The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วรรณกรรมพื้นบ้าน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วรรณกรรมพื้นบ้าน

วรรณกรรมพื้นบ้าน

140 ตำ รา


141 ตำ ราพรหมชาติ เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา และรองศาสตราจารย์รังสรรค์ จันต๊ะ “การดูพรหมชาติ”เป็นวิธีการทำ นายชะตาราศีของบุคคลพบพื้นฐานของปีเกิดเดือนเกิดและวันเกิดเป็นการ พยากรณ์แบบหนึ่งในโหราศาสตร์ไทยซึ่งมาจากความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาวผสมผสานกับความรู้ทาง โหราศาสตร์ที่ได้รับจากอินเดียและจีน ตำราพรหมชาติ ของภาคกลางและภาคใต้เป็นตำ ราที่สืบทอดกันมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นสมุดไทยดำ เขียน ด้วยตัวอักษรไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ด้วยลายเส้นสีขาวเมื่อมีการพิมพ์เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมาได้มีการ รวบรวมความรู้การพยากรณ์แบบอื่นๆเข้าไว้ในชุดเดียวกันแล้วให้ชื่อว่า“ตำราพรหมชาติ”ฉบับพิมพ์เก่าสุดเป็นฉบับ พิมพ์ของโรงพิมพ์พานิชศุภผล พิมพ์ก่อนปีพ.ศ. ๒๔๕๕ ไม่ปรากฏชื่อผู้รวบรวม ต่อมาได้มีการพิมพ์ขึ้นอีกหลายครั้งจาก หลายโรงพิมพ์และแพร่หลายไปทุกภูมิภาค มีทั้งตำ ราหมอดูชาวบ้านและ ตำ ราโหรราชสำ นักรวมอยู่ในเล่มเดียวกัน สังเกตได้ว่าฉบับพิมพ์แต่ละครั้งจะเพิ่มเติมเนื้อหาอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆจนทำ ให้คำว่า“พรหมชาติ”กลายเป็นคำ รวม ของตำ ราหมอดูไทยแทนที่จะเป็นการทำ นายวิธีการหนึ่งตามชื่อของตน


142 ตำ ราพรหมชาติ เป็นชื่อตำ ราพยากรณ์ที่คนไทยรู้จักกันมากที่สุด มีสภาพเป็นตำ ราหมอดูประจำ บ้านที่ให้ อิทธิพลต่อความเชื่อของคนไทย เพราะเป็นตำ รา ที่รวมวิชาการทำ นายแบบดูคำ ทำ นายประกอบภาพ มีทั้งตำ ราดู ลักษณะของบุคคลตามวันเดือนปีเกิด ตำ ราทำ นายเนื้อคู่ที่สมพงศ์กันทั้งสมพงศ์กำ เนิดและสมพงศ์ธาตุ ตำ ราดูวันดี วันร้ายในการเพาะปลูก ปลูกเรือน วันเดินทางไกล ตำ ราดูฤกษ์ยาม ตามวันขึ้นแรมในแต่ละเดือน องค์ความรู้ต่างๆ ที่ปรากฏในตำ ราพรหมชาติฉบับพิมพ์จึงเป็นความรู้ที่มีความสำคัญต่อการดำ รงชีวิตของบุคคลทั่วไป จุดเด่นของการดูพรหมชาติคือเป็นตำราหมอดูที่ใช้รหัสภาพ ที่เกี่ยวเนื่องกับปีนักษัตรแบบจีน แต่ใช้สัตว์แทน ลักษณะนิสัยของบุคคลที่เกิดในปีนั้นๆแบบไทยผสมผสานกับความรู้ทางโหราศาสตร์ของพราหมณ์ที่มีความสัมพันธ์ กับตำ ราโหราศาสตร์ที่อาศัยเกณฑ์คำ นวณ คือ มหาทักษา ซึ่งเป็นตำ ราดูฤกษ์ยามที่มีการนับตำ แหน่งของดาว อัฏฐเคราะห์เวียนทางขวาไม่ต้องใช้การคำ นวณตัวเลขเพียงอ่านหนังสือออกและดูภาพก็สามารถเข้าใจการทำ นายได้ จึงเป็นที่นิยมของชนทุกชั้น ตัวอย่างคำ ทำ นายจากการดูพรหมชาติฉบับภาคกลาง คนเกิดปีมะเมีย-ม้า เป็นเทวดา ผู้หญิง-ธาตุไฟ มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นตะเคียนและต้นกล้วย สิทธิการิยะ พระอาจารย์เจ้าท่านกล่าวไว้ว่า หญิงชายผู้ใดก็ดีเกิดในปีมะเมีย ชันษาตกอยู่ที่มือพรหม พระเสาร์เป็นปาก ปากนั้นเจรจาโอหัง มักจะถือดีฯ พระอาทิตย์ กับพระอังคารเป็นมือ ทำการงานมิสู้จะดีฯ พระจันทร์เป็นใจ ใจนั้นใฝ่สูง มักจะคิดทำการ งานใหญ่โต ซึ่งบางครั้งก็ทำ ไม่ได้ฯ พระพุธกับพระศุกร์เป็นเท้า เป็นคนมิสู้จะเดินทางไกลฯ พระพฤหัสบดีเป็นที่นั่งเป็นคนที่ไม่สู้จะสนใจในเรื่องกามารมณ์และเรื่องชู้สาว เมื่อน้อย บิดามารดารักใคร่เอาใจใส่ เป็นคนใจอ่อน ธาตุไฟ เป็นเทวดาผู้หญิง ได้เมื่อพระจันทกุมาร พระบิดาสั่งแก่พราหมณ์ทั้งสี่ ให้เอาบูชากองกูณฑ์เทวดาลงมาช่วย ให้เกิดพายุพัดเป็นจุณไป พราหมณ์ทั้งสี่เจ็บปวดเป็นหนักเป็นหนา จะได้เงินทองข้าคน มิ่งขวัญตกอยู่ที่ต้นตะเคียนก็ว่า ต้นกล้วยก็ว่า ตำ ราพรหมชาติ ยังมีอิทธิพลในวิถีชีวิตของชาวบ้านทั่วไปในการพยากรณ์ชีวิต การดูนิสัยเพื่อเลือกคู่ครอง และการคบมิตรการหาฤกษ์ยามเพื่อประกอบพิธีกรรม การทำ พิธีสะเดาะเคราะห์ทั้งส่วนปัจเจกบุคคลและส่วนรวม จึงมีการพิมพ์คัดลอกต่อๆกันมาและเสริมเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆโดยขาดการตรวจสอบ เป็นตำราที่แพร่หลายมากในตลาด ล่างโดยทุกสำ นักพิมพ์ต่างอ้างตนเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ทั้งที่เป็นตำ ราที่ไม่มีลิขสิทธิ์จึงสมควรขึ้นทะเบียนเป็นมรดก วัฒนธรรมของชาติเพื่อคนไทยทุกคน จะสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องกลัวปัญหาทางกฎหมาย ตำราพรหมชาติล้านนา เป็นตำ ราที่กล่าวถึงการพยากรณ์ชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่อดีตชาติปัจจุบันชาติและ อนาคตชาติว่าด้วยโชคชะตาราศีตามปีเกิด เดือนเกิด และวันเกิด เฉพาะพรหมชาติล้านนามักเขียนด้วยอักษรและ ภาษาล้านนาลงในเอกสารโบราณประเภทพับสา ผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพื้นบ้านในชุมชน จะทำ หน้าที่บอก อธิบาย เชื่อมโยง “สาร” ที่อยู่ในระบบตำ รากับชีวิตความเป็นมาในอดีต ปัจจุบัน และความเป็นไปในอนาคต ของ ผู้คนในชุมชน เนื้อหาของคำ ทำ นายปีเกิด แบ่งเป็นเรื่องต่าง ๆ ตามประเด็นดังนี้


143 ว่าด้วยเรื่องอดีตชาติว่าได้เกิดเป็นอะไรมาก่อน ว่าด้วยชาติปัจจุบัน ทำ นายว่าคนที่เกิดปีนี้เป็นคนอย่างไร มีนิสัยใจคออย่างไรแนะนำว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร ควรให้ทานอะไรบ้างจึงจะเป็นผลดีแก่ตนเอง แต่ละช่วงอายุจะประสบกับปัญหาใด ควรประกอบอาชีพอะไรจึงจะ รุ่งเรืองแนะนำวิธีแก้เคราะห์ภัยเหล่านั้นว่าต้องทำอะไรบ้าง ทำ นายเรื่องวัยอันควรแต่งงาน ให้ระมัดระวังเมื่อถึงอายุ กี่ปีวันไหน เวลาไหน จะถึง แก่อายุขัย จะเสียชีวิตด้วยเรื่องใด ทำ นายบอกแนะนำ เครื่องประดับรัตนชาติหรือของใช้ประจำตัว ว่าควรประดับด้วยอะไรบ้าง อนาคตจะเป็น ผู้มีเงินอยู่จำ นวนเท่าใด ทำ นายแนะนำ เรื่องอาวุธประจำกายที่ควรมีเมื่อเวลาต้องออกศึกทำสงคราม ควรสวมใส่ชุดสี อะไรและเมื่อจะไปค้าขายควรมีลูกเป้งประจำตัวเป็นรูปอะไร(ลูกเป้ง หมายถึงรูปหล่อโลหะที่เป็น รูปสัตว์หรือรูปอื่น ๆ ใช้สำ หรับเป็นหน่วยชั่งนํ้าหนักเมื่อพกพาติดตัวถือเป็นวัตถุมงคลชนิดหนึ่งสำ หรับการค้าขายให้เงินทองไหลมาเทมา หรือเป็น “ขวัญถุง” นั่นเอง)ว่าด้วยเรื่องอนาคต ทำ นายว่าชาติหน้าจะได้เกิดเป็นอะไรตัวอย่างการทำ นายผู้ที่เกิดปีฉลู ตำ ราทำ นายและอธิบายว่า “ผู้ใดเกิดปีดับเป้า เมิงเป้า กัดเป้า ร้วงเป้า ก่าเป้า ชาติก่อนเปนช้างสะทันซํ้าเปนม้า ซํ้าเปนผีเสื้อเมือง ซํ้าเปนลูกหมอยาในหงสาวติจิ่งมาเกิดเปนคนชาตินี้หื้อรักษาศีล ๕ ศีล ๘ กระทาบุญหื้อทานภิดานขาว ทุงข่ายใบสะหลีจ้องเผือก แท่นแก้วสารูปหินขาว คันบ่ได้ทานจักตายเปนควายเถิง ๓ ชาตินกเขียว ๕ ชาติจิ่งได้มาเปนคนผานว่าอั้น..... ..เลี้ยงงัวเลี้ยงม้าตัวแดง นุ่งเครื่องเสิกอันขาว ถงเป้งแดงนอกเหลือง รูปเป้งรูปงัวดีแล” ต่อจากการทำ นายปีเกิดเป็นการทำ นายเดือนเกิดซึ่งบางเรื่องอาจซํ้ากัน เจ้าชะตาต้องเลือกเอาเองว่าจะเลือก ปฏิบัติตามปีหรือเดือนเกิด (ทั้งนี้การนับเดือนของล้านนาจะเร็วกว่าของภาคกลางไป ๒ เดือน โดยเริ่มจากเดือนเจ็ด หรือเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตรงกับเดือน ๕ ของ ภาคกลาง) นอกจากนี้บางสำ นวนยังมีการทำ นายวัน เดือน ปีที่เป็นมิตรและศัตรูกัน เป็นการทำ นายวันที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการดูนิสัยใจคอเพื่อคบหา เป็นมิตรหรือเพื่อเป็น คู่ครองแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน วันไหนเป็นวันดีควรแก่การประกอบมงคลพิธีวันไหนเป็นวันเสีย ควรละเว้นการ ประกอบ พิธีมงคลต่างๆ ตลอดจนถึงการบูชาพระธาตุประจำ ปีเกิด และคำ ไหว้พระธาตุของแต่ละปี ปัจจุบันแม้ความเชื่อเรื่องการทำ นายทายทักในปีเกิด เดือนเกิด และวันเกิดแบบล้านนาจะน้อยลงไป แต่อิทธิพลของตำ ราพรหมชาติยังคงดำ รงอยู่ในวิถีประจำวันของชาวบ้านล้านนาในชุมชนปรากฏอยู่ทั่วไปในรูปแบบ ของพิธีกรรมประกอบอื่นๆเช่น การเลี้ยงผีปู่ย่าผีแถนพ่อเกิดแม่เกิดการฟ้อน ผีมดผีเม็ง (ผีบรรพบุรุษ)การบูชาไหว้ พระธาตุประจำ ปีเกิดการทำ พิธีสะเดาะเคราะห์สืบชะตาการหาฤกษ์วันในการประกอบพิธีมงคลและอวมงคลต่างๆ เช่น การลงเสาเอกปลูกบ้าน การขึ้นบ้านใหม่แต่งงาน วันเผาศพ งานบวช งานปอยหลวง เหล่านี้เป็นต้น ตำราพรหมชาติได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖


144 ตำ ราพิชัยสงคราม เรียบเรียงโดย พันเอก(พิเศษ) อำ นาจ พุกศรีสุข ตำ�ราพิชัยสงคราม เป็นคำ ที่ใช้เรียกหนังสือหรือเอกสารที่มีการรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และยุทธวิธี การรบต่างๆอาทิการเตรียมกำลังการจัดทัพ การเคลื่อนทัพ การแปรขบวนทัพ การรุกการรับ การใช้อุบายทำลาย ข้าศึก เป็นต้น เนื้อหานั้นอาจแต่งเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรองก็ได้ ในสารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานเล่มที่ ๒๑ ได้ให้คำจำกัดความของตำ ราพิชัยสงครามไว้ว่า “พิชัยสงคราม - ตำ�รา เป็นตำ ราว่าด้วยวิธีการเอาชนะข้าศึกในสงคราม ซึ่งนักปราชญ์ทางทหารสมัยโบราณ ได้แต่งขึ้นจากประสบการณ์และจากการทดลอง เพื่อให้แม่ทัพนายกองใช้ศึกษา และเป็นคู่มือในการอำ นวยการรบ ให้หน่วยทหารมีชัยชนะแก่ข้าศึก” ตำ�ราพิชัยสงครามไทย มีร่องรอยว่ามีใช้มาตั้งแต่สมัย ทวาราวดีศรีวิชัย สุโขทัย จนถึงอยุธยา เดิมสืบทอด กันมาแบบมุขปาฐะหรือท่องจำต่อๆกันมา จนถึงสมัยอยุธยาได้มีการเขียนเป็นเอกสารขึ้นในรัชสมัย สมเด็จพระบรม ไตรโลกนารถ ในคราวที่พระองค์เตรียมทำสงครามกับ พระเจ้าติโลกราช แล้วได้เขียนขึ้นเป็นฉบับหลวงในรัชสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อจุลศักราช ๘๔๐ ตรง กับพุทธศักราช ๒๐๒๑ โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำการรวบรวมและ ชำระตำราพิชัยสงครามฉบับต่างๆขึ้นเป็นฉบับหลวงเป็นครั้งแรกแล้ว ได้คัดลอก หรือท่องจำ เพื่อใช้งานต่อๆ กันมา มีการปรับปรุงเพิ่มเติม บางส่วนของตำ ราพิชัยสงคราม ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อใช้ในสงครามยุคนั้น หลังจากสงครามกับพม่าในปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ แล้วปรากฏว่าตำ ราพิชัยสงครามฉบับหลวงได้กระจัดกระจาย


145 ภาพ : ตำราพิชัยสงคราม จากหอวัฒนธรรมนครบาล เพชรบูรณ์


146 สูญหายจำ นวนมาก คงเหลืออยู่แต่ฉบับที่มีผู้คัดลอกไว้บ้างเพียงบางตอนไม่ครบชุด บางส่วนก็ได้มีการแต่งขึ้นใหม่ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงให้ทำการชุบตำราพิชัยสงครามขึ้นใหม่ จำ นวนหลายฉบับเพื่อใช้ในราชการ ต่อมาในในปีพุทธศักราช ๒๓๖๘ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นแม่กอง ให้ชำ ระตำ รา พิชัยสงครามให้สมบูรณ์โดยเชิญพระตำ รับพิชัยสงครามฉบับข้างที่ (ฉบับหลวง) มาสอบสวนชำ ระ ๑๔ เล่มสมุดไทย เมื่อชำ ระเสร็จแล้วได้คัดลอกออกเป็น ๒ ชุดชุดละ ๕ เล่มสมุดไทยรวม ๑๐ เล่มสมุดไทย นับเป็นตำ ราพิชัยสงคราม ฉบับสุดท้ายที่ชำ ระอย่างสมบูรณ์เพื่อใช้ในราชการในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โครงสร้างตำ ราพิชัยสงครามไทย ประกอบด้วยสาระสำคัญ ๓ ส่วนคือ ๑. ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี มักจะกล่าวรวมกันไว้ในตอนต้นของตำ ราพิชัยสงครามไทย มีสาระสำคัญที่เป็น เรื่องเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมก่อนการเข้าสู่สมรภูมิได้แก่ การเตรียมการด้านกำลังคน การหาและประมวลข่าวศึก การวางแผนการยุทธ์การเตรียมพร้อมด้านยุทธปัจจัย ตลอดจนการจัดกำลังเพื่อเข้าทำการรบ ๑.๑ การเตรียมการทางด้านกำ�ลังคน ในตำ ราพิชัยสงครามแยกออกเป็น ๔ ขั้นตอน คือ การเกณฑ์คน การกำ หนดสายการบังคับบัญชาและความรับผิดชอบ การกำ หนดลักษณะของกำลังคน และการจัดคนเข้าประจำกอง ๑.๒ การข่าวคือการสืบหาความเป็นไปของข้าศึกทุกๆด้าน ในตำราพิชัยสงครามไม่ได้กำ หนดให้หน่วยใด รับผิดชอบงานการข่าวโดยตรงแต่กำ หนดให้จัดส่งทหารออกไปสอดแนมในเขตศัตรูโดยมิให้ศัตรูรู้ตัวหรือทำ โดยการ ส่งคนออกไปล่าจับคนของฝ่ายตรงข้ามและชาวบ้านในเขตยุทธภูมิมาซักถามข่าวต่างๆ ๑.๓ การวางแผนการยุทธ์การเตรียมความพร้อมในด้านการวางแผนการยุทธ์นั้นกระทำ โดยให้แม่ทัพ นายกอง ทำการศึกษาตำ ราพิชัยสงครามให้แตกฉานเพื่อนำความรู้มาประมวลในการวางแผนการปฏิบัติ


147 ๑.๔ ก ารเตรียมพร้อมด้ านยุทธปัจจัย ได้แก่ การจัดเตรียมเสบียงอาหาร การจัดเตรียม ยุทธภัณฑ์ได้แก่สัตว์พาหนะยานพาหนะเป็นต้น ๑.๕ ยุทธวิธี ลักษณะของยุทธวิธีที่ กำ หนดไว้ในตำ ราพิชัยสงคราม มีเนื้อหาสาระ ประกอบด้วยการเคลื่อนทัพ การตั้งทัพ การจัดรูป ขบวนทัพ การเข้าทำการยุทธ์และการสิ้นสุดการยุทธ์ ๒. ตำ�ร าพิชัยสงคร าม ๒๑ กลศึก เป็น ตำ ราพิชัยสงครามที่สมบูรณ์ในตัวเองชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นตำ หรับที่ใช้กันมาก่อน ส่วนนี้เขียนเป็น กลศึก ๒๑ กลได้แก่ ฤทธีสีหจักร ลักษณ์ซ่อน เงื่อน เถื่อนกำ บัง พังภูผา ม้ากินสวน พวนเรือโยง โพงน้าบ่อ ํ ล่อช้างป่าฟ้างำดินอินทร์พิมานผลาญศัตรู ชูพิษแสลงแข็งให้อ่อน ยอนภูเขา เย้าให้ผอมจอม ปราสาท ราชปัญญา ฟ้าสนั่นเสียง เรียงหลักยืน ปืนพระราม ซึ่งเมื่อถอดความกลศึกทั้ง ๒๑ กลแล้ว นำ มาร้อยเรียงกันใหม่จะได้ตำ หรับพิชัยสงครามที่ สมบูรณ์แบบขึ้น ฉบับหนึ่ง ๓. อำ�น าจกำ�ลังรบที่ไม่มีตัวตน ซึ่งเป็น สิ่งที่เกี่ยวข้องกับนามธรรมและพลังลี้ลับ อัน ประกอบด้วยวิชาไสยศาสตร์ วิชาโหราศาสตร์ รวมถึงมนต์คาถาเพื่อการรณรงค์สงคราม ส่วนนี้ เป็นส่วนเสริมสองส่วนแรก เป็นสาระสำคัญส่วน หนึ่งที่มีแทรกอยู่ในตำ ราพิชัยสงครามทุกฉบับ มิได้ถูกแยกออกมาเป็นส่วนเฉพาะสิ่งลี้ลับเหล่านี้ สามารถแยกเป็นประเด็นต่างๆ ได้ดังต่อไปนี้ ๓.๑ ข้อพึงละเว้น หมายถึง พฤติกรรม ที่ต้องละเว้นในการกระทำ บางสิ่งบางอย่างแยก ออกเป็นข้อพึงละเว้นส่วนบุคคล ข้อห้ามสำ หรับ กองทัพ


148 ๓.๒ ข้อพึงกระทำ� หมายถึง พฤติกรรมที่พึงปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งสวัสดิ์มงคลแยกออกเป็นข้อพึงกระทำ ส่วนบุคคล ข้อพึงกระทำสำ หรับกองทัพ ๓.๓ โหราศาสตร์ เป็นเรื่องของการทำ นายอนาคตในรูปแบบของการคำ นวณ วัน เดือน ปีควบคู่กับการ เคลื่อนที่ของดวงดาวที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์รวมไปถึงการทำ นายและนิมิตต่างๆเป็นศาสตร์สำคัญที่มีบทบาทอย่าง มากทั้งในภาวะปกติและภาวะสงคราม ๓.๔ ไสยศาสตร์ คือการใช้เวทมนต์ เพื่อชิงความเป็นเบี้ยบนหรือเพื่อให้ได้ชัยชนะในการทำสงครามรวม ถึงการใช้คาถาอาคมเพื่อป้องกันภัยจากข้าศึกให้กับบุคคลและกองทัพ แบ่งออกเป็น ๓.๔.๑ ไสยศาสตร์เพื่อการป้องกัน ก. ไสยศาสตร์เพื่อการป้องกันบุคคล มีทั้งมนต์คาถา ซึ่งได้แก่ วิชาคงกระพัน วิชาชาตรี วิชาแคล้วคลาด วิชามหาอุด รวมทั้งคาถาอื่นๆและอาคม อาคมที่ปรากฏอยู่ในตำ ราพิชัยสงครามส่วนมากเป็น ยันต์ เพื่อใช้เขียนหรือจารึกลงในเครื่องใช้เพื่อให้เกิดความขลัง มี๔ ประเภทคือยันต์ลงเสื้อยันต์ลงตะกรุดยันต์ลงประเจียด และยันต์ลงหมวก ข. ไสยศาสตร์เพื่อการป้องกันกองทัพ แสดงออกในลักษณะของพิธีกรรมเพื่อสร้างพลัง อำ นาจในการป้องกันภยันตรายอันจะเกิดจากศัตรูหรือเพื่อความเป็นมงคลแก่คนทั้งกองทัพ ๓.๔.๒ ไสยศาสตร์เพื่อการจู่โจม คือพิธีกรรมในการสร้างอำ นาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน เพื่อให้สามารถ สร้างความหายนะให้แก่ฝ่ายปรปักษ์ได้มากขึ้น แบ่งออกเป็น ไสยศาสตร์เพื่อการจู่โจมสำ หรับบุคคลและไสยศาสตร์ เพื่อการจู่โจมสำ หรับกองทัพ ตำ ราพิชัยสงครามไทย เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ประเภทเดียวที่ให้ภาพโครงสร้างภายในของ การทหารไทย เป็นตำ รับทางการทหารของนักการทหารไทยโบราณทุกยุคทุกสมัย อีกทั้งยังเป็นตำ รับทางการทหาร ประเภทแรกและประเภทเดียวที่ได้วางรูปแบบโครงสร้างทางการทหารไทยไว้อย่างเป็นระบบและมีเอกภาพและ ก่อให้เกิด“จารีต”ในการทำสงคราม เนื้อหาและหลักการในตำ ราพิชัยสงครามสามารถนำ มาประยุกต์ใช้ในด้านการ บริหารองค์กรต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน ตำ ราพิชัยสงคราม ส่วนหนึ่งเก็บรวบรวมไว้ที่หอสมุดแห่งชาติจัดอยู่ในหมวดตำ รา ภายไต้บัญชี หัวเรื่อง“บัญชีสังเขปตำ รายุทธศาสตร์ซึ่งบัญชีชุดนี้มีตำราพิชัย สงครามไทยจำ นวน ๑๘๓ ฉบับที่ผ่านมามีผู้ศึกษาค้นคว้า ตำ รา พิชัยสงครามไม่มากนัก แต่ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาค้นคว้าใน เชิงประวัติศาสตร์ ในปัจจุบันยังมีการเรียนการสอนตำ ราพิชัย สงคราม กันอยู่ทั้งในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียน เสนาธิการทหารบก และวิทยาลัยการทัพบก ตำ ราพิชัยสงคราม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗


149 ตำ รานรลักษณ์ เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล ตำรานรลักษณ์ เป็นตำ ราดูลักษณะดีร้ายของบุคคล นอกจากชื่อตำ รานรลักษณ์แล้วตำ ราดูลักษณะบุคคลใน กลุ่มนี้ยังมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น ในภาคกลางและภาคใต้เรียก ตำราดูลักษณะชายหญิง ตำรา ตรีภพ (ตำราเศษพระจอมเกล้า)ผูกนิพพานโลกีย์ ตำรับพระโยนี ส่วนในภาคอีสานและภาคเหนือเรียกตำราดูลักษณะ ชายหญิง โสกชาย – โสกหญิง โฉลกชาย – โฉลกหญิง ซึ่งบางครั้งอาจมีแทรกในตำ ราพรหมชาติหรือในวรรณกรรม ท้องถิ่นเช่นในวรรณกรรมอีสานเรื่อง ท้าวคำสอน หรือ นิทานท้าวคำสอนเลือกสาว


150 ตำ รานรลักษณ์ของไทย ได้รับอิทธิพลจากทั้งในวัฒนธรรมจีน คือ ตำ ราดูโหงวเฮ้ง (ฉบับที่แพร่หลายมาก คือ ตำรานรลักษณ์ฉบับพระมหามณเทียรสมัยรัชกาลที่ ๑ แปลโดยจีนแส)และในวัฒนธรรมอินเดียคือคัมภีร์พฤหตฺสหิตา ํ ของวราหมิหิรซึ่งส่งอิทธิพลต่อความคิดเรื่อง“มหาปุริสลักษณะ” หรือลักษณะของมหาบุรุษ นำ มาสู่การสร้างสรรค์ งานศิลปกรรมเพื่อเป็นสิ่งแทนพระพุทธเจ้า หรือ พระพุทธรูป ซึ่งเป็นแบบจำลองของรูปลักษณ์อันเป็นมงคลมหา บุรุษในอุดมคติที่เป็นรูปธรรม ลักษณะ ไฝ ปาน ดีร้าย บนใบหน้า จากหนังสือตำรานรลักษณ์ ศาสตร์แห่งการทำ นายลักษณะบุคคล โดย พลูหลวง สาระสำคัญของตำรานรลักษณ์ โดยทั่วไปว่าด้วยการพยากรณ์ลักษณะบุคคลทั้งหญิงและชายดูลักษณะร้ายดี ต่างๆในร่างกายและกิริยาอาการ บางสำ นวนมีการอ้างอิงบุคคลในประวัติศาสตร์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือดังที่โดยมาก ตำรามักอ้างถึงการทำ นายลักษณะของพระนางประทุมเทวีพระราชธิดาของพระเจ้ากรุงศรีสัชนาลัยซึ่งเสียเมืองและ ยกพระธิดาให้แก่เจ้ากรุงสุโขทัย หรืออะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวแม่ทัพฝ่ายไทยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีคือเจ้าพระยา จักรีแล้วพยากรณ์ลักษณะอย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าตำราโดยมากเน้นการดูลักษณะดีร้ายของหญิงมากกว่าชาย ทั้งนี้เนื้อหาที่เกี่ยวกับการพยากรณ์ลักษณะนั้นอาจแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ การพยากรณ์พฤติกรรม อาทิการดูลักษณะการกิน การดูลักษณะนอน การดูลักษณะนั่ง การดูลักษณะเดิน การดูลักษณะการเจรจา การดูลักษณะการขับถ่าย การพยากรณ์ร่างกาย อาทิการดูลักษณะใบหน้า การดูลักษณะ ดวงตา การดูลักษณะใบหูการดูลักษณะจมูก การดูลักษณะรูปร่างผิวพรรณ การดูลักษณะลิ้น การดูลักษณะปาก การดูลักษณะสะดือ การดูลักษณะและตำแหน่งของไฝ การดูลักษณะอวัยวะเพศ ตัวอย่างเนื้อความใน ตำ�รานรลักษณ์ ฉบับภาคกลาง ยี่สิบแปดกล่าวแก่ นรลักษณ์ มีแก่หญิงชายศักดิ์ ใหญ่ล้น แดงแปดท่านชี้ชัก เริ่มแรก สองสิ่งยาวเยิ่นพ้น เหยียดเฟื้อยอันปลาย เล็บมือหนึ่งเล็บเท้า แดงดี พื้นหัตถ์ฝ่าเท้าสี สุกด้วย มือเท้าร่องลายมี โลหิต ควรนา สีปากขอบเนตรย้อย แปดนี้สีแดง เล็กย่อมห้าอย่างนี้ พึงจำ นิ้วเล็กมือเหยียดกำ อ่อนแท้ อำ เอวรัดกลมขำ เท้าย่อม สุรเสียงสำ เนียงแล้ เล็กห้าอย่างประสงค์


151 ตัวอย่างเนื้อความในนิทานเรื่องท้าวคำสอน ของภาคอีสาน กล่าวถึงลักษณะสตรีที่มีความซื่อสัตย์ต่อสามี ไม่เป็นชู้ดังนี้ หญิงใดหลังตีนสูงขึ้นคือหลังดองเต่า หญิงนั้นใจซื่อแท้ประสงค์ตั้งต่อผัว เจ้าเอย ก็บ่มักเล่นชู้ชายอื่นมาชม ก็ท่อจงใจรักต่อผัวคีค้อยคีค้อย หญิงนั้นแม่นซิทำการสร้างอันใดก็เรืองรุ่ง แท้แล้ว แสนซิจมอยู่พื้นมาแล้วก็หากฟู ตำรานรลักษณ์ในอดีตถือได้ว่ามีบทบาทอย่างยิ่ง ในการคัดเลือกบุคคลเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ต่างๆ อาทิการรับราชการการเลือกคู่ครอง เป็นต้น เนื่องจาก ลักษณะของบุคคลดังกล่าวมานั้นเชื่อกันว่าจะส่งผล ต่อหน้าที่การงาน ผู้บังคับบัญชา รวมถึงคู่ครอง มี ความเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาด้านโหราศาสตร์ด้วยเหตุ ดังกล่าวมานี้ตำ รานรลักษณ์จึงแพร่หลายอย่างมาก นอกจากนี้ตำ รานรลักษณ์ ยังสัมพันธ์กับภูมิปัญญา ด้านดาราศาสตร์โดยการเชื่อมโยงตำแหน่งของไฝ กับ ตำแหน่งของดวงดาว แล้วนำ มาใช้พยากรณ์อีกด้วย ปัจจุบันตำรานรลักษณ์ยังคงมีบทบาทต่อคนไทย โดยเฉพาะในด้านของการเสริมความงาม ศัลยกรรม ต่างๆเพื่อปรับแต่งลักษณะของบุคคลให้เป็นมงคลตาม ดวงชะตาตามความเชื่อว่าหากปรับแต่งให้สอดคล้องกับ ตำรานรลักษณ์แล้วจะทำ ให้มีความเจริญรุ่งเรืองและเป็น มงคลต่อชีวิตในภายภาคหน้า ตำรานรลักษณ์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗


152 ตำ ราแมวไทย เรียบเรียงโดย สุมามาลย์ พงษ์ไพบูลย์ ตำ ราแมวไทย เป็นตำ ราการดูลักษณะแมว เดิมมีปรากฏใน สมุดข่อยโบราณต่อมามีพิมพ์เผยแพร่โดยเพิ่ม ภาคผนวกเป็นคำ โคลง และเขียนรูปภาพแมวประเภทต่าง ๆ ประกอบ ตำราดูลักษณะแมว จะกล่าวถึงความเชื่อ เกี่ยวกับแมวที่มีลักษณะเป็นคุณ ๑๗ ประเภท และ แมวที่มีลักษณะเป็นโทษ ๖ ประเภท ความเชื่อเกี่ยวกับแมวที่มีลักษณะเป็นคุณ ๑๗ ประเภท ได้แก่ ๑. แมวนิลรัตน์ มีขนสีดำสนิททั้งตัว มีตาดำ เล็บ ลิ้น ฟัน หางและหางมีลักษณะเรียว ยาว เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะได้ทรัพย์สินเงินทอง ๒. แมววิลาศ มีขนพื้นสีดำ มีแต้มสีขาวที่หูทั้ง ๒ เท้าทั้ง ๔ และมีแนวสีขาวเป็นเส้น ตรง ๒ แห่ง คือ ตั้งแต่คอถึงปลายหาง และตั้งแต่ปากล่างถึงท้อง ผู้ใดเลี้ยงไว้เชื่อว่าจะได้ยศ ถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินเพิ่มพูน ๓. แมวศุภลักษณ์ หรือแมวทองแดง มีขนสีทองแดง หรือนํ้าตาลแดงเข้มทั่วตัวดวงตา สีเหลืองใสเป็นประกาย เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้มีแต่จะเพิ่มยศยิ่งขึ้นไป ๔. แมวเก้าแต้ม หรือแมวนพ มีขนพื้นสีขาวแต้มด้วยแต้มสีดำ นับรวมได้๙ แต้ม ได้แก่ ที่คอต้นขาหลัง ๔ แห่ง หลัง ๒ แห่ง และขาหน้า ๒ แห่ง เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะค้าขายดีเจริญ รุ่งเรือง


153 ๕. แมวชื่อมาเลศ หรือดอกเลาขนลำตัวมีสีขี้เถ้า หรือสีสวาด บางตัวยาวมีขาวแซม กลายเป็นสีดอกเลา(เทาปนดำ ) มีดวงตาสีเหลืองอำ พัน เชื่อว่าผู้ใดเลี้ยงไว้จะมีความสุขเป็น ที่รักใคร่ทั่วไป ๖. แมวแซมเศวต มีขนสีดำแซมขาวเล็กน้อย ขนบางและสั้น รูปกายเพรียว ดวงตา สีเขียว เชื่อว่าผู้ใดเลี้ยงไว้จะเป็นคุณ มีความสุขความเจริญ ๗. แมวรัตนกำ�พล ขนมีสีขาวนวล มีแต้มสีดำ เป็นวงแหวนพาดรัดรอบตัว ตาสีทอง เชื่อว่าผู้ใดเลี้ยงไว้จะได้อำ นาจยศถาบรรดาศักดิ์ ๘. แมววิเชียรมาศ หรือแก้ว ขนสีพื้นเป็นสีขาวหม่นมีแต้มสีดำ ที่หน้า หาง เท้าทั้ง ๔ หูทั้ง ๒ และอวัยวะเพศ เป็น ๙ แห่ง ดวงตาสีฟ้าใส เชื่อว่าผู้ใดเลี้ยงไว้จะนำ โชคมาให้ ๙. แมวนิลจักร ขนสีพื้นเป็นสีดำ มีแต้มสีขาวรอบคอเหมือนใส่สร้อย เชื่อว่า ผู้ใด เลี้ยงไว้จะได้ทรัพย์สิน เงินทอง ๑๐. แมวมุลิลา ขนสีพื้นเป็นสีดำ แต้มขาวที่ใบหูทั้ง ๒ ข้าง ดวงตาสีเหลือง เชื่อว่า ผู้ใดหรือพระสงฆ์เลี้ยงไว้จะทำ ให้ศึกษาได้ความรู้และสัจธรรมมากยิ่งขึ้น ๑๑. แมวกรอบแว่น หรืออานม้าขนสีพื้นเป็น สีขาวแต่มีแต้มสีดำกลางหลังดูแล้ว คล้ายอานม้า และมีแต้มสีดำ บริเวณรอบดวงตาเหมือนใส่แว่น เป็นแมวที่หาได้ยาก เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะมีชื่อเสียง


154 ๑๒. แมวปัดเศวต หรือปัดตลอด ขนสีพื้นเป็น สีดำ มีแต้มขาวยาวตั้งแต่ปลายจมูก ผ่านหลังไปถึงปลายหาง ดวงตามีสีบุษราคัม (พลอยสีเหลือง) เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะมีชื่อ เสียงเกิดแก่วงศ์ตระกูล ๑๓. แมวกระจอกขนสีพื้นเป็นสีดำ ลำตัวอ้วนกลม มีแต้มสีขาวบริเวณปากดวงตา สีเหลืองทอง เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะได้เงินทองและยศถาบรรดาศักดิ์ ๑๔. แมวสิงหเสพย์ ขนสีพื้นเป็นสีดำ มีด่างสีขาวที่จมูกรอบปากและรอบคอดวงตา สีเหลืองทอง เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะได้ทรัพย์สินเงินทอง และจะมีสุข ๑๕. แมวการเวกขนสีพื้นเป็นสีดำ มีแต้มขาวเฉพาะตรงสันจมูกดวงตาสีอำ พัน เชื่อ ว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะมีโชคลาภและยศ ๑๖. แมวจตุบท ขนสีพื้นเป็นสีดำ มีแต้มสีขาวที่ขาและเท้าทั้ง ๔ และแต้มยาวตั้งแต่ หน้าอกถึงท้อง ดวงตา สีเหลือง เป็นแมวมงคล ที่เชื้อพระองค์ฝ่ายหญิงเท่านั้น ควรเลี้ยง ๑๗. แมวโกนจา ขนสีพื้นดำสนิททั้งตัว มีขนละเอียด หน้ายาว หางยาวเรียว เท้า เหมือนเท้าสิงโต เวลาเดินท่าทางมีอำ นาจ ดวงตาสีเหลืองอ่อนคล้ายสีดอกบวบ เชื่อว่าผู้ใด เลี้ยงไว้จะมีอำ นาจ ส่วนแมวที่มีลักษณะเป็นโทษมี๖ ประเภท ได้แก่ ๑. แมวทุพพลเพศ มีขนสีขาวหม่น หางหงิกงอ ดวงตาสีแดง ชอบลักขโมยสิ่งของ เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะเกิดความเดือดร้อน ๒. แมวพรรณพยัคฆ์ หรือลายเสือ คือแมวที่มีขนลายเช่นเดียวกับเสือ มีสีดำ -เขียว ดำ -แดง ขนหยาบ ดวงตาสีแดงดั่งเลือด เสียงน่าเกลียดดังเสียงผีโป่ง เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะ เกิดความเดือดร้อน


155 ๓. แมวปีศาจ เป็นแมวตัวเมียที่กินลูกตัวเอง หลังคลอด มีลำตัวผอม หนังยาน ขนหยาบ ดวงตาสีแดง เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะเดือดร้อน ๔. แมวหินโทษ เป็นแมวตัวเมีย มีขนสวยงามแต่คลอดลูกตายตั้งแต่ในท้อง เชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะเกิดภัยพิบัติแก่เจ้าของ ๕. แมวกอบเพลิง เป็นแมวที่มีลักษณะ ร้ายน่ากลัว ชอบแอบนอนตามยุ้งข้าว หรือ ตามป่า เมื่อพบคน จะวิ่งหนีเชื่อว่า ผู้ใดเลี้ยงไว้จะให้โทษแก่เจ้าของ ๖. แมวเหน็บเสนียด มีขนโคนหางด่าง รูปร่างพิกลพิการ มักเอาหางซ่อนไว้ใต้ก้น เวลานั่ง เชื่อว่าผู้ใดเลี้ยงไว้จะเสื่อมเสียวงศ์ตระกูล ตำ ราแมวไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓


156


157 ตำ ราเลขยันต์ เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา เลขยันต์คือ ลวดลายทางเรขาคณิต ประกอบด้วย อักขระตัวหนังสือ ตัวเลข ภาพที่เป็นสัญลักษณ์บรรจุอยู่ใน กรอบและนอกกรอบลวดลายทางเรขาคณิตนั้นๆ ตามจุด ประสงค์ความเชื่อของผู้ออกแบบหรือรับแบบมา เลขยันต์ ของชาวสยามเป็นความเชื่อที่สืบทอดมาจากวิทยาการของ อารยธรรมโบราณในเรื่องแนวคิดแผนภูมิของจักรวาล อัน ได้แก่ดวงดาวจักรราศีต่างๆและอำ นาจของโลกธาตุทั้งสี่คือ ดิน นํ้า ลม ไฟผสมผสานกับแนวคิดและการฝึกฝนจิต หรือ กสิณายตนะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในปฏิบัติการโยคะของพระพุทธ ศาสนาที่เรียกว่า“กรรมฐาน ๔๐”อันนำ ไปสู่ปฏิบัติการ กสิณ สังเคราะห์ธาตุ หรือ การหุงธาตุ อันเป็นที่มาของการผลิต เครื่องราง ของขลัง และศาสตราวุธต่างๆ การศึกษาเลขยันต์ในอดีตจะเรียนด้วยการถ่ายทอดจากปากต่อปาก ส่วนการจดบันทึกจะจดตัวบทที่สำคัญ เท่านั้น ดังนั้นคัมภีร์ยันต์จึงมีเพียงรูปแบบและคาถา คัมภีร์ยันต์หรือตำ ราฝึกหัดเขียนยันต์ที่พบในภาคกลาง ได้แก่ คัมภีร์ปถมังคัมภีร์อิธะเจคัมภีร์ตรีนิสิงเห คัมภีร์มหาราชและคัมภีร์พุทธคุณ เลขยันต์ที่บรรจุอยู่ในคัมภีร์ทั้ง ๕ เล่มนี้ ถือเป็นแม่แบบของยันต์ทั้งหลายในภาคกลางและภาคใต้ ยันต์จากคัมภีร์ทั้งห้าได้ถูกนำ มาประยุกต์สร้างเป็นเครื่องรางของขลัง ได้แก่ ผ้ายันต์หรือประเจียด เสื้อยันต์ ตะกรุด พิรอด ประคำ มีดหมอ เทียน พระกริ่ง พระไม้โพธิ์ห้ามสมุทร เหรียญโลหะ พระผงสมเด็จ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ จะมีอานุภาพตามยันต์ที่ลง นอกจากนี้ยังใช้ในการพิไชยสงคราม ลงเครื่องอาวุธ ลงพาหนะในการทำศึก การจัดทัพ และการยาตราทัพ แบบโบราณ ในภาคเหนือและภาคอีสาน ชายฉกรรจ์นิยมสักลายหรือสักเลขยันต์ที่ผิวหนังด้วยค่านิยมในด้านอยู่ยงคงกระพัน เพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจและเพื่อทำ ให้แคล้วคลาดจากอันตรายใดๆส่วนใหญ่เป็นลายรูปสัตว์เช่น ลายมอม ลายหนุมาน ส่วนในภาคกลางและภาคใต้ชายในอดีตไม่นิยมสักลายที่ตัว แต่ในปัจจุบันวัฒนธรรมการสักได้เผยแพร่ ไปทั่ว จึงมีผู้นำยันต์ต่างๆจากตำ รามาให้อาจารย์ยันต์ลงอักขระเลขยันต์สักนํ้ามันหรือสักหมึกลงบนตัวเพื่อผลทาง เมตตามหานิยมและเพื่อคงกระพันชาตรีเช่น ยันต์เกราะเพชร ยันต์เก้ายอด เป็นต้น ตำ ราเลขยันต์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓


158 ตำ ราศาสตรา เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ ตำ ราศาสตรา หมายถึงตำ ราที่ชาวใต้ใช้เสี่ยงทายดูโชคชะตา คำ ว่า “ศาสตรา” หมายถึง ศาสตราวุธ คือ พระขรรค์โดยสมมุติเป็นไม้แบนๆ เล็กๆ สำ หรับ สอดหรือแทงระหว่างหน้าหนึ่งหน้าใดของศาสตรา ชาวใต้บางถิ่น เรียกตำ ราศาสตราว่า สัจจา หมายถึงการทำ นายด้วยความจริง เป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ ตำราศาสตรา เป็นสมุดไทยขนาดสั้น ชาวใต้เรียกบุดตีนช้าง เจ้าของศาสตราหรือหมอศาสตรา (อดีตมักเป็น พราหมณ์) เป็นผู้อ่านคำ ทำ นายเนื้อหาเป็นคำกาพย์หรือร้อยแก้วจบในหน้าหนึ่งหน้าใดอีกหน้าหนึ่งเป็นภาพประกอบ คำ ทำ นาย เป็นฝีมือชาวบ้าน ตำ ราศาสตราปรากฏในท้องถิ่นภาคใต้หลายฉบับ เช่น ฉบับอำ เภอปากพนัง จังหวัด นครศรีธรรมราชฉบับตำ บลเขารูปช้างอำ เภอเมืองจังหวัดสงขลาฉบับตำ บลนาประดู่อำ เภอโคกโพธิ์จังหวัดปัตตานี และฉบับตำ บลเทพกษัตรีอำ เภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เนื้อเรื่องของตำราศาสตรา ประกอบด้วยอนุภาคเด่น น่าสนใจจากพฤติกรรมตัวละครหรือเหตุการณ์ตอนหนึ่ง ตอนใดจากนิทานพื้นบ้าน นิทานชาดกวรรณคดีตำ นาน พุทธประวัติเป็นต้น ตัวอย่าง เรื่องรามเกียรติ์ตอนหนุมาน เผากรุงลงกา “รูปนี้หนุมาน เมื่อทะยานเผาลงกา ไฟร้ายติดหางมา ได้เวทนาเพียงปางตาย สี่เดือนพระเคราะห์ทับ จะได้รับอันตราย ห้ามว่าอย่าผันผาย ไปอุดรและทักษิณ ศัตรูนั้นเป็นชาย จะทำร้ายให้มลทิน จะเสียซึ่งทรัพย์สิน จะทำกินขัดเคืองใจ พี่น้องจะแตกฉาน ร้อนรำคาญข้างภายใน เจ็บไข้ได้ทุกข์ภัย เจ็บทั่วไปทั่งกายา ให้เจริญเรื่องพุทโธ อิติปิโสภควา มนตร์นํ้ารดเกศา ภัยนั้นหนาจะหายไป”


159 ตอนท้ายของ ตำราศาสตรา มีคำแนะนำวิธีแก้ไขเมื่อโชคร้าย และบอกให้“ไถ่ชะตา” คือบริจาคเงินแก่หมอ ศาสตรา เป็นจำ นวนเงินย่อยของ ชาวใต้สมัยนั้น เรียกเป็น “ก้อน” โดยทั่วไป ๑ ก้อน เท่ากับ ๒๕ สตางค์ที่สงขลา ๑ ก้อน เท่ากับ ๑๕ สตางค์ ในวิถีชีวิตชาวใต้ชาวใต้ในอดีตที่สนใจคำ ทำ นายโชคชะตา มักอาศัยตำ ราศาสตราบอกถึงคำ ทำ นายวิถีชีวิตใน อนาคต เช่น การทำ มาหากิน ความรัก และสมาชิกในครอบครัว ฯลฯ อีกประการหนึ่งเนื้อหาศาสตรา เป็นผลให้ ชาวบ้านได้รับความรู้เรื่องราวต่างๆ จากวรรณคดีศาสนา ตำ นาน เป็นต้น นับเป็นการศึกษาจากการฟังอย่างหนึ่ง ส่วนสถานภาพการดำ รงปัจจุบันของ ตำราศาสตรา ทุกวันนี้ยังเก็บรักษาไว้บ้างตามศูนย์วัฒนธรรมหรือวัดวา อารามในบางท้องถิ่นภาคใต้แต่ส่วนใหญ่จะหายไปกับหมอศาสตราที่ขาดการสืบทอด ปัจจุบันมีสิ่งเข้ามาทำ หน้าที่ แทนศาสตรา คือ “เซียมซี” และการพยากรณ์โชคชะตาตาม สื่อทันสมัย เช่น โทรทัศน์หนังสือพิมพ์ซึ่งเปิดคอลัมน์ หรือรายการดังกล่าวเป็นประจำ ตำ ราศาสตรา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


160


161 ปักขะทึนล้านนา เรียบเรียงโดย สนั่น ธรรมธิ ปักขะทึน อ่านว่า “ปักกะตึน” (ปักขะ = ข้าง หมายถึง ข้างขึ้น ข้างแรม, ทึน = ทิน หมายถึง วัน) คือปฏิทิน ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะทั้งระบบวัน การนับเดือน และปีสะท้อนความเชื่อและภูมิปัญญาของชาวล้านนาที่สืบทอดมา แต่อดีต ระบบการนับวันของชาวล้านนา มีระบบการนับอยู่ ๓ ระบบ คือ นับตามจันทรคติคือเริ่มนับข้างขึ้นของ ดวงจันทร์คือขึ้น ๑ ค่า จนถึงแรม ๑๔ ค่าหรือ ๑๕ นับแบบมอญ หรือที่เรียกว่า“วันเม็ง”คืออาทิตย์จันทร์อังคาร เสาร์ซึ่งบางครั้ง ใช้ตัวเลขแทนคือ ๑-๗ และนับแบบหนไท เรียกว่า วันไท (อ่าน วันไต) การนับแบบนี้จะมีชื่อแม่วัน นำ หน้าที่เรียก “แม่มื้อ” และมีชื่อลูกวันตามหลังควบคู่กันไปที่เรียกว่า “ลูกมื้อ” แม่มื้อ ๑๐ ชื่อได้แก่กาบ ดับ รวาย เมือง เปิก กัด กด ร้วง เต่า ก่า ส่วน ลูกมื้อ ๑๒ ชื่อ ได้แก่ ใจ้เป้า ยีเหม้า สีใส้สะง้า เม็ด สัน เร้า เส็ด ใค้เมื่อนับวันจะต้องนับให้ถูกคู่กัน เช่น กาบใจ้ดับเป้า รวายยีเป็นต้น ระบบการนับเดือน นับเหมือนไทยภาคอื่น แต่นับเร็วกว่า ๒ เดือน ระบบการนับปีนับปีนักษัตรเหมือนไทยภาคอื่น แต่มีชื่อเฉพาะดังนี้ ใจ้= ชวด สะง้า = มะมีย เป้า = ฉลู เม็ด = มะแม ยี่ = ขาล สัน = วอก เหม้า = เถาะ เร้า = ระกา สี= มะโรง เส็ด = จอ ใส้= ส็ง ใก๊= กุน


162 ปักขะทึนล้านนา เสื่อมความ นิยมไประยะหนึ่ง เพราะมีปฏิทินของ ส่วนกลางเข้าไปแทนที่ แต่ปัจจุบันหวน กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เพราะ สามารถตอบสนองความต้องการด้าน ประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นได้เป็น อย่างดีจึงมีการจัดพิมพ์จำ หน่ายกัน อย่างแพร่หลายกระจายไปทั่วภูมิภาค อย่างที่พบเห็นกันโดยทั่วไป ปักขะทึนล้านนา ได้รับการ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


163 รายการวรรณกรรมพื้นบ้านที่ขึ้นทะเบียน เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ (แยกตามปีที่ขึ้นทะเบียน) ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ประเภท รายการ ประเภท รายการ นิทานพื้นบ้าน ๑. นิทานศรีธนญชัย นิทานพื้นบ้าน ๑. นิทานปลาบู่ทอง ๒. นิทานสังข์ทอง ตำ นานพื้นบ้าน ๒. ตำ นานจามเทวี ๓. นิทานขุนช้างขุนแผน ๓. ตำ นานผาแดงนางไอ่ ๔. นิทานดาวลูกไก่ ๔. ตำ นานแม่นากพระโขนง ตำ นานพื้นบ้าน ๕. ตำ นานพระแก้วมรกต ๕. ตำ นานนางเลือดขาว ๖.ตำ นานพระเจ้าห้าพระองค์ ๗. ตำ นานพระเจ้าเลียบโลก ๘. ตำ นานพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช ๙. ตำ นานพระพุทธสิหิงค์ ๑๐. ตำ นานพญาคันคาก บทสวดหรือบทกล่าว ในพิธีกรรม ๑๑. บททำขวัญข้าว ๑๒. บททำขวัญนาค ๑๓. บททำขวัญควาย ตำ รา ๑๔. ตำ ราแมวไทย ๑๕. ตำ ราเลขยันต์


164 ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ประเภท รายการ ประเภท รายการ นิทานพื้นบ้าน ๑. นิทานวรวงศ์ นิทานพื้นบ้าน ๑. นิทานยายกะตา ๒. นิทานตาม่องล่าย ๒. นิทานปัญญาสชาดก ๓. นิทานพระสุธนมโนห์รา - ตำ นานพื้นบ้าน ๓. ตำ นานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ภาคใต้ ๔. ตำ นานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ๔. นิทานวันคาร ๕. ตำ นานเจ้าแม่เขาสามมุก ตำ นานพื้นบ้าน ๕. ตำ นานพระร่วง ๖. ตำ นานกบกินเดือน ๖. ตำ นานเจ้าหลวงคำแดง บทสวดหรือ บทกล่าว ในพิธีกรรม ๗. บทเวนทาน ๗. ตำ นานพระธาตุดอยตุง ๘. ตำ นานเจ้าแม่สองนาง ๙. ตำ นานอุรังคธาตุ สำ นวน ภาษิต ๘. ผญาอีสาน ๑๐. ตำ นานหลวงปู่ทวด ตำ รา ๙. ตำ ราพรหมชาติ ๑๑. ตำ นานนางโภควดี ๑๒. ตำ นานสร้างโลกภาคใต้ ตำ รา ๑๓. ปักขะทึนล้านนา ๑๔. ตำ ราศาสตรา ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ประเภท รายการ ประเภท รายการ นิทานพื้นบ้าน ๑. นิทานนายดัน นิทานพื้นบ้าน ๑. นิทานพระรถเมรี ตำ นานพื้นบ้าน ๒. ตำ นานพญากงพญาพาน ๒. นิทานท้าวปาจิต-อรพิมพ์ ๓. ตำ นานพันท้ายนรสิงห์ ตำ นานพื้นบ้าน ๓. ตำ นานสงกรานต์ ๔. ตำ นานชาละวัน ๔.ตำ นานพระธาตุประจำ ปีเกิด ๕. ตำ นานปู่แสะย่าแสะ ๕. ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้า บทร้องพื้นบ้าน ๖. เพลงแห่นางแมว ๗. กาพย์เซิ้งบั้งไฟ บทสวดหรือบทกล่าว ในพิธีกรรม ๘. บททำขวัญช้าง ตำ รา ๙. ตำ ราพิชัยสงคราม ๑๐.ตำ รานรลักษณ์


165 คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน ศาสตราจารย์ศิราพร ณ ถลาง ประธาน นางสาวทัศชล เทพกำ ปนาท รองประธาน รองศาสตราจารย์ประพนธ์เรืองณรงค์ กรรมการ ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา กรรมการ รองศาสตราจารย์รังสรรค์จันต๊ะ กรรมการ รองศาตราจารย์กัญญรัตน์เวชชศาสตร์ กรรมการ รองศาตราจารย์ภูมิจิต เรืองเดช กรรมการ รองศาสตราจารย์วิมล ดำศรี กรรมการ รองศาสตราจารย์ทรงศักดิ์ปรางค์วัฒนากุล กรรมการ รองศาตราจารย์ปฐม หงษ์สุวรรณ กรรมการ รองศาตราจารย์เสาวณิต วิงวอน กรรมการ ผู้ช่วยศาตราจารย์อภิลักษณ์เกษมผลกูล กรรมการ นางสุมามาลย์พงษ์ไพบูลย์ กรรมการ นายวัฒนะ บุญจับ กรรมการ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านภูมิปัญญา กรรมการ นางสาวกิตติพร ใจบุญ นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการพิเศษ เลขานุการและกรรมการ นางสุกัญญา เย็นสุข นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการ ผู้ช่วยเลขานุการและกรรมการ นางสาวหทัยรัตน์จิวจินดา นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการ ผู้ช่วยเลขานุการและกรรมการ นางสาวเบ็ญจรัศม์มาประณีต นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการ ผู้ช่วยเลขานุการและกรรมการ นางสาวสุมาลีเจียมจังหรีด นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการ ผู้ช่วยเลขานุการและกรรมการ


166 คณะผู้จัดทำ ที่ปรึกษาโครงการ นางพิมพ์รวีวัฒนวรางกูร อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ศาสตราจารย์ศิราพร ณ ถลาง ประธานกรรมการสาขาวรรณกรรมพื้นบ้าน นายมานัส ทารัตน์ใจ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นางสุนันทา มิตรงาม รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นางสาวทัศชล เทพกำ ปนาท ผู้อำ นวยการสถาบันวัฒนธรรมศึกษา คณะทำ งาน นางสาวกิตติพร ใจบุญ นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการพิเศษ นางสุกัญญา เย็นสุข นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการ นางสาวหทัยรัตน์จิวจินดา นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการ นางสาวเบ็ญจรัศม์มาประณีต นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการ นางสาวฐิตพร ลิมปิสวัสดิ์ นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการ นางสาวสุมาลีเจียมจังหรีด นักวิชาการวัฒนธรรมชำ นาญการ นางสาวอรุณีจีรพรบัณฑิต นักวิชาการวัฒนธรรม นางสาวนัทธมน สิงหพรรค ลูกจ้างโครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการ กลุ่มสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สถาบันวัฒนธรรมศึกษา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โทรศัพท์๐ ๒๒๔๗ ๐๐๑๓ ต่อ ๑๓๑๒-๔ โทรสาร ๐ ๒๖๔๕ ๓๐๖๑ เว็บไซต์http://ich.culture.go.th เฟสบุ๊ค www.facebook.com/ichthailand อีเมล์[email protected] “หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อประโยชน์ในการศึกษาและเผยแพร่เรื่องมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมมิใช่ เพื่อการค้าซึ่งภาพประกอบในเล่มได้นำ มาจากแหล่งข้อมูล ที่หลากหลาย โดยบางภาพไม่สามารถอ้างแหล่งที่มา ปฐมภูมิได้จึงขออนุญาตใช้ภาพดังกล่าวและขอบคุณผู้เป็นเจ้าของภาพทุกภาพไว้ณ ที่นี้ด้วย”


167


Click to View FlipBook Version