ชื่อหนังสือ วรรณกรรมพื้นบ้าน : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ จัดทำ�โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำ�นวนหน้า ๑๗๖ หน้า พิมพ์ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ จำ นวน ๑,๐๐๐ เล่ม พิมพ์เมื่อ มีนาคม ๒๕๕๙ ISBN 978-616-543-376-1 จัดพิมพ์โดย สำ นักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภาพปก จิตรกรรมฝาผนังเรื่อง สุวรรณสังขชาดก (สังข์ทอง) วัดพระสิงห์จังหวัดเชียงใหม่
สาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อเนื่องมายาวนานประเทศหนึ่ง ในโลก ความรํ่ารวยและงดงามทั้งทางด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติเป็นเสน่ห์ทำ ให้ประเทศไทยเป็นที่กล่าวขาน มาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมรดกภูมิปัญญาของคนไทยที่ได้สร้างสรรค์ถ่ายทอดมารุ่นต่อรุ่น ทั้งที่จับต้องได้อันได้แก่ ผลงานด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม และที่จับต้องไม่ได้อันได้แก่ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ทักษะ ในสาขาต่าง ๆ จนสามารถผลิตผลงานชั้นเลิศที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เช่น ดนตรีการแสดง ผ้าทอ เครื่องจักสาน นิทาน ตำ รา นอกจากนี้ยังมีประเพณีกีฬา การเล่นพื้นบ้าน อาหาร การแพทย์พื้นบ้าน ภาษา ฯลฯ ที่หล่อหลอมและสร้างความเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมงดงามดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กระทรวงวัฒนธรรม จึงกำ หนดนโยบายให้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ ชาติเพื่อเป็นหลักฐานสำ คัญของชาติคงคุณค่าและอัตลักษณ์ไทย เป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลทางวิชาการ และ เป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เกิดความภาคภูมิใจ และร่วมรักษาวัฒนธรรมของตนให้คงอยู่ ในวิถีการดำ เนินชีวิตของคนไทยต่อไป รวมทั้งเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลด้านการศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำ รุงศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการนำ ทุนทางวัฒนธรรมของประเทศมาสร้างคุณค่าทางสังคมและเพิ่ม มูลค่าทางเศรษฐกิจ หนังสือมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติซึ่งรวบรวมองค์ความรู้และภูมิปัญญาดั้งเดิมตามสาขาของมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ทั้ง ๗ สาขา ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๕๒-๒๕๕๘ จึงเป็นประโยชน์ ในการศึกษา ค้นคว้า ต่อยอดความรู้ในเรื่องภูมิปัญญาของไทยแขนงต่าง ๆ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น (นายวีระ โรจน์พจนรัตน์) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ก
สาร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมมีภารกิจหนึ่งที่สำคัญคือการรักษา สืบทอด วัฒนธรรมของชาติและความหลากหลาย ของวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างมั่นคง ในการดำ เนินงานที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆ ภายใต้กระทรวงวัฒนธรรม ได้มุ่งเน้นการดำ เนินงานในลักษณะการศึกษาค้นคว้าวิจัยการอนุรักษ์การฟื้นฟูการพัฒนาการส่งเสริม การถ่ายทอด และการแลกเปลี่ยน จนประสบผลสำ เร็จในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน ส่งผลกระทบ ต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนต่างๆ อย่างรวดเร็วทั้งในด้านที่เสี่ยงต่อการสูญหาย การนำ มรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไปใช้ในทางที่บิดเบือนหรือไม่เหมาะสมและอาจเป็นเหตุให้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เหล่านั้นต้องสูญเสียซึ่งคุณค่าและอัตลักษณ์ไป เป็นต้น การดำ เนินงานขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติของกระทรวงวัฒนธรรม กรมส่งเสริม วัฒนธรรม จึงเป็นมาตรการหนึ่งที่สำคัญให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปตระหนักถึงคุณค่าและเกิดความภาคภูมิใจ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติซึ่งนอกจากจะเป็นการเก็บบันทึกองค์ความรู้ต่างๆไว้เป็นหลักฐานสำคัญของ ชาติแล้วยังต้องมีการเผยแพร่และถ่ายองค์ความรู้เหล่านี้ให้แก่เด็กและเยาวชนได้ทราบถึงสาระสำคัญอันเป็นแก่นแท้ อย่างจริงจัง รวมถึงสามารถนำ ไปพัฒนาต่อยอดอย่างสร้างสรรค์ได้อันจะเป็นหนทางหนึ่งในการปกป้องคุ้มครองให้ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมคงอยู่ต่อไปอย่างเหมาะสมกับยุคสมัย การจัดพิมพ์หนังสือชุด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติครั้งนี้ เป็นการรวมมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วติดต่อกัน เป็นเวลา ๗ ปีรวมทั้งสิ้น ๓๑๘ รายการ เพื่อเผยแพร่แก่ สถานศึกษา หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชนทั่วไป กระทรวงวัฒนธรรม จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติทั้ง ๗ เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยทุกคนในการส่งเสริมและ สืบสานมรดกวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่ต่อไป (ศาสตราจารย์อภินันท์ โปษยานนท์) ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ข
(นางพิมพ์รวี วัฒนวรางกูร) อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม คำ นิยม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ส่งเสริมและดำ เนินงาน การปกป้อง คุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับนานาชาติได้ริเริ่มการ ขึ้นทะเบียน มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๕๒ โดยเริ่มจากสาขาศิลปะการแสดงและงานช่างฝีมือ ดั้งเดิม ส่วนสาขาวรรณกรรมพื้นบ้านและสาขากีฬาภูมิปัญญาไทยเริ่มดำ เนินการขึ้นทะเบียน ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๓ สาขาแนวปฏิบัติทางสังคมพิธีกรรมและงานเทศกาลและสาขาความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล เริ่มดำ เนินการขึ้นทะเบียน ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๔ และสาขาภาษาได้ดำ เนินการขึ้นทะเบียน ตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๕๕ การจัดพิมพ์หนังสือชุด มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติครั้งนี้ เป็นการรวบรวมมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วโดยหนังสือ“วรรณกรรมพื้นบ้าน : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ของชาติ” เป็น ๑ ใน ๗ เล่มชุดหนังสือมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติในการนี้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอขอบคุณศาสตราจารย์ศิราพร ณ ถลาง ประธานกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขาวรรณกรรมพื้นบ้านและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฯ ทุกท่านที่ได้พิจารณาคัดเลือกมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อันทรงคุณค่าของไทยรวมทั้งขอขอบคุณผู้เรียบเรียงเนื้อหาสาระของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านวรรณกรรม พื้นบ้านทุกท่านที่ได้ประมวลองค์ความรู้เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ กรมส่งเสริมวัฒนธรรมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจและกระตุ้นให้เกิด ความตระหนักถึงความสำคัญและความภาคภูมิใจในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติอันจะมีผลให้เกิดการ ส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติให้ดำ รงอยู่คู่กับชาติไทยสืบไป ค
คำ นำ วรรณกรรมพื้นบ้าน: มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ เป็นหนังสือที่รวบรวมรายการวรรณกรรม พื้นบ้านที่คณะกรรมการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติสาขาวรรณกรรมพื้นบ้านได้ร่วมประชุม ปรึกษาหารือกันเพื่อคัดสรรวรรณกรรมพื้นบ้านที่เป็นเรื่องที่รู้จักแพร่หลายในระดับชาติระดับภูมิภาค หรือระดับ ท้องถิ่นที่มีความสำคัญ ดำรงอยู่และมีบทบาทในวิถีชีวิตวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นและมีการนำ มาผลิตซ้ำ ในรูปแบบ ต่างๆ ในปัจจุบัน การขึ้นทะเบียนรายการวรรณกรรมพื้นบ้านในฐานะมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติได้เริ่มดำ เนินการ มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๓ เกณฑ์หลักที่คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฯ ใช้ในการคัดสรร คือ พิจารณาวรรณกรรมพื้นบ้าน เรื่องที่รับรู้ร่วมกันในหลายภูมิภาคในประเทศไทย เช่น สังข์ทอง หรือเรื่องเด่นๆ ที่รับรู้กันอย่างแพร่หลายในแต่ละ ภูมิภาคที่มีความสำคัญในสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น พญากงพญาพาน ตาม่องล่าย ผาแดงนางไอ่ พญาคันคาก ปู่แสะย่าแสะ เจ้าหลวงคำแดง นางเลือดขาว เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นต้น อนึ่ง ในปีพ.ศ. ๒๕๕๖ คณะกรรมการฯ สาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน ได้เสนอให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมจัดพิมพ์ หนังสือรวมวรรณกรรมพื้นบ้านพื้นบ้านที่ขึ้นทะเบียนไปแล้วใน พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๖ จำ นวน ๔๓ รายการให้อยู่ใน หนังสือเล่มเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้วงวิชาการวรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณกรรมท้องถิ่น วงการคติชนวิทยา และวงการ ท้องถิ่นศึกษา รวมทั้งผู้สนใจทั่วไปได้ใช้อ้างอิงในฐานะที่เป็น “หนังสือรวมวรรณกรรมพื้นบ้านไทยคัดสรร” การจัด พิมพ์ในครั้งนั้นใช้ชื่อหนังสือว่า วรรณกรรมพื้นบ้านไทย: มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติที่ขึ้นทะเบียน พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๖ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๕๘ เมื่อกรมส่งเสริมวัฒนธรรมมีนโยบายจัดพิมพ์หนังสือที่รวบรวมมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติทั้ง ๗ สาขา จึงได้เพิ่มรายการที่ขึ้นทะเบียนวรรณกรรมพื้นบ้านใน พ.ศ. ๒๕๕๗- ๒๕๕๘ อีก ๑๕ รายการ และใช้ชื่อหนังสือว่า วรรณกรรมพื้นบ้าน: มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ นับจนถึง พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมวรรณกรรมพื้นบ้านที่ขึ้นทะเบียนแล้วจำ นวน ๕๘ รายการ แบ่งเป็น นิทาน ๑๔ เรื่อง ตำ นาน ๒๙ เรื่อง บทร้องพื้นบ้าน ๒ บท บทสวดในพิธีกรรม ๕ รายการ สำ นวนภาษิต ๑ รายการ และตำ รา ๗ เรื่อง อนึ่ง รายการวรรณกรรมพื้นบ้านไทยยังมีอีกมากที่รอการขึ้นทะเบียนในปีต่อๆ ไป เท่าที่ผ่านมา เนื่องจาก เป็นการเน้นการขึ้นทะเบียนวรรณกรรมพื้นบ้านในระดับชาติและระดับภูมิภาค มากกว่าในระดับจังหวัด ในชั้นนี้ รายการวรรณกรรมพื้นบ้านไทยเท่าที่ขึ้นทะเบียนมาแล้ว จึงยังห่างไกลจากคำว่า “ครบถ้วน” ท่านผู้สนใจคงต้องรอ ติดตามการขึ้นทะเบียนวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องอื่นๆ ในปีต่อๆ ไป ง
คณะกรรมการฯ สาขาวรรณกรรมพื้นบ้านหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะทำ ให้ผู้อ่านซึ่งเป็นคนในแต่ละท้องถิ่น ในแต่ละภูมิภาคและคนไทยในชาติภาคภูมิใจในมรดกภูมิปัญญาทางวรรณกรรมของตน อีกทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์ ในทางวิชาการสำ หรับผู้ที่สนใจศึกษาวรรณกรรมพื้นบ้านในแต่ละภูมิภาคของไทย ในนามของคณะกรรมการฯสาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน ขอขอบคุณกรมส่งเสริมวัฒนธรรมที่สนับสนุนการจัดพิมพ์ วรรณกรรมพื้นบ้าน: มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ในครั้งนี้และขอขอบคุณ “ผู้รู้” ทั้งหลายที่เป็นผู้เขียน อธิบายวรรณกรรมแต่ละเรื่อง ทั้งในแง่เค้าโครงเรื่องความแพร่หลาย บทบาทความสำคัญในบริบททางสังคมท้องถิ่น และสถานภาพการดำ รงอยู่ของวรรณกรรมเรื่องนั้นๆ ในสังคมไทยปัจจุบัน (ศาสตราจารย์ ศิราพร ณ ถลาง) ประธานกรรมการ ในนามคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน จ
สารบัญ หน้า บทนำ การขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ๑ ความหมายของวรรณกรรมพื้นบ้าน ๒ ประเภทของวรรณกรรมพื้นบ้าน ๒ เกณฑ์การขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ๒ วรรณกรรมพื้นบ้านที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญา ๓ ทางวัฒนธรรมของชาติพ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๘ (แบ่งตามประเภท) นิทานพื้นบ้าน ๔ นิทานขุนช้าง-ขุนแผน ๕ นิทานดาวลูกไก่ ๗ นิทานตาม่องล่าย ๘ นิทานท้าวปาจิต-อรพิมพ์ ๑๐ นิทานนายดัน ๑๖ นิทานปลาบู่ทอง ๑๘ นิทานปัญญาสชาดก ๑๙ นิทานพระรถ-เมรี ๒๑ นิทานพระสุธนมโนห์รา ภาคใต้ ๒๖ นิทานยายกะตา ๒๘ นิทานวันคาร ๓๐ นิทานวรวงศ์ ๓๒ นิทานศรีธนญชัย ๓๔ นิทานสังข์ทอง ๓๖ ตำ�นานพื้นบ้าน ๓๘ ตำ นานกบกินเดือน ๓๙ ตำ นานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ๔๒ ฉ
สารบัญ หน้า ตำ นานจามเทวี ๔๕ ตำ นานเจ้าแม่เขาสามมุก ๔๘ ตำ นานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๕๐ ตำ นานเจ้าแม่สองนาง ๕๒ ตำ นานเจ้าหลวงคำแดง ๕๔ ตำ นานชาละวัน ๕๖ ตำ นานนางโภควดี ๖๐ ตำ นานนางเลือดขาว ๖๒ ตำ นานปู่แสะย่าแสะ ๖๔ ตำ นานผาแดงนางไอ่ ๖๗ ตำ นานพญากงพญาพาน ๖๘ ตำ นานพญาคันคาก ๗๑ ตำ นานพระแก้วมรกต ๗๓ ตำ นานพระเจ้าเลียบโลก ๗๕ ตำ นานพระเจ้าห้าพระองค์ ๗๗ ตำ นานพระธาตุดอยตุง ๗๙ ตำ นานพระธาตุประจำ ปีเกิดล้านนา ๘๑ ตำ นานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ๘๗ ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้า ๘๘ ตำ นานพระพุทธสิหิงค์ ๙๕ ตำ นานพระร่วง ๙๖ ตำ นานพันท้ายนรสิงห์ ๙๘ ตำ นานแม่นากพระโขนง ๑๐๑ ตำ นานสงกรานต์ ๑๐๓ ตำ นานสร้างโลกภาคใต้ ๑๐๙ ตำ นานหลวงปู่ทวด ๑๑๒ ตำ นานอุรังคธาตุ ๑๑๕ ช
สารบัญ หน้า บทร้องพื้นบ้าน ๑๑๘ กาพย์เซิ้งบั้งไฟ ๑๑๙ เพลงแห่นางแมว ๑๒๒ บทสวดหรือบทกล่าวในพิธีกรรม ๑๒๖ บททำขวัญข้าว ๑๒๗ บททำขวัญควาย ๑๒๙ บททำขวัญช้าง ๑๓๐ บททำขวัญนาค ๑๓๒ บทเวนทาน ๑๓๔ สำ�นวนภาษิต ๑๓๗ ผญาอีสาน ๑๓๘ ตำ�รา ๑๔๐ ตำ ราพรหมชาติ ๑๔๑ ตำ ราพิชัยสงคราม ๑๔๔ ตำ รานรลักษณ์ ๑๔๙ ตำ ราแมวไทย ๑๕๒ ตำ ราเลขยันต์ ๑๕๗ ตำ ราศาสตรา ๑๕๘ ปักขะทึนล้านนา ๑๖๑ รายการมรดกวรรณกรรมพื้นบ้านของชาติ ๑๖๓ (แยกตามปีที่ขึ้นทะเบียน) คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ๑๖๕ สาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน คณะทำ งาน ๑๖๖ ซ
1 บทนำ การขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นสมบัติอันลํ้าค่าที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์สั่งสม และสืบทอดมาถึงลูกหลาน รุ่นต่อรุ่น มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม หมายถึงการปฏิบัติการเป็นตัวแทน การแสดงออกความรู้ทักษะตลอดจน เครื่องมือ วัตถุสิ่งประดิษฐ์และพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งชุมชน กลุ่มชน และในบางกรณี ปัจเจกบุคคลยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของตน มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมซึ่งถ่ายทอดจาก คนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งนี้เป็นสิ่งซึ่งชุมชนและกลุ่มชนสร้างขึ้นใหม่อย่างสมํ่าเสมอ เพื่อตอบสนองต่อสภาพ แวดล้อมของตน เป็นปฏิสัมพันธ์ที่กลุ่มชนมีต่อธรรมชาติสังคม และประวัติศาสตร์ของตน และทำ ให้กลุ่มชนเกิด ความรู้สึก สำ นึกในอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตน การประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเป็นหนทางหนึ่งในการปกป้องคุ้มครองเพื่อ ไม่ให้เกิดการสูญเสียอัตลักษณ์และสูญเสียภูมิปัญญาที่เป็นองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญของประเทศชาติ และยังเป็นหนทางหนึ่งในการประกาศความเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมต่างๆในขณะที่ยังไม่มีมาตรการ ทางกฎหมายที่จะคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติทั้งนี้วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็น ๑ ใน ๗ สาขาของ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ
2 ความหมายของวรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณกรรมพื้นบ้าน หมายถึง วรรณกรรมที่ถ่ายทอดอยู่ในวิถีชีวิตชาวบ้าน โดยครอบคลุมทั้งวรรณกรรมที่ ถ่ายทอดโดยวิธีการบอกเล่า และที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ประเภทของวรรณกรรมพื้นบ้าน ๑. นิทานพื้นบ้าน หมายถึง เรื่องเล่าพื้นบ้านที่เล่าสืบทอดต่อๆกันมาเช่น นิทานจักรๆวงศ์ๆ นิทานประจำถิ่น นิทานคตินิทานอธิบายเหตุ นิทานเรื่องสัตว์นิทานเรื่องผีนิทานมุขตลก นิทานเรื่องโม้นิทานเข้าแบบ ๒. ตำ�นานพื้นบ้าน หมายถึง เรื่องเล่าที่มีความสัมพันธ์กับความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์พิธีกรรม และประวัติศาสตร์ ศาสนาในท้องถิ่น ๓. บทสวดหรือบทกล่าวในพิธีกรรม หมายถึงคำสวดที่ใช้ประกอบในพิธีกรรมต่างๆเช่น บททำขวัญ คำ บูชา คำสมาคำ เวนทาน บทสวดสรภัญญ์คาถาบทอานิสงส์บทประกอบการรักษาโรคพื้นบ้าน คำ ให้พรคำอธิษฐาน ฯลฯ ๔. บทร้องพื้นบ้าน หมายถึง คำ ร้องที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาในโอกาสต่างๆ เช่น บทกล่อมเด็ก บทร้องเล่น บทเกี้ยวพาราสีบทจ๊อย คำ เซิ้ง ฯลฯ ๕. สำ�นวน ภาษิต หมายถึง คำ พูดหรือคำกล่าวที่สืบทอดกันมา มักมีสัมผัสคล้องจองกัน เช่น โวหาร คำคม คำ พังเพย คำอุปมาอุปไมย คำขวัญ คติพจน์คำสบถสาบาน คำสาปแช่ง คำชม คำคะนอง ฯลฯ ๖. ปริศนาคำ�ทาย หมายถึง คำ หรือข้อความที่ตั้งเป็นคำถาม คำตอบ ที่สืบทอดกันมา เพื่อให้ผู้ตอบได้ทาย หรือตอบปัญหา เช่น คำ ทาย ปัญหาเชาวน์ผะหมีฯลฯ ๗. ตำ�รา หมายถึงองค์ความรู้ที่มีการเขียนบันทึกในเอกสารโบราณ เช่น ตำราโหราศาสตร์ตำราดูลักษณะคน และสัตว์ตำ รายา ฯลฯ เกณฑ์การขึ้นทะเบียนวรรณกรรมพื้นบ้านในฐานะมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของชาติ ๑. เป็นเรื่องที่รู้จักแพร่หลายในระดับชาติภูมิภาค หรือ ท้องถิ่น ๒. เป็นเรื่องที่สะท้อนอัตลักษณ์ของภูมิภาคหรือท้องถิ่น ๓. เป็นเรื่องที่เป็นแกนยึดโยงและสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างท้องถิ่นต่าง ๆ ๔. เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเร่งด่วนเสี่ยงต่อการสูญหายหรือกำลังเผชิญกับภัยคุกคาม ๕. คุณสมบัติอื่น ๆ ที่คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่าเหมาะสมต่อการขึ้นทะเบียน
3 วรรณกรรมพื้นบ้าน: มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ (แบ่งตามประเภท)
4 นิทานพื้นบ้าน
5 นิทานขุนช้าง-ขุนแผน เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา ขุนช้าง-ขุนแผน เป็นนิทานชีวิตรักสามเส้า ที่ชาวกรุงศรีอยุธยานำ มาเล่าขานในรูปของลำ นำ ปากเปล่าประกอบ การขยับกรับที่เรียกว่า “การขับเสภา” มาตั้งแต่สมัยต้นอยุธยา นักขับเสภาจะร้องเฉพาะตอนสำคัญๆ ไม่บันทึกเป็น ลายลักษณ์เพิ่งจะมารวบรวมเรียบเรียงเป็นเรื่องเดียวกันในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์และได้ตีพิมพ์ขึ้น ครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ปีพ.ศ. ๒๔๑๕ โดยโรงพิมพ์หมอสมิท ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๖๐ จึงได้มีการชำ ระต้นฉบับของหลวงและของชาวบ้านจัดพิมพ์ขึ้นเป็นฉบับหอสมุดวชิรญาณซึ่งเป็นต้นแบบของเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผนที่รู้จักกันทั่วไป นิทาน ขุนช้าง-ขุนแผน เป็นเรื่องรักสามเส้าของหนุ่มสาวสองรุ่น รุ่นพ่อ และรุ่นลูก โครงเรื่องรุ่นพ่อเป็นเรื่อง ของชายสองแย่งหญิงหนึ่ง คือเรื่องชิงรักหักสวาทของขุนแผน ขุนช้าง และนางพิมพิลาไลย ชาวบ้านสุพรรณบุรี ส่วนโครงเรื่องรุ่นลูกเป็นเรื่องของหญิงสองแย่งชายหนึ่งคือเรื่องหึงหวงระหว่างเมียน้อยเมียหลวงของ พระไวยวรนาถ ขุนนางหนุ่มชาวกรุงศรีอยุธยาจนถึงขั้นนางสร้อยฟ้าเมียน้อยทำ เสน่ห์เพื่อให้สามีรักตนเพียงคนเดียว โครงเรื่องของนิทานเรื่องนี้มีลักษณะเด่นคือ ความคล้ายคลึงกับเพลงพื้นบ้านประเภทเพลงโต้ตอบของ หนุ่มสาว โครงเรื่องแบบชายสองแย่งหญิงหนึ่งตรงกับ กลอนตับ ชิงชู้ และโครงเรื่องแบบเมียน้อยเมียหลวงตรงกับ กลอนตับตีหมากผัว ของเพลงพื้นบ้าน โครงเรื่องดังกล่าวเป็นแบบที่ชาวบ้านนิยมมาก ดังพบในละครชาวบ้านหลาย เรื่อง นอกจากนี้นิทานเรื่องนี้ยังมีครบทุกรสชาติทั้งรักรบ ตลกเศร้าโศก บุคลิกของตัวละครหลายตัวในเรื่องมีความ โดดเด่น ขุนแผนเป็นผู้ชายในฝันของสาวไทย คือเป็นชายชาตรีรูปงาม วาจาอ่อนหวาน เก่งทั้งวิชาอาวุธและวิชา ไสยศาสตร์และเป็นแบบอย่างของนักรบผู้ภักดีต่อเจ้านาย ขุนช้าง เป็นแบบของชายที่สังคมไม่ชื่นชอบ นอกจาก จะมีรูปอัปลักษณ์ หัวล้าน อกขน ยังมีกิริยามารยาททราม ใจคอโหดเหี้ยมและเป็นตัวแทนของเพื่อนที่ทรยศเพื่อน
6 นางวันทอง หรือพิมพิลาไลยเป็นแบบของหญิงไทยที่ไม่สามารถกำ หนด ชะตาชีวิตด้วยตัวเอง การตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้อื่น นิทาน ขุนช้างขุนแผน ยังเป็นเรื่องตัวอย่างแสดงวิถีชีวิตของ ลูกผู้ชายไทยในอดีต ตั้งแต่เด็กจนโต เริ่มต้นตั้งแต่การศึกษาเล่าเรียน การแสวงหาเครื่องรางของขลัง การแสวงหาของวิเศษเพื่อนำ มาเป็น อาวุธคู่กาย จนเข้ารับราชการ ทำศึกสงคราม ได้รับความดีความชอบ ตลอดจนถึงต้องโทษจำคุก ชีวิตของขุนแผนจับใจคนไทย จนนำ ไปตั้ง เป็นชื่อพระพุทธรูป เช่น ที่วัดพลายชุมพลสุพรรณบุรีเรียกพระพุทธรูป ปางไสยาสน์ที่นั่นว่าเณรแก้ว ที่วัดพระรูป สุพรรณบุรีเรียกพระเครื่อง ดินเผา บางรุ่นว่า พระขุนแผนไข่ผ่า ขุนแผนแตงกวา เป็นต้น นิทาน ขุนช้างขุนแผน มีความสัมพันธ์กับ วิถีชีวิตของคนไทย ภาคกลางมาโดยตลอดเพราะเกี่ยวข้องกับการแสดงหลายประเภท ตั้งแต่แรกเริ่มในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ใช้เล่าเรื่องประกอบทำ นองเรียกว่า ขับเสภา ต่อมานำ ปี่พาทย์เข้ามารับ ทำ ให้เกิดขับเสภาพร้อมปี่พาทย์ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ชนชั้นสูงนำละครรำ มาผสมจนเกิด เสภารำ ละครเสภา ละครพันทาง ส่วนชาวบ้านนำ เพลงพื้นบ้านมาผสมจนเกิดเพลงทรง เครื่อง และนิยมนำ ไปแสดงลิเก ปัจจุบัน นิทาน ขุนช้างขุนแผน ได้ถูกนำ ไป สร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ไทยหลาย ครั้งหลายหน เช่น เรื่อง ขุนแผนผจญภัย นอกจากนี้ ก็นำ ไปสร้างเป็นหนังสือการ์ตูน หนังสือนิทาน และ นำ บางตอน เช่น ตอนกำ เนิดพลายงาม เป็นแบบเรียน ในหลักสูตรวิชาภาษาไทยการศึกษาขั้นพื้นฐานของ กระทรวงศึกษาธิการด้วย นับเป็นเรื่องหนึ่งที่คนไทย ทุกภาครู้จักดี นิทานขุนช้าง-ขุนแผน ได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปี พุทธศักราช ๒๕๕๓
7 นิทานดาวลูกไก่ เรียบเรียงโดย วัฒนะ บุญจับ นิทาน ดาวลูกไก่ เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านที่ใช้เป็นนิทานอธิบายเหตุที่มาของชื่อดาวลูกไก่และจำ นวนดาวลูกไก่ ที่มี๗ ดวง ตำ นานดาวลูกไก่ เป็นเรื่องเล่าที่สอนเรื่องของความกตัญญูเพราะเนื้อหาเป็นเรื่องของแม่ไก่กับลูก ๗ ตัว ที่เสียสละชีวิตโดยการกระโดดเข้ากองไฟเพื่อให้ตายายผู้เลี้ยงดูแม่ไก่และลูกไก่มาได้นำ ไปทำอาหารถวายพระธุดงค์ ด้วยกุศลกรรมนี้จึงทำ ให้วิญญาณของแม่ไก่และลูกไก่ไปเกิดเป็นกลุ่มดาวฤกษ์๗ ดวง ชื่อ “กัตติกา” บนท้องฟ้า นิทาน ดาวลูกไก่ เป็นเรื่องที่นิยมเล่ากันอย่างแพร่หลายในภาคกลาง ภาคเหนือและภาคอีสาน ปัจจัยที่ทำ ให้ การแพร่กระจายของนิทานเรื่องดาวลูกไก่เป็นที่รู้จักกันโดยกว้างขวางและสืบทอดมาถึงปัจจุบัน คือการนำสาระจาก นิทานมาประพันธ์เป็นเนื้อเพลง ในภาคเหนือช่างซอนิยมขับ ค่าวซอเรื่องดาววีไก่น้อยในงานชุมนุมหรืองานฉลองงานประเพณีรวมทั้งงานบุญ ต่างๆ หรือขับร้องเพื่อสอนลูกหลานให้ประพฤติดีไม่ทำชั่ว สอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพลงแหล่ดาวลูกไก่ ของ พร ภิรมย์ เป็นเพลงที่ทำ ให้ตำ นานดาวลูกไก่แพร่หลายไปสู่ วงกว้าง น่าสงสารแม่ไก่ นํ้าตาไหลสอนลูก เช้าก็ถูกตาเชือด ต้องหลั่งเลือดนองเล้า ส่วนลูกไก่ทั้งเจ็ด เหมือนถูกเด็ดดวงใจ พากันโดดเข้ากองไฟ ตายตามแม่ไก่ดังกล่าว ด้วยอานิสงส์ใจประเสริฐ ลูกไก่ไปเกิดเป็นดาว นิทานดาวลูกไก่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓
8 นิทานตาม่องล่าย เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์กัญญรัตน์ เวชชศาสตร์ นิทานพื้นบ้านเรื่อง ตาม่องล่าย เป็นเรื่องราวรักสามเส้า โศกนาฏกรรมระหว่างชาย ๒ กับหญิง ๑ คือ เจ้าลาย พระเจ้ากรุงจีน และนางยมโดย ซึ่งชายทั้งสองต่างหลงรักหญิงสาวคนเดียวกัน โดยมี ปมปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำของบิดา คือ ตาม่องล่าย และมารดา คือ นางรำ พึงซึ่งต่างก็ตกปากรับคำชายหนุ่มทั้งสองไว้ว่าจะยกลูกสาวให้ โดยที่มิได้บอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้และเป็นเหตุบังเอิญที่ต่างก็กำ หนด วันแต่งงานในวันเดียวกัน ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น กล่าวคือ ฝ่ายบิดา แก้ปัญหาด้วยการฉีกลูกสาวออกเป็น ๒ ซีกเพื่อแบ่งให้แก่ชายหนุ่มทั้งสอง จึงเป็นเหตุให้นางเสียชีวิต หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำ ให้ส่งผลหรือเป็น สาเหตุให้ตัวละครทุกตัวถึงแก่ชีวิตเช่นกัน นิทานเรื่องนี้ใช้อธิบายที่มาของ การเกิดภูมิลักษณ์ต่างๆ เช่น เกาะ หาดทราย คุ้งอ่าว และภูเขา รวมถึง สิ่งต่างๆ ในบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน ตาม่องล่าย เป็นนิทานที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ของคนในท้องถิ่นแถบบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบนทั้งทางฝั่ง ตะวันตกในเขตจังหวัดเพชรบุรีประจวบคีรีขันธ์และชุมพร และทางฝั่ง ทะเลตะวันออกในเขตจังหวัดตราด จันทบุรีระยอง และชลบุรีนิทาน
9 เรื่องนี้มีเนื้อหาที่อธิบายภูมิศาสตร์ของท้องถิ่นและอธิบายภูมินามต่างๆ ในจังหวัดต่างๆ บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย เช่น เขาล้อมหมวก เขาช่องกระจกที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เกาะทะลุ เขาแม่รำ พึง ที่อำ เภอบางสะพาน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์เกาะกระบุง จังหวัดตราด เป็นต้น นิทานเรื่องนี้ยังได้เคยนำ มาสร้างสรรค์ในรูปแบบของละครพันทาง เรื่อง “ตาม่องล่าย” ซึ่งจัดแสดง เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ประจำ ปีพ.ศ. ๒๕๕๑ ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ชื่อของตัวละครก็ยังได้ มีการนำ มาใช้เป็น ชื่อสถานที่ต่างๆ เช่น ตาม่องล่ายรีสอร์ท จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้มีผู้สร้างสรรค์ให้ ปรากฏในรูปแบบของเพลง ชื่อว่า เพลง “ตาม่องล่าย” เพื่อใช้ประกอบละคร จักรๆ วงศ์ๆ เรื่อง “ตาม่องล่า ย” เพลงดังกล่าว ศาสตราจารย์ดร. อุทิศ นาคสวัสดิ์ เป็นผู้ประพันธ์คำ ร้อง และคุณครูจำ เนียร ศรีไทยพันธ์ เป็นผู้ประพันธ์ทำ นอง นอกจากนี้ยังปรากฏว่าได้มีการจัดพิมพ์วรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องนี้เป็นภาษาต่างประเทศ ๗ ภาษาได้แก่ ภาษา อังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน และภาษาอิตาเลียน รวมทั้งพิมพ์วรรณกรรม ดังกล่าวสำ นวนที่เป็นภาษาไทยไว้ด้วยโดยกองทุนหม่อมราชวงศ์อายุมงคล โสณกุล ได้พิมพ์ไว้ในหนังสือตาม่องล่าย นิทานพื้นบ้านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์โดยมีภาพประกอบทั้งที่เป็นภาพการ์ตูนเรื่อง “ตาม่องล่าย” ฝีมือของประยูร จรรยาวงษ์ซึ่งเล่าเรื่องราวเป็น คำ ประพันธ์ร้อยกรอง และมีภาพถ่ายเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ที่เล่าไว้ในวรรณกรรม พื้นบ้านเรื่องนี้ด้วย นิทานตาม่องล่ายได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕
10 นิทานท้าวปาจิต-อรพิมพ์ เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา พระปาจิต-นางอรพิมพ์หรือ นางอรพิมพ์-ท้าวปาจิตเป็นนิทานท้องถิ่นขนาดยาวที่เกี่ยวเนื่องกับโบราณ สถานปราสาทหิน ชื่อบ้านนามเมือง และสถานที่ต่างๆ ในลุ่มแม่นํ้ามูลแถบจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดบุรีรัมย์ นิยมเล่ากันในกลุ่มคนไทยโคราชและกลุ่มคนไทย-เขมร นิทานเรื่องนี้มีเนื้อหาว่าด้วยเรื่องของคู่รักที่ต้องพลัดพรากจากกัน นางอรพิมพ์เป็นชาวลุ่มนํ้ามูลแถบเมืองพิมาย ส่วนพระปาจิตมาจากเมืองเขมรนครธม ยกทัพขึ้นมาแย่งชิงนางอรพิมพ์คนรักคืนจากพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมืองพิมาย ต่างฝ่ายต่างต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ กว่าจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งดังมีเรื่องย่อดังนี้ พระปาจิตเป็นโอรสกษัตริย์เมืองอินทปัตถ์ บิดาได้ประกาศหาหญิงมาให้เลือกคู่แต่พระองค์ไม่ถูกใจ ผู้ใดเลย จึงออกเดินทางไปเสี่ยงบุญตามหาเนื้อคู่ตามคำ โหรที่ทำ นายว่าเนื้อคู่อยู่ทางทิศบูรพาแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา โดยให้ ข้อสังเกตว่ามารดาของนางขณะทำ นาจะมีพระอาทิตย์ทรงกลดอยู่เหนือศีรษะบังเป็นเงาไม่ให้ถูกแดด ขณะเดินทางจากเมืองอินทปัตถ์นครธม มาเลียบเขาพนมรุ้งเข้าเขตพิมาย พระปาจิตก็เปิดตำราหาทิศทางตาม คำ โหรทำ นาย สถานที่ตรงนั้นเลยเรียกว่า บ้านจารตำ รา เมื่อรู้ว่าเดินหลงทางจึงเปลี่ยนเส้นทางเป็นเลียบถนนไป บ้านนั้นจึงเรียกว่า บ้านถนน อยู่ในเส้นทางโบราณเรียกกันว่า ถนนปาจิต ได้พบหนองใหญ่มีต้นสนุ่นอยู่ในหนอง ปัจจุบัน คือ บ้านสนุ่น ต่อมาพบท่านํ้ากว้างใหญ่ เรียกว่า ท่าหลวง จึงรู้ว่ามาผิดทิศ จึงเรียกว่า บ้านท่าลวง เดินอ้อมไปอีกทางหนึ่งผ่านทุ่งสำริด(ในจังหวัดนครราชสีมา)จึงพบหญิงลักษณะดังกล่าว บางสำ นวนให้ชื่อว่ายายบัว พระปาจิตได้ขออยู่รับใช้นาง จนนางคลอดลูกสาวหน้าตาสวยงามให้ชื่อว่านางอรพิมพ์ พระปาจิตอยู่ดูแลรับใช้ จนนางอรพิมพ์เป็นสาวอายุ๑๕ ปีจึงได้สู่ขอนาง บางสำ นวนเล่าว่าสองคนได้แต่งงานตามประเพณีเป็นสามีภรรยากัน แล้ว บางสำ นวนก็ว่าพระปาจิตขอลากลับบ้านเมืองก่อนเพื่อเตรียมตัวมาสู่ขอตามประเพณี
11 ในระหว่างนั้นนางอรพิมพ์เศร้าโศกเสียใจมาก นางกับเพื่อนจึงออกไปเที่ยว ทำ ให้ไปพบกับทหารของพระเจ้า พรหมทัตเจ้าเมือง พาราณสีซึ่งต่อมาได้สั่งให้ทหารไปนำ นางมาถวาย บางสำ นวนก็ว่า ท้าวพรหมทัตใช้ทหารไปฉุดคร่ามา นางอรพิมพ์จึงได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่าหากท้าวพรหมทัตแตะต้องตัวนาง ขอให้กายนางร้อนเหมือนไฟ และได้ขอร้อง ให้รอพี่ชายนางกลับมาก่อนจึงจะยอมเป็นชายา ท้าวพรหมทัตจึงขังนางไว้ในปราสาทหินซึ่งก็คือ ปราสาทหินพิมาย ในปัจจุบัน ฝ่ายพระปาจิตได้ยกขบวนขันหมากมาสู่ขอนางอรพิมพ์ ขณะเดินทางมาถึงลำ นํ้าแห่งหนึ่งก็ได้ข่าวว่า นางอรพิมพ์ถูกชิงตัวไป บางสำ นวนเล่าว่ามาพบชายตัดไม้สองคน ด้วยความเสียใจจึงเทข้าวของเครื่องใช้ที่เตรียม มาเป็นสินสอดลงสู่ลำ นํ้านั้น เช่น ถีบขันหมากลงนํ้าทำ ให้เงินทองจมอยู่ในลำ นํ้านั้น จึงเรียกว่า ลำ มาศ หรือ ลำ ปลายมาศ (ปัจจุบันคือ ลำ นํ้าที่มาจากเทือกเขามะจ่า อำ เภอครบุรีไหลผ่านอำ เภอลำ ปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์) ขว้างเป็ดทองของหมั้นทิ้งทำ ให้สถานที่ตรงนั้นกลายเป็นถํ้า เรียกว่า ถํ้าเป็ดทอง ทุบถ้วยโถโอชามทิ้งที่ บ้านเสราะ แบกจาน (บ้านจานแตก) รถที่นำ มาด้วยก็ทำลายทิ้งเหลือแต่กง จึงเรียกว่าบ้านกงรถ (ตำ บลงิ้ว ปัจจุบันขึ้นอยู่กับ อำ เภอห้วยแถลง) แล้วสั่งให้ขบวนขันหมากกลับไปบ้านเมือง ส่วนพระองค์ปลอมตัวลอบเข้าไปเมืองพาราณสีของ ท้าวพรหมทัต ขณะที่แอบลอบเข้ามาในปราสาท นางอรพิมพ์แลเห็นท้าวปาจิต ด้วยความดีใจจึงร้องว่า “พี่มา” จึงเป็นที่มาของชื่อ พิมาย พระปาจิตได้สวมรอยเป็นพี่ชายนางอรพิมพ์ ท้าวพรหมทัตดีใจก็จัดงานเลี้ยงให้ปาจิต จึงออกอุบายให้นางอรพิมมอมเหล้าจนพรหมทัตเมามายแล้วฆ่าเสียลอบอุ้มนางหนีออกจากจากปราสาททางทิศอีสาน ที่มา : ภาพวาด โดย สกนธ์ แพทยกุล จากวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๘ ที่มา : จากวารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๔๑ ฉบับที่ ๒ เมษายน - มิถุนายน ๒๕๕๘
12 บางสำ นวนเล่าว่าพระปาจิตได้ยกทัพบุกเข้าเมืองพิมายเพื่อชิงนางคืน ขณะนั้นท้าวพรหมทัตกำลังปลุกปลํ้า นางอยู่พลันเมื่อเห็นพระปาจิต นางก็ร้องเรียกด้วยความดีใจ ท้าวพรหมทัตนึกว่านางจะกระโดดหนีจึงผวาเข้าคว้าเอวนาง แต่พลาดร่างของท้าวพรหมทัตลอยตกออกจากปราสาทกระแทกพื้นหินเสียชีวิตทันทีพระปาจิตจึงได้ขึ้น ครองราชย์ แทนและตั้งชื่อเมืองว่า เมืองปราสาทหินพีมาย เมื่อพระปาจิตอุ้มนางไปสักพักก็วางนางลงปล่อยให้นางเดิน สถานที่ตรงนั้นจึงเรียกว่า บ้านนางเดิน ต่อมา เพี้ยนเป็น นางเหริญ เดินทางเข้าเขตเมืองบุรีรัมย์นางดีใจจึงเดินไปรำ ไป ตรงนั้นจึงเรียกว่า บ้านนางรำ ต่อมาเพี้ยน เป็น บุรีรัมย์ทั้งสองคนเดินเท่าไรก็ยังไม่ถึงนครธม นางเหนื่อยจนร้องไห้จึงเรียกว่า บ้านนางรอง พระปาจิตและนางอรพิมพ์รอนแรมมาในป่าขณะที่หยุดพักเหนื่อยที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ นายพรานนกเอี้ยงมาพบเข้า เห็นนางสวยจึงอยากได้นาง ได้ใช้หน้าไม้ยิงพระปาจิตจนตายแล้วอุ้มนางขี่ควายหนีไป ระหว่างนั้น นางได้ใช้อุบายขอ ไปนั่งด้านหลังเพื่อชมนกชมไม้เมื่อนายพรานเผลอ นางได้ใช้มีดแทงนายพรานตายแล้วกลับไปที่ศพ ของพระปาจิต พระอินทร์เห็นนางเศร้าโศกมากจึงปลอมตัวเป็นงูกับพังพอนต่อสู้กัน เมื่อฝ่ายหนึ่งตายอีกฝ่ายหนึ่งก็จะไปกัด เปลือกไม้มาพ่น ทำ ให้ฟื้นคืนชีพได้นางจึงทำตามบ้างจนพระปาจิตฟื้นขี้นมาจึงได้ออกเดินทางต่อไป เมื่อมาถึงลำ นํ้า แห่งหนึ่ง ทั้งคู่ไม่รู้ว่าจะข้ามนํ้าไปได้อย่างไร ขณะนั้นมีเณรพายเรือผ่านมา บางสำ นวนเรียกว่า เถรเรือลอย คือ เณรโค่งที่พายเรือบิณฑบาตทางนํ้า พระปาจิตจึงเรียกให้มาช่วยรับข้ามฟากฝ่ายเณรเห็นนางงามก็อยากได้นางไว้เอง บางสำ นวนว่าคิดจะนำ ไปให้พี่ชาย จึงบอกว่าเรือนั้นนั่งได้เพียงสองคน ต้องรับไปส่งทีละคน เมื่อนางลงนั่ง ในเรือ เณรก็รีบพายเรือพานางหนีไป แต่นางอรพิมพ์เป็นหญิงเจ้าปัญญา เมื่อเห็นต้นมะเดื่อมีผลดกงามริมตลิ่ง นางจึงคิดอุบายว่า นางอยากกิน มะเดื่อเณรจึงจอดเรือแล้วปีนขึ้นไปเก็บให้ปรากฏว่าเณรขึ้นไปแล้วลงไม่ได้เพราะนางรีบเอาหนามมาสะไว้รอบโคนต้น เณรเลยตายอยู่บนต้นมะเดื่อ ก่อนตายได้สาปว่า ตั้งแต่นี้ไปขอให้มีแมลงหวี่เกิดในลูกมะเดื่อ และให้ไปตอมที่อวัยวะ สืบพันธุ์ของผู้หญิงตั้งแต่นั้นมาแมลงหวี่จึงชอบตอมผลมะเดื่อ นางพายเรือกลับมาหาพระปาจิตแต่ไม่พบ จึงพายเรือ ต่อไปจนถึงเมืองครุฑราชได้เข้าไปพักในศาลาโรงทานของเศรษฐีซึ่งมีข้าวของตั้งอยู่มากมาย รวมทั้งมีโลงศพด้วย นางได้ใช้ยาวิเศษชุบชีวิตหญิงสาวในโลงซึ่งเป็นธิดาของเศรษฐีชื่อนางปทุมเกษร นางปทุมเกษรได้ขอเป็นทาสรับใช้ และติดตามนางไปด้วย บางสำ นวนข้ามเรื่องนางปทุมเกษรไปโดยให้นางอรพิมพ์เดินทางไปคนเดียว เพื่อความปลอดภัยในการ เดินทางนางได้อธิษฐานขอให้ร่างกายเปลี่ยนเป็นชายโดยฝากโยนีไว้ที่ต้นสำ โรง บ้างก็ว่านางเหวี่ยงเข้าไปในป่าไปเกิดเป็น ต้นโยนีปีศาจ (ชาวบ้านเรียกว่าต้นหีผี)ฝากนมไว้กับต้นนมนาง บ้างก็ว่าฝากไว้ที่ต้นหนามงิ้วฝากแก้มไว้ที่ต้นแก้มอ้ม ฝากผมไว้กับต้นช้องนาง บ้างก็ว่าเป็นกล้วยไม้หนวดฤๅษี หรือกล้วยไม้ผมผีพราย ฝากขาไว้ที่ต้นขานางก่อนจะเดิน ทางไปถึงเมืองพาราณสี
13 ขณะนั้นเจ้าเมืองกำลังป่าวประกาศหาผู้วิเศษมาชุบชีวิตพระธิดาซึ่งเพิ่งถูกงูกัดโดยประกาศว่าใครรักษาหายจะ แบ่งเมืองให้ครองครึ่งหนึ่งและจะยกพระธิดาให้อรพิมพ์หนุ่มสามารถรักษานางได้แต่บ่ายเบี่ยงไม่รับพระธิดาแต่กลับ ขอบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาจนได้เป็นพระสังฆราชแห่งนครพาราณสีได้สร้างศาลาโรงทานและเขียนภาพเล่า เรื่องชีวิตของตนกับพระปาจิต โดยสั่งทหารให้เฝ้าดูว่าหากมีนักเดินทางมาเห็นภาพแล้วร้องไห้ให้ตามนางไปพบ ในที่สุดพระปาจิตก็เดินทางมาพักที่ศาลาโรงทานดังที่นางหวัง ทั้งสองได้พบกัน ต่างก็เล่าเรื่องให้ฟังและเมื่อทั้ง คู่ยังคงมีความรักต่อกัน นางได้อธิษฐานคืนร่างเป็นหญิงและลาเจ้าเมืองพาราณสีกลับไปเมืองอินทปัตถ์กับพระปาจิต นิทานเรื่อง พระปาจิต-นางอรพิมพ์ ได้มีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ใน ปัญญาสชาดก เมื่อต้น พุทธศตวรรษที่ ๒๐ โดยพระภิกษุล้านนาได้รวบรวมนิทานชาดกและนิทานพื้นบ้านที่แพร่หลายในท้องถิ่นแต่งขึ้นใหม่ เป็นภาษาบาลีให้ชื่อว่า ปาจิตตกุมารชาดกเรื่องนี้มิใช่ชาดกที่มาจากอรรถกถาชาดกหากมาจากนิทานพื้นเมือง ที่แต่ง เติมให้ตัวเอกกลายเป็นพระโพธิสัตว์แต่บทบาทสำคัญอยู่ที่นางเอกดังในต้นเรื่องกล่าวถึงสาเหตุที่มาว่า เหล่าพระภิกษุ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพระนางพิมพาเมื่อบรรพชาแล้วสวยกว่าก่อนอยู่ในเพศสมณะ พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า ในอดีต ชาติพระนางพิมพาก็เป็นเช่นนี้แล้วจึงเล่าเรื่องในชาติที่นางไปเกิดเป็นนางอรพิมพ์ต่อมาแปลงเพศเป็นชายใช้ชื่อของ สามีว่าปาจิตตกุมาร นางได้เป็นสังฆราชาในเมืองจัมปากนคร ได้โน้มน้าวให้ปาจิตตกุมารผนวชเป็นภิกษุในพระพุทธ ศาสนาหากอยากได้พบนางอรพิมพ์อีกครั้งหนึ่งให้ฟัง โครงเรื่องและเนื้อเรื่องส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน ต่างกันที่รายละเอียดเช่น ในสำ นวนลายลักษณ์นางเป็นหญิงเจ้า อุบายสังหารคู่ศัตรูด้วยตนเอง ในนิทานท้องถิ่นนางเป็นที่มาของชื่อพืชพรรณไม้ต่างๆและโบราณสถานในเขตจังหวัด นครราชสีมาส่วนพระปาจิตก็เป็นที่มาของชื่อบ้านนามเมืองต่างๆในเขตจังหวัดบุรีรัมย์โดยเฉพาะที่ปราสาทหินพิมาย อำ เภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เป็นสถานที่ที่ผูกพันอยู่กับนิทานเรื่องนี้ ปราสาทหินพิมาย สร้างเมื่อราวพุทธ ศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ เนื่องในพุทธศาสนามหายานและฮินดูปะปนกัน มีผู้คนอยู่อาศัยต่อเนื่อง กันมาตลอด ต่อมาจึง เป็นศูนย์กลางอำ นาจทางการเมืองและความเชื่อสำคัญของอาณาจักรกัมพูชาที่ขยายเข้าปกครอง ดินแดนใต้แม่นํ้า มูลทั้งหมดในต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ตามนิทานพระเจ้าพรหมทัตเป็นเจ้าของปราสาท แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “ปราสาทหินพระนางอรพิมพ์” ดังหลักฐานที่แอมโนนิเย นักสำ รวจชาวฝรั่งเศสผู้เดินทางเข้ามาสำ รวจหาหลักศิลาจารึกและโบราณวัตถุต่างๆในภาค อีสานของไทยได้บันทึกไว้ในหนังสือ บันทึกการเดินทางในลาวภาคสองพ.ศ.๒๔๔๐ ว่า“..วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ก่อน เที่ยงเล็กน้อยพวกเขาก็ไปถึงบ้านนางหอระพิม (Ban Nang Hor Phim) ซึ่งเป็นหมู่บ้านของคนสยาม มีกระท่อมอยู่ ๑๓ หลัง ตั้งอยู่บนเนินดินสูงซึ่งมีนิทานเรื่องนางหอระพิม ซึ่งอยู่ในหนังสือของเขมร เรื่อง ชะตาของพระเจนกุมาร (Sata dePreahchenKaumar) หมู่บ้านแถบนี้มีประชากรพูดภาษาสยามแต่อาจมีกำ เนิดมาจากเขมร... โดยเฉพาะ ที่พิมายประชากรมีผิวคลํ้ามีเชื้อสายเขมรแต่มีภาษาและจารีตประเพณีเป็นคนสยาม” นอกจากนี้เขายังได้เล่าเรื่อง ที่มาของปราสาทหินพิมายว่าสร้างก่อนปราสาทวัดพนมวัน โดยนางหอระเพียม (ออกเสียงแบบเขมร) ได้พนัน กับ พระเทวทัตแข่งกันสร้างในเวลาคืนเดียว
14 ที่ปราสาทหินพิมาย ตรงบริเวณปรางค์ท้าวพรหมทัตเคยมีรูปประติมากรรมอยู่ ๓ รูป ชาวบ้านเรียกกันว่า รูปท้าวพรหมทัตรูปพระปาจิตและรูปนางอรพิมพ์ปัจจุบันเหลือแต่รูปพระปาจิตเท่านั้น อันที่จริงรูปปั้นที่ชาวบ้าน เข้าใจว่าเป็นรูปท้าวพรหมทัตนั้น แท้จริงคือ“พระชัยพุทธมหานาถ”ซึ่งเป็นพระพุทธ รูปศิลารูปร่างเหมือน องค์จริง ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่พระองค์ได้ส่งไปไว้ตามเมืองสำคัญต่างๆ ๒๒ เมือง รูปนางอรพิมพ์คือ รูป “พระนางชย ราชเทวี” พระมเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในรูปนางปรัชญาปารมิตา เมืองพิมาย หรือในจารึกเรียก“วิมายปุระ” เป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ นิทานเรื่องนี้นอกจากจะเป็นตำ นานของปราสาทหินพิมายแล้ว ชื่อสถานที่ต่างๆในเรื่องที่อยู่ในเส้นทางจาก บริเวณลำ ปลายมาศไปจนถึงเมืองพิมาย ยังเป็นเส้นทางโบราณเก่าแก่ที่แสดงร่องรอยประวัติศาสตร์ของอาณาจักร ขอมโบราณหรือเจนละในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๑-ต้นศตวรรษที่ ๑๒ กษัตริย์คนสำ คัญของเจนละ คือ เจ้าชายจิตรเสนะหรือมเหนทรวรมัน ผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ไศวนิกายที่ขยายอำ นาจจากบุรีรัมย์สุรินทร์ขึ้นมา ทางที่ราบสูงโคราช หลังยึดอาณาจักรฟูนันซึ่งเป็นอาณาจักรของกษัตริย์นับถือพุทธศาสนาในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๑ พระองค์ยกทัพขึ้นไปตามลำ นํ้าโขง ปราบเมืองต่างๆของเจนละโดยเฉพาะเมืองเศรษฐปุระเมืองหลวงในขณะนั้น เรื่องราวของ พระเจ้าจิตรเสนกษัตริย์นักรบที่ยกทัพขึ้นปราบบ้านเมืองตามลำ นํ้ามูล น่าจะเป็นที่มาของ พระปาจิตในตำ นานนิทานชาวบ้าน นางอรพิมพ์จะมีตัวตนจริงหรือไม่ประวัติศาสตร์มิได้บันทึกไว้แต่เห็นเค้าว่าเมือง พิมายเป็นกลุ่มที่นับถือพุทธศาสนาอยู่ก่อนที่ศาสนาฮินดู-ไศวนิกายจะเข้ามายึดครอง นางอรพิมพ์อาจเป็นอุปมาของ ดินแดนชาวพุทธในลุ่มแม่นํ้ามูลที่พระเจ้าจิตรเสนได้ครอบครองก็เป็นได้เช่นเดียวกับนางสีดาในวรรณคดีเรื่อง รามายณะของอินเดีย แม้นิทานเรื่องนี้จะไม่แพร่หลายไปยังภูมิภาคอื่นมากนัก แต่ในสมัยกรุงธนบุรีก็มีสมุดไทย ๔ เล่ม ชื่อปาจิตต กุมารกลอนอ่านพบที่พระราชวังหลังกรุงธนบุรีสันนิษฐานว่าคงได้มาจากเมืองโคราช เพราะพระเจ้าหลานเธอ กรมพระอนุรักษ์เวศรกรมพระราชวังบวรถานพิมุข หรือพระยาสุริยอภัยเดิมเคยเป็นเจ้าเมืองโคราชมาก่อน ส่วนคนใน ท้องถิ่นก็ยังคงเล่านิทานนางอรพิมพ์-พระปาจิตในรูปตำ นานและร้องเล่าเป็นเพลงโคราช นอกจากนี้ช่างเขียน ท้องถิ่นยังได้นำ เหตุการณ์ตอนเณรพายเรือมารับนางข้ามฟากแม่นํ้าไปวาดไว้ที่บานแผละ หน้าต่างบานที่ ๑ ซ้ายมือ พระประธาน ในสิม (พระอุโบสถ) วัดทุ่งศรีเมือง อำ เภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานีและจิตรกรรมฝาผนังด้านนอก ของสิมวัดบ้านยาง อำ เภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันได้มีการนำ เรื่องนี้มาใช้ในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหน่วยงานในท้องถิ่นมีการส่งเสริมเส้นทาง ท่องเที่ยวที่อำ เภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ตามรอยนิทานเรื่องท้าวปาจิต นางอรพิม โดยเริ่มจากไปลงเรืออีโปง ที่ท่านางสระผม ลองนั่งเกวียนเทียมวัวที่ประตูเมืองพิมาย ไปเยี่ยมชมวังท้าวพรหมทัตที่ปราสาทหินพิมาย และเมรุ พรหมทัตที่อยู่ใกล้กัน จากนั้นไปวัดสระเพลงชมตู้พระธรรม ที่แกะสลักเป็นเรื่องราวปาจิตอรพิม และดูการทำ หมี่พิมาย หรือลองชิมที่ไทรงาม ต่อไปเยี่ยมท้าวพรหมทัต ท้าวปาจิตและนางอรพิม ต่อที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติพิมาย นอกจากนี้ ใน พ.ศ. ๒๕๕๖ ยังมีการนำ นิทานเรื่องท้าวปาจิต-อรพิมพ์มาจัดการแสดงแสงเสียงในงาน “ท่องเที่ยวปราสาทเมืองตํ่า ตามรอยอารยธรรมขอมโบราณ”เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอำ เภอประโคนชัยจังหวัดบุรีรัมย์อีกด้วย นิทานท้าวปาจิต-อรพิมพ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๘
15 เอกสารอ้างอิง โครงการสำ รวจและถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังอีสาน. จิตรกรรมฝาผนังอีสาน. ศูนย์วัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัย ขอนแก่น, ๒๕๓๒. ปรีชา อุยตระกูล. วรรณกรรมพื้นบ้านจากตำ�บลรังกาใหญ่ อำ�เภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา. กรุงเทพฯ : กรมการฝึกหัดครู, ๒๕๒๑. ปัญญาสชาดก ภาคภาษาบาลี-ไทยเล่ม ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๑ กรุงเทพฯ: มูลนิธิออมสินเพื่อสังคม, ๒๕๕๔. พระอริยานุวัตร เขมจารีเถระ. ประวัติศาสตร์ข่า-ขอมลุ่มแม่นํ้าของ-โขง. จัดพิมพ์เนื่องในงานทำ บุญฉลองอายุครบ รอบ ๗๔ ปีดร.พระอริยานุวัตร เขมจารีเถระ รองเจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม ๒๔ กันยายน ๒๕๓๓. พิชัย ลีศิริวัฒนา. “ลำ ปลายมาศ อำ เภอที่มีความหมาย” หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๙:๗ ภูมิจิต เรืองเดช. ปาจิต–อรพิม. ปริวรรตเอกสารโบราณจากสมุดข่อย. บุรีรัมย์: ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์, ๒๕๒๔. (อัดสำ เนา) เอเจียน แอมอนิเย. บันทึกการเดินทางในลาวภาคสอง พ.ศ. ๒๔๔๐. ทองสมุทร โดเรและสมหมาย เปรมจิตต์. ผู้แปล.สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๒๕๔๑.
16 นิทานนายดัน เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ นิทานเรื่อง นายดัน ชาวใต้โดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานีและสงขลา เล่าสู่กันฟังมาช้านาน เนื้อเรื่องสนุกให้อารมณ์ขัน มีคติธรรมและสะท้อนภาพชีวิตชาวใต้หลายแง่มุม ต่อมากวีชาวนครศรีธรรมราชแต่งเป็น คำกาพย์(กาพย์๑๑, ๑๖, ๒๘) บันทึกลงในสมุดข่อย หรือหนังสือบุด ใช้สวดอ่านเพื่อความบันเทิงในเวลาว่างก่อน เริ่มเรื่องนายดัน กวีได้อารัมภบทไว้ว่า “ฉานสิทธิ์คิดจักแจ้ง แต่งเรื่องราวกล่าวให้ขัน ขอเชิญดำ เนินผัน มาสิงสู่อยู่ในทรวง” คำกาพย์ข้างต้นนี้บอกชื่อนายสิทธิ์ผู้แต่ง แต่ไม่ทราบชัดเจนว่านายสิทธิ์เป็นใคร มีชีวิตอยู่สมัยใด นิทาน นายดัน มีเรื่องย่อดังนี้ นายดันเป็นบุตรตาพลายและยายเจ้ย นายดันตาพิการแบบตาบอดตาใส คนทั่วไปเข้าใจว่าสายตาดีเล่าว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะชาติก่อนเขาทำ หน้าที่คอยบอกพ่อแม่เมื่อเห็นพระภิกษุมาบิณฑบาต หน้าบ้าน แต่วันหนึ่งทั้งที่เห็นพระภิกษุมาแล้ว แต่นายดันแกล้งทำ เป็นไม่เห็น ปล่อยให้ท่านยืนแกร่วอยู่นานจนต้อง กลับวัด ด้วยผลกรรมดังกล่าวจึงส่งผลให้เขาตาพิการในชาตินี้ ถึงแม้ตาบอดแต่นายดันมีความจำและไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศคือเมื่อทำสิ่งใดผิดพลาดก็สามารถหาข้อแก้ตัว ได้ทุกครั้งยิ่งกว่าคนตาดีจึงได้ชื่อว่า “นายดัน” เพราะความดันทุรัง ไม่ยอมรับผิดนั่นเอง ครั้นเมื่อนายดันอายุ๓๐ ปีเขาได้บอกพ่อแม่ให้ไปสู่ขอนางสาวไร หรือริ้งไรสาวกำ พร้าพ่อมีแต่แม่ชื่อยายทองสา ตอนแรกแม่นายดันปฏิเสธเพราะเกรงว่าคงไม่มีใครจะยกลูกสาวให้หนุ่มตาบอดแต่พ่อบอกให้ลองดูเผื่อเป็นเนื้อคู่กัน ในที่สุดด้วยความสามารถของยายอีแม่สื่อ ทำ ให้ยายทองสาตกลงยกลูกสาวให้แต่งงานกับนายดัน พิธีแต่งงานของนายดันสะท้อนภาพประเพณีชาวใต้สมัยนั้นอย่างน่าสนใจไม่ว่าการเตรียมงานขบวนขันหมาก และอาหารการกิน เป็นต้น อย่างไรก็ตามเจ้าบ่าวตาบอดมีข้อผิดพลาดหลายครั้ง แต่สามารถแก้ตัวผ่านไปได้ด้วยดี เช่น นายดันเดินชนต้นกล้วยก็แสร้งดึงใบกล้วยแล้วบอกว่านกขี้ใส่ช่วยเช็ดให้ด้วย เมื่อถึงบ้านเจ้าสาวแทนที่เดินขึ้น บันไดกลับเดินเข้าใต้ถุนบ้าน พอรู้ตัวว่าผิดก็แสร้งชี้ไปที่ไม้ตงไม้รอดว่าไม่แข็งแรง จากนั้นเดินขึ้นบนบ้าน แต่กลับไป นั่งที่นอกชาน ครั้นมีผู้มาเตือนก็บอกว่าเท้าโดนขี้ไก่ขอนํ้ามาล้างด้วย
17 จากนั้นนายดันเดินเข้าสู่ห้องพิธีเข้ารับพรและคำสอนจากปู่ย่าตายาย เสร็จแล้วแขกเหรื่อร่วมวงกินอาหาร เมื่ออิ่มแล้วก็รับมอบของขวัญและลาเจ้าภาพ คงเหลือแต่ผู้อาวุโส ๔ คน รอทำ พิธีเรียงสาดเรียงหมอนให้คู่บ่าวสาว นายดันไหว้ผีตายาย (ผีบรรพบุรุษ) เสร็จแล้วนำ เข้าสู่ห้องเจ้าสาว แต่นายดันกลับเดินเข้าห้องครัว เมื่อรู้ตัวว่า ผิดพลาดจึงแกล้งส่งเสียงบอกว่าลุงขุนอินทร์และหม่อมจินดาเป็นโรคตาลซางในปาก อย่าแกงให้เผ็ดนัก หลังพิธีแต่งงานแล้ว นายดันอยู่ที่บ้านภรรยา โดยมีเด็กผู้ชายชื่อไอ้เหล็กหมาดเป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิดส่วนคน อื่นรวมทั้งนางไรภรรยายังไม่ทราบว่านายดันตาบอด และเขาแก้ตัวเอาตัวรอดได้เสมอ เช่น วันหนึ่งนายดันกินข้าว ปรากฏว่าทำข้าวตกหล่นลงใต้ถุนบ้านเกลื่อนกลาดขณะที่นางไรกำลังทอหูกอยู่ใต้ถุนบ้าน จึงร้องถามว่าไม่พอใจอะไร จึงเทข้าวลงมา นายดันจึงแก้ตัวว่าเห็นไก่แต่ละตัวผ่ายผอมควรให้มันกินอิ่ม เหตุการณ์ต่อมาเมื่อสามีต้องจำ ใจไปไถนา ทั้งที่ไม่เคยจับคันไถในที่สุดวัววิ่งเตลิดหนีนายดันได้ยินเสียงใบไม้แห้งถูกลงแกว่งไกวเข้าใจว่าวัวหลบซ่อนอยู่ตรงนั้น จึงวิดนํ้าสาด ครั้งเมียมาพบเข้านายดันแก้ตัวว่าสาดรังแตนให้มันจมนํ้า ในที่สุดพากันกลับบ้าน ตอนปลายเรื่องเล่าว่าวันหนึ่งหลังจากนายดันกินข้าวแล้ว อยากกินหมากแต่หาห่อปูนไม่พบจึงร้องถามนางไร และบ่นเชิงดุภรรยาเป็นที่น่ารำคาญ ภรรยารู้สึกโกรธรีบเดินขึ้นบ้านและคว้าห่อปูนที่ปลายเท้านายดันพลางควักปูน ทาขยี้ที่ดวงตาสามีนายดันร้องด้วยความเจ็บปวดพลางบอกว่าตาบอดแน่แล้ว นางไรเข้าใจว่าสามีพูดจริงจึงตกใจและ รีบไปพบหมอชื่อตาบัวศรีได้ยามารักษาจนกระทั่งนายดันหายกลายเป็นคนตาดีหมดเวรกรรมมาตั้งแต่บัดนั้น ต่อมา นายดันและนางไรมีบุตรชายชื่อนายทองดึงช่วยกันทำการค้าขายด้วยความสุจริตจนเป็นเศรษฐีตอนสุดท้ายนายดัน ได้รับอนุญาตจากครอบครัวออกบวชเพื่อหาความสุขทางธรรมในบั้นปลายของชีวิต นิทานนายดัน ที่บันทึกในหนังสือบุด หรือสมุดข่อย มีการปริวรรตเป็นอักษรไทยปัจจุบัน โดยตีพิมพ์เผยแพร่ เป็นรูปเล่มสวยงาม เช่น รวมกับนิทานอื่นๆ เรื่อง นายดัน วันคาร โสฬนิมิต ของศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้วิทยาลัยครู นครศรีธรรมราชและหนังสือชื่อชุดวรรณกรรมทักษิณ วรรณกรรมคัดสรรเล่มที่ ๖ มีเรื่อง นายดันคำกาพย์ นอกจากนี้ เรื่องนายดันยังจัดพิมพ์เป็นวรรณกรรมเยาวชน มีภาพประกอบสวยงาม รวมกับนิทานภาคใต้เรื่องอื่นๆ อีกด้วย นิทานนายดัน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗
18 นิทานปลาบู่ทอง เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์รังสรรค์ จันต๊ะ ปลาบู่ทองเป็นนิทานพื้นบ้านที่นิยมเล่ากันอย่างแพร่หลายมานานในทุกภาคของประเทศไทยเนื้อเรื่องเป็นเรื่อง ของความอิจฉาริษยาอาฆาตระหว่างเมียหลวงเมียน้อยเมียหลวงตายไปเกิดเป็นปลาบู่ทองและต่อมาเกิดเป็นต้นโพธิ์เงิน โพธิ์ทอง นางเอื้อยผู้เป็นนางเอกถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมจนตกทุกข์ได้ยากแต่เมื่อกษัตริย์ประพาสป่า นางเอื้อยเป็นผู้ถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้จึงได้เป็นมเหสีของกษัตริย์แต่ต่อมาก็หลงกลแม่เลี้ยงจนตายไปและเกิด เป็นนกแขกเต้า จนฤาษีต้องมาช่วยชุบชีวิตคืนมา ตอนท้ายเรื่องสะท้อนให้เห็นว่าคนดีย่อมตกนํ้าไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เป็นต้น นิทาน ปลาบู่ทอง ปรากฏเป็นชื่อนิทานที่แพร่กระจายอยู่ในกลุ่มคนไททั่วไปอีกหลายชื่อ เช่น เต่าน้อยอองคำ นางอุทธรา ในภาคเหนือของไทย มีทั้งสำ นวนที่เป็นมุขปาฐะและสำ นวนลายลักษณ์ประเภทนิทานชาดกนอกนิบาต นิทานคำกาพย์คำกลอน เรื่องเล่าแบบนิทานทั่วไปในหนังสือหรือสื่อสิ่งพิมพ์แบบอื่น ๆ หนังสือแบบเรียนของกระทรวง ศึกษาธิการ ที่ใช้เป็นหนังสือตำ ราประเภทนิทานสำ หรับเด็ก ตลอดจนถึงการนำ ไปสร้างเป็นบทภาพยนตร์และละคร โทรทัศน์สมัยใหม่หลายสำ นวน นิทาน ปลาบู่ทองสะท้อนสภาพการทำ มาหากินและวิถีทางวัฒนธรรมของชาวพื้นบ้านท้องถิ่น เช่น การหาปลา เลี้ยงวัวควายในทุ่งนาการเสี่ยงทาย พิธีกรรมพื้นบ้าน พิธีกรรมทางไสยศาสตร์หรือทางพุทธศาสนาเช่น การเรียกขวัญ ลางสังหรณ์การเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น นอกจากนี้ นิทาน ปลาบู่ทอง ยังดำ รงอยู่ในวิถีชีวิตไทยในมิติต่างๆ เช่น เป็นชื่อบ้านนามเมืองในถิ่นทาง ภาคเหนือตอนบนของไทยหลายแห่ง เช่น ในอำ เภอหางดงจังหวัดเชียงใหม่อำ เภอเชียงคำ จังหวัดเชียงรายตลอดจน มีการเทศน์ธัมม์เต่าน้อยอองคำ โดยพระสงฆ์ในวันพระระหว่างเข้าพรรษาในถิ่นภาคเหนือโดยจะมีชาวบ้านรับเป็น ศรัทธาหรือเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์ในแต่ละวันพระ เรียกว่าการ “ทานธัมม์” โดยไปซื้อธัมม์สมัยใหม่ที่พิมพ์ด้วยอักษร ไทยกลางแต่มีรูปแบบเป็นเล่มยาวคล้ายกับใบลานมาถวายพระ หรือบางวัดก็ใช้วิธีการ“บูชา”เอาจากที่วัดมีอยู่แล้ว ซึ่งถือว่าการทานธัมม์ดังกล่าวเป็นการทำ บุญอย่างหนึ่งและได้กุศลแรง ในปัจจุบัน นิทาน ปลาบู่ทอง ก็ดำ รงอยู่ในสื่อสมัยใหม่ เช่น เป็นบทภาพยนตร์ละครโทรทัศน์รวมถึงหนังสือ การ์ตูนสำ หรับเด็กอีกหลายสำ นวน นิทานปลาบู่ทองได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔
19 นิทานปัญญาสชาดก เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ทรงศักดิ์ ปรางค์วัฒนากุล ปัญญาสชาดก หรือ ปัณณาสชาดก เป็นชาดกนอกนิบาตหรือพาหิรชาดก แต่งขึ้นโดยนำ นิทานจากอรรถกถา ชาดกและนิทานพื้นบ้านมาดัดแปลงให้เป็นเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ในชาติภพต่างๆให้ต้นเรื่องมีสถานที่พระพุทธเจ้า ตรัสเล่าชาดกและเหตุที่ปรารภชาดกและตอนท้ายมีประชุมชาดกกล่าวถึงตัวละครในเรื่องมาเกิดเป็นใครในปัจจุบัน ชาดกแต่ละเรื่องมุ่งสั่งสอนหลักธรรมทางพุทธศาสนา อาจมีหลักธรรมสำคัญหนึ่งอย่างหรือหลายอย่างอยู่ในเรื่อง เดียวกัน แต่ในความเป็นนิทานพื้นบ้านจึงยังคงสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินให้แก่ผู้ฟัง ตามชื่อ “ปัญญาสชาดก” แปลว่า ชาดก ๕๐ เรื่อง พระสงฆ์ล้านนาโบราณเรียก ชาดกนอกสังคายนา ล้านนา ทั่วไปเรียกว่า ปัญญาสชาดกลาวเรียกว่า พระเจ้า ๕๐ ชาติ พม่าเรียกว่าชิมเมปัณณาสชาติ หมายถึงชาดก ๕๐ เรื่อง ของเชียงใหม่ ไทยกลางเรียก พระปัญญาสชาดก หรือพระเจ้า ๕๐ ชาติ ชาดกนอกนิบาตในล้านนามีประมาณ ๒๒๐ เรื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมของชาวล้านนาที่แต่งชาดกนอกนิบาต สำ หรับปัญญาสชาดก เป็นการรวมเอา ชาดกนอกนิบาต ๕๐ เรื่องมาเข้าชุดกัน การรวมชาดกเข้าเป็น ปัญญาสชาดก นั้น แต่ละแห่งมีเรื่องชาดกไม่เหมือนกัน พิชิตอัคนิจและคณะ(๒๕๔๑) กล่าวว่า เมื่อนำ “ปัญญาสชาดก”ฉบับภาษาไทยฉบับลาวฉบับพม่าและฉบับเชียงตุง (ซึ่งเป็นแบบโวหาร มีอยู่ ๒๖ เรื่อง) มาตรวจสอบดูแล้ว พบว่าแต่ละชุดมิได้มีชาดกที่ตรงกันทั้งหมดเมื่อนำชาดกต่างๆใน “ปัญญาสชาดก”ฉบับ ลาว พม่า และเขมรมารวมกันแล้ว พบว่ามีชาดกเรื่องต่างๆ ที่ไม่ซํ้ากันนับได้ถึง ๑๐๔ เรื่อง และเรื่องดังกล่าวทั้งหมด สามารถพบได้ในฐานะชาดกเดี่ยวครบทุกเรื่องในล้านนา” เชื่อกันว่า ปัญญาสชาดกแต่งขึ้นประมาณ พ.ศ. ๒๐๐๐ – ๒๒๐๐ โดยพระสงฆ์เชียงใหม่ ปัญญาสชาดก ฉบับ ล้านนาตามที่ปรากฏในคัมภีร์ปิฎกมาลาซึ่งเป็นคัมภีร์บันทึกรายชื่อคัมภีร์พระไตรปิฎกแบบล้านนา มี๕๐ เรื่องแบ่ง เป็น ๕ วรรค แต่ละวรรคมีชาดก ๑๐ เรื่อง ดังนี้
20 อาทิตตวรรค ๑. อาทิตตราชชาดก ๒. ตุลกชาดก ๓. สัมมาชีวชาดก ๔. อรินทมชาดก ๕. สุมภมิตตชาดก ๖. สมุททโฆสชาดก ๗. จาคทานชาดก ๘. ธัมมิกชาดก ๙. สิทธิธรมหาเศรษฐีชาดก ๑๐. สังขปัตตชาดก สุทธนุวรรค ๑. สุทธนุชาดก ๒. นรชีวชาดก ๓. ทสปญหาชาดก ๔. สุรุปราชชาดก ๕. กัมพลชาดก ๖. โคปาลชาดก ๗. สิริจุฑามณีชาดก ๘. สิริวิปุลกิตติชาดก ๙. อฏฐปริขารชาดก ๑๐. สุทธนชาดก จันทวรรค ๑. จันทราชชาดก ๒. สาทิตราชชาดก ๓. รัตนปโชตชาดก ๔. เทวสีสหังสชาดก ๕. วิริยบัณฑิตชาดก ๖. วิปุลชาดก ๗. มหาปทุมชาดก ๘. มหาสุรเสนชาดก ๙. พรหมโฆสชาดก ๑๐. เสตมูสิกชาดก อริยฉัตตวรรค ๑. อริยฉัตตชาดก ๒. สุพัทธชาดก ๓. พัทธิรชาดก ๔. ปทีปชาดก ๕. ปทีปชาดก ๖. เวลามชาดก ๗. วัฏฏังคุลิชาดก ๘. สิรสาชาดก ๙. โสนันทชาดก ๑๐. สุวัณณชาดก พรหมกุมารวรรค ๑. พรหมกุมารชาดก ๒. สุจิกขตชาดก ๓. อักขรลิกขิตตชาดก ๔. วัฑฒนกุมารชาดก ๕. อกตญญชาดก ๖. ทุกกัมมกุมารชาดก ๗. สัคคานังวิวาทังชาดก ๘. สิทธิสารจักกวัตติชาดก ๙. สีลชาดก ๑๐. มหาสุทัสสนชาดก ปัญญาสชาดก มีความแพร่หลายทั้งในล้านนา ไทย พม่า ลาว เขมร และชนชาติไทในประเทศจีน แต่เดิม ปัญญาสชาดก แต่งเป็นภาษาบาลีแล้วแปลเป็นภาษาล้านนา ก่อนจะเป็นภาษาต่างๆ ชาดกเหล่านี้ใช้เทศนาสั่งสอน พุทธธรรม และมีอิทธิพลต่อชีวิตคนไทยเป็นอย่างมากดังจะพบว่า มีชาดกที่จัดเป็นปัญญาสชาดกอยู่เป็นจำ นวนมาก และบางเรื่องก็มีหลายสำ นวน รวมทั้งมีการคัดลอกต่อๆกันมา นอกจากเป็นเรื่องเล่าสำ นวนเทศน์แล้วยังเป็นต้นเค้าให้ งานจิตรกรรม วรรณกรรม นาฏกรรม และประติมากรรม อีกเป็นจำ นวนมากโดยเฉพาะวรรณคดีไทยและวรรณกรรม ท้องถิ่นจำ นวน ไม่น้อยที่มีที่มาจากนิทานในปัญญาสชาดกนี้ นิทานปัญญาสชาดก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖
21 นิทานพระรถ-เมรี เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล นิทานพระรถ หรือ นิทานพระรถ–เมรีเป็นนิทานที่เป็นที่รับรู้แพร่หลายในทุกภาคของไทย เรียกชื่อต่างๆ กัน คือ พระรถ-เมรี(ภาคกลาง, ภาคตะวันออก) นางสิบสอง (ภาคกลาง, ภาคเหนือ) พระพุทธเสน–นางกังรีหรือตำ นาน ภูท้าวภูนาง (ภาคอีสาน), นางสิบสอง นางกังหรี(ภาคใต้) เนื้อหาเป็นเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ หรือนิทานมหัศจรรย์สันนิษฐานว่าในชั้นต้นเป็นนิทานพื้นบ้านที่เล่าต่อๆ กันมาแบบมุขปาฐะ ภายหลังมีการนำ ไปแต่งเป็นภาษาบาลีและรวบรวมไว้เป็นเรื่องหนึ่งใน ปัญญาสชาดก ด้วย เรื่อง รถเสนชาดก ซึ่งทำ ให้พระรถเสนมีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ความเป็นที่นิยมของเรื่องพระรถ–เมรีทำ ให้มีการ อ้างถึงตัวละครทั้งสองนี้ในวรรณคดีเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ใน โคลงนิราศหริภุญชัย จินดามณีและ กาพย์ห่อโคลงศรี มโหสถ นอกจากนี้ยังปรากฏการประพันธ์ในรูปแบบต่างๆ จำ นวนมากทั้งลายลักษณ์ ได้แก่ กลอนบทละคร กลอนอ่านหรือกลอนนิทาน กลอนนิราศ กาพย์ขับไม้คำ ฉันท์และแต่งเป็นมุขปาฐะหรือเพลงพื้นบ้าน ได้แก่ เพลงกล่อมเด็ก เพลงทรงเครื่อง เพลงขอทาน เป็นต้น นอกจากประเทศไทยแล้วยังพบนิทานพระรถในประเทศเพื่อนบ้านของไทยด้วยโดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา ลาว และเมียรม่า นับว่าเป็นวัฒนธรรมร่วมกันในดินแดนอุษาคเนย์มีเรื่องของพระรถ-เมรีปรากฏอยู่ในตอนต้นของ พงศาวดารล้านช้าง ซึ่งว่าด้วยที่มาของบรรพชนของกลุ่มชาวลาวโดยได้กล่าวถึงนางเมรีหรือกังรีและพระรถ หรือ พระพุทธเสน ในฐานะบรรพชนต้นวงศ์ของกลุ่มลาว นิทานพระรถจึงเป็นที่แพร่หลายทั้งในหมู่ชาวบ้านและชาววัด และโดยเฉพาะในเมืองที่มีชาวลาวอพยพไปอาศัยอยู่ นิทานพระรถมีเนื้อเรื่องหลักแบ่งเป็นสองภาค คือภาคชีวิตของนางสิบสอง มารดาของพระรถ และภาคชีวิต ของพระรถ ภาคแรกคือ ภาคชีวิตของนางสิบสองกล่าวถึงพระรถสิทธิ์เป็นเจ้าครองนครที่ไม่มีพระมเหสีครองเมืองไพศาลี ด้วยความสงบสุขเรื่อยมา เมืองนั้นมีเศรษฐีรํ่ารวยมากคนหนึ่งมีภรรยาอยู่กินกันมานานแต่ไม่มีบุตรธิดา จึงพากันไป หาพระฤๅษีเพื่อขอบุตรธิดา พระฤๅษีจึงให้เก็บก้อนกรวดที่ปากบ่อนํ้าหน้าอาศรม และให้นึกถึงพระฤๅษีทุกครั้งเมื่อ ภาวนาเศรษฐีเก็บก้อนกรวดไปสิบสองก้อน หลังจากนั้นภรรยาได้ตั้งท้องมีธิดาติดต่อกันมาเรื่อยมาจนได้สิบสองคน เศรษฐีเลี้ยงลูกสาวด้วยความเอ็นดูอยู่ต่อมาเศรษฐีค้าขายขาดทุนจนไม่มีอาหารเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสิบสองคน ในที่สุด จึงตัดสินใจที่จะนำลูกสาวทั้งหมดไปปล่อยป่า ขณะที่ปรึกษากันระหว่างผัวเมียนางเภาลูกสาวคนสุดท้องแอบได้ยิน จึงไปเก็บก้อนกรวดไว้เป็นจำ นวนมากครั้นเมื่อพ่อพาเข้าป่าไปตัดฟืนนางเภาจะเดินรั้งท้ายและเอาก้อนกรวดทิ้งตาม รายทางเพื่อเป็นเครื่องหมายเมื่อไปถึงป่าพ่อใช้ให้ลูกๆแยกย้ายกันไปตัดฟืนหาผลไม้ในป่ากว้างส่วนพ่อเห็นลูกจาก
22 ไปในป่าหมดแล้วก็หลบหนีกลับบ้าน ครั้นตกเย็นลูกสาวทั้งสิบสองคนได้กลับมายังที่นัดพบ รออยู่นานไม่เห็นพ่อต่าง ร้องไห้ครํ่าคราญ นางเภาจึงบอกพี่ๆว่าตนจะพากลับบ้าน นางเภาพาพี่ๆเดินตามก้อนกรวดที่นางไปโปรยเอาไว้ตอน เดินทางมา จนกระทั่งมาถึงบ้าน เศรษฐีก็ได้หาวิธีไปปล่อยลูกสาวในป่าอีกครั้งจนกระทั่งสำ เร็จ นางทั้งสิบสองไม่สามารถจะเดินทาง กลับบ้านได้พากันร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยในที่สุดหลงเข้าไปในเมืองยักษ์โดยอาศัยอยู่กับนางสันทมาร(สนธมาร,สนทรา) ยักษ์แม่หม้ายมีลูกสาวบุญธรรม ชื่อนางเมรีนางสิบสองไม่ทราบว่านางสันทมารเป็นยักษ์จึงอาศัยอยู่ด้วย วันหนึ่ง นางสิบสองซุกซนไปตรวจดูสิ่งต่างๆ ได้พบกระดูกคนและสัตว์จำ นวนมาก พวกนางจึงรู้ว่านางสันทมารนั้นเป็นยักษ์ จึงพากันหนีด้วยความกลัว นางสันทมารกลับมาทราบจากเมรีว่านางสิบสองหนีไปก็โกรธจึงออกติดตามหวังจะจับ กินเป็นอาหาร ในที่สุดนางสิบสองเดินทางกลับมายังเมืองไพศาลีพระรถสิทธิ์เจ้าเมืองเสด็จมาพบเข้าทรงพอพระทัย มากจึงรับนางสิบสองคนมาเป็นพระมเหสีส่วนนางสันทมารได้ติดตามมาจนถึงเมืองไพศาลีเมื่อทราบว่านางสิบสอง ได้เป็นพระมเหสีของพระราชสิทธิก็ยิ่งเคียดแค้น จึงแปลงกายเป็นหญิงงาม ทำอุบายร้องห่มร้องไห้จนได้เฝ้าพระรถ สิทธิ์เล่าว่า ตนชื่อ นางสมุทรชาถูกบิดาบังคับให้แต่งงานกับเศรษฐีนางจึงหนีมา พระรถสิทธิ์รับนางสมุทรชาไว้เป็น ชายา นางสมุทรชามีความเคียดแค้นนางสิบสองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำ เสน่ห์มารยาให้พระรถสิทธิ์หลงใหลจนลืม มเหสีเก่าทั้งสิบสอง วันหนึ่งนางสมุทรชาทำอุบายโดยนางแกล้งป่วยแล้วหมอหลวงรักษา แต่ไม่หายและได้แจ้งยาที่จะมาใช้รักษา นอกจากจะต้องใช้ดวงตาของหญิงสาวที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน ๑๒ นาง เป็นเครื่องยาจึงจะรักษาหาย ด้วยเวทมนต์ ของนางยักษ์สันทมารนั้นจึงทำ ให้พระรถสิทธิ์สั่งควักลูกตานางสิบสองมาเป็นเครื่องยาแต่นางเภาถูกควักลูกตาเพียง ข้างเดียวเพราะเมื่อครั้งหนีนางยักษ์สันทมารนั้น นางทั้งสิบสองคนจับปลากินประทังความหิว พี่ๆจับปลาได้ก็จะร้อย กับเชือกโดยแทงตาทะลุทั้งสองข้างส่วนนางเภานั้นร้อยปลาจากปากปลาไปทะลุตาข้างเดียวฉะนั้นนางจึงถูกควักลูก ตาข้างเดียว เพราะผลกรรมครั้งนั้นซึ่งขณะนั้นมเหสีทั้งสิบสองได้ตั้งครรภ์กับพระรถสิทธิ์ทุกคน นางสันทมารจึงให้ ทหารจับไปขังไว้ในอุโมงค์มืดๆ และให้อดอาหาร ส่วนพระรถสิทธิ์ไม่ทราบว่ามเหสีทั้งสิบสองคนตั้งครรภ์เพราะตก อยู่ในอำ นาจเสน่ห์มารยาของนางยักษ์นางทั้งสิบสองคนต่างหิวโหยอยู่ในอุโมงค์มืดนั้นจนคลอดบุตร เมื่อพี่สาวใหญ่ คลอดบุตรออกมาต่างก็ช่วยกันฉีกเนื้อแบ่งกันกิน นางเภารับส่วนแบ่งเก็บไว้ได้๑๑ ชิ้น ครั้นตนคลอดบุตรออกมา บ้างก็นำ เนื้อเด็กทั้ง ๑๑ ชิ้น ส่งให้พี่ๆ ฉะนั้นลูกของนางเภาจึงรอดชีวิต นางเภาก็เลี้ยงลูกมาในอุโมงค์นั้นจนเจริญวัย วิ่งเล่นได้ตั้งชื่อว่า “รถเสน” ภาคที่ ๒ เป็นภาคที่ว่าด้วยชีวิตของพระรถเสน กล่าวถึงพระอินทร์ทราบเรื่องนางสิบสองถูกทรมานจึงมาช่วย โดยแปลงกายเป็นไก่มาหากินอยู่หน้าอุโมงค์ พระรถเสนเลี้ยงไก่พระอินทร์และนำ ไก่มาท้าชนพนันกับชาวบ้านก็ได้ ชัยชนะทุกครั้งแลกเป็นข้าวอาหารมาเลี้ยงแม่และป้าจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วความทราบถึงพระกรรณพระรถสิทธิ์ พระองค์เรียกเข้าเฝ้าทำ ให้ทราบว่าพระรถเสนเป็นพระโอรส นางสมุทรชาทราบเรื่องคิดกำจัดพระรถเสนด้วยการหา อุบายให้พระรถสิทธิ์สั่งพระรถเสนเดินทางไปยังเมืองยักษ์เพื่อนำ “มะงั่วรู้หาว มะนาวรู้โห่” (บางสำ นวนว่า มะม่วง ไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่) มาเป็นเครื่องยารักษานางอีก นางสมุทรชาเขียนสาส์นให้พระรถเสนถือไปหานางเมรีโดยเขียน
23 สั่งว่า “ถึงกลางวันให้ฆ่ากลางวัน ถึงกลางคืนให้ฆ่ากลางคืน” จากนั้นพระรถเสนควบม้าไปยังเมืองยักษ์ตามคำสั่ง พระบิดา ครั้นมาถึงอาศรมพระฤๅษีก็ขอหยุดพักแรม พระฤๅษีผู้มีญาณพิเศษทราบเหตุการณ์จึงแอบแปลงเนื้อความ ในสาส์นนั้นเสียใหม่ว่า “ถึงกลางวันให้แต่งกลางวัน ถึงกลางคืนให้แต่งกลางคืน” เมื่อพระรถเสนไปถึงเมืองยักษ์พบนางเมรีจึงนำสาส์นของนางสมุทรชามอบให้เพื่อจะได้ขอมะงั่วรู้หาว มะนาวรู้โห่ นางเมรีทราบเรื่องราวตามสาส์นก็ทำตามคำสั่งพระมารดาบุญธรรมทุกประการ คือ อภิเษกสมรสและยกเมืองให้ พระรถเสนครอง พระรถเสนอยู่ในเมืองยักษ์ด้วยความสุข แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังระลึกถึงมารดาและป้า ของ พระองค์จึงคิดหาอุบายโดยการจัดเลี้ยงสุราอาหารนางเมรีจนเมามายและหลอกถามถึงห่อดวงตานางสิบสองอีกทั้ง กล่องบรรจุดวงใจของนางสันทมารความมึนเมาสุรานางเมรีจึงบอกที่เก็บสิ่งของสำคัญตลอดจนยาวิเศษ ขนานต่างๆ แก่พระรถเสนจนหมดสิ้น พระรถเสนจึงนำกล่องดวงใจ ห่อดวงตาและยารักษารวมทั้งยาวิเศษที่โปรยเป็นภูเขาเป็นไฟ เป็นมหาสมุทร ติดตัว หนีออกจากเมืองไป ครั้นเมื่อนางเมรีหายจากความมึนเมาไม่เห็นพระรถเสน นางจึงรู้ว่าพระรถเสนหนีไป นางกับเสนายักษ์ได้ออก ติดตามพระรถเสน พระรถเสนควบม้าหนีมาแต่นางเมรีก็ตามทัน พระรถเสนจึงโปรยยาให้เป็นมหาสมุทร นางเมรีสิ้น แรงฤทธิ์ไม่สามารถจะข้ามมหาสมุทรได้นางเฝ้ารำ พันอ้อนวอนให้พระรถเสนกลับเมืองไปอยู่กับนาง นางเมรีเศร้าโศก ครํ่าคราญจนดวงใจแตกสิ้นใจตาย พระรถเสนกล่าวขอขมาต่อหน้าศพนางแล้วให้เสนายักษ์นำกลับเมือง พระรถเสน ตัดใจกลับเมืองไปช่วยมารดา เมื่อกลับมาถึงเมืองไพศาลีพระรถเสนนำดวงตามารดาและป้าๆ พร้อมกับยารักษาจนสามารถมองเห็นได้ทั้ง สิบสองนาง พระรถเสนเข้าเฝ้าพระราชบิดาพร้อมกับทูลว่านางสมุทรชาเป็นยักษิณีนางสมุทรชารู้เรื่องจึง แปลงกาย เป็นยักษ์หวังจะฆ่าพระรถเสนเสีย แต่พระรถเสนต่อสู้กับนางสมุทรชาเป็นสามารถและทำ ลายกล่องดวงใจของ นางสมุทรชาจนสิ้นใจตาย พระรถสิทธิ์ขอโทษมเหสีทั้งสิบสองนางที่พระองค์ลงทัณฑ์นางเพราะความมัวเมาในเสน่ห์ มารยาของนางยักษิณีในที่สุดพระรถสิทธิ์ก็ครองเมืองกับมเหสีทั้งสิบสองคนอย่างสันติสุข เรื่องราวของพระรถ-เมรียังเป็นนิทานอธิบายที่มาของภูมินามในสถานที่ต่างๆซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าครั้งหนึ่ง เรื่องราวในนิทานพระรถเคยเกิดขึ้นจริงในบริเวณนั้นๆ จนกลายเป็นนิทานประจำถิ่น (legend) มาจนปัจจุบัน ทั้งนี้ พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับภูมินามในภูมิภาคต่างๆ ดังนี้ ภาคตะวันออก เป็นพื้นที่ที่พบความแพร่หลายของนิทานพระรถมากกว่าภูมิ ภาคอื่นๆ โดยพบที่จังหวัดชลบุรีและจังหวัดปราจีนบุรีในจังหวัดชลบุรีพบในอำ เภอ พนัสนิคม ซึ่งเป็นที่อยู่ของกลุ่มชาวลาว (ลาวเวียง) เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓ และได้ใช้นิทาน พระรถในการตั้งชื่อสถานที่ต่างๆ ในบริเวณนี้ โดยเรียกโบราณสถานที่ตำ บลหน้า พระธาตุว่าเมืองพระรถเรียกอำ เภอบ่อทองว่าเมืองพญาเร่หรือเมืองคชบุรีซึ่งเมืองของ นางสันธมาร มีถํ้านางสิบสอง มีหินสิบสองก้อนเรียกหมอนนางสิบสอง มีบ้านเนินดินแดง ที่เป็นสถานที่ตายของนางเมรีร้องไห้จนนํ้าตาเป็นสายเลือดและอกแตกตาย มีสระ พระรถที่พระรถใช้ให้นํ้าไก่ มีลูกศรพระรถรางหญ้าม้าพระรถ ที่อำ เภอพนัสนิคม เป็นต้น
24 นอกจากนี้ยังพบที่จังหวัดปราจีนบุรีพบมากในอำ เภอศรีมหาโพธิซึ่งโดยมากเป็นที่อาศัยของกลุ่ม ชาวลาว (ลาวพวน) ใช้นิทานพระรถ-เมรีในการตั้งชื่อสถานที่ต่างๆ ในท้องถิ่นเช่นกัน เรียกโบราณสถานที่พบในอำ เภอ ศรีมหาโพธิว่าเมืองพระรถ(นครมโหสถ)รวมถึงยังพบในจังหวัดฉะเชิงทราคืออำ เภอราชสาส์น อันเป็นสถานที่ที่พระฤๅษี ช่วนแปลพระราชสาส์นของนางสันธมารเพื่อช่วยชีวิตพระรถ มีลานพระรถชนไก่ที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ที่พระรถเคยท้า พนันเจ้าเมืองชนไก่ มีบ่อหรือถํ้านางสิบสองที่ใช้กักขังนางสิบสองส่วนในอำ เภอพนมสารคาม มีเมืองโบราณเรียกเมือง สนาม เชื่อกันว่าเป็นเมืองของนางยักษ์สันธมาร ภาคเหนือ พบในจังหวัดพิษณุโลกอำ เภอเนินมะปรางโดยมีสถานที่เรียกกันว่าถํ้านางสิบสอง นอกจากนี้ยังพบ ว่าในอำ เภอสอง จังหวัดแพร่ มีความเชื่อว่า นางสิบสองเป็นหัวหน้าผีของปู่เจ้าสมิงพราย ซึ่งผนวกกับนิทาน พระลอ อนึ่ง ที่เมืองนาย รัฐฉาน ประเทศพม่า ซึ่งเป็นที่อาศัยของชาวไทใหญ่ มีนิทานประจำถิ่นเรื่องนางสิบสองเช่นกัน เนื้อความพ้องกับนิทานอธิบายที่มาของอำ เภอราชสาส์น ของจังหวัดฉะเชิงเทราตำ นานเมืองนายบอกว่าบริเวณนี้นั้น เรียกว่า หลอยแต้ม ซึ่งแปลว่าดอยเขียน นอกจากนี้ภายหลังจากที่นางเมรีอกแตกตาย มีการนำ เอาชิ้นเนื้อและกระดูก ใส่เกวียนไปทิ้งนอกเมืองแต่กระดูกตกระหว่างทางทำ ให้บริเวณนั้นกลายเป็นชื่อ หลอยเฮ่ หรือดอยหก หรือตกซึ่งก็ หมายถึงเนื้อและกระดูกหกนั่นเอง ปัจจุบัน ดอยเฮ่เรียกเพี้ยนกลายเป็น ดอยเหว่ะ นิทานพระรถนี้ถือเป็นที่มาของชื่อ เมืองนายอันเพี้ยนมาจากคำว่าเมืองพายซึ่งคำว่า“พาย”แปลว่า“ยักษ์”คือเป็นเมืองของนางสันธมาร นอกจากนี้ เมืองนายยังมีวัดเจดีย์นางสิบสอง เป็นบริเวณที่เชื่อว่านางสิบสองถูกนำ มาขังไว้ในถํ้า โดยที่ด้านหนึ่ง ของหน้าผา ปรากฏลายนิ้วมือของนางยักษ์ ส่วนใน ภาคอีสาน พบว่ามีนิทานพระรถ-เมรีแพร่หลายไม่น้อย หากแต่สถานที่ที่ใช้อธิบายจะใช้อธิบายภูเขาที่ อยู่ในประเทศลาวโดยกล่าวถึงภูท้าวภูนาง ที่เมืองหลวงพระบางว่าเป็นภูเขาของพระพุทธเสน กับนางกังรีและมีถํ้า นางสิบสองที่เมืองจำ ปาศักดิ์ขณะที่ ภาคใต้ พบว่าที่จังหวัดพังงา มีเขาอกเมรีอยู่ฝั่งขวาของเขาพิงกัน นอกจากนี้ยัง พบว่าที่จังหวัดพัทลุงมีเมืองโบราณที่เรียกว่า เมืองพระรถ ด้วยเช่นกัน มีวัดสุนทราหรือวัดสุนทราวาส วัดแห่งนี้เดิม ชื่อวัดปลายนาที่มาของชื่อนี้ได้มาจากชื่อนางยักษ์สนทราในนิทานเรื่องพระรถเมรีมีวัดควนสารหรือบ้านควนสารซึ่ง เป็นที่พระฤาษีแปลงสาส์นช่วยพระรถวัดควนถบ หรือบ้านควนถบ หมายถึงควรสินธพ เพราะสินธพคือม้าพี่เลี้ยงของ พระรถเสน ทั้งนี้นิทานเรื่องพระรถเมรียังแพร่หลายไปถึงแม้แต่ที่ไทรบุรีหรือรัฐเคดาห์ ของมาเลเซีย มีกระจับปิ้งนางเมรีเป็นก้อนใหญ่ตั้งอยู่ตรงชายทะเลใกล้หมู่บ้านปาดัง กรือเบาหรือบ้านทุ่งควายด้วย ปัจจุบันสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับนิทานพระรถในจังหวัดดังกล่าวมาข้างต้น ต่าง นำ นิทานพระรถไปเผยแพร่และต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม “ตามรอย นิทานพระรถ-เมรี”โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดชลบุรีนอกจากนี้ที่จังหวัดแพร่มีการ สร้างศาลนางสิบสองขึ้น และมีพิธีบวงสรวงเป็นงานประจำ ปีโดยเชื่อว่านางสิบสอง เป็นเสื้อเมืองของเมืองสอง โดยจะมีพิธีในทุกวันที่ ๑๒ เมษายน ของทุกปีขณะที่ใน พื้นที่อื่นๆเช่นที่จังหวัดชลบุรีมีการตั้งศาลแต่เป็นศาลขนาดเล็กมีพิธีกรรมเฉพาะใน ชุมชนเท่านั้น
25 อนึ่งนอกจากนิทานพระรถจะเกี่ยวข้องกับการทำ หน้าที่อธิบายประวัติความเป็นมาของสถานที่ต่างๆในจังหวัด ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น นิทานพระรถ-เมรียังเกี่ยวพันกับเรื่องไก่ชนด้วยเนื่องจากในนิทานพระรถ-เมรีพระรถมีชื่อ เสียงในการชนไก่มาก ดังนั้นต่อมาชื่อ ของพระรถจึงนำ มาใช้ในการเรียกไก่ชนที่มีลักษณะดีในแถบเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรีด้วย ว่า “ไก่เขียวพระรถ” ซึ่งเป็นไก่ชนลักษณะดีเป็นไก่เขียวหางดำ เชื่อว่าเป็นไก่ชนิดเดียวกับที่ พระรถใช้ท้าพนันจนชนะทุกคราว นอกจากนี้นิทานพระรถยังเผยแพร่ในรูปของการแสดงต่างๆ ทั้งในรูปแบบของละครนอก ละครชาตรีลิเก หมอลำ มาอย่างต่อเนื่อง นิทานพระรถ-เมรีจึงนับว่าเป็นนิทานเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในวัฒนธรรมไทย ที่อาจได้รับ อิทธิพลมาจากวัฒนธรรมต่างๆ จนพัฒนาการเป็นนิทานท้องถิ่นของไทยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทใน วัฒนธรรมไทยในที่สุด นิทานพระรถ-เมรีได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ เอกสารอ้างอิง เจริญ ชยุติมันต์ดำ รง. อำ�เภอพนัสนิคม ไม่ใช่ เมืองพระรถ ในประวัติศาสตร์ (นครอินทปัตถ์) ที่ถูกลืม. ชลบุรี: โรงพิมพ์งามช่าง. ๒๕๔๕. ประพนธ์เรืองณรงค์.ชื่อบ้านนามเมืองภาคใต้: พัทลุง (๑). รูสมิแล. ปีที่ ๓๐ ฉบับที่ ๓ กันยายน –ธันวาคม. ๒๕๕๒. พระครูศรีมหาโพธิ์คณารักษ์. ประวัติจังหวัดปราจีนบุรี ; และ, ตำ�นานนครมโหสถ, หรือ, เมืองพระรถ ฉบับกรม ศิลปากรตรวจแก้. ปราจีนบุรี: กิจเกษมการพิมพ์. ๒๕๑๒. นันทพร พวงแก้ว.การศึกษาเชิงเปรียบเทียบเรื่อง พระรถ – เมรี ฉบับต่างๆ. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๒๗. หอพระสมุดวชิรญาณ. กาพย์ขับไม้เรื่องพระรถ. พระนคร : หอพระสมุดวชิรญาณ (Digital Full text) ๒๔๖๕. ศิธรา จุฑารัตน์. เรื่องพระรถ ฉบับวัดเทวสังฆาราม. ใน สยามปกรณ์ปริวรรต เล่ม ๔ . นครปฐม: คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. (เอกสารอัดสำ เนา) ๒๕๕๗. ศิลปากร, กรม. ประชุมเรื่องพระรถ. กรุงเทพฯ: หสน.เจี้ยฮั้ว. ๒๕๕๒ ศิลปากร, กรม. บทเห่กล่อมพระบรรทม บทกลอนกล่อมเด็ก บทปลอบเด็ก และบทเด็กเล่น. พระนคร: คุรุสภา. ๒๕๑๓ สมดุล ทำ เนาว์. ตำ�นานพระรถเมรีที่พนัสนิคม. ชลบุรี: สภาวัฒนธรรมจังหวัดชลบุรี. ๒๕๕๒ อภิลักษณ์เกษมผลกูล(บรรณาธิการ). ประชุมเพลงทรงเครื่อง: สืบสานตำ�นานเพลงพื้นบ้านจากโรงพิมพ์วัดเกาะ. นครปฐม: คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. ๒๕๕๔
26 นิทานพระสุธนมโนห์รา – ภาคใต้ เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ นิทานพื้นบ้านเรื่อง พระสุธนมโนห์รา ในภาคใต้มีทั้งประเภทมุขปาฐะ และลายลักษณ์ (หนังสือบุด) ที่แต่ง เป็นคำกาพย์มีหลายสำ นวน ตัวอย่าง มโนราหรานิบาต วัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา ส่วนภาคเหนือมีสุธนชาดก ภิกษุชาวเชียงใหม่แต่งไว้ใน ปัญญาสชาดก (ราว พ.ศ. ๒๐๐๐-๒๒๐๐) นอกจากแพร่หลายในไทยแล้ว ยังแพร่หลาย ในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ปัจจุบันภาคเหนือมีบทค่าวซอเรื่องเจ้าสุธน ภาคอีสานมีเรื่อง ท้าวสีธน ภาคกลางมีบท ละครครั้งกรุงเก่าเรื่อง นางมโนห์รา พระสุธนคำฉันท์ ของพระยาอิศรานุภาพ (อ้น) พระสุธนคำกลอนของนายพลอย และพระสุธนฉบับร้อยแก้ว ของหลวงศรีอมรญาณ เป็นต้น แต่ละสำ นวนส่วนใหญ่มีโครงเรื่องจากพระสุธนชาดก ในปัญญาสชาดกดังกล่าว
27 เรื่องย่อจาก มโนหรานิบาตฉบับวัดมิชฌิมาวาสจังหวัดสงขลาเริ่มตั้งแต่ท้าวอาทิตย์วงศ์และนางจันทาเทวีแห่ง เมืองปัญจา มีพระโอรสคือพระสุธน เมืองนี้มีความสุขร่มเย็น เพราะมีการสักการะพญานาคท้าวชมพูจิตรเป็นประจำ ต่างกับเมืองมหาปัญจามีแต่ความเดือดร้อน และเจ้าเมืองยังคิดฆ่าท้าวชมพูจิตร โดยให้พราหมณ์ร่ายเวทมนตร์ แต่มิสำ เร็จ เพราะพรานบุญขัดขวางไว้ ต่อมาพรานบุญยืมนาคบาศจากท้าวชมพูจิตรเพื่อคล้องนางมโนห์ราไปถวายเป็นพระชายาพระสุธน จนกระทั่ง พระสุธนต้องออกรบ เนื่องจากพราหมณ์ปุโรหิตระแวงว่าพระสุธนจะถอดยศตน จึงแอบไปสมคบกับข้าศึกให้ยกทัพ มาตีเมืองปัญจาช่วงนั้นนางจันทาเทวีฝันร้าย พราหมณ์ปุโรหิตทูลให้นางทำ พิธีสะเดาะเคราะห์และบูชายัญนางมโนห์รา นางมโนห์ราขอปีกหางเพื่อรำถวายเป็นครั้งสุดท้าย แล้วบินหนีไปพร้อมกับฝากแหวน และตำ รายาแก้พิษต่างๆ ไว้ กับพระกัสสปฤๅษีเพื่อมอบแก่พระสุธน ต่อมาพระสุธนมีชัยชนะข้าศึก และเดินทางติดตามพระชายา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน จึงประสบความสำ เร็จ พระสุธนมโนห์รา สำ นวนภาคใต้ตรงกับ สุธนชาดก คือนางมโนห์ราเป็นพี่องค์โต สำ นวนอื่นๆ มักเป็น น้องสุดท้อง พรานบุญ (สหชาติของพระสุธน)สำ นวนภาคใต้ชื่อ พรานบุญทฤกษาสุธนชาดกชื่อ บุณฑริกเมืองปัจจา สำ นวนภาคใต้คือเมืองปัญจาละในสุธนชาดก เป็นต้น นอกจากเป็นเรื่องเล่าแล้ว ชาวใต้ยังนำ เรื่อง พระสุธนมโนห์รา ไปแต่งเป็นบทช้าน้อง หรือ เพลงร้องเรือ (เพลงกล่อมเด็ก) บทโนรา ๖ เรื่อง นางมโนห์รา เป็น ๑ ใน ๑๒ เรื่อง ที่แสดงในพิธีโรงครูหนังตะลุง และเพลงบอก รวมทั้ง ภาพจิตรกรรมฝาผนัง นาฏศิลป์การแสดง และดนตรี สถานภาพการดำ รงปัจจุบัน มีการเผยแพร่ด้วยสื่อสมัยใหม่ เช่น หนังสือ สารคดีบันเทิงคดีการ์ตูน CD ภาพยนตร์และโทรทัศน์ นิทานพระสุธนมโนห์รา – ภาคใต้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปี พุทธศักราช ๒๕๕๕
28 นิทานยายกะตา เรียบเรียงโดย สุมามาลย์ พงษ์ไพบูลย์ นิทานเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา เพื่อความบันเทิงและคติสอนใจ สะท้อนสภาพสังคมวิถีชีวิตและความเชื่อ ของสังคมนั้น นิทานยายกะตา เป็นตัวอย่างนิทานไทย ที่มีความเป็นเอกลักษณ์และแสดงถึงความเป็นไทยในด้าน สังคมเกษตรกรรม การเน้นความกตัญญูและ การเคารพอาวุโสได้เป็นอย่างดี นิทาน ยายกะตา เป็นนิทานเข้าแบบและเป็นนิทานลูกโซ่ ด้วยเหตุที่มีการดำ เนินเรื่องซํ้าๆ และย้อนรอย เรื่องเดิม อาจจะเล่าต่อเนื่องไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้มีลักษณะเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันไป นิทาน ยายกะตา เป็นนิทานเก่าสืบประวัติเท่าที่หลักฐานได้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เนื่องจากปรากฏเป็นภาพวาด ไว้เชิงบานหน้าต่างในพระอุโบสถวัดพระเชตุพน เนื้อเรื่องเริ่มต้นว่า “ยายกะตาปลูกถั่ว ปลูกงาให้หลานเฝ้า หลานไม่เฝ้า กามากินถั่วกินงา เจ็ดเมล็ด เจ็ดทะนาน ยายมายายด่า ตามาตาตี หลานหนีไปหานายพราน ขอให้ช่วยยิงกา นายพรานตอบว่า ไม่ใช่กงการของข้า…
29 และในเมื่อ “นายพรานไม่มายิงกา กามากินถั่วกินงาของตากับยาย ยายมายายด่า ตามาตาตี” เรื่องก็ดำ เนิน ต่อว่า“หลานร้องไห้ไปบอกหนูให้ไปกัดสายธนูของนายพราน นายพรานไม่มายิงกากามากินถั่วกินงาของตากับยาย ยายมายายด่า ตามาตาตีหนูบอกไม่ใช่ธุระของข้า” และเรื่องก็จะดำ เนินต่อไปคือ หลานก็จะไปบอกแมวให้มา กินหนูบอกหมาให้กินแมว บอกไม้ค้อนให้ตีหัวหมา บอกไฟให้ไหม้ไม้บอกนํ้าให้ดับไฟ บอกตลิ่งให้พังทับนํ้า บอกช้าง ให้เหยียบตลิ่ง บอกแมงหวี่ให้ตอมตาช้าง เรื่องพลิกผันเพราะ“แมงหวี่ยอมไปตอมตาช้าง”ช้างจึงยอมไปเหยียบตลิ่ง ตลิ่งจึงยอมพังทับนํ้า นํ้าจึงยอมให้ดับไฟ..... จนท้ายที่สุดนายพรานยอมไปยิงกาในตอนจบ นิทาน ยายกะตา ได้รับความนิยมและเล่าสืบต่อกันมา โดยมีหลักฐานปรากฏอยู่เป็นรูปเขียนเชิงหน้าต่างใน พระอุโบสถ วัดพระเชตุพน ซึ่งเป็นที่จารึกเรื่องต่างๆ ที่เป็นคลังความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยมากมาย ปัจจุบัน นิทาน ยายกะตา ปรากฏในแบบเรียนหลักของไทย คือ ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย ชุดภาษาไทยเพื่อชีวิต ชื่อหนังสือ “วรรณคดีลำ นำ” และเคยจัดพิมพ์เฉพาะเนื้อเรื่อง เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของ นักเรียนระดับประถมศึกษา โดยเฉพาะหนังสือวรรณคดีลำ นำ ได้คัดลอกภาพทั้ง ๑๒ ภาพ และข้อความข้างใต้ภาพ เรียงลำดับตั้งแต่ต้นจนจบ นิทาน ยายกะตา ให้ความรู้เกี่ยวกับสังคมไทย ด้านเกษตรกรรมที่มีข้าว ถั่ว งา เป็นอาหารหลัก แสดงด้วย ความรัก ห่วงใยของปู่ย่าตายายซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่มีต่อหลาน และแสดงถึงการอบรมสั่งสอนให้หลานเชื่อฟังคำสั่งของ ตายาย และสั่งสอนให้คนไทยเอาใจใส่ธุระของผู้อื่น อย่าดูดาย เมื่อใครมาขอความช่วยเหลือทันทีไม่ควรคิดว่าธุระ ไม่ใช่ หรือไม่ใช่ธุระของตน นั่นคือมีความเอื้ออาทร ช่วยเหลือทุกข์ของผู้อื่น และเฉลี่ยความสุขเผื่อแผ่ไปในสังคม อันเป็นคุณธรรมของสังคมไทยมายาวนาน นิทานยายกะตาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖
30 นิทานวันคาร เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ นิทานเรื่อง วันคาร หรือวรรณกรรมเรื่อง วันคารคำกาพย์ เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านที่รู้จักแพร่หลายในท้องถิ่น ภาคใต้โดยเฉพาะนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานีและสงขลา วันคารคำกาพย์ยังมีเนื้อเรื่องคล้ายกับพุทโทคำกาพย์ หรือ เจ้าพุทโท วรรณกรรมพื้นบ้านภาคใต้และวรรณกรรมพื้นบ้านภาคกลาง วันคารคำกาพย์ มีโครงเรื่องคล้ายกับชื่อเรื่อง ปลาแดกปลาสมอ วรรณกรรมพื้นบ้านภาคอีสาน และชื่อ วรรณกรรมกลุ่มชนชาติไทหลายกลุ่ม ดังที่ ประคอง นิมมานเหมินท์ เสนอไว้ในหนังสือ “ไขคำแก้วคำแพง พินิจ วรรณกรรมไทย-ไท” ว่าชื่อเรื่องวรรณกรรมดังกล่าวมีต่างๆ กันไป ได้แก่เรื่อง ปลาแดกปลาสมอ ของชาวไทดำ เวียดนาม เรื่องท้าวกำ พร้า ปลาแดกปลาสมอ วรรณกรรมลาว และมีชื่ออื่นอีกคือ บุษบาปลาแดก บุษบาชาดก เรื่อง อะลองปลาส้ม วรรณกรรม ไทยเขิน เมืองเชียงตุง สหภาพพม่า เรื่องอะลองปลาส้ม วรรณกรรมไทเหนือ เขตปกครองตนเองใต้คง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีข้อสังเกตคือวรรณกรรมชื่อดังกล่าวมาจากชาดกคือฉบับของลาวและอีสาน เดิมเป็นฉบับใบลานจารด้วย อักษรตัวธรรม ส่วนกลอนสวดเรื่อง พุทโธ ภาคกลาง และ เจ้าพุทโธ ภาคใต้ผู้แต่งอ้างว่ามาจากชาดกเช่นกัน (ชาดก นอกนิบาต) ส่วนของกลุ่มชาวไทอื่นๆ เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ เรื่อง วันคารคำกาพย์ และสำ นวนอื่นๆ และสำ นวนในภาคอื่นๆ ดังกล่าวข้างต้นมีโครงเรื่องหลักคล้ายกันคือ ตัวเอกมีฐานะยากจนเมื่อจับปลาได้ก็นำ มาหมักใส่เกลือเป็นปลาร้าปลาส้ม แต่ของวันคารใช้ปลาทูใส่เกลือตากแห้ง
31 เป็นปลาเค็ม ต่อมาสินค้าดังกล่าวนี้พ่อค้านาไปขาย ต่างเมือง พอดีเจ้าเมืองกำลังประชวรต้องการเสวยอาหาร ดังกล่าวในเรื่องวันคารกล่าวถึงมเหสีท้าวอาทิตย์เมื่อเสวย ข้าวกับปลาทูเค็มแล้วก็หายประชวร นางจึงตอบแทน บุญคุณด้วยการส่งมะพร้าว ๒ ผล ภายในบรรจุทองและเงิน สำ นวนอื่นมีการให้รางวัลต่างกัน เมื่อตัวเอกได้รับรางวัล แล้วก็ไม่สนใจ จนพ่อค้าส่งเป็นสินค้าต่อไปอีก การดำ เนิน เรื่องทำ นองเดียวกับเหตุการณ์ครั้งแรกในที่สุดเรื่องจบลง ด้วยตัวเอกได้รับรางวัลเป็นเจ้าหญิง ชื่อตัวเอกฝ่ายชายในวรรณกรรมพื้นบ้านภาคใต้ชื่อ วันคาร อีกสำ นวนหนึ่งชื่อพุทโธ ตรงกับสำ นวนภาคกลาง ส่วนเรื่อง ปลาแดกปลาสมอ ของอีสานและลาวชื่อท้าว บุษบา เรื่องอะลองปลาส้ม ของไทเขินชื่อท้าวสุทธา ส่วนชื่อตัวเอกฝ่ายหญิงในวรรณกรรมพื้นบ้านภาคใต้ ชื่อ นางวันพุธ ในกลอนสวดเรื่อง พุทโธ ของภาคใต้และ ภาคกลางชื่อนางพิมพาใน ปลาแดกปลาสมอชื่อ นางมาส ใน อะลองปลาส้ม ของไทใต้คง ชื่อนางจันต่า ใน อะลอง ปลาส้ม ของไทเขินชื่อนางมณีกา สภาพการดำ รงอยู่ในปัจจุบัน มีการพิมพ์วันคาร คำ กาพย์ ที่ปริวรรตจากสมุดไทย หรือหนังสือบุด โดยหน่วยงานที่ส่งเสริมและเผยแพร่วรรณกรรมภาคใต้ บ้างเผยแพร่ในรูปแบบบทความ และสารคดีรวมทั้งหนังสือ ประกอบภาพวาด เช่นปรากฏใน สารานุกรมวัฒนธรรม ภาคใต้ รวมทั้งนิทานโบราณ สำ นวน และภาษิตคำกาพย์ ภาคใต้ในเล่มนี้มีเรื่องวันคาร และเรื่องอื่นๆ ในรูปแบบ การเขียนเล่าเรื่องอย่างสารคดีจบด้วยการยกตัวอย่าง คำกาพย์พร้อมด้วยภาพประกอบสวยงาม นิทานวันคาร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕
32 นิทานวรวงศ์ เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล ในภาคกลางมีวรรณกรรมเรื่อง วรวงศ์ หรือ พระวรวงศ์ ส่วนในภาคเหนือมีวรรณกรรมเรื่อง บัวระวง หรือ บัวระวงหงศ์อามาตย์ หรือ บัวระวงหงส์อำ มาตย์ ขณะที่ภาคอีสานเรียกว่าเรื่อง วงยะมาด เรื่องย่อของเรื่องมีอยู่ว่า พระเจ้าวงศาธิราชผู้ครองภูสานครมีมเหสีสององค์อัครมเหสีนามว่าวงศ์สุริยาราชเทวี พระนางมีพระโอรส ได้แก่ วงศ์สุริยามาศกุมาร และวรวงศ์กุมารซึ่งก็คือพระโพธิสัตว์ส่วนมเหสีอีกองค์หนึ่งนามว่า กาไวยเทวีมีโอรสคือ ไวยทัตกุมาร กาไวยเทวีทำ อุบายว่าวงศ์สุริยามาศกุมารและวรวงศ์กุมารล่วงเกินพระนาง พระเจ้าวงศาธิราชหลงเชื่อ มีรับสั่งให้นำ โอรสทั้งสองพระองค์ไปประหารแต่วงศ์สุริยาราชเทวีติดสินบนเพชฌฆาตให้ ปล่อยสองกุมาร พระวรวงศ์กับพระเชษฐาพากันรอนแรมไปในป่า พอคํ่าลงก็บรรทมใต้ต้นไทรใหญ่ ได้ยินไก่ขาวและ ไก่ดำวิวาทกัน ไก่ขาวว่าผู้ได้กินหัวใจของตนจะได้เป็นจักรพรรดิราชฝ่ายไก่ดำก็ว่าผู้ได้กินหัวใจของตนจะสามารถยก หลักศิลา ฆ่ายักษ์ตายแล้วได้เป็นบรมกษัตริย์พระวงศ์สุริยามาศจึงเสวยหัวใจไก่ขาว ส่วนพระวรวงศ์เสวยหัวใจไก่ดำ ขณะนั้นนครอัยยมาศว่างกษัตริย์เหล่าข้าราชการจึงทำ พิธีเสี่ยงบุศยราชรถ ปรากฏว่าเสี่ยงได้พระวงศ์สุริยามาศ เป็นกษัตริย์พระวรวงศ์โพธิสัตว์จึงต้องพลัดพรากจากพระเชษฐาออกผจญภัยได้นางคารวีและยกหลักศิลาสังหารยักษ์ ช่วยชีวิตพระเจ้าภุสาราชได้ภายหลังพระองค์จึงได้พบกับพระเชษฐา และนางคารวีซึ่งประสูติโอรสนามว่าดาราวงศ์ จากนั้นทั้งสองพระองค์ก็ได้เดินทางกลับไปยังภูสานคร รบชนะพระไวยทัต ทำ ให้นางกาไวยเทวีดื่มยาพิษฆ่า ตนเองพระวรวงศ์ได้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าวงศาธิราช ส่วนพระวงศ์สุริยามาศกลับไปครองนครอัยยมาศ เมื่อพระวรวงศ์ชราภาพแล้วก็เสด็จออกบำ เพ็ญธรรม หลังจากสิ้นพระชนม์แล้วได้ไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก
33 เรื่องวรวงศ์ ได้รับความนิยมแพร่หลายอยู่ทั้งสี่ภาคของไทย มีการถ่ายทอดเรื่องวรวงศ์ผ่านงานศิลปกรรมต่างๆ ด้วย อาทิ ภาพจิตรกรรม ทั้งจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ เช่นที่วัดสมุห ประดิษฐาราม สระบุรีหรือจิตรกรรมฝาผนังศาลารายวัดพระธาตุ สุโทนมงคลคีรีอ.เด่นชัยจ.แพร่รวมถึงจิตรกรรมในบทแทงศาสตรา ของภาคใต้ส่วนในภาคใต้ยังมีการนำ มาแต่งเป็นเพลงร้องเรือ (เพลงกล่อมเด็ก) อีกหลายสำ นวนด้วย ปัจจุบันในภาคกลางและภาคใต้มีการนำ เรื่องวรวงศ์ มาใช้ เป็นนิทานอธิบายประวัติความเป็นมาของสถานที่ ดังเช่นใน ภาคกลางที่จังหวัดจันทบุรี มีการนำ มาใช้อธิบายที่มาของ โบราณสถานเมืองเพนียดจังหวัดจันทบุรีวัดทองทั่วจังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด ใช้อธิบายที่มาของเมืองเก่าแสนตุ่ม จังหวัดตราด นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการอธิบายที่มาของภูเขาวรวงศ์สุรวงศ์ หรือ ภูเขาคีรีรมย์จังหวัดเกาะกง และจังหวัดกำ ปงสปือ ส่วนใน ภาคใต้มีการนำ ไปใช้เป็นตำ นาน บ้านนาโคน จังหวัดสุราษฎร์ธานี นิทานวรวงศ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ จิตรกรรมฝาผนังเรื่องไมตระกันยกะ ที่ถํ้ากลาสี เมืองคิซิล ประเทศจีน ประมาณคริส์ศักราช ๕๐๐ หนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะ และโบราณคดีใน ประเทศไทย ผู้เขียน พิริยะ ไกรฤกษ์ ภาพดินเผาเรื่องไมตระกันยกะ จากเจดีย์จุลปะโทน จ.นครปฐม ประมาณคริสต์ศักราช ๕๕๐-๖๐๐ จาก หนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะ และโบราณคดีใน ประเทศไทย ผู้เขียน พิริยะ ไกรฤกษ์ ภาพสลักหินเรื่องไมตระกันยกะที่เจดีย์บุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย ประมาณคริสต์ศักราช ๗๘๐-๗๙๐ หนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะ และ โบราณคดีในประเทศไทย ผู้เขียน พิริยะ ไกรฤกษ์
34 นิทานศรีธนญชัย เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์กัญญรัตน์ เวชชศาสตร์ นิทาน ศรีธนญชัย เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านประเภทนิทานมุขตลก คนเจ้าปัญญา (trickster tale) และเป็น วรรณกรรมมุขปาฐะ มาก่อนที่จะมีการสร้างสรรค์เป็นวรรณกรรมลายลักษณ์ในรูปแบบของร้อยกรองที่แต่งด้วย คำ ประพันธ์ประเภทกาพย์และกลอนเสภา และรูปแบบที่เป็นร้อยแก้ว นิทาน ศรีธนญชัย มีมาแต่โบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับต้นกำ เนิดสมัยที่แต่งและชื่อผู้แต่ง วรรณกรรม เรื่องนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดเรื่องหนึ่งในท้องถิ่นต่างๆของไทยตราบถึงปัจจุบัน โดยภาคกลาง และภาคใต้รู้จักกันในชื่อ “ศรีธนญชัย” ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือรู้จักกันในชื่อ “เชียงเมี่ยง” แม้นิทานศรีธนญชัยจะมีหลายสำ นวน แต่ก็มีลักษณะร่วมกันในด้านโครงเรื่องคือเป็นเรื่องราวชีวิตของชายผู้หนึ่งซึ่ง ใช้ปฏิภาณไหวพริบเอาตัวรอดหรือแก้ไขปัญหาต่างๆให้ผ่านพ้นไปได้โดยลำดับตั้งแต่วัยเด็กจนสิ้นอายุขัยเหตุการณ์ แต่ละตอนมีลักษณะเป็นเรื่องสั้นๆ ซึ่งสามารถหยิบยกมาเล่าแยกกันได้ วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญาและพลังทางปัญญาในการสร้างสรรค์อันกอปรด้วยศิลปะของการ ถ่ายทอดเรื่องราวที่ทำ ให้เกิดอารมณ์ขัน โดยแสดงความเจ้าปัญญาของตัวเอกในลักษณะที่คาดไม่ถึงหรือพลิกความ คาดหมายได้อย่างออกรส และแสดงพลังทางภาษาด้วยการนำ เอาถ้อยคำ สำ นวนมาเล่นคำ เล่นความหมายได้ตาม ความต้องการ ซึ่งนอกจากจะใช้ความเถรตรงแล้วยังใช้กลวิธีอื่นๆ อีก เช่น การใช้กลอุบาย การใช้จิตวิทยา และการ หาเหตุผลโดยการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ที่ปกติไม่ค่อยมีใครนำ มาสัมพันธ์กัน หรือโดยการมองสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปในทิศทางที่ ตรงกันข้ามกับคนอื่นมาแก้ไขปัญหาหรือเอาตัวรอดได้ เมื่อพินิจนิทาน ศรีธนญชัยอย่างลึกซึ้งจะเห็นได้ว่าศิลปะการสร้างสรรค์ดังกล่าวทำ ให้นิทาน ศรีธนญชัย มิได้มี คุณค่าด้านการให้ความบันเทิงหรือสนุกสนานเพลิดเพลินเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าที่ให้สาระด้านความคิดด้วย กล่าวคือ ได้แฝงแนวคิดร่วมหรือแนวคิดที่เป็นสากลของมนุษยชาติคือเรื่องความสำคัญของการใช้ปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ เรื่องความขัดแย้งกับบุคคลและความขัดแย้งกับค่านิยมของสังคม และ เรื่อง “เสียหน้า” โดยได้นำสภาพแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรมไทย มาสอดแทรกไว้ในเนื้อหาได้อย่างกลมกลืน นอกจากนี้ยังทำ ให้ประจักษ์ถึงสัจธรรมเกี่ยวกับ ความไม่เที่ยงที่ว่าไม่มีผู้ใดจะครองความเป็นผู้ชนะได้ตลอดกาลและทำ ให้ได้คิดว่าควรใช้ปัญญาไปในทางสร้างสรรค์ มิใช่ทำลาย
35 นิทาน ศรีธนญชัย เป็นที่ชื่นชอบของคนทั้ง หลายก็เพราะสามารถ ทำ ให้เกิดอารมณ์ร่วม ไปกับเรื่องราวที่อยู่ใน โลกสมมุติได้อย่างเต็มที่ เสียงหัวเราะอันเกิดจาก ความหฤหรรษ์ในการ ล้อเลียน เสียดสีบุคคล หรือกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด ในสังคมนั้นแสดงให้เห็น บทบาทของ “มุขตลก” ว่าเป็นทางออกที่ช่วย ผ่อนคลายหรือลดความตึงเครียดของคนในสังคมได้อย่าง แยบคาย นิทานศรีธนญชัยจึงสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาของความ คิดสร้างสรรค์ที่มีคุณค่ายิ่ง ปัจจุบันนิทาน ศรีธนญชัย ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่ หลายในสังคมไทยและเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติด้วยเนื่องจาก ลักษณะเด่นของศรีธนญชัยคนเจ้าปัญญา ทำ ให้เกิดแรงบันดาลใจ ให้มีการนำ ไปสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะในหลายรูปแบบ เช่น จิตรกรรมฝาผนัง (พระวิหารวัดปทุมวนารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร) ภาพยนตร์หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์การ์ตูน และบันทึกลงในแถบบันทึกเสียงนิทาน เป็นต้น นิทานศรีธนญชัย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ภาพ : กิ่งทอง มหาพรไพศาล
36 นิทานสังข์ทอง เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ ดิษฐป้าน นิทาน สังข์ทอง เป็นนิทานที่คนไทยในท้องถิ่นต่างๆคุ้นเคยและชื่นชอบ ดังปรากฏแพร่หลายในท้องถิ่นต่างๆ หลากหลายสำ นวน เป็นนิทานที่ปรากฏทั้งในรูปแบบมุขปาฐะและลายลักษณ์สำ นวนลายลักษณ์ที่เก่าแก่ที่สุดคือ สุวรรณสังขชาดก ใน ปัญญาสชาดก นอกจากนี้ยังมีสำ นวนลายลักษณ์ในท้องถิ่นต่างๆ ด้วย เช่น สุวรรณสังขกุมาร ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สังข์ทองคำกาพย์ ของภาคใต้เป็นต้น นอกจากความแพร่หลายของนิทาน สังข์ทองสำ นวนต่างๆแล้วยังปรากฏว่า มีนิทานที่มีเรื่องทำ นองเดียวกันนี้ อีกหลายเรื่องในท้องถิ่นต่างๆเช่น กํ่ากาดำ แพะคำ ท้าวเต่า สุวรรณสิรสา แตงเขียวนิทานเหล่านี้แม้ไม่ใช่เรื่องสังข์ทอง แต่มีโครงเรื่องที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือเป็นเรื่องของพระเอกที่ซ่อนตัวอยู่ในรูปลักษณ์ที่ตํ่าต้อยหรือผิดปกติพระเอก รักกับนางเอกซึ่งเป็นหญิงสูงศักดิ์ จึงถูกพ่อตากีดกัน แต่ในที่สุดพระเอกก็สามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าในรูปที่ อัปลักษณ์ตํ่าต้อยนั้น แท้จริงแล้วมี“ความดี”และ “ความงาม”ซ่อนอยู่ พระเอกจึงได้รับการยอมรับในที่สุด นิทาน ที่มีเรื่องราวทำ นองนี้มีอยู่หลายเรื่องและแพร่หลายมากในขุมคลังนิทานของไทยจึงกล่าวได้ว่านิทานที่มีเรื่องประเภทนี้ เป็นเรื่องที่“ต้องรสนิยม” ของคนไทยมาก นอกจากความนิยมนิทาน สังข์ทอง ในรูปแบบของวรรณกรรมแล้ว นิทาน สังข์ทอง ยังมีความสัมพันธ์และ บทบาทในวิถีชีวิตไทยด้านต่างๆ เช่น ชื่อสถานที่ สำ นวนไทย เพลงพื้นบ้าน ปริศนาคำ ทาย ตำ ราพยากรณ์ชีวิต จิตรกรรม ตลอดจนศิลปะแขนงต่างๆ แม้ในปัจจุบันนิทานสังข์ทองก็ยังได้รับความนิยมและดำ รงอยู่ในรูปแบบต่างๆ เช่น เนื้อหาในหนังสือแบบเรียนหลายหลักสูตร หนังสือการ์ตูน หนังสือนิทาน ภาพยนตร์การ์ตูน ละครพื้นบ้าน นวนิยาย ตลอดจนงานศิลปะร่วมสมัย เช่น งานประติมากรรม การแสดงละครหุ่นสมัยใหม่ นอกจากนี้เนื้อหาและตัวละคร จากนิทานสังข์ทองยังสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ เช่น ชื่อพันธุ์ไม้รุ่นพระเครื่อง ชื่อรายการโทรทัศน์ฯลฯ กล่าวได้ว่านิทาน สังข์ทอง เป็นนิทานที่คนไทยคุ้นเคยและชื่นชอบมาหลายยุคหลายสมัย นับเป็นมรดกทางจินตนาการของคนไทยที่ ดำ รงอยู่ในวิถีชีวิตไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน นิทานสังข์ทอง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓
37 ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่
38 ตำ นานพื้นบ้าน
39 ตำ นานกบกินเดือน เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ปฐม หงษ์สุวรรณ ตำ นาน กบกินเดือน เป็นเรื่องเล่าพื้นบ้านที่แสดงความเชื่อของชาวบ้านในการอธิบายเหตุเกี่ยวกับการเกิด สุริยคราสและจันทรคราส ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซึ่งผู้คนในอดีตเชื่อว่าเกิดขึ้นเพราะอิทธิปาฏิหาริย์และ สิ่งเหนือธรรมชาติที่มีพลังอำ นาจศักดิ์สิทธิ์ จากการสำ รวจและเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตำ นาน กบกินเดือน ในวิถีชีวิตวัฒนธรรมของคนไทย-ไททั้งใน ประเทศไทยและนอกประเทศไทย พบว่า การเรียกชื่อเหตุการณ์สุริยคราสและจันทรคราสมีลักษณะเหมือนคล้าย และแตกต่างกัน กล่าวคือ บางถิ่นจะเรียกสุริยคราสว่า ตะวันจั๋บ ราหูสูนตาเว้น แงงกินตาเว้น หมีกินตะวัน ราหูอม พระอาทิตย์ หรือ กบกินตะวัน ส่วนจันทรคราส จะเรียกว่า จะคาดตือเดือน เดือนจั๋บ ราหูอมจันทร์ ราหูสูนจันทร์ หรือกบกินเดือน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คำ เรียกเหตุการณ์สุริยคราสและจันทรคราสที่นิยมและรู้จักกันแพร่หลายใน กลุ่มชาติพันธุ์ไทกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะคนไทยที่อาศัยอยู่นอกประเทศไทย รวมทั้งคนไทยยวนล้านนา และไทยอีสาน ส่วนมากจะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า“กบกินเดือนและกบกินตะวัน” ทั้งๆ ที่บางสำ นวนอาจไม่มีตัวละครที่เป็นกบปรากฏ อยู่ในเนื้อหาเลยก็ตาม ส่วนคนไทยภาคกลางและภาคใต้นั้นไม่พบการเรียกชื่อเหตุการณ์สุริยคราสและจันทรคราสว่า “กบกินเดือน” แต่จะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “ราหูอมจันทร์” มากกว่า เนื้อหาตำ นาน กบกินเดือน ของชาวไทดำ เล่าว่า แต่ก่อนคนกับสัตว์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้บ้านเมือง เกิดความแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตก ผู้คนจึงค้นหาตัวกบตัวเขียดมาทำ พิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แถนอยู่เมืองฟ้าจึงได้ส่งฝนให้ ตกลงมา ทำ ให้นํ้าท่วมโลกสัตว์ต่างๆตายจนหมด ภายหลังแถนจึงได้ส่งตะวัน ๑๒ ดวงและเดือน ๑๒ ดวงลงมายัง เมืองมนุษย์ ทำ ให้นํ้าแห้งจนแล้ง เวลานั้นยังมีคนกับกบเหลืออยู่ แต่ก่อนฟ้ากับดินอยู่ใกล้กันมาก คนจึงบอกให้กบ ปีนขึ้นไป กินเดือนกินตะวันเพื่อให้หายร้อน และจะทำ ให้มีกลางวันกลางคืน เมื่อกบขึ้นไป กินเดือนกินตะวันก็เกิด ความอร่อยจึงได้กินไปจนเหลือดวงสุดท้ายผู้คนกลัวว่ากบจะกินเดือนกินตะวันไปจนหมดซึ่งจะทำ ให้มนุษย์นั้นเกิด ความเดือนร้อนยิ่งนัก จึงได้ตีเกราะเคาะไม้จุดประทัด บ้างก็ส่งเสียงโห่ร้อง เพื่อเรียกตัวกบลงมา เมื่อกบลงมาแล้ว ก็ได้ถามมนุษย์ว่าเรียกตนลงมาทำ ไม มนุษย์จึงบอกตัวกบว่าไม่ให้กินเดือนกินตะวัน แต่กบก็ไม่เชื่อฟัง จึงได้ปีนไต่ฟ้า ขึ้นไปกินเดือนกินตะวันอยู่เนืองๆ จึงเป็นเหตุทำ ให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติดังกล่าวมาจนถึงทุกวันนี้