❑ เดนิ เวียนรอบที่ ๑
ให้รำลกึ พระพุทธคณุ โดยกำรสวดบท “อิติปโิ ส ภควา…”
❑ เดนิ เวียนรอบท่ี ๒
ใหร้ ำลึกพระธรรมคณุ โดยกำรสวดบท “สวากขฺ าโต ภควตา
ธมโฺ ม…”
❑ เดินเวยี นรอบที่ ๓
ให้รำลกึ พระสังฆคุณ โดยกำรสวดบท “สปุ ฏิปนฺโน ภควโต
สาวกสงฺโฆ…”
เมอื่ เดินครบ ๓ รอบแลว้ …… นำดอกไม้ธปู เทยี นไปปกั บูชำ จำกนัน้ จงึ เข้ำไปประชมุ พรอ้ มกนั ในพระอุโบสถ วหิ ำร
หรือศำลำกำรเปรยี ญ แล้วสวดมนต์ทำวัตรพร้อมกนั หลังจำกนนั้ ฟังพระธรรมเทศนำ เปน็ อันเสรจ็ พธิ ี
พิธถี วายสังฆทาน : ขัน้ ตอนกำรปฏบิ ัติ
สังฆทาน (ทำนท่อี ุทศิ แกพ่ ระสงฆ์โดยมิไดเ้ จำะจงพระภิกษุรูปใดรปู หนงึ่ )
๑ เตรียมภตั ตำหำรและเคร่ืองไทยธรรมให้เรียบรอ้ ย จะถวำยกี่รูปกไ็ ด้ตำม ควำมศรทั ธำ
๒ นิมนต์พระภกิ ษุกรี่ ปู ก็ได้ แต่ทสี่ ำคญั คอื ต้องไมเ่ จำะจงพระภกิ ษรุ ูปใดรูปหนงึ่ อำจจะ
เป็นพระภกิ ษุทกี่ ำลังออกบณิ ฑบำตอย่กู ็ได้
๓ กำรจัดสถำนท่ี ถำ้ เปน็ ในบ้ำนควรจดั หอ้ งใดห้องหนึ่งให้เรยี บรอ้ ย ถำ้ มีพระพุทธรูป
ควรตงั้ ที่บชู ำดว้ ยพอสมควร เมอื่ พระสงฆ์มำพร้อมกันแล้วใหน้ ำภตั ตำหำรต้ังตรงหนำ้
พระสงฆ์อำรำธนำศลี แลว้ กลำ่ วคำถวำยสงั ฆทำน
๔ ขณะกล่ำวคำถวำย พระสงฆ์จะประนมมอื พอผู้ถวำยกลำ่ วจบ ผูร้ ่วมพิธีกจ็ ะรับ
“สาธ”ุ พรอ้ มกนั ตอ่ จำกนั้นผู้ถวำยจะประเคนภตั ตำหำรและของบรวิ ำร (ถำ้ ม)ี
แดพ่ ระสงฆ์
๕ พระสงฆ์สวดคำอนุโมทนำ ขณะทพี่ ระสงฆ์สวดวำ่ “ยถา…” ให้ผู้ถวำยกรวดนำ้ กะให้
พอดีนำ้ ลนื่ ไหลหมด เม่ือพระสงฆ์สวดรบั พรอ้ มกันวำ่ “สพฺพตี ิโย…” ก็ให้ผูถ้ วำย
ประนมมอื รบั พรไปจนจบเปน็ อนั เสร็จพิธี
พธิ ถี วายผา้ อาบนา้ ฝน
ผา้ อาบนา้ ฝน ผ้าสาหรบั ผลดั เปล่ยี นอาบน้าของพระสงฆ์
กำหนดเวลำกำรถวำยผำ้ อำบนำ้ ฝนจะเร่มิ ตั้งแต่วันแรม ๑ คำ่ เดือน ๗ จนถงึ วันข้ึน ๑๕ คำ่ เดอื น ๘
แตส่ ว่ นมำกนยิ มถวำยในวันขึน้ ๑๕ ค่ำ เดือน ๘
พิธีถอดกฐิน : ขน้ั ตอนกำรปฏบิ ตั ิ
• กำรทอดกฐนิ เป็นประเพณที ่นี ิยมทำกันตง้ั แตว่ ันแรม ๑ ค่ำ เดอื น ๑๑ ไปจนถึงกลำงเดือน ๑๒
• กำรทอดกฐนิ กำรนำผำ้ กฐนิ ไปวำงไว้ตอ่ หน้ำพระสงฆ์อย่ำงน้อย ๕ รูป แล้วให้พระสงฆร์ ูปหน่ึงทีไ่ ดร้ บั เลือก
จำกคณะสงฆ์โดยเอกฉนั ทเ์ ปน็ ผู้รบั ผำ้ กฐิน
๑ เจำ้ ภำพผูม้ จี ิตศรทั ธำหำกประสงคท์ ี่จะทอดกฐนิ ท่วี ดั ใด ตอ้ งไปกรำบเรียนแสดง
ควำมจำนงตอ่ เจำ้ อำวำสวดั นน้ั ตกลงวนั เวลำท่ีแน่นอนเพื่อกำรทอดกฐิน
๒ เจำ้ ภำพเตรียมเคร่อื งกฐินให้พรอ้ ม
๓ เจำ้ ภำพนำเครื่องกฐินไปถวำยพระสงฆท์ ว่ี ัดตำมวันเวลำทก่ี ำหนด เมอื่ พระภิกษุสงฆ์
ประชุมพรอ้ มกันแล้ว เร่ิมถวำยผ้ำกฐินด้วยกำรกล่ำว “นโม…” ๓ จบ แลว้ กลำ่ วคำ
ถวำยผ้ำกฐนิ
๔ เมือ่ กล่ำวคำถวำยจบแล้วพระสงฆร์ ับพรอ้ มกนั ว่ำ “สาธ”ุ เจำ้ ภำพนำผ้ำกฐนิ ไปถวำย
พระสงฆ์รปู ทีจ่ ะรับครองกฐิน ต่อจำกนนั้ จะเป็นพิธีสงั ฆกรรมท่ีพระสงฆ์ปฏิบตั ติ ำม
หลักพระธรรมวนิ ัยตอ่ ไป
พธิ ปี วารณา
• ตรงกับวนั ขน้ึ ๑๕ คำ่ เดือน ๑๑
• กำรปวำรณำ กำรทพ่ี ระสงฆเ์ ปดิ โอกำสใหม้ ีกำรวำ่ กล่ำวตักเตอื นกัน เมือ่ ได้ฟัง ได้เหน็ หรือมีข้อรังเกยี จในควำม
ประพฤติของกันและกนั เมอ่ื สงสัยในควำมประพฤตริ ะหวำ่ งที่อยู่รว่ มกันตลอดพรรษำ ก็ใหม้ กี ำรว่ำกลำ่ วตกั เตอื นกนั ได้
• พุทธศำสนกิ ชนในวนั น้อี ำจมีกำรทำบญุ ตักบำตร สมำทำนศลี และฟงั พระธรรมเทศนำ เพอื่ อบรมกำย วำจำ และใจ
ศาสนพิธีท่ีนาพระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปเก่ียวเนื่อง
การทาบญุ เลีย้ งพระในงานมงคล มีขั้นตอนในกำรปฏิบตั ิ ดังน้ี
การเตรียมการ
• อำรำธนำพระสงฆ์มำเจริญพระพุทธมนต์ นยิ มเป็นจำนวนค่ี เช่น ๕ รูป ๗ รูป หรอื ๙ รูป
• เตรียมท่ีต้งั พระพทุ ธรปู พรอ้ มเครื่องบูชำ
• ตกแต่งสถำนท่ีบรเิ วณพิธี
• วงด้ำยสำยสญิ จนโ์ ดยรอบอำคำรหรอื จะวงทีฐ่ ำนพระพทุ ธรูป แล้วโยงมำท่ีภำชนะสำหรบั นำ้ มนตก์ ไ็ ด้
• อญั เชิญพระพทุ ธรปู มำตง้ั บนท่ีบูชำ
• ปอู ำสนะสำหรับพระสงฆ์
• เตรยี มเคร่อื งรับรองพระสงฆต์ ำมควรแก่ฐำนะ
• ตั้งภำชนะสำหรับทำนำ้ มนต์
การดาเนนิ พิธี
• เมือ่ พระสงฆม์ ำถงึ แล้ว นมิ นตพ์ ระสงฆน์ งั่ บนอำสนะ แลว้ ประเคนเคร่อื งรับรอง
• เจำ้ ภำพหรือผ้แู ทนจดุ ธูปเทยี นท่ีโตะ๊ หมบู่ ูชำ แล้วกรำบเบญจำงคประดิษฐ์
• อำรำธนำศลี และรบั ศลี
• อำรำธนำพระปริตร
• พระสงฆ์เจรญิ พระพทุ ธมนต์
• ถวำยภตั ตำหำรแด่พระสงฆ์ เสร็จแล้วถวำยเคร่ืองไทยธรรม
• พระสงฆอ์ นโุ มทนำ ขณะท่พี ระสงฆ์วำ่ บท “ยถา…” ใหเ้ รม่ิ กรวดน้ำใหเ้ สร็จก่อนจบบท พอพระสงฆว์ ำ่ บท
“สพพฺ ีตโิ ย…” ใหน้ ง่ั ประนมมอื รบั พรตลอดไปจนจบ
• พระสงฆป์ ระพรมน้ำพระพุทธมนต์ เป็นอันเสร็จพิธี
การทาบุญเล้ียงพระในงานอวมงคล
กำรทำบญุ เก่ยี วกับเร่ืองกำรตำย นิยมทำกันอยู่ ๒ อย่ำง คอื การทาบุญหนา้ ศพ หรอื ท่ีเรยี กกนั ว่ำ ทำบญุ ๗ วัน ๕๐ วนั หรือ
๑๐๐ วัน กับ การทาบญุ อัฐิ หรอื กำรทำบุญในวนั คล้ำยวนั ตำยของผลู้ ่วงลบั มีขน้ั ตอนและกำรปฏิบัติเหมอื นกับกำรทำบุญเลย้ี ง
พระในงำนมงคล แตม่ ีขอ้ แตกตำ่ งกนั คอื
การทาบุญงานอวมงคล
• กำรอำรำธนำพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ นิยมจำนวน ๘ หรือ ๑๐ รูป แลว้ แตก่ รณี แตต่ ้องเป็นจำนวนคู่
และกำรอำรำธนำพระสงฆ์สำหรับทำบุญงำนอวมงคลไม่ใชค้ ำว่ำ “ขออำรำธนำเจรญิ พระพทุ ธมนต์” เหมอื น
อยำ่ งทำบญุ งำนมงคล แตใ่ ชค้ ำว่ำ “ขออำรำธนำสวดพระพุทธมนต์”
• ไม่ตอ้ งวงด้ำยสำยสญิ จน์ และไม่ตอ้ งตงั้ ภำชนะสำหรับทำน้ำมนต์
• เตรยี มสำยโยงหรือภษู ำโยงต่อจำกศพหรืออฐั ิไว้เพื่อใช้บงั สกุ ลุ
• เมือ่ พระสงฆ์มำถงึ ตำมกำหนดเวลำ มีข้อพึงปฏิบตั พิ เิ ศษ คือ มีกำรจดุ ธปู เทียนท่โี ตะ๊ หมบู่ ชู ำกับกำรจดุ ธูป
เทียนทหี่ นำ้ ศพ
• วนั เล้ียงพระมีกำรปฏิบัติเช่นเดียวกบั งำนมงคล เพยี งแต่หลงั จำกพระสงฆฉ์ นั เสรจ็ แล้วนยิ มใหม้ กี ำรบังสุกุล
แล้วจึงถวำยไทยธรรม เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนำ จึงกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลต่อไป
บทสวดมนตข์ องนกั เรียน
บทสวดมนตไ์ หว้พระประจาวนั ทกุ เช้าหลังเคารพธงชาติ
ผนู้ ำนกั เรยี นจะนำสวดมนต์ บท “อะระหัง สัมมำสัมพุทโธ ภะคะวำ” จนจบถงึ บท “สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ
สังฆัง นะมำม”ิ
บทสวดมนตไ์ หวพ้ ระกอ่ นเลิกเรียนในวันสุดสปั ดาห์
บทนมัสกำรพระรตั นตรัย ข้ึนตน้ ดว้ ย “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธัสสะ” วำ่ ๓ ครง้ั
บทพระพทุ ธคุณ ขน้ึ ตน้ ด้วย “อิติปิโส ภะคะวา” ไปจนจบถงึ “พทุ โธ ภะคะวำติ”
คำนมสั กำรพระพุทธคณุ ขึ้นต้นดว้ ย “องคใ์ ดพระสมั พทุ ธวิสุทธสนั ดำน” จนถึง “ญภำพน้ันนิรันดร”
บทพระธรรมคณุ ข้ึนต้นดว้ ย “สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม” จนถงึ “ปจั จตั ตัง เวทติ พั โพ วญิ ญูหีต”ิ
คำนมสั กำรพระธรรมคณุ ขึ้นตน้ ด้วย “ธรรมะคอื คุณากร” จนถึง “ด้วยจติ และกายวาจา”
บทพระสังฆคุณ ขนึ้ ต้นด้วย “สปุ ะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ” จนถงึ “อะนตุ ตะรงั ปญุ ญกั เขตตงั
โลกัสสาติ”
คำนมสั กำรพระสงั ฆคณุ ขึ้นตน้ ด้วย “สงฆ์ใดสาวกศาสดา รับปฏิบตั ิมา” จนถึง “จงช่วยขจดั โพยภยั อนั ตรายใดใด
จงดบั และกลับเสอ่ื มสูญ”
พธิ บี รรพชาอปุ สมบท
การบรรพชา
กำรบวชเปน็ เณร เป็นกำรลำจำกชีวิตฆรำวำสแล้วหนั มำดำเนนิ ชวี ิตแบบสนั โดษตำมหลกั อริยมรรคมีองค์ ๘ เพือ่ บรรลถุ งึ
ควำมหลดุ พ้นจำกกเิ ลสอนั เปน็ จดุ หมำยปลำยทำงของชีวติ
เปน็ ชำยมอี ำยไุ มต่ ่ำกวำ่ ๗ ปีบริบรู ณ์ ไมเ่ ป็นโรคติดต่อ โรครำ้ ยแรง
คุณสมบตั ิ
ของผทู้ ีจ่ ะบรรพชำ
เป็นผู้ทม่ี อี วยั วะครบถว้ นสมบรู ณ์ ไมเ่ ปน็ ผตู้ อ้ งห้ำมตำมพระวนิ ัย
การอปุ สมบท
กำรบวชเปน็ พระด้วยวธิ ญี ัตติจตตุ ถกรรมวำจำ อปุ สมั ปทำ คอื กำรอปุ สมบทโดยสงฆส์ วดประกำศและยอมรบั เข้ำหมู่ในที่
ประชมุ สงฆ์
เป็นชำยมอี ำยคุ รบ ๒o ปบี รบิ ูรณ์ ไม่เปน็ บคุ คลที่หำ้ มบวช
ไม่เป็นโรคติดต่อ มีรำ่ งกำยสมบูรณ์ คุณสมบัติ ไม่ตอ้ งโทษแผน่ ดิน
ของผู้ท่จี ะอุปสมบท
ได้รบั อนญุ ำตจำกบิดำมำรดำ ถ้ำเปน็ ขำ้ รำชกำรตอ้ งได้รบั อนญุ ำตจำกตน้ สังกดั
มีคุณสมบัติตำมกำรปกครองของคณะสงฆ์
ประโยชน์ของ การบรรพชา
• เยำวชนได้รบั กำรอบรมเกีย่ วกับหลักธรรมเพือ่ เป็นแนวทำงกำรปฏิบัตติ น
• เยำวชนได้รับกำรฝกึ อบรมกริ ิยำมำรยำททัง้ ทำงกำย วำจำ และใจ ให้สำรวมเรียบรอ้ ย
• เยำวชนรู้จกั ใชเ้ วลำว่ำงใหเ้ ป็นประโยชน์อย่ำงคุ้มค่ำ
• เป็นกำรสบื ทอดประเพณที ำงพระพทุ ธศำสนำ
ประโยชนข์ อง การอปุ สมบท
• ประโยชนต์ ่อตนเอง ทำให้ไดเ้ รยี นรู้พระธรรมวนิ ัย สง่ ผลใหเ้ ปน็ ผูม้ คี วำมสำรวมกำย วำจำ และใจ อยู่ในวนิ ยั
• ประโยชน์ต่อสงั คม พระสงฆเ์ ปน็ ผู้ชี้แนะแนวทำงกำรปฏบิ ัติตนอยำ่ งถกู ต้องและเหมำะสมให้แก่พุทธศำสนกิ ชน
• ประโยชนต์ อ่ พระพทุ ธศำสนำ กำรอปุ สมบทเป็นภิกษุเป็นกำรสบื ทอดพระพทุ ธศำสนำ โดยนำพระธรรมคำสอน
ของพระพทุ ธเจ้ำไปเผยแผ่แกป่ ระชำชนท่วั ไป
หนว่ ยกำรเรียนรูท้ ี่ ๑ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๓ พระพุทธศาสนา
หน่วยกำรเรยี นรู้ท่ี ๖ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๗ หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี ๘
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔-๖
กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ่ี ๔ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๕
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี ๙ หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ี่ ๑o
๑_หลักสตู รวิชาพระพทุ ธศาสนา
๒_แผนการจัดการเรียนรู้
๓_PowerPoint_ประกอบการสอน
๔_Clip
๕_ใบงาน_เฉลย
๖_ขอ้ สอบประจาหน่วย_เฉลย
๗_การวดั และประเมนิ ผล
๘_เสรมิ สาระ
๙_ส่ือเสรมิ การเรยี นรู้
บรษิ ัท อักษรเจริญทศั น์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200
Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand
โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๒ตอนที่ พระธรรม ๔หน่วยการเรยี นรู้ที่
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา
พระรัตนตรัย
• แกว้ อนั ประเสริฐ ๓ ประกำร ได้แก่ พทุ ธรัตนะ ธรรมรตั นะ สงั ฆรัตนะ ท่เี รยี กว่ำรตั นะ เพรำะเป็นสิง่ ประเสริฐ
ควำมหมำยของพระรัตนตรยั
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
• สมเดจ็ พระสัมมำสัมพทุ ธเจำ้ ซึ่ง • เป็นควำมจรงิ ท่มี อี ยู่โดย • กลุ่มชนที่เล่ือมใสในคำสอนของ
ทรงค้นพบสัจธรรมด้วยพระองค์เองแลว้ ธรรมชำตเิ มือ่ พระพทุ ธเจำ้ ทรง พระพุทธเจำ้ แล้วออกบวชมีหนำ้ ทศ่ี ึกษำ
ทรงประกำศสงั่ สอนสรรพสัตว์เพ่ือช่วย คน้ พบแล้วจึงทรงนำมำสั่งสอน ปฏบิ ตั ติ ำม และเผยแผ่หลกั ธรรมทำง
ใหห้ ลุดพ้นจำกควำมทุกข์ แกส่ รรพสัตว์ พระพุทธศำสนำ
คุณของพระรตั นตรัย
พระปัญญาคณุ พระบรสิ ทุ ธิคณุ พระกรุณาคุณ
พระปญั ญำของพระพทุ ธองคผ์ ำ่ นกำร ควำมบรสิ ุทธิ์หมดจดปรำศจำกกเิ ลส พระกรณุ ำท่ีทรงมีตอ่ สรรพ สตั ว์ทัง้ หลำย
พฒั นำจนสำมำรถดับกเิ ลสได้ และ เปน็ ควำมบรสิ ทุ ธท์ิ เี่ ป็นผลสืบเนือ่ ง ดว้ ยทรงช่วยเหลอื ใหค้ น้ พบและรอดพ้น
สำมำรถชแี้ นวทำงให้สรรพสัตวท์ ้ังหลำย มำจำกปัญญำท่ีทำใหจ้ ติ ใจตืน่ จำกกำร จำกควำมทกุ ข์
พ้นทุกข์ ได้จรงิ หลับใหลไปตำมกระแสของกิเลส
อรยิ สัจ ๔
• หลักควำมจรงิ ท่เี ป็นธรรมชำตขิ องชวี ิต เป็นหลกั กำรแสดงควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งเหตแุ ละผล ๔ ประกำร
๑ ทกุ ข์ (ควำมจรงิ ทค่ี วรกำหนดรู้)
๒ สมทุ ยั (ควำมจรงิ ท่ีควรละ)
๓ นิโรธ (ควำมจริงทีค่ วรบรรลุ)
๔ มรรค (ธรรมทคี่ วรเจรญิ )
๑ ทุกข์ (ควำมจรงิ ทีค่ วรกำหนดร)ู้
• ควำมจริงว่ำด้วยควำมทุกข์หรอื ปัญหำมีหลำยประกำร ท่คี วรรู้และทำควำมเข้ำใจในเบอื้ งต้น คือ ขนั ธ์ ๕ ,
โลกธรรม ๘ , จิตและเจตสิก
ขนั ธ์ ๕ โลกธรรม ๘ จิตและเจตสิก
เป็นองคป์ ระกอบหลกั ของชีวติ สงิ่ ทมี่ ีผลกระทบตอ่ ควำมรู้สกึ และกำร • ไปได้ไกล
มี ๕ ประกำร รบั รู้ของมนษุ ย์ทั้งในดำ้ นบวกและลบ • เท่ยี วไปดวงเดียว
• ไม่มีสรรี ะ
• รูป • ได้ลำภ-เสอ่ื มลำภ • มีถำ้ เป็นที่อำศยั
• เวทนำ • ได้ยศ-เสอ่ื มยศ
• สัญญำ • กำรสรรเสรญิ -กำรนินทำ
• สงั ขำร • สขุ -ทกุ ข์
• วญิ ญำณ
๒ สมทุ ัย (ควำมจรงิ ทค่ี วรละ)
• ควำมจริงว่ำดว้ ยเหตเุ กิดแห่งทกุ ข์ กำรเรียนรู้เรอ่ื งสมทุ ยั เพอ่ื จะไดห้ ำหนทำงละหรอื บรรเทำเหตแุ ห่งทกุ ข์
หลักกรรม กรรมนยิ ำม อุปำทำน ๔
กรรมแบง่ เปน็ ประเภทตำ่ งๆ ดังนี้ กฎธรรมชำติวำ่ ด้วยกำรกระทำหรือ ควำมยึดมั่นถอื ม่นั ดว้ ยอำนำจกเิ ลส
• หลกั กรรม กฎแห่งกรรม
• กรรมจดั ตามหนา้ ทก่ี ารใหผ้ ล • กามุปาทาน
- กรรมแบ่งตามพฤตกิ รรม • กรรมจัดตามแรงหนักเบา • ทิฏฐุปาทาน
- กำยกรรม • สลี ัพพตุปาทาน
- วจกี รรม • อัตตวาทปุ าทาน
- มโนกรรม
- กรรมแบง่ ตามเจตนา
- กศุ ลกรรม
- อกุศลกรรม
- อัพยำกตกรรม
วิตก ๓ นิยำม ๕ ปฏจิ จสมปุ บำท
เป็นสภำวะทีเ่ กิดขึน้ กับจติ มี ๒ ด้ำน กฎที่ควบคุมควำมเป็นไปในธรรมชำติ หลักธรรมทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ว่ำส่ิงทั้งหลำย
• กุศลวติ ก ควำมนึกคดิ ในเรอื่ ง ไมไ่ ด้ดำรงอยู่ไดโ้ ดยตวั มนั เอง แต่อำศัยกนั
• อตุ นุ ยิ าม เกิดขนึ้ ตัง้ อยู่ และดบั ไป เปรยี บเสมอื น
หรอื ส่งิ ทด่ี ี มี ๓ ประกำร ไดแ้ ก่ • พชื นิยาม หว่ งโซ่ ๑๒ หว่ ง
- เนกขัมมวิตก • จติ นยิ าม
- อพยำบำทวติ ก • กรรมนิยาม • อวชิ ชา • เวทนา
- อวิหงิ สำวิตก • ธรรมนยิ าม • สงั ขาร • ตัณหา
• อกุศลวิตก ควำมนึกคดิ ในเรือ่ ง • วญิ ญาณ • อปุ าทาน
หรือส่ิงที่ไมด่ ี มี ๓ ประกำร • นามรปู • ภพ
ไดแ้ ก่ • สฬายตนะ • ชาติ
- กำมวิตก • ผัสสะ • ชรามรณะ
- พยำบำทวิตก
- วหิ งิ สำวิตก
นวิ รณ์ ๕
สิ่งท่ปี ิดกั้นหรือขดั ขวำงจิตไม่ใหบ้ รรลคุ ุณควำมดี
มี ๕ ประกำร ดงั น้ี
• กามฉันท์
• พยาบาท
• ถีนมิทธะ
• อุทธัจจกุกกุจจะ
• วิจกิ ิจฉา
๓ นิโรธ (ธรรมทีค่ วรบรรล)ุ
• ควำมดับทุกขห์ รอื ดับปัญหำ ถำ้ ดบั เหตุได้ควำมทกุ ข์หรือปัญหำก็จะหมดไป หลกั ธรรมวำ่ ดว้ ยนโิ รธมีดังนี้
ภำวนำ ๔ วมิ ตุ ติ ๕ นิพพำน
ควำมหมำยตรงกบั คำว่ำ พฒั นำ คอื ควำมหลดุ พ้นจำกกเิ ลส มี ๕ ประกำร กำรดับกเิ ลสและกองทุกข์ เปน็ ภำวะท่ี
กำรพัฒนำคนหรือพฒั นำตนใหม้ ี หลดุ พน้ จำกกำรครอบงำของตัณหำหรอื
ควำมเจริญ • วิกขัมภนวิมุตติ กเิ ลสโดยส้นิ เชิง มี ๒ ประเภท
• ตทังควมิ ตุ ติ
• กำยภำวนำ • สมจุ เฉทวมิ ุตติ • สอปุ ำทเิ สสนพิ พำน
• ศีลภำวนำ • ปฏปิ ัสสทั ธวิ มิ ุตติ • อนุปำทิเสสนพิ พำน
• จติ ภำวนำ • นสิ สรณวิมตุ ติ
• ปัญญำภำวนำ
๔ มรรค (ธรรมทีค่ วรเจริญ)
• ทำงปฏบิ ัติให้บรรลถุ งึ ควำมดับทกุ ข์ ผูใ้ ดปฏบิ ตั ติ ำมเง่ือนไขที่กำหนดไวใ้ นมรรคได้อย่ำงสมบูรณ์ ผู้น้ันกส็ ำมำรถ
ดับทกุ ข์ได้ ในพระพทุ ธศำสนำหลักธรรมที่เกย่ี วกับมรรคมีมากมาย
พระสทั ธรรม ๓ พละ ๕ ภกิ ขอุ ปริหำริยธรรม
ธรรมของสัตบรุ ุษหรือธรรมท่เี ป็น ธรรมอันเปน็ กำลังในกำรรักษำจติ ใจ ธรรมท่ีเปน็ ไปเพื่อควำมเจรญิ เปน็ ธรรม
แก่นของศำสนำ มี ๓ ประกำร และทำลำยอกศุ ล มี ๕ ประกำร สำหรบั ปอ้ งกันไมใ่ ห้เกิดควำมเสื่อมเสีย
• ปริยัติสัทธรรม • ศรทั ธำ • กำรปอ้ งกันควำมเสื่อมฝ่ำยคณะ
• ปฏบิ ตั สิ ทั ธรรม • วิรยิ ะ สงฆ์
• ปฏิเวธสทั ธรรม • สติ
• สมำธิ • กำรปอ้ งกันควำมเสื่อมฝ่ำย
• ปญั ญำ บ้ำนเมือง
โภคอำทิยะ ๕ ทศพิธรำชธรรม ๑o สำรำณยี ธรรม ๖
กำรใช้ประโยชน์จำกทรพั ย์สมบตั ิ ธรรมของพระรำชำ รวมถึงผู้นำ ธรรมอันเป็นที่ตงั้ แห่งควำมระลกึ ถงึ กัน
ตำมควำมเหมำะสม ผปู้ กครองทุกระดบั มี ๑o ประกำร เปน็ กำรเสริมสร้ำงควำมรักและสำมัคคี
• เล้ยี งดตู นเอง บิดำ มำรดำ ในหม่คู ณะ มี ๖ ประกำร
บุตร ภรรยำ และคนในควำมดูแล • ทำน
ให้ได้รบั ควำมสุข • ศีล • เมตตำกำยธรรม
• ปรจิ จำคะ • เมตตำวจีกรรม
• อำชชวะ • เมตตำมโนกรรม
• ตบะ • สำธำรณโภคี
• อักโกธะ • สีลสำมัญญตำ
• อวหิ งิ สำ • ทิฏฐสิ ำมัญญตำ
• ขนั ติ
• อวโิ รธนะ
วิปสั สนำญำณ ๙ วุฒิธรรม ๔ ปำปณกิ ธรรม ๓
ควำมเขำ้ ใจอยำ่ งแทจ้ ริง เป็นควำมรู้ หลกั ธรรมที่นำไปสคู่ วำมเจริญของ หลกั กำรทำงำนของผปู้ ระกอบอำชีพ
ทีเ่ กดิ จำกกำรปฏบิ ัตสิ มำธิ มี ๙ ปญั ญำ มี ๔ ขั้นตอน คำ้ ขำยควรมคี ณุ สมบัติ ๓ ประกำร
ประกำร
• อุทยัพพยำนปุ สั สนำญำณ • สปั ปรุ สิ สังเสวะ • จักขมุ ำ
• ภังคำนปุ ัสสนำญำณ • สทั ธัมมัสสวนะ • วิธโู ร
• ภยตูปัฏฐำนญำณ • โยนโิ สมนสิกำร • นิสสยสัมปันโน
• อำทนี วำนุปสั สนำญำณ • ธัมมำนุธมั มปฏิบัติ
• นพิ พทิ ำนปุ ัสสนำญำณ
• มุญจติ กุ ัมยตำญำณ
• ปฏสิ ังขำนปุ สั สนำญำณ
• สงั ขำรุเปกขำญำณ
• สัจจำนโุ ลมกิ ญำณ
ทฏิ ฐธมั มิกตั ถสังวัตตนกิ ธรรม อธปิ ไตย ๓ อรยิ วฑั ฒิ ๕
ธรรมท่เี ป็นไปเพือ่ ประโยชนป์ จั จุบนั ปัจจยั สำคญั ทจ่ี ะทำให้ประสบควำมสำเรจ็ หลักธรรมพืน้ ฐำนเพื่อกำรพฒั นำชวี ิต
ทำให้บรรลเุ ป้ำหมำยไดใ้ นชำตนิ ี้ มี ๔ หรือควำมลม้ เหลว สอนถงึ รปู แบบกำร ทด่ี งี ำม มี ๕ ประกำร
ประกำร ปกครองไว้ ๓ ประกำร
• ศรัทธำ
• อุฏฐำนสัมปทำน • อัตตำธิปไตย • ศีล
• อำรักขสัมปทำ • โลกำธิปไตย • สตุ ะ
• กัลยำณมิตร • ธรรมำธปิ ไตย • จำคะ
• สมชีวิตำ • ปัญญำ ควำมรอบรู้
มงคล ๓๘
กำรปฏิบัตติ ำมมงคลเพอื่ ใหไ้ ด้มำเพือ่ ควำมดงี ำม
อนั จะพำชีวติ ใหป้ ระสบแต่ควำมสขุ ควำมเจริญ
• กำรสงเครำะห์บุตร
• กำรสงเครำะห์ภรรยำ - สำมี
• ควำมสันโดษ
• ควำมเป็นผู้มีจิตไมห่ วน่ั ไหวไปตำมโลกธรรม
• ควำมเป็นผู้มีจติ ไม่โศกเศร้ำ
• ควำมเปน็ ผมู้ จี ติ ไมม่ ัวหมอง
• ควำมเป็นผู้มจี ิตเกษม
• ควำมเพยี รเผำกเิ ลส
• กำรประพฤตพิ รหมจรรย์
• กำรเหน็ แจ้งในอริยสัจ
• กำรบรรลุนพิ พำน
หนว่ ยกำรเรียนรูท้ ี่ ๑ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๓ พระพุทธศาสนา
หน่วยกำรเรยี นรู้ท่ี ๖ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๗ หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี ๘
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔-๖
กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ่ี ๔ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๕
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี ๙ หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ี่ ๑o
๑_หลักสตู รวิชาพระพทุ ธศาสนา
๒_แผนการจัดการเรียนรู้
๓_PowerPoint_ประกอบการสอน
๔_Clip
๕_ใบงาน_เฉลย
๖_ขอ้ สอบประจาหน่วย_เฉลย
๗_การวดั และประเมนิ ผล
๘_เสรมิ สาระ
๙_ส่ือเสรมิ การเรยี นรู้
บรษิ ัท อักษรเจริญทศั น์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200
Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand
โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๕หน่วยการเรยี นรู้ท่ี
พระไตรปิฎกและพทุ ธศาสนสภุ าษิต
พระไตรปฎิ ก
• คัมภรี ท์ รี่ วบรวมคำสอนของพระพทุ ธเจำ้ ไวเ้ ปน็ หมวดหมู่ ในสมัยพุทธกำลจะใชค้ ำวำ่ ธรรมวินัย
การศึกษาคน้ คว้าพระไตรปิฎกและคัมภีร์รองอนื่ ๆ
ลาดบั ความสาคญั ของคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนา
• พระไตรปิฎก จัดเป็นหลักฐานชนั้ ที่ ๑ เรยี กวำ่ พระบาลี
• คัมภรี อ์ ธิบายพระไตรปิฎก จัดเป็นหลักฐานชัน้ ที่ ๒ เรียกวำ่ อรรถกถา หรือ วัณณนำ
• คัมภรี อ์ ธิบายอรรถกถา จัดเปน็ หลักฐานชน้ั ท่ี ๓ เรียกว่ำ ฎกี า
• คัมภรี อ์ ธบิ ายฎีกา จดั เปน็ หลักฐานชน้ั ที่ ๔ เรียกวำ่ อนฎุ ีกา
การสงั คายนาและเผยแพรพ่ ระไตรปิฎก
การสงั คายนา
• สมัยแรกจะสบื ทอดด้วยกำรท่องจำ
• ตอ่ มำเม่อื พระอรหันตส์ ำวกมีลดน้อยลงควำมสงสยั และควำมเขำ้ ใจ
พระธรรมวินัยผิดไปจำกเดิมจงึ เกิดกำรสังคำยนำขึ้นในพระพุทธศำสนำ
การเผยแพรพ่ ระไตรปิฎก
การศกึ ษา • กำรศกึ ษำภำษำบำลเี พอ่ื ให้สำมำรถแปลและเขำ้ ใจคำสอนในพระไตรปฎิ กซงึ่ เป็นภำษำบำลไี ด้
การจารึกและจัดพิมพ์ • เมอื่ ศึกษำพระไตรปิฎกจนเกิดควำมเข้ำใจที่ถกู ตอ้ งแล้วจึงไดม้ ีกำรคดั ลอกจำรึกลงบนวัสดตุ ำ่ งๆ เชน่ ใบลำนหรอื แผน่ ศลิ ำ
พระไตรปิฎก ต่อมำเม่อื เวลำล่วงผ่ำนไปพร้อมกบั ควำมทันสมัย กำรจำรึกได้เปลีย่ นเปน็ กำรจัดพิมพ์ด้วยเทคโนโลยี กำรพมิ พน์ ้เี องทำให้
ควำมแพร่หลำยของพระไตรปฎิ กขยำยวงออกไป
การปฏบิ ตั ิตามหลกั • กำรปฏบิ ัตติ นตำมหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ำกค็ ือกำรปฏิบตั ิตำมหลกั ธรรมในพระไตรปิฎก ดงั นน้ั กำรปฏบิ ัติตนของ
คาสอนในพระไตรปิฎก พุทธศำสนิกชนจึงเปน็ วธิ ีหนึ่งของกำรเผยแพร่พระไตรปิฎก
การเทศนาสง่ั สอนหรือ • เปน็ วธิ ีกำรเผยแพร่ที่ปฏบิ ัติกันมำตง้ั แต่กอ่ นจะมพี ระไตรปิฎก ในปัจจบุ ันกำรบอกธรรมหรอื กำรเทศนำส่ังสอนกย็ ังปฏิบัติ
การบอกธรรม กนั ท่ัวไป และเปน็ วธิ ีท่ปี ระสบควำมสำเร็จอยำ่ งสงู
คณุ คา่ และความสาคัญของพระไตรปฎิ ก
▪ พระไตรปฎิ กเปน็ ทรี่ วบรวมพระพุทธวจนะ ▪ พระไตรปฎิ กเป็นที่สถิตของของพระศำสดำของ
พทุ ธศำสนิกชน
▪ พระไตรปิฎกเปน็ แหล่งขอ้ มลู เดิมของ ▪ พระไตรปฎิ กเป็นหลกั ฐำนอ้ำงองิ ควำมถูกตอ้ งทำง
หลักคำสอนในพระพุทธศำสนำ พระพุทธศำสนำ
▪ พระไตรปิฎกเปน็ เกณฑ์มำตรฐำนตรวจสอบคำสอนใน ▪ พระไตรปฎิ กเป็นเกณฑ์มำตรฐำนตรวจสอบควำมเชอื่ และ
พระพทุ ธศำสนำ ขอ้ ปฏบิ ัติในพระพุทธศำสนำ
นอกจำกพระไตรปิฎกจะมคี วำมสำคญั โดยตรงในฐำนะทีเ่ ป็นหลักฐำนสำคญั เพือ่ ยนื ยนั หลกั คำสอนและหลกั ปฏิบัตขิ องพระพุทธศำสนำ
แลว้ ยังมคี ณุ คำ่ สำคัญด้ำนอนื่ ๆ อีกหลำยประกำร
พระไตรปิฎกเป็นบนั ทกึ หลักฐำนทำงประวตั ิศำสตร์
พระไตรปฎิ กเป็นแหลง่ ควำมรู้
พระไตรปฎิ กเปน็ แหล่งขอ้ มลู เดมิ ของคำศพั ทบ์ ำลที ่ีนำมำใชใ้ นภำษำไทย
พระไตรปฎิ กเป็นคมั ภรี ์ชวี ติ
พทุ ธศาสนสภุ าษิต
• คำสอนของพระพุทธเจ้ำ ท่มี ลี ักษณะเปน็ คำพดู สัน้ ๆ อนั เป็นกำรสรุปคำสอนในเร่ืองใดเรือ่ งหนึง่ ซึง่ แฝงด้วยคติธรรมที่ลกึ ซึ้ง
และเป็นข้อคดิ สอนใจ
ตัวอยา่ งของ พุทธศำสนสุภำษติ ท่นี ่าสนใจ
จิตฺต ทนตฺ สุขาวห : จิตท่ฝี กึ ดีแลว้ นาสุขมาให้
พระพุทธศำสนำเชื่อวำ่ ควำมสขุ ท่ีแท้จริง อยทู่ ก่ี ำรมจี ิตใจดี จงึ มีคำสอนเพอื่ กำรควบคมุ และฝกึ หัดจติ ใจ เพรำะเช่ือมนั่ วำ่
จิตสำมำรถฝกึ ได้และจิตทฝ่ี กึ ดแี ล้วจะก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์อยำ่ งย่ิงแกช่ วี ติ ควำมสขุ ท่ีแท้จริงตำมทศั นะของพระพุทธศำสนำ คอื ควำมสุขที่
เกิดจำกควำมสงบและ ควำมสงบจะเกดิ ได้ดว้ ยกำรฝึกจิต ซ่ึงเป็นกำรฝกึ เพอ่ื เอำชนะควำมอยำกของตนเอง ดังน้นั กำรฝึกจติ กค็ อื กำรฝกึ
ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง จิตท่ีฝกึ ดแี ลว้ จึงเปน็ จติ ทีส่ งบ ไมว่ นุ่ วำยไม่เดอื ดร้อนไปตำมกระแสโลก
นตฺถิ โลเก อนินทฺ โิ ต : คนไมถ่ ูกนินทา ไม่มใี นโลก
พระพุทธศำสนำสอนวำ่ กำรนนิ ทำเปน็ สง่ิ ท่ีเกดิ มีมำกบั โลก ปัจจุบนั ยงั คงมีอยแู่ ละใน อนำคตกย็ งั เป็นอยูเ่ ช่นน้แี ละเปน็ สง่ิ ที่
ทกุ คนจะต้องประสบเหมือนกนั จะตำ่ งกนั กแ็ ต่เพียงว่ำใครจะ ถูกนนิ ทำด้วยเรือ่ งอะไร เมอื่ ใด และมำกน้อยเพียงใด เรำไม่สำมำรถห้ำมคน
อน่ื ไมใ่ ห้นินทำเรำได้ ดังนนั้ สิง่ ทเ่ี รำควรปฏิบตั ิ คอื
ปลงใจ อธิบำยควำมจริง นง่ิ ยอมรบั ปรับปรงุ ตน
โกธ ฆตฺวา สขุ เสติ : ฆา่ ความโกรธได้ย่อมอยู่เป็นสขุ
ควำมโกรธเป็นธรรมชำตทิ ำงอำรมณท์ ี่มีอยู่ในใจมนษุ ย์ เกดิ จำกควำมรู้สึกขัดเคืองหรือไม่ พอใจ ควำมโกรธจดั เป็นหน่ึงใน
สำมของรำกเหง้ำแหง่ ควำมชัว่ รำ้ ยทั้งหลำยเรียกว่ำ อกศุ ลมูล คอื ควำมโลภ ควำมโกรธ และควำมหลง เปน็ กเิ ลสที่ทำใหจ้ ิตเรำ่ รอ้ น
เดอื ดดำล อยำกลำ้ งผลำญให้พินำศ พระพทุ ธศำสนำจงึ สอนใหฆ้ ำ่ ควำมโกรธซงึ่ เป็นกเิ ลสออกจำกจติ ใจ โดยอำศยั หลักธรรม พ้ืนฐำนกค็ ือ
ควำมเมตตำและควำมกรณุ ำ เปน็ เคร่อื งอบรมจติ ให้ แปรสภำพจำกควำมเป็นคนเจำ้ อำรมณม์ ำเปน็ คนจิตใจสงบเยือกเย็น
ปฏริ ูปการี ธุรวา อุฏฐฺ าตา วินทฺ เต ธน : คนขยนั เอาการเอางานกระทาเหมาะสมย่อมหาทรพั ยไ์ ด้
กำรดำรงชีวิตของมนษุ ย์ มเี ป้ำหมำย อยำ่ งหนง่ึ อยทู่ ก่ี ำรหำทรพั ย์ เพรำะทรัพยเ์ ป็น ปจั จยั หนึ่งในกำรดำรงชวี ิตและยงั เปน็
ส่วนที่ทำใหเ้ กดิ ปัจจยั ๔ ตำมมำ รวมทงั้ ยงั สำมำรถอำนวย ควำมสุขและควำมสะดวกสบำยต่ำงๆ ได้อกี ด้วย ดังน้นั มนษุ ย์ทุกคนจงึ มุ่งไปสู่
กำรหำทรพั ยเ์ ป็นสำคัญ
หนว่ ยกำรเรียนรูท้ ี่ ๑ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๓ พระพุทธศาสนา
หน่วยกำรเรยี นรู้ท่ี ๖ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๗ หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี ๘
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๔-๖
กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ่ี ๔ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ ๕
หนว่ ยกำรเรยี นรู้ท่ี ๙ หนว่ ยกำรเรยี นรูท้ ี่ ๑o
๑_หลักสตู รวิชาพระพทุ ธศาสนา
๒_แผนการจัดการเรียนรู้
๓_PowerPoint_ประกอบการสอน
๔_Clip
๕_ใบงาน_เฉลย
๖_ขอ้ สอบประจาหน่วย_เฉลย
๗_การวดั และประเมนิ ผล
๘_เสรมิ สาระ
๙_ส่ือเสรมิ การเรยี นรู้
บรษิ ัท อักษรเจริญทศั น์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200
Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand
โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๖หน่วยการเรยี นรู้ท่ี
การบริหารจิตและเจริญปัญญา
การบริหารจิต
▪ การฝกึ พัฒนาจิตโดยมสี มาธเิ ปน็ เป้าหมาย เพอื่ ช่วยให้จิตมคี วามมน่ั คงทางอารมณแ์ ละสามารถพิจารณาส่งิ ตา่ งๆ
คุณค่าและประโยชนข์ องการบริหารจติ
๑ เพ่ือจุดมงุ่ หมายหรืออดุ มคตทิ างพระพุทธศาสนา
• ถือว่ำเปน็ ประโยชนท์ ่แี ทจ้ ริง คือ ควำมหลุดพ้นจำกกิเลสและควำมทุกขท์ ง้ั ปวง
๒ เพอ่ื สขุ ภาพจิตและการพฒั นาบคุ ลิกภาพ
• ทำใหเ้ ป็นคนมีสขุ ภำพจติ ดี มคี วำมเข้มแข็งมนั่ คงในอำรมณ์ ตระหนกั รู้ในตนเอง
๓ เพอ่ื การดารงชวี ิตประจาวัน
• ชว่ ยผ่อนคลำยควำมเครียดและเสรมิ ประสิทธิภำพในกำรทำงำนหรือกำรเรียน
หลักการบรหิ ารจิตตามหลักสตปิ ัฏฐาน
สตปิ ฏั ฐำน กำรตัง้ สตกิ ำหนดพิจำรณำสิง่ ท้งั หลำยให้รู้เห็นตำมเปน็ จรงิ มี ๔ ประการ
กายานุปสั สนา กำรตั้งสติกำหนดพจิ ำรณำกำย ใหร้ ูเ้ หน็ ตำมเป็นจรงิ ว่ำเป็นแตเ่ พียงกำย
เวทนานุปัสสนา กำรต้ังสตกิ ำหนดพจิ ำรณำเวทนำ (ควำมรสู้ กึ นกึ คิด) ให้รเู้ ห็นตำมเปน็ จริงวำ่ เปน็ แต่เพยี งเวทนำ
จิตตานุปสั สนา กำรต้ังสติกำหนดพิจำรณำจิต ให้รู้เห็นตำมเป็นจรงิ วำ่ เปน็ แตเ่ พยี งจิต
ธมั มานุปัสสนา กำรตั้งสติกำหนดพจิ ำรณำธรรม ให้รู้เห็นตำมเป็นจรงิ วำ่ เปน็ แต่เพยี งธรรม
วิธกี ารบริหารจติ ตามหลักสตปิ ัฏฐาน
กสณิ ๑๐
๑ ปฐวีกสิณ กำรกำหนดดนิ เปน็ อำรมณ์ ๖ ปีตกสณิ กำรกำหนดเอำสเี หลืองเป็นอำรมณ์
๒ อาโปกสณิ กำรกำหนดนำ้ เปน็ อำรมณ์
๓ เตโชกสิณ กำรกำหนดไฟเป็นอำรมณ์ ๗ โลหิตกสิณ กำรกำหนดเอำสแี ดงเปน็ อำรมณ์
๔ วาโยกสิณ กำรกำหนดลมเปน็ อำรมณ์
๕ นลี กสิณ กำรกำหนดเอำสีเขยี วเปน็ อำรมณ์ ๘ โอทาตกสิณ กำรกำหนดเอำสีขำวเป็นอำรมณ์
๙ อาโลกกสิณ กำรกำหนดใชแ้ สงสว่ำงเป็นอำรมณ์
๑o อากาสกสิณ กำรกำหนดใชช้ อ่ งอำกำศเปน็ อำรมณ์
อนสุ สติ ๑o
กำรพจิ ำรณำอำรมณท์ ่คี วรระลึกถึงอยู่เนอื งๆ มี ๑๐ ประกำร
๑ พุทธานสุ ติ กำรระลกึ ถงึ คุณของพระพุทธเจ้ำ
๒ ธมั มานสุ ติ กำรระลึกถงึ คุณของพระธรรม
๓ สงั ฆานสุ ติ กำรระลกึ ถึงคุณของพระสงฆ์
๔ สีลานุสติ กำรระลกึ ถงึ ศีลของตนทบี่ รสิ ุทธิไ์ ม่ด่ำงพร้อย
๕ จาคานสุ ติ กำรระลกึ ถึงทำนทไ่ี ด้บริจำคและกำรเสยี งสละเผอ่ื แผท่ ี่มีในตน
๖ เทวตานุสติ กำรระลกึ ถงึ เทวดำและคณุ ธรรมท่ีทำให้คนเปน็ เทวดำตำมท่มี ีอยใู่ นตน
๗ มรณสติ กำรระลกึ ถึงควำมตำยวำ่ เป็นสิง่ ธรรมดำ แล้วกำหนดสตไิ มป่ ระมำทในกำรดำรงชวี ติ
๘ กายคตาสติ กำรพจิ ำรณำกำยให้เห็นวำ่ ไมส่ ะอำด ไมส่ วยงำม เพือ่ ไมใ่ หเ้ กิดควำมล่มุ หลงในรปู กำย
๙ อานาปานสติ กำรมีสติกำหนดลมหำยใจเข้ำออก
๑o อุปสมานสุ ติ กำรระลึกถึงธรรมอันท่เี ป็นสงบ คอื พระนิพพำน อันเป็นที่ระงับกิเลสและควำมทุกข์
อปั ปมัญญา (พรหมวหิ ำร ๔)
▪ หลกั ควำมประพฤติทต่ี ้องมีไว้กำกบั ใจและกำยเพือ่ ให้ดำเนินชวี ติ และปฏบิ ัตติ นตอ่ สรรพสตั วท์ ้งั หลำยโดยชอบ
มี ๔ ประกำร
เมตตา กรณุ า
ควำมปรำรถนำดี ควำมอยำกช่วยเหลือ
อยำกใหส้ รรพสัตว์ทง้ั หลำยมีควำมสขุ หรอื ปรำรถนำให้สรรพสตั ว์พน้ จำกควำมทุกข์
มทุ ิตา อเุ บกขา
ควำมชน่ื ชมยินดี กำรวำงใจเปน็ กลำง
ในควำมสขุ และควำมสำเร็จของคนอ่นื ไม่เอนเอียงเพรำะควำมชอบหรือควำมชงั
อารุปปะ (รูปฌำณ ๔)
▪ กำรกำหนดภำวะทเี่ ป็นอรปู ธรรมเป็นอำรมณ์ มี ๔ ประกำร
กำรเพ่งอำกำศวำ่ ไมม่ ีที่สนิ้ สดุ เปน็ อำรมณ์
กำรเพง่ วิญญำณว่ำไม่มที ่สี ้นิ สดุ เป็นอำรมณ์
กำรกำหนดพิจำรณำวำ่ อะไรๆพสรกั หนมดิ หนนาง่ึ รกทไ็ มชม่ าีเปดน็ กอำรมณ์
กำรกำหนดพจิ ำรณำว่ำจะมีสญั ญำกไ็ ม่ใชห่ รอื จะไมม่ สี ญั ญำกไ็ ม่ใชเ่ ปน็ อำรมณ์
วธิ ุรชาดก
อาหาเรปฏิกลู สญั ญา
▪ กำรกำหนดพิจำรณำอำหำรทบ่ี ริโภคให้เห็นเปน็ ของไม่สะอำด หมำยถงึ กำรพจิ ำรณำให้เห็นควำมเป็นปฏกิ ลู
ในอำหำรทีบ่ รโิ ภค
จตธุ าตุววตั ถาน
▪ กำรพจิ ำรณำแยกสว่ นประกอบตำ่ งๆ ของร่ำงกำย เชน่ ผม ฟัน เนือ้ หนงั กระดกู ให้เหน็ วำ่ เป็นเพียงกำร
รวมตัวกนั ของธำตุ ๔ ไม่มอี ะไรเปน็ แกน่ สำร
การนาวิธกี ารบรหิ ารจติ ไปพัฒนาการเรยี นรู้ คุณภาพชวี ติ และสงั คม
กำรพฒั นำบคุ ลกิ ภำพกำยและใจ
• กำรฝึกสมำธเิ ปน็ ประจำจะทำใหเ้ กิดควำมสมดุลของชีวติ ท้ังร่ำงกำยและจิตใจ เป็นผ้มู ีบุคลิกภำพดี
กำรพัฒนำศักยภำพกำรคิดและกำรตดั สินใจ
• กำรฝกึ สมำธเิ ป็นกำรฝึกควบคุมกำรคดิ เพื่อรองรับกำรใช้สติปญั ญำอย่ำงมีเหตผุ ล
ควำมเข้ำใจปญั หำและข้อเทจ็ จรงิ ของสงั คม
• กำรพฒั นำจติ จะส่งเสรมิ ให้เกดิ ควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจเท่ำทันปญั หำและควำมเปล่ยี นแปลงที่เกดิ ข้นึ
มองโลกและชีวิตตำมควำมเปน็ จริง
• กำรพัฒนำจติ จะช่วยใหม้ องโลกตำมควำมเป็นจริงไม่หลงไปตำมโลก แตเ่ ปน็ คนรู้เท่ำทนั โลก
การเจริญปญั ญาตามหลักโยนิโสมนสกิ าร
โยนิโสมนสกิ าร
กำรคดิ เป็นและคดิ ถกู ต้องตำมควำมเป็นจริง โดยอำศยั กำรเกบ็ ข้อมลู อยำ่ งเป็นระบบ และคดิ เช่อื มโยง ตีควำม และวเิ ครำะห์
เพื่อนำข้อมูลไปใชป้ ระโยชน์ได้อยำ่ งเหมำะสม
การคดิ แบบโยนิโสมนสิการ มี ๑๐ วิธีคดิ
วิธคี ดิ แบบคณุ คำ่ แทแ้ ละคุณค่ำเทียม วธิ คี ดิ แบบสืบสำวหำเหตปุ จั จยั
วธิ ีคิดแบบคณุ โทษและทำงออก วธิ คี ิดแบบสำมัญลักษณะ
วธิ คี ดิ แบบอุบำยปลกุ เร้ำคณุ ธรรม วธิ ีคิดแบบเป็นอยู่ในปัจจุบัน
วธิ ีคดิ แบบอรรถสมั พนั ธ์ วธิ คี ดิ แบบแยกแยะองค์ประกอบ
วธิ ีคดิ แบบอรยิ สัจ วิธคี ดิ แบบวภิ ัชชวำท
วิธคี ดิ แบบสามัญลักษณะ
อนิจจัง
ควำมไม่เท่ยี งแท้แนน่ อน
ไตรลกั ษณ์ คือ ลักษณะท่ีเสมอเหมอื นกันของสง่ิ ทง้ั หลำย
มีอยดู่ ว้ ยกนั ๓ ประกำร
อนตั ตา ทกุ ขัง
ภำวะท่ีไมม่ ตี ัวตนท่แี ทจ้ ริง ควำมเป็นทกุ ข์ ควำมไม่สำมำรถ
ไม่สำมำรถบังคบั บญั ชำได้ รกั ษำสภำพเดมิ ไว้ไดม้ ีกำร
เปลีย่ นแปลงอย่ตู ลอดเวลำ
วธิ ีคิดแบบแยกแยะสว่ นประกอบ
เป็นหลกั กำรคิดทมี่ ุง่ ให้มองและรจู้ กั ส่ิงทัง้ หลำยตำมสภำวะของส่งิ นัน้ ด้วยกำรแยกภำพรวมเพอ่ื มองใหเ้ หน็ องคป์ ระกอบย่อย
แลว้ แยกประเภทและจดั หมวดหมูข่ ององคป์ ระกอบเหล่ำนั้นพร้อมกันไปด้วย เชน่
คนปว่ ย แพทย์
ภาพรวม แยกแยะองค์ประกอบ
โดยทว่ั ไปแล้ว เรำร้วู ำ่ เปน็ ไขห้ รอื เจบ็ ป่วย แตไ่ มร่ ู้ ตรวจและวนิ ิจฉยั ได้ว่ำเป็นโรคอะไร จะรักษำอยำ่ งไร
ว่ำเป็นโรคอะไร จะรักษำอยำ่ งไร รวมควำมวำ่ คิด เพรำะแพทยร์ วู้ ธิ ีแยกองค์ประกอบ และวนิ ิจฉยั ตำม
อย่ำงเรำๆ กเ็ พยี งรู้ว่ำปว่ ย ข้อเท็จจรงิ ของโรค กำรคิดของแพทยเ์ ป็นกำรคิดแบบ
แยกแยะองค์ประกอบ