The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี : ความจริง และภาพแทน

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 301

ตวั อยา่ งหนง่ึ ของนกั สตรนี ยิ มทแ่ี สดงความไมเ่ หน็ ดว้ ยตอ่ การศกึ ษาเพศสภาวะคอื โจน ฮอฟ
(Joan Hoff) (1994) ทไ่ี ดเ้ ขยี นบทความขนาด 5 หนา้ เรอ่ื ง Gender as a Postmodern Category of
Paralysis5 โตแ้ ยง้ สกอ๊ ตวา่ การใชท้ ฤษฎแี บบหลงั สมยั ใหม่ หรอื โพสโมเดริ น์ นสิ ม์ (Postmodernism)
เขา้ มาศึกษาเพศสภาวะเปน็ สงิ่ ท่ีไมถ่ ูกต้องโดยเฉพาะในทางประวตั ิศาสตร์ เนื่องจากทฤษฎนี ไี้ ม่เชือ่
ในเส้นแบ่งเวลาท่ีชัดเจน และต้องการรื้อสร้าง “ความจริง” ที่เคยเช่ือกันมา ในขณะท่ีสองอย่างนี้
นบั เปน็ พ้นื ฐานส�ำคญั ในทางการศกึ ษาประวัติศาสตร์ (Hoff, 1994: 153)

นอกจากนี้ เธอยังคงยืนกรานถึงความส�ำคัญของตัวตนความเป็นผู้หญิง ประสบการณ์
ความเปน็ หญงิ ทถี่ ้าหากใช้การมองแบบสกอ๊ ตท่ีเชื่อว่าความเปน็ ชายหญิงถกู สรา้ งข้ึนมา ก็จะพบวา่
ความคิดเหล่านี้ได้ละลายเพศออกไปจนหมด ท�ำให้การเรียกร้องของนักสิทธิสตรีหมดความหมาย
(Hoff, 1994: 159) เช่นเดยี วกับแคทเธอรีน ฮอล (Catherine Hall) (1991) ทแี่ มจ้ ะมนี ำ้� เสยี งท่อี อ่ น
กว่ามาก หากก็ยังปฏิเสธความคิดดังกล่าว แม้จะเสนอว่าแวดวงสตรีศึกษาจ�ำเป็นต้องปรับตัวและ
หาทางขยายพรมแดนการศกึ ษาของตนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ขนึ้ แตก่ ารนำ� เอา Postmodernism
มาใช้ก็ไม่จ�ำเป็น แต่สิ่งที่นักสตรีนิยมควรจะท�ำคือ พยายามหาแนวทางใหม่ท่ีจะต่อยอดการศึกษา
“ผหู้ ญงิ ” มากกว่า (Hall, 1991: 209)

อยา่ งไรกต็ าม นกั วชิ าการบางสว่ นกไ็ ดโ้ ตแ้ ยง้ วา่ สง่ิ ทสี่ กอ๊ ตเสนอนบั วา่ นา่ สนใจ เพราะแตเ่ ดมิ
การศกึ ษาเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ ถกู ผกู ขาดไวท้ น่ี กั วชิ าการสตรนี ยิ มผวิ ขาวชาวตะวนั ตก ทเี่ มอื่ มองแงน่ กี้ ไ็ มไ่ ด้
แตกตา่ งจากลทั ธอิ าณานคิ มทผี่ กู ขาดความคดิ ใหต้ ะวนั ตกเปน็ ศนู ยก์ ลาง ดงั นนั้ การศกึ ษาเพศสภาวะ
จะทำ� ใหเ้ กดิ การขยายพรมแดนออกไปมากกวา่ เดมิ และครอบคลมุ ถงึ ผหู้ ญงิ กลมุ่ อน่ื ๆ เชน่ ผหู้ ญงิ ผวิ สี
ผหู้ ญิงชนชัน้ แรงงาน เปน็ ตน้ ซงึ่ จะยกตัวอยา่ งงานศกึ ษาเก่ยี วกับประเด็นเหลา่ นตี้ อ่ ไปขา้ งหน้า

จดู ธิ บตั เลอร์ (Judith Butler) นกั สตรนี ยิ ม
(ท่ีมา: http://www.prospectmagazine.co.uk/wp-content/uploads/2014/03/Judith_Butler_2011.jpg)

5เพศสภาวะในฐานะอมั พาตของการจัดประเภทในปรชั ญาหลังสมัยใหม่ – บรรณาธิการ

302 พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

อกี สงิ่ หนง่ึ ทคี่ วรกลา่ วในทนี่ ้ี คอื ขอ้ เสนอของจดู ธิ บตั เลอร์ (Judith Butler) (2006) นกั วชิ าการ
ดา้ นเพศสภาวะทส่ี ำ� คญั คนหนงึ่ ไดเ้ สนอความคดิ เกย่ี วกบั เพศสภาวะ วา่ แทท้ จ่ี รงิ แลว้ ความเปน็ ชาย
และความเป็นหญงิ เปน็ เพยี งการแสดงทัง้ สน้ิ การแสดงในที่นีห้ มายความวา่ การจะท�ำใหค้ นรอบข้าง
และสงั คมเหน็ วา่ คนๆหนง่ึ เปน็ ผชู้ ายหรอื ผหู้ ญงิ จำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งมกี ารนำ� เสนอตวั เองออกมาในรปู แบบ
ทเี่ พศนนั้ ๆเปน็ เชน่ เปน็ ผชู้ ายตอ้ งมกี ลา้ มเนอ้ื ทแี่ ขง็ แรง ไวห้ นวดเครา ใสก่ างเกง ขณะทผ่ี หู้ ญงิ ตอ้ งมี
รปู รา่ งบอบบาง สวมกระโปรง เปน็ ตน้ ดงั นนั้ นกั คดิ ในสายเพศสภาวะจงึ เชอื่ วา่ บรรทดั ฐานและคา่ นยิ ม
ของสงั คมมสี ว่ นประกอบสรา้ งความเปน็ เพศขนึ้ มา และเมอื่ เพศเปน็ สงิ่ ทแ่ี สดงได้ มนั จงึ มคี วามเลอ่ื นไหล
ไมต่ ายตวั กบั ความคดิ ทางวทิ ยาศาสตรท์ เี่ ชอ่ื วา่ โลกมแี คเ่ พศหญงิ และชายโดยกำ� หนดจากอวยั วะเพศ
เท่าน้ัน

หลงั จากการนำ� เสนอของสกอ๊ ตมนี กั วชิ าการหลายคนทเี่ ดนิ ตามเสน้ ทางน้ี เชน่ โซเนยี โอ โรส
(Sonya O. Rose) (2010) ท่ีเขยี นหนังสอื เรอ่ื ง What is Gender History?6 เพือ่ อธบิ ายขอบเขต
ของการศึกษาประวัติศาสตร์เพศสภาวะ โดยเธอกล่าวว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ของเพศสภาวะ
ตง้ั อยบู่ นพน้ื ฐานทว่ี า่ ทง้ั ชายและหญงิ ลว้ นมปี ระวตั ศิ าสตรใ์ นแงม่ มุ ของตนเองทง้ั สน้ิ และการศกึ ษาน้ี
จะชว่ ยใหม้ องเหน็ ความเปลย่ี นแปลงในแตล่ ะยคุ สมยั ทเ่ี กยี่ วกบั การทช่ี ายและหญงิ สรา้ งความสมั พนั ธ์
ในฐานะของเพศแตล่ ะเพศ และยงั รวมถงึ การทเ่ี งอ่ื นไขทางสงั คมและประวตั ศิ าสตรท์ ำ� ใหค้ วามสมั พนั ธ์
เหลา่ น้ถี ูกสร้างขึน้ มาดว้ ย (Rose, 2010: 2)

สิ่งที่การศึกษาประวัติศาสตร์เพศสภาวะต้องการเน้นย�้ำ คือ เร่ืองของเง่ือนไขและบริบท
ทางประวตั ศิ าสตร์ ท่ีจะช่วยใหเ้ กิดองค์ความรใู้ หม่ขน้ึ ไม่ใชแ่ ตเ่ ฉพาะแงม่ มุ ทางสงั คมปจั จุบนั เท่านน้ั
แต่จ�ำเป็นต้องย้อนไปถึงอดีตเพ่ือให้เข้าใจปัจจุบัน นอกเหนือไปจากประเด็นเรื่องชนชั้น เชื้อชาต ิ
เผ่าพนั ธ์ุ เพศสภาพจงึ เปน็ อกี ประเดน็ ท่คี วรถกู รวมเขา้ ไปศกึ ษาดว้ ย

ส�ำหรบั ลอรา่ ลี ดาวส์ (Laura Lee Downs) (2010) และหนังสือของเธอเรอื่ ง Writing
Gender History7 ไดเ้ พมิ่ เตมิ ในแงท่ ว่ี า่ ควรจะมกี ารเขยี นประวตั ศิ าสตรเ์ พศสภาวะอยา่ งไร และการเขยี น
ของประวตั ศิ าสตรเ์ พศสภาวะปจั จบุ นั ไดแ้ ตกตวั ออกไปมากเพยี งใด นบั วา่ งานชน้ิ นเี้ ปน็ งานทส่ี มบรู ณ์
ในระดับหน่ึง เน่ืองจากผู้เขียนได้แสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์เพศสภาวะได้เข้าไปผสมผสานกับ
ทฤษฎที างสงั คมศาสตรอ์ ่นื ๆและตอ่ ยอดการศกึ ษาออกไปอีกมาก เช่น เพศสภาวะกับความคิดหลงั
อาณานคิ ม เพศสภาวะกบั การศกึ ษาทางจติ วเิ คราะห์ เพศสภาวะกบั การศกึ ษาทางภาษาศาสตร์ เปน็ ตน้

ในด้านของการศึกษาเพศสภาวะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเป็นเรื่องใหม่มาก เนื่องจาก
การศึกษาเพศสภาวะเองกเ็ ปน็ เร่ืองใหม่อยู่แลว้ นอกจากนี้การจำ� กดั ทางด้านภาษาถนิ่ และหลักฐาน
ท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรโดยเฉพาะก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 ท�ำให้งานศึกษาเพศสภาวะในแถบน ้ี
มีอย่จู �ำกดั (Leow, 2012: 975) อยา่ งไรก็ตาม มนี ักวิชาการต่างประเทศจ�ำนวนหนึ่งทพ่ี ยายามเปิด
พรมแดนของการศึกษาดา้ นเพศสภาวะเขา้ กบั สงั คมไทยอยบู่ า้ ง เชน่ งานของเพนนี แวน เอสเทรคิ
(Penny Van Esterik) (2000) เร่อื ง Materializing Thailand8 ก็เปน็ การเสนอถงึ การผูกโยงคติ
ความเชอ่ื แบบพทุ ธศาสนาเขา้ กบั ความเปลย่ี นแปลงในไทยโดยเฉพาะดา้ นเศรษฐกจิ และสงั คมทส่ี ง่ ผล
ตอ่ ชวี ติ ของผหู้ ญงิ และความเปน็ หญงิ ในสงั คมไทยเชน่ กนั โดยเฉพาะกรอบคดิ ของ “กาละเทศ” “บญุ คณุ ”
และ “กรรม” ทท่ี ำ� ใหผ้ หู้ ญงิ ตอ้ งควบคมุ ตวั เองใหป้ ระพฤตติ วั เรยี บรอ้ ยดงี าม รวมถงึ ตอ้ งดแู ลพ่อแม ่

6ประวตั ิศาสตร์เพศสภาวะคอื อะไร – บรรณาธิการ
7การเขียนประวตั ศิ าสตรเ์ พศสภาวะ – บรรณาธกิ าร
8การทำ� ใหป้ ระเทศไทยปรากฏตัวขึน้ เป็นจรงิ – บรรณาธกิ าร

พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 303

ต่างจากผชู้ ายทถ่ี อื วา่ ตอบแทนบญุ คณุ ของพอ่ แมผ่ า่ นทางการบวชเปน็ พระ (Van Esterik, 2000: 36)
หรอื งานของอะรา วลิ สนั (Ara Wilson) (2004) เรอื่ ง The Intimate Economies of Bangkok.
Tomboys, Tycoons, and Avon Ladies in the Global City9 ทม่ี เี นอื้ หาเปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั
หากเนน้ ไปเรอื่ งความเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ และมติ ทิ างเพศทท่ี ำ� ใหม้ กี ารเปดิ พน้ื ทใ่ี นการแสดงตน
เปน็ เพศต่างๆ เชน่ ทอม ดี้ หรอื การที่ผู้หญงิ ก้าวไปสู่ความทนั สมยั และมกี ารแสดงความเป็นตัวของ
ตัวเองมากขน้ึ กว่าในอดีต (Wilson, 2004: 92-3, 119)

ดงั นน้ั อาจจะกล่าวโดยสรุปไดว้ ่า เมือ่ กลา่ วถึงการศึกษาเกย่ี วกบั เพศสภาวะ สิ่งทต่ี ้องค�ำนงึ
คอื พน้ื ฐานความคดิ ทวี่ า่ เพศสภาวะเปน็ สงิ่ ทถ่ี กู สรา้ งขน้ึ ความเปน็ หญงิ และความเปน็ ชายไมไ่ ดเ้ กดิ ขนึ้
มาตามธรรมชาติ ความคดิ ทางวิทยาศาสตรท์ ่ีก�ำหนดเพศของคนจากรา่ งกายและอวยั วะเพศถือเปน็
เพียงกรอบคิดหน่ึงเท่านั้น เมื่อเข้าใจในฐานคิดแบบนี้ก็จะสามารถท�ำความเข้าใจประเด็นการศึกษา
เกี่ยวกบั เพศสภาวะไดด้ ียิ่งขน้ึ
การศกึ ษาเพศสภาวะกับมติ ิเรอ่ื งร่างกาย

การศึกษาเพศกับร่างกายโดยท่ัวไปนั้นเป็นไปตามกรอบคิดและความรู้ทางวิทยาศาสตร ์
ทเ่ี ชื่อวา่ ผ้ชู ายและผู้หญิง รวมถึงลักษณะทางกายภาพของรา่ งกายส่งผลใหท้ ้ังสองเพศแตกต่างกนั
ซ่งึ ความคิดแบบนี้นับเปน็ ความคิดที่มีอทิ ธพิ ลอย่างมากต้ังแตอ่ ดีตถึงปัจจุบัน โดยคนสว่ นมากมกั จะ
คดิ วา่ ผชู้ ายและผหู้ ญงิ ถกู กำ� หนดมาแลว้ ใหแ้ ตกตา่ งโดยธรรมชาติ สง่ ผลใหเ้ กดิ ความคดิ ทว่ี า่ เพราะผชู้ าย
มกี ลา้ มเนอื้ ที่แขง็ แรงกวา่ ทำ� ใหเ้ ปน็ เพศทแ่ี ขง็ แรงและตอ้ งควบคมุ ผูห้ ญงิ ให้อยูภ่ ายใต้อำ� นาจ รวมถึง
ความเชอ่ื ทว่ี า่ บนโลกมเี พศอยเู่ พยี งสองเพศคอื ชายและหญงิ ขณะทเ่ี พศอนื่ ๆ นบั เปน็ ความไมส่ มบรู ณ์
หรอื ผดิ ธรรมชาติ

แตใ่ นทางการศกึ ษาเพศสภาวะกลบั พยายามทา้ ทายความคดิ ดงั กลา่ ว โดยมองวา่ ความรทู้ าง
วิทยาศาสตร์เป็นเพียงชุดความรู้ชุดหน่ึงท่ีเพิ่งจะมีการค้นคว้าและสถาปนาสิ่งที่เช่ือกันว่าเป็น
“ความจรงิ ” หรือ “ธรรมชาติ” ขึน้ มาเมอื่ ไมก่ รี่ อ้ ยปีเท่าน้ัน เมื่อยืนอยู่บนพืน้ ฐานของความคดิ ที่ว่า
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ส่งผลให้คนมีมุมมองต่อเพศและความเป็นชายหญิงที่ตายตัวอยู่ท่ีสองเพศ
นกั วชิ าการดา้ นเพศสภาวะจงึ พยายามทจ่ี ะยอ้ นไปถงึ การรเิ รมิ่ ศกึ ษาความคดิ เรอ่ื งผชู้ ายผหู้ ญงิ ในสมยั
โบราณ เพ่อื เห็นวา่ มีกระบวนการสร้างความคดิ เหลา่ นีอ้ ยา่ งไร (Park, 2006; Blamires, Pratt, and
Marx, 1992)

การศึกษาทางการแพทยเ์ กี่ยวกับอวัยวะภายในของมนษุ ย์
ในสมยั ยุคกลางของยโุ รป

(ทม่ี า: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/
commons/5/55/Foetal_positions_in_uterus,
_pregnant_female_Wellcome_L0000845.jpg)

9เศรษฐกจิ แสนสนทิ ของกรงุ เทพฯ: ทอมบอยส์ นกั ธรุ กจิ และ
ผู้หญงิ เอว่อนในเมืองระดบั โลก – บรรณาธิการ

304 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

ตวั อยา่ งของงานเหลา่ นที้ จ่ี ะยกมาอธบิ ายใหเ้ หน็ ภาพชดั เจนยง่ิ ขนึ้ คอื การยอ้ นกลบั ไปศกึ ษา
ความคดิ เรอ่ื งเพศตงั้ แตย่ คุ กรกี วา่ สง่ ผลตอ่ ความคดิ เรอื่ งเพศในทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละการแพทยอ์ ยา่ งไร
(Park, 2006: 109-120) โดยนักคิดหลักๆ ต้ังแต่สมัยกรีกที่ส่งอิทธิพลถึงรุ่นหลังอย่างมาก
คอื อรสิ โตเตลิ (Aristotle) กาเลน (Galen) และฮิปโปเครตสิ (Hippocrates) ส�ำหรบั อริสโตเตลิ
ทไ่ี มไ่ ดเ้ ปน็ เพยี งนกั คดิ ทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ความคดิ ทางการเมอื งเทา่ นนั้ หากยงั รวมไปถงึ ความคดิ ของเพศ
ได้กล่าวว่า ผู้ชายกับผู้หญิงมีลักษณะองค์ประกอบของร่างกายท่ีต่างกัน โดยผู้ชายนั้นประกอบไป
ดว้ ยความร้อน และเมลด็ พนั ธท์ ่จี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ชวี ติ ใหม่ ในขณะทีผ่ ู้หญงิ นนั้ ประกอบไปดว้ ยความเย็น
เลือดประจำ� เดือนท่ีถือว่าเป็นของเสีย ท�ำให้ผู้หญิงไม่ได้เป็นอะไรอ่ืน นอกจากเป็นรองเพศชายและ
ไม่ถือว่าเป็นแหล่งก่อเกิดชีวิตใหม่ เพราะอสุจิท�ำให้เกิดชีวิต ในขณะท่ีประจ�ำเดือนไม่สามารถผลิต
ความรอ้ นหรอื ชวี ติ ใหม่ได้นนั่ เอง (Blamires, Pratt, and Marx, 1992: 41)

ไม่เพียงแต่อริสโตเติล นักปราชญ์ร่วมสมัยก็มีความคิดที่เป็นไปในลักษณะเดียวกัน แม้ว่า
จะมรี ายละเอยี ดตา่ งกนั อยบู่ า้ ง แตโ่ ดยหลกั แลว้ ความคดิ ทว่ี า่ เพศชายคอื ความรอ้ นและแหลง่ กอ่ เกดิ
ชวี ติ (Active) ขณะท่เี พศหญิงคือความเยน็ และมบี ทบาทเป็นผู้ถูกกระท�ำจากเพศชาย (Passive)
ก็ยังคงเป็นความคิดหลัก และความคิดเหล่าน้ีต่อมาได้ถูกส่งต่อมายังยุคกลางในยุโรป บรรดาต�ำรา
การแพทย์ท่ีถูกแปลและสอนตามมหาวิทยาลัยสมัยน้ันได้ด�ำเนินรอยตามความคิดของนักปรัชญา
เหลา่ นีแ้ ละได้ส่งผลอยา่ งมากต่อความร้ทู างวิทยาศาสตรใ์ นสมัยใหม่ (Park, 2006: 93)

จะเห็นได้ว่าเมื่อย้อนกลับไปดูถึงการสร้างองค์ความรู้ของท้ังสองเพศ ความรู้เหล่าน้ีได้ถูก
สร้างขึ้นโดยผู้ชายมาเป็นเวลานานและส่งผลให้ความคิดเรื่องความเหนือกว่าของเพศชายฝังรากลึก
จนเป็นเสมือนเร่ืองธรรมชาติ การท่ีผู้ชายผูกขาดการศึกษาเก่ียวกับความรู้เหล่านี้ในโรงเรียนแพทย์
สง่ ผลใหผ้ หู้ ญงิ ถกู กดี กนั ออกจากความรเู้ กย่ี วกบั ตนเองและสง่ ผลใหผ้ หู้ ญงิ ตกเปน็ รองในความสมั พนั ธ์
เชิงอำ� นาจระหว่างหญิงชายไปโดยปริยาย

การศกึ ษาทางเพศสภาวะในปัจจุบันทเ่ี กี่ยวข้องกบั หัวขอ้ เพศสภาพกับรา่ งกาย จงึ พยายาม
อย่างยิ่งที่จะต้ังค�ำถามต่อลักษณะทางกายภาพของหญิงชายและความคิดท่ีเคยเช่ือกันว่าผู้ชายและ
ผู้หญิงต่างกันทางด้านองค์ประกอบของร่างกายและสรีระ ว่าแท้จริงแล้วความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่าน้ี
ต่างถูกสร้างขึ้นเท่าน้ัน การย้อนกลับไปศึกษาความเป็นชายและหญิงในประวัติศาสตร์ท�ำให้เราได้
ตระหนักว่ามีการสร้างความคิดเหล่านี้โดยนักคิดชาย และได้ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน ส่ิงท่ีเราต้องตั้ง
ค�ำถามคอื นอกเหนอื ไปจากความเป็นผู้หญิงผู้ชาย เราจะอธิบายการเกิดเพศอนื่ ๆ ได้อยา่ งไร ไม่วา่
จะเปน็ เกย์ ทอม ด้ี เลสเบี้ยน การมีอวยั วะเพศเปน็ ชายและหญงิ สามารถเปน็ ตวั บง่ บอกเพศไดเ้ พยี ง
อย่างเดียวหรือไม่ และเราจะตัดสินเพศของคนหน่ึงๆได้อย่างไรหากบุคคลน้ันมีอวัยวะเพศสองเพศ
ในคนเดียว
การศกึ ษาเพศสภาวะกับมิติทางศาสนา

ประเดน็ นเ้ี ปน็ ประเดน็ ทตี่ อ่ เนอื่ งจากเพศสภาวะและรา่ งกายทอี่ ธบิ ายไปกอ่ นหนา้ น้ี เนอ่ื งจาก
ผหู้ ญงิ ไมเ่ พยี งถกู มองวา่ เปน็ เพศทไี่ มบ่ รสิ ทุ ธโ์ิ ดยเฉพาะเวลาทมี่ ปี ระจำ� เดอื น ความเปน็ เพศหญงิ ยงั ถกู
สรา้ งใหเ้ ชอ่ื มโยงกบั ความวนุ่ วายและเปน็ อปุ สรรคตอ่ ชวี ติ พรหมจรรยข์ องนกั บวชโดยเฉพาะยคุ กลางของ
ยุโรปเชน่ กนั โดยความคดิ เหลา่ นถี้ กู เรยี กวา่ Misogyny (มสิ ซาจนิ )ี หรอื อคตติ อ่ ผหู้ ญงิ ทจี่ นถงึ ทกุ วนั น ี้
ก็ยงั มีอคติเช่นนีห้ ลงเหลืออยอู่ ย่างมากในสงั คม (Carpenter and MacLean, 1995; Bloch, 1987)

พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 305

ภาพวาดพระแมม่ ารีปรากฏในเอกสารยคุ กลาง
ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14
(ที่มา: http://special.lib.gla.ac.uk/exhibns/month/
june2008.html)

ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ภาพของผู้หญิงถูกก�ำหนดออกมาสามแบบ คือ อีฟ (Eve) พระแม่มารี
(Virgin Mary) และแมร่ี แมกดาเลน (Mary Magdalen) สำ� หรับอฟี เป็นตัวแทนของความวนุ่ วาย
ทล่ี วงล่อใหอ้ ดัม (Adam) หรือผชู้ ายกระทำ� ความผดิ โดยการไมเ่ ชอื่ ฟังค�ำส่ังของพระเจา้ และสมควร
ได้รับการลงโทษ พระแม่มารคี ือสญั ลักษณข์ องความบรสิ ทุ ธ์ิและผ้หู ญิงทีเ่ ช่ือฟงั พระเจา้ อยา่ งศรัทธา
รวมถึงเป็นพระมารดาของพระเยซู และสุดท้ายคือแมร่ี แมกดาเลน หญิงโสเภณีท่ีกลับตัวกลับใจ
และหันมาศรทั ธาต่อพระเยซู ขณะท่ีอีฟคอื ตัวแทนของความช่วั รา้ ย และพระแม่มารคี อื ตวั แทนของ
ความดีงาม แมร่ี แมกดาเลนกลับเป็นเสมือนทางเลือกให้กับผู้หญิงท่ีจะละทิ้งความชอบในเน้ือหนัง
มังสาและหนั มาสารภาพบาปต่อพระเจ้า

ความคิดเหลา่ นไี้ ดก้ ลายมาเปน็ กรอบคิดทมี่ องผูห้ ญงิ จนถึงปจั จบุ นั ท่ีปฏิเสธไมไ่ ดว้ า่ ผู้หญิง
ถกู น�ำไปผกู ตดิ กบั ความวุ่นวาย ค�ำพดู ที่ไรส้ าระและการลวงล่อผชู้ าย ดงั นั้น ในทางศาสนาจะเหน็ ได้
วา่ ผหู้ ญงิ ถกู กดี กนั ออกจากพนื้ ทศี่ กั ดส์ิ ทิ ธอ์ิ ยา่ งมาก โดยเฉพาะความคดิ ทว่ี า่ เนอื้ หนงั มงั สาของผหู้ ญงิ
นัน้ ออ่ นนุ่ม จึงถูกตีความวา่ ทำ� ให้ผ้หู ญงิ ผกู ตดิ กับรูปลกั ษณ์ภายนอก ความงามทีไ่ มเ่ ที่ยงแท้ และตอ่
มาไดโ้ ยงไปถงึ เรอ่ื งของวตั ถนุ ยิ มทม่ี กั เชอื่ กนั วา่ ผหู้ ญงิ เปน็ เพศทล่ี มุ่ หลงกบั ขา้ วของนอกกาย ในขณะ
ทผ่ี ู้ชายให้ความสำ� คญั กับการพัฒนาจติ ใจและเร่ืองของจติ วิญญาณ โดยเฉพาะกลมุ่ ชายท่ีเขา้ สู่พื้นที่
ของศาสนาอย่างนักบวช เปน็ ต้น (Blamires, 1992: 1-26)

ดงั นนั้ การศกึ ษาเกยี่ วกบั เพศสภาพและศาสนา จงึ มสี ว่ นสำ� คญั อยทู่ ว่ี า่ เราจะมองกลบั ไปใน
ประวตั ศิ าสตรเ์ พอ่ื มองหาการสรา้ งภาพของผหู้ ญงิ ทสี่ มั พนั ธก์ บั ศาสนาไดอ้ ยา่ งไร ผหู้ ญงิ ถกู สรา้ งดว้ ย
อคติของผู้ชายอย่างไรท่ีท�ำให้ถูกกีดกันออกจากพ้ืนที่ศักดิ์สิทธ์ิ อย่างไรก็ตาม การศึกษาทางเพศ
สภาพในหวั ขอ้ นไ้ี มไ่ ดเ้ ปน็ ไปเพอ่ื เรยี กรอ้ งความเทา่ เทยี มใหก้ บั ผหู้ ญงิ ทางดา้ นศาสนาใหม้ สี ถานภาพ
เทา่ กบั เพศชายเทา่ นน้ั หากเปน็ ไปเพอื่ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจถงึ การมองผหู้ ญงิ ในพนื้ ทดี่ งั กลา่ วตง้ั แตอ่ ดตี
จนถงึ ปัจจบุ ัน และมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างหญงิ ชายภายใต้พนื้ ทศี่ ักดสิ์ ิทธิ์
การศกึ ษาเพศสภาวะกับวงจรชีวติ และอายุ

ปัจจุบันมีการน�ำเสนอของนักวิชาการบางส่วนให้รวมเอาการศึกษาเก่ียวกับความแตกต่าง
ด้านอายุและช่วงวัย เข้ามาในการศึกษาทางสังคมศาสตร์และประวัติศาสตร์ด้วยโดยเฉพาะ

306 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

ประวัตศิ าสตรย์ ุโรปและอเมรกิ า นอกเหนือไปจากมิตเิ รอื่ งชนชั้น เชอ้ื ชาติ และเพศ ขอ้ เสนอน้ีท�ำให้
นักวิชาการด้านเพศสภาวะได้หันมาสนใจประเด็นของความแตกต่างของแต่ละช่วงวัยท้ังในเพศชาย
และเพศหญิงเพ่มิ มากขึ้น โดยค�ำถามหลักๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับประเด็นน้ี ไดแ้ ก่ ในแตล่ ะยุคสมยั ความ
คดิ เรอ่ื งความแตกตา่ งของเพศสภาวะและอายเุ ปน็ อยา่ งไร สงั คมมกี ารปฏบิ ตั ติ อ่ เดก็ วยั รนุ่ และผใู้ หญ่
ทั้งเพศหญิงและเพศชายต่างกันหรือไม่ อย่างไร รวมไปถึงหน้าที่ท่ีผูกติดกับความเป็นเพศเกิดขึ้น
ตามธรรมชาตหิ รือถกู สงั คมสร้างขนึ้ มาอย่างไร (Hanawalt, 1977)

ภาพเด็กชายในยุคกลางของยุโรป
(ท่ีมา: http://merryfarmer.net/2012/07/medieval-monday-children-in-the-middle-ages/)

ยกตวั อยา่ งเชน่ มกี ารศกึ ษาเกย่ี วกบั ยคุ กลางในยโุ รป (Medieval Europe) ถงึ พฒั นาการเจรญิ
เติบโตของเด็กชายและเด็กหญิง ว่าเร่ิมเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างเพศและหน้าท่ีของเพศตนเอง
จากการเลียนแบบพ่อและแม่ รวมถึงสังคมอย่างไร งานวิจัยของบาบาร่า แฮนนาวอลท์ (Barbara
Hannawalt) (1977) เรอื่ ง Childrearing among the lower classes of Late Medieval England 10
นบั เปน็ คนหนงึ่ ทบ่ี กุ เบกิ และเปน็ ฐานการศกึ ษาภายใตก้ รอบคดิ ทวี่ า่ เดก็ ชายและเดก็ หญงิ แตกตา่ งกนั
เนื่องจากการเลียนแบบทางสังคมตั้งแต่เด็ก โดยงานช้ินน้ีอาศัยจากหลักฐานบันทึกการเสียชีวิต
ของเด็กในสมัยยุคกลางและพบว่า การเสียชีวิตของเด็กชายและเด็กหญิงแตกต่างกันทั้งสถานท ี่
เกดิ เหตุและกิจกรรมทก่ี �ำลังทำ� อยู่ (Hanawalt, 1977: 3) กลา่ วคือเดก็ ชายมกั จะสัมพนั ธก์ บั กิจกรรม
นอกบ้าน เชน่ เสยี ชวี ิตไกลบ้าน ตามทุ่งนา หรือทำ� กจิ กรรมท่ีเก่ียวกับอปุ กรณก์ ารทำ� เกษตรกรรม
อย่าง คันไถ จอบ เป็นต้น ขณะท่ีการเสียชีวิตของเด็กหญิงมักจะพบแถวบ้านที่อาศัย เช่น บ่อน�้ำ
ท่ตี ้องไปตกั น�้ำมาซักผ้า หรือเตาอบ เป็นต้น (Hanawalt, 1977: 10-13) นับเป็นการแสดงให้เหน็
คอ่ นขา้ งชดั เจนวา่ การเกดิ ขน้ึ ของการแบง่ งานกนั ทำ� ระหวา่ งเพศนนั้ มาจากการเรยี นรแู้ ละเลยี นแบบ
จากพอ่ แม่

นอกจากนี้ประเด็นการศึกษาเก่ียวกับอายุยังรวมไปถึงการศึกษาเกี่ยวกับความแตกต่าง
ระหว่างเดก็ หญิงและผูห้ ญงิ รวมถึงผหู้ ญิงโสด ภรรยาและแมม่ ่าย (Phillips, 2003; Beattie, 2007)
สังคมในอดีตโดยเฉพาะยุคกลางของยุโรปได้ขีดเส้นแบ่งกลุ่มคนเหล่าน้ีเอาไว้อย่างชัดเจนโดยมีอายุ
และสถานภาพของคนเป็นตัวบง่ ชี้ ยกตวั อย่างเชน่ เด็กหญิง มกั จะมตี อ้ งอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของ

10การเล้ียงดเู ดก็ ในกลุ่มชนชั้นล่างของยุคกลาง ประเทศองั กฤษ – บรรณาธกิ าร

พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 307

พ่อแม่ ขณะท่ีภรรยาตอ้ งอยภู่ ายใต้อำ� นาจของสามี ไมม่ สี ทิ ธเิ หนือทรพั ยส์ ินรวมถึงสทิ ธิเหนือตวั เอง
เมอื่ มกี รณกี ารฟอ้ งร้องหรอื ตอ้ งข้ึนศาล จึงต้องใหส้ ามีเป็นผู้ดำ� เนนิ การให้ ในขณะที่แม่มา่ ยกลับเปน็
ผหู้ ญงิ ทม่ี อี ำ� นาจมาก เนอ่ื งจากถอื ครองตำ� แหนง่ และทรพั ยส์ นิ ของสามไี วเ้ พอ่ื ทจี่ ะสง่ ตอ่ ใหก้ บั ทายาท
ต่อไป

ดังน้ัน หากจะมองดแู ล้ว แม้ว่าสถานภาพของผู้หญิงในยุคกลางของยโุ รปส่วนมากจะไดร้ ับ
การอธบิ ายวา่ ถกู กดขจี่ ากอำ� นาจของผชู้ ายเปน็ สว่ นใหญ่ แตค่ ำ� อธบิ ายนกี้ ลบั ไมส่ ามารถเอามาใชก้ บั
ผหู้ ญงิ ทกุ กลุ่มได้ โดยเฉพาะเมอื่ เปรียบเทยี บระหว่างผหู้ ญงิ ทีแ่ ตง่ งานแลว้ กบั ผู้หญงิ ท่เี ป็นมา่ ย ทีจ่ ะ
เหน็ ไดว้ ่าผูห้ ญงิ ในกลุ่มหลังมอี ิสระท้งั ดา้ นครอบครวั การประกอบอาชีพและรายได้

จะเห็นได้ว่าในแต่ละช่วงวัยก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเม่ือลงลึกการศึกษาลงไป
ส่ิงท่ีส�ำคัญคือ แม้แต่ผู้หญิงเองก็ไม่ได้มีความเป็นกลุ่มก้อนเดียวเสมอไปอย่างที่คิด นอกเหนือจาก
การแบง่ แยกทางชนชนั้ และสงั คม อายแุ ละชว่ งวยั กเ็ ปน็ อกี สง่ิ หนงึ่ ทตี่ อ้ งใหค้ วามสำ� คญั เชน่ กนั ราเชล เลยี ว
(Rachel Leow) (2012) ได้เสนอไวอ้ ยา่ งน่าสนใจว่า ข้อจำ� กดั ดา้ นหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ของ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควรได้รับการพัฒนาให้ขยับขยายพรมแดนออกไปมากข้ึนโดยใช้
กรอบการมองด้านอายุเข้ามาช่วยท�ำให้เข้าใจการแบ่งล�ำดับชั้นของคนในสังคมเช่นเดียวกับการมอง
ในดา้ นของเพศชายเพศหญงิ (Leow, 2012: 976) ส�ำหรับในสังคมไทย การศึกษาประเภทนย้ี งั มอี ยู่
ไม่มากนัก อาจมีการน�ำมาประยุกต์เพ่ือพิจารณาว่าผู้หญิงไทยสมัยก่อนมีความแตกต่างกันหรือไม่
ระหวา่ งกอ่ นการแตง่ งานและหลงั การแตง่ งาน ยกตวั อยา่ งเชน่ ในประชมุ ประกาศรชั กาลท่ี 4 มปี ระกาศ
จำ� นวนมากทแ่ี สดงใหเ้ หน็ กรณคี วามขดั แยง้ ของพอ่ แมก่ บั ลกู สาว เชน่ เดยี วกบั กรณขี องสามแี ละภรรยา
ทข่ี ดั แยง้ กนั หรอื แมแ้ ตใ่ นปจั จบุ นั เอง ดว้ ยความเปลยี่ นแปลงในสงั คมไทยไดท้ ำ� ใหเ้ กดิ ชอ่ งวา่ งระหวา่ ง
วยั ขน้ึ อยา่ งมาก การทำ� ความเขา้ ใจความแตกตา่ งของวยั และการเปลย่ี นผา่ นจากวยั รนุ่ ไปสวู่ ยั ผใู้ หญ่
จะกอ่ ให้เกิดความรคู้ วามเขา้ ใจเรือ่ งของเพศสภาพมากข้ึน
เพศสภาวะกบั แนวคดิ ชาตินิยมและหลงั อาณานคิ ม

ในหัวข้อน้ีประเด็นค�ำถามของงานวิจัยจ�ำนวนมากเร่ิมจากค�ำถามท่ีว่า ผู้หญิงมีสถานภาพ
อยา่ งไรในความคดิ แบบชาตนิ ยิ มและอาณานคิ ม รวมถงึ ยคุ หลงั อาณานคิ มและการกอ่ ตง้ั ชาตใิ นสมยั
ใหม่ ปัจจบุ นั มีนักวิชาการจำ� นวนมากโดยเฉพาะนักวชิ าการผูห้ ญิงจากอนิ เดียทีเ่ ปน็ เสมือนตวั ตัง้ ตวั
ตีของการศกึ ษาสถานภาพของผู้หญงิ ในแงท่ วี่ ่าสมั พนั ธ์อยา่ งไรกับรฐั

เหตุผลที่ต้องศึกษาประเด็นดังกล่าว มีพื้นฐานทางความคิดเน่ืองจากการเข้ามาของ
จักรวรรดินิยมโดยเฉพาะอังกฤษ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศในอาณานิคมจำ� นวนมาก เช่น
อินเดยี และความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้สง่ ผลแค่ประชากรโดยรวม แต่ระหวา่ งผหู้ ญิงกับผ้ชู าย
ตา่ งไดร้ บั ผลกระทบทแี่ ตกตา่ งรวมถงึ ผลลพั ธท์ แี่ ตกตา่ งเชน่ กนั อาจกลา่ วไดว้ า่ ประเดน็ หลกั ของการ
ศกึ ษาเนน้ วา่ ในขณะทเ่ี จา้ อาณานคิ มกดขผ่ี ชู้ ายในประเทศใตอ้ าณานคิ ม ในพนื้ ทขี่ องครอบครวั ผชู้ าย
ก็ได้ท�ำการกดข่ีผู้หญิงเช่นกัน เรียกได้ว่าผู้หญิงในประเทศอาณานิคมถูกกดข่ีสองชั้นจากเจ้า
อาณานคิ มและสงั คมของตนเอง และรวมไปถงึ การเกดิ ความคดิ ชาตนิ ยิ มทผี่ ชู้ ายไดส้ รา้ งความหมาย
ของชาติเพ่ือเป็นศูนย์รวมใจให้กับคนในชาติต่อต้านเจ้าอาณานิคมและพยายามกำ� หนดความหมาย
ของผ้หู ญิงใหก้ ลายเปน็ ผู้หญงิ ของชาติเชน่ กัน (Chatterjee, 1993; Sarkar, 2001)

308 พลังผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

อกี สงิ่ ทส่ี ำ� คญั คอื นกั วชิ าการอนิ เดยี สว่ นใหญไ่ ดต้ งั้ ขอ้ สงั เกตถงึ ความแตกตา่ งของการศกึ ษา
เกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ และเพศสภาวะ การศกึ ษาเพศสภาวะในอาณานคิ มและชาตนิ ยิ มในอกี ทางหนงึ่ เปน็ การ
เปดิ ทางใหก้ บั การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรท์ ไี่ มไ่ ดม้ องผา่ นชาย/หญงิ ผวิ ขาวตะวนั ตกอกี ตอ่ ไป หากเปน็
การศึกษาผา่ นคนกลมุ่ อนื่ และเช้อื ชาตอิ ่นื บนโลก ดงั นน้ั การศึกษาในประเดน็ นจี้ ึงคอ่ นขา้ งคลา้ ยคลงึ
และมจี ดุ รว่ มกนั การศกึ ษาของกลมุ่ ผไู้ รเ้ สยี งไรอ้ ำ� นาจ (Subaltern)11 และแนวคดิ สกลุ หลงั อาณานคิ ม
(Postcolonialism) อยมู่ าก ในฐานะทเ่ี ปน็ ปากเสยี งใหก้ บั คนทไี่ มม่ เี สยี งในสงั คมมากอ่ น ซงึ่ กร็ วมถงึ ผู้
หญงิ เช่นกนั

งานหลักในกลุม่ นีท้ ี่ควรเอย่ ถึง คือ การน�ำเสนอของพาร์ทา ฉตั ตาจี (Partha Chattajee)
(1993) ที่เสนอว่าแนวคิดเร่ืองชาติของอินเดียแบ่งออกได้เป็นสองส่วน คือ ส่วนของวัตถุหรือความ
ทนั สมยั แบบตะวนั ตก และสว่ นทเี่ ปน็ จติ วญิ ญาณหรอื ความเปน็ ตะวนั ออก กลา่ วคอื ชาวอนิ เดยี ในยคุ
ของชาตินิยมหรือหลังอาณานิคม ทางหนึ่งได้พยายามปรับตัวให้เข้ากับความทันสมัยแบบตะวันตก
หรืออังกฤษ เพื่อท่ีจะประกาศตัวเองว่าเป็นผู้มีอารยธรรมเท่าเทียมกับคนอื่น แต่ขณะเดียวกัน
จติ วญิ ญาณของความเปน็ อนิ เดยี อนั ไดแ้ กว่ ฒั นธรรมประเพณี คา่ นยิ ม กค็ วรจะตอ้ งรกั ษาไว้ เนอ่ื งจาก
สง่ิ นเ้ี องทเ่ี ปน็ อตั ลกั ษณแ์ ละตวั ตนของคนอนิ เดยี และการทจี่ ะอนรุ กั ษส์ ง่ิ นเี้ อาไว้ ผหู้ ญงิ เปน็ ผทู้ ไี่ ดร้ บั
บทบาทดงั กลา่ วในการทจี่ ะเปน็ ผเู้ กบ็ รกั ษา ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามจารตี อนิ เดยี อนั ไดแ้ กก่ ารเปน็ ลกู สาว
ท่ีดี เป็นภรรยาทีด่ ีและเป็นมารดาทีด่ ี (Chatterjee, 1993: 120)

งานของทานกิ ะ ซารก์ าร์ (Tanika Sarkar) (2001) ไดท้ ำ� การศกึ ษาบทบาทการสรา้ งความเปน็
ผู้หญิงในช่วงการสร้างชาตินิยมของอินเดีย โดยเฉพาะความเป็นฮินดู ที่สร้างความหมายให้ผู้หญิง
เปน็ มารดาและภรรยาทดี่ ี และเปน็ ผอู้ นรุ กั ษค์ วามเปน็ อนิ เดยี เอาไว้ (Sarkar, 2001: 41) งานชน้ิ นแี้ ละ
งานชน้ิ อนื่ ไดต้ อ่ ยอดมาจากการเสนอของฉตั ตาจกี น็ บั เปน็ เครอ่ื งยนื ยนั อยา่ งดวี า่ ขณะทผี่ ชู้ ายพยายาม
ตอ่ ต้านเจา้ อาณานคิ ม แต่กพ็ ยายามทำ� ตวั ทนั สมยั แบบตะวนั ตก ผหู้ ญงิ กต็ อ้ งตกเปน็ ผแู้ บกรบั หนา้ ท่ี
ทจ่ี ะทำ� ตวั ใหท้ นั สมยั แตอ่ กี ดา้ นกต็ อ้ งรกั ษาวฒั นธรรมอนิ เดยี เชน่ กนั วาทกรรมผหู้ ญงิ สมยั ใหมจ่ งึ ไม่
ไดเ้ ปิดโอกาสให้ผูห้ ญงิ เป็นผ้หู ญงิ สมยั ใหม่อยา่ งทผ่ี ู้ชายกล่าวอา้ ง

ผู้หญิงอนิ เดียสมัยอาณานิคม
(ที่มา: http://www.bbc.co.uk/news/world-asia-india-25663858)
11บางแห่งแปลว่าผู้ไร้เสียง บ้างแปลว่ากลมุ่ คนผตู้ ่ำ� ต้อย

พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 309

งานศึกษาในประเด็นเหล่านี้ได้ถูกน�ำเสนอและพิจารณาจากบริบทของสังคมไทยเช่นกัน
เช่น งานของสายชล สตั ยานรุ กั ษ์ (2546) ว่าด้วยการสร้างความเปน็ ไทยโดยกรมดำ� รงราชานภุ าพ
ที่ได้กล่าวเอาไว้ส่วนหนึ่ง ถึงการสร้างบทบาทของผู้หญิงให้ผูกกับความเป็นเมีย แม่และผู้หญิงท่ีดี
อาจกล่าวได้ว่าในประเด็นผู้หญิงกับชาติ ได้รับความสนใจอย่างมากและได้รับการศึกษามาแล้วใน
ระดับหนึ่ง ท้งั ในต่างประเทศและในประเทศไทยเอง สิ่งที่ควรพจิ ารณาคอื เราไมอ่ าจมองประชากร
ในแตล่ ะสงั คมในลกั ษณะของกลมุ่ เดยี วได้ แตจ่ ะตอ้ งพจิ ารณาความแตกตา่ งทร่ี ฐั ไดส้ รา้ งความหมาย
ระหว่างหญิงชาย เพ่ือให้แต่ละกลุ่มคนได้ท�ำหน้าท่ีที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะในกรณีของผู้หญิง
ท่ีมกั จะถกู สร้างใหส้ ัมพนั ธ์กบั การเป็นผู้ปกป้องจารตี ประเพณขี องสังคม

ส�ำหรับสังคมปัจจุบนั ทีค่ วรตัง้ คำ� ถามคือ รัฐได้เปลีย่ นแปลงความหมายของการเป็นผ้หู ญิง
ไปหรือไม่ รัฐเรียกรอ้ งอะไรต่อเพศหญงิ ใหท้ ำ� อะไรใหก้ ับรัฐ การทีผ่ ู้หญงิ คนไหนไมเ่ ปน็ ไปตามกรอบ
ทรี่ ฐั ตอ้ งการจะเปน็ อยา่ งไร ความเปน็ ชาตจิ งึ ไมใ่ ชส่ ง่ิ ทเ่ี รยี กรอ้ งใหผ้ หู้ ญงิ ตอ้ งทำ� หนา้ ทเี่ พยี งอยา่ งเดยี ว
แตเ่ ราตอ้ งตัง้ ค�ำถามดว้ ยวา่ รฐั กำ� ลังกดข่ีเพศหญงิ หรอื ไม่
เพศสภาวะกบั การแสดงความเปน็ ชายหญิงและการขา้ มเพศ

หนง่ึ ในขอ้ ถกเถยี งทนี่ า่ สนใจของการศกึ ษาเพศสภาวะตามทจี่ ดู ธิ บตั เลอร์ (2006) เสนอ คอื เพศ
คอื การแสดง หมายความวา่ ความเปน็ หญงิ ชายนนั้ เปน็ เพยี งสง่ิ ทมี่ นษุ ยแ์ ตล่ ะคนตอ้ งแสดงตามบทบาท
ของเพศเพอ่ื แสดงใหส้ งั คมเหน็ วา่ ตนเองเปน็ ชายหรอื หญงิ ทำ� ใหเ้ กดิ เปน็ กรอบคดิ เกย่ี วกบั การขา้ มเพศขนึ้
ความหมายของการขา้ มเพศในทน่ี ไี้ มไ่ ดจ้ ำ� กดั แคก่ ลมุ่ คนทหี่ มายถงึ ทอม ดี้ ไบ ทรานส์ ทต่ี อ้ งการขา้ มเพศ
ถาวรเสมอไป แต่ในบางครง้ั กห็ มายรวมถงึ ชายและหญิงที่เปลีย่ นเพศไปชั่วคราวอีกดว้ ย

การศกึ ษาเกย่ี วกบั ประเดน็ นโี้ ดยอาศยั ยคุ ของวคิ ตอเรยี นในองั กฤษมาอธบิ ายคอื ดว้ ยความกา้ วหนา้
ทางการแพทยส์ ง่ ผลใหเ้ กดิ การจดั ประเภททแ่ี บง่ แยกระหวา่ งหญงิ ชายชดั เจนขนึ้ ตามลกั ษณะทางกายภาพ
และอวยั วะเพศ หรือคริสตศ์ ตวรรษที่ 18 แม้วา่ ในยคุ น้นั จะมีการแต่งกายเลยี นแบบผู้ชายโดยผหู้ ญิง
หรือแต่งกายเป็นผู้หญิงโดยผู้ชาย ท�ำให้เกิดเป็นประเด็นค�ำถามว่า หากแต่ละคนสามารถแต่งกาย
และเลยี นแบบทา่ ทางไดเ้ หมอื นเพศตรงขา้ ม และสามารถเรยี กบคุ คลนน้ั เปน็ เพศอะไร (Oram, 2006)

ตวั อยา่ งทนี่ า่ สนใจคอื งานศกึ ษาของคอรด์ เี ลยี บตี ตี้ (Cordelia Beattie) (2005) ทอี่ า้ งถงึ กรณี
ของจอหน์ เรคเนอร์ (John Rykener) ชายในยคุ กลางทถี่ กู จบั ขอ้ หาเปน็ โสเภณี ขอ้ เทจ็ จรงิ คอื ชายคนนี้
แต่งกายเป็นผู้หญิงและท�ำตัวเลียนแบบผู้หญิงแทบทุกกระเบียดน้ิว ไม่ว่าจะเป็นการเดิน มารยาท
แมแ้ ต่คณุ สมบัตอิ นื่ ๆเชน่ การเย็บชนุ ผา้ อย่างไรก็ตาม เขายังสามารถเปล่ยี นกลบั มาเปน็ ผชู้ ายและ
มีความสัมพนั ธ์กบั ผหู้ ญงิ ได้เช่นกนั (Beattie, 2005: 156)

จอหน์ ไรเกเนอร์ (John Rykener)
ชายชาวอังกฤษที่ “แสดง” เปน็ ผู้หญงิ โสเภณี
(ที่มา: http://andrejkoymasky.com/liv/fam/bior3/rykener01.html)

310 พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

นำ� มาสู่ค�ำถามในยคุ ปจั จบุ นั ท่กี ารแพทย์ได้ทำ� ให้การเปล่ยี นเพศและลกั ษณะทางกายภาพ
ของชายหญิงเร่ิมเลือนลางมากข้ึน การผ่าตัดแปลงเพศส่งผลให้ความคิดเหล่าน้ีเป็นจริงมากขึ้นและ
อีกไม่นานเส้นแบ่งระหว่างหญิงชายอาจหายไป การแสดงออกของเพศจึงต้องมาจากการกระท�ำ
ทีท่ ำ� ใหส้ ังคมรบั รเู้ ท่านัน้ จงึ จะสามารถแยกไดว้ า่ ใครเป็นผูห้ ญิงและใครเปน็ ผชู้ าย

ความคดิ น้ยี งั ได้พฒั นาไปส่ขู ้อเสนอทเี่ กยี่ วกับ Twilight Moments (ชว่ งเวลาแหง่ สนธยา)
โดย แอนนา คลาค (Anna Clark) (2005) หรือด้านมดื ของแต่ละบคุ คลทีม่ เี พยี งชัว่ ขณะ (Clark,
2005: 141) ซงึ่ หมายถงึ รสนยิ มทางเพศ การแตง่ กาย หรอื อะไรกต็ ามทพ่ี น้ ไปหรอื แตกตา่ งจากบรรทดั ฐาน
ของสังคม รวมไปถึงประเด็นของการข้ามเพศเช่นกัน ที่มีผู้เสนอว่า ส่ิงเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงชั่วระยะ
เวลาหนงึ่ เชน่ การไปเทยี่ วซอ่ งโสเภณขี องผชู้ ายและทดลองใสเ่ สอ้ื ผา้ ของผหู้ ญงิ หรอื การมเี พศสมั พนั ธ์
แบบรกั รว่ มเพศ แตน่ น่ั ไมไ่ ดห้ มายความวา่ บคุ คลหนงึ่ ๆ จะตอ้ งมรี สนยิ มเชน่ นเ้ี สมอไป เมอ่ื กลบั สสู่ งั คม
รสนยิ มหรือความชอบเหลา่ น้กี ห็ ายไป

จุดมุ่งหมายใหญ่ของการน�ำเสนอนี้อาจจะท�ำความเข้าใจยาก ผู้ศึกษาจึงต้องก้าวออกจาก
กรอบเดมิ ทวี่ า่ โลกมแี คส่ องขว้ั คอื ชาย และหญงิ เทา่ นน้ั มาสคู่ วามคดิ ทวี่ า่ เพศเปน็ เพยี งการแสดงออก
ทางสังคม และเส้นแบ่งระหว่างหญิงชายไม่ได้แน่นหนาเหมือนในอดีต วิทยาการและเทคโนโลยี
ไดท้ ำ� ใหค้ วามเปน็ หญงิ ชายเรมิ่ เลอื นหายไป นอกจากนปี้ ระเดน็ ทค่ี วรขบคดิ ตอ่ ไปกค็ อื ไมม่ คี วามเปน็
เพศท่ถี าวร บางคนบางขณะอาจมีการข้ามเพศกเ็ ปน็ ได้

การศกึ ษาในประเดน็ นนี้ บั วา่ ยงั ใหมอ่ ยพู่ อสมควรแมแ้ ตใ่ นโลกวชิ าการตะวนั ตก สำ� หรบั การ
ศกึ ษาในมติ ขิ องประวตั ศิ าสตรไ์ ทยจะยงั ไมม่ ผี รู้ เิ รมิ่ มากนกั จงึ ควรจะมกี ารรเิ รม่ิ เพอื่ เปดิ ประเดน็ ใหมๆ่
ให้กบั การศึกษาเพศสภาวะในสงั คมไทย เพอื่ ให้มองเหน็ ความหลากหลายทางเพศท่มี มี าตั้งแต่สมัย
โบราณ การศึกษาในประเดน็ นี้อาจจะยงั รวมมาถงึ สมัยปจั จุบนั ไดอ้ กี ดว้ ย
สรุป

บทความเรื่อง “ผู้หญิงในมิติประวัติศาสตร์” เป็นความพยายามท่ีจะสืบสาวย้อนไปถึง
ประวัตศิ าสตรข์ องการศกึ ษาเกี่ยวกบั “ผู้หญิง” ว่ามีความเป็นมาและมพี ฒั นาการท่แี ตกยอดออกไป
อกี มากเพยี งใด การศกึ ษาเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ นนั้ เปน็ เรอ่ื งทจี่ ำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ และจำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งวางผหู้ ญงิ
ลงในบรบิ ททางประวตั ศิ าสตร์ ทงั้ ยงั รวมถงึ การทผ่ี หู้ ญงิ เขา้ ไปสมั พนั ธก์ บั คนกลมุ่ อนื่ ในสงั คมอกี ดว้ ย
เราไมอ่ าจจะทำ� ความเขา้ ใจประเดน็ ทางสงั คมไดห้ ากละเลยมติ ทิ างเพศสภาวะ ไมเ่ ฉพาะแตค่ วามเปน็ หญงิ
หากต้องรวมเอาความเป็นชาย และความเป็นเพศอ่ืนๆ เข้ามาในการศึกษาด้วยเช่นกัน นอกจากนี้
บทความชนิ้ นย้ี งั ไดน้ ำ� เสนอตวั อยา่ งของการศกึ ษาผหู้ ญงิ ในมติ ทิ างประวตั ศิ าสตรจ์ ากแงม่ มุ อนื่ ๆ ไมว่ า่
จะเปน็ ด้านอายแุ ละชว่ งวัย, ดา้ นการเมืองและสงั คม, ศาสนาและความเชื่อ เปน็ ต้น ซึง่ ลว้ นแล้วแตม่ ี
ปฏิสัมพนั ธ์กบั ผหู้ ญงิ อย่ตู ลอดเวลาทงั้ ส้ิน

การศึกษาเก่ียวกับ “ผู้หญิง” จึงไม่จ�ำกัดว่าจะต้องเป็นการศึกษาในแง่ของการเป็น
ผถู้ กู กดขจี่ ากสงั คมแบบปติ าธปิ ไตยหรอื อำ� นาจของผชู้ ายเสมอไป หากเปน็ การศกึ ษาเพอ่ื ให้
เข้าใจว่าความไม่เท่าเทียมกันทางเพศมีท่ีมาท่ีไปอย่างไร และนักประวัติศาสตร์จะน�ำเสนอ
ความรู้ใหม่ให้กับสังคมเพ่ือก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงต่อสถานภาพของผู้หญิงได้อย่างไร
การศึกษาทางเพศสภาวะจึงเป็นเสมือนอีกทางเลือกหน่ึงให้กับการศึกษากลุ่มคนในสังคม
ไมเ่ พยี งแตส่ งั คมไทย แตร่ วมไปถงึ สงั คมอน่ื ๆ เชน่ กนั

พลังผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 311

บรรณานุกรม
สายชล สตั ยานรุ ักษ์. สมเด็จฯกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ: การสร้างอัตลักษณ์ “เมืองไทย” และ
“ชั้น” ของชาวสยาม. กรุงเทพฯ: มตชิ น, 2546
Beattie, Cordelia. ‘Gender and Femininity in Medieval England.’ In Writing Medieval
History, ed. N. Partner. London: Hodder Arnold, 2005.
Beattie, Cordelia. Medieval single women the politics of social classification in late
medieval England. Oxford: Oxford University Press, 2007.
Blamires, Alcuin, Karen Pratt and C. William Marx. Woman defamed and woman
defended: an anthology of medieval texts. Oxford: Clarendon Press, 1992
Bloch, R. Howard. ‘Medieval Misogyny’. Representations 20 (1987):1-24
Butler, Judith. Gender trouble: feminism and the subversion of identity. New York:
London Routledge, 1990
Carpenter, Jennifer and Sally Beth MacLean. Power of the Weak: Studies on Medieval
Women. Urbana: University of Illinois Press, 1995
Chatterjee, Partha. The Nation and Its Fragment: Colonial and Postcolonial Histories.
Princeton: Princeton University Press, 1993.
Clark, Anna. ‘Twilight Moments.’ Journal of the History of Sexuality 14 (2005): 139-160
Downs, Laura Lee. Writing Gender History. London: Bloomsbury Academic, 2010.
Duby, Georges, Michelle Perrot and Christiane Klapisch-Zuber eds. A History of women
in the West 2, Silences of the Middle Ages. London: Belknap Press of Harvard
University Press, 1992
Gamble, Sara. The Routledge Companion to Feminism and Postfeminism. New York:
Digital Printing, 2010.
Hanawalt, Barbara. ‘Childrearing among the Lower Classes of Late Medieval England.’
The Journal of Interdisciplinary History. Vol. 8, No. 1 (Summer, 1977), pp. 1-22.
Hall, Catherine. ‘Politics, Post-structuralism and Feminist History’ Gender & History 3
(1991): 204-210
Harzewski, Stephanie. Chicklit and Postfeminism. USA: University of Virginia Press,
2011.
Leow, Rachel. ‘Age as a Category of Gender Analysis: Servant Girls, Madden Girls,
and Gender in Southeast Asia.’ The Journal of Asian Studies 71 (2012): 975-990.
Hoff, Joan. ‘Gender as a postmodern category of paralysis.’ Women's Studies
International Forum 17 (1994): 443-447
McRobbie, Angela. “Post-feminism and popular culture”. Feminist Media Studies.
Taylor and Francis. 4 (3): 255–264, 2004.

312 พลังผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

Naomi, Wolf. The Beauty Myth: How Images of Beauty are used against Women.
London : Vintage, 1991
Oram, Alison. ‘Cross-Dressing and Transgender. In Palgrave advances in the modern
history of sexuality. eds. Harry Cocks and Matt Houlbrook. 256-285 Hampshire:
Palgrave Macmillan,2006
Park, Katharine. The Secrets of Women: Gender, Generation, and the Origins of Human
Dissection. New York: Zone, 2006.
Phillips, Kim M. Medieval maidens: young women and gender in England, 1270-1540
Manchester: Manchester University Press, 2003.
Rose, Sonya O. What is Gender History? Cambridge: Malden Mass, 2010.
Sarkar, Tanika. Hindu Wife, Hindu Nation. New Delhi: Permanent Black, 2001.
Scott, Joan W. ‘Gender; a useful category of historical analysis.’ American Historical
Review 91 (1986): 1053
Scott, Joan W. ‘Feminism’s History.’ Journal of Women’s History 16 (2004): 10-29.
Van Esterik, Penny. Materializing Thailand. Oxford: Berg, 2000.
Waugh, Patricia. ‘Modernism, Postmodernism, Gender: The View from Feminism.’ In
Practising Postmodernism Reading Modernism. 119-135. London: Arnold, 1992.
Whelehan, Imelda. The Feminist Bestseller: From Sex and the Single Girl to Sex and
the City. Hamshire: Palgrave Macmillan, 2005.
Wilson, Ara. The Intimate Economies of Bangkok. Tomboys, Tycoons, and Avon Ladies
in the Global City. London: University of California Press, 2004.

เฟมนิ สิ ต์กับการเพาะปลูกใน
“สวนปรชั ญา”

อาจารย์ คงกฤช ไตรยวงค์

ภาควชิ าปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร

น�ำรอ่ ง
หากเรามองยอ้ นกลบั ไปยงั ประวตั ศิ าสตรน์ บั พนั ปขี องปรชั ญา เราจะพบวา่ งานทเ่ี ปน็ ทย่ี อมรบั

(canon) โดยสว่ นมากเขยี นโดยผชู้ าย นกั ปรชั ญาเหลา่ นก้ี ว็ จิ ารณผ์ หู้ ญงิ เอาไวไ้ มน่ อ้ ย โดยมกั จะแสดง
การรงั เกียจเพศหญงิ (misogyny) อยา่ งชัดเจน อยา่ งเชน่ อรสิ โตเตลิ (Aristotle) มองว่าผหู้ ญงิ
ด้อยกว่าผู้ชาย และผู้หญิงเป็นมนุษย์ท่ีผิดรูป ไม่ใช่คนเต็มคนอย่างผู้ชาย ดังจะเห็นได้จากร่างกาย
ผู้หญิงไม่งามเทา่ ผู้ชายเพราะผู้หญิงมีฟนั น้อยซี่กว่า

ในขณะทป่ี รชั ญาสมยั ใหม่ อมิ มานเู อล คา้ นท์ (Immanuel Kant) เปน็ นกั ปรชั ญาทเี่ ฟมนิ สิ ต์
มักจะวิจารณ์ท่าทีเหยียดเพศของเขา ค้านท์เห็นว่าผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชาย เน่ืองจากผู้หญิงอ่อนแอ
โดยธรรมชาติ ท�ำใหพ้ วกเธอหวน่ั เกรงต่อภยนั ตรายและตอ้ งพึ่งพาผู้ชาย นอกจากนี้ คา้ นท์ยังเหน็ วา่
โลกแห่งปัญญาความคิดไม่มีท่ีทางให้กับผู้หญิง เขาพูดด้วยน�้ำเสียงเหยียดหยันว่าผู้หญิงใช้หนังสือ
เหมอื นกบั นาฬกิ าขอ้ มอื ทเ่ี ธอสวมใสเ่ พอื่ ใหร้ วู้ า่ มนี าฬกิ ากบั เขาเหมอื นกนั โดยมพิ กั ใสใ่ จวา่ มนั จะเสยี
หรอื บอกเวลาไมต่ รง ทง้ั นเ้ี พราะคา้ นทเ์ หน็ วา่ โลกของผหู้ ญงิ คอื ความรสู้ กึ ไมใ่ ชเ่ หตผุ ล ผหู้ ญงิ จงึ เปน็
เพศที่ไม่น่าจะใช้หลกั เหตผุ ลไดด้ ี

ตลอดระยะเวลาอนั ยาวนาน ประวตั ปิ รชั ญาผลกั ไสผหู้ ญงิ ออกสารบบ จงึ ไมแ่ ปลกทเ่ี ฟมนิ สิ ต์
(feminist) หรอื นกั สตรีนยิ ม จะเข้ามาวิพากษ์วจิ ารณป์ ระเด็นนี้ โรบิน เมย์ ชอ็ ทท์ (Robin May
Schott) นกั วิชาการปรชั ญาเฟมินิสต์แหง่ มหาวิทยาลยั โคเปนเฮเกนกลา่ วว่า เฟมนิ สิ ตห์ ันมาท�ำงาน
ด้านประวตั ิปรัชญามากขึน้ นับตงั้ แต่ทศวรรษ 1970 เปน็ ต้นมา เธอตงั้ ค�ำถามน�ำทางวา่ ความคดิ ของ
นกั ปรชั ญาเปน็ ผลผลติ ของบรบิ ททางสงั คมวฒั นธรรมทหี่ ลอ่ หลอมความคดิ นน้ั ขนึ้ มา หรอื วา่ สามารถ
แยกพจิ ารณาเฉพาะตัวความคดิ โดยตัดบรบิ ทออกไปได้ หรือถ้าใช้คำ� ของชาลอ็ ต วิตต์ (Charlotte
Witt) กค็ ือ การเหยียดเพศหรือรังเกียจเพศหญงิ ในงานปรัชญาเป็นลักษณะภายใน (intrinsic) หรือ
ลักษณะภายนอก (extrinsic) ตัวความคิดทางปรัชญากันแน่ หากเป็นกรณีแรก เราก็ไม่สามารถ
ศึกษาตีความงานปรัชญาโดยแยกนัยเรื่องเพศสภาพออกมาต่างหากได้ หรือเราไม่อาจจะอ่านงาน
ของค้านท์ได้อย่างสอดคล้องเป็นระบบโดยไม่น�ำท่าทีรังเกียจเพศหญิงมาร่วมพิจารณาด้วยได ้

314 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

หากเป็นกรณีหลังก็จะถือเอาตัวความคิดทางปรัชญาเป็นหลักโดยไม่ต้องพิจารณาว่าจะมีท่าท ี
เร่ืองเพศอยา่ งไร

ผู้เขียนเห็นว่าค�ำถามข้างต้นนี้เป็นค�ำถามน�ำทางท่ีดี ดังนั้น ในบทความนี้จะชี้ให้เห็นว่า
หากพจิ ารณาจากจดุ ยนื ของเฟมนิ สิ ตแ์ ลว้ เราไมอ่ าจจะแยกบรบิ ทอนั เปน็ จดุ กำ� เนดิ ของตวั ความคดิ ได ้
นนั่ หมายความวา่ การรงั เกยี จผหู้ ญงิ ทเ่ี กาะกมุ งานปรชั ญามรี ากมาจากบรบิ ทสงั คมวฒั นธรรมทร่ี งั เกยี จ
ผู้หญิง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อวิธกี ารทีผ่ หู้ ญิงเข้าไปจดั การกบั พนื้ ท่ีทีเ่ รียกวา่ ปรชั ญาดว้ ย

การที่เฟมินิสต์กลับไปตีความผลงานทางปรัชญาเสียใหม่ก็เพื่อท่ีจะหาท่ีทางให้กับผู้หญิง
ที่ถูกกีดกันออกจากโลกของปรัชญา ขณะเดียวกันก็มุ่งวิพากษ์ความคิดทางปรัชญาที่ถูกท�ำให้มีนัย
ของเพศสภาพ เช่น การมองว่าเหตุผลและความเป็นภววิสัยมีนัยของเพศชาย ซ่ึงเท่ากับเบียดขับ
ใหผ้ หู้ ญงิ จมอยใู่ นโลกของความรสู้ กึ ทไ่ี รเ้ หตผุ ล ในบทความ “Feminist History of Philosophy”1
ของ ชาล็อต วิตต์ (Charlotte Witt, 2004) นักวิชาการด้านปรัชญาเฟมินิสต์แห่งมหาวิทยาลัย
นิวแฮมเชยี ร์ ได้จ�ำแนวทางท่ีเฟมนิ สิ ต์เข้าไปจัดการกับประวัตปิ รัชญา 3 แนวทางด้วยกนั ดงั น้ี

แนวทางแรก คือการวิจารณข์ นบปรัชญาวา่ รังเกียจเพศหญิงซง่ึ ท�ำไดส้ ามแบบ
1) วิจารณ์เนื้อความที่เป็นการรังเกียจผู้หญิงอย่างโจ่งแจ้ง ตัวอย่างเช่นอริสโตเติลมองว่า
ผู้หญิงคือมนุษย์ที่มีรูปร่างผิดเพี้ยน ตัวละครหญิงในละครโศกนาฏกรรมไม่ควรจะกล้าหาญหรือ
ฉลาดเกินไป
2) คือการวิจารณ์ข้อเสนอทางปรัชญาที่มีนัยทางเพศสภาพ เช่น ปรัชญาของเดส์คาร์ตส ์
แม้เดส์คาร์ตส์จะไม่ได้แสดงความรังเกียจเพศหญิงออกมาโดยตรง แต่ทวินิยมที่แยกระหว่างกาย
กับจิตของเขาก็มีนัยทางเพศ โดยด้านของเหตุผลจะเป็นชาย ส่วนผู้หญิงจะถูกเช่ือมโยงกับอารมณ์
กับร่างกาย
3) คือการวิจารณ์ความคิดทางปรัชญา เช่น การวิจารณ์ว่าเหตุผลกับความเป็นภววิสัย2
ถกู ทำ� ใหเ้ ปน็ ลกั ษณะของเพศชาย
แนวทางท่ีสองคือ การปรับปรุงประวัติปรัชญาเสียใหม่ ด้วยการกอบกู้นักปรัชญาผู้หญิง
ในประวตั ปิ รชั ญาทผ่ี ชู้ ายครองเวที ทงั้ นก้ี เ็ พอ่ื ทำ� ลายมายาคตทิ ว่ี า่ ปรชั ญาเปน็ เรอื่ งของผชู้ าย ในหนงั สอื
A History of Woman Philosophers3 ของแมรี เอลเลน เวธ (Mary Ellen Waithe) เป็นตัวอยา่ ง
ท่ีโดดเด่นของความพยายามนี้ โดยเธอได้ยกย่องนักปรัชญาสตรีอย่างแมรี วอลโทนคราฟท ์
(Mary Wollstonecraft) ฮานนาห์ อาเรน็ ท์ (Hannah Arendt) และ ซีโมน เดอ บวั ร์ (Simone de
Beauvoir) วา่ เปน็ นกั ปรชั ญาสตรที มี่ ผี ลงานไดร้ บั การยอมรบั (canon) ในขนบปรชั ญา อยา่ งไรกต็ าม
การดว่ นสรปุ เช่นนอี้ าจจะผิดกไ็ ด้ เพราะใน The Encyclopedia of Philosophy4 ทต่ี ีพมิ พเ์ มื่อปี
1967 ซงึ่ รวบรวมบทความของนกั ปรชั ญา 900 กวา่ ชน้ิ นน้ั ไมม่ งี านของนกั ปรชั ญาสตรที งั้ สามคนนเี้ ลย
จะมีกแ็ ต่อาเรนท์ท่ีไดร้ ับการอา้ งถึงเพยี ง 1 ครง้ั ในฐานะผู้เขยี นบทความ “Authority” เท่านัน้ นั่นก็
เทา่ กบั วา่ ในขนบปรชั ญาตะวนั ตก ผู้ชายยังครองความเป็นใหญ่ในการผลิตงานช้ินส�ำคัญๆ นอกจาก
น้ี ปัญหาใหญ่พอกันคือนกั ปรชั ญาผู้หญิงเองก็ไมไ่ ดเ้ ป็นเฟมนิ สิ ต์

1ประวัติศาสตร์ปรชั ญาของนักสตรนี ยิ ม – บรรณาธิการ
2ความคดิ ทปี่ ราศจากอคติ ไมข่ น้ึ อยกู่ บั เหตผุ ลสว่ นตวั และตงั้ อยบู่ นหลกั เหตผุ ลทพี่ สิ จู นไดจ้ ากภายนอก –บรรณาธกิ าร
3ประวตั ศิ าสตร์ของนกั ปรชั ญาสตรี – บรรณาธิการ
4สารานุกรมปรัชญา – บรรณาธิการ

พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 315

แนวทางทส่ี าม ไดแ้ กก่ ารตคี วามงานของนกั ปรชั ญาในอดตี เพอื่ ตอบสนองจดุ ยนื แบบเฟมนิ สิ ต์
เชน่ งานทีช่ ื่อ Fragility of Goodness5 ของมารธ์ า นัสบอมย ์ (Martha Nussbaum) ท่ใี ชแ้ นวคิด
เรอื่ งคณุ ธรรม (virtue) ของอรสิ โตเตลิ มาเนน้ ยำ้� บรบิ ททเ่ี ปน็ รปู ธรรมเพอื่ แสดงถงึ อารมณแ์ ละความอาทร
ต่อคนอื่นในชีวิตทางจริยธรรม อย่างไรก็ตาม วิตต์เห็นว่าจุดอ่อนของแนวทางหลังน้ีคือเฟมินิสต ์
จะตคี วามอรสิ โตเตลิ วา่ เปน็ มติ รหรอื ศตั รกู นั แน่ เพราะจะสง่ ผลกระทบตอ่ ความสอดคลอ้ งและเอกภาพ
ของโครงการทางปรชั ญาของเฟมนิ สิ ตใ์ นการปรบั ปรงุ ประวตั ปิ รชั ญาเสยี ใหม่ รวมทงั้ ยงั สง่ ผลกระทบ
ต่ออัตลักษณ์และภาพลักษณ์ของเฟมินิสต์เองด้วย การถกเถียงกันในหมู่นักปรัชญาเฟมินิสต ์
ต่อประเด็นนี้น�ำไปส่กู ารตัง้ ค�ำถามว่าถงึ ท่ีสุดแล้วอะไรคอื ปรชั ญาเฟมินิสตก์ ันแน่

เราจะเหน็ ไดว้ า่ แนวทางเรอื่ งทว่ี ติ ตเ์ สนอวา่ เฟมนิ สิ ตเ์ ขา้ ไปจดั การกบั ประวตั ปิ รชั ญาอยา่ งไรนนั้
เน้นที่เน้ือหาและโจทย์ที่เฟมินิสต์จะต้องเข้าไปแก้อยู่มาก แตกต่างจากข้อเสนอของซาราห์ ไทสัน
(Sarah Tyson, 2014) ที่วิเคราะห์แม่แบบของแนวโน้มท่ีเฟมินิสต์จัดการกับปัญหาประวัติปรัชญา
ทกี่ ดี กนั ผหู้ ญงิ ไดช้ ดั ขน้ึ เธอเสนอวา่ แบง่ วธิ กี ารทเี่ ฟมนิ สิ ตเ์ ขา้ ไปจดั การกบั ปญั หานอ้ี อกเปน็ 4 แมแ่ บบ
ด้วยกัน

แม่แบบแรก คือ แม่แบบการเรียกร้องสิทธิ์ (the enfranchisement model) ผูห้ ญงิ ควรถกู
นบั รวมเขา้ ไปในประวตั ปิ รชั ญา เนอื่ งจากผหู้ ญงิ กส็ ามารถคดิ ปรชั ญาไดแ้ บบเดยี วกบั ทผ่ี ชู้ ายทำ� ยงิ่ ไป
กว่าน้ัน อาจจะท�ำให้ความเข้าใจปรัชญาเปลี่ยนไปด้วยก็ได้ ตัวอย่างเช่นแมรี เอลเลน เวธที่แสดง
ใหเ้ หน็ ว่า ผู้หญงิ ในสำ� นกั ไพธากอเรยี น (Pythagorean) ไดถ้ กเถยี งกนั ในเรอื่ งการจดั การครอบครวั
ซงึ่ ไมเ่ คยมีการถกเถียงกนั ในเชิงปรชั ญามาก่อน โดยพวกเธอเปรยี บรัฐกบั ครอบครัว ลักษณะเชน่ นี้
อาจน�ำทางไปสู่การเปล่ียนแปลงทิศทางทางปรัชญาได้ อีกตัวอย่างหน่ึงได้แก่งานของวอร์น็อค
(Warnock) ทต่ี อบคำ� ถามวา่ อะไรคอื นกั ปรชั ญา เธอใหค้ ำ� ตอบวา่ นกั ปรชั ญากค็ อื ผทู้ คี่ นุ้ เคยกบั ความคดิ
นามธรรม แตก่ ส็ ามารถอธบิ ายสง่ิ เฉพาะในชวี ติ ประจำ� วนั ได้ ตวั อยา่ งเชน่ เดวดิ ฮวิ ม์ (David Hume)
นักปรัชญาชาวสก็อตผู้ไม่มีต�ำแหน่งทางวิชาการ แต่เขาสื่อความคิดผ่านการเขียนบทความและบท
สนทนา วอรน์ ็อคเห็นว่าผูห้ ญงิ กส็ ามารถเป็นนักปรัชญาได้ในความหมายนี้ ไทสันเหน็ วา่ แมเ้ วธและ
วอรน์ อ็ คจะเหน็ ตา่ งกนั ในรายละเอยี ด แตท่ ง้ั คกู่ ม็ จี ดุ ยนื รว่ มกนั กค็ อื การอา้ งเหตผุ ลเพอื่ นบั รวมผหู้ ญงิ
ให้เข้าสมู่ าตรฐานทางปรัชญาท่ีมีอยู่แลว้

แมแ่ บบทส่ี อง คอื แมแ่ บบทางเลอื ก (the alternative model) ไดแ้ ก่ เฟมนิ สิ ตท์ เี่ หน็ วา่ ผหู้ ญงิ
สามารถสร้างขนบทางปรัชญาของตัวเองได้โดยไม่ต้องอิงกับขนบปรัชญาของผู้ชาย ตัวอย่างเช่น
แอนเดรีย ไนย์ (Andrea Nye) ท่ีเสนอว่าขนบปรัชญาที่บุกเบิกโดยผู้หญิงจะสามารถตอบปัญหา
ที่ขนบเดิมตอบไม่ได้ เธอเรียกขนบน้ีว่า Philosophia6 แทนท่ีจะเรียกว่า Philosophy ตามขนบ
ปรัชญาผู้ชาย อีกคนหนึ่งคือ คาเร็น กรีน (Karen Green) ที่เห็นว่ามีขนบทางปรัชญาท่ีซ้อนกัน
กบั ขนบเดมิ และสามารถตอบปญั หาทขี่ นบเดมิ ทอ่ี งิ ผชู้ ายตอบไมไ่ ด้ ทงั้ ไนยแ์ ละกรนี เหน็ วา่ งานเขยี น
ของผ้หู ญิงสามารถกรุยทางไปส่ขู นบปรัชญาแบบผูห้ ญงิ ได้

แม่แบบท่ีสาม ได้แก่ แม่แบบแกไ้ ข (the corrective model) ตวั อย่างเฟมินิสตท์ ี่จัดอยใู่ น
แม่แบบนี้ไดแ้ ก่ เจเนต็ ครู านี (Janet Kourany) ซง่ึ เห็นวา่ ปรชั ญาจะตอ้ งนบั รวมผหู้ ญิงเข้าไปด้วย

5ความเปราะบางของคณุ ธรรม – บรรณาธิการ
6ฟโิ ลโซเฟยี เปน็ คำ� ทกี่ รกี ใชเ้ รยี กวชิ าปรชั ญา คำ� นปี้ กตแิ ปลวา่ รกั ในปญั ญา (love of wisdom) ทน่ี กั วชิ าการ
สายเฟมนิ สิ ตเ์ ลอื กคำ� นก้ี เ็ พอ่ื จงใจใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งไปจากคำ� วา่ philosophy ซงึ่ ครอบงำ� ดว้ ยปรชั ญาทเี่ ขยี นโดยผชู้ าย
เปน็ สว่ นใหญ่ ในตา่ งประเทศถงึ กลบั มชี มุ นมุ ของนกั ปรชั ญาสตรกี นั เลยทเี ดยี ว – บรรณาธกิ าร

316 พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

มิเช่นนนั้ จะมิใชป่ รัชญาท่ีแทจ้ ริง หากย้อนไปพิจารณาขนบปรัชญาในอดตี เราจะเห็นไดว้ ่าโสกราตสี
ใช้อุปลักษณ์ “ตัวเหลือบ” ว่าหมายถึงหน้าที่ของปรัชญาท่ีจะก่อความร�ำคาญด้วยการตั้งค�ำถาม
ตอ่ ทกุ สง่ิ ครู านเี หน็ วา่ การตงั้ คำ� ถามเชงิ ปรชั ญาดว้ ย “นำ้� เสยี งของผหู้ ญงิ ” (feminist voice) จะชว่ ย
เตมิ เต็มพันธกิจของปรัชญาได้ ท่ีสำ� คญั ท้งั ผู้หญงิ และผชู้ ายก็สามารถใชน้ ้�ำเสียงผ้หู ญงิ น้ไี ด้เชน่ กัน

แมแ่ บบทส่ี ี่ ไดแ้ กแ่ มแ่ บบเปลย่ี นแปลง (the transformative model) ไทสนั เหน็ วา่ แมแ่ บบน้ี
มศี กั ยภาพมากทสี่ ดุ ในการกอบกปู้ รชั ญาผหู้ ญงิ ตวั อยา่ งเชน่ งานของแคเธอรนี การเ์ นอร์ (Catherine
Gardner) ซ่งึ พยายามเข้าหางานเขยี นหญงิ ประเภทอ่ืนๆ ไม่ว่าจะเป็นนวนยิ าย กวีนพิ นธ์ จดหมาย
แต่กลายเป็นว่าเธอพบอุปสรรคในการเข้าถึงงานเหล่าน้ีเนื่องจากตัวเธอเองได้รับการฝึกมาในทาง
ปรัชญาที่เน้นรูปแบบการอ้างเหตุผล การ์ดเนอร์ยอมรับข้อจ�ำกัดน้ีของตัวเธอเอง และพยายามหา
สาเหตุ จนกระทั่งพบว่าสาเหตุมาจากขนบของปรัชญาเองท่ีจ�ำกัดคับแคบ ไทย์เห็นว่าแนวทางของ
การด์ เนอรจ์ ะชว่ ยใหผ้ หู้ ญงิ กลบั มาพจิ ารณามโนทศั นว์ า่ อะไรคอื ปรชั ญาได้ และสามารถอธบิ ายไดว้ า่
ทำ� ไมรปู แบบอนื่ ๆ ทนี่ ำ� เสนอความคดิ เชงิ ปรชั ญาจงึ ไดถ้ กู เกยี ดกนั ออกไป และถกู กนั ออกไปอยา่ งไร

หากปรัชญาเฟมินิสต์จะมุ่งเปล่ียนแปลงการท�ำปรัชญา บทความเร่ือง “Philosophy and
the Feminist Imagination” ของ ยนี กริมชอว์ (Jean Grimshaw, 2000) ดูเหมือนจะตอบโจทย์
แมแ่ บบท่สี ที่ ีก่ ลา่ วมานไ้ี ดเ้ ปน็ อยา่ งดี กริมชอว์เห็นวา่ ปรากฏงานปรชั ญาเฟมินิสตท์ ไ่ี ดร้ บั การตีพิมพ์
จำ� นวนมากในรอบสิบหา้ ปที ผ่ี ่านมา โดยเนน้ การร้อื สรา้ ง (deconstructive) เสียเปน็ สว่ นใหญ่ ทัง้ ท่ี
ปรัชญาผู้หญิงมีศักยภาพในการ “สร้างใหม่” (reconstructive) เพื่อน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลงโดย
อาศัยจนิ ตนาการเป็นจดุ ตั้งตน้

กรมิ ชอวเ์ หน็ วา่ การแยกความจรงิ เชงิ ปรชั ญาออกจากจนิ ตนาการนนั้ เปน็ ไปไมไ่ ด ้ ในหนงั สอื
The Philosophical Imaginary7 มิแชล เลอ เดิฟ (Michele le Doeuff) ช้ีใหเ้ ห็นถึงมายาคตทิ ีว่ ่า
ขนบปรชั ญาไม่ใช่เรอื่ งเลา่ หรือภาพ หากแต่มสี ถานะทแี่ ยกขาดจากตำ� นาน นทิ าน และวรรณกรรม
ซึ่งเปน็ ปรมิ ณฑลของภาพ นอกจากน้ี กรมิ ชอวย์ งั เห็นด้วยกบั มารธ์ า นสั บอมย์ ทีว่ ิจารณว์ ่าปรัชญา
สายแองโกล-อเมรกิ นั (Anglo-American) นนั้ ชา่ งแหง้ แลง้ เปน็ นามธรรม เนน้ ความเปน็ วทิ ยาศาสตร์
และนำ� เสนออยา่ งหมดจดชดั เจนเกนิ ไป เนอื่ งจากพยายามปลอดอคติ นสั บอมยก์ ลบั เหน็ วา่ ประเด็น
ค�ำถามเชิงจริยศาสตร์ทว่ี า่ “ชวี ติ ทดี่ ีคืออะไร” นัน้ เราสามารถไดป้ ระโยชน์มากมายจากงานทเ่ี ขียน
เชิงจินตนาการอย่างเร่ืองแต่ง เรื่องเล่า หรืออุปลักษณ์8 แทนท่ีจะเป็นงานวิชาการแห้งๆ กริมชอว์
วเิ คราะหต์ อ่ ไปวา่ อนั ทจ่ี รงิ แลว้ ตวั บทปรชั ญาตะวนั ตกนนั้ เตม็ ไปดว้ ยภาษาแบบอปุ ลกั ษณ ์ งานปรชั ญา
ทุกประเภทล้วนมีสไตล์และการใช้วาทศิลป์ในการโน้มน้าว อย่างเช่น เดส์คาร์ตส์ใช้อุปลักษณ์
สง่ิ กอ่ สรา้ งและตน้ ไมก้ บั กจิ กรรมทางปรชั ญา เพลโต (Plato) นกั ปรชั ญาชาวกรกี ใชอ้ ปุ ลกั ษณด์ วงอาทติ ย์
ในนิทานอปุ มานิทศั น์เร่ืองถำ้� ตวั อยา่ งท่เี ห็นไดช้ ดั ในปัจจุบนั ก็คือ “ผู้ชายท่ีพดู ชัดเจนตรงไปตรงมา”
ซงึ่ เปน็ วาทศลิ ปใ์ นงานวชิ าการทแ่ี หง้ แลง้ เพอื่ อา้ งความเปน็ ภววสิ ยั และสทิ ธอิ ำ� นาจของผเู้ ขยี นซง่ึ โดย
ส่วนมากกค็ ือผ้ชู าย

เลอเดิฟช้ีให้เห็นว่านอกจากอุปลักษณ์จะเป็นส่วนส�ำคัญในปรัชญาแล้ว ยังเป็นสิ่งที่แสดง
ถึงความตึงแย้งของตัวบท ตัวอย่างท่ีเห็นได้ชัดคือ Phaedrus ของเพลโต ในงานที่ช่ือ “Plato’s
Pharmacy”9 จากส์ แดร์ริดา (Jacques Derrida) นกั ปรชั ญาชาวฝรง่ั เศส วเิ คราะหว์ า่ โสกราติสใช้

7จนิ ตภาพแห่งปรชั ญา – บรรณาธิการ
8ตรงกบั ภาษาองั กฤษวา่ metaphor หมายถงึ การเปรียบเทยี บด้วยการกล่าวสง่ิ หน่งึ เป็นอีกสง่ิ หนึ่ง มักไมก่ ลา่ ว
อยา่ งตรงไปตรงมาแตบ่ อกความหมายเป็นนยั – บรรณาธิการ

พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 317

อปุ ลกั ษณก์ ารเขยี นในการสอื่ แสดงความจรงิ ซง่ึ ตรงขา้ มกบั การพดู และการปรากฏตวั ของนกั ปรชั ญา
ผู้พูด ความย้อนแย้งในที่นี้ก็คือเพลโตซ่ึงเป็นผู้เขียนบทสนทนา Phaedrus10 ชักเชิดให้โสกราติส
ซึ่งไม่ได้เขียนงานอะไรไว้เลยตั้งต้นโจมตีการเขียน ย่ิงไปกว่าน้ัน ตัวค�ำพูดของโสกราตีสเองก็มี
ความยอ้ นแยง้ เขากลา่ ววา่ “ความทรงจำ� เลว” นนั้ เขยี นเปน็ เครอื่ งหมายเอาไว้ สว่ น “ความทรงจำ� ด”ี
คือการเขียนเอาไว้ในวิญญาณ แดร์ริดาช้ีให้เห็นว่าแม้แต่การปฏิเสธการเขียนก็ยังใช้อุปลักษณ์ของ
การเขยี นอยนู่ ่นั เอง

ตวั อย่างอุปลกั ษณ์เชงิ รื้อสร้างอน่ื ๆ เช่น อุปลกั ษณ์ของดวงตาในงานที่ชื่อ Philosophy and
Mirror of Nature ของริชาร์ด รอร์ตี้ (Richard Rorty) ซงึ่ เขาช้ีใหเ้ ห็นวา่ อปุ ลกั ษณ์ดวงตาเปน็
รากฐานของปรชั ญาความรสู้ มยั ใหม่ อปุ ลกั ษณด์ งั กลา่ วเปดิ โปงใหเ้ หน็ ความเสแสรง้ ของปรชั ญาทอ่ี า้ งวา่
น�ำเสนอความจริงให้ปรากฏ ในปรัชญาเฟมินิสต์ก็มีการวิพากษ์อุปลักษณ์ที่ยึดผู้ชายเป็นศูนย์กลาง
(phallogocentrism) ตวั อยา่ งเชน่ อริ กิ าเรยใ์ ชอ้ ปุ ลกั ษณ์ “เครอื่ งจกั ร” กบั กจิ กรรมทางปรชั ญา หนา้ ที่
ของเฟมนิ สิ ตก์ ค็ อื “การปว่ น” (jam) เครอื่ งจกั รทผี่ ลติ ความคดิ ทางปรชั ญาทย่ี ดึ ผชู้ ายเปน็ ใหญ่ ไมใ่ ช่
การเข้าไปมีส่วนกับดอกผลของความคิดนั้น อย่างไรก็ตาม ดังท่ีกล่าวมาแล้วว่าอุปลักษณ์ไม่ใช่แต่
จะใช้โดยนัยของการร้ือสร้างเท่านั้น หากแต่ยังมีนัยของการสร้างใหม่หรือน�ำไปสู่สิ่งใหม่ด้วย ดังท่ี
จลี เดอเลิซ (Gilles Deleuze) กบั เฟลกิ ซ์ กัตตารี (Félix Guattari) แสดงใหเ้ หน็ วา่ อปุ ลักษณ์
สามารถน�ำไปสู่การกลายรูป (metamorphosis) ได้ ค�ำไม่ได้สร้างแค่บาดแผลหรือความเจ็บปวด
เท่าน้ัน หากแต่ยงั เยียวยารกั ษาหรือประสานการแตกทำ� ลายได้อกี ดว้ ย

กรมิ ชอวเ์ สนอวา่ อนั ทจ่ี รงิ แลว้ ภาษาคอื อปุ ลกั ษณ์ ซง่ึ มคี วามสำ� คญั อยา่ งมากในการกำ� หนดให้
เราใชช้ วี ติ หรอื มองสง่ิ ตา่ งๆรอบๆตวั ตวั อยา่ งเชน่ “การอา้ งเหตผุ ลโตแ้ ยง้ คอื สงคราม” จะเปน็ สง่ิ ทก่ี ำ� กบั
ความเขา้ ใจของเราเกยี่ วกบั การโตแ้ ยง้ อภปิ ราย เราจะมคี ำ� วา่ “โจมต”ี “ชนะ” “ควำ�่ ” “รกุ ” “ยทุ ธศาสตร”์
เธอเสนอว่าหากเราใช้อุปลักษณ์ใหม่ก็จะท�ำให้เห็นมุมมองของการโต้แย้งอภิปรายแตกต่างออกไป
เช่น การใช้อุปลักษณ์ว่า “การอ้างเหตุผลโต้แย้งคือการเพาะปลูก” ท่ีเราจะรดน�้ำดูแลให้แดดทั่วถึง
และอาจจะมีค�ำพูดท�ำนองว่า ทฤษฎีนี้จะยังไม่สุกงอมจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิ หรือหนังสือเล่มน ้ี
ยังหย่ังรากลึกไม่พอ ที่ส�ำคัญอุปลักษณ์การเพาะปลูกยังมีส่วนที่เหล่ือมกับอุปลักษณ์สงครามด้วย
อาทิ การขจัดศตั รพู ืช การขจัดโรคพืช เป็นต้น
สสู่ วนปรชั ญา

ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ หากจะนำ� ขอ้ พจิ ารณาของเรอ่ื งอปุ ลกั ษณก์ ารเพาะปลกู มาใชก้ อ็ าจจะทำ� ใหเ้ หน็
พลวัตของการท่ีเฟมินิสต์เข้าไปจัดการกับประวัติปรัชญาได้เช่นกัน ทั้งนี้ผู้เขียนจะทดลองน�ำเสนอ
โดยแบง่ เปน็ 4 แมแ่ บบ โดยเนน้ ตวั อยา่ งปรชั ญาตะวนั ตกสมยั ใหม่ ซงึ่ เปน็ ยคุ ทผี่ หู้ ญงิ มบี ทบาทมากขน้ึ
ขณะเดียวกนั การรงั เกยี จผหู้ ญงิ ก็ปรากฏชัดเจนในงานเขียนของนกั ปรชั ญาผชู้ าย

แมแ่ บบแรก คอื การวนิ จิ ฉยั โรค ซงึ่ หมายถงึ การทน่ี กั ปรชั ญาเฟมนิ สิ ตเ์ ขา้ ไปวเิ คราะหใ์ หเ้ หน็ วา่
ปัญหาของประวัติปรัชญามีรากเหง้ามาจากโรคพืชท่ีเรียกว่าการรังเกียจผู้หญิง อาทิ หนังสือ
Feminism and Modern Philosophy11 (2004) ของ แอนเดรยี ไนย์ท่ีชี้ใหเ้ ห็นถึงการรงั เกยี จผู้หญิง
ในงานของค้านท์ ฮวิ มแ์ ละรุสโซ

9เภสัชกรรมของเพลโต บางแหง่ แปลวา่ ห้องยาของเพลโต – บรรณาธิการ
10เฟดรสั แปลวา่ บทสนทนาของเพลโต เนอื้ หาของหนงั สอื วา่ ดว้ ยปญั หาและความยอกยอ้ นของการพดู การเขยี น
รวมท้ังวาทศิลป์ ของมนุษย์ – บรรณาธกิ าร
11สตรีนิยมและปรัชญาสมัยใหม่ – บรรณาธิการ

318 พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

แมแ่ บบทสี่ อง ไดแ้ ก่ การดแู ลรกั ษา ตดั แตง่ กง่ิ กา้ นสว่ นทกี่ ดี กา่ ย รวมทง้ั การขจดั แมลงศตั รพู ชื
ตวั อยา่ งเช่นบทความชอ่ื “Descartes and Elisabeth A Philosophical Dialogue?”12 ของลิลลี
อะลาเนน (Lilli Alanen, 2004) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตีความบทสนทนาผ่านจดหมายของ
เดส์คาร์ตส์กับเจ้าหญิงเอลิซาเบ็ธแห่งโบฮีเมียนั้น นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงบทบาทของผู้หญิง
ในประวตั ปิ รชั ญาสมยั ใหมแ่ ลว้ ยงั ทำ� ใหต้ คี วามกจิ กรรมทางปรชั ญาในความหมายทกี่ วา้ งกวา่ การครนุ่ คดิ
โดยลำ� พงั

แมแ่ บบทส่ี าม คือการเก็บเกยี่ ว ซง่ึ หมายถงึ การทเี่ ฟมนิ ิสตต์ ีความงานของนักปรชั ญาผู้ชาย
ทเ่ี รยี กวา่ เปน็ งานหลกั (canon) เพอื่ สนบั สนนุ จดุ ยนื ของตวั เอง ตวั อยา่ งเชน่ แอนเนต็ ไบเยอร์ (Annette
Baier) ทเ่ี หน็ ว่า เดวดิ ฮิวม์ มจี ุดยืน “อยา่ งผหู้ ญงิ ” แม้ไมใ่ ช่ผู้หญิงกต็ าม โดยเธอเหน็ ว่ามุมมองของ
ฮิวม์ท่วี า่ ศีลธรรมมีรากฐานจากอารมณ์ความรสู้ กึ นน้ั ไปกนั ได้กบั ข้อเสนอของเฟมนิ สิ ต์

แมแ่ บบทส่ี ่ี ไดแ้ ก่ การรอ้ื ถอน ซง่ึ เปน็ เฟมนิ สิ ตท์ เี่ หน็ วา่ ประวตั ปิ รชั ญาโดยรวมมปี ญั หาเพราะ
เปน็ มมุ มองของผชู้ ายเปน็ ใหญ่ วธิ กี ารจดั การคอื รอ้ื ถอนเสยี เพอื่ ทจี่ ะเปดิ พนื้ ทใ่ี หผ้ หู้ ญงิ ตวั อยา่ งเชน่
ลซู อริ กิ าเรยท์ วี่ พิ ากษก์ ารมองผหู้ ญงิ ผา่ นจดุ ยนื ผชู้ ายอยา่ งเดสค์ ารต์ ส์ ซง่ึ สง่ ผลใหม้ องไมเ่ หน็ ความเปน็
ผหู้ ญิง เนอื่ งจากตวั ตนผหู้ ญงิ รบั รู้ได้ผา่ นการสัมผสั ไมใ่ ชก่ ารมอง
วินจิ ฉยั โรค

ในหนงั สอื Feminism and Modern Philosophy นน้ั แอนเดรยี ไนย์ (Andrea Nye, 2004)
ได้ชี้ให้เห็นถึงการรังเกียจผู้หญิงในงานของนักปรัชญาสมัยใหม่ รวมท้ังวิพากษ์งานของเฟมินิสต ์
ทน่ี ำ� งานของนกั ปรชั ญาผชู้ ายเหลา่ นม้ี าสนบั สนนุ ความคดิ ของตน ไนยเ์ หน็ วา่ งานของคา้ นทท์ แ่ี สดงถงึ
การรงั เกยี จผหู้ ญงิ อยา่ งโจง่ แจง้ ไดแ้ ก่ Anthropology13 ซง่ึ เปน็ งานชว่ งตน้ ของเขา แตต่ พี มิ พใ์ นตอน
บนั้ ปลายชวี ติ งานชน้ิ นม้ี งุ่ วเิ คราะหธ์ รรมชาตขิ องมนษุ ยท์ ง้ั ชายและหญงิ เนอ่ื งจากการเขา้ ใจธรรมชาติ
ของมนุษย์จะเป็นพื้นฐานของจริยศาสตร์ แม้จะเป็นธรรมชาติด้านลบที่มนุษย์จะต้องก้าวข้ามก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการปฏิเสธความต้องการน้ันไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หากแต่จะ
พฒั นาเกดิ ขน้ึ ในตวั ผชู้ ายในชว่ งอายุ 40 ซงึ่ ทำ� ใหเ้ ขาเปน็ คนเตม็ คน เนอ่ื งจากสามารถปฏเิ สธความตอ้ งการ
หรอื ตัณหา และปฏิเสธความเย้ายวนของวัตถทุ ีก่ ระต้นุ ความปรารถนานั่นเอง

ค้านท์เห็นว่าธรรมชาติเรียกร้องให้ชายกับหญิงต้องหลอมรวมกันเป็นเอกภาพ ดังน้ัน
ธรรมชาตจิ งึ สรา้ งใหผ้ ชู้ ายกบั ผหู้ ญงิ แตกตา่ งกนั เพราะหากเหมอื นกนั กจ็ ะเกดิ ความขดั แยง้ ดว้ ยเหตนุ ี้
ธรรมชาตจิ ึงท�ำใหผ้ ู้ชายมคี วามเหนือกว่าด้านเหตุผล ความแขง็ แกร่ง และความกล้า ในทางตรงขา้ ม
ผหู้ ญงิ จะใชอ้ ารมณ์ ออ่ นแอ และขกี้ ลวั อยา่ งไรกต็ าม ธรรมชาตไิ ดใ้ หพ้ ลงั อำ� นาจประการหนง่ึ แกผ่ หู้ ญงิ
นน่ั คอื ความสามารถทจี่ ะปฏเิ สธการมเี ซก็ ซก์ บั ผชู้ าย เพอื่ ทจี่ ะทำ� ใหเ้ ธอไดส้ ง่ิ ทต่ี อ้ งการ นนั่ กค็ อื การแตง่ งาน
หากผู้หญิงไมม่ ีพลงั อ�ำนาจนี้ ค้านท์เห็นวา่ ผชู้ ายจะรวบอ�ำนาจจนน�ำไปสู่ความป่าเถอ่ื นไรอ้ ารยธรรม
สำ� หรบั คา้ นทแ์ ลว้ นสิ ยั ผหู้ ญงิ อยา่ งการพดู มาก ชอบเถยี ง และนสิ ยั เหมอื นเดก็ นน้ั ถอื เปน็ พลงั อำ� นาจ
ในการต่อรองของเธอ นอกจากนี้แล้ว ค้านท์ยังเห็นว่าผู้หญิงไม่เหมาะกับโลกทางปัญญาหรือ
โลกวชิ าการ มหิ นำ� ซำ้� เขายงั เหน็ วา่ การสนทิ ชดิ เชอ้ื กบั ผหู้ ญงิ เพราะเปน็ อนั ตราย หากเลยี่ งไดใ้ หเ้ ลยี่ ง
ซง่ึ ไนยเ์ หน็ วา่ ตวั คา้ นทเ์ องกท็ ำ� ตามคำ� แนะนำ� ของตนเองอยา่ งเครง่ ครดั ดว้ ยการไมแ่ ตง่ งาน! นอกจากนี้

12เดส์คาร์ตสแ์ ละเอลิซาเบธ บทสนทนาทางปรชั ญา – บรรณาธิการ
13มานุษยวิทยา – บรรณาธิการ

พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 319

เธอยงั ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ เฟมนิ สิ ตโ์ จมตคี า้ นทท์ ม่ี ที ศั นะขดั แยง้ กนั เอง ในดา้ นหนงึ่ คา้ นทเ์ หน็ วา่ ไมค่ วรใชม้ นษุ ย์
คนอ่ืนเป็นเคร่ืองมือ และถือว่าหลักศีลธรรมเป็นกฎสากลท่ีใช้ได้กับมนุษย์ทุกคน แต่ขณะเดียวกัน
เขากม็ ีทา่ ทรี ังเกยี จผูห้ ญงิ อยา่ งโจง่ แจง้

ไนย์เหน็ วา่ งานท่ีเขยี นในวัยหนุ่มอย่าง Observation on the Feeling of the Beautiful
and Sublime14 คา้ นท์กลับไมไ่ ดม้ ที ่าทีรังเกียจผู้หญิงชัดเจนนัก ในงานชิ้นดังกล่าวคา้ นทพ์ ูดถงึ เร่ือง
ความงาม ซงึ่ มไิ ดม้ ีความหมายจ�ำกดั เพียงความงามของศลิ ปะ แตห่ มายถงึ ความงามของธรรมชาติ
ศลิ ปะตกแตง่ สถาปตั ยกรรม และผคู้ น คา้ นทใ์ นวยั หนมุ่ มองวา่ ผหู้ ญงิ เปน็ เพศทส่ี วยงาม มจี ติ ใจดงี าม
ย่ิงไปกว่านั้น อารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมด้วยความรักของผู้หญิงยังเป็นพื้นฐานของศีลธรรมที่มิพัก
ตอ้ งอาศยั ขอ้ เรยี กรอ้ งเชงิ หนา้ ทเี่ หมอื นผชู้ ายแตอ่ ยา่ งใด ทสี่ ำ� คญั จติ ใจดขี องผหู้ ญงิ อนั ไดแ้ ก่ ความรสู้ กึ
เปี่ยมด้วยความรัก เคารพผู้อื่น และความเช่ือม่ันในตัวเองยังเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้ชายยังคงรักเธอ
แมเ้ มอ่ื แกต่ วั ลงและความงามทางกายภาพเรมิ่ โรยราตามวยั นอกจากน้ี ในเรอ่ื งของความรทู้ างวชิ าการ
คา้ นทส์ มยั หนมุ่ ยงั พดู ดว้ ยนำ้� เสยี งชน่ื ชม กลา่ วคอื เขาเหน็ วา่ ความรทู้ างวชิ าการตอ้ งอาศยั ความวริ ยิ ะ
ซ่งึ อาจจะกระทบกระเทอื นความงามของผ้หู ญงิ ดงั นัน้ ผู้หญิงมคี วามรูใ้ นระดับที่พอจะร้ทู ันมุกตลก
เก่ียวกบั ปรัชญาในวงงานเล้ยี งกพ็ อแลว้

ในงาน Observation on the Feeling of the Beautiful and Sublime14 นัน้ ค้านท์เหน็
ว่าผู้ชายที่ตรงไปตรงมา มีความต้องการที่ไม่ซับซ้อนอาจจะหันความสนใจไปหาการสร้างบ้านหรือ
การท�ำมาหาเงิน แต่ผู้ชายท่ีมีความปรารถนาที่ละเอียดอ่อน มีความสุนทรียะน้ัน เรื่องรักๆ ใคร่ๆ
ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะเขาเป็นกังวลว่าผู้หญิงจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เขาจึงไม่รีบแต่งงาน
ตอนยังหนุ่มหรือกระท่ังไม่แต่งงานเลย แน่นอนว่าผู้ชายลักษณะน้ีก็คือตัวค้านท์เอง! ภาพลักษณ์
เช่นน้ีแตกต่างจากที่ค้านท์พรรณนาใน Anthropology ที่เขาเห็นว่าความรักท�ำให้ผู้ชายกลายเป็น
คนโง่ คา้ นทเ์ ปรยี บผ้ชู ายซื่อๆ และเซอะเซอ่ วา่ เปรยี บเหมอื นชาวนาบ้านนอกเขา้ เมืองแลว้ ถามทาง
กบั ผหู้ ญงิ เธอกจ็ ะยม้ิ ให้ แตเ่ ปน็ ยมิ้ ทฉี่ าบเคลอื บดว้ ยมารยา แลว้ เธอกจ็ ะนำ� ไปเปน็ เรอื่ งตลก ในกรณี
ทผ่ี ชู้ ายเป็นคนทไ่ี ม่ไดท้ ่ึมอะไรแต่กม็ กั จะแสรง้ เปน็ สภุ าพบุรษุ ท้งั ท่ใี นใจน้นั เต็มไปด้วยราคะ

คา้ นท์, ก�ำลังผสมมสั ตารด์ ในหมอ้ วาดโดย ฟรีดรชิ ฮาเงอมันน์ (1801)
14การสงั เกตการณ์ความรู้สึกแหง่ ความสวยงามและความเลอคา่ – บรรณาธกิ าร

320 พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

ถา้ จะใชภ้ าษาอปุ ลกั ษณก์ ารเพาะปลกู แลว้ โรคพชื ทชี่ อื่ วา่ การรงั เกยี จผหู้ ญงิ ทเ่ี กย่ี วกระหวดั
ความคิดของเขาในงาน Anthropology นั้นมีลักษณะเดียวกับงานปรัชญาช่ือ Emile ของรุสโซ
ปรมาจารย์ที่ค้านท์ยกย่อง ในงานดังกล่าวรุสโซมองว่าผู้หญิงใช้งานผู้ชายเหมือนหุ่นชักเชิด ท�ำให้
ผชู้ ายทรมานกบั ความรสู้ กึ ไมแ่ นใ่ จวา่ ลกู ทเี่ กดิ มาจะเปน็ เลอื ดเนอื้ เชอื้ ไขของเขาจรงิ ๆ หรอื ไม่ รวมทงั้
การทมุ่ เทแทบเปน็ แทบตายเพอ่ื สนองความตอ้ งการอนั ไมส่ น้ิ สดุ ของผหู้ ญงิ ในงานทช่ี อื่ Lecture on
Ethics15 คา้ นทเ์ สนอวา่ หน้าท่ที างศลี ธรรมเปน็ ศกั ดศิ์ รีและอิสรภาพของมนุษยเ์ ท่ากับวา่ หากเราไม่
ส่ำ� ส่อนทางเพศและไม่ “ชว่ ยตวั เอง” เพราะหากเราไม่อาจควบคมุ อารมณค์ วามรสู้ กึ ของตวั เองไดก้ ็
จะถือว่าไร้เกียรติ ส�ำหรับค้านท์แล้วการยอมตามความปรารถนาทางเพศเป็นการลดตัวไปเป็นวัตถุ
ทางเพศ การ “ช่วยตัวเอง” รักร่วมเพศ และการเป็นโสเภณีนับว่าผิดร้ายแรงกว่าการฆ่าตัวตาย
เสยี ดว้ ยซ้�ำ

แม้จะไม่เป็นท่ีแน่ชัดว่าเหตุใดค้านท์จึงเปล่ียนจุดยืนมองผู้หญิงในแง่ร้ายขึ้น แต่หากย้อน
ไปดปู ระวตั ชิ วี ติ เขากจ็ ะพบวา่ คา้ นทม์ ปี ระวตั เิ จบ็ ชำ�้ นำ�้ ใจเรอื่ งผหู้ ญงิ จนทำ� ใหเ้ ขาถงึ กบั ไมย่ อมแตง่ งาน
ตลอดชีวิต เรื่องมีอยู่ว่าค้านท์เป็นเพ่ือนกับโยฮัน ยาโคบี (Johann Jacobi) ซึ่งเป็นมิตรสหาย
ในแวดวงวรรณคดี ยาโคบมี ภี รรยาอายนุ อ้ ยกวา่ ตวั เองมาก คอื มาเรยี ชาลอ็ ตตา้ (Maria Charlotta)
เนอื่ งจากเธอเบอื่ หนา่ ยสามที อี่ ายมุ ากกวา่ จงึ พยายามหนั ไปหาความสมั พนั ธก์ บั คนอนื่ รวมทง้ั คา้ นทด์ ว้ ย
คา้ นทเ์ องกส็ นทิ กบั ฝา่ ยหญงิ มากกวา่ ซง่ึ ดไู ดจ้ ากจดหมายฉบบั หนง่ึ ทม่ี นี ำ�้ เสยี งเชงิ เกยี้ วพาราสี แตเ่ ขา
มวั โอเ้ อห้ รอื อาจจะไมเ่ ลน่ ดว้ ย เธอจงึ หนั ไปหาเพอ่ื นอกี คน ซง่ึ กเ็ ปน็ เพอ่ื นของคา้ นทด์ ว้ ย ความสมั พนั ธน์ ี้
ทำ� ใหเ้ ธอหยา่ รา้ งในทสี่ ดุ เหตกุ ารณค์ รงั้ นท้ี ำ� ใหค้ า้ นทร์ สู้ กึ หลากอารมณ์ ทง้ั หงึ หวง อบั อายและขนุ่ เคอื ง
มิตรสหายพากันหัวเราะเยาะเขาลับหลัง ท�ำให้ค้านท์ปิดประตูให้กับการแต่งงานและครองชีวิตโสด
เนอื่ งจากเขาตระหนกั วา่ ผหู้ ญงิ พรอ้ มจะนอกใจสามไี ดเ้ สมอ ไนยเ์ หน็ วา่ ประสบการณค์ รงั้ นที้ ำ� ใหค้ า้ นท์
มองวา่ ความรูส้ ึกเอาแนเ่ อานอนไมไ่ ด้ ไมน่ ่าไวว้ างใจและไมอ่ าจจะใช้เปน็ ฐานของศีลธรรมได้

ลองมาดูเดวิด ฮิวม์ ผู้มีอิทธิพลกับค้านท์มาก เราจะพบว่าฮิวม์ดูจะเป็นเสรีนิยมเร่ืองเพศ
มากกว่าค้านท์ที่สนับสนุนการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียวอย่างชัดเจน ฮิวม์กลับมองว่าผู้หญิง
ควรจะมสี ทิ ธเิ ลอื กสามไี ด้ หรอื คดั คา้ นการแตง่ งานกบั ผชู้ ายทเ่ี ธอไมไ่ ดร้ กั ไนยเ์ หน็ วา่ ในวงสงั คมชน้ั สงู
ในปารสี และลอนดอนผชู้ ายจะอนญุ าตใหภ้ รรยาพบปะผชู้ ายในซาลอน (salon) ซงึ่ บางทเี ปน็ ความสมั พนั ธ์
แบบโรแมนตกิ ดว้ ยซำ้� ไป เนอื่ งจากเมอ่ื ความรกั จดื จางลงยอ่ มตอ้ งหาทางออก ฮวิ มเ์ องกไ็ ดร้ บั ประโยชน์
จากบรรยากาศทเ่ี ปย่ี มดว้ ยเสรภี าพเชน่ นี้ ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ เขาเองกม็ เี รอ่ื งรกั ๆ ใครๆ่ อยไู่ มน่ อ้ ยทเี ดยี ว

ใน “Of Polygamy and Divorce”16 ฮิวม์เสนอว่ามาตรฐานตัดสินการแต่งงานได้แก่
ประโยชน์ ไมใ่ ชห่ นา้ ท่ี เขาเองได้อา่ นบันทึกการเดินทางของกปั ตนั คุก (Cook) เช่นเดียวกบั คา้ นท์
และยกตัวอย่างจากหนังสือดังกล่าวเช่นกัน เพื่อช้ีให้เห็นถึงความเป็นไปได้ท่ีจะแต่งงานช่ัวคราว
โดยมงุ่ ประโยชน์ ดงั เชน่ ลกู เรอื กบั ผหู้ ญงิ พน้ื เมอื งแหง่ หมเู่ กาะทะเลใต้ รวมถงึ การแตง่ งานในวฒั นธรรม
เอเชียและการมีฮาเรม นอกจากน้ี เขายังพูดถึงความเป็นไปได้ท่ีจะแต่งงานโดยมีภรรยาหลายคน
รวมถงึ การหยา่ รา้ ง อยา่ งไรกต็ าม ฮวิ มก์ ลบั เหน็ วา่ การแตง่ งานแบบมภี รรยาหลายคนอาจจะไมเ่ หมาะ
กบั สงั คมยุโรป เพราะจะเปน็ การทำ� ลายความรักและมติ รภาพ เขาเห็นว่าชาวยโุ รปควรแต่งงานแบบ

15การบรรยายเก่ยี วกบั จริยศาสตร์ – บรรณาธกิ าร
16หลายผัวหลายเมยี และการหยา่ รา้ ง – บรรณาธิการ

พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 321

ผัวเดียวเมียเดยี วนา่ จะเหมาะสมกวา่ เมอ่ื ความรักจืดจางลงแลว้ ผ้ชู ายกับผหู้ ญิงสามารถเป็นเพ่อื น
ทส่ี มประโยชน์กันได้ และไปหาความโรแมนตกิ จากทอ่ี ่ืนแทน

ฮิวม์เห็นว่าผู้หญิงยุโรปยังพอจะเรียกร้องจากผู้ชายได้บ้าง เธอสามารถบ่นได้หากสามีข้ีหึง
เกินเหตุ เปน็ เผด็จการหรือไมเ่ สมอตน้ เสมอปลาย นอกจากน้ี เขายงั เห็นว่าสงั คมมอี คติทางศีลธรรม
(moral prejudice) ต่อผู้หญิง หากผู้หญิงที่ท้องโดยไม่มีพ่อ และพยายามอยู่คนเดียว รวมทั้ง
มเี อกสทิ ธบ์ิ างอยา่ งเหมอื นผู้ชาย เธอก็จะถูกสังคมประณาม สำ� หรับฮวิ มแ์ ล้ว ผหู้ ญิงยุโรปมีสถานะ
ดีกว่าผู้หญิงในสังคมอ่ืน เน่ืองจากสามารถเรียกร้องบางอย่างได้ แต่ในสังคมที่ล้าหลังผู้หญิงจะอยู่
ภายใตอ้ ำ� นาจของผชู้ ายโดยเรยี กรอ้ งอะไรไมไ่ ด้ จงึ ไมม่ สี ทิ ธม์ิ เี สยี งใดๆ ไมต่ า่ งอะไรจากสตั วท์ ไ่ี มม่ สี ทิ ธ์ิ
ของสัตว์ เพียงเพราะมันแสดงความโกรธเคืองและตอบโต้มนุษย์ไม่ได้ จึงไม่มีประโยชน์ท่ีจะมีสิทธ์ิ
ของสตั ว์

อยา่ งไรกต็ าม แมฮ้ วิ มจ์ ะมองผหู้ ญงิ ในดา้ นบวกมากกวา่ คา้ นท์ แตเ่ ขากย็ งั มองผหู้ ญงิ ในดา้ นลบ
อยดู่ ี เช่น เขาเหน็ ว่าผู้หญิงไมเ่ หมาะกับวิชาการที่ตอ้ งเขม้ งวด แต่เหมาะกับประวัติศาสตร์แบบเบาๆ
ส�ำหรบั “กุลสตรี” ในทศั นะของฮิวมแ์ ลว้ ผูห้ ญิงไม่ไดม้ สี ิทธิ์โดยตัวเอง แตเ่ ป็นสทิ ธิท์ ี่เกิดจากเสน่ห์
ของผหู้ ญงิ ในกรณขี องคา้ นท์ ผู้หญงิ มมี ารยาโดยธรรมชาติ เพ่อื ใช้จัดการกับผชู้ าย แต่สำ� หรบั ฮิวม์
เสน่หข์ องผู้หญิงมาจากการศึกษา จากขนบของสงั คม และจากประโยชนท์ จี่ ะตกแก่สังคม หรือกล่าว
อกี นยั หนงึ่ กค็ อื เปน็ การตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของสงั คม แตก่ ระนน้ั ผหู้ ญงิ กม็ สี ทิ ธเิ์ ปน็ ไดแ้ คแ่ ม่
และเมียเท่านั้น ไนย์เห็นว่าถึงที่สุดแล้วฮิวม์เองก็รังเกียจผู้หญิงเหมือนค้านท์ แต่อาจจะต่างระดับ
กนั เทา่ นั้น ยิง่ ไปกว่านั้น ค้านท์กด็ จู ะน�ำทศั นะของฮิวม์ต่อผู้หญิงไปสานตอ่ ให้เข้มขน้ ย่งิ ข้นึ

ไนย์เห็นว่าการอ่านปรัชญาโดยโยงกับประวัติส่วนตัวของนักปรัชญา อาจจะถูกวิจารณ์ว่า
เป็นเหตุผลวิบตั ิ แต่เธอเห็นวา่ การอ่านแบบนี้เป็นการอ่านจากจุดยนื ผ้หู ญิง ซ่ึงไมใ่ ชเ่ พียงการศกึ ษา
ประวตั ปิ รชั ญา หากแตท่ ำ� ใหเ้ ขา้ ใจธรรมชาตขิ องปรชั ญา รวมไปถงึ การเปลยี่ นมมุ มองตอ่ ปรชั ญาดว้ ย
ในดา้ นหนง่ึ การทเ่ี ราเชอื่ มโยงความผดิ หวงั เกยี่ วกบั ความรกั ของคา้ นทก์ บั จรยิ ศาสตรท์ ใ่ี ชเ้ หตผุ ลเปน็
ฐานะของเขา แทนทจ่ี ะใชค้ วามรสู้ กึ กท็ ำ� ใหเ้ หน็ วา่ นกั ปรชั ญามที ง้ั มติ ขิ องความคดิ และความรสู้ กึ มใิ ช่
การใชเ้ หตผุ ลนามธรรมทเ่ี ปน็ กลางทางเพศแตอ่ ยา่ งใด ในแงน่ กี้ ารรงั เกยี จผหู้ ญงิ กม็ คี ณุ คา่ ทช่ี ใ้ี หเ้ หน็
ว่าความคดิ ทางปรชั ญามที ี่มาท่ีไป

เราจะเข้าใจได้ว่า ค�ำส่ังเด็ดขาด (categorical imperative) ในจริยศาสตร์ของค้านท์น้ัน
แผร่ ากมาจากฐานคตทิ วี่ า่ อารมณค์ วามรสู้ กึ ไมอ่ าจจะเปน็ ฐานของศลี ธรรมได้ แมก้ ารเชอ่ื มโยงแนวคดิ
ทางปรัชญากับเร่ืองรักๆ ใคร่ๆ แรงขับทางเพศ หรืองานเลี้ยงสังสรรค์ จะดูเหมือนเป็นการท�ำให้
ปรชั ญากลายเปน็ เรอ่ื งไมส่ ลกั สำ� คญั แตก่ เ็ ปน็ การดงึ ปรชั ญากลบั มาสชู่ วี ติ ซงึ่ มมี ติ ขิ องความรสู้ กึ ดว้ ย
ในแงน่ ี้ ไนยเ์ ชอ่ื วา่ การอา่ นปรชั ญาสมยั ใหมจ่ ากจดุ ยนื ผหู้ ญงิ จงึ เผยใหเ้ หน็ ความเปน็ ไปไดท้ ค่ี ดิ ปรชั ญา
จากมุมมองของผ้หู ญิง
ดูแลรกั ษา

แนวทางการดูแลรักษา ก็คือการท่ีเฟมินิสต์เข้าไปมีส่วนปรับปรุง “สวนปรัชญา” ขณะ
เดียวกันก็ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงมีบทบาทส�ำคัญในกิจกรรมทางปรัชญาอย่างไร ส�ำหรับเฟมินิสต์กลุ่มนี้
เห็นว่า “สวนปรัชญา” อาจจะมีโรคพืชท่ีเรียกว่าการรังเกียจผู้หญิง แต่กระน้ันก็ยังมีคุณค่าพอที่จะ
เขา้ มาดแู ลรกั ษา ปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลง รดนำ�้ พรวนดนิ ใสป่ ยุ๋ กระทง่ั ปลกู พชื ชนดิ ใหมแ่ ซมลงไป โดย

322 พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

สามารถดแู ลใหอ้ อกดอกผลได้ ผเู้ ขยี นจะขอยกตวั อยา่ งเชน่ บทความชอื่ “Descartes and Elisabeth
A Philosophical Dialogue?” ของ ลิลี อะลาเนน (Lilli Alanen, 2004) อกี ครัง้ ซ่ึงเธอไดต้ ้งั
ค�ำถามวา่ บทสนทนาทางจดหมายระหว่างเจา้ หญงิ เอลิซาเบธแห่งโบฮเี มยี กับเรอเน เดส์คาร์ตส์ ผูไ้ ด้
ช่ือวา่ บิดาแหง่ ปรัชญาสมัยน้ัน ถอื เป็นบทสนทนาทางปรชั ญาหรอื ไม่

เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งโบฮีเมียเป็นผู้หญิงที่มีช่ือเสียงในวงปรัชญาตะวันตกศตวรรษที่ 17
แมเ้ ธอจะไมม่ ผี ลงานตพี มิ พ์ และมเี พยี งจดหมายตอบโตก้ บั เดสค์ ารต์ สก์ ต็ าม แตค่ วามสำ� คญั ของเธอ
จะเหน็ ไดจ้ ากการทเ่ี ดสค์ ารต์ สอ์ ทุ ศิ หนงั สอื The Principle of Philosophy17 อนั เปน็ ผลงานชน้ิ สำ� คญั
ของเขาให้เธอ นอกจากนี้ เดส์คาร์ตส์ยังช่ืนชมสติปัญญาของเธออย่างมาก แม้เจ้าหญิงเอลิซาเบธ
จะสงู ศกั ด์ิ แตเ่ ธอกม็ สี ถานะเปน็ ผลู้ ภ้ี ยั สงครามสามสบิ ปี อนั เปน็ สงครามศาสนาทยี่ าวนาน ครอบครวั
เธออพยพมาพ�ำนักท่ีฮอลแลนด์ และมีสถานะยากจน เธอเป็นเจ้าหญิงผู้เลอโฉมผู้ลี้ภัยที่ชื่นชอบ
ผลงานของเดส์คาร์ตส์ โดยที่เธอสนใจทั้งคณิตศาสตร์และปรัชญา ค�ำถามก็คือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ
เปน็ นกั ปรชั ญาหรอื ไม?่ เพราะดเู หมอื นวา่ เธอเองจะถอื วา่ ตนปวารนาตนเปน็ ศษิ ยท์ คี่ อยตง้ั คำ� ถามกับ
เดส์คาร์ตส์และคอยรับค�ำแนะน�ำเรื่องการเยียวยารักษาโรคของเธอมากกว่าจะเข้าใจว่าตนเป็น
นกั ปรชั ญา

คำ� ถามทวี่ า่ เอลซิ าเบธเปน็ นกั ปรชั ญาหรอื ไมน่ นั้ มคี วามสำ� คญั สำ� หรบั เฟมสิ ตใ์ นการกำ� หนด
ทที่ างและทา่ ทขี องตนในประวตั ปิ รชั ญาตะวนั ตก รวมทงั้ การเรยี กรอ้ งการมสี ว่ นรว่ มใน “สวนปรชั ญา”
อะลาเนนยกตวั อย่างค�ำตอบ 2 แนวทาง ได้แก่ แดเนยี ล การเ์ บอร์ (Daniel Garber) ตอบวา่ ไม่
เพราะเดส์คารต์ สม์ องวา่ เจ้าหญงิ เอลิซาเบธเป็นเพียง “กุลธิดาผคู้ งแกเ่ รียน” (learn maid) เทา่ น้นั
หาใช่นักปรัชญาไม่

ในขณะที่ ลซิ า ชาพิโร (Lisa Shapiro) ตอบวา่ เจา้ หญิงเอลซิ าเบธเปน็ นกั ปรชั ญาท่ีสามารถ
โต้แย้งฐานคิดทวินิยมของเดส์คาร์ตส์ได้ ชาพิโรเห็นว่าจริงอยู่ที่เราไม่อาจเปรียบเทียบเอลิซาเบธ
กับเดส์คาร์ตส์ได้ แต่เจ้าหญิงเองก็ได้น�ำเสนอความคิดของตนเองเป็นแนวทางของตนเอง โดยเธอ
เห็นวา่ ความสมั พันธร์ ะหว่างจิตกบั กายนนั้ นอกจากจติ จะควบคุมร่างกายแลว้ ลกั ษณะทางกายกย็ ัง
ส่งผลตอ่ จิตดว้ ยเช่นกนั ดงั จะเห็นได้ยามท่เี ราป่วยจะไม่สามารถคดิ ไดแ้ จ่มชัด โดยเฉพาะการเขยี น
จดหมายโต้ตอบในช่วงท้ายนั้นเจ้าหญิงอธิบายว่าอารมณ์ความรู้สึกส่งผลต่อตัวเราในการตัดสินใจ
ท�ำอะไรตา่ งๆ ดว้ ยเชน่ กัน

อยา่ งไรกต็ าม อะลาเนนกลบั เหน็ วา่ ควรตง้ั คำ� ถามทต่ี วั กจิ กรรมทางปรชั ญามากกวา่ ความเปน็
นกั ปรชั ญา โดยเธอเหน็ วา่ บทสนทนาทางปรชั ญาระหวา่ งเจา้ หญงิ กบั นกั ปรชั ญาคนู่ นี้ บั เปน็ การสนทนา
ทางปรัชญาที่ดีที่สุดที่เคยมีมา แม้ว่าเราไม่อาจจะยกระดับเอลิซาเบธให้เทียบเท่าเดส์คาร์ตส์ก็ตาม
ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ จดุ ยนื ของอะลาเนนกบั ชาพโิ รอาจจะไมต่ า่ งกนั มากนกั เนอื่ งจากทง้ั คตู่ า่ งเหน็ ความสำ� คญั
ของการที่ผูห้ ญิงจะเขา้ ไปมบี ทบาทในประวัตปิ รัชญา ชาพิโรเห็นว่าจะตอ้ งหาเส้นดา้ ยที่จะเชอื่ มร้อย
ผู้หญิงเข้าไปในประวัติปรัชญาให้ได้ และด้ายเส้นน้ันต้องหนาเพียงพอ ซ่ึงหนึ่งในเส้นด้ายนั้นก็คือ
เจ้าหญิงเอลิซาเบธ (Lisa Shapiro, 2014: 224-25) ขณะที่ชาพิโรเน้นตัวเนื้อหาท่ีเป็นตัวบ่งช ้ี
ความหนาของเส้นดา้ ย แต่อะลาเนนกลับเนน้ ท่ีตัวกิจกรรมทางปรัชญามากกวา่

อะลาเนนวิเคราะห์ว่า ใช่แต่เพียงเจ้าหญิงเอลิซาเบธท่ีต้องล้ีภัยเท่าน้ัน แต่ในช่วงเวลาน้ัน
เดสค์ ารต์ สเ์ องกห็ ลบลจี้ ากวงวชิ าการในมหาวทิ ยาลยั ซง่ึ คงจะยอมรบั ความคดิ เขาไดไ้ มง่ า่ ยนกั เนอื่ งจาก

17ปฐมภมู แิ ห่งปรชั ญา – บรรณาธิการ

พลังผ้หู ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 323

อิทธิพลของศาสนายังมีอยู่สูง เขาจึงแสวงหาผู้รับฟังที่มีสติปัญญา แต่ไม่ได้ผ่านการศึกษา
ในมหาวทิ ยาลยั เพอ่ื มารว่ มสนทนาเกยี่ วกบั ดอกผลทางความคดิ ของเขา เพราะจะไดเ้ ปดิ กวา้ งรบั ฟงั
ความคิดของเขาโดยปราศจากอคติ อะลาเนนเห็นว่าเอลิซาเบธมีคุณสมบัติดังกล่าวครบถ้วนพอด ี
เจา้ หญงิ เอลซิ าเบธพบกบั เดสค์ ารต์ สท์ อี่ มั สเตอรด์ มั ผา่ นเฮนรี พอลลอ็ ต (Henri Pollot) ซงึ่ เปน็ เพอ่ื น
ของทั้งคู่ อันที่จริงแล้วเอลิซาเบธเคยศึกษาปรัชญาของเดส์คาร์ตส์มาบ้างแล้วกับเรเจียส (Regius)
หรือ อองรี เลอ รัว (Henry Le Roy) เจ้าหญิงถามเรเจียสเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับกาย
แตเ่ รเจยี สขอใหเ้ ธอถามเดสค์ ารต์ สเ์ องโดยตรง พอลลอ็ ตกไ็ ดร้ บั คำ� อนญุ าตจากเดสค์ ารต์ สใ์ หเ้ จา้ หญงิ
ปรึกษาเขาได้โดยตรง ที่ส�ำคัญดูเหมือนเดส์คาร์ตส์จะตอบค�ำถามเจ้าหญิงโดยถือเป็นจริงเป็นจัง
โดยไมห่ งดุ หงดิ ร�ำคาญใจเช่นทีข่ องปฏิบัตติ ่อคนอ่ืนบางคร้ังบางคราว

เรอเน เดสค์ ารต์ ส์ (René Descartes)
(ทีม่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/Ren%C3%A9_Descartes)

ในจดหมายลงวันที่ 20 มถิ ุนายน 1643 เอลซิ าเบธถามเดส์คารต์ ส์วา่ เหตุใดจิตซงึ่ ไมใ่ ชส่ สาร
จงึ สามารถสงั่ ใหร้ า่ งกายซงึ่ เปน็ สสารเคลอื่ นทไี่ ด้ เดสค์ ารต์ สอ์ ธบิ ายวา่ จติ ไมไ่ ดม้ ปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั รา่ งกาย
หากแต่มีความสัมพันธ์แบบที่น�้ำหนักกระท�ำต่อร่างกาย ดูเหมือนเจ้าหญิงเอลิซาเบธยังไม่พอใจ
ค�ำตอบ เธอจึงตอบว่าถ้าให้เข้าใจเช่นน้ัน ให้เธอถือว่าจิตเป็นสสารยังจะเข้าใจง่ายกว่า เดส์คาร์ตส์
ตอบว่าคนธรรมดาที่ไม่ได้คิดปรัชญาเพียงแค่ใช้สามัญส�ำนึกก็สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ดังกล่าว
ได้ง่ายดาย แต่เม่ือใช้ปัญญาคิดเร่ืองจะท�ำให้กลายเป็นส่ิงท่ีคลุมเครือ เขาจึงเสนอให้เจ้าหญิง
ใชส้ ามญั สำ� นกึ ในชวี ติ ประจำ� วนั แทน แลว้ ผละจากคำ� ถามนเ้ี สยี รวมทง้ั บอกวา่ หากการมองวา่ จติ เปน็
สสาร จะท�ำให้เข้าใจปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งจติ กบั กายไดง้ ่ายขึน้ กข็ อให้เจา้ หญิงสะดวกใจท่จี ะทำ� เช่นนนั้
อะลาเนนเหน็ ว่าในการตอบคำ� ถามเร่อื งนเ้ี ดสค์ าร์ตส์เปน็ ฝ่ายแพเ้ จา้ หญิงอย่างเห็นได้ชดั

324 พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

ปัญหาอีกประการหนึ่งท่ีเจ้าหญิงเอลิซาเบธท�ำให้เดส์คาร์ตส์ต้องพิจารณาอย่างจริงจังก็คือ
ภาวะอิสระของเหตผุ ลและการใช้เหตผุ ลจดั การกับอาการปว่ ยของร่างกาย เดส์คาร์ตส์ตอบจดหมาย
ของเอลิซาเบธว่าการที่เธอเยียวยาอาการเจ็บป่วยด้วยการควบคุมอาหารกับการออกก�ำลังกายน้ัน
ถูกต้องแล้ว เขาอธิบายให้เจ้าหญิงฟังว่าความคิดส่งผลกระทบต่อร่างกายได้มหาศาล ดังที่เขาเคย
ไดย้ นิ แพทยห์ รอื หมอดทู ำ� นายวา่ ผปู้ ว่ ยจะตอ้ งตายในเวลานนั้ เวลานี้ แลว้ ผปู้ ว่ ยกต็ ายจรงิ ๆ เดสค์ ารต์ ส์
เหน็ วา่ มนษุ ยส์ ามารถใชเ้ หตผุ ลควบคมุ ความรสู้ กึ ได้ วธิ กี ารทเี่ ขาแนะนำ� เจา้ หญงิ กค็ อื วธิ กี ารของพวก
ลทั ธิสโตอิก (Stoicism) ทสี่ อนให้ถอยห่างออกมาจากชีวิตเพอื่ ท่ีจะไดไ้ มท่ ุกข์ใจจนเกนิ ไป

ปตี อ่ มาเมอ่ื เจา้ หญงิ ยงั คงปว่ ย โดยมอี าการเปน็ ไขต้ ำ่� เดสค์ ารต์ สว์ นิ จิ ฉยั วา่ เกดิ จากความเศรา้
ที่เธอต้องเผชิญเคราะห์กรรมของครอบครัว เขาจึงแนะน�ำให้เจ้าหญิงหันเหจากความรู้สึกไปสนใจ
ความรสู้ กึ อยา่ งอนื่ อยา่ งเชน่ การดตู น้ ไมใ้ บหญา้ แทน เจา้ หญงิ ตอบวา่ เธอทำ� ไดเ้ ปน็ บางครงั้ เทา่ นนั้ แม้
จะท�ำตามค�ำแนะน�ำของเดส์คาร์ตส์ไม่ได้ แต่เธอก็ซาบซ้ึงในมิตรภาพ นอกจากน้ี เธอยังตอบเดส์
คารต์ ส์ว่า การท่ีเธอมเี หตผุ ลไมเ่ พียงพอท�ำให้ล�ำบาก เพราะหากไม่มเี หตผุ ลเสยี เลยก็คงอยู่อยา่ งคน
ธรรมดาท่ัวไปได้โดยไม่ทุกข์มากนัก ท้ังน้ีก็มีสาเหตุมาจากเพศหญิงน่ันเองที่ท�ำให้เธออ่อนแอและ
ไมม่ ีความสขุ ท�ำให้ไมส่ ามารถมีความเพลิดเพลนิ อยา่ งท่ีเดสค์ ารต์ ส์ท�ำได้

“...ขา้ พเจา้ พบความขลกุ ขลกั ทมี่ คี วามสามารถในการใชเ้ หตผุ ลไดน้ อ้ ยนดิ เพราะหาก
ข้าพเจา้ ไม่มีมนั เอาเสียเลย ขา้ พเจา้ อาจจะพงึ พอใจเหมอื นกับคนอน่ื ๆ รอบตวั ท่ขี ้าพเจา้ ตอ้ งอยูด่ ้วย
เพอ่ื ทจี่ ะรบั การเยยี วยารกั ษาใหไ้ ดผ้ ล หากขา้ พเจา้ มเี หตผุ ลมากเทา่ กบั ทา่ น ขา้ พเจา้ กจ็ กั อาจเยยี วยา
ตนเองอยา่ งทที่ า่ นทำ� ประกอบกบั สาเหตจุ ากเพศของขา้ พเจา้ เองทที่ ำ� ใหข้ า้ พเจา้ ไมอ่ าจจะไดร้ บั ความ
สขุ อันเกดิ จากการไปเยือนเขาเอกมองดห์ รือการเรยี นรคู้ วามจริงท่ีท่านสะกัดไดจ้ ากสวนของทา่ น”

(จดหมายถึงเดส์คาร์ตส์ วันท่ี 22 มถิ ุนายน ค.ศ.1645 )

เจ้าหญงิ เอลซิ าเบธแห่งโบฮเี มยี
(ทม่ี า: https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/c3/00/34/c300342399695a24a0d6d09e70b01bdd.jpg)

พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 325

อะลาเนนเหน็ วา่ ปัญหาทป่ี รากฏหนังสอื The Passions of The Soul18 ซึง่ เปน็ งานเขยี น
ชว่ งทา้ ยของเดสค์ ารต์ สน์ น้ั เจา้ หญงิ เอลซิ าเบธมสี ว่ นสำ� คญั ในการตงั้ ประเดน็ คำ� ถามขน้ึ มา โดยชเ้ี หน็
ความยอ้ นแยง้ เรอื่ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งจติ กบั กาย นนั่ คอื เหตผุ ลเชอื่ มโยงกบั ความรสู้ กึ อยา่ งไรและ
เปน็ อสิ ระจากความรสู้ กึ ไดอ้ ยา่ งไร เดสค์ ารต์ สเ์ หน็ วา่ สงิ่ ทมี่ นษุ ยค์ วรแสวงหามสี องสง่ิ นน่ั คอื พระเจา้
ซ่ึงเป็นส่ิงสมบูรณ์ที่สุดและเป็นอนันต์ เป็นความจริงสูงสุดท่ีมนุษย์ควรจะรัก สองคือวิญญาณของ
มนุษย์ ซ่ึงตามความเช่ือของคริสเตียนนั้นถือว่าวิญญาณเป็นอมตะ เดส์คาร์ตส์เห็นว่าวิญญาณเป็น
อิสระจากร่างกาย เจ้าหญิงเอลิซาเบธแย้งว่าหากวิญญาณเป็นอิสระและพึงปรารถนากว่าส่ิงอ่ืนใดก็
ไม่มเี หตผุ ลทเี่ ราจะต้องตรึงรั้งวิญญาณไว้กบั รา่ งกาย หากความเปน็ อมตะของวิญญาณเปน็ เหตผุ ลที่
ท�ำให้คนเราไม่จ�ำเป็นต้องกลัวตาย เราก็ควรจะตายไปเสียยังจะดีกว่าที่จะทนอยู่กับร่างกายอันเป็น
ท่ีมาของความทุกข์ แน่นอนว่าเดส์คาร์ตส์ย่อมไม่เห็นด้วยเจ้าหญิง เขาแย้งว่าปรัชญาท่ีแท้จริงต้อง
ท�ำให้เราอยู่ไดท้ ่ามกลางความทกุ ข์โศกและแม้จะมหี ายนะหนกั หนว่ งเพียงไรกย็ ังมีความพงึ พอใจได้
เพราะรู้วา่ เราควรจะใชเ้ หตผุ ลอย่างไร

บทสนทนาโตต้ อบดำ� เนนิ ไปอยา่ งเขม้ ขน้ เอลซิ าเบธแยง้ วา่ แมช้ วี ติ จะไมไ่ ดเ้ ลวรา้ ยในตวั มนั เอง
แตเ่ รากน็ า่ จะละทง้ิ ชวี ติ ไดเ้ พอื่ สภาวะทเี่ ราคดิ วา่ ดกี วา่ เดสค์ ารต์ สแ์ ยง้ วา่ แมจ้ ติ จะเปน็ อสิ ระจากรา่ งกาย
แตก่ ไ็ มจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งละทง้ิ ความพงึ พอใจทางรา่ งกาย โดยเขาใหเ้ หตผุ ลวา่ เราไมร่ วู้ า่ ชวี ติ หลงั ความตาย
จะเปน็ อยา่ งไร จงึ ไมค่ วรแลกสง่ิ ทเี่ รารแู้ นน่ อนอยแู่ ลว้ กบั สง่ิ ทไี่ มแ่ นน่ อน แมว้ า่ ชวี ติ จะมคี วามทกุ ขแ์ ต่
กม็ สี ขุ มากกว่า เราควรจะรูจ้ กั ฝึกจติ ใจดว้ ยการใช้เหตุผลเพื่อจะไดป้ ระโยชน์จากชวี ิตมากกว่าจะครา่
ชีวติ ตนเอง

อะลาเนนวเิ คราะหว์ า่ ปญั หาทเี่ จา้ หญงิ เอลซิ าเบธยกขนึ้ มาทำ� ใหเ้ ราเหน็ ความยอ้ นแยง้ ระหวา่ ง
ความคิดสองทิศทางของเดสค์ าร์ตส์ ไดแ้ ก่ จุดยนื แบบสโตอิกที่เห็นว่ามนุษย์ควรยอมรับสิ่งทอี่ ยู่นอก
เหนอื อ�ำนาจตวั เอง และสองคอื การเชอ่ื วา่ ความคิดอยู่ในอ�ำนาจเรา มนุษยส์ ามารถควบคุมความคิด
ตวั เองได้ เอลซิ าเบธทำ� ใหเ้ ดสค์ ารต์ สต์ อ้ งละจดุ ยนื แบบสโตอกิ ไปหาจดุ ยนื ทเี่ ชอื่ ภาวะอสิ ระของเหตผุ ล
แต่ดังท่ีเราได้เห็นมาแล้วว่าสุดท้ายเขาต้องเจอกับค�ำถามท่ีว่าร่างกายก็มีผลต่อการใช้เหตุผลเช่นกัน
ดงั เชน่ ในยามท่เี ราปว่ ย จะท�ำให้ใช้ความคดิ ได้ไม่ดนี ัก

อะลาเนนเห็นว่าบทสนทนาระหว่างเจ้าหญิงเอลิซาเบธกับเดส์คาร์ตส์ ถือเป็นกิจกรรมทาง
ปรชั ญาในความหมายแบบโสกราตสี นน่ั คอื การมคี สู่ นทนาทต่ี งั้ คำ� ถามในประเดน็ เกย่ี วกบั ความเขา้ ใจ
ตนเองและการพฒั นาตนเอง หรอื คำ� ถามทว่ี า่ จะพฒั นาตนเองอยา่ งไร จะมชี วี ติ ทด่ี อี ยา่ งไรนน้ั สง่ิ เหลา่
นจ้ี ำ� เปน็ ตอ้ งอาศัยผ้สู นใจใครร่ ูเ้ หมือนกนั และมคี วามใสใ่ จต่อประเด็นค�ำถามของอีกฝา่ ยอย่างแทจ้ ริง
ซึ่งไม่มรี ะบบปรชั ญานามธรรมใดจะตอบประเด็นคำ� ถามเหล่านี้ กิจกรมทางปรัชญาจงึ มลี กั ษณะต่าง
ตอบแทนซง่ึ กันและกนั ในการต้งั ค�ำถามและรว่ มกนั หาค�ำตอบ เดสค์ าร์ตสก์ ็ไดร้ ับความพึงพอใจจาก
การสนทนาโต้ตอบผ่านจดหมาย เจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ได้รับความสบายใจท่ีได้รับค�ำแนะน�ำจาก
ปรมาจารยข์ องเธอ ในแง่น้ี อะลาเนนจงึ เหน็ ว่าบทสทนาทางปรชั ญาระหว่างท้ังคูน่ บั เปน็ การเยียวยา
ซ่งึ กนั และกันดว้ ย

หากพจิ ารณาทง้ั หมดขา้ งตน้ เรากจ็ ะพบวา่ สำ� หรบั อะลาเนนแลว้ เจา้ หญงิ เอลซิ าเบธไมใ่ ชเ่ ปน็
แตเ่ พยี ง “กลุ ธดิ าผคู้ งแกเ่ รยี น” หากแตเ่ ปน็ คสู่ นทนาทางปรชั ญาทเ่ี ปน็ คนเสมอกนั กบั เดสค์ ารต์ ส์ แม้
เธอจะไม่มีงานเขียนทางปรัชญา แต่เธอก็มีข้อเสนอที่น่าสนใจโดยตัวมันเอง โดยที่ไม่จ�ำเป็นต้อง

18กัมมภาวะแหง่ จติ วญิ ญาณ หรือความล่มุ หลงของจิตวิญญาณ – บรรณาธิการ

326 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

พยายามชี้ว่าเป็นตัวแทนของการคิดปรัชญาแบบผู้หญิงหรือไม่ ที่ส�ำคัญข้อเสนอของเธอท�ำให้เดส์
คารต์ สน์ ำ� มาคิดตามจนเขยี นงานชือ่ The Passions of the Soul ขนึ้ มา การสนทนาของท้ังคู่จงึ เปน็
กิจกรรมทางปรัชญาที่ให้ดอกผลทีน่ ่าสนใจเปน็ อยา่ งยิง่
เกบ็ เก่ียวดอกผล

เดวิด ฮิวม์เป็นนักปรัชญาผู้ชายท่ีเป็นมิตรกับเฟมินิสต์ไม่น้อย เน่ืองจากเขาชี้ให้เห็นว่า
จริยศาสตร์เป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เหตุผล ขณะเดียวกันก็วิจารณ์เหตุผลไว้อย่างหนักหน่วง
ด้วย เขาเห็นว่าเหตุผลของมนุษย์ไม่อาจจะท�ำให้มนุษย์เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่มีพื้นฐาน
จากความเปน็ สาเหตุ เราไมอ่ าจจะพสิ จู นไ์ ดว้ า่ อนาคตจะเปน็ เชน่ ในอดตี รวมทง้ั เราไมอ่ าจจะใชเ้ หตผุ ล
พิสจู น์ว่ามีสง่ิ ตา่ งๆ ทดี่ �ำรงอยู่นอกจิตมนุษย์ แตม่ นษุ ยใ์ ช้สัญชาตญิ าณ ความรู้สกึ และความคนุ้ เคย
เปน็ สำ� คญั

เฟมินิสต์จ�ำนวนหนึ่งอ้างว่าท่าทีแบบฮิวม์สามารถพัฒนาเป็นจริยศาสตร์แห่งความอาทร
(ethics of care) ได้ ตัวอย่างที่เด่นชดั ไดแ้ กง่ านของแอนเนต็ ไบเยอร์ เธอเหน็ วา่ งานของฮวิ มม์ ่งุ
วจิ ารณเ์ หตุผล โดยเฉพาะใน Treatise of Human Nature19 ซงึ่ มักจะอา่ นกนั เฉพาะเลม่ 1 ท่เี ป็น
จดุ ยนื แบบวิมตินิยมและตง้ั ข้อสงสยั ตอ่ เหตผุ ล ไบเยอร์เห็นว่าเราควรอ่านเลม่ 2 และ 3 ตอ่ เนื่องกบั
เล่ม 1 ด้วย ก็จะทำ� ใหเ้ หน็ ความส�ำคญั ของอารมณ์ความรู้สกึ ท่เี ป็นท่มี าของการกระท�ำทางศีลธรรม
ฮวิ มย์ ำ�้ วา่ มนษุ ยม์ กั จะตดั สนิ ดชี ว่ั ดว้ ยการยดึ ประเพณแี ละอารมณค์ วามรสู้ กึ เปน็ หลกั นอกจากน ้ี ไบเยอร์
ยังยกย่องฮิวม์ว่าอยู่นอกวงวิชาการ เนื่องจากเขาคิดปรัชญาอย่างอิสระและปล่อยวาง (careless
ในความหมายของ carefree) โดยไมย่ ดึ วธิ กี ารทตี่ ายตวั ในการอา้ งเหตผุ ลเพอ่ื มงุ่ สคู่ วามจรงิ แตกตา่ ง
จากรปู แบบการอา้ งเหตผุ ลทางปรชั ญาทใี่ นยคุ สมยั เดยี วกนั และในสมยั ตอ่ ๆ มา เธอเหน็ วา่ เฟมนิ สิ ต์
สามารถใช้ฮิวมเ์ ปน็ แม่แบบในการคดิ ปรชั ญาได้ (Nye, 2004: 99-101)

เดวดิ ฮิวม์ (David Hume) นกั ปรัชญาชาวสกอ็ ต
(ทีม่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/David_Hume)
19บทนิพนธแ์ ห่งธรรมชาติของมนษุ ย์ – บรรณาธิการ

พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 327

ในหนงั สือ A Progress of Sentiment20 ไบเยอร์ไม่เห็นด้วยทเี่ ฟมินิสต์ม่งุ เขา้ ไปวิพากษ์
ประวตั ปิ รชั ญา เพอื่ นำ� ไปสกู่ ารเสนอแนวทางการทำ� กจิ กรรมทางปรชั ญาตามแนวทางของผหู้ ญงิ อยา่ ง
เป็นเอกเทศ เน่ืองจากเห็นว่าผู้หญิงสามารถใช้ประโยชน์จากงานของนักปรัชญาผู้ชายได้ ในกรณ ี
ของฮิวมน์ ั้น แม้วา่ เขาจะไม่ใช่ผ้หู ญงิ แตไ่ บเยอร์เหน็ วา่ เขามี “จุดยืนอยา่ งผู้หญิง” ทั้งในแงท่ ี่ตวั เขา
เองล้มเหลวในการเข้าไปมีส่วนร่วมกับวงปัญญาชนสก็อต จนกลายเป็นคนนอก ขณะเดียวกันมีวิธี
การท�ำปรัชญาที่ไปกันได้กับผู้หญิง ไบเยอร์ฃเห็นว่าการที่ฮิวม์โจมตีการยึดเหตุผลเป็นแกนกลาง
ในปรัชญากเ็ ทา่ กับเปน็ การวจิ ารณข์ นบปรัชญาที่ยึดผชู้ ายเป็นศูนยก์ ลางไปดว้ ยในตัว

อนั ทจ่ี รงิ แลว้ ไบเยอรเ์ องกย็ งั ยดึ ตดิ กบั อปุ ลกั ษณก์ ระจกสะทอ้ นความจรงิ เธอเหน็ วา่ จติ มนษุ ย์
เป็นเหมือนกระจกสะท้อนความจริง การที่เฟมินิสต์พยายามแยกจิตผู้หญิงว่ามีความเป็นอิสระและ
เป็นเอกเทศนั้นอาจจะผิด เน่ืองจากการคิดเป็นกระบวนการท่ีต้องท�ำร่วมกับคนอ่ืน เธอยกตัวอย่าง
ฮวิ มเ์ พอื่ ชวี้ า่ อนั ทจี่ รงิ แมฮ้ วิ มจ์ ะมองวา่ จติ รบั รสู้ ง่ิ ตา่ งๆผา่ นภาพประทบั (impression) แตไ่ มใ่ ชภ่ าพ
ประทับชนิดที่ย้อนกลับไปอ้างอิงกับความทรงจ�ำของตัวผู้รู้เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเช่ือมโยงกับ
สิ่งต่างๆท่ีอยู่นอกจิต ซึ่งรวมถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ โดยมีภาษาเป็นส่ือกลาง นั่นเท่ากับ
ว่าการคิดเป็นกระบวนการทางสังคม จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยืนห่างออกมาจากบริบททางสังคมและ
คดิ ปรชั ญาคนเดยี วอยา่ งทเ่ี ดสค์ ารต์ สท์ ำ� ในแงน่ ้ี เทา่ กบั วา่ เปน็ ไปไมไ่ ดท้ เ่ี ฟมนิ สิ ตจ์ ะผละไปจากขนบ
การคดิ ท่ตี กทอดมาเพอ่ื คดิ ปรัชญาแบบเฟมนิ ิสต์อย่างเป็นเอกเทศ

ไบเยอร์เสนอว่าโจทย์ของเฟมินิสต์ก็คือ ท�ำอย่างไรจึงจะใช้ประโยชน์จากนักปรัชญาผู้ชาย
ได้ ซึ่งเธอเห็นว่าฮวิ ม์น่าจะเปน็ มิ่งมติ รในหมู่มารของเฟมนิ สิ ต์ได้ เนื่องจากนักปรัชญาชาวสกอ็ ตผ้นู ้ี
มองวา่ สว่ นทสี่ ำ� คญั ทส่ี ดุ ของมนษุ ยไ์ ดแ้ กส่ ญั ชาตญาณ อารมณแ์ ละอปุ นสิ ยั หาใชภ่ าวะอสิ ระของความคดิ
ท่ีอยู่เหนือส่ิงแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้ การคิดจึงไม่ใช่กิจกรรมที่จะท�ำตามล�ำพังได้
หากแตเ่ ป็นบทสนทนาร่วมกบั “คนอ่ืน” ทัง้ น้ีเพราะความคดิ จะไมม่ ีความหมายอะไรหากไมม่ คี นรบั
ฟัง ร่วมมือแล้วน�ำไปปรับปรุง กจิ กรรมทางความคิดเชน่ น้สี ามารถใช้ได้ท่วั ไป ไมใ่ ชแ่ ต่เพียงในกรอบ
ของเฟมนิ สิ ตเ์ ทา่ น้ัน

เมื่อเรามองว่าการคิดเป็นสิ่งท่ีสืบทอดผ่านขนบ จึงไม่อาจจะหาจุดยืนนอกกรอบของสังคม
วฒั นธรรมเพอ่ื ใชเ้ ปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ กจิ กรรมทางปรชั ญาได้ วธิ กี ารแกป้ ญั หากค็ อื การจำ� แนกแยกแยะและ
เลอื กสรรดอกผลหรอื เมลด็ พันธ์ุมาใช้ อยา่ งไรกต็ าม วธิ กี ารเชน่ นแ้ี มจ้ ะดูละมุนละมอ่ ม แต่ก็ยังไม่ได้
วิเคราะห์ปัญหาในระดับรากลึกท่ีฝังแน่นในวัฒนธรรมที่กดทับผู้หญิง และตัวไบเยอร์เองก็ไม่ได้เป็น
เฟมนิ สิ ตส์ ายสดุ โตง่ ทมี่ งุ่ พจิ ารณาสถานะความเปน็ แมแ่ ละเมยี ของผหู้ ญงิ อยา่ งถงึ รากถงึ โคน สำ� หรบั
เฟมนิ สิ ตบ์ างกลมุ่ บางคน ดเู หมอื นวา่ โรคพชื ทเี่ รยี กวา่ การเหยยี ดผหู้ ญงิ ไมอ่ าจจะแกไ้ ดด้ ว้ ยการคดั เลอื ก
สว่ นทด่ี มี าใช้ หากแตจ่ ะต้องลงมอื ไลร่ ื้อรากเหงา้ ของปัญหาหยง่ั ลกึ ใหถ้ งึ ทสี่ ุด
รื้อถอน

นักปรชั ญาเฟมนิ สิ ต์ท่มี ่งุ เขา้ ไปจัดการกับประวัติปรัชญาด้วยการร้อื ถอนไดแ้ ก่ ลซู อริ ิกาเรย์
เป้าหมายของเธอคือการเปิดโปงก็คือการยึดผู้ชายเป็นศูนย์กลางซึ่งกดทับอัตลักษณ์ของเพศหญิง
อริ กิ าเรยเ์ กดิ ทเี่ บลเยยี ม ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากจติ วเิ คราะหส์ ายลากอง งานชว่ งแรกของเธอมงุ่ รอ้ื สรา้ งระบบ
สญั ลกั ษณ/์ อปุ ลกั ษณใ์ นประวตั ปิ รชั ญา ทงั้ นเ้ี พราะปรชั ญาเปน็ ตน้ ธารของวาทกรรมตา่ งๆ ทถี่ า่ ยทอด

20การเคล่ือนไปขา้ งหน้าของอารมณ์ – บรรณาธิการ

328 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

ผ่านทางวัฒนธรรมท่ผี ชู้ ายเปน็ ใหญ่ ไมว่ า่ จะเป็นศิลปะ วรรณกรรม หรอื ปรัชญา เราจะพบลักษณะ
ดงั กลา่ วไดใ้ นงานทช่ี อื่ Speculum of the Other Woman21 (1974) ซงึ่ อริ กิ าเรยม์ งุ่ จะเลน่ กบั ความหมาย
ของคำ� วา่ speculum ซง่ึ แปลวา่ “กระจก” คำ� นย้ี งั หมายถงึ “การจอ้ งมอง” รวมทง้ั เชอื่ มโยงกบั คำ� วา่
“คาดคะเน” (speculate) ซึ่งเปน็ กิจกรรมการคิดเชิงปรชั ญาดว้ ย

กระจกดังกล่าวนี้ยังหมายถึงอุปกรณ์ของสูตินรีแพทย์ท่ีใช้สอดใส่เข้าไปในอวัยะเพศผู้หญิง
อิริกาเรย์ใช้อุปลักษณ์ดังกล่าวเพ่ือแสดงลักษณะกิจกรรมทางปรัชญาผู้ชายท่ีเพ่งพิจารณาผู้หญิง
โดยนยิ ามวา่ ผหู้ ญงิ เปน็ ผชู้ ายทผ่ี ดิ พรอ่ ง เชน่ การทเ่ี ดก็ หญงิ จอ้ งมองอวยั วะเพศเดก็ ชาย แลว้ เกดิ ปม
อิจฉาลงึ ค์ตามการวเิ คราะห์ของฟรอยด์ เนือ่ งจากเดก็ หญงิ เข้าใจวา่ ลงึ คเ์ ปน็ สงิ่ ที่ถกู พรากไปจากเธอ
รวมท้ังการน�ำเสนอแต่ภาพแทนด้านลบของเพศหญิง เช่น เดส์คาร์ตส์มองผู้หญิงโดยเชื่อมโยงกับ
ร่างกาย ส่วนผชู้ ายเปน็ จิตทีม่ ีเหตุผล นอกจากน้ี อปุ กรณ์ดังกลา่ วยงั ออกแบบใหส้ อดรบั กบั รูปทรง
ของช่องคลอด ซึ่งแสดงว่าท่ีผู้ชายมองผู้หญิงน้ันถูกก�ำกับโดยผู้หญิง ขณะเดียวกันก็ไม่อาจจะส่อง
สะทอ้ นความเปน็ หญงิ ได้ เนอ่ื งจากความเปน็ หญงิ ไมอ่ าจจะรบั รผู้ า่ นการมองเหน็ หรอื การสะทอ้ นผา่ น
“ตาใน” ของนกั ปรชั ญาผชู้ าย ทง้ั นเี้ พราะความเปน็ หญงิ สะทอ้ นผา่ นการสมั ผสั หาใชก่ ารมองเหน็ ไม่
ดังปรากฏในงาน This Sex which is not One22 (1977) ซ่ึงอริ ิกาเรย์ใช้ภาพเชงิ วรรณศลิ ปถ์ ่ายทอด
อัตตกามรสนิยม (autoeroticism) ของผูห้ ญงิ ไดอ้ ย่างแจ่มชัด

“อตั ตกามรสของผหู้ ญงิ แตกตา่ งจากผชู้ าย ในการสมั ผสั กบั ตวั เอง ผชู้ ายตอ้ งใชอ้ วยั วะ
ได้แก่ มือของเขา อวัยวะของผู้หญิง ภาษา... แต่ส�ำหรับหญิง เธอสัมผัสตัวเองภายในตัวเองและ
ด้วยตัวเอง โดยไมจ่ ำ� เปน็ ต้องผ่านสือ่ กลาง... ผูห้ ญงิ ‘สมั ผัสตวั เอง’ อยู่ตลอดเวลา...เนอื่ งจากอวยั วะ
ของเธอก่อรูปจากริมฝีปากทงั้ คูท่ ี่โอบรับกนั อย่อู ยา่ งตอ่ เนื่อง...”

(Luce Irigaray, 1985: 24)
ปัญหาก็คือเฟมินิสต์จ�ำนวนมากมองว่าผู้หญิงไม่สามารถเข้าใจกายวิภาคของผู้หญิงได้
โดยตรงหากแตต่ อ้ งเขา้ ใจผา่ นกรอบโครงทางวัฒนธรรมเท่านนั้ หรือเป็นร่างกายใตบ้ งการของระบบ
ความหมายในวัฒนธรรม และดูเหมือนว่าจุดยืนเช่นนี้ของอิริกาเรย์จะกลับไปหาความคิดเกี่ยวกับ
ผู้หญิงแบบด้ังเดิม น่ันคือการมองว่าผู้หญิงเช่ือมโยงกับความรู้สึกที่มีฐานจากร่างกาย ตรงข้ามกับ
ผู้ชายท่ีเช่ือมโยงกับเหตุผล แต่อันท่ีจริงเราอาจจะเข้าใจได้เช่นกันว่า อิริกาเรย์ต้องการกลับหัว
อปุ ลกั ษณ์เพอ่ื น�ำมาวพิ ากษร์ ะบบสัญลกั ษณ์ท่ผี ูช้ ายเป็นใหญ่ โดยหันกลบั ไปยึดกมุ ความหมายของ
อปุ ลักษณ์รา่ งกาย และน�ำเสนอความหมายใหม่ น่ันคอื ความเปน็ หญิงเขา้ ใจได้ผา่ นการสมั ผัส ไมใ่ ช่
การสร้างเป็นกรอบทฤษฎผี า่ นมุมมองของผู้ชาย ซึง่ ทำ� ให้ไม่เห็นความตา่ งทางเพศ
อาลสิ นั สโตน (Alison Stone, 2006: 24) เหน็ วา่ ในงาน Speculum of the Other Woman
นน้ั อริ กิ าเรยว์ จิ ารณน์ กั ปรชั ญาในประวตั ปิ รชั ญาตะวนั ตกเพอื่ ชเี้ หน็ ถงึ การนยิ ามผหู้ ญงิ โดยยดึ ผชู้ าย
เป็นศนู ยก์ ลาง สำ� หรบั อริ กิ าเรยแ์ ลว้ การลดทอนคณุ คา่ ของผู้หญิงเกิดจากการเปรียบเทยี บผู้หญิง
กบั ผชู้ าย เชน่ ผหู้ ญงิ ถกู นยิ ามวา่ เปน็ มนษุ ยท์ บี่ กพรอ่ ง หากพจิ ารณาในระดบั ลกึ ลงไป การแยกระหวา่ ง
จติ กบั กาย โดยโยงจติ เปน็ กระบวนการใชเ้ หตผุ ลซง่ึ มนี ยั ของเพศชาย รา่ งกายเปน็ ฐานของความรสู้ กึ
ทม่ี ีนยั ของเพศหญิง ผหู้ ญงิ ยังถกู นยิ ามให้เชอื่ มโยงกับผู้ชาย ท�ำให้เธอไมม่ ภี าวะอิสระหรอื ความเป็น
เอกเทศ ซ่งึ เท่ากับเปน็ การปฏิเสธตัวตนของผู้หญงิ อย่างทีผ่ หู้ ญงิ เปน็ จรงิ ๆ

21กระจกส่องมองไปยงั ผหู้ ญงิ หรอื อาจแปลว่า เคร่อื งถา่ งส่องผหู้ ญิง – บรรณาธกิ าร
22เพศนซี้ ึง่ ไมใ่ ชเ่ อกกะ หรืออาจแปลวา่ เพศนไี้ มไ่ ดม้ เี พยี งหนง่ึ – บรรณาธกิ าร

พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 329

นอกจากนี้ อิริกาเรย์เห็นว่าวัฒนธรรมตะวันตกเป็นวัฒนธรรมเพศเดี่ยว (monosextuate)
ซึ่งกดทบั ไมใ่ หค้ วามตา่ งทางเพศปรากฏในระนาบของสญั ลกั ษณ์ เนอ่ื งจากไดร้ บั การนยิ ามผา่ นความเปน็
ชาย อย่างไรก็ตาม เราอาจจะตัง้ ขอ้ สงสยั ไดเ้ ช่นกนั วา่ “รมิ ฝีปาก” ของผหู้ ญิงอาจจะไมใ่ ช่อปุ ลกั ษณ์
ที่สื่อถึงความเป็นหญิงก็ได้ นักวิชาการบางคนตีความว่าแนวทางแบบน้ีเป็นแนวทางเชิงสัจนิยม
(realism) ที่เชื่อว่าเราสามารถเข้าใจโลกอย่างเป็นเอกเทศท้ังในแง่การปฏิบัติจริงและการน�ำเสนอ
ภาพแทน นอกเหนือจากนี้ ยังมผี ูว้ ิจารณว์ า่ อริ ิกาเรยเ์ ชอื่ วา่ ผู้หญิงมแี ก่นแทร้ ว่ มกนั เป็นสากล ซงึ่ นับ
วา่ เปน็ การเหมารวมอย่างหนงึ่

อยา่ งไรกต็ าม งานในชว่ งหลงั เธอกลบั ไปใชร้ า่ งกายของผหู้ ญงิ ในฐานะสงิ่ ทแี่ สดงถงึ อตั ลกั ษณ์
ของความเปน็ หญงิ มากกวา่ โดยเนน้ ลกั ษณะเชงิ กายวภิ าคของเพศหญงิ วา่ เปน็ สงิ่ ทดี่ ำ� รงอยโู่ ดยธรรมชาติ
จดุ เปลยี่ นทางความคิดของอริ ิกาเรย์จะเห็นในงานช่ือ An Ethics of Sexual Difference23 (1984)
ซ่ึงเธอเห็นว่าความต่างทางเพศเป็นเรื่องทางธรรมชาติท่ีจะเห็นได้ผ่านร่างกาย หรือความเป็นหญิง
แสดงออกผ่านร่างกาย อิริกาเรย์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเพศหญิงน้ีเองท่ีจะเป็นคานงัด
คดั งา้ งกับระบบสัญลักษณ์/อุปลักษณ์ท่ผี ูช้ ายเปน็ ใหญ่ อิรกิ าเรย์เสนอวา่ ผหู้ ญิงเข้าใจความเปน็ หญิง
ของเธอผา่ นรา่ งกาย ซึง่ เป็นหญงิ โดยธรรมชาติ เน่ืองจากโครงสรา้ งทางวฒั นธรรมทผ่ี ู้ชายเปน็ ใหญ่
นั้นกดทับความเป็นหญิง ท�ำให้ไม่อาจจะน�ำเสนอภาพแทนของความเป็นหญิงได้ เรียกได้ว่าเป็น
แนวทางในเชิงรุกหรือสร้างสรรค์มากกว่างานช่วงแรก เนื่องจากเธอเห็นว่าการเข้าใจอัตลักษณ์ของ
เพศหญงิ ผา่ นมิติของภาษาอยา่ งเดียวย่อมไม่เพยี งพอ แตต่ ้องโอบรวมเอาความเข้าใจรา่ งกาย และ
ความเข้าใจเรื่องความรุนแรงท่ีกว้างขึ้น อันจะน�ำไปสู่ความสัมพันธ์ท่ีดีขึ้นกับคนอ่ืน โดยท่ียังรักษา
ความแตกต่างเอาไวไ้ ด้ (Irigaray, 2008: 51)

ในงานท่ีชื่อ I Love to You24 (1996) อิริกาเรย์เห็นว่าปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหา
สิง่ แวดลอ้ ม ปญั หาการกดข่ีขดู รีด สงคราม หรอื ชาตนิ ิยม ล้วนแต่มีจดุ ก�ำเนิดจากการไม่ส�ำนึกเร่ือง
ความต่างทางเพศ แม้ว่ามาร์กซ์ดูเหมือนจะตระหนักในทีแรกว่าปัญหาการกดข่ีเกิดจากผู้ชายกดข่ี
ผู้หญิง แต่เขากลับวิเคราะห์ความขัดแย้งทางชนช้ันโดยไม่แก้ปัญหาท่ีต้นตอ ส�ำหรับอิริกาเรย์แล้ว
การกดขผ่ี หู้ ญงิ จะเหน็ ไดจ้ ากการวเิ คราะหเ์ รอ่ื งความรกั ในงานของเฮเกล ซงึ่ เฮเกลนบั เปน็ นกั ปรชั ญา
คนเดยี วทว่ี เิ คราะหเ์ รอ่ื งความรกั ในฐานะแรงงาน อริ กิ าเรยเ์ หน็ วา่ เพศหญงิ เปน็ หญงิ เฉพาะในครอบครวั
เทา่ นนั้ แตก่ ย็ งั โดนกดขโี่ ดยผชู้ าย เมอื่ เขา้ สปู่ รมิ ณฑลการสงั คมการเมอื ง ผหู้ ญงิ กก็ ลายเปน็ พลเมือง
ทไ่ี รเ้ พศ ซงึ่ สทิ ธกิ เ็ ปน็ สทิ ธนิ ามธรรมทตี่ กทอดมาจากศาสนาครสิ ตซ์ ง่ึ ยดึ ผชู้ ายเปน็ ใหญอ่ ยแู่ ลว้ มหิ นำ� ซำ�้
แม้แต่ในครอบครัวผู้หญิงก็เป็นได้แค่แม่และเมีย ซ่ึงก็เป็นสิทธินามธรรมสากลที่ยัดเยียดให้ผู้หญิง
อยรู่ ำ�่ ไป

ในงาน I Love to You น้ี อริ กิ าเรย์ (Irigaray, 1996: 24) ย�ำ้ ว่าอตั ลกั ษณเ์ ชิงวัฒนธรรม
จะต้องสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางธรรมชาติ เธอยกตัวอย่างวัฒนธรรมตะวันออกได้แก่ โยคะ ซ่ึง
รา่ งกายไดร้ บั การบม่ เพาะในฐานะรา่ งกาย ขณะเดยี วกนั โยคะกเ็ กอื้ หนนุ เรอ่ื งจติ วญิ ญาณดว้ ย แตกตา่ ง
จากการสรา้ งกลา้ มเนอ้ื แขง่ กนั ในตะวนั ตก ซง่ึ เธอเหน็ วา่ ไมใ่ หร้ า่ งกายกบั วญิ ญาณไมส่ มั พนั ธก์ นั โยคะ
เน้นเรื่องร่างกาย แต่ผสานมิติทางจิตวิญญาณผ่านการฝึกสติและการหายใจ กิจกรรมเหล่านี้ล้วน
สอดคล้องกบั ธรรมชาติ ตามจงั หวะเวลากลางคนื และกลางวัน

23จริยศาสตรแ์ ห่งเพศที่แตกตา่ ง – บรรณาธกิ าร
24ฉันรักคุณ หรือ ฉนั รกั ไปถึงคุณ – บรรณาธกิ าร

330 พลังผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

นอกจากนี้ อิริกาเรย์ยงั ยกตัวอย่างขณะท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงมองดอกไมอ้ ยา่ งใส่ใจ โดยไมไ่ ด้
อยากเข้าไปครอบครอง หากแต่เป็นการพิจารณาดอกไม้อย่างมีสติซึ่งช่วยเพิ่มพูนพลังความคิด
ดว้ ย พระพุทธเจา้ มองดอกไม้โดยไม่อยากเด็ดมนั ซึ่งเทา่ กับเป็นการสมั พนั ธ์กบั สิง่ อ่นื โดยไม่กระทำ�
ความรนุ แรง ดอกไมจ้ งึ เปน็ วตั ถทุ ท่ี ำ� ใหเ้ ราไดพ้ จิ ารณาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวตั ถกุ บั รปู แบบ ระหวา่ ง
รา่ งกายกับจิตวญิ ญาณ โดยไมย่ ดั เยยี ดรปู แบบนามธรรมที่ไมส่ อดคล้องกับร่างกาย ซึง่ เธอเหน็ วา่ จะ
เห็นได้จากระบบทุนนิยมท่ีกดขี่ผู้หญิง ผลก็คือจิตวิญญาณตาย ผู้หญิงถูกเรียกร้องให้เตรียมพร้อม
ส�ำหรับการรว่ มประเวณแี ละมีลกู ซง่ึ ล้วนเป็นสิ่งท่กี ำ� หนดโดยผ้ชู าย

ลูซ อิรกิ าเรย์ (Luce Irigaray) นกั ปรัชญาสตรีชาวฝร่งั เศส
(ที่มา: https://gliocchidiblimunda.files.wordpress.com/2010/08/luce-irigaray.jpg)

จากท่ีกล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าอิริกาเรย์แตกต่างจากไบเยอร์ที่เห็นว่าเฟมินิสต์สามารถ
ใชป้ ระโยชนจ์ ากงานเขยี นของนกั ปรชั ญาผชู้ ายได้ โดยใหเ้ หน็ ผลวา่ เฟมนิ สิ ตไ์ มอ่ าจจะคดิ จดุ ยนื ทางปรชั ญา
ได้ใหม่ท้ังหมดโดยไม่อิงอยู่กับระบบสัญลักษณ์หรืออุปลักษณ์ที่ตกทอดผ่านวัฒนธรรมได้ อิริกาเรย์
หันไปความเป็นตัวตนของผู้หญิงที่ส่ือผ่านร่างกายหรือเนื้อหนัง โดยไม่ได้พิจารณาความเป็นหญิง
เฉพาะในระดับของภาษาเทา่ น้นั ทัง้ นก้ี เ็ พ่อื ใหผ้ หู้ ญิงมตี ัวตนหรอื ทย่ี ืนจรงิ ๆ ในสังคม แต่ปัญหากค็ ือ
การมองเช่นน้ีเท่ากับย้อนกลับไปหาความเชื่อแบบเดิมท่ีถือว่าธรรมชาติสร้างมนุษย์ขึ้นมาสองเพศ
เทา่ นน้ั แมอ้ ิริกาเรยจ์ ะพดู ถึงความหลากหลายของเพศอ่นื ๆ ท่ีนอกเหนอื จากชายและหญิงก็ตาม

นอกจากน้ี อิริกาเรย์ยังหันไปหาวัฒนธรรมตะวันออกอย่างโยคะและพุทธศาสนา เพ่ือท่ีจะ
นำ� มาวพิ ากษว์ ฒั นธรรมตะวนั ตกทม่ี รี ากเหงา้ ความรนุ แรงในการกดทบั อตั ลกั ษณข์ องผหู้ ญงิ อยา่ งไร
ก็ตาม ดูเหมือนว่าอิริกาเรย์จะอ่านตะวันออกโดยเลือกหยิบยกมาเฉพาะบางส่วนที่สอดคล้องกับ
แนวคดิ หลกั ของเธอ นน่ั คอื ความตา่ งระหวา่ งเพศ และการใหค้ วามสำ� คญั กบั รา่ งกาย ทง้ั ทอี่ ภปิ รชั ญา
ตะวนั ออกมงุ่ สลายทวภิ าวะระหวา่ งตวั ตนกบั โลกและตวั ตนกบั คนอนื่ ซงึ่ ดจู ะไมส่ อดคลอ้ งกบั แนวคดิ
ของเธอ นอกจากน้ี ตัวอยา่ งพระพทุ ธเจ้ามองดอกไมเ้ อง เธอกไ็ ม่อาจระบชุ ดั ว่าแหล่งอ้างอิงมาจาก
พระสูตรใด อย่างไรก็ตาม ท่าทีของอิริกาเรย์เองก็มีประโยชน์อย่างมากในแง่ของการเสาะแสวงหา
เมลด็ พนั ธ์ทุ างจติ วิญญาณเพ่อื เพาะปลูกวัฒนธรรมแหง่ การไม่กระทำ� ความรุนแรงตอ่ กนั

พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 331

ปดิ ร้ัว (ชั่วคราว)
จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ เมอ่ื เปดิ ประตเู ขา้ ไปในสวนปรชั ญา เฟมนิ สิ ตเ์ ขา้ ไปจดั การกบั

ปรชั ญาทย่ี ดึ ผชู้ ายเปน็ ศนู ยก์ ลางหลายลกั ษณะ ผเู้ ขยี นไดท้ ดลองนำ� เสนอผา่ นอปุ ลกั ษณก์ ารปลกู สวน
4 แมแ่ บบ

แมแ่ บบแรก คอื การวนิ จิ ฉยั โรค บางครงั้ เหน็ ไดช้ ดั อยา่ งเชน่ การเกยี ดกนั ผหู้ ญงิ ออกไปจาก
วงปญั ญาความคดิ และตแี ผอ่ าการรงั เกยี จผหู้ ญงิ ทแ่ี สดงออกอยา่ งชดั เจน ดงั ทไี่ นยไ์ ดช้ ใี้ หเ้ หน็ อยา่ งไร
กต็ าม การรังเกยี จผหู้ ญิงยังแทรกซึมในระดบั ราก น่ันคือ ในตวั อภิปรชั ญาเอง เชน่ การแบ่งแยกจิต
กับกายของเรอเน เดส์คาร์ตส์ โดยเช่ือมโยงจิตซึ่งเป็นฐานของกิจกรรมทางปัญญาเข้ากับเพศชาย
ส่วนร่างกายซ่ึงเป็นฐานของความรู้สึกได้โยงเข้ากับเพศหญิง แต่ท้ังน้ีทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า
เฟมนิ สิ ตจ์ ะหยดุ อยแู่ คว่ นิ จิ ฉยั โรค แตบ่ างคนกเ็ สนอวา่ ผหู้ ญงิ มวี ธิ คี ดิ ปรชั ญาแตกตา่ งจากผชู้ าย อยา่ งเชน่
กรณไี นยเ์ องทเี่ สนอว่าผู้หญิงมีวธิ ีคดิ อีกแนวทางหน่งึ ต่างหาก

แมแ่ บบทสี่ อง ไดแ้ ก่ การดแู ลรกั ษา ซง่ึ เฟมนิ สิ ตเ์ ขา้ ไปกอบกทู้ เ่ี หยยี บยนื ของผหู้ ญงิ ในปรชั ญา
ดังเราได้เห็นว่าแล้วจากตัวอย่างการวิเคราะห์ของอะลาเนนที่ชี้ให้เห็นว่ากิจกรรมทางปรัชญาท่ีเกิด
จากการสนทนาโต้ตอบผ่านจดหมายระหว่างเจ้าหญิงเอลิซาเบธกับเดส์คาร์ตส์ว่า ไม่ว่าเราจะนับ
เจา้ หญงิ วา่ เปน็ นกั ปรชั ญาหรอื ไม่ แตก่ ารสนทนาดงั กลา่ วถอื วา่ เปน็ กจิ กรรมทางปรชั ญาในความหมาย
ทป่ี ระเสรฐิ สดุ นนั่ คอื การสนทนาแบบโสกราตสี ทมี่ นี ยั แหง่ ความอาทรระหวา่ งคสู่ นทนาทไี่ ดเ้ รยี นรแู้ ละ
งอกงามไปพรอ้ มกัน

แมแ่ บบท่สี าม คือ การเก็บเกยี่ วดอกผล ซึ่งเราได้เห็นตวั อยา่ งของแอนเนต็ ไบเยอร์ ซงึ่ มี
ฐานคดิ ว่า เราไมอ่ าจจะมจี ุดยืนทเ่ี ป็นกลางหรือปลอดอคตทิ างวฒั นธรรมทีต่ กทอดมาได้ หรอื การคดิ
ปรัชญาไม่อาจจะเกิดข้ึนจากจุดศูนย์องศา โดยไม่เชื่อมโยงกับระบบความหมายท่ีตกทอดผ่านขนบ
ปรัชญา แม้ว่าขนบดังกล่าว จะยึดผู้ชายเป็นหลัก แต่เธอเห็นว่าเฟมินิสต์สามารถใช้งานเขียนของ
นกั ปรชั ญาบางคนเป็นจุดต้ังต้นได้ โดยเธอเลอื กงานของเดวดิ ฮวิ มท์ ่แี สดงจุดยืนวิพากษ์เหตผุ ลและ
ช้ใี ห้เห็นถึงบทบาทของอารมณ์ความรู้สกึ ในประเด็นทางจรยิ ศาสตร์ ซ่ึงเป็นจุดยืนเดียวกับผูห้ ญิง

แมแ่ บบสดุ ทา้ ย คอื การรอื้ ถอน อริ กิ าเรยพ์ ยายามรอื้ ถอนตวั ปรชั ญาทยี่ ดึ ผชู้ ายเปน็ ศนู ยก์ ลาง
โดยมุ่งวิพากษ์ระบบสัญลักษณ์หรืออุปลักษณ์ท่ีกดทับความเป็นหญิง ท�ำให้ความต่างระหว่างเพศ
หายไป เนื่องจากผู้หญิงถูกนิยามจากกรอบของผู้ชาย งานช่วงหลังของเธอหันกลับไปหาร่างกาย
ผหู้ ญงิ เพอื่ ใชเ้ ปน็ จดุ ตง้ั ตน้ ในการวพิ ากษป์ ระวตั ปิ รชั ญา ขณะเดยี วกนั กม็ งุ่ สรา้ งสรรคผ์ า่ นการปฏบิ ตั ิ
จริง จะเหน็ ได้วา่ อิริกาเรยไ์ ม่ไดถ้ อนวัชพืชเพ่อื บ�ำรงุ รักษาปรชั ญา หากแต่ตัดรากรานกง่ิ ทิง้ เพือ่ ให้
พชื ทอ่ี ยใู่ ตเ้ งอ้ื มเงาปรชั ญาไดผ้ ลดิ อกงอกงาม ซง่ึ นน่ั กค็ อื อตั ลกั ษณเ์ พศหญงิ ทเ่ี คยถกู กดทบั ไวน้ นั่ เอง

กิจกรรมตา่ งๆ ของเฟมินิสต์ในสวนปรชั ญา อาจจะมองได้สองขน้ั ตอน ข้ันแรกคือการแยก
วิเคราะห์เป็นแม่แบบซ่ึงท�ำให้เห็นทิศทางท่ีแตกต่างกันไป แต่ละแม่แบบอาจจะความเหล่ือมซ้อน
กนั อยู่ ขนั้ ตอ่ มาคอื การพจิ ารณารวมกนั โดยไมแ่ ยกแมแ่ บบใดแบบหนงึ่ แยกเปน็ เอกเทศ หากแตเ่ ปน็
กระบวนการที่เก้ือหนุนกัน ช่วยท�ำให้ภูมิทัศน์ทางปรัชญาเฟมินิสต์ได้งอกงาม มีพืชพันธุ์
ทผ่ี ลสิ ะพรงั่ มหี ลากสหี ลายพรรณ เปน็ สวนปรชั ญาทเี่ รม่ิ จากการเพาะปลกู ดแู ลรกั ษา ผลดิ อก
ออกผล เก็บเกี่ยว ปรบั แปลงดนิ ใหม่ จากฤดูกาลหนงึ่ ไปสู่อีกฤดูกาลหนงึ่

หรอื มันอาจจะเหน็ สวนที่ปลกู อยขู่ ้างๆ ก็เปน็ ไปได้เชน่ กัน

332 พลังผูห้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

บรรณานกุ รม
Alanen, Lilli. “Descartes and Elisabeth: A Philosopical Dialogue?, in Feminist
Reflections on the History of Philosophy. Lilli Alanen and Charlotte Witt, eds.
New York: Kluwer Academic Publishers, 2004.
Baier, Annette. A Progress of Sentiments: Reflections on Hume’s Treatise. Harvard
University Press, 1991.
Green, Karen. “A Moral Philosophy of Their Own? The Moral and Political Thought
of Eighteenth-Century British Women”, in The Monist, 2015, 98, 89-101, 2015.
Grimshaw, Jean. “Philosophy and the Feminist Imagination”, in Transformations:
Thinking Trough Feminism. (London and New York: Roitledge), 2000.
Irigaray, Luce. Conversations. New York: Continuum, 2008.
Irigaray, Luce. Democracy Begins Between Two. Kirsteen Anderson, trans. New York:
Cornell University Press, 2001 [1994].
Irigaray, Luce. I Love to You: Sketch for a Felicity Within History. New York and
London: Routledge, 1996.
Irigaray, Luce. An Ethics of Sexual Difference. Caroly Burke and Gillian C. Gill, trans.
New York: Cornell University Press, 1993[1984].
Irigaray, Luce. This Sex Which is Not One. Catherine Porter Carolyn Burke, trans.
New York: Cornell University Press, 1985[1977].
Irigaray, Luce. An Ethics of Sexual Difference. Caroly Burke and Gillian C. Gill, trans.
New York: Cornell University Press, 1985[1974].
Irigaray, Luce. Speculum of the Other Woman. Gillian C. Gill, trans. New York:
Cornell University Press, 1985[1974].
Nye, Andrea. Feminism and Modern Philosophy: An Introduction. New York and
London: Routledge, 2004.
Shapiro, Lisa. “Some Thoughts on the Place of Woman in Early Modern Philosophy”, ?,
in Feminist Reflections on the History of Philosophy. Lilli Alanen and Charlotte
Witt, eds. New York: Kluwer Academic Publishers, 2004.
Stone, Alison. Luce Irigaray and the Philosophy of Sexual Difference. Cambridge:
Cambridge University Press, 2006.
Tyson, Sarah. “From the Exclusion of Woman to the Transformation of Philosophy:
Reclamation and Its Possibilities”, in Metaphilosophy Vol.45 No.1, January 2014,
pp. 1-19, 2014.
Witt, Charlotte. “Feminist History and Philosophy”, in Feminist Reflections on the
History of Philosophy. Lilli Alanen and Charlotte Witt, eds. New York:
Kluwer Academic Publishers, 2004.


Click to View FlipBook Version