ทรงเช่ยี วชาญดนตรีไทย โดยเฉพาะซอสามสาย ทรงสรา้ งสรรค์เพลงจากพระสบุ นิ นมิ ติ ท�ำ นอง
ทรงมซี อคพู่ ระทัยช่ือวา่ ซอสายฟ้าฟาด เพลงซอ ทรงต้ังชือ่ วา่ บุหลันลอยเล่อื น
ซ่ึงไพเราะอยา่ งยงิ่
ทรงเปน็ กวีเอก ทรงสรา้ งสรรคว์ รรณคดไี วจ้ ำ�นวนมาก ประเภทบทละครใน ได้แก่ รามเกียรติ์
อเิ หนา บทเสภาเรื่องขนุ ช้างขุนแผน บทละครนอก ได้แก่ สังขท์ อง คาวี ไชยเชษฐ์ ไกรทอง
บทพากยโ์ ขน ตอนนาคบาศ นางลอย และบทเหช่ มเครือ่ งคาวหวาน
พระราชนพิ นธด์ า้ นการละครนนั้
ชนื่ ชมกันวา่ มีความโดดเด่นในถ้อยค�ำ ภาษา
ไพเราะงดงามสอดคลอ้ งกบั ลีลาการแสดง
ทรงสรา้ งมาตรฐานทา่ ร�ำ นาฏศลิ ป์
ท้งั ละครในและละครนอก
๕๐
ในสมัยรชั กาลท่ี ๖ วรรณคดสี โมสร
ไดป้ ระกาศยกยอ่ งบทละครเร่ือง อิเหนา
ให้เป็นยอดของบทละครร�ำ เปน็ วรรณคดี
ท่มี ีแบบแผนทด่ี ี ท้งั การประพันธ์
และการแสดง
กลา่ วไดว้ า่ ในรัชกาลของพระองค์
เป็นยุคทองของวรรณคดี ทรงอุปการะ
กวสี �ำ คญั ไว้มาก แม้พระเจา้ ลกู เธอ
กรมหม่ืนเจษฎาบดนิ ทร์
กท็ รงเป็นกวคี พู่ ระทัย
กวเี อกผหู้ นง่ึ คอื พระสนุ ทรโวหาร (ภ)ู่ หรอื สนุ ทรภู่ จดั เจนในดา้ น กลา่ วกันว่าบทกวที ีส่ นุ ทรภู่
กลอนแปด เปน็ ทโ่ี ปรดปราน คราวหนง่ึ มพี ระราชประสงคใ์ หส้ นุ ทรภู่ แกถ้ วายนี้ เปน็ ที่
ชว่ ยแกไ้ ขบทพระราชนพิ นธใ์ หก้ ระชบั สนุ ทรภไู่ ดแ้ กไ้ ขถวายไวด้ งั น้ี
พอพระราชหฤทยั อยา่ งยิ่ง
จงึ เอาผา้ ผกู พนั กระสนั รดั เกี่ยวกระหวดั กับกิ่งโศกใหญ่
ชา ย ห นึ่ง ผูกศออรทัย แลว้ ทอดองค์ลงไปจะใหต้ าย
บัดนั้น วายบุ ุตรแก้ได้ด่ังใจหมาย
จงึ เขา้ มานบนอบยอบกาย กราบถวายบังคมกม้ พกั ตร์
๕๑
เสด็จสวรรคตเมือ่ วนั พุธ ท่ี ๒๑ กรกฎาคม พทุ ธศักราช ๒๓๖๗
พระชนมพรรษา ๕๘ พรรษา ทรงด�ำ รงสิริราชสมบตั ิ ๑๕ ปี
รัชสมยั ของพระองค์ เป็นยคุ ทองแห่งงานศลิ ปกรรมทกุ สาขาของชาตไิ ทย
ทรงสรา้ งแบบแผนใหเ้ ป็นเอกลักษณป์ ระจ�ำ ชาติ
ใหโ้ ลกไดเ้ ชดิ ชูเกียรตภิ มู ิชาติไทยสบื ไป
พุทธศกั ราช ๒๕๑๑ ในโอกาสครบ ๒๐๐ ปี แหง่ วันพระบรมราชสมภพ
องค์การศกึ ษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแหง่ สหประชาชาติ หรอื ยเู นสโก (UNESCO)
ประกาศยกยอ่ งใหท้ รงเป็นบุคคลสำ�คัญของโลกสาขาวรรณกรรม
รัฐบาลเฉลิมพระเกียรติ กำ�หนดใหว้ ันพระราชสมภพ
วันท่ี ๒๔ กุมภาพนั ธ์ เป็น “วนั ศลิ ปินแหง่ ชาต”ิ
พทุ ธศักราช ๒๕๒๐
สร้างอทุ ยานพระบรมราชานุสรณ์
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย
ณ ตำ�บลอัมพวา อำ�เภออัมพวา จังหวัดสมทุ รสงคราม
น้อมรำ�ลกึ ถงึ ในฐานะปฐมศลิ ปินแห่งชาติ
ทท่ี รงพระปรชี าสามารถสรา้ งสรรค์
มรดกศิลปวฒั นธรรมไวแ้ กช่ าตไิ ทย
เปน็ อเนกอนันต์
พทุ ธศักราช ๒๕๕๐
ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรยี ์
ณ วดั อรณุ ราชวราราม วัดประจำ�รชั กาล
อกี แห่งหนึง่
๕๒
รัชกาลที่ ๓
เลิศลํ้าเศรษฐกจิ
พระราชลญั จกรประจ�ำ พระองคร์ ชั กาลท่ี ๓
เปน็ ตรางา ลักษณะกลม รปู พระมหาปราสาท
เป็นสัญลกั ษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า ทับ ความหมายคอื ทอ่ี ยู่ หรือ เรอื น
สมเดจ็ พระนั่งเกล้า ครองราษฐ์ปราศส่ิงเศรา้
จวบสิ้นวาระ พระเอยฯ
ทรงประศาสนร์ าชกจิ ล้วน
ภายในไทยสงบถ้วน ทา่ นนาฯ
เหมาะแทแ้ ก่สมัย เครื่องระลึกถึงไท้
หลายสิง่ ทรงสฤษดิไ์ ว้
ท่สี ร้างอนสุ สรณฯ์
พระราชนพิ นธ์ เรอื่ ง สามกรงุ
พระนิพนธพ์ ระราชวรวงศ์เธอ กรมหมน่ื พทิ ยาลงกรณ์
๕๔
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หวั
พระมหาเจษฎาราชเจ้า รัชกาลท่ี ๓
พระนามเดิมวา่ พระองค์เจา้ ทับ
เปน็ พระราชโอรสพระองคใ์ หญ่
ในพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
และสมเด็จพระศรีสลุ าลัย
(เจ้าจอมมารดาเรียม)
เสด็จพระราชสมภพ
เมือ่ วนั จนั ทร์ ที่ ๓๑ มีนาคม พทุ ธศักราช ๒๓๓๐
ณ พระราชวงั เดิม
ดว้ ยมพี ระพักตร์ละมา้ ยเหมือนสมเด็จ ทรงผนวช ณ วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม
พระบรมอยั กาธิราช (ปู่) พระบาทสมเดจ็ แล้วเสด็จ ฯ ไปประทับจ�ำ พรรษา ณ วดั พลับ
พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช (วัดราชสิทธาราม) บางกอกใหญ่ ธนบรุ ี
จงึ ทรงเปน็ ท่สี นทิ เสนห่ า
๕๕
เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถ เสด็จ ทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทยั
ด�ำ รงสริ ิราชสมบัติแลว้ พุทธศักราช ๒๓๕๖ ใหด้ ูแลราชการต่างพระเนตรพระกรรณ
ทรงได้รับการสถาปนาเปน็ พระเจา้ ลกู เธอ ให้วา่ ราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบตั ิ
กรมพระคลงั สนิ คา้ และกรมพระตำ�รวจ
กรมหมืน่ เจษฎาบดนิ ทร์
วา่ ความฎีกา
ทรงรอบรใู้ นราชการบ้านเมอื ง
เปน็ แม่กองสร้างป้อมปราการ
หัวเมืองชายทะเล
สวนขวาในพระบรมมหาราชวงั
และขดั ตาทัพพมา่ ท่กี าญจนบรุ ี
ทรงสง่ ส�ำ เภาไปคา้ ขายเมอื งจนี เพอ่ื น�ำ เงนิ สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ จงึ ตรสั เรยี กวา่
มาแกไ้ ขความฝดื เคอื งในราชการ “เจา้ สวั ” หมายถงึ เศรษฐรี า่ํ รวยจากการคา้
น�ำ เงนิ เขา้ สทู่ อ้ งพระคลงั
๕๖
ตอ่ มา วันท่ี ๒๑ กรกฎาคม พุทธศกั ราช ๒๓๖๗
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
เสด็จสวรรคต โดยมิไดท้ รงแตง่ ตั้งผใู้ ดสืบราชสมบัติ
เสนาบดี พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่ต่างเหน็ พ้องวา่
พระเจ้าลูกเธอ กรมหมืน่ เจษฎาบดนิ ทร์
ว่าราชการต่างพระเนตรพระกรรณมาช้านาน
จึงกราบบังคมทลู เชญิ เสดจ็ ข้ึนครองสิรริ าชสมบัติ
เปน็ พระมหากษัตริย์ รชั กาลที่ ๓
แหง่ พระบรมราชจกั รวี งศ์
ขณะน้นั พระชนมพรรษา ๓๗ พรรษา
ทรงตระเตรยี มบา้ นเมอื งป้องกนั ข้าศกึ ทางทะเล
แตง่ ตั้งพระประยรู ญาตทิ ่ีปรชี าสามารถด�ำ รงต�ำ แหนง่
ส�ำ คญั ๆ ช่วยราชการ มอบหมายหน้าท่ี สร้างเมือง
ปอ้ มปราการ เรือ และอาวุธยุทโธปกรณ์ สร้างปนื ใหญ่
แสดงถงึ แสนยานุภาพทางเรอื ในรัชสมยั
๕๗
โปรดให้ต่อเรือขนาดใหญส่ ำ�หรบั ออกทะเล สรา้ งปนื ใหญจ่ �ำ นวนมาก เรียก
จำ�นวน ๘๐ ล�ำ ใชใ้ นกรงุ เทพ ฯ ๔๐ ล�ำ ปืนรกั ษาพระศาสนา และ ปืนสมั มาทิฐิ
โดยนำ�นายช่างหลอ่ เหล็กมาจากเมืองจนี
อีก ๔๐ ล�ำ สง่ ไปตามหวั เมือง เตรยี มป้องกันราชอาณาจกั รในชว่ งเวลาน้นั
ปีถัดมาโปรดใหต้ ่อเรอื กำ�ปน่ั อกี ๑๒ ล�ำ ในการป้องกันข้าศกึ โปรดให้สรา้ งปอ้ มเพมิ่ เตมิ
เพือ่ ใช้ในการลาดตระเวน เชน่ ป้อมไพรพี ินาศ ป้อมพิฆาตปจั จามติ ร
ท่เี มืองจนั ทบรุ ี
ป้อมคงกระพนั ปอ้ มเสอื ซอ่ นเลบ็ นอกจากนีย้ งั มปี ้อมทตี่ �ำ บลปากแพรก
ท่เี มืองสมทุ รปราการ และป้อมพฆิ าตข้าศกึ เมอื งกาญจนบุรี ตำ�บลเนนิ วง เมอื งจันทบรุ ี
ที่เมืองสมุทรสงคราม และทตี่ �ำ บลท่าบอ่ เมอื งสงขลา
๕๘
การปกครองในครัง้ น้นั แบ่งเป็นหวั เมืองชน้ั นอก ช้นั ใน
และหวั เมอื งประเทศราช ไดแ้ ก่ ลาว เขมร และมลายู
พุทธศักราช ๒๓๖๙ ยดึ เมืองเวยี งจันทนไ์ ด้ส�ำ เรจ็
เจ้าอนวุ งศ์เมืองเวยี งจนั ทน์กอ่ กบฏ โปรดให้ ในพทุ ธศักราช ๒๓๗๐
สมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาศักดิพลเสพ
เป็นแม่ทพั ไปปราบ
ตอ้ งสรู้ บกับญวนในดนิ แดนเขมร เรียกการศกึ วา่ สถาปนานักองคด์ ว้ งขึน้ เป็นกษตั ริย์กมั พชู า
“อานามสยามยุทธ” ยดื เยื้อเป็นเวลา ๑๕ ปี ตามธรรมเนยี มของไทย พระนามว่า
ยตุ ิในพทุ ธศักราช ๒๓๙๐ สมเด็จพระหริรักษ์รามาอศิ ราธิบดี เป็นผลให้
อทิ ธิพลวฒั นธรรมสยามหลายประการ
เขา้ ไปงอกงามในกมั พูชา
๕๙
รายไดห้ ลกั ของชาติอกี ทางหน่ึง
ได้จากการส่งเสริมการค้า สนบั สนุนใหม้ ี
การคา้ ขายกับนานาประเทศเพิ่มมากข้นึ
เนือ่ งจากกรงุ เทพ ฯ เปน็ เมืองท่าหลักการค้าสำ�เภาในทะเลจนี ใต้ เป็นแหลง่ อตุ สาหกรรม
ตอ่ เรือสำ�เภาเดินสมทุ รแบบจีนที่นิยมใช้กนั จึงเป็นศูนยก์ ลางการค้าระดบั ภูมภิ าคท่คี กึ คกั
การทำ�นุบำ�รงุ ประเทศ ต้องใชจ้ า่ ย โปรดใหเ้ กบ็ ภาษเี ปน็ เงินแทนสนิ คา้ หรอื แรงงาน
งบประมาณแผ่นดินจ�ำ นวนมาก แตเ่ นือ่ งจาก บางอย่างให้ราษฎรจดั เก็บเรียกว่า ผูกภาษี
รายได้จากการคา้ ไมเ่ อือ้ ให้มเี งินเข้าสพู่ ระคลัง และต้งั ภาษขี ้นึ ใหม่ ๓๘ อย่าง
อืม...
จึงเรมิ่ ปรบั ปรงุ การเกบ็ ภาษี
ปรบั ปรุงอยา่ งไรขอรับ
๖๐
ภาษีบางส่วนใหเ้ อกชนประมลู รบั เหมา ผูกขาดไป อีกสว่ นหน่ึงยังมภี าษเี บกิ รอ่ ง ภาษขี าออก
เรยี กเก็บภาษจี ากราษฎรเอง เรยี กว่า เจา้ ภาษี ไดจ้ ากการค้าขายกบั ชาวต่างประเทศ
นายอากร ผู้ประมลู สว่ นใหญเ่ ปน็ ชาวจนี ด้วยวิธีการ และการคา้ แบบผกู ขาดของพระคลงั ด้วย
น้ีท�ำ ใหเ้ ก็บภาษไี ด้เพ่มิ ขึน้ อย่างเปน็ กอบเป็นก�ำ
ถงึ เวลาตอ้ งจา่ ย ลา่ ย ๆ
เลยี้ วนะ
บ้านเมืองในรัชกาลที่ ๓ นี้ มสี �ำ เภาค้าขาย ใช่แล้ว ไม่แพส้ มยั กรุงศรีอยธุ ยาดอก เราคา้ ขาย
เข้า-ออกมไิ ด้หยุดหย่อนเลยนะคุณหลวง กับนานาชาติ เศรษฐกจิ การค้าเจรญิ รุ่งเรือง
ภาษเี ข้าคลังก็เลยเก็บไดม้ ากกว่ารัชกาลก่อน ๆ
“เงนิ ถุงแดง” เป็นพระราชทรพั ย์
สว่ นพระองคจ์ ากการค้าส�ำ เภา
ทรงบรรจุไวใ้ นถงุ ผา้ สแี ดง
เกบ็ ไวข้ ้างพระแทน่ บรรทม เรยี กว่า “เงนิ ข้างที่”
เปน็ เหรยี ญทองค�ำ ของสเปนผลิตในเม็กซโิ ก
ใช้แลกเปล่ยี นซอื้ ขายกนั ในสมยั นนั้
มพี ระราชด�ำ รัสวา่ “เก็บไวใ้ ห้ลูกหลานกู้แผ่นดิน”
๖๑
ขณะด�ำ รงต�ำ แหนง่ พระเจา้ ลูกเธอ
กรมหม่นื เจษฎาบดินทร์ เมอื่ ค้าขายมีกำ�ไร
จะทรงแบ่งเงนิ สว่ นพระองคน์ ้ีถวาย
สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ
ปลายรัชกาล มีเงินในพระคลังขา้ งท่ี ทรงขอไว้ หนง่ึ หม่นื ชัง่ (๑๐,๐๐๐ ชงั่ )
เหลือจากใชจ้ า่ ยในราชการแผ่นดิน เพื่อบ�ำ รุงวดั ที่ทรงสร้างค้างไว้ให้แล้วเสร็จ
สหี่ มื่นชั่ง (๔๐,๐๐๐ ชงั่ ) สว่ นท่เี หลอื ให้ถวายพระเจ้าแผน่ ดิน
พระองค์ใหม่ ตามแต่จะทรงใช้สอย
ซึง่ ต่อมาเปน็ จริงดังทท่ี รงกลา่ วไว้
พุทธศักราช ๒๔๓๖
เกดิ วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒
ในรชั กาลที่ ๕ ไทยตอ้ ง
เสยี ค่าปฏิกรรมสงคราม
แก่ฝรงั่ เศส ๓,๐๐๐,๐๐๐ ฟรงั ก์
ประมาณ ๑,๖๐๕,๒๓๕ บาท
เงนิ ท่ีใช้เพอ่ื แลกกบั อธปิ ไตย
ส่วนใหญม่ าจาก “เงนิ ถงุ แดง”
๖๒
วันที่ ๒๗ เมษายน พทุ ธศกั ราช ๒๓๘๒ การทป่ี ระชาชนตดิ ฝน่ิ เป็นเรอื่ งใหญข่ องแผ่นดนิ
โปรดเกลา้ ฯ ให้พมิ พ์พระบรมราชโองการ ถือเปน็ การบอ่ นทำ�ลายชาติ เพราะผูต้ ิดฝิน่
ประกาศเรื่องหา้ มสบู ฝ่นิ และค้าฝ่ิน จะเปน็ บคุ คลทีไ่ รท้ ง้ั กำ�ลงั วังชาและไร้สตปิ ัญญา
โดยก�ำ หนดโทษร้ายแรง ทั้งปรับ โบย เป็นปญั หาที่แกไ้ ขได้ยากยง่ิ
หรอื ริบทรพั ย์ แตก่ ารสูบฝ่ินมิไดล้ ดน้อยลง
ฝ่นิ ระบาดตามเมอื งทีช่ าวจนี อพยพมา ทรงกวดขันกวาดลา้ งการค้าฝนิ่ ครั้งใหญ่
ตั้งถนิ่ ฐานทำ�มาหากนิ จ�ำ นวนมาก ได้แก่ รบิ ไดฝ้ นิ่ ดิบ ๓,๗๐๐ หาบเศษ
จันทบุรี ฉะเชงิ เทรา สมุทรปราการ ฝนิ่ สุก ๒ หาบ รวมเปน็ น้ําหนักฝ่นิ
สมทุ รสงคราม เพชรบุรี ชุมพร ถึง ๒๒๒,๑๒๐ กโิ ลกรัม คิดเปน็ ราคาขาย
นครศรีธรรมราช สงขลา ถลาง
ในขณะน้ัน ๑๘,๕๙๐,๐๐๐.๐๐ บาท
มากกวา่ งบประมาณแผ่นดินหลายเท่า
โปรดใหร้ วมนำ�มาเผาทำ�ลาย
ที่สนามไชย หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์
ทรงน�ำ กลักฝน่ิ จ�ำ นวนมาก ตอ่ มา พระบาทสมเดจ็
มาหลอมแลว้ หล่อเปน็ พระพุทธปฏมิ า พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว รชั กาลที่ ๔
ถวายพระนามว่า “พระพทุ ธเสรฏฐมุน”ี
ปางมารวชิ ยั ขนาดหน้าตกั ๑ วา ความหมายว่า “พระผปู้ ระเสรฐิ สดุ ”
๑ ศอก ๑ คบื ประดิษฐาน
ณ ศาลาการเปรยี ญ
วดั สทุ ัศนเทพวราราม
เม่ือแรกผูค้ นเรียกว่า “พระกลักฝ่นิ ”
๖๓
มีพระราชปณิธานในการสร้างกรงุ รตั นโกสนิ ทรใ์ หร้ ่งุ เรืองงดงามเหมอื นอย่างพระนครศรีอยุธยา
เพือ่ บำ�รงุ จิตใจชาวไทย สืบสานพระราชปณิธานในรชั กาลท่ี ๑ และรชั กาลท่ี ๒
ทรงมงุ่ มัน่ แกไ้ ขเศรษฐกิจแผน่ ดนิ ท่ีฝดื เคอื งต่อเน่ือง เพือ่ ประเทศมั่งคัง่ สมบรู ณด์ ้วยการคา้
จึงได้รบั การถวายพระราชสมัญญา “พระบิดาแห่งการคา้ ไทย” สามารถสร้างบ้านเมือง
วดั วาอารามใหญโ่ ตสงู เด่นเป็นสง่างดงามด้วยงานศิลปะและสถาปัตยกรรมตามพระราชนิยม
ให้ชาวโลกชน่ื ชมตราบปัจจบุ ัน สะทอ้ นพระราชหฤทยั ในการสรา้ งสรรค์วฒั นธรรมเปน็ สำ�คญั
โปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างสำ�เภาเจดยี ์ พระองค์ทรงเป็นอคั รศาสนปู ถมั ภก
ณ วดั คอกกระบอื เพอ่ื ให้คนร่นุ หลังไดเ้ หน็ มีพระราชศรทั ธาเล่อื มใสมัน่ คงย่งิ ใหญ่
รปู แบบส�ำ เภาซึง่ กำ�ลงั จะหมดไปจากเมอื งไทย
แล้วพระราชทานนามวัดแห่งน้วี า่ “วดั ยานนาวา” ในพระพุทธศาสนา จงึ ทรงบำ�เพญ็
พระราชกศุ ลอยูเ่ ปน็ เนอื งนจิ มคี �ำ กล่าวว่า
ผู้ใดเอาใจใสท่ �ำ นุบ�ำ รงุ ในพระพุทธศาสนา
และสรา้ งพระอาราม “จะเป็นคนโปรด”
๖๔
ทรงสร้างและบรู ณปฏิสงั ขรณ์วัดวาอาราม
ท้ังในพระนคร และหวั เมือง สร้างใหม่ ๓ วดั คือ
วัดเทพธดิ าราม วดั ราชนัดดาราม วดั เฉลิมพระเกยี รตวิ รวิหาร
และทรงบูรณปฏสิ งั ขรณ์อกี ๓๕ วดั
วดั ส�ำ คญั ทีบ่ รู ณปฏิสงั ขรณ์
ไดแ้ ก่ วดั พระศรีรตั นศาสดาราม
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธ์ิ)
วัดสุทัศนเทพวราราม
เมือ่ บูรณปฏสิ ังขรณ์แล้ว
งดงามราวกบั ทรงสรา้ งข้ึนใหม่ทง้ั ส้ิน
การสรา้ งหรอื บูรณะพระอาราม โดยน�ำ กระเบอ้ื งเคลอื บและกระเบอ้ื งถว้ ยชาม
ทรงนำ�ศิลปะไทย จีน มาประดับลายปนู ปั้นของสถาปตั ยกรรม เชน่
พระปรางค์ ซมุ้ ประตู หน้าต่าง ระเบียงคด
และตะวนั ตก มาผสมผสาน
กลมกลืนกนั อยา่ งลงตัว เรยี กวา่ จึงมีลักษณะโดดเดน่ เปน็ แบบเฉพาะของ
รตั นโกสนิ ทร์โดยแท้ กล่าวไดว้ า่ เปน็ การ
“ศิลปะแบบพระราชนยิ ม” พฒั นาศลิ ปะครง้ั ส�ำ คญั กวา้ งขวางและยง่ิ ใหญ่
๖๕
วดั ราชโอรสาราม (เดมิ ชื่อวัดจอมทอง) เปน็ วดั ประจำ�รัชกาล
ทรงบรู ณปฏิสังขรณเ์ มอ่ื เสดจ็ ฯ กลับจากขดั ตาทพั ที่กาญจนบรุ ี
ครง้ั ทรงด�ำ รงพระอสิ รยิ ยศกรมหมน่ื เจษฎาบดนิ ทร์ ลกั ษณะการประดบั
ตกแตง่ ตลอดจนจติ รกรรม เปน็ การผสมผสานศิลปะจีนและไทย
ทงี่ ดงาม นอ้ มถวายเปน็ พระราชกศุ ลแด่สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ
ทรงสรา้ งพระธาตเุ จดยี ์ โปรดใหส้ ร้างพระเจดยี ์ ๓ องค์
องค์ส�ำ คญั คอื พระปรางค์ ต่อมา ในรชั กาลที่ ๔ โปรดให้สร้าง
วัดอรุณราชวราราม เพ่มิ อีก ๑ องค์
สร้างมาตัง้ แต่รชั กาลท่ี ๒ แสดงสัญลกั ษณ์
มาแล้วเสรจ็ สวยงามสง่า พระมหากษตั รยิ ์
ในรชั กาลของพระองค์ กรงุ รัตนโกสินทร์ ๔ พระองค์
ประดบั กระเบอื้ งหลากสี
ประดจุ สญั ลกั ษณ์
ความเปน็ ชาติไทย งดงามมาก
ในวัดพระเชตุพน
วมิ ลมงั คลาราม
(วัดโพธ์ิ)
ภายในวดั มพี ระพุทธปฏมิ าองคใ์ หญ่ บริเวณวัด มีรูปหล่อฤาษดี ดั ตน
คอื พระพุทธไสยาส เปน็ ตน้ แบบการนวดแกเ้ ม่อื ยล้า
ตกแตง่ ลวดลายมุกที่ฝา่ พระบาท จ�ำ นวน ๘๐ ตน
๖๖
ทรงบรู ณปฏิสังขรณ์ เพ่ือสนองพระมหากรณุ าธคิ ุณ สมเดจ็
วดั พระเชตพุ นวิมลมงั คลาราม พระบรมอยั กาธิราช พระบาทสมเดจ็
พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช
โปรดใหป้ ระชมุ นักปราชญ์
ราชบณั ฑิต รวบรวม
ชำ�ระสรรพวิทยาความรู้
ท้ังตำ�รา กวนี ิพนธ์
ตำ�ราแพทย์แผนโบราณ
ตำ�รายา ต�ำ รานวด
แผนโบราณ ซงึ่ เป็น
ภูมปิ ัญญาท่ลี ้าํ คา่
แลว้ จารกึ สรรพวชิ า
เหลา่ นี้ลงแผน่ ศิลา
ประดับไว้ ตามสิ่งกอ่ สร้าง
วิหาร ระเบียงคด
ภายในพระอาราม
และศาลารายต่าง ๆ
๖๗
แผน่ ศลิ าจารกึ เหลา่ นจ้ี งึ เปน็ ต�ำ รา
สรรพความรทู้ กุ แขนงแกม่ หาชน
อยา่ งเสรี ไดร้ บั ยกยอ่ งวา่ เปน็
มหาวทิ ยาลยั เปดิ แหง่ แรกของชาติ
สะทอ้ นความเปน็ นกั การศกึ ษา
ของพระองคว์ า่ ทรงรเิ รม่ิ
การใหค้ วามรู้ อาชพี แกท่ วยราษฎร์
โดยถว้ นหนา้ กนั
ทรงสร้างความเสมอภาคในการเรยี นรู้ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์
ใหแ้ ผ่ไพศาล นา้ํ พระราชหฤทยั บริสุทธ์ิ และวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ หรือยเู นสโก
(UNESCO) ประกาศยกยอ่ งสรรพความรู้เหล่านน้ั
กว้างขวางนกั เป็นมรดกความทรงจำ�ของภมู ภิ าคเอเชยี - แปซฟิ ิก
แผน่ จารึกท้งั ๑,๔๔๐ ช้ิน ได้รับการ พุทธศกั ราช ๒๕๕๘
ขนึ้ ทะเบยี นเป็นมรดกความทรงจำ� คณะรฐั มนตรีมมี ตถิ วายพระราชสมัญญา
แห่งโลก ในระดับภมู ิภาคเอเชีย -
แปซิฟกิ เมื่อพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๔ “พระบิดาแหง่ การแพทย์แผนไทย”
๖๘
ทรงพระปรชี าดา้ นวรรณกรรม
ทรงพระราชนิพนธ์
โคลงปราบดาภิเษกเฉลิมพระเกยี รติ
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้านภาลัย
บทละครสังข์ศิลปช์ ยั เพลงยาวสงั วาส
บทเสภาในขนุ ช้างขุนแผน (บางตอน)
กวีส�ำ คญั ในรัชสมัย คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรส และสนุ ทรภู่
ซ่งึ มชี ือ่ เสียงมาตัง้ แตร่ ัชกาลท่ี ๒
วรรณคดีสำ�คัญ ไดแ้ ก่
ลลิ ิตตะเลงพา่ ย ปฐมสมโพธิกถา
กฤษณาสอนนอ้ งค�ำ ฉนั ท์ ระเดน่ ลนั ได
โคลงสุภาษิตโลกนติ ิ
โปรดใหส้ ร้างพระไตรปฏิ ก ๗ ฉบับ ได้แก่ ทรงบำ�รงุ การศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรม
ฉบบั รดนํา้ เอก ฉบบั รดนํ้าโท ฉบับทองน้อย สร้างเสรมิ ความรพู้ ระภิกษุ พระปริยัตธิ รรม
ฉบบั ชบุ ย่อ ฉบับอักษรรามญั ฉบบั เทพชุมนุม
ในรัชสมัยแพร่หลายรุง่ เรอื งอย่างยง่ิ
และฉบับลายก�ำ มะลอ
โปรดให้พระเจา้ บรมวงศ์เธอ
กรมหลวงวงศาธิราชสนทิ
แต่งหนงั สือ “จนิ ดามณ”ี
เปน็ หนงั สอื แบบเรยี นเขยี นอ่าน
ส�ำ หรับเดก็
๖๙
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว
ถวายพระปรมาภไิ ธยว่า
พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจา้ อยู่หวั
ทรงครองแผ่นดินดจุ จะทรงรกั ษาพระราชสมบัติ เนื่องจากมพี ระราชประสงค์
ถวายแด่สมเด็จพระอนุชาธิราช มิไดท้ รงสถาปนา จะถวายไอศรู ย์ราชสมบัติแด่
พระสนมข้นึ เปน็ พระมเหสี และไมม่ ีพระราชโอรส สมเด็จเจ้าฟ้ามงกฎุ สมมตุ ิเทวาวงษ์
สืบราชสันตติวงศ์
พระองคค์ ือหวั ใจของแผน่ ดนิ
๗๐
เมื่อทรงพระประชวรใกล้จะเสด็จสวรรคต
ได้มีพระราชด�ำ รัส
แสดงความห่วงใยบ้านเมอื งไว้วา่ ...
...การศกึ สงครามขา้ งญวน
ขา้ งพมา่ กเ็ หน็ จะไม่มีแลว้
จะมีอยกู่ ็แตข่ า้ งพวกฝร่ัง
ใหร้ ะวังใหด้ ี อยา่ ใหเ้ สยี ทีแก่เขาได้
การงานสง่ิ ใดของเขาทคี่ ดิ
ควรจะเรียนเอาไว้ กใ็ ห้เอาอยา่ งเขา
แตอ่ ยา่ ให้นับถือเล่ือมใส
ไปเสยี ทเี ดยี ว...
๗๑
พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจา้ อยู่หัว
เสดจ็ สวรรคตเมื่อวนั พุธ ที่ ๒ เมษายน พทุ ธศกั ราช ๒๓๙๔
ทรงดำ�รงสริ ริ าชสมบตั ิ ๒๗ ปี
วนั ที่ ๑๗ เมษายน พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ คณะรฐั มนตรีมีมติให้ถวายพระราชสมญั ญา ก�ำ หนดให้
ออกพระนามพระบาทสมเด็จพระน่งั เกล้าเจา้ อยู่หัว รวม ๓ แบบ คือ “พระบาทสมเดจ็ พระน่ังเกลา้
เจา้ อยหู่ วั ”“พระมหาเจษฎาราชเจา้ ” และ “พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยูห่ ัว พระมหา
เจษฎาราชเจา้ ” มคี วามหมายว่า “พระมหาราชเจ้าผู้มีพระทยั ตง้ั มั่นในการบำ�เพ็ญพระราชกจิ ”
คณะรฐั มนตรี มมี ติเม่ือวนั ที่ ๔ พฤศจิกายน
พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ถวายพระราชสมญั ญา
“พระบดิ าแหง่ การคา้ ไทย”
และก�ำ หนดใหว้ นั ท่ี ๓๑ มีนาคมของทุกปี เปน็
“วันทร่ี ะลกึ พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจา้ อยหู่ ัว
พระมหาเจษฎาราชเจา้ ”
และเมอื่ วันที่ ๑๖ มถิ นุ ายน
พุทธศักราช ๒๕๕๘
ถวายพระราชสมัญญา
“พระบดิ าแห่งการแพทย์แผนไทย”
และก�ำ หนดใหว้ นั ที่ ๒๙ ตลุ าคม
ของทุกปี เป็น “วนั ภูมิปัญญา
การแพทย์แผนไทยแห่งชาต”ิ
๗๒
รชั กาลที่ ๔
แนวคิดอารยะ
พระราชลญั จกรประจ�ำ พระองค์รชั กาลท่ี ๔
เปน็ ตรางา ลักษณะกลมรี รูปพระมงกุฎ
สญั ลกั ษณ์พระปรมาภิไธยวา่ มงกฎุ ศิราภรณส์ �ำ คัญของพระมหากษตั ริย์
อยใู่ นเครื่องเบญจราชกกุธภณั ฑ์ มฉี ัตรบริวารต้ังขนาบข้างท่รี ิมขอบท้งั สองข้าง
มีพานทองสองช้ันวางพระแวน่ สุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึง่ สมดุ ตำ�ราข้างหน่ึง
รูปพระแวน่ สรุ ยิ กานตห์ รอื เพชรน้มี าจากฉายาเมอื่ ทรงผนวชวา่ วชริ ญาณ
สว่ นสมุดต�ำ รามาจากเหตุทีไ่ ดท้ รงศึกษาเชยี่ วชาญในทางอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์
... อาวธุ ชนดิ เดยี ว
ทีจ่ ะเป็นประโยชนอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ ตอ่ เราในอนาคต
ก็คอื วาจาและหัวใจของเราอนั กอปรดว้ ยสติและปัญญา ...
พระราชหตั ถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว
พระราชทานไปยงั พระยาสรุ วงษ์ ไวยวัฒน์
๗๔
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสนิ ทรมหามงกุฎ
พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั พระสยามเทวมหามกุฏวทิ ยมหาราช
รัชกาลที่ ๔ พระนามเดมิ ว่า สมเดจ็ พระเจ้าลกู ยาเธอ
เจา้ ฟ้ามงกฎุ เปน็ พระราชโอรส
ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย รชั กาลที่ ๒
และสมเดจ็ พระศรีสุริเยนทรา บรมราชนิ ี
เสด็จพระราชสมภพเมอื่ วันพฤหัสบดี ท่ี ๑๘ ตลุ าคม
พุทธศกั ราช ๒๓๔๗ ณ พระราชวังเดมิ
พทุ ธศักราช ๒๓๕๕ ขณะพระชนมพรรษา พระนามตามจารกึ
๙ พรรษา มีการพระราชพธิ ีลงสรง ในพระสุพรรณบฏั ว่า สมเด็จ
ซงึ่ จดั ขึ้นเป็นคร้ังแรกในสมัยรตั นโกสินทร์ พระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้ามงกฎุ
สมมตุ ิเทวาวงษ์ พงษ์อศิ รกระษตั ริย์
ขัติยราชกุมาร
มีพระอนุชาร่วมพระราชชนนี คอื สมเดจ็ ทรงไดร้ บั การศึกษาเบื้องต้นในศิลปะการเรือน
เจ้าฟ้าจุฑามณี (พระบาทสมเดจ็ พระป่ินเกลา้ การช่าง ทรงพระปรชี าสามารถในทกุ ๆ แขนง
เจา้ อยหู่ ัว) ตามแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณี
ในสมยั อยุธยา
๗๕
พุทธศักราช ๒๓๕๙
พระชนมพรรษา ๑๓ พรรษา
ทรงรบั การพระราชพธิ ีโสกนั ต์
เตม็ ตามพระอิสริยยศ
ของสมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ ชน้ั เจ้าฟ้า
ตง้ั เขาไกรลาสจำ�ลองและท่สี รงสนาน
บรเิ วณหนา้ พระท่นี ัง่ ดุสติ มหาปราสาท
ในพระบรมมหาราชวงั
พระราชพิธีโสกนั ต์ คือ พธิ โี กนจกุ มสี ถานท่ีประทับต่างหาก
ตามธรรมเนยี มพธิ พี ราหมณ์ มีข้าราชบริพาร
เปน็ พระราชพิธีใหญ่และส�ำ คัญ
ตามโบราณราชประเพณี และพระพี่เล้ียงฝ่ายชาย
ถือเปน็ พิธีกา้ วผ่านวยั เยาว์ เปน็ ผู้ดูแล
สูว่ ัยรุ่นพร้อมเป็นผู้ใหญ่
ทมี่ ีความรับผดิ ชอบสงู ข้นึ
เจ้าฟา้ มงกฎุ ทรงเริม่ ศึกษาเล่าเรียน
วรรณคดี กาพย์ กลอน ภาษาไทย
พระราชพงศาวดารสยาม และพระราชประวตั ิ
วีรกษัตรยิ ไ์ ทย หลกั พทุ ธศาสนาเบือ้ งตน้
หลักทศพธิ ราชธรรม และภมู ิศาสตร์
ท้งั ยังทรงฝกึ หัดการใชอ้ าวธุ ท้งั ปวง
ทรงช้าง ทรงม้า มีความช�ำ นาญ
คลอ่ งแคลว่ ตามจารตี
๗๖
ขณะพระชนมพรรษา ๑๔ พรรษา ทรงบรรพชาเป็นสามเณร
เป็นเวลา ๗ เดอื น ครั้นพุทธศกั ราช ๒๓๖๗ พระชนมพรรษา ๒๐ พรรษา
ทรงผนวชเป็นภิกษุ ณ วดั พระศรีรตั นศาสดาราม
สมเดจ็ พระอริยวงษญาณ (ด่อน) เป็นพระอปุ ชั ฌาย์
พระฉายานามวา่ “วชิรญาโณ” หรอื “วชริ ญาณภกิ ข”ุ
จำ�พรรษา ณ วดั ราชาธิวาส
สมยั น้นั เรยี กวัดสมอราย
เมอ่ื ทรงผนวช ๑๕ วัน สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ เทยี บกบั พระราชโอรสพระองคใ์ หญ่
เสด็จสวรรคต มไิ ดท้ รงมอบราชสมบัติ พระเชษฐาตา่ งพระมารดา ทรงรบั
ราชการตา่ งพระเนตรพระกรรณมานาน
แก่พระราชวงศอ์ งค์ใด แต่พระบรมวงศานวุ งศ์ และมพี ระชนมพรรษาแกก่ วา่ ๑๗ พรรษา
ทง้ั หลาย เหน็ วา่ พระองคช์ นมพรรษานอ้ ย
และยงั ไม่มปี ระสบการณก์ ารบริหารบา้ นเมอื ง
เห็นควรอัญเชญิ พระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟ้ามงกฎุ ทรงตดั สนิ พระทัย
กรมหมน่ื เจษฎาบดินทร์ เสด็จเสวยราชย์ ดำ�รงอยู่ในสมณเพศ ศกึ ษาเรียนรู้
เป็นพระมหากษัตรยิ ์รัชกาลที่ ๓ สรรพวิชาใหแ้ ตกฉาน
๗๗
เมอ่ื ทรงด�ำ รงอยใู่ นสมณเพศ ทรงตง้ั พระราชหฤทยั ทรงศกึ ษาวชิ า ปรชั ญาศาสนา โหราศาสตร์
ศึกษาพระปริยัติธรรมและภาษามคธ (บาลี) ประวตั ศิ าสตร์ ภูมิศาสตร์ โบราณคดี
แตกฉานเชี่ยวชาญ ทรงพระปรีชาสามารถ วทิ ยาศาสตร์ (ท้งั สาขาฟิสกิ ส์ เคม)ี
เป็นที่เลื่องลือ ดาราศาสตร์ และคณติ ศาสตร์
ดา้ นภาษาศาสตร์ ไดแ้ ก่ บาลีสนั สกฤต ลาว เขมร เฉพาะภาษาละตนิ ทรงฝกึ ฝนกบั สงั ฆราช
มอญ ญวน พม่า มลายู ฮนิ ดี อังกฤษ และละตนิ ชาวฝรง่ั เศส ชอ่ื ปลั เลอกวั ซ์ ทรงแลกเปลย่ี น
ดว้ ยการสอนภาษาบาลี จงึ คนุ้ เคยกนั ฉนั มติ ร
เปน็ โอกาสใหร้ อบรสู้ ภาวะเหตกุ ารณท์ ว่ั ไป
ของโลกอยา่ งทนั สมยั กวา้ งขวาง
ทราบมาวา่ ใช่แล้ว ทรงเคร่งครัด เมอื่ พุทธศักราช ๒๓๗๒
สมเดจ็ พระองค์น้ี ในพระธรรมวินยั มาก ทรงจัดระเบียบการปกครองสงฆ์ เรยี กวา่
ทรงศึกษาวิชาการ มีความรู้แตกฉานในวชิ า “คณะธรรมยตุ ิกนิกาย” ขนึ้ เพอ่ื ใหพ้ ระสงฆ์
ต่าง ๆ หลายแขนง ทงั้ ทางโลกและทางธรรม มีวัตรปฏิบัตติ ามพทุ ธบัญญัตอิ ยา่ งเคร่งครัด
นบั เป็นการปฏริ ปู สงฆ์คร้ังส�ำ คญั ในประเทศ
เปน็ อย่างดี
๗๘
เมื่อทรงด�ำ รงอยูใ่ นสมณเพศ ทรงถอื วัตรปฏิบัติ เสด็จธุดงค์ไปในท้องถ่นิ เกือบทกุ ภาค
เช่นภิกษุทัง้ หลาย เสดจ็ ออกบณิ ฑบาต บกุ ป่าฝ่าดง ข้ึนเขาลงหว้ ย ไปนมัสการ
เคร่งครัดศกึ ษาพระธรรมวินัย ปูชนียสถานตามหัวเมอื งตา่ ง ๆ ท�ำ ให้
มไิ ดเ้ หน็ เปน็ ความทกุ ข์ยาก เห็นชัยภูมแิ ละสภาพความเปน็ อยทู่ ุกข์ยาก
ของราษฎรในทห่ี ่างไกลอย่างถอ่ งแท้
เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๖ เสดจ็ ธดุ งคเ์ มอื งสโุ ขทยั เกา่
ทรงพบศลิ าจารกึ สโุ ขทยั หลกั ท่ี ๑ จารกึ พอ่ ขนุ รามค�ำ แหง
จารกึ สโุ ขทยั หลกั ท่ี ๔ จารกึ วดั ปา่ มะมว่ ง (ภาษาเขมร)
ของพระยาลไิ ทและพระแทน่ มนงั ศลิ าบาตร
โปรดน�ำ มาดว้ ย
พอ่ กชู ่ือศรอี นิ ทราทติ ย์ ด้วยพระปรีชาสามารถดา้ นอกั ษรศาสตร์
แม่กูชือ่ นางเสือง และสนพระราชหฤทยั ประวัติศาสตร์ ทรงให้
พีก่ ชู ื่อบาลเมอื ง ... พระผ้ใู หญ่ทร่ี อบรใู้ นภาษาโบราณอา่ นจารกึ
นบั วา่ ทรงวางรากฐานการศกึ ษา อักษรโบราณ
ประวัตศิ าสตรแ์ ละโบราณคดขี องชาตไิ ทย
๗๙
เมือ่ ๒๗ พรรษาผ่านพน้ พระภกิ ษเุ จ้าฟา้ มงกฎุ
ทรงรอบรวู้ ชิ าการตา่ ง ๆ อยา่ งแตกฉานเชย่ี วชาญ
พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอย่หู ัว อันเป็นวถิ ที างแหง่ การขึน้ ครองแผ่นดิน
พระเชษฐา ทรงตระหนักว่า ของพระมหากษตั รยิ พ์ ระองค์ใหม่
เจ้าฟา้ มงกุฎจะทรงเปน็ อยา่ งงดงาม
ผู้ทีส่ บื ราชสนั ตตวิ งศต์ อ่ ไป
แมต้ �ำ แหน่ง
สมเด็จพระบวรราชเจ้าวา่ ง
กม็ ิได้ทรงแต่งต้ังเจ้านาย
พระองคใ์ ดแทน
เม่ือวันท่ี ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๙๔
พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจ้าอย่หู วั เสดจ็ สวรรคต
สมเดจ็ เจา้ ฟ้ามงกฎุ ฯ ได้เสด็จขน้ึ ครองราชสมบตั ิสบื ตอ่
ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว”
ในหมู่ชาวต่างชาตขิ านพระนามวา่ “คิงมงกฎุ ”
พระชนมพรรษา ๓๗ พรรษา
โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนา
สมเดจ็ เจา้ ฟ้าจฑุ ามณี
เปน็ พระมหากษตั รยิ ์พระองค์ทส่ี อง
ทรงพระนามวา่ พระบาทสมเด็จ
พระปิน่ เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว
ประทับ ณ พระราชวงั
บวรสถานมงคล (วังหนา้ )
๘๐
เมอื่ เสด็จขึ้นครองราชย์ โปรดให้
ประกอบพระราชพิธถี ือนํ้าพระพิพฒั น์สตั ยา
โดยพระราชวงศ์ เสนาบดี ทหาร และพลเรือน
ด่ืมนา้ํ พระพพิ ัฒน์สัตยารว่ มกบั พระองค์
ด้วยมพี ระราชประสงค์ใหข้ ้าราชบรพิ าร
มีความซ่ือสตั ย์สจุ ริต
จงรกั ภักดตี ่อสถาบนั และประชาชน
มคี วามซื่อสตั ย์
พุทธศักราช ๒๓๙๕ มพี ระราชดำ�ริ บางคนเปน็ กลากเกลือ้ น ดสู กปรกไม่งาม
ปรบั เปล่ยี นประเพณกี ารเข้าเฝ้า ใหข้ ้าราชการ จงึ มกี ารดัดแปลงเสอ้ื แบบ “บาบ๋า”
เปน็ เสือ้ คอตั้ง ตัวยาวมาใช้
สวมเสือ้ แต่เดมิ สวมเส้ือเฉพาะฤดหู นาว อย่างน้ี ดูมี
อารยธรรมขน้ึ
ทรงฟน้ื ฟปู ระเพณีการตกี ลองร้องฎกี า เพ่ือให้ ทรงใหเ้ สรภี าพแก่ประชาชน
ทราบถึงทุกข์สขุ ของราษฎร โดยจะเสด็จออกมา ในการเลอื กนับถอื ศาสนา
และการประกอบอาชีพ
รับฎกี าด้วยพระองค์เอง ทกุ วันโกน
เดือนละ ๔ คร้งั
๘๑
ในรชั สมยั เศรษฐกจิ ขยายตัว มีคลองใหม่ คนยา้ ยมาอยู่
เนอื่ งจากมีการตดิ ตอ่ ค้าขาย ไปไหนมาไหน ตามรมิ คลอง
มากขนึ้ ดว้ ย
กบั ต่างประเทศมากขึน้ คล่องตัว เท่ากบั เป็นการ
ท�ำ ใหผ้ คู้ นมาอาศยั เปน็ ชมุ ชนเพมิ่ ขึ้น ขยายเมอื ง
มีการขดุ คลองผดงุ กรุงเกษม
เปน็ คเู มอื งชนั้ นอก ขยายเมือง
ใหก้ ว้างขึน้
โปรดให้ขดุ คลองไปสูภ่ ูมิภาคเพิ่มจากรชั กาลก่อน
โดยจา้ งแรงงานชาวจนี ข้าราชการไทยควบคุมงาน
ได้แก่ คลองมหาสวัสดิ์ คลองภาษีเจรญิ
คลองดำ�เนนิ สะดวก คลองเจดยี บ์ ชู า เป็นต้น
ในรัชสมัย มีชาวยโุ รปเดินทางเขา้ มา เปน็ การดีที่ชาวยุโรปแยกอยเู่ ป็นส่วนต่างหาก
สู่ประเทศไทยมากขึน้ เพราะมีความเป็นอยตู่ ่างจากคนไทย
๘๒
ทรงคำ�นึงถงึ ความสะดวกสบายของราษฎร เมื่อทรงทราบวา่ พวกกงสลุ ฝรง่ั บน่ วา่ พระนคร
โดยถว้ นหน้า เมอ่ื ขดุ คลองแลว้ ไมม่ ถี นนทเ่ี หมาะสมสำ�หรบั น่งั รถม้าทอ่ งเท่ยี ว
ผอ่ นคลายในยามเยน็ จึงโปรดใหส้ รา้ งถนนข้ึน
ก็ให้สร้างสะพานขา้ มคลองหลายแห่ง เม่ือแล้วเสรจ็ จึงโปรดให้สร้างอาคารริมถนน
ให้ราษฎรประกอบการคา้ นับเปน็
สิง่ แปลกใหม่ในรัชสมัย
ถนนทสี่ ร้างขึน้ ไดแ้ ก่ ถนนเจริญกรงุ นอกจากน้ี โปรดใหส้ รา้ งพระราชวังขนึ้
ถนนบ�ำ รุงเมือง และถนนเฟอ่ื งนคร ในภูมิภาค เม่อื พุทธศักราช ๒๔๐๓
ท�ำ ให้การคมนาคมทางบกสะดวกขน้ึ ท่จี ังหวัดเพชรบรุ ี บนยอดเขามหาสมณะ
(เขามหาสวรรค)์ เรียกวา่ พระนครคีรี
รู้จักกันในชอื่ เขาวัง
ณ พระนครคีรี ทรงสร้างหอชัชวาลยเ์ วียงชยั ทรงสถาปนาพระอาราม ๕ แห่ง คือ
รปู วงกลมคลา้ ยกระโจมไฟ นักเดนิ เรือในทะเล วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ซงึ่ ถอื เป็น
วัดประจำ�รชั กาล วดั บรมนิวาส วดั โสมนัสวหิ าร
จะมองเห็นแสงไฟจากหอนี้ เมื่อน�ำ เรือ วดั มกฏุ กษตั รยิ าราม และวดั ปทมุ วนาราม
เข้าปากอ่าว และเช่ือว่าเปน็ หอสงั เกตการณ์
ทางดาราศาสตร์ของพระองคด์ ว้ ย
๘๓
ในรชั สมยั อารยธรรมตะวันตกไดเ้ ข้ามามีบทบาท
ในวงราชการไทยมาก กฎหมายตราสามดวง
ท่ใี ช้มาเก่าก่อน ไม่สามารถน�ำ มาใช้บังคบั ได้ทง้ั หมด
เน่อื งจากชาวต่างชาติอ้างอยเู่ สมอว่า
กฎหมายไทยลา้ สมยั บางข้อไมย่ ตุ ธิ รรม
มีบทลงโทษรุนแรงเกินกว่าเหตุ
จงึ ได้มีข้อกำ�หนดขึน้ ใหม่เกอื บ ๕๐๐ ฉบับ
โปรดใหต้ ง้ั โรงพมิ พ์หลวงขนึ้ เป็นครงั้ แรก โปรดใหต้ งั้ ศาลกงสลุ ขนึ้ เป็นครง้ั แรก อันเนื่อง
ในพระบรมมหาราชวงั ชอ่ื โรงพิมพอ์ กั ษร มาจากการท�ำ สนธสิ ญั ญากบั ชาติตะวันตก
พิมพการ เพอ่ื ใช้พิมพแ์ ถลงขา่ วของราชการ
เม่ือเกดิ กรณพี ิพาทระหว่างคนไทย
เรยี กวา่ “ราชกิจจานเุ บกษา” กับคนในบงั คับของชาวตา่ งชาติ เป็นส่วนท่ี
ท�ำ ใหไ้ ทยตอ้ งเสยี สิทธสิ ภาพนอกอาณาเขต
ในเวลาตอ่ มา
ทรงใหย้ กเลกิ วธิ ีการพจิ ารณาพิพากษา ประกาศลดภาษอี ากร ลดหย่อนค่านา มใิ ห้เก็บภาษี
ตามจารตี นครบาลอนั มีลกั ษณะทารุณ เปน็ ข้าวจากชาวนา ยกเลิกการเกบ็ อากรตลาด
มาเกบ็ ภาษีโรงรา้ นเรอื นแพจากผูค้ า้ ขายรายใหม่
เม่อื มกี ารเวนคืนทด่ี นิ ให้ชดใช้ค่าทดี่ ิน
เตอื นให้ราษฎรรอบคอบ
ในการทำ�นติ ิกรรมดว้ ย
๘๔
โปรดใหย้ กเลกิ กฎหมายการใหส้ ทิ ธบ์ิ ดิ า พุทธศกั ราช ๒๔๐๔ มกี ารจัดต้ัง
มารดา และสามขี ายบตุ รและภรรยา ต�ำ รวจพระนครบาล หรอื โปลสิ (Polis) เปน็ ครง้ั แรก
โดยใหก้ ารซอ้ื ขายทาสเปน็ สทิ ธข์ิ องเจา้ ตวั
และหา้ มมใิ หซ้ อ้ื ขายทาสทเ่ี ปน็ ชาวตา่ งชาติ โดยว่าจา้ งชาวยโุ รป และชาวมลายซู ึ่งเคย
เปน็ ต�ำ รวจมาก่อนมาเปน็ ครูฝึก ปฏิบัตงิ านครัง้ แรก
บรเิ วณตลาดสำ�เพ็ง
พุทธศักราช ๒๓๙๔ โปรดใหจ้ ัดระเบียบทหารบก
ตามแบบตะวนั ตก โดยวา่ จ้างรอ้ ยเอกอิมเปย์
ซง่ึ เป็นทหารนอกประจ�ำ การ
ของกองทัพบกองั กฤษประจ�ำ ประเทศอนิ เดีย
เข้ามาเป็นครฝู ึก การเรียกช่อื ยศ ตำ�แหนง่
ใช้ภาษาอังกฤษ
ปลายรชั กาล จ้างชาวฝร่งั เศส ชอ่ื ลามาส
เข้ามาฝกึ ทหารรกั ษาพระองคต์ ามแบบยุโรป
ทรงปรบั ปรงุ การทหารเรอื ปลายรัชกาล โปรดให้ตอ่ เรอื รบขนาดใหญ่
โปรดให้เปล่ียนแปลงเรือรบใหม่ จากเรือ คือ เรือสยามูประสดมั ภ์ แลว้ โปรดให้ตั้ง
ก�ำ ปนั่ รบใชใ้ บ มาเป็นเรือกำ�ปัน่ รบกลไฟ
เรือกลไฟล�ำ แรกคือ เรือสยามอรสมุ พล กรมเรอื กลไฟขึน้ เป็นครง้ั แรก
และต่อเรอื รบเพมิ่ เติมอีกหลายล�ำ เช่น เม่อื พุทธศักราช ๒๔๑๑
เรอื ราญรุกไพรี เรือศรอี ยธุ ยาเดช เป็นตน้
๘๕
ดา้ นความสัมพนั ธต์ ่างประเทศ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั
เนื่องจากทวีปเอเชยี เป็นท่ปี รารถนา ทรงประเมนิ กำ�ลังของประเทศแลว้
จึงยอมผอ่ นปรนนโยบายทางการทตู
ของนกั ล่าอาณานคิ มตะวนั ตก ยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนน้อย
ซง่ึ ได้แผข่ ยายอ�ำ นาจเข้าครอบครอง เพื่อรกั ษาเอกราชของประเทศ
โดยทรงท�ำ สนธิสัญญา
หลายประเทศ เชน่ สงิ คโปร์ กบั ประเทศตะวันตก
ตกเปน็ อาณานคิ มของอังกฤษ
ญวน และเขมร ตกเป็นของฝรง่ั เศส พุทธศกั ราช ๒๔๐๐ และ พุทธศักราช ๒๔๐๔
ส่วนประเทศไทย หรอื ในขณะน้นั ทรงส่งคณะทูตไทยไปเจริญสมั พนั ธไมตรี
เป็นท่รี จู้ ักกันในนาม สยาม กบั อังกฤษ โปรดจดั เครือ่ งบรรณาการ
เริม่ มีเค้ามาตั้งแตร่ ชั กาลที่ ๓ เปน็ ของขวญั ถวายแด่สมเด็จพระราชินนี าถ
วกิ ตอเรีย แหง่ สหราชอาณาจกั ร
วา่ เปน็ ที่ปรารถนาของ เป็นการเชื่อมสมั พนั ธไมตรใี ห้แนน่ แฟ้น
มหาอ�ำ นาจอย่างยิง่
เรมิ่ จากอังกฤษได้สง่ ราชทูต เซอร์ จอหน์
เบาว์ริง เข้ามาเจรญิ ทางพระราชไมตรี
เพ่ือขอเปล่ยี นแปลงสนธสิ ญั ญาใหม่
ในพุทธศักราช ๒๓๙๘
เรียกว่า สนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ
๘๖
โปรดให้ เซอร์ จอห์น เบาวร์ งิ เปน็ กงสลุ ไทย สยามคงท�ำ สนธิสัญญาในท�ำ นองเดียวกนั นี้
ประจำ�กรุงลอนดอน พระราชทานบรรดาศกั ดิ์ กบั สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตเุ กส เยอรมนี
เป็น “พระยาสยามานกุ ูลกจิ สยามมติ รมหายศ”
อิตาลี เนเธอรแ์ ลนด์ และประเทศในกลุ่ม
สแกนดิเนเวีย เชน่ สวเี ดน และนอร์เวย์
การท�ำ สนธิสัญญากับต่างประเทศนน้ั แม้จะถูก การยกเลิกระบบการค้าผกู ขาดมาเปน็ การคา้
บีบค้นั จากหลายด้าน แตส่ ยามก็พยายาม แบบเสรี มีผลใหร้ าษฎรสามารถตดิ ต่อคา้ ขาย
ให้ขอ้ ตกลงเป็นคุณแก่ประเทศท่ีสุด ท�ำ ใหร้ กั ษา กบั ต่างชาตไิ ดโ้ ดยตรงด้วยเชน่ กนั ท�ำ ให้
ความเปน็ เอกราชของประเทศไดต้ ลอดมา เศรษฐกจิ ของประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว
การตดิ ตอ่ ค้าขายกับชาวต่างชาติ ท�ำ ให้ ภายหลงั เปิดเสรีการคา้ กม็ กี ารผลติ
อารยธรรมตะวนั ตกเข้ามาแพรห่ ลายในสยาม เหรียญกษาปณแ์ บบสากลนยิ ม
มาใชแ้ ลกเปล่ยี น และเงนิ พดด้วง
มกี ารน�ำ วทิ ยาการใหม่ ๆ มาปรับปรุง
และพัฒนาบา้ นเมอื ง ให้เจรญิ กา้ วหนา้ ทใี่ ชอ้ ยูก่ ็ใช้ต่อไป
แต่จะไม่ผลิตเพิ่มแลว้
มากขึน้
ทราบขอรับ เหน็ วา่
มกี ารต้ังโรงกษาปณ์
พระราชทานนามว่า
“โรงกษาปณ์สิทธกิ าร”
ในพระบรมมหาราชวงั
ดว้ ย
๘๗
ทรงสนพระราชหฤทยั ศกึ ษา บทพระราชนพิ นธ์ที่ส�ำ คญั ได้แก่
สรรพวิชาการต่าง ๆ อยา่ งกว้างขวาง ชมุ นมุ พระบรมราโชบาย ๔ หมวด คือ
โดยเฉพาะวทิ ยาการของชาวตะวนั ตก หมวดวรรณคดี โบราณคดี ธรรมคดี และต�ำ รา
ต่าง ๆ เชน่ ตำ�นานเรือ่ งพระแกว้ มรกต
เรื่องปฐมวงศ์
ทรงกวดขันคนไทย ปลั เลอกัวซ์ หมอบรดั เลย์ หมอเฮาส์
ให้ใช้ภาษาไทยอยา่ งถกู ต้อง
ทรงสนบั สนนุ โรงเรยี นของ มชิ ชนั นารีทเี่ ขา้ มาเผยแพร่ศาสนา
หมอสอนศาสนาท่ีเข้ามา และวทิ ยาการตะวนั ตก
เปดิ กิจการในประเทศไทย
เพ่ือให้คนไทยไดเ้ รียนรภู้ าษา
อรรถคดี และวทิ ยาการ
ของชาตติ ะวนั ตกด้วย
โปรดใหส้ ง่ ขา้ ราชการไปศึกษางานที่จำ�เป็น มกี ารตง้ั โรงเรยี นชายขน้ึ ทต่ี �ำ บลส�ำ เหร่
ส�ำ หรับราชการไทย ณ ตา่ งประเทศ (ปจั จบุ นั คอื โรงเรยี นกรงุ เทพครสิ เตยี นวทิ ยาลยั )
สว่ นโรงเรยี นสตรแี หง่ แรกในไทย
คอื โรงเรยี นกลุ สตรวี งั หลงั
(ปจั จบุ นั คอื โรงเรยี นวฒั นาวทิ ยาลยั )
๘๘
ทรงศึกษาวิชาดาราศาสตรแ์ ละวทิ ยาการ ทรงคำ�นวณ วัน เวลา และสถานที่เกิดสรุ ยิ ุปราคา
สมยั ใหมข่ องตะวันตกอย่างแตกฉาน กอ่ นลว่ งหนา้ ๒ ปี ว่าจะเกดิ สุรยิ ปุ ราคาเตม็ ดวง
ในวนั ท่ี ๑๘ สงิ หาคม พุทธศักราช ๒๔๑๑
เวลา ๑๑ นาฬิกา ๓๖ นาที ๑๓ วนิ าที
ใชเ้ วลามดื เตม็ ดวง ๖ นาที ๔๗ วนิ าที
ปรากฏการณม์ องเหน็ ได้ชัดเจน
ทีบ่ รเิ วณคลองวาฬ ตำ�บลหวา้ กอ
เมืองประจวบคีรขี ันธ์
ทรงเชญิ นักดาราศาสตร์ต่างประเทศ
มาร่วมศกึ ษาปรากฏการณน์ ้นั
ซ่งึ มิไดค้ ลาดเคลือ่ น
จากท่ีทรงค�ำ นวณไว้เลย
พระอัจฉรยิ ภาพจงึ เป็นท่ปี ระจกั ษ์
เลอ่ื งลือในวงการดาราศาสตรท์ ว่ั โลก
ภายหลังเสด็จ ฯ กลบั จากทอดพระเนตร
สุรยิ ุปราคาครั้งนี้ ทรงพระประชวร
ดว้ ยโรคไข้ปา่ รุนแรง และเสดจ็ สวรรคต
เมอ่ื วนั พฤหสั บดี ท่ี ๑ ตุลาคม
พุทธศกั ราช ๒๔๑๑
พระชนมพรรษา ๖๕ พรรษา
ทรงด�ำ รงสิรริ าชสมบตั ิ ๑๘ ปี
๘๙
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว
ทรงพระอัจฉริยภาพเปน็ เลิศในด้านการศกึ ษา
วทิ ยาศาสตรแ์ ขนงต่าง ๆ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ
ถวายพระราชสมัญญา“พระบิดาแหง่ วทิ ยาศาสตร์ไทย”
เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พทุ ธศักราช ๒๕๒๕
และก�ำ หนดให้ วันท่ี ๑๘ สงิ หาคมของทุกปี
เป็น “วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ”
พุทธศักราช ๒๕๔๗ ในโอกาสครบ ๒๐๐ ปี
แห่งวันคลา้ ยวนั พระบรมราชสมภพ
องค์การศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ และวัฒนธรรม
แห่งสหประชาชาติ หรือยเู นสโก (UNESCO)
ประกาศยกย่องพระเกยี รตคิ ณุ
ใหท้ รงเปน็ บุคคลสำ�คัญของโลก
ด้านการศึกษา วทิ ยาศาสตร์ วัฒนธรรม สังคมศาสตร์
มนุษยศาสตร์ และสื่อสารมวลชน
เมอ่ื วันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธิบดศี รีสนิ ทร
มหาวชริ าลงกรณ พระวชริ เกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อม
ใหป้ ระกาศถวายพระราชสมัญญา “พระบาทสมเด็จ
พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ
พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว พระสยามเทวมหามกุฏ
วทิ ยมหาราช”
๙๐
รชั กาลที่ ๕
วัฒนะสสู่ ากล
พระราชลัญจกรประจำ�พระองค์รัชกาลที่ ๕
เปน็ ตรางา ลกั ษณะกลมรี รปู พระเกีย้ ว ยอดมรี ัศมี ประดษิ ฐานบนพานทองสองชน้ั
เปน็ สญั ลกั ษณ์ของพระปรมาภิไธยว่า จฬุ าลงกรณ์ ซงึ่ เป็นศิราภรณช์ นิดหนงึ่ อยา่ งมงกฎุ
เคียงด้วยฉัตรบรวิ าร ๒ ข้าง ที่ริมขอบทั้ง ๒ ข้างมพี านสองชนั้
ทางดา้ นซ้ายวางสมุดต�ำ รา ด้านขวาวางพระแว่นสรุ ิยกานต์เพชร
เปน็ การเจรญิ รอยจ�ำ ลองมาจากพระราชลญั จกรของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั
“... การท�ำ นบุ �ำ รงุ ความเจริญของบา้ นเมอื ง
กบั ทัง้ การเลกิ ลา้ งความเส่อื มเสยี ใหห้ มดไป
ที่เราได้พากเพียรจดั ท�ำ มาตลอดเวลา ๔๐ ปนี ้กี ด็ ี
หรือท่จี ะจดั ทำ�สำ�เรจ็ เปนคุณเปนประโยชน์ไดต้ อ่ ในภายนา่ กด็ ี
ย่อมอาไศรยความสามคั คพี รอ้ มน้าํ ใจกนั ในชาวเรา
เพราะความสามคั คีไดม้ มี า บา้ นเมอื งของเราจึงไดม้ คี วามเจริญมาถงึ ปานนี้
ท่านทั้งหลายจงพรอ้ มใจกนั รักษาความสามัคคีน้ใี หถ้ าวรสืบไป ...”
พระราชดำ�รัสพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั
ในการพระราชพธิ เี ฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระที่น่งั จกั รมี หาปราสาท พทุ ธศักราช ๒๔๕๑
๙๒
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั
รชั กาลท่ี ๕ พระนามเดมิ วา่
สมเดจ็ เจา้ ฟ้าจฬุ าลงกรณ์
เปน็ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว รัชกาลที่ ๔
และสมเดจ็ พระเทพศิรินทรา บรมราชนิ ี
เสดจ็ พระราชสมภพเมื่อ
วันอังคาร ท่ี ๒๐ กนั ยายน พุทธศักราช ๒๓๙๖
ณ พระบรมมหาราชวัง
ทรงไดร้ ับการศึกษาศิลปวิทยาการทั้งปวง เฉพาะด้านรัฐศาสตร์
อนั สมควรแกข่ ัตติยราชกุมาร ราชประเพณแี ละโบราณคดี
สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ
ทรงฝกึ สอนดว้ ยพระองคเ์ อง
ด้านภาษาตา่ งประเทศ ทรงศกึ ษา เม่อื มีพระราชกจิ มากขึ้น
ภาษาองั กฤษกบั นางแอนนา เลยี วโนเวนส์ ทรงศึกษาเพมิ่ เตมิ
นายจอหน์ เอช ชนั ดเ์ ลอร์ หรือหมอจนั ดเล ด้วยพระองคเ์ อง
นายฟรานซสิ จอรจ์ แปตเตอรส์ นั จนทรงช�ำ นาญแตกฉาน
๙๓
พทุ ธศกั ราช ๒๔๐๔ ขณะพระชนมพรรษา ๙ พรรษา ทรงประกอบพระราชพธิ โี สกันต์
ทรงไดร้ บั การสถาปนาเป็น สมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ และทรงบรรพชาเป็นสามเณร
เจ้าฟ้าจฬุ าลงกรณ์ กรมหมน่ื พิฆเนศวรสุรสงั กาศ ทรงจำ�พรรษา ณ วดั บวรนิเวศวิหาร
ทรงศึกษาเล่าเรียนพทุ ธศาสนา
และทรงฝึกการแสดงพระธรรมเทศนา
เปน็ เวลา ๖ เดอื น จงึ ทรงลาสกิ ขา
จากนั้น เสดจ็ ฯ ไปประทับ พทุ ธศกั ราช ๒๔๑๐ ทรงได้รับการ
ณ พระต�ำ หนักสวนกหุ ลาบ สถาปนาพระราชอสิ ริยยศ เป็น
กรมขุนพนิ ิตประชานารถ
เพ่ือปรนนิบัติ ทรงรับหนา้ ทบ่ี ังคบั บญั ชา
สมเด็จพระบรมชนกนาถ กรมมหาดเล็ก
ทรงรับฟังพระบรมราโชวาท กรมทหารบกวงั หน้า
และ กรมพระคลัง
ในเรื่องราชการ มหาสมบตั ิ
และราชประเพณี
เตรยี มพระองค์
เป็นพระมหากษัตริย์
วนั พฤหสั บดี ที่ ๑ ตลุ าคม พุทธศักราช ๒๔๑๑
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว เสด็จสวรรคต
พระบรมวงศานุวงศ์ และเสนาบดี
ต่างพรอ้ มใจกนั กราบบงั คมทูลเชญิ
เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ
เป็นพระมหากษตั รยิ ์ รัชกาลที่ ๕
แห่งพระบรมราชจักรวี งศ์ ทรงพระนามวา่
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว
พระราชพธิ ีบรมราชาภิเษกครั้งแรกจดั ขึ้น
เมอ่ื วนั ที่ ๑๑ พฤศจกิ ายน พทุ ธศักราช ๒๔๑๑
พระชนมพรรษา ๑๕ พรรษา
๙๔
ในช่วง ๕ ปแี รกของรัชกาล ยังไมท่ รงบรรลพุ ระราชนิติภาวะ
สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี ุรยิ วงศ์ (ชว่ ง บุนนาค) จงึ รบั หน้าที่
เปน็ ผู้สำ�เร็จราชการแทนพระองค์
และสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยา
บำ�ราบปรปกั ษ์ ทรงรบั หน้าที่
กำ�กบั ดูแลราชส�ำ นกั
ทรงใช้เวลา ๕ ปีน้ีศกึ ษาศลิ ปวทิ ยาการ เสดจ็ ฯ เยือนต่างประเทศในภมู ิภาคเอเชีย
และราชการบา้ นเมืองใหร้ อบรูก้ วา้ งขวาง ท่ีอยใู่ นปกครองของอังกฤษ ไดแ้ ก่ สงิ คโปร์ พมา่
เพ่ือการบริหารราชการแผ่นดนิ ให้รุ่งเรือง และอนิ เดยี และท่อี ยใู่ นปกครองของฮอลันดา
ไดแ้ ก่ ปตั ตาเวีย เพื่อทรงศกึ ษาแบบแผน
การปกครองนำ�มาปฏิรูปบ้านเมือง
เมื่อทรงบรรลพุ ระราชนิตภิ าวะ
ทรงพระผนวชเป็นเวลา ๒ สปั ดาห์ เมอื่ ทรงลาสกิ ขาแลว้
โปรดเกล้าฯ ใหป้ ระกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกคร้ังที่ ๒
เมื่อวันท่ี ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๖
มีพระราชอำ�นาจเด็ดขาดในการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ
๙๕
ช่วงต้นรชั กาล ลัทธจิ ักรวรรดนิ ยิ มตะวนั ตก
มอี ังกฤษ และฝรง่ั เศส เปน็ นักลา่ อาณานคิ มที่เข้มแขง็
ต่างแขง่ ขันกนั แผอ่ �ำ นาจเพ่ือยดึ ครองประเทศตา่ ง ๆ
ในแถบเอเชีย
เหลา่ นกั ล่าอาณานิคมมกั อา้ ง
ความชอบธรรมในการเขา้ ยดึ ครอง
ดนิ แดนแถบนวี้ ่าเปน็ การท�ำ ให้
บ้านเมอื งเจรญิ ก้าวหน้า
อนั เป็น “ภาระของคนขาว”
ทรงเล็งเห็นถงึ ความจำ�เปน็
ในการปฏริ ูปบา้ นเมอื งใหท้ ันสมัย
ทัง้ ดา้ นการปกครอง เศรษฐกิจ
ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นสยามใหม่
พระราชกรณยี กิจดังกล่าว
เรม่ิ ข้นึ ตง้ั แตพ่ ุทธศกั ราช ๒๔๑๖
๙๖
พุทธศกั ราช ๒๔๑๗ ทรงปฏริ ปู การปกครอง
จากแบบเดิม คือจตสุ ดมภ์
มสี มุหนายก สมุหพระกลาโหม
ดูแลหวั เมอื งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้
ซง่ึ ไม่ครอบคลุมงานราชการ
โปรดใหต้ ั้งสภาท่ีปรกึ ษาราชการแผ่นดิน
และองคมนตรี เป็นการน�ำ รูปแบบ
การปกครองแบบตะวนั ตกมาใชเ้ ป็นครัง้ แรก
พทุ ธศกั ราช ๒๔๓๑ ตง้ั กรมใหม่
เพม่ิ เติม ๖ กรม รวมกบั กรมเดิม
ท่มี ีอยเู่ ปน็ ๑๒ กรม
พทุ ธศกั ราช ๒๔๓๕
โปรดให้ยกฐานะกรมเป็นกระทรวง
และปรบั ลดเหลือ ๑๐ กระทรวง ได้แก่
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม
กระทรวงนครบาล กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงพระคลังมหาสมบตั ิ กระทรวงวัง
กระทรวงเกษตราธกิ าร กระทรวงยตุ ธิ รรม
กระทรวงโยธาธิการ และกระทรวงธรรมการ
ในส่วนภมู ภิ าค มีการแก้ไขการปกครอง ระบบกินเมืองปกครองโดยท้องถ่ิน
แบบเดิมที่เรยี กว่า “ระบบกินเมือง” หรือสบื เชื้อสายจากเจา้ เมืองสืบทอดกนั
เป็น “ระบบเทศาภิบาล” เกบ็ ภาษอี ากรส่งเข้าราชการสว่ นกลาง
ตงั้ แต่พุทธศักราช ๒๔๓๕ ระบบเทศาภบิ าล คือการรวมหวั เมือง
เปน็ ตน้ มา
หลายเมอื งเปน็ มณฑล โดยส่วนกลาง
จะแตง่ ตงั้ ข้าหลวงออกไปปกครอง
๙๗
โปรดการเสด็จพระราชด�ำ เนนิ
ไปประทับพักผอ่ นพระอิรยิ าบถ
โดยไมโ่ ปรดให้มกี ารจดั การ
รับเสด็จอยา่ งเปน็ ทางการ
บางคราวทรงปลอมพระองค์
เปน็ สามัญชน
เขา้ ไปปะปนกบั ชาวบ้าน
เพือ่ ทรงสอดส่องดแู ลทกุ ขส์ ุข
ของราษฎรอย่างใกล้ชดิ
เรยี กวา่ “เสดจ็ ประพาสต้น”
พุทธศกั ราช ๒๔๑๗
ทรงประกาศ “พระราชบญั ญตั ิ
พิกัดเกษียณลูกทาสลกู ไทย”
ขณะน้ันไทยมีทาสกวา่ หนง่ึ ในสาม
ของพลเมืองในประเทศ
เหตุเพราะพ่อแมเ่ ปน็ ทาสแล้ว
ลกู ที่เกิดมาก็ตกเปน็ ทาส
ตอ่ ๆ กันเร่ือยไป
เรียกวา่ “ทาสในเรือนเบ้ยี ”
ทรงตระหนักวา่ การท่คี นช้ันสูงให้ทาสทำ�งานรับใช้หรือส่งทรัพยส์ ินใหโ้ ดยไมม่ กี �ำ หนดวนั สิน้ สดุ
เปน็ การกดขรี่ าษฎร จงึ ทรงประกาศเลกิ ทาส เปน็ พระราชกรณยี กจิ ทส่ี ำ�คญั ยิ่ง
ทรงออกประกาศ “พระราชบัญญัตเิ ลกิ ทาส ร.ศ. ๑๒๔” เม่อื วันที่ ๑ เมษายน พทุ ธศกั ราช ๒๔๔๘
ใหล้ ูกทาสทุกคนเป็นไท ยังความปตี ิยินดแี ก่บรรดาทาสท้ังหลายถว้ นทั่ว
เป็นไทแกต่ วั เสียที
๙๘
โปรดใหป้ ระกาศเลกิ ไพร่
แตเ่ ดิมมา ขนบไพร่น้ีบังคบั ให้ราษฎร
อายตุ ัง้ แต่ ๑๕ - ๑๖ ปี จนถงึ ๗๐ ปี
ตอ้ งท�ำ งานรบั ใชห้ รอื สง่ สว่ ย
ให้แก่ชนช้นั ปกครอง แบ่งออกเปน็
ไพรห่ ลวง ไพร่สม และ ไพรส่ ว่ ย
ไพรม่ กี ำ�หนดรับราชการเดือนเว้นเดือน
สมัยอยุธยา ปลี ะ ๖ เดอื น สมัยรชั กาลที่ ๑
ปลี ะ ๔ เดือน และสมยั รัชกาลที่ ๒
ลดลงมาเหลอื ๓ เดอื นต่อปี
ครัน้ ถึงรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ พทุ ธศักราช ๒๔๔๘ โปรดใหแ้ ก้ไข
เจา้ อยู่หวั โปรดงดการเกณฑแ์ รงงาน ขอ้ กฎหมายทีม่ มี าแตเ่ ดมิ ยกเลิกขนบไพร่
ให้ใชว้ ธิ ีเกณฑจ์ ้างแทน ส่วนราษฎรท่ีไมไ่ ด้รบั เกณฑ์ เปลยี่ นมาเปน็ การเกณฑ์ทหาร
ให้เสยี คา่ ราชการปีละ ๖ บาท ตราบปัจจบุ นั
การยกเลกิ ขนบไพร่เปน็ การปลดทกุ ข์ อยา่ งไรก็ดี การเสยี เงินค่าราชการ และรัชชปู การ
ของราษฎร ใหม้ คี วามผาสุกท่วั ราชอาณาจักร (ภาษรี ายหวั ) ซง่ึ ใชแ้ ทนการเกณฑแ์ รงงานน้ัน
ราษฎรท�ำ มาหากินได้เตม็ ท่ี ส่งผลใหก้ ารค้า
มาสนิ้ สุดลงเมือ่ พุทธศกั ราช ๒๔๘๒
การขายคลอ่ งตัว เศรษฐกิจเจรญิ รงุ่ เรอื ง
๙๙