The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วรรณกรรมพื้นบ้าน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วรรณกรรมพื้นบ้าน

วรรณกรรมพื้นบ้าน

90 นอกจากนั้น ในท้องถิ่นใกล้เคียงยังมีตำ�นานพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกจังหวัดอ่างทองซึ่งเมื่อดูจากตำ นาน จะพบว่าเป็นไปได้ที่จะมีความเกี่ยวข้องกับ ตำ�นานหลวงพ่อพุทธรำ�พึงและ ตำ�นานหลวงพ่อสามเสน จนรายละเอียด บางประการของตำ นานเหล่านี้คล้ายคลึงกัน แม้องค์พระพุทธรูปจะเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่วัดความ ยาวจากพระเมาลีจรดปลายพระบาทได้ถึง ๒๒.๕๘ เมตร แต่ตำ นานก็เล่าว่า พระพุทธรูปองค์นี้ได้ลอยนํ้ามาจมอยู่ บริเวณหน้าวัดป่าโมก ทว่ากลับไม่สามารถนำองค์ท่านขึ้นฝั่งได้แม้จะใช้แรงคนนับพันๆคน ต่อมาพระพุทธไสยาสน์ได้ ไปเข้าฝันเจ้าอาวาสวัดใต้บอกว่าองค์ท่านลอยนํ้ามาคราวเดียวกับ หลวงพ่อสามเสน แต่ท่านต้องการจะประดิษฐาน ที่ป่าโมกเพราะเป็นป่าไม้โมกร่มรื่น พร้อมกับบอกวิธีการอัญเชิญองค์ท่านว่า ให้จัดพิธีบวงสรวง แล้วนำสายสิญจน์ คล้องรอบพระศอเสียก่อนสุดท้ายเมื่อชาวบ้านทำตามวิธีดังกล่าวก็สำ เร็จ นอกจากตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าจะสะท้อนปาฏิหาริย์เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้พระพุทธรูปสำคัญใน ท้องถิ่นแล้วตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้ายังสะท้อนสภาพภูมิศาสตร์และการตั้งถิ่นฐานของชุมชนริมแม่นํ้าในภาคกลาง อีกด้วยดังเห็นได้จากการหยิบยืม การแพร่กระจายหรือการเล่าตำ นานที่มีโครงเรื่องคล้ายๆกัน ในชุมชนต่างๆ ที่อยู่ ริมแม่นํ้า แม้ว่าตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าจะมีโครงเรื่องหลักตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่เนื้อหาของตำ นานบางเรื่องอาจ แตกต่างไปจากโครงเรื่องหลักบ้าง ทว่ายังแสดงแก่นสำคัญของตำ นาน เช่น อาจมีการอธิบายว่าพระพุทธรูปสำคัญ ของชุมชน “ได้มาจากนํ้า”ในลักษณะต่างๆกัน เช่น พระพุทธรูปจมอยู่ในนํ้า พระพุทธรูปมาติดเบ็ด หรือ พระพุทธรูป ตกนํ้าหายไปแต่ภายหลังกลับลอยไปติดฝั่งเอง เป็นต้น พระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก


91 ตัวอย่าง ตำ นานพระพุทธรูปที่จมอยู่ในนํ้า เช่น ตำ�นานพระมหาธรรมราชา พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของ จังหวัดเพชรบูรณ์ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรภูมิอำ เภอเมือง ตำ นานเล่าว่า เมื่อประมาณ ๔๐๐ ปีมาแล้ว คนหาปลา ผู้หนึ่งพบพระพุทธรูปมหาธรรมราชาจมอยู่ในแม่นํ้าป่าสัก จึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดไตรภูมิทว่าพอถึง วันสารทไทยปรากฏว่า พระมหาธรรมราชากลับลงไปลอยอยู่ในแม่นํ้าป่าสักด้วยอาการดำผุดดำว่าย เหตุการณ์เป็น เช่นนี้ถึง ๓ ครั้ง จนในที่สุดทางวัดต้องนำผู้มีวิชาอาคมมาตอกตะปูสะกดไว้ ส่วน ตำ นานพระพุทธรูปมาติดเบ็ด และพระพุทธรูปตกนํ้าหายไป แต่ภายหลังกลับลอยไปติดฝั่งเองได้นั้น ขอยกตัวอย่างจาก ตำ�นานพระศรีอาริย์วัดไลย์ ริมฝั่งแม่นํ้าบางขาม จังหวัดลพบุรีทั้งจากตำ นานประวัติความเป็นมา ซึ่งเล่าว่า พระศรีอาริย์ลอยนํ้ามาติดเบ็ดของชาวบ้าน เป็นเหตุให้มีรอยคล้ายเบ็ดเกี่ยวบริเวณริมพระโอษฐ์บน และ ตำ นานการแสดงปาฏิหาริย์ ที่เล่าว่าเคยชาวจังหวัดนนทบุรีมาขออัญเชิญพระศรีอาริย์ไปสมโภชที่วัดทางอำ เภอ ปากเกร็ด หลังการสมโภชขณะกำลังอัญเชิญองค์ท่านลงเรือกลับวัด ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุเรือเอียงจนพระศรีอาริย์ ตกน้าํ งมหาเท่าไรก็ไม่เจอ ทว่าต่อมาประมาณเดือนเศษก็มีผู้พบองค์พระศรีอาริย์ลอยไปติดอยู่ที่ท่าน้าหน้าวัดเกาะเรียน ํ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อนึ่ง ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าหลายตำ นานยังกล่าวถึงพระพุทธรูปมากกว่า ๑ องค์ซึ่งลอยนํ้ามาพร้อมกัน ในคราวหนึ่งๆ หรือที่ชาวบ้านมักเรียกว่า “พระพุทธรูปพี่น้อง” โครงเรื่องของตำ นานประเภท “พระพุทธรูปพี่น้อง” คือพระพุทธรูปเหล่านั้นลอยนํ้ามาจากแหล่งเดียวกัน ทว่าในระหว่างทางต่างก็ได้มีผู้อัญเชิญพระพุทธรูปแต่ละองค์ ขึ้นประดิษฐานในแต่ละท้องถิ่น พระมหาธรรมราชา พระศรีอาริย์วัดไลย์


92 ตัวอย่างตำ นานพระพุทธรูปพี่น้อง ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายได้แก่ ตำ�นานหลวงพ่อโสธรจังหวัดฉะเชิงเทราเล่า สืบมาว่าท่านลอยนํ้ามากับหลวงพ่อพี่น้องอีก ๒ องค์คือ หลวงพ่อวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐมและ หลวงพ่อบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม (บางสำ นวนก็ว่ามี๕ องค์โดยรวมเอา หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ ในจังหวัดสมุทรปราการ และ หลวงพ่อวัดเขาตะเคราจังหวัดเพชรบุรีเข้าไว้ด้วย) ในระหว่างทางได้สำแดงปาฏิหาริย์อันเป็นที่มาของชื่อสถาน ที่ต่างๆอาทิชื่อคลองชักพระจากที่ตำ นานเล่าว่าชาวบ้านในท้องถิ่นดังกล่าวพยายามชัก พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ขึ้น จากนํ้าแต่ไม่สำ เร็จ ชื่อตำ บล สัมประทวน อันเพี้ยนมาจาก สามพระทวน และชื่อ แหลมหัววน ของบริเวณริมแม่นํ้า บางปะกงจุดที่เชื่อว่าพระพุทธรูปทั้งสามองค์ลอยทวนนํ้า และลอยวนอยู่ตามลำดับ เป็นต้น เมื่อพิจารณาอนุภาคสำคัญของตำ นาน คืออนุภาคพระพุทธรูปลอยนํ้า พบว่าคล้ายคลึงกับอนุภาคสากลที่พบ ในดัชนีอนุภาคนิทานพื้นบ้าน ของสติธ ทอมป์สัน คือ อนุภาค F 804 floating rock (ก้อนหินลอยนํ้า) ชี้ให้เห็นว่า ทั้งคนไทยและคนในกลุ่มวัฒนธรรมอื่นๆ มีวิธีคิดไม่แตกต่างกันว่าสิ่งที่ปกติมีมวลมากกว่านํ้าอาจลอยนํ้าได้ด้วยพลัง อำ นาจเหนือธรรมชาติ หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่ หลวงพ่อวัดเขาตะเครา


93 ในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตำ นานที่เกี่ยวกับพระพุทธรูปลอยนํ้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ประการที่ ๑ ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าสอดคล้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มชนเจ้าของตำ นาน กล่าวคือ ในแง่หนึ่งเป็น ที่น่าสังเกต ว่าบริเวณที่มักพบตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้า คือ พื้นที่ริมแม่นํ้าเจ้าพระยา แม่นํ้าท่าจีน แม่นํ้าแม่กลอง และแม่นํ้า บางปะกง ทำ ให้สันนิษฐานว่าการเกิดขึ้น การดำ รงอยู่ และการแพร่กระจายของตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าสัมพันธ์ กับเส้นทางการคมนาคมทางนํ้าในสมัยโบราณซึ่งต้องอาศัยแม่นํ้าต่างๆเหล่านี้เป็นสำคัญ และการที่ตำ นานลักษณะนี้ พบมากในกลุ่มชนที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาอาจเป็น “ภาษาสัญลักษณ์” ของการที่พระพุทธรูป ได้รับการ เคลื่อนย้ายจากกรุงศรีอยุธยามายังกรุงรัตนโกสินทร์ด้วยเส้นทางนํ้า เช่น ตำ�นานหลวงพ่อโสธร บางสำ นวนกล่าวถึง การนำ “พระพุทธรูปหนีพม่า” เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ประการที่ ๒ ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าทำ หน้าที่เป็นทั้ง“ตำ นานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำถิ่น”และ“ตำ นานอธิบาย ภูมินาม” ซึ่งผูกโยงเอาพระพุทธรูปสำคัญ กลุ่มชน และท้องถิ่นเข้าไว้ด้วยกัน สำ หรับการอธิบายภูมินามของสถานที่ ในตำ นานเป็นไปทั้งเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ตำ นานในฐานะ “เรื่องจริง” เพราะเกิดขึ้นใน “สถานที่จริง และเพื่อ บอกเป็นนัยว่าตำ นานไม่ได้เป็นเฉพาะประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปเท่านั้นเท่านั้น ทว่าเป็นประวัติของสถานที่ ต่างๆ ภายในท้องถิ่นด้วย ดังนี้แล้วความสัมพันธ์ระหว่าง “พระพุทธรูป” กับ “ท้องถิ่น” และ “กลุ่มชน” จึงผูกโยง กันอย่างเหนียวแน่นและยิ่งพิจารณาร่วมกับอิทธิปาฏิหาริย์“ลอยทวนนํ้า”และ“ลอยวนอยู่กับที่”ก็ยิ่งยืนยันความ ผูกพันระหว่างพระพุทธรูปกับท้องถิ่น ผ่านเนื้อหาของตำ นานที่“สื่อสาร”ว่าพระพุทธรูปประสงค์ที่จะมาประดิษฐาน อยู่ในท้องถิ่น จึงได้แสดงปาฏิหาริย์ลอยทวนนํ้าเพื่อกลับมาประดิษฐาน หรือลอยวนเพื่อยืนยันว่า จะประดิษฐานอยู่ ณ ที่แห่งนั้น ประการที่ ๓ ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าที่กล่าวถึงพระพุทธรูปพี่น้องสื่อถึงร่องรอยความเป็นเครือญาติหรือ เป็นกลุ่มชนต่างท้องที่ที่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่นกรณีของ ตำ�นานหลวงพ่อบ้านแหลม-หลวงพ่อเขาตะเครา ที่ เมื่อสืบค้นแล้วก็พบว่า นอกจากทั้งในจังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดเพชรบุรีต่างก็มีสถานที่ที่ชื่อว่า “บ้านแหลม” เหมือนกันแล้ว ทั้งสองชุมชนยังมีการติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนทรัพยากรกันมาเป็นเวลายาวนานอีกด้วย ในทางกลับกัน บางตำ นานก็แสดงร่องรอยปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนต่างศาสนาต่างวัฒนธรรมที่อาศัยอยู่ใน ท้องถิ่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ตำ�นานหลวงพ่อเกษสมุทร วัดป่างิ้ว จังหวัดปทุมธานีเล่าว่ามีชายสองคน คนหนึ่งชื่อ นายโทนเป็นชาวพุทธเชื้อสายลาว ส่วนอีกคนเป็นอิสลามชื่อว่านายฮับ ทั้งสองลงเรือลำ เดียวกันไปวางเบ็ดราวแม่นํ้า เจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดเจดีย์ทองซึ่งอยู่ด้านใต้ของวัดป่างิ้ว นายโทนเป็นคนถือท้ายเรือส่วนนายฮับเป็นคนสาวราวเบ็ด ปรากฏว่ามีพระพุทธรูปติดเบ็ดมา นายฮับเป็นอิสลามไม่ได้สนใจ นายโทนจึงเป็นผู้นำ พระพุทธรูปขึ้นมาถวายให้พระครู ถาวรกิจโกศลเจ้าอาวาสวัดป่างิ้วในขณะนั้น จากตำ นานเล่าประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ทำ ให้มองเห็น ภาพความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สามโคก จังหวัดปทุมธานีกล่าวคือ แม้จะเป็นตำ นาน พระพุทธรูปใน “วัดมอญ” ทว่ากลับกล่าวว่า ผู้ที่ค้นพบพระพุทธรูปหลวงพ่อเกษสมุทรเป็น “ชาวพุทธเชื้อสายลาว” และ “ชาวอิสลาม” ตลอดจนสื่อภาพการทำ มาหากินอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน


94 ประการที่ ๔ ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าสะท้อนวิธีคิดเรื่องการอธิบายประวัติความเป็นมาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ กลุ่มของตนเคารพนับถือเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่รู้จักทั่วไป อาทิตำ�นานหลวงพ่อธรรมจักร วัดธรรมามูลจังหวัด ชัยนาท และ ตำ�นานหลวงพ่อลอย วัดดอนดำ รงธรรม จังหวัดชลบุรีต่างก็เล่าว่าพระพุทธรูปแต่ละองค์ลอยนํ้ามา ในสมัยเดียวกับหลวงพ่อพุทธโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพระภิกษุและชาวบ้านเห็นเป็น อัศจรรย์จึงอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ที่วัด ประการสุดท้าย หากวิเคราะห์ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้ากับตำ นานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มชนต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม เช่น ตำ�นานกระดานสลักลายอัลกุรอ่านของกลุ่มชาวมุสลิมมัสยิดต้นสน ฝั่งธนบุรีกรุงเทพมหานคร หรือ ตำ�นานรูปพระตายลอยนํ้าของกลุ่มชาวคริสต์เชื้อสายโปรตุเกสในชุมชนกาลหว่าร์ (วัดแม่พระลูกประคำ ) ย่านตลาดน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นต้น นำ ไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า กลุ่มชนเจ้าของตำ นานน่าจะมีความคุ้นเคย กับตำ นานไทยที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ “พระพุทธรูปลอยนํ้า”และได้นำตำ นานเหล่านั้นมาปรับใช้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตน อันหมายถึงว่าแบบเรื่องและอนุภาคสำคัญของตำ นานดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการสร้างเรื่องเล่าในวัฒนธรรม ชาวไทยพุทธเท่านั้น ทว่ายังกลายเป็นต้นแบบของตำ นานในวัฒนธรรมอื่นๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาวไทยพุทธ ในประเด็นเรื่องการดำ รงอยู่ในปัจจุบันของตำ นานพระพุทธรูปลอยน้าํ นอกจากตำ นานพระพุทธรูปลอยน้าํ จะดำรงอยู่เพื่อ“อธิบายที่มา”ของพระพุทธรูปสำคัญในท้องถิ่นนับแต่อดีตจนปัจจุบันแล้วยังนำ ไปสู่ประเพณีพิธีกรรม ของท้องถิ่นที่สอดคล้องกับตำ นานด้วย ตัวอย่างเช่น ตำ�นานพระมหาธรรมราชา จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้คำอธิบาย ที่มาถึงสาเหตุ ลักษณะและช่วงเวลาการประกอบพิธีกรรมอุ้มพระดำ นํ้า ว่า อากัปกิริยาของหลวงพ่อที่ปรากฏใน ตำ นาน รวมถึงช่วงเวลาที่ระบุไว้เป็นเหตุให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ต้องอุ้มพระพุทธรูปพระมหาธรรมราชาดำลง ในแม่นํ้านี้ป่าสักในเทศกาลสารทไทย โดยเชื่อว่าจะทำ ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น งานนมัสการหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง และหลวงพ่อบ้านแหลม จะจัดขึ้นในช่วง เวลาใกล้เคียงกัน กล่าวคือ งานนมัสการหลวงพ่อโสธรจัดขึ้นในวันขึ้น ๑๔ คํ่า ๑๕ คํ่า และแรม ๑ คํ่า เดือนห้า โดย ถือว่าวันที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นจากนํ้ามาประดิษฐานในพระอุโบสถเป็นวันเกิดหลวงพ่อโสธรคืองานนมัสการหลวง พ่อวัดไร่ขิงจัดขึ้นในกลางเดือนห้า ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวันที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ ส่วนงาน นมัสการหลวงพ่อบ้านแหลมจัดขึ้นในเทศกาลสงกรานต์ซึ่งก็คือในเดือน ๕ เช่นเดียวกัน จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้า ในฐานะมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมในฐานะวรรณกรรมพื้นบ้านของของท้องถิ่น และของสังคมไทย ทั้งในแง่วิธีคิดและวิธีบันทึก ประวัติศาสตร์สังคมในมิติต่างๆ ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้า ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปี พุทธศักราช ๒๕๕๘ เอกสารอ้างอิง สายป่าน ปุริวรรณชนะ. ตำ�นานประจำ�ถิ่นริมแม่นาํ้และชายทะเลภาคกลาง: ความสมานฉันท์ในความหลากหลาย. ศูนย์คติชนวิทยาและโครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการคณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๒.


95 ตำ นานพระพุทธสิหิงค์ เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์สืบพงศ์ ธรรมชาติ ตำ นานพระพุทธสิหิงค์ หรือสิหิงคนิทานเป็นตำ นานที่อธิบายประวัติการสร้างและการประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสำคัญองค์หนึ่งของประเทศไทย พระโพธิรังษีปราชญ์เชียงใหม่ได้เขียนตำ นานเกี่ยวกับ พระพุทธสิหิงค์เป็นภาษาบาลีประมาณ พ.ศ. ๑๙๖๐ และบรรยายเรื่องราวมาจนถึง พ.ศ. ๑๙๕๔ สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ รงราชานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์ต่อจากพระโพธิรังษีฉบับปัจจุบันหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ได้เรียบเรียงขึ้นใหม่ เป็นตำ นานย่อและมีข้อวิจารณ์ทางโบราณคดีเพิ่มเติม ตามตำ นานเล่าว่า พระพุทธสิหิงค์สร้างขึ้นในลังกาเมื่อราว พ.ศ. ๗๐๐ และนำ เข้ามาสู่สยามประเทศ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๕๐ ประดิษฐานอยู่ที่กรุงสุโขทัยต่อมามีผู้นำ ไปประดิษฐานที่พิษณุโลกกรุงศรีอยุธยากำแพงเพชรเชียงราย แล้วนำกลับมาประดิษฐานที่กรุงศรีอยุธยาเชียงใหม่ ปัจจุบันประดิษฐานที่กรุงเทพฯคนไทยเชื่อว่าเมื่อพระพุทธสิหิงค์ ประทับอยู่ ณ ที่ใด จะทำ ให้พระพุทธศาสนาที่นั้นรุ่งเรือง ปัจจุบันพระพุทธรูปที่มีนามว่าพระพุทธสิหิงค์มีอยู่ถึง ๓ องค์ คือ องค์ที่อยู่ในพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกรุงเทพมหานคร องค์ที่อยู่ในหอพระสิหิงค์จังหวัดนครศรีธรรมราช และที่ในวัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ คนไทยถือว่าพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปสำ คัญประจำ เทศกาลสงกรานต์ ดังนั้นเมื่อถึง วันสงกรานต์ก็จะอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองทั้ง ๓ องค์ใน ๓ พื้นที่ออกมาให้ประชาชนได้สรงนํ้า สักการบูชาและขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล ตำ นานพระพุทธสิหิงค์ ได้รับ การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปี พุทธศักราช ๒๕๕๓ ภาพ : ฐิติพงศ์ สุขไพบูลย์วัฒน์


96 ตำ นานพระร่วง เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา พระร่วงเป็นนามสามัญที่ใช้เรียกกษัตริย์ผู้ครองแคว้นสุโขทัยและยังเป็นชื่อวีรบุรุษในตำ นานประจำถิ่นของ ชาวบ้านแถบจังหวัดสุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก อุตรดิตถ์และตาก ตำ นานเกี่ยวกับพระร่วงมีทั้งที่เป็นมุขปาฐะและลายลักษณ์ เรื่องเล่าแบบลายลักษณ์บันทึกไว้ในพงศาวดาร ฉบับต่างๆได้แก่ พงศาวดารเหนือจุลยุทธการวงศ์ฉบับความเรียงภาษาไทย ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖ ประชุม พงศาวดารภาคที่ ๑ หนังสือคำ�ให้การชาวกรุงเก่า ราชพงศาวดารกัมพูชา พงศาวดารเมืองเชียงใหม่ฉบับใบลาน ยาวเลขที่ ๑/ ณ พงศาวดารโยนกและชินกาลมาลีปกรณ์ เรื่องพระร่วงที่เป็นมุขปาฐะ เป็นตำ นานประจำถิ่น แบ่งเป็น ๒ แบบ แบบที่ ๑ คือ เรื่อง พระร่วงลูกนาค เน้นที่กำ เนิดพระร่วงและการขึ้นครองเมือง มีลำดับโครงเรื่องดังนี้ เจ้าเมืองได้เสพสังวาสกับนางนาค---นางนาคละทิ้งลูกไว้---มีชาวบ้าน ไปพบเด็กและเก็บมาเลี้ยง---พระร่วง เติบโตขึ้นมีโอกาสได้แสดงอิทธิฤทธิ์เป็นเหตุให้ได้พบพ่อซึ่งเป็นเจ้าเมือง---พระร่วงได้เป็นเจ้าเมือง แบบที่ ๒ ไม่ได้เน้นชาติกำ เนิดแต่เน้นให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของพระร่วงว่าเป็นที่มาของสัตว์สิ่งของ และภูมินาม สถานที่ต่างๆ เช่น ปลาพระร่วง ถนนพระร่วง ไม้เช็ดก้นพระร่วง ข้าวตอกพระร่วง เป็นต้น เรื่องพระร่วงตามที่ปรากฏในพงศาวดารแตกเป็นหลายสำ นวน แต่ส่วนใหญ่มีโครงเรื่องและอนุภาคเหตุการณ์ บางอย่างคล้ายกัน แบ่งเป็น ๓ แบบ ตามกำ เนิดของพระร่วง ดังนี้


97 ๑. พ ระ ร่ วงเป็นกษัต ริย์ ครองเมืองสุโขทัย มีแม่เป็นคน พื้นเมืองเดิม มีพ่อเป็นกษัตริย์ หรือคนต่างถิ่น (โครงเรื่องเหมือน มุขปาฐะแบบที่ ๑) ๒. พระร่วงเป็นเชื้อสาย กษัตริย์ขอม ต่อมาได้เป็นใหญ่ใน หมู่ไทยเมืองใต้(โครงเรื่องเหมือน มุขปาฐะแบบที่ ๑) ๓. พระร่วงเป็นชาวละโว้ ที่แข็งข้อกับขอมซึ่งเป็นชนชั้น ปกครอง ภายหลังได้เป็นกษัตริย์ เมืองสุโขทัย มีโครงเรื่อง ดังนี้ พระร่วงเป็นคนส่งส่วยนํ้า ให้ขอม---พระร่วงใช้วาจาสิทธิ์ แก้ปัญหาการส่งส่วยนํ้า---กษัตริย์ ข อ ม ต้ อง ก า ร ฆ่ าพ ร ะ ร่ วง ผู้ มี อิทธิฤทธิ์---พระร่วงจึงหนีไปบวช ---พระร่วงใช้วาจาสิทธิ์กาจัดทหาร ขอม---พระร่วงได้เป็นเจ้าเมือง ตำ นานชาวบ้านเรื่อง พระร่วง จำ ลองลักษณะของวีรบุรุษแบบ ชาวบ้านไทยที่มีทั้งความเป็นมนุษย์ ปุถุชนและทั้งความเป็นผู้มีอภินิหาร ส่วนพระร่วงในพงศาวดารแสดงร่องรอยที่มาและความสัมพันธ์ของกลุ่มชนชั้นปกครองในดินแดนแถบนี้ในยุคก่อน สมัยอาณาจักรสุโขทัย พระร่วงมีฐานอำ นาจอยู่ทางเมืองใต้เป็นเครือญาติกับขอม เมืองนครศรีธรรมราชและอยุธยา ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับไทยล้านนา นอกจากนี้นิทานที่เล่าว่าพระร่วงเป็นชาวละโว้ปลดแอกจากขอมยังเป็นที่มาของ “บทละครเรื่องพระร่วง” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และละครร้องเรื่อง “อานุภาพ พ่อขุนรามคำแหง” ของหลวงวิจิตรวาทการ ตำ นานพระร่วง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


98 ตำ นานพันท้ายนรสิงห์ เรียบเรียงโดย วัฒนะ บุญจับ ตำ นานเกี่ยวกับพันท้ายนรสิงห์ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ ใน พ.ศ. ๒๒๔๖ - ๒๒๕๒ ว่าพระเจ้าเสือหรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ ประพาสปากนํ้าสาครบุรี(ปัจจุบัน คือจังหวัด สมุทรสาคร)ด้วยเรือพระที่นั่งเอกไชยเพื่อทรงเบ็ด มีพันท้ายนรสิงห์ชาวบ้านนรสิงห์แขวงเมืองอ่างทองเป็นนายท้าย การเสด็จประพาสปากนํ้าสาครบุรีในครั้งนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งไปถึงตำ บลโคกขามคลองบริเวณดังกล่าว มีความ คดเคี้ยวมาก แม้พันท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือพระที่นั่งอย่างระมัดระวังแต่ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงอุบัติเหตุ ทำ ให้ หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในนํ้าได้ พันท้ายนรสิงห์รู้โทษดีว่าความผิดครั้งนี้ถึงประหารชีวิตตามโบราณราชประเพณีจึงกราบทูลพระกรุณาน้อม รับโทษ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่๘ ทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาทจึงพระราชทาน อภัยโทษให้แต่พันท้ายนรสิงห์กราบบังคมยืนยันขอให้ตัดศีรษะตนเพื่อรักษาพระราชกำ หนดกฎหมายและเพื่อมิให้ เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป แม้สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ จะทรงโปรดให้ฝีพายทั้งปวงปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์แล้ว ให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน แต่พันท้ายนรสิงห์ยังคงกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน


99 สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ แม้จะทรงอาลัยรักนํ้าใจ พันท้ายนรสิงห์เพียงใดก็ทรงจำ พระทัยปฎิบัติตามพระราช กำ หนดในกฎมณเทียรบาล ดำ รัสสั่งให้เพชฌฆาตประหาร พันท้ายนรสิงห์แล้วโปรดให้ตั้งศาลเพียงตา นำศีรษะพันท้าย นรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้นขึ้นพลีกรรมไว้ ด้วยกัน ภายหลังพระเจ้าเสือได้ทรงให้พระยาราชสงคราม คุมไพร่พลจำ นวน ๓,๐๐๐ คน ทำ การขุดคลองลัด คลองโคกขามที่คดเคี้ยว ไปออกที่บริเวณแม่นํ้าท่าจีนกว้าง๕ วา ลึก ๖ ศอก สร้างเสร็จในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ. ๒๒๕๒ ได้พระราชทานนามคลองนี้ว่าคลองสนามไชย ต่อมาเรียกเป็นคลองมหาชัยซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองมหาชัย แต่ชาวบ้านทางสมุทรสาครเรียกว่าคลองถ่าน เพราะสองข้าง คลองแถบนี้มีการเผาถ่านอยู่มากแต่ต้นคลองฝั่งธนบุรีมีการ ตั้งด่านอยู่คนฝั่งธนบุรีจึงเรียกชื่อว่าคลองด่าน


100 มีเรื่องพันท้ายนรสิงห์เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์เล่าว่า มีนามเดิมว่า สิงห์แต่ก่อนท่านก็เป็นนักมวยที่เก่งมาก และก็เคยขึ้นชกกับพระเจ้าเสือมาแล้ว แต่ว่าเสมอกัน พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจจึงให้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นราชองครักษ์ส่วนเหตุการณ์ที่ทำ ให้พันท้ายนรสิงห์ต้องโทษประหารนั้น เพราะท่านทราบว่าจะ มีพวกกบฏมาดักทำ ร้ายพระเจ้าเสือ จึงจำ เป็นต้องถ่วงเวลาขบวนเสด็จด้วยการทำ ให้หัวเรือหักและยอมให้ตนเองถูก ประหารตามกฎมณเฑียรบาลเพื่อมิให้ไปถึงจุดที่กบฏวางแผนเอาไว้เมื่อพระเจ้าเสือทรงทราบ จึงได้ให้บันทึกไว้ใน พงศาวดาร และให้ตั้งศาลขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ในปัจจุบัน มีการนำ เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์มาสร้างสรรค์เป็นนวนิยาย ละครเวทีและภาพยนตร์สำ หรับ ภาพยนตร์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ทรงนำ เรื่องพันท้ายนรสิงห์มาเขียนเป็นนวนิยายเมื่อได้รับ ความนิยมมากในยุคที่ละครเวทีเฟื่องฟูพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคลได้ขายกิจการไทยฟิล์มให้กอง ภาพยนตร์ทหารอากาศ แล้วตั้งคณะละครชื่อ อัศวินการละคร และได้ทรงทำ เรื่องพันท้ายนรสิงห์เป็นละครเวทีเมื่อ ละครเวทีหมดความนิยม พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลก็หันกลับมาสร้างภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่งในนาม อัศวินภาพยนตร์จึงได้นำ เรื่องพันท้ายนรสิงห์มาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก เนื้อเรื่องตามละครและภาพยนตร์ พระเจ้าเสือไม่ยอมประหาร แต่ให้ปั้นรูปปั้นแล้วทำการตัดหัวรูปปั้นแทน แต่พันท้ายนรสิงห์ไม่ยอมเพราะจะเป็นการขัดกฎมณเฑียรบาล จึงขอให้ประหาร เพื่อมิให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ก่อนที่จะประหารพันท้ายนรสิงห์ได้ขอกลับบ้านไปรํ่าลาแม่สีนวลผู้ภรรยา จากนั้นพันท้ายนรสิงห์จึงกลับมารับ โทษประหารในวันเดียวกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของอัศวินภาพยนตร์ถ่ายทำ ในปีพ.ศ. ๒๔๙๑ ในระบบฟิล์ม ๑๖ มม. กำกับการแสดงโดย มารุตถ่ายภาพโดยรัตน์เปสตันยีอำ นวยการสร้างโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล (เสด็จพระองค์ชายใหญ่) กลับมาฉายใหม่อีก ๒ ครั้ง ในปีพ.ศ. ๒๕๐๑ และ พ.ศ. ๒๕๐๙ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำ มาสร้างใหม่อีกครั้งเป็นภาพยนตร์๓๕ มม. ในปีพ.ศ. ๒๕๒๕ โดยมีการปรับเปลี่ยนชื่อ เรื่องใหม่เป็น พระเจ้าเสือ พันท้ายนรสิงห์กำกับการแสดงโดย เนรมิต นอกจากนั้น ยังมีการนำ เรื่องราวของพันท้าย นรสิงห์มาผลิตเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ (ละครโทรทัศน์ที่ใช้วิธีการถ่ายทำแบบภาพยนตร์) ที่มีกำ หนดออกอากาศ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓ ในปีพ.ศ. ๒๕๕๗ ผลงานกำกับและเขียนบทของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ผู้จงรักภักดีและซื่อสัตย์ที่จังหวัดสมุทรสาครมีศาลพันท้ายนรสิงห์ตั้งอยู่ที่บ้านพันท้าย นรสิงห์ตำ บลพันท้ายนรสิงห์อำ เภอเมืองสมุทรสาคร เป็นอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่อให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึงความ ซื่อสัตย์และเป็นผู้รักษากฎระเบียบยิ่งกว่าชีวิตของพันท้ายนรสิงห์ปัจจุบันได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณ สถานของชาติ ในราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๗๒ ตอนที่ ๒ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๘ กรมศิลปากรได้ดำ เนินการจัดสร้าง ศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้นอยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงมาไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบๆ ศาลไว้ประมาณ ๑๐๐ ไร่ เพื่อจัดตั้งเป็น “อุทยานพันท้ายนรสิงห์” ภายในศาลมีรูปปั้นของพันท้ายนรสิงห์ขนาดเท่าคนจริงในท่าถือท้ายคัดเรือ นอกจากนั้น ชื่อของ พันท้ายนรสิงห์ยังถูกใช้เป็นเครื่องหมายการค้าสำ หรับสินค้าพื้นเมืองหลายประเภท เช่น นํ้าพริกเผา นํ้าจิ้มสุกี้นํ้าจิ้มไก่ซอสปรุงรส นํ้าพริก กะปิฯลฯ ตำ นานพันท้ายนรสิงห์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗


101 ตำ นานแม่นากพระโขนง เรียบเรียงโดย สุมามาลย์ พงษ์ไพบูลย์ ตำ นาน แม่นากพระโขนงเป็นนิทานท้องถิ่นของภาคกลางที่มีสถานที่อ้างอิงอยู่ในเขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร ได้แก่อาณาบริเวณที่เชื่อว่าเป็น ละแวกบ้านชุมชนพระโขนง มีลำคลองพระโขนงผ่านศาลาท่านํ้าของวัดมหาบุศย์ ซึ่งตั้งอยู่ริมคลอง ปัจจุบันคือคลองประเวศน์ภายในวัดมหาบุศย์เป็นที่ตั้งของ ศาลแม่นากพระโขนง ซึ่งมีประชาชน จากทุกภูมิภาคมาสักการะบูชาเนืองแน่นตลอดทุกวัน เพื่อสักการะ เพื่ออธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการ และเพื่อมาแก้บน ตามที่เคยขอไว้


102 เนื้อเรื่องของตำ นาน แม่นากพระโขนง เป็นเรื่อง รักโศกสะเทือนใจ โดยที่ตัวเอกคือ หญิงสาวชื่อนาก ได้แต่งงานกับนายมาก ระหว่างอยู่กินได้ตั้งครรภ์ บังเอิญช่วงนั้นนายมากถูกเกณฑ์ทหาร จึงต้องไปรับ ราชการทหาร นางนากคลอดลูกและเสียชีวิต เรียก ว่าตายทั้งกลม ด้วยความรักจึงทำ ให้วิญญาณผูกพัน กับชีวิตเดิม ได้ปรากฏตัวให้คนเห็นในรูปแบบต่างๆ เช่น เป็นแม่นากคนเดิม ทำกิจวัตรประจำ วันเช่นเดิม เพื่อรอสามีกลับมา เมื่อความปรากฏขึ้นจึงทำ ให้มี การปราบผีแม่นากด้วยวิธีการต่างๆ โดยใช้พระมาทำ พิธีสวดส่งวิญญาณ ใช้หมอผีมาปราบหลายครั้ง ก็ยังปรากฏตัวอยู่ สุดท้ายเรื่องเล่านี้ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้และได้ทำ พิธีเผาศพแม่นากโดยเก็บกระดูกส่วนหน้าผากไว้แต่ปัจจุบัน สูญหายไปแล้ว อาจกล่าวได้ว่าตำ นาน แม่นากพระโขนง เป็นนิทานเรื่องผีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในระดับประเทศ ถูกนำ มาเล่าสู่กันฟัง นำ มาร้องเป็นเพลงแทรกในบทแสดงต่างๆจนเป็นลิเกละคร ภาพยนตร์ภาพการ์ตูน บทละครร้อง บทละครเพลง ฯลฯ จนถึงปัจจุบันได้ถูกนำ มาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายครั้ง สาเหตุที่เรื่องราวของแม่นากพระโขนงยังได้รับความนิยมจนทุกวันนี้เพราะเป็นเรื่องเล่าที่มีเค้าเรื่องจริง ปรากฏ สถานที่จริงและมีรูปปั้นปรากฏอยู่ มีชื่อบุคคลจริงที่เข้ามาเกี่ยวข้องหลายท่าน ล้วนเป็นบุคลากรสำคัญของบ้านเมือง ในยุคนั้นนอกจากนี้เนื้อหายังซาบซึ้งเพราะเป็นเรื่องรักโศกสะเทือนใจแสดงอานุภาพของความรักที่ก่อให้เกิดความสุข และความทุกข์โศกเมื่อจากพราก แม้สิ้นชีวิตไปแล้ว ความรักยังคงอยู่จึงสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ นั่นคือ กิเลสกรรม ทั้งยังแสดงให้เห็นกฎแห่งกรรม ในการเวียนว่ายตายเกิดแก่ เจ็บตายและกฎของไตรลักษณ์คืออนิจจัง ทุกขังอนัตตา ว่าในความเป็นจริงกฎของไตรลักษณ์ในพุทธศาสนานั้นไม่มีใครเลี่ยงพ้น เพราะทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นล้วนทำ ให้เป็นทุกข์ทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น สอนใจคนไม่ให้มองข้ามไตรลักษณ์นี้ไป เพื่อใช้ชีวิตในโลกนี้อย่างเป็นสุขตามสภาพการณ์ที่จะผ่านเข้ามา ตำ นานแม่นากพระโขนง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔


103 *เสฐียรโกเศศ (นามแฝง). เทศกาลสงกรานต์. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๒๙ ตำ นานสงกรานต์ เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล คนไทยทุกภาคในประเทศไทยล้วนมีประเพณีสงกรานต์ที่สืบทอดกันมา บ้างถือว่าเป็นปีใหม่ บ้างถือเพียงเป็น ประเพณีสาดนํ้า พระยาอนุมานราชธน กล่าวถึงความหมายของสงกรานต์ไว้ใน เทศกาลสงกรานต์ ว่า สงกรานต์เป็นคำ ภาษาสันสกฤต แปลว่าผ่าน หรือเคลื่อนย้ายเข้าไป ซึ่งในที่นี้หมายถึงพระอาทิตย์ ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในจักรราศีใดราศีหนึ่งก็เรียกว่าสงกรานต์ จักรราศีคือวงกลมเป็นรูปไข่ใน ท้องฟ้าซึ่งสมมติเป็นทางที่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวพระเคราะห์โคจรผ่านเข้าไป โคจรแปลว่าทางไป ของโค แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่างัว แต่หมายถึงพระอาทิตย์ และใช้ได้ตลอดถึงพระจันทร์และดาวพระ เคราะห์ด้วย จักรราศีนั้นแบ่งตามขวางออกเป็น ๑๒ ส่วนเท่ากัน หรือ ๑๒ ราศี ซึ่งแต่ละราศีก็มีกลุ่มดาว อยู่ในนั้น เป็นเฉพาะของราศีหนึ่งๆ (เดี๋ยวนี้เคลื่อนที่ไปแล้ว) เหตุนี้ราศีจะแปลว่ากลุ่มดาวก็ได้ ... กลุ่ม ดาวที่อยู่ในราศีหนึ่งๆ มีดวงดาวในกลุ่มหลายดวงเรียงรายกันเป็นรูปต่างๆ ไม่เหมือนกัน และเขาสมมติรูป ของกลุ่มดาวเหล่านี้ เช่น เป็นกลุ่มดาวแพะ กลุ่มดาวงัว และอื่นๆ เป็นต้น จนครบ ๑๒ ราศี พระอาทิตย์ เมื่อโคจรเข้าไปในราศีใด และกว่า จะผ่านพ้นราศีนั้นไปสู่อีกราศีหนึ่ง ก็เป็นเวลาเดือนหนึ่ง เมื่อผ่านไป ครบ ๑๒ ราศี ก็เป็นเวลาได้ ปีหนึ่งโดยประมาณ* ในหมู่ชนชาติไทนอกประเทศไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา ก็ล้วนมีประเพณีสงกรานต์แทบทั้งสิ้น ทั้งนี้ อาจมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น คนไทใหญ่ในรัฐฉานเรียก ปอยสางแจ่น หรือปอยสางแก่น คนไทใต้คงและคนไทลื้อ ในสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน เรียก ปอยซ้อนนํ้า หรือ ปอยสาดนํ้า เป็นต้น ส่วนตำ นานเกี่ยวกับสงกรานต์ก็มีชื่อเรียกต่างๆ กันไป เช่น ตำ นานสงกรานต์ ตำ นานมหาสงกรานต์ พระมหาสงกรานต์ชาดก อานิสงส์มหาสงกรานต์ (ภาคกลาง, ภาคใต้, ภาคอีสาน) ตำ นานปีใหม่เมือง (ภาคเหนือ) นับเป็นตำ นานเก่าแก่เรื่องหนึ่งของไทย


104 หลักฐานลายลักษณ์ที่เก่าที่สุดที่บันทึกตำ นานสงกรานต์คือจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จำ นวน ๗ แผ่น ติดอยู่บนผนังในศาลาเฉลียงด้านทิศเหนือเป็น ๑ ใน ๔ ศาลาเฉลียงรอบทิศใหญ่ทั้งสี่ทิศของ พระมณฑป (หอไตรจตุรมุข) ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ใกล้กับจารึกรามัญหุงข้าวทิพย์จารึกเหล่านี้นำ มาติดในศาลาเฉลียงเมื่อคราวปฏิสังขรณ์ วัดพระเชตุพน เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างไรก็ตามปัจจุบันพบว่าจารึก ดังกล่าวมิได้มีติดอยู่ในตำแหน่งเดิม สันนิษฐานว่าคงสูญหายไปในคราวบูรณะ พระอารามวัดพระเชตุพนฯเมื่อหลาย สิบปีก่อน อย่างไรก็ตาม ตำ นานสงกรานต์น่าจะแพร่หลายมาแต่ครั้งอยุธยาโดยได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องการทายปัญหา ระหว่างพรหม ๒ องค์และอีกฝ่ายรู้คำตอบได้จากนกมาจากนิทานของพราหมณ์ที่เล่าต่อๆ กันมาโดยสมัยอยุธยามี บันทึกเรื่องเล่าเช่นนี้คือรูปแบบการถามปัญหาเรื่องสิริที่มีเดิมพันถึงชีวิตที่เรียกว่า “ปกรณัม” ซึ่งมีที่มาจากนิทาน อินเดียและนิทานเปอร์เซีย ปกรณัมที่เกี่ยวข้องกับตำ นานนี้คือ ปักษีปกรณัม ทั้งนี้ปัญหาที่ว่าด้วยเรื่องสิริมงคลของ มนุษย์นั้น เป็นเรื่องที่แพร่หลายรู้กันทั่วไปในสมัยอยุธยาแล้ว และคนไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นรับรู้กันค่อนข้าง แพร่หลาย ดังจะเห็นได้จากงานประพันธ์ของสุนทรภู่ใน “สวัสดิรักษาคำกลอน” ตำ นานสงกรานต์นี้ใช้อธิบายความเป็นมาของประเพณีสงกรานต์ของไทย มีหลากหลายสำ นวนตามบริบท ของแต่ละท้องถิ่น แต่มิได้เป็นตำ นานที่อธิบายที่มาของประเพณีเถลิงศกหรือขึ้นปีใหม่ของไทยในสมัยโบราณ เพราะ เนื่องจากเดิมคนไทย-ไท ถือเอาเดือนอ้ายเป็นเดือนขึ้นปีใหม่ และมีพิธีเดือนห้า เป็นเดือนของบุญสงกรานต์ครั้นใน สมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๓๒ ได้กำ หนดให้วันที่ ๑ เมษายนของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ และจึงได้รวมเอา ปีใหม่และ สงกรานต์มาผนวกกันนับแต่นั้น จึงเกิดความคลาดเคลื่อนว่าตำ นานสงกรานต์เป็นตำ นานที่อธิบายการขึ้นปีใหม่ด้วย เนื้อความของตำ นานสงกรานต์ตามจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งกล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งรวยทรัพย์แต่ไม่มีบุตรตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลง สุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจจึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์พระจันทร์ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปียังไร้วี่แวว ที่จะมีบุตรอยู่มาวันหนึ่งพอถึงเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมนํ้า พอถึงก็ได้เอา ข้าวสารลงล้างในนํ้าเจ็ดครั้งแล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐีจึงเหาะ ไปเฝ้าพระอินทร์พระอินทร์ประทานเทพบุตรองค์หนึ่งนาม “ธรรมบาล” ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐีไม่ช้า ก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้นได้เรียนรู้ซึ่งภาษานกและเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์ บอกมงคลต่างๆแก่คนทั้งหลายอยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหมได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อถ้าธรรมบาล กุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชาแต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนคํ่าศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับ ท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา ๗ วันธรรมบาลกุมารพยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่๖ ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาท มานอนอยู่ใต้ต้นตาล คิดว่าจะขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี ๒ ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใดสามีตอบนางนกว่าเราจะไปกินศพ


105 ธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคือ อะไรสามีก็เล่าให้ฟังซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้สามีจึงเฉลยว่าตอนเช้าศรีจะอยู่ที่หน้าคนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้าตอนเที่ยงศรีจะอยู่ที่อกคนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อกส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้าคนจึงต้องล้างเท้าก่อน เข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำ ไว้ ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไป ตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร นํ้าก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำ พานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ หรือ ทุงษเทวีผู้เป็นธิดาองค์โตจากนั้นนางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ๖๐ นาทีแล้ว เก็บรักษาไว้ในถํ้าคันธุลีในเขาไกรลาศจากนั้นมาทุกๆ ปีธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง ๗ จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมา ทำ หน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุแล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์ แต่ละนางจะทำ หน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ดังนี้ ๑. นางสงกรานต์ทุงษเทวี ทุงษเทวีเป็น นางสงกรานต์ประจำวันอาทิตย์ทัดดอกทับทิม มีปัทมราค (แก้วทับทิม) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ อุทุมพร (มะเดื่อ) อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้าย ถือสังข์เสด็จไสยาสน์เหนือครุฑ ๒. นางสงกรานต์โคราคเทวี โคราคเทวีเป็น นางสงกรานต์ประจำวันจันทร์ทัดดอกปีบ มีมุกดาหาร(ไข่มุก) เป็นเครื่องประดับภักษาหารคือเตละ(นํ้ามัน)อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้า เสด็จประทับเหนือพยัคฆ์(เสือ)


106 ๓. นางสงกรานต์รากษสเทวีรากษสเทวีเป็นนางสงกรานต์ ประจำ วันอังคาร ทัดดอกบัวหลวง มีโมรา (หิน) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือโลหิต(เลือด)อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือตรีศูล พระหัตถ์ ซ้ายถือธนูเสด็จประทับเหนือวราหะ (หมู) ๔. นางสงกรานต์มัณฑาเทวีมัณฑาเทวี เป็นนางสงกรานต์ ประจำ วันพุธ ทัดดอกจำ ปา มีไพฑูรย์ (พลอยสีเหลืองแกมเขียว) เป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือ นมและเนย อาวุธคู่กาย พระหัตถ์ ขวาถือเหล็กแหลม พระหัตถ์ซ้ายถือไม้เท้าเสด็จไสยาสน์เหนือคัสพะ(ลา) ๕. นางสงกรานต์กิริณีเทวี กิริณีเทวีเป็น นางสงกรานต์ประจำ วันพฤหัสบดีทัดดอกมณฑา (ยี่หุบ) มีมรกตเป็นเครื่องประดับ ภักษาหาร คือถั่วและงาอาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์พระหัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จไสยาสน์เหนือคชสาร (ช้าง)


107 ด้วยความแพร่หลายของตำ นานสงกรานต์และความเป็นพุทธศาสนิกชนของคนไทยที่นิยมทำ บุญ ในเทศกาล ต่างๆเพื่อความเป็นสิริมงคลจึงเกิดการนำตำ นานสงกรานต์ไปสร้างสรรค์เป็นนิทานชาดกเรียกว่า พระมหาสงกรานต์ ชาดก สำ หรับให้พระภิกษุใช้เทศน์ในวันมหาสงกรานต์ ในเทศกาลสงกรานต์ โดยกำ หนดให้นกอินทรีผู้เป็นสามีเป็น พระโพธิสัตว์นอกจากนี้ยังพบว่าในบางท้องถิ่นใช้เรียกว่าเทศนาอานิสงส์พระมหาสงกรานต์แต่อย่างไรก็ตาม อานิสงส์ พระมหาสงกรานต์ ในบางสำ นวนก็มิได้กล่าวถึงเรื่องธรรมบาลกุมารและกบิลพรหม หากแต่กล่าวถึงพระพุทธพจน์ เป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกี่ยวกับความร้อน ของพระอาทิตย์ที่ช่วงเทศกาล สงกรานต์ที่เป็นภัยแก่มนุษย์และวิธีการที่มนุษย์จะพ้นจากภัยอันเกิดจากความร้อน ของดวงอาทิตย์ตลอดจนทูล ถามถึงอานิสงส์ของการรดนํ้า บิดามารดา ครูบาอาจารย์พระสงฆ์พระพุทธรูป พระเจดีย์และต้นโพธิ์นอกจากนี้ยัง มีการเล่าตำ นานการปล่อยนกปล่อยปลา แทรกไว้ในเรื่องด้วยนอกจากนี้ตำ นานสงกรานต์ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ ทำ ปฏิทินสงกรานต์ประจำ ปีทั้งในของภาคกลาง และปฏิทินล้านนา โดยอ้างอิงถึงนางสงกรานต์ประจำ ปีนั้นๆ ด้วย และผูกโยงกับคำ พยากรณ์ดวงชะตาของบ้านเมืองในแต่ละปี ๖. นางสงกรานต์กิมิทาเทวี กิมิทาเทวีเป็น นางสงกรานต์ประจำ วันศุกร์ ทัดดอกจงกลนีมีบุษราคัม เป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือกล้วยและนํ้าอาวุธคู่กาย พระหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายถือพิณ เสด็จ ประทับยืนเหนือมหิงสา (ควาย) ๗. นางสงกรานต์มโหทรเทวี มโหทรเทวีเป็น นางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ทัดดอกสามหาว(ผักตบชวา) มีนิลรัตน์เป็นเครื่องประดับ ภักษาหารคือเนื้อทรายอาวุธ คู่กาย พระหัตถ์ขวาถือจักร พระหัตถ์ซ้ายถือตรีศูล เสด็จ ประทับเหนือมยุราปักษา (นกยูง)


108 ปัจจุบันมีการนำตำ นานสงกรานต์ไปใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเทศกาลสงกรานต์อย่างแพร่หลาย ทั้งการ แสดงประกอบแสงสีเสียง การใช้เป็นแนวคิดในการออกแบบและตกแต่งขบวนรถบุปผชาติในงานเทศกาลสงกรานต์ ตลอดจนการจัดการประกวดนางสงกรานต์แสดงให้เห็นถึงความรับรู้และความแพร่หลายของ ตำ นานสงกรานต์ที่มี มาอย่างต่อเนื่องตราบจนปัจจุบัน ตำ นานสงกรานต์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ เอกสารอ้างอิง คัมภีรนิเทศ (คำ ), พระครู. เทศนาเรื่อง มหาสงกรานต์ ปุจฉาวิสัชนา ๒ ธรรมมาสน์. ขอนแก่น : บริษัท คลังนานา ธรรมจำกัด. ๒๔๙๑. จ.เปรียญ (นามแฝง). อานิสงส์ ๑๐๘ กัณฑ์ ฉบับเพิ่มเติมใหม่. กรุงเทพฯ: อำ นวยสาส์น. ทรงศักดิ์ปรางค์วัฒนานุกุล, บรรณาธิการ.สงกรานต์ใน ๕ ประเทศ : การเปรียบเทียบทางวัฒนธรรม.การประชุม ทางวิชาการระดับนานาชาติวันพุธที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๙ ณ ห้องบ้านแสนตอโรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่ :สำ นักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมกับ กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ. ๒๕๓๙. ธรรมพื้นเมือง: ตำ�นาน-อานิสงส์ปีใหม่พื้นเมือง (ปี๋ใหม่เดือนเมษายน). (มปป.). ลำ�พูน: ร้านภิญโญ. นิยะดา เหล่าสุนทร. นิทานเรื่องตำ�นานสงกรานต์ที่ไม่ได้มาจากมอญ. ศิลปวัฒนธรรม. ประคอง นิมมานเหมินท์. ประเพณีสงกรานต์. กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. ๒๕๕๔ ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน. จัดพิมพ์เป็นที่รฤกฉลองจารึกวัดโพธิ์ มรดกความทรงจำ�แห่งโลก (๒๕๕๕). กรุงเทพฯ: คณะสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม. ส.พลายน้อย. ตรุษสงกรานต์ : ประวัติความเป็นมาของปีใหม่ไทยสมัยต่างๆ. กรุงเทพฯ : นํ้าฝน. ๒๕๔๓. สุจิตต์วงษ์เทศ. บรรณาธิการ.สงกรานต์: ขึ้นฤดูกาล (ปีใหม่) ของพราหมณ์สุวรรณภูมิ.กรุงเทพฯ:สำ นักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร. ๒๕๕๐. อนุมานราชธน, พระยา. เทศกาลสงกรานต์. กรุงเทพฯ : กองวัฒนธรรม กรมการศาสนา. ๒๕๒๒. อภิลักษณ์เกษมผลกูล. ปฏิบัติการร้องเพลงขอทาน : ธรรมเนียมสงกรานต์ที่เมืองตราด. ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ ๓๒ ฉบับที่ ๖ หน้า ๑๒๒- ๑๓๑. ๒๕๕๔ อภิลักษณ์เกษมผลกูล(มปป.). บทปริวรรตเรื่อง พระมหาสงกรานต์ชาดก. ฉบับวัดใหญ่พลิ้ว ต.พลิ้ว อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี. หอสมุดรัชมังคลาภิเษกจันทบุรี(เอกสารตัวเขียน)


109 ตำ นานสร้างโลกภาคใต้ เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์ชวน เพชรแก้ว ตำ นานสร้างโลกฉบับป่าลาม เรียกชื่อตามแหล่งที่พบ ต้นฉบับเป็นหนังสือบุดขาว เป็นสมบัติของหมอดำ แห่งบ้านป่าลาม ตำ บลช้างไห้ตก อำ เภอโคกโพธิ์จังหวัดปัตตานีปัจจุบันต้นฉบับเก็บรักษาไว้ที่บ้านเลขที่ ๒๒/๕๐ ถนนหนองจิกตำ บลสะบารังอำ เภอเมืองจังหวัดปัตตานีฉบับอื่นซึ่งมีเนื้อหาเดียวกันที่พบแล้วได้แก่ฉบับบ้านทุ่งลัง อำ เภอคลองหอยขม จังหวัดสงขลา ตำ นานสร้างโลกฉบับบ้านป่าลาม มีตัวเอก คือ พระอิศวร และพระอุมาที่เหล่าเทวดาอันมีพระอินทร์เป็น องค์ประธาน ได้ชุบสรรค์ขึ้นมาเป็นองศ์ปฐมของบรรดาเหล่าสรรพสัตว์และพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหลายที่มีขึ้นในโลก โดยเฉพาะต้นกำ เนิดและวิธีการประกอบพิธีกรรมต่างๆตำ นานค่อนไปทางฮินดูลัทธิไศวนิกายลัทธิศักติและความเป็น พุทธมหายาน ลัทธิตันตระ-วัชรยาน เนื้อเรื่อง เริ่มจากเหล่าเทพยดาเนรมิตเทวบุตร คือ “พระบอริเมนสูน” ต่อจากนั้นเหล่าเทวดาได้ใช้ให้ พระบอริเมนสูนสร้างโลกขึ้นมา โดยสร้างแผ่นดินขึ้นมาก่อนเท่าใบหว้า ลำดับต่อมาจึงสร้างมหาสมุทร พระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขา แม่นํ้า ลำคลอง ตลอดจนสร้างพระอิศวรและพระอุมาขึ้น โดยให้พระอิศวรเป็นเจ้าแห่งแผ่นดิน


110 และพระอุมาเป็นเจ้าแห่งนํ้า ทั้งสองเป็นมนุษย์ชายหญิงคู่แรกของโลก ได้ครองคู่กันนานถึง ๑๒ ปีเศษ โดยไม่มีความรู้สึกทางเพศ จนเมื่อ พระอินทร์เสกผลหว้าให้กินทั้งคู่จึงมีความกำ หนัดและมีลูกต่อเนื่องกัน ถึง ๑๒ คน ทั้งหมดได้จับคู่แต่งงานกันเอง ลูกคนแรกคือ “สุวันนะไพจิต” แต่งงานกับ “นางสีดอกไม้” เมื่อทั้งสองสมสู่กันได้สิ้นใจตายไปเกิดเป็น “แม่โพสพ” หรือต้นข้าวเพื่อเลี้ยงดูมนุษย์โลก ลูกทั้ง ๑๒ คน ต่างพูดจากัน คนละภาษาจึงเป็นที่มาของ ๑๒ ชาติ๑๒ ภาษา และเป็นต้นเหตุแห่ง ๑๒ นักษัตร


111 ต่อจากนั้นเหล่าเทวดาทั้งหลายได้เนรมิตให้เกิดวัน เดือน ปีและทิศต่างๆขึ้น ๘ ทิศ มีทวีปเกิดขึ้น คือ“ชมพูทวีป” คือโลกมนุษย์ของเรา มีประชากรหน้าเหมือนผาลไถนา“ทวีปบูรพิด” มีประชากรหน้าเหมือนเดือนเพ็ง“ทวีปมอรอ โคธานี” มีประชากรหน้าเหมือนงัวและ“ทวีปอุดอนประกาโหร” ประชากรหน้าเหมือนไก่ครอบครัวพระอิศวรและ พระอุมาต่างก็ให้กำ เนิดบุตรหลานสืบต่อกันมาจนเป็นพลโลกในปัจจุบัน ลูกหลานบางคนเป็นเจ้าแห่งคาถา บางคน เป็นเจ้าแห่งหยูกยารักษาโรค และครอบครัวของพระอิศวรได้ก่อให้เกิดพิธีกรรมทั้งหลาย อันเป็นปฐมแห่งความเชื่อ และพิธีกรรมในเรื่องการเกิด การแต่งงาน รวมทั้งงานมงคลต่างๆ การตาย การทำศพ การทำ ไร่ทำ นา ตำ นานเรื่องนี้แม้เนื้อหาจะหนักไปทางตำ นานฮินดูแต่ก็มีคติความเชื่อทางพุทธศาสนาและคติความเชื่อดั้งเดิม ของชาวมลายูในท้องถิ่นผสมผสาน ในปัจจุบัน ยังคงมีอิทธิพลต่อชาวบ้านภาคใต้ตอนล่างอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ เป็นตำ นานอ้างอิงในการประกอบประเพณีต่างๆ ในวิถีชีวิตคนภาคใต้ ตำ นานสร้างโลกภาคใต้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


112 ตำ นานหลวงปู่ทวด เรียบเรียงโดย สายป่าน ปุริวรรณชนะ ตำ นานหลวงปู่ทวด เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเกจิอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งของไทย เรื่องราวของหลวงปู่ทวด ปรากฏทั้งในเอกสารประวัติศาสตร์และในตำ นาน มุขปาฐะซึ่งมีเรื่องราวเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของท่านปรากฏอยู่ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าว่ามีงูจงอางนาลูกแก้ววิเศษมาใส่ไว้ใน เปลของท่านเมื่อแรกเกิด เรื่องท่านแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เหยียบนํ้า ทะเลให้กลายเป็นนํ้าจืดเรื่องท่านตอบปริศนาธรรมชนะทูตต่างเมือง เรื่องท่านเป็นพระโพธิสัตว์พระศรีอาริยเมตไตรย์ เรื่องการมรณภาพ ด้วยวิธี“โละ” หายไป เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่องการเหยียบนํ้าทะเล จืดนั้น ถือได้ว่าเป็นการสำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ครั้งสำคัญ ทำ ให้ท่านมี สมญานามว่า “หลวงปู่ทวดเหยียบนํ้าทะเลจืด” ตำ นานเกี่ยวกับหลวงปู่ทวดดำ รงอยู่ในสังคมไทย ทั้งที่เป็น ตำ นานมุขปาฐะและวรรณกรรมบันทึกชีวประวัติพระภิกษุรูปสำคัญ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงในรูปแบบการ์ตูน เอนิเมชั่น อันแสดงให้เห็นถึงความสำ คัญและความแพร่หลาย ของตำ นานเรื่องนี้ยิ่งไปกว่านั้น ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวด ที่เล่าขานสืบต่อกันมายังนำ ไปสู่การสร้างวัตถุมงคลอันเกี่ยวเนื่องกับ หลวงปู่ทวดในรูปแบบต่างๆอาทิพระเครื่องเหรียญ ผ้ายันต์เป็นต้น อีกทั้งยังก่อให้เกิดการสร้างสรรค์เรื่องเล่าเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ของ วัตถุมงคลเหล่านี้อย่างมากมาย ไม่จบสิ้น


113


114 ยิ่งไปกว่านั้น ตำ นานหลวงปู่ทวดเหยียบ นํ้าทะเลจืด ยังสัมพันธ์กับตำ นานอื่นๆ ใน สังคมไทย ได้แก่ ตำ นานพระเจ้าปทุมสุริวงศ์ ในหนังสือคำ ให้การชาวกรุงเก่าตำ นานโต๊ะวาลี ของชาวมุสลิมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระยองและตราด ตำ นานพระศรีอาริย์วัดไลย์ จังหวัดลพบุรีตลอดจนนิทานเรื่อง ศรีธนญชัย ตอนศรีธนญชัยโต้ปัญหาธรรมกับพระสงฆ์ ชาวลังกา สิ่งที่ปรากฏอยู่นี้แสดงให้เห็นความ สำคัญและการแพร่กระจายของ ตำ นานหลวง ปู่ทวดเหยียบนํ้าทะเลจืดในสังคมไทยอันควรค่า แก่การได้รับการบันทึกเป็นมรดกทางภูมิปัญญา ของไทยเป็นอย่างยิ่ง ตำ นานหลวงปู่ทวดได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


115 ตำ นานอุรังคธาตุ เรียบเรียงโดย พจนีย์ เพ็งเปลี่ยน คำว่าอุรังคธาตุนักวิชาการผู้รู้และพระสงฆ์ทราบว่าหมายถึง พระบรมสารีริกธาตุส่วนพระอุระหรือหน้าอก ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มาบรรจุไว้ที่พระธาตุพนม แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ในสมัยอดีตแถบบริเวณภาคอีสาน รวมถึงประชาชนทางฝั่งซ้ายของแม่นํ้าโขงเลื่อมใสศรัทธาต่อองค์พระธาตุพนมอย่างสูงสุด แต่ปัจจุบันนี้คนทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศรู้จักดีว่าหมายถึง พระธาตุพนม ที่บรรจุพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้าว่าเป็นพระธาตุ ศักดิ์สิทธิ์ที่คนภาคอีสานภาคภูมิใจ พุทธศาสนิกชนต่างก็มาเคารพสักการบูชาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โครงเรื่องหลักกล่าวถึงการสร้างพระธาตุพนม โดยแสดงให้เห็นถึงแนวคิดการสร้างโดยใช้อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใน การเล่า เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระธาตุพนมเป็นศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธนับเนื่องแต่อดีตจนปัจจุบันอย่าง ไม่เสื่อมคลาย นอกจากนี้เนื้อเรื่องยังกล่าวถึงพระอินทร์ร่วมกับเทพทั้งหลายได้ร่วมกับพระอรหันต์และเจ้าเมืองได้ ร่วมกันบริจาคทรัพย์สิ่งของ มีค่า อีกทั้งยังได้มาร่วมก่อสร้างพระธาตุพนมจนแล้วเสร็จ วิธีการแต่ง ตำ นานอุรังคธาตุ เป็นการบันทึกบอกเล่าเรื่องราว เชิงประวัติศาสตร์ด้านพุทธศาสนาในสมัยอดีต โดยได้แทรกปาฏิหาริย์เพื่อเน้นถึง ความขลังเคารพศรัทธา ตัวละครที่เป็นมนุษย์และเจ้าเมืองจุติแล้วเกิดหลายภพ หลายชาติ แต่ก็มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดีและตัวละครที่เป็นอมนุษย์เช่น พระยานาค มีชื่อปรากฏหลายชื่อ สามารถแปลงกายได้มีอภินิหารย์ดำ เนินเรื่องให้สมจริงยิ่งขึ้นตลอดทั้งเรื่อง และยังเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่มีอยู่จริง ในปัจจุบัน เช่น พระพุทธบาทเวนปลา พระธาตุภูเพ็ก พระธาตุนารายณ์จงเวง แม่นํ้าสำคัญต่างๆ ฯลฯ ความเชื่อ ปาฏิหาริย์ที่ปรากฏในเนื้อเรื่องจึงเพิ่มความขลัง ความเคารพ ศรัทธา ต่อองค์พระธาตุพนมอย่างสูงสุด


116


117 ในปัจจุบัน มีการจัดทัวร์ไหว้พระ ๙ วัด หรือการจัดการท่องเที่ยวตามโบราณสถานที่สำคัญ ๆ ๙ แห่งและรวม ถึงการเดินทางทำ บุญเสริมดวงชะตาตามราศีเกิดทั้ง ๑๒ ราศี(ตามธาตุเจดีย์สำคัญในประเทศ) พระธาตุพนมก็เป็น ธาตุเจดีย์ที่คนเกิดวันอาทิตย์ ประจำ ปีวอก ต้องไปเสริมบุญบารมีที่องค์พระธาตุพนม ด้วยกุศโลบายข้างต้นผู้คนจึง หลั่งไหลไปไหว้พระทำ บุญกันอย่างเนืองแน่น ตำ นานอุรังคธาตุได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


118 บทร้องพื้นบ้าน


119 กาพย์เซิ้งบั้งไฟ เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา กาพย์เซิ้งบั้งไฟเป็นร้อยกรองท้องถิ่นอีสานหรือเป็นเพลงพื้นบ้านประเภทเพลงประกอบพิธีของชาวบ้านอีสาน ที่ร้องในขบวนแห่บั้งไฟในงานประเพณีบุญบั้งไฟ เดือน ๖ เป็นคำ ประพันธ์ที่มีลักษณะง่ายๆ คือ มีผู้นำคนหนึ่งเป็น คนขับเนื้อความ แล้วคนอื่นๆในขบวนจะร้องรับไปเรื่อยๆเรียกว่าการเซิ้ง ประกอบการฟ้อนตามจังหวะของกลองตุ้ม และเครื่องดนตรีอื่นๆที่ใช้ประกอบ เช่น พังฮาด โทน กาพย์เซิ้งบั้งไฟ แต่งด้วยคำ ประพันธ์ที่เรียกว่า กาพย์๗ คำ วรรคหนึ่งมี๗ คำ ข้างหน้า ๓ คำ ข้างหลัง ๔ คำ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ จะส่งเสียงสัมผัสไปที่คำ ใดก็ได้ในวรรคต่อไป (คำสัมผัสในภาษาอีสานเรียกว่า คำก่าย) นิยมสัมผัสกับคำ ที่ ๓ โดยใช้ระดับเสียงของคำ ที่สัมผัสเป็นเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้แล้วแต่ เนื้อความ กาพย์๗ คำ นิยมใช้กับการเซิ้งแบบต่างๆ เช่น เซิ้งนางด้ง เซิ้งนางแมว คำสอน บทกล่อมเด็ก ตัวอย่างเช่น “โอเฮ้าโอ เฮาโอ่เฮ้าโอ ข้อยสิโอ่ งานบุญบั้งไฟ เป็นจังใด ได้ฟังลองเบิ่ง สิเลิกเซิ้ง มากน้อยปานใด อันบั้งไฟ มีมาแต่เก่า โบราณเฮา ขอฟ้าขอฝน ปีละหน เฮ็ดบั้งไฟใหญ่ เอาใจใส่ งานประเพณี นิทานมี ผาแดงนางไอ่ หนองหารไง่ เป็นเถ้าธุลี...”


120 การเซิ้งบั้งไฟแต่แรกเริ่มเป็นการละเล่นประกอบ พิธีกรรมแห่บั้งไฟเพื่อขอฝนของชาวนา เป็นการบวงสรวง พญาแถนหรือเทวดา ในความเชื่อดั้งเดิมของชาวไทลาว เพื่อขอให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล จึงจัดขึ้นในเดือน ๖ เพื่อ เป็นสัญญาณเตรียมทำ ไร่ทำ นา และเป็นการเสี่ยงทายดิน ฟ้าอากาศ หากจุดบั้งไฟไม่ขึ้นหรือบั้งไฟแตก ทำ นายว่าฝนจะ แล้ง หากจุดบั้งไฟได้สูงแสดงว่าฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล การเซิ้งบั้งไฟจึงเป็นพิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ที่ต้องมี เรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องตามคติความเชื่อของคนในสังคม เกษตรกรรม ทำ ให้ในขบวนเซิ้งซึ่งแต่เดิมมีเฉพาะผู้ชาย และผู้ชายแต่งกายเป็นหญิง นำ หุ่นชายหญิงแสดงท่าทางการร่วมเพศชักไปตลอดทางและในคำ เซิ้งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ เรื่องเพศและเรื่องตลกหยาบโลนเพื่ออ้อนวอนให้เทวดาส่งฝนลงมาตามคำขอ ในสมัยต่อมาเมื่อการเซิ้งบั้งไฟกลายเป็นงานประเพณีของชุมชน มีการประกวดแข่งขันกันระหว่างหมู่บ้านอำ เภอ จังหวัดรูปแบบและเนื้อหาของกาพย์เซิ้งบั้งไฟก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยคณะเซิ้งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงการฟ้อนช้าๆ ตามจังหวะช้าๆของกลองตุ้มก็เปลี่ยนเป็นการประดิษฐ์ท่ารำ ให้อ่อนช้อนสวยงาม จังหวะและท่วงทำ นองเปลี่ยนเป็น สนุกสนานตามลีลาของกลองยาวและแคน เนื้อหาของกาพย์เซิ้งในขบวนแห่มีหลากหลายมากขึ้น มีทั้งการร้องเล่า ตำ นาน เช่น เรื่องผาแดงนางไอ่เล่าคำสอน เช่น เรื่องกาพย์พระมุนีเล่าเกี่ยวกับสังคมและเหตุการณ์ปัจจุบันเพิ่มเข้าไปด้วย และนิยมใช้เพลงลูกทุ่งแทนกาพย์เซิ้งแบบเดิม รูปแบบที่นิยมในการขับกาพย์เซิ้งบั้งไฟในปัจจุบัน มีลำดับดังนี้ ๑. การขึ้นต้น แต่เดิมนิยมขึ้นต้นด้วย “โอเฮ้าโอเฮาโอ่เฮ้าโอ” หรือ “โอ่เฮาโอ่ พวกเซิ้งเฮาโอ” ถ้าเป็นพิธีการ จึงจะขึ้นต้นด้วยคำ ไหว้ครู“โอม พุทโธ นโมเป็นเจ้า” “โอมพุทโธ นโมเป็นเค้า” “สาธุสา ยกมือใส่เกล้า” ๒. การขับเนื้อเรื่อง มีหลากหลายได้แก่กาพย์เซิ้งเล่าตำ นาน กาพย์เซิ้งขอบริจาคเงินทองข้าวของเหล้ากาพย์ เซิ้งอวยพร กาพย์ตลกหยาบโลน กาพย์เซิ้งเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ตัวอย่างกาพย์เซิ้งเล่านิทานตำ�นานผาแดงนางไอ่ ข้าสิเว้า เรื่องเก่ามีมา หลานสิจา สาวงามนางไอ่ เมืองน้อยใหญ่ มาเบิ่งความงาม พ่อบ่ทราม ประกาศดังก้อง อยากได้น้อง นางไอ่ไปครอง เจ้าจงลองเฮ็ดไฟ บั้งใหญ่ ขึ้นไวไว เกิดเพิ่นทังหลาย ดั่งสมหมาย ได้ไอ่ไปซ้อน ข้าขอย้อน บั้งไฟผาแดง ขึ้นเหมิดแฮง เกินเพิ่นทั้งหลาย. (กวี ครองยุทธ์)


121 ตัวอย่างกาพย์เซิ้งขอ ขอเหล้าเด็ด นำ เจ้าจักโอ ขอเหล้าโท นำ เจ้าจักถ้วย หวานจ้วยจ้วย ต้วยปากหลายชาย ตักมายาย หลานชายให้คู่ ยายบ่คู่ตูข้อย บ่หนี ตายเป็นผีซิ นำ มาหลอก ออกนอกบ้านซิหว่านดินนำ กำดินทราย หว่านนำฮอยเจ้า... ตัวอย่างกาพย์เซิ้งตลก สาวบ้านใด๋ กระโปรงใหม่ใหม่ ท้ายใหญ่ใหญ่เจ้าอยู่บ้านใด๋ มากับไผจักคนพวกหมู่ เจ้ามีคู่นอนซ้อนหรือยัง เจ้าอย่าบังบอกมาเดออุ่น แก้มจุ้นพุ่นบอกพี่โดยดี เจ้าอย่ามีความตั๋วความหลอก ให้เจ้าบอกตั้งแต่ความจริง เจ้าเป็นหญิงวาจาให้เที่ยง อย่าได้เลี่ยงไปหน้ามาหลัง เจ้ามีหวังกับไผหรือบ่ พ่อกับแม่พี่น้องทั้งหลาย ยังซำ บายสู่คนตี้หล่า ให้เจ้าเว้าบอกพี่โดย บทบาทของกาพย์เซิ้งบั้งไฟจากบทอ้อนวอนขอฝนของชุมชนจึงเปลี่ยนเป็นบทบาทการให้การศึกษาและ ความสนุกสนานเป็นหลัก กาพย์เซิ้งบั้งไฟ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ การประกวดเซิ้งบั๊งไฟ จังหวัดยโสธร


122 เพลงแห่นางแมว เรียบเรียงโดย สุมามาลย์ พงษ์ไพบูลย์ ในสังคมเกษตรกรรม ซึ่งนํ้าฝนมีความสำคัญอย่างมากต่อการเริ่มเพาะปลูกพืชพันธุ์ถ้าปีใดฝนมาช้า พื้นดิน แห้งแล้ง ไม่สามารถเพาะปลูกได้ก็จะเกิดความเดือนร้อนไปทั่ว เกิดความอดอยากยากจน ไม่มีข้าว พืชไร่ไว้เลี้ยงชีพ ไว้ขายสำ หรับเอาเงินมาใช้จ่ายในเรื่องอื่นๆ ในสังคมดังกล่าวจึงมีพิธีอันเนื่องมาจากความเชื่อที่จะทำลายอำ นาจที่ทำ ให้ฝนแล้ง บันดาลให้ฝนตกลงใน เทศกาลดังกล่าวเพื่อที่จะเริ่มชีวิตเกษตรกรรม ในสังคมไทยมีพิธีกรรมเกี่ยวกับความเจริญงอกงามที่ประพฤติเป็น ประเพณีสืบต่อกันมา คือ เรื่องแห่นางแมว เรื่องปั้นเมฆของภาคกลาง และประเพณีการจุดบั้งไฟ ของภาคอีสาน การที่ทำ พิธีแห่นางแมว เพราะมีความเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่กลัวนํ้า จึงเป็นตัวที่ทำ ให้เกิดความแห้งแล้งฝน ไม่ตกจึงต้องจับแมวมาตระเวนแห่ และให้ผู้คนตักนํ้ารดราดแมวจนแมวเปียกหนาวสั่น เพื่อทำลายความเป็นตัวแล้ง ให้หมดไป การแห่นางแมวของชาวบ้านจะทำ ในปีที่ฝนมาล่า พิธีเริ่มต้นตั้งแต่บ่ายโมงจนมืดคํ่าชาวบ้านจะเอาแมวตัวเมีย ใส่ชะลอมเข่งหรือตะกร้า เอาฝาปิดให้แน่น เอาไม้คานสอดเข้าแล้วหาบไป มีคนแห่แวดล้อมนางแมวคนหนึ่งถือ พานนำ หน้าร้องเชิญให้ทุกคนมาร่วมพิธีขอฝน นอกนั้นก็มีเครื่องดนตรีประกอบเพลง เช่น กลอง กรับ ฉิ่งเมื่อเคลื่อน ขบวนออกเดิน ต่างก็ร้องบทแห่นางแมว ซึ่งมีข้อความคล้ายกันหรือเพี้ยนแตกต่างกันบ้าง แห่ไปตามละแวกบ้าน จนทั่วแล้วก็กลับ เมื่อแห่ไปถึงบ้านใคร เจ้าบ้านจะเอาภาชนะตักนํ้าสาดลงไปในชะลอมเข่งหรือตะกร้าที่ขังแมว เจ้าของบ้านจะให้รางวัลแก่พวกแห่นางแมวเป็นเหล้าข้าวไข่กับขนมหรือเป็นเงินใส่พาน ทำ เช่นนี้เรื่อยไป บางคนนึกสนุก ก็มาร่วมร้องรำตามขบวนไป จนกว่าจะเย็นคํ่าและเลิกขบวนไปในที่สุดเนื่องจากทำ พิธีช่วงอากาศร้อนสุดฝนจึงตกลงมา ในวันนั้น ทำ ให้พิธีดูขลังมากขึ้น


123 พิธีแห่นางแมวขอฝน ดูจะเป็นความเชื่อที่ไร้เหตุผลเพราะสภาพความแห้งแล้งนั้นเป็นเพราะสภาพของธรรมชาติ ที่มีฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาวเปลี่ยนหมุนเวียนก็ไปทุก ๔ เดือน แต่การทำ พิธีแห่นางแมวทำขึ้นเพื่อความสนุกในสังคม ท่ามกลางธรรมชาติที่แห้งแล้ง การที่ออกมาร่วมขบวนร้องเพลง เล่นดนตรีพื้นบ้าน ก็ทำ ให้เกิดความบันเทิงพอที่จะ ลืมสภาพเดือดร้อน ถ้าฝนไม่ตก นาไร่จะแห้งแล้งผู้คนจะอดอยากอาจจะยากจนถึงกับต้องขายลูกหลานสัตว์เลี้ยงไป แต่ถ้าฝนตกสามารถทำ นาได้ชีวิตก็จะมีความสุข สดชื่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์พืช มีการฉลองยกใหญ่ ปัจจุบันพิธีแห่นางแมวขอฝนมีปรากฏจริงในบางพื้นที่ เพราะปัจจุบันมีการกักเก็บนํ้า ไว้ใช้ในการทำ นาโดย ไม่ต้องพึ่งธรรมชาติมีการสร้างฝนเทียมขึ้นมาเพื่อไม่ให้เกิดความแห้งแล้ง ในสังคมอุตสาหกรรมและสังคม เกษตรกรรม ในปัจจุบันพิธีแห่นางแมวขอฝนอาจจะเลือนหายไปจากชีวิตจริงเหลือขบวนแห่นางแมวขอฝนไว้ในขบวน ที่เป็นการสาธิต ในขบวนแห่ทางด้านวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น สังคมเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมเลือนหายไป พิธีแห่นางแมวขอฝนก็จะเลือนหายตามไปด้วย


124 เนื้อเพลงแห่นางแมวขอฝน มีทั้งความสนุกสนานบันเทิงความเศร้าใจที่ต้องอดอยากความดีใจเมื่อจะมีฝน มีชีวิต ที่เจริญงอกงาม และการสอดแทรกบทร้องที่เป็นเรื่องเพศเข้ามาบ้าง นั้นคือสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นชีวิตที่อุดมต่อไป ด้วยเหตุที่มีฝนตกลงมานั้นเอง ดังตัวอย่างบทร้องเพลงแห่นางแมวขอฝนที่เก็บข้อมูลจากอำ เภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๖ นางแมวเอย มาร้องแป้วแป้ว ที่ฟากข้างโน้น ขอฟ้าขอฝน รดแมวข้ามั่ง ค่าจ้างแมวมา ได้เบี้ยยี่สิบ มาซื้อหมากดิบ มาล่อนางไม้ นางไม้ภูมิใจ นุ่งผ้าตะเข็บทอง ไอ้หุนตีกลอง ไอ้ฮักปักกะตู ไอ้งูพันกัน หัวล้านชนกัน ฝนก็เทลงมา ฝนก็เทลงมา เต็มทุ่งเต็มท่า เต็มนาสองห้อง นิมนต์พระมา สวดคาถาปลาช่อน ปั้นเมฆเสียก่อน มีละครสามวัน หัวล้านชนกัน ฝนก็เทลงมา ฝนก็เทลงมา แม่หม้ายเอย อย่าเพิ่งขายลูก ข้าวจะถูก ลูกไม้จะแพง ทำตาแดงแดง รอบไร่รอบนา นิมนต์ขรัวตา สวดคาถาปลาช่อน ปั้นเมฆเสียก่อน มีละครสามวัน หัวล้านชนกัน ฝนก็เทลงมา ฝนก็เทลงมา ฝนตกเจ็ดห่า ฟ้าผ่ายายชี ทำ ได้ทำดี ปีละร้อยเกวียน ปีละร้อยเกวียน เนื้อเพลงแห่นางแมว มีต่างสำ นวนกันไปแต่ละท้องถิ่น แต่ก็คล้ายคลึงกัน คือมีหาร้องซํ้าไปซํ้ามาในภาคเหนือและ ภาคอีสาน พบเพลงขอฝนในบทเซิ้งขอฝน และมีร้องเพลงแห่นางแมวในบางท้องถิ่น ดังตัวอย่างบทเซิ้ง นางแมวขอฝน เซิ้งอันนี้เผิ่นว่า เซิ้งนางแมว ย่างเป็นแถวกะนางแมวออกก่อน ไปตามบ่อนกะตามซอกตามซอย ไปบ่ถอยกะขอฝนขอฟ้า เฮาคอยถ้าให้ฝนเทลงมา ตามประสาแมวโพงแมวเป้า แมวดำกินปลาย่าง แมวด่างกินปลาแห้ง ฝนฟ้าแล้ง กะขอฟ้าขอฝน ขอนํ้ามนต์กะรดหัวแมวบ้าง (ชาวบ้านก็สาดนํ้าลงใส่) เทลงมากะฝนเทลงมา ท่วมไฮ่ท่วมนา ท่วมฮูปลาไหล ท่วมไม้โสงเสง หัวล้านชนกันฝนเทลงมา


125 บทร้องเพลงแห่นางแมวที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นบทร้องง่ายๆ ดังบทร้องพื้นบ้านทั่วไป ที่ใช้คำ น้อยมีวรรคละ ๓ – ๔ คำ และคล้องจองต่อเนื่องกันไป วิธีการร้องจะร้องซํ้าไปซํ้ามา อาศัยการลงเสียง เมื่อจบหาร้องและกระแทก เสียง ให้มีลีลาเข้ากับท่ารำ ในลักษณะของรำ โทน ประกอบการแห่นางแมวเนื้อหาของบทร้องเพลงแห่นางแมวแสดง ถึงคุณค่าขอฝน ที่เมื่อตกลงมานํ้าท่าจะบริบูรณ์เริ่มต้นการเพาะปลูกได้จะเริ่มต้นขอฝนกับเทวดานางฟ้า หรือนางไม้ โดยมีวิธีการเซ่นไหว้บูชาด้วยของที่ชอบใจ และมีการแสดงที่เทวดานางฟ้า นางไม้ชอบใจ เป็นการของเคล็ดและเป็น สัญลักษณ์ของการร่วมเพศอันเป็นต้นเหตุของการเกิดชี้วัดมีการนิมนต์พระมาสวดคาถาปลาค่อ(อีสาน)ซึ่งบูชาเทวดา ฟ้าดิน ให้มีนํ้าท่า ปลาอุดม มีการปั้นเมฆ ปั้นดินเหนียว เป็นเทวดา นางฟ้า ดั่งมีชีวิต มีละครฉลองสามวัน ถ้าฝนฟ้า ตกลงมา ก็จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ยากจนเหมือนเดิม ขอร้องให้แม่ม่ายในสังคม ซึ่งเป็นบุคคลยากไร้ไม่มีสามีเลี้ยงดู อย่าเพิ่งด่วนทำการใดใด เช่น ขายลูก หรือลงทุนอื่นใด ถ้ามีนาแห้งแล้งนักขอให้รอก่อน รอฝนตก ทำ ไร่ ทำ นาได้ผล ก็จะพาให้หายลำ บากยากจน มีคืออิทธิพลของฝนในสังคมเกษตรกรรม ตามที่ปรากฏในเนื้อหาของหาเพลงแห่นางแมว เพลงแห่นางแมวได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗


126 บทสวดหรือ บทกล่าวในพิธีกรรม


127 บททำ ขวัญข้าว เรียบเรียงโดย นํ้ามนต์ อยู่อินทร์ บททำขวัญข้าว เป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่สำคัญสำ หรับชาวนา ชาวนาจะประกอบพิธีทำขวัญข้าวหลายครั้ง ในแต่ละปีซึ่งแสดงให้เห็นวิธีคิดของคนไทยที่มีความนบนอบต่อแม่โพสพซึ่งเชื่อว่าเป็นขวัญของต้นข้าวและเชื่อว่าเมื่อ แม่โพสพพอใจก็จะดลบันดาลให้ข้าวในนาเจริญงอกงาม หรือข้าวที่มีอยู่ในยุ้งฉางมีปริมาณมากตักไปกินใช้เท่าไร ก็ไม่หมดชาวนาในแต่ละภาคประกอบพิธีทำขวัญข้าวไม่พร้อมกัน แต่ที่พบว่ามีลักษณะคล้ายกันคือการทำขวัญข้าว ตอนข้าวตั้งท้อง และการทำ ขวัญข้าวตอนขนข้าวขึ้นยุ้งแล้ว ในการทำ ขวัญจะต้องมีบทประกอบพิธีซึ่งเรียกว่า “บททำขวัญข้าว”ในแต่ละท้องถิ่นเรียกแตกต่างกันไป เช่น ภาคเหนือเรียกว่าคำฮ้องขวัญข้าว หรือคำ เรียกขวัญข้าว ภาคอีสาน เรียกว่า คำสู่ขวัญข้าว ภาคกลางและภาคใต้เรียกว่า บททำขวัญข้าว เป็นต้น บททำขวัญข้าว มีทั้งลักษณะที่คล้ายกันและแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ส่วนที่คล้ายคลึงกันก็คือ ส่วนที่ กล่าวเชิญขวัญหรือเรียกขวัญ ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่เรียกขวัญแม่โพสพ และอีกส่วนหนึ่งคือส่วนที่เป็นการขอพรหรือการ ขอร้องแม่โพสพ ส่วนนี้เป็นส่วนที่แสดงถึงความปรารถนาของชาวนา ที่ต้องการให้ขวัญข้าวหรือแม่โพสพดลบันดาลใน สิ่งที่เขาต้องการ ส่วนเนื้อหาที่แตกต่างกันไปบ้างในแต่ละท้องถิ่นน่าจะเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ชื่อพันธุ์ ข้าวพื้นเมืองที่มีประจำถิ่น หรือตำ นานเกี่ยวกับข้าวหรือแม่โพสพที่เป็นเรื่องเล่าที่รับรู้กันในท้องถิ่นนั้นๆ เป็นต้น


128 บททำขวัญข้าว มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนไทยที่มีอาชีพเกษตรกรรมมาอย่างยาวนาน แสดงให้เห็นถึง ความอ่อนน้อม ความเคารพนบน้อมข้าวในฐานะที่เป็นผู้มีพระคุณและมีบทบาทสำคัญในการเป็นบันทึกความรู้หรือ ภูมิปัญญาชาวบ้านที่สะท้อนผ่านบททำขวัญอีก ๔ ประการ คือ เป็นบันทึกเกี่ยวกับความรู้เรื่องข้าวคือพันธุ์ข้าว เป็น บันทึกความรู้ด้านการประกอบพิธีกรรม เป็นบันทึกที่ เกี่ยวกับความเชื่อ เป็นบันทึกวิถีชีวิตและขั้นตอนต่างๆ ของ การทำ นา นอกจากนี้บททำขวัญข้าวยังเป็นส่วนหนึ่งของพิธีทำขวัญข้าวที่เป็นกลไกอย่างหนึ่งของสังคม ในการช่วย ลดหรือบรรเทาความเครียดให้กับชาวนา เนื่องมาจากการทำ นา ในแต่ละครั้งต้องลงทุนลงแรงจำ นวนมาก ชาวนา จึงเกิดความไม่มั่นใจและรู้สึก ไม่มั่นคงทางจิตใจว่าการทำ นาในครั้งนั้นๆ จะประสบความสำ เร็จหรือไม่ พวกเขา จึง ต้องอาศัยการทำขวัญข้าวเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตนเอง ดังนั้น บททำขวัญข้าวหลายๆ บทจึงแสดงให้เห็น ความคิดและความคาดหวังของชาวนาดังที่ปรากฏในส่วนเนื้อหาที่เป็นการขอร้องหรือขอพรจากแม่โพสพ ที่ล้วนแต่ มีเนื้อหาที่ต้องการให้ได้ผลผลิตจำ นวนมากในการทำ นาแต่ละครั้ง ในปัจจุบันการทำขวัญข้าวค่อยๆ เลือนหายไปสังคมชาวนาไทย ชาวนา ในภูมิภาคต่างๆ ประกอบพิธีทำขวัญ ข้าวน้อยลงเพราะชาวนาต้องเร่งรีบทำ นาให้ได้๓ ครั้งต่อปีจึงไม่มีเวลาประกอบพิธีทำขวัญข้าวเมื่อไม่มีการประกอบ พิธีกรรมย่อมหมายถึงการเลือนหายไปของบททำขวัญข้าวด้วยเพราะไม่มีผู้สนใจเรียนรู้และสืบทอดบททำขวัญข้าว ปัจจุบัน ได้มีหน่วยงานต่างๆ ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นเล็งเห็นความสำคัญของพิธีทำขวัญข้าว จึงได้มีการ ฟื้นฟูอนุรักษ์สาธิต รวมทั้งจัดพิธีทำขวัญข้าวขึ้นในโอกาสต่างๆ เพื่อรื้อฟื้นให้บททำขวัญข้าวได้กลับมามีชีวิตชีวา อีกครั้งหนึ่งแม้ว่า ชาวนาไทยจะประกอบพิธีทำขวัญข้าวน้อยลง บททำขวัญข้าวได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓


129 บททำ ขวัญควาย เรียบเรียงโดย วัฒนะ บุญจับ บททำขวัญควายเป็นตัวบทประกอบพิธีกรรมทำขวัญควายซึ่งเป็นการระลึกถึงบุญคุณของควายที่ช่วยมนุษย์ ทำ นา รวมไปถึงการขอขมาที่ได้ด่าว่า เฆี่ยนตีในระหว่างการใช้งาน ทางภาคเหนือเรียกว่าฮ้องขวัญควายเรียกขวัญ ควาย หรือ เอาขวัญควาย ภาคอีสานเรียก สู่ขวัญควาย สุรินทร์เรียก ฮาวปลึงกระไบ สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม การทำ นาถือได้ว่าเป็นอาชีพหลักที่สำคัญยิ่ง โดยอาศัยแรงงานจากสัตว์เลี้ยง มาช่วยด้านการไถ การคราด สัตว์เลี้ยงที่ว่านั้นคือ ควาย หรือวัว เมื่อได้ปลูกข้าวดำ นาเรียบร้อยแล้ว ด้วยความ สำ นึกในบุญคุณ เจ้าของจะทำ พิธีบายศรีสู่ขวัญควาย ให้ควายกินหญ้าอ่อน และเอาควายไปอาบนํ้าขัดสีฉวีวรรณ เอาอกเอาใจ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา โครงสร้างและเนื้อหาของ บทสู่ขวัญควาย ได้สะท้อนทัศนคติและลักษณะนิสัยของคนไทย ดังนี้ ประการที่ ๑ ความกตัญญูรู้คุณ คนไทยถือว่าควายเป็นสัตว์ใหญ่ และมีบุญคุณแก่ตน เพราะช่วยในการไถ การทำ ไร่นา ประการที่ ๒ ความเมตตากรุณา บททำขวัญควายสะท้อนความรู้สึกเมตตากรุณาต่อควาย ในคำสู่ขวัญควาย กล่าวถึง การเอาหญ้าอ่อนหวานอร่อยมาให้ควายเคี้ยวกิน เป็นการให้รางวัลแก่ควาย ประการที่ ๓ ความสำ นึกผิดที่เคยรุนแรงต่อควาย ในบททำขวัญควายได้กล่าวถึงว่า ขณะที่มีการไถนาอยู่นั้น บางครั้งควายเดินช้ามัวกินหญ้า ตามข้างทาง คนอาจจะตีฟาดด้วยเชือก กระแทกด้วยปฏัก ควายได้รับความเจ็บ ปวดทรมาน แสนสาหัสก็อดทนกลํ้ากลืนไว้เพราะพูดไม่ได้ชาวนารู้สึกสำ นึกผิด จึงทำ พิธีบายศรีสู่ขวัญ เอาดอกไม้ ธูปเทียนมาขอขมาวัวควายด้วย นับเป็นคุณธรรมอันประเสริฐในหัวใจของชาวนา ในแง่นี้พิธีสู่ขวัญควายจึงเป็นพิธีที่ มนุษย์ขอขมาโทษ และปลอบขวัญควายซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน พิธีสู่ขวัญควายจึงเป็นพิธีที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับควายที่เป็นไปด้วยความอ่อนโยน เอื้ออาทร และรู้สึกในบุญคุณควาย ประเพณีสู่ขวัญควายเป็นประเพณีที่สมควรจะอนุรักษ์เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เห็นภูมิปัญญา และจิตวิญญาณของบรรพชนไทย ในปัจจุบันวิถีการทำ นาได้เปลี่ยนแปลงไป ควายมีบทบาทน้อยลงอย่างมาก มีเทคโนโลยีอย่างอื่นเข้ามาแทนที่ควาย พิธีทำขวัญควายรวมถึงบทสู่ขวัญควายจึงเสี่ยงต่อการสูญหายและการสืบทอด ในอนาคต บททำขวัญควายได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓


130 บททำ ขวัญช้าง เรียบเรียงโดย วัฒนะ บุญจับ ขวัญ เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนแต่มีผลต่อจิตใจโบราณเชื่อว่าขวัญสิงอยู่ในตัวตนและเป็นสิ่งที่ทำ ให้เจ้าของขวัญทุกข์ หรือสุขได้หากมีเหตุที่ทำ ให้ขวัญไม่อยู่กับตัวหรือออกไปเที่ยวเล่นจะมีเหตุร้ายเจ็บป่วยหรือมีเคราะห์กรรมและถ้า ต้องการให้ขวัญกลับเข้าสู่ร่างกายต้องมีพิธีทำขวัญอันหมายถึงการทำ พิธีกรรมเพื่อเรียกขวัญให้กลับมาสู่เจ้าของขวัญ ความเชื่อเรื่องขวัญและพิธีทำขวัญเป็นกระบวนการที่แสดงความผูกพันและความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ ระหว่างบุคคลกับครอบครัวและบุคคลกับชุมชน พิธีทำขวัญปรากฏในทุกภาคของประเทศ โดยการทำขวัญแบ่งได้ เป็น ๓ ประเภท คือ ทำขวัญคน ทำขวัญพืชและสัตว์ที่สัมพันธ์กับคน และทำขวัญสิ่งของ การทำขวัญช้างจัดเป็นการทำขวัญพืชและสัตว์ที่มีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นสัตว์ชนิดนั้นมีคุณประโยชน์ต่อ คนและต่อส่วนรวม โดยมีจุดประสงค์เพื่อเสริมความเชื่อมั่น รำลึกถึงบุญคุณและเป็นสิริมงคล ตัวอย่าง : บททำ�ขวัญช้าง ศรีศรีสวัสดี วันนี้เป็นวันดีเป็นวันสง่า ข้าจะเรียกเอาขวัญช้างแกล้วกล้าเลิศตัวดีงาม เจ้าอย่าเอาใจเป็นช้าง อุทามตัวบ่มีปลอก ขวัญเจ้าอย่าเอาใจออกจากเถื่อน อันฝูงเพื่อนเล่นหมู่เคยกิน ขวัญเจ้าอย่าใบวินหลายเถื่อนอันฝูง เพื่อนเล่นหมู่เคยกิน ขวัญเจ้าอย่าไปวินหลายเถื่อน ขวัญเจ้าอย่าไปเป็นเพื่อนหมู่วอกค่างกวางทรายคำขวัญเจ้าจง มาสุขสบายจิม เจ้าจงมากินกล้วยและข้าว อันแต่งไว้เต็มขันเต็มวา ช้างสทันต์ก็ยังบ่เท่า เขากระทำอันใดบ่ถูกบ่แม่น ก็ยังรู้ลนแล่นกระทำอันใดบ่แม่น ก็ยังรู้แสนสเคียน เหมือนดังนกเขียนร้องนั้นดาย บัดนี้เจ้าอย่าเอาใจเป็นช้างบ่ดีกัด ปลอก เจ้าอย่าไปออกอูงอางแกว่งไกวตัว เจ้าอย่าได้ไกวหัวกวัดแกว่งแล่นไปมา เจ้าอย่าเยียะพาลาใจเกลียดให้เจ้ารู้


131 เหมียดเชือกอันจักข้องหลักและตอ แม้ว่าเชือกเท่าเชือกไก่ เจ้าก็อย่าได้คาบเคี้ยวให้ย้อยตกดิน เจ้าอย่าวินหลายเถื่อน เดินไป ให้เจ้าคิดใจถึงทางบ้าน เจ้าย่าขี้ย่านรู้ตื่นเต้นเรรน ถ้าว่าเห็นคนอย่าเรรนรํ่าร้อง ถ้าว่าได้ยินเสียงกลองและเสียง ฆ้อง ทั้งเสียงพิณพาทย์และมโหรีรมย์ ทั้งฟ้ารวนร้อง และลมฝน อย่ารู้หนตื่นเต้นตกใจ ทั้งบอกไฟและสินาดก้องทั้ง ฟ้าร้องและลมตี ให้เจ้าตั้งใจให้ดีและมั่นเที่ยง อย่ารู้คว่ำอัยไปมา ข้าก็ตกแต่งภาชนดาเครื่องพร้อม มาต้อนรับรอง เอาขวัญเจ้ามากิน มีทั้งเสื่อดำ นิลผืนงามลํ้าเลิศ ผ้าผืนประเสริฐอันเกิดจากเมืองสวรรค์ ผ้าแดงผืนยาววา ผ้าขาวหนา พอขนาด มีทั้งเงินห้าบาท พร้อมหมากพลูเทียน ข้าก็ตกแต่งเบียนภาชนะโตกตั้งไว้แล้ว ข้าขออัญเชิญขวัญช้างมงคล แกล้วกล้า พอมากินก่อนเทอญฯ โอมสิทฺธิกิจฺจ สิทฺธิกมฺม ํ สิทฺธิลาภ ํ ชยมงฺคลํ อมสมฺมาธิมา กุกฺกุมามาฯอชฺช ในวันนี้ก็เป็นวันดี มีฤกษ์ก็งามมียาม ํ ก็ปลอด วันนี้เป็นวันยอดพระยาวัน ข้าจะเรียกเอาขวัญช้างหมากเต้างาแหลม ก็มีในวันนี้ ข้าจักเรียกเอาขวัญช้างแขม งามังก็ให้มาในวันนี้ จักเรียกเอาขวัญช้างที่นั่งมงคล ก็ให้มาวันนี้ ขวัญช้างเทียนตัวหลงหนีไปเป็นเป็นเพื่อนช้างเอราวัณ ก็ให้มาวันนี้ ขวัญช้างสทันต์เป็นเพื่อนอยู่ในเถื่อนกว้างพมหพานต์ ก็ให้มาในวันนี้ ขวัญเจ้าอย่าไปเป็นเพื่อนช้างสารอยู่ กลางดงไพรป่ากว้าง ก็ให้มาวันนี้ พ่อหมอสเบียงมอบหมอเถ้า อันท่านคล้องเจ้ามาหัวที เขาไปไล่เลยเจ้ามาวันนี้ แม้ ขวัญเจ้าได้ตกใจ ปางเมื่อหมอพิษณุเอาหนังประกำขึ้นห้อย ปางเมื่อเจ้ายังน้อยแอ่วเถื่อนทวยแม่ไปมา บัดนี้เจ้าก็ได้คา จากเถื่อน ได้มาเป็นเพื่อนเป็นฝูง ขอขวัญเจ้ามาอยู่กับตน แม้ว่างัวกระทิงทนอย่าได้พาลา แรดร้ายอย่าพาหนี เสือหมี อย่าได้พาเอา ขวัญเจ้าลา แม้ว่าสัตว์ร้ายอันอยู่ในป่าเจ้าก็อย่าได้จากพ่อ แม้ว่าเขาสับเขาฟันด้วยพร้าและขอ ขวัญเจ้า ก็อย่าอ่อนลืม ข้าก็เรียกเอาขวัญเจ้าหนหนึ่ง แล้วก็ลืมแถมถวน ถวนขวัญเจ้าอย่าไปตกใจหมองตํ่าค้อย ปางเมื่อเจ้าได้ เป็นช้างน้อยแอ่วลาเล่นกลางดงไพร บัดนี้ได้มาเป็นช้างในเมืองมนุษย์โลก บัดนี้ข้าก็ยกเอาภาชนะโคก เข้ารับรองเอา ขวัญเจ้ามาเสวยก่อนเทอญฯ อชฺช ในวันนี้ก็เป็นวันดีศรีวันขึ้น เป็นวันถึงพื้นอักนิษฐา บัดนี้ข้าก็ตกแต่งดาพรํ่าพร้อม เพื่อว่าจักมาทำขวัญเจ้า มีทั้งหม่อมเถ้าพรํ่าพร้อมหมู่นารี ทั้งข้าวของเงินคำดีตั้งใบเบียนภาชนะโตก ราชโชคสวาทัตถสีลคุณค้องมีทั้งเงินคำ เต็มถุงสพาด มีทั้งกล้วยอ้อยอาดเต็มพา มีทั้งเหล้ายาหลายเหลือยิ่ง บัดนี้หมอฤทธิ์ใหญ่ผู้นั่งคอก็จักเสียไพก็ว่ามีดีใน วันนี้ หมอเถ้าผู้เพื่อนค้อง เจ้านั่งอยู่ท่าเสียไพ ก็ว่าดีในวันนี้ หมอไถ้เขาอยู่คอยสอนช้าง ก็จิงทักช้างร้ายหมู่จังไร มีทั้ง ฟางไฟจับหน้าผาก ก็ให้หายเสียในวันนี้ ทั้งตัวหางขออยู่ปากอ้าอมโลบอมฝอย ก็ให้หายเสียในวันนี้ มีทั้งตัวหาก่าน ปากอมถ่านลิ้นก่านปล้องหมู่ขุยตุม มีทั้งขุมผีจับหน้าผาก หูหวากหวิดหวีขึ้นบั่งคอ ก็ให้หายเสียวันนี้ มีทั้งหัวหางขอนอ ใต้ท้องลิ้นก่าน ปล้องหมอเถ้าก็ว่าจังไร มีทั้งถวนไฟจับสีข้าง ม่านกั้งหมู่สามหาว ช้างตาขาวขี้ย่าน ก็ให้หายเสียในวันนี้ ช้างขาห้วนช้างขาเห็ง ทั้งช้างหูเง็งพิวเพลา มันช้างตำ เข้าแกว่งไกวตีน ก็ให้หายเสียในวันนี้ แรกแต่นี้ไปหน้าให้ขวัญ เจ้ากล้าผาบแพ้แก่ศัตรู บัดนี้ผู้ข้าก็ตกแต่งเครื่องพร้อม มาต้อนมารับรองเอาขวัญเจ้าแล้ว จงมาอยู่กับเนื้อกับตัวเจ้า ทุกคํ่าเช้าวันยาม ก่อนเทอญฯ ปัจจุบันยังคงมีการทำขวัญช้างในพื้นที่ที่ยังคงใช้ช้างทำ งาน เช่น เชียงใหม่ ลำ ปาง สุรินทร์ตรัง ทั้งยังเป็นทุน ทางวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย บททำขวัญช้าง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗


132 บททำ ขวัญนาค เรียบเรียงโดย วัฒนะ บุญจับ ตามประเพณีไทย เมื่อชายอายุครบ ๒๐ ปีถือว่าถึงเกณฑ์จะบวชพระ ผู้ใหญ่ก็จะจัดการให้บุตรหลานของตน บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ช่วงเวลาที่นิยมบวชกันคือ ก่อนเข้าพรรษา ใช้เวลาบวชประมาณ ๓ เดือน ก่อนหน้านั้นฝ่ายผู้บวชจะไปหาเจ้าอาวาสหรือ พระผู้เป็นอุปัชฌาย์เพื่อขอให้สอนท่องบทสวดขานนาคเมื่อถึงวันงาน เจ้าภาพจะจัดงานสมโภช หรือที่เรียกว่า “ทำขวัญนาค” ก่อนบวช ๑ วัน ในการทำขวัญนาค“เจ้านาค”ซึ่งโกนหัวโกนคิ้วโกนหนวดโกนเคราตัดเล็บเรียบร้อยแล้วนุ่งห่มด้วยเครื่องแต่งกาย ที่งดงาม นุ่งจีบ ด้วยผ้ายกทอง ใส่เสื้อครุยปักทอง สไบเฉียงทางไหล่ซ้าย คาดเข็มขัด ฯลฯ จากนั้นไปนั่งหน้าบายศรี หมอทำขวัญนาคจะอ่าน คำ ทำขวัญนาค ตามทำ นอง ตั้งแต่บทไหว้บทชุมนุมเทวดา บทนะโม บทไหว้ครูและ บท คุณมารดาและบทเชิญขวัญนาคครั้นได้ฤกษ์ดีก็จะนำ นาคเข้าขบวนแห่ไปที่วัดถ้าเจ้าภาพมีฐานะดีก็จะจัดขบวนแห่ อย่างใหญ่โต มีเถิดเทิง กลองยาวและการละเล่นเล็กๆ น้อยๆ ร่วมขบวนแห่ ส่วนนาคจะเดินไป หรือจะขี่คอคนหรือ นั่งบนสัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า บททำ ขวัญนาค โดยทั่วไป แบ่งออกเป็น บทไหว้ครู บทกำ เนิดนาค บทคุณมารดา บทขนานนามนาค บทสอนนาค บทชมบายศรีและ บทอัญเชิญขวัญ


133 ลักษณะเด่นของบททำขวัญนาคอยู่ที่ช่วงสรรเสริญบุญคุณมารดา ซึ่งพรรณนาดังตัวอย่างว่าดังนี้ “พอมีลมกัมมัชวาตมาพัดพาเป็นยามปลอด ....... พ่อร้อยชั่งพ่อก็คลอดเคลื่อนออกมา เป็นเพศชาย ร่างโสภางาม ยิ่งนัก ........ แม่นี้ให้แสนนึกรักดังดวงใจ เอาลงอ่างอาบนํ้าใส แล้วขัดสี...... ขมิ้นดินสอพองขยี้ชโลมถู แล้วก็นาพ่อลงใส่อู่ เปลที่นอน ........ยามเมื่อเจ้าร้องไห้อ้อนทาโยเยแม่ก็แกว่งไกว เปลแล้วเห่กล่อม ... หากเมื่อยาม พ่องามละม่อมเจ้าผวาแม่ก็กอดเจ้าเข้าไว้แนบอุราอกสัมผัส........ ในเมื่อเจ้านี้เป็นหวัดได้รัดรุม แม่ก็จะหายาเอาสุม ให้ผ่อนคลาย ........จนพ่อเติบโตเจริญวัยถึงเพียงนี้...” อาจกล่าวได้ว่า ประเพณีทำขวัญนาคก็คือพิธีให้ความสำคัญกับผู้เป็นแม่ดังปรากฏเด่นชัดใน บททำขวัญนาค แม้ในปัจจุบันนี้ยังมีการสืบทอดประเพณีการทำขวัญนาค แต่การทำขวัญนาคที่มีเนื้อหาสาระดีๆ นั้น กลับใช้เวลา ในการประกอบพิธีสั้นลง หมอขวัญที่จะร้องคำขวัญนาคได้ไพเราะกินใจก็มีน้อยลงทุกวัน และเพลงประกอบพิธี ทำขวัญนาคก็ถูกแทนที่ด้วยเพลงลูกทุ่งเพื่อสร้าง ความสนุกสนานแก่ผู้ร่วมประกอบพิธีแทบจะทุกท้องถิ่น บททำขวัญนาคได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓


134 บทเวนทาน เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ทรงศักดิ์ ปรางค์วัฒนากุล บทเวนทาน เป็นคำกล่าวรายงานในการถวายทานสิ่งของหรือศาสนสถานให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างละเอียด ให้ผู้มาร่วมงานได้ทราบ ใช้ประกอบในพิธีกรรมถวายทานของล้านนาที่สำคัญๆ บทเวนทาน จึงเป็นวรรณกรรมที่มี ลักษณะเฉพาะของล้านนา เนื่องจาก บทเวนทาน เป็นวรรณกรรมที่มีหลายสำ นวน บางครั้งในพื้นที่ตำ บลเดียวกันอาจมีสำ นวนที่แตกต่าง กันมากกว่าสิบสำ นวน ดังนั้นหากมองในภาพรวมของล้านนาทั้งหมดอาจมีไม่ตํ่ากว่าร้อยสำ นวน หรือหากสำ รวจกัน อย่างจริงจังแล้วอาจมีมากกว่าพันสำ นวนก็เป็นไปได้ดังนั้นผู้แต่งบทเวนทานจึงมีหลากหลายมาก แต่ละสำ นวนก็จะ มีผู้แต่งแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็น “ปู่จารย์” (คือ อาจารย์ผู้ประกอบพิธี) และต้องมีประสบการณ์ตลอดจน มีความชำ นาญด้านการกล่าวคำ เวนทานมากพอสมควร จึงจะแต่งบทเวนทานได้นอกจากปู่จารย์แล้วพระสงฆ์หรือ ฆราวาสที่มีความรู้ความสามารถด้านการกล่าวคำ เวนทานก็สามารถแต่งบทเวนทานได้ การบันทึกหรือคัดลอก บทเวนทาน พบอยู่ ๓ รูปแบบ คือ บนสมุดกระดาษสา (เรียกว่า“พับสา”)สมุดบันทึก และในรูปของสิ่งพิมพ์ลักษณะการแต่งจะเริ่มต้นด้วยร้อยแก้วภาษาบาลีกล่าวนมัสการพระรัตนตรัย ตามด้วย คำ ประพันธ์ภาษาท้องถิ่นล้านนาประเภทร่าย แล้วปิดท้ายด้วยการกล่าวถวายทานเป็นร้อยแก้วภาษาบาลี


135 เนื้อหาของ บทเวนทาน จะเริ่มด้วยการกล่าวนมัสการพระรัตนตรัย หรือที่คนล้านนาเรียกว่า “ยอคุณ พระรัตนตรัย” จากนั้นกล่าวถึง โอกาสในการถวายทาน รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งของถวายทาน “เจ้าศรัทธา” คือผู้ถวายทาน ระบุถึงความตั้งใจว่าต้องการถวายทานให้แก่พระรัตนตรัย พร้อมทั้งอาราธนาให้พระรัตนตรัยมารับ เอาสิ่งของถวายทาน อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลคำ ปรารถนาและจบลงด้วยคำกล่าวถวายเป็นภาษาบาลีเนื้อหาในแต่ละ ส่วนอาจมีการสลับตำแหน่งก่อนหลังกันบ้าง หรือบางสำ นวนอาจขาดเนื้อหาบางส่วนไปก็ได้ดังตัวอย่างบทเวนทาน ในงานบวช ต่อไปนี้ ตัวอย่างบทเวนทาน ยอคุณพระรัตนตรัย) กต ปุญฺญ อุปสมฺปทากมฺม อุปถมฺภทาน อนุโมทน สาธุ โอกาส ข้าแด่พระแก้วสามประการ บัดนี้องค์ท่านได้ปรินิพพานไปแล้ว ยังเหลือแต่สารูปแก้วและคำสอน (เจ้าศรัทธา) บัดนี้ศรัทธาผู้ข้าทังหลาย อันมาสันนิบาตในอาวาสมณฑล หมายมี…………….เป็นปฐมมูลศรัทธาเคล้า พร้อมด้วยลูกเต้าเผ่าพันธุ์วงศา ญาติกาพี่น้อง (โอกาสในการถวายทาน) ได้มีพร้อมผ้าหน้าบุญ แผ่ผายไปรอด พิมพ์บัตรสอดซองงาม จัดทำตามรอยรีต ตามเส้นขีดประเพณีเดิม เพื่อส่งเสริมการเป๊กบวช สร้างผนวชเป็นชี ฤกษ์ยามดีผ่องแผ้ว ได้ลูกแก้วเลิศเชียงคราญ (สิ่งของถวายทาน) ก็หากสมดั่งคำ ปรารถนาแห่งผู้ข้า จึงพากันน้อมหน้าถวายเครื่องทาน สัพพะบริวารอันล้าเลิศ อันเกิดด้วยศรัทธา (ระบุถึงความตั้งใจว่าต้องการถวายทานให้แก่พระรัตนตรัย) ขอถวายแก่พระรัตนาสามองค์บ่เศร้า พระแก้วเจ้าสามองค์ พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ทังพระภิกขุองค์เป๊กใหม่ (คำ ปรารถนา) ขอหื้อผู้ข้าทังหลายได้เสพสร้างเสวยผล ยังอานิสงส์เหมือนดั่งอริยสัปปุริสเจ้าทังหลาย อันเกิดแล้ว เป็นมา อย่าได้คลาได้คลาด นั้น จุ่งจักมีเที่ยงแท้ดีหลี ………………….. (อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล)


136 ……………………….. บุญญราศีศรัทธาผู้ข้าทังหลายกระทำ ได้แล้ว ขอแผ่ผายนาบุญไปรอด พระอินทร์พระพรหม พระยายมราช ครุฑนาคน้าไอศวร ท้าวจตุโลกทังสี่ (กล่าวถวายทานเป็นภาษาบาลี) ทีนี้ผู้ข้าขอเวนวางตามมคธภาษาบาลี แทนในนามแห่งพ่อแม่พี่น้อง ศรัทธาทังหลายว่า อิมานิ มย ภนฺเต ……………..…….. อมฺหาก ฑีฆรตฺต หิตาย สุขาย ยาว นิพฺพานาย สงฺวตฺตนฺตุ โน บทเวนทาน เป็นวรรณกรรมที่คนล้านนาในยุคปัจจุบันยังใช้อยู่และใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกพื้นที่ ลักษณะ ภาษาเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่มีสำ นวนที่เป็นแบบฉบับตายตัว แต่ละสำ นวนจึงมีความหลากหลายและมีเสน่ห์ แตกต่างกันไป เช่น บางสำ นวนมีการสอดแทรกเรื่องราวในท้องถิ่นลงไป บางสำ นวนแต่งด้วยภาษาที่ฟังแล้วไพเราะรื่นหู บางสำ นวนมีเนื้อหาสะเทือนใจ บางสำ นวนแต่งเพื่อเอื้อประโยชน์ ให้ผู้กล่าวได้แสดงความสามารถในการใช้เสียง อย่างเต็มที่ เป็นต้น คุณค่าและความสำคัญของ บทเวนทาน ที่มีต่อคนและสังคมล้านนาเป็นการกล่าวรายงานเกี่ยวกับรายละเอียด ในการถวายทานครั้งนั้นๆ ให้ผู้มาร่วมงาน ได้ทราบ แสดงให้เห็นว่าการทำ บุญถวายทานเสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบแล้ว กล่าวคือ คนล้านนาจะเชื่อว่าในการทำ บุญถวายทานครั้งใด หากยังไม่ได้มีการกล่าวคำ เวนทาน ถือว่ายังไม่เสร็จสิ้น ขั้นตอน (ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “ไม่แล้วใจ” หมายถึง ยังเกิดความรู้สึกค้างคาใจอยู่) อีกทั้งยังแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของพิธีกรรม เพราะคนล้านนาเชื่อว่าเมื่อมีการกล่าวบทเวนทานก็จะทำ ให้พิธีกรรมนั้นดูศักดิ์สิทธิ์มากกว่าการยก เครื่องไทยทานไปประเคนแต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นยังเชื่อว่าการกล่าวเวนทานเปรียบเสมือนสื่อที่จะเชื่อมโยง ให้อานิสงส์อันเกิดจากการถวายทานในครั้งนั้นส่งต่อไปถึงผู้ที่อยู่อีกภพภูมิหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นเทพ เทวดา หรือ ดวงวิญญาณ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วให้ได้รับอานิสงส์เหล่านั้นด้วยและยังเป็นช่องทางในการสอดแทรกความรู้ให้แก่ผู้ฟัง โดยเรื่องที่จะนำ มาสอดแทรกลงไปนั้นขึ้นอยู่กับผู้แต่งแต่ละสำ นวนจะเห็นว่ามีความเหมาะสม ซึ่งอาจมีทั้งการอธิบาย ถึงมูลเหตุในการประกอบพิธีกรรม การให้ความรู้และเสริมสร้างปัญญาแก่ผู้ฟัง การปลูกฝังทัศนคติและแบบแผนใน การปฏิบัติตนเนื่องในพิธีกรรมต่างๆ เป็นต้น บทเวนทาน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖


137 สำ นวน ภาษิต


138 ผญาอีสาน เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ชลธิชา บำรุงรักษ์ “ผญา” เป็นภูมิปัญญาประเภทหนึ่งที่ปรากฏในท้องถิ่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน หมายถึง คำคม คำ พูด หรือถ้อยคำ ของนักปราชญ์อีสาน กล่าวกันว่า“ผญา” มาจากคำว่า“ปัญญา” หรือ“ปรัชญา”คำผญา เป็นคำ พูดที่คนอีสานนิยมใช้พูดจาหรือบอกกล่าวกัน มักมีความหมาย โดยนัยหรือเชิงเปรียบเทียบที่แสดงให้เห็นถึง ปัญญา ปรัชญาวิธีคิดความชาญฉลาดของคนอีสาน ผญาอีสาน เกิดจากสาเหตุหลายประการคือจากขนบธรรมเนียม ประเพณีจากหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา จากคำสอนของปู่ย่าตายาย ที่สืบทอดกันมา จากการเกี้ยวพาราสี ของหนุ่มสาว จากการละเล่นของเด็กในท้องถิ่น จากนิทานพื้นบ้าน และจากสภาพแวดล้อมต่างๆ


139 รูปแบบโครงสร้างของ ผญาอีสาน มีทั้งแบบมีสัมผัสและไม่มีสัมผัส คนอีสานในอดีตใช้ผญาในโอกาสต่าง ๆ ทั่วไป ทั้งในงานประเพณีหรือในกิจกรรม ทางสังคมต่างๆเช่น ในพิธีทำ บุญ งานแต่งงาน ในการละเล่นพื้นบ้าน หรือ แม้ในชีวิตประจำวัน การแสดงพื้นบ้าน เช่น หมอลำ จะมีผญาสอดแทรกอยู่มากผญาอีสานแบ่งได้หลายประเภทตาม ความหมายและการตีความเนื้อหาของผญาเช่น ผญาเกี้ยวเป็นคำ พูดที่หนุ่มสาวใช้พูดจาเกี้ยวพาราสีหรือหยอกล้อกัน อาจเป็นคำ เปรียบเปรย หรือมีความหมายได้หลายทาง ผญาคำสอน เป็นผญาที่สั่งสอน หรือชี้แนะแนวทางในการ ประพฤติปฏิบัติผญาปรัชญา หรือปริศนาเป็นคำ พูด ที่ต้องมีการตีความให้เป็นรูปธรรมอีกต่อหนึ่งและผญาสุภาษิต หรือ ผญาภาษิต เป็นคำ พูดที่เป็นข้อเตือนใจและชี้แนะให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสม ในปัจจุบัน ผญาอีสาน มีผู้ใช้ น้อยลงทุกขณะและมีบทบาทลดลง ทุกทีครูหมอลำจำ นวนมากก็ไม่ได้ ใช้คำผญาในการแสดงเหมือนเช่น แต่ก่อน ผู้กล่าวผญามักเป็นผู้สูงวัย ผญาจึงอยู่ในภาวะเสี่ยงสูงต่อการ สูญหาย ที่ปรากฏใช้ก็อยู่ในลักษณะ ก ระจัดก ระจ ายทั่วไปในภ าค ตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ การเก็บรวบรวมคำผญาการแสดง ความหมายของคำ ที่ปรากฏในผญา การตีความคำผญาทั้งบท และการ จัดเก็บคำผญาให้เป็นหมวดหมู่เท่า ที่มีอยู่ยังมีความหลากหลาย และ ยังไม่สมบูรณ์ ชุมชนที่พบว่ามีการรวมตัว กันสืบทอดผญาอีสาน เช่น จังหวัด ขอนแก่น จังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัด มุกดาหารและจังหวัดอุบลราชธานี แต่อยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำ ยัง ไม่มีการร่วมมือกันในระดับกว้าง เท่าใดนัก ผญาอีสาน ได้รับการ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปี พุทธศักราช ๒๕๕๖


Click to View FlipBook Version