The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี : ความจริง และภาพแทน

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 101

ทกุ คนทง้ั 14 คน อยา่ งเตม็ ความสามารถ และสง่ เสรมิ ความสามารถทท่ี กุ คนมเี ปน็ สง่ิ ทท่ี ำ� ให้ เพราะแม่
เปน็ ผทู้ สี่ รา้ งคนทมี่ คี ณุ คา่ ในสงั คม ลกู ทกุ คนไดร้ บั การศกึ ษาโดยไมเ่ ลอื กวา่ เปน็ หญงิ หรอื ชาย อกี ทง้ั แม่
ยงั เปน็ แบบอยา่ งทดี่ ที ำ� ใหล้ กู เติบโตขนึ้ และทำ� ประโยชน์แกส่ ังคมวา่ “เวา้ ไดว้ า่ ลกู ของแมไ่ ด้ประกอบ
กจิ การที่เปน็ ประโยชนต์ อ่ สงั คม บางคนเปน็ อาจารยส์ อน นกั เขยี น นกั กวี ... ทง้ั หมดนแ้ี มม่ สี ว่ นสำ� คญั
สง่ เสรมิ และใหก้ �ำลังใจ แม่ทง้ั ใหแ้ บบอยา่ ง ท้งั ใหค้ �ำสอนทงี่ า่ ยดาย ปฏิบตั ิได”้ (ดอกเกด, 1995: 39)
นอกจากนีค้ วามชืน่ ชมที่มตี ่อแม่ยงั ปรากฏในหลายเรอื่ งเชน่ ความสะอาดในการเลี้ยงลกู เมอื่ ลูกปว่ ย
แมก่ ไ็ ปหาหมอหลวงแทนการใชย้ าพนื้ เมือง นอกจากนแ้ี ม่ยงั มคี วามเมตตาตอ่ เดก็ เล็ก หลายครง้ั ได้
อปุ การะเดก็ ทพี่ อ่ แมท่ ง้ิ เอาไว้ พรอ้ มทงั้ กลา่ วยกยอ่ งแมว่ า่ เปน็ ผหู้ ญงิ ทเี่ ฉลยี วฉลาด มไี หวพรบิ ปญั ญาดี
ซ่ึงส่งผลดีตอ่ สามี คือ มหาสลิ าด้วยวา่ “ชีวิตและความปลอดภัยของพ่อขนึ้ อยกู่ บั พกิ ไหวปญั ญาของ
แมผ่ ซู้ ง่ึ บไ่ ดเ้ ขา้ โรงเรยี นเลยตลอดชวี ติ ” (ดอกเกด, 1995: 43-44) “ความสำ� เรจ็ ในการเขยี นหนงั สอื ของ
พ่อ สว่ นหน่ึงแมน่ ยอ้ นแรงกระต้นุ กค็ อื ก�ำลงั ใจจากแม่” (ดอกเกด, 1995: 65)
จากเรื่องราวเร่ืองสั้นที่มาจากชีวประวัติ
ของนางมาลี ภรรยาของสลิ า วรี ะวง พอ่ ของผเู้ ขยี น
ซ่ึงเป็นนักประวัติศาสตร์คนส�ำคัญของลาวได้
สะท้อนมุมมองต่อบทบาทของแม่ ในยุคแห่ง
การเปลยี่ นแปลง วา่ ไดท้ ำ� หนา้ ทสี่ นบั สนนุ ครอบครวั
เป็นก�ำลังใจให้สามี สนับสนุนงานของสามี
ชว่ ยเหลอื สามี ดูแลลูกให้การศึกษาส่งเสียลูกจน
ได้ดี ส่ิงท่ีผู้เขียนพยายามน�ำเสนอคือภาพของ
แมท่ ตี่ า่ งออกไปคอื การทำ� งานดา้ นสงั คมสงเคราะห์
“การอุปการะเด็กท่ีพ่อแม่ท้ิง” ท้ังที่ตนเองมีลูก ดวงเดือน บนุ ยาวง นกั ประพนั ธเ์ จ้าของรางวลั ซีไรต์ปี 2549
ถงึ 14 คน หรอื ภาพแมท่ เี่ ปน็ ตวั อยา่ งแกผ่ หู้ ญงิ (ทม่ี า: http://www.happyreading.in.th/article/detail.
ยุคใหม่คือมีความรู้ความสามารถจากการสั่งสม php?id=1400)

ประสบการณแ์ ละเปน็ มากกวา่ แรงผลกั ดนั สามี คอื “การชว่ ยปกปอ้ งดแู ลนำ� พาชวี ติ สามใี หป้ ลอดภยั ”
ซึง่ บทบาทแมใ่ นแบบนไ้ี ม่เคยมใี นยุคจารีตท่ีสะท้อนความเท่าเทยี มในครอบครวั
นอกจากภาพบทบาทของแม่ทีม่ ตี ่อลกู ยงั ปรากฏภาพแมท่ เี่ ป็นคตู่ รงกันข้ามกับบทบาทของ
ลกู สะใภเ้ พมิ่ เขา้ มาในบทบาทความเปน็ แม่ เพอื่ สะทอ้ นบทบาทความเปน็ แมแ่ บบใหมท่ ี่ทำ� หน้าท่ีเล้ืยง
ดลู กู ตลอดจนการทดแทนบญุ คณุ ของแมข่ องลกู ตามแนวทางพทุ ธศาสนา มกั จะกลา่ วถงึ ความสำ� คญั
ในการรู้คุณแม่โดยผู้เป็นลูกชายต้องทดแทนค่าน้�ำนมของแม่ด้วยการบวชให้แม่ แม่หลายคนเชื่อว่า
การบวชของลกู ชายคอื หลกั คำ้� ประกันให้เขานัน้ มชี วี ิตท่ดี ีกว่าในชาตหิ นา้ แมม่ กั จะกลา่ ววา่ “ดงึ ผ้า
เหลืองของลูกเพื่อข้ึนสวรรค์” ลูกชายช่วยให้แม่ขึ้นสวรรค์ด้วยการบวชเป็นพระได้ ศัตรูคู่ตรงข้าม
ในการชว่ งชงิ พนื้ ทใี่ นศาสนาพทุ ธปรากฏใหเ้ หน็ ในกรณรี ะหวา่ งแมแ่ ละลกู สะใภท้ พี่ ยายามชว่ งชงิ พน้ื ท่ี
ของการเกาะผ้าเหลืองของลูกชายและสามีข้ึนสวรรค์ จึงเกิดเป็นการสร้างขนบประเพณีในแบบลาว
ที่มีความเช่ือว่าเมียสามารถได้บุญโดยผ่านผัวและมีการเช่ือกันว่าเมียอาจจะเกาะผ้าเหลืองของสามี
ข้นึ สวรรค์เหมือนดงั ที่แม่ของสามไี ดร้ บั ในกรณีท่สี ามจี ะบวชจึงต้องท�ำพิธี “หย่าร้าง” ก่อน ต่อหนา้
ญาตพิ นี่ อ้ งทม่ี ารว่ มและทง้ั สองจะตอ้ งขอขมาลาโทษพอ่ แมใ่ นสง่ิ ทไ่ี ดล้ ว่ งเกนิ ผา่ นมา ซง่ึ แสดงใหเ้ หน็

102 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

รู้ว่าผู้บวชเป็นพระจะต้องโปร่งใสไม่มีหนี้สินและไม่ได้ผูกพันกับลูกเมีย ดังน้ัน พ่อแม่ที่มีลูกชาย
จึงต้องนิยมให้ลูกบวชก่อนแต่งงาน เพ่ือจะได้เป็นผู้มีบุญเกาะผ้าเหลืองของลูกชายข้ึนสวรรค์ และ
การแสดงใหเ้ หน็ วา่ จะไดบ้ ญุ มากกวา่ ถา้ ลกู ชายบวชภายหลงั มเี มยี แลว้ ครอบครวั จะเชอื่ วา่ ผู้เป็นเมีย
จะไดบ้ ญุ มากกวา่ พ่อแม่ (มะยุรี เหงา้ สวี ทั น,์ 1993: 28)

หรอื ในงานวรรณกรรมยคุ ใหมไ่ ดส้ ะทอ้ นความขดั แยง้ ระหวา่ งแมก่ บั ลกู สะใภ้ ผา่ นภาระหนา้ ที่
ในการอบรมเลยี้ งดแู ละคาดหวงั สงิ่ ทดี่ ใี หก้ บั ลกู ชายจนกลายเปน็ ภาพความขดั แยง้ ระหวา่ งกบั ลกู สะใภ้
เช่น เรื่องรักชั่วนิรันดรของจันที เดือนสะหวัน ในปี ค.ศ. 2002 ได้เล่าถึงนางเอกช่ือสุนทอนรัก
กับพระเอกชื่อสินทะวี โดยทั้งสองได้ผ่านความยากล�ำบากในเรื่องความรักจนในท่ีสุดได้ครองคู่กัน
โดยในเร่ืองดังกล่าวได้เล่าถึงที่มาของหญิงสาวว่าเป็นคนยากจน แต่เมื่อพระเอกมาพบก็ได้ให้
การศึกษาและปรับปรุงตัวให้เข้าสู่วงสังคมระดับสูงของพระเอก พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงความเป็นมา
จากหญงิ สาวยากจนใหเ้ ปน็ คนลาวสญั ชาตอิ เมรกิ นั จนครอบครวั ของสนิ ทะวใี หน้ างสนุ ทอนเปน็ ภรรยา
แตเ่ มอ่ื สนิ ทะวไี ดป้ ระสบอบุ ตั เิ หตทุ างรถยนตอ์ าการสาหสั ทำ� ใหเ้ ปน็ อมั พาตตง้ั แตเ่ อวลงมา และทกุ คน
รู้ความจริงเก่ียวกับที่มาของสุนทอน แม่ของเขาก็แสดงอาการรังเกียจและหาว่านางเป็นเหตุให้เกิด
ความเลวร้าย “ย้อนน�ำอีบาปคนน้ีเข้าบ้านถ้าเอาผู้ดีมีราศีก็คงบ่เกิดเร่ืองอัปรีย์ดังกล่าว” (จันที
เดือนสะหวัน, 2002: 47) แม้ว่านางจะท�ำหน้าท่ีภรรยาเป็นอย่างดี เช่น “สุนทอนได้กลายเป็น
นางพยาบาลเฝา้ ดแู ลสามอี ยทู่ กุ บาดกา้ ว ปอ้ นขา้ ว อาบนำ้� ถา่ ยหนกั ถา่ ยเบา บำ� บดั หา่ งกายคอยเอาอก
เอาใจสามีนางท�ำทกุ อยา่ งเพ่อื บใ่ หม้ ีส่งิ กระทบถึงจิตใจของผัว ... ฮอดโมงกนิ ผวั ต้องไดก้ ิน ฮอดโมง
นอนพนั ละยาตอ้ งโซมผวั ดว้ ยความระมดั ระวงั และไปซอกซอ้ื เอาปม้ื นยิ ายและนทิ านมาอา่ นใหผ้ วั ฟงั
เพื่อฆ่าความเบ่ือชีวิต บางครั้งนางก็ร้องเพลงกล่อมผัว” (จันที เดือนสะหวัน, 2002: 44)
สินทะวีเปิดโอกาสให้นางจากไปเพ่ือเร่ิมต้นชีวิตใหม่ แต่นางก็ปฏิเสธเพราะเขาเป็นสามีที่ประเสริฐ
นางถกู แมส่ ามไี ลอ่ อกจากบา้ น แตก่ ถ็ กู เรยี กตวั กลบั มาอกี ครงั้ เพราะสนิ ทะวหี มดอาลยั ตายอยาก เขาทำ�
ทกุ อยา่ งเพอื่ ใหต้ นเองเสยี ชวี ติ เมอ่ื นางจากไป จนแมส่ ามสี งสารลกู ชายจงึ ยอมใหล้ กู สะใภก้ ลับมาดูแล
สามเี ชน่ เดิม

จากเร่ืองส้ันเรื่องรักช่ัวนิรันดรได้สะท้อนภาพบทบาทแม่ท่ีต้องการดูแลลูกตามแนวทาง
ของตนกับการแสดงออกของลูกสะใภ้ท่ีแสดงบทบาทเมียที่ดี ซ่ึงเป็นผลมาจากการแยกบทบาทแม่
และเมยี จากแนวความคดิ เรอื่ ง “3 ดี 2 หนา้ ท”่ี ของผหู้ ญงิ ไดท้ ำ� ใหเ้ กดิ การสรา้ งความแตกตา่ งของบทบาท
หน้าท่ีผู้หญิงในความเป็นแม่ท่ีดีและเมียที่ดีอย่างชัดเจน ส่งผลให้เกิดการแสดงบทบาททางสังคม
ของผู้หญิงผ่านบทบาทความเป็นแม่และเมียอย่างชัดเจน จนเกิดเป็นคู่ความขัดแย้งและคู่แข่งขัน
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสุดท้ายผู้หญิงในสังคมลาว ก็ยังอิงแอบอยู่กับความเช่ือในเรื่องผู้ชาย
เปน็ ใหญ่ สง่ ผลใหท้ งั้ การแยง่ ชงิ ผลบญุ กศุ ลของลกู ชายหรอื สามขี องผหู้ ญงิ ทแ่ี สดงสถานะแมแ่ ละเมยี
หรือการกำ� กบั ชวี ติ ลกู ชายทพ่ี กิ ารจากงานวรรณกรรมข้างต้น สง่ ผลให้เกิดคู่ความขดั แยง้ ของผูห้ ญิง
ในบทบาทความเปน็ แมแ่ ละเมยี ซง่ึ ความขดั แยง้ ดงั กลา่ ว ในอดตี ไมเ่ คยมี เนอื่ งดว้ ยผหู้ ญงิ ในยคุ จารตี
มีสถานภาพเป็นเพียงผู้ที่ต้องเดินตามผู้ชาย แต่ในปัจจุบันบทบาทสถานภาพผู้หญิงได้เปล่ียนไป
ท�ำให้บทบาทความเป็นแม่และเมียแยกออกจากกนั พรอ้ มทงั้ เกดิ การนยิ ามความหมายของคำ� วา่ แม่
แบบใหมท่ อี่ าจกลา่ วเรยี กไดว้ า่ แมค่ อื แม่ คอื การแสดงอำ� นาจของผหู้ ญงิ ตอ่ ผหู้ ญงิ ดว้ ยกนั ผา่ นบทบาท
ความเปน็ แม่

พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 103

สรปุ
อาจกล่าวได้ว่าการให้ความหมายต่อบทบาทของแม่ ในสังคมลาวได้มีการเปลี่ยนแปลงไป

ตามบรบิ ททางสงั คมและสถานภาพของผหู้ ญงิ ดงั เหน็ ไดว้ า่ ในยคุ จารตี การเปลยี่ นแปลงการปกครองปี
ค.ศ. 1975 แมม่ บี ทบาทเปน็ ผใู้ หก้ ำ� เนดิ ผอู้ บรมเลยี้ งดลู กู ในครอบครวั โดยบทบาทแม่ที่ดคี ือการเล้ยี งดู
ลกู ใหส้ ามี ดงั นนั้ การทผี่ หู้ ญงิ ทเี่ ปน็ เมยี อาจไมไ่ ดห้ มายถงึ เมยี ทด่ี ถี า้ ไมไ่ ดเ้ ปน็ แมท่ ดี่ ดี ว้ ย การเปน็ แม่
ทดี่ ใี นการเลยี้ งดลู กู ถกู ทำ� ใหเ้ ปน็ มายาคตถิ งึ หนา้ ทสี่ ำ� คญั ของแมพ่ รอ้ มกลายเปน็ มาตรฐานในการแยก
สถานะผหู้ ญงิ ทด่ี วี ่า “เปน็ แม่ทดี่ ”ี

เม่ือเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครองและระบอบสังคมนิยมตั้งแต่ปี ค.ศ 1975
เปน็ ตน้ มา บทบาทแมไ่ ดเ้ ปลยี่ นไปตามการกำ� หนดของอดุ มการณพ์ รรคและรฐั ตามแนวความคดิ เร่ือง
ผหู้ ญิง 3 ดี 2 หน้าที่ แม่ได้มีการนิยามความหมายใหม่เชน่

1. แมม่ คี วามเสยี สละทจี่ ะไมเ่ ลยี้ งดลู กู เพอ่ื ดำ� เนนิ การตามอดุ มการณข์ องพรรคและรฐั
2. แมท่ ที่ ำ� หนา้ ทขี่ องแมอ่ ยา่ งชดั เจน ตามแนวคำ� ขวญั ผหู้ ญงิ 3 ดี 2 หนา้ ท่ี ไดก้ ำ� หนดภารกจิ
“แม่ที่ดีคือการอบรมเล้ียงดูลูกให้เป็นพลเมืองที่ดี” โดยแม่มีบทบาทในการเล้ียงดูลูกโดยไมผ่ กู พนั
กับการเป็นเมียตามแบบสังคมจารีต แม่สามารถมีบทบาทของตนเองในการเลี้ยงดูลูก เน่ืองจากมี
ความสามารถในการประกอบอาชีพอนื่ ๆไดเ้ ทา่ เทียมกับผู้ชายและพรอ้ มท่จี ะอบรมเล้ยี งดูลูก
3. การสรา้ งภาพความเปน็ แมใ่ นพน้ื ทนี่ อกครอบครวั โดยอา้ งองิ บทบาทความเปน็ แมใ่ หก้ บั
การรณรงคใ์ หผ้ หู้ ญงิ ออกมาทำ� อาชพี ตา่ งๆ มากกวา่ การทำ� งานในครอบครวั เชน่ การเปน็ ครคู อื แมค่ น
ทสี่ อง แพทยผ์ ใู้ จดคี อื แม ่ เปน็ ตวั อยา่ งของการใหบ้ ทบาทแมใ่ นสถานะใหม่ บทบาทแมท่ ม่ี ากขนึ้ ในฐานะ
ผเู้ สยี สละ อดทน เลย้ี งดบู ตุ ร ไดน้ ำ� ไปสแู่ นวคดิ เรอ่ื งบญุ คณุ ของแม่ จนในทสี่ ดุ เกิดพ้ืนท่ีแห่งอ�ำนาจ
ของผหู้ ญิงแบบใหมใ่ นสังคมลาวคือ พ้นื ท่ีบุญคุณระหว่างแม่กับลกู สะใภ้ในฐานะที่ แมม่ หี นา้ ท่ตี อ่ ลกู
และเมยี ที่มีหนา้ ท่ตี อ่ สามี ตามแนวคดิ 3 ดี 2 หน้าที่ จงึ นำ� ไปสู่การแสดงบทบาททช่ี ดั เจนระหว่างแม่
กับลกู สะใภท้ ี่เปน็ เมียในการแยกบญุ ทีเ่ กิดจากการบวช
อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่า บทบาทแม่ในสังคมลาวปัจจุบันมีบทบาทที่สูงขึ้นกว่า
แต่เดิม โดยมีการให้ความหมายถึงแม่คือแม่ที่มีบทบาทหน้าท่ีอย่างชัดเจนในฐานะผู้สร้าง
พลเมืองท่ดี ีของรัฐ จึงจะเปน็ แม่ท่ีดี

104 พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

บรรณานุกรม
ขันค�ำ. “กอ่ นจะมวี นั น”้ี . ใน ใผกช็ า่ วา่ อ้ายรักนอ้ ง. เวียงจันทน์: หนมุ่ ลาว, 1995.
จนั ที เดอื นสะหวัน. รักช่ัวนิรนั ดร. เวยี งจันทน:์ โรงพมิ พศ์ กึ ษา, 2002.
ดวงไซ หลวงพะส.ี ทา่ นนางทองวนิ พมวหิ าน ชวี ติ และเรยี กงาน. เวยี งจนั ทน:์ หนมุ่ ลาว, 1991.
______________. หลวงพะบางทรี่ ัก. เวยี งจันทน:์ หนมุ่ ลา, 2000.
______________. มนุษยธรรมอยไู่ ส?. เวียงจันทน:์ โรงพมิ พ์แห่งรัฐ, 2003.
ดอกเกด. “เมอ่ื แม่เข้าคุก” ใน ดอกสุดทา้ ยหรืองาม?. เวียงจันทน:์ โรงพิมพ์ศึกษา, 1995.
ทัศนีย์ ฉ�่ำพิรุณ. บทบาทและหน้าท่ีของสตรีในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังความส�ำเร็จของครอบครัว
ตามแนวพระพุทธศาสนา: ศึกษาเฉพาะกรณีแม่บ้านทหารอากาศ. ปริญญาพุทธ
ศาสตรมหาบณั ฑติ (พระพทุ ธศาสนา) มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลยั . (เอกสาร
อดั ส�ำเนา), 2554.
บนุ ทะนอง ชมไชผน. แอกผวั . เวยี งจันทน:์ โรงพมิ พ์ศกึ ษา, 1983.
บนุ เสิน แสงมะนี. “ทางสายเปลยี่ ว” ใน ปื้มบันทกึ สฟี ้า. เวยี งจันทน:์ โรงพิมพ์ศึกษา, 1995.
______________. “ดวน” ใน รวมเรอ่ื งสนั้ วนั ทรี่ อคอย. เวยี งจนั ทน:์ โรงพมิ พศ์ กึ ษา, 2000.
มะยุรี เหงา้ สีวทั น.์ ผู้หญิงลาว ในอดตี และ ปัจจุบนั . เวียงจันทน์ : โรงพมิ พแ์ ห่งรัฐ, 1993.
สหพันแม่หญิงลาว. เอกสารกองประชุมใหญ่ผู้แทนแม่หญิงลาวท่ัวประเทศ ครั้งที่ 4. เวียงจันทน์:
โรงพิมพ์แหง่ รฐั , 2001.
อมุ ารนิ ทร์ ตุลารกั ษ.์ แมห่ ญงิ ในวรรณกรรมลาวรว่ มสมยั หลงั การปฏวิ ตั ชิ าตปิ ระชาธปิ ไตย ค.ศ. 1975.
วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาไทยศึกษา. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
(อัดสำ� เนา), 2550.

บทบาทผ้หู ญิงมุสลมิ มลาย:ู

ในมุมมองทางประวัตศิ าสตรส์ งั คมและวฒั นธรรม
ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ

อดีตอาจารย์ประจำ� คณะสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หากเราพิจารณาความหมาย ของค�ำเรียก “ผู้หญงิ มสุ ลิมมลายู” ในภาษาไทย ซ่ึงหมายถึง
ผหู้ ญงิ ทน่ี บั ถอื ศาสนาอสิ ลามและมรี ากฐานวฒั นธรรมมลายู (รวมทง้ั ภาษา) อาจจะครอบคลมุ ไปไดถ้ งึ
ผ้หู ญิงมสุ ลิมในมาเลเซียด้วย เพราะวา่ ตา่ งก็มรี ากฐานวัฒนธรรมมลายูเหมอื นกัน แตใ่ นปจั จุบันดว้ ย
เงอ่ื นไขทางประวตั ศิ าสตร์ ประกอบกบั ภาษาและวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ และการเมอื งทม่ี คี วามแตกตา่ งกัน
เช่น สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทยเป็นเวลาที่นานมากแล้ว
การวิเคราะห์แบบเหมารวมไปด้วยกันอาจท�ำให้สับสนและเข้าใจผิดได้ ในบทความน้ีจึงขอจ�ำกัด
การวเิ คราะหเ์ ฉพาะบทบาทผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายู ซงึ่ ในภาษาไทยอาจเรยี กตวั เองวา่ ”ผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลาย”ู
หรือ”ผู้หญิงมลายูมุสลิม” และในบริบทที่ต้องการส่ือความหมายว่ากลุ่มชาติพันธุ์ของตนเป็นใคร
ในภาษามลายถู น่ิ ปตานี เรยี กตวั เองวา่ “ออแฆนาย”ู (ในภาษามลายกู ลาง/มาตรฐานมคี วามหมายวา่
โอรังมลายู/คนมลายู) และในบางบริบท อาจจะเรียกตัวเองว่า “ไทยมสุ ลิม” (มุสลิมทอี่ ย่ใู นขอบเขต
ประเทศไทยหรือคนไทยท่ีนับถือศาสนาอิสลาม) เมอ่ื สื่อสารกบั คนไทยพุทธ

อยา่ งไรกต็ ามผเู้ ขยี นตอ้ งยอมรบั วา่ ภาพทจี่ ะนำ� เสนออาจจะไมค่ รอบคลมุ ลกั ษณะความหลากหลาย
ของบทบาทผหู้ ญงิ มลายมู สุ ลมิ ในทอ้ งถนิ่ ซงึ่ หลากหลายในเชงิ กลมุ่ อาชพี การศกึ ษา ชนชน้ั ทางสงั คม
และสถานะทางเศรษฐกจิ ในจงั หวดั ชายแดนใต้ เพราะงานวจิ ยั ทม่ี อี ยยู่ งั มขี อ้ จำ� กดั อยมู่ าก ในบทความน ้ี
จะพจิ ารณาการเปลย่ี นแปลงของบทบาทของผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายใู นบรบิ ททางเศรษฐกจิ การเมอื ง และ
สังคมที่เปล่ียนแปลงไปเป็นหลัก และในการวิเคราะห์บทบาทจะพิจารณาในขอบเขตท่ีครอบคลุม
มติ ติ า่ งๆ หลายระดบั ดว้ ยกนั คอื

• ในอาณาบรเิ วณของครัวเรือน (domestic domain)
• ในอาณาบริเวณของสาธารณะ (public domain) ท้งั ที่เปน็ ศาสนาและการปกครอง
ซ่ึงอยู่ภายในขอบเขตกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ
• ในอาณาบริเวณทตี่ ้องเกย่ี วพันกบั คนนอก หรือ ท่ตี ่างกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุกนั อย่างเช่น
คนไทยพทุ ธ เป็นต้น

106 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

โดยการน�ำเสนอการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลจากรายงานวิจัยท้ังทางประวัติศาสตร์
และมานุษยวิทยาทีศ่ ึกษาในต่างพนื้ ท่ี ต่างกาลเวลา และตา่ งมมุ มอง เพ่ือฉายภาพการเปลี่ยนแปลง
จากบริบทต่างๆ ซึ่งนอกจากจะมีข้อจ�ำกัดข้างต้นแล้ว ยังมีข้อจ�ำกัดที่ไม่อาจมองเห็นภาพ
การเปลยี่ นแปลงท่ีตอ่ เน่ืองในพื้นท่เี ฉพาะได้
แนวคิดการวิเคราะห์ “บทบาท” ในสงั คมศาสตรโ์ ดยสงั เขป

“บทบาท” เป็นมโนทัศน์หรือศัพท์ทางวิชาการท่ีใช้ในงานศึกษาทางสังคมศาสตร์ ต้ังแต่
ทศวรรษของ 2470 เพอื่ ทำ� ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั หนา้ ทกี่ ารงาน ความหมายและความสำ� คญั ของบคุ คล
ประเภทตา่ งๆ ในบรบิ ทของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลทมี่ ี สถานภาพทางสงั คม และวฒั นธรรมแตก
ต่างกนั ไป (Linton, 1936) อย่างเชน่ บุคคลทีม่ สี ถานภาพเปน็ บดิ า มีบทบาทอย่างไรต่อบุตร หรอื ตอ่
ภรรยา คนแตล่ ะคนทว่ั ไปในสังคมมคี วามเปน็ “บคุ คล” ในหลายสถานภาพ (พทั ยา สายหู, 2526)
เชน่ เปน็ บดิ า บตุ ร อาจารย์ และลกู ศษิ ย์ ขน้ึ อยวู่ า่ เปน็ คสู่ มั พนั ธก์ บั ใคร ดงั นน้ั ในการพจิ ารณาบทบาท
ของผ้หู ญิงมสุ ลิมมลายู จึงมใิ ช่ว่าพิจารณาวา่ เปน็ คู่สมั พันธ์กบั ผชู้ ายในมิตเิ ดยี ว แตต่ ้องพจิ ารณาดว้ ย
วา่ เปน็ คสู่ มั พนั ธใ์ นสถานภาพใด เชน่ คสู่ มั พนั ธร์ ะหวา่ งบดิ ากบั บตุ รสาวหรอื ระหวา่ งสามกี ับภรรยา
บทบาทกจ็ ะแตกตา่ งกันไป

นอกจากจะพิจารณาบทบาทผ่านคู่สัมพันธ์ในอาณาบริเวณท่ีเป็นเรื่องภายใน ครอบครัว
หรือ ครัวเรือนและวงศาคณาญาติแล้ว เราอาจจะพิจารณาสถานภาพและบทบาทของผู้หญิงใน
อาณาบริเวณที่เป็นภายนอกหรือที่เป็นสาธารณะ แต่ยังอยู่ในขอบเขตสังคมที่มีวัฒนธรรมร่วมกัน
รวมท้ังพิจารณาบทบาทผู้หญิงท่ีต้องไปสัมพันธ์กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีต่างวัฒนธรรมออกไป
อย่างเช่น กับคนไทยพุทธท่ีมีภาษา และ ศาสนา แตกต่างกัน และในการวิเคราะห์อาจจ�ำเป็นต้อง
พจิ ารณาบทบาทของผ้ชู ายมสุ ลมิ มลายปู ระกอบและเปรยี บเทียบพรอ้ มกนั ไปดว้ ย
บทบาทของผหู้ ญิงมุสลิมมลายใู นสงั คมโบราณ: จากประวตั ิศาสตร์และตำ� นานทอ้ งถน่ิ

ในสมัยก่อนท่ีจะมีสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ยังไม่มีนักวิชาการสาขาอ่ืนๆ ให้
ความสนใจวิเคราะห์บทบาทของผู้หญิงในลักษณะดังกล่าวข้างต้น รวมทั้งบทบาทของผู้หญิงมุสลิม
มลายูด้วย ที่จริงสภาวะความเป็นผู้หญิงมุสลิมมลายูน่าจะเกิดข้ึนเม่ือประมาณไม่เกินหกร้อยปีมานี้
เพราะผคู้ นในแหลมมลายซู ง่ึ รวมทง้ั สามจงั หวดั ชายแดนภาคใตข้ องไทยตา่ งกม็ วี ฒั นธรรมของตนเอง
แต่ภายใต้อาณาจักรฮินดูและพุทธศาสนานิกายมหายานในยุคสมัยที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม
อาจกลา่ วไดว้ า่ จากหลกั ฐานการบนั ทกึ ของนกั เดนิ ทางตา่ งชาติ เชน่ หลวงจนี และ บนั ทกึ อนื่ ๆ ในพน้ื ท่ี
ดังกล่าวผู้คนมีหลากหลายชาติพันธุ์ แต่ที่เป็นส่วนใหญ่ก็คือกลุ่มผู้ท่ีใช้ภาษามลายูที่แตกต่างกัน
ไปบ้างตามทอ้ งถน่ิ ซงึ่ กอ่ นพุทธศตวรรษ 19 กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์มลายยู ังไม่ได้นบั ถือศาสนาอสิ ลามเขา้ มา
เป็นสรณะในชวี ิตของตนเอง

พื้นที่ท่ีเป็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน มีรากฐานการเมืองการปกครองและ
วฒั นธรรมมาจากอาณาจกั รโบราณทเ่ี รยี กกันว่า “ปตานี” (Patani)1 ท่ีมีหลักฐานเป็นภาษามลายู
เล่าเรื่องราวเก่ียวกับพัฒนาการของรัฐปตานีซึ่งมีหลายส�ำนวน แต่ส�ำนวนที่แพร่หลายมาก คือ
“Hikayat Patani” (The Story of Patani หรือ “เร่อื งเล่าเมอื งปตานี”) ทีแ่ ปลโดย A. Teeuw และ

1ทางการไทยเขียนว่า “ปตั ตานี” แต่คนทอ้ งถนิ่ เขียนและออกเสียงวา่ “ปตาน”ี หรอื “ปาตาน”ี

พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 107

D.K.Wyatt เปน็ ภาษาองั กฤษ (A. Teeuw and D.K.Wyatt, 1970) ประมาณกนั วา่ ในพทุ ธศตวรรษ
ที่ 19 รฐั ปตานเี ปน็ ท่ีรู้จักแพร่หลาย ในหลกั ฐานของตา่ งชาติ มมี สั ยิดส�ำคัญคอื “กรอื เซะ” (ศรศี กั ร
วัลลิโภดม และ คณะ, 2550) และจาก “เรอ่ื งเลา่ เมอื งปตาน”ี การเปลยี่ นไปนับถอื ศาสนาอสิ ลามของ
อาณาจักรมลายตู า่ งๆ ในแหลมมลายแู ละพนื้ ทีใ่ กลเ้ คยี ง เกิดขนึ้ ในชว่ งเวลาทแี่ ตกตา่ งไปบ้าง อยา่ ง
เชน่ ในปี พ.ศ 1835 (ค.ศ. 1292) มาโค โปโล (Marco Polo) ไดบ้ นั ทึกวา่ ในอาณาจกั ร Perlak และ
Pasai บนเกาะสมุ าตรา ได้มกี ารสถาปนาศาสนาอสิ ลามอยแู่ ลว้ และอาจจะขยายมาถงึ แหลมมลายู
รวมทั้งอาณาจักรปตานีในพุทธศตวรรษที่ 20 ดังปรากฏหลักฐานในหลักศิลาจารึกตรังกาน ู
(Winstedt, 1950: 34)

โดยอาศยั หลกั ฐาน “เรอ่ื งเลา่ เมอื งปตาน”ี การเกดิ อาณาจกั รปตานมี าพรอ้ มๆ กบั การหนั ไป
นับถือศาสนาอิสลามของเจ้าเมือง และการสร้างปืนใหญ่ “นางพญาปตานี” โดยท่ีไม่ได้ระบุเวลา
ท่ีชัดเจน แต่ประมาณว่าอาจจะอยู่ระหว่างกลางพุทธศตวรรษท่ี 20 และต้นพุทธศตวรรษท่ี 21
ซง่ึ เปน็ ชว่ งเวลา ทม่ี กี ารขยายการคา้ ทางทะเลและการขยายอำ� นาจของอาณาจกั รสยามลงมาในบรเิ วณ
แหลมมลายโู ดยเฉพาะทร่ี ฐั ปตานี (A. Teeuw and D.K.Wyatt, 1970) “เรอื่ งเลา่ เมอื งปตาน”ี ไมไ่ ด้
พรรณนาเกี่ยวกับชีวิตสังคมของผู้หญิงมุสลิมมลายูที่เป็นชาวบ้านธรรมดามากนัก หากเล่าเก่ียวกับ
เหตุการณ์ส�ำคัญๆ ของเมืองปตานีโดยเฉพาะที่เก่ียวกับการปกครองของเจ้าเมืองปตานีในยุค
สมัยต่างๆ ซ่ึงมีความขัดแย้งกันภายในเป็นระยะฯ และในท่ีสุดในปี พ.ศ. 2127 ผู้หญิงได้ขึ้นเป็น
“รายา” หรอื เจา้ เมอื งคนท่ี 6 และตอ่ มารายาหญงิ อกี 3 คนไดค้ รองราชยส์ บื ตอ่ กนั ยาวนานรว่ มรอ้ ยปี
และในชว่ งเวลาท่คี รองราชย์ของสององค์แรก มหี ลักฐานจากบันทึกของคนตา่ งชาติ

วา่ รฐั ปตานมี คี วามรงุ่ เรอื งเปน็ อยา่ งมากทงั้ ในมติ ทิ างการคา้ และการเมอื ง อยา่ งไรกต็ ามแมว้ า่
จะมคี วามใกลช้ ดิ กบั อาณาจกั รมลายทู อี่ ยใู่ กลอ้ ยา่ งปะหงั และยะโฮรอ์ นั เนอ่ื งจากการแตง่ งานทผี่ กู พนั
เก่ียวดองกนั ไปมา แตย่ งั มคี วามขดั แยง้ ในเชงิ ผลประโยชนก์ นั ด้วย ท�ำให้ความสมั พนั ธไ์ ม่ราบรน่ื นกั
จากหลักฐานท่ีมียังไม่ปรากฏชัดนักว่ารายาหญิงองค์สุดท้ายของปตานีปกครองอาณาจักรจนถึง
เมือ่ ใด แตป่ ระมาณกนั ว่า อาจจะเปน็ พ.ศ. 2231 (Teeuw and Wyatt, 1970)

ภาพพมิ พแ์ สดงขบวนเสดจ็ ของรายาฮเิ ยา
ประทบั บนหลงั ชา้ ง (คนหนั หนา้ ) โดยกำ� ลงั
คยุ กบั พระขนษิ ฐา วาดโดยชาวดทั ช์ เมอื่

ค.ศ.1602

108 พลังผ้หู ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

การทเี่ มอื งปตานมี รี ายาหญงิ ตอ่ เนอื่ งกนั ในสมยั กอ่ นนนั้ เปน็ เรอ่ื งทน่ี า่ สนใจวา่ ผหู้ ญงิ สามารถ
มีบทบาทส�ำคัญในการปกครองได้ และชาวยุโรปหลายคนที่ได้มาเยือนปตานีได้ยกย่องชมเชยว่า
เป็นการปกครองทด่ี ีคอื มที ้ังความสงบและความรุง่ เรอื ง แม้วา่ ในทศวรรษของ 2220 Nicholas Ger-
vaise ได้อธิบายเร่ืองน้ีว่า เป็นเพราะว่าประชาชนเบ่ือรายาผู้ชายที่ประพฤติตนไม่ดี จึงเลือก
ผหู้ ญงิ ขนึ้ มาแทน แตไ่ มใ่ หอ้ ำ� นาจในการปกครอง กลบั เลอื กเสนาบดที ม่ี คี วามสามารถขนึ้ มาวา่ ราชการแทน
และจัดส่งดอกไม้ทองที่เป็นสัญลักษณ์ของการสวามิภักด์ิกษัตริย์สยามในนามของรายา มิใช่ในนาม
ของเสนาบดี (อา้ งใน Teeuw and Wyatt, 1970:12) ในความเหน็ ของผูเ้ ขยี นประเด็นนค้ี อ่ นข้างซับ
ซ้อนยังไม่มีค�ำตอบท่ีสมบูรณ์ เพราะข้อมูลที่มีอยู่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอ มีเง่ือนไขหลายอย่างที่ต้อง
พิจารณาข้อมูลและความเห็นของ Gervaise จึงเป็นเพียงมุมมองหน่ึง ส่วน แอนโทนี รีด (Reid,
1988) ซ่ึงศึกษาประวัติศาสตร์สังคมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคสมัยการขยายตัวทางการค้า
ในช่วงเวลาระหวา่ ง พ.ศ. 1993-2223 ได้ต้งั ข้อสังเกตวา่ นอกจากปตานแี ลว้ ยงั มีรายาหญิงอื่นอีกใน
หลายอาณาจกั รของแหลมมลายแู ละหมเู่ กาะ ซง่ึ อาจเปน็ ไปไดว้ า่ ผคู้ รองนครทเี่ ปน็ หญงิ อาจมบี ทบาท
ทเี่ ออื้ อำ� นวยตอ่ การขยายตวั ทางการคา้ เพราะวา่ ในหลายรฐั การขน้ึ ครองเมอื งของผหู้ ญงิ ตรงกบั ชว่ ง
เวลาทมี่ กี ารขยายตวั ทางการคา้ อยา่ งมาก ซง่ึ ไมน่ า่ จะเปน็ เรอ่ื งบงั เอญิ หรอื วา่ ผหู้ ญงิ เปน็ เพยี งหนุ่ เชดิ
ของพวกเสนาบดี เพราะจาก “เรื่องเล่าเมอื งปตานี” มีรายาหญิงองคห์ นึ่งสัง่ ไมใ่ หเ้ รยี กวา่ “พระเจ้า”
เพราะ เปน็ คำ� ที่ทางฝา่ ยไทยใชเ้ รยี กรายาองคก์ อ่ นๆ

นอกจากนี้ Reid (1988) ยงั ไดน้ ำ� เสนอภาพของผหู้ ญงิ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตซ้ งึ่ รวมทง้ั ท่ี
เปน็ ผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายวู า่ มคี วามอสิ ระในทางเศรษฐกจิ คอ่ นขา้ งมาก และมแี บบแผนการแบง่ แรงงาน
ระหวา่ งหญงิ และชายในการเพาะปลกู แตใ่ นเรอื่ งการคา้ ขายในตลาดแลว้ เปน็ อาณาจกั รของผหู้ ญงิ ทำ� ให้
เห็นภาพของผู้หญิงมุสลิมมลายูท่ีแตกต่างจากผู้หญิงมุสลิมในสังคมอาหรับที่ต้องถูกจ�ำกัดบทบาท
เฉพาะในอาณาบริเวณท่เี ป็นภายในครวั เรือน
บทบาทของผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายใู นสามจงั หวดั ชายแดนภาคใตใ้ นทศวรรษของ 2500: มมุ มอง
ของนกั มานุษยวทิ ยาตะวนั ตกจากการศึกษาชวี ิตชมุ ชนประมง

ในทศวรรษดงั กลา่ วเรมิ่ มนี กั มานษุ ยวทิ ยาสนใจทจี่ ะเขา้ ใจชวี ติ สงั คมและวฒั นธรรมในชมุ ชน
ขนาดเล็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ชุมชนแรกที่มีการศึกษา คือ ชุมชนประมงมุสลิมมลายูท ี่
เฟรเซอร์ (Fraser, 1960) เรียกวา่ “รเู สมบลิ ัน” แปลวา่ “สนเก้าตน้ ” ซง่ึ ชาวบ้านเรียกกนั ในภาษา
ทอ้ งถิน่ วา่ “รูสะมิแล” ที่จงั หวัดปตั ตานี ในงานนเี้ ฟรเซอรไ์ ดใ้ ห้ความสนใจกับการจัดระเบยี บสงั คม
ของชุมชนมุสลิมมลายูขนาดเล็กซ่ึงเขาคิดว่าชุมชนน้ีอาจจะสะท้อนให้เห็นรูปแบบท่ัวไปของ
การจัดระเบียบสังคมในสังคมและวัฒนธรรมมลายูในชายแดนภาคใต้ของไทย ในงานของเขาผู้อ่าน
ได้เห็นภาพรวมของชีวิตชุมชนประมงมุสลิมมลายูท่ีเป็นส่วนหน่ึงของรัฐไทย แต่มีวิถีชีวิตในทาง
สังคมและวัฒนธรรมแตกต่างจากชุมชนไทยพุทธท่ัวไปซ่ึงสะท้อนให้เห็นรากฐานของชีวิตชุมชน
ที่มาจากประเพณีมลายูและศาสนาอิสลามเป็นหลักแม้ว่าในชีวิตทางเศรษฐกิจและการใช้ทรัพยากร
อาจจะมีสว่ นคลา้ ยกับชมุ ชนประมงไทยพุทธกต็ าม

พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 109

หมูบ่ า้ นชาวประมงรูสะมแิ ล ปัตตานี (ท่มี า: http://www.dekguide.com/หมูบ่ ้านรูสะมิแล-จงั หว/ั )

มิตอิ าณาบรเิ วณครัวเรือน
องคก์ รทางสงั คมพน้ื ฐานใน “รสู ะมแิ ล” คอื ครอบครวั (ครอบครวั เดย่ี ว) และครวั เรอื นซงึ่ อาจจะ
เป็นพ้ืนท่ีอาศัยของครอบครัวเด่ียว หรือ ครอบครัวขยาย (ครอบครัวเด่ียวที่มีมากกว่าหน่ึง และมี
ความสมั พนั ธท์ างสายเลอื ดไดอ้ าศยั อยรู่ ว่ มกนั ภายใตห้ ลงั คาเดยี วกนั ) ซง่ึ ประกอบดว้ ย หญงิ และชาย
ทตี่ า่ งสถานภาพทางสงั คมอยรู่ ว่ มกนั มปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั และมบี ทบาทหนา้ ทตี่ อ่ กนั อยา่ งเชน่ คสู่ มั พนั ธ์
ชายหญงิ ทอ่ี ยใู่ นระนาบเดยี วกนั คอื สามแี ละภรรยา ทตี่ า่ งระนาบกนั มหี ลายคสู่ มั พนั ธ์ อยา่ งเชน่ บดิ า
กบั บตุ รสาว หรอื มารดากับบุตรชาย หรอื ปู/่ ตา กบั หลานสาว ยา่ /ยาย กบั หลานชาย และ พี่ชาย/
น้องสาว หรอื พ่ีสาว/นอ้ งชาย เป็นต้น ในคูส่ มั พนั ธท์ ่ตี ่างกัน บทบาทหนา้ ท่ีก็ต่างกันไปด้วย อย่างไร
กต็ ามจากประสบการณข์ องนกั มานษุ ยวทิ ยารวมทง้ั เฟรเซอรท์ ศ่ี กึ ษารสู ะมแิ ลดว้ ย พบวา่ บรรทดั ฐาน
(norms) ในวัฒนธรรมที่ก�ำหนดบทบาทของบุคคลประเภทต่างๆ ในสังคมไม่อาจจะปฏิบัติการ
ในชีวิตจริงได้ท้ังหมด จะพบว่ามีข้อยกเว้นเสมอท่ีปัจเจกบุคคลบางคน ไม่ปฏิบัติตามบรรทัดฐาน
ทค่ี วรเปน็ ในการศกึ ษาเรอื่ งบทบาทของบคุ คลในสงั คมและวฒั นธรรมตา่ งๆ นกั มานษุ ยวทิ ยาจำ� เปน็
ต้องใสใ่ จศกึ ษาทง้ั บทบาททเ่ี ปน็ บรรทัดฐาน และที่ถอื ปฏบิ ตั ิอย่างหลากหลายตามที่เปน็ จริง อย่างไร
ก็ตามในบทความน้ีจ�ำเป็นต้องเสนอภาพแบบแผนหรือท่ีเป็นบรรทัดฐาน ของคนส่วนใหญ่ตามที่
เฟรเซอร์ ไดน้ �ำเสนอไวใ้ นงาน และจะเลือกเสนอให้เหน็ บทบาทของผหู้ ญงิ มสุ ลิมมลายู ในคสู่ มั พนั ธ์
บางคู่เทา่ น้ัน
ในครอบครวั เดยี่ วทมี่ บี ดิ า มารดาและบตุ ร เปน็ เรอื่ งธรรมดาทบี่ ดิ ามารดามหี นา้ ทต่ี อ้ งเลยี้ งดู
บตุ ร และมอี �ำนาจชอบธรรมเหนือบุตรทตี่ อ้ งเชอื่ ฟังคำ� ส่ังสอนของบดิ ามารดา ในกรณที ีค่ รวั เรอื นน้นั
มคี รอบครวั ของบตุ รมาอยดู่ ว้ ย อำ� นาจชอบธรรมนน้ั มกั ขยายไปถงึ เขยหรอื สะใภด้ ว้ ย คนในครวั เรอื น

110 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

ต้องปรึกษาบิดามารดาก่อน โดยปกติในยามที่บุตรยังเล็กอยู่ไม่ว่าหญิงและชาย มารดามักจะเป็นผู้
เล้ยี งดู เช่นใหอ้ าหารและอ้มุ ชู ดูแล ใกลช้ ิด มากกวา่ ผเู้ ป็นบดิ า ซึ่งต้องออกทะเลยามคำ�่ คืน แตใ่ น
ยามว่างผู้เป็นบิดาก็ช่วยดูแลเช่นกัน เพราะผู้หญิงก็จ�ำเป็นต้องออกไปคัดปลา และขายปลาในบาง
ช่วงเวลา เพราะในการเลี้ยงดูเด็กของมุสลิมมลายู พวกเขาต้องให้เด็กอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ ่
จนอายถุ งึ 5-6 ขวบ หากในครวั เรอื นนนั้ มผี ใู้ หญท่ เ่ี ปน็ ญาตหิ รอื เดก็ ทโ่ี ตแลว้ อาจชว่ ยเลย้ี งดเู ดก็ ไดด้ ว้ ย
หลงั จากเดก็ อายเุ กนิ 8 -9 ขวบแลว้ เดก็ ชายและเดก็ หญงิ ตา่ งกเ็ รยี นรงู้ านในตา่ งลกั ษณะกนั เดก็ ชาย
ช่วยพวกผู้ชาย เช่น พ่อหรือพี่ชายในงานของผู้ชาย ส่วนเด็กผู้หญิงเรียนรู้งานผู้หญิงกับมารดาใน
เรื่องงานครัวและงานบ้าน ซ่ึงเป็นจุดเร่ิมต้นของการถือปฏิบัติท่ีลูกผู้หญิงต้องอยู่ติดบ้าน ในขณะที่
การเรียนรู้งานของลูกผชู้ าย ไม่ได้จ�ำกดั ใหพ้ วกเขาอย่แู ต่ในบา้ น ส่วนผูห้ ญิงมอี ิสระมากขึน้ กต็ ่อเมื่อ
พวกเธอแตง่ งานแลว้

โดยทั่วไปผหู้ ญงิ แต่งงานเมอ่ื อายปุ ระมาณ 15-16 ปี และ ผู้ชายแตง่ งานเมื่ออายปุ ระมาณ
19 -22 ปี ซ่ึงเปลี่ยนแปลงสถานภาพของท้ังสองฝ่ายจากชีวิตวันรุ่นให้เป็นผู้ใหญ่ในชุมชน ท�ำให้
บรรทดั ฐานและความคาดหวงั ในแบบแผนพฤติกรรมเปลย่ี นแปลงไป เชน่ ต้องมีความรบั ผดิ ชอบตอ่
ครอบครัวใหม่ของตนเอง คือช่วยกันท�ำมาหากิน แต่หากมีอุปสรรคบิดามารดายังมีบทบาทในการ
ชว่ ยเหลอื ใหผ้ า่ นพน้ วกิ ฤตไปได้ ในครอบครวั ผหู้ ญงิ ทท่ี ำ� หนา้ ทภี่ รรยามบี ทบาทสำ� คญั ในการทำ� อาหาร
ท�ำความสะอาดบ้าน เล้ียงดูบุตร ช่วยเหลือในการหาปลา หรือเพาะปลูก และผู้หญิงหลายๆ คน
เป็นแมค่ า้ ขายของในชมุ ชน เช่น มีรา้ นนำ้� ชา หรือไปขายปลาและผลผลติ ทางการเกษตร ในตลาด
ปตั ตานซี งึ่ อยหู่ า่ งออกไปไมถ่ งึ 10 ก.ม. สว่ นผชู้ ายทเ่ี ปน็ สามมี กั ทำ� งานประมงเหมอื นบดิ าของตนเอง
และผู้ชายอื่นๆ ในชุมชน หากมีนาก็ท�ำนาด้วย งานหลักของผู้ชายคือไถนาและร่วมกับผู้หญิง
ทำ� งานอน่ื ๆ ดว้ ย เชน่ การดำ� นาและเกยี่ วขา้ ว นอกจากนี้ ยงั มงี านอนื่ ๆ ทผ่ี ชู้ าย อาจทำ� ไดใ้ นการเลยี้ ง
ค รอบครวั เชน่ ช่างไม้ และ ขับรถ

มติ อิ าณาบริเวณสาธารณะ
ผู้หญิงมุสลิมมลายูท่ียังเป็นเด็กและเป็นวัยรุ่นเม่ือเปรียบเทียบกับผู้ชายแล้วจะถูกจ�ำกัด
ให้อยู่พ้ืนท่ีที่เป็นครัวเรือน และเกี่ยวข้องกับวงศาคณาญาติเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มีบทบาทมากขึ้น
เมื่อแต่งงานและมีสถานภาพเป็นภรรยาและเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่บทบาทที่มีในพื้นที่สาธารณะเป็น
บทบาททต่ี อ่ เนอื่ งกบั บทบาทในครวั เรอื นคอื การทำ� มาหากนิ เพอ่ื เลย้ี งครอบครวั เชน่ เปน็ แมค่ า้ ซงึ่ เปน็
งานทผ่ี หู้ ญงิ มคี วามถนดั และบทบาทนผ้ี หู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายคู งไดท้ ำ� กนั มาชา้ นานแลว้ ในประวตั ศิ าสตร์
ดังที่ได้น�ำเสนอไปแล้วข้างต้น แต่ผู้หญิงจะไม่ได้ขึ้นเรือหาปลาขนาดใหญ่ปานกลาง (มีความยาว
ระหวา่ ง 35-50 ฟตุ ซงึ่ ไปหาปลาในทอ้ งทะเลทไ่ี กลจากชายฝง่ั ออกไป) เพราะพนื้ ทน่ี เ้ี ปน็ พน้ื ทสี่ ำ� หรบั
ผชู้ ายเทา่ น้ัน
นอกจากนใ้ี นพน้ื ทที่ เี่ ปน็ กจิ กรรมทางการเมอื ง และการตดั สนิ ใจของชมุ ชน (กมั ปง) ไมป่ รากฎวา่
ผู้หญิงมีบทบาทในการปกครองซ่ึงเป็นไปตามระบบปกครองหมู่บ้านของทางการไทยท่ัวไป
ในรูสะมแิ ล ผ้ทู ีเ่ ขา้ มาขอความรว่ มมือจากชาวบ้านในเรื่องเก่ยี วข้องกับการปกครอง คือ “สารวัตร”
(ผ้ชู ว่ ยก�ำนนั ) ซ่ึงเปน็ ผชู้ ายในหม่บู า้ น เปน็ ท่ียอมรับนับถือของคนในชุมชน แตต่ วั “กำ� นัน” ซึ่งเปน็
ผู้ชายเหมือนกันกลับไม่เป็นที่ยอมรับเพราะชาวบ้านมองว่าเป็นเคร่ืองมือของนายอ�ำเภอ จนเกินไป
ไม่ว่าชาวบ้านจะรู้สึกกับบุคคลท่ีทางการไทยแต่งต้ังมาเป็นฝ่ายปกครองในชุมชนอย่างไร ผู้หญิง

พลังผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 111

ในชมุ ชนกไ็ มไ่ ดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในเรอื่ งนี้ อยา่ งเชน่ ในปี พ.ศ. 2499 ทางอำ� เภอไดเ้ ขา้ มาประชาสมั พนั ธ์
ให้มี “สภาต�ำบล” โดยให้แตล่ ะหมู่บ้านในตำ� บลเลือกผูแ้ ทนมา 2 คนให้เป็น กรรมการสภาตำ� บลเพ่อื
ช่วยกันดูแล หมู่บ้านต่างๆ ในต�ำบลปรากฏว่าในกระบวนการไม่มีการพิจารณาเลือกผู้หญิง
เปน็ ตัวแทนเลย

สว่ นในเรื่องทเี่ ก่ยี วกับกิจกรรมทางศาสนาซึง่ เป็นเรื่องส�ำคัญของชุมชน เฟรเซอร์ (Fraser,
1960) ได้ต้ังข้อสังเกตว่าชาวรูสะมิแลรู้สึกเคร่งครัดกับหลักศาสนาของพวกเขามาก และในบริบท
ที่เก่ียวข้องกับศาสนาน่ีเองท่ีเห็นความแตกต่างในบทบาทของหญิงชายชัดเจนข้ึน เพราะผู้หญิง
ไมอ่ าจจะรบั ตำ� แหนง่ ทางศาสนา เชน่ กรรมการมสั ยดิ ได้ แมว้ า่ อาจจะเปน็ ครสู อนศาสนาได้ และผหู้ ญงิ
ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งไปละหมาดวนั ศกุ รเ์ หมอื นผชู้ าย และในบรบิ ทงานเลย้ี งตา่ งๆ ซงึ่ มกั จะมพี ธิ ที างศาสนาดว้ ย
หญงิ ชายตอ้ งน่งั แยกจากกนั อาจจะมมี ่านกน้ั หรืออยกู่ ันคนละหอ้ ง
บทบาทของผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายใู นสามจงั หวดั ชายแดนภาคใตใ้ นทศวรรษของ 2510: มมุ มอง
ของนกั มานุษยวทิ ยาไทยในการศกึ ษาชวี ิตชุมชนสวนยาง

พัทยา สายหู (Saihoo, 1974) ได้น�ำเสนอภาพของชีวิตชุมชนชาวสวนยางแห่งหนึ่ง
ในจงั หวัดยะลา ซงึ่ ท�ำให้เห็นบทบาทชายหญงิ ในมิติตา่ งๆ ชัดเจนยิง่ ขน้ึ

มติ ิครอบครัว ครวั เรอื นและวงศาคณาญาติ
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสามแี ละภรรยา ตามบรรทดั ฐานแลว้ สามแี ละภรรยาควรมคี วามสมั พนั ธ์
ทรี่ าบรนื่ ไมข่ ดั แยง้ กนั โดยทส่ี ามเี ปน็ ผหู้ าเลย้ี ง และผหู้ ญงิ เปน็ ฝา่ ยทำ� งานบา้ น งานครวั และเลย้ี งลกู
โดยทฤษฎีแล้วผู้ชายจึงเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่เป็นแบบแผนชัดเจน ในบาง
ครอบครัวผู้หญิงก็เป็นผู้เล้ียงดูครอบครัวมากกว่าผู้ชาย และในบางครอบครัวผู้หญิงก็เท่าเทียม
กับผู้ชาย โดยเฉพาะในชุมชนสวนยางที่ผู้หญิงหลายคนกรีดยางเก่งกว่าผู้ชาย ท�ำให้ผู้หญิงกลาย
เป็นหลักในการเล้ียงดูครอบครัว ในกรณีที่ต่างคนต่างหาเงินได้เอง ต่างก็เก็บเงินไว้กับตัวเอง
และรว่ มกนั ออกคา่ ใชจ้ า่ ยในครวั เรอื น แนวปฏบิ ตั ทิ ว่ั ๆ ไปคอื วา่ ผหู้ ญงิ ออกคา่ อาหารและของใชเ้ ลก็ ๆ
นอ้ ยๆ ภายในบา้ น สว่ นผชู้ ายจา่ ยเงนิ ตดิ กระเปา๋ ใหล้ กู และคา่ ใชจ้ า่ ยหลกั ๆ ในบา้ น บางทใี หเ้ งนิ ภรรยา
เปน็ ครงั้ คราว สว่ นในกรณที ภี่ รรยาไมม่ รี ายไดข้ องตนเองเลย ตอ้ งพง่ึ สามแี ตผ่ เู้ ดยี ว กส็ ดุ แลว้ แตส่ ามี
จะตดั สนิ ใจวา่ จะเก็บเงนิ เองหรอื มอบใหภ้ รรยาเป็นผู้เก็บไวใ้ ชจ้ า่ ย
กลา่ วโดยสรปุ คอื วา่ สถานภาพของผหู้ ญงิ ทเ่ี ปน็ ภรรยาเกย่ี วพนั กบั ความสามารถในการหาเงนิ
และทรพั ยส์ นิ ดง้ั เดมิ ของผหู้ ญงิ ความสมั พนั ธช์ ายหญงิ ในคสู่ มั พนั ธส์ าม/ี ภรรยา จงึ มลี กั ษณะไมต่ ายตวั
และมหี ลายเงื่อนไข และในขน้ั สดุ ทา้ ยกข็ ึ้นอยู่กบั เจตนารมณ์ ของสาม/ี ภรรยาทีจ่ ะอยู่ร่วมกนั หรอื ไม่
เพราะในสังคมมลายูมุสลิมการหย่าร้างไม่ได้เป็นเร่ืองยาก หากเป็นตามประเพณีอิสลามอาจจะเป็น
ฝ่ายชายเท่าน้ันท่ีเป็นผู้แสดงเจตนารมณ์หย่าร้างได้ แต่ในประเพณีมลายูผู้หญิงอาจปฏิบัติการให้มี
การหยา่ ร้างได้เช่นกัน
ความสมั พันธบ์ ดิ ามารดาและบตุ ร กิจกรรมของบิดามารดาทมี่ ตี ่อบุตรทงั้ หญิงและชาย คอื
เล้ียงดูใหเ้ ติบโต แตโ่ ดยทว่ั ไปแลว้ เมื่อยงั อยู่ในวยั เด็กลูกๆ จะใกล้ชดิ กับแม่มากกวา่ กับพอ่ แมว้ า่ พ่อ
จะชว่ ยเลยี้ งดอู ยา่ งใกลช้ ดิ ดว้ ยกต็ าม แตพ่ อลกู ชายเรม่ิ โตพอทจี่ ะไปกบั เพอื่ นๆ ได้ กเ็ รม่ิ ทจ่ี ะหา่ งเหนิ
ไปโดยเฉพาะต้องไปโรงเรียนตามข้อบังคบั ของรฐั บาลไทย (อายปุ ระมาณ 8-12 ปี) แตเ่ ดก็ ผ้หู ญิงแม้
ต้องไปโรงเรียนเหมือนกัน แต่เวลาที่เหลือต้องเก็บตัวอยู่กับบ้านและใกล้ชิดกับแม่ เม่ือผ่านพ้น

112 พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

การศึกษาภาคบังคบั แล้ว เด็กผชู้ ายอาจจะไปเรียนในโรงเรยี นปอเนาะซึ่งมกั อยูท่ อ่ี ื่นหรอื ท�ำงาน เช่น
กรดี ยาง และมีชีวติ ทอี่ ยู่นอกบ้านมากขน้ึ ทำ� ใหพ้ อ่ แมค่ ิดวา่ ลูกชายไมใ่ คร่จะอย่ใู นการควบคมุ

แตส่ �ำหรับลกู สาวแลว้ เปน็ อีกกรณหี นึ่ง แม้ว่าเดก็ ผหู้ ญิงต้องเรียนการอ่านคมั ภีร์โกหรา่ นแต่
พอ่ แมไ่ มไ่ ดค้ าดหวงั วา่ ตอ้ งเรยี นศาสนาอสิ ลามจรงิ ๆ จงั ๆ อยา่ งเดก็ ผชู้ าย คอื ไมต่ อ้ งไปเรยี นทป่ี อเนาะ
และในท่สี ุดก็แตง่ งานเม่อื อายยุ ังน้อย ประมาณ 14 ปี ยงั คงใกล้ชิดมารดาแมเ้ ม่ือแตง่ งานแล้ว

สำ� หรับลูกชายแลว้ พอ่ แมม่ หี น้าทีส่ ำ� คญั ท่ีต้องทำ� ให้ 2 ประการ คอื จัดพิธี “มาโซะยาวี”
(พิธีก้าวเข้าสู่ความเป็นมลายูหรือชวา) การจัดหาสินสอดให้ (ส�ำหรับให้เจ้าสาว) เมื่อตอนแต่งงาน
และในตอนบ้ันปลายของชีวิต หากมีทรัพย์สินเหลืออยู่ ก็ยกให้กับลูกๆ ต่อไป ซึ่งท�ำให้เห็นว่าโดย
ส่วนใหญแ่ ลว้ บดิ ามารดาจัดสรรใหล้ กู หญิงชายเทา่ ๆ กัน ตามประเพณีมลายู (adat) มากกว่าทีจ่ ะ
จดั สรรใหล้ ูกชายสองเทา่ ตามหลักอสิ ลาม (hukum)

อาณาบรเิ วณทีเ่ ปน็ พ้นื ที่สาธารณะ
พื้นท่ีสาธารณะทางศาสนา ในความคิดและชีวิตของมุสลิมมลายู พวกเขาแตกต่างจาก
คนไทยพทุ ธและคนจนี ทง้ั ในแงภ่ าษาและการแตง่ กาย กบั หลกั ศาสนาและการถอื ปฏบิ ตั ทิ อี่ ยใู่ นชวี ติ
ประจำ� วัน เชน่ การทักทายด้วยการ “ซาลาม” (การจบั มือกนั พรอ้ มกลา่ วทกั ทายเปน็ ภาษาอาหรบั
แทนที่จะไหว้กัน ซึ่งหากเป็นต่างเพศกัน ฝ่ายหญิงอาจต้องใช้ผ้าคลุมหลังมือไว้เพ่ือไม่ให้ถูกเน้ือ
ต้องตัวกัน หญิงชายพึงถือปฏิบัติตัวตามหลักศาสนาอิสลาม (รูกุนอิสลาม) คือ มีความศรัทธาใน
พระเจา้ (อัลเลาะห์) ละหมาดวันละ 5 ครง้ั บรจิ าค (ซากตั ) ตามสมควรในแตล่ ะปี ถือบวชในเดอื น
รามาดาน และไปแสวงบุญที่เมกกะถ้าท�ำได้ การถือปฏิบัติเหล่าน้ีเป็นเร่ืองของมลายูมุสลิมทั้งหญิง
และชายแต่ละคนท่ีจ�ำเป็นตอ้ งท�ำโดยเทา่ เทียมกนั แตใ่ นทางปฏบิ ัตมิ ีหลากหลายกนั ไป
อย่างไรก็ตามในชุมชนมุสลิมมลายูยังมีองค์กรทางศาสนาที่เป็นเสมือนผู้น�ำทางศาสนาของ
ชุมชน เช่น “โต๊ะคูรู” (ผู้รู้ทางศาสนา) อิหม่าม และกรรมการประจ�ำมัสยิด ซ่ึงเป็นต�ำแหน่งท่ีม ี
คนนบั ถอื ซง่ึ ปรากฏวา่ ตำ� แหนง่ เหลา่ นย้ี งั ไมม่ ผี หู้ ญงิ ไดเ้ ขา้ ครอบครองเลย จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ ในพนื้ ที่
สาธารณะดงั กลา่ วมใิ ชก่ จิ กรรมของผหู้ ญงิ ไมแ่ ตกตา่ งจากผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายใู นชมุ ชนประมงแตอ่ ยา่ งใด
พอจะอนมุ านไดว้ า่ ในพนื้ ทส่ี าธารณะทางศาสนาแลว้ บทบาทของผหู้ ญงิ ดจู ะเปน็ รองผชู้ ายอยา่ งสน้ิ เชงิ
ส่วนในกิจกรรมท่ีเก่ียวกับการจัดระเบียบชุมชนนอกเหนือกิจกรรมของครัวเรือนซ่ึงม ี
ท้ังกิจกรรมเป็นทางการคือการปกครองท้องถ่ินในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย ที่มีผู้ใหญ่บ้าน
และกรรมการหมบู่ า้ นในแตล่ ะหมบู่ า้ น ซงึ่ มกั มบี ทบาทรองลงไปจากผนู้ ำ� ทางศาสนา เพราะในมมุ มอง
ของชาวบ้านแล้ว ผู้ทท่ี ำ� กจิ กรรมเก่ียวขอ้ งกับการปกครองเป็นตัวแทนของอำ� นาจรัฐไทย ไมใ่ ช่ผ้นู �ำ
ของพวกเขา นอกจากนยี้ ังมกี ิจกรรมท่ีไมเ่ ปน็ ทางการของหมู่บ้าน เชน่ ซอ่ มถนน ขดุ บ่อน้�ำ ซ่งึ เป็น
กิจกรรมที่ชาวบ้านต้องท�ำร่วมกันเพ่ือความสะดวกของชาวชุมชน กิจกรรมเหล่าน้ีเป็นของผู้ชาย
มากกวา่ ผ้หู ญิง

พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 113

บทบาทของผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายใู นสามจงั หวดั ชายแดนภาคใตใ้ นทศวรรษของ 2520: มมุ มอง
ของนกั มานษุ ยวทิ ยาไทยในการศกึ ษาบทบาทของผหู้ ญงิ กบั การรกั ษาอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธแ์ุ ละ
พรมแดนชาตพิ นั ธ์ุ

ในงานน้ี ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (Prachuabmoh, 1980) ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ
กับการท�ำความเข้าใจบทบาทผู้หญิงโดยเปรียบเทียบกับบทบาทชายในมิติต่างๆ คือ ทั้งในอาณา
บริเวณพ้ืนท่ีครัวเรือน พื้นท่ีสาธารณะในวัฒนธรรม และพื้นท่ีที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนนอกกลุ่ม
ชาติพันธุ์โดยเฉพาะกับคนไทยพุทธท่ีมีวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป พื้นที่ที่ศึกษาของฉวีวรรณ
แตกตา่ งไปจากพนื้ ทท่ี ี่ เฟรเซอรแ์ ละพทั ยา ไดศ้ กึ ษาไว้ พน้ื ทที่ ฉ่ี ววี รรณไดล้ งไปเกบ็ ขอ้ มลู ครอบคลมุ
พื้นที่สามชุมชนด้วยกัน สองชุมชนอยู่ในเทศบาลเมืองปัตตานี ซึ่งมีท้ังท่ีเป็นตลาดและเป็นที่อาศัย
กบั อกี ชมุ ชนอยนู่ อกเมอื งมสี ภาพกง่ึ เมอื งและกงึ่ ชนบท แตเ่ ดมิ ชมุ ชนนเ้ี ปน็ ชมุ ชนชาวนาแตเ่ ปลยี่ นผา่ น
ไปสชู่ มุ ชนทค่ี นสว่ นใหญเ่ รม่ิ หนั ไปประกอบอาชพี ทหี่ ลากหลายขนึ้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ผหู้ ญงิ กลายเปน็
แม่คา้ ในตลาดนดั ตา่ งๆ ซึ่งอยู่รอบๆ ชมุ ชนในรศั มไี มเ่ กนิ 80 ก.ม. ซงึ่ ข้อมลู ที่น�ำมาใช้ในบทความนี้
มกั จะนำ� มาจากชมุ ชนนเ้ี ปน็ หลกั เพราะมลี กั ษณะคอ่ นขา้ งเปน็ ชนบท ทจี่ ะเปรยี บเทยี บกบั สองชมุ ชน
ของนกั มานุษยวิทยาท่ไี ด้กล่าวถงึ แลว้ ขา้ งต้น

หากเรม่ิ พจิ ารณาชมุ ชน “ศาลา” ในเชงิ ประวตั ศิ าสตรจ์ ากความทรงจำ� ของผเู้ ฒา่ ผแู้ กข่ องชมุ ชน
ผู้เขียนพบว่าเม่ือประมาณ 100 ปีมาแล้ว ชุมชนน้ีเป็นชุมชนชาวนาท่ีแม้ไม่ไกลจากตัวเมือง
ในสมยั นน้ี กั แตน่ บั วา่ ยงั เปน็ ชมุ ชนทห่ี า่ งไกลการคมนาคม ไมม่ รี ถยนต์ ชาวบา้ นหญงิ และชายชว่ ยกนั
ท�ำนา ส่วนในยามว่างหญิงเป็นฝ่ายทอผ้าและชายท�ำเครื่องจักสาน ผู้หญิงหลายคนที่แต่งงานแล้ว
ไปขายของที่ผลิตเองในเมอื ง โดยการเดนิ ไปดว้ ยกนั สว่ นผชู้ ายมนี อ้ ยรายทีเ่ ป็นพอ่ ค้าและประมาณ
ครงึ่ หนง่ึ ไมเ่ คยเหน็ เมอื งเลยอยแู่ ตใ่ นหมบู่ า้ น แตผ่ หู้ ญงิ ทยี่ งั โสดตอ้ งเกบ็ ตวั อยกู่ บั บา้ น ตามทช่ี าวบา้ น
จำ� ไดอ้ าจมไี ทยพทุ ธเพยี ง 2 คน อยใู่ นหมบู่ า้ นในสมยั นน้ั ในชว่ งเวลาทผี่ เู้ ขยี นไปศกึ ษาอยใู่ นหมบู่ า้ น
(ประมาณ พ.ศ 2520-1) มีคนไทยพุทธทอี่ ยใู่ นชมุ ชนประจำ� 2 ครอบครัว (5 คน) และครไู ทยพุทธ
กบั ครอบครวั รวม 16 คน อาศยั อยบู่ รเิ วณชายขอบของหมบู่ า้ น ใกลโ้ รงเรยี นชมุ ชน และแทบไมไ่ ดเ้ ขา้
มามปี ฏสิ มั พนั ธ์กบั คนในชุมชน

แมน่ ำ�้ ปตั ตานแี ละชมุ ชนบางชมุ ชนในเมอื ง มัสยิดกลางปตั ตานี เมื่อราว 2520
เมอื่ ราว 2520

114 พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

มสั ยดิ บ้านศาลา เมือ่ ราว 2520 การแต่งกายของหญิงมสุ ลมิ มลายู
ในแบบทันสมยั เมือ่ ราว 2520

มติ ิครอบครวั ครัวเรือนและวงศาคณาญาติ
ครอบครัวต่างๆ ในชุมชนนี้มีแบบแผนที่แตกต่างไปจากชุมชนประมงและชุมชนสวนยาง
ซ่ึงมีความหลากหลายทางอาชีพน้อยกว่ามาก และในแต่ละครอบครัวอาจจะมีถึง 2-3 อาชีพ
ร่วมกันบ้างและไมร่ ว่ มกนั บ้าง เช่น บิดา มารดา และบุตร ท�ำนาและสวนผลไม้ (ขนาดเลก็ ) รว่ มกัน
มารดาเปน็ แมค่ ้าขายของตลาดนัด ส่วนบุตรชายขบั รถแท็กซ่วี ่ิงประจ�ำทางระหว่างยะลาและปัตตานี
หรอื บางครอบครวั บตุ รชายเป็นครูสอนโรงเรียนชุมชนในทอ้ งถ่นิ และมีอยา่ งนอ้ ย 20 ครัวเรอื น (จาก
ประมาณ 236 ครวั เรอื น) มสี วนยางอยใู่ นจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง การแบง่ แรงงานในครอบครวั และครวั เรอื น
จึงแตกตา่ งกันไปบ้าง
ในมุมมองของฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (Prachuabmoh, 1980) ในอาณาบริเวณที่เป็น
ครอบครวั และครวั เรอื น รวมทงั้ วงศาคณาญาตเิ ปน็ พนื้ ทที่ างสงั คมทปี่ ระเพณมี ลายมู อี ทิ ธพิ ลตอ่ ความคดิ
และพฤตกิ รรมของมสุ ลมิ มลายพู อๆ กบั หรอื มากกวา่ หลกั อสิ ลามซงึ่ ครอบคลมุ ความคดิ และพฤตกิ รรม
ในชีวิตโดยทั่วๆ ไปของมุสลิมมลายู ในอาณาบริเวณน้ีเองท่ีสถานภาพของผู้หญิงที่เป็นภรรยา
แตกต่างจากสภาพของผู้หญิงที่เป็นภรรยาในสังคมมุสลิมอ่ืน เพราะในสังคมมุสลิมมลายู ภรรยามี
สถานภาพทเี่ ทา่ เทยี มกบั สามี ไมว่ า่ จะเปน็ ในสมยั โบราณหรอื วา่ ในสงั คมรว่ มสมยั อยา่ งในชมุ ชนมสุ ลมิ
มลายูในมาเลเซีย ดงั ในงานของ โรสแมรี เฟิรทซ์ (Rosemary Firth, 1966: 26-34) ได้ระบุใหเ้ หน็
ความส�ำคัญของผหู้ ญิงในแง่รายได้ของครัวเรือน หรือในงานของสวิฟท์ (Swift, 1965: 106) แสดงให้
เหน็ ถึงความส�ำคญั ของผูห้ ญิง (ในบทบาทของภรรยา) ในการตัดสินใจของครอบครัวเพราะวา่ ผชู้ าย
(ในบทบาทของสามี) ไม่อาจจะตัดสินใจในเร่ืองของครอบครัวได้โดยไม่ปรึกษากับภรรยาก่อน
เพราะทจี่ รงิ แลว้ ภรรยาอาจเปน็ ฝา่ ยทม่ี อี ทิ ธพิ ลในการตดั สนิ ใจ ดงั ทวี่ นิ สเตดท์ (Winstedt, 1950: 49)
ได้ให้ข้อคิดเห็นไว้เก่ียวกับสถานภาพและบทบาทของผู้หญิงมลายูในครอบครัวชนช้ันผู้น�ำว่าผู้หญิง
มสุ ลิมมลายมู ใิ ชเ่ พศท่เี ปน็ รองผชู้ ายแตอ่ ยา่ งใด อยา่ งในกรณีท่ีรายาอินดสี (ตอ่ มาได้เป็นสลุ ตา่ นของ
รัฐเปรัก) ได้ปลดปล่อยทาสของพระองค์ และกล่าวค�ำขอโทษที่ไม่สามารถจัดการปลดปล่อยทาส
ท่เี ป็นทรัพย์สนิ สว่ นพระองค์ของพระมเหสีได้

พลงั ผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 115

สำ� หรบั ในชมุ ชน “ศาลา” ทฉี่ ววี รรณศกึ ษา มคี รอบครวั เดยี่ ว 206 ครอบครวั และ ครอบครวั
ขยาย 30 ครอบครวั (ครวั เรอื นทมี่ คี รอบครวั มากกวา่ หนงึ่ ซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ ครอบครวั ของลกู สาว ทม่ี า
อยู่รว่ มดว้ ย) จากประสบการณฉ์ วีวรรณพบว่าพวกผหู้ ญงิ ที่แตง่ งานเปน็ ฝา่ ยท่มี สี ทิ ธิในการตัดสินใจ
วา่ จะยา้ ยไปอยทู่ ใ่ี ดหลงั การแตง่ งาน ผชู้ ายสว่ นใหญใ่ หผ้ หู้ ญงิ เปน็ ฝา่ ยตดั สนิ ใจวา่ อยากไปอยแู่ บบใด
เป็นครอบครัวเด่ียวหรืออยู่กับบิดามารดาฝ่ายหญิง หรือบิดามารดาฝ่ายชาย ผู้หญิงส่วนใหญ ่
หวงั อยากอยเู่ ปน็ ครอบครวั เดย่ี ว แตก่ ารตดั สนิ ใจมเี งอื่ นไขอนื่ ๆ ประกอบ เชน่ ความพรอ้ มทจ่ี ะออกไป
อยตู่ ามลำ� พงั ท้งั ในแง่จติ ใจและวตั ถุ เป็นตน้

การแต่งกายหญงิ มสุ ลมิ มลายู
ในแบบดั้งเดิม เมื่อราว 2520

การแต่งกายของชายมุสลมิ มลายู
ในแบบทนั สมัย เมื่อราว 2520

คู่สัมพันธ์สามีและภรรยา ในครอบครัวของคนมลายูมุสลิมความสัมพันธ์มีลักษณะที่
หลากหลาย มิใช่เป็นไปตามตัวแบบในทางหลักการของศาสนาอิสลามเสมอไป เช่น ความเชื่อ
ท่ีว่าภรรยาต้องเช่ือฟังสามี อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จะออกไปข้างนอกเม่ือสามีอนุญาตเท่านั้น
และไมค่ วรไปทำ� งานนอกบา้ นจะไดท้ ำ� หนา้ ทส่ี ำ� คญั คอื เลย้ี งลกู สว่ นสามตี อ้ งทำ� งานหาเลย้ี งครอบครวั
ใหภ้ รรยาไดส้ ขุ สบาย หากมฐี านะควรจา้ งคนอน่ื มาชว่ ยภรรยาทำ� งานบา้ น แตใ่ นชวี ติ จรงิ อาจไมเ่ ปน็ ไป
ตามน้เี สียทีเดยี ว ประเพณมี ลายูท่ีไม่ไดห้ ้ามการท�ำงานนอกบ้านของผหู้ ญิงมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
หรอื นานกวา่ นน้ั ทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ ในชมุ ชนชว่ ยสามที ำ� งานนอกบา้ นตวั เปน็ เกลยี ว ยกเวน้ คนทมี่ ลี กู เลก็ ๆ
ผู้หญิงหลายคนให้เหตุผลของการท�ำงานหาเงินช่วยครอบครัวว่า หากไม่ท�ำงานจะรู้สึกอาย (มาลู)
และการอยู่บ้านเฉยๆ เป็นเร่ืองน่าร�ำคาญ การท�ำงานหาเงินช่วยครอบครัวเป็นเรื่องดีและหากม ี
การหยา่ รา้ งกนั กจ็ ะไดส้ ว่ นแบง่ มากกวา่ ทไี่ มไ่ ดท้ ำ� งานชว่ ยครอบครวั และในหลายๆ ครอบครวั ผหู้ ญงิ
เป็นฝ่ายจัดการการเงินของครอบครัวด้วย นอกเหนือจากการเลี้ยงลูก ท�ำงานบ้านและขายของ
ซง่ึ ในมมุ มองของผหู้ ญงิ เปน็ อาชพี ทจ่ี ดั สรรเวลาไดโ้ ดยไมข่ ดั กบั งานอนื่ ๆ ทตี่ อ้ งทำ� ตามหนา้ ทอี่ ยแู่ ลว้
ในชวี ติ จรงิ ของครอบครวั ลกั ษณะความสมั พนั ธส์ ามแี ละภรรยาจงึ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ไปตามอดุ มการณท์ งั้ หมด

116 พลังผ้หู ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

เดก็ ผหู้ ญงิ สาธติ เปลสำ� หรบั นอ้ งนอนเลน่ ผหู้ ญงิ ตา่ งวยั ทเี่ ปน็ ญาตหิ รอื เพอื่ นบา้ นกนั
เมอ่ื ราว 2520 มคี วามใกลช้ ดิ กนั เมอื่ ราว 2520

คสู่ ัมพนั ธบ์ ิดามารดาและบตุ ร จากงานศกึ ษาของฉววี รรณ (Prachuabmoh, 1980) พบว่า
ลักษณะความสัมพันธ์ของแม่และลูกในวัยเด็กใกล้ชิดกันมากกว่าความสัมพันธ์พ่อกับลูกเหมือนกับ
ในงานอ่นื ๆทม่ี มี าก่อนหน้าน้ัน มีสภุ าษิตกลา่ ววา่ “ล้นิ ของแมศ่ กั ดส์ิ ทิ ธิ์มากกว่าลิน้ ของพ่อ” อยา่ งไร
กต็ ามบดิ ามารดามเี จตนารมณร์ ว่ มกนั ทจี่ ะเลยี้ งลกู ใหเ้ ปน็ มสุ ลมิ มลาย/ู หรอื มลายมู สุ ลมิ /หรอื ออแฆนายู
(ที่ดี) โดยการอบรมสั่งสอนวิถีชีวิตแบบมลายูและแบบอิสลาม ผู้รู้บางคนอธิบายว่าหลักการชีวิต
ทั้งสองหลักนี้ควบคู่และกลมกลืนกันไป อย่างไรก็ตามหลักอิสลามมีความส�ำคัญมากกว่าและไม่อาจ
จะเปล่ียนแปลงได้ ส่วนประเพณีมลายูหากต้องการให้เปล่ียนแปลงก็เปล่ียนได้ เมื่อถึงคราวจ�ำเป็น
ท่ตี ้องตดั สนิ ว่าอะไรเป็นมลายอู ะไรเปน็ อิสลาม ผู้รู้เชน่ โต๊ะครู ู จะปรึกษาหารอื และตัดสนิ ใจกัน

อาจกลา่ วไดว้ า่ โดยหลกั การแลว้ ส่วนใหญ่ยึดถือร่วมกนั เชน่ นัน้ แต่ในการปฎิบตั ิจริงในชวี ติ
ประจ�ำวัน มีรายละเอียดของการเล้ียงดูลูกแตกต่างกันบ้างตามลักษณะเง่ือนไขของครอบครัวแต่ละ
ครอบครัว เช่นในเรื่องสภาพทางเศรษฐกิจ การศึกษาทางศาสนาและทางไทย บุคลิกภาพของบิดา
มารดา แบบแผนที่มีอยรู่ ว่ มกันบ้าง เชน่ พอ่ ชว่ ยดแู ลลูกจนอายปุ ระมาณ 5 ขวบ แตพ่ อหลงั จากน้ัน
กจ็ ะห่างเหินกับลกู ๆ รวมทงั้ ลูกผ้ชู ายดว้ ย แต่ก็มกั มกี รณยี กเว้นเสมอ ส่วนแม่ยงั รกั ษาความสมั พันธ์
ใกลช้ ิดกบั ลกู สาวจนถึงวยั แต่งงาน แบบแผนท่วี า่ นเ้ี ป็นแบบแผนทรี่ ่วมกับชมุ ชนประมงและสวนยาง
ทไ่ี ด้มกี ารศึกษามากอ่ นแลว้

งานศึกษาชุมชนมุสลิมมลายูท้ังที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้และในมาเลเซียมักมีข้อสังเกต
เกยี่ วกบั อตั ราการหยา่ รา้ งทค่ี อ่ นขา้ งสงู ในสงั คมมลายู คำ� อธบิ ายมกั เนน้ ไปทวี่ า่ เปน็ เพราะแตง่ งานกนั
เมอ่ื อายนุ อ้ ย โดยไม่รจู้ กั กนั และประเพณที อ้ งถนิ่ กเ็ ปดิ โอกาสใหห้ ยา่ กนั งา่ ย ซงึ่ ดสู มเหตสุ มผลในเชงิ
โครงสรา้ ง แตใ่ นงานของฉววี รรณไดถ้ ามเหตผุ ลของการหยา่ รา้ งใน 25 กรณี ในหมบู่ า้ น พบวา่ เหตผุ ล
มหี ลากหลาย เชน่ เปน็ ปญั หาความขดั แยง้ ระหวา่ งสามภี รรยาในเรอ่ื งบคุ ลกิ ภาพของอกี ฝา่ ย (อยา่ งเชน่
เกียจคร้าน หงึ หวง) เปน็ เรือ่ งสามีมีภรรยาอีก 1 คน หรอื บิดามารดาคู่สมรสเข้ามาแทรกแซงชีวิต
ครอบครวั มคี วามเชอื่ ในศาสนาอสิ ลามทตี่ า่ งสำ� นกั คดิ กนั และสามสี งู อายกุ วา่ มาก เมอ่ื พจิ ารณาเหตผุ ล
ท่ีหลากหลายแล้ว ฉวีวรรณ ได้พยายามอธิบายว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่ผู้หญิงมุสลิมมลาย ู
มีรากฐานอ�ำนาจในครอบครัวมาจากประเพณีมลายู จึงไม่ยอมสยบให้และน�ำไปสู่การหย่าร้างได้

พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 117

เม่ือผู้หญิงไม่พอใจกับสถานการณ์ท่ีเผชิญในครอบครัว ซึ่งก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งในเร่ืองการหย่าร้าง
ในสงั คมมลายู

บทบาทผู้หญงิ ในพื้นท่ีสาธารณะ
บทบาททางเศรษฐกจิ ในครัวเรือนและการปรากฏตัวในพนื้ ที่สาธารณะ
ผู้หญิงที่เป็นภรรยาในชุมชนน้ีมีบทบาททางเศรษฐกิจท่ีส�ำคัญในครัวเรือนเหมือนกับ
ในชุมชนอ่ืนๆ คือมีส่วนร่วมในการหาเลี้ยงครอบครัวในอาชีพต่างๆ และการเป็นแม่ค้าดูจะเป็น
ทางเลือกทเ่ี หมาะสม อย่างเช่นในชมุ ชน “รสู ะมิแล” บรรดาภรรยาเปน็ ผขู้ ายของทะเลใหก้ บั พอ่ คา้
คนจนี ทช่ี ายหาด แตใ่ นชมุ ชน “ศาลา” มแี มค่ า้ (ทขี่ ายของตา่ งประเภทกนั อยนู่ อกพน้ื ท)ี่ อยใู่ นสดั สว่ น
ท่ีค่อนข้างมากกว่าชุมชนอ่ืนๆ และในหลายครอบครัวผู้หญิงเป็นหลักในการหารายได้ในครอบครัว
แตอ่ ำ� นาจทางเศรษฐกจิ ของผหู้ ญงิ ในครอบครวั และการปรากฏตวั ของผหู้ ญงิ ในทส่ี าธารณะอยา่ งตลาด
ใช่ว่าจะท�ำใหผ้ ู้หญงิ สามารถมบี ทบาทในพ้นื ท่ีสาธารณะในทางการและศาสนาแต่อย่างใด


การละหมาดมคี วามสำ� คัญอย่างมาก การแต่งงานมีความสำ� คัญในชีวิต
ในชวี ติ ประจำ� วัน เมอ่ื ราว 2520 ของชายหญิง เมื่อราว 2520

บทบาทผ้หู ญิงในพน้ื ทท่ี างศาสนาและพ้ืนท่ที างการเมอื ง
ในชุมชนนี้ก็เหมือนท่ีอื่นๆท่ีผู้หญิงมีบทบาทน้อยมาก เพราะไม่สามารถจะเป็นหรือมีสิทธิ
ในการเลือกอหิ ม่าม กรรมการมัสยิด หรอื ตำ� แหนง่ ทางศาสนาอนื่ ๆ ได้ ทีเ่ ป็นได้กค็ อื ครสู อนเดก็ ๆ
อา่ นคมั ภรี โ์ กหรา่ น แตว่ า่ ในฐานะทเ่ี ปน็ พลเมอื งไทย ผหู้ ญงิ มสี ทิ ธใิ นการเลอื กตงั้ และลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั
ตำ� แหน่งสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรได้ ทนี่ ่าสนใจคอื วา่ ในปที ี่ฉวีวรรณก�ำลังเก็บขอ้ มลู ในชุมชนเปน็ ปี
ทมี่ กี ารเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรรวมของจงั หวดั ปตั ตานดี ว้ ย ในบรรดาผลู้ งสมคั รรบั เลอื กตง้ั
ของจังหวดั ปัตตานี 11 คน เป็นผชู้ าย 10 คน ซ่ึง 2 คนในนนั้ เป็นคนในชุมชน “ศาลา” สว่ นผู้สมคั ร
ที่เป็นผู้หญิงมีคนเดียวซึ่งไม่ได้เป็นคนในชุมชน “ศาลา” เป็นครูสอนศาสนาในปอเนาะท่ีอ่ืน และ
สามารถมาเทศนแ์ ละหาเสยี งในมัสยิดของชุมชน “ศาลา” ได้
ในการหาเสียงเธอได้พูดถึงความไม่เท่าเทียมระหว่างหญิงและชาย คร่ึงหน่ึงของผู้ที่ไปฟัง
เธอหาเสยี งเปน็ ผหู้ ญงิ มหี ลายคนทฉ่ี ววี รรณไดไ้ ปคยุ ดว้ ยบอกวา่ สนใจไปฟงั เธอ เพราะนเี่ ปน็ ครงั้ แรก
ทผี่ หู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายแู สดงความสนใจในตำ� แหนง่ ทางการเมอื ง และบางคนไดล้ งคะแนนใหเ้ ธอโดยให้

118 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

เหตุผลว่าอยากให้เธอมีโอกาสพิสูจน์ว่าผู้หญิงมีความสามารถ แต่พวกผู้ชายค่อนข้างจะไม่นิยมเธอ
โดยให้เหตุผลกันไปต่างๆ นานา เช่นเธอมีการศึกษาทางไทยไมม่ ากพอ เธอใช้ตำ� แหน่งทางศาสนา
หาเสียงและพวกเขาต้องการลงคะแนนให้กับผู้สมัครท่ีเป็นคนในชุมชนมากกว่าท่ีจะเลือกคนอ่ืน
เมอื่ ดสู ถติ ิหญงิ /ชายท่ไี ปลงคะแนนเลือกตง้ั พบวา่ มสี ัดสว่ นใกล้เคียงกัน ทำ� ให้พอเห็นภาพวา่ ผู้หญงิ
เรม่ิ สนใจกจิ กรรมทางการเมอื งและผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายบู างคนเรมิ่ สนใจตำ� แหนง่ ทางการเมอื งแลว้ แมว้ า่
มิใช่ผู้หญิงในชุมชน แต่ผู้หญิงในชุมชนเริ่มสนใจที่จะสนับสนุนให้ผู้หญิงครองต�ำแหน่งทางการเมือง
นบั วา่ เรม่ิ เปน็ จดุ เลก็ ๆทจ่ี ะนำ� ไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงทสี่ ำ� คญั ในเรอื่ งบทบาทของผหู้ ญงิ ของมสุ ลมิ มลายู
ตอ่ ไป

บทบาทของผหู้ ญงิ ในการธ�ำรงรักษาอัตลกั ษณแ์ ละพรมแดนชาตพิ นั ธ์ุ
ในงานของฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (Prachuabmoh, 1980) ได้ใหค้ วามสนใจทจ่ี ะวิเคราะห์
บทบาทของผู้หญิงข้ามวัฒนธรรมด้วย เพราะแม้ว่าสังคมและวัฒนธรรมมุสลิมมลายูเป็นส่วนใหญ่
ในสามจงั หวดั ภาคใต้ แตต่ อ้ งอยทู่ า่ มกลางกลมุ่ ชาตพิ นั ธอ์ุ น่ื ซงึ่ มวี ฒั นธรรมทแ่ี ตกตา่ งออกไป อยา่ งเชน่
คนไทยพทุ ธ และสามารถรกั ษาความเปน็ มสุ ลมิ มลายไู วไ้ ด้ ซง่ึ เปน็ กระบวนการเรยี นรตู้ งั้ แตใ่ นวยั เดก็
กลา่ วคอื มสุ ลิมมลายแู ต่ละคน ไม่ว่าหญิงและชาย มีอาชพี อะไร และ อย่ใู นวยั ใด ต่างก็มอี ตั ลกั ษณ์
ชาตพิ นั ธร์ุ ว่ มกนั เรยี กตวั เองในภาษามลายถู น่ิ ปตานวี า่ “ออแฆนาย”ู (คนมลาย)ู ตา่ งจาก “ออแฆซแี ย”
(คนไทยพทุ ธ)
เด็กหญิงและชายมุสลิมมลายูต่างก็เรียนรู้วัฒนธรรมของตนเองในระหว่างที่เติบโตข้ึนมา
ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้ความแตกต่างของการเป็นหญิงและการเป็นชายด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นผ่าน
การแตง่ กายและบรรทดั ฐานพฤตกิ รรม หรอื บทบาทในครอบครวั ทแ่ี ตกตา่ งกนั หากพจิ ารณาโดยผวิ เผนิ
ดูเหมือนว่าอิสลามให้ความส�ำคัญกับผู้ชาย เพราะเมื่อลูกอายุครบ 1 ปี จะมีงานเลี้ยงขอบคุณ
พระผเู้ ปน็ เจา้ หากเปน็ ผชู้ ายจะฆา่ แพะ 2 ตวั แตถ่ า้ เปน็ ลกู ผหู้ ญงิ ฆา่ แพะเพยี งตวั เดยี ว อยา่ งไรกต็ าม
จากมมุ มองของบดิ ามารดาสว่ นใหญ่ ไมไ่ ดเ้ รยี กรอ้ งวา่ ตอ้ งมลี กู ชาย ทงั้ นแ้ี ลว้ แตพ่ ระประสงคข์ องพระ
ผเู้ ป็นเจ้า แต่พวกผู้หญงิ มกั บอกว่าเป็นผู้หญิงก็ดีเหมอื นกันเพราะไม่ต้องห่วงเรอ่ื งจดั หาสินสอด และ
ยังเป็นทพี่ งึ่ ไดใ้ นเรอื่ งงานบา้ นหรือเมื่อยามพ่อแม่แกต่ ัวลง

แมค่ า้ มุสลิมมลายใู นตลาดปตั ตาน ี เด็กนกั เรียนหญิงในโรงเรยี นสอนศาสนา
เม่อื ราว 2520 อสิ ลาม เมอ่ื ราว 2520

พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 119

อยา่ งไรก็ตาม เดก็ ผหู้ ญิงและเดก็ ผชู้ ายมสุ ลิมมลายทู ุกคนตอ้ งเข้าโรงเรยี นของทางการไทย
ในระดบั การศกึ ษาภาคบงั คบั ซงึ่ ทำ� ใหเ้ รยี นรภู้ าษาและวฒั นธรรมไทยในระดบั หนงึ่ แตห่ ากเรยี นสงู ขน้ึ ไป
เชน่ ระดบั มธั ยมศกึ ษา หรอื สงู กวา่ นนั้ กม็ โี อกาสทจี่ ะเรยี นรภู้ าษาและวฒั นธรรมไทยมากขนึ้ และมโี อกาส
ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนไทยพุทธมากข้ึน ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ภาษาไทยสื่อสาร “มุสลิมมลายู”
อาจจะเรยี กตัวเองว่า “ไทยมุสลิม” ตามท่ีได้เรยี นรจู้ ากโรงเรยี น

สำ� หรบั คนทที่ ำ� งานแลว้ และตอ้ งตดิ ตอ่ กบั คนนอกชมุ ชนอยา่ งพวกทค่ี า้ ขาย หรอื รบั ราชการ
อาจจะมีการปฏิสัมพันธ์กับคนไทยพุทธในระดับท่ีหลากหลายกันไป มากบ้างน้อยบ้าง แต่โดยท่ัวๆ
ไปแล้ว ชวี ติ ทางสงั คมและวฒั นธรรมมีความแตกตา่ งกัน ท�ำให้โอกาสทจ่ี ะปฏสิ ัมพันธ์ใกล้ชิดมีน้อย
เพราะในมิติทางศาสนาต่างฝ่ายก็แยกกันปฏิบัติภารกิจ มุสลิมไปท�ำพิธีที่มัสยิด ส่วนชาวพุทธก็ไป
ทำ� บญุ ทว่ี ดั ในบรเิ วณทเ่ี ปน็ สาธารณะ เชน่ ตลาดอาจจะมโี อกาสไดป้ ฏสิ มั พนั ธก์ นั บา้ ง เชน่ เปน็ แมค่ า้
ด้วยกัน หรือเป็นแม่ค้ากับลูกค้า แต่จากการสังเกตพบว่ามีน้อยรายที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ไปใน
ทางทใ่ี กลช้ ดิ เพราะตา่ งฝา่ ยกร็ ะวงั วา่ อาจจะมขี อ้ หา้ มทางศาสนาไมเ่ หมอื นกนั อยา่ งเชน่ คนไทยกนิ หมู
ในขณะทมี่ สุ ลมิ ไมก่ นิ หมู และเมอื่ พจิ ารณาสดั สว่ นของประชากรทเี่ ปน็ มสุ ลมิ ประมาณ 75% แลว้ ความ
เปน็ ไปไดท้ จี่ ะมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั คนไทยกน็ อ้ ยลงไปดว้ ย และในสมยั นนั้ หากมสุ ลมิ มลายู เรยี นเพยี งแค่
ระดับประถม การจะใช้ภาษาไทยสอื่ สารก็นบั ว่าเป็นเรือ่ งยากขึน้ ไปอีก การอยู่รว่ มพน้ื ทกี่ นั แม้วา่ จะ
เป็นในเมือง กไ็ มไ่ ดท้ ำ� ให้มีชวี ติ สงั คมร่วมกนั ทำ� ให้เขา้ ลักษณะ “ตา่ งคนต่างอยู่” เสียเปน็ ส่วนใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี พ.ศ. 2518 และหลังจากนั้นที่มีการประท้วงใหญ่ในปัตตานี และจาก
พนื้ ฐานความแตกตา่ งทางอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธ์ุ ประวตั ศิ าสตร์ และวฒั นธรรม ทำ� ใหพ้ รมแดนชาตพิ นั ธ์ุ
มคี วามชดั เจนเปน็ อปุ สรรคตอ่ การปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมแมว้ า่ มบี คุ คลบางกลมุ่ เปน็ ขอ้ ยกเวน้ สามารถ
พฒั นาความสัมพนั ธข์ า้ มพรมแดนไปไดก้ ็มักเป็นส่วนนอ้ ยในงานนี้

ฉววี รรณ (Prachuabmoh, 1980) ไดต้ ง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ มสุ ลมิ มลายใู นสามจงั หวดั ชายแดนภาค
ใต้ได้ธ�ำรงรักษาและพัฒนาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ที่เรียกว่า “ออแฆนายู” ด้วยการเรียนรู้ผ่านภาษา
ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ครอบครวั สถาบนั ทางศาสนา และพธิ กี รรม อยา่ งไรกต็ ามในระหวา่ งการเรยี นรู้
ดงั กลา่ ว ไดแ้ ยกแยะความเปน็ หญงิ และความเปน็ ชายดว้ ย ทำ� ใหอ้ าจจะแสดงออกถงึ ความเปน็ มสุ ลมิ
มลายูในรูปลักษณ์ท่ีแตกต่างกันระหว่างชายและหญิง ซึ่งปรากฎให้เห็นในการแต่งกาย นอกจากนี้
มุสลิมมลายูที่ได้รับการศึกษาในสถาบันการศึกษาของไทยในระดับสูง ในบางสถานการณ์ที่ต้องใช้
ภาษาไทยส่ือสาร อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ “ไทยมุสลิม” อาจจะมีความส�ำคัญในการปฏิสัมพันธ์พอๆ
กับ “มุสลมิ มลาย”ู ซ่ึงในสมยั นน้ั ไมไ่ ด้ใชเ้ รยี กกนั นัก เมอ่ื พิจารณากลไกทางสังคมในการธำ� รงรักษา
และพฒั นาอตั ลักษณ์ชาติพนั ธุแ์ ละความเหนยี วแน่นของกลุม่ จะเหน็ ว่ามที ั้งที่เปน็ ทางการอยา่ งเช่น
มสั ยิดปอเนาะซึง่ ผหู้ ญงิ มบี ทบาทน้อยกวา่ ผ้ชู าย และทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการอยา่ งครอบครัวและเครอื ญาติ
ซง่ึ เปน็ พนื้ ทที่ ผ่ี หู้ ญงิ มบี ทบาทสำ� คญั “แม”่ มบี ทบาทสำ� คญั ในการสงั่ สอน อบรม เลยี้ งดู ลกู หญงิ และ
ชายในวยั เดก็ ใหเ้ ตบิ โตเปน็ “นาย”ู ทดี่ ี เมอ่ื เจรญิ เตบิ โตขน้ึ ไปลกู ชายไดเ้ รยี นรคู้ วามเปน็ มสุ ลมิ มลายู
จากมสั ยดิ ผใู้ หญใ่ นชมุ ชนและเพอื่ น แตล่ กู สาวไดเ้ รยี นรจู้ ากแมแ่ ละญาตใิ กลช้ ดิ เมอื่ มองจากภายนอก
ผหู้ ญงิ จะแสดงความเปน็ มสุ ลมิ มลายใู นรปู ลกั ษณท์ างวฒั นธรรม เชน่ การแตง่ กายมากกวา่ ผชู้ ายและ
ตัวผู้หญิงเองก็ถูกคาดหวังว่าให้รักษาพรมแดนชาติพันธุ์น้ีไว้ โดยเฉพาะไม่ควรไปมีปฏิสัมพันธ ์
กบั คนนอกกลมุ่ ถึงขนั้ แต่งงาน

120 พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

บทบาทหนุ่มสาวมุสลิมมลายูในโลกสมัยใหม่: จากมุมมองของหนุ่มสาวมุสลิมในทศวรรษ
ของ 2550

หลงั จากการศกึ ษาบทบาทหญงิ ชายในชมุ ชนและสงั คมมสุ ลมิ มลายขู องฉววี รรณ(Prachuabmoh,
1980) แลว้ ในทศวรรษของ 2530 ทศิ ทางการวจิ ยั ในสามจงั หวดั ชายแดนภาคใตไ้ ดเ้ ปลย่ี นแปลงไป ให้
ความสนใจกบั ประเดน็ ปญั หาความเคล่ือนไหวของมุสลิมมลายู หรือมลายมู สุ ลิมกับการแบง่ แยกดนิ
แดนหรอื ความขัดแยง้ และความรนุ แรงทเี่ กิดขนึ้ เปน็ สว่ นใหญ่ และแม้วา่ ประเด็นเรื่องครอบครวั และ
ผู้หญิง จะได้รับความสนใจอีกครั้งในทศวรรษของ 2540 แต่มีข้อมูลที่ไม่เพียงพอจะน�ำมาวิเคราะห์
เปรียบเทียบให้เหน็ การเปลี่ยนแปลงของบทบาทผหู้ ญิงได้

อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษของ 2550 เริ่มมีงานวิจัยที่ให้ความส�ำคัญกับบทบาทหญิงชาย
แม้ว่ามีลักษณะแตกต่างไปจากการศึกษาในยุคสมัยก่อนหน้านั้น ท่ีน่าสนใจคืองานวิจัยเหล่านี้
มาจากหนุ่มสาวมุสลิมเอง ซ่ึงได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของผู้หญิงในสังคมวงกว้างมิใช่ในครัวเรือน
หรือในชุมชนอย่างท่ีนักมานุษยวิทยาได้ศึกษาไว้ในสมัยก่อน สุไรนี สายนุ้ย (2557) ได้น�ำเสนอ
การเคลื่อนไหวของผู้หญิงมลายูมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ท่ามกลางวิกฤตความรุนแรง
ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ืองหลังทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา เธอได้ตั้งข้อสังเกตว่าในขณะที่ตามหลักการ
อิสลามแล้วหญิงและชายเท่าเทียมกัน แต่ในข้อเท็จจริงทางสังคมปรากฏว่าผู้หญิงต้องเผชิญกับ
ความเหลือ่ มล�ำ้ ดว้ ยเง่อื นไขต่างๆ ในทางสงั คมและวฒั นธรรม อย่างเช่น ถกู บงั คับให้แต่งงานต้งั แต่
อายุยังน้อย การขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพท่ีมีประสิทธิภาพและเหมาะสมและ
ต้องท�ำงานหนักดูแลครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
นับตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2547 เปน็ ตน้ มา ซ่งึ สว่ นใหญ่ผ้เู สยี ชวี ติ และบาดเจ็บเปน็ ชายมากกวา่ หญงิ เฉพาะใน
ปี 2550 มผี ชู้ ายเสยี ชวี ติ ถงึ เกอื บพนั คน และประมาณไดว้ า่ ทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ เปน็ หมา้ ยจำ� นวนมากนอกจาก
น้ีสามีหรอื ลูกอาจตอ้ งถูกคมุ ขงั เพราะตกเปน็ ผตู้ ้องสงสัยในคดคี วามมน่ั คง ซึง่ ท�ำให้ผหู้ ญิงจ�ำนวนไม่
นอ้ ยตกอยู่ในฐานะลำ� บากในการด�ำเนินชวี ติ ประจำ� วัน

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความยากล�ำบากเหล่านี้ ผู้หญิงมุสลิมมลายูจ�ำนวนหนึ่งท่ีได้รับ
ผลกระทบจากความรุนแรง ได้พัฒนาพลังเพื่อเยียวยาตัวเองและผู้อื่น ก่อรูปเป็นขบวนการผู้หญิง
ที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือการพัฒนาสตรีและปรับคุณภาพชีวิตของสมาชิกในสังคม (อมรา พงศาพิชญ ์
อา้ งใน สุไรนี สายนุ้ย, 2557) เปน็ การใช้พลงั สรา้ งสรรค์ เปล่ยี นแปลงโลกสว่ นตวั และสังคมสว่ นรวม
ท่ีตนอาศัยอยู่ (สุไรนี สายนุ้ย, 2557) จากการวิเคราะห์ขบวนการผู้หญิงในชายแดนใต้ พบว่า
ส่วนใหญ่เกิดจากการช่วยเหลือซ่ึงกันและกันจากความเดือดร้อนท่ีเกิดข้ึน และในท่ีสุดพัฒนาไปสู ่
การรวมตวั เพอื่ ชว่ ยเหลอื คนอนื่ ๆตอ่ ไป (อมรา พงศาพชิ ญ์ อา้ งใน สไุ รนี สายนยุ้ , 2557) กรณตี วั อยา่ ง
ของขบวนการผูห้ ญิง คือ กล่มุ “สอซิก” หรอื กลุม่ สตรสี านสัมพันธ์สู่สนั ติสุข (จากภาคประชาชน)
เปน็ การรวมตวั ของผหู้ ญงิ ทสี่ ญู เสยี ในเหตกุ ารณ์ กรอื เซะห์ (28 เมษายน 2547) และเหตกุ ารณต์ ากใบ
(25 ตลุ าคม 2547) ซ่ึงในเบ้ืองตน้ ไดร้ บั การเยียวยาจากนักสันตวิ ธิ ซี ่งึ เป็นคนไทยพุทธจากภายนอก
คือร่วมกันช่วยเหลือเด็กก�ำพร้าทุกคน และเมื่อได้ข่าวความสูญเสียของครอบครัวต่างๆ ในพ้ืนที่
กพ็ ากนั รวมตวั ไปเยย่ี มและใหก้ ำ� ลงั ใจกบั ผสู้ ญู เสยี จะไดท้ ำ� ใหไ้ มร่ สู้ กึ โดดเดยี่ วจนเกนิ ไป นกั วชิ าการ
มสุ ลมิ มลายทู า่ นหนง่ึ เหน็ ประโยชนจ์ ากกจิ กรรมดงั กลา่ วไดส้ านตอ่ ไปและกลายเปน็ แกนนำ� สำ� คญั ใน
การต้ังกลุ่มเยียวยาโดยท�ำงานเชิงระบบร่วมเครือข่ายเยาวชนท้ังในและนอกพื้นท่ี ส�ำรวจผู้หญิง

พลงั ผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 121

ที่เผชิญหน้ากับความสูญเสียและด�ำเนินการช่วยเหลือ โดยพัฒนาการประสานงานกับหน่วยงาน
ภายนอกด้วย การรวมตัวของผู้หญิงมีขยายตัวข้ึนท�ำให้ “เกิดพลังในการขับเคลื่อนสู่สาธารณะ”
(สไุ รนี สายน้ยุ ) ในฐานะของผู้ให้ นบั วา่ เป็นบทบาททางสังคมทชี่ ดั เจน ทง้ั นม้ี ขี อ้ สงั เกตวา่ การทำ� งาน
ในระบบเครือญาติที่วางอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ ระหว่างเพศเดียวกันมีบทบาทส�ำคัญต่อ
ความส�ำเรจ็ ของขบวนการผูห้ ญงิ ในการเยียวยาสังคม

ฮาฟิสสา สาและ (2557) เป็นนักวิจัยผู้หญิงมุสลิมมลายูอีกคนท่ีได้ให้ข้อสังเกตว่า วิกฤต
ความรุนแรงในชายแดนภาคใต้ได้เปลี่ยนผ่านผู้หญิงจากการเป็นผู้สูญเสียไปสู่ผู้ให้ความช่วยเหลือ
และก้าวไปสู่พื้นท่ีสาธารณะ มีบทบาทในการสืบหาคนท่ีหายไป แสวงหาความยุติธรรมต่อรอง
กับผู้มีอ�ำนาจรัฐ และพยายามยุติความรุนแรงท่ามกลางความขัดแย้งท่ีเกิดข้ึน ท�ำให้ชีวิตของเธอ
เกยี่ วขอ้ งกบั โลกภายนอก และมเี วลานอ้ ยลงสำ� หรบั บา้ นและคนในครอบครวั และทำ� ใหเ้ ธอตอ้ งพฒั นา
ความเป็นผู้น�ำในพ้ืนที่สาธารณะมากข้ึน ซ่ึงเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทไปจากดั้งเดิม ที่ผู้ชาย
เป็นผู้น�ำในพื้นท่ีสาธารณะ ในมุมมองของผู้หญิงท่ีต้องกลับบทบาทดังกล่าว “มันเป็นเร่ืองจ�ำเป็น
จรงิ ๆ แล้วไม่ควรท�ำ แตเ่ มอ่ื ขาดเสาหลกั เรากต็ ้องทำ� เอง” (ฮาฟิสสา สาและ, 2557)
บทสรปุ : ความหลากหลาย เอกลกั ษณ์ และ การเปลย่ี นแปลงบทบาทของผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายู
ในชายแดนใต้ของไทย

จากการปะติดปะต่อภาพบทบาทของผู้หญิงมุสลิมมลายูในกาลเวลาที่แตกต่างกัน ต้ังแต่
เมอ่ื 500-600 ปีมาแล้ว เมอื่ 60 ปี 40 ปี และ 10 ปีผ่านมาแลว้ เป็นชุมชนทมี่ บี ริบททางเศรษฐกิจ
แตกต่างกัน และศึกษาด้วยสาขาวิชาและมุมมองท่ีต่างกัน จึงไม่น่าแปลกใจนักท่ีเราจะมองเห็น
ความหลากหลายของบทบาทผู้หญิงมุสลิมมลายูในชุมชนท่ีต่างบริบท ต่างกาลเวลาและต่างมุมมอง
แตถ่ า้ มองใหล้ กึ ลงไป บทบาทของผหู้ ญงิ มสุ ลมิ มลายมู เี อกลกั ษณร์ ว่ มกนั บางอยา่ งทย่ี นื หยดั สบื เนอ่ื ง
แตอ่ าจจะปรบั เปลยี่ นไปบ้างในสภาพสงั คมท่ีเปลย่ี นไป

เมื่อ 500-600 ปีมาแล้วผู้หญิงในแหลมมลายูและพ้ืนที่ใกล้เคียงมีบทบาทส�ำคัญมาก
ในทางการค้าในทอ้ งถิ่น และผหู้ ญิงในตระกลู ผนู้ �ำของรัฐปตานแี ละรัฐอ่ืนๆ หลายคนกา้ วข้ึนมีอ�ำนาจ
ทางการปกครองท�ำให้เกิดความสันติ เอ้ืออ�ำนวยต่อการขยายทางการค้า บทบาทความสามารถ
ทางการค้านี้ส่งต่อมายังผู้หญิงมุสลิมมลายูในรุ่นหลังแม้ในชุมชนที่ท�ำการประมง ท�ำสวนยางและ
ทำ� นา ผู้หญงิ ได้พัฒนาอาชพี การค้าควบคไู่ ปเสมอ เพ่ือชว่ ยเหลอื สามีในการเล้ยี งครอบครัว ผ้หู ญิง
จงึ ดเู หมอื นวา่ มบี ทบาทสำ� คญั ทางเศรษฐกจิ สำ� หรบั ครอบครวั และชมุ ชนทอ้ งถน่ิ แมว้ า่ ในสภาวะปกติ
ผู้หญิงจะยอมเป็นช้างเท้าหลังในทางศาสนาและการเมืองการปกครอง และรักษาบทบาทหน้าท ี่
ของการเปน็ ลกู สาว ภรรยา และ มารดา ตามครรลองของประเพณมี ลายู และ ศาสนาอสิ ลาม แตใ่ นยาม
วกิ ฤตทเี่ กดิ ความรนุ แรง ผหู้ ญงิ ในฐานะภรรยา และ แมไ่ ดอ้ าศยั รากฐานและศกั ยภาพทางวฒั นธรรม
พัฒนาขบวนการผู้หญิงเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ผู้สูญเสีย และชุมชนมีอ�ำนาจต่อรอง เพื่อลด
ความขัดแย้งทเ่ี กิดข้นึ ในแง่น้ีอาจกล่าวได้วา่ ผหู้ ญงิ ไดพ้ ฒั นาความเปน็ ผู้นำ� ในภาวะวกิ ฤต และทำ�
ดว้ ยความร้สู ึกว่าเป็นเรือ่ งจำ� เปน็ ในประเด็นน้ีอาจกล่าวไดว้ ่าไดเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงในเชิงจิตสำ� นึก
วา่ กิจกรรมและบทบาททางสังคม นอกจากครอบครวั แล้วก็มีความส�ำคัญต่อการเป็นผู้หญงิ เชน่ กัน

นอกจากภาวะวกิ ฤตทท่ี ำ� ใหผ้ หู้ ญงิ ตอ้ งพฒั นาความสามารถความเปน็ ผนู้ ำ� ในพน้ื ทสี่ าธารณะ
เพ่ิมขึ้นแล้ว ในฐานะที่เป็นนักมานุษยวิทยาท่ีสนใจการเปลี่ยนแปลงบทบาทผู้หญิงในการปรับตัว

122 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

กบั ระบบเศรษฐกจิ การศกึ ษา และการสอื่ สารในยคุ ใหมใ่ นลกั ษณะใดได้บา้ ง นา่ เสยี ดายที่ค�ำถามน้ี
ไม่มคี ำ� ตอบทชี่ ัดเจน เพราะไม่ไดม้ กี ารศึกษาชุมชนอย่างตอ่ เนื่อง อยา่ งไรกต็ ามพอมคี �ำตอบอยบู่ ้าง
จากการศกึ ษาชุมชนรูสะมิแล ของ ระวีวรรณ ชอมุ่ พฤกษ์ในทศวรรษของ 2530 ทง้ั ผหู้ ญงิ และผชู้ าย
ถูกกดดนั ใหอ้ อกจากหมู่บ้านไปท�ำงานทอ่ี ่ืน เนือ่ งจากทรพั ยากรทางทะเลลดนอ้ ยลง และการทำ� นา
ก็กลายเป็นต�ำนานของหมู่บ้าน ผู้หญิงส่วนหนึ่งไปท�ำงานเป็นแรงงานในโรงงานแปรรูปสัตว์น�้ำ
บางส่วนซึ่งมักเป็นคนมีอายุในวัยกลางคนไปซ่อมอวนให้เถ้าแก่แพปลาในเมือง แต่ผู้หญิงบางกลุ่ม
ต้องไปไกลถึงมาเลเซียโดยไปเป็นลูกจ้างในร้านอาหาร และ เมื่อชุมชนอยู่ใกล้ความเจริญมากข้ึน
ชาวบ้านก็เริ่มขายที่ดินให้กับคนนอก และผู้หญิงก็รับภาระหนักในการเลี้ยงดูครอบครัวมากขึ้น
ส่วนครอบครัวผู้หญิงที่ยังท�ำมาหากินกับทรัพยากรด้ังเดิมคือการประมง ได้รับผลกระทบจาก
การเปล่ยี นแปลงเทคโนโลยใี นการจบั ปลาทม่ี กี ารใชเ้ ครอ่ื งยนตต์ ดิ ทา้ ยเรอื ในทศวรรษของ 2500 ทำ� ให้
เลกิ ใชเ้ รอื กอและแบง่ ปนั ผลประโยชนไ์ ดง้ า่ ยขนึ้ การจบั สตั วน์ ำ�้ มปี ระสทิ ธภิ าพขน้ึ แตท่ ำ� ให้ ทรพั ยากร
เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว และได้มีความพยายามที่ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีในการจับสัตว์น้�ำอย่าง
หลากหลายและในทศวรรษของ 2530 ในชมุ ชนรสู ะมแิ ลมพี ฒั นาการใชเ้ รอื ขนาดเลก็ แตต่ ดิ เครอื่ งยนต์
ทำ� ใหห้ นว่ ยทจี่ บั ปลามขี นาดเลก็ คอื เฉพาะครอบครวั และผหู้ ญงิ กจ็ ำ� เปน็ ออกไปจบั ปลาพรอ้ มสามแี ทนท่ี
จะขายปลาทส่ี ามหี ามาไดต้ ามชายหาดเหมอื นเมอื่ กอ่ น เพราะถา้ จบั ปลามาไดแ้ ลว้ ไมต่ อ้ งแบง่ ใหค้ นอนื่
นอกจากนเี้ นอื่ งจากการคา้ สตั วน์ ำ�้ ขยายตวั ขนึ้ และการใชเ้ ครอื่ งยนตต์ ดิ ทา้ ยเรอื ทำ� ใหม้ กี ารลงทนุ สงู ขนึ้
อาชพี “คนกลาง” หรอื ทเ่ี รยี กกนั ในชมุ ชนวา่ “เถา้ แก”่ จงึ เรมิ่ มคี วามจำ� เปน็ มากขนึ้ ทนี่ า่ สนใจคือว่า
เถา้ แก่ส�ำคญั 2 คน ในหมบู่ า้ น เป็น “ผู้หญิง” (มสุ ลมิ มลายู) น่เี อง (ฉววี รรณ ประจวบเหมาะ, 2536)

สำ� หรบั ชมุ ชน “ศาลา” แมว้ า่ ผเู้ ขยี นไดก้ ลบั ไปเยย่ี มเยยี นชมุ ชนอยหู่ ลายครง้ั แตไ่ มไ่ ดศ้ กึ ษา
ตดิ ตาม เพยี งแตถ่ ามขา่ วคราวของคนทร่ี จู้ กั จงึ ไมอ่ าจระบไุ ดว้ า่ ไดม้ กี ารปรบั เปลย่ี นบทบาทของผหู้ ญงิ
ไปมากน้อยเพยี งใด แตจ่ ากการอา้ งอิงงานของฉววี รรณ (Prachuabmoh, 1980) ของสไุ รนี สายนุย้
(2557) ไดร้ ะบวุ ่าแม้ว่าจะผา่ นมาถงึ กวา่ สามสิบปแี ล้ว สถานภาพและบทบาทของผู้หญิงมสุ ลิมมลายู
ท่ีพรรณนาในงานของฉวีววรณยังไม่มีการเปล่ียนแปลงไปมากนัก ซ่ึงหากมีนักวิจัยท่ีสนใจก็คงต้อง
ศึกษารายละเอียดต่อไปเพอื่ ความแนใ่ จ

นอกจากน้ีการพิจารณาบทบาทของผู้หญิงมุสลิมมลายูน่าจะมีมุมมองที่กว้างข้ึนกว่าเดิม
คือน่าจะขยายไปพิจารณาบทบาทและสถานภาพของผู้หญิงฯในในสังคมที่กว้างขึ้น ไม่ได้จ�ำกัด
อยู่เฉพาะพื้นท่ีอย่าง เช่น ชุมชนพื้นที่ลักษณะต่างๆ ดังท่ีได้ศึกษากันมาในทางมานุษยวิทยาใน
60 ทศวรรษท่ีผ่านมา มิติที่น่าสนใจน่าจะเป็นบทบาทในทางการศึกษาและวิจัย ซ่ึงจากท่ีได้มี
ประสบการณไ์ ปรว่ มสมั มนากบั นกั วชิ าการหญงิ รนุ่ ใหมท่ ง้ั ทเ่ี ปน็ มสุ ลมิ มลายแู ละเปน็ ไทยพทุ ธ (ทร่ี วม
ตวั กนั ทำ� โครงการวจิ ยั เพอื่ สำ� รวจสถานภาพองคค์ วามรู้ เรอ่ื ง “เพศสถานะ” (Gender) ซงึ่ ครอบคลมุ
เร่ืองบทบาทหญิงชายในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศึกษา และสาธารณสุขในจังหวัด
ชายแดนภาคใต้ (อลิสา หะสาเมาะ, หัวหนา้ โครงการ 2555) จากการสมั มนาผู้เขียนพบวา่ ยังมงี าน
ไม่มากนัก และหากนักวิจัยรุ่นใหม่เหล่าน้ีลงสนามท�ำงานวิจัยต่อไป คงจะค้นพบการเปล่ียนแปลง
บทบาทหญิงชายท่จี ะช่วยใหเ้ ราเขา้ ใจสังคมชายแดนใต้มากขนึ้ กวา่ เดมิ

พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 123

บรรณานุกรม
ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ. แลใตส้ ที่ ศวรรษ: ความเปลย่ี นแปลงทางสงั คมวฒั นธรรมและการพฒั นา
ทางการเมือง (ในช่วงเวลา 2490-2536). รายงานวิจัยประกอบการประชุม “ปัญหา
ทา้ ทายของสงั คมไทย: ใครจะไดอ้ ะไร? อยา่ งไร? โรงแรมแอมบาสเดอร์ จอมเทยี นพทั ยา:
TDRI, 2536.
พทั ยา สายห.ู ความรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกบั กลไกของสงั คม. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พพ์ ฒิ เนศ, 2526.
ระวีวรรณ ชอุ่มพฤกษ์. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองของหมู่บ้านรูสะมีแล.
รายงานวจิ ัยเสนอตอ่ TDRI, 2536.
ศรศี ักร วัลลโิ ภดม และคณะ. เล่าขานต�ำนานใต.้ กรุงเทพฯ: บริษทั เคลด็ ไทย, 2550.
สุไรนี สายนุ้ย. ขบวนการสตรีมุสลิมมลายู: การเปิดพื้นที่ทางสังคม, คนหนุ่มสาวมุสลิมกับ
โลกสมยั ใหม.่ กรุงเทพฯ: หจก. ภาพพมิ พ์, 2557.
ฮาฟิสสา สาและคณะ. ผู้หญิงมุสลิมในบริบทความรุนแรงของยุคสมัยใหม่, คนหนุ่มสาวมุสลิม
กบั โลกสมยั ใหม.่ กรงุ เทพฯ: หจก.ภาพพมิ พ,์ 2557.
Firth, Rosemary. Housekeeping among Malay Peasants. London: The Atlone Press, 1966.
Fraser, Thomas, Jr. Rusembilan: A Malay Fishing Village. Ithaca, New York: Cornell
University Press, 1960.
Linton, Ralph. The Study of Man. New York: Appleton-Century, 1936.
Prachuabmoh, Chavivun. The Role of Women in Maintaining Ethnic Identity and
Boundaries: A Case of Thai-Muslims in Southern Thailand. A Dissertation
Submitted to the Graduate Division of the University of Hawaii in Partial
Fulfillment of the Requirements for the Degree of Doctor of Philosophy in
Anthropology, 1980.
Prachuabmoh, Chavivun. The Role of Women in Maintaining Ethnic Identity and
Boundaries: A Case of Thai-Muslims in Southern Thailand, The Muslim of
Thailand. Gaya, India: Center for the South East Asian Studies, 1989.
Reid, Anthony. Southeast Asia in the Age of Commerce 1450-1680. Chiangmai:
Silkworm Books, 1988.
Saihoo, Patya. Social Organization of An Inland Malay Village Community in
Southern Thailand. A Thesis Submitted for the Degree of Doctor of Philosophy
at The University of Oxford, 1974.
Swift, Michael. Malay Peasant Society in Jelebu. New York: The Athlone Press, 1965.
Teeuw, A. and Wyatt, D.K.. Hikaya Patani:The Story of Patani. The Hague: Martinus
Nijhoff, 1970.
Winstedt, Richard. The Malays : A Cultural History. London: Routledge and Kegan
Paul, Ltd, 1950.

124 พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

สาวน้ำ� เคม็ : กลน่ิ อายความเป็น

สาวสมยั ใหมก่ อ่ นการเปลย่ี นแปลงการปกครอง
พทุ ธศกั ราช 2475

อาชญาสิทธ์ิ ศรสี ุวรรณ

นกั ศึกษาปริญญาโท ภาควิชาประวตั ศิ าสตร์ ปรชั ญา วรรณคดอี ังกฤษ
คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

ท�ำความรจู้ ัก “พวกน้ำ� เคม็ ”
“สาวน�้ำเค็ม” ในบทความนี้หมายถึงหญิงไทยที่ได้เดินทางไปยังต่างประเทศ ทั้งในแง ่

ของการไปเพ่ือศึกษาต่อในฐานะนักเรียนนอกโดยทุนรัฐบาล ทุนเอกชน และทุนส่วนตัว รวมถึง
การติดตามครอบครัวท่ีต้องไปรับราชการหรือใช้ชีวิตในต่างแดน ค�ำว่า “น้�ำเค็ม” ตามหนังสือ
อักขราภิธานศรับท์ (Dictionary of the Siamese Language) ซง่ึ หมอบรดั เลย์รวบรวมจดั พมิ พข์ ้นึ
เมือ่ พุทธศักราช 2416 ได้ให้ความหมายวา่ “นำ้� รศเหมอื นเกลอื มีอยูใ่ นทเลมหาสมุทนน้ั ” (แดน บีช
บรดั เลย,์ 2514: 322) คำ� ดงั กลา่ วยงั ถกู ใชเ้ รยี กกลมุ่ คนทเ่ี คยเดนิ ทางไปเมอื งนอกหรอื ตา่ งประเทศมา
แล้วด้วย โดยเรียกขานกนั ว่า “พวกนำ้� เค็ม” (ลาวณั ย์ โชตามระ, 2509: 162) ทง้ั นี้เนื่องจากการไป
ต่างประเทศของคนไทยสมัยแรก จะต้องเดินทางรอนแรมไปในเรือเดินสมุทรกลางท้องทะเลซ่ึงเป็น
พื้นท่นี ำ้� เค็มอยเู่ ป็นเวลานับเดอื น

แทแ้ ลว้ “พวกนำ�้ เคม็ ” มคี วามหมายรวมถงึ คนไทยทเี่ คยไปตา่ งประเทศทง้ั ผชู้ ายและผหู้ ญงิ
ทว่าส�ำหรบั บทความนี้ ผเู้ ขยี นมุ่งเนน้ ความสนใจเจาะจงเฉพาะหญงิ ไทยทถี่ ูกเรยี กว่า “สาวน้ำ� เคม็ ”
เปน็ สำ� คญั โดยจะพจิ ารณาถงึ การกอ่ ตวั ขน้ึ ของสตรกี ลมุ่ ดงั กลา่ ว พรอ้ มทงั้ พยายามอธบิ ายบทบาท
ของพวกเธอทม่ี ตี อ่ บรบิ ทความเปลยี่ นแปลงทางสงั คม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในชว่ งทศวรรษ 2460 จนถงึ
ต้นทศวรรษ 2470 อันเป็นช่วงก่อนเปล่ียนแปลงการปกครอง พุทธศักราช 2475 ซ่ึงมัก
ถูกมองว่าเป็นห้วงเวลาท่ีหญิงไทยไม่ค่อยมีบทบาททางสังคมเท่าใดนัก หากกลับปรากฏหลักฐาน
ทางประวัตศิ าสตร์แสดงให้เหน็ ถงึ ความเคลอื่ นไหวของกลมุ่ “สาวน้�ำเคม็ ” อยมู่ ากพอควร ถึงแมว้ ่า
บทบาทของพวกเธอจะมิได้สลักส�ำคัญมากนัก แต่ก็นับว่าเป็นหมุดหมายเล็กๆ ท่ีส่งผลต่อ
ความเปล่ยี นแปลงในดา้ นตา่ งๆ ของสังคมไทยด้วยเช่นกนั
หญงิ ไทยเม่อื แรกไปเมืองนอก

หญิงไทยเริ่มเดินทางไปเมืองนอกหรือต่างประเทศต้ังแต่เม่ือใด? เป็นค�ำถามท่ีเย้ายวน
ชวนใหค้ น้ ควา้ หาคำ� ตอบ แมอ้ าจจะยงั ไมพ่ บขอ้ มลู แนช่ ดั ในประเดน็ ดงั กลา่ ว แตจ่ ากหลกั ฐานเทา่ ทมี่ ี
ในปจั จบุ นั พอจะกล่าวได้ว่าหญิงไทยทีเ่ ดินทางไปต่างประเทศคนแรกคอื “แม่เตอ๋ ” หรือมีนามเดมิ
วา่ “รอด” บดิ าซงึ่ มเี ชอื้ สายพราหมณไ์ ดน้ ำ� เธอมาฝากไวก้ บั แหมม่ แมตตนู (Mrs. Mattoon) มชิ ชนั นารี

พลังผ้หู ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 125

ชาวอเมรกิ นั ทง้ั ยงั เปลยี่ นชอ่ื ใหมเ่ ปน็ “เอสเธอร”์ (Esther) แตม่ กั จะถกู เรยี กสน้ั ๆวา่ “เตอ๋ ” จวบจน
ปพี ทุ ธศกั ราช 2401 ตรงกบั รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 4 แหมม่ แมตตนู
เดนิ ทางกลบั ไปเยย่ี มญาตทิ ส่ี หรฐั อเมรกิ า พรอ้ มทง้ั พาแมเ่ ตอ๋ วยั สบิ สข่ี วบไปดว้ ยกนั แลว้ พกั อยทู่ น่ี น่ั
เปน็ เวลาถงึ 3 ป ี ระหวา่ งนน้ั แมส่ าวชาวสยามจึงเข้าเรียนวิชาพยาบาลแบบใหม่ โดยเฉพาะวิชา
การผดงุ ครรภ์ ครน้ั เม่ือกลับมาถงึ เมืองไทย เธอจงึ เปล่ยี นไปนบั ถือศาสนาคริสต์แทน และไดม้ าช่วย
สอนหนงั สอื ใหก้ บั หญงิ ไทยในโรงเรยี นทแ่ี หมม่ แมตตนู กอ่ ตง้ั ขน้ึ มา (เอนก นาวกิ มลู , 2541: 107-20)
หากจะนบั วา่ “แมเ่ ตอ๋ ” เปน็ หญงิ ไทยคนแรกทไี่ ดไ้ ปเรยี นวชิ าความรจู้ ากตา่ งประเทศกค็ งจะไมผ่ ดิ นกั
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี 5 อันเป็นช่วงเวลา
ของการปฏิรูปบ้านเมืองเพ่ือพัฒนาให้มีความเจริญและทันสมัยทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ
เนอื่ งจากตกอยใู่ นสถานการณท์ กี่ ำ� ลงั ถกู คกุ คามจากลทั ธจิ กั รวรรดนิ ยิ มโดยชาตติ ะวนั ตก ความพยายาม
ปรบั ปรงุ ประเทศทำ� ใหส้ ยามมคี วามสมั พนั ธท์ างการทตู กบั ชาตติ ะวนั ตกมากยง่ิ ขน้ึ โดยเรม่ิ สง่ ทตู ไป
ประจำ� ณ ดนิ แดนตา่ งๆในทวปี ยโุ รป ดว้ ยเหตนุ ี้ แมศ่ รเี รอื นของทา่ นทตู ทงั้ หลายจงึ ตอ้ งเดนิ ทางตดิ ตาม
สามไี ปรบั ราชการในต่างประเทศ ภริยาทูตเหล่านี้ถอื เป็นตวั แทนที่ตอ้ งแสดงใหช้ าวตะวนั ตกเหน็ ถึง
ความสามารถของหญิงไทย พวกเธอจะแต่งกายตามแบบตะวนั ตก หดั พดู ภาษาองั กฤษ และเรยี นรู้
ขนบธรรมเนยี มชาวตะวนั ตกเปน็ อยา่ งดี เชน่ กรณี
ของคุณหญิงอุ๊นท่ีเดินทางตามสามีคือพระยา
มหบิ าลบริรักษ์ (สวัสด์ิ ภูมิรัตน์) ไปรับราชการ
ในฐานะอคั รราชทตู ประจำ� ณ กรงุ เซนตป์ เี ตอรส์ เบริ ก์
ประเทศรัสเซีย เมื่อปีพุทธศักราช 2442 ซ่ึงม ี
ความสามารถพดู ภาษาองั กฤษและภาษาฝรงั่ เศส
อย่างคล่องแคล่ว ท้ังยังเรียนรู้ขนบธรรมเนียม
มารยาททางสังคมแบบตะวันตกได้เป็นอย่างดี
(ศรพี รหมา กฤดากร, 2522: 137) หรอื คณุ หญงิ
เลมยี ด ภรยิ าของพระยาประภากรวงศ์ (วอ่ ง บนุ นาค)
ทต่ี ดิ ตามสามีไปรบั ราชการสถานทตู ไทย ณ กรุง
โตเกียว ประเทศญ่ีปุ่นในปีพุทธศักราช 2445
โดยเธอไดป้ ฏบิ ตั ติ นอยา่ งเหมาะสมดว้ ยการแตง่ กาย
ท่ีทันสมัย สามารถเข้าร่วมสมาคมและชว่ ยสามี
ตอ้ นรบั แขกเหรอ่ื ชาวตา่ งชาตอิ ยเู่ สมอๆ คุณหญิง
ประภากรวงศ์ยังติดตามสามีไปรับราชการในอีก พระยามหบิ าลบรริ กั ษ์ (สวสั ดิ์ ภมู ริ ตั น)์ และคณุ หญงิ อนุ๊
หลายประเทศ ดงั ในปพี ุทธศักราช 2450 ยา้ ยไป (ทมี่ า: หนงั สอื อตั ชวี ประวตั หิ มอ่ มศรพี รหมา กฤดากร)

ประจ�ำยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และพอถึงพุทธศักราช 2450 ก็ไปอยู่ ณ กรุงวอชิงตัน
สหรฐั อเมรกิ า (ไทยน้อย, 2504: 113-4)
นอกเหนือจากการเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวยังส่งพระเจ้าลูกยาเธอไปทรงศึกษาวิชาความรู้ในประเทศตะวันตกด้วย ในปีพุทธศักราช
2428 พระเจ้าลกู ยาเธอชดุ แรก 4 พระองคไ์ ดเ้ สด็จไปศึกษาตอ่ ท่ปี ระเทศอังกฤษประกอบดว้ ย

126 พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

1. พระองคเ์ จา้ กติ ยิ ากรวรลกั ษณ์ กรมพระจนั ทบรุ ีนฤนาถ
2. พระองค์เจ้ารพพี ัฒนศกั ดิ์ กรมหลวงราชบรุ ีดเิ รกฤทธิ์
3. พระองค์เจา้ ประวิตรวฒั โนดม กรมหลวงปราจิณกติ ิบดี
4. พระองค์เจ้าจริ ประวัตวิ รเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช
โดยมเี จา้ พระยายมราช (ปน้ั สขุ มุ ) ซง่ึ ขณะนนั้ ยงั เปน็ ขนุ วจิ ติ รวรสาสน์ ตามเสดจ็ ไปดว้ ยในฐานะ
ผเู้ ปน็ พระอภิบาล ตอ่ มาเมอื่ เจา้ พระยายมราชตามเสดจ็ กลับมาเยีย่ มเมืองไทยชวั่ คราว ไดส้ มรสกับ
ทา่ นผหู้ ญงิ ตลบั ในปพี ทุ ธศกั ราช 2431 ครนั้ ตอ้ งตามเสดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอกลบั ไปศกึ ษาตอ่ ยงั ประเทศ
องั กฤษอกี ครงั้ ทา่ นผหู้ ญงิ ตลบั จงึ ตดิ ตามสามไี ปพรอ้ มกนั ดว้ ย กลา่ วไดว้ า่ ทา่ นผหู้ ญงิ ตลบั นน้ั เปน็ “สาว
น�ำ้ เคม็ ” อยา่ งแท้จริง เพราะกวา่ จะไปถึงองั กฤษ ระหวา่ งทางไดส้ มั ผสั กลนิ่ อายทอ้ งทะเลหลายแหง่
เลยทเี ดยี ว นบั แต่ “ลงเรอื ทสี่ งิ คโปรไ์ ปปนี งั รา่ งกงุ้ มณั ดเล กนั กตั ตา อคั รา ปนารสั เปลยี่ นเรอื ท ่ี
เมอื งบอมเบย์ ไปขน้ึ ปรนิ ดซิ ใี นเมอื งโรม ไปเมอื งปารสี แลว้ ขา้ มไปกรงุ ลอนดอน” ทา่ นผหู้ ญงิ ยมราช
ท่านน้ียังเป็นภรรยาข้าราชการคนแรกท่ีมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย พระบรมราชินี
แหง่ กรุงอังกฤษอกี ดว้ ย (สายไหม จบกลศึก, 2529: 19-20)

จากซา้ ย: พระองคเ์ จา้ รพพี ฒั นศกั ด,์ิ พระองคเ์ จา้ ประวติ ร เจา้ พระยายมราช (ปน้ั สขุ มุ ) เมอ่ื ครงั้ เปน็ พระวจิ ติ รวรสาสน์
วฒั โนดม, พระองคเ์ จา้ กติ ยิ ากรวรลกั ษณ์ และพระองค์ อปุ ทตู สยาม ณ กรงุ ลอนดอน และทา่ นผ้หู ญงิ ตลับ
เจา้ จริ ประวตั วิ รเดช (ทม่ี า: https://th.wikipedia.org.wiki)
(ทมี่ า: http://www.oknation.net/blog/capjack/
2011/02/26/entry-3)

พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 127

ไม่เพียงแต่หญิงไทยที่ติดตามสามีไปรับราชการต่างประเทศเท่าน้ัน ยังมีหญิงไทยที่ต้อง
เดนิ ทางติดตามครอบครวั ไปใช้ชวี ิตอยตู่ ่างแดนต้งั แต่เยาวว์ ยั ด้วย คุณหญิงตระกลู อมาตยกลุ บตุ รี
พระปรชี ากลการเปน็ คนหนงึ่ ทม่ี เี หตจุ ำ� เปน็ ใหต้ อ้ งออกนอกประเทศตงั้ แตอ่ ายเุ พยี ง 10 ขวบ โดยเดนิ ทาง
ไปยังฝร่ังเศสพร้อมกับภรรยาคนใหม่ของบิดาซึ่งเป็นแหม่มฝรั่งคือนางสาวแฟนน่ี น็อกซ์ (Fanny
Knox) คุณหญิงตระกูลได้รับการศึกษาท้ังจากท่ีบ้านและโรงเรียนประจ�ำในฝรั่งเศสจนถึงอายุ 16
ส่งผลให้เชย่ี วชาญภาษาฝรัง่ เศส ภาษาองั กฤษ รวมถึงภาษาละตินเป็นอย่างดี กอ่ นจะหวนกลับมา
เมืองไทยอีกคร้ังในปีพทุ ธศักราช 2430 (ลาวัณย์ โชตามระ, 2525: 118-20)

จากกรณีท่ีกล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าเป็นกลุ่มของหญิงไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ
โดยตดิ ตามครอบครวั เพอ่ื ไปปฏบิ ตั หิ นา้ ทกี่ ารงานหรอื ใชช้ วี ติ ในตา่ งแดน ทวา่ ยงั มหี ญงิ ไทย อกี กลมุ่ หนงึ่
ท่ีเดินทางไปเมืองนอกเพ่อื ศกึ ษาวิชาความรู้หรือเรยี กว่าเปน็ พวก “นกั เรยี นนอก” จวบจนกลายเปน็
ค่านิยมส�ำคญั ท่ปี รากฏขึ้นในชว่ งทศวรรษ 2460-2470
นักเรยี นนอก และ ความนยิ มนักเรียนนอกในสังคมไทย

การส่งคนไปศึกษาต่างประเทศปรากฏหลักฐานว่ามีมาแต่คร้ังสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ปรากฏชายไทยถกู สง่ ไปศกึ ษาทป่ี ระเทศฝรงั่ เศสถงึ สามครงั้ (ละออทอง, 2522:
18-20) อยา่ งไรกต็ าม สำ� หรบั ชว่ งเวลาทม่ี นี กั เรยี นถกู สง่ ไปเรยี นวชิ าแบบตะวนั ตกอยา่ งเปน็ รปู ธรรม
ชดั เจนคอื สมัยรตั นโกสินทร ์ โดยเฉพาะในแผน่ ดนิ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ทพี่ วก
“นักเรียนนอก” ได้ถือก�ำเนิดข้ึนเป็นกลุ่มก้อนและเริ่มมีบทบาทในสังคมไทยอย่างจริงจัง สืบเน่ือง
มาจากความพยายามปรับเปลี่ยนนโยบายด้านการศึกษาที่เล็งเห็นประโยชน์ของภาษาต่างประเทศ
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ รวมถึงความสนใจใคร่รู้ต่อสรรพวิทยาการแบบตะวันตก ด้วยคาดหวังว่า
สงิ่ เหลา่ นจ้ี ะนำ� มาซงึ่ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของชาติ ทงั้ ยงั จะทำ� ใหส้ ยามสามารถเรยี นรเู้ ทา่ ทนั พวกฝรง่ั

ดงั นนั้ ไมเ่ พยี งแคก่ ารจา้ งชาวตา่ งประเทศมาสอนสรรพวทิ ยาการตา่ งๆ ในพระบรมมหาราชวงั
และในโรงเรยี นชนั้ นำ� ตอ่ มายงั มกี ารสง่ นกั เรยี นไปศกึ ษาเรยี นรใู้ นตา่ งประเทศเพอ่ื กลบั มารบั ราชการ
และปฏบิ ตั งิ านแทนชาวต่างชาติเหล่านั้น กรมศึกษาธกิ ารเปน็ กรมแรกทไี่ ดส้ ่งนักเรยี นออกไปศกึ ษา
วิชาครูจากต่างแดน เพื่อกลับมาขยายงานดา้ นการศึกษา (ละออทอง, 2522: 119-26) นบั จากนัน้ จงึ
มกี ารสง่ คนไทยใหไ้ ปศกึ ษาความรแู้ ขนงตา่ งๆ จากเมอื งนอกเปน็ จำ� นวนมากขนึ้ เรอื่ ยๆ ไมว่ า่ จะเปน็
วิชาการแพทย์การพยาบาล วิชากฎหมายและการเมืองการปกครอง วิชาการทหาร วิชาการช่าง
วชิ าวทิ ยาศาสตร์ วชิ าการคา้ ขาย รวมถงึ วชิ าดา้ นวรรณคดี เปน็ ตน้ ปรากฏทงั้ พวกนกั เรยี นทเ่ี ดนิ ทาง
ไปโดยการสนับสนุนจากทนุ รฐั บาล ทุนเอกชน รวมถงึ ไปด้วยทุนส่วนตวั

ความนยิ มออกไปเรยี นวชิ าจากต่างประเทศสง่ ผลให้ “นกั เรยี นนอก” กลายเปน็ กล่มุ คนทม่ี ี
ความส�ำคัญทางสังคมและเริ่มมีอัตลักษณ์ชัดเจนนับแต่ช่วงทศวรรษ 2450 เป็นต้นมาจนถึง
ต้นทศวรรษ 2470 ทง้ั นเ้ี พราะการศึกษาจากต่างประเทศเปน็ เครอื่ งแสดงความทันสมัย ความโกห้ รู
เปน็ ทีย่ กย่องนับหนา้ ถอื ตา สามารถเข้าสมาคมกบั ชาวตะวันตกได้ ผะอบ โปษะกฤษณะ เลา่ ถึงญาติ
ผูพ้ ่ีของเธอ นกั เรยี นนอกที่กลบั เมอื งไทยมาในช่วงหลงั สงครามโลกคร้ังที่ 1 ว่า “เมอ่ื เขากลับมานั้น
รสู้ กึ วา่ โกม้ าก ใครๆ กย็ นิ ดตี อ้ นรบั หนมุ่ นอ้ ยนกั เรยี นนอกหนา้ ตาดี ไปบา้ นไหนไมม่ ใี ครรงั เกยี จ สงั คม
สมยั น้นั ก็ยกย่องนกั เรียนนอกมาก” (ผะอบ โปษะกฤษณะ, 2514: 30)

128 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

สถานะของ “นักเรียนนอก” ยงั เปน็ ชอ่ งทางสำ� คญั ในการเลอ่ื นสถานะและชนชั้นทางสงั คม
พวกท่ีเคยผ่านการศึกษาจากต่างประเทศแล้ว เม่ือกลับมารับราชการก็จะมีความก้าวหน้าในหน้าท่ี
การงานอยา่ งรวดเรว็ ยงิ่ กวา่ คนอนื่ ๆ ดว้ ยเหตนุ ้ี การมโี อกาสไดไ้ ปเมอื งนอกจงึ เปน็ สงิ่ ทพี่ งึ ปรารถนา
สำ� หรบั คนไทยผคู้ าดหวงั ความรงุ่ เรอื งในชวี ติ ถงึ กบั มกี ารเปรยี บเทยี บวา่ ราวกบั เปน็ การไปเพอ่ื “ชบุ ตวั ”
ในสระอโนดาตหรือบ่อเงนิ บอ่ ทอง (อากาศดำ� เกิง, 2537: 72) สำ� หรบั ช่วงแรกนัน้ นกั เรียนไทยนยิ ม
เดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศตะวันตกอย่างในทวีปยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาเป็นส�ำคัญ ต่อมาเม่ือ
กระแสความปรารถนาศึกษาต่างประเทศแพร่หลายมาก ทว่าการเดินทางไปประเทศตะวันตก
มคี า่ ใชจ้ า่ ยสงู คำ� วา่ “เรยี นเมอื งนอก” จงึ หมายรวมถงึ การไปศกึ ษาตอ่ ในประเทศอาณานคิ มทไี่ มไ่ กล
ไปจากเมอื งไทยดว้ ย ดงั ความทป่ี รากฏในพระนพิ นธข์ องหมอ่ มเจา้ พนู พศิ มยั ดศิ กลุ วา่ “พวกนกั เรยี น
จงึ ตอ้ งกระวนกระวายไปเรยี น-เมอื งนอก-ใหจ้ งได้ และคำ� วา่ –เมอื งนอก- น้ี แมเ้ พยี งสงิ คโปร,์ ปนี งั ,
ฟลิ ปิ ปนิ ส์ , ฮอ่ งกง, กเ็ รยี กวา่ -นอกแลว้ !” (พนู พศิ มยั ดศิ กลุ , 2557: 115) อยา่ งไรกต็ ามพวก “นกั เรยี น
นอก” ในช่วงแรกส่วนใหญ่มีเพียงผู้ชาย เน่ืองจากหญิงไทยไม่ค่อยได้รับการสนับสนุน
ให้ออกนอกบา้ นไปเรียนหนังสอื รวมถงึ แทบจะปราศจากโอกาสท่ีจะไปเรยี นเมอื งนอก อาจเปน็ ดว้ ย
คา่ นยิ มแบบจารตี เดมิ ในสงั คมไทยทมี่ องวา่ ผหู้ ญงิ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งมคี วามรอู้ ะไรมากนกั เพยี งแตอ่ ยกู่ บั เหยา้
เฝ้าบ้านและเตรียมพร้อมเป็นแม่ศรีเรือนที่ดีให้กับสามีเท่าน้ัน จวบจนช่วงทศวรรษ 2460 จึงเกิด
ค่านยิ มแบบใหมค่ อื มกี ารสง่ ผหู้ ญงิ ไปเรียนต่างประเทศมากขึ้นจนกลายเป็นปรากฏการณ์

หม่อมเจ้าหญิงพนู พศิ มัย ดศิ กุล “การเขา้ สมาคม” และ ปรากฏการณ์ “สาวนำ�้ เคม็ ”
(ทม่ี า: http://www.prince-damrong.moi.go. ลว่ งเขา้ สรู่ ชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้
th/liblary.htm)
เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี 6 เมอื งไทยมีความแพรห่ ลายของ
วัฒนธรรมตะวันตกอย่างมาก เกิดการเปล่ียนแปลง
กจิ กรรมทางสงั คมโดยนำ� เอาวถิ ชี วี ติ แบบชาวตะวนั ตก
มาใช ้ สบื เนอ่ื งจากพวก”นกั เรยี นนอก”ไดน้ ำ� แนวความคดิ
“การเขา้ สมาคม” มายงั เมอื งไทยดว้ ยภายหลงั กลบั จาก
ตา่ งประเทศ ทง้ั ยงั ทำ� ใหก้ ลายเปน็ วถิ ปี ฏบิ ตั ใิ นสงั คมไทย
เริ่มต้นจากกลุ่มชนชั้นสูงแล้วส่งผ่านมาจนถึงกลุ่ม
ขา้ ราชการรนุ่ ใหมๆ่ (นครนิ ทร์ เมฆไตรรตั น,์ 2528: 37)
กิจกรรม “การเขา้ สมาคม” ยังถือเป็นเครอื่ งแสดงถึง
ความหรูหรา ความทันสมัย และบ่งบอกสถานะ
ทางสังคม ผู้ทจ่ี ะมาเข้าร่วมสมาคมได้สว่ นใหญ่จะตอ้ ง
เปน็ กลมุ่ คนทศี่ กึ ษาจากตา่ งประเทศ หรอื ถา้ หากไมใ่ ช่
“นักเรยี นนอก” กต็ อ้ งเคยผา่ นการเรียนรมู้ ารยาทและ
ธรรมเนียมแบบตะวันตกจากโรงเรียนชั้นน�ำมาแล้ว
กิจกรรมดังกลา่ วมกี ระแสตอบรับอย่างดี กลายเป็นที่
สนใจและพงึ ปรารถนาเขา้ รว่ มสำ� หรบั ขา้ ราชการรนุ่ ใหม่
รนุ่ เกา่ ทง้ั หลาย เพราะเปน็ ทงั้ ความบนั เทงิ แบบสมยั ใหม่

พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 129

รวมถึงโอกาสในการแสวงหาความก้าวหน้าทางหน้าท่กี ารงาน “การเขา้ สมาคม” จึงเสมอื นการยก
ระดบั ฐานะทางสงั คมของตนเองขนึ้ มาดว้ ย แนวความคิดนี้ถกู สะทอ้ นผ่านตวั ละครขา้ ราชการร่นุ เก่า
สมยั รชั กาลที่ 6 อยา่ ง “คณุ เปรม” ในนวนยิ ายเรือ่ ง “ส่ีแผ่นดิน”

“คณุ เปรมกจ็ ะพดู เพยี งวา่ การทต่ี อ้ งใชช้ วี ติ นอกบา้ นมากกวา่ เดมิ นน้ั เปน็ ผลจากความจำ� เปน็
ทต่ี อ้ งเขา้ “สมาคม” ซงึ่ นบั วา่ เปน็ คำ� ใหมส่ ำ� หรบั พลอย คณุ เปรมอธบิ ายวา่ คนในสมยั นถ้ี า้ จะกา้ วหนา้
รุ่งเรืองต่อไปในชีวิตก็จ�ำเป็นต้องเข้าสมาคมเป็น และการเข้าสมาคมของคุณเปรมเท่าท่ีพลอยทราบ
กค็ อื การกลบั บา้ นดกึ ๆ โดยมกี ลนิ่ สรุ ากลน่ิ ควนั บหุ รต่ี ดิ มาดว้ ย หรอื มฉิ ะนน้ั กไ็ มก่ ลบั เลย การพกเงนิ
ออกจากบ้านไปครั้งละมากๆ เพ่ือเล่นการพนันในสมาคมน้ันแล้วก็กลับมากระเป๋าเปล่า ตลอดจน
การบ�ำเพญ็ ตนดว้ ยความหรหู ราโออ่ ่าต่างๆ” (คึกฤทธ์ิ ปราโมช, 2544: 430)

อยา่ งไรกต็ าม ในชว่ งแรกเรมิ่ “การเขา้ สมาคม” เปน็ กจิ กรรมทจี่ ำ� กดั อยใู่ นกลมุ่ ผชู้ ายเทา่ นนั้
เพราะมอี สิ ระในการใชช้ วี ติ นอกบา้ นมากกวา่ ขณะทผี่ หู้ ญงิ ยงั อยใู่ นกรอบจารตี ดง้ั เดมิ ของไทย กลา่ วคอื
จะต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่สามารถไปไหนมาไหนตามล�ำพังในที่สาธารณะได้ โดยเฉพาะ
การออกไปพบปะกับเพศตรงข้ามแล้วถือเป็นข้อห้ามส�ำคัญที่สุด ผู้หญิงจะมีโอกาสเข้าสมาคมได ้
ก็ต่อเมื่อมีงานพระราชพิธีที่จัดขึ้นโดยราชส�ำนัก อันเป็นแนวพระราชด�ำริในพระบาทสมเด็จ
พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทที่ รงสง่ เสรมิ ใหส้ ตรไี ดร้ จู้ กั การเขา้ สมาคมโดยมรี ปู แบบคลา้ ยกบั การสมาคม
ในประเทศองั กฤษ (เพชรสุภา ทศั นพนั ธ,์ 2542: 52-5)

แทแ้ ลว้ แนวความคดิ ทจ่ี ะยกยอ่ งสถานภาพของผหู้ ญงิ ใหม้ คี วามเสมอภาคกบั ผชู้ ายเรม่ิ กอ่ ตวั
มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2440 มีการเสนอผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เพ่ือเรียกร้องการเปิดโอกาส
ให้ผ้หู ญงิ สามารถกระทำ� สิ่งตา่ งๆ ได้ทดั เทียมกับผูช้ าย โดยเฉพาะการไดเ้ รียนหนงั สอื เทียนวรรณ
นกั คดิ นกั เขยี นคนสำ� คญั แหง่ ยคุ สมยั ไดส้ นบั สนนุ การศกึ ษาแบบใหมข่ องผหู้ ญงิ เพอ่ื นำ� ความรมู้ าชว่ ยเหลอื
สามีและสอนบตุ รธิดาในขั้นต้น

“...ถา้ แมห่ ญงิ เปนหญงิ ดมี คี วามรไู้ ดเ้ ลา่ เรยี น แลมอี ทั ยาไสยสนั ดานเปนผดู้ .ี ..ไดเ้ ปนแมเ่ รอื น
ช่วยแบ่งเบาภาระอันเปนธุระหนักหรือเบาไปจากบุรุษย์ให้เบาได้บ้างไม่มากก็น้อย ต่�ำสุดช่วยทาน
หนังสือ สูงสุดช่วยเรียงความได้... แลทั้งได้บำ� รุงเลี้ยงดูบุตรชายหญิง แลได้ส่ังสอนบังคับบุตรให้มี
กริ ยิ ามารยาทรวู้ ิชาท่คี วรร้กู อ่ น” (เทยี นวรรณ, 2448: ไมม่ ีเลขหน้า)

ประกอบกบั การปฏริ ปู ประเทศตามแบบตะวนั ตกนบั แตช่ ว่ งทศวรรษ 2440-2450 สง่ ผลใหค้ า่
นยิ มทมี่ ตี อ่ ผหู้ ญงิ ปรบั เปลย่ี นไปดว้ ย จากเดมิ ทห่ี ญงิ ไทยตอ้ งอยกู่ บั เหยา้ เฝา้ กบั เรอื น ฝกึ หดั การทำ� ครวั
และงานบ้านรอเวลาท่ีจะออกเรอื นไปปรนนิบัติสามี ก็เริม่ มกี ารจัดการศกึ ษาของผ้หู ญิงให้เร่มิ เรยี นรู้
วชิ าการแบบใหมข่ น้ึ กระแสความตนื่ ตวั ดงั กลา่ วนำ� ไปสกู่ ารตง้ั โรงเรยี นสตรเี พอ่ื สรา้ งวชิ าความรสู้ มยั ใหม่
แบบตะวนั ตก วชิ าการเรอื นทท่ี นั สมยั รวมถงึ ฝกึ การตอ้ นรบั แขกเหรอื่ และการเขา้ สมาคมใหก้ บั หญงิ ไทย
เชน่ โรงเรยี นราชนิ แี ละโรงเรยี นสตรวี ทิ ยา เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ าม แมว้ า่ ผหู้ ญงิ จะมโี อกาสไดเ้ ขา้ โรงเรยี น
แล้ว แต่เมื่อส�ำเร็จการศึกษาก็ต้องกลับมาท�ำงานอยู่ท่ีบ้านเหมือนเดิมหรือไม่ก็ถูกถวายตัวไปรับใช ้
ในวงั มิได้เรียนรู้วชิ าเพม่ิ เติมใหก้ วา้ งขวางขึน้ ดงั ความทว่ี ่า “สมยั น้ันลกู ขุนนางมกั จะได้เรยี นเพียง
ม. 1 ม.2 แลว้ กน็ ำ� ไปถวายตวั เปน็ ขา้ หลวงในเจ้านายพระองคใ์ ดพระองค์หนึง่ เพอ่ื หดั กริ ยิ ามารยาท
และวิชาความรู้การบ้านการเรือน ถ้าเป็นลูกชาวบ้านก็หัดที่บ้าน ถ้าอัตคัดหน่อยก็ไปฝึกวิชาชีพ
สว่ นมากผหู้ ญงิ ไปหัดทำ� ทองเพราะรายได้ดี” (ผะอบ โปษะกฤษณะ, 2514: 25)

130 พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลที่ 6
(ทมี่ า: วกิ พิ ีเดีย https://th.wikipedia.org.wiki)

จนถงึ ชว่ งกลางทศวรรษ 2450 และตน้ ทศวรรษ 2460 สงั คมไทยเรม่ิ ตระหนกั ถงึ บทบาทของ
ผู้หญิงและให้ความส�ำคัญกับความเป็นหญิงแบบสมัยใหม่ อันเป็นค่านิยมท่ีรับอิทธิพลจาก
ชาตติ ะวนั ตก โดยพยายามสง่ เสรมิ ใหห้ ญงิ ไทยมสี ว่ นรว่ มกบั กจิ กรรม “การเขา้ สมาคม” อยา่ งเทา่ เทยี ม
กับผู้ชาย สามารถออกนอกบ้านเพื่อไปงานเลี้ยงสังสรรค์ พบปะกับเพศตรงข้าม และปรับตัวตาม
วัฒนธรรมแบบตะวันตกได้ กิจกรรม “การเข้าสมาคม” ยังเป็นพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงสนับสนุนการปล่อยให้ผู้หญิงมีอิสระมากขึ้น มิใช่ถูกขังอยู่
แต่ในบ้านอย่างเดียว ทั้งยังทรงแสดงความเห็นว่า การปล่อยให้หญิงชายได้คบหาสมาคมกัน
ยงั สามารถแกป้ ญั หาผหู้ ญงิ ถกู ลอ่ ลวงไดอ้ กี ดว้ ย ดงั ปรากฏในบทความ “เครอื่ งหมายแหง่ ความรงุ่ เรอื ง
คือสภาพแหง่ สตรี” ตอนหน่งึ ว่า

“ขา้ พเจา้ ไดเ้ คยไดย้ นิ ผชู้ ายบางคนพดู วา่ ถา้ ขนื ปลอ่ ยใหผ้ หู้ ญงิ ไดเ้ ปน็ อสิ ระยงิ่ กวา่ ทเ่ี ปน็ อยู่
เดี๋ยวนี้แล้วละก็ น่ากลัวจะต้องเกิดเหตุน่าติเตียนขึ้นเป็นแน่ ข้อน้ีข้าพเจ้าไม่เถียง แต่ขอชี้แจงว่า
ถา้ เกดิ เหตอุ นั ไมเ่ ปน็ ทพี่ งึ ปรารถนาขนึ้ เพราะปลอ่ ยใหห้ ญงิ เปน็ อสิ ระ กจ็ ะเปน็ เพราะโทษแหง่ ประเพณี
ทกี่ กั ขงั หญงิ ไวไ้ มใ่ หพ้ บปะกบั ชาย หญงิ จง่ึ ไมร่ จู้ กั ชายวา่ เปน็ มนษุ ยส์ ามญั อยา่ งเดยี วกบั ตน เหน็ ชาย
เปน็ คนอัศจรรยเ์ กินเหตุไปเทา่ น้นั ถ้าปล่อยใหไ้ ดม้ ีโอกาสสมาคมกันเสยี แล้วกจ็ ะคลายความตื่นเตน้
เห็นชายเปน็ ตวั อะไรทปี่ ระหลาด” (มงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัว, 2504: 100)

สบื เนอ่ื งจากการสง่ เสรมิ แนวความคดิ “การเขา้ สมาคม” สำ� หรบั ผหู้ ญงิ อยา่ งสมำ่� เสมอ ในทสี่ ดุ
กระแสดังกล่าวก็มีความแพร่หลายรวมถึงได้ผลตอบรับอย่างดีเกินคาด ครอบครัวข้าราชการและ
คหบดตี า่ งๆ เรมิ่ ใหบ้ ตุ รสาวของตนออกจากบา้ นไปเขา้ รว่ มการสมาคมตามงานเลยี้ งสงั สรรค์ งานสโมสร
เล่นกีฬา หรือชมมหรสพสถานท่ีต่างๆ ท�ำให้หญิงสาวได้พบปะพูดคุยกับผู้ชาย รวมถึงในบางงาน
ยังมีการเตน้ รำ� ด้วยกนั กิจกรรมทกี่ ล่าวมาส่งผลใหผ้ ู้ชายกับผหู้ ญิงมีความใกล้ชดิ กนั มากขน้ึ กว่าเดมิ

พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 131

ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะของหนมุ่ สาวสมยั ใหมใ่ นโลกตะวนั ตก ชว่ งเวลานเี้ องผชู้ ายจงึ เรมิ่ ตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั
ในการเรยี นรวู้ ฒั นธรรมและมารยาทแบบตะวนั ตกของผหู้ ญงิ มากขนึ้ ขณะเดยี วกนั พวกเธอทง้ั หลาย
กไ็ ดร้ บั การสนบั สนนุ ใหฝ้ กึ หดั เขา้ สมาคม พรอ้ มทงั้ ดำ� เนนิ ชวี ติ ตามวถิ ปี ฏบิ ตั แิ บบสาวตะวนั ตก สงั คมไทย
ช่วงทศวรรษ 2460-2470 จงึ เกิดค่านยิ มแบบใหม่ขน้ึ มาคือการส่งบุตรสาวไปเรียนในต่างประเทศ
โดยมจี ดุ ประสงคห์ ลกั ใหไ้ ปเรยี นรคู้ ลกุ คลกี บั ความเปน็ สาวสมยั ใหมแ่ บบตะวนั ตก เพอ่ื ทเ่ี มอื่ กลบั มาแลว้
จะสามารถเขา้ สมาคมอยา่ งเชดิ หนา้ ชตู า เปน็ สาวทนั สมยั มรี สนยิ มหรู และมองเหน็ ชอ่ งทางในการเลอ่ื น
ฐานะทางสงั คม ประกอบกบั ผชู้ ายชนั้ สงู ในสงั คมไทยเองกม็ คี วามคาดหวงั รวมถงึ ปรารถนาจะไดภ้ รรยา
ที่มีความรู้เร่ืองการสมาคม เปี่ยมด้วยเสน่ห์ในลักษณะแบบสาวตะวันตก การส่งหญิงไทยไปเรียน
ตา่ งประเทศจงึ เปน็ การตอบสนองความตอ้ งการของสงั คม ผหู้ ญงิ จำ� เปน็ ตอ้ งแสวงหาความรเู้ พม่ิ มากขนึ้
กว่าเดิม มิใช่แค่วิชางานบ้านงานเรือนเท่านั้น แต่จะต้องรู้จักปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกสมัยใหม่
ทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป จงึ จะสามารถสง่ เสรมิ หนา้ ตาทางสงั คมของสามไี ด ้ การเดนิ ทางไปเรยี นตา่ งประเทศ
เสมอื นเปน็ การไป “ชบุ ตวั ” เพอื่ กลบั มาแลว้ จะไดม้ คี คู่ รองทเี่ หมาะสม ปรากฏการณด์ งั กลา่ วถกู สะทอ้ น
ผา่ นบทความ “ตามสมยั ” ของ รามจิตติ ไวว้ า่

ในระหว่างเวลาท่ีข้าพเจ้าแรกไปเมืองนอกกับเวลาน้ี ปีได้ล่วงมาแล้วถึง 29 ปี และได้มี
การเปลย่ี นแปลงมากอยา่ งนา่ อศั จรรยใ์ นความคดิ ของชาวเรา แทนทจ่ี ะกลวั การไปยโุ รป แตอ่ ยากไปจน
เหลอื เกนิ คอื จำ� พวกทนี่ กึ ถงึ การไปเรยี นเมอื งนอกหรอื การสง่ บตุ รไ์ ปเมอื งนอกเสยี กอ่ น แลว้ จง่ึ คดิ ถงึ เหตุ
ที่จะแสดงให้ปรากฏความจ�ำเป็นที่ต้องไป ข้าพเจ้าได้เคยพบมาแล้วหลายรายที่ตอบไม่ถูกเลยว่า
ตนต้ังใจจะไปศึกษาวิชาใด และบิดาของเด็กบางคนก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ! ใช่แต่เด็กชายเท่านั้น
ทไ่ี ปเมอื งนอก สมยั นเี้ ดก็ หญงิ กม็ ไี ปกนั หลายรายแลว้ เดก็ หญงิ นน้ั บดิ ามารดากลา่ ววา่ จะใหไ้ ปเรยี น
เปนครบู ้าง เปนนางพยาบาลบา้ ง ทซี่ ่ือตรงทส่ี ดุ บอกวา่ จะใหไ้ ปเรยี นเปนแม่เรอื น นแี่ หละ ขา้ พเจ้า
เห็นว่าซื่อจริง จึงควรชม เพราะความจริงน้ันบิดามารดาทุกคนจะต้องปรารถนาให้ลูกสาวของตน
มีโอกาสหาสามีได้ดีท่ีสุดท่ีจะหาได้ และใครๆ ก็ย่อมเห็นอยู่ว่า ตามสมัยนิยมในปัตยุบันนี้ผู้ชาย
ตอ้ งการหาภรรยาทพ่ี ดู ภาษาตา่ งประเทศได,้ เขา้ สมาคมไดแ้ ละ-ขอ้ สำ� คญั ทส่ี ดุ -เตน้ รำ� เปน การเรยี น
เปนแม่เรือนในกรงุ สยามที่ไหนจะไดค้ ุณสมบัติเหล่านี้เพยี งพอได้

แตก่ ารนกึ ไปเมอื งนอกเสยี กอ่ นแลว้ จง่ึ นกึ เหตหุ รอื ความมงุ่ หมายขน้ึ ทหี ลงั เชน่ น้ี ไดเ้ คยเปนเหตุ
ใหผ้ ดิ เพยี้ นไปจากทกี่ ะไวเ้ ดมิ หลายราย....สว่ นผหู้ ญงิ ทไ่ี ดเ้ คยไปเมอื งนอกมาแลว้ โดยมากเมอื่ กลบั
มาแล้วก็ได้มาท�ำการสมรสแลเปนแม่เรือน แต่หญิงท่ีไม่ได้ไปศึกษาที่เมืองนอกก็ได้ท�ำการสมรส
และเปนแม่เรือนเหมือนกัน ฉะน้ันข้าพเจ้าบ้าพอท่ีจะอยากถามว่าเขาส่งลูกไปเมืองนอกท�ำไมกัน ?
(รามจติ ติ, 2465: 79-80)

ตลอดชว่ งทศวรรษ 2460 จนถงึ ตน้ ทศวรรษ 2470 สงั คมไทยตน่ื ตวั ตอ่ การสง่ ผหู้ ญงิ ไปเรยี น
ต่างประเทศอย่างมาก เม่ือนักเรียนสาวส�ำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนสตรีช้ันน�ำแล้ว ก็มักจะถูกส่ง
ไปเรียนต่อท้ังในยุโรปและประเทศอาณานิคมใกล้เคียง ดูเหมือนว่า สิ่งท่ีหญิงไทยส่วนใหญ่นิยม
เลือกไปศึกษาจากเมืองนอกคือ วิชาการเรือนและการเข้าสมาคม โดยจะเข้าเรียนในสถานศึกษา
ประเภทท่ีเรียกว่า Finishing School อันได้แก่ โรงเรียนคอนแวนต์ต่างๆ ท้ังนี้ก็เพ่ือเตรียมตัว
กลับมาเป็น “แม่เรือนสมัยใหม่” หรือภรรยาท่ีมีลักษณะเป็นสาวแบบตะวันตกตามความคาดหวัง
ในอุดมคติของผู้ชายไทยยุคน้ัน ช่วงทศวรรษ 2460-2470 จึงเป็นห้วงเวลาท่ีสังคมไทยอบอวล
ไปดว้ ยกลน่ิ อายของ “สาวนำ้� เคม็ ” ฟุง้ กระจายไปทว่ั เลยทเี ดียว

132 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

“สาวน้�ำเค็ม” ท่ีเคยเดินทางไปเรียนวิชา
การเรอื นในทวปี ยโุ รปคนหนงึ่ ทมี่ เี รอื่ งราวนา่ สนใจยงิ่ คอื
นางสาวเลก็ คณุ ะดลิ ก หรอื ภายหลงั คอื คณุ หญงิ เลขา
อภัยวงศ์ บุตรีพระยาอรรถการประสิทธิ์ (วิลเลียม
แอลเฟรด คณุ ะดลิ ก) นกั กฎหมายเชอ้ื สายสงิ หลผเู้ ลอ่ื งชอ่ื
คร้ันเมื่อเธอส�ำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมช้ันปีที่ 8 จาก
โรงเรยี นราชนิ ใี นปพี ทุ ธศกั ราช 2464 แลว้ บดิ าปรารถนา
จะให้เข้าเรียนต่อในแผนกอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั แตด่ ว้ ยขนบธรรมเนยี มสมยั นนั้ ไมย่ อมให้
ชายและหญิงเรียนหนังสือร่วมกัน เธอจึงไม่สามารถ
เขา้ เรยี นได ้ ตอ่ มาทางครอบครวั สง่ นางสาวเลก็ ไปเรยี น
ตอ่ ทป่ี ระเทศองั กฤษโดยใหต้ ดั สนิ ใจเลอื กวชิ าทจ่ี ะศกึ ษา
ด้วยตนเอง นางสาวเล็กเลือกเรียนวิชาการเรือนและ
การดนตรี อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเดินทางถึงอังกฤษ
กลับถูกกีดกันไม่ให้เข้าเรียนในโรงเรียนสตรีชั้นสูง
นางสาวเลก็ คณุ ะดลิ ก หรอื คณุ หญงิ เลขา อภยั วงศ์ เพราะมผี วิ คลำ้� และดวงหนา้ ละมา้ ยชาวตะวนั ออกกลาง
(ทม่ี า: หนงั สอื อนสุ รณเ์ นอื่ งในงานพระราชทาน ขณะท่ีชาวอังกฤษสมัยน้ัน ยังเป็นพวกถือผิว “ดิฉัน
เพลงิ ศพคณุ หญงิ เลขา อภยั วงศ)์ อยู่ท่ีอังกฤษ 1 ปี ระหว่างนั้นพยายามหาโรงเรียน

Finishing School เข้าเรยี นต่อ แต่ไม่มีโรงเรียนไหนรับ บางโรงเรยี นบอกจะรับ พอถงึ เวลาบอกเตม็
บางเวลาไปถงึ แลว้ บอกเปน็ ชาวเอเชยี ไมร่ บั อยา่ งน้ี จนพแี่ ดงฉนุ ขน้ึ มาเลยพาขา้ มมาฝรง่ั เศษ เพอื่ หา
โรงเรยี นท่ีฝรั่งเศษให้นอ้ งสาวเรยี น” (เลขา อภยั วงศ์,2526: 30) ในท่ีสุด นางสาวเล็กจงึ ได้ไปเรยี นท่ี
ฝรัง่ เศส รวมเวลาที่อยใู่ นยโุ รป 2 ปี 6 เดือน
อกี ดนิ แดนหนง่ึ ซง่ึ ปรากฏหลกั ฐานวา่ ไดอ้ า้ แขนตอ้ นรบั “สาวนำ้� เคม็ ” จากเมอื งไทยไปเรยี น
วิชาการเรือนกนั เปน็ จำ� นวนมากน่ันคือ ปีนงั อนั เปน็ ความนิยมอย่างสูงในกลมุ่ ขา้ ราชการและคหบดี
ทจ่ี ะสง่ บตุ รสาวของพวกตนไป เพราะมคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งในฐานะ
อาณานิคมขององั กฤษ ท้ังยังมีคา่ ใชจ้ า่ ยทไี่ มแ่ พงนัก กลา่ วได้วา่
ท่ีโรงเรียนคอนแวนต์ของปีนังทุกช้ันปีจะต้องมีนักเรียนหญิง
ชาวไทยเรยี นอยดู่ ว้ ย ดงั กรณขี องออ้ ม จรรยงค์ (บนุ นาค) บตุ รสาว
ของพระยาสรุ พนั ธเ์ สนี (อนิ้ บนุ นาค) สมหุ เทศาภบิ าลมณฑลราชบรุ ี
ท่เี ม่อื เธอเรียนจบจากโรงเรยี นในจงั หวดั เพชรบุรีแลว้ ไดเ้ ดินทาง
ไปเข้าเรียนต่อ ณ โรงเรียนโฮลี่อินเฟนยีซัลคอนแวนต์ โรงเรียน
ประจ�ำส�ำหรับสตรีที่ปีนัง “พ.ศ. 2469 ข้าพเจ้าเรียนส�ำเร็จจาก
โรงเรียนพอดี ลูกๆ ของเพื่อนคุณพ่อต่างนิยมไปเรียนหนังสือที่
ปนี งั ขา้ พเจ้าเปน็ ผหู้ นง่ึ ทีไ่ ปกบั เขาดว้ ย เพราะสมัยน้นั ถา้ ใครได้
ไปเรยี นทปี่ นี งั กน็ บั วา่ โกท้ เี ดยี ว” อกี ทง้ั ในโรงเรยี นดงั กลา่ วยงั เตม็
ไปดว้ ยนกั เรยี นหญงิ ทถ่ี กู สง่ ไปจากเมอื งไทย เหน็ ไดจ้ ากความทรงจำ� ออ้ ม จรรยงค์ (บนุ นาค)
(ทม่ี า: หนงั สอื บนั ทกึ ของออ้ ม จรรยงค์
(บุนนาค))

พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 133

ของออ้ มทว่ี ่า”ทโ่ี รงเรยี นปนี งั ทกุ หอ้ งทกุ ช้นั มนี กั เรยี นไทยอยปู่ ระจำ� ชนั้ ๆ ละหนงึ่ คน” และ “นกั เรยี น
ไทยทไ่ี ปจากกรงุ เทพฯ จากภาคเหนอื จากภาคกลาง และภาคใตร้ วม 21 คน เปน็ คนไทย 16-17 คน
เปน็ ลกู ครงึ่ ฝร่งั 3-4 คน” (อ้อม จรรยงค,์ 2531: 43-8)

หมอ่ มหลวงบญุ เหลือ เทพยสุวรรณ
(ทม่ี า: http://www.arts.su.ac.th)

หม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ ก็เป็นหญิงไทยอีกคนที่เคยเดินทางไปเรียนที่ “โฮลี่
อินเฟนยซี ัลคอนแวนต”์ หรอื Convent of the Holy Infant Jesus ณ เมืองปนี ัง เมือ่ ปพี ุทธศกั ราช
2465 โดยหม่อมหลวงบุญเหลือเล่าว่าที่โรงเรียนดังกล่าวนอกจากจะสอนวิชาการสมาคมแล้ว
ยงั สอนงานศิลปะและการทำ� ดอกไมแ้ บบใหมด่ ้วย (บญุ เหลอื เทพยสุวรรณ, 2516: 31)

แมว้ ่าค่านยิ มการเรยี นตา่ งประเทศจะก�ำลงั เฟื่องฟูในช่วงทศวรรษ 2460-2470 แตก่ ม็ เี สยี ง
วพิ ากษว์ จิ ารณผ์ า่ นทศั นะของชนชนั้ นำ� ดว้ ยเชน่ กนั โดยแสดงความเหน็ วา่ การที่ “นกั เรยี นนอก” พากนั
สนใจเรียนรู้เร่ืองราวจากต่างแดนอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น ท�ำให้พวกเขาหลงลืมท่ีจะเอาใจใส่เรื่องราว
เกย่ี วกบั บา้ นเมอื งของตนเอง พระวจิ ารณข์ องหมอ่ มเจา้ พนู พศิ มยั ดศิ กลุ ถอื เปน็ ตวั อยา่ งหนง่ึ ในเรอ่ื งนี้

เมือ่ ความปรารถนาอันแรงกล้าในเร่ืองไปเรียนนอกขึน้ ถึงขีดสดุ แลว้ […] ความรู้ความนยิ ม
ในเรื่องต่างประเทศก็เจริญอย่างหน้ามืด ความเอาใจใส่ท่ีจะรู้เรื่องบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
กส็ ูญสนิท ถ้าใครกล้าสะกิดกแ็ ปลว่าเปน็ คนเรอ่ ร่าเกา่ เกินสมยั (พูนพิศมยั ดศิ กลุ , 2557: 115)

สำ� หรบั กรณขี องนกั เรยี นหญงิ ทไ่ี ปเรยี นวชิ าการเรอื นตา่ งประเทศ กถ็ กู วพิ ากษว์ จิ ารณใ์ นเชงิ
เสยี ดสวี า่ มจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ทกี่ ลบั มาแลว้ จะมฐี านะทางสงั คมทดี่ ขี นึ้ หรอื สามารถหาสามชี นั้ สงู ไดจ้ าก
การเขา้ สมาคม ดังท่พี บรอ่ งรอยจาก “ดสุ ติ สมิต” ว่า

จ.ส. - - ...ฉนั ไดย้ นิ เขาลอื กนั วา่ จะมคี นไปกบั เจา้ คณุ บรุ มี ากมาย...การไปเมอื งนอกประโยชน์
ทไี่ ดไ้ ปชบุ ตวั เปน็ ทองอรา่ มมาสำ� หรบั ตบตาคน....ฉนั ตอ้ งการไปเรยี นนอกเปน็ พอ่ เรอื นคกู่ บั แมเ่ รอื นนะ่ ,
ไม่เขา้ ใจฤา?

ม.ส. - - ...อวุ ะ ! เรยี นวชิ าอยา่ งนน้ั กต็ อ้ งไปเรยี นเมอื งนอกดว้ ยฤา ?
จ.ส. - - ...กท็ ผี หู้ ญงิ ทำ� ไมเขาไปเรยี นเปน็ แมเ่ รอื นได้ ฉนั จะไปเรยี นเปน็ พอ่ เรอื นบา้ งไมไ่ ดฤ้ า ?
ม.ส. - - ...ผหู้ ญงิ อะไรจะไปเรยี นแมเ่ รอื นทยี่ โุ รป ออกจะชอบกลอยู่
จ.ส. - - ...ทำ� ไมจะไมม่ ี ผหู้ ญงิ ไทยทไ่ี ดไ้ ปศกึ ษาวชิ าแมเ่ รอื นมาจากเมอื งนอกมแี ลว้ เปน็ หลายคน
ม.ส. - - ...แลว้ ไดป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ งไหม?
จ.ส. - - ...ก็ไดก้ ลับมาใชว้ ิชาทศี่ กึ ษาแล้วอยู่ทกุ คนหรือแทบทกุ คน

134 พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

ม.ส. - - ...ทำ� ไมตอ้ งมหี รอื ด้วย?
จ.ส. - - ...เพราะบางคนกย็ งั ไม่มผี วั และบางคนก็เออ กเ็ ปนแตม่ ีผวั แตไ่ มไ่ ด้เปนแมเ่ รือน

( “ดุสติ สมติ ” อา้ งถึงใน เพชรสภุ า ทัศนพันธ์, 2542: 137-8)
อย่างไรก็ตาม หญิงไทยที่เดินทางไปศึกษาต่างประเทศมิได้มีจุดประสงค์เพ่ือเรียนรู้วิชา
การเรอื นและการเขา้ สมาคมเพยี งอยา่ งเดยี วเทา่ นนั้ ยงั ปรากฏความพยายามของหญงิ ไทยอกี กลมุ่ หนงึ่
ท่ีเดินทางไปเมืองนอกเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าทางวิทยาการหรือน�ำเอาความรู้พิเศษเฉพาะทาง
มาใช้ในการประกอบวิชาชีพ หากจะมองว่าเป็นการไปเพื่อชุบตัวแล้ว ก็ถือว่าเป็นชุบตัวให้ตนเอง
มคี วามรคู้ วามสามารถทดั เทยี มกบั นกั เรยี นนอกชาย ทงั้ ยงั แสดงใหเ้ หน็ วา่ หญงิ ไทยเองกม็ สี ตปิ ญั ญา
ไม่ด้อยไปกว่าหญิงชาวตะวันตกเลย แต่มิใช่เป็นการไปชุบตัวเพ่ือกลับมาตอบสนองความคาดหวัง
และความตอ้ งการของผ้ชู ายในสงั คมไทยเป็นสำ� คญั
“สาวน้ำ� เคม็ ” กับการแสวงหาความรสู้ มยั ใหม่
หญิงไทยท่ีไปแสวงหาวิชาความรู้ในต่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่มักจะไปเรียนวิชาชีพโดยม ี
จุดประสงคเ์ พื่อมาปฏิบัติงานในส่วนท่ีสงั คมไทยยงั ขาดแคลนผู้เช่ียวชาญ วิชาชพี ส�ำคญั ซ่ึงปรากฏ
หลักฐานว่ามีการส่งผู้หญิงไปศึกษาท่ีต่างประเทศในระยะแรกๆ ก็อย่างเช่น วิชาการพยาบาล และ
วิชาครู ท้ังนี้เป็นเพราะเมืองไทยในช่วงแรกๆ มีสถานศึกษาวิชาชีพอยู่เพียงสองแห่งคือ โรงเรียน
พยาบาล และโรงเรยี นฝกึ หัดคร ู หากจะตอ่ ยอดวชิ าความรู้ดงั กล่าวในระดบั สงู ขนึ้ ไปกจ็ �ำเปน็ จะต้อง
เดินทางไปศกึ ษาต่อท่เี มอื งนอก
ในสว่ นของวชิ าพยาบาลนน้ั ดงั ไดก้ ลา่ วไปแลว้ ถงึ “แมเ่ ตอ๋ ” วา่ เปน็ หญงิ ไทยคนแรกทเี่ ดนิ ทางไป
สหรฐั อเมรกิ า ทง้ั ยงั ไดเ้ ขา้ เรยี นวชิ าพยาบาลผดงุ ครรภแ์ บบใหม่ รวมถงึ กลบั มาสอนสง่ิ ทต่ี นรำ�่ เรยี นมา
แกห่ ญงิ ไทยดว้ ย หลงั จากนน้ั อาจมกี ารสง่ หญงิ ไทยไปเรยี นวชิ าพยาบาลเพมิ่ เตมิ ในเมอื งนอกอยบู่ า้ ง
เชน่ กนั แตม่ ไิ ดป้ รากฏขอ้ มลู อยา่ งชดั เจนนกั จวบจนชว่ งปลายทศวรษ 2460 การศกึ ษาทางดา้ นพยาบาล
ของหญิงไทยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกก้ีเฟลเลอร์ โดยมอบทุนแก่นักเรียนพยาบาลไทยให้
เดินทางไปศกึ ษาตอ่ ยงั ต่างประเทศ ส�ำหรบั นักเรียนพยาบาลรนุ่ แรกทไี่ ด้รบั ทุนมีจำ� นวน 4 คน ไดแ้ ก่

1. นางสาวศรีวิไล สิงหเนตร ได้รบั ทุนไปศึกษาวชิ าการพยาบาลท่ี Peking Union
Medical College ณ กรงุ ปกั ก่งิ ประเทศจีน

2. นางสาวเจริญ กฤษนมั พัก ไดร้ ับไปศึกษาวชิ าโภชนาการที่ฟิลปิ ปินส์
3. นางสาวสอง้ิ อดิเรกสาร ไดร้ ับทนุ ไปศกึ ษาวิชาการพยาบาลที่สหรฐั อเมริกา
4. นางสาวอบ จาตุรงคกลุ ไดร้ ับทุนไปศึกษาวชิ าการพยาบาลท่ีสหรัฐอเมรกิ า

(ณัฏฐวดี ชนะชยั , 2530: 64)
ไมเ่ พยี งแตว่ ชิ าพยาบาลเทา่ นน้ั ยงั มกี ารสง่ หญงิ ไทยไปเรยี นวชิ าครใู นตา่ งประเทศดว้ ย ปรากฏ
หลกั ฐานวา่ โรงเรยี นราชนิ ไี ดส้ ง่ นกั เรยี นหญงิ จำ� นวน 4 คนไปศกึ ษาทป่ี ระเทศญป่ี นุ่ เพอื่ ฝกึ หดั วชิ าความ
รดู้ า้ นการฝมี อื แลว้ กลบั มาเป็นครสู อนในโรงเรยี น (เปรมสริ ี ชวนไชยสทิ ธ์,ิ 2539: 22-23) ตอ่ มาชว่ ง
ทศวรรษ 2460-2470 กย็ งั ปรากฏวา่ มหี ญงิ ไทยสนใจไปเรยี นวชิ าครใู นตา่ งแดน อยา่ งเชน่ กรณขี องนางสาว
เกอ้ื สาลิคุปต์ บุตรสาวของพระยาภกั ดนี ฤเบศร์ หลงั จากสอบไล่ได้ ม.8 จากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลยั
เมอื่ พทุ ธศกั ราช 2468 แลว้ เธอไดอ้ อกเดนิ ทางไปศกึ ษาวชิ าครทู โี่ รงเรยี น Silliman ในประเทศฟลิ ปิ ปนิ ส์
เปน็ เวลา 4 ปี (หจช, [2] ศธ. 20.2/76 อา้ งถงึ ใน เปรมสริ ี ชวยไชยสทิ ธ,ิ์ 2539: 86)

พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 135

นอกเหนอื จากวชิ าชพี ทง้ั สองขา้ งตน้ แลว้ หญงิ ไทยทเี่ ดนิ ทางไปตา่ งประเทศบางสว่ นยงั เลอื ก
ศึกษาวิชาพิเศษเฉพาะทางที่ไม่สามารถหาเรียนได้ในเมืองไทยช่วงทศวรรษ 2460 นั่นคือวิชา
การแพทย ์ ผทู้ ส่ี นใจศกึ ษาแขนงวชิ าดงั กลา่ วจะตอ้ งเดนิ ทางไปตา่ งประเทศเทา่ นนั้ โดยเฉพาะประเทศ
ในทวีปยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ส�ำหรับหญิงไทยคนแรกท่ีได้เรียน
วชิ าการแพทยม์ ชี อ่ื วา่ นางสาวมากาเรต็ ลิน เซเวียร์ ซ่ึงต่อมากลาย
เป็นคุณหญิงศรีวิศาลวาจาหรือที่เรียกกันว่าคุณหมอลิน เธอเป็น
บตุ รขี องพระยาพิพัฒนโ์ กษา (เซเลสตโิ น ซาเวยี ร)์ ซง่ึ รบั ราชการ
กระทรวงต่างประเทศ เริ่มแรกผู้เป็นบิดาได้ส่งนางสาวมากาเร็ต
ไปเรียนทโี่ รงเรยี น The Holy Sacred Heart of Jesus Convent
ของสิงคโปร์ ต่อมาเมอื่ พระยาพพิ ัฒน์โกษาเดนิ ทางไปรบั ราชการ
ในฐานะอัครราชทูตประจ�ำประเทศในยุโรปจึงได้ย้ายบุตรสาว
ไปเรียนที่ Clark’s Commercial College ณ กรุงลอนดอน
ประเทศองั กฤษ แลว้ กเ็ ขา้ เรยี นตอ่ Matriculation Course ซง่ึ เปน็
หลักสูตรส�ำหรับเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย จากน้ันจึงเข้าเรียน คณุ หญิงศรวี ศิ าลวาจาหรือคณุ หมอลนิ
วิชาแพทยท์ ี่ London School of Medicine for Women และ (ทม่ี า: หนงั สอื ผู้หญิงระดับยอด)
ทโ่ี รงพยาบาล Royal Free ตามลำ� ดบั (ลาวัณย์ โชตามระ, 2525: 77-8)
ไม่เพียงแตบ่ ุตรสาวข้าราชการชน้ั พระยาอย่างนางสาวมากาเร็ต ลิน เซเวยี รเ์ ท่านนั้ ทีส่ นใจ
วชิ าการแพทย ์ บตุ รสาวคหบดจี ากลำ� ปางคนหนงึ่ กป็ รารถนาทจ่ี ะเรยี นวชิ าแพทยเ์ ชน่ เดยี วกนั หากกลบั
ต้องเผชิญอุปสรรคนานาด้วยความที่เธอเป็นผู้หญิง หญิงไทยคนดังกล่าวมีชื่อเสียงเป็นท่ีรู้จักกัน
ภายหลงั ในนามวา่ แพทยห์ ญงิ คณุ เพยี ร เวชบลุ หรอื “หมอเพยี ร” เรอ่ื งราวของเธอนา่ สนใจในแงท่ วี่ า่
เปน็ ความพยายามอตุ สาหะอย่างยง่ิ ที่ตอ่ สู้เพอ่ื ใหไ้ ด้เรยี นรใู้ นสิง่ ท่ตี นเองสนใจ นับเป็น “สาวนำ�้ เค็ม”
คนหนง่ึ ทค่ี วรยึดเปน็ เย่ียงอย่าง
เม่ือส�ำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 จากโรงเรียนเซนต์โยแซฟคอนแวนต์ในปี
พทุ ธศกั ราช 2458 แลว้ นางสาวเพยี รตอ้ งการสมคั รเขา้ โรงเรยี นแพทยาลยั ศริ ริ าชพยาบาล แตไ่ มไ่ ดร้ บั
การยินยอมให้เข้าศึกษาเพราะเมืองไทยสมัยนั้นยังไม่มีแพทย์เป็น
ผหู้ ญงิ เลย ดว้ ยเหตนุ เ้ี ธอตอ้ งเบนเขม็ ไปสมคั รเปน็ ครสู อนทโ่ี รงเรยี น
อัสสัมชัญคอนแวนต์และโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์อยู่เกือบ
2 ปี ต่อมาได้เดินทางไปเรียนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนเซนต์ปอล
คอนแวนต์ เมอื งไซง่ อ่ น ประเทศเวยี ดนาม โดยไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื
จากนางชีคาธอลิก จากนั้นตามเสด็จพระองค์เจ้าหญิงประภาวสิต
พระชายาในกรมพระกำ� แพงเพชรอคั รโยธินเดินทางไปยโุ รป แล้ว
เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนลีเซบูมาเฟมองต์ ประเทศฝร่ังเศสจนจบ
ช้ันมัธยมปีท่ี 8 นางสาวเพียรได้หางานท�ำพร้อมทั้งสอบชิงทุน
การศึกษาต่างๆ เช่น ทุนสมเด็จพระนางเจ้าร�ำไพพรรณี และ
ทนุ มหดิ ลเพอื่ จะไดม้ เี งนิ เรยี นตอ่ กวา่ จะไดเ้ ขา้ เรยี นโรงเรยี นแพทย์
กว่าจะส�ำเร็จการศึกษาจนได้รับปริญญาและประกาศนียบัตร แพทย์หญงิ คณุ เพียร เวชบุล
จากมหาวทิ ยาลยั ปารีส เธอตอ้ งใช้เวลารวมทัง้ สิน้ 15 ปี (อุทยั ศรี หรอื “หมอเพียร”
คอ้ คงคา, 2529: 49-50)
(ทมี่ า: http://pirayanavin.org)

136 พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

เหน็ ไดว้ ่า ช่วงเวลากอ่ นเปลย่ี นแปลงการปกครอง พุทธศักราช 2475 นัน้ การเดนิ ทางไป
ศกึ ษาตา่ งประเทศของหญงิ ไทยคอ่ นขา้ งมขี ้อจำ� กัดและยงั ไมไ่ ดร้ บั การส่งเสรมิ เท่าทีค่ วร โดยเฉพาะ
การไปศึกษาความรู้พิเศษเฉพาะทางแล้ว ดูเหมือนเป็นเร่ืองยากและต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่ง
ดังเช่นกรณีของนางสาวเพียร ส่วนการไปเรียนวิชาชีพ ถึงแม้จะมีการสนับสนุนในส่วนของเงินทุน
การศึกษา แต่ก็ถือว่ามีหญิงไทยจ�ำนวนน้อยมากที่ได้ไปเรียนเมืองนอกเพื่อกลับมาประกอบวิชาชีพ
แมว้ า่ ชว่ งตน้ ทศวรรษ 2470 จะมแี นวโนม้ ของหญงิ ไทยทไ่ี ดร้ บั การศกึ ษาจากตา่ งประเทศมากขนึ้ แต่
กอ็ ยใู่ นส่วนของแวดวงชั้นสงู อย่างกรณีของหมอ่ มเจา้ หญิงกลั ป์ยางค์สมบตั ิ กติ ยิ ากร ทีต่ ิดตามพระ
บดิ าคือพระองคเ์ จา้ กติ ิยากรวรลกั ษณ์ไปราชการในปีพุทธศักราช 2467 แลว้ ต่อมาได้เข้าศึกษาทาง
ด้านประวัติศาสตร์ในส�ำนักซอมเมอร์วิลล์คอลเลจ (Somerville College) ณ มหาวิทยาลัย
อ๊อกซฟอร์ดเมื่อพุทธศักราช 2470 จนเป็นหญิงไทยคนแรกที่ส�ำเร็จปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัย
ดงั กล่าว (อารยิ า สินธ,ุ 2554: 103-4) ครัน้ ต่อมาภายหลงั เปลี่ยนแปลงการปกครอง พุทธศักราช
2475 ผู้หญิงทั่วไปจึงมีโอกาสในการไปเรียนต่างประเทศมากกว่าเดิมเพราะได้รับการส่งเสริมจาก
รัฐบาล ดังปรากฏนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงที่เป็นผู้หญิงคนแรกคือ นางสาวสายหยุด เก่งระดมยิง
(ลาวัณย์ โชตามระ, 2525: 106-7) ขณะที่กระแสแนวความคิด “การเข้าสมาคม” ซึ่งแพร่หลาย
ในสงั คมไทยชว่ งทศวรรษ 2460-2470 อาจจะเร่งเรา้ ใหม้ ีการส่งผู้หญิงออกไปเรียนวชิ าการเรอื นใน
ต่างประเทศมากขึ้น แต่ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ในแง่ลบว่าเป็นการไปชุบตัวเพ่ือกลับมาเลื่อนฐานะ
ทางสังคม ส่งผลให้ข้าราชการบางส่วนลงั เลใจที่จะสง่ บตุ รสาวไปตา่ งประเทศ ดว้ ยเกรงวา่ จะถูกมอง
ในเชงิ เสยี หาย อยา่ งไรกต็ าม ปฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่ ปรากฏการณ์ “สาวนำ้� เคม็ ” ทเ่ี กดิ ขน้ึ นบั เปน็ หมดุ หมาย
ส�ำคัญของความเป็นสาวสมัยใหม่ในสังคมไทย ทั้งในแง่ของการปรับตัวให้เป็นแบบสาวตะวันตก
เพอ่ื “การเขา้ สมาคม” ในกรณขี องหญงิ ไทยทอี่ อกไปเรยี นวชิ าการเรอื นในตา่ งประเทศ และความพยายาม
ทจี่ ะศกึ ษาเรยี นรวู้ ทิ ยาการสมยั ใหมจ่ ากโลกตะวนั ตกในกรณขี องหญงิ ไทยทเ่ี ดนิ ทางไปศกึ ษาวชิ าชพี
หรอื วชิ าพเิ ศษเฉพาะทาง ดงั นนั้ การท่ี “สาวนำ�้ เคม็ ” เดนิ ทางกลบั มายงั เมอื งไทย พวกเธอยงั ไดน้ ำ� เอา
กลิ่นอายความเป็นสาวสมยั ใหม่มาจากโพ้นทะเลมาเผยแพร่ด้วย
บทบาทของ “สาวน้ำ� เค็ม” ต่อสงั คมไทย

แน่นอนว่า “สาวน้�ำเค็ม” หรือหญิงไทยที่ได้เดินทางไปต่างประเทศนั้นเป็นผู้น�ำความเป็น
สาวสมยั ใหมม่ าสสู่ งั คมไทย หากมองยอ้ นไปตงั้ แตเ่ มอื่ ครงั้ ทภี่ รยิ าตดิ ตามสามไี ปรบั ราชการตา่ งแดน
อย่างกรณขี องท่านผ้หู ญิงตลับ, คุณหญงิ อนุ๊ , คณุ หญงิ เลมยี ด รวมถงึ กรณขี องคุณตระกลู ท่ีตดิ ตาม
ครอบครัวออกนอกประเทศต้ังแต่วัยเยาว์ จะเห็นได้ว่าผู้หญิงเหล่านั้นเม่ือกลับมายังเมืองไทยแล้ว
กส็ ามารถตอ้ นรบั แขกเมอื งรวมถงึ เปน็ ลา่ มภาษาเวลาตดิ ตอ่ กบั ชาวตา่ งประเทศไดเ้ ปน็ อยา่ งดี อยา่ งไร
กต็ าม แมว้ า่ หญงิ ไทยทเ่ี อย่ นามมาขา้ งตน้ จะเคยไปสมั ผสั คนุ้ เคยกบั ขนบธรรมเนยี มแบบหญงิ ตะวนั ตก
ทวา่ เมอ่ื กลบั มาใชช้ วี ติ ในเมอื งไทยแลว้ กจ็ ะปฏบิ ตั ติ นตามแบบกลุ สตรไี ทยเดมิ ทเ่ี คยถกู อบรมมา จวบจน
ชว่ งทศวรรษ 2460-2470 การกลบั มาจากเมอื งนอกของหญงิ ไทยจงึ เรมิ่ แสดงใหเ้ หน็ ลกั ษณะความเปน็
สาวสมยั ใหมท่ ไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลมาเมอ่ื ครง้ั ยงั อยใู่ นตา่ งแดนชดั เจนมากขนึ้ กลายเปน็ บทบาทของการนำ� เขา้
ความรู้แบบสากล รสนิยมทนั สมัย รวมถึงแนวคิดและค่านิยมแบบใหม่ต่อสงั คมไทย

บทบาทหนง่ึ ทส่ี ำ� คญั ของหญงิ ไทยทไ่ี ปศกึ ษาในตา่ งประเทศคอื การนำ� เขา้ ความรแู้ ละวทิ ยาการ
แบบสากลมาสใู่ นสงั คมไทย เหน็ ไดจ้ ากก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พทุ ธศักราช 2475 ผหู้ ญิงมี

พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 137

โอกาสประกอบอาชพี ทางราชการไดเ้ พยี งสามประเภทคอื ครู พยาบาล และแพทย์ สองอาชพี แรกยงั
พอจะพบเหน็ ไดท้ ว่ั ไปในสงั คม แตอ่ าชพี หลงั สดุ นน้ั แทบจะหาไมไ่ ดเ้ ลย จวบจนเมอื่ นกั เรยี นนอกหญงิ
อยา่ งนางสาวมากาเรต็ ลนิ เซเวยี ร์ กลบั มาเปน็ แพทยห์ ญงิ คนแรกของเมอื งไทยในปพี ทุ ธศกั ราช 2467
โดยรบั ราชการเปน็ สตู นิ ารแี พทยใ์ นโรงพยาบาลและปฏบิ ตั งิ านทส่ี ขุ ศาลาบางรกั พรอ้ มทง้ั เปดิ คลนิ กิ
ชอื่ รา้ น “อณุ ากรรณ” ทค่ี ลนิ กิ แหง่ นนั้ ยงั มเี ภสชั กรหญงิ ทส่ี ำ� เรจ็ การศกึ ษาจากองั กฤษอกี คนคอื คณุ ฉนั
ผ้เู ป็นพีส่ าวของคุณหมอลิน (ลาวัณย์ โชตามระ,2525: 79-80) นับเปน็ วิทยาการแพทยส์ มยั ใหมท่ ่ี
ถูกน�ำเข้ามายังสังคมไทย โดยเฉพาะทางด้านสูตินารีที่ได้พัฒนามากข้ึนจากการผดุงครรภ์แบบเดิม
ขณะที่การกลับมาของหญิงไทยซึ่งไปเรียนวิชาพยาบาลและวิชาครูก็เช่นกัน เป็นการน�ำเอาความรู้
แบบใหมม่ าถ่ายทอดใหก้ บั นกั เรียนพยาบาลและนักเรยี นฝกึ หดั ครูท่ีเมืองไทย รวมถึงพัฒนาวชิ าชพี
ดงั กลา่ วใหม้ ีความทนั สมัยยงิ่ ขนึ้

การศกึ ษาในตา่ งประเทศนอกจากจะทำ� ใหห้ ญงิ ไทยเรยี นรวู้ ฒั นธรรมและมารยาทแบบตะวนั ตก
รวมถงึ รจู้ กั การเขา้ สมาคมแลว้ ยงั หลอ่ หลอมใหพ้ วกเธอมรี สนยิ มทนั สมยั คอื รสนยิ มแบบสาวสมยั ใหม่
ในโลกตะวนั ตก โดยแสดงออกใหเ้ หน็ ผา่ นเรอื่ งความสวยความงามของพวกเธอ “สาวนำ้� เคม็ ” จะแตง่ กาย
อยา่ งลำ�้ ยคุ ดโู ดดเดน่ สะดดุ ตายงิ่ กวา่ หญงิ ไทยทว่ั ไป ดงั ทท่ี า่ นผหู้ ญงิ มณี สริ วิ รสารบนั ทกึ ถงึ ครขู องเธอ
ซ่ึงเปน็ นกั เรยี นนอกวา่

“…แต่ในบรรดาครูประจ�ำทั้งหมดแล้ว ไม่มีใคร
สมัยใหม่และเก๋ไก๋ล้�ำยุคกว่าครูเล็กซ่ึงเพ่ิงกลับมาจาก
ประเทศฝร่ังเศสและสอนภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษ
ใหแ้ กช่ น้ั มธั ยมปลายทโี่ รงเรยี นเซนตเ์ มรสี ์ ครเู ลก็ เปน็ คนทว้ ม
แตแ่ ตง่ ตวั สวยเสมอ และผดิ กบั ครอู นื่ ๆคอื ชอบใสร่ องเทา้ สน้ สงู
ประมาณ 2 น้วิ และเปน็ เจา้ ของรองเท้าหลายสิบคู่สตี า่ งๆ
ใสส่ บั เปลี่ยนตามวนั เช่น วนั พุธใสร่ องเทา้ สเี ขยี ว วนั ศกุ ร์
ใส่สกี รมท่า ฯลฯ เป็นต้น” (มณี สิรวิ รสาร, 2542: 78-79)

ท่านผู้หญิงมณี สริ ิวรสาร
(ทม่ี า: https://th.wikipedia.org.wiki)

นอกจากการแต่งกายแล้ว การแต่งหน้าของหญิงไทยก็เป็นสิ่งท่ีเพิ่งเกิดขึ้นด้วยการริเริ่ม
ของ “สาวนำ�้ เคม็ ” เพราะไดน้ ำ� เครอ่ื งสำ� อางตดิ มอื กลบั มาจากเมอื งนอกดว้ ย อยา่ งไรกต็ าม พวกเธอ
มไิ ดแ้ ตง่ หนา้ กนั เปน็ เรอ่ื งปกติ แตจ่ ะแตง่ กต็ อ่ เมอ่ื มโี อกาสไปงานราตรสี โมสรในวงสงั คมชาวตา่ งประเทศ
ทง้ั นเ้ี พราะ “สาวนำ�้ เคม็ ” สว่ นใหญย่ งั เปน็ ลกู ผดู้ ที ไี่ ดร้ บั การอบรมเครง่ ครดั การแตง่ หนา้ ของพวกเธอ
จงึ มเี พยี ง “ถอนคิ้วนดิ ทาปากหน่อย และทาแก้มนอ้ ยๆ ท่สี �ำคัญคอื แตง่ ในเวลากลางคืนเท่าน้ัน”
(ลาวัณย์ โชตามระ, 2509: 162-3)

กิจกรรมเพ่อื เสรมิ สวยและบำ� รงุ ความงามยงั เปน็ สง่ิ ที่ “สาวน้�ำเคม็ ” นำ� มาเผยแพรต่ อ่ สงั คม
ไมว่ ่าจะเปน็ เรอ่ื งการรกั ษาผวิ การดดั ผม และการยอ้ มผม รวมถงึ การประกอบอาชพี เสรมิ ความงาม
หลักฐานหนง่ึ ทเ่ี ปน็ เครอ่ื งยืนยนั คือโฆษณาหนงั สือพมิ พ์สมัยรัชกาลท่ี 7 เร่ือง ครมู ติ รหญงิ ซง่ึ ไดร้ บั
ประกาศนียบัตรพิเศษส�ำเร็จวิชาอาชีพเสริมสวยจากวิทยาลัยชั้นสูงในประเทศฟิลิปปินส์ (สุพัตรา
กอบกิจสขุ สกุล, 2531: 27)

138 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

แนวคิดและคา่ นิยมแบบใหมเ่ ป็นอกี สง่ิ หนง่ึ ที่ “สาวน�้ำเค็ม” ใหค้ วามสำ� คญั มาก และน�ำมาสู่
การดำ� เนนิ ชวี ติ ในสงั คมไทยดว้ ย โดยเฉพาะแนวคดิ เรอื่ งการเลอื กคคู่ รองดว้ ยตนเอง พวกเธอไมเ่ หน็ ดว้ ย
กบั การแตง่ งานแบบคลมุ ถุงชนทีป่ รากฏตามจารตี มาแต่ดั้งเดิม จงึ เร่มิ ทจ่ี ะเรียกรอ้ งสทิ ธิในการเลือก
ผู้ทจ่ี ะมาเป็นสามีไดด้ ว้ ยตนเอง เฉกเช่นเรือ่ งราวของหม่อมเจ้าหญงิ ฤดีวรวรรณ วรวรรณ พระธิดา
ในพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหม่ืนนราธิปประพันธ์พงศ์ ซ่ึงทรงได้รับการศึกษามาจากประเทศอังกฤษ
และมีค่านิยมการเลือกคู่ครองตามแบบของประเทศที่ตนเคยได้ไปศึกษามา ท่านหญิงปฏิเสธผู้ชาย
ที่ทางผู้ใหญ่จัดหามาให้เสกสมรสด้วย โดยบอกกับพระบิดาว่าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานดังกล่าว
(ฤดวี รวรรณ วรวรรณ,2544: 92) สง่ิ นส้ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ แนวคดิ ของสาวสมยั ใหมท่ ก่ี ลา้ ตดั สนิ ใจปฏเิ สธ
ต่อสิ่งตนไมเ่ หน็ ดว้ ย แม้จะขดั ตอ่ กรอบเกณฑ์ดง้ั เดมิ ในประเทศของตนเอง
สรุป

จากเรอื่ งราวของ “สาวนำ�้ เคม็ ” ทนี่ ำ� เสนอมาตลอดทงั้ บทความนนั้ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ กลมุ่ ผหู้ ญงิ
ประเภทหนงึ่ ในสงั คมทด่ี เู หมอื นวา่ จะมไิ ดส้ ลกั สำ� คญั นกั รวมถงึ ยงั ไมค่ อ่ ยถกู กลา่ วถงึ และไมป่ รากฏวา่
มใี ครสนใจศึกษาถึงเรื่องราวของพวกเธอ แต่หากลองพิจารณาให้ดีแลว้ จะพบวา่ พวก “สาวน้�ำเค็ม”
มสี ว่ นรว่ มสำ� คญั ตอ่ บรบิ ทความเปลยี่ นแปลงทางสงั คมชว่ งทศวรรษ 2460-2470 โดยเฉพาะคา่ นยิ ม
ความเป็นสาวสมัยใหม่ ทั้งในส่วนของ “การเข้าสมาคม” และการปรับเปลี่ยนตนให้ทันกระแสจาก
โลกตะวันตก รวมถึงแนวความคิดที่ผู้หญิงสามารถมีสิทธิ์ในการตัดสินใจต่อชีวิตของตนเองได้อย่าง
เสมอภาคกบั ผู้ชาย

ผู้เขียนบทความพยายามที่จะถ่ายทอดเร่ืองราวของผู้หญิงกลุ่มนี้โดยค้นคว้าหาข้อมูล
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่าที่พอมีอยู่ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการเปิดพ้ืนที่และคงจะเป็นฐาน
ความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจน�ำไปศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมอย่างลึกซึ้ง อาจเรียกได้ว่า นค่ี อื การเรม่ิ ตน้ ทจี่ ะ
ทำ� ใหก้ ลนิ่ อายของ “สาวนำ�้ เคม็ ” ซง่ึ จางหายไปนานแลว้ ไดก้ ลบั มาตลบอบอวลอกี ครง้ั หนง่ึ !

พลังผ้หู ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 139

บรรณานุกรม
คึกฤทธ์ิ ปราโมช, หม่อมราชวงศ.์ ส่แี ผน่ ดิน เลม่ 2. พมิ พค์ ร้งั ที่ 12. กรงุ เทพฯ: ดอกหญ้า 2000,
2544.
ไทยน้อย (เสลา เรขะรจุ )ิ . ชมุ นมุ ยอดหญงิ ของไทย. พระนคร: แพรพ่ ทิ ยา, 2504.
เทยี นวรรณ. “วา่ ดว้ ยผหู้ ญงิ ทำ� งานเทา่ กบั ผูช้ าย” ใน ตุลวิภาคพจนกิจ. 8 ตลุ าคม ร.ศ. 124
บรดั เลย,์ แดน บชี . หนงั สอื อกั ขราภธิ านศรบั ท์ (Dictionary of the Siamese Language). พระนคร:
โรงพมิ พ์ครุ สุ ภา, 2514.
บญุ เหลอื เทพยสวุ รรณ, หม่อมหลวง. ความส�ำเร็จและความลม้ เหลว. กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พิมพส์ มาคม
สงั คมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2516.
ผะอบ โปษะกฤษณะ. “สาวชาวกรุง” ใน อนุสรณ์เน่ืองในงานพระราชทานเพลิงศพนายเกษม
โปษะกฤษณะ ณ เมรุวดั เทพศิรนิ ทราวาส 13 พฤษภาคม 2514.
พนู พิศมยั ดิศกลุ , หม่อมเจ้า. สิ่งทีข่ า้ พเจา้ พบเหน็ (รวมเลม่ ). กรงุ เทพฯ: มติชน, 2557.
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ประมวลบทพระราชนิพนธ์ (ภาคปกิณกะ). พิมพ์เป็น
อนุสรณใ์ นงานฌาปนกิจศพ คุณหญงิ สรรพกจิ เกษตรการ (ศวง หุตะสงิ ห์) ณ เมรวุ ดั มกุฏ
กษัตริยาราม 28 มีนาคม 2504
รามจติ ติ. “ตามสมยั : 1. ไปเมอื งนอก” ใน ดสุ ิตสมติ เล่ม 15 ฉบับที่ 171 (29 เมษายน), 2465.
ฤดวี รวรรณ วรวรรณ, หมอ่ มเจา้ หญงิ . บนั ทกึ ทา่ นหญงิ ม.จ. หญงิ ฤดวี รวรรณ. แปลโดย แกว้ สวุ รรณ.
กรงุ เทพฯ: ดบั เบล้ิ นายน,์ 2544.
ลาวัณย์ โชตามระ. เล่าเรือ่ งของไทย. กรงุ เทพฯ: คลังวิทยา, 2509.
ลาวัณย์ โชตามระ. ผหู้ ญิงระดบั ยอด. กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์, 2525.
เลขา อภัยวงศ์. “ชวี ิตของเลก็ ” ใน อนุสรณเ์ นอ่ื งในงานพระราชทานเพลงิ ศพคณุ หญงิ เลขา อภัยวงศ์
ณ เมรวุ ัดธาตุทอง วันพฤหัสบดที ่ี 3 พฤศจิกายน 2526.
ศรพี รหมา กฤดากร ณ อยธุ ยา,หมอ่ ม. อตั ชวี ประวตั หิ มอ่ มศรพี รหมา กฤดากร (พรอ้ มดว้ ยคำ� สมั ภาษณ์
และเร่อื งวธิ ถี นอมรักษาอาหาร). กรุงเทพฯ: ศกึ ษติ สยาม, 2522.
สายไหม จบกลศึก. “ทา่ นผหู้ ญงิ ยมราช.” ใน นารมี คี ณุ . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค์ รุ สุ ภา, 2529.
อ้อม จรรยงค.์ บันทึกของออ้ ม จรรยงค์ (บนุ นาค). กรุงเทพฯ: ส�ำนักงานเริงรมย,์ 2531.
อากาศด�ำเกงิ รพพี ัฒน,์ หม่อมเจ้า. ละครแหง่ ชวี ิต. กรุงเทพฯ: บางหลวง, 2537.
อารยิ า สินธุ. 200 หญงิ ไทยคนแรก เล่ม 1. กรงุ เทพฯ: ดา่ นสุทธาการพมิ พ,์ 2554.
อุทยั ศรี ค้อคงคา. “แพทย์หญงิ คุณเพยี ร เวชบุล.” ใน นารมี คี ณุ . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์คุรสุ ภา, 2529.
เอนก นาวกิ มลู . แรกมใี นสยาม 4. กรงุ เทพฯ : แสงแดด, 2540.
วิทยานพิ นธ์
ณัฏฐวดี ชนะชัย. สตรใี นสงั คมสมยั ใหม่: ศึกษากรณซี ่งึ ประกอบอาชีพพยาบาล (พ.ศ. 2439-2485).
วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2530.

140 พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. ประวตั ิศาสตร์ภมู ปิ ญั ญาของการเปลย่ี นระบอบการปกครองสยาม ระหวา่ ง
พ.ศ.2470-2480. วิทยานิพนธป์ ริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวัตศิ าสตร์
บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2528.
เปรมสริ ี ชวนไชยสิทธิ์. ผหู้ ญงิ กบั อาชีพครใู นสังคมไทย พ.ศ. 2456-2479. วทิ ยานิพนธ์ปริญญา
อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑติ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ บณั ฑติ วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ,
2539.
เพชรสภุ า ทศั นพนั ธ์. แนวความคดิ เรือ่ ง ‘การเขา้ สมาคม’ และผลกระทบตอ่ สตรไี ทย พ.ศ. 2461-
2475. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาอักษรศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าประวัติศาสตร์ ภาควิชา
ประวตั ิศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2542.
ละออทอง อัมรินทร์รัตน์. การส่งนักเรียนไปศึกษาต่อต่างประเทศ ต้ังแต่ พ.ศ. 2411-2475.
วทิ ยานพิ นธอ์ กั ษรศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าประวตั ศิ าสตร์ บณั ฑติ วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, 2522.
สุพัตรา กอบกิจสุขสกุล. การประกวดนางสาวไทย พ.ศ. 2477-2530. วิทยานิพนธ์ปริญญา
ศลิ ป ศาสตรมหาบณั ฑติ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์
2530.

ผ้าอนามยั ยาคมุ ก�ำเนดิ เครอ่ื งยนต์
นวัตกรรมเปล่ยี นบทบาททางสังคมของผหู้ ญิง

ขนิษฐา คนั ธะวิชยั

สถาบนั เอเชยี ศึกษา จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั

บทนำ�
สงิ่ ประดษิ ฐ์ กบั นวตั กรรม ตา่ งกนั อยา่ งไร? โดยทว่ั ไป สง่ิ ประดษิ ฐค์ อื การคดิ คน้ อปุ กรณใ์ หมๆ่

ซง่ึ สดุ ทา้ ยแลว้ สง่ิ ประดษิ ฐน์ นั้ อาจจะกลายเปน็ แคข่ องเลน่ สนกุ ๆ ชน้ิ หนงึ่ กไ็ ด้ แตถ่ า้ หากสง่ิ ประดษิ ฐน์ น้ั
ตอบโจทยค์ วามตอ้ งการใชง้ าน และกอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงทางสงั คมในทางทด่ี ขี น้ึ สง่ิ ประดษิ ฐน์ นั้
จะกลายเปน็ “นวตั กรรม”

สงิ่ ประดษิ ฐท์ เี่ ปน็ นวตั กรรมเปลย่ี นสงั คมมหี ลายสงิ่ ไมว่ า่ จะเปน็ ไฟฟา้ โทรศพั ท์ รถยนต์ ฯลฯ
แต่น่นั คอื นวตั กรรมที่เป็นจุดเดน่ และคนให้ความสำ� คญั ซึง่ จรงิ ๆ แล้ว ยังมสี งิ่ ประดษิ ฐ์ทคี่ นไม่ได้ให้
ความสำ� คญั อกี หลายชนดิ ทงั้ ๆ ทผ่ี ลของมนั มคี วามสำ� คญั ตอ่ สงั คมไมแ่ พก้ นั อยา่ งเชน่ จะมใี ครเคยคดิ วา่
การประดษิ ฐ์ “นาฬิกาปลุก” จะสามารถทำ� ให้การปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรมนนั้ ส�ำเร็จ เนอ่ื งจากการท�ำงาน
ในระบบอตุ สาหกรรมนนั้ ตอ้ งมกี าร “เขา้ กะ” หรอื การมาทำ� งานใหต้ รงเวลา ดงั นนั้ เมอ่ื มนี าฬกิ าปลกุ
กท็ ำ� ใหผ้ คู้ นตน่ื มาทำ� งานตามเวลาได้ (Russo, 2016) ทำ� ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงทางสงั คมไปสสู่ งั คม
อตุ สาหกรรมได้งา่ ยข้ึน

หากจะเนน้ ใหแ้ คบลงมา ยงั มสี งิ่ ประดษิ ฐท์ ค่ี นไมค่ อ่ ยใหค้ วามสำ� คญั หากแตจ่ รงิ ๆ แลว้ มนั มี
ความส�ำคัญยิง่ โดยเฉพาะความส�ำคัญต่อการเปล่ยี นบทบาททางสงั คมของผู้หญงิ นนั่ คือ ผ้าอนามัย
ยาคุมก�ำเนิด และเทคโนโลยีตา่ งๆ ทีช่ ่วยให้ผหู้ ญิงขา้ มพน้ “ข้อจ�ำกัดทางรา่ งกาย” ได้

บทความน้ีจะชี้ให้เห็นถึงการเปล่ียนแปลงสถานภาพทางสังคมของผู้หญิง อันเกิดจาก
นวัตกรรม อาทิ การมผี ้าอนามัย ยาคมุ ก�ำเนดิ และอาจรวมถึงสิง่ ประดิษฐ์อ่นื ๆ เพือ่ เปน็ การชวนให้
ผอู้ า่ นคดิ เกยี่ วกบั บทบาททางสงั คมของผหู้ ญงิ ทเี่ ปลยี่ นไปเนอ่ื งดว้ ยนวตั กรรมเหลา่ นี้ อนั เปน็ เรอ่ื งใกลต้ วั
หากแตใ่ นบางทเี รากลบั ไม่ได้คำ� นึงถงึ
สรีระแบบสตรี เป็นตวั จ�ำกัดบทบาทของผู้หญิง?

กอ่ นทจี่ ะมเี ทคโนโลยี หรอื สง่ิ ประดษิ ฐอ์ นั เปน็ นวตั กรรมนน้ั สรรี ะทางชวี ภาพเปน็ ตวั กำ� หนด
บทบาททางสงั คมของมนษุ ย์ ปฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่ สรรี ะแบบสตรี ซง่ึ มมี ดลกู และเตา้ นมนนั้ กเ็ พอ่ื ทำ� หนา้ ท่ี
ให้ก�ำเนิดและเลี้ยงดูเผ่าพันธุ์รุ่นต่อไปของมนุษย์ ในขณะท่ีสรีระแบบบุรุษ ซึ่งมีเซลล์กล้ามเนื้อท ่ี

142 พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

แข็งแรงกว่า ต้องเป็นผู้ออกไปหาอาหารมาจุนเจือ ผู้ให้ก�ำเนิดและทายาท น่ีคือบทบาทพื้นฐาน
ทางชีวภาพแบบหญิง-ชาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถบอกได้ว่าหน้าท่ีทางสังคม
แบบใด มคี วามสำ� คญั มากหรอื นอ้ ยกว่ากัน เพราะเปน็ ภาวทตี่ อ้ งอาศัยเก้ือกูลกนั หากแตใ่ นภายหลงั
กลบั ดเู หมอื นวา่ บทบาทของเพศชายไดร้ บั การยอมรบั มากกวา่ ซงึ่ นคี่ อื ปรากฏการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ เหมอื นกนั
ในแทบทกุ สงั คมของโลก (ปรานี วงษเ์ ทศ, 2544: 7-13)

ดเู หมอื นวา่ ขอ้ จำ� กดั ทเี่ กดิ จากสรรี ะของผหู้ ญงิ นเ้ี อง ไดท้ ำ� ใหค้ วามสามารถของผหู้ ญงิ ดอ้ ยกวา่
ผชู้ าย ในทางศาสนานนั้ เคยมผี พู้ ยายามอธบิ ายเรอื่ งความยากงา่ ยในการบรรลธุ รรมระหวา่ งผหู้ ญงิ กบั
ผชู้ าย โดยใชห้ ลกั การศกึ ษาทางวทิ ยาศาสตร ์ เชน่ ทนั ตแพทยส์ ม สจุ ริ า (2550) ไดอ้ ธบิ ายไวใ้ นหนงั สอื
“ทวาร 6 ศาสตรแ์ ห่งการร้ทู นั ตนเอง” ว่า ระหวา่ งผูห้ ญงิ กบั ผูช้ ายแล้ว ทวารท้งั 6 ของผู้หญงิ คือ ตา
หู จมกู ลิน้ กาย ใจ มีประสาทสัมผัสทด่ี มี าก และดีกว่าของผชู้ าย เช่น ผ้หู ญิงสามารถมองเห็นเฉดสี
ไดถ้ ึง 200 เฉดสี ในขณะทีผ่ ชู้ ายมองได้เพียง 70 เฉดสี เป็นต้น และการมปี ระสาทสัมผัสที่ดเี ชน่ นี้
ย่อมส่งผลต่อจิตใจของผู้หญิง ให้มีความสนใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าผู้ชาย เหตุน้ี
จงึ ท�ำใหบ้ รรลธุ รรมไดย้ ากข้ึนไปดว้ ย แม้ว่างานชิ้นน้ี มุ่งอธบิ ายหลกั ปฏบิ ัตสิ ว่ นหน่ึงของพทุ ธศาสนา
โดยใช้ค�ำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ค�ำอธิบายดังกล่าว ก็ช้ีให้เห็นถึงข้อจ�ำกัดทางสรีระของ
แต่ละเพศด้วย และยังเปน็ งานทีช่ ี้ใหเ้ หน็ โดยออ้ มอกี ว่า เหตุทผี่ ูห้ ญงิ “ด้อยกว่าผ้ชู าย”1 นนั้ เกดิ จาก
ปัจจัยทางชวี ภาพน่ันเอง

อยา่ งไรก็ตาม ความคิดเรื่องลกั ษณะทางชีวภาพเปน็ ตวั กำ� หนดบทบาททางเพศ ที่ส่งผลให้
เพศหญงิ ดอ้ ยกวา่ นน้ั ไม่ไดร้ ับการยอมรบั ในหมู่นักวิชาการสายสตรศี กึ ษาอีกตอ่ ไป ด้วยข้อถกเถียง
หลายประการ โดยเฉพาะการมองวา่ ขอ้ จำ� กดั ดา้ นกายภาพนน้ั ไมใ่ ชอ่ ปุ สรรคในเรอื่ งความเสมอภาค
และสตปิ ญั ญา ดงั นน้ั บทความน้ี จะช้ใี ห้เห็นว่า เหตทุ ่คี วามคดิ เรือ่ งความไมเ่ ทา่ เทียมทางสรรี ภาพ
ไมเ่ ปน็ ทยี่ อมรบั กนั แลว้ นน้ั เปน็ เพราะเราอยใู่ นสงั คมทม่ี ี “นวตั กรรม” อนั ทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ สามารถขา้ มพน้
ขอ้ จ�ำกดั ทางสรรี ภาพไปได้ จนก้าวขึน้ มามีบทบาททางสงั คมใกล้เคียงกับผู้ชาย
ขอ้ หา้ มสำ� หรบั ผหู้ ญงิ : อุปสรรคสำ� คญั คอื การมี “เลอื ดประจ�ำเดอื น”

ในหลายๆ สังคม มีการลดคุณค่าและจ�ำกัดสิทธิของผู้หญิง โดยมักกล่าวอ้างว่าผู้หญิงมี
“ประจำ� เดอื น” อนั เป็นส่ิงทีไ่ ม่บรสิ ทุ ธิ์ ด้วยค่านิยมเชน่ นี้ ผูห้ ญิงจงึ ถูกท�ำให้ด้อยคา่ ในสงั คมทผ่ี ู้ชาย
ถอื วา่ ตนเปน็ ใหญ่ แมแ้ ตใ่ นสงั คมไทยปจั จบุ นั กย็ งั คงเหลอื รอ่ งรอยการจำ� กดั สทิ ธขิ องผหู้ ญงิ ท่ี “หา้ ม”
ท�ำสิ่งตา่ งๆ เนอ่ื งจากจะไม่เป็นมงคล หรอื รอ่ งรอยของการมองว่า “ผ้หู ญิงเปน็ เพศท่ีบาป”

ผู้เขียนเคยไปท่ีวัดแห่งหน่ึงในจังหวัดเชียงใหม่ มีโอกาสสนทนากับพระลูกวัดและได้รับ
ค�ำบอกเลา่ จากพระรปู นน้ั เกีย่ วกบั กรรมทีท่ �ำให้เกดิ เป็นหญงิ วา่ ผู้ท่ีเกิดเปน็ หญิงนน้ั เป็นเพราะเคย
ก่อกรรมหนกั ในชาตกิ ่อน ชาตนิ จี้ งึ เกดิ เปน็ ผู้หญิง ซ่ึงบวชเป็นพระไมไ่ ด้ นอกจากนี้ ก็ยงั มขี ้อทีท่ ำ� ให้
ถึงนิพพานได้ยากกว่าผู้ชายอีกด้วย แม้จะไม่สามารถอ้างอิงได้ว่าน่ีคือหลักค�ำสอนของพุทธศาสนา
แท้ๆ หรือเป็นความคิดของคนล้านนาส่วนใหญ่ แต่เป็นสิ่งท่ีสะท้อนให้เห็นว่า ในสังคมล้านนายังมี
ความคิดเรอ่ื ง “ผ้หู ญิงเปน็ เพศท่บี าป” อยู่

ผู้ท่ีเติบโตมาในวัฒนธรรมล้านนา อาจคุ้นเคยกับข้อห้ามต่างๆ ท่ีเรียกว่า “ขึด” ท่ีจ�ำกัด
ใชเ้ ฉพาะกบั ผู้หญงิ อยหู่ ลายประการ เช่น วัดบางแห่งไม่อนุญาตให้ผู้หญงิ เข้ามาในบริเวณเจดีย์ หรือ

1ในท่ีนีห้ มายถงึ การทีผ่ ้หู ญงิ ประสบความสำ� เร็จในการบรรลธุ รรมขน้ั สงู ได้ยากกว่า

พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 143

ในพน้ื ท่ีบางแหง่ ของวดั เนอื่ งจากมสี ่งิ ศกั ดิ์สิทธ์ิ หรือมกี ารลงคาถาอาคมอยูใ่ นบริเวณนั้น ถ้าผ้หู ญิง
ทม่ี ปี ระจำ� เดอื นเดนิ เขา้ ไป กจ็ ะทำ� ใหอ้ าคมนนั้ เสอ่ื ม ดว้ ยเชอ่ื กนั วา่ เลอื ดประจำ� เดอื นนน้ั เปน็ ตวั ทำ� ลาย
ลา้ งความขลงั ของอาคม หรือสง่ิ ศกั ด์ิสทิ ธิ์

ภาพใตถ้ นุ หอไตรทว่ี ดั แหง่ หนง่ึ ในจงั หวดั แพร่ ตดิ ปา้ ยไวว้ า่ “สภุ าพสตรหี า้ มขนึ้ บอ่ ปลากำ� ลงั วางไข่ ขอความกรณุ าดว้ ย”
คาดว่ามีการลงคาถาไว้ในบริเวณนั้น ถ้าผู้หญิงเข้าไปบริเวณน้ันจะท�ำให้คาถาเสี่อม เนื่องจากผู้หญิงบางคนอาจมี
ประจำ� เดอื น หรอื อกี กรณหี นง่ึ คอื ไมม่ กี ารลงคาถา แตก่ ารทผี่ หู้ ญงิ มปี ระจำ� เดอื นเขา้ ไปใกลพ้ ชื ผกั สตั วเ์ ลยี้ ง กจ็ ะทำ� ให้
พชื ผกั หรือสตั วเ์ ลย้ี งนนั้ ไมอ่ อกผล หรืออาจถงึ ขนั้ ตาย

ความเชอื่ ของคนภาคเหนอื ทวี่ า่ เลอื ดประจำ� เดอื นของผหู้ ญงิ นำ� มาซง่ึ ความเสอื่ มและอปั มงคลนี้
เปน็ ความเชอื่ ทม่ี มี าอยา่ งยาวนาน ดงั มปี รากฏเปน็ เรอ่ื งเลา่ ในตำ� นานเกา่ แกข่ องภาคเหนอื คอื ตำ� นาน
จามเทววี งศท์ เ่ี ลา่ วา่ ขนุ วลิ งั คะ ซง่ึ มคี วามเกง่ กลา้ สามารถถงึ ขนาดพงุ่ เสนา้ (หอกชนดิ หนง่ึ ) จากดอยปยุ
มาตกใกลเ้ มอื งหริภุญชัยได้ นางจามเทวีเกรงวา่ ถ้าหากขุนวิลงั คะพุง่ หอกมาปกั กลางเมอื งหริภญุ ชยั
ส�ำเร็จนางก็จะต้องอภิเษกสมรสด้วย พระนางจึงน�ำผ้าเปื้อนเลือดประจ�ำเดือนมาเย็บใส่ขอบหมวก
แลว้ สง่ ไปใหก้ บั ขนุ วลิ งั คะ เมอื่ ขนุ วลิ งั คะสวมหมวกนน้ั อาคมจงึ เสอื่ ม เนอื่ งจากผา้ ถงุ ซบั เลอื ดประจำ� เดอื น
น่นั เอง ท�ำให้ไม่สามารถพงุ่ เสนา้ มายงั กลางเมอื งหริภุญชัยได้ ในบางส�ำนวนยังเลา่ ด้วยวา่ พระนาง
จามเทวไี ดน้ ำ� ปลายพลมู าปา้ ยเลือดประจ�ำเดอื นก่อนจะจีบพลูแล้วส่งไปใหข้ ุนหลวงวลิ ังคะ

นอกจากน้ี ในบางท้องถ่ินยังห้ามผู้หญิงท่ีมีประจ�ำเดือนไปเด็ดผักเด็ดหญ้า เพราะเชื่อว่า
จะทำ� ใหต้ น้ ไมน้ น้ั ลม้ ตาย ความเชอ่ื นสี้ อดคลอ้ งกบั ความเชอื่ ในสงั คมอนิ เดยี ทวี่ า่ ถา้ หากผหู้ ญงิ ทกี่ ำ� ลงั
มีประจ�ำเดอื นไปรดนำ�้ ตน้ ไม้ ตน้ ไมก้ จ็ ะตาย เปน็ หนึง่ ใน menstruation taboo หรือ ขอ้ ห้ามของสตรี
มรี ะดูในสงั คมอนิ เดยี ซึ่งมีอีกหลายประการ เชน่ ห้ามเข้าครัว ห้ามนอนบนเตยี ง และห้ามแตะขวด
ผกั ดอง เพราะเชอื่ กนั วา่ ผหู้ ญงิ ทก่ี ำ� ลงั มปี ระจำ� เดอื นจะทำ� ใหผ้ กั ในขวดเนา่ เปน็ ตน้ เพอ่ื เปน็ การกา้ วสู่

144 พลังผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

สงั คมทนั สมยั ในอนิ เดยี จงึ มกี ารทำ� ภาพยนตรโ์ ฆษณา ทม่ี แี คมเปญวา่ “มาแตะผกั ดองกนั เถอะ” โดยผา่ น
ภาพของหญิงสาววยั สดใสใสก่ างเกงรดั รปู สีขาว2 เดนิ ไปทโ่ี ตะ๊ อาหาร จับขวดผักดองข้นึ มา กอ่ นจะ
ยม้ิ กวา้ งๆ ใหย้ า่ อกี ทแี ลว้ ออกไปวง่ิ จอ๊ กกง้ิ ตอ่ ดว้ ยเลน่ เทนนสิ แถมเมอ่ื ไดร้ บั ชยั ชนะกย็ งั พดู อยา่ งดใี จวา่
“ฉนั แตะขวดผกั ดอง” พรอ้ มกบั ฉกี หอ่ กระดาษหนงั สอื พมิ พท์ หี่ มุ้ ผา้ อนามยั ไว้ เพราะในสงั คมอนิ เดยี นนั้
การซื้อผ้าอนามัยจะไม่ท�ำอย่างประเจิดประเจ้อ และจะมีการห่อกระดาษให้ก่อนจะน�ำออกจากร้าน
เพื่อไม่ให้คนภายนอกเห็นวา่ เราซือ้ ผ้าอนามยั

ภาพแคมเปญ “แตะผักดองน่ันสิ” ในอินเดีย เป็นการท้าทายความเช่ือเร่ืองข้อห้ามในช่วงท่ีมีประจ�ำเดือน เจ้าของ
แคมเปญคือผ้าอนามัยยี่ห้อหนึ่ง (ที่มา http://www.bestmediainfo.com/2015/06/cannes-lions-2015-bbdo-
indias-touch-the-pickle-bags-grand-prix-in-glass/)

อย่างไรกต็ าม เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตว่า ในสงั คมทีไ่ มซ่ ับซอ้ นนกั อาทิ สงั คมระดับเผา่ ก็มขี อ้ ห้าม
เรอ่ื งประจำ� เดอื นด้วยเช่นกนั แต่ไม่หลายประการเทา่ กับสงั คมทซี่ ับซ้อนกวา่ กรณีชาวเม่ียน ซ่งึ เปน็
กลมุ่ ชนอยบู่ นภเู ขานน้ั มขี อ้ หา้ มเกยี่ วกบั ประจำ� เดอื นเพยี งไมก่ ปี่ ระการ เชน่ หา้ มเขา้ ไปยงุ่ หรอื เขา้ ไป
จัดการในบรเิ วณท่ีท�ำพิธีกรรมเท่าน้นั

“สมัยอยู่บนดอยก็ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรมาก ผู้หญิงท่ีมีเมนส์ก็ยังพอไปฟันไร่ ไปเลี้ยงหมูได้
แต่อาจจะไม่สะดวกหน่อย เพงิ่ มารู้ขอ้ หา้ มเยอะๆ กต็ อนลงมาอย่ใู นเมืองนแ่ี หละ เห็นคนเมืองเขาพูด
กนั ว่า หา้ มเกบ็ ผกั เก็บหญ้า หา้ มโนน่ หา้ มนี่” (ลายฟุ แซ่ต้งั , ชาวเม่ยี นจากจังหวดั น่าน, สัมภาษณ)์

2ในมมุ มองผหู้ ญงิ การใสก่ างเกงหรือกระโปรงสีขาวในชว่ งทม่ี ปี ระจ�ำเดือนนน้ั ถือวา่ มคี วามมัน่ ใจมาก

พลังผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 145

ภาพในพธิ กี รรมของชาวเมยี่ น ผหู้ ญงิ ทมี่ ปี ระจำ� เดอื นจะถกู หา้ มไมใ่ หเ้ ขา้ ไปเกยี่ วขอ้ งบรเิ วณทที่ ำ� พธิ ี อยา่ งไรกต็ ามใน
สงั คมเม่ียน คอ่ นข้างจะแบง่ พื้นท่รี ะหวา่ งหญิงกบั ชายชัดเจนอยแู่ ลว้ ผู้ท่ีทำ� พิธีกรรมสำ� คญั คือผู้ชาย ในขณะทผี่ ้หู ญงิ
เป็นผ้จู ดั เตรียมของเซ่นไหวอ้ ยู่ในครัว

บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ข้อห้ามหรือข้อจ�ำกัดสิทธิของผู้หญิง ในการให้ท�ำหรือ
ไมใ่ หท้ ำ� บางอยา่ ง กย็ งั ไมพ่ น้ เรอ่ื งการมปี ระจำ� เดอื น เชน่ หา้ มผหู้ ญงิ ทกี่ ำ� ลงั มปี ระจำ� เดอื นเขา้ ศาสนสถาน
เนอื่ งจากเชอื่ วา่ เลอื ดประจำ� เดอื นนน้ั เปน็ สงิ่ สกปรกและจะนำ� พามาซง่ึ ความชวั่ รา้ ย อนั เปน็ ความเชอ่ื ท่ี
คลา้ ยกบั สงั คมอน่ื ๆ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั นิ ี้ ในบางครง้ั กถ็ กู ใชใ้ นการควบคมุ สงั คมอยา่ งเครง่ ครดั จนทำ� ให้
ผู้ทมี่ าจากต่างสังคมรู้สึกวา่ โดนละลาบละลว้ ง หรอื อาจถงึ ขน้ั รู้สกึ ว่าโดนกระท�ำการอันเสียมารยาท

“เจ้าหน้าท่ีถามว่าฉันอยู่ในช่วงมีประจ�ำเดือนรึเปล่า ฉันรู้สึกว่าน่ีเป็นค�ำถามท่ีไม่เหมาะสม
เอามากๆ”

(Jodie Danaan – Oakwillow นักทอ่ งเที่ยวบนเกาะบาหลี, อินเตอร์เน็ต)

ปา้ ยหา้ มผูห้ ญงิ ทม่ี ปี ระจ�ำเดอื นเขา้ ไปในวัด
ศักดสิ์ ทิ ธิ์ บนเกาะบาหลี
(ทีม่ า : https://medium.com/@Oakwil-
lowcircle/menstrual-taboos-in-bali-ex-
ploring-the-deep-and-wild-within-
56b7a4088a4#.eaj0lvl3n)

146 พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

ขอ้ หา้ มของผหู้ ญงิ ทม่ี ปี ระจำ� เดอื นในสงั คมมสุ ลมิ ไดห้ า้ มการกระทำ� กจิ กรรมทางศาสนาบางอยา่ ง
อกี เชน่ หา้ มไมใ่ หพ้ กั ทม่ี สั ยดิ หา้ มแตะคมั ภรี อ์ ลั กรุ อานดว้ ยมอื เปลา่ หา้ มละหมาดหรอื ถอื ศลี อด แตต่ อ้ ง
ไปถือศีลอดชดเชยเมื่อพ้นช่วงมีประจ�ำเดือนไปแล้ว โดยมองว่าประจ�ำเดือนคือส่ิงที่ท�ำให้ผู้หญิง
ไม่สะอาด

“และพวกเขา ถามเจ้าเกย่ี วกบั การมรี อบเดอื น จงกล่าวเถดิ วา่ มนั เปน็ อันตราย ดงั นั้น
พวกเจ้าจงออกห่างจากพวกนางในขณะท่ีมีรอบเดือน และอย่าได้เข้าใกล้พวกนาง จนกว่าพวกนาง
จะสะอาดเสียก่อน แล้วเมื่อพวกนางสะอาดแล้ว พวกเจ้าก็จงเข้าหาพวกนางตามที่อัลลอฮฺได้ทรงใช้
พวกเจา้ แท้จริงอลั ลอฮนฺ น้ั ทรงรักผกู้ ลบั เนือ้ กลบั ตัว และทรงรกั บรรดาผู้ทที่ �ำความสะอาด”(ซูเราะฮฺ
อัลบากอเราะฮฺ 222)

(มูลนธิ ิอิสลาม, ม.ป.ป, อนิ เตอร์เน็ต)
จะเหน็ ไดว้ า่ ขอ้ จำ� กดั ทางสงั คมตา่ งๆ ของผหู้ ญงิ กม็ กั จะเกดิ จากการมปี ระจำ� เดอื นแทบทงั้ สน้ิ
เรอื่ งขอ้ ห้ามที่เกี่ยวเน่ืองกบั การมปี ระจำ� เดอื น หรอื menstruation taboo นี้ ปรานี วงษเ์ ทศ (2544)
ได้กล่าวไว้ในหนังสือเพศและวัฒนธรรมว่า การมรี ะดูของผูห้ ญงิ ถอื เป็นสงิ่ ท่ีน่ากลวั และความกลวั
หรอื การมองระดูในแงล่ บน้ี กเ็ ปน็ “ความหวาดกลัวทเี่ ปน็ สากล” หากดูข้อห้ามตา่ งๆ ท่นี �ำเสนอมา
ข้างต้นแลว้ คำ� กล่าวทว่ี ่า “ความหวาดกลวั ทเ่ี ป็นสากล” เปน็ คำ� กลา่ วท่มี ีนำ้� หนักมาก เพราะแทบทกุ
สังคมลว้ นมขี อ้ หา้ มในเรอื่ งนี้
ผู้หญงิ ไม่ใชเ่ พศทสี่ กปรกอีกต่อไป เม่อื มผี ้าอนามัย
อนั ทจ่ี รงิ แมแ้ ตผ่ หู้ ญงิ ในสงั คมปจั จบุ นั กย็ งั คงยอมรบั วา่ การมปี ระจำ� เดอื นสรา้ งความยงุ่ ยาก
ให้เกิดขึ้นทั้งทางกายและใจในชีวิตประจ�ำวัน เพราะบางคนอาจจะมีอาการปวดท้อง สภาพจิตใจ
ไม่ปกติจากการเปล่ียนแปลงของฮอร์โมน เกิดการบวมน�้ำ นอกจากน้ี การต้องมาคอยระวังไม่ให้
เลอื ดไหลเลอะเปรอะเปอ้ื น กเ็ ปน็ สง่ิ ทค่ี อยรบกวนจติ ใจ ผหู้ ญงิ บางคนเมอ่ื มรี อบเดอื น จะขอยกเลกิ นดั
การทำ� กจิ กรรมนอกบ้าน ด้วยเหตผุ ลวา่ “ไมส่ ะดวก” ซงึ่ ผทู้ เ่ี ป็นผู้หญงิ ดว้ ยกนั จะเขา้ ใจเหตผุ ลน้ีไดด้ ี
เน่อื งจากทกุ คนทราบวา่ ระหวา่ งท่ีผหู้ ญิงมีประจำ� เดอื นนั้น จะต้องระมดั ระวังเรอ่ื งความสะอาดให้ดี
เพราะถา้ หากมกี ารเปรอะเปอ้ื นในทสี่ าธารณะ นอกจากจะเดอื ดรอ้ นเจา้ ของสถานทแ่ี ลว้ ยงั สรา้ งความอบั อาย
ใหแ้ กส่ ตรีผนู้ น้ั อีกดว้ ย อย่างไรก็ตาม แม้จะมคี วามยงุ่ ยาก แต่ก็เป็นความยุ่งยากท่ี “จดั การไดง้ า่ ย”
ดว้ ยสงิ่ ประดษิ ฐ์เปล่ียนโลกอยา่ ง “ผา้ อนามัย”
แคมเปญ “แตะผกั ดองนสี่ ”ิ จากผา้ อนามยั ยห่ี อ้ หนง่ึ ในอนิ เดยี ทก่ี ลา่ วถงึ ขา้ งตน้ เปน็ หลกั ฐาน
ของความพยายามที่จะลบล้างความเชือ่ เกา่ ๆ ในแงล่ บ ทเี่ ก่ียวกบั การมีประจ�ำเดือน โดยมีฐานคดิ วา่
ปัจจุบันมีเทคโนโลยี หรือส่ิงประดิษฐ์ท่ีท�ำให้สถานการณ์แห่งความยากล�ำบากเพราะมีประจ�ำเดือน
เปล่ยี นไปแล้ว หากเราดูโฆษณาผ้าอนามยั ไม่วา่ จะของประเทศใด ก็มกั จะมีภาพผู้หญิงท�ำกิจกรรม
กลางแจง้ หนักๆ เช่น การเล่นกฬี า หรือ การผจญภัย และแนน่ อนวา่ ส่งิ ท่ีท�ำใหผ้ หู้ ญงิ สามารถทำ�
กจิ กรรมเหลา่ นน้ั ได้ แมใ้ นวนั “มามาก” กค็ อื “ผา้ อนามยั ” ซงึ่ มาชว่ ยแกไ้ ขสถานการณด์ ว้ ยการ “ซมึ ซบั ”
ไว้อยา่ งหมดจด
แลว้ สมยั ทีย่ ังไม่มผี ้าอนามยั ผหู้ ญิง “ซมึ ซบั ” กันอยา่ งไร? กลา่ วได้วา่ ผ้หู ญิงทว่ั โลกใชว้ สั ดุ
“ซึมซบั ” เลอื ดประจ�ำเดือนแตกต่างกนั ไปตามท้องถิ่น แตท่ เ่ี หมอื นๆ กนั คือใชผ้ า้ เก่า โดยน�ำมาทบ

พลังผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 147

เป็นชัน้ หนาๆ และผูกไวก้ ับเอว คลา้ ยกางเกงในในปจั จุบนั (คนสมยั กอ่ นเรยี กว่า “ขม่ี า้ ” หรอื ถา้ เปน็
คนทพ่ี ดู ภาษาองั กฤษจะเรยี กวา่ on the rag) สว่ นในแถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตน้ ี้ กอ็ าจใชก้ าบมะพรา้ ว
หอ่ ด้วยผ้าเพ่อื เป็นตัวซับเลอื ด ในขณะที่ท้องถนิ่ อืน่ อาจใชข้ นสัตว์ หญ้า สาหรา่ ย ฯลฯ (ผู้จดั การ
ออนไลน์, 2549) ซ่ึงความยากล�ำบากในการใช้ชีวิตก็ย่อมมีเป็นธรรมดา เพราะเมื่อเลือดเปรอะถึง
ผ้าแลว้ ย่อมเกดิ ความอบั ชื้น ทำ� ให้ตอ้ งเปลย่ี นผ้า ยังให้เกดิ ความยงุ่ ยากตอ่ เน่อื งอีกมากมาย ทงั้ น้ี
เนอ่ื งจาก ผา้ นนั้ กม็ คี วามหนาและใหญ่ หากอยบู่ า้ นกต็ อ้ งนำ� ผา้ ใชแ้ ลว้ ไปซกั ทนั ที และถา้ อยากใหถ้ กู
สขุ อนามัย หรอื เพอ่ื ประสิทธภิ าพในการซับเลือด กต็ ้องมกี ารเปลยี่ นผา้ ในระหว่างวันด้วย นจ่ี ึงท�ำให้
ผู้หญิงหลายๆ คนไม่อยากออกไปไหน ยังไม่นับรวมเร่ืองกล่ินไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากเลือดและ
ความอบั ชื้นอกี สิง่ นก้ี เ็ ป็นอุปสรรคตอ่ การเขา้ สงั คมเช่นกัน

ในยคุ ตอ่ มาเรม่ิ มกี ารประดษิ ฐผ์ า้ อนามยั โดยปรบั ปรงุ จากผา้ ซบั เลอื ดทหารทบ่ี าดเจบ็ แตผ่ า้ อนามยั
ที่ผลิตเพ่ือจ�ำหน่ายส�ำหรับการซับเลือดประจ�ำเดือนเกิดข้ึนเม่ือ ค.ศ. 1888 โดยใช้เย่ือไม้เป็นวัสดุ
ซับเลือด แต่สมัยน้ันผ้าอนามัยยังมีราคาแพงอยู่ ท�ำให้ผู้หญิงไม่สามารถเข้าถึงผ้าอนามัยได้ทุกคน
ตอ่ มาภายหลงั บรษิ ทั แหง่ หนึ่งชอ่ื วา่ “โกเต็กซ์” (Kotex) ไดผ้ ลิตผ้าอนามัยทใี่ ช้ส�ำลเี ป็นวสั ดุซมึ ซับ
ทำ� ใหผ้ า้ อนามยั มรี าคาถกู ลง แตย่ งั คงสวมใสโ่ ดยมสี ายรดั เอวคลา้ ยๆ แบบเดมิ ซงึ่ ไมก่ ระชบั กบั สรรี ะนกั
ต่อมาในช่วงปี 1980 จึงมีการพัฒนาเป็นแถบกาวติดกับกางเกงใน มีการพัฒนาวัสดุซึมซับที่บาง
แต่ซึมซับได้มาก ท�ำให้ผ้าอนามัยยุคใหม่มีขนาดเล็กและบางลงเหลือเพียงไม่กี่มิลลิเมตร และยัง
สามารถเก็บกล่ินของเลือดได้ดีอีกด้วย ส่ิงนี้เองที่ท�ำให้ผู้หญิงเกิดความมั่นใจในการท�ำกิจกรรม
นอกบ้านมากขึน้ โดยไม่รู้สึกว่ามกี อ้ นหนาๆ อยู่ตรงหวา่ งขา

ผ้าอนามยั แบบมหี ่วงคล้องเอว และมกี ารพัฒนา
วัสดซุ มึ ซบั ทดแทนวัสดุแบบเดิมๆ
(ท่มี า: www.femmeinternational.org)

ล่าสุด มีการแชร์ข่าวกันในสังคมออนไลน์ เพื่อขอบริจาคผ้าอนามัยให้เด็กสาวบนดอย
อ.อมกอ๋ ย จ.เชียงใหม่ เน่ืองจาก เม่อื เดก็ สาวเหล่านนั้ มีประจ�ำเดอื น ก็ต้องไปนง่ั ท่รี มิ ห้วย เพราะไมม่ ี
ผ้าอนามัย กรณีตวั อย่างนี้ อาจเป็นสิ่งทแี่ สดงใหเ้ หน็ ว่า การไม่มีผ้าอนามัยสง่ ผลเสยี ต่อโอกาสของ
ผูห้ ญิง แทนที่เด็กสาวเหลา่ นจ้ี ะได้ไปโรงเรยี นหรอื ชว่ ยงานบ้าน แตก่ ลบั ต้องนง่ั อยรู่ มิ ห้วย ทำ� ใหข้ าด
โอกาสการทำ� งานหาเล้ียงชวี ติ ในขณะทีผ่ ้หู ญิงในสงั คมเมอื ง หรอื สงั คมชนบทท่ไี มห่ า่ งไกลมากนัก

148 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

ได้ลืมสภาพความยากล�ำบากน้ีไปแล้ว ผู้หญิงในสมัยน้ี จึงไม่มีประสบการณ์เร่ืองข้อจ�ำกัดและ
ความยากลำ� บาก หรอื ความสกปรก ท่ีเกิดข้ึนจากการมีประจำ� เดอื นมากนัก เมื่อมรี อบเดอื นผหู้ ญิง
ยงั สามารถออกไปเรยี น ไปทำ� งานนอกบา้ นได้ ยงั สามารถใชช้ วี ติ ทำ� กจิ กรรมตา่ งๆ ไดเ้ กอื บปกติ ยกเวน้
การวา่ ยนำ�้ และการมเี พศสมั พนั ธ์ เมอ่ื สามารถทำ� งานหาเลย้ี งชพี ไดอ้ ยา่ งปกติ โดยไมม่ ี “วนั มามาก”
ของประจำ� เดอื นมาเปน็ เครอื่ งกดี ขวาง ผลทตี่ ามมาคอื ผหู้ ญงิ สามารถหาเงนิ และรายไดอ้ ยา่ งเตม็ เมด็
เต็มหน่วย โดยไมต่ อ้ งพงึ่ พา “การออกไปหาอาหาร” ของผชู้ ายอีกตอ่ ไป และสง่ ผลตอ่ เนอื่ งไปอีกว่า
บทบาทของผหู้ ญงิ กับผูช้ ายในสังคมสมยั ใหม่ ไมแ่ ตกต่างกนั มากนัก

จากท่ีกล่าวมาจะเห็นได้ว่า การประดิษฐ์ผ้าอนามัยจนมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ท�ำให้
ชวี ติ ของผหู้ ญงิ ไมถ่ กู จำ� กดั อยเู่ ฉพาะในพน้ื ทคี่ รวั เรอื น หรอื หมบู่ า้ นแคบๆ อกี ตอ่ ไป หากแตส่ ามารถ
ท่จี ะออกไปใช้ชวี ติ ในพน้ื ทสี่ าธารณะที่กวา้ งมากขน้ึ โดยเฉพาะการเดินทางไปเรยี น ท�ำงาน และทำ�
กิจกรรมทต่ี ้องลยุ ไปข้างนอก นอกจากนี้ การเกิดขน้ึ ของ “ผ้าอนามัย” ยงั เป็นการ “สลดั ” ห่วงโซ่
ทล่ี า่ มประจำ� เดอื นไวก้ บั “ความชว่ั รา้ ย และความสกปรก” โดยการอธบิ ายภายใตก้ รอบความคดิ ทาง
วทิ ยาศาสตรท์ วี่ า่ เลอื ดประจำ� เดอื นเปน็ สงิ่ ทเี่ กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาตขิ องเพศหญงิ เมอ่ื เปน็ เพศหญงิ กย็ อ่ ม
มปี ระจำ� เดอื น และการมปี ระจำ� เดอื นไมใ่ ชส่ งิ่ สกปรก เพราะเราสามารถทำ� ใหก้ ารมปี ระจำ� เดอื น “สะอาด”
ได้ด้วย “ผา้ อนามยั ”
ยาคมุ กำ� เนดิ นน้ั ส�ำคัญไฉน

เร่อื งที่สืบเน่อื งจากการมเี ลือดประจำ� เดอื นน่ันคอื “ยาคุมก�ำเนดิ ” ซ่ึงเปน็ อีกนวตั กรรมหนึง่
ที่เปล่ียนแปลงบทบาททางสังคมของผู้หญิง การมีประจ�ำเดือนเป็นเครื่องหมายแสดงว่าผู้หญิงนั้น
เขา้ สวู่ ยั เจรญิ พันธุ์ ซึ่งมอี ายอุ ย่รู ะหวา่ งราว 10 – 50 ปี ซ่ึงในสงั คมสมัยใหม่ ถือเป็นช่วยเวลาตง้ั แต่
วัยเรียน จนถึงวัยท�ำงานเลยทีเดียว หากมีเพศสัมพันธ์ท่ีได้จังหวะเหมาะกับการตกไข่ในช่วงอาย ุ
ดังกลา่ ว ผูห้ ญงิ ไม่ว่าจะอยใู่ นวยั เรยี น หรอื วัยทำ� งานก็ดี กม็ ีโอกาสท้องได้ ซึ่งใชเ้ วลาราว 9 เดือน
จงึ คลอด จากนน้ั ยงั จำ� เปน็ ตอ้ งเลยี้ งดทู ารกอยา่ งใกลช้ ดิ อกี จนกระทง่ั หยา่ นมได้ ซงึ่ อาจใชเ้ วลาตงั้ แต่
3 – 6 เดอื น ทก่ี ลา่ วมานจ้ี ะเหน็ ไดว้ า่ การตง้ั ครรภจ์ นกระทงั่ คลอดและเลย้ี งดใู นระยะแรก เปน็ สง่ิ ทผ่ี หู้ ญงิ
ทเ่ี ปน็ แมน่ นั้ ตอ้ งสละเวลาและกจิ กรรมทเ่ี คยทำ� มาใชเ้ วลากบั การใหก้ ำ� เนดิ บตุ ร โดยทว่ั ไป สงั คมถอื วา่
การตงั้ ครรภเ์ ปน็ เรอ่ื งทน่ี า่ ยงิ่ ดกี บั การใชช้ วี ติ ครอบครวั ดว้ ยมสี มาชกิ ใหมเ่ พม่ิ เขา้ มา แตก่ ารตง้ั ครรภ์
ก็ไม่ใช่เร่ืองท่ีน่ายินดีเสมอไป เพราะปัญหาสังคมท่ีมาจากการต้ังครรภ์คือ “ความไม่พร้อมของแม่”
หรอื ทเี่ รยี กวา่ การตง้ั ครรภไ์ มพ่ งึ ประสงค์ หรอื ตงั้ ครรภเ์ มอ่ื ฐานะทางครอบครวั ยงั ไมพ่ รอ้ มจะมสี มาชกิ
ใหม่ กลา่ วคอื หากวา่ ผหู้ ญงิ เกดิ ตงั้ ครรภใ์ นชว่ งวยั เรยี น หรอื วยั ทก่ี ำ� ลงั ตอ้ งการทมุ่ เทใหก้ บั การทำ� งาน
เพ่ือความเจริญก้าวหนา้ ในอาชีพ การต้งั ครรภเ์ มอ่ื ยงั ไมพ่ รอ้ ม จึงถือเป็นอปุ สรรคอยา่ งหนึง่ ท่ีท�ำให้ผู้
หญงิ ท�ำเรื่องต่างๆ เหล่านีไ้ ด้ยากขึน้

องค์กร Plan Parenthood Federation Of America ไดศ้ ึกษาเกีย่ วกบั ประโยชนท์ างสังคม
ในการใช้ยาคุมก�ำเนิดของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาไว้ว่า ยาคุมก�ำเนิดเป็นสิ่งท่ีเปล่ียนภาคธุรกิจใน
สหรัฐอเมริกาต้ังแต่ปี 1960 ท่ียาคุมก�ำเนิดสามารถหาซื้อได้ง่ายในอเมริกา ช่องว่างระหว่างรายได้
ของผูช้ ายกับผู้หญิงลดลงรอ้ ยละ 10 ในช่วงปี 1980 และลดลงอีกร้อยละ 30 ในช่วงปี 1990 และยงั
ท�ำใหผ้ หู้ ญิงมีโอกาสในการศกึ ษาทส่ี งู ขึ้น โดยในชว่ งปี 1970 – 1990 น้ันพบวา่ อตั ราการเข้าสู่การ
ศึกษาระดับวิชาชพี ขนั้ สงู ของผูห้ ญงิ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ นกั กฎหมาย มมี ากขนึ้ ถึงรอ้ ยละ 30

พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 149

และอัตราการเรียนจบปริญญาตรีของผู้หญิงก็สูงขึ้นถึง 6 เท่าภายหลังจากการมียาคุมก�ำเนิดและ
สามารถเขา้ ถงึ ยาคมุ กำ� เนดิ ไดอ้ ยา่ งถกู กฎหมาย จากขอ้ มลู ดงั กลา่ ว เหน็ ไดช้ ดั เจนวา่ “ยาคมุ กำ� เนดิ ”
ได้เข้ามามีบทบาทในการลดช่องว่างทางสังคมระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย และเป็นการสร้างโอกาสใน
การดำ� เนนิ ชวี ติ ของผหู้ ญงิ ทมี่ ผี ลตอ่ การสรา้ งตวั ตนในสงั คม ใหม้ ากไปกวา่ การทตี่ อ้ งมาใชเ้ วลาเกอื บ
2 ปี ในการใหก้ ำ� เนดิ และดูแลบตุ ร ในท�ำนองเดยี วกัน “ยาคมุ กำ� เนดิ ” ยังเป็นสว่ นชว่ ยในการสรา้ ง
ความมน่ั คงใหแ้ กค่ รอบครวั ดว้ ยเชน่ กนั คอื เมอื่ ฐานะยงั ไมพ่ รอ้ มกย็ งั ไมค่ วรมลี กู และ “ยาคมุ กำ� เนดิ ”
กเ็ ปน็ ตวั ชว่ ยหนงึ่ ในเรอื่ งน้ี และไดก้ ลายเปน็ เรอื่ งมขี องรฐั บาลในเรอื่ ง “การวางแผนครอบครวั ” ทที่ ำ� ให้
ผู้หญิงสามารถวางแผนชวี ิตของตนด้งา่ ยข้นึ ในชว่ งทีต่ นยงั ไมพ่ รอ้ มจะเล้ียงลกู ไมว่ ่าจะเป็นไปดว้ ย
ปัญหาสขุ ภาพ หรือการเรียน การงาน การเงนิ

ยาคุมก�ำเนิด จึงเป็นอีกหน่ึงนวัตกรรมหนึ่ง ท่ีมีส่วนช่วยในการเปล่ียนบทบาทของผู้หญิง
ในสงั คมสมัยใหม่ จากการเป็นผู้ต้ังครรภ์โดยธรรมชาติ สู่การเปน็ ผู้ก�ำหนดเองว่า จะตั้งครรภเ์ ม่ือใด
และในขณะท่ีวางแผนไม่ตั้งครรภ์น้ี ก็มีแผนชีวิตในการเป็นแรงงานในระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มตัว
นอกจากน้ี ยงั เปดิ โอกาสใหผ้ หู้ ญงิ เขา้ ถงึ การศกึ ษาและการทำ� งานไดย้ าวนานขน้ึ ผลตอ่ เนอ่ื งคอื ผหู้ ญงิ
ในสงั คมสมัยใหม่ สามารถทำ� งานหาเลี้ยงชพี ไดท้ ดั เทียมผู้ชายโดยไมม่ อี ุปสรรค
เทคโนโลยีการเดนิ ทาง “กุญแจ” ของสตรีส่บู ทบาทใหมท่ างสังคม

“เทคโนโลยี” คือหลักฐานของความพยายามของมนุษย์ ท่ีจะชนะกฎเกณฑ์ตามธรรมชาติ
ในทนี่ ้ี ผเู้ ขยี นของยกกรณขี องเทคโนโลยปี ระเภททเ่ี ปลยี่ นรปู แบบสงั คมใหเ้ ปน็ สมยั ใหม่ และเกย่ี วขอ้ ง
กับการเปลยี่ นบทบาททางสงั คมของผ้หู ญิงท่ีเดมิ “ตอ้ งวงิ่ ตามธรรมชาติ” แต่ปัจจุบัน “ตอ้ งวิ่งตาม
เทคโนโลย”ี เพอื่ ใหม้ บี ทบาททางสงั คมทไ่ี มด่ อ้ ยไปกวา่ ผชู้ าย นน่ั คอื คอื การเกดิ ขน้ึ ของ “เครอื่ งยนต”์
ทีเ่ ปล่ยี นโฉมหน้าการเดนิ ทางมนุษยชาตไิ ปโดยส้นิ เชิง

เกี่ยวกับการเดินทางตามธรรมชาติของมนุษย์น้ัน จากสรีระของมนุษย์พบว่า มนุษย์มีเท้า
เปน็ เครอ่ื งนำ� พารา่ งกายใหเ้ คลอื่ นจากทห่ี นงึ่ ไปยงั อกี ทหี นงึ่ โดยการเคลอ่ื นทปี่ กตคิ อื “เดนิ ” ถา้ ตอ้ งการ
เคลอื่ นทใี่ หเ้ ร็วกวา่ คอื “วง่ิ ” แตด่ ว้ ยของจ�ำกดั ทางสรรี ะมนษุ ย์ การเคล่ือนท่ีท�ำได้ชา้ กว่าสตั ว์ ดังนัน้
ในยคุ หนง่ึ มนษุ ยจ์ งึ เรม่ิ จบั สตั วม์ าเปน็ พาหนะ ซง่ึ สตั วท์ มี่ ปี ระสทิ ธภิ าพมากทสี่ ดุ “มา้ ” จากนนั้ มนษุ ย์
จงึ เรมิ่ สรา้ งเทคโนโลยดี า้ นการเดนิ ทาง ดว้ ยการประดษิ ฐ์ “ลอ้ ” และสว่ นบรรทกุ ของหรอื คนใหเ้ ดนิ ทาง
ไปได้ดว้ ยการเทียมกับ “วัว” หรอื “ม้า” ซึง่ แน่นอนวา่ เดนิ ทางไปไดเ้ ร็วและมปี ระสทิ ธภิ าพมากกว่า
การเดนิ ดว้ ยตวั เอง ถา้ เปน็ ทางนำ้� มนษุ ยร์ จู้ กั นำ� เอาไมม้ าตอ่ เปน็ “เรอื ” และใชพ้ ายทำ� ใหเ้ รอื เคลอ่ื นไป
ดขี นึ้ มาหนอ่ ยกใ็ ชใ้ บเรอื ทอ่ี าศยั แรงลมนำ� พาใหเ้ คลอ่ื นไป ตราบจนมกี ารประดษิ ฐ์ “เครอื่ งยนต”์ ทำ� ให้
พาหนะไมว่ ่าจะเป็นบกหรือน้ำ� ต่างกเ็ ร่งพัฒนาเทคโนโลยีเคร่ืองยนตก์ ับพาหนะเหล่านัน้ ท�ำใหเ้ กดิ
รถยนต์ และรถไฟ ที่ท�ำให้การเดินทางทางบกนั้นรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนทางน้�ำก็ม ี
การประดิษฐ์ “เรอื ยนต”์ มาเป็นพาหนะหลักในการเดนิ ทางตามแมน่ �ำ้ ล�ำคลอง แรกเรมิ่ ก็เปน็ ล�ำเลก็
ความปลอดภัยต่�ำ ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีทางการสร้างเรือพัฒนาย่ิงขึ้น ก็สามารถสร้างเรือที่ใหญ่ขึ้น
และวง่ิ ได้เร็วข้ึน พร้อมกับมีความมนั่ ใจในความปลอดภัยในการเดนิ ทางมากขึ้นด้วย เดนิ ทางไดแ้ ม้
ตอ้ งขา้ มมหาสมทุ ร ตราบจนมกี ารประดษิ ฐเ์ ครอ่ื งบนิ ซง่ึ เปน็ ยานพาหนะทเี่ ดนิ ทางบนโลกนี้ ไดร้ วดเรว็
ที่สุด จนสุดท้าย เทคโนโลยี “เคร่ืองยนต์” ได้พฒั นาการเดินของมนุษย์ใหไ้ ปไดถ้ ึงนอกโลก น่นั คือ
“ยานอวกาศ”

150 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

จากทกี่ ลา่ วมาน้ี ผเู้ ขยี นตอ้ งการแสดงใหเ้ หน็ วา่ รปู แบบของเทคโนโลยที พ่ี ฒั นาขนึ้ ความรวดเรว็
ในการเดินทางก็มีมากข้นึ ทำ� ใหค้ วามมนั่ ใจในความปลอดภัยระหว่างการเดิน มีมากข้ึนตามไปด้วย
ตัวอย่างท่ีผู้เขียนจะกล่าวถึงน้ัน เป็นการอธิบายให้เห็นถึง “การเปล่ียนมโนคติ” การเดินทางไกล
ท่เี วลานาน เป็นเร่อื งอนั ตรายกบั ผู้หญิง ด้วยเทคโนโลยที ่ีพัฒนาข้ึน จนทำ� ใหม้ โนคติดังกล่าวถกู มอง
ข้ามไปเพราะความรวดเร็วในการเดินทางท่ีเพมิ่ มากขึน้ และปลอดภัยยิง่ ขึ้น ผู้เขยี นเคยทราบประวัติ
ชีวิตของสุภาพสตรีอายุ 79 ปี ท่านหน่ึง ซ่ึงเป็นชาวเกาะสมุยโดยกำ� เนิด ชาวเกาะสมุยในยุคก่อน
ท่ีจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมน้ัน มีวิถีชีวิตแบบชาวสวนและชาวประมง มีโรงเรียนเพียง
ไม่ก่ีแห่ง ผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับมัธยมจะต้องไปเรียนบนฝั่ง แต่การคมนาคมในสมัยก่อนยัง
ไม่มีเทคโนโลยีที่ดีเช่นในสมัยน้ี การน่ังเรือออกจากเกาะสมุยมายังฝั่งต้องใช้เวลานานเกิน 1 วัน
ในสภาพที่ “คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล” เวลาออกจากเกาะยังอาจมีญาติผู้ชายตามไปส่งได้ แต่เวลา
จะกลบั เขา้ มาบนเกาะนน้ั ตอ้ งเดนิ ทางคนเดยี ว สตรผี นู้ ี้ จงึ ไมไ่ ดศ้ กึ ษาตอ่ ในชนั้ ทส่ี งู ขนึ้ เนอื่ งจากพอ่ แม่
เป็นห่วงความปลอดภัยในการเดินทาง เธอจึงยังอยู่บนเกาะในขณะที่พ่ีน้องผู้ชายได้ออกไปเรียน
เม่ือโตข้ึนเธอจึงแต่งงานกับคนบนเกาะและเป็นแม่บ้าน แต่ในภายหลังเม่ือมีเรือติดเคร่ืองยนต์ซึ่งมี
ความเรว็ พ่อแม่จึงไม่ห่วงท่ีจะส่งน้องสาวของเธอมาเรียนยังโรงเรียนบนฝั่งจนจบการศึกษาระดับ
ปริญญาตรี และได้ท�ำงานในโรงพยาบาล ประวัติชีวิตสุภาพสตรีท้ัง 2 ท่านนี้จึงท�ำให้เห็นว่า
“เทคโนโลยีด้านการเดินทาง” ที่รวดเรว็ และปลอดภัย เปน็ “กญุ แจ” ท่ีสรา้ งโอกาสให้ผ้หู ญิงเข้าถึง
รปู แบบการเดินทางนั้น อนั เปน็ ประตูไปสกู่ ารเข้ามามบี ทบาททางสังคมสมัยใหม่ของผหู้ ญงิ

มีการศึกษาการใช้รถยนตข์ องผู้หญงิ โดยนักสังคมวิทยาในฝร่งั เศส พบว่า ในปลายยคุ 1950
เป็นยุคท่ี ผู้หญิงในฝร่ังเศสเร่ิมเข้าถึงการขับรถกันมากข้ึน จนกระท่ังในยุค 1970 ผู้หญิงก็มีรถ
สว่ นตวั กนั เปน็ ปกตใิ กลเ้ คยี งกบั ผชู้ าย ซง่ึ อตั ราการครอบครองรถของผหู้ ญงิ นนั้ แปรผนั กบั การจา้ งงาน
เพราะการมีรถยนต์ส่วนตัวท�ำให้ผู้หญิงสามารถขับรถไปท�ำงานได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้รถยนต์
ยงั สามารถทำ� ใหโ้ ลกทางสงั คมของผหู้ ญงิ กวา้ งขน้ึ เพราะนอกจากจะขบั รถไปทำ� งานนอกบา้ นไดแ้ ลว้
ยงั สามารถขับรถไปท�ำธุระตา่ งๆ ได้เอง หรือหากจะเข้าสงั คมก็ทำ� ไดง้ ่ายขนึ้ เน่อื งจากมีการเดินทาง
ท ส่ี ะดวกสบาย
ทิ้งทา้ ย

ในสงั คมทว่ั ไป มกั มกี ารกำ� หนดหนา้ ทข่ี องชายและหญงิ วา่ งานใดเปน็ ของ “ผชู้ าย” และงานใด
เป็นของ “ผู้หญิง” ในกรณีของสังคมไทย มักมีความคิดว่า งานท่ีเป็นของผู้ชายควรเกี่ยวข้องกับ
การใชแ้ รง หรอื งานเกยี่ วกบั เครอ่ื งจกั รกล เครอื่ งยนต์ สว่ นงานของผหู้ ญงิ คอื งานบา้ น งานเยบ็ ปกั ถกั รอ้ ย
งานที่ใช้แรงน้อย ผู้หญิงและผู้ชายอาจช่วยกันท�ำมาหากิน แต่ผู้ท่ีจะมีบทบาทมากท่ีสุดน้ัน สมควร
เป็นผชู้ าย อยา่ งไรก็ตาม เมอ่ื สงั คมมคี วามเปลย่ี นแปลงเพราะการมสี ง่ิ ประดิษฐห์ รอื นวัตกรรมอะไร
บางอยา่ ง และผ้หู ญงิ สามารถเข้าถงึ นวตั กรรมนน้ั ได้ และท�ำให้ผ้หู ญิงเหลา่ สามารถกา้ วข้ามข้อจำ� กัด
แบบเดมิ ๆ ทีว่ ่างานประเภทไหนเหมาะกับคนเพศใด

นวตั กรรมอนั เกดิ จากเทคโนโลยที พี่ ฒั นาขนึ้ เรอื่ ยๆ เปรยี บไดก้ บั เปน็ เครอื่ งทนุ่ แรงของมนษุ ย์
ทไ่ี มจ่ ำ� กดั เพศและวยั ในกรณนี ี้ ขอ้ จำ� กดั ดา้ นกายภาพของผหู้ ญงิ ทม่ี คี วามแตกตา่ งจากผชู้ าย จงึ แทบ
จะหมดไป ท�ำให้ผู้หญิงมีอิสระในการประกอบอาชีพ ในขณะเดียวกัน ก็ลดการพึ่งพิงผู้ชาย ดังน้ัน


Click to View FlipBook Version