The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วรรณกรรมพื้นบ้าน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วรรณกรรมพื้นบ้าน

วรรณกรรมพื้นบ้าน

40 ตำ นาน กบกินเดือน พบในกลุ่มไทยอีสานและไทยยวนล้านนา รวมทั้งกลุ่มคนลาวในประเทศลาว และไทดำ ไทขาวในเวียดนามด้วย ทั้งนี้เรื่องกบกินเดือนกบกินตะวัน เป็นเรื่องราวที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากคติความเชื่อที่มีมาแต่เดิม ของกลุ่มคนไท ซึ่งยังคงมีกลิ่นอายของการนับถือธรรมชาติและการนับถือผีปะปนรวมอยู่ด้วยดังจะเห็นได้จากรูปสัตว์ สัญลักษณ์ที่ทำ ให้เกิดเหตุการณ์สุริยคราสและจันทรคราสคือ “กบ” ที่เป็นตัวละครที่ทำ ให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นมา ส่วนตำ นาน ราหูอมจันทร์ เป็นเรื่องราวที่ได้รับอิทธิพลทางความเชื่อมาจากคติทางศาสนาที่มาจากประเทศ อินเดีย นั่นคือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูดังจะเห็นได้จากคติที่เชื่อว่า “พระราหู” เป็นผู้ทำ ให้เกิดสุริยคราสและ จันทรคราสขึ้น ดังมีปรากฏให้เห็นในเทวตำ นานของอินเดียเรื่อง นารายณ์สิบปาง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นความ สัมพันธ์ระหว่างตำ นานกับศาสนาของกลุ่มคนไทย-ไทได้อย่างน่าสนใจ เนื้อหาของตำ นานสุริยคราสและจันทรคราสของคนไทยในประเทศไทยและคนไทนอกประเทศไทยที่อธิบาย เหตุอันเป็นที่มาของปรากฏการณ์ธรรมชาติดังกล่าวสามารถจำแนกได้เป็น ๔ กลุ่ม คือกลุ่มเรื่องกบกินเดือนกินตะวัน พบในกลุ่มไทยอีสาน ไทยยวนล้านนาลาวและไทดำ ไทขาวในเวียดนาม กลุ่มเรื่องที่อธิบายว่าพี่น้องที่ชื่อสุริยะจันทร์ และราหูทะเลาะกัน เพราะแย่งกันเอาข้าวสวยไปใส่บาตรพระที่มาบิณฑบาตจึงอาฆาตแค้นและไป “บังกัน”อันทำ ให้


41 เกิดปรากฏการณ์“คราส” พบในกลุ่มคนไทพ่าเก ไทใต้คง ไทใหญ่ ไทเขิน ไทลื้อ และไทยยวนล้านนา กลุ่มเรื่องที่ อธิบายว่าพี่น้องไปเยี่ยมเยือนกัน พบในกลุ่มคนไทยอีสาน และลาว และสุดท้าย กลุ่มเรื่องราหูอมจันทร์พบมากใน กลุ่มคนไทยภาคกลางและไทยภาคใต้ของประเทศไทยกลุ่มเรื่องตำ นานสุริยคราสและจันทรคราสทั้ง ๔ แบบนี้สะท้อน คติความเชื่อทางศาสนาของชนชาติไท กล่าวคือกลุ่มเรื่องกบกินเดือนกินตะวัน เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาแต่เดิมของ คนไทก่อนการรับนับถือพุทธศาสนาส่วนกลุ่มเรื่องพี่น้องทะเลาะกันและกลุ่มเรื่องพี่น้องไปเยี่ยมเยือนกัน เป็นเรื่องที่ ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนา กลุ่มเรื่องสุดท้ายคือราหูอมจันทร์เป็นกลุ่มเรื่องที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดความเชื่อ มาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู อนึ่ง กลุ่มเรื่องแบบต่างๆ ข้างต้นของตำ นานสุริยคราสและจันทรคราสยังสามารถบ่งบอกความสัมพันธ์ทาง วัฒนธรรมของกลุ่มชนชาติไททั้งที่อยู่ในประเทศไทยและนอกประเทศไทยได้กล่าวคือคนไทดั้งเดิมที่กระจายกันอยู่ทาง ตอนเหนือของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งคนไทยอีสานและคนไทยล้านนาล้วนมีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับ การเกิดสุริยคราสและจันทรคราสว่าเกิดจาก “กบกินเดือน/กบกินตะวัน” แสดงให้เห็นว่ากลุ่มคนไทยอีสานและ กลุ่มคนไทยล้านนา มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนไทที่อาศัยอยู่นอกประเทศไทยมากกว่าคนไทยภาคกลางและภาคใต้ ในแง่ความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับสุริยคราสและจันทรคราสนั้น พบว่าในบริบทของสังคมวัฒนธรรม ของคนไทย-ไทหลายกลุ่ม ยังหลงเหลือพฤติกรรมที่แฝงนัยสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับการเกิดสุริยคราสและจันทรคราส ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ พิธีกรรม ศิลปกรรม ตัวอย่างเช่น การตีกลองการตีเกราะเคาะไม้พิธีส่งราหูหรืองานศิลปะตาม ศาสนสถานต่างๆ ซึ่งยังคงมีสัญลักษณ์รูปกบและรูปราหูปะปนอยู่ด้วย อันสะท้อนให้เห็น การผสมผสานความคิด ความเชื่อระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับพุทธศาสนา ได้อย่างน่าสนใจ คติการเรียกสุริยคราสและจันทรคราสว่า“กบกินเดือน/กบกินตะวัน”ซึ่งในตำ นานกล่าวว่ากบเป็นผู้มากลืนกิน พระอาทิตย์และพระจันทร์ไปจนทำ ให้เกิดอุปราคานั้น นับว่าเป็นระบบความเชื่อดั้งเดิมของคนไทที่มีระบบคิดเกี่ยวกับ อำ นาจเหนือธรรมชาติผ่านสัญลักษณ์รูปกบศักดิ์สิทธิ์เป็นหลักสำคัญ ดังจะเห็นได้จากการนับถือบูชารูปกบว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์บ้าง เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์บ้าง รวมทั้งยังเป็นสัตว์ที่ใช้ในเชิง พิธีกรรมด้วยดังจะเห็นได้จากในประเพณีบุญบั้งไฟของชาวไทยอีสาน ก็จะมีการเทศน์พญาคันคากซึ่งมีสัตว์สัญลักษณ์ ที่มีความคล้ายคลึงกับตัวกบที่โยงใยกับเรื่องความอุดมสมบูรณ์แห่งนํ้าฟ้านํ้าฝน หรือภาพเขียนสีโบราณตามผนังถํ้า หลายแห่งในไทยก็จะมีรูปกลุ่มคนยืนเต้นในพิธีกรรม ทำ ท่าทางกางแขนกางขาคล้ายกบ รวมทั้งหน้ากลองมโหระทึก ที่มีรูปกบนั้นในบางถิ่นบางที่ก็จะเรียกว่า “กลองกบ” ด้วยเช่นกัน ตำ นานกบกินเดือน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖


42 ตำ นานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ปฐม หงษ์สุวรรณ ตำ นานเรื่อง ก่องข้าวน้อย หรือบางทีเรียกว่า ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เป็นนิทานอธิบายที่มาการสร้าง ศาสนสถาน คือ พระธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งเป็นศิลปะ แบบขอม ตั้งอยู่กลางทุ่งนาบ้านตาดทองตำ บลตาดทอง อำ เภอเมือง จังหวัดยโสธร ทั้งนี้คำ ว่า “ก่องข้าว” หรือกล่องข้าวเป็นเครื่องจักสานที่ใช้เป็นภาชนะบรรจุ ข้าวเหนียวนึ่งของชาวอีสานและล้านนา ตำ นานเรื่อง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ มีทั้งประเภท มุขปาฐะและลายลักษณ์ (ใบลานและหนังสือ) เป็น นิทานพื้นบ้านที่รับรู้กันโดยทั่วไปในสังคมไทยแม้เชื่อว่า จะมีที่มาจากนิทานพื้นบ้านของอีสาน แต่ในปัจจุบัน นิทานเรื่องนี้ได้แพร่หลายและรับรู้กันอย่างกว้างขวาง ในสังคมไทย ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ นิทานเรื่อง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ มีเนื้อเรื่อง กล่าวว่าครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีแม่ลูกยากจนคู่หนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ชายทุ่ง มีอาชีพทำ นา ลูกชาย เจริญวัยแล้วได้ช่วยแม่ทำ นาและประกอบสัมมาชีพ


43 ต่างๆ เลี้ยงดูมารดาซึ่งชราภาพมาก แล้ว ลูกชายเป็นคนขยันขันแข็งใน การงานพยายามที่จะกอบกู้ฐานะ ของครอบครัว ในฤดูทำ นาลูกชายก็ ออกไปไถนาตั้งแต่เช้าตามปกติทุกวัน ส่วนแม่เฒ่าก็เตรียมข้าวปลาอาหาร ไปส่งลูกที่ท้องนาทุกวัน อยู่มา วันหนึ่งลูกชายก็ออกไปไถนาตามปกติ ส่วนแม่เฒ่าตื่นสายจึงเตรียมข้าวปลา อาหารช้ากว่าทุกวัน ลูกชายไถนา อยู่ในนารู้สึกหิวข้าว แม่ก็ยังไม่มา ส่งข้าวเหมือนทุกวัน ลูกชายก็ได้ แต่คอยด้วยความหิว ก็ยังไม่เห็น แม่มาสักทีครั้นเมื่อแม่เฒ่ามาถึง พร้อมกับกล่องข้าวที่เคยใส่อาหารมา ด้วยความหิวลูกชายจึงมองเห็น ก่องข้าวเล็ก นิดเดียว คงไม่พอกิน จึงเกิดโทสะที่คิดว่าแม่นาข้าวมา เพียงนิดเดียวจะทำ ให้ตนไม่พอกิน แม่ช่างไม่เห็นใจที่ตนพยายามทำ งาน เพื่อกอบกู้ฐานะของครอบครัว ทั้ง ความหิวและความโกรธจนลืมตัว จึงได้หยิบไม้ท่อนหนึ่งมาตีแม่ แล้ว จึงกินข้าว จนอิ่มแต่ข้าวก็ไม่หมดกล่อง จึงหวนคิดได้ว่าตนหิวจนตาลาย ได้กระทำ ร้ายแม่ไป จึงรีบมาอุ้มแม่ขึ้น แต่ ปรากฏว่าแม่ได้สิ้นใจไปแล้วเกิดความรู้สึกเสียใจที่ตนได้ทำร้ายแม่จนถึงขั้นมาตุฆาตและได้มามอบตัวสารภาพผิดต่อ เจ้าเมืองและขอบวชเพื่อไถ่บาป เจ้าเมืองก็อนุญาตเมื่อบวชก็ได้ปฏิบัติเคร่งครัดในวินัยจนชาวบ้านตลอดจนเจ้าเมือง เลื่อมใสมากจึงถวายไม้กวาดลานวัดทำด้วยด้ามทองคำ ภายหลังจึงเรียกชื่อหมู่บ้านนั้นว่า“บ้านตาดทอง” พระภิกษุ รูปนี้ได้เจริญภาวนาเป็นที่เลื่อมใสของคนทั่วไป ทั้งประชาชนที่อยู่หมู่บ้านอื่นๆ ท่านได้ตั้งจิตที่จะสร้างพระธาตุเจดีย์ เพื่อไถ่บาปแก่แม่ของตน ประชาชนทราบข่าวเรื่องนี้ต่างก็มาช่วยกันสร้างพระธาตุเจดีย์สูงชั่วลำตาลจนสำ เร็จ แล้ว เรียกว่า “พระธาตุก่องข้าวน้อย” สืบมาจนทุกวันนี้


44 นอกเหนือจากสำ นวนข้างต้นแล้ว ยังพบว่ามีเรื่องเล่าประวัติความเป็นมาของการสร้างพระธาตุก่องข้าวน้อย อีกสำ นวนหนึ่งที่แตกต่างออกไป คือ มีเรื่องเล่าว่ามีผู้คนในลุ่มแม่นํ้ามูลส่วนหนึ่ง ปัจจุบันอยู่ในเขตอำ เภอรัตนบุรีได้ ทราบข่าวว่า มีการบูรณะพระธาตุพนมที่จังหวัดนครพนม จึงได้พร้อมกันรวบรวมวัตถุมงคลสิ่งของมีค่า เพื่อหมายจะ นำ ไปบรรจุไว้ในองค์พระธาตุพนม ได้เดินทางมาพักอยู่ข้างๆ บ้านตาดทอง (บ้านตาดทองอำ เภอเมืองจังหวัดยโสธร ในปัจจุบัน) ในขณะนั้นชาวบ้านสะเดาตาดทองที่ไปช่วยบูรณะพระธาตุพนมได้เดินทางกลับมาถึงบ้านพอดีและได้แจ้ง ให้พวกที่มาพักทราบว่า การบูรณะพระธาตุพนมได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ผู้คนเหล่านั้นจึงพร้อมใจกันสร้างพระธาตุเจดีย์ ครอบวัตถุอันมีค่าที่นำ มานั้นไว้ประกอบกับชาวบ้านสะเดาตาดทองก็ได้นำถาดทองที่ใช้เป็นพานอัญเชิญวัตถุมงคล ไปบรรจุไว้ในองค์พระธาตุพนมมารองรับวัตถุมงคลที่ญาติพี่น้องจากลุ่มแม่นํ้ามูลนำ มา แล้วช่วยกันก่อสร้างพระธาตุ เจดีย์บรรจุไว้ ปัจจุบันนิทานเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายดังปรากฏในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบของหมอลำ เรื่องอีสาน ลิเกของภาคกลางละครซอภาคเหนือ หนังตะลุง เพลงลูกทุ่ง เพลงแหล่ เทศน์แหล่แบบ อีสาน บทสวดสรภัญญะลำซิ่ง ภาพยนตร์ภาพจิตรกรรม วีซีดีการแสดงและการ์ตูนแอนนิเมชั่น ซึ่งล้วนมีการนำ เอา โครงเรื่องนิทานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่มาสร้างสรรค์ดัดแปลงเป็นข้อมูลทางวัฒนธรรมของไทยมาจนถึงทุกวันนี้ ตำ นานก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปี พุทธศักราช ๒๕๕๖


45 ตำ นานจามเทวี เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์รังสรรค์ จันต๊ะ ตำ นานจามเทวี เป็นตำ นานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของอาณาจักร หริภุญไชยและล้านนา ปรากฏอยู่ทั้งเรื่องเล่า แบบมุขปาฐะในสำ นวนของชาวบ้าน เขตเชียงใหม่ลำ พูนและลำ ปาง รวมถึงวรรณกรรมลายลักษณ์เรื่องจามเทวีวงศ์ พงศาวดารเมืองหริภุญไชย เป็นหนังสือที่รจนาขึ้นโดยพระโพธิรังสีพระเถระ ชาวล้านนา ในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๙ – ๒๐๖๘ ในยุคสมัยของพระญาเมืองแก้วแห่งราชวงศ์มังรายต้นฉบับแต่งเป็นภาษาบาลีแปลเป็นภาษาไทย โดย พระปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) และพระญาณวิจิตร (สิทธิ์โลจนานนท์) เปรียญธรรม เนื่องจากเนื้อหาของเรื่อง ตำ นานจามเทวีวงศ์ มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับประวัติการเข้ามาของพุทธศาสนาในเขต หริภุญไชยและเรื่องความเป็นมาของเมืองหริภุญไชยโดยเริ่มเรื่องตามธรรมเนียมของตำ นานศาสนาทั่วไปที่เกี่ยวกับ การเสด็จมาของพระพุทธเจ้าเพื่อมาโปรดเวไนยสัตว์ในอาณาจักรหริภุญไชย ดังนั้นเนื้อหาจึงมีความเกี่ยวข้องกับ หนังสือตำ นานศาสนาในเรื่องอื่น ๆอยู่ด้วย เช่น ตำ นานพื้นเมืองเชียงใหม่ ตำ นานสิงหนวัติกุมาร ชินกาลมาลินี หรือ ชินกาลมาลีปกรณ์ ตำ นานมูลศาสนา เหล่านี้เป็นต้น


46 เนื้อเรื่องจากต้นฉบับภาษาบาลีและคำแปลของพระโพธิรังสีฉบับ แปลโดยพระปริยัติธรรมธาดา แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๑๕ ปริเฉท เนื้อความ โดยย่อจากเรื่องทั้งหมด กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์สถานที่ ประดิษฐานพระเสรีธาตุ เรื่องการเกิดของพระฤาษี๔ องค์ฤาษีวาสุเทพกับ สุกกทันต์สร้างเมืองหริภุญชัยนคร พระฤาษีสุกกทันตฤาษีขอนางจามเทวี ราชธิดาพระเจ้าละโว้ไปครองหริภุญชัยนคร ต่อมามีพระยามิลักขุ ชื่อ ติลังกะ ยกทัพมาหวังจะยึดหริภุญไชยนคร พระเจ้ามหันตยศ เตรียมสู้รบ จนเป็นสงครามของสองกุมารกับพระเจ้ามิลักขราชจากนั้นเป็นเรื่องของพิธี ราชาภิเษกพระเจ้ามหันตยศและอนันตยศตามด้วยการสร้างเมืองเขลางค์นคร การสร้างอาลัมพางคนคร จนถึงตอนที่พระนางจามเทวีสิ้นพระชนม์แล้ว มีลำดับกษัตริย์อีก ๒๘ พระองค์ทรงครองราชย์สืบมาจากนั้นว่าด้วยแผ่นดิน


47 พระเจ้าอาทิตยราชและสงครามพระเจ้าอาทิตยราชกับพระเจ้าละโว้และปริเฉทสุดท้ายว่าด้วยพระเจ้าอาทิตยราช พบพระบรมธาตุจนรุ่งเรืองคู่เมืองหริภุญชัยมาตราบทุกวันนี้ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ นอกจากจะมีการบันทึกในงานวรรณกรรมลายลักษณ์ทั้งในรูปของ ตำ นานและประวัติศาสตร์โดยตรงแล้วยังปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าและ ความทรงจำ ของชาวบ้านในท้องถิ่น เช่น ชาวบ้านหนองสลีก บ้าน หมูเปิ้ง บ้านหนองดู่ ในเขตจังหวัดลำ พูน เล่าว่า พระนางจามเทวี เป็นลูกสาวชาวบ้าน เกิดที่บ้านหนองดู่ อำ เภอเมือง จังหวัดลำ พูน นี้เอง ต่อมาได้ไปเรียนวิชาที่เมืองละโว้และได้กลับมาครองเมือง หริภุญชัยในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีการรจนาบทกวีนิพนธ์เรื่องกาพย์เจี้ย จามเทวีและวิรังคะ นอกจากนี้ยังปรากฏจิตรกรรมฝาผนังจากเรื่องตำ นาน พระนางจามเทวีที่วัดพระบาทห้วยต้ม อำ เภอลี้จังหวัดลำ พูน และจิตรกรรม ฝาผนังที่วัดจามเทวีอำ เภอเมือง จังหวัดลำ พูน และปัจจุบันมีการสร้าง อนุสาวรีย์พระนางจามเทวี ที่ทางแยกเข้าเมืองลำ พูน มีการสร้างรูปเคารพ และเครื่องรางของขลังเกี่ยวกับพระนางจามเทวีในรูปแบบต่างๆ ตำ นานจามเทวีได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔


48 ตำ นานเจ้าแม่เขาสามมุก เรียบเรียง ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล ตำ นานเจ้าแม่เขาสามมุกเป็นตำ นานประจำถิ่นเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณเนินเขาขนาดเล็กที่ตำ บลอ่างศิลากับพื้นที่ บริเวณหาดบางแสน ตำ บลแสนสุขอำ เภอเมืองจังหวัดชลบุรีนี้โดยทั่วไปในท้องถิ่นมักเรียกว่าตำ นานเจ้าแม่เขาสมมุก เจ้าแม่สาวมุก เจ้าแม่เขาสามมุก หรือ ตำ นานเจ้าพ่อแสน เจ้าพ่อบางแสน แต่โดยทั่วไปมักเรียกว่า ตำ นานเจ้าแม่เขา สามมุก เรื่องย่อ ครั้งหนึ่งที่บ้านอ่างหิน (ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี) เป็นที่อาศัยของครอบครัวยายกับหลานคู่หนึ่ง หลานสาวมีชื่อว่า “มุก” หรือ “สาวมุก” มุกเป็นเด็กกำ พร้า เดิมอยู่ที่บ้านบางปลาสร้อย (ตัวเมืองจังหวัดชลบุรีใน ปัจจุบัน) เมื่อพ่อแม่ตาย ยายจึงนำ มุกมาเลี้ยงจนโตเป็นสาว มุกมักมานั่งเล่นที่เชิงเขาเตี้ยๆ ที่อ่างศิลาเป็นประจำ วันหนึ่งพบว่าวตัวหนึ่งขาดลอยมาตกอยู่ภายหลังเจ้าของว่าวคือ นายแสน ลูกชายของกำ นันประจำตำ บลนี้วิ่งตามว่าว มาจึงทำ ให้มาพบกับมุก ทั้งสองจึงได้พบกันและแสนได้มอบว่าวตัวนั้นให้แก่มุกเป็นสิ่งแทนตัว ภายหลังทั้งสองได้นัด พบกันอีกหลายครั้งจนเกิดเป็นความรักกระทั่งทั้งสองได้ให้สัตย์สาบานที่หน้าเชิงเขานี้ว่าจะรักกันชั่วนิรันดร์หากผิด คำสาบานจะกระโดดหน้าผาแห่งนี้ตายตามกัน ศาลเจ้าแม่เขาสามมุก


49 ต่อมาเมื่อพ่อของแสนทราบเรื่องจึงไม่พอใจมาก กีดกันไม่ให้ทั้งสองพบกัน และได้ตกลงให้แสนแต่งงาน กับลูกสาวคนทำ โป๊ะที่ได้สู่ขอไว้ภายหลังเมื่อมุกทราบ เรื่องและเห็นว่าเป็นเรื่องจริง จึงวิ่งไปที่หน้าผาเพื่อ กระโดดหน้าผาตายตามคำสัตย์สาบาน เมื่อแสนเห็น ดังนั้นจึงวิ่งตามไปและกระโดดหน้าผาตายตามคำสัตย์ สาบานเช่นกัน ส่วนกำ นันภายหลังรู้สึกสำ นึกผิดจึงนำ เครื่องถ้วยชามต่างๆ มาไว้ในถํ้าบริเวณเชิงเขาเพื่อเป็น ที่ระลึกถึงความรัก ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกภูเขาที่มุกกระโดดหน้าผา ตายว่า“เขาสาวมุก”เพื่อระลึกถึงมุกผู้มั่นคงต่อความรัก ภายหลังจึงเพี้ยนเป็น “สามมุก” ในที่สุด และบริเวณ ถํ้านั้นเชื่อว่าเป็นถํ้าลับแลมีเครื่องถ้วยชามต่างๆ ที่กำ นัน บิดาของแสนนำ มาไว้เมื่อชาวบ้านมีงานบุญสามารถ หยิบยืมไปใช้ได้ซึ่งภายหลังถํ้านี้ได้ปิดปากถํ้าไปแล้ว เมื่อคราวก่อสร้างถนนสมัยรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม ส่วนหาดที่พบศพหญิงชายทั้งสองหลังจากกระโดด หน้าผาตายนั้น ชาวบ้านเรียกกันว่า “หาดบางแสน” เพื่อระลึกถึงนายแสน ตำ นานเจ้าแม่เขาสามมุก เป็นตำ นานที่แพร่หลายอยู่ทั้งในจังหวัดชลบุรีและบริเวณชุมชนชายฝั่งทะเลตะวันออก ของไทย เชื่อกันว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของชาวประมงและผู้เดินทางทางทะเลในภาคตะวันออกมานับแต่สมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ดังปรากฏหลักฐานในนิราศเมืองแกลงที่แต่งเมื่อราว พ.ศ. ๒๓๔๙ ของสุนทรภู่ ที่กล่าวถึงเจ้าแม่ เขาสามมุกไว้ด้วยและเมื่อถึงเทศกาลสำคัญต่างๆอาทิตรุษจีน สารทจีน ชาวบ้านที่นับถือก็จะนำ เครื่องเซ่นไหว้และว่าว มาเป็นเครื่องบูชากราบไหว้ที่ศาลเจ้าแม่เขาสามมุกด้วย นอกจากนี้ก่อนที่ชาวประมงจะออกเดินเรือชาวบ้านจะนำ ประทัดมาจุดบูชาเพื่อขอให้ช่วยในการทำ มาหากินและแคล้วคลาดจากลมพายุ ปัจจุบัน ตำ นานเจ้าแม่เขาสามมุกดำรงอยู่อย่างเข้มแข็ง เนื่องจาก มีศาลสำ หรับเป็นที่สักการะบูชาศาลเจ้าแม่ เขาสามมุกนั้น ปัจจุบันแบ่งออกเป็น ๒ ศาลคือ ศาลเจ้าแม่เขาสามมุก (ไทย) และศาลเจ้าแม่เขาสามมุก (จีน) ทั้งนี้ ศาลไทยเป็นศาลเก่าแก่ที่ใช้ตำ นานประจำถิ่นที่เล่าเรื่องความรักของสาวมุกกับนายแสนในการเผยแพร่ประวัติเจ้าแม่ เขาสามมุกส่วนศาลจีนเป็นศาลเก่าแก่ของชุมชนคนจีนที่ใช้เรื่อง“เจ้าแม่ทับทิม”ในการเผยแพร่ประวัติเจ้าแม่เขาสามมุก เนื่องจากชาวจีนที่อ่างศิลาได้อัญเชิญกระถางธูปไฮตังม่า ติดเรือมาจากเมืองจีน เมื่อมาตั้งรกรากใหม่ที่ชลบุรี จึงได้ตั้งศาลไฮตังม่า ข้างศาลเจ้าแม่เขาสามมุกเดิม และใช้ชื่อศาลว่า ศาลเจ้าแม่เขาสามมุก(จีน) มาจนถึงทุกวันนี้ ตำ นานเจ้าแม่เขาสามมุกได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖


50 ตำ นานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ ตำ นานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จังหวัดปัตตานีเป็นเรื่องราวของสตรีชาวจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง ซึ่งเดินทางติดตาม พี่ชายจากเมืองจีนมาที่ปัตตานีประมาณสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครองกรุงศรีอยุธยา หรือรายอฮีเยาครอง ปัตตานีด้วยความเป็นสตรีกล้าหาญ ใจเด็ดวาจาสิทธิ์และยอมพลีชีพตามคำ มั่นสัญญาเมื่อทำ หน้าที่ไม่สำ เร็จด้วยเหตุ นี้ชาวไทย ชาวจีน และชาวมุสลิมเชื้อ สายจีนพากันยกย่อง ศรัทธา นับถือ เป็นเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ศักดิ์สิทธิ์ เรื่องย่อ : ลิ้มกอเหนี่ยว หรือ กอเหนี่ยวแซ่ลิ้ม เดินทางจากเมืองจีน โดยคุมเรือสำ เภามา ๙ ลา เพื่อติดตาม พี่ชายชื่อลิ้มเตาเคียน (หรือลิ้มโต๊ะเคี่ยม) ซึ่งเดินทางมาค้าขายที่ปัตตานีและ หายไปจากบ้านมานานหลายปีบิดา มารดาและญาติพี่น้องพากันเป็นห่วง น้องสาวจึงอาสาติดตามพี่ชายและตั้ง


51 สัจจะวาจาไว้ว่า หากทำการไม่สำ เร็จนางจะขอยอมตายในที่สุดลิ้มกอเหนี่ยวเดินทางถึงปัตตานีและพบพี่ชายขณะนั้น เป็นนายช่างกำลังสร้างมัสยิดที่บริเวณบ้านกรือเซะ และกำลังหล่อปืนใหญ่เพื่อถวายรายอฮีเยา สตรีเจ้าเมืองปัตตานี ลิ้มกอเหนี่ยวพยายามอ้อนวอนพี่ชายกลับสู่เมืองจีน แต่ลิ้มเตาเคียนปฏิเสธบอกว่าตนเป็นมุสลิมและมีครอบครัวแล้ว น้องสาวจึงผิดหวังและเสียใจอย่างยิ่ง จึงตัดสินใจผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ใกล้มัสยิดนั่นเอง ส่วนต้นมะม่วงหิมพานต์ต้นนั้น มีผู้นำ มาแกะสลักเป็นรูปเจ้าแม่ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว นอกจากนี้ตำ นานยังเล่าถึงสำ เภา ๙ ลำ ที่นำลิ้มกอเหนี่ยวและบริวารมาสู่ปัตตานีปรากฏว่าต่อมาสำ เภา ๙ ลำ กลาย เป็นสน ๙ ต้น เรียกตามภาษามลายูว่า “รูสะมิแล” (รู= ต้นสน, สะมิแล = ๙) ด้วยความเป็นผู้มีใจเด็ด กล้าหาญ มี วาจาสัตย์และวาจาสิทธิ์ ทำ ให้ชาวปัตตานีและชาวจังหวัดใกล้ไกล ทั้งไทย-จีน และมุสลิมเชื้อสายจีนพากันยกย่อง และศรัทธาลิ้มกอเหนี่ยวเป็นเจ้าแม่ศักดิ์สิทธิ์มาจนทุกวันนี้วิถีชีวิตชาวไทยจีนและมุสลิมเชื้อสายจีน รวมทั้งชาวจีน ในมาเลเซียและสิงคโปร์ยังนับถือและศรัทธาเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่ศาลเจ้าแม่ในตลาดปัตตานีทุกวันนี้จึงมีผู้คนทั้ง ใกล้ไกลไปนมัสการ และบนบานขอความช่วยเหลือ เช่น ขอให้หายจากเจ็บไข้ได้ป่วย หรือขอให้ของหายได้กลับคืน ตำ นานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นเรื่องเล่าประเภทมุขปาฐะต่อมา มีผู้นำ มาเขียนและตีพิมพ์เป็นรูปเล่มเผยแพร่ ทั้งภาษาไทยและภาษาจีน มีภาพประกอบสวยงาม นอกจากนี้มีการศึกษาเปรียบเทียบตำ นานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว กับประวัติศาสตร์ปัตตานีรวมทั้งการค้นคว้าทางศิลปะและโบราณคดียุคชาวจีนรุ่นแรกๆ ที่เดินทางมาถึงปัตตานี ปัจจุบันชาวปัตตานีจัดงานสมโภชทุกปีในวันเพ็ญเดือนสาม เพื่อระลึกถึงความดีของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่ขาด เสียมิได้คือขบวนแห่รูปสลักเจ้าแม่ ตามด้วยขบวนต่างๆ เช่น ขบวนแห่ธง แห่ป้าย แห่กระเช้าดอกไม้และเชิดสิงโต ประโคมด้วยกลองและม้าล่อ กลาง คืนมีมหรสพต่างๆ เช่น งิ้วและโนรา ชาวบ้านบอกว่าเจ้าแม่โปรดการแสดง ทั้งสองนี้ ตำ นานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖


52 ตำ นานเจ้าแม่สองนาง เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภานุพงศ์ อุดมศิลป์ ตำ นานเจ้าแม่สองนาง เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระธิดาหรือลูกหลานของเจ้าเมืองหรือนักรบเวียงจันทน์ในสมัย โบราณ เป็นบุคคลสำคัญที่ชาวบ้านในอีสานหลายจังหวัดเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของตน มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถปกป้อง คุ้มครองให้ตนและชุมชนรอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวงได้ ตำ นานเจ้าแม่สองนาง ส่วนใหญ่มีลักษณะโครงเรื่องที่คล้ายกัน คือ พระธิดาหรือลูกหลานของเจ้าเมืองหรือ นักรบ ซึ่งเป็นพี่น้องกันหรือฝาแฝดกัน ล่องเรืออพยพมาตามแม่นํ้าโขงแล้วเรือล่มเสียชีวิตในแม่นํ้าโขงต่อมาวิญญาณ ได้ปรากฏให้ชาวบ้านตามชุมชนต่างๆ หรือเป็นผู้ติดตามนักรบไปทางบกต่อมาเสียชีวิตบ้างตำ นานเรื่องเจ้าแม่สองนาง เป็นเรื่องเล่าที่สัมพันธ์กับประวัติการอพยพย้ายถิ่นของผู้คนและชุมชนที่เคยเป็นหัวเมืองเก่าในสมัยอาณาจักร ล้านช้างมาก่อนเกือบทั้งสิ้น เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าแม่สองนาง นอกจากจะเป็นความเชื่อร่วมกันของผู้คนที่อพยพมาจากนครเวียงจันทน์แล้ว ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มชนในแต่ละกลุ่มชนว่ามีบรรพบุรุษร่วมกัน หรือได้อพยพหนีภัยสงครามมาจากนคร เวียงจันทน์เหมือนกันและอาจจะอยู่ในช่วงสมัยเดียวกัน ตำ นานเจ้าแม่สองนาง เป็นเรื่องเล่าที่แพร่หลายในชุมชนชายฝั่งแม่นํ้าโขงและภาคอีสานตอนกลางที่มีศาลหรือ หอเจ้าแม่สองนางตั้งอยู่หลายพื้นที่คือ ที่อำ เภอเชียงคาน จังหวัดเลยอำ เภอเมืองหนองบัวลำ ภูจังหวัดหนองบัวลำ ภู ศาลเจ้าแม่สองนางจังหวัดบึงกาฬ ศาลเจ้าแม่สองนางจังหวัดมุกดาหาร


53 อำ เภอศรีเชียงใหม่อำ เภอท่าบ่อตำ บลเวียงคุก ชุมชมวัดหายโศก อำ เภอเมือง บ้านแพงใต้ ตำ บลบ้านแพงอำ เภอบ้านแพง บ้านนาเขท่า ตำ บลนาเขอำ เภอบ้านแพง บ้านนํ้ากํ่าอำ เภอ ธาตุพนม จังหวัดนครพนม อำ เภอเมือง มุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร อำ เภอเมือง จังห วัดขอนแก่น บ้ านสิงห์ท่ า และ บ้านสิงห์โคก อำ เภอเมือง จังหวัดยโสธร ชุมชนต่างๆ ที่นับถือเจ้าแม่สองนางจึง ต้องบวงสรวงและเซ่นไหว้เป็นประจำ ทุกๆ ปี เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษของตน รวมทั้งการร้องขอความอุดมสมบูรณ์และ ความสันติสุขของชุมชน ในทุกชุมชนยังมีความเชื่อในตำ นานเรื่องเจ้าแม่สองนางอย่างแนบแน่นและยังถือปฏิบัติการ บวงสรวงเซ่นไหว้ในช่วงเดือน ๖ กันเป็นประจำ ทุกปี ตำ นานและความเชื่อเรื่องเจ้าแม่สองนางในเขตชุมชนเมืองและจังหวัดมักจะได้ความสนใจจากกลุ่มนักท่องเที่ยว อย่างมากเพราะหน่วยงานการท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัดจะนำตำ นานเกี่ยวกับเจ้าแม่สองนางลงในเว็บไซต์ของจังหวัด ในเชิงประชาสัมพันธ์สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของจังหวัดจึงทำ ให้ตำ นานและความเชื่อเรื่องเจ้าแม่สองนาง ได้รับ การเผยแพร่และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั้งในเมืองไทยและในประเทศเพื่อนบ้าน ตำ นานเจ้าแม่สองนาง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


54 ตำ นานเจ้าหลวงคำ แดง เรียบเรียงโดย นิตยา วรรณกิตร์ ตำ นานเจ้าหลวงคำแดง เป็นตำ นานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับบุคคลที่เชื่อว่าเป็นปฐมกษัตริย์ของล้านนา ผู้มีชีวิตอยู่ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์และเป็นช่วงที่พระพุทธศาสนายังไม่แพร่หลายในดินแดนนี้ปัจจุบันปรากฏการณ์ทางความเชื่อ เกี่ยวกับเจ้าหลวงคำแดงแพร่หลายในหลายจังหวัดทางภาคเหนือตอนบน ดังปรากฏศาลเจ้าหลวงคำแดงกระจาย อยู่ตามจังหวัดต่างๆ อาทิเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำ ปาง แม่ฮ่องสอนและน่าน ซึ่งศาลบางแห่งมีการประกอบ พิธีกรรมเลี้ยงผีเจ้าหลวงคำแดงเป็นประจำ ทุกปี เจ้าหลวงคำแดงมีชื่อเรียกในตำ นานว่า“เจ้าสุวัณณคำแดง”เรื่องราวชีวิตปรากฏในตอนต้นของตำ นาน ๓ เรื่อง คือตำ นานโบราณนิทานปถมเหตุการณ์ตั้งเชียงใหม่ ตำ นานเชียงใหม่ปางเดิม และตำ นานสุวรรณคำแดง หรือตำ นาน เสาอินทขีล กล่าวถึงประวัติของเจ้าหลวงคำแดง บุตรพระยาโจรณีเจ้าหลวงคำแดงได้รับมอบหมายให้ตามจับเนื้อ ทรายทองแปลงและไปพบนางอินเหลาที่ดอยอ่างสรงจากนั้นได้สร้างเมืองขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มแม่นํ้าปิงตั้งชื่อเมือง ตามนํ้าหนักเตียงหินว่า“ล้านนา” นอกจากตำ นานเจ้าหลวงคำแดงทั้ง ๓ เรื่องแล้วยังปรากฏตำ นานเจ้าหลวงคำแดง ของชาวไทยวนและไทลื้ออีกหลายสำ นวน แพร่หลายอยู่ใน เขตภาคเหนือตอนบน ยกตัวอย่างเช่น ชาวไทยวน ในอำ เภอเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่และอำ เภอแม่ใจจังหวัดพะเยาชาวไทลื้อในอำ เภอเชียงคำ อำ เภอเชียงม่วน จังหวัด พะเยาและอำ เภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการอ้างถึงเจ้าหลวงคำแดงในฐานะยักษ์เฝ้าสมบัติ ที่ถํ้าเชียงดาว ใน ตำ นานอ่างหลวงเชียงดาว และ ตำ นานถํ้าเชียงดาว อีกด้วย


55 ชาวล้านนาเชื่อว่าเจ้าหลวงคำแดงมีฐานะเป็นอารักษ์เมืองของล้านนา มีความยิ่งใหญ่กว่าอารักษ์อื่นๆ นอกจากนี้ ในความเชื่อของม้าขี่ (ร่างทรง) ผีเจ้านายในเขตภาคเหนือตอนบน เจ้าหลวงคำแดงคือต้นตระกูลของผีในระบบการ จัดลำดับชั้นของผีในเมืองล้านนาทั้งหมด และมีผีบริวารซึ่งเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ที่สำคัญมากมาย ปัจจุบัน ตำ นานเจ้าหลวงคำแดง เป็นที่รับรู้อย่างแพร่หลายในอาณาบริเวณที่ความเชื่อเรื่องเจ้าหลวงคำแดง ปรากฏอยู่ มีการถ่ายทอดตำ นานเจ้าหลวงคำแดงสู่สาธารณะในรูปแบบต่างๆ เช่น การพิมพ์เผยแพร่ การถ่ายทอด ในบริบทของพิธีกรรม การบันทึกตำ นานไว้ในศาลเจ้าหลวงคำแดงหลายแห่ง รวมทั้งการนำตำ นานเจ้าหลวงคำแดง ไปสร้างสรรค์เป็นนวนิยาย เป็นต้น ตำ นานเจ้าหลวงคำแดง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


56 ตำ นานชาละวัน เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์สุกัญญา สุจฉายา นิทานในภาคกลางที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับจระเข้ชื่อ ชาละวัน มีทั้งที่เป็นนิทานประจำถิ่น และนิทานชีวิต นิทาน ประจำถิ่น (legend) มี๓ เรื่อง ได้แก่ตำ นานชาละวัน จังหวัดพิจิตรตำ นานไกรทองของจังหวัดนนทบุรีและตำ นาน ท้าวพันตา-พญาพันวัง จังหวัดนครนายก ส่วนนิทานชีวิต (romantic tale) มี๒ เรื่อง ได้แก่ เรื่อง ท้าวแสนตา และ พญาพันวัง ตำ นาน ชาละวัน เป็นนิทานที่รู้จักกันแพร่หลายมากในจังหวัดพิจิตร ชาละวันเป็นชื่อจระเข้ใหญ่เลื่องชื่อในแง่ ดุร้าย กัดกินคนเป็นจำ นวนมาก เชื่อกันว่าเคยอาศัยอยู่ในลำ นํ้าน่านเก่าเมืองพิจิตร เรื่องที่เล่าสืบทอดกันมามีดังนี้ มีตายายคู่หนึ่งอยู่กินกันมานานจนล่วงเข้าวัยชราแต่ไม่มีบุตรวันหนึ่งตายายลอยเรือหาปลาไปตามริมสระนํ้าใหญ่ ขณะที่ยายวาดคัดท้ายเรือเข้าหาฝั่งแล เห็นไข่จระเข้ฟองหนึ่งอยู่บนกอพงขอบสระ จึงเก็บมา ตั้งใจว่าจะเอาไปฟักให้เป็นตัวเลี้ยง ไว้ที่บ้าน แม้ตาจะห้ามปรามไม่เห็นด้วย ยาย ก็ไม่ฟัง พอไข่ฟักเป็นตัวยายก็เลี้ยงจระเข้น้อย นั้นไว้ในอ่างนํ้าให้กินเนื้อปลาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ด้วยความเอาใจใส่และเล่นหัวอย่างคุ้นเคยทั้ง ยายและตา เมื่อลูกจระเข้ตัวยาวเต็มอ่าง ตายายก็นำ ไปเลี้ยงไว้ในสระนํ้าใกล้บ้าน ยิ่งนานวันตายายก็ต้องมีภาระหาปลามาให้กิน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


57 วันหนึ่งตาออกไปหาปลาเพียงคนเดียว ปล่อยให้ยายนอนซมอยู่กับบ้านด้วยพิษไข้ ถึงเวลาเย็นตายังไม่กลับด้วยเกรงว่าจระเข้ จะหิว ยายจึงฉวยข้องที่มีปลาขังอยู่ เดิน ไปที่สระพร้อมกับส่งเสียงเรียกจระเข้ให้มา กินเหมือนเช่นเคย จระเข้ใหญ่กำ ลังหิวจัด จึงใช้หางแว้งฟาดตัวยายตกลงไปในสระ รุ่งเช้าตาไม่เห็นยายเข้าใจว่ายายคงไปค้างที่อื่น ตกเย็นตากลับบ้านไม่พบยายอีกจึงตรงไปที่สระ มองเห็นข้องปลาจมปริ่มนํ้าอยู่ขอบสระ จึงแน่ใจว่ายายต้องถูกจระเข้กินเสียแล้ว ขณะเดียวกันจระเข้ก็โผล่ขึ้นมาลากเอาตาลง ไปกินอีกคน จากนั้นมาจระเข้ก็ไม่มีอาหารกิน เพราะไม่มีตายายคอยให้อาหาร จระเข้อดอยากอยู่หลายวัน เมื่อทน หิวไม่ไหวจึงคลานจากสระลงไปที่แม่นํ้าน่าน เก่าที่อยู่ห่างสระออกไปประมาณ ๕๐๐ เมตร เที่ยวกัดกินคนที่อาบนํ้าในแม่นํ้าแถวนั้น จนผู้คนหวาดกลัวพากันหลบหนีไปอยู่ใน ละแวกอื่นกันหมด เรือที่พายไปมาจะถูก หนุนให้ล่มอยู่เสมอ จนเป็นที่หวาดผวาของ ผู้คนแถบริมฝั่งตลอดมา ชาวบ้านจึงพากันเรียกชื่อตามพฤติกรรมที่มันทำ ร้ายคนไม่เว้นแต่ละวันว่า “ไอ้ตาละวัน” ตามเสียงเรียกของคนถิ่นนั้น เรียกกันไปเรียกกันมาจึงเพี้ยนเป็น “ไอ้ชาละวัน” ชาละวันอาละวาดอยู่ในน่านนํ้าเมืองพิจิตรเก่าย่านเหนือ ตั้งแต่วังกระดี่ทอง ดงเศรษฐีดงชาละวัน ดงชะพลู จนคนเข็ดขยาดไม่กล้าลงนํ้าชาละวันจึงล่องลงไปหากินทางตอนใต้จนถึงเมืองพิจิตรเก่าขณะนั้นธิดาสาวของเศรษฐี เมืองพิจิตรกำลังอาบนํ้าอยู่บนแพท่านํ้าหน้าบ้าน จึงถูกชาละวันแว้งคาบลงนํ้าจมหายไป เศรษฐีกับภรรยาเสียใจเป็นที่สุดจึงได้ประกาศตั้งรางวัลอย่างงามเป็นเงินหลายสิบชั่งกับธิดาสาวที่ยังเหลืออยู่ อีก ๑ คน ให้แก่ผู้ที่สังหารจระเข้ร้ายตัวนี้ได้ผู้ขันอาสาต่างก็ถูกชาละวันทำ ร้ายกัดตายเสียหลายคน จนภายหลังมี พ่อค้าเรือจากทางใต้นำ นายไกร ศิษย์เอกของอาจารย์หมอจระเข้ที่เรืองวิชามารับอาสาฆ่าชาละวันตายด้วยหอกลง อาคม


58 บางตำ นานก็ว่าไกรทองเป็นผู้ปราบชาละวันได้สำ เร็จ บางตำ นานก็ไม่ได้กล่าวว่ามีใครเป็นผู้ปราบ ความสัมพันธ์ ของนิทานเรื่องนี้กับท้องถิ่นปรากฏในรูปแบบของสถานที่ต่างๆ ที่เป็นหลักฐานยืนยันถึงการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องชาวพิจิตรเคยเชื่อกันว่าถํ้าของชาละวันอยู่กลางลำ นํ้าน่านเก่า ห่างจากวัดเก่าถํ้าชาละวันไปทางใต้ประมาณ ๓๐๐ เมตร ที่วัดถํ้านี้มีฐานเจดีย์เก่าขนาดใหญ่อยู่หน้าวิหารหลวงพ่อทอง ที่หน้าเจดีย์มีศาลตายาย ผู้เลี้ยงชาละวัน เล่ากันว่า หัวชาละวันใหญ่มาก “ยาวเป็นวา” นำ ไปตั้งที่ศาลเพียงตาหน้าเมืองพิจิตร ชาละวันเวลาลอยตัวขึ้นมาจะ ขวางลำ นํ้าหัวเกยอยู่ฝั่งหนึ่งหางจะทอดอยู่อีกฝั่งหนึ่ง บริเวณนี้จึงเรียก ย่านยาว และดงชาละวัน ตำ นาน ไกรทอง เป็นนิทานประจำถิ่นของจังหวัดนนทบุรีเป็นนิทานอีกเรื่องหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับจระเข้ ชาละวัน ตำ นานเรื่องนี้กล่าวถึงนายไกรทอง ชาวบางกรวยเป็นหมอจระเข้ผู้อาสาไปปราบจระเข้ใหญ่ชาละวันที่ เมืองพิจิตรได้สำ เร็จ สถานที่ในจังหวัดนนทบุรีหลายแห่งได้นำชื่อนายไกรทองมาตั้งเป็นที่ระลึก เช่น คลองบางไกร วัดบางไกรใน วัดบางไกรนอก และ ศาลนาย ไกรทอง ตำ นานท้าวพันตา-พญาพันวัง เป็น นิทานประจำถิ่นของคนลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยา อีกเรื่องหนึ่งที่แพร่หลายมาก เล่ากันว่า สมัยก่อนทางหัวเมืองเหนือมีจระเข้ขนาดใหญ่ ตัวยาวถึงหนึ่งเส้นเศษ ชื่อว่าท้าวโคจร ปกครองอยู่ ส่วนหัวเมืองทางใต้มีหัวหน้า จระเข้ที่ดุร้ายมากสองตัว ชื่อว่าท้าวพันตา และพญาพันวัง คราวใดที่จระเข้ทางหัวเมือง เหนือลงไปหากินในถิ่นของจระเข้หัวเมืองใต้ ก็จะถูกจระเข้ทางหัวเมืองใต้รุมกัด จระเข้ หัวเมืองเหนือจึงนำ เรื่องไปรายงานท้าวโคจร ทำ ให้ท้าวโคจรโกรธมาก แปลงกายเป็นคน จะลงไปกำ ราบจระเข้ทางหัวเมืองใต้เผอิญ มีสองตายายพายเรือผ่านมาท้าวโคจรจึง ขออาศัยไปด้วย โดยอาสาพายเรือให้เมื่อ พายเรือมาสิบวันก็ถึงเขตของจระเข้หัวเมืองใต้ ท้าวโคจรก็ลาตายายแล้วบอกว่าให้จอดเรือ อยู่ข้างตลิ่งถ้าเห็นอะไรครึกโครมก็อย่าตกใจ และถ้าเห็นจระเข้เข้ามาก็ให้เอาขมิ้นผงโรยลง ในนํ้าจระเข้จะหนีไป


59 หลังจากนั้นท้าวโคจรก็กระโดดลงนํ้า คืนร่างเป็นจระเข้ตัวใหญ่ฟาดหัวฟาดหางโครมคราม สถานที่ตรงนั้นจึง ได้ชื่อว่า“ดาวคะนอง”เนื่องมาจากความคึกคะนองของท้าวโคจร ท้าวโคจรได้เข้าต่อสู้จนจระเข้หัวเมืองใต้ล้มตายไป มาก จระเข้เหล่านั้นจึงไปรายงานท้าวพันตา ท้าวพันตาก็เข้าต่อสู้กับท้าวโคจร จระเข้ทั้งสองสู้กันอยู่ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน สุดท้ายท้าวพันตาเป็นฝ่ายเสียท่าถูกท้าวโคจรฆ่าตาย พวกจระเข้บริวารเมื่อเห็นหัวหน้าของตนตายก็ไปรายงาน พญาพันวัง พญาพันวังจึงขึ้นมาแก้แค้น แต่ก็เกือบจะเสียทีท้าวโคจร เนื่องจากท้าวพันวังมีกำลังน้อยกว่า กล่าวถึง เจ้าพ่อองครักษ์ซึ่งเป็นเจ้านํ้าบริเวณนั้น สงสารพญาพันวังซึ่งเป็นจระเข้อยู่ในถิ่นของตนเจ้าพ่อจึง ลงประทับที่หัวของพญาพันวัง ทำ ให้พญาพันวังมีกำลังมากขึ้น และด้วยเหตุนี้คนทั่วไปจึงเรียกตำแหน่งนั้นว่า “ที่นั่ง องค์อมรินทร์พระอิศวร” เมื่อท้าวโคจรเห็นว่าเจ้าพ่อองครักษ์ประทับอยู่บนหัวของพญาพันวังก็ตัดพ้อว่าเหตุใดจึงมาช่วยจระเข้พาลอย่าง พญาพันวังแต่พญาพันวังกลับอวดดีบอกว่าตนเก่งเอง ไม่ได้มีเทวดาที่ไหนมาช่วยเจ้าพ่อองครักษ์จึงออกจากหัวของ จระเข้ทำ ให้พญาพันวังถูกท้าวโคจรฆ่าตายในที่สุด หลังจากนั้นท้าวโคจรก็ได้คาบหัวของท้าวพันวังมาทำ พิธีบวงสรวงถวายเทวดาอารักษ์ที่ช่วยปราบจระเข้พาล สำ เร็จ ที่ศาลเจ้าพ่อพระประแดง ด้วยเหตุนี้จึงเกิดธรรมเนียมนำ หัวจระเข้ไปไว้ที่ศาลเจ้าพ่อตามลำแม่นํ้า เมื่อปราบ จระเข้พาลแล้วท้าวโคจรก็กลับไปยังถิ่นในภาคเหนือ ตำ นานประจำถิ่นเรื่องนี้เล่าต่อๆกันมา ในภายหลังได้มีผู้นำ ไปผนวกเข้ากับเรื่องของไกรทองหมอจระเข้ลือชื่อ จึงมาปรากฏอยู่ในตอนต้นของ บทละครนอก เรื่อง ไกรทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย เรื่องเริ่มเมื่อท้าวโคจรทะเลาะวิวาทกับท้าวพันตาและพญาพันวังจนฆ่ากันตายทั้งสามตัว แล้วชาละวันได้รับ มอบอำ นาจให้ปกครองบริวารทั้งปวง และเริ่มประพฤติผิดศีลโดยจับมนุษย์กินเป็นอาหารวันหนึ่งไปฉุดนางมนุษย์ ตะเภาทองมาเป็นเมียไกรทองจึงออกมาปราบจนได้รับชื่อเสียงเงินทองและได้แต่งงานกับสองพี่น้องนางตะเภาทอง และนางตะเภาแก้ว จะเห็นได้ว่าบทละครนอกเรื่อง ไกรทอง ได้เชื่อมโยงนิทานประจำถิ่นทั้ง ๓ เรื่องเข้าด้วยกัน แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนในลุ่มนํ้าเจ้าพระยาตอนต้นนํ้าคือ พิจิตรกลางนํ้าคือ นนทบุรีและปลายนํ้าก่อน ออกปากอ่าวไทยที่ ธนบุรี นิทานไทยภาคกลางสะท้อนภาพของจระเข้ในสังคมไทยว่าได้รับการยกย่องให้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้จาก เรื่องราวของจระเข้เจ้าและจระเข้บริวารเจ้าพ่อเจ้าแม่ในตำ นานประจำถิ่นของภาคกลาง ทั้งยังมีหลักฐานยืนยันเป็น ศาลจระเข้เจ้าหรือศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่มีจระเข้เป็นบริวารตั้งอยู่ประจำถิ่นต่างๆ อีกด้วย คนไทยมีความเชื่อเรื่องจระเข้ว่า หากผู้ใดไม่ยอมทำ บุญสุนทาน จะต้องกลายเป็นจระเข้เฝ้าขุมสมบัติอยู่อย่าง ทรมานจนตาย ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนาที่ได้บัญญัติไว้ว่า หากผู้ใดตระหนี่ในทานจะมีผิวพรรณไม่ สวยงาม และไม่มีเครื่องอุปโภคบริโภคเนื่องจากจระเข้เป็นสัตว์ที่มีผิวพรรณขรุขระไม่สวยงาม ทั้งยังต้องใช้เวลาหลาย วันเพื่อหาเหยื่ออีกด้วย ตำ นานชาละวัน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗


60 ตำ นานนางโภควดี เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์ชวน เพชรแก้ว นางโภควดี เป็นวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้เกี่ยวกับตำ นานการสร้างโลกและจักรวาล ที่อาศัยเค้ามูลจากความเชื่อ ทางศาสนาพราหมณ์ผสมผสานกับคติความเชื่อทางพุทธศาสนา และความเชื่อท้องถิ่น เป็นวรรณกรรมที่แพร่หลาย ทั้งที่เป็นลายลักษณ์ในหนังสือบุดหรือสมุดข่อยและมุขปาฐะ ที่เป็นลายลักษณ์ชื่อเรื่องว่า“นางโภควดี”ส่วนมุขปาฐะ มักสอดแทรกสาระของนางโภวดีในบทชา (บูชา) และบทเชื้อ (เชิญ) ทั้งวรรณกรรมลายลักษณ์และมุขปาฐะ มีสาระ เหมือน ๆ กัน นางโภควดี ที่เป็นวรรณกรรมลายลักษณ์พบต้นฉบับที่แพร่หลายในภาคใต้หลายฉบับล้วนคัดลอกสืบต่อกันมา เช่น ฉบับตำ บลนาท่อม อำ เภอเมือง จังหวัดพัทลุง ฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒสงขลา ฉบับนายท้าม เจริญพงษ์ชาวบ้านตำ บลวัง อำ เภอทุ่งส่ง จังหวัดนครศรีธรรมราช และ ฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีเนื้อหาทุกฉบับส่วนใหญ่เหมือนกัน แตกต่างกันบ้างในรายละเอียดที่น่าจะมีผู้แต่งเติมเข้าไปภายหลัง วรรณกรรมเรื่อง นางโภควดี กล่าวถึงพระอิศวรว่า พระองค์มีความประสงค์จะนำ เนื้อของหญิงสาวมาตั้งแผ่นดิน โดยได้ชุบหญิงสาวขึ้นมาคนหนึ่งให้ชื่อว่า “นางโภควดี” นางมีความยินดีที่จะสละร่างกายให้เป็นทาน เพื่อสร้าง สรรพสิ่งต่างๆ บนพื้นโลก พระอิศวรใช้พระขรรค์ตัดเนื้อของนาง ทิ้งลงมากลายเป็นแผ่นดิน อวัยวะส่วนอื่นได้กลายเป็น สิ่งต่าง ๆ ได้แก่ ดวงตาเป็นพระจันทร์และพระอาทิตย์หัวใจเป็นดาว เลือดเป็นแม่นํ้า หนังเป็นแผ่นฟ้า กระดูกเป็น ไม้นานาพรรณ ฟันและเล็บเป็นภูเขา เอ็นเป็นเถาวัลย์ขนเป็นต้นหญ้าต่างๆต้นหญ้าคาออกดอกกลายเป็นสัตว์ชนิด ต่างๆ ทั้งจักรวาล แล้วกล่าวสั่งสอนมนุษย์ที่เกิดมาให้ปฏิบัติหลักธรรมของพระพุทธเจ้าตาม พระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ ทวัตติงสาการขันธ์ห้าฯลฯต่อจากนั้นกล่าวถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ที่เข้าสู่นิพพานไปแล้วกล่าวถึงไฟประลัยกัลป์ ที่เผาไหม้ทำลายแผ่นดินทั้งหมด กล่าวถึงฝนตกหนักเป็นเวลา ๗ วัน ทำ ให้นํ้าท่วมถึงขั้นพรหม ต่อมากล่าวถึง ลมประลัยกัลป์ที่พัดจนนํ้าแห้ง แล้วมีการสร้างโลกสวรรค์มนุษย์และนรกขึ้นมาใหม่


61 ตำ นานสร้างโลกและจักรวาลเรื่อง นางโภควดี ซึ่งกล่าวถึงการเสียสละร่างกายของนางเพื่อพลีบูชาให้เกิดเป็น สิ่งธรรมชาติต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกทั้งปวง เป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทำ ให้นางโภควดีมีความสำคัญยิ่ง ต่อมนุษย์ โดยเฉพาะชาวภาคใต้เมื่อทำการมงคลใดๆ หรือจัดพิธีบวงสรวงพระภูมิผู้ประกอบพิธีต้องอัญเชิญและ บูชานางด้วยผู้หนึ่ง บรรดาศิลปินพื้นบ้าน เช่น หนังตะลุง มโนราห์ซึ่งต้องปลูกโรงแสดงขึ้นเป็นการเฉพาะ ก่อน การแสดงต้องเบิกโรงขอที่ตั้งโรงจากพระภูมิและจากนางโภควดีเสียก่อน ทั้งนี้ด้วยความเชื่อว่าจะเกิดเป็นมงคล ปลอดจากภยันตรายทั้งปวงคติความเชื่อนี้ปัจจุบันยังคงยึดถือกันอย่างเหนียวแน่นของชาวบ้านอันเป็นชาวไทยพุทธ ในภาคใต้ ตำ นานนางโภควดีได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


62 ตำ นานนางเลือดขาว เรียบเรียงโดย ศาสตราจารย์ชวน เพชรแก้ว และรองศาสตราจารย์ประพนธ์ เรืองณรงค์ ตำ นาน นางเลือดขาว เป็น ตำ นานพื้นบ้านภาคใต้แพร่ หลายในท้องถิ่น ฝั่งทะเล ตะวันออกคือ พัทลุงสงขลา นครศรีธรรมราช และฝั่ง ทะเลตะวันตกหรือ ฝั่งทะเล อันดามัน เช่น ตรังและภูเก็ต รวมทั้งในเกาะลังกาวีไทรบุรี ประเทศมาเลเซีย เรื่องราวของนางเลือดขาว มีลักษณะเด่น คือ เป็นเรื่อง ข อง ผู้ ห ญิง ที่ เ ป็ น ค น ดี มีคุณธรรม เป็นหญิงบริสุทธิ์ มีลักษณะพิเศษคือมีเลือด สีขาว ในเอกสารโบราณ ซึ่งพบที่วัดเขียนบางแก้ว เมืองพัทลุง เล่าถึงยายเพชร ตาสามโม ตั้งบ้านเรือนที่ บ้ านพระเกิด ทำ หน้ าที่ ส่งส่วยช้างไปถวายเจ้าเมือง สทิงพ า ร าณสีปีละเชือก วันหนึ่งช้างนำ ไม้ไผ่ ๒ หน่อ มามอบให้ตายาย ปรากฏว่า หน่อไม้ไผ่แต่ละหน่อมีกุมาร


63 และกุมารีโดยเฉพาะกุมารีโดนคมมีดมีเลือดขาวไหลออกมา จึงได้ชื่อนางเลือดขาว มาตั้งแต่บัดนั้น ต่อมาครอบครัว ตายายมีความรํ่ารวย เพราะช้างได้นำ พะเนียงบรรจุเพชรนิลจินดามามอบให้และนำ ไปที่ฝังทรัพย์สมบัติอีกด้วย นางเลือดขาวได้นำ ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทุนสร้างพระพุทธรูปและวัดวาอารามหลายแห่งในภาคใต้เมื่อโตเป็นหนุ่มสาว ตายายให้ทั้งสองแต่งงานกันตามประเพณีหลังจากนั้นตายายก็ถึงแก่กรรม นางเลือดขาวและสามีปฏิบัติหน้าที่แทน ตายายสืบมา ต่อมากษัตริย์กรุงศรีอยุธยารับสั่งให้นางเลือดขาวเดินทางสู่เมืองหลวง เพื่อแต่งตั้งนางเป็นพระสนม เมื่อเข้า เฝ้าแล้วนางทูลว่ากำลังมีครรภ์กับสามีที่จากมา ในที่สุดนางไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นชายาเมื่อกำ เนิดบุตรแล้วกษัตริย์ กรุงศรีอยุธยา ก็ขอบุตรนางเป็นโอรสบุญธรรม จากนั้นนางเลือดขาวเดินทางกลับสู่เมืองพัทลุง นางยึดมั่นในภารกิจ บำ รุงพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น และยังเดินทางไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมด้วยพระพุทธสิหิงค์มาจากลังกาที่ เมืองตรังท่าเรือริมทะเล นางได้สร้างวัดพระศรีสรรเพชญ หรือวัดพระพุทธสิหิงค์ไว้เป็นอนุสรณ์นางเลือดขาวและพระยากุมารถึงแก่กรรม ประมาณอายุ๗๐ ปีเศษ บุตรของนางจากอยุธยาเดินทางกลับมาตุภูมิและทำ หน้าที่แทนบิดามารดาสืบมา สมัยรัตนโกสินทร์ หลวงศรีวรวัตร์ (พิญ จันทโรจน์วงศ์) นำ เรื่องนางเลือดขาวดังกล่าวไปเล่าไว้ในตำ นาน เมืองพัทลุง และหมื่นจบเจริญการ (แมว มูสิกเจริญ) ได้นำ ไปแต่งเป็นคำกาพย์ส่วนนางเลือดขาวสำ นวนมุขปาฐะ นครศรีธรรมราชเล่าว่านางเป็นบุคคลธรรมดา ชาวบ้านเห็นนางมีเลือดสีขาวเพราะนิ้วโดนกระสวยทอผ้า ต่อมานางเลือดขาวได้เป็นมเหสีพระเจ้าศรีธรรมโศกราชที่ ๕ ชาวบ้านจึงเรียกว่า “เจ้าแม่อยู่หัว” ส่วนนางเลือดขาว ณ เกาะลังกาวี(ปัจจุบันอยู่ในเขตรัฐเคดาห์มาเลเซีย) นางเป็นชายาอุปราชลังกาวีขณะสามีไปสงคราม อยู่ข้างหลัง นางถูกใส่ร้ายในข้อหามีชู้ก่อนถูกประหารนางอธิษฐานว่าถ้านางผิดขอให้เลือดเป็นสีแดงและถ้าไม่ผิดขอให้เลือดเป็น สีขาว และให้ลังกาวีเสื่อมตลอด ๗ ชั่วโคตร ปรากฏว่านางมีเลือดเป็นสีขาว ปัจจุบัน ตำ นาน นางเลือดขาว ยังมีความสำคัญต่อชุมชนภาคใต้เอกสารโบราณได้ปริวรรตเป็นอักษรปัจจุบัน นำ มาสร้างสรรค์เป็นสารคดีบันเทิงคดีและบทร้อยกรอง รวมทั้งหลักฐานสำคัญคือพระพุทธรูป วัดวาอาราม และ ชื่อสถานที่ เช่น ตำ บลเจ้าแม่อยู่หัว อำ เภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งล้วนมีความผูกผันกับนางเลือดขาว และยังผูกพันกับชาวใต้ในปัจจุบันตราบนานเท่านาน ตำ นานนางเลือดขาว ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔


64 ตำ นานปู่แสะย่าแสะ เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์รังสรรค์ จันต๊ะ ตำ นานเกี่ยวกับ ปู่แสะย่าแสะ หรือ ผีปู่แสะย่าแสะ มีกล่าวถึงใน ตำ นานเชียงใหม่ปางเดิม โดยเล่าว่าวันหนึ่ง ครั้งที่พระพุทธเจ้ายังไม่เข้าสู่นิพพานนั้น มีฝนเงินฝนทองตกลงมาห่าใหญ่ที่ดอยแห่งหนึ่ง พระพุทธองค์จึงพยากรณ์ ว่าในอนาคตดอยที่นี่จะมีชื่อว่า “ดอยคำ” และได้สอบถามชาวเมืองทมิฬที่อยู่ในบริเวณนั้นว่า ชาวเมืองหายไปไหน กันหมด ชาวทมิฬจึงทูลแก่พระองค์ว่า เนื่องมาจากมียักษ์สองผัวเมียคู่หนึ่งอยู่ดอยเหนือและดอยใต้มาจับชาวเมือง กินหมด พระองค์ได้ยินดังนั้นจึงไปหายักษ์ทั้งสองตน และได้สั่งห้ามยักษ์ทั้งสองว่าอย่าได้กินมนุษย์อีกยักษ์ทั้งสองได้ ต่อรองกับพระพุทธเจ้าว่า ขอกินเดือนละคน พระองค์ก็ไม่ทรงอนุญาต ขอกินปีละคน ก็ยังไม่ทรงอนุญาต จึงขอกิน เพียงควายเขาคำ หรือควายรุ่นที่มีเขาเพียงหูปีละสองตัวแล้วจะดูแลพระศาสนาให้ถึงห้าพันปีพระพุทธองค์จึงให้ ศีลห้าแล้วก็เสด็จจากไป อีกสำ นวนหนึ่ง จากตำ นานดอยคำ เล่าว่า สมัยที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ถึงดอยคำ ได้พบยักษ์สามตนพ่อแม่ลูกซึ่งยังชีพด้วยเนื้อสัตว์และเนื้อมนุษย์ เมื่อยักษ์ทั้งสามเห็นพระพุทธเจ้าก็จะจับพระพุทธเจ้ากิน แต่พระพุทธองค์ทรงแผ่เมตตาจนยักษ์ทั้งสามเกรง ในพระบารมีจึงยอมแสดงความเคารพ พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศนาและให้ยักษ์ทั้งสามรักษาศีลห้า แต่ปู่แสะย่าแสะ ไม่อาจรับศีลห้าได้ตลอด จึงขอกินเนื้อมนุษย์ปีละสองคน เมื่อพระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตก็ขอต่อรองลงมาเรื่อยๆ จนขอกินเนื้อสัตว์แทน พระพุทธองค์ก็ทรงบอกให้ไปถามเจ้าเมืองเอาเอง แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จจากไปและให้ พระเกศาธาตุไว้ซึ่งต่อมากลายเป็นพระธาตุดอยคำ ส่วนบุตรนั้นมีความประทับใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงได้ขอบวช แต่พระองค์ไม่อนุญาต แต่ให้บวชเป็นฤาษีแทนเมื่อบวชแล้วจึงได้ชื่อว่า สุเทวฤาษีหรือ วาสุเทวฤาษีอันเป็นที่มาของ ชื่อดอยสุเทพ


65 นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกบางสำ นวนกล่าวว่า ปู่แสะย่าแสะเป็นผีของลัวะที่กลายมาเป็นผีประจำ เมืองเชียงใหม่ โดยทำ หน้าที่คุ้มครองดูแลในบริเวณภายนอกเมือง เพราะภายในมีผีอื่นดูแล แล้วในส่วนของพิธีกรรมอันสืบเนื่องมา จากเรื่องราวในตำ นาน เมื่อถึงเดือน ๙ ของทางภาคเหนือชาวบ้านก็จะเอาควายดำ ที่ยังไม่ได้ตอน และไม่เสียลักษณะ ของควายที่ดีไปเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะที่อยู่ดอยเหนือ คือที่ตีนดอยสุเทพตัวหนึ่ง และที่อยู่ตีนดอยใต้คือ ดอยคำ ริมนํ้า แม่เหียะตัวหนึ่ง โดยเมื่อจัดพลีกรรมบูชา ให้นิมนต์รูปพระพุทธเจ้าที่วาดบนผ้าที่เรียกว่า “พระบถ” สูง ๙ ศอก โดย ให้ห้อยพระบถกับต้นไม้และให้นิมนต์พระที่อุปสมบทใหม่ ๘ รูป ไปสวดสมโภชพระบถนั้น ส่วนซากควายนั้นให้คน และพระฉันให้หมดในที่นั้น ถ้าเหลือให้เอาฝังดินเสียอย่าได้เอามากินกันจะเป็นอัปมงคล อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติพระสงฆ์ที่นิมนต์มาสวดสมโภชพระบถนั้น ไม่ใช่พระที่บวชใหม่และเนื้อควาย ที่เหลือจากการบูชาแก่ผีชาวบ้านก็นำ ไปแบ่งกันกินที่บ้านต่อไป


66 คนในชุมชนแม่เหียะและบริเวณใกล้เคียงเขตเมืองเชียงใหม่ยังคงผลิตซํ้าตำ นานและพิธีกรรมเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะ สืบทอดจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยผสมผสานลัทธิการบูชาผีสางเทวดากับพิธีกรรมทางพุทธศาสนาและศาสนา พราหมณ์อันเป็นการกล่าวถวายบูชาท้าวจตุโลกบาล หรือ “ท้าวทั้งสี่” ที่แท่นบูชาก่อน โดยการปักไม้สำ หรับ วางกรวยสำ รับอาหารที่ใช้บูชา แบ่งเป็น ๔ ที่ เพื่อถวายแก่เทวดาทั้งสี่ นอกจากเนื้อหาเรื่องราวในตำ นานผีปู่แสะย่าแสะแล้วยังมีคำกล่าวโอกาสเวนทานแก่ท้าวทั้งสี่นี้ด้วยซึ่งได้กลาย เป็นจุดสำคัญหรือหัวใจของพิธีกรรม โดยมีผู้ประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า “ตั้งข้าว” ทำ หน้าที่เป็นสื่อคล้ายกับ “ทูต” เพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างเทวดา ผีกับมนุษย์ โดยกล่าวอัญเชิญเทวดาท้าวทั้งสี่ และผีปู่แสะย่าแสะ เพื่อลงมารับ เครื่องสังเวยนั้นด้วย “ตั้งข้าว” จะทำ พิธีอัญเชิญเทวดาและผีโดยการสวดอ่านจากบันทึกคำ โอกาสเวนทานนั้นนาน ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อน แล้วพิธีอื่นๆ จึงจะเริ่มตามมาได้ ในอดีตชาวบ้านจะจัดให้มีพิธีเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะขึ้นที่เชิงดอยคำ ตำ บลแม่เหียะอำ เภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ในอาณาบริเวณเดียวกันของอุทยานแห่งชาติปุย-สุเทพ โดยมีกษัตริย์และขุนนางชั้นสูงอื่นๆ เข้าร่วมด้วย โดย ชาวบ้านในตำ บลสุเทพจะเป็นผู้จัดเลี้ยงในบริเวณหอผีกลางบ้านของหมู่บ้านดอยสุเทพ (ปัจจุบันคือบริเวณคณะ วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ขณะเดียวกันชาวบ้านตำ บลแม่เหียะ ก็จะทำ พิธีเลี้ยงผีเดียวกันนี้ขึ้นที่ “ดงย่าแสะ” บริเวณเชิงดอยคำ ในวันขึ้น ๑๔ คํ่า เดือน ๙ เหนือต่อมาราว พ.ศ. ๒๔๘๐ ทางการได้ห้ามจัดพิธีเลี้ยงผี ดังกล่าว มาจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ได้มีการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน หากพิจารณาในแง่อิทธิพลปัจจัยทางสังคมที่มีต่อกระบวนการผลิตซํ้าทางวัฒนธรรมของชุมชนทั้งเรื่องราวด้าน เนื้อหาของตำ นานและรูปแบบของพิธีกรรมแล้ว กระแสการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นและกระแสการต่อต้าน การเข้ามาของกระแสทุนโลกาภิวัตน์ที่เร่งความเจริญเติบโตทางด้านกายภาพของความเป็นสังคมแบบเมืองรวมถึง ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าของกลุ่มทุนบ้านจัดสรรต่างๆ ถือเป็นปัจจัยทางสังคมที่เป็นแรงผลักดันอันสำคัญที่จะช่วย ตอกยํ้าให้ชุมชนพยายามผลิตซํ้าอุดมการณ์ของผีเมืองดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมเพิ่มมากขึ้น โดยนัยดังกล่าวตำ นานและ พิธีกรรมเลี้ยงผีปู่แสะย่าแสะ ด้านหนึ่งจึงเป็นเรื่องการช่วงชิงพื้นที่ทางกายภาพและพื้นที่ทางสังคมของชุมชนในนาม ของการปกป้องรักษาทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน จึงทำ ให้พิธีกรรมยังคงมีบทบาทและเพิ่มความคึกคักมีชีวิตชีวา มากขึ้น และเป็นที่รับรู้กันในสังคมวงกว้าง ทำ ให้มีคนทั่วไป รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหน่วยงานราชการและ องค์กรสื่อสารมวลชนแขนงต่าง ๆ ได้เข้าร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวเป็นจำ นวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี ตำ นานปู่แสะย่าแสะ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗


67 ตำ นานผาแดงนางไอ่ เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ปฐม หงษ์สุวรรณ ตำ นาน ผาแดงนางไอ่ เป็นตำ นานประจำถิ่นในวัฒนธรรมพื้นบ้านของไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาแต่ ครั้งอดีต มีทั้งสำ นวนมุขปาฐะและสำ นวนลายลักษณ์ซึ่งพบอยู่ในหนังสือผูกใบลาน มีบันทึกเป็นทั้งตัวอักษรไทยน้อยและ ตัวธรรมอีสานตามวัดต่างๆ ทั่วภูมิภาคอีสาน รวมทั้งในประเทศลาวผู้คนส่วนใหญ่เรียกวรรณกรรมเรื่องนี้ว่าตำ นาน ท้าวผาแดงนางไอ่ บ้างก็เรียกว่า ผาแดงนางไอ่คำ ตำ นาน ผาแดงนางไอ่ เป็นเรื่องราวชีวิตของธิดาพระยาขอมคือ“นางไอ่คำ”ผู้มีความงดงามยิ่งจนเป็นที่หมายปอง ของบรรดาเจ้าเมืองต่างๆเป็นเหตุให้ต้องประลองฝีมือด้วยการจุดบั้งไฟแข่งขันความสามารถกัน ท้าวภังคีซึ่งเป็นลูกชาย ของพญานาคผู้ดูแลรักษาลำแม่นํ้าโขง ก็มีความหลงใหลรักใคร่ต่อนางไอ่คำด้วย จึงได้แปลงกายเป็นกระรอกด่อน (กระรอกเผือก) ปีนป่ายขึ้นไปแอบชมความงามของนางไอ่คำ จนเป็นเหตุให้ถูกยิงด้วยธนูถึงแก่ความตาย ชาวเมือง ได้นำ เอาเนื้อกระรอกภังคีมาแบ่งปันกันกิน จนเป็นเหตุให้พระยานาคผู้เป็นบิดาท้าวภังคีโกรธมาก จึงบันดาลให้ เกิดเมืองล่มกลายเป็นหนองหล่มหรือที่รู้จักกันดีคือ “หนองหานหลวง” ที่จังหวัดสกลนคร และ “หนองหานน้อย” ที่จังหวัดอุดรธานีเนื้อหาของผาแดงนางไอ่เป็นเรื่องเล่าที่ใช้ในการอธิบายสภาพภูมิศาสตร์ภูมินามในชุมชนหมู่บ้านของ ชาวอีสานอีกหลายแห่ง อาทิเช่น เมืองเชียงเหียน (มหาสารคาม) เมืองสีแก้ว (ร้อยเอ็ด) เมืองฟ้าแดด (กาฬสินธุ์) เมืองหงส์(อำ เภอจตุรพักตรพิมาน) เป็นต้น ตำ นาน ผาแดงนางไอ่ จึงมีคุณค่าในแง่ที่เป็นตำ นานประจำถิ่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สัมพันธ์กับภูมิศาสตร์ ภูมินาม และสถานที่สำคัญในท้องถิ่น ดังจะเห็นได้จากมีเนื้อหาที่กล่าวถึงเหตุการณ์การกินเนื้อพญานาคที่แปลงกาย มาเป็นกระรอกเผือก ซึ่งเป็นสาเหตุให้พญานาคหลวงแห่งลำแม่นํ้าโขงโกรธ จึงบันดาลให้บ้านเมืองต่างๆ ถล่มทลาย กลายเป็นหนองนํ้า มีสภาพภูมิศาสตร์ทางธรรมชาติทั้งที่เป็นเกาะดอน ลำ ห้วยต่างๆอาทิเช่น “ดอนแม่หม้าย”เชื่อว่า เป็นชุมชนของแม่หม้ายที่ไม่ได้กินเนื้อกระรอกเผือก ที่บริเวณนี้จึงไม่ถล่มทลายเป็นดอนอยู่กลางหนองหานหลวง หรือ “ห้วยโพนไฟ”เชื่อว่ามีที่มามาจากเหตุการณ์ตอนที่พญานาคพ่นไฟใส่ท้าวผาแดงกับนางไอ่ซึ่งขี่ม้าหนีหรือ“ห้วยกองสี” เชื่อว่าเป็นลำ ห้วยที่เกิดจากนางไอ่คำ ได้ทิ้ง “กลอง” ที่ตนได้ถือติดตัวมาด้วยเมื่อครั้งที่ได้ขี่ม้าหลบหนีพญานาค ตำ นานประจำถิ่นเรื่อง ผาแดงนางไอ่ มีบทบาทและการดำ รงอยู่ในวิถีชีวิตในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากในงาน ประเพณีการจุดบั้งไฟของชาวไทยอีสานในหลายๆ ชุมชนยังคงนิยมสร้างสรรค์ขบวนแห่บั้งไฟ โดยจะมีการนำ เสนอ ภาพตัวละครหญิงชายซึ่งแสดงบทบาทเป็นท้าวผาแดงและนางไอ่ที่ขี่ม้าบักสามปรากฏร่วมอยู่ขบวนแห่งานบั้งไฟนี้เสมอ ตำ นานผาแดงนางไอ่ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔


68 ตำ นานพญากงพญาพาน เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล พญากง พญาพาน เป็นตำ นานประจำถิ่นของจังหวัดนครปฐม เป็นชื่อที่รับรู้กันแพร่หลายทั่วไปมีชื่อเรียกและ รูปเขียนหลากหลายทั้ง พญากงพญาพาน พญากงพญาพาล(ใช้“พาล”เพราะมองว่าการกระทำ ปิตุฆาตเป็นการกระทำ ของคนพาล) พระยากงพระยาพาน บ้างเรียกว่า ตำ นานพระปฐมเจดีย์ต้นเค้าของเรื่องได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์ ปุราณะคือเรื่องพญากังสะ(กงฺส) ฆ่าพระราชบิดาเพื่อชิงราชสมบัติและตาม ฆ่าลูกชายของพระนางเทวกีภายหลังถูกพระกฤษณะสังหาร เรื่องดังกล่าวได้ แพร่หลายมากจนภายหลังมีการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่เป็นแบบฉบับของไทยเพื่อ ใช้ผูกเรื่องสำ หรับอธิบายโบราณสถานหรือสถานที่ต่างๆอาทิตำ นานพญากง พญาพาน (ตำ นานพระปฐมเจดีย์) นิทานเรื่องอุษา บารส(ตำ นานพระพุทธบาท บัวบก) อย่างไรก็ตามตำ นาน พญากงพญาพาน ฉบับที่เก่าที่สุดปรากฏอยู่ใน พงศาวดารเหนือที่เป็นการเรียบเรียงเรื่องราวมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่ง ในพงศาวดารเหนือกล่าวถึงยุคสมัยของเรื่องพญากง พญาพาน ว่าอยู่ในช่วง ประมาณต้นกรุงศรีอยุธยา โครงเรื่องของเรื่องพญากงพญาพานกล่าวถึงขณะนั้น พญากงได้ครอง เมืองกาญจนบุรี(บางสำ นวนว่าเป็นเมืองนครชัยศรี) มีพระมเหสีรูปโฉมงดงาม เมื่อพระมเหสีทรงพระครรภ์โหรหลวงได้ทำ นายว่าจะได้พระราชโอรสเป็น รูปปั้นยายหอม ภายในศาลคุณยายหอม ที่วัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม


69 ผู้มีบุญ และจะได้เป็นใหญ่ภายหน้า แต่จะเป็นผู้ฆ่าพระ ราชบิดาเมื่อครบกำ หนดพระมเหสีก็ประสูติพระกุมาร ขณะที่ข้าราชบริพารได้เอาพานไปรองรับ บังเอิญหน้า ผากของพระกุมาร กระทบขอบพานเป็นแผล พญากง ได้สั่งให้นำ พระกุมารไปทิ้งตามยถากรรม ยายหอมไปพบ เข้านำ ไปเลี้ยงไว้และตั้งชื่อว่า “พาน” ครั้นเมื่อเด็กชายพานโตขึ้นยายหอมก็นำ ไปฝาก ให้เล่าเรียนที่วัด พานเป็นเด็กฉลาด สมภารวัดผู้เป็น อาจารย์จึงรักใคร่เอ็นดูมีวิชาอะไรก็สอนให้หมดอาจารย์ ได้นำ พานไปฝากให้เข้ารับราชการกับเจ้าเมืองราชบุรี พานเป็นคนปัญญาดีเรียบร้อยและขยัน จึงเป็นที่ โปรดปรานของเจ้าเมืองราชบุรีมาก จนถึงกับรับไว้เป็นโอรสบุญธรรม สมัยนั้นเมืองราชบุรีขึ้นกับเมืองกาญจนบุรี (บางสำ นวนว่าเมืองนครชัยศรี) พระยาราชบุรีต้องส่งเครื่องบรรณาการทุกปีพญาพานเป็นผู้มีฝีมือในการรบจึงชักชวน ให้เจ้าเมืองราชบุรีแข็งเมืองยกกองทัพไปปราบพญาพานเป็นแม่ทัพออกไปรบกับพญากง ทั้งสองทำ ยุทธหัตถีกัน ในที่สุดพญากงก็ถูกฟันด้วยของ้าวคอขาดตายในที่รบ เมื่อพญาพานเข้ายึดเมืองกาญจนบุรี(บางสำ นวนว่าเมืองนครชัยศรี) ได้แล้ว ย่อมได้ทั้งราชสมบัติตลอดจน พระมเหสีของพญากงด้วยแต่ในขณะที่จะเข้าไปหาพระมเหสีนั้น เทวดาได้แปลงกายเป็นแมวแม่ลูกอ่อนให้ลูกกินนม ขวางประตูไว้แล้วร้องทักเสียก่อน พญาพานจึงได้อธิษฐานว่า ถ้าพระมเหสีเป็นแม่ของตนจริงก็ขอให้มีนํ้านมไหลซึม ออกมา ก็เห็นนํ้านมไหลออกมาจริง จึงได้รู้ว่าทั้งสองเป็นแม่ลูกกัน พญาพานจึงสำ นึกได้ว่าได้กระทำ ปิตุฆาตฆ่า พระราชบิดา และโกรธที่ยายหอมปิดบังความจริง ด้วยโทสะจริตจึงสั่งให้นำยายหอมไปฆ่าเสีย ต่อมาด้วยความ สำ นึกผิดที่ได้ฆ่าพระราชบิดาและยายหอมผู้มีพระคุณ จึงได้สร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่สูงชั่วนกเขาเหินตามคำแนะนำ ของพระอรหันต์คือ พระปฐมเจดีย์ที่เมืองนครชัยศรี(ปัจจุบันตั้งอยู่ในจังหวัดนครปฐม) เพื่อเป็นการล้างบาปที่ฆ่า พระราชบิดาให้บรรเทาลงบ้างและสร้างพระประโทณเจดีย์(ปัจจุบันตั้งอยู่ในจังหวัดนครปฐม)เพื่อล้างบาปที่ฆ่ายายหอม นอกจากนี้ยังมีเค้าโครงเรื่องที่มีรายละเอียดแตกต่างในตอนท้ายเรื่องอีก ๒ แบบ คือโครงเรื่องพญาพานเป็น ลูกเลี้ยงเมืองสุโขทัย เมื่อชนะสงครามเข้าเมือง มารดาเห็นก็ร้องไห้จนทราบว่าเป็นแม่ลูกกัน และอีกโครงเรื่องหนึ่ง คือ เมื่อพญาพานชนะกลับมาที่เมืองคิดจะทำ มารดาเป็นภรรยา เทวดาปลอมตัวเพื่อทักห้ามปรามโดยยามที่ ๑ เป็น แมว และยามที่ ๒ เป็นม้า ในยามที่ ๓ เมื่อพญาพานมาพบ มารดาก็ร้องไห้จนรู้ว่าเป็นแม่ลูกกัน ตำ นานเรื่อง พญากง พญาพาน แพร่หลายอย่างมากในภาคกลางโดยเฉพาะในจังหวัดนครปฐมและพื้นที่ใกล้เคียง อาทิจังหวัดราชบุรีจังหวัดกาญจนบุรีเป็นตำ นานประจำถิ่นที่ใช้อธิบายประวัติความเป็นมาของพระปฐมเจดีย์ พระประโทณเจดีย์ตลอดจนชื่อหมู่บ้าน ตำ บล ตลอดจนแม่นํ้าลำคลองต่างๆ ในจังหวัดนครปฐมและจังหวัดใกล้ เคียง อาทิจังหวัดกาญจนบุรีราชบุรีพระนครศรีอยุธยา เช่น บ้านถนนขาด (ถนนที่พญากงกับพญาพานใช้สู้รบกัน) บ้านสามพราน (บริเวณที่นายพรานสามคนช่วยกันหาช้างให้พญาพานไปรบกับพญากง) บ้านดอนยายหอม (บริเวณ ที่ตั้งบ้านเรือนยายหอม)


70 นอกจากนี้ยังมีการเล่าสืบต่อกันมาในรูปแบบต่างๆ ในมุขปาฐะ เช่น เพลงขอทานเรื่องพญากง พญาพาน เพลงฉ่อยเรื่องพญากง พญาพาน เพลงอีแซวเรื่องพญากง พญาพาน ลิเกเรื่องพญากง พญาพาน เพลงรำ โทนเรื่อง พญากง พญาพาน แหล่นอกเรื่องพญากง พญาพาน เพลงทรงเครื่องเรื่องพญากง พญาพาน เป็นต้น ส่วนรูปแบบ ลายลักษณ์พบสมุดไทยที่หอสมุดแห่งชาติ๙ ฉบับ รวมถึงมีการตีพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบของโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญ (วัดเกาะ) และโรงพิมพ์อื่นๆ อีกจำ นวนมาก และยังคงมีการตีพิมพ์ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นพญากงตั้งอยู่บริเวณตลาดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใกล้กับพระปฐมเจดีย์และศาล ยายหอม ซึ่งมี๓ แห่ง ได้แก่ พระปฐมเจดีย์วัดพระประโทณเจดีย์และวัดดอนยายหอม ยังปรากฏสืบมาจนปัจจุบัน และเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดนครปฐมอย่างยิ่ง เรื่องพญากง พญาพาน ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็น ตำ นานประจำถิ่นจังหวัดนครปฐม และมักมีการนำ มาสร้างเป็นการแสดงของจังหวัดนครปฐมในโอกาสต่างๆ อย่าง ต่อเนื่องตลอดจนมีการนำ มาใช้ในการส่งเสริมการขายของผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวของจังหวัดนครปฐม ในฐานะ ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำจังหวัดนครปฐมอีกด้วย ตำ นานพญากงพญาพาน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗


71 ตำ นานพญาคันคาก เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์ปฐม หงษ์สุวรรณ ตำ นาน พญาคันคาก (พญาคางคก) เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านที่ปรากฏอยู่อย่างแพร่หลายในการรับรู้ของ ชาวอีสานและล้านนา มีชื่อรู้จักกันโดยทั่วไปว่าตำ นานพญาคันคากแต่บางถิ่นก็อาจเรียกชื่อว่าตำ นานพญาคางคาก ธัมม์พญาคางคากหรือ พญาคันคากชาดก ในท้องถิ่นล้านนามีชื่อว่า คันธฆาฎกะ และ สุวัณณจักกวัตติราช มีข้อสังเกตว่า ตำ นาน พญาคันคาก เป็นเรื่องที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง ในภาคอีสานและประเทศสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว มีเอกสารใบลานในแทบทุกจังหวัด ตำ นานพื้นบ้านเรื่องนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นชาดกพื้นบ้าน และบางครั้งถูกจัดให้เป็นวรรณกรรม พุทธศาสนาในท้องถิ่นด้วยเหตุที่ชาวอีสานเชื่อว่าเป็นนิทานชาดกเนื่องจากพญาคันคากมีสถานภาพเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นคางคก เป็นโอรสของกษัตริย์ เหตุที่พระองค์ได้ชื่อว่า “พญาคันคาก” เป็นเพราะเมื่อครั้งประสูติ ออกมาเป็นกุมารนั้นมีผิวเนื้อและรูปร่างเหมือนคางคกซึ่งในภาษาถิ่นอีสานเรียกว่า“คันคาก”แม้มีรูปร่างอัปลักษณ์ แต่พญาคันคากนี้ก็มีบุญญาธิการมาก มีพระอินทร์คอยช่วยเหลือจนเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมือง เป็นเหตุให้ผู้คน ลืมเซ่นสรวงบูชาพญาแถน ทำ ให้แถนโกรธไม่ย่อมปล่อยนํ้าฝนให้ตกลงมายังโลกมนุษย์ พญาคันคากจึงอาสานำ เอา ไพร่พลบรรดาสัตว์ต่างๆ อาทิปลวก ผึ้ง ต่อ แตน งูช้าง ม้า วัว ควาย ขึ้นไปช่วยกันรบกับพญาแถนบนเมืองฟ้าจน ได้รับชัยชนะ พญาแถนจึงยอมปล่อยนํ้าฝนให้ตกลงมายังโลกมนุษย์ตามเดิม


72 ตำ นานพญาคันคาก นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของพระโพธิสัตว์คันคากสะท้อนให้เห็นพลัง ศรัทธาความเชื่อทางพุทธศาสนาที่ผสมผสานกับคติความเชื่อดั้งเดิมเรื่องผีแถน ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง พุทธศาสนากับพิธีกรรมความเชื่อเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ในวิถีชีวิตของชาวนาในวัฒนธรรมข้าวที่ต้องอาศัยนํ้าฟ้า นํ้าฝนในการผลิตธัญญาหารในแง่นี้อาจกล่าวได้ว่าตำ นานพญาคันคากเป็นข้อมูลทางวัฒนธรรมที่สามารถใช้บ่งบอก ให้เห็นชีวิตพื้นบ้านที่ดำ รงอยู่ในวิถีแห่งวัฒนธรรมการเกษตรในสังคมท้องถิ่นไทยได้เป็นอย่างดี ในท้องถิ่นอีสาน พบว่าตำ นานพญาคันคากยังคงมีบทบาทสำคัญและดำรงอยู่ในวิถีชีวิตอีสาน นับตั้งแต่อดีตมา มีความนิยมนำตำ นานพญาคันคากมาให้พระใช้เทศน์ในพิธีกรรมการขอฝน และใช้เทศน์ร่วมในพิธีจุดบั้งไฟขอฝน ด้วยเหตุนี้ตำ นานพญาคันคากในมุมมองของชาวอีสานจึงถือว่าเป็นวรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องเล่าที่ใช้อธิบาย ที่มาประเพณีการจุดบั้งไฟ ในเดือนหก ซึ่งถือเป็นประเพณีอันสำคัญใน “ฮีตสิบสอง” (จารีตประเพณีสิบสองเดือน) ที่ยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมาในจนทุกวันนี้ ตำ นานพญาคันคาก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ ภาพ : ทวีศักดิ์ ใยเมือง จากหนังสือ พญาคันคาก หรือ คางคกยกรบ


73 ตำ นานพระแก้วมรกต เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์รังสรรค์ จันต๊ะ ตำ นานพระแก้วมรกตเป็นวรรณกรรมพุทธศาสนาของไทย มีชื่อที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่าตำ นานพระแก้ว ตำ นานพระแก้วมรกต ตำ นานพระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากรในท้องถิ่นภาคเหนือ มีชื่อต่างๆเช่น ตำ นานพระแก้วเจ้า ตำ นานพระแก้วมรกต ตำ นานพระแก้วอมรกต ตำ นานพระแก้ว อัมมรกตเจ้า ตำ นานพระแก้วเป็นต้น สำ นวนที่นับว่า เก่ากว่าฉบับอื่นๆชื่อว่ารัตนพิมพวงศ์ แต่งเป็นภาษาบาลีโดยพระเถระพรหมราชปัญญาใน ช่วง พ.ศ. ๑๙๗๙-๒๐๑๑ นอกจากนี้ยังปรากฏใน ชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งพระรัตนปัญญาเถระเขียนเป็นภาษาบาลีเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๐๖๐ และยังปรากฏใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ด้วย ตำ นานพระแก้วมรกต พบมากที่เป็นสำ นวนล้านนา กระจัดกระจายอยู่ตามวัดต่างๆ มีเนื้อหาสั้น ๆ เพียง ๗ – ๘ หน้าลาน มีทั้งที่จารไว้เฉพาะเรื่องตำ นานพระแก้วมรกตเรื่องเดียวและจารร่วมกับเรื่องอื่น ๆสำ หรับเรื่องย่อที่ คัดมานี้สรุปความมาจากตำ นานพระจันทน์เจ้า พระสิงห์พระแก้วต้นฉบับใบลานเป็นของวัดทรายมูลอ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เนื้อหามีว่า เมื่อครั้งที่มหาเถร ชื่อมหานาคเสน อยู่ที่เสนอาราม เมืองปาฏลีบุตต์คิดจะสร้างพระพุทธรูป ขึ้นองค์หนึ่ง พระอินทร์บันดาลให้วิษณุกรรมนาแก้วมณีโชติจากดอยวิบูลบรรพตมาให้แต่ยักษ์กุมภัณฑ์ให้มรกตมาแทน พระอินทร์จึงให้สลักเป็นรูปพระพุทธเจ้าสูง ๒ ศอก ๑ นิ้ว แล้วบรรจุธาตุพระพุทธเจ้าไว้๗ แห่ง พระมหานาคเสน ได้ทำ นายว่า ต่อไปพระแก้วมรกตนี้จะเจริญรุ่งเรืองในขอม พม่า และไทย ต่อมาพระยาอนุรุทธราช กษัตริย์พม่า


74 ได้นำ นักปราชญ์ทั้งหลายไปคัดลอกพระไตรปิฎกจากลังกาและได้พระแก้วมรกตกลับมาด้วยระหว่างทางเรือสำ เภาถูก นํ้าซัดไปติดอยู่ที่นครหลวง พระยาอนุรุทธราชไปขอคืน แต่พระญานครหลวงคืนให้เฉพาะพระไตรปิฎกต่อมาพระยา อาทิตย์รบชนะเมืองนครหลวง จึงอัญเชิญพระแก้วมรกต ไปที่เมืองอโยธยา ภายหลังพระรามแห่งเมืองกำแพงเพชร ย้ายไปไว้ที่กรุงเทพ ต่อมาพระยามหาพรหมราชได้อัญเชิญไปไว้ที่เชียงรายและเมื่อพระยาติโลกราชแห่งเชียงใหม่สร้าง กุฎีเสร็จจึงอัญเชิญไปประดิษฐานที่เมืองเชียงใหม่แต่นั้นมา ตำ นานพระแก้วมรกต จึงเป็นหลักฐานแสดงถึงภูมิปัญญา ในการสร้างสรรค์วรรณกรรมของพระสงฆ์ล้านนา ในอดีตและเป็นบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดและพลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มี ต่อพระพุทธรูปสำคัญและศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ ตำ นานพระแก้วมรกต ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร ภาพ : กิ่งทอง มหาพรไพศาล


75 ตำ นานพระเจ้าเลียบโลก เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์รังสรรค์ จันต๊ะ และ รองศาสตราจารย์ปฐม หงษ์สุวรรณ ตำ นานพระเจ้าเลียบโลก เป็นวรรณกรรมพุทธศาสนาที่มีปรากฏในวัฒนธรรมพื้นบ้านของไทยโดยเฉพาะใน ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางท้องถิ่นเรียกว่า พุทธตำ นาน หรือ พุทธตำ นานพระเจ้าเลียบโลก เป็น เรื่องบันทึกการเดินทางของพระพุทธเจ้ามายังดินแดนสิบสองปันนาล้านนาล้านช้างและอีสานของไทยเนื้อหาของ ตำ นานเป็นการอธิบายภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ของชุมชนและชาติพันธุ์ต่างๆ ผ่านการอธิบายการเสด็จ เดินทางไปเทศนาสั่งสอนโปรดเวไนยสัตว์พร้อมกับการประทานพระเกศาธาตุและประทับพระบาทอันเป็นที่มาของ การสร้างพระธาตุและพระพุทธบาทในดินแดนต่างๆ ดังกล่าว ตำ นานพระเจ้าเลียบโลก จึงมีคุณค่าในแง่ที่เป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และประวัติศาสตร์การรับพุทธศาสนา ของผู้คนในดินแดนอุษาคเนย์ โดยเฉพาะในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ โดยการเล่าผ่านการบันทึกเรื่องราวต่างๆ จาก การเดินทางของพระพุทธเจ้า ทำ ให้ดินแดนแถบนี้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์


76 ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร ภาพ : กิ่งทอง มหาพรไพศาล เนื้อหาใน ตำ นานพระเจ้าเลียบโลก ยังเป็นการอธิบายที่มาของ ภูมินาม ชื่อบ้านนามเมือง และเรื่องราวการ ดำรงชีวิตของผู้คน กลุ่มชาติพันธุ์ในแต่ละท้องถิ่น ทำ ให้เกิดแรงยึดโยงในระบบความสัมพันธ์ของผู้คนในท้องถิ่นต่างๆ ภายใต้อุดมการณ์ความเชื่อและความศรัทธาร่วมกันในพุทธศาสนาโดยเฉพาะเรื่องการบูชาพระธาตุและรอยพระบาท ของพระพุทธเจ้า ความสำคัญอีกประการหนึ่งของ ตำ นานพระเจ้าเลียบโลก ยังเห็นได้จากอิทธิพลในการเป็นต้นแบบและ การสร้างขนบการรังสรรค์วรรณกรรมพุทธศาสนาประเภทตำ นานพระธาตุและตำ นานพระบาทเรื่องอื่นๆในท้องถิ่น ต่างๆ ในภาคเหนือและภาคอีสานของไทยอีกด้วย ตำ นานพระเจ้าเลียบโลกได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓


77 ตำ นานพระเจ้าห้าพระองค์ เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อภิลักษณ์ เกษมผลกูล ตำ นานพระเจ้าห้าพระองค์ เป็นตำ นานพื้นบ้านที่แพร่หลายอยู่ในทุกภูมิภาคของไทย บ้างก็เรียกกันว่าตำ นาน พญากาเผือก ในบางท้องถิ่นอาจมีชื่อเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ในภาคเหนือบางถิ่นเรียกว่า อานิสงส์ผางประทีป แม่กาเผือก พระเจ้าห้าตน ตำ นานเวียงกาหลง ตำ นานดอยสิงคุตตระ เป็นต้น ภาคอีสานบางถิ่น เรียกว่า กาเผือก ตำ นานพระธาตุเชิงชุม ภาคกลางบางถิ่นเรียกว่ากาขาว ต้นเหตุลอยกระทง ปัญจพุทธพยากรณ์ เป็นต้น และในภาคใต้ บางถิ่น เรียกว่า พระปรมัตถ์ พระเจ้าสามเณร เป็นต้น สาระสำ คัญของ ตำ นานพระเจ้าห้าพระองค์คือการเล่าเรื่องประวัติของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ใน ภัทรกัปป์หรือกัปป์ปัจจุบัน แบ่งเป็น พระอดีตพุทธเจ้า ๓ พระองค์คือ พระกุกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมพุทธเจ้าและ พระกัสสปพุทธเจ้า พระปัจจุบันพุทธเจ้า ๑ พระองค์คือ พระโคตมะพุทธเจ้า และพระอนาคตพุทธเจ้า ๑ พระองค์ คือ พระศรีอาริยเมตไตรยตำ นานพระเจ้าห้าพระองค์พรรณนาประวัติของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ตั้งแต่ก่อนเป็น พระพุทธเจ้าจนถึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์นี้ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เคยเกิดมาเป็นพี่น้องกันในพระชาติหนึ่ง โดยมาเกิดเป็นลูกแม่กาเผือก ต่อมาแม่กาเผือกฟักไข่ออกมา ๕ ฟอง ไว้ที่ ต้นไม้ใหญ่ ภายหลังเกิดพายุใหญ่พัดรังกากระจัดกระจายไป ไข่กาทั้ง ๕ ฟองตกลงมาจากต้นไม้นั้น และถูกพายุพัดไหล ไปตามนํ้า แม่กาเผือกเห็นดังนั้นเข้าใจว่าลูกตาย จึงตรอมใจตายไปเกิดเป็น ท้าวพกาพรหม ส่วนไข่ทั้ง ๕ ฟองนั้น ก็มี แม่สัตว์ต่างๆ เก็บได้และนำ ไปเลี้ยงเป็นบุตร


78 แม่สัตว์เหล่านั้นได้แก่ แม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่สิงห์ เมื่อครบกำ หนดไข่ก็แตกออกมาเป็นมนุษย์ เพศชาย ๕ คน ต่อมาเมื่อทารกทั้ง ๕ คนเจริญวัยขึ้นก็ออกบวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่าครั้งนั้นร้อนไปถึงพระอินทร์จึงทรงให้ พระวิษณุกรรมนิมิตอาศรมแก่ฤาษีทั้ง ๕ ตนนั้น วันหนึ่งพระฤๅษีทั้ง ๕ ตนเดินทางมาพบกันโดยบังเอิญ จึงได้ทราบว่า เป็นพี่น้องกัน เมื่อทราบเรื่องแล้วต่างก็พากันรำลึกถึงพระคุณแม่กาเผือกและประสงค์จะพบแม่กาเผือกครั้งนั้นท้าว พกาพรหมจึงลงมาบอกว่าให้เอาฝ้ายไปทำ เป็นตีนกาแล้วใส่ในผางหยอดนํ้ามันแล้วจุดไฟบูชา กุศลนั้นจึงจะไปถึงแม่ และเป็นการแทนพระคุณแม่กาเผือกได้ด้วย ตำ นานพระเจ้าห้าพระองค์ นับเป็นตำ นานพุทธศาสนาของไทยที่สร้างสรรค์ขึ้นในวัฒนธรรมไทยเป็นภูมิปัญญา ในการเชื่อมความสัมพันธ์ในฐานะพี่น้องระหว่างพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในทางการเมือง หรือการนำ ไปใช้ในทางอ้างอิงในกฎหมายตราสามดวง ทั้งยังมีบทบาท เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระศรีอาริย์อีกด้วย ตำ นานพระเจ้าห้าพระองค์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปี พุทธศักราช ๒๕๕๓


79 ตำ นานพระธาตุดอยตุง เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์รังสรรค์ จันต๊ะ ตำ นานพระธาตุดอยตุง เป็นเรื่องราวที่กล่าวถึงที่มาของพระธาตุดอยตุง (หากปริวรรตตามต้นฉบับภาษาถิ่น ล้านนาจะเขียนด้วยตัว ท เป็น “ดอยทุง” ภาษาไทยกลางเขียนตามเสียงอ่านเป็น “ดอยตุง”) ประดิษฐานบนดอยตุง อำ เภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย บนความสูง ๑,๓๖๔ เมตร จากระดับนํ้าทะเล เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในภัทรกัปป์นี้หลังจากบิณฑบาตที่เมืองราชคฤห์และ เมืองมิถิลาแล้ว ทุกพระองค์ก็ได้เสด็จมายังภูเขานี้และประทับนั่งบนยอดเขา ในอนาคตพระศรีอริยเมตไตรยก็จะทรง มีพระจริยวัตรอย่างนี้เช่นกัน พระธาตุดอยตุงเป็นพระธาตุประจำ ปีเกิดสาหรับผู้ที่เกิดปีกุน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำถิ่น เป็นพระธาตุสำคัญ ประจำ เมือง ชุมชนท้องถิ่นตั้งชื่อสถานที่ต่างๆ ในท้องถิ่นโดยอ้างอิงจากตำ นานพระธาตุดอยตุง เนื่องจากดอยตุง เป็นแกนกลางของความศรัทธาในพระบรมธาตุเชื่อมต่อด้วยภูเขาข้างๆอีก ๒ ลูก ที่มีสัณฐานคล้ายผู้หญิงนอนหงาย จึงชื่อว่าดอยนางนอน และดอยจ้อง หรือดอยจิกจ้อง ทางทิศเหนือศีรษะของนางนอน มีดอยย่าเฒ่า หรือดอยปู่เฒ่า อยู่ตรงกลางอกและเป็นที่ตั้งของถํ้าปุ่ม ที่ปรากฏอยู่ในตำ นานด้วยส่วนดอยตุงนั้นอยู่ทางใต้คือส่วนท้อง ทางตะวันออก ด้านหน้าของดอยปู่เฒ่าและดอยตุงเป็นภูเขาอีกลูกหนึ่ง เรียกว่า ดอยถํ้าปลา และมีถํ้าอื่น ๆ อีกหลายถํ้า เช่น ถํ้าตุ๊ปู่ ถํ้ากู่แก้ว ถํ้าปลา ถํ้าเปลวปล่องฟ้า บริเวณถัดไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีบ่อนํ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาหยุดพักและฉันนํ้าที่บ่อนี้ถัดขึ้นไปทางทิศะวันออกเฉียงเหนือ มีดอยอีกลูกหนึ่ง สัณฐาน คล้ายช้างนอนหมอบ จึงชื่อว่า ดอยช้างมูบ มีพระธาตุประจำคือ พระธาตุช้างมูบ


80 พระธาตุดอยตุง พระธาตุ ช้างมูบดอยและถ้าอื่น ๆดังกล่าว จึงเป็นกลายหมุดหมายสำ คัญ ทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น ที่ได้สร้างให้ภูเขาโดยรอบมีเรื่อง ราวตำ นานทางพุทธศาสนา รองรับ ทำ ให้บริเวณดังกล่าว กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของ ท้องถิ่น จนกลายเป็นสถานที่ ท่องเที่ยวประจำจังหวัดเชียงราย ที่มีชื่อเสียง ปัจจุบันมีง าน นมัสการพระธาตุเป็นประจำ ทุกปีในเดือน ๖ เหนือขึ้น ๑๓ – ๑๕ คํ่า ในแต่ละปีจะมีคนใน ท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวไป นมัสการจำ นวนมาก ตำ นานพระธาตุดอยตุง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ ชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕


81 ตำ นานพระธาตุประจำ ปีเกิดล้านนา เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์รังสรรค์ จันต๊ะ การบูชาพระธาตุประจำ ปีเกิดซึ่งมีชื่อเรียกในท้องถิ่นล้านนาว่าชุธาตุหรือ พระธาตุตั๋วเปิ้ง (ตัวพึ่ง) มีที่มาจาก คติความเชื่อที่ถือเอาพระธาตุเจดีย์อันเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิจากสรีระของพระพุทธเจ้าที่ประดิษฐานในแต่ละ ท้องถิ่นมาเป็นที่พึ่งประจำตัวเพื่อสักการะบูชาของคนที่เกิดในปีนักษัตรนั้นๆ แนวคิดดังกล่าวเกิดจากคติการบูชา พระธาตุเจดีย์ตามอิทธิพลแบบลังกาคติผสมผสานกับความคิดความเชื่อบนรากฐานจักรวาลวิทยาด้านการพยากรณ์ โชคชะตาราศีที่ผูกพันอยู่กับสัตว์สัญลักษณ์ประจำ ปีเกิดนั้นๆส่วนองค์พระธาตุในดินแดนล้านนาก็มักมีตำ นานอธิบาย ที่มาอันสัมพันธ์กับความเชื่อเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระพุทธเจ้ายังดินแดนล้านนา โครงสร้างเนื้อหาหลักของตำ นานพระธาตุประจำ ปีเกิดแต่ละแห่งมักจะมีลักษณะคล้ายกัน โดยเริ่มจากครั้งที่ พระพุทธเจ้าเสด็จมาในดินแดนท้องถิ่นต่างๆโดยเสด็จไปประทับที่ใต้ต้นไม้หรือสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งและมีชาวบ้าน ที่มักเป็นคนพื้นบ้านดั้งเดิม เช่น คนลัวะ ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากจะนำผลไม้หรืออาหารมาถวาย หลังจากพระองค์ฉันเสร็จแล้ว พระองค์ได้ประทานเส้นเกศาให้เส้นหนึ่ง แล้วมีรับสั่งให้เอาเส้นเกศานี้ไปไว้ในถํ้าที่อยู่ ใกล้บริเวณนั้น และรับสั่งต่ออีกว่าเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว ให้เอาธาตุ (กระดูก) ส่วนใดส่วนหนึ่งของพระองค์ มาบรรจุไว้ที่สถานที่แห่งนั้น และต่อไปภายหน้าสถานที่แห่งนั้นจะเจริญรุ่งเรือง หรือมิฉะนั้นก็อาจมีพุทธพยากรณ์ไว้ ให้กับกษัตริย์ผู้ครองดินแดนแห่งนั้นว่าสถานที่แห่งนี้ต่อไปภายหน้าจะเป็นที่ประดิษฐานของพระธาตุส่วนใดส่วนหนึ่ง กาลต่อมาภายหลังเมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้วโทณพราหมณ์ได้จัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ให้แก่กษัตริย์ทั้ง ๘ นคร พระมหากัสสัปะเถระเจ้าผู้เป็นประธานฝ่ายสงฆ์จึงได้กราบทูลให้มัลลกษัตริย์ทราบถึง พุทธพยากรณ์ มัลลกษัตริย์ทราบดังนั้นจึงถวายพระบรมธาตุวางไว้บนฝ่ามือแล้วอธิษฐานอาราธนาพระบรมธาตุ เสด็จไปยังท้องถิ่นแห่งนั้น ๆ โดยเจ้าผู้ครองนครแต่ละแห่งจะเป็นผู้อุปถัมภ์ในการก่อสร้างพระเจดีย์ธาตุให้เป็นที่ กราบไหว้บูชาต่อไป จะขอยกตัวอย่างเนื้อหาในตำ นานของพระธาตุสำคัญบาง แห่งในล้านนา เช่น ตำ�นานพระธาตุจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นพระธาตุประจำ ปีชวด เล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธ พยากรณ์ไว้กับพญาอังครัฏฐะเจ้าเมืองที่อยู่ใกล้กับดอยจอมทอง ว่าสถานที่แห่งนี้ต่อไปภายหน้าจะเป็นที่ประดิษฐานพระทักษิณ โมลีธาตุ(พระเศียรเบื้องขวา)ของพระองค์ต่อมามีสามีภรรยาคู่ หนึ่งชื่อนายสอย นางเม็ง ซึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ได้ พบพระธาตุจอมทองที่เป็นพระทักษิณโมลีธาตุมีขนาดเท่าเมล็ด ข้าวโพดบรรจุอยู่ในโกศทองเหลือง จึงได้ก่อเป็นพระธาตุเจดีย์ไว้ ที่ดอยจอมทองแห่งนั้น พระธาตุจอมทอง ที่มา : www.thaiticketmajor.com


82 วัดพระธาตุลำ ปางหลวง ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พระธาตุช่อแฮ ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตำ�นานพระธาตุลำ�ปางหลวง จังหวัด ลำ�ปาง พระธาตุประจำ�ปีฉลู เล่าว่า ในสมัย พุทธกาลพระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับนั่งอยู่ที่ตีน ม่อนดอยของหมู่บ้านลำ ปางหลวง มีชายผู้หนึ่ง ชื่อว่าอ้ายกอน เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ เอานํ้าผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้าง (ไม้ไผ่ประจำถิ่น ชนิดหนี่งใช้ทำ ข้าวหลาม) รวมทั้งมะพร้าวและ มะตูม มาถวาย หลังจากที่พระองค์ได้ฉันแล้ว ทรงทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือแล้ว พยากรณ์ว่าสถานที่นี้ต่อไปจักมีผู้มาสร้างเมือง ชื่อว่า “กลัมภกัปปนคร” ต่อมาเจ้าเมืองลำ ปาง ได้สร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุไว้ให้เป็นที่กราบไหว้ มาจนทุกวันนี้ ตำ�นานพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ พระ ธาตุประจำ�ปีขาลเล่าว่าขุนลัวะคนหนึ่งชื่อก๊อมได้ มากราบไหว้พระพุทธเจ้าที่เสด็จมาถึงดอยโกสิยธ ชัคคะบรรพตที่เมืองแพร่พระพุทธองค์จึงประทาน พระเกศาเส้นหนึ่งให้แล้ว รับสั่งให้นำ ไปไว้ในถํ้า แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆและรับสั่งว่าเมื่อพระองค์เสด็จ ปรินิพพานแล้ว ให้เอาธาตุศอกข้างซ้ายมาบรรจุ ไว้ณ สถานที่นี้และต่อไปภายหน้าจะได้ชื่อว่า เมืองแพร่ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระเจ้า อโศกมหาราชได้อธิษฐานให้พระธาตุเสด็จออกจาก โกศโดยทางอากาศไปตั้งอยู่ที่เมืองแพร่โดยมีเจ้า ผู้ครองนครและไพร่ฟ้าได้ร่วมกันก่อสร้างพระธาตุ ขึ้นไว้สักการะสืบมาจนปัจจุบัน ตำ�นานพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำ�พูน พระธาตุ ประจำ�ปีระกากล่าวถึงตำ นานความเป็น มาของพระธาตุหริภุญชัยว่าวันหนึ่ง พระพุทธองค์ ได้เสด็จเลียบฝั่งแม่นํ้าระมิงค์ขึ้นไปทางทิศเหนือ จนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีชาวลัวะผู้หนึ่งนำ หมาก


83 นะ หรือผลสมอไทยมาถวายพระองค์เมื่อพระองค์เสวยแล้วทรงทิ้งเมล็ด หมากสมอลงบนพื้นดิน เมล็ดหมากสมอได้ทำ ประทักษิณ ๓ รอบ แล้ว พระองค์จึงทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปในอนาคตจะเป็นที่ตั้ง ของ “นครหริภุญชัยบุรี” และสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ประดิษฐานของ “พระสุวรรณเจดีย์” และหลังจากที่พระองค์นิพพานแล้ว จะมีพระบรม สารีริกธาตุทั้งธาตุกระหม่อม ธาตุกระดูกอกธาตุกระดูกนิ้วมือและธาตุ ย่อยอีกเต็มบาตรหนึ่ง มาประดิษฐานอยู่ณ ที่นี้ด้วยจากนั้นพระพุทธองค์ จึงประทาน “พระเกศาธาตุ” ให้กับพระญาอโศก พระญาชมพูนาคราช และพระญากาเผือก เก็บไว้ในกระบอกไม้รวกบรรจุในโกศแก้วใหญ่ ๓ กำ นำ ไปบรรจุไว้ในถํ้าใต้ที่ประทับนั้น ความใน ตำ นานพระเจ้าเลียบโลก กล่าวถึงความในตอนนี้ว่า “...ดูราสารีบุตร หลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว ศาสนาและธาตุตถาคต จักมาประดิษฐานที่นี้ ตลอด ๕,๐๐๐ วัสสา สถานที่นี้จักปรากฏเป็นนคร อันใหญ่ จักมีพระราชาองค์หนึ่งพระนามว่า อาทิตตราช เสวยพระนคร แห่งนี้ ธาตุตถาคตจักอุบัติขึ้นปรากฏแก่พระราชาองค์นั้น ท้าวเธอจัก ได้รังสฤษฎ์พระเจดียใหญ่ พระนวโลกุตรธรรมและพระปริยัติธรรมจัก ประดิษฐานมั่นคงในเมืองนี้และเมืองนี้จะปรากฏชื่อว่าหริภุญชัยนคร แล” ๑๕ พระธาตุหริภุญชัยฯ ที่มา : www.hariphunchaitemple.org ตำ�นานพระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงราย พระธาตุประจำ�ปีกุน กล่าวถึง หัวหน้าคนป่ากลุ่มหนึ่งชื่อปู่เจ้าลาว จกกับเมีย ทำ ไร่ทำ นาอยู่บนภูเขาในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จจากภูเขาคิชฌกูฏมาตามแม่นํ้าโขง ทรงทอดพระเนตรไป ยังทิศตะวันตกเห็นภูเขา ๓ ลูกคือดอยตุง พระองค์เหาะขึ้นไปประทับบนหินก้อนหนึ่งคล้ายผลมะนาวผ่าครึ่ง พระองค์ ทรงทำ นายว่าต่อไปที่นี้จะเป็นเมืองสำคัญ และหลังจากที่พระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว กระดูกด้ามมีดเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) จะถูกนำ มาประดิษฐานไว้บนดอยตุง กาลต่อมาหลังพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พระมหากัสสปะ เถระได้นำ พระธาตุของพระองค์มาไว้ยังดอยตุง พร้อมอธิษฐานตุง (ธง)ยาว ๗,๐๐๐ วา ประดิษฐานไว้ณ ดอยแห่งนี้ ต่อมาจึงเรียกดอยแห่งนี้ว่า “ดอยตุง” มาจนทุกวันนี้ สืบเนื่องจากคติการบูชาพระธาตุประจำ ปีเกิดที่ปรากฏเฉพาะในวัฒนธรรมล้านนาหรือเขตภาคเหนือตอนบน แล้วได้กลายเป็น ประเพณีการเดินทางไปไหว้พระธาตุประจำ ปีเกิดของผู้ที่เกิดในประจำ ปีเกิดนั้น ๆซึ่งจะถือโอกาส เดินทางไปไหว้พระธาตุประจำ ปีเกิดของตัวเอง การเดินทางไปไหว้พระธาตุหริภุญชัยของขบวนเจ้านายฝ่ายเหนือดัง ปรากฏหลักฐานเป็นวรรณคดีล้านนา เรื่อง โคลงนิราศหริภุญชัยก็อาจเกี่ยวข้องและมีที่มาจากคติความเชื่อเกี่ยวกับ การไปไหว้พระธาตุประจำ ปีเกิดของเจ้านายฝ่ายเหนือเช่นเดียวกัน ซึ่งมักนิยมกระทำกันในวันเพ็ญ ตั้งแต่เดือนยี่ ถึง เดือนสิบเอ็ด (เหนือ) สืบเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน รวมถึงการมีประเพณี“ขึ้นธาตุ” หรือสรงนํ้าพระธาตุประจำ ปี


84 คนล้านนามีความเชื่อและประเพณีปฏิบัติในการไปไหว้และสรงนํ้าพระธาตุประจำ ปีเกิดตามเวลาการทำ บุญ สรงนํ้าพระธาตุดังนี้ ปีชวด พระธาตุจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่สรงนํ้าในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๙ เหนือ ปีฉลู พระธาตุลำ ปางหลวง จังหวัดลำ ปาง ปีขาลสรงนํ้าในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือนยี่ เหนือ ปีขาล พระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่สรงนํ้าในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๙ เหนือ ปีเถาะ พระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน สรงนํ้าในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๖ เหนือ ปีมะโรง พระธาตุวัดพระสิงห์จังหวัดเชียงใหม่สรงนํ้าในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๙ เหนือ ปีมะเส็ง พระธาตุเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย หรืออนุโลมให้บูชาต้นศรีมหาโพธิ์หรือไหว้ พระธาตุเจดีย์วัดเจ็ดยอดแทนก็ได้ ปีมะเมีย พระธาตุตะโก้ง (ชะเวดากอง) ประเทศพม่าหรือไหว้พระธาตุวัดเกตุการาม อำ เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่แทนก็ได้ ปีมะแม พระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่สรงนํ้าในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๙ เหนือ ปีวอก พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม สรงนํ้าในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๓ เหนือ ปีระกา พระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำ พูน สรงนํ้าในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๘ เหนือ ปีจอ พระธาตุจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์หรือไหว้เจดีย์อินทร์แขวน ในพม่าแทนก็ได้หรือ อนุโลม ให้ไหว้พระธาตุวัดเกตุการาม อำ เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่แทนก็ได้ ปีกุน พระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงรายสรงนํ้าในวันขึ้น ๑๕ คํ่าเดือน ๓ เหนือ คติความเชื่อเรื่อง ชุธาตุ หรือคติการบูชาพระธาตุประจำ ปีเกิดของคนล้านนาอาจวิเคราะห์ได้ว่าเกิดจากการ ผสมผสานของเหตุปัจจัยหลักอย่างน้อย ๓ ประการ ได้แก่ พระธาตุดอยตุง ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย


85 ประการแรก หลังจากการเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าแล้ว พระธาตุเจดีย์ถือเป็นสัญลักษณ์และ ความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและได้กลายมาเป็นคติการบูชา พระบรมธาตุเจดีย์ที่แพร่จากอินเดียเข้ามาสู่ภูมิภาคในดินแดนแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้หรือที่เรียกกันว่า อุษาคเนย์และเผยแพร่เข้ามาในล้านนาในรัชสมัยของพญากือนา (พ.ศ.๑๘๙๙ – ๑๙๒๘) โดยมีตำ นานต่าง ๆ เป็น เครื่องมือรับรองความชอบธรรมนั้นไว้เช่น ตำ นานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์และ ตำ นานพระเจ้าเลียบโลก ประการที่สองคติความเชื่อในเรื่องโหราศาสตร์อันมีสัตว์สัญลักษณ์เป็นที่พึ่งประจำ ปีเกิดของคนที่ควบคู่ไปกับ การนับปีนักษัตรแบบล้านนาคือจำ นวน ๑๒ นักษัตรและฐานคิดในระบบจักรวาลวิทยาเรื่องการเกิดมาในโลกนี้ว่าก่อน ที่จะมาเกิดเป็นชีวิตในโลกนี้ช่วงก่อนการปฏิสนธิจะก่อรูปเป็นภาวะของจิตที่นิ่งสถิตอยู่ ณ องค์พระธาตุองค์สำคัญ ที่ประจำ ในแต่ละรอบปีเมื่อครบวาระแล้ว ดวงจิตนั้นก็จะเปลี่ยนรูปเป็นสัญลักษณ์ของดาวประกายพฤกษ์หรือดาว พระศุกร์เข้าสู่ช่วงแห่งการปฏิสนธิก่อเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป (บุญคิดวัชรศาสตร์, ๒๕๓๓ อ้างใน เธียรชายอักษรดิษฐ์, อ้างแล้ว, หน้า ๒๓๔) ประการที่สาม เป็นการบูรณาการทางสังคมและวัฒนธรรมของอำ นาจฝ่ายเมืองที่จะให้เป็นศูนย์กลางของ ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในดินแดนล้านนา รวมไปถึงล้านช้าง มอญและพม่าด้วย โดยการซ้อนทับ คติการนับปีนักษัตรลงไปบนพระธาตุองค์สำคัญที่ตั้งอยู่ ณ พื้นที่ต่าง ๆ ทั้งทางภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิศาสตร์ สังคมให้กลายเป็นศูนย์รวมของการจาริกแสวงบุญโดยการเดินทางไปไหว้พระธาตุประจำ ปีเกิดของตัวเองอันรวมไปถึง การทำ บุญสะเดาะเคราะห์เสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ตัวเองเป็นประจำ ทุกปีสิ่งนี้จะทำ ให้คนแต่ละเมือง ที่อยู่ในเขตแคว้นเดียวกันเกิดความสัมพันธ์กันด้วย(ศรีศักรวัลลิโภดม, ๒๕๓๙ อ้างใน เธียรชายอักษรดิษฐ์,อ้างแล้ว, หน้า ๒๓๖) หากจะมองในเรื่องคุณค่าและบทบาทของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของตำ นานพระธาตุประจำ ปีเกิดที่ มีต่อวิถีชุมชน อาจมองได้ว่า“พระธาตุ”ถือเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของสังคมพุทธศาสนาในล้านนาแต่หากจะมอง จากมุมมองทางด้าน “การเมืองเรื่องพื้นที่”และการสร้างวาทกรรมทางสังคมเพื่อการต่อรองทางอำ นาจการปกครอง แล้วก็จะเห็นได้ว่า พระธาตุประจำ ปีเกิดได้เพิ่มบทบาทฐานะความสำคัญในเชิงพื้นที่ ให้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อมโยงไปถึงปีเกิดของกษัตริย์ในฐานะผู้นำของพื้นที่นั้นด้วยขณะเดียวกันก็มีบทบาทหน้าที่ในการสร้างเครือข่าย ความสัมพันธ์ทางสังคมให้กับคนในพื้นที่ได้ไปมาหาสู่กัน โดยมีพระธาตุประจำ ปีเกิดเป็นแกนยึดโยงความสัมพันธ์นั้นไว้ พระธาตุประจำ ปีเกิด จึงกลายเป็นสัญลักษณ์อันเป็นตัวแทนเชิงอำ นาจของกษัตริย์ในพื้นที่นั้นไปด้วย การกำ หนดให้ พระธาตุที่ประดิษฐานในแต่ละพื้นที่ของชุมชนท้องถิ่นเป็นพระธาตุประจำวันเกิดและนำ ไปสู่ประเพณีการเดินทางไป มาหาสู่กัน โดยมีเป้าหมายเพื่อการไป “ขึ้นธาตุ” หรือการบูชากราบไหว้พระธาตุประจำ ปีเกิดของคนนั้นนับได้ว่าเป็น กุศโลบายอันแยบยลในลักษณะการสร้างอำ นาจต่อรองทางสังคมและการเมืองแบบประนีประนอม โดยการยกฐานะ บทบาทความสำคัญไปอยู่ที่พระธาตุแล้วสวมทับลงไปบนพื้นที่ของหัวเมืองสำคัญ ซึ่งโดยนัยก็คือการสร้างความสำคัญ หรือความชอบธรรมขึ้นในเชิงพื้นที่ ทั้งที่เป็นพื้นที่ทางภูมิศาสตร์กายภาพและพื้นที่ทางสังคมให้กับท้องถิ่นนั่นเอง หากอธิบายจากมุมมองเรื่องอำ นาจทางการเมืองการปกครองของฝ่ายล้านนาอาจวิเคราะห์ได้ว่าพระธาตุประจำ ปีเกิดเป็นเครื่องมือเชิงสัญลักษณ์ของการสร้างพื้นที่ทางสังคมและอำ นาจของหัวเมืองในล้านนาเพื่อตอบโต้กับอิทธิพล


86 และอำ นาจทางการปกครองจากอำ นาจรัฐสยาม ทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำ นึกร่วมทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ไท-ยวนและ เชื่อมโยงไปสู่การสร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรมในภูมิภาคล้านนากับล้านช้างและพม่าอีกด้วย (เธียรชาย อักษรดิษฐ์, ๒๕๔๕) หากมองในแง่คุณค่าด้านจิตใจ ถือได้ว่าพระธาตุประจำ ปีเกิดได้กลายมาเป็นพระธาตุประจำ เมืองหรือประจำ ท้องถิ่นไปด้วย เพราะเหตุที่มีตำ นานที่กล่าวถึงการเสด็จมาของพระพุทธเจ้า การประทานพระเกศาธาตุและการ พยากรณ์ถึงความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตของบ้านเมืองแห่งนั้น ตลอดจนถึงเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น เพื่อมารับรองความชอบธรรมและศักดิ์ศรีความมีตัวตนของคนในท้องถิ่นให้มีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น และยังมองได้ว่า “พระธาตุ” ยังมีสถานะบทบาทในการเป็นเสาหลักหรือเสา “ใจบ้านใจเมือง” อันศักดิ์สิทธิ์อีกสถานะหนึ่งด้วย โดย ได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจากพระมหากษัตริย์และชนชั้นสูง “พระธาตุ” กลายเป็นสัญลักษณ์เป็นหมุดหมาย หรือศูนย์ รวมทางด้านจิตใจของคนในชุมชนท้องถิ่นที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ความเป็นคนมีหลักแหล่งแห่งที่ ทำ ให้คนในชุมชน ท้องถิ่นเกิดความภาคภูมิใจและความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นไปด้วย หากมองสถานภาพของ “พระธาตุ” ในปัจจุบัน เมื่อสังคมพัฒนาคลี่คลายจากสังคมกสิกรรมแบบโบราณ มาเป็นสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ทำ ให้องค์พระธาตุประจำ เมืองเหล่านั้นได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจาก หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบและจากแรงศรัทธาของประชาชนทั่วไปทั้งจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ มีการ บูรณะ ซ่อมแซมด้วยวัสดุอันมีค่ามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้เกิดธรรมเนียมการสร้างพระธาตุองค์เล็กองค์น้อยขึ้นตามยอดเขา หรือตามวัดต่างๆ ให้เป็นพระธาตุประจำ หมู่บ้าน มีการสถาปนาและพิธีบรรจุวัตถุมงคลเข้าไปในหัวใจของ พระธาตุ และมีประเพณี“ขึ้นธาตุ” ในท้องถิ่นย่อยๆ ในแต่ละชุมชนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย จนถึงปัจจุบันวัดและ พระธาตุ ประจำถิ่นเหล่านั้นได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวพันกับคติการทำ บุญ การขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธ์ไปจนถึงการ ทำ บุญสะเดาะเคราะห์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตไปด้วย ในด้านปัจจัยคุกคาม ทุกวันนี้มีปัญหาความแออัดจากการขยายตัวของชุมชนเมือง ทำ ให้ทัศนียภาพ และระบบ การจราจรเพื่อการเข้าถึงพื้นที่เหล่านั้นเริ่มมีปัญหามากขึ้น การมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทำ ให้เกิดปัญหาทางด้าน สิ่งแวดล้อม ปัญหาผลประโยชน์ด้านการบริหารจัดการพื้นที่ รวมถึงการนำ ภาพและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของ ท้องถิ่นเหล่านี้ มาทำ เป็นบทสารคดีการท่องเที่ยวเพื่อเป็นธุรกิจการค้าทางสื่อต่างๆ เหล่านี้นับเป็นภัยคุกคาม อันสำคัญของท้องถิ่นที่ต้องมีมาตรการในการคุ้มครองให้ชัดเจนต่อไป ตำ นานพระธาตุประจำ ปีเกิดล้านนา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๘ เอกสารอ้างอิง เธียรชาย อักษรดิษฐ์, ชุธาตุ : บทบาทและความหมายของพระธาตุในอนุภูมิภาคอุษาคเนย์ กรณีศึกษาความเชื่อ เรื่องพระธาตุปีเกิดในล้านนา.วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาภูมิภาคศึกษา บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ๒๕๔๕, มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์, สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ, ๒๕๔๒,


87 ตำ นานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เรียบเรียงโดย รองศาสตราจารย์วิมล ดำศรี ตำ นานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านที่สำคัญยิ่งของชาวนครศรีธรรมราชและของ ประชาชนทางภาคใต้ตำ นานเรื่องนี้เป็นที่รับรู้ในหลากหลายชื่อ เช่น ตำ นานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ตำ นาน พระบรมธาตุ เมืองนคร ตำ นานพระบรมธาตุเมืองนครฉบับกลอนสวด พระนิพพานโสตร หรือ พระนิพพานสูตร เป็นต้น โดยเฉพาะวรรณกรรมเรื่อง พระนิพพานโสตร หรือ พระนิพพานสูตร มีความแพร่หลาย มีหลายสำ นวน และ มีปรากฏอยู่แทบทุกจังหวัด ในภาคใต้นอกจากนั้นยังมีความสัมพันธ์กับ ตำ นานเมืองนครศรีธรรมราช ตำ นานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช แต่ละสำ นวนมีเนื้อหารายละเอียดและความสมบูรณ์แตกต่างกัน แต่มี เค้าโครงเรื่องหลักเหมือนกันคือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากอินเดียและลังกามายังภาคใต้ ของประเทศไทย โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นครศรีธรรมราช และเป็นบันทึกพัฒนาการของเมืองนครศรีธรรมราช โดยมี พระบรมสารีริกธาตุซึ่งฝังอยู่ที่หาดทรายแก้วเป็นศูนย์กลางแห่งความศรัทธา ตำ นานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช และกุศโลบายการทำ นุบำ รุงพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช มีพลัง สร้างสรรค์ความเจริญให้แก่นครศรีธรรมราช ทั้งด้านอาณาจักรและศาสนจักรตลอดเวลาอันยาวนานหลายศตวรรษ จวบจนถึงปัจจุบัน ตำ นานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติประจำ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ ภาพ : โกสินทร์ สุขุม


88 ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้า เรียบเรียงโดย สายป่าน ปุริวรรณชนะ ตำ นานเกี่ยวกับพระพุทธรูปลอยนํ้าเป็นตำ นานประจำถิ่นที่พบแพร่หลายในชุมชนต่างๆ ที่อยู่ริมแม่นํ้าและชายฝั่ง ทะเลภาคกลางของไทย เป็นตำ นานประจำถิ่นที่ใช้อธิบายทั้งประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปสำคัญในท้องถิ่น และประวัติของชุมชน สันนิษฐานว่าตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าน่าจะดำ รงอยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลายาวนาน จนกลายเป็น “คำอธิบาย” ทั้งอธิบายประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูป และอธิบายภูมินามที่แพร่กระจายไปในหลายท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น ตำ�นานหลวงพ่อสามเสน ที่เป็นที่รับรู้อย่างแพร่หลายอย่างน้อยที่สุดก็ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์กระทั่ง สุนทรภู่ได้กล่าวไว้ใน นิราศพระบาท ว่า “ถึงสามเสนแจ้งนามตามสำ เหนียก แต่แรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น” ในกรณีของหลวงพ่อสามเสน เป็นไปได้ว่าแต่แรกมีการใช้ตำ นานพระพุทธรูปลอยนํ้าเพื่ออธิบายภูมินาม อยู่ก่อนแล้วต่อมาเมื่อมีเหตุการณ์ในลักษณะใกล้เคียงกับตำ นาน หรือเมื่อได้พระพุทธรูปสำคัญมาประดิษฐาน ในท้องถิ่น จึงมีการนำ ตำ นานภูมินามมาใช้เพื่ออธิบายประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูป โดยเล่าว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ ชาวบ้านที่มารับจ้างขนอิฐทรายที่ที่นํ้าสามเสนพบพระพุทธรูปปางรำ พึง แกะสลักจากแก่นโพธิ์ลอยมาติดที่ท่านํ้า จึงได้แจ้งแก่เจ้าของท่า ส่วนในตอนที่อัญเชิญหลวงพ่อสามเสนขึ้นจากนํ้านั้น ทีแรกแม้จะใช้ชาวบ้านจำ นวน ๓๐ คน ช่วยกันฉุดลากก็ไม่สามารถนำขึ้นมาได้จนสุดท้ายต้องตั้งพิธีบวงสรวง ใช้สายสิญจน์คล้องพระศอแล้วอัญเชิญจึงสำ เร็จ หลวงพ่อสามเสน


89 โครงเรื่องหลักของตำ นานเกี่ยวกับพระพุทธรูปลอยนํ้ามักเล่าว่าในอดีตพระพุทธรูปสำคัญลอยนํ้ามาจากสถาน ที่อื่นจนกระทั่งถึงบริเวณท้องถิ่นนั้นๆได้แสดงปาฏิหาริย์บางประการจึงมีผู้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้เป็นที่เคารพบูชา ในฐานะพระพุทธรูปประจำ ท้องถิ่นจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างตำ นานในลักษณะนี้เช่น ตำ�นานหลวงพ่อพุทธรำ�พึง วัดถนน อำ เภอป่าโมกจังหวัดอ่างทองตำ นาน เล่าว่า ก่อนนั้นมีแพไม้ซุงลำ หนึ่งล่องตามแม่นํ้าเจ้าพระยามาจากเมืองเหนือแล้วหยุดพักค้างคืนอยู่ริมแม่นํ้าหน้าวัด ถนน แต่พอตอนเช้ากลับไม่สามารถเคลื่อนแพออกจากหน้าวัดได้ไม่ว่าใช้วิธีใดก็ตาม ทั้งที่แพอื่นๆ ที่ล่องมาคราว เดียวกันกลับล่องต่อไปได้จนหมด เมื่อคนคุมแพตรวจดูก็พบพระพุทธรูปปางรำ พึงองค์หนึ่งลอยติดอยู่กับข้างแพ จึงใช้ด้ายสายสิญจน์ผูกแล้วอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่โคนต้นไม้แพจึงเคลื่อนที่ออกไปได้ต่อมาพระพุทธรูปนี้ได้ชื่อว่า “หลวงพ่อพุทธรำ พึง” ด้วยลักษณะทางประติมานวิทยา และประดิษฐานไว้ที่วัดถนนเป็นการถาวร หลวงพ่อพุทธรำ พึง


Click to View FlipBook Version