัง
วิธสี อนแบบบรรยาย
• พระพทุ ธเจ้ำทรงใช้วธิ ีนีใ้ นท่ีประชมุ ใหญ่ เพรำะผทู้ ม่ี ำรอฟังธรรมจำนวนมำกมีพนื้ ควำมรู้ ควำมเข้ำใจและควำมศรทั ธำ
ในพระพทุ ธศำสนำเป็นฐำนอยู่แลว้ กำรฟงั ธรรมจึงเป็นกำรมำเพิม่ พนู ควำมรคู้ วำมเข้ำใจยิง่ ๆ ขนึ้ ไปและยังเป็นกำรมำ
เพ่ือหำควำมสุขสงบทำงใจ
วิธีสอนแบบตอบปัญหา
• พระพทุ ธเจ้ำทรงสอนให้พจิ ำรณำดูลักษณะของปญั หำและเลือกวธิ ตี อบท่เี หมำะสม ทรงจำแนกประเภทกำรตอบ
ปญั หำไว้ ๔ ประกำร
ปญั หำตำยตวั ตอบแบบตรงไปตรงมำ ไม่อ้อมคอ้ ม ไม่มเี งอ่ื นไข เพรำะมคี ำตอบตำยตวั แนน่ อน
ปญั หำยอกยอ้ น
ปัญหำพงึ ย้อนถำมก่อนแลว้ จงึ ตอบ ตอ้ งย้อนถำมเพ่อื ใหเ้ กิดควำมชัดเจนของประเดน็
ปัญหำแยกตอบ ทถี่ ำมก่อน
ปัญหำไมต่ อบ ปัญหำทตี่ ้องแยกประเดน็ ตอบ อยำ่ เพงิ่ ดว่ นตอบ ตอ้ งแยกตอบเป็นเร่ืองๆไป
ปญั หำทตี่ ้องแยกประเดน็ ตอบ เพรำะเป็นปญั หำนอกเรือ่ ง ชวนทะเลำะ
วธิ สี อนแบบวางกฎขอ้ บังคับ
• เม่ือเกิดกรณปี ัญหำพระสงฆก์ ระทำควำมผดิ ในเรอ่ื งใดเรอื่ งหนงึ่ ซ่ึงเปน็ กรณีควำมผดิ คร้งั แรก ที่ไมเ่ คยมีใครกระทำผดิ
มำกอ่ น สง่ ผลให้มกี ำรตำหนติ เิ ตียนในหมู่ประชำชนหรือมีผู้นำควำมกรำบทูลพระพุทธเจำ้ ให้ทรงทรำบ พระองคจ์ ะทรง
เรียกประชุมสงฆ์สอบถำมที่มำของกำรกระทำควำมผิดและทรงช้ีแจงผลเสียหำยตอ่ สังคมโดยรวมตำมดว้ ยกำรแสดง
ธรรมทเี่ หมำะสมกบั เหตกุ ำรณน์ นั้ ๆ แลว้ ทรงบญั ญตั ิเปน็ ข้อห้ำม (สกิ ขำบท)
เทคนคิ การสอน : พระพุทธเจ้ำทรงมีเทคนิคกำรสอนท่ีหลำกหลำย
แปลงนามธรรมให้เปน็ รูปธรรม
• ธรรมเปน็ เรือ่ งนำมธรรมบำงเร่ืองมเี นอื้ หำลึกซึ้ง ยำกแกก่ ำรเข้ำใจ พระพทุ ธองคจ์ ึงทรงใชเ้ ทคนิคน้ใี นหลำยวิธี เช่น
กำรใช้เทคนิคยกอุทำหรณ์ กำรเลำ่ นทิ ำนประกอบ กำรเปรยี บเทียบอปุ มำ และกำรใชส้ อื่ กำรสอนประกอบ
วางพระองค์เปน็ แบบอยา่ ง
• พระคุณข้อหน่งึ ของพระพทุ ธเจ้ำ คอื พระองคท์ รงสอนอย่ำงไรแล้วกท็ รงปฏบิ ัติได้ตำมที่สอน เรำอำจสรุปเทคนิค
กำรสอนของพระพุทธเจำ้ ด้วยกำรวำงพระองค์เป็นแบบอยำ่ งได้
สาธิตหรือทาใหด้ ู
ปฏบิ ตั ิตนเป็นอย่าง
ทรงเลือกใช้คาเหมาะสม
อุบายเลอื กสอน
• หรอื กำรเลือกสอนเปน็ รำยบคุ คล เน่อื งจำกผู้ทเี่ ข้ำฟงั ธรรมส่วนใหญ่มีภมู ิหลงั ท่แี ตกต่ำงกนั ทัง้ ในดำ้ นควำมสนใจ
ระดบั สติปญั ญำ กำรเรียนรู้ หรือประสบกำรณ์ ดังนั้นกำรวิเครำะหภ์ มู หิ ลังให้เห็นควำมแตกตำ่ งระหว่ำงบคุ คลจงึ
สำคัญและจำเปน็ อยำ่ งยง่ิ สำหรบั กำรสอน
มีความยดื หยุน่ ในวิธีการสอน
• บำงเวลำสมควรต้องยอมให้ผู้เรยี นรสู้ ึกตวั ว่ำเขำเก่ง บำงครำวสมควรเข้มงวดก็ต้องเข้มงวด สมควรผอ่ นตำมกย็ อมตำม
หรอื ในยำมทเ่ี หน็ วำ่ ผู้เรยี นต้องกำรกำลงั ใจกต็ ้องปลอบและให้กำลงั ใจ
การลงโทษหรือการให้รางวลั
• กำรสอนโดยกำรให้กำลังใจก็เพอื่ ส่งเสรมิ ใหท้ ำควำมดยี ง่ิ ๆ ข้นึ ไป ส่วนกำรตำหนกิ เ็ ปน็ กำรตักเตือนมใิ ห้
ประพฤตเิ ชน่ นน้ั อีก
• พระพทุ ธเจำ้ ทรงใชเ้ ทคนิคกำรใหร้ ำงวลั ดว้ ยกำรชมเชย อยำ่ งเชน่ กำรยกย่องชมเชยผมู้ ีควำมสำมำรถและมีคณุ สมบัติ
พเิ ศษตำ่ งๆ ว่ำเปน็ เอตทคั คะ คือ ควำมเปน็ เลศิ ในดำ้ นต่ำงๆ เพือ่ ใหเ้ กดิ ควำมมั่นใจในกำรกระทำควำมดีของตน และ
เพอื่ ใหบ้ คุ คลอ่นื ถือเอำเป็นแบบอย่ำง
การเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพทุ ธจรยิ า
พทุ ธจรยิ า พระจริยำวตั รของพระพุทธเจ้ำ หมำยถึง กำรบำเพ็ญประโยชน์ของพระพุทธเจ้ำ ๓ ประกำร
โลกัตถจิยา ทรงบำเพญ็ ประโยชน์แก่โลกในฐำนะที่พระพุทธองคท์ รงเปน็ สมำชิกคนหนง่ึ ของสงั คมโลก ควำมสำเรจ็
ในพระจรยิ ำวัตรข้อนที้ รงอำศยั พุทธกิจตำมตำรำงพทุ ธภำรกจิ ๕ ประกำร
พทุ ธกิจภำคเชา้ เสด็จออกบิณฑบำตและแสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์ผตู้ ้องกำรบุญ
พทุ ธกจิ ภำคบ่าย ทรงแสดงธรรมโปรดประชำชน
พทุ ธกิจยามที่ ๑ ประทำนโอวำทตอบปญั หำใหก้ รรมฐำนแก่พระสงฆ์
ทรงตอบปัญหำแกเ่ ทวดำทม่ี ำเขำ้ เฝ้ำ
ของรำตรี ทรงพจิ ำรณำสอดสอ่ งเลอื กสรรวำ่ วนั ตอ่ ไปมบี ุคคลใดที่ควรเสดจ็ ไปโปรด
พุทธกจิ ยามท่ี ๒
ของรำตรี
พทุ ธกจิ ยามท่ี ๓
ของรำตรี
ญาตัตถจริยา พระพทุ ธองคแ์ มจ้ ะทรงอย่ใู นฐำนะท่ีเปน็ คนของโลก แต่พระองค์ก็ไม่ทรงละเลยภำรกิจใน ฐำนะท่ีมพี ระญำติ
เชน่ กำรเสด็จไปโปรดพระญำตทิ ก่ี รุงกบลิ พัสดุ์ ไดท้ รงแนะนำให้พระญำติ ซงึ่ กำลังจะทำสงครำมแยง่ นำ้ ใน
แม่นำ้ โรหณิ ีไดเ้ ขำ้ ใจเหตุผล สำมำรถปรองดองกันได้
พทุ ธัตถจรยิ า ทรงบำเพ็ญประโยชน์ในฐำนะพระพทุ ธเจ้ำ หมำยถงึ กำรทำหนำ้ ทข่ี องพระพุทธเจำ้ เชน่ ทรงวำงกฎระเบยี บ
สำหรบั ควบคมุ ควำมประพฤติของผู้มำบวชในพระพทุ ธศำสนำทรงแนะนำให้บรรพชติ และคฤหสั ถป์ ฏิบัตใิ ห้
ถูกต้องตำมหนำ้ ท่ีของตน จนสำมำรถประดิษฐำนเปน็ รปู สถำบันศำสนำสบื ต่อกันมำได้
การบริหารและธารงรกั ษาพระพทุ ธศาสนา
การบริหารพระพทุ ธศาสนา
• ระยะเริ่มแรก กำรบรหิ ำรและกำรดแู ลขึ้นกับพระพทุ ธเจำ้ โดยตรง
• เมือ่ มีคนเข้ำมำบวชเพ่ิมมำกข้ึน พระพุทธเจ้ำไดม้ อบหมำยให้พระอุปัชฌำย์เป็นผรู้ ับผดิ ชอบดูแล
• เมอื่ จำนวนผเู้ ขำ้ มำบวชมีมำกและกระจำยอย่ตู ำมภูมภิ ำคตำ่ งๆ กำรอยู่รว่ มกนั ในอำรำมจงึ จำเปน็ ตอ้ งมผี ู้บริหำรดูแล กลำ่ วคือ
มเี จ้ำอำวำสและคณำจำรย์ เป็นผรู้ บั ผดิ ชอบดูแลควำมสงบเรียบรอ้ ยภำยในวดั
• เม่อื พระพทุ ธศำสนำเผยแผ่เข้ำไปยงั ประเทศต่ำงๆ รปู แบบกำรบริหำรโดยหลกั ใหญแ่ ล้วจะเหมอื นกัน คือ มีเจำ้ อำวำสเปน็
ผรู้ ับผดิ ชอบโดยมพี ระธรรมวนิ ัยเปน็ แกนกลำงของกำรบรหิ ำร
การธารงรกั ษาพระพทุ ธศาสนา
• ดำเนินไปโดยมีคณะบคุ คลท่พี ระพทุ ธเจำ้ ทรงก่อตั้งไว้ เรยี กว่ำ บริษัท ๔ คอื ภิกษุ ภกิ ษุณี อบุ ำสก และอบุ ำสกิ ำ เปน็ กำลงั
สำคัญมำจนถึงปัจจุบัน
พทุ ธบรษิ ทั กับการธารงรักษาพระพุทธศาสนา
• ก่อนจะเสดจ็ ดับขนั ธปรนิ ิพพำนพระพทุ ธองค์ไดต้ รสั แสดงถึงพทุ ธภำรกจิ ๔ ประกำรท่ีพระองคท์ รงปฏบิ ัติมำตลอดพระชนมช์ พี
เมอื่ พทุ ธภำรกจิ ท้ัง ๔ บรรลเุ ป้ำหมำยแล้ว พระพทุ ธองค์จึงเสดจ็ ดบั ขันธปรินพิ พำน ไดแ้ ก่ กำรศกึ ษำธรรม กำรปฏบิ ตั ิธรรม
กำรเผยแผ่ธรรม กำรปกป้องคมุ้ ครองพระพทุ ธศำสนำ
ชาดก
ชาดก
การเวยี นว่ายตายเกิดของพระพุทธเจ้าในภพชาติต่างๆ กอ่ นทจ่ี ะมาถึงพระชาติ
สดุ ทา้ ยเกดิ เป็นเจา้ ชายสิทธัตถะและตรสั รูเ้ ปน็ พระพุทธเจ้า
“ ทศชาติ ”
เรอื่ งรำวของพระโพธสิ ัตว์ ๑๐ ชำตสิ ุดท้ำย ก่อนทจี่ ะเสวยพระชำติเป็นเจ้ำชำยสิทธตั ถะและบำเพ็ญ
เพยี รจนไดต้ รสั รูเ้ ป็นพระพุทธเจำ้
ทศชาติ ทศบารมี
เตมยี ชำดก เนกขมั มบำรมี
มหำชนกชำดก วริ ิยบำรมี
สวุ รรณสำมชำดก เมตตำบำรมี
เนมิรำชชำดก อธษิ ฐำนบำรมี
มโหสถชำดก ปญั ญำบำรมี
วธิ รุ ชาดก วธิ รุ ชาดก วธิ รุ ชาดก วิธุรชาดก
ทศชาติ ทศบารมี
ภูรทิ ัตตชำดก ศลี บำรมี
จันทกมุ ำรชำดก ขนั ติบำรมี
พรหมนำรทชำดก
วธิ รุ ชำดก อุเบกขำบำรมี
เวสสนั ดรชำดก พรหมนารทชาดก สจั จบำรมี
วธิ รุ ชาดก ทำนบำรมี
ตวั อยา่ ง ทศชาตทิ ่ีเป็นที่รูจ้ ักและนยิ ม
๑. เวสสนั ดรชาดก ๒. มโหสถชาดก ๓. มหาชนกชาดก
หนว่ ยกำรเรียนรูท้ ี่ ๑ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๓ พระพุทธศาสนา
หน่วยกำรเรยี นรู้ท่ี ๖ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๗ หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี ๘
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔-๖
กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ่ี ๔ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๕
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี ๙ หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ี่ ๑o
๑_หลักสตู รวิชาพระพทุ ธศาสนา
๒_แผนการจัดการเรียนรู้
๓_PowerPoint_ประกอบการสอน
๔_Clip
๕_ใบงาน_เฉลย
๖_ขอ้ สอบประจาหน่วย_เฉลย
๗_การวดั และประเมนิ ผล
๘_เสรมิ สาระ
๙_ส่ือเสรมิ การเรยี นรู้
บรษิ ัท อักษรเจริญทศั น์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200
Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand
โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๓หน่วยการเรียนรู้ท่ี
วนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา
และศาสนพธิ ี
หลกั ธรรมท่ีเกีย่ วเนื่องในวันสาคัญทางพระพทุ ธศาสนา
“ วนั มาฆบชู า ”
ตรงกบั วันเพ็ญเดือน ๓ ของทุกปี
(ถ้ำปีใดมีเดอื น ๘ สองหนกเ็ ล่อื นไปเป็นวันเพญ็ เดือน ๔)
ถอื เป็น “วนั พระธรรม”
พระพทุ ธองคท์ รงแสดง โอวาทปาฏโิ มกข์
ประมวลหลักคำสอน ๓ ประกำร
• กำรไมท่ ำควำมช่ัว
• กำรทำแต่ควำมดี
• กำรทำจิตใจให้สะอำดบรสิ ุทธ์ิ
ชว่ งเชำ้ ช่วงค่ำ
• ทำบุญตกั บำตร • เวยี นเทยี น
• รักษำศีล
• ฟงั ธรรม
“ วนั วสิ าขบูชา ”
ตรงกบั วันเพ็ญเดอื น ๖ ของทกุ ปี
(ถำ้ ปใี ดมีเดอื น ๘ สองหนก็เลือ่ นไปเปน็ วันเพญ็ เดอื น ๗)
เปน็ วันคลำ้ ยวันประสตู ิ ตรสั รู้ และปรนิ ิพพำน
ของพระพทุ ธเจำ้
หลักธรรมสำคญั คอื อรยิ สัจ ๔
เปน็ หวั ใจสำคัญของพระพทุ ธศำสนำ
• ทุกข์ (สภำพท่ีทนได้ยำก)
• สมทุ ยั (เหตุแหง่ ควำมทกุ ข์)
• นิโรธ (ควำมดับทุกข์)
• มรรค (ขอ้ ปฏิบัติใหถ้ ึงควำมดบั ทุกข์)
ช่วงเช้ำ ช่วงค่ำ
• ทำบญุ ตกั บำตร • เวยี นเทยี น
• ฟงั ธรรมเทศนำ
“ วันอัฏฐมบี ูชา ”
ตรงกบั วนั แรม ๘ คำ่ เดอื น ๖ หรือเดือน ๗
นบั ถัดจำกวันวสิ ำขบูชำไป ๗ วัน
เป็นวันคล้ำยวันถวำยพระเพลงิ พระพทุ ธสรีระ
หลักธรรมสำคญั
• อัปปมาทะ (ควำมไมป่ ระมำท)
• การบูชา ๒ ประการ
- อำมิสบชู ำ (กำรบูชำด้วยวตั ถุสงิ่ ของ)
- ปฏิบัติบูชำ (กำรบูชำด้วยกำรประพฤติตนตำมหลกั ธรรมคำสอน)
“ วนั อาสาฬหบชู า ”
เป็นกำรบูชำในวนั เพญ็ เดอื น ๘
มีควำมสำคญั โดยสรุปได้ ๓ ประกำร
• เป็นวนั ท่ีพระพทุ ธเจำ้ ทรงแสดงปฐมเทศนำ
• เป็นวันที่มพี ระสงฆ์เกิดขน้ึ องคแ์ รกในพระพทุ ธศำสนำ
• เปน็ วันทีพ่ ระรตั นตรยั ครบบริบรู ณ์
หลกั ธรรมท่ีแสดง คือ ธัมมจกั กัปปวัตตนสตู ร
ช่วงเช้ำ ชว่ งค่ำ
• ทำบญุ • เวยี นเทียน
• ตกั บำตร
หลกั ธรรมทเ่ี กี่ยวเนือ่ งในธรรมสวนะและเทศกาลสาคญั
วนั ธรรมสวนะ
• วนั ธรรมสวนะ หรอื วนั พระ ในหนึ่งเดือนมี ๔ วนั
วนั ขน้ึ ๘ คำ่
วันขน้ึ ๑๕ ค่ำ
วนั แรม ๘ ค่ำ
วนั แรม ๑๔ หรอื ๑๕ คำ่
• หลกั ธรรมสำคญั คือ กาเลนธมั มสากัจฉา
(กำรสนทนำธรรมตำมกำล)
• กำรฟังธรรมนิยมฟงั กนั ในวนั สำคญั ทำงพระพุทธศำสนำ
โดยเฉพำะวนั พระ และวันอน่ื ๆ
วนั เทศกาลสาคัญ
วนั เข้าพรรษา
๑ เรม่ิ วนั แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑
๒ พระภกิ ษจุ ะพกั อำศยั อย่ใู นวดั ใดวัดหนงึ่ เป็นเวลำ ๓ เดอื น
๓ เพอื่ ศกึ ษำพระธรรมวินยั ๓ หมวดใหญ่ เรยี กวำ่ สทั ธรรม ๓
ปรยิ ัติสทั ธรรม ปฏบิ ตั ิสัทธรรม ปฏเิ วธสัทธรรม
วนั ออกพรรษาและวันตกั บาตรเทโวโรหณะ
๑ ตรงกับวันข้ึน ๑๕ คำ่ เดือน ๑๑ เปน็ วันสิน้ สุดระยะกำรจำพรรษำ ๓ เดือน
๒ เปน็ วนั ทพ่ี ระสงฆพ์ ร้อมใจกนั ทำ ปวำรณำกรรม เปิดโอกำสให้มีกำรแนะนำ
และตักเตือนระหว่ำงทป่ี ระชุมสงฆ์
๓ พุทธศำสนิกชนจะมีกำรทำบญุ ตักบำตรเนอ่ื งในโอกำสเป็นวันคล้ำยวันท่พี ระพุทธเจำ้
เสดจ็ ลงจำกสวรรค์ชั้นดำวดึงส์ หลังจำกเสด็จไปโปรดพระพุทธมำรดำ
๔ หลกั ธรรมสำคญั ท่พี ระสงฆ์พึงปฏิบตั ิในวันนเ้ี รยี กว่ำ อริยวงศ์ ๔ ได้แก่ จีวรสันโดษ
ปณิ ฑปำตสนั โดษ เสนำสนสันโดษ ภำนำปหำนำรำมตำ
ศาสนพธิ ี
ประเภทของพุทธศาสนพิธี
กุศลพธิ ี พิธกี รรมต่ำงๆ อันเกยี่ วด้วยกำรอบรมควำมดงี ำมทำงพระพุทธศำสนำเฉพำะตวั บุคคลแบ่งเปน็ ๒ อย่ำง
บญุ พธิ ี คอื พธิ กี รรมทพี่ ุทธบริษทั พงึ ปฏิบตั ิในเบ้อื งตน้ และพธิ กี รรมท่ีพระสงฆพ์ งึ ปฏบิ ัติ
พิธที ำบุญหรือทำควำมดี แบง่ ออกได้เป็น ๒ ประเภท คือกำรทำบุญงำนมงคล เปน็ กำรทำบญุ ในโอกำส
และงำนวนั สำคญั และกำรทำบญุ งำนอวมงคล เป็นกำรทำบญุ เก่ยี วกับกำรตำย
ทำนพธิ ี พิธถี วำยทำนแด่พระสงฆ์ เรียกว่ำ ทำนวตั ถุ มี ๒ อย่ำง ได้แก่ ปำฏิบุคลิกทำน คือ กำรถวำยเจำะจง
พระภกิ ษุ และสงั ฆทำน คือกำรถวำยไมเ่ จำะจงพระภิกษุ
ปกณิ กพิธี พิธีทำบุญบำเพญ็ กศุ ลเนอื่ งในวนั ประเพณีต่ำงๆ เช่น กำรทำบุญในพระรำชพิธีฉตั รมงคล วันเฉลิม
พระชนมพรรษำ วนั ขน้ึ ปีใหม่ วนั สงกรำนต์
คณุ คา่ และประโยชน์ของศาสนพธิ ี
▪ เป็นเครื่องยึดเหน่ียวจิตใจของศำสนิกชนใหใ้ ฝ่ในคณุ งำมควำมดี
▪ ทำให้เกดิ ควำมสำมคั คี
▪ มีส่วนชว่ ยรักษำเอกลกั ษณ์ของชำติ
▪ ก่อให้เกิดควำมศรทั ธำตอ่ พระพุทธศำสนำ
ศาสนพิธเี นือ่ งด้วยพุทธบญั ญัติ
พิธีเวยี นเทยี น : ระเบียบปฏิบัติ
เมื่อถึงเวลา ทำงวดั จะตีระฆงั สญั ญำณใหพ้ ทุ ธบริษทั มำประชมุ พร้อมกนั ที่
หน้ำพระอุโบสถหรอื ลำนพระเจดยี ์ โดยภิกษยุ ืนแถวหน้ำ ถัดไปเปน็ สำมเณร
ท้ำยสุด คือ อุบำสกและอบุ ำสกิ ำ โดยใหท้ ุกคนถือดอกไม้ธปู เทียน
พระภกิ ษุผ้เู ปน็ ประธานนาจุดธูปเทยี นและนากลา่ ว “นโม…” พรอ้ มกัน
๓ จบ และคำบชู ำพระรตั นตรัยตำมแบบที่กำหนดไว้
พระภกิ ษุผู้เปน็ ประธานเดินนาแถวไปทำงขวำมอื ของสถำนท่ีเวียนเทียน
ในกำรเดนิ เวียนเทยี นแต่ละรอบควรรำลกึ ถึงพระคุณของพระรตั นตรยั ตำม