พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 251
ส�ำหรับเด็กผู้หญิงการได้รับการศึกษาจะเป็นการศึกษาในครอบครัวโดยได้รับการส่ังสอน
ถ่ายทอดกันจากมารดาสู่ลูกสาว หรอื ระหวา่ งผู้หญิงในครอบครวั โดยไดร้ บั การสงั่ สอนในแต่ละชว่ ง
อายุดังน้ี 6 ขวบ สอนให้นับเลข รจู้ ักทิศทาง, 7 ขวบ สอนให้รู้ความแตกต่างระหวา่ งชายหญิง ไมใ่ ห้
ใกลช้ ดิ กนั , 8 ขวบ สอนการปฏบิ ตั ติ นเมอ่ื ออกไปนอกบา้ น, 9 ขวบ สอนการคำ� นวณ การนบั วนั เดอื นปี
และหลงั จาก 10 ขวบจะสั่งสอนความเหมาะสมในการปฏบิ ัติตนเม่อื เข้าออกนอกบา้ น พร้อมสง่ั สอน
คุณธรรม รวมถงึ งานบ้านงานเรือนตา่ งๆ โดยเม่ือถึงคราวออกเรือน ก่อนแต่งงาน 3 เดือนจะไดร้ ับ
การอบรมเรอ่ื งการปฏบิ ตั ติ นเมอื่ ออกเรอื นไปมบี ทบาทเปน็ สะใภ้ และภรรยาทด่ี ี (熊贤君, 2009: 11-12)
โดยการศึกษาท่ีผู้หญิงได้รับน้ันจะด�ำเนินไปตามกรอบจารีตปฏิบัติ “สามคล้อยตาม ส่ีคุณธรรม”
(三从四德 sāncóngsìdé ซานฉงซอ่ื เตอ๋ ) อนั ปรากฏอยใู่ นคมั ภรี จ์ ารตี (礼记lǐjì หลจี่ )ี้ เปน็ ตำ� ราที่
สำ� คญั ของสำ� นกั ปรชั ญาขงจอื่ ซึ่งจะอธบิ ายในหัวข้อตอ่ ไป
“สามคลอ้ ยตาม สค่ี ุณธรรม” และ “พรหมจรรย์” กับความเปน็ แม่และเมยี
จากที่ได้กล่าวข้างต้นไปแล้วว่าผู้หญิงจีนได้รับการศึกษาเพื่อเตรียมตัวในการรับบทบาท
ในอนาคต คือ “เมีย” และ “แม่” ซึ่งแตกต่างจากผู้ชายซึ่งถูกก�ำหนดให้ได้รับการศึกษาเพื่อเข้าสู่
อำ� นาจทางการปกครอง และเปน็ โอกาสในการกา้ วหนา้ ทางการงาน ทง้ั นก้ี ารกำ� หนดบทบาทในสงั คม
จนี ศกั ดนิ าเชน่ นไี้ ดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากแนวคดิ จากสำ� นกั คดิ ขงจอ้ื เปน็ หลกั กลา่ วคอื หลกั ความสมั พนั ธ์
ระหว่างบคุ คล “3 หลกั 5 จรรยา” (三纲五常 sāngāngwǔcháng ซานกังอู่ฉาง) 3 หลกั คอื ประมุข
เปน็ หลกั ของขนุ นาง, สามเี ปน็ หลกั ของภรรยา, บดิ าเปน็ หลกั ของลกู ซงึ่ เปน็ หลกั ในการปฏบิ ตั ติ อ่ กนั
ซงึ่ จะทำ� ใหไ้ มเ่ กดิ ความยงุ่ ยากทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงั คม กเ็ พราะทกุ คนตา่ งทำ� หนา้ ทขี่ องตนใหส้ มบรู ณ ์ และ
5 จรรยา ไดแ้ ก่ เมตตา (仁rén เหรนิ ) กตญั ญู (义yì อ)ี้ มรรยาท (礼lǐ หลี)่ สติปัญญา (智zhīจือ)
สัจจะ (信xìn ซิน่ ) เปน็ หลกั ปฏบิ ัตขิ องคนในสังคม เม่ือทกุ คนปฏบิ ัติดงั น้ีก็จะท�ำใหส้ ังคมสงบสขุ ซึ่ง
เป็นกรอบแนวคดิ หลักของสังคมจนี ตลอดมา
ส�ำหรับผู้หญิงการได้รับการศึกษาถึงแม้จะเป็นการศึกษานอกระบบ และเม่ือมีการศึกษา
สามารถอ่านออกเขียนไดแ้ ล้ว กไ็ ม่ไดห้ มายความวา่ จะได้รบั โอกาสในการเข้าสู่อ�ำนาจบรหิ ารเข้ารับ
ราชการ การที่สังคมได้รับการซึมซับแนวคิดตามหลักความสัมพันธ์ตามหลักปรัชญาขงจ้ือนี้เองจึง
ท�ำให้การให้การศึกษา หรอื การอบรมสั่งสอนผ้หู ญิงจงึ ปรากฏแนวคิดเพอื่ กดทับผหู้ ญงิ อยกู่ ับหนา้ ท่ี
“แม”่ และ “เมยี ” ทพ่ี งึ ปฏบิ ตั มิ าโดยตลอด แนวคดิ นน้ั กค็ อื “สามคลอ้ ยตาม สคี่ ณุ ธรรม” และ “การถอื
พรหมจรรย”์
สามคลอ้ ยตาม (三从) อธบิ ายไดด้ งั น ้ี ผหู้ ญงิ หากยงั ไมอ่ อกเรอื นตอ้ งเชอ่ื ฟงั บดิ า (未嫁从父
wèijiàcóngfù เว่ยเจีย้ ฉงฟู)่ เมื่อออกเรือนแลว้ ตอ้ งเชือ่ ฟังสามี (既嫁从夫 jìjiàcóngfū จเี้ จีย้ ฉงฟ)ู
และเมือ่ สามถี งึ แก่กรรมตอ้ งเชื่อฟังลูก (夫死从子 fūsǐcóngzi ฟูสอ่ื ฉงจอื )
ในส่วนคุณธรรม 4 ประการ (四德) อธิบายไดด้ ังนี้
1. คณุ ธรรมของสตรี (妇德 fùdé ฟู่เต๋อ) รักษากิรยิ า สงบเสงย่ี ม จะท�ำสง่ิ ใดระมัดระวังตน
2. วาจาของสตรี (妇言 fùyán ฟเู่ หยยี น) สงบปากสงบคำ� ไม่แสดงวาจาทไี่ มส่ ุภาพ
3. รูปลักษณ์ของสตรี (妇容 fùróng ฟูห่ รง) ดแู ลตนเอง แตง่ หนา้ แตง่ กายเรยี บรอ้ ยเหมาะสม
4. การงานของสตรี (妇功 fùgōng ฟกู่ ง) เกง่ งานบา้ นงานเรอื น ดแู ลงานครวั รจู้ กั การตอ้ นรบั
จะเหน็ ไดว้ า่ แนวคดิ นมี้ เี ปา้ หมายเพอ่ื สรา้ งใหส้ ตรเี ปน็ ลกู สาวทก่ี ตญั ญู (孝女 xiàonǚ เซยี่ วหนวี่ )์
เปน็ ภรรยาท่ฉี ลาด (贤妻 xiánqī เสยี นช)ี และเป็นมารดาท่ปี ระเสรฐิ (良母 liángmǔ เหลยี งหม)ู่
252 พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
แนวคดิ “สามคลอ้ ยตาม สคี่ ณุ ธรรม” เรมิ่ กอ่ รา่ งสรา้ งตวั ตง้ั แตย่ คุ ชนุ ชวิ จน้ั กวอ๋ ยคุ ราชวงศโ์ จว
ก่อนยุคสมัยราชวงศ์ฉินของพระเจ้าจิ๋นซี แต่ในขณะนั้นลักษณะการปกครองในประวัติศาสตร์จีน
ยังไม่เป็นการปกครองแบบรวมศูนย์อ�ำนาจ ยังไม่มีการรวบแผ่นดินเป็นปึกแผ่น ดังน้ันอิทธิพล
ของแนวคิดดังกล่าวจึงยังไม่อาจส่งผลกระทบต่อผู้หญิงไปได้ทั่วแผ่นดินจีน จนกระท่ังเข้าสู่ยุคสมัย
ราชวงศ์ฮ่นั ในช่วงปลายราชวงศฉ์ นิ ต้นราชวงศ์ฮนั่ ตะวันตก (西汉 206 ปกี ่อนคริสตกาล- ค.ศ. 25)
จำ� นวนของปญั ญาชนมเี พม่ิ มากขนึ้ สง่ ผลใหส้ ถานะและบทบาทของปญั ญาชนในสงั คมเปลยี่ นแปลงไป
เมอ่ื ราชวงศฮ์ นั่ ตะวนั ตกไดเ้ รมิ่ สถาปนาอำ� นาจขน้ึ นน้ั ปญั ญาชนกย็ งั มไิ ดม้ คี วามสำ� คญั ใดชดั เจน หากแต่
พระเจ้าฮ่ันเกาจู่ (汉高祖 256-195 ปีก่อนคริสตกาล) ก็มีปัญญาชนผู้ศึกษาคัมภีร์ส�ำนักหรูเจีย
เป็นนักคิดข้างกายอยู่หลายคน ย้อนกลับไปในสมัยจ้ันกว๋อปัญญาชนเหล่าน้ีต่างก็เป็นปัญญาชน
พเนจรเดนิ ทางไปยงั แควน้ ตา่ งๆ เปน็ ผมู้ คี วามรหู้ ากแตไ่ มม่ หี ลกั แหลง่ ทแ่ี นน่ อน เมอ่ื ถงึ ปลายราชวงศ์
ฮนั่ ตะวันออก (东汉 ค.ศ. 25-220) ปญั ญาชนกไ็ มไ่ ดเ้ ป็นปัญญาชนพเนจรไร้หลักแหล่งอกี ต่อไป แต่
ไดก้ ลายเปน็ สว่ นหนงึ่ ของรากฐานสงั คมจนี (ศริ วิ รรณ วรชยั ยทุ ธ, 2558: 48) ปญั ญาชนเหลา่ นเี้ ปน็
ผนู้ ำ� แนวคิดจากส�ำนักหรูเจียของขงจ่ือมาเผยแพร่ จนกระทั่งเป็นท่ียอมรบั ไปท่ัว ส่งผลใหผ้ ู้คนได้รับ
การศึกษาตามหลกั แนวคิดนม้ี ากขน้ึ ตามไปด้วย เป็นผลใหแ้ นวคิด “สามคลอ้ ยตาม ส่ีคุณธรรม” ได้
แทรกซมึ เข้ามามีบทบาทสำ� คัญในสังคมจนี นับแตน่ ัน้ เปน็ ตน้ มา
สมยั ราชวงศฮ์ ่ันนอกจากแนวคิด “สามคลอ้ ยตาม สีค่ ุณธรรม” ทีแ่ พรห่ ลายแลว้ น้นั สำ� หรบั
ผหู้ ญงิ ยงั มแี นวคดิ การถอื “พรหมจรรย”์ ภาษาจนี เรยี กวา่ “เจนิ เจย๋ี “ (贞节 zhēnjíe เจนิ เจย๋ี ) คำ� วา่
“พรหมจรรย”์ พจนานกุ รมภาษาจนี สมยั ใหม่ 《现代汉语词典》ใหค้ วามหมายไวว้ า่ 1. ความประพฤติ
อันบรสิ ุทธ ิ์ 2. คณุ ธรรมในสงั คมยุคศักดินาที่สง่ เสรมิ ให้ผู้หญิงรกั นวลสงวนตัว และไมแ่ ต่งงานใหม่
เมอื่ หย่ารา้ ง หรือสามตี าย (《现代汉语词典》, 2005: 1728 ) เพื่อเป็นการแสดงความภักดซี อื่ สตั ย์
ต่อผู้ชายเพียงคนเดียวตราบส้ินชีวิต ถือเป็นคุณธรรมข้อหนึ่งท่ีสังคมจารีตของจีนก�ำหนดให้ท้ัง
หญิงสาวและหญิงที่แต่งงานแล้วปฏิบัติตาม ส�ำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนั้น แม้พันธะการแต่งงาน
จะส้ินสุดลงด้วยการหย่าร้างหรือการตายของสามีก็ตาม ก็ไม่สามารถท�ำให้ผู้หญิงหลุดพ้น
จากพันธนาการที่เกิดจากการแต่งงาน ผู้หญิงท่ีเป็นภรรยายังคงต้องรักษาตนให้อยู่ในพรหมจรรย์
เพ่อื แสดงถงึ ความภักดตี อ่ สามตี ราบตนเองสิ้นชวี ิต (นัยน์พัศ ประเสรฐิ เมฆากุล: 2555, 109-110)
การถอื พรหมจรรยข์ องผหู้ ญงิ จนี มหี ลายลกั ษณะ 1. สาวพรหมจรรย์ หญงิ สาวทถ่ี อื พรหมจรรย์
โดยไม่แต่งงานตลอดชีวิต อาจด้วยต้องการอยู่เป็นโสด หรือมีอุบัติเหตุท�ำให้ไม่สามารถแต่งงานได้
ตามทตี่ กลงกนั ไว้ 2. หมา้ ยพรหมจรรย์ ผหู้ ญงิ ทส่ี ามเี สยี ชวี ติ แลว้ ไมแ่ ตง่ งานใหมช่ วั่ ชวี ติ โดยมวี ธิ กี าร
ครองพรหมจรรย์ท่ีแตกต่างกันคือ การครองพรหมจรรย์โดยแสดงความจงรักภักดีต่อ
คหู่ มั้น หรือสามโี ดยการไมแ่ ต่งงานใหมอ่ ีกชว่ั ชวี ติ อกี รปู แบบคือ การสงั เวยพรหมจรรย์ คอื การฆ่า
ตัวตายเพ่ือแสดงความบริสุทธ์ิของตนเอง อาจจะหลังท่ีสามีตายภายใน 3-7 วัน หรืออยู่ดูแลจน
ลูกหลานเติบโตมีครอบครัวของตนเองหมดห่วงแล้วจึงฆ่าตัวตาย การสังเวยพรหมจรรย์รวมถึง
การทำ� ลายโฉมของตนเองเพอ่ื แสดงเจตนารมณอ์ นั แนว่ แนท่ จ่ี ะอยคู่ รองพรหมจรรย์ ดง่ั ทเี่ ราเคยไดร้ บั ฟงั
เร่ืองเล่าว่าในบางกรณีเม่ือสามีตาย ผู้ท่ีเป็นภรรยาก็จะต้องให้ฆ่าตัวตายตามกันไป ซึ่งหากผู้หญิง
สามารถถอื ครองพรหมจรรยไ์ ด้ดกี ็จะมีการเชดิ ชเู กยี รตใิ ห้ทราบโดยท่ัวเช่นกัน
พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 253
แนวคิดเร่ืองการถือพรหมจรรย์เป็นแนวคิดท่ีปฏิบัติกันสืบต่อนับแต่ราชวงศ์ซ่งเป็นต้นมา
“พรหมจรรย์” ถูกใช้เป็นเกณฑ์วัดการเป็น “ผู้หญิงดี” ของสังคมจีน และได้รับการปลูกฝัง และ
ถอื ปฏิบตั ิอยา่ งเครง่ ครดั มากข้นึ นบั แตร่ าชวงศห์ มงิ จนถงึ ราชวงศ์ชงิ
ภาพหล่หี วนั ตัวละครผู้หญิงจากวรรณกรรมความฝันในหอแดง
ของจีนก�ำลงั สอนหนงั สอื แก่ลกู
(ทม่ี า: http://www.360doc.com/content/10/1225/21/
4240596_81314172.shtml)
“แม”่ และ “เมยี ” กบั บทบาทส่งเสริมผูช้ ายในสงั คมจารตี จีน
อย่างท่ีกล่าวไปแล้วว่าสังคมศักดินาของจีนเป็นสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ เป็นสังคมท่ีผู้ชาย
มบี ทบาทขบั เคลอ่ื นสงั คม สงั คมจนี เปน็ สงั คมทผ่ี ชู้ ายอยนู่ อกบา้ น ผหู้ ญงิ อยใู่ นบา้ น (女正位乎内,
男正位乎外) ผชู้ ายได้รบั สทิ ธใ์ิ นการออกไปศกึ ษาหาความรยู้ งั สถานศึกษานอกบา้ น การเปน็ ผ้ชู าย
ถอื เปน็ คุณสมบตั ิในการสมคั รเข้าสอบคดั เลือกเขา้ รบั ราชการ (科举kējǚ เคอจวี่ ์) หรอื ท่เี ราคนุ้ เคย
กันวา่ การสอบ “จอหงวน” เพือ่ เขา้ ไปบริหารบา้ นเมือง หรอื ไดร้ ับการยอมรบั ในแวดวงปรัชญา หรือ
วชิ าชีพตา่ งๆ
นบั แต่สมยั ราชวงศ์ซ่งการสมัครเขา้ สอบคดั เลือกเขา้ รบั ราชการ ได้เปดิ กว้างให้บุคคลมสี ทิ ธ์ิ
สมคั รเขา้ รบั การคดั เลอื กโดยไมม่ ขี อ้ กำ� หนดเรอื่ งชาตกิ ำ� เนดิ และสำ� นกั การศกึ ษา ทำ� ใหผ้ ชู้ ายทไี่ ดร้ บั
การศกึ ษา มคี วามรคู้ วามสามารถทกุ ชนชน้ั ตา่ งมงุ่ เปา้ ทจ่ี ะโอกาสในการเขา้ รบั ราชการ มาเปน็ ชอ่ งทาง
ส�ำคัญในการได้เล่ือนชนช้ัน จากชาวบ้านสามัญชนข้ึนเป็นปัญญาชน การสอบเข้ารับราชการ
จงึ ไดก้ ลายเปน็ สว่ นหนง่ึ ของวถิ ชี วี ติ ของประชาชน และยงั สง่ ผลตอ่ ผหู้ ญงิ ทเ่ี ปน็ แม่ และเมยี ของผชู้ าย
อยา่ งหลกี เล่ยี งไม่ได้
ถึงแม้ว่าในประวัติศาสตร์จีนจะไม่ปรากฏรายช่ือจอหงวนที่เป็นผู้หญิง เนื่องจากระบบสอบ
ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงได้รับสิทธ์ิเข้าร่วมสอบคัดเลือก หากผู้หญิงก็มีบทบาทส�ำคัญในการสนับสนุน
ทั้งยังเป็นบทบาทส�ำคัญในการส่งเสริมให้ลูกชาย หรือสามีของตนได้กระท�ำในส่ิงท่ีจะสร้างช่ือเสียง
และเกยี รตยิ ศใหก้ ับวงศ์ตระกูลหากสอบผ่านได้รับคัดเลอื กเป็นข้าราชการ
254 พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
แมข่ องเยว่ เ์ ฟย (งักฮยุ ) ยอดขนุ พลสมยั ซ่ง สักประโยคสอนให้รกั ชาติที่หลังของลูกชาย
(ที่มา: http://lianhuanhua.mom001.com/ps/2008/0912/1832.html)
สำ� หรบั ผเู้ ปน็ แมน่ บั แตล่ กู ชายยงั เลก็ กต็ อ้ งบม่ เพาะอบรมใหล้ กู ชายไดร้ บั การศกึ ษาทด่ี ี เมอื่ ถงึ
วัยแต่งงานก็ต้องเป็นผู้คัดเลือกเมียท่ีเหมาะสม คู่ควรกับลูกชายของตนเอง ในครอบครัวตระกูล
ชนช้ันสูงนั้นการเลือกคู่ครองก็ต้องให้มีความเหมาะสมทัดเทียมกัน ทั้งชาติตระกูลและการศึกษา
หากครอบครวั ของตนเปน็ ครอบครวั ทม่ี กี ารศกึ ษาหรอื มผี ทู้ ส่ี อบจอหงวนได้ คคู่ รองของลกู ชายกอ็ าจ
จะตอ้ งมาจากตระกลู ทมี่ จี อหงวนเชน่ เดยี วกนั ทงั้ นเ้ี ปน็ การคดั กรองมาแลว้ วา่ ลกู สาวของตระกลู ทจี่ ะ
มาดองกันน้ันได้รับการศึกษา และอบรมมาอย่างดี อันพึงมีคุณธรรมจรรยาจารีตท่ีดี ในบางกรณีท่ี
ลกู ชายของตนเองอาจจะไมไ่ ดเ้ ปน็ คนทเี่ พยี บพรอ้ ม หรอื ไมไ่ ดม้ คี วามสามารถมากเทา่ ใดนกั การเลอื ก
ลกู สะใภท้ ม่ี คี วามรคู้ วามสามารถ มกี ารปฏบิ ตั ติ นทดี่ กี จ็ ะเปน็ การสง่ เสรมิ ลกู ชายของตน และเปน็ ผดู้ แู ล
บ้านแทนตนเองในอนาคตไดอ้ ยา่ งดเี ช่นกัน
หากเป็นครอบครัวชนช้ันกลาง หรือชาวบ้านผู้เป็นแม่จะต้องเป็นเสาหลักในการดูแลเร่ือง
ทุกอย่างภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านงานเรือน การดูแลลูกหลาน รวมถึงเป็นแรงงานหลัก
ในสงั คมเกษตรกรรม ซง่ึ จะพบมากโดยทว่ั ไปในสงั คมจนี ดงั นน้ั นอกจากจะเลอื กผหู้ ญงิ ทจ่ี ะเปน็ คคู่ รอง
ใหล้ กู ยงั เปน็ การเลอื กลกู สะใภท้ จี่ ะเปน็ กำ� ลงั หลกั อกี แรงในการประกอบสมั มาอาชพี หาเลย้ี งครอบครวั
ดว้ ยหากลกู ชายของตนต้องเตรียมตวั เพ่ือเข้าสอบรบั ราชการ
พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 255
ส�ำหรับผู้หญิงน้ัน หากมีชาติตระกูลดี หรือสูงส่งก็จะได้รับการอบรมสั่งสอน และได้รับ
การสง่ เสรมิ ทางดา้ นการศกึ ษา และมโี อกาสไดศ้ กึ ษารำ่� เรยี นในเนอ้ื หาทผ่ี ชู้ ายรำ�่ เรยี นเพอ่ื เปน็ ความรู้
ตดิ ตวั ไปเมือ่ ออกเรือนดว้ ย ผู้หญงิ ชนชนั้ กลาง และสาวชาวบา้ นกพ็ ึงได้รบั ความรูใ้ นครอบครัว โดย
การถา่ ยทอดวชิ าการฝมี อื รวมถงึ การประกอบวชิ าชพี ของครอบครวั มคี วามรตู้ ดิ ตวั เพอื่ เตรยี มพรอ้ ม
สำ� หรบั การออกเรอื น ชะตาชวี ติ ของผหู้ ญงิ ไมว่ า่ จะเกดิ ในชาตติ ระกลู ใดตา่ งกถ็ กู จำ� กดั สทิ ธโิ์ ดยพอ่ แม่
เหมอื นกนั หมด
เมื่อออกเรือนแล้วชะตาชีวิตของผู้หญิงจีนก็จะต้องติดตามสามีไปจนสิ้นชีวิต ในอดีตน้ัน
ฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายอาจไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน การติดต่อทาบทามเร่ืองคู่ครองเป็นเรื่องของ
แมฝ่ า่ ยชายและแมส่ อ่ื ตดิ ตอ่ ประสานกบั ครอบครวั ฝา่ ยหญงิ ดงั นน้ั การแตง่ งานของผหู้ ญงิ จงึ เปน็ เรอ่ื ง
ที่เปล่ียนแปลงชะตาชีวิตอย่างใหญ่หลวง บทบาทของผู้หญิงเม่ือแต่งงานเข้าเป็นสมาชิกหนึ่ง
ของครอบครวั ฝา่ ยชายแลว้ หากแตง่ งานกบั ครอบครวั ทฝี่ า่ ยชายรำ่� เรยี นหนงั สอื เปน็ ปญั ญาชน ภาระ
หน้าท่ีในการดูแลบ้านทั้งหมดจึงตกเป็นภาระหนักแก่ผู้หญิง ดังนั้น การปฏิบัติตนให้ดีให้แม่สาม ี
และสามีรักจงึ เปน็ เรือ่ งท่ีสำ� คัญมาก
ภาพผ้หู ญงิ จนี ดูแลลูกในสมัยราชวงศ์ซ่ง
(ทีม่ า: http://www.chinesetimeschool.com/zh-cn/articles/song-dynasty/)
ดงั นั้นการปฏบิ ัตติ นตามแนวคิด “สามคลอ้ ยตาม ส่คี ณุ ธรรม” และการถอื “พรหมจรรย์”
จงึ เป็นเรื่องสำ� คญั มากเพราะหากปฏบิ ัตติ นบกพร่องสามสี ามารถขอหย่าขาดได้ (休妻 xīuqī ซิวช)ี
ท้งั นใี้ นยุคสงั คมศกั ดินาผู้หญิงจนี ไม่มสี ิทธขิ์ อหย่า หรอื แต่งงานใหม่
ตามหลกั ปฏบิ ตั ขิ องจนี ยคุ จารตี ผชู้ ายสามารถขอหยา่ ขาดจากภรรยาไดห้ ากวา่ ผเู้ ปน็ ภรรยา
ประพฤติตนไม่ถูกต้องตามจารีตข้อใดข้อหนึ่งในเงื่อนไขการหย่าร้าง โดยสังคมจีนในยุคจารีตได้
บัญญัติกติกาการหย่าร้างที่ชาวจีนรู้จักกันว่า “7 ขับ 3 ไม่หย่า” (七出三不去 qīchūsānbúqù
ชีชูซันปู๋ชวี่) สามารถอธิบายไดด้ งั น้ี
ความผดิ ใหห้ ยา่ รา้ ง 7 ขอ้ ภาษาจนี เรยี กวา่ “ชชี ”ู ดงั ตอ่ ไปนี้ 1.ไมเ่ ชอ่ื ฟงั พอ่ แม่ (不顺父母
búshùnfùmǔ ปู้ซุ่นฟ่หู ม)ู่ 2.ไมม่ ีบุตรชาย ( 无子 wúzi อจู๋ ่อื ) 3. มชี ู้ ( 淫 yín อ๋ิน) 4. ข้ีอิจฉา
(妒 dù ต)ู้ 5. ปว่ ยหนกั ( 有恶疾 yǒu èjí โหยว่ เออ้ จ)ี๋ 6.พดู มาก (口多言 kǒuduōyán โขวต่ วั เหยยี น)
7. ขโมยส่ิงของ ( 窃盗 qièdào เซีย่ เตา้ )
256 พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อห้ามไม่ให้หย่าร้างท่ีถูกก�ำหนดขึ้นควบคู่มากับความผิดตามจารีต
ขา้ งต้นคอื หลัก 3 ขอ้ ทไ่ี ม่สามารถหย่าได้ ภาษาจนี เรยี กว่า “ซันปชู๋ ว”่ี (三不去) ไดแ้ ก่ 1. ถา้ สามี
แต่งภรรยาใหม่ แล้วภรรยาเดิมไม่มีที่ไป เนื่องด้วยผู้หญิงจีนเมื่อแต่งงานออกจากบ้านพ่อแม่แล้ว
ก็จะกลายเป็นคนนอก หากภรรยาไม่สามารถกลับไปบ้านพ่อแม่ตนเองก็ไม่สามารถหย่าขาดได้
2. ไวท้ กุ ขใ์ หพ้ อ่ แมส่ ามคี รบสามปตี ามธรรมเนยี มปฏบิ ตั ิ ซงึ่ ถอื เปน็ การแสดงความกตญั ญู สงั คมจารตี
ของจนี ใหค้ ณุ คา่ กบั ความกตญั ญอู ยา่ งมากและถอื เปน็ การประพฤตติ นทด่ี ไี มม่ คี วามบกพรอ่ งตอ่ หนา้ ท่ี
ลกู สะใภ้ ไมส่ ามารถหยา่ ขาดได้ และ 3. อดตี ฐานะยากจน ปจั จบุ นั รำ่� รวยเงนิ ทอง ภรรยาทร่ี ว่ มฝา่ ฟนั
ความยากล�ำบากมาตง้ั แต่ตอนทยี่ ากจน ถอื ว่าเป็นผู้ที่ร่วมทุกข์รว่ มสุขกนั มาจึงไมส่ ามารถขอหย่าได้
ท้ังน้ี หากผู้เป็นภรรยาตกอยู่ในสภาวะ 3 ข้อข้างต้นผู้ชายก็ไม่สามารถหาข้ออ้างขอหย่า
ขาดได ้ จะเหน็ ไดว้ า่ สงั คมเองไดก้ ำ� หนดหลกั เกณฑไ์ วเ้ พอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การหยา่ รา้ งไดต้ ามอำ� เภอใจ
ถึงแม้ภรรยาจะถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติตนบกพร่องตามเง่ือนไขหย่าร้าง แต่ทว่าหากภรรยาได้ปฏิบัติ
ตามหลกั 3 ขอ้ พงึ ปฏบิ ตั ขิ อ้ ใดขอ้ หนงึ่ ในนนั้ สามกี ไ็ มส่ ามารถหยา่ ขาดได้ นถี่ อื เปน็ เงอื่ นไขทช่ี ว่ ยพยงุ
ความสมั พนั ธใ์ นครอบครวั ของสงั คมจนี โดยใชห้ ลกั คุณธรรมจรยิ ธรรมเปน็ ตัวก�ำหนด
สามารถกลา่ วไดว้ า่ หากผหู้ ญงิ สามารถปฏบิ ตั ติ นไดต้ ามแนวคดิ “สามคลอ้ ยตาม สค่ี ณุ ธรรม”
กจ็ ะมีหลกั ประกันของชวี ิต และสถานะในครอบครัวภายใตส้ งั คมจารีตไดอ้ ย่างม่นั คง
บทบาทต้องห้ามของผู้หญิงในสังคมจารีตจนี
ส�ำหรับสังคมจีนผู้หญิงท่ีดีคือผู้หญิงท่ีได้ปฏิบัติตนตามหลักคุณธรรมจารีตท่ีสังคมยอมรับ
เราสามารถตั้งข้อสังเกตได้จากผู้หญิงที่มีช่ือเสียง หรือผู้หญิงที่มีบทบาททางอ�ำนาจการปกครอง
แผน่ ดนิ มกั จะมคี ำ� ครหาวา่ เปน็ ผทู้ ม่ี อี ปุ นสิ ยั ทร่ี า้ ยกาจ เชน่ “หลวี่ โ์ ฮว่ ” กษตั รยี อ์ งคแ์ รกในประวตั ศิ าสตรจ์ นี
แหง่ ราชวงศฮ์ นั่ “พระนางบเู ชก็ เทยี น” (อเู่ จอ๋ เทยี น) องคจ์ กั รพรรดนิ แี หง่ ราชวงศถ์ งั และ “พระนาง
ซูสีไท่เฮา” แห่งราชวงศ์ชิง ต่างเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถ อย่างท่ีเราทราบกันดีว่าสังคมจีน
ได้ก�ำหนดบทบาทระหว่างชายหญิงไว้ต้ังแต่แรกเริ่มแล้ว ผู้ชายเป็นเพศท่ีได้รับสิทธิ์ในการปกครอง
ทงั้ ยงั เชอื่ วา่ เรอ่ื งการบา้ นการเมอื งหากปลอ่ ยใหผ้ หู้ ญงิ ปกครองจกั มแี ตค่ วามวนุ่ วาย ดงั นน้ั จงึ เปน็ เหตุ
ที่มาในการให้ค�ำนยิ ามของผ้หู ญงิ ท่มี คี วามสามารถวา่ เป็นผหู้ ญิงทรี่ ้ายกาจ หรอื ไมใ่ ชผ่ หู้ ญิงท่ีดี
ในสังคมจารีตจีนยังมีกลุ่มผู้หญิงอีกจ�ำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามจารีต หรือประกอบ
สัมมาชีพนอกบ้านซึ่งขัดกับแนวคิดหลักทางสังคม ผู้หญิงเหล่าน้ีก็จะถูกตีตราว่าเป็นผู้หญิงท่ีไม่ด ี
ไดม้ กี ารเรยี กรวมกลมุ่ ผหู้ ญงิ เหลา่ นวี้ า่ ซนั กลู ว่ิ ผวั (三姑六婆 sāngūlìupó ซนั กลู วิ่ ผวั ) หากจะคบหา
หรือสนิทชิดเชื้อกับผ้หู ญงิ ในกลุม่ เหลา่ นี้จักตอ้ งพงึ ระวงั มากเปน็ พิเศษ
“ซันกู” (三姑sāngū ซันกู) หมายถึงหญิงท่ีออกบวช ได้แก่ 1. ภิกษุณีเป็นผู้ออกบวช
ในศาสนาพุทธ เรยี กวา่ “หนกี ”ู (尼姑 nígū หนีก)ู 2. แมช่ ผี อู้ อกบวชในลทั ธิเต๋า เรียกวา่ “เต้ากู”
(道姑 dàogū เต้ากู) และ 3. หญงิ ทปี่ ระกอบอาชีพเส่ยี งทาย หรอื ทำ� นายดวงชะตา “กว้าก”ู (卦姑
guàgū กว้าก)ู
“ลวิ่ ผวั ” (六婆 lìupó ลวิ่ ผวั ) เปน็ ลกั ษณะบทบาททป่ี ฏบิ ตั ิ และอาชพี ของผหู้ ญงิ ในสงั คมจนี
ไดแ้ ก่ 1. แมช่ กั “หยาผวั ” (牙婆 yápó หยาผวั ) เปน็ แมค่ า้ หรอื ตวั กลางทปี่ ระกอบอาชพี คา้ ขายมนษุ ย์
โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ทาส และสาวปรนนบิ ัตริ บั ใช้ 2. แมส่ ือ่ “เหมยผัว” (媒婆 méipó เหมยผวั ) คอื
หญงิ ทท่ี ำ� หนา้ ทเี่ ปน็ แมส่ อ่ื แนะนำ� คคู่ รอง 3. แมม่ ด “ซอื ผวั ” (师婆 shīpó ซอื ผวั ) คอื หญงิ ทม่ี เี วทมนตร์
พลังผูห้ ญิง แม ่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 257
คาถา เปน็ แมม่ ดหมอผสี อบถามโชคชะตากบั ทวยเทพ 4. แมเ่ ลา้ “เฉยี นผวั ” (虔婆 qiánpó เฉยี นผวั )
คอื แม่เลา้ ทีอ่ ยใู่ นหอนางโลม 5. แมห่ มอยา “เยา่ ผวั ” (药婆 yàopó เย่าผวั ) คือ หญิงทท่ี �าหนา้ ที่
จดั ยาโดยเฉพาะ และ 6. หมอตา� แย “เหวิ่นผวั ” (稳婆 wěnpó เหว่ินผวั ) คอื หญงิ ท่ที �าคลอด
ภาพแมส่ ือ่ ในงานแต่งงานแบบ
โบราณท่จี ัดขน้ึ ในสมยั ปจั จุบัน
(ที่มา: http://liyi.91ddcc.
com/c_10770.html)
ในสังคมจารีตจีนซันกูล่ิวผัวเป็นกลุ่มผู้หญิงที่มีภาพลักษณ์ไม่ค่อยดี เนื่องจากหากน�าไป
เปรียบเทียบกับผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนท่ีดีตามจารีตแล้วนั้น วิถีชีวิตของผู้หญิงสองกลุ่ม
มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ชีวิตของผู้หญิงจารีตจะใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านไม่ค่อยได้ออกไปไหน
และมฐี านะดไี มม่ คี วามเดอื นร้อนดา้ นเศรษฐกจิ จงึ อยบู่ ้านปฏิบัติตนตามแนวคดิ สามคล้อยตาม กอ่ น
ออกเรอื นอยบู่ า้ นเชอ่ื ฟงั บดิ า ออกเรอื นแลว้ อยบู่ า้ นเชอื่ ฟงั สาม ี และเมอ่ื ชรากเ็ ชอื่ ฟงั ลกู ชาย ไมเ่ หมอื น
ซนั กูลิ่วผวั ซึ่งเดินทาง เขา้ บา้ นโน้นออกบา้ นนีต้ ลอดเวลา เปน็ กลุ่มผ้หู ญงิ ทีม่ หี ูตากว้างขวาง รูเ้ ร่ือง
ชาวบา้ นมากมาย ย่ิงในสมัยราชวงศห์ มิงทส่ี ังคมกดดันผหู้ ญิงอย่างมาก หากผหู้ ญิงใดติดต่อพบปะ
พดู คยุ กบั ซนั กลู ว่ิ โผว่ กอ็ าจจะโดนกลา่ วหาวา่ เปน็ ผหู้ ญงิ ไมด่ ี แปดเปอ้ื นสง่ิ ชวั่ รา้ ยไปดว้ ยเชน่ กนั ทงั้ ท่ี
ผหู้ ญงิ ทป่ี ระกอบสมั มาอาชพี เหลา่ นต้ี า่ งกต็ อ้ งมกี ารพบปะไปมาหาสกู่ บั ผหู้ ญงิ ในตระกลู ตา่ งๆ อยเู่ สมอ
ซันกูล่ิวผัวมักจะได้รับความไว้วางใจจากผู้หญิงชนชั้นสูงเหล่านี้อย่างมาก บ่อยครั้งท่ีเป็นท่ีปรึกษา
ปญั หาสว่ นตวั เมอ่ื พวกเธอไมร่ จู้ ะหนั ไปพงึ่ พาใครกไ็ ดป้ รบั ทกุ ข ์ และขอความชว่ ยเหลอื จากซนั กลู วิ่ ผวั
ดว้ ยเหตนุ ี้หากพบกบั คนที่ไม่ดีก็อาจจะถูกหลอกลวงได้
หากจะวิเคราะห์ตามลักษณะอาชีพของผู้หญิงเหล่านี้ ต้องยอมรับว่าต่างเป็นผู้ที่มีความรู้
ความสามารถ มคี วามเปน็ ตวั ของตวั เอง ผทู้ เ่ี ปน็ แมช่ นี น้ั ไมว่ า่ จะเขา้ บวชตามลทั ธคิ วามเชอื่ หรอื ศาสนา
ใดก็ตาม ต่างกป็ ฏเิ สธไม่ไดว้ ่าต้องเปน็ ผู้รู้หนงั สอื อ่านออกเขยี นได้ เพราะตอ้ งสวดมนต์ทอ่ งคัมภรี ์
และมคี วามรคู้ า� นวณดวงชะตาได ้ เชน่ เดยี วกบั อาชพี ตา่ งๆ อกี 6 อาชพี ซง่ึ ตา่ งกต็ อ้ งพงึ่ พาความสามารถ
สว่ นตวั ในการเจรจาการค้า หรอื ต้องมีวาทศลิ ปใ์ นการเจรจาตอ่ รอง เชน่ แม่ชกั แม่สือ่ แม่เลา้ หรอื
ความเชยี่ วชาญในทางศาสนาความเชอื่ เชน่ แมม่ ดและความเชยี่ วชาญในทางการแพทย ์ เชน่ แมห่ มอยา
หมอตา� แย
จากความสามารถ สตปิ ญั ญา และความเชยี่ วชาญขา้ งตน้ ทา� ใหผ้ หู้ ญงิ กลมุ่ นส้ี ามารถประกอบ
อาชีพท่ีตนถนัดและเลย้ี งดตู นเองได้ ไมจ่ า� เป็นต้องพึง่ พาผู้ชาย และเป็นไปไดว้ า่ จะไมย่ อมอยู่ภายใต้
258 พลังผ้หู ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
การชนี้ ำ� ของผชู้ าย ไมส่ ามารถควบคมุ ชนี้ ำ� ทางความคดิ ไดจ้ งึ ทำ� ใหส้ งั คมกำ� หนดภาพของความสามารถ
ความเกง่ กาจเปน็ สง่ิ ทไ่ี มพ่ งึ ปรารถนา และผหู้ ญงิ ทด่ี ที ส่ี งั คมตอ้ งการจะตอ้ งมลี กั ษณะดงั คำ� กลา่ วทว่ี า่
“สตรที ไ่ี รค้ วามสามารถ คือสตรที ีม่ ีจรรยา” (女子无才便是德)
บทสรปุ
การกำ� หนดบทบาทของสตรจี นี มมี าอยา่ งเขม้ ขน้ ตง้ั แตย่ คุ ทสี่ งั คมเปลยี่ นมาใหผ้ ชู้ ายเปน็ ใหญ่
โดยใชก้ ารศกึ ษาในครวั เรอื นเปน็ ชอ่ งทางสง่ ผา่ นขอ้ ความทสี่ งั คมตอ้ งการจะบอกกบั ผหู้ ญงิ วา่ ผหู้ ญงิ
ที่ดีควรจะเป็นเช่นไร และยังใช้คุณธรรมจรรยามารยาทต่างๆ ตามค�ำสอนในลัทธิขงจื๊อมาก�ำหนด
ความเปน็ ผหู้ ญงิ ทนี่ า่ ยกยอ่ งและมคี ณุ สมบตั ดิ งี ามในบทบาทตา่ งๆ อาทิ ลกู สาว ภรรยาและแม่ ซง่ึ คณุ ธรรม
จรรยาเหล่านั้นล้วนเกี่ยวพันโดยตรงกับกิจกรรมและพฤติกรรมที่ผู้หญิงพึงกระท�ำต่อผู้ชายท้ังสิ้น
โดยผู้หญงิ ต้องปฏิบตั ิตอ่ ผูช้ ายในฐานะทเ่ี ป็นบดิ า สามี และบตุ รน่นั เอง
อยา่ งไรก็ตาม ผหู้ ญงิ ท่มี คี วามร้คู วามสามารถในยุคโบราณยังถูกสังคมตตี ราว่าไม่ดี
ซง่ึ เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ เพราะผหู้ ญงิ เหลา่ นมี้ ปี ญั ญาความรหู้ าเลย้ี งพงึ่ ตนเองไดโ้ ดยทไี่ มต่ อ้ งพงึ่
ผู้ชายและเป็นไปได้ว่าจะไม่เช่ือฟังผู้ชาย จึงถูกมองว่า ขัดกับความว่านอนสอนง่ายตามท่ี
สั่งสอนกนั มา
พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 259
บรรณานุกรม
นยั นพ์ ศั ประเสรฐิ เมฆากลุ . พรหมจรรย์ : กรงเกยี รตยิ ศสตรใี นสมยั ราชวงศช์ งิ . เหตเุ กดิ ในราชวงศช์ งิ .
พิมพค์ ร้งั ที่ 1. กรุงเทพฯ : ชวนอา่ น, 2555.
พัชนี ต้ังยืนยง. มรรคแห่งปัญญา : สตรีจีนกับการเข้าสู่การศึกษาสมัยใหม่.อักษรศาสตร์. ปีท่ี 39
ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน) กรุงเทพฯ :ฝ่ายวิจัย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
เฟย่ เซีย่ วทง เขียน, พรชัย ตระกูลวรานนท์ แปล. พื้นถ่นิ แผน่ ดนิ จนี : สงั คมวทิ ยาจีนชนบทจีน. พมิ พ์
คร้ังที่ 1. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2553.
ศิริวรรณ วรชัยยุทธ.ระบบสอบเข้ารับราชการกับชนช้ันปัญญาชนสมัยราชวงศ์ซ่ง.หนังสือรวม
บทความวชิ าการ การประชุมทางวิชาการจนี ศกึ ษาระดับนานาชาติ คร้ังท่ี 2 “ไขม่ ุกหลน่
บนจานหยก : จนี ศกึ ษา ภาษา วรรณกรรม และวฒั นธรรม”.กรงุ เทพฯ : ภาควชิ าภาษาจีน
คณะศลิ ปศาสตรม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ รว่ มกับ สาขาภาษาจนี คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละ
ประยุกต์ศิลป์ มหาวิทยาลัยหอการคา้ ไทย, 2558.
熊贤君,《中国女子教育史》 (ประวตั ศิ าสตรก์ ารศกึ ษาสตรีจนี ) :山西:山西出版社 2009.
张昂霄,明清三姑六婆群体研究 (การศกึ ษาวิจัยซันกลู ิว่ ผัวสมัยราชวงศ์หมิงชิง) :东北师范大学:
2012.
杨建伟,试论中国古代”七出三不去”法律制度 (การวเิ คราะห์ “ 7 ขบั 3 ไมห่ ยา่ ” ในระบบกฏหมาย
จนี สมัยโบราณ) :西南政法大学:2010.
5中国社会科学院语言研究所词典编辑室编,《现代汉语词典》第 版 (พจนานุกรมจีนสมัยใหม่) :
北京:商务印书馆 2005.
260 พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
ซสู ไี ทเฮา: พลงั ผหู้ ญงิ ในราชสำ� นกั จนี
ทวิรฐั สองเมอื ง
นักศกึ ษาปริญญาเอกสาขาประวัตศิ าสตร์ วทิ ยาลัยโรยัล ฮอลโลเวย์
มหาวิทยาลัยลอนดอน
บทนำ�
ในหนา้ ประวตั ศิ าสตรโ์ ลกไมใ่ ชจ่ ะมแี ตผ่ ชู้ ายทม่ี อี ำ� นาจในฐานะของจกั รพรรดิ แตผ่ หู้ ญงิ บางคน
กก็ า้ วขนึ้ มามอี ำ� นาจทางการเมอื งสงู ดงั เชน่ ซสู ไี ทเฮา (慈禧太后) หรอื ทเี่ ปน็ ทร่ี จู้ กั กนั ในโลกตะวนั ตก
วา่ Empress Dowager Cixi (ค.ศ. 1835-1908) เปน็ ผกู้ มุ อำ� นาจการปกครองในปลายสมยั ราชวงศช์ งิ
ถงึ กว่าครง่ึ ศตวรรษ จากการมตี �ำแหน่งเปน็ เพียงพระสนมเลก็ ๆ ของจกั รพรรดเิ สยี นเฟงิ (咸豐帝)
(1831-1861) ในการคัดเลือกปี ค.ศ.1852 ชื่อของนางปรากฎในบันทึกของราชส�ำนักแค่
“สตรีแห่งสกุลน่าลา” เพราะ ช่ือผู้หญิงไม่มีความส�ำคัญเพียงพอที่จะจดบันทึก (Jung Chang,
2013; 3)1 แต่ซูสีก้าวขึ้นสู่ศูนย์กลางของราชส�ำนักผ่านพลังของความปรารถนาสู่อ�ำนาจและ
สถานะความเป็น “แม่” จักรพรรดิถงจื้อ (同治帝) (1856-1875) อีกทั้งยังมีสถานะเสมือน
“แมข่ องแผน่ ดิน” (國母) เม่ืออายเุ ข้าสู่ชว่ งบ้นั ปลายชวี ติ ในท้ายศตวรรษท่ี 19
ในช่วงครึ่งหลังศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษท่ี 20 เป็นช่วงเวลาส�ำคัญในการศึกษา
ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ เป็นยุคท่ีมีเหตุการณ์ซึ่งน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลงมากมายของจีนรวมถึง
ตัวพระนางซูสีไทเฮา ตั้งแต่สงครามฝิ่นครั้งที่ 2 (1856-1860) ซ่ึงน�ำไปสู่การลี้ภัยของราชส�ำนัก
จากกรงุ ปกั กงิ่ เปน็ ระยะทาง 200 กโิ ลเมตร สพู่ ระราชวงั ในเมอื งเฉงิ เตอ๋ ทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
ของจีน น�ำมาสู่การเผาท�ำลายพระราชวังหยวนหมิงหยวน (圓明園) หรือพระราชวังฤดูร้อนเดิม
โดยกองก�ำลังร่วมอังกฤษและฝรั่งเศส การสวรรคตของพระสวามี และกบฏไท่ผิง (太平天國運動
Taiping Rebellion) (1850-1864) ตลอดจนการร่วมมือของซูสีกับพระจักรพรรดินีเจิน
หรือซูอันไทเฮา (慈安太后) (1861-1881) เพื่อท�ำการรัฐประหารซินโหย่ว (1861) และว่าราชการ
แผ่นดินรว่ มกนั
หลงั จากการปลดเกษยี ณจากการเปน็ ผสู้ ำ� เรจ็ รชั กาลแทนพระเจา้ กวางสู (光緒帝) (1875-1908)
ในวนั ที่ 4 มนี าคม 18892 ซสู ไี ทเฮาเรม่ิ เขา้ มามบี ทบาททางการเมอื งอกี ครง้ั หนง่ึ หลงั จาก จนี แพส้ งคราม
1มกี ารสนั นษิ ฐานวา่ ชอื่ กอ่ นเขา้ วงั ของซสู คี อื “หลาน”(蘭) ซง่ึ มคี วามหมายวา่ ดอกแมกโนเลยี หรอื กลว้ ยไม้ แต่
ในความเป็นจริงนางได้รับช่ือนี้หลังจากเข้าวัง “ซ่ิง” (杏) ซ่ึงเป็นค�ำพ้องเสียงของค�ำว่า 幸 ซ่ึงแปลว่า โชคดี คือ
ช่อื ทผ่ี ู้สบื สกลุ เหน็ พอ้ งกัน
2วนั น้ียงั เปน็ วันอภิเษกสมรสและเถลงิ ราชสมบตั ิของพระเจา้ กวางสใู นวัย 17 ปี
พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 261
ใหก้ บั ญ่ีปนุ่ ในสงครามจีนญปี่ ุ่นครง้ั ที่ 1 (First Sino-Japanese War) (1894-1895) จนทำ� ใหเ้ กิด
การปฏิรูปขึ้นโดยพระเจ้ากวางสู หรือท่ีรู้จักกันโดยท่ัวไปว่าการปฏิรูปร้อยวัน (One Hundred’s
Reform) (1898) เนอ่ื งจากซสู ไี ทเฮาไดท้ ราบถงึ แผนการลอบสงั หารตวั เธอเองกอ่ นหนา้ นนั้ ซง่ึ วางแผน
โดยคงั โหยว่ เหวย (康有為) นกั ปฏริ ปู ผสู้ นบั สนนุ จกั รพรรดแิ ละพวก3 จงึ หยดุ การปฏริ ปู โดยการจบั
ฮอ่ งเตไ้ ปขงั คกุ แลว้ ออกวา่ ราชการอกี ครง้ั หนง่ึ ในปี 1898-1901 ไดเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวของกลมุ่ นกั มวย
ขนึ้ (義和團運動 Boxer Rebellion หรอื Boxer Movement) โดยมสี โลแกนคอื “สนบั สนนุ ราชวงศช์ งิ
ขับไลต่ ่างชาต”ิ (扶清滅洋)
นอกจากนี้ ปนี ย้ี งั จดั ไดว้ า่ เปน็ ปที เ่ี ปน็ “จดุ เปลย่ี นครง้ั สำ� คญั ทางประวตั ศิ าสตรจ์ นี สมยั ใหม”่
(Mary Clabaugh Wright, 1968) ซง่ึ ชาวจนี และตา่ งชาตจิ ำ� นวนมากกลา่ วโทษซสู ไี ทเฮา ในเหตกุ ารณน์ ี้
และท�ำให้ภาพลักษณ์ของเธอถูกเผยแพร่ไปในทางที่ลบในส่ือชาติตะวันตกหลายชาติและท�ำให้
กองก�ำลังพนั ธมิตรแปดชาติยดึ กรงุ ปกั กิง่ และทำ� ใหซ้ ูสีไทเฮาเดนิ ทางล้ีภัยอีกครั้ง หลงั จากเดินทาง
กลับมายังวังต้องห้าม ท่าทีของซูสีไทเฮาต่อชาติตะวันตกเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน
จนกระทง่ั มงี านเลยี้ งตอ้ นรบั ภรรยาคณะทตู ตา่ งชาตขิ น้ึ ในวงั ขน้ึ โดยมวี ธิ ที างการทตู ทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์
และเกดิ การเปลย่ี นแปลงขนานใหญโ่ ดยมกี ารปฎริ ปู ประเทศครง้ั ที่ 2 ซงึ่ ซสู ไี ทเฮาเปน็ ตวั หลกั ในการชโู รง
และออกราชกฤษฎีกา ออกมาในวันที่ 29 มกราคม 1901 โดยปรบั ปรงุ จ๋งหลห่ี ยา๋ เหมนิ (總理衙門)
ซ่ึงดูแลด้านการต่างประเทศของราชวงศ์ชิงแต่ยังขาดเอกภาพเป็นกระทรวงการต่างประเทศ
(Bureau of Foreign Affairs) อกี ทงั้ ยงั ออกกฎหมายทส่ี ง่ ผลตอ่ สทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนและสตรี
โดยเฉพาะการยกเลิกการรัดเท้าของหญิงสาวชาวฮ่ันสนับสนุนการศึกษาของผู้หญิงโดยการต้ัง
โรงเรยี นสำ� หรบั สตรชี น้ั สงู เปน็ ตน้ รวมทง้ั ยงั แตง่ ตง้ั คณะกรรมการเพอื่ การปฏริ ปู รฐั บาล (Government
Reform Commission) ในปี 1905 ไปยงั ประเทศญปี่ นุ่ อเมรกิ า และหลายประเทศในยโุ รปเพอื่ จะสรา้ ง
ระบบรฐั ธรรมนญู ในจนี ขน้ึ และมกี ารเปลยี่ นโครงสรา้ งรฐั บาลกลางในปถี ดั มา (Richard S. Horowitz,
2003) พระนางยังได้ลงชื่อของเธอเองในพระราชกฤษฎีกาประกาศเจตนารมณ์ท่ีจะก่อตั้งระบบ
ราชาธปิ ไตยภายใต้รฐั ธรรมนญู โดยมรี ัฐสภาทมี่ าจากการเลือกตงั้ (an elected parliament) เป็นต้น
การศึกษาบทบาททางการเมืองซึ่งขัดกับกฎมณเฑียรบาลและอัตชีวประวัติของพระนาง
ซูสีไทเฮาในช่วงคร่ึงหลังของศตวรรษที่ 19 เปรียบเสมือนหน้าต่างที่ท�ำให้เห็นถึงภาพยุคแห่ง
ความวุ่นวายและเสื่อมถอยของราชวงศ์ชิง ตลอดจนความพยายามของจีนที่จะปรับตัวให้เข้ากับ
โลกยุคสมัยใหม่ผ่านช่วงเวลาส�ำคัญทางประวัติศาสตร์จีน ดังน้ัน บทบาทและชีวิตของเธอในฐานะ
ผู้หญิงทรงพลัง ผู้ก้าวขึ้นสู่อ�ำนาจจากการเป็น “แม่” ของฮ่องเต้ถงจ้ือและ “เมีย” ของจักรพรรดิ
เสียนเฟิง ตลอดจนมีสถานะเป็นแม่เล้ียงของพระเจ้ากวางสู โดยเฉพาะช่วงเวลาสงครามจีน-ญี่ปุ่น
ครง้ั ที่ 1 การปฏริ ปู หนง่ึ รอ้ ยวนั กบฏนกั มวย และการปฏริ ปู ประเทศครง้ั ที่ 2 ของพระนาง จนมคี นเปรยี บ
พระนางเปน็ ”กวอ๋ หม”ู่ หรอื “แมข่ องแผน่ ดนิ ” และอกี ทง้ั นางยงั เปรยี บตวั เองวา่ มคี วามสามารถเหนอื กวา่
พระนางเจ้าวกิ ตอเรยี (1819-1901) กษตั ริย์หญงิ แหง่ สหราชอาณาจักรผู้ร่วมสมยั เดยี วกันอกี ด้วย ดงั
นนั้ บทบาทและชวี ติ ดงั่ เทพนยิ ายของพระนางซสู ไี ทเฮาจงึ ควรคา่ แกก่ ารคน้ หายงิ่ เพอ่ื นำ� ไปสบู่ ทสรปุ และ
เชือ่ มโยงวา่ พลังผู้หญิงของซสู ไี ทเฮาในชว่ งปลายศตวรรษน้ี สง่ ผลอย่างไรตอ่ สยามประเทศ
3แผนการลอบสังหารถูกค้นพบโดยนักประวัติศาสตร์จีนที่หอจดหมายเหตุแห่งในญ่ีปุ่น (Jung Chang, 2013:
290) คงั โหยว่ เหวย และเหลยี งฉ่ีเชา (梁啟超) ผู้ทำ� หน้าท่ีคนส�ำคัญในการให้ค�ำปรกึ ษาฮอ่ งเต้ในการปฏริ ูปสามารถ
ลภ้ี ยั ไปยังญี่ปนุ่ สำ� เรจ็ หลังจากนัน้ จึงไดเ้ ขียนโจมตีซสู ไี ทเฮาลงสอ่ื ในประเทศญ่ปี นุ่ หลายฉบับ
262 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
สงครามจีน-ญีป่ นุ่ คร้ังท่ี 1
หลังจากญป่ี ุ่นปฏิรปู ประเทศเปน็ รฐั อุตสาหกรรมสมยั ใหม่ภายใตจ้ กั รพรรดเิ มจิ ซึง่ รวบรวม
อำ� นาจกลบั คนื สู่จักรพรรดญิ ่ปี ่นุ อีกครั้งหนง่ึ ในปี ค.ศ. 1867 และผงาดอำ� นาจขนึ้ มา ญป่ี ุ่นเรมิ่ สนใจ
เกาหลีซ่ึงตกอยู่ในอาณัติของจีน ดินแดนตรงน้ีมีความส�ำคัญทางยุทธศาสตร์ด่ังท่ีพันตรี Klemens
Meckel ผใู้ หค้ ำ� ปรึกษากองทพั ญ่ปี ุน่ ในสมัยนัน้ กลา่ วไวว้ า่ เกาหลีเป็น “a dagger pointed at the
heart of Japan” หรือ “มีดที่จ้ีอยู่ทีห่ ัวใจของญี่ป่นุ ” (Peter Duus, 1976: 125) ประกอบกับญ่ปี ุน่
ต้องการทรัพยากรธรรมชาติในเกาหลีเพ่ือรองรับการเติบโตของประเทศ ท�ำให้จีนเกิดความกังวล
เน่ืองจากเกรงว่าจะเสียผลประโยชน์จากเกาหลี เม่ือเกิดการจลาจลในกรุงโซลปี 1882 จีนจึงส่ง
กองก�ำลังทหารไปควบคุมสถานการณ์และคุมเชิงกองก�ำลังจากญ่ีปุ่นซ่ึงถูกส่งไปเพ่ือปกป้อง
ผลประโยชนก์ อ่ นหนา้ นนั้ แล้ว ทำ� ให้เกดิ สนธิสัญญาเทยี นจนิ ระหวา่ งจีนกับญี่ปุ่น (Convention of
Tianjin) (1885) เพอื่ ปอ้ งปรามการปะทะระหวา่ งสองชาตแิ ละเกาหลอี ยใู่ นความคมุ้ ครองของทง้ั สอง
อยา่ งไรกต็ าม การสงั หารคมิ โอ คยนุ หนงึ่ ในหวั หนา้ รฐั ประหารในปี 1884 ผสู้ นบั สนนุ ญปี่ นุ่
ถูกสังหารในเซ่ียงไฮ้ ในปี 1894 ซ่ึงเป็นตัวเร่งให้เกิดสงครามและถูกใช้เป็นข้ออ้างในการสนับสนุน
สงครามในญี่ปุ่น (Sterling Seagrave, 1992) หลังจากน้ันไม่นานก็เกิดกบฏตงฮัก (Tonghak
Rebellion) ท�ำให้ท้ังสองชาติส่งกองก�ำลังไปอีกครั้ง แต่เมื่อเหตุการณ์สงบญี่ปุ่นกลับไม่ยอมถอย
กองกำ� ลังทหารกลับ และต้องการปฏริ ปู เกาหลี ซ่ึงจีนไม่ยอม ญปี่ ุ่นจงึ ถือวา่ หากจีนสง่ ก�ำลังมาเพม่ิ
จะเปน็ การทา้ ทายใหเ้ กดิ สงคราม ในวนั ที่ 25 กรกฎาคม 1894 ญป่ี นุ่ จมเรอื เกาชงิ (S.S. Kowshing)
ซงึ่ เปน็ เรอื ขององั กฤษบรรทกุ ทหารจนี และลกู กระสนุ ไปสมทบทเ่ี กาหลี ทำ� ใหจ้ นี ตระหนกั วา่ สงคราม
หลกี เลยี่ งไมไ่ ด้ และญป่ี นุ่ ประกาศสงครามกบั จนี ในวนั ที่ 1 สงิ หาคม 1894 ในชว่ งตน้ สงคราม ซสู ไี ทเฮา
ไม่ค่อยมีบทบาทมากนักเน่ืองจากเธอปลดเกษียณจากการเป็นผู้ส�ำเร็จราชการแทนพระเจ้ากวางสู
จอห์นสตันกล่าวไว้ว่า ช่วงปี 1889-1898 พระเจ้ากวางสูมีอ�ำนาจปกครองอย่างแท้จริง โดยถูก
แทรกแซงโดยซสู ไี ทเฮาบ้างเป็นคร้ังคราว (Reginald Fleming Johnston, 2008; 57)
ก่อนเร่ิมประกาศสงครามพระเจ้ากวางสูเพียงแค่เสด็จไปหาซูสีไทเฮาและแจ้งเพียงสงคราม
หลกี เลย่ี งไมไ่ ดแ้ ละถามเธอเพอื่ ความมน่ั ใจเทา่ นนั้ อยา่ งไรกต็ ามซสู ไี ทเฮาพยายามทจี่ ะใหอ้ งคมนตรี
สองสามคนส่งข้อมูลเก่ียวกับสงครามผ่านองค์ชายช่ิง (慶親王 Prince Qing/Ching) เม่ือฮ่องเต้
รภู้ ายหลงั จงึ ตอ่ วา่ เพราะอยากให้เธอเลกิ ยุง่ การเมอื ง (Jung Chang, 2013: 225) พระองคไ์ มช่ อบ
อิทธพิ ลของผหู้ ญิงและเกลียดพฤตกิ รรมของขนั ที ดงั ทีม่ ขี า่ วรายงานวา่ “จักรพรรดิหนุ่มรำ� คาญคน
ของพระนางซสู ไี ทเฮา…พระองคย์ งั ครกุ รนุ่ ดว้ ยอารมณว์ ยั รนุ่ และทำ� ลายขา้ วของ วนั หนง่ึ ทรงลงโทษ
หวั หน้าขันทขี องซสู ีไทเฮา แลว้ พดู ว่า “ครงั้ น้เี พียงแคโ่ บย คร้งั หน้าประหาร”4 เปน็ ไปได้ว่าเพือ่ ทจ่ี ะ
ได้มาซง่ึ ข้อมูลส่งขนั ทไี ปสงั เกตการณ์พระจกั รพรรดิ
ข่าวสงครามในหนังสือพิมพ์เป็นอีกช่องทางหนึ่งท่ีซูสีไทเฮาอาจใช้ในการหาข้อมูล อย่างไร
ก็ตามข่าวท่ีปรากฎในส่ือใช่ว่าจะเป็นความจริงเสมอไป ในสงครามกลางเมืองอเมริกัน (American
Civil War) (1861-1865) สำ� นกั ขา่ วไดข้ ายขา่ วสงครามไดเ้ ปน็ กอบเปน็ กำ� ดงั นน้ั Wilbur F. Storey
4“The Young Emperor of China,” New York Times, 26 August 1894 (ที่มา: http://search.proquest.
com/hnpnewyorktimes/docview/95142962/fulltextPDF/5BB31187F6FA41DAPQ/1?accountid=11455
(accessed May. 17, 2016).
พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 263
บรรณาธกิ ารชคิ าโกไทม์ (Chicago Times) สงั่ ใหน้ กั ขา่ วภาคสนามสง่ ขา่ วมาใหเ้ รว็ ทสี่ ดุ และถา้ ไมม่ ี
ขา่ วให้สง่ ขา่ วลือ นอกจากน้นั เหล่าบรรณาธกิ ารยังเสนอขา่ วอย่างล�ำเอียง ซึ่งในกรณีขา่ วสงครามจนี
กบั ญปี่ นุ่ ประชาชนทวั่ ไปพรอ้ มทจี่ ะจา่ ยเงนิ เพอื่ เสพยข์ า่ ว ซงึ่ มผี ลกบั การรายงานขา่ วในจนี ภาพขา่ ว
สงครามถูกเผยแพร่ในรูปของภาพพิมพ์แกะไม้ (Woodblock print) เพราะมีราคาไม่แพงเกินไป
สำ� หรบั ประชาชนทจ่ี ะซ้ือหาได้ ภาพพมิ พ์เหล่านีส้ อ่ื ถงึ แนวคดิ ของจีนต่อญ่ปี ุ่น เรอื รบและทหารญี่ป่นุ
มกั ถกู ทำ� ใหม้ ีขนาดเล็กและดูดอ้ ยประสิทธภิ าพกว่า เพอ่ื ให้ผูอ้ า่ นเหน็ ภาพถึงความเหนอื กวา่ ของจีน
คำ� ว่า “แคระ” หรอื “เล็ก” มักพบในข่าว เชน่ หนงั สอื พมิ พ์ซินเหวนิ เปา้ (新聞報) ฉบบั วันท่ี 21
พฤษภาคม 1895 เรียกกองเรือของญ่ปี นุ่ วา่ “เรือคนแคระ” และรายงานถึงความล้มเหลวของญีป่ ุ่น
ในการรบกบั จนี ในการรบทแี่ ม่น�้ำยาลู่ (黃海海戰 Battle of the Yalu River) (Weipin Tsai,
2014: 145-163)
ภาพแกะไม้แสดงชยั ชนะของจนี ต่อยทุ ธนาวที เี่ กาหลี (朝鮮水戰得勝捷図)
(ทม่ี า: http://www.jacar.go.jp/jacarbl-fsjwar-j/gallery/images/zoom/16126.d.3/16126.d.3_(6)_B20106-78.jpg)
ซูสีไทเฮาในช่วงแรกของสงครามไม่ได้แทรกแซงการบริหารงานของฮ่องเต้มากนัก เพราะ
เธอยังคงอาจมั่นใจว่าจีนจะชนะสงครามกับ “คนแคระ” ญี่ปุ่นอย่างที่คนจีนทั่วไปรู้สึก อย่างไรก็ดี
เธอเปน็ คนทเี่ กลยี ดการมอี คตกิ บั ผหู้ ญงิ มาก ซสู ไี ทเฮามกั กลา่ วถงึ วา่ เธอเกลยี ดการรดั เทา้ เพราะรบั รถู้ งึ
ความทรมานของการรดั เทา้ ของผหู้ ญงิ ชาวฮน่ั เธอกลา่ ววา่ เธอมกั ทนไมไ่ ดก้ บั การเหน็ เทา้ อนั เลก็ เรยี ว
ของเมยี้ วเจยี ฮยุ้ (繆嘉惠 Lady Miao) ผเู้ ปน็ อาจารยส์ อนวาดรปู ของซสู ไี ทเฮา (Katharine Augusta
Carl, 1906: 48) อย่างไรก็ตาม ซูสีไทเฮาไทเฮาน่าจะปลาบปล้ืมและยินดีท่ีเห็นผู้หญิงมีส่วนร่วม
ในสงครามในคร้ังนี้ จากภาพแกะไม้จากฝั่งจีน แสดงให้เห็นถึงความกลัวของทหารญ่ีปุ่นจนต้อง
แตกทพั เม่ือสตรีจนี เขา้ ร่วมต่อสูใ้ นสงคราม
264 พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
ภาพแกะไมท้ ่มี หี ัวเร่ืองวา่ “ผหู้ ญงิ ก็เข้ารว่ มสงคราม” (巾幗從戎)
(ทมี่ า: http://www.jacar.go.jp/jacarbl-fsjwar-j/gallery/images/zoom/16126.d.4/16126.d.4_(10)_B20102-33.jpg)
เม่ือซูสีไทเฮาเห็นหรือฟังเร่ืองราวจากภาพข่าวแกะไม้ว่าผู้หญิงเข้าร่วมสงครามอาจเป็น
แรงบันดาลใจให้เธอมีส่วนร่วมในการเขียนนิยายเร่ืองขุนศึกตระกูลหยาง (The Warriors of the
Yang Family) ซึ่งเป็นเรื่องราวเก่ียวกับผู้หญิงตระกูลหยางออกรบป้องกันจีนจากการรุกรานของ
ขา้ ศกึ ในศตวรรษที่ 10-11 ตามตำ� นานพนื้ บา้ น ซงึ่ เธอเปน็ บรรณาธกิ ารหลกั ของเรอื่ งนี้ (Jung Chang,
2013: 179; Ding Ruqin, 1999: 267-268)
ในวันท่ี 17 กันยายน 1894 หลังจีนแพ้ในการรบท่ีแม่น้�ำยาลู่ เธอจึงได้เร่ิมตระหนักถึง
สถานการณท์ ย่ี ำ่� แยข่ องจนี และเขา้ ใจสถานการณส์ งครามทแี่ ทจ้ รงิ ชดั เจนขน้ึ เมอื่ ขา่ วมาถงึ กรงุ ปกั กงิ่
เธอรสู้ กึ ตกใจอยา่ งมาก เพราะไมม่ ใี ครแจง้ ขา่ วใดๆ กบั เธอเลย (Sterling Seagrave, 1992: 182-183)
และเริ่มมีข่าวลือออกมาจากวังว่าพระเจ้ากวางสูไม่พอพระทัยมาก และต้องการไปควบคุมการรบ
ที่เกาหลีด้วยตัวพระองค์เอง แต่บรรดาขุนนางห้ามไว้ และขู่ท่ีจะลดอ�ำนาจของจ๋งหลี่หย๋าเหมิน5
ซสู ไี ทเฮาจงึ ตดั สนิ ใจลดขนาดงานวนั เกดิ ในโอกาสครบรอบ 60 ปี และบรจิ าคเงนิ ใหก้ บั กองทพั รวมทงั้
ปลดหลห่ี งจาง (李鴻章) ออกจากตำ� แหนง่ ผบู้ ญั ชาการกองทพั ในวนั เดยี วกนั และแตง่ ตงั้ องคช์ ายกง
(恭親王)6 ขนึ้ แทน วนั ที่ 8 ตลุ าคม จนี เรม่ิ ตระหนกั ถงึ ความออ่ นแอและองคช์ ายกงมคี วามคดิ จะยอมแพ้
และจา่ ยคา่ ปฏกิ รรมสงครามหากไมม่ ากจนเกนิ ไปนัก7
พลังผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 265
อย่างไรก็ตาม ซูสีไทเฮาเข้าถึงข้อมูลเก่ียวกับสงครามได้ท้ังหมดในวันท่ี 27 พฤศจิกายน
โดยพระเจ้ากวางสูสั่งให้น�ำรายงานเรื่องน้ีท้ังหมดส่งไปที่พระนางเหตุเนื่องมาจากเธอจับได้ว่า
พระสนมเจินและสนมจิ่นอ้อนวอนให้จักรพรรดิรับคนที่เธอแนะน�ำเข้าท�ำงาน (Jung Chang,
2013: 194) และมขี า่ วลอื ในเดอื นธนั วาคมวา่ เธอมบี ทบาทสำ� คญั ในการกำ� หนดทศิ ทางของประเทศ8
และเร่ิมก�ำจัดคนที่พยายามกันเธอให้ออกห่างจากการเมือง9 หลังจากการเจรจากับญ่ีปุ่นไม่ส�ำเร็จ
เธอต้องการให้จีนสู้ต่อ แต่ฮ่องเต้ องค์ชายกงและเหล่าข้าราชการไม่เห็นด้วยและต้องการยอมแพ้
ท้ายทส่ี ุดจีนยอมเซ็นสนธสิ ญั ญาชโิ มะโนะเซะกิ (Treaty of Shimonoseki) เมอื่ วันท่ี 17 เมษายน
ค.ศ. 189510
ซสู ีไทเฮากบั ควีนวิกตอเรีย แหง่ สหราชอาณาจกั ร
ถา้ เปรยี บเทยี บกบั สามญั ชน ควนี วกิ ตอเรยี เปน็ สญั ลกั ษณข์ อง “แม”่ และ “เมยี ” ทท่ี มุ่ เท
ให้กับชีวิตครอบครัว ส�ำหรับวัฒนธรรมของชนช้ันกลางยุควิกตอเรียนผ่านบทบาททางเพศและ
การน�ำเสนอภาพลักษณ์ของตัวเธอเอง ในขณะเดียวกันผลกระทบของระบบจักรวรรดินิยมอังกฤษ
ท�ำให้เกิดการเดินทางไปท่ัวโลกของผู้หญิงจ�ำนวนมาก โดยเฉพาะบรรดาภรรยาของมิชชันนารี
ข้าราชการที่ไปประจ�ำในอาณานิคมต่างๆ รวมถึงมิชชันนารีผู้หญิง นักเดินทางท่ีเป็นสตรีเพศ
ได้พบเจอกับชีวิตที่เป็นอิสระเพราะเธอสามารถก้าวข้ามขีดจ�ำกัดทางเพศต่างๆ ในประเทศแม่ได ้
และไดส้ รา้ งอัตลกั ษณ์ซ้อนในโลกใบใหม่ (Lydia H. Liu, 2004: 140)
ขณะทีท่ างราชสำ� นักได้เตรียมงานเฉลิมฉลองวนั เกดิ ครบรอบ 60 ปี ของซสู ไี ทเฮา ในวันที่
7 พฤศจิกายน 1894 นั้น เหล่าบรรดามิชชันนารีหญิงในจีนได้เสนอแนวคิดท่ีจะถวายคัมภีร์ไบเบิล
ภาคภาษาจนี เปน็ ของขวญั วนั เกดิ แดพ่ ระนางซสู ไี ทเฮาในงานประชมุ มชิ ชนั นารที เ่ี ซย่ี งไฮ้ (the Shanghai
Missionary Conference) ในเดือนกมุ ภาพันธ์ ปีเดียวกันน้นั โดยมีการระดมทนุ จากบรรดาสตรจี ีน
ที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนท่ัวประเทศ โดยหวังว่าจะใช้โอกาสนี้แสดงความจงรักภักดีและความช่ืนชม
ในความสามารถของพระนางในบทบาทผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดินของหญิงจีนเข้ารีตท้ังหลายด้วย
แมเ้ งินของพวกนางจะเปน็ เงินจำ� นวนนอ้ ยนิดเมื่อเทยี บกบั คา่ ใชจ้ า่ ยทั้งหมด (Lydia H. Liu, 2004:
141-144)
5“Mail News of the Oriental War,” New York Times, 25 September 1894 ทีม่ า http://search.
proquest.com/hnpnewyorktimes/docview/95150642/25CADE0C934B4589PQ/1?accountid=11455
(accessed May 22, 2016).
6TNA, FO 881/6665, Mr. O’Conor to the Earl of Kimberley, letter dated 21/1/1895, f. 34.
7TNA, FO 881/6605, Mr. Phipps to the Earl of Kimberley, letter dated 8/10/1894, f. 21
8“The Empress Dowager of China,” New York Times, 26 December 1894 ที่มา http://search.
proquest.com.ezproxy01.rhul.ac.uk/hnpnewyorktimes/docview/95149346/D0826F5A1743420EPQ/1?ac-
countid=11455 (accessed May 22, 2016).
9มพี ระราชกฤษฎกี าลงโทษ An Wei-chun ในวนั ที่ 30 ธันวาคม 1894 ผู้ตรวจการเน่ืองจากโจมตซี ูสไี ทเฮา
เนอ่ื งจากเธอพยายามทจ่ี ะแทรกแซงทางการเมอื งโดยการขดั ขวางความตงั้ ใจของพระจกั รพรรดิ ทม่ี า “The Empress
Dowager’s Power,” North China Herald, 4 January 1895
10โดยมีเงอ่ื นไขให้จีนมอบเกาะฟอร์โมซา (Formosa) หรือไต้หวนั รวมถึงหมเู่ กาะ Pescadores และคาบสมทุ ร
เหลียวตงตลอดกาลให้ญี่ปุ่น ให้จีนเปิดเมืองท่าเจ็ดเมืองเพ่ือค้าขายกับญ่ีปุ่น ให้ญ่ีปุ่นเข้าครอบครองท่าเวยไห่เว้ย
(威海衛) จนกว่าจนี จะจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามกว่า 200 ลา้ นตำ� ลึงครบถว้ น และให้เกาหลเี ปน็ อิสรภาพ
266 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
ภาพวาดควีนวกิ ตอเรียและครอบครัว
(ค.ศ. 1846)
(ที่มา: https://upload.wikimedia.org/
wikipedia/commons/a/a1/
Franz_Xaver_Winterhalter_Family_
of_Queen_Victoria.jpg)
จากภาพซ้ายคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดท่ี 7 โอรสของ
ควีนวกิ ตอเรยี ขวาคอื พระเจ้าจอรจ์ ที่ 5 โอรสของ
คิงส์เอ็ดเวริ ด์ ท่ี 7 และตรงกลาง คือ ควีนวิกตอเรีย
ทรงอมุ้ พระเจา้ เอด็ เวริ ด์ ที่ 8 โอรสของพระเจา้ จอรจ์
ที่ 5 ภาพนี้ผู้เขียนถ่ายที่พระราชวังเค็นซิงตัน
(Kensington Palace)
เซอรน์ โิ คลสั โรเดอรร์ กิ โอคอนเนอร์ (Sir Nicholas Roderick O’Conor) และชารลส์ เดนบ้ี
(Charles Denby) รฐั มนตรอี งั กฤษและอเมรกิ าเปน็ คนนำ� ไปสง่ มอบแกข่ า้ ราชการของจง๋ หลห่ี ยา๋ เหมนิ
ให้น�ำไปถวายแด่ซูสีไทเฮาตามพิธีทางการทูต โดยเลือกใช้พันธะสัญญาใหม่ (New Testament)
ซงึ่ เปน็ ภาคทสี่ องของคัมภรี ไ์ บเบิล โดยไดแ้ นบสารแสดงความยนิ ดีร่างโดยนางแมร่ี ริชาร์ด (Mary
Richard) ภรรยาของทิโมธี ริชารด์ (Timothy Richard) มชิ ชันนารชี าวเวลส์ ในนามของผู้หญงิ
เขา้ รตี นกิ ายโปรเตสแตนตใ์ นจนี โดยมใี จความสรปุ ทนี่ า่ สนใจวา่ การมอบพนั ธะสญั ญาใหมแ่ ดบ่ รรดา
จักรพรรดินี ราชินีและองค์หญิง ในโอกาสวันส�ำคัญต่างๆ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาติตะวันตก
(Lydia H. Liu, 2004: 145-146)
พลังผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 267
ถึงแม้ว่าธรรมเนียมปฏิบัติดังกล่าว ริชาร์ดจะไม่ได้ระบุชี้ชัดว่าเป็นธรรมเนียมไหน แต่โดย
ความเป็นจรงิ แล้วเขาได้รบั อทิ ธิพลจากภาพวาดของที โจนส์ บารเ์ กอร์ (T. Jones Barker) ในต้นป ี
ค.ศ. 1860 ทมี่ ชี อ่ื วา่ “The Secret of England’s Greatness” หมายถงึ “เคลด็ ลบั ความยงิ่ ใหญข่ อง
องั กฤษ” หรอื มชี อื่ เรยี กอกี อยา่ งวา่ ควนี วกิ ตอเรยี มอบคมั ภรี ไ์ บเบลิ แกผ่ นู้ ำ� แอฟรกิ นั “Queen Victoria
Presenting a Bible to an African Chief” และรูปภาพน้เี คยถกู นำ� แสดงทงี่ านนทิ รรศการในเวลส์
ในปี ค.ศ. 1864 รปู ภาพสนี ำ�้ มนั น้ี W.T. Stead ไดใ้ หค้ ำ� บรรยายเปน็ ครงั้ แรกในปี ค.ศ. 1887 ถงึ อำ� นาจของ
จกั รวรรดอิ งั กฤษ โดยเปน็ รปู ภาพทผ่ี นู้ ำ� จากทวปี แอฟรกิ าเขา้ พบควนี วกิ ตอเรยี เพอ่ื ทจ่ี ะสอบถามถงึ
เคลด็ ลบั ทที่ ำ� ใหอ้ งั กฤษยงิ่ ใหญ่ และควนี ไดค้ มั ภรี ไ์ บเบลิ เพอื่ ตอบคำ� ถาม (Lydia H. Liu, 2004: 146-147)11
“The Secret of England’s Greatness” ภาพวาดของโทมสั โจนส์ บารเ์ กอร์ (ราวปี 1863) ปัจจบุ ันภาพน้ี
ไดถ้ ูกจดั น�ำแสดงไว้ท่ี The National Portrait Gallery ณ กรุงลอนดอน (ทมี่ า: http://artuk.org/discover/)
ถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวท่ีปรากฏในรูปวาดถูกบันทึกไว้ในรูปแบบเอกสาร แต่
เหตกุ ารณท์ ่ใี กล้เคียงรูปวาดน้ีมากท่ีสุด ปรากฏในบันทึกของมารี มอลเล็ต (Marie Mallet) วนั ที่ 20
พฤศจกิ ายน 1896 ในพระราชวังวินเซอร์ (Windsor Castle) ว่า ผนู้ �ำชาวแอฟรกิ ันได้เข้าพบควนี
วิกตอเรียและได้ถวายเสื้อคุมหนังสัตว์ พรมที่ท�ำมาจากของเสือดาว และควีนวิกตอเรียได้ให้ค�ำมั่น
สญั ญาวา่ จะใหด้ นิ แดนเหลา่ นนั้ ตกอยภู่ ายใตป้ กครองและคมุ้ ครองจากควนี รวมทง้ั ควนี ยงั มอบพนั ธะ
สัญญาใหม่ที่เขียนในภาษาท้องถิ่นของผู้นำ� ท่ีขอเข้าพบ และรูปภาพขนาดใหญ่ รวมท้ังผ้าคลุมไหล่
จากอนิ เดยี และถอนตวั ถอยหลงั ไปอยา่ งสงบเสงย่ี ม อยา่ งไรกต็ ามบรรดาสง่ิ ของทคี่ วนี มอบใหม้ คี วาม
หมายเชงิ สัญลกั ษณ์ กลา่ วคอื ไบเบลิ หมายถึงศาสนจกั ร รปู ภาพคือเทคโนโลยี และ ผา้ คลุมไหล่คอื
การครอบครองอาณานคิ ม12 (Lydia H. Liu, 2004: 186-149)
11ดเู พมิ่ เตมิ ใน W.T. Stead, Her Majesty the Queen: Studies of the Sovereign and the Reign (London, 1887).
12ควนี มกั จะนิยมมอบผ้าคลมุ ไหลจ่ ากอนิ เดียแกบ่ รรดาแขกต่างชาติ หลังจากการสถาปนาเป็นจกั รพรรดนิ แี ห่ง
อนิ เดยี (Empress of India) ในปี ค.ศ. 1876
268 พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
ในฤดใู บไมร้ ว่ ง ปี ค.ศ. 1894 ไดเ้ กดิ โรคระบาดขน้ึ ทภี่ าคใตข้ องจนี คนสง่ ขอ้ ความและหนงั สอื
เกย่ี วกบั บทความจากคมั ภรี ไ์ บเบลิ จากชมรมไบเบลิ อเมรกิ นั (American Bible Society) ถกู ทำ� รา้ ย
อยา่ งหนกั เนอื่ งจากชาวบา้ นกลา่ วหามชิ ชนั นารตี า่ งชาตเิ ปน็ ตน้ เหตขุ องโรคระบาด แมบ้ รรดามชิ ชนั นารี
และชาวตา่ งชาติจะไดร้ ับการคุม้ ครองตามสนธสิ ญั ญาเทียนจิน (Treaty of Tianjin, 1858) หลงั จาก
จนี แพส้ งครามฝน่ิ ครงั้ ที่ 2 กระแสการเกลยี ดชงั และรมุ ทำ� รา้ ยเรม่ิ กอ่ ตวั ขน้ึ ในชว่ งเวลาน้ี ดงั นน้ั การมอบ
คัมภีร์ไบเบิลสามารถส่ือความถึงการเรียกร้องให้จีนท�ำตามสนธิสัญญาปกป้องชาวต่างชาติและ
ครสิ เตยี น ในขณะเดยี วกนั ซสู ไี ทเฮากร็ สู้ กึ เหน็ ใจกระแสการตอ่ ตา้ นครสิ เตยี นของประชาชน (Lydia
H. Liu, 2004: 142-150)
แมซ้ สู ไี ทเฮาจะขน้ึ สอู่ ำ� นาจจากการเปน็ “แม”่ และ “เมยี ” ของพระจกั รพรรดิ แตก่ ารมอบคมั ภรี ์
ไบเบิลของเหล่าบรรดามิชชันนารีต่างชาติโดยพยายามเปรียบพระนางเหมือนควีนวิกตอเรียและ
พยายามเชอื่ มสมั พนั ธใ์ นฐานะของความเปน็ ผหู้ ญงิ ระหวา่ งเหลา่ มชิ ชนั นารแี ละซสู ไี ทเฮานนั้ ซสู ไี ทเฮา
กลับปฏิเสธความคิดเหล่านี้และตอบกลับด้วยการมอบของขวัญกลับ ซ่ึงล้วนแต่มีความหมาย
เชิงสญั ลกั ษณ์ เตอ๋ หลงิ นางสนองพระโอษฐผ์ ู้เคยรับใชซ้ ูสไี ทเฮาในวงั ตอ้ งห้ามกลา่ วไวว้ ่า “พระนาง
ซูสีไทเฮามีความปรารถนาท่ีจะเป็นบุรุษอยู่ตลอดเวลาและส่ังให้ทุกคนกล่าวกับเธอเหมือนเธอเป็น
ผชู้ าย” (Lydia H. Liu, 2004: 151) นางมกั จะใหท้ กุ คนเรยี กเธอวา่ “เหลา่ ฝวั เหย”่ (老佛爺) ซง่ึ มี
ความหมายวา่ พระโพธสิ ัตว์เฒา่ หรือรูจ้ ักกนั ในภาษาองั กฤษวา่ “Old Buddha” ค�ำวา่ “เหย่” (爺)
คอื สว่ นประกอบหลงั คำ� หลกั ทแี่ สดงถงึ ความเปน็ ผชู้ าย สงิ่ เหลา่ นท้ี ำ� ใหเ้ ขา้ ใจไดว้ า่ เธอเขา้ ใจวา่ อำ� นาจ
การปกครองรัฐน้ัน เป็นของเพศชายและท�ำใหต้ วั เองมอี �ำนาจน้ี ผา่ นการท�ำให้จกั รพรรดอิ ่อนแอกว่า
โดยการเลือกจักรพรรดิด้วยตัวของเธอและเป็นผู้ส�ำเร็จราชการแทน โดยเฉพาะกับพระเจ้ากวางส ู
ซงึ่ เธอเปน็ คนเลอื กเขา้ มาครองราชยแ์ ทนฮอ่ งเตถ้ งจอื้ ตงั้ แตย่ งั อายุ 3 ขวบและสอนจกั รพรรดใิ หเ้ รยี ก
เธอวา่ “親爸爸” หรอื “Papa Dearest” หมายถงึ พอ่ ผเู้ ปน็ ทร่ี กั และเมอ่ื โตขนึ้ ฮอ่ งเตเ้ รยี กวา่ “皇爸爸”
หรือ “My Royal Father” หมายถงึ พ่อหลวง (Jung Chang, 2013: 145) จะเหน็ ได้ชัดวา่ เธอผา่ น
กระบวนการท่ีท�ำให้ตัวเธอเป็นเพศชายผ่านค�ำท่ีมีความหมายระบุถึงเพศชายให้มีสถานะสูงกว่า
พระจักรพรรดิเพื่อได้มาซ่งึ อาณัตนิ ี้
เมอื่ เธอไดร้ บั ไบเบลิ เธอรบั อยา่ งยนิ ดแี ละถามถงึ รายชอื่ ของผมู้ อบให้ ซง่ึ ไมไ่ ดร้ วมหญงิ เขา้ รตี
ชาวจีนเข้าไปด้วย เธอจึงให้จ๋งหลี่หย๋าเหมินส่งของขวัญตอบแทนกลับไปยังบรรดาสตรีท่ีปรากฏ
อยู่ในรายชื่อ ซึ่งของขวัญท่ีส่งไปประกอบไปด้วยผ้าไหมจากเมืองนานกิงหน่ึงม้วน ม้วนผ้าซาติน
ขนาดหนา และกลอ่ งอปุ กรณก์ ารถักเยบ็ รวมถงึ ผ้าเชด็ หนา้ สองกล่องใหต้ ัวแทนหลัก คือ นางริชาร์ด
และนางฟติ ช์ (Mrs. Fitch) จะเหน็ ไดว้ า่ สง่ิ ของเหลา่ นเ้ี ปน็ สง่ิ ของทแ่ี สดงความหมายถงึ เพศหญงิ และ
เธอมอบให้โดยคิดว่าเธอนั้นมีอ�ำนาจการปกครองแบบผู้ชาย มีความหมายเชิงสัญลักษณ์หมายถึง
การให้บรรดาเหล่ามิชชันนารีกลับไปอยู่ในพ้ืนท่ีของผู้หญิง คือ การอยู่ในบ้าน และเตือนพวกเธอ
ให้กลับไปท�ำบทบาทหน้าท่ีของสตรี ดังนั้นจึงค่อนข้างแย้งกับสิ่งที่มิชชันนารีท�ำและคาดหวัง
คือการท่ีผู้หญิงสามารถท�ำหน้าท่ีได้มากกว่าการอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนและก้าวข้ามการกีดกัน
ทางเพศ (Lydia H. Liu, 2004: 151-168) และเมื่อพูดถึงควีนวิกตอเรียเธอคิดว่าเธอมีสถานะ
และบทบาทที่เหนือกว่าควีนโดยกล่าวว่า “อังกฤษแม้จะเป็นประเทศมหาอ�ำนาจหนึ่งในโลกแต่
ควนี วกิ ตอเรยี กห็ าไดม้ อี ำ� นาจเบด็ เสรจ็ เธอมบี รุ ษุ ผเู้ กง่ กาจจากรฐั สภาคอยสนบั สนนุ และใหค้ ำ� แนะนำ�
ตลอดเวลา” แต่ในจนี “ผ้คู น 400,000,000 คน ล้วนตกอยู่ในอำ� นาจการตดั สินใจของเรา ถงึ แมจ้ ะมี
องคมนตรใี หค้ ำ� ปรกึ ษา แตเ่ มอ่ื มาถงึ สง่ิ ทสี่ ำ� คญั เราลว้ นตดั สนิ ใจดว้ ยตวั เอง” (Der Ling, 2004: 277)
พลงั ผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 269
ความเคลือ่ นไหวของกล่มุ นกั มวยและการทตู ซูสีไทเฮา
หลงั จากสนิ้ สดุ สงครามจนี ญปี่ นุ่ ครงั้ ท่ี 1 จนี ไดร้ บั ความอบั อายจากการแพส้ งครามใหก้ บั ญป่ี นุ่
มขี า่ วลอื แพรส่ ะพดั วา่ ชาตมิ หาอำ� นาจตะวนั ตกกม็ สี ว่ นรว่ มในการชว่ ยญป่ี นุ่ โจมตจี นี จนทำ� ใหจ้ นี กลายเปน็
ประเทศกึง่ อาณานิคม (Semi-colonised country) ในมุมมองของชาวจนี ประเทศจีนถูกแบ่งแยก
โดยชาวต่างชาติ ดังน้ันกระแสการเกลียดชาวต่างชาติจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นช่วงปลาย
ศตวรรษที่ 19 นี้ จึงเกิดการเคล่ือนไหวของนกั มวยข้นึ (Boxer Movement) (1898-1901) จนพฒั นา
เปน็ ความขดั แยง้ ระหวา่ งราชสำ� นกั ชงิ กบั ชาตมิ หาอำ� นาจ ในบนั ทกึ ของเมอื งฉอื ผงิ (茌平縣志) ไดบ้ นั ทกึ
ไวว้ า่ “หลงั จากสงครามจนี ญป่ี นุ่ ประชาชนเรมิ่ เกลยี ดชงั ชาวตา่ งชาติ เพราะรสู้ กึ วา่ เขาชนะดว้ ยเพราะมปี นื
และปนื ใหญ่ แตต่ อ้ งมบี างอยา่ งทสี่ ามารถสกู้ บั สงิ่ เหลา่ นไ้ี ด้ นนั่ คอื ตำ� นานพลงั วเิ ศษของเกราะระฆงั ทอง
(Amour of the Golden Bell) ทปี่ กปอ้ งผคู้ นทอ่ี ยใู่ นอาณาบรเิ วณนน้ั โดยครง้ั แรกมกี ารทอ่ งบทสวด
ของระฆงั ทองเพยี งแคท่ สี่ องท่ี จากนน้ั กข็ ยายไปหลายหมบู่ า้ น ซง่ึ เปน็ รากฐานของกลมุ่ นกั มวยในเวลา
ต่อมา” (Li Jikui, 1987: 99)
การเคลอื่ นไหวของนกั มวยนนั้ มลี กั ษณะเปน็ สมาคมลบั ซง่ึ มเี ปา้ หมายเพอ่ื ขบั ไลช่ าวตา่ งชาติ
โดยมสี โลแกนคอื “สนบั สนนุ ราชวงศช์ งิ ขบั ไลต่ า่ งชาต”ิ และมสี มาคมอเ้ี หอถวน (義和團運動) หรอื
สมาคมเพอ่ื การรวมกลมุ่ ของผผู้ ดงุ คณุ ธรรม คำ� วา่ “ตา่ งชาต”ิ (洋) ทปี่ รากฏในสโลแกนมคี วามหมาย
หลายชั้น นั่นคือหมายรวมถึง ชาวต่างชาติ (洋人) ส่งิ ของตา่ งชาติ (洋物) สนิ คา้ ต่างชาติ (洋貨)
และศาสนาตา่ งชาติ (洋教) โดยหลงั จากเกิดเหตกุ ารณ์การลกุ ฮอื ของกลมุ่ นักมวยนนั้ ซูสีไทเฮาถกู
กลา่ วหาวา่ ชกั ใยอยเู่ บอ้ื งหลงั ซงึ่ มคี วามเปน็ ไปไดเ้ พราะซสู ไี ทเฮามปี ระสบการณช์ วี ติ ไมด่ กี บั ตา่ งชาติ
กล่าวคือตัวเธอต้องหนีตายออกจากปักกิ่งช่วงสมัยสงครามฝิ่น ในปี 1860 การอยากได้สัมปทาน
ของตา่ งชาติ ความเห็นอกเหน็ ใจตอ่ พระเจ้ากวางสใู นการปฏริ ูปร้อยวนั และยังชว่ ยให้ คงั โหย่วเหวย
หลบหนไี ปญปี่ นุ่ ไดส้ ำ� เรจ็ (John K. Fairbank และ Kwang-Ching Liu, 1980: 115-117) การกลา่ วหา
ของชาตติ ะวันตกท�ำให้ภาพลักษณ์ของซสู ีไทเฮาแย่ในสายตาชาวโลก ดังจะเหน็ ได้จากภาพจากส่ือ
ตะวนั ตกด้านลา่ ง โดยภาพแรกสือ่ ฝร่ังเศสให้เหน็ ถึงภาพการเป็นทรราช แมม่ ด และ ฆาตกรหน้าตา
บูดเบ้ยี วในมอื ถอื มดี และภาพท่สี องมีรปู รา่ งเหมอื นปศี าจยักษจ์ บั คนไปขังไว้ในกรง
เลอ รีรแ์ มกกาซีน (Le Rire Magazine) พาดหวั ว่า “พระนางซูสไี ทเฮา”
(Empress Dowager Cixi) ฉบับวนั ท่ี 14 กรกฎาคม 1900
(ทม่ี า: http://ocw.mit.edu/ans7870/21f/21f.027/empress_dowager/
gallery/pages/cx222_Rire.htm)
270 พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
ภาพซูสีไทเฮาในหนงั สอื พมิ พ์ทปี่ ระเทศออสเตรยี
ฉบบั วนั ที่ 22 มถิ ุนายน 1900
(ทมี่ า: http://ocw.mit.edu/ans7870/21f/21f.027/em-
press_dowager/gallery/pages/cx235_kikeriki.htm)
เพอ่ื เปลยี่ นภาพลกั ษณแ์ ละพฒั นาความสมั พนั ธท์ างการทตู กบั ชาตติ ะวนั ตก เธอเชญิ บรรดา
บุคคลในสถานทูตต่างๆ โดยเฉพาะภริยาทูตมายังพระราชวังต้องห้ามเพ่ือรับประทานอาหารเท่ียง
ร่วมกัน รูปถัดมาสื่อให้เห็นถึงความต้ังใจของซูสีไทเฮาในการที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิง
ดว้ ยกนั จะเหน็ ไดว้ า่ แนวความคดิ ของเธอเปลยี่ นไปจากการเหน็ พวกบรรดาเหลา่ มชิ ชนั นารหี ญงิ สาว
ตะวันตกควรจะอยู่ท�ำหน้าที่ในบ้าน มาให้ความส�ำคัญกับพวกเธอในฐานะไม่ต่างจากนักการทูตคน
สำ� คญั โดยเฉพาะกับนางซาร่า ไปค์ คอนเจอร์ (Sarah Pike Conger) ภริยานกั การทูตชาวอเมริกัน
ทมี่ าประจ�ำ ณ กรุงปักกงิ่ ซง่ึ ในรปู ซูสไี ทเฮาจับมอื ของเธอท�ำให้ชื่อเสยี งของพระนางมีภาพบวกใน
ระดับนานาชาติ
ภาพถ่ายซูสีไทเฮากับนางซาร่าและสตรีสามนาง
จากสถานทูตอเมริกา (1903-1905) หญิงสาว
ตัวเล็กในภาพเป็นลูกสาวของช่างถ่ายภาพ
ซุนหลิง (勛齡) พีช่ ายของเตอ๋ หลงิ ซึง่ มถี า่ ยภาพ
เป็นงานอดิเรกสมัยตอนอยู่ท่ีโตเกียวและปารีส
เน่ืองจากมีพ่อเป็นนักการทูตจีน รูปภาพของ
ซูสีไทเฮาส่วนใหญ่เก็บไว้ท่ีสถาบันสมิธโซเนียน
(Smithsonian Institution)
(ที่มา: http://collections.si.edu/search/re-
sults.htm?view=&tag.cstype=all&date.slid-
er=&q=%22FSA+A.13% 22&dsort=&start=20)
พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 271
นไ่ี มใ่ ชเ่ ปน็ การเผชญิ หนา้ ครง้ั แรกระหวา่ งซสู ไี ทเฮากบั หญงิ ชาวตะวนั ตกผอู้ าศยั อยใู่ นพน้ื ที่
ของสถานทูต แตแ่ ท้จริงแล้วแนวคดิ น้ี รเิ รม่ิ ข้นึ จากเลด้ี แมคโดนลั ด์ (Lady MacDonald) ภรยิ า
รัฐมนตรีจากสหราชอาณาจักร ในปี 1898 ซึ่งอยากขอเข้าเฝ้าพระนางซูสี ซึ่งใช้เวลาถึงสองเดือน
ในการติดต่อระหว่างคณะทูตานุทูตกับวังต้องห้าม (Susanna Hoe, 2000: 1) เมื่อเวลามาถึงซูส ี
กลับไม่เอ่ยค�ำใดเลยและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว (Ethel MacDonald, 1901: 252) อย่างไรก็ตาม
พระนางซูสีไทเฮากลับยอมให้เหล่าบรรดาสตรีต่างชาติเข้าพบอันเป็นสาเหตุมาจากหลังจากปฏิรูป
รอ้ ยวนั บรรดาชาวตา่ งชาตทิ อี่ าศยั อยใู่ นสถานทตู ตา่ งเหน็ ใจพระเจา้ กวางสู และมองเธอเปน็ คนตอ่ ตา้ น
การปฏิรูปเพ่ือแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นมิตรกับต่างชาติและสร้างความประทับใจกับตะวันตก จึงเชิญ
พวกนางเข้าพบเป็นครั้งแรก เนื่องในโอกาสวันเกิดครบรอบ 64 ปี และมอบแหวนให้พวกนางเป็น
ของขวัญ ซ่ึงแหวนนี้สื่อถึงมิตรภาพของความเป็นพี่น้องกันระหว่างหญิงสาว (sisterhood) (Jung
Chang, 2013: 301-303) ในขณะท่เี ลดี้ แมคโดนลั ด์ สังเกตความเศร้าหมองจากใบหน้าของพระเจา้
กวางสไู ด้อย่างเดน่ ชดั ซสู ไี ทเฮากลับเป็นคนทีเ่ ก็บอารมณไ์ ด้เกง่ ดงั ที่ซารา่ คอนเจอร์ บันทึกไว้วา่
“ไมเ่ หน็ รอ่ งรอยของความโหดรา้ ยในใบหนา้ เลย พระนางตอ้ นรบั เราอยา่ งอบอนุ่ โดยยนื ขนึ้ และอวยพร
ใหเ้ รา โดยจบั มือกบั ทุกคนและพดู ว่า “ครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกนั ” (Jung Chang,
2013: 302-303)
เป็นไปได้ว่าซูสีไทเฮาใช้ความเป็นผู้หญิงตบตาศัตรูได้เก่ง ในการท�ำรัฐประหารซินโหย่ว
(1861) เพ่ือยึดอ�ำนาจจากซู่ซุ่น (肅順) ผู้ส�ำเร็จราชการแทนที่พระเจ้าเสียนเฟิงแต่งต้ัง ได้กล่าวไว้
ระหว่างการน�ำตัวไปประหารว่า เขารู้สึกเสียใจท่ีมองข้ามคนท่ีเป็นเพียง “ผู้หญิง” (Jung Chang,
2013: 58) อยา่ งไรก็ตาม จากการวเิ คราะห์รปู ถา่ ยและพระนามพระโพธิสตั วเ์ ฒ่า (老佛爺) เปน็ ไป
ไดว้ า่ นางเปน็ คนมสี องบคุ ลกิ คอื มคี วามเปน็ ผชู้ ายและผหู้ ญงิ ในคนเดยี วกนั ดงั ทน่ี างชอบแตง่ ตวั เปน็
เจา้ แมก่ วนอมิ หรอื พระอวโลกเิ ตศวร หลงั จากเกดิ การเคลอื่ นไหวของกลมุ่ นกั มวยแลว้ ซง่ึ มขี นั ทคี นสนทิ
อยา่ งหลเี่ หลยี นองิ (李蓮英) ขนาบขา้ งซา้ ยและขนั ทอี กี คนแตง่ ตวั เปน็ สาวก รปู ปน้ั พระอวโลกเิ ตศวร
ในสมยั ราชวงศถ์ งั เปน็ ลกั ษณะเพศชายและผา่ นกระบวนการใหเ้ ปน็ เพศหญงิ (Process of feminisation)
ในสมัยราชวงศห์ มิง (Lydia H. Liu, 2004: 163-164)
ซูสีไทเฮาแตง่ ตัวเป็นเจา้ แม่กวนอิม (1903-
1905) ภาพนี้ถา่ ยโดนซนุ หลิง
รหสั รูปภาพ FSA A.13 SC-GR-245
(ท่ีมา: http://collections.si.edu/search/
results.htm?q=%22FSA+A.13%22&
dsort=&view=&date.slider= &tag.
cstype=all&start=20)
272 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
นกั เขยี นชาวตะวนั ตกเชอ่ื เปน็ จำ� นวนมากวา่ หลงั จากเกดิ เหตกุ ารณก์ ารลกุ ฮอื ของกลมุ่ นกั มวย
และการกลับมายังกรุงปักกิ่งอีกครั้งหลังจากลี้ภัย ซูสีไทเฮาได้เปลี่ยนไปจริงๆ จากก้นบึ้งหัวใจ
และความพยายามทจ่ี ะเชอื่ มความสมั พนั ธก์ บั ชาตติ ะวนั ตกหลงั เกดิ เหตกุ ารณแ์ ละการปฏริ ปู ครง้ั ท่ี 2 นน้ั
เป็นไปอย่างจริงใจ (Reginald Fleming Johnston, 2008: 46-47) อย่างไรก็ตามซูสีไทเฮาก็มี
ภาพลกั ษณท์ ดี่ ขี น้ึ สว่ นหนงึ่ มาจากการดำ� เนนิ วธิ ที างการทตู ของเธอโดยการปรบั ใชค้ วามเปน็ ผหู้ ญงิ
เข้าสานสัมพนั ธ์กบั บรรดาภริยาทตู จากชาติมหาอำ� นาจ
พระนางซสู ไี ทเฮากบั การปฎิรปู ครงั้ ที่ 2 (1901-1908)
หลงั จากเกดิ การลกุ ฮอื ของกลมุ่ นักมวย (1898-1901) ซสู ไี ทเฮาไดป้ ฏิรูปประเทศขนานใหญ่
ให้ทันสมัยแบบตะวันตก โดยเธอเปน็ ตัวหลกั และออกราชกฤษฎกี าแรก ในวนั ที่ 29 มกราคม 1901
เพื่อปรับปรุงจ๋งหล่ีหย๋าเหมิน เป็นกระทรวงการต่างประเทศ และออกกฎหมายหลายฉบับท่ีส่งผลดี
ต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและผู้หญิง อีกทั้งยังส่งคนไปยังประเทศมหาอ�ำนาจเพื่อดูงานเปลี่ยน
โครงสรา้ งรฐั บาลกลาง และสว่ นทสี่ ำ� คญั ทส่ี ดุ คอื การมเี จตนารมณท์ จ่ี ะกอ่ ตง้ั ระบบราชาธปิ ไตยภายใต้
รัฐธรรมนญู โดยมีรัฐสภาท่ีมาจากการเลอื กตงั้
ในวันท่ี 1 กุมภาพันธ์ 1902 มพี ระราชกฤษฎกี าท่ีลงนามโดยซสู ไี ทเฮา ซง่ึ สง่ ผลดตี ่อสตรีจีน
ทวั่ ประเทศ นน่ั กค็ อื การยกเลกิ การหา้ มการแตง่ งานระหวา่ งชาวฮน่ั กบั ชาวแมนจู และยกเลกิ การรดั เทา้
การหา้ มการแตง่ งานระหวา่ งฮน่ั และแมนจู นน่ั หมายถงึ วา่ สองชนเผา่ นแี้ ทบจะไมม่ โี อกาสไดป้ ฏสิ มั พนั ธก์ นั
ทางสงั คม แมแ้ ต่ครอบครวั ของขา้ ราชการท่สี นิทและเปน็ เพอื่ นร่วมงานกนั ก็แทบไมม่ ีโอกาสรจู้ กั กัน
มีบันทึกของชาวตะวันตกว่าเวลาองค์หญิงซ่ึงเป็นแมนจูพบปะกับชาวฮั่นซ่ึงเป็นลูกหลานของ
องคมนตรี พวกเขามีความเก้ๆ กังๆ ในการสร้างความบทสนทนา ส่วนการยกเลิกการรัดเท้านั้น
ดังที่ทราบกันในข้างต้นว่า พระนางซูสีไทเฮาทรงชิงชังการรัดเท้าของผู้หญิงชาวฮั่นมากและเธอมัก
จะทนไม่ได้ที่จะมองไปยังเท้าอันเล็กเรียวของอาจารย์สอนวาดรูปในวังซึ่งเป็นชาวฮั่นดังท่ีกล่าวไป
ในข้างต้น นอกจากน้ันแล้วเธอยังยกเลิกข้อห้ามของการห้ามพบปะกันระหว่างหญิงชาย ซึ่งเป็น
วฒั นธรรมท่ีไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากหลกั ค�ำสอนเบือ้ งตน้ ของขงจอื้ (Jung Chang, 2013: 389-390)
ในดา้ นการศกึ ษาสำ� หรบั สตรจี นี ซสู ไี ทเฮายงั สนบั สนนุ เงนิ เพอื่ สรา้ งโรงเรยี นสำ� หรบั สตรชี น้ั สงู
โดยให้องค์หญิงหรงโช้ว (榮壽固倫公主) ลูกสาวขององค์ชายกงซึ่งซูสีไทเฮารับมาเป็นลูกเล้ียง
เปน็ ครใู หญ่ นอกจากนนั้ เธอยงั มแี ผนการทจ่ี ะเปดิ สถาบนั การศกึ ษาขน้ั สงู หรอื ระดบั อดุ มศกึ ษา โดยสรา้ ง
แรงจงู ใจสำ� หรบั ผสู้ มคั รดว้ ยการประกาศวา่ ผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษาจะไดร้ บั เกยี รตดิ ว้ ยการมสี ถานะเปน็ ลกู ศษิ ย์
สว่ นตัวของพระนางเจ้าซูสไี ทเฮา ได้มกี ารแสดงงว้ิ ขึ้นในปี ค.ศ. 1905 ซ่งึ เขียนมาจากเรอื่ งราวของ
มาดามฮ้ยุ ซิง (惠興女士) ผสู้ นับสนนุ โรงเรยี นสตรีจนี ซง่ึ เผาตวั เองจนตายเพ่ือเรียกรอ้ งความสนใจ
ตอ่ สงั คมเพอ่ื ใหม้ กี ารหาทนุ สนบั สนนุ การกอ่ ตงั้ โรงเรยี นขนึ้ โดยสอ่ื หนงั สอื พมิ พย์ กยอ่ งเธอเปน็ วรี สตรี
และมีการให้น�ำง้ิวมาแสดงที่พระราชวังฤดูร้อนโดยซูสีไทเฮาเป็นคนสนับสนุนการให้เลือกนักแสดง
ในท่ีสาธารณะเพ่ือให้คนมาสมัครเพ่ือเล่นงิ้วเรื่องน้ี ในโอกาสเดียวกันเธอได้เลือกงิ้วเรื่อง “สตรีก็
สามารถเปน็ ผรู้ ักชาติ” เพือ่ ใหผ้ ู้หญงิ จนี ตืน่ ตวั ทางการเมือง จนในทส่ี ุดไดม้ กี ารตรากฎหมายสำ� หรับ
การศกึ ษาสตรขี น้ึ ในปี 1907 ซงึ่ ใหผ้ หู้ ญงิ ควรจะไดร้ บั การศกึ ษา เรอื่ งราวของผวู้ า่ การตวนฟาง (端方)
ก็เปน็ ทีน่ า่ สนใจไม่แพก้ นั แนวคิดการปฏิรูปและความสามารถของเขาเขา้ ตาซูสไี ทเฮาช่วงท่ีเธอลีภ้ ยั
หลังจากชาติตะวนั ตกยึดปักกงิ่ จากการลุกฮือของกลมุ่ นกั มวย โดยในปี 1905 มกี ารให้ทุนการศึกษา
พลังผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 273
กับผู้หญิงไปเรยี น ณ ตา่ งประเทศครัง้ แรก โดยหนึง่ ในจ�ำนวนนัน้ มี ซ่งชง่ิ หลงิ (宋慶齡) หรือมาดาม
ซนุ ยดั เซ็น และซง่ เหมย่ หลิง (宋美齡) หรือมาดามเจยี ง ไคเชก
ในช่วงสิบทศวรรษแรกของศตวรรษท่ี 20 สิทธิสตรี (女權) ก�ำลังได้รับความนิยมในจีน
จนกล่าวกันว่าศตวรรษนี้จะเป็นยุคท่ีสิทธิสตรเี ฟอื่ งฟมู ากทส่ี ุด การศึกษาแบบตะวนั ตกเข้ามาแทนท่ี
การศกึ ษาแบบเก่า โดยยงั คงวชิ าการศึกษาจนี โบราณไว้ ในปี 1903 ครอบครวั ชนชัน้ น�ำจนี มกี ารสง่
ลกู หลานไปเรยี นยงั ตา่ งประเทศโดยเฉพาะประเทศญป่ี นุ่ ซง่ึ มจี ำ� นวนนกั เรยี นนกั ศกึ ษาถงึ กวา่ 10,000 คน
ผลของการส่งนักเรยี นนักศกึ ษาไปยังต่างประเทศคอื เรม่ิ มีกระแสต่อตา้ นแมนจมู ากข้ึน และวจิ ารณ์
ซสู ไี ทเฮาออกสอื่ ตา่ งๆ โดยมบี างคนเสนอใหเ้ ธอปราบปรามสอ่ื และใหเ้ ลกิ สง่ นกั เรยี นไปยงั ตา่ งประเทศ
แตเ่ ธอกลบั เลอื กทจ่ี ะปรบั ปรงุ กฎหมายสอ่ื โดยมชี าตติ ะวนั ตกและประเทศญป่ี นุ่ เปน็ แบบแผน ในดา้ น
การค้าการลงุทนมีการตง้ั กระทรวงพาณชิ ย์ขึ้นในปี 1903 ซ่ึงสนับสนนุ ให้นกั ลงทนุ เปดิ บรษิ ทั โดยจด
ทะเบียนกับหน่วยงานท้องถ่ิน และยังมีการส่งเสริมให้พ่อค้าไปเข้าร่วมการประมูลท่ีเมืองนอก
เพอ่ื ศกึ ษาสนิ คา้ ใหมส่ ำ� หรบั การสง่ ออก ทางดา้ นการธนาคารมกี ารตงั้ ธนาคารระหวา่ งประเทศขน้ึ ในปี
1905 ซงึ่ เกิดเงินตราสกุลเงินหยวนข้นึ และยงั ใชม้ าจนถงึ ทุกวันน้ี (Jung Chang, 2013: 389-395)
ในปี ค.ศ. 1903 แนวคดิ ราชาธปิ ไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนญู (Constitutional Monarchy) กำ� ลงั
เป็นที่พูดถึงกันในสื่อหนังสือพิมพ์จีนต่างๆ และมีหลายส�ำนักพิมพ์สนับสนุนแนวความคิดน้ี เช่น
หนงั สอื พมิ พต์ า้ กงเปา้ (大公報) ซง่ึ ซสู ไี ทเฮามที างเลอื กสองทางเพอื่ ความอยรู่ อดของราชวงศ์ หนง่ึ คอื
หยุดแนวความคดิ ปฏริ ปู ประเทศและหมุนนาฬิกากลบั ไปที่เดิม หรือเดินหน้าตอ่ อยา่ งไรกต็ ามเธอได้
เลอื กทีจ่ ะเดนิ หน้าต่อไป ในวันท่ี 16 กรกฎาคม 1905 ซสู ไี ทเฮาไดป้ ระกาศจะแต่งตั้งคณะกรรมการ
เพอ่ื การปฏริ ูปรัฐบาล เพอื่ เดินทางไปยงั ประเทศญี่ปนุ่ อเมรกิ าและหลายประเทศในยโุ รปเพ่ือศึกษา
โครงสรา้ งการปกครองของแตล่ ะประเทศและนำ� มาปรบั ใชใ้ นประเทศจนี (Jung Chang, 2013: 405-406)
อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งของแรงผลักดันจากการส่งคณะเดินทางไปยังชาติตะวันตกน้ัน สาเหตุหนึ่ง
ที่ส�ำคัญไม่แพ้กันคือ บทเรียนจากสงครามรัสเซีย-ญ่ีปุ่น (Russo-Japanese War) (1904-1905)
ซึ่งญี่ปุ่นชนะสงครามและเห็นได้ชัดว่าโครงสร้างรัฐธรรมนูญของญ่ีปุ่นเหนือกว่าการปกครองแบบ
อัตตาธิปไตย (autocracy) ของรัสเซีย หลังจากกลับมาคณะเดินทางได้เขียนรายงานน�ำเสนอและ
เขา้ พบพระนางซสู ไี ทเฮา คณะเดนิ ทางซงึ่ ถกู แบง่ เปน็ สองกลมุ่ ไปยงั ประเทศตา่ งๆ ในยโุ รปและญปี่ นุ่
กลบั มากลบั เหน็ ตรงกนั คอื การสรา้ งระบบรฐั ธรรมนญู ในทส่ี ดุ พระราชกฤษฎกี าซงึ่ ลงนามโดยพระนาง
ซสู ไี ทเฮาในวันที่ 1 กันยายน 1906 ประกาศเจตนารมณ์ทีจ่ ะแตง่ ตัง้ ระบบรฐั สภา โดยถึงแม้ว่าแนวคิด
บางส่วนจะคลา้ ยคลงึ กับแนวคิดทีเ่ สนอโดยคงั โหย่วเหวย แตก่ ไ็ ดร้ บั การพัฒนาไปคอ่ นข้างมาก และ
มกี ารวิเคราะห์โครงสรา้ งต่างๆ ได้อยา่ งแมน่ ย�ำ (Richard S. Horowitz, 2003: 775-795)
สองปถี ัดมา ในวนั ท่ี 27 สิงหาคม 1908 ซสู ีไทเฮาได้ลงนามในฉบับรา่ งรัฐธรรมนูญซงึ่ ร่างน้ี
ประกอบไปดว้ ยโครงสรา้ งทางการเมอื งทงั้ แบบตะวนั ตกและตะวนั ออกรวมกนั กลา่ วคอื กษตั รยิ ย์ งั คงเปน็
ผนู้ ำ� รฐั บาลและเปน็ ผตู้ ดั สนิ ใจครง้ั สดุ ทา้ ย รฐั สภาจะเปน็ ฝา่ ยรา่ งกฎหมายและขอ้ เสนอซง่ึ ยงั คงลงนาม
โดยกษตั รยิ ์ และราชวงศช์ งิ จะยงั คงปกครองประเทศจนี ตลอดไป สว่ นแนวความคดิ แบบตะวนั ตก คอื
ประชาชนจะไดร้ บั สทิ ธขิ นั้ พน้ื ฐาน นน่ั คอื เสรภี าพในการพดู (freedom of speech) ในการเขยี น ตพี มิ พ์
ชุมนุมและเสรีภาพของสมาคม และสิทธิในการเป็นสมาชิกของรัฐสภาภายใต้กฎหมายก�ำหนด
ระบบรฐั สภาจะถกู สรา้ งขนึ้ โดยจะมผี แู้ ทนทไี่ ดร้ บั การเลอื กตง้ั จากประชาชน สภาจอื เจงิ้ หยวน (資政院)
274 พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
ซึง่ เป็นสภาเรม่ิ แรกถูกตงั้ ขนึ้ ในปี 1907 ในชว่ งการเปลี่ยนผา่ นรัฐสภา ในวันท่ี 8 กรกฎาคม 1908
ร่างกฎหมายส�ำหรับการก่อต้ังรัฐสภาในอนาคตซ่ึงประกอบไปด้วยเนื้อความของสมาชิกรัฐสภา
ไดถ้ กู อนมุ ตั โิ ดยซสู ไี ทเฮา ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยสภาสงู (Upper House) และสภาลา่ ง (Lower House)
ซึ่งประกอบไปด้วยชนชาติต่างๆ ส่วน กฎระเบียบเก่ียวกับการเลือกตั้งส�ำหรับสภาจังหวัดได้ถูก
ลงนามอนมุ ตั ใิ นวนั ที่ 22 กรกฎาคม ปเี ดยี วกนั โดยเกณฑข์ องผลู้ งคะแนนเสยี งเลอื กตงั้ มคี วามคลา้ ยคลงึ
กับประเทศอังกฤษ คือ ต้องเป็นเพศชายที่บรรลุภาวะแล้ว และมีทรัพย์สินตามท่ีกฎหมายก�ำหนด
เปน็ ตน้
แตส่ ง่ิ ทน่ี า่ สนใจมากทส่ี ดุ คอื มกี ลมุ่ คนทห่ี า้ มไปเลอื กตงั้ ซง่ึ ไดแ้ ก่ ครรู ะดบั ชนั้ ประถม ขา้ ราชการ
ระดบั จงั หวดั และทหารเพราะวา่ กองทัพจะตอ้ งปราศจากความเกีย่ วขอ้ งกับการเมือง อยา่ งไรก็ตาม
ร่างน้ีมีขา้ ราชการและองคช์ ายระดบั สงู ตอ่ ตา้ น เพราะเกรงวา่ จะมคี นไมด่ ีมายึดอ�ำนาจและประชาชน
ยงั ขาดการศกึ ษาอยู่ซสู ไี ทเฮาเลยกำ� หนดระยะเวลาขนึ้ มาโดยใชเ้ วลาเกา้ ปใี นการดำ� เนนิ การเพอื่ เตรยี มตวั
ในการเลอื กตง้ั เพอื่ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายซสู ไี ทเฮาจงึ ทำ� ปา้ ยตารางขน้ึ มาแขวนทท่ี ำ� การรฐั บาล และในรา่ ง
กฤษฎกี าเธอวงิ วอนใหอ้ ำ� นาจของสวรรคล์ งโทษขา้ ราชการทที่ ำ� งานเชอื่ งชา้ เพอื่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์
ตามเป้า (Jung Chang, 2013: 405-411)
จะเห็นได้ว่าซูสีไทเฮามีความต้ังใจในการที่จะปฏิรูปประเทศ โดยปฏิเสธไม่ได้ว่าการปฏิรูป
ของเธอน้ันท�ำให้ประชาชนจีนมีเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเพ่ิมมากขึ้น โดยเฉพาะสิทธิ
ของสตรี อยา่ งไรกต็ ามซสู ไี ทเฮาไดส้ นิ้ ลมไปเสยี กอ่ นในวนั ท่ี 15 พฤศจกิ ายน 1908 ทจี่ ะไดเ้ หน็ การปฏริ ปู
ของเธอสำ� เรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ โดยเฉพาะการเลอื กตงั้ ทจ่ี ะมขี นึ้ ในปี 1916 ตามแผนทวี่ างไว้ และกอ่ นท่ี
เธอจะรู้ตัวว่าจะสิ้นใจ ด้วยเกรงว่าประเทศจะตกไปอยู่ในมือของญ่ีปุ่นซึ่งสนับสนุนพระเจ้ากวางสู
ตั้งแต่ครั้งการปฏิรูปหน่ึงร้อยวันและเป็นท่ีพักพิงให้กับคังโหย่วเหวย เธอจึงใส่ยาพิษประทานให้
พระเจา้ กวางสู ในวนั ที่ 14 เวลา 6 โมงเยน็ 33 นาที ฮอ่ งเตก้ เ็ สดจ็ สวรรคต กอ่ นทเ่ี ธอจะสน้ิ ลมเพยี ง
1 วนั (Jung Chang, 2013: 438-439) นกั ประวตั ิศาสตรห์ ลายคนมคี วามเห็นว่าการปฏริ ปู ประเทศ
ของเธอนนั้ สายเกนิ ไป อยา่ งไรกต็ ามคณุ ปู การของเธอไดส้ ง่ ผลประโยชนแ์ กส่ าธารณรฐั จนี (1912-1949)
หลายประการ (Richard S. Horowitz, 2003)
ทศั นะของกูหง๋ หมิงต่อแมข่ องแผน่ ดนิ
หากจะกล่าวถึงชาวจีนโพ้นทะเลแล้ว คงมีภาพจ�ำว่าคร้ังหน่ึงชาวจีนโพ้นทะเลโดยเฉพาะ
ในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยส่งเงินสนับสนุนซุนยัดเซ็นในการล้มราชวงศ์ชิง จนส�ำเร็จ
ในปี 1912 แต่ยังมีชาวจีนโพ้นทะเลผู้โด่งดังโดยเฉพาะในด้านภาษาและวรรณคดี และความภักดี
ตอ่ พระนางซสู ไี ทเฮา ผนู้ ้ันคอื กูห๋งหมิง (辜鴻銘) ชาวจนี โพ้นทะเลทีเ่ กดิ ในประเทศมาเลเซีย และ
ได้รับการศึกษาจากยุโรป จนคร้ังหน่ึงโซเมอร์เซต มอห์ม (Somerset Maugham) นักวรรณคด ี
ชาวอังกฤษประทับใจในบทความของเขาและเดินทางไปเยือนเป็นการส่วนตัวที่ปักก่ิงในปี 1921
โดยซสู ีไทเฮาถูกยกยอ่ งให้เป็นแม่ของแผน่ ดิน หรอื กว๋อหมู่ (國母)
หลังจากได้รับการศึกษาจากยุโรป กูห๋งหมงิ เดินทางกลบั มายังเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ และ
เริ่มงานในส่วนงานของการบริหารอาณานิคมในประเทศสิงคโปร์ ในปี 1880 และท�ำงานได้ไม่นาน
ได้พบกับหม่าเจ้ียนจง (馬建忠) นักวิชาการจีนและนักการทูตอาวุโส ซึ่งเป็นผู้ท�ำให้กูห๋งหมิง
เปลี่ยนแนวความคิดและละท้ิงอัตลักษณ์แบบตะวันตก ไม่นานเขาก็เดินทางกลับบ้านเกิดท่ีปีนัง
พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 275
และประกาศทจี่ ะไวผ้ มเปยี และแตง่ กายเยยี่ งชาวจนี ลงทนุ ทมุ่ เทเรยี นภาษาจนี เพอ่ื ทจี่ ะเปน็ คนจนี ในปี
1885 กหู ง๋ หมงิ นง่ั เรอื ไปยงั จนี และไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ ลา่ มระดบั สงู ใหก้ บั จางจอื ตง้ (張之洞) ประสบการณ์
การใชช้ วี ติ และศกึ ษาตอ่ ทปี่ ระเทศองั กฤษและยโุ รปทำ� ใหก้ หู ง๋ หมงิ มแี นวความคดิ เปรยี บพระนางซสู ไี ทเฮา
เป็นแม่ของแผ่นดิน เฉกเช่นเดียวกับควีนวิกตอเรีย ซึ่งได้รับการนับถือเป็นแม่ของชาติส�ำหรับ
สหราชอาณาจักรโดยเฉพาะเขาเขียนปกป้องราชวงศ์ชิงและซูสีไทเฮา เมื่อเกิดเหตุการณ์การลุกฮือ
ของกลุ่มนักมวยในปี 1900 โดยกูห๋งหมิงเปรียบเทียบการต่อสู้ของกลุ่มนักมวยซึ่งมีความเชื่อ
ในเครอื่ งรางของขลงั และไม่ไดใ้ ช้อาวุธรา้ ยแรง แตก่ ลบั ตอ่ สู้อยา่ งบา้ คลัง่ ว่า เป็นการต่อสู้เพ่ือปกป้อง
พระนางซสู ไี ทเฮา ซงึ่ เปน็ ทเ่ี ทดิ ทนู และเคารพสำ� หรบั พวกเขา และเขยี นไปหาสถานทตู องั กฤษเพอ่ื ให้
ความเชอื่ มน่ั ในความปลอดภยั ของพระนางซสู ไี ทเฮา เมอ่ื กองทพั นานาชาตติ อ้ งการแกแ้ คน้ เธอ กหู ง๋ หมงิ
พยายามอธิบายในบทความเพ่อื แกต้ ่างใหพ้ ระนางซสู ีไทเฮาในฐานะผู้น�ำสงู สดุ ของประเทศ ว่าการที่
กลุ่มนักมวยสามารถวิ่งไปหาลูกกระสุนของกองทัพนานาชาติได้เพราะว่าพวกเขามีความรักชาติ
(Patriotism) และความภักดี (Loyalty) โดยได้ให้ค�ำจ�ำกัดความของความภักดีว่าเป็นความภักดี
ของทาสท่ีมตี อ่ นาย ลกู ทม่ี ตี ่อแม่ ภรรยาทีม่ ีตอ่ สามี และประชาชนทีม่ ตี ่อกษตั รยิ ์
อยา่ งไรกต็ าม กหู ง๋ หมงิ นา่ จะมคี วามเชอื่ วา่ สำ� หรบั พระนางซสู ไี ทเฮาแลว้ มสี ถานะความเปน็
แมข่ องแผ่นดินเท่ากับควีนวิกตอเรีย โดยกูห๋งหมิงได้กล่าวว่าการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่าง
องั กฤษกบั จนี ตอ้ งใหห้ วั หนา้ สตรขี องรฐั ทง้ั สองไดพ้ ดู คยุ กนั โดยตรง โดยใชค้ วามเหน็ อกเหน็ ใจในฐานะ
“ผู้หญงิ ” พดู คยุ กนั ถงึ แม้ว่าราชวงศ์ชิงจะลม่ สลายในปี 1912 กูหง๋ หมิงก็ยงั ไวเ้ ปียตอ่ ไป และเขา้ สอน
วชิ าวรรณคดอี งั กฤษทมี่ หาวทิ ยาลยั ปกั กง่ิ โดยเขาบอกกลา่ ววา่ เปน็ สญั ลกั ษณข์ องความภกั ดี และเปน็
ตัวแทนคนสดุ ทา้ ยของจีนยคุ เกา่ (Lydia H. Liu, 2004: 168-180)
บทสรุป พลงั ซสู ไี ทเฮากับสยามประเทศ
ซสู ไี ทเฮาขนึ้ สอู่ ำ� นาจดว้ ยความเปน็ “แม”่ และ “เมยี ” เธอเปน็ “สตร”ี ผทู้ รงพลงั
สามารถกมุ อำ� นาจเหนอื พระราชวงั ตอ้ งหา้ ม อกี ทง้ั เธอยงั ใชค้ วามเปน็ ผหู้ ญงิ เชอ่ื มความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งจนี กบั โลกตะวนั ตกใหด้ ขี น้ึ หลงั เกดิ เหตกุ ารณก์ ารลกุ ฮอื ของกลมุ่ นกั มวย การปฏริ ปู ประเทศ
ครงั้ ท่ี 2 ของเธอ สง่ ผลตอ่ คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนจนี หลายประการ โดยเฉพาะตอ่ สตรจี นี โดยเฉพาะ
การยกเลกิ การรดั เทา้ และการหา้ มการแตง่ งานระหวา่ งชาวฮน่ั กบั แมนจู ทำ� ใหส้ ตรจี นี มเี สรภี าพมากขน้ึ
และเธอยังสนับสนุนการศึกษาของสตรี รวมท้ังแนวความคิดท่ียอมให้ประชาชนเลือกต้ังและเปิดให้
ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากข้ึน รวมถึงการให้เสรีภาพสื่อ เธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถหยุด
การเดินหน้าของประเทศและหมุนนาฬิกาให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ เธอจึงเปิดกว้าง
และใหส้ ทิ ธติ์ า่ งๆ กบั ประชาชนมากขนึ้ โดยมกี ารใหท้ นุ กบั สตรแี ละประชาชนทว่ั ไปเดนิ ทางไปศกึ ษา
แนวความคดิ ของตะวนั ตก และสนบั สนนุ การเลอื กตงั้ โดยใหป้ ระชาชนมสี ว่ นรว่ มมากขน้ึ และมแี นวคดิ
ทไี่ มใ่ หท้ หารเกยี่ วขอ้ งกบั การเมอื ง แมว้ า่ การปฏริ ปู สว่ นหนงึ่ อาจเกดิ จากความกดดนั ของตา่ งประเทศ
แต่เธอก็รู้ดีว่าประเทศจีนไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวในโลกได้ เธอจึงเชื่อมความสัมพันธ์กับตะวันตก
มากขนึ้ และเดนิ หนา้ ปฏริ ปู ประเทศ โดยจะเหน็ การเปลย่ี นแปลงของเธอไดช้ ดั รถไฟสายปกั กงิ่ -อฮู่ นั่
(Beijing-Wuhan Railway) ที่เชื่อมต่อระหว่างภาคเหนือและใต้ยังสร้างเสร็จในสมัยของเธอ
ในปี 1906
276 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
การให้เสรีภาพต่อสตรีจีนของเธอยังส่งผลต่อสยามประเทศ โดยในช่วงท้ายศตวรรษท่ี 19
หญงิ แทบทจี่ ะไมอ่ พยพเลย ผหู้ ญงิ จนี ทอ่ี พยพมอี ตั ราสว่ นเพยี งสองหรอื สามเปอรเ์ ซน็ ตจ์ ากอตั ราสว่ น
ผ้อู พยพท้ังหมด (Skinner, 1957: 126) ช่วงท้ายศตวรรษน้แี ละต้นศตวรรษท่ี 20 มีการอพยพของ
ผหู้ ญงิ จนี เพิ่มมากข้ึน รวมถงึ การอพยพมาประเทศไทย ก่อนหน้านนั้ เหล่าสาวจนี พวกนมี้ ักจะถูกทง้ิ
ให้อยู่เลี้ยงลูกที่จีน และผู้ชายมักจะแต่งงานกับเมียคนไทยเม่ือตั้งหลักแหล่งใหม่ ดังน้ันการเข้ามา
ของผู้หญิงจีน ท�ำให้ชายจีนไม่จ�ำเป็นที่จะต้องแต่งงานกับหญิงไทยอีกต่อไป และท�ำให้มี
การปฏสิ ัมพันธก์ ับสงั คมไทยนอ้ ยลง ลูกทเี่ กิดมาก็เปน็ จนี ลว้ น พูดภาษาจีน และมีการเจริญ
เติบโตของย่านชุมชนชาวจีนข้ึน จนท�ำให้ย่านชุมชมชาวจีนกลายเป็นย่านแปลกตาส�ำหรับ
คนไทย จนนำ� มานโยบายต่างๆ ทหี่ มายท�ำให้คนจีนกลายเปน็ คนไทยต่อมา หากการไว้เปีย
เพอ่ื จงรกั ภกั ดขี องกหู ง๋ หมงิ ตอ่ ราชสำ� นกั แมนจู การตดั เปยี ของทา่ นคอซมิ บหี้ รอื พระยารษั ฎาฯ บคุ คล
จากตระกูลจีนชื่อดังเมอื งระนอง ในปี 1901 ทีก่ รงุ เทพ คงจะเปน็ สัญลกั ษณข์ องความภกั ดตี อ่ ราชวงศ์
จกั รี และเปลีย่ นสญั ชาตจิ ากจนี เป็นสยามอยา่ งเป็นทางการ
พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 277
บรรณานุกรม
ก. เอกสารช้นั ต้น
หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติองั กฤษ (The National Archives)
TNA, FO 881/6665, Mr. O’Conor to the Earl of Kimberley, letter dated 21/1/1895, f. 34.
TNA, FO 881/6605, Mr. Phipps to the Earl of Kimberley, letter dated 8/10/1894, f. 21
หนังสอื พมิ พ์
“The Young Emperor of China,” New York Times, 26 August 1894
ท่ีมา http://search.proquest.com/hnpnewyorktimes/docview/95142962/fulltext
PDF/5BB31187F6FA41DAPQ/1?accountid=11455 (accessed May. 17, 2016).
“Mail News of the Oriental War,” New York Times, 25 September 1894
ที่มา http://search.proquest.com/hnpnewyorktimes/docview/95150642/25CA
DE0C934B4589PQ/1?accountid=11455 (accessed May 22, 2016).
“The Empress Dowager of China,” New York Times, 26 December 1894
ท่ีมา http://search.proquest.com.ezproxy01.rhul.ac.uk/hnpnewyorktimes/
docview/95149346/D0826F5A1743420EPQ/1?accountid=11455 (accessed May 22, 2016).
“The Empress Dowager’s Power,” North China Herald, 4 January 1895
หนังสือ
Der Ling, Princess. Two Years in the Forbidden City. Iowa, 2004.
Ethel MacDonald. “My visits to the Dowager-Empress of China”, 1901.
Katharine Augusta Carl. With the Empress Dowager of China. London, 1906.
Susanna Hoe. Women at the siege, Peking 1900. Oxford, 2000.
W.T. Stead, Her Majesty the Queen: Studies of the Sovereign and the Reign.
London, 1887.
รปู ภาพ
http://www.jacar.go.jp/jacarbl-fsjwar-j/gallery/images/zoom/16126.d.3/16126.d.3_(6)_
B20106-78.jpg (accessed May. 20, 2016).
http://www.jacar.go.jp/jacarblfsjwarj/gallery/images/zoom/16126.d.4/16126.d.4_(10)_
B20102-33.jpg (accessed May 21, 2016).
http://artuk.org/discover/artworks/the-secret-of-englands-greatness-queen-victoria-
presenting-a-bible-in-the-audience-chamber-at-windsor-155152# (accessed
May 23, 2016).
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/a/a1/Franz_Xaver_Winterhalter_
Family_of_Queen_Victoria.jpg (May 23, 2016).
http://ocw.mit.edu/ans7870/21f/21f.027/empress_dowager/gallery/pages/cx222_Rire.htm
(accessed May 25, 2016).
278 พลังผ้หู ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
http://ocw.mit.edu/ans7870/21f/21f.027/empress_dowager/gallery/pages/cx235_kikeriki.htm
(accessed May 25, 2016).
FSA A.13 SC-GR-249
http://collections.si.edu/search/results.htm?view=&tag.cstype=all&date.
slider=&q=%22FSA+A.13%22&dsort=&start=20 (accessed May 27, 2016).
http://collections.si.edu/search/results.htm?q=%22FSA+A.13%22&dsort=&view=&date.
slider=&tag.cstype=all&start=20 (accessed June 3, 2016).
ข. เอกสารชัน้ รอง
Ding Ruqin. Qingdai neiting yanxi shihua (A History of Opera Performing in the Qing
Court). Beijing, 1999.
Mary Clabaugh Wright, ed. China in Revolution: The First Phrase, 1900-1913.
New Haven, 1968.
John K. Fairbank and Kwang-Ching Liu , eds. The Cambridge History of China:
Volume 11, Late Ch’ing, 1800-1911, Part 2. New York, 1980.
Jung Chang. Empress Dowager Cixi: The Concubine Who Launched Modern China. 2013.
Peter Duus. The Rise of Modern Japan. Boston, 1976.
Li Jikui, “How to view the Boxer’s religious superstitions,” in Recent Chinese Studies
of the Boxer Movement, ed. David D. Buck. New York, 1987.
Lydia H. Liu. 'The Secret of Her Greatness'. In The Clash of Empires. Cambridge,
Massachusetts: Harvard University Press, 2004. 140-80.
Reginald Fleming Johnston. Twilight in the Forbidden City. Vancouver, 2008.
Richard S. Horowitz. “Breaking the Bonds of Precedent: The 1905-6 Government
Reform Commission and the Remaking of the Qing Central State,” Modern
Asian Studies 37, no. 4, 2003.
Sterling Seagrave. Dragon Lady, The Life and Legend of the Last Empress of China.
London, 1992.
William Skinner. Chinese Society in Thailand: An Analytical History. New York, 1957.
Weipin Tsai. “The First Casualty: Truth, Lies and Commercial Opportunism in Chinese
Newspapers during the First Sino-Japanese War,” The Royal Asiatic Society
24, no. 1, 2014.
ผู้หญิงในมมุ มองสตรนี ิยม
อาจารย์ ดร.ชเนตตี ทินนาม
ศนู ย์จติ ตปญั ญาศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหิดล
บทน�ำ
สตรนี ยิ ม (Feminism) คอื แนวคดิ ทส่ี นใจในประเดน็ อสิ รภาพของผหู้ ญงิ ในฐานะปจั เจกบคุ คล
ภายใตโ้ ครงสรา้ งสงั คมทม่ี กี ารจดั วางความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งหญงิ ชายไวอ้ ยา่ งไมเ่ ทา่ เทยี มกนั นกั สตรนี ยิ ม
(Feminist) คือผู้ท่ีตั้งค�ำถามถึงความไม่เท่าเทียมดังกล่าว การให้นิยามความหมายของ “ผู้หญิง”
ในมุมมองน้ีจึงผูกติดกับความเป็นหญิงและความเป็นชายซึ่งถูกประกอบสร้างโดยสังคมวัฒนธรรม
สะท้อนให้เห็นนัยยะของความสัมพนั ธ์เชิงอำ� นาจระหว่างหญิงชายทีถ่ กู จัดวางไว้อยา่ งไมเ่ ทา่ เทียม
การใหน้ ยิ ามความหมายของคำ� วา่ “ผหู้ ญงิ ” นน้ั แนวคดิ สตรนี ยิ มใชก้ ารอธบิ ายจาก หนว่ ยวเิ คราะห์
“เพศสภาวะ (gender)”1 โดยมองว่า เร่ืองของความเป็นหญิงและความเป็นชายไม่ได้ถูกก�ำหนด
จากปัจจัยทางชีววิทยาหรือปัจจัยทางธรรมชาติ ทว่ามาจากปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม ที่ทำ� ให้
สังคมคาดหวังต่อบทบาทความเป็นหญิงและความเป็นชายในลักษณะที่มีความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ
ทไี่ มเ่ ท่าเทียม ผ่านการก�ำหนด ความเชื่อ ทศั นคติ มายาคติ แบบแผนประเพณีปฏบิ ตั ิ บรรทัดฐาน
ตา่ งๆ เชน่ ผหู้ ญงิ ไมใ่ ชผ่ นู้ ำ� แตเ่ ปน็ ผตู้ าม ผหู้ ญงิ ทกุ คนตอ้ งเปน็ แม่ ผหู้ ญงิ ไมค่ วรแสดงความปรารถนา
ในเรอ่ื งเพศ ผหู้ ญงิ เปน็ เพศทใี่ ชอ้ ารมณม์ ากกวา่ เหตผุ ล ฯลฯ ขณะทคี่ วามเปน็ ชายอยนู่ อกเหนอื กตกิ า
ดังกล่าว นักสตรีนิยมรุ่นบุกเบิกต่างมีความเชื่อว่า ความเป็นหญิงและความเป็นชาย ถูกสร้างขึ้น
จากมมุ มองเชงิ สงั คมวฒั นธรรม จดุ เรม่ิ ตน้ ของความเชอื่ เชน่ นเี้ รมิ่ จากงานเขยี นของแมรี่ โวลลส์ โตนคราฟต์
(Mary Wollstonecraft) นกั สตรนี ยิ มชาวองั กฤษ ซง่ึ มชี วี ติ ในชว่ งศตวรรษที่ 18 เขยี น A Vindication
1โดยทว่ั ไปการวเิ คราะหค์ วามเปน็ หญงิ ความเปน็ ชาย จากหนว่ ยวเิ คราะหเ์ พศภาวะ (gender) จะวเิ คราะหร์ ว่ มกบั
คำ� วา่ เพศ (sex) และ เพศวถิ ี (sexuality) โดย เพศ (sex) หมายถงึ เพศในเชงิ สรรี ะของบคุ คลซงึ่ ตดิ ตวั มาตง้ั แตก่ ำ� เนดิ
ส่วนเพศวิถี (sexuality) ซึง่ หมายถงึ วิถีชวี ติ ทางเพศ รสนยิ มทางเพศ ความปรารถนา ความพงึ พอใจในเร่อื งเพศ
จนิ ตนาการในเร่ืองเพศ ความงาม การแต่งกาย การแสดงออกทางเพศ ตลอดจน กรอบกติกาบรรทดั ฐานทางสงั คมที่
คอยควบคุมก�ำกับดูแลเรื่องเพศของคนในสังคม ในบางครั้งกรอบกติกาเหล่าน้ีได้สร้างความชอบธรรมกับเพศวิถีท่ี
กำ� หนดขนึ้ และกดทบั เพศวถิ บี างรปู แบบใหก้ ลายเปน็ ปญั หาหรอื เบย่ี งเบนจากบรรทดั ฐานสงั คม เพศสภาวะของความ
เป็นหญิงซ่ึงถูกสร้างขึ้นโดยสังคม ถูกก�ำหนดให้มีเพศวิถีตามบรรทัดฐานของสังคม ขณะเดียวกันเพศวิถีนอก
บรรทดั ฐานกจ็ ะถกู จับตาตรวจสอบควบคมุ จากสงั คมเชน่ กนั
280 พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
of the Rights of Women (1792)2 เป็นหนังสือเล่มแรกที่ท้าทายความเหนือกว่าของระบบชาย
เป็นใหญ่3 (patriarchy) โดยเสนอว่า “ความแตกต่างระหว่างผู้หญิงและผู้ชายเป็นผลมาจาก
สภาพทางสังคม มิใช่เป็นความแตกต่างตามธรรมชาติ” ผลของข้อเขียนนี้ได้ท�ำให้เธอถูกโจมตี
และสร้างความไม่พอใจอย่างมากจากสังคมในขณะนั้น เน่ืองจากเป็นยุคสมัยท่ีนักปรัชญาตะวันตก
ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ วงวชิ าการและสงั คม มมี มุ มองเชงิ สงั คมเกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ในฐานะทเี่ ปน็ ผอู้ ยใู่ ตป้ กครอง
มากกวา่ ผูม้ อี �ำนาจ ผ้หู ญิงมีความเปน็ มนษุ ย์ท่ีสมบูรณ์น้อยกวา่ ผู้ชาย4
ภาพวาดของแมรี่ โวลลส์ โตนคราฟท์ (Mary Wollstonecraft) วาดโดยจอห์น โอปี (John Opie) (1797)
ผูเ้ ขยี นหนังสอื A Vindication of the Rights of Women (1792)
(ทมี่ า: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/36/
Mary_Wollstonecraft_by_John_Opie_(c._1797).jpg)
2การปอ้ งกนั สทิ ธขิ องผหู้ ญิง – บรรณาธิการ
3ระบบชายเป็นใหญ่ ในมุมมองสตรีนิยมไม่ได้หมายถึง “ผู้ชาย” ท่ีมีสรีระร่างกายเป็นชาย รวมท้ังไม่ได้
หมายถึงผู้ชายในฐานะปัจเจกบุคคล แต่หมายถึงระบบคิด ความเชื่อทางสังคมวัฒนธรรมท่ีจัดวางบทบาท
ให้เพศชายมีอ�ำนาจเหนือเพศหญิง ระบบชายเป็นใหญ่เป็นวิธีคิดท่ีอาจฝังติดในความเชื่อของท้ังชายและหญิง
และนำ� มาสูภ่ าคปฏบิ ตั ิการทีส่ ะทอ้ นการเอารดั เอาเปรยี บทางเพศ โดยผู้หญงิ ตกอยูใ่ นสถานะท่ีเป็นรอง
4 นกั ปรัชญาซ่งึ มอี ิทธพิ ลตอ่ ยคุ สมัย ตา่ งมีทัศนะเกยี่ วกับผูห้ ญงิ ไปในทิศทางเดียวกนั คอื ความด้อยคุณค่า
กว่าผ้ชู าย เช่น Aristotle : ผ้ชู ายคอื ผปู้ กครอง ผหู้ ญิงเปน็ ผถู้ ูกปกครอง ผหู้ ญิงมีความอิจฉารษิ ยา ขณะทีผ่ ชู้ าย
มีเหตุผล ความกล้าหาญ ผู้ชายมีความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์มากกว่าผู้หญิง Plato: ผู้หญิงมีหน้าที่อยู ่
ในครัวเรือน เหมาะที่จะอยู่บ้าน เลี้ยงลูก Kant: จุดมุ่งหมายของผู้หญิงคือการเป็นภรรยา แต่ส�ำหรับผู้ชายคือ
การเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ตามธรรมชาติความดีงามของผู้หญิงอยู่ที่ความสวยงาม ส่วนผู้ชายอยู่ที่ความมี?
Hegel: ชวี ิตทัง้ หมดของผู้หญิงอยู่ท่คี รอบครัว แต่สาระของผชู้ ายอยู่ท่ีรฐั และอาชีพ ครอบครัวเปน็ เพยี งสว่ นหนึ่ง
ของชีวิตผู้ชายเท่าน้ัน ผู้หญิงขาดความสามารถในเร่ืองเหตุผล และมีพฤติกรรมอยู่บนพ้ืนฐานของความรู้สึก
และความคิดเห็น (วารณุ ี ภูริสินสิทธ์,ิ 2545)
พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 281
การจดุ ประกายของนกั สตรนี ยิ มรนุ่ บกุ เบกิ อยา่ งโวลลส์ โตนคราฟตไ์ ดท้ ำ� ใหต้ น้ ธารของแนวคดิ
สตรนี ยิ มกอ่ กำ� เนดิ ขนึ้ กลายเปน็ สายธารสตรนี ยิ มทมี่ คี วามหลากหลาย เปน็ สกลุ แนวคดิ หลกั ในการนยิ าม
ความหมายของความเปน็ หญงิ และการตอ่ สเู้ พอื่ สรา้ งสงั คมทพี่ รอ้ มหยบิ ยน่ื โอกาสความเทา่ เทยี มใหก้ บั
ทง้ั หญงิ ชาย5 สกลุ แนวคิดท่ีสำ� คัญทใี่ ช้อธิบายความเป็นผ้หู ญิงท่ีสำ� คัญ ได้แก่ สตรีนิยมสายเสรนี ยิ ม
สตรนี ยิ มสายถอนรากถอนโคน สตรนี ยิ มสายสงั คมนยิ ม และสตรนี ยิ มสายยคุ หลงั สมยั ใหม่ ดงั จะนำ� เสนอ
ในสว่ นของเนอ้ื หาตอ่ ไป
ผ้หู ญิงในแบบสตรนี ยิ มสายเสรีนยิ ม
“ผหู้ ญงิ แบบเสรนี ยิ ม” อยภู่ ายใตแ้ นวคดิ สตรนี ยิ มสายเสรนี ยิ ม (Liberal feminism) มที ม่ี า
จากปรัชญาเสรีนิยมการเมืองที่มีจุดยืนในการอธิบายปรากฏการณ์ด้วยเหตุผลตามกฎสากลของ
กายภาพ สงิ่ ทอ่ี ยนู่ อกเหนอื ชดุ คำ� อธบิ ายของเหตผุ ลจะกลายเปน็ สง่ิ อนื่ ทไี่ มส่ ำ� คญั ดงั เชน่ ความเปน็
ผูห้ ญงิ (other category) (Donovan, 1985 in Saulnier, 1996: 8)
ปรชั ญาเสรนี ิยมมีพนื้ ฐานมาจากวธิ ีคดิ แบบทวิลกั ษณ์6 ซึ่งแบ่งรา่ งกายของมนษุ ยอ์ อกเปน็
สรรี ะสว่ นหนง่ึ และจติ ใจอกี สว่ นหนงึ่ สง่ิ ทท่ี ำ� ใหช้ วี ติ มคี วามเปน็ มนษุ ยค์ อื ความสามารถในการใชเ้ หตผุ ล
ไม่ใช่รูปร่างทางสรีระ แม้ปรัชญาเสรีนิยมถือว่าความสามารถทางสติปัญญาเป็นเร่ืองที่ไม่ผูกพัน
กับเพศ แต่ก็เป็นที่เข้าใจว่า ความสามารถทางสติปัญญาเป็นคุณสมบัติของผู้ชาย ไม่มีใครเถียงว่า
ผหู้ ญงิ ไมม่ ีความสามารถในการใช้เหตุผล แต่แยง้ ว่าผ้หู ญิงมคี วามสามารถในการใช้เหตผุ ลนอ้ ยกว่า
ผู้ชายและความสามารถของผู้หญิงเป็นความสามารถทางสรีระซ่ึงเก่ียวข้องกับให้ก�ำเนิดบุตร
(ชาร์ค, 2526: 29, 36 ใน กรวภิ า บญุ ซอ่ื , 2538: 20)
นักคิดคนส�ำคัญของแนวคดิ เสรนี ิยมได้แก่ จอหน์ ล็อก (John Locke) (1632-1704) และ
ฌอง ฌาค รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau) (1712-1778) ให้ความส�ำคัญต่อประเด็น “สิทธิ”
ทเ่ี ปน็ มมุ มองของผชู้ าย ลอ็ กกลา่ ววา่ สงิ่ ทท่ี ำ� ใหเ้ ปน็ ผชู้ ายกค็ อื ความสามารถในการใชเ้ หตผุ ลมากกวา่
ลักษณะทางกายภาพ นอกจากนี้แนวคิดเสรีนิยมยังตั้งอยู่บนพื้นฐานของสังคมซ่ึงมีความต้องการ
ท่ีจะเข้าถงึ การแบ่งปนั ทรัพยากรทเ่ี ทา่ เทยี มกัน (Jaggar, 1983 in Saulnier, 1996: 8)
แนวคดิ เสรนี ยิ มมคี วามเชอื่ วา่ ปจั เจกบคุ คลจะตอ้ งสามารถใชอ้ ำ� นาจของตวั เองในการเตมิ เตม็
ความต้องการที่มีอยู่ให้สมบูรณ์และต้องการปลดปล่อยรวมท้ังจ�ำกัดอ�ำนาจของรัฐ แนวคิดเสรีนิยม
5ขบวนการเคล่ือนไหวเพ่ือเสริมพลังของผู้หญิง เริ่มตั้งแต่ทศวรรษ 1900s สตรีนิยมคลื่นลูกที่ 1 เกี่ยวข้องกับ
การเรยี กร้องสิทธใิ นการเลือกตง้ั ของผู้หญงิ ซ่ึงเรม่ิ ต้นในสหรฐั อเมริกา ในปี 1845 และขยายอาณาบริเวณไปยังหลาย
ประเทศ สตรีนยิ มคลืน่ ลกู ท่ี 2 เปน็ ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยผ้หู ญิงใหเ้ ป็นอิสระ ซึง่ เป็นการต่อสทู้ ี่มากไป
กว่าการเรียกรอ้ งสิทธิในการเลือกตง้ั เริม่ ในประเทศองั กฤษ สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศในทศวรรษ 1960s
สตรีนิยมคลน่ื ลูกที่ 2 ขยายพ้นื ท่ีของการปลดปลอ่ ยผหู้ ญงิ ไปสูม่ ิติทางสงั คมและวัฒนธรรม ซึ่งรวมถงึ การสร้างภาพ
ที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงเก่ียวกับผู้หญิงในงานโฆษณาและส่ือมวลชน ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม การเข้าถึง
โอกาสในอาชพี ของผหู้ ญงิ สว่ นสตรนี ยิ มคลนื่ ลกู ที่ 3 เปน็ การทำ� งานเชงิ ลกึ โดยตงั้ คำ� ถามถงึ บทบาทตามเพศ (gender
roles) ของผู้คนในสงั คม การเรียกรอ้ งทีส่ ำ� คัญของสตรนี ิยมคลนื่ ลูกท่ี 3 คือ การมบี ทบาทตามเพศท่ตี ายตัวมสี ่วน
สร้างความไม่เท่าเทียมในสังคมและเป็นการจ�ำกัดทางเลือกและอิสรภาพในการแสดงความคิดเห็นของปัจเจกบุคคล
(ชเนตตี ทนิ นาม, 2559:2)
6ทวลิ กั ษณ์ (Dualism) หมายถงึ วธิ คี ดิ ในการแยกปรากฏการณอ์ อกเปน็ 2 ขวั้ ตรงขา้ ม ซงึ่ มคี ณุ ลกั ษณะเหนอื กวา่
และด้อยกว่า สะท้อนความไม่เท่าเทียมและปฏิเสธความหลากหลายนอกเหนือจากคู่ตรงข้าม เช่น เหตุผล/อารมณ์
หญิง/ชาย รูปธรรม/นามธรรม ตะวันตก/ตะวันออก รา่ งกาย/จิตใจ สว่ นตวั /สาธารณะ
282 พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน
มีจดุ เน้นที่การเรียกรอ้ งใหร้ ฐั ปกป้องสิทธิของพลเมืองในด้านทรพั ยส์ ิน สิทธิในการเลือกต้งั เสรภี าพ
ในการพดู และการใหโ้ อกาสทเ่ี ทา่ เทยี มกนั ของปจั เจกบคุ คลโดยปราศจากการแทรกแซงของตลาดเสรี
รวมทงั้ คาดหวงั ใหร้ ฐั เขา้ มาดแู ลจดั การบรกิ ารดา้ นกฎหมาย การศกึ ษา ทอี่ ยอู่ าศยั กองทนุ เพอื่ สขุ ภาพ
เพื่อให้ประชาชนไดม้ โี อกาสเข้าถึงสวัสดิการเหล่านอี้ ยา่ งเปน็ ธรรม (Saulnier, 1996: 9)
หัวใจส�ำคัญของแนวคิดเสรีนิยมคือการให้คุณค่าต่อความเป็นอิสระ โอกาสที่เท่าเทียมและ
ความเปน็ ปจั เจกบคุ คลดงั กลา่ วขา้ งตน้ ไดก้ ลายมาเปน็ รากฐานทพี่ ฒั นามาสแู่ นวความคดิ ของสตรนี ยิ ม
สายเสรีนิยม ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นแนวคิดกระแสหลัก มีจุดยืนทางความคิดในการอธิบายสถานะ
ทางสงั คมของผหู้ ญิงในสงั คม “ผหู้ ญิงแบบเสรีนิยม” ใหค้ วามสำ� คัญในเรื่องสิทธิ โดยเฉพาะอย่างย่ิง
สทิ ธทิ ไ่ี มเ่ ทา่ เทยี มกลายเปน็ อปุ สรรคทขี่ วางกนั้ มใิ หผ้ หู้ ญงิ เขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มในพน้ื ทสี่ าธารณะรวมทงั้
พ้ืนท่ีในบ้านและครัวเรือน “ผู้หญิงแบบเสรีนิยม” มีจุดเน้นที่พ้ืนที่สาธารณะในประเด็นกฎหมาย
การเมือง เศรษฐกิจ และการต่อสู้เพ่ือสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคลอันเกิดจากความไม่ยุติธรรม
ในประเดน็ ตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ ผลจาก รฐั ประเพณี รวมทง้ั อคตติ า่ งๆในสงั คม (Beasley, 1999: 51) ขอ้ สนั นษิ ฐาน
ของความเหมือนกนั ระหวา่ งหญิงชายเปน็ ความคดิ หนงึ่ ของ “ผ้หู ญงิ แบบเสรนี ยิ ม” เชน่ กนั ยุทธวิธี
ทางการเมอื งของแนวคิดนีส้ ะทอ้ นมมุ มองท่ีว่า “ธรรมชาตทิ แี่ ทจ้ ริงของมนุษยน์ นั้ ไมม่ ีความแตกตา่ ง
ในเรื่องเพศ กล่าวคือผู้หญิงสามารถเป็นได้เหมือนกับผู้ชาย ผู้ชายท�ำได้ผู้หญิงก็ท�ำได้” (Tapper,
1986 in Beasley, 1999: 52) ดงั นั้นการไดร้ บั สทิ ธิทีเ่ ทา่ เทียมกับผู้ชายจงึ ถอื เปน็ หวั ใจที่สำ� คัญของ
แนวคิดนี้ “ผหู้ ญิงแบบเสรนี ิยม” จงึ เขา้ ไปเกี่ยวข้องกับการปฏิรปู สังคมมากกว่าที่จะเป็นการปฏิวัติ
แบบถอนรากถอนโคน
ตวั อยา่ งงานของนกั คดิ กลมุ่ น้ี เชน่ แมร่ี โวลลส์ โตนคราฟต์ (1759-1797) หนงั สอื เลม่ สำ� คญั ของ
เธอซึง่ ถือเปน็ ค�ำประกาศจดุ ยนื ของขบวนการเรียกรอ้ งสิทธสิ ตรีในประเทศองั กฤษและสหรฐั อเมรกิ า
ในศตวรรษที่ 19 คอื A Vindication of the Rights of Women (1792) สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ อดุ มการณ์
เสรีนิยมท่ีให้ความส�ำคัญต่ออิสรภาพส่วนบุคคล เสรีภาพ และความเท่าเทียม รวมถึงอิทธิพลของ
ยุครแู้ จง้ (enlightenment) ทใ่ี ห้คณุ คา่ อย่างสงู ตอ่ เหตุผล เธอเรียกร้องใหผ้ หู้ ญิงท่อี ยใู่ นสภาพพ่งึ พา
สามีและยอมจ�ำนนเปล่ียนเป็นผู้หญิงที่มีความอิสระ เป็นตัวของตัวเองและมีเหตุผลเพราะลักษณะ
เหล่านี้เป็นคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง นอกจากนี้อิทธิพลดังกล่าวยังท�ำให้เธอปฏิเสธ
อารมณค์ วามรสู้ ึกเพราะเปน็ สิ่งทไี่ ม่มีเหตุผล นวนิยาย ดนตรี ค�ำกลอน และการเข้ามาจบี ของผชู้ าย
ทำ� ให้ผูห้ ญิงกลายเป็นมนษุ ยอ์ ารมณ์ ซึง่ ไม่ใชส่ ิง่ ที่พงึ ประสงค์ ความรัก ความรสู้ กึ ทางเพศ เป็นสิ่งท่ี
ผู้หญิงควรหลีกเล่ียง เพราะเป็นสิ่งท่ีไม่ย่ังยืน ส่ิงที่มีคุณค่ายิ่งกว่าความรักคือมิตรภาพ (Bryson,
2003; วารณุ ,ี 2545)
จอหน์ สเตราต์ มลิ ล์ (John Stuart Mill) เขยี นผลงานเรอ่ื ง The Subjection of Women7
(1869) เสนอว่า ไม่มีความแตกต่างทางเพศตามธรรมชาติระหว่างหญิงชาย สิ่งท่ีเรียกกันว่าผู้หญิง
เป็นสิ่งถกู สรา้ งข้นึ อยา่ งชาญฉลาด เช่น ผหู้ ญิงตอ้ งทำ� งานบ้านก็จะถูกบอกวา่ เป็นการทำ� เพือ่ ใหช้ ีวิต
ครอบครัวสมบูรณ์แบบ ความเป็นรองของผู้หญิงไม่เคยชอบด้วยเหตุผลแต่ถูกยัดเยียดโดยสังคม
ผู้หญิงมกั ถกู พร�ำ่ สอนวา่ มีสรรี ะทอี่ ่อนแอกวา่ เธอจงึ ต้องพงึ่ พงิ ผชู้ าย คำ� สอนต่างๆ เหลา่ นีม้ กั ไดร้ บั
การรับรองความชอบธรรมโดยกฎหมายของรัฐ ดงั นั้น การแก้ไขสภาพทเี่ ป็นรองของผู้หญิงจงึ ควร
7อตั วสิ ยั ของผู้หญงิ – บรรณาธิการ
พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 283
เร่ิมท่ีการแก้ไขกฎหมายก่อน นอกจากนี้ในพ้ืนท่ีสาธารณะที่คนท้ังสองเพศควรจะมีส่วนร่วมอย่าง
เท่าเทียม เช่นพ้ืนท่ีทางการศึกษาและโอกาสในทางเศรษฐกิจก็ยังไม่เพียงพอส�ำหรับผู้หญิง ขณะที่
ปริมณฑลสว่ นตวั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสามี ภรรยากด็ ไู มต่ า่ งไปจากความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนายกบั ทาส
การแตง่ งานทำ� ใหส้ ถานะของผหู้ ญงิ ยง่ิ เลวรา้ ยเนอ่ื งจากกฎหมายมกั ใหส้ ทิ ธทิ เ่ี หนอื กวา่ แกผ่ ชู้ ายผเู้ ปน็
สามเี สมอ (Bryson ,2003; วารุณี, 2545)
เบตตี ฟรดี าน (Betty Friedan) นำ� เสนอผลงาน The Feminine Mystique8 (1963) สะทอ้ น
ภาพผู้หญิงแต่งงานชนช้ันกลางที่อาศัยบริเวณชานเมืองของสังคมอเมริกันในช่วงทศวรรษ 1960
กอ่ นหนา้ นใ้ี นชว่ งสงครามโลกครงั้ ทส่ี อง ผหู้ ญงิ จำ� นวนมากไดเ้ ขา้ สตู่ ลาดแรงงานเพอื่ ทดแทนแรงงาน
ผชู้ ายทเ่ี ขา้ รว่ มสงคราม แตเ่ มอื่ สงครามสงบผหู้ ญงิ เหลา่ นถี้ กู เลกิ จา้ งเพอ่ื ใหผ้ ชู้ ายไดก้ ลบั มามงี านทำ�
ท�ำให้ผู้หญิงต้องกลับมาเป็นแม่บ้านและพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับผู้ชาย ไม่สามารถพัฒนาความเป็น
ตวั เอง มแี ตค่ วามวา่ งเปลา่ และไรต้ วั ตน ฟรดี านเรยี กรอ้ งใหผ้ หู้ ญงิ กลบั เขา้ ไปอยใู่ นโลกสาธารณะและ
ทำ� ทกุ อยา่ งใหไ้ ดเ้ หมอื นผชู้ าย การศกึ ษาเปน็ เงอื่ นไขสำ� คญั ทจี่ ะนำ� พวกเธอไปสเู่ ปา้ หมาย การแกก้ ฎหมาย
เปน็ การเปลยี่ นแปลงสภาพของผหู้ ญงิ ในสงั คม อยา่ งไรกต็ าม เธอเหน็ วา่ ครอบครวั ยงั คงเปน็ สงิ่ สำ� คญั
สำ� หรบั ผหู้ ญงิ และผหู้ ญงิ กไ็ มค่ วรทงิ้ โลกสว่ นตวั และรว่ มมอื กบั ผชู้ ายในการเปลยี่ นแปลงคา่ นยิ มของ
สงั คมเพ่ือเอ้อื ใหท้ ุกคนสามารถเตมิ เตม็ ความต้องการของตนเองได้ (Bryson, 2003;วารณุ ี, 2545)
โดยสรุป ผู้หญิงในแบบเสรีนิยมได้จุดประกายความเช่ือในความเป็นมนุษย์ที่เหมือนกัน
ระหว่างหญิงชาย เชื่อม่ันว่าการเปล่ียนความคิดของปัจเจกบุคคลเป็นปัจจัยส�ำคัญท่ีท�ำให้การกดข ี่
ผู้หญิงหมดไป ย้�ำเตือนให้ผู้หญิงใฝ่หาอิสรภาพจากบทบาทการถูกกดข่ีโดยใช้ยุทธวิธีต่อสู้ด้วย
การเปลี่ยนแปลงในลักษณะปฏิรูปผลักดันการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สถานะของผู้หญิงในสังคมดีขึ้น
ดังที่ได้มีการผลักดันและเห็นผลส�ำเร็จในหลายประเทศในการแก้ไขประเด็นการแบ่งแยกกีดกัน
ทางเพศในกฎหมาย การอนาจารทางเพศ สทิ ธกิ ารลาคลอด สทิ ธใิ นการทำ� แทง้ การขม่ ขนื ในชวี ติ สมรส
การเลอื กใชน้ ามสกลุ หลงั การแตง่ งาน ฯลฯ รวมไปถงึ แนวทางการแกไ้ ขปญั หาดว้ ยการสงั คมสงเคราะห์
เช่น การจัดให้มีสถานเล้ียงดูเด็กเพื่อลดภาระผู้หญิงที่ต้องท�ำงานนอกบ้าน นอกจากน้ีผู้หญิงแบบ
เสรนี ยิ มยงั สนบั สนนุ การปฏริ ปู การศกึ ษาสำ� หรบั ผหู้ ญงิ เพอื่ ผลกั ดนั ใหพ้ วกเธอมพี น้ื ทท่ี างการศกึ ษา
ซงึ่ จะนำ� ไปสกู่ ารมอี าชพี และพน้ื ทใ่ี นทางเศรษฐกจิ ทเี่ ทา่ เทยี มกบั ผชู้ าย การสง่ เสรมิ สทิ ธทิ างการเมอื ง
สิทธิการเลือกต้ังของผู้หญิง ดังน้ันจึงอาจสรุปได้ว่าคุณลักษณะที่ส�ำคัญของผู้หญิงแบบเสรีนิยมน ี้
มงุ่ เนน้ การเปลย่ี นแปลงทกี่ ารปฏริ ปู เชงิ กฎหมายและสงั คมมากกวา่ การปฏวิ ตั ลิ ม้ ลา้ งโครงสรา้ งสงั คม
ใหมท่ ้งั หมด (Saulnier, 1996; Beasley, 1999; Bryson, 2003; วารุณ,ี 2545)
สำ� หรบั ผซู้ งึ่ มใิ ชน่ กั สทิ ธสิ ตรี แนวคดิ สตรนี ยิ มสายเสรนี ยิ มถอื วา่ เปน็ แนวคดิ สทิ ธสิ ตรที ช่ี ดั เจน
ทส่ี ดุ เพราะมที ง้ั ภาคแนวคดิ และกจิ กรรมทางการเมอื งทมี่ งุ่ รณรงคเ์ พอื่ ความเสมอภาคในสทิ ธริ วมทงั้
โอกาสของสตรีมาเป็นเวลานานจนแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก และดูเหมือนจะท�ำให้ผู้คนในประเทศที่ม ี
นโยบายอนุรักษ์นิยมรู้สึกถูกคุกคาม แต่เนื่องจากแนวคิดสตรีนิยมสายเสรีนิยมได้ท้าทายอ�ำนาจ
ของผู้ชายหรือจัดการกับสาเหตุการกดข่ีผู้หญิง ท�ำให้นักสิทธิสตรีบางกลุ่มไม่แน่ใจว่าควรจะถือว่า
แนวคิดสตรนี ิยมเสรนี ยิ มเป็นแนวคิดสทิ ธิสตรีหรือไม่ (กรวิภา บญุ ซื่อ 2538: 19) จูเลยี คริสเตวา
(Julia Kristeva) นกั สตรนี ยิ มสายจิตวิเคราะห์ เคยเสนอว่า การต่อสู้ของผ้หู ญงิ เปลยี่ นไปแลว้ จาก
8พลงั ลกึ ลับแห่งเพศหญงิ – บรรณาธกิ าร
284 พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
การเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมในด้านต่างๆ มาสู่การต่อสู้เพ่ือความต้องการความแตกต่างและ
ความเป็นลักษณะเฉพาะของผ้หู ญงิ
ความสำ� เรจ็ ในการบกุ เบกิ การตอ่ สใู้ นเชงิ สถาบนั ดว้ ยการแกก้ ฎหมาย การปรบั ปรงุ นโยบาย
สังคม รวมท้ังการเพิ่มปริมาณผู้หญิงในพ้ืนท่ีอาชีพและการศึกษาของสตรีนิยมสายเสรีนิยมยังมิได้
เป็นหลักประกันว่าส่ิงเหล่าน้ีจะสามารถลดอคติทางเพศในจิตใจของผู้คนในสังคมได้ท้ังหมด การให้
ความสำ� คญั ตอ่ เสรภี าพของปจั เจกชนตามแนวคดิ นยี้ งั มอิ าจทำ� ใหม้ องเหน็ ความเชอื่ มโยงระหวา่ งชวี ติ
ของปัจเจกแต่ละคนไดอ้ ย่างชดั เจน หนำ� ซ้�ำยงั เปน็ การมองแบบแยกสว่ นคู่ตรงขา้ มระหวา่ งโลกของ
ผู้หญิงและโลกของผู้ชาย โลกส่วนตัวและโลกสาธารณะ ทั้งยังไม่ต้องการให้รัฐและสังคมเข้าไป
เก่ียวข้องกับโลกส่วนตัว จึงท�ำให้ผู้หญิงแบบเสรีนิยมไม่เคยเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงความ
สัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมในครอบครัว ไม่เคยตั้งค�ำถามต่อประเด็นการเมืองของรัฐในฐานะที่เป็น
การเมอื งบนฐานคิดแบบผชู้ าย ยงิ่ กวา่ นนั้ การผกู พันอยูก่ บั ระบบทนุ นยิ มท�ำใหแ้ นวคดิ นีไ้ ม่กลา้ ทจี่ ะ
ทา้ ทายตอ่ การเปลยี่ นแปลงในระดบั โครงสรา้ งสงั คม รวมทง้ั สถาบนั ตา่ งๆ การแกป้ ญั หาความไมเ่ ทา่
เทยี มจึงไม่อาจลงลึกไปที่ระดบั รากเหง้าของปัญหาได้ ท้ายทีส่ ดุ ผ้หู ญิงยงั คงตอ้ งรับภาระทัง้ ในและ
นอกบ้าน ผู้หญิงสามารถเขา้ ไปมสี ่วนร่วมในพน้ื ทส่ี าธารณะได้ แตจ่ ติ ส�ำนกึ และบทบาทของผู้ชายใน
เรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างเพศไม่เคยเปลยี่ นแปลง
ผู้หญิงในแบบสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคน
แนวคิดสตรีนิยมสายปฏิวัติถอนรากถอนโคน (Radical Feminism) เกิดข้ึนจากผลของ
การเคลอ่ื นไหวเพอื่ เปลยี่ นแปลงทางสงั คมในประเดน็ สทิ ธพิ ลเมอื งตะวนั ตกในชว่ งทศวรรษ 1950 และ
1960 (Saulnier, 1996: 29) หากจะย้อนกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าวก็คงต้องยอมรับว่าแนวคิด
สตรีนิยมสายปฏิวัติถอนรากถอนโคนได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนักคิดนักเคลื่อนไหวอย่าง แมร่ี
โวลล์สโตนคราฟท์ ผู้เรยี กร้องอิสรภาพทางเศรษฐกิจส�ำหรบั ผู้หญงิ โจมตอี ุดมการณ์ความงาม และ
เปิดประเด็นการถูกกดขี่ของผู้หญิงว่ามิใช่ในฐานะท่ีพวกเธอเป็นปัจเจกบุคคลหากแต่ในฐานะที่เป็น
กลมุ่ คนในสงั คม นอกจากนย้ี งั มมี าเรยี สจว๊ รต์ (Maria W. Stewart) นกั สตรนี ยิ มผวิ สคี นแรกๆ ในชว่ ง
ทศวรรษ 1830 ท่ีได้อุทิศตนในการสร้างความเข้มแข็งให้กับการสร้างความสัมพันธ์ของสตรีผิวส ี
กบั คนอนื่ ๆ ในสงั คม เธอยนื ยนั วา่ การกดขท่ี างเพศ ผวิ สแี ละชาตพิ นั ธเ์ุ ปน็ สาเหตสุ ำ� คญั ของความทกุ ขย์ าก
ของผูห้ ญงิ (Collins, 1990 in Saulnier,1996: 29) ในช่วงเวลาถดั มา ราวทศวรรษ 1880 เอลิซาเบธ
แคด้ี สแตนตัน (Elizabeth Cady Stanton) เปน็ นกั สตรนี ยิ มอีกคนที่โจมตีการกดขผ่ี ู้หญิงในพืน้ ที่
ศาสนา การตอ่ สขู้ องเธอไดก้ ลายเป็นแบบอย่างให้นกั สตรีนิยมสายปฏวิ ัติถอนรากถอนโคนร่นุ ต่อมา
ให้ประยกุ ตแ์ นวทางในการตอ่ สตู้ ่อการกดขเ่ี พอ่ื ปลดปลอ่ ยสตรเี ช่นกัน
การก่อตัวของแนวคิดสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคนจึงเกี่ยวข้องกับการเข้าร่วมในองค์กร
สทิ ธิพลเมอื ง (Civil Rights Organization) ในทศวรรษ 1950 และ 1960 จุดเร่มิ แรกของทฤษฎี
กย็ งั คงไมอ่ าจหลกี เลยี่ งความคดิ เหน็ ทต่ี อ่ ตา้ นแนวคดิ สตรนี ยิ มทง้ั จากฝา่ ยซา้ ยและขบวนการเคลอื่ นไหว
เพอื่ สทิ ธพิ ลเมอื งในสหรฐั อเมรกิ า (Saulnier, 1996: 30) นกั สตรนี ยิ มสายถอนรากถอนโคนสว่ นหนง่ึ
กลา่ ววา่ การเนน้ ทป่ี ระเดน็ เพศสภาวะในฐานะทเ่ี ปน็ รากทมี่ าของการกดขเ่ี ปน็ สงิ่ ทจ่ี ำ� เปน็ ตอ่ การปะทะ
กบั แนวคดิ ของพวกฝา่ ยซา้ ยทพ่ี ยายามทำ� ใหป้ ระเดน็ ดงั กลา่ วเปน็ เรอื่ งเลก็ นอ้ ยทไี่ มส่ ำ� คญั และนอกจาก
ประเดน็ เรอ่ื งอคตทิ างเพศแลว้ ปญั หาอคตทิ างชาตพิ นั ธก์ุ จ็ ะตอ้ งเปน็ สว่ นหนง่ึ ในการเคลอื่ นไหวของสตรี
นิยมเชน่ กัน
พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 285
แนวคิดที่สตรีนิยมสายถอนรากถอนโคนหยิบยืมมาจากฝ่ายซ้ายและขบวนการเคล่ือนไหว
เพอื่ สทิ ธพิ ลเมอื ง ไดแ้ ก่ ความแปลกแยกและการไรอ้ ำ� นาจ (Alienation and Powerlessness) ทถี่ อื
เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ทางการเมอื งและการเปลยี่ นแปลงปจั เจกบคุ คลดว้ ยวธิ กี ารถอนรากถอนโคน (Echols,
1989 in Saulnier, 1996: 30) จากแนวทางนจี้ งึ ทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ ในแบบสตรนี ยิ มสายถอนรากถอนโคนปฏเิ สธ
แนวคดิ สตรนี ยิ มสายเสรนี ยิ มในประเดน็ สทิ ธทิ เ่ี ทา่ เทยี มกนั ของผหู้ ญงิ รวมทง้ั ยทุ ธวธิ ใี นการตอ่ สแู้ บบ
เน้นการปฏิรูปสงั คมที่ยงั ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เพอ่ื ร้ือถอนบทบาทของผู้ชายอยา่ งส้นิ เชิง
ผหู้ ญงิ ผวิ สไี ดเ้ ขา้ ไปเปน็ สว่ นหนง่ึ ของการเคลอ่ื นไหวแนวคดิ สตรนี ยิ มสายถอนรากถอนโคน
แต่กระน้ันการเข้าร่วมดังกล่าวในทศวรรษ 1960 ก็ยังมิได้ท�ำให้ภาพของการต่อสู้ในประเด็นอคต ิ
ในชาตพิ นั ธแ์ุ ละการเหยยี ดชนชน้ั มคี วามชดั เจนขนึ้ (Brewer, 1993; Combahee River Collective,
1983 in Saulnier,1996: 30) ผหู้ ญงิ ผวิ สสี ว่ นหนง่ึ ปฏเิ สธการเขา้ รว่ มดว้ ยเหตผุ ลเดยี วกบั ทเ่ี คยถอนตวั
ออกจากขบวนการเคลอ่ื นไหวสตรนี ยิ มสายเสรนี ยิ ม มมุ มองของผหู้ ญงิ ผวิ ขาวไมส่ อดรบั กบั ความตอ้ งการ
ของผหู้ ญงิ ผิวสี เชน่ 1. การนยิ ามว่าเพศสภาวะเป็นปญั หาล�ำดบั แรกของการกดขี่ 2. การนิยามกลไก
การกดขี่ทางเพศท่ีกว้างเกินไป และ 3. การมองหาความเป็นอิสระจากผู้ชายและการพัฒนาตัวเอง
ท่ีเป็นแบบเดิมๆ ซึ่งผู้หญิงผิวสีต่างก็มีประสบการณ์มาแล้วและพบว่ายุทธวิธีดังกล่าวไม่มีวันส�ำเร็จ
ทศั นะทไี่ มล่ งรอยนเี้ ปน็ การเสรมิ พลงั ของผหู้ ญงิ ผวิ สแี ละทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ ผวิ ขาวตระหนกั ถงึ ปญั หาทเี่ ปน็
ผลจากความแตกต่างระหว่างผูห้ ญงิ ดว้ ยกันเอง
ประเด็นที่นักสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคนให้ความสนใจก็คือระบบเพศและเพศสภาวะว่า
เปน็ สาเหตุสำ� คัญต่อการกดขผ่ี หู้ ญิง พอลลา่ โรเธนเบริ ก์ (Paula Rothenberg) อธิบายในประเดน็
การกดขผ่ี หู้ ญงิ ในทศั นะนว้ี า่ ผหู้ ญงิ คอื กลมุ่ แรกในประวตั ศิ าสตรท์ ถ่ี กู กดข ่ี การกดขผี่ หู้ ญงิ จงึ แผข่ ยายและ
เกดิ ขน้ึ ทว่ั ทกุ สงั คม นอกจากนี้ การกดขผี่ หู้ ญงิ ยงั ฝงั รากลกึ จนยากทจ่ี ะแกไ้ ขไมว่ า่ จะดว้ ยการเปลยี่ นแปลง
ใดๆ ทางสงั คม ท่สี ำ� คัญการกดข่ีผหู้ ญงิ เป็นตน้ เหตุของการทนทกุ ขท์ รมานในฐานะทเ่ี ป็นเหยอ่ื และ
มักถูกละเลยเน่ืองจากอคติทางเพศของท้ังผู้กดขี่รวมท้ังผู้ที่ตกเป็นเหย่ือ การกดขี่ผู้หญิงจึงถือเป็น
แนวคิดหลักในการท�ำความเข้าใจการกดข่ีในรูปแบบอื่นๆ ทั้งหมด กลุ่มสตรีนิยมต่างมีความเห็น
ร่วมกันว่า ประเด็นอคติทางเพศกลายเป็นประเด็นที่มีความส�ำคัญท่ีสุดเม่ือพูดถึงเร่ืองการกดข ี่
งานเขยี นของสตรนี ยิ มสายถอนรากถอนโคน นบั ตง้ั แตท่ ศวรรษ 1960 - 1970 ตา่ งกส็ นบั สนนุ แนวคดิ นี้
ท้ังส้นิ (Tong, 1998: 46-47)
แนวคิดสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคน ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ปรากฏแนวคิดที่ชัดเจน
ผ่านงานเขียน Sexual Politics9 (Millett, 1971: 43-46) ที่ได้เสนอแนวความคดิ ว่าการเมืองเป็น
ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ งทางอำ� นาจทผ่ี ชู้ ายมเี หนอื ผหู้ ญงิ และสามารถควบคมุ ผหู้ ญงิ ใหอ้ ยภู่ ายใต้
ระบบชายเป็นใหญ่ การเมืองเรื่องเพศนั้นเป็นเร่ืองของสังคม การขัดเกลาทางสังคมเป็นผู้ก�ำหนด
ความเปน็ หญงิ ความเป็นชาย ทำ� ใหผ้ ู้หญงิ ตกอยูใ่ นสถานะท่เี ปน็ รองเสมอมา ต้นเหตุของการกดข ่ี
ผู้หญิงคือระบบชายเป็นใหญ่ อันเป็นต้นเหตุที่ส�ำคัญย่ิงกว่าประเด็นทางชนชั้น เพราะมีความเป็น
สากลและยาวนาน ระบบชายเปน็ ใหญท่ ำ� ใหค้ วามสมั พนั ธท์ ผ่ี หู้ ญงิ ตกเปน็ รองกลายเปน็ เรอ่ื งธรรมชาติ
ความแตกตา่ งทางสรรี ะระหวา่ งหญงิ ชายทำ� ใหผ้ มู้ รี า่ งกายเปน็ ชายมอี ำ� นาจ และผมู้ รี า่ งกายเปน็ หญงิ
ตกเป็นรอง
9การเมอื งเรื่องเพศ – บรรณาธิการ
286 พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
นอกจากนี้ มิลเล็ตต์ (Millett) ยังมองว่าระบบชายเป็นใหญ่ยังมีปฏิสัมพันธ์ที่แนบแน่น
กับโครงสร้างสังคม เช่น ศาสนา การศึกษา โดยเฉพาะครอบครัวเป็นสถาบันหลักที่คอยท�ำหน้าท่ี
ถา่ ยทอดอดุ มการณช์ ายเปน็ ใหญ่ และตอกยำ้� ดว้ ยสถาบนั การศกึ ษารวมทงั้ สอ่ื มวลชน ดงั นนั้ วธิ กี ารที่
ฉลาดอนั จะทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ อยรู่ อดไดใ้ นระบบอดุ มการณน์ ค้ี อื การทเี่ ธอตอ้ งคงความเปน็ หญงิ เอาไว้ ในทาง
กลบั กนั การทจี่ ะก�ำจดั การควบคุมของผู้ชายนนั้ ทง้ั ผหู้ ญงิ และผ้ชู ายตอ้ งขจดั เพศสภาวะโดยเฉพาะ
สถานะทางเพศ บทบาท และธรรมชาตขิ องนสิ ยั ทถ่ี กู ประกอบสรา้ งดว้ ยระบบชายเปน็ ใหญอ่ อกไปดว้ ย
เชน่ กนั (Tong, 1998: 49)
เคท มลิ เล็ตต์ (Kate Millett) ผู้เขียนหนงั สอื Sexual Politics (1970)
(ท่ีมา: http://images.fineartamerica.com/images-medium-large/kate-millett-1937--granger.jpg)
ในงาน The Dialectic of Sex: The Case for Feminist Revolution10 โดย ชลู ามธิ ไฟรส์ โตน
(Shulamith Firestone, 1972) เสนอวา่ สงั คมมกี ารแบ่งชนช้นั โดยมีฐานอย่ทู ีเ่ พศ ชนชน้ั ทางเพศ
เกดิ ขน้ึ จากความแตกตา่ งทางชวี ภาพ ทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ และผชู้ ายแตกตา่ งและมสี ทิ ธทิ ไ่ี มเ่ ทา่ เทยี มกนั หนา้ ท่ี
ในการสบื พนั ธท์ุ แี่ ตกตา่ งทำ� ใหเ้ กดิ การเสยี เปรยี บ การทผ่ี หู้ ญงิ มปี ระจำ� เดอื น การคลอดลกู ทเี่ จบ็ ปวด
การให้นม การเลีย้ งลกู ท�ำใหผ้ หู้ ญิงต้องมสี ภาพเป็นรองที่ต้องรกั ษาไว้เพอื่ การด�ำรงอยูข่ องเผ่าพันธุ์
ขณะทผ่ี ชู้ ายมอี สิ ระในโลกของการทำ� งาน ผหู้ ญงิ จงึ ตอ้ งพงึ่ พงิ ผชู้ ายในดา้ นเศรษฐกจิ ไฟรส์ โตนจงึ ได้
เสนอทางออกว่า ผู้หญิงต้องเลิกท�ำหน้าท่ีสืบพันธุ์ และใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการให้ก�ำเนิดมนุษย์
แทนผหู้ ญงิ การเลย้ี งดเู ดก็ กถ็ อื เปน็ หนา้ ทขี่ องสมาชกิ ในสงั คม นอกจากนยี้ งั มขี อ้ เสนอวา่ ควรมกี ารให้
อสิ รภาพทางเศรษฐกจิ แกผ่ หู้ ญงิ โดยไมต่ อ้ งพงึ่ พาผชู้ าย ดว้ ยวธิ กี ารเขา้ รว่ มในกจิ กรรมดา้ นตา่ งๆ ของ
สงั คมทง้ั หมด (วารณุ ี ภูริสนิ สทิ ธ์,ิ 2545)
เอเดรยี นน์ รชิ (Adrienne Rich, 1986: 57) เขยี นงานเรอ่ื ง Of Woman Born: Motherhood
as Experience and Institution11 เสนอแนวความคดิ วา่ ระบบชายเป็นใหญ่เป็นหวั ใจของการกดขี่
ผูห้ ญงิ อำ� นาจของพ่อ คอื ระบบของครอบครวั อดุ มการณ์ การเมอื ง ผชู้ ายเป็นผกู้ �ำหนดการกระทำ�
10วภิ าษวธิ เี กย่ี วกับเพศ: กรณีสำ� หรับการปฏิวตั ขิ องสตรนี ิยม – บรรณาธกิ าร
11เร่ืองการก�ำเนดิ ของผหู้ ญงิ : ความเป็นแม่ในฐานะของประสบการณแ์ ละสถาบนั – บรรณาธกิ าร
พลังผูห้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 287
ของผู้หญงิ ผา่ นการใช้กำ� ลงั ประเพณี พธิ กี รรม กฎหมาย ภาษา การศึกษา ฯลฯ แมแ้ ตค่ วามเปน็ แม่
ก็ถูกก�ำหนดโดยอ�ำนาจของพ่อ ผู้หญิงถูกท�ำให้เช่ือว่า ถ้าใครไม่ใช่แม่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่แท้จริง
ประสบการณค์ วามเปน็ แมห่ รอื กามารมณร์ ะหวา่ งหญงิ ชายถกู นำ� ไปรบั ใชผ้ ลประโยชนข์ องผชู้ าย ดงั นน้ั
พฤตกิ รรมทสี่ วนทางกบั หนา้ ทดี่ งั กลา่ วกจ็ ะถกู มองวา่ เปน็ ความเบย่ี งเบนหรอื เปน็ อาชญากร เชน่ การมี
ลกู โดยไม่มพี ่อ การทำ� แทง้ หญิงรกั หญิง ความเปน็ แมแ่ ละกามารมณ์ระหวา่ งหญิงชายจงึ ถกู อ้างวา่
เปน็ สัจธรรม เปน็ ธรรมชาติ ไม่เปิดให้มีการต้งั คำ� ถาม ในความเห็นของริชเชือ่ วา่ ความเปน็ แม่ไม่ใช่
ธรรมชาติ ไมม่ สี งิ่ ทเ่ี รยี กวา่ สญั ชาตญาณความเปน็ แมแ่ ตเ่ ปน็ ความเชอื่ ทถ่ี กู สรา้ งขนึ้ มาจากชายเปน็ ใหญ ่
ในสังคมปัจจุบันชายเป็นใหญ่ได้พัฒนากลวิธีในการท�ำให้ผู้หญิงยอมรับในบทบาทความเป็นแม ่
อย่างแยบยลโดยผ่าน อุดมการณ์การสืบพันธุ์ และอุดมการณ์ความรักท่ีมีต่อผู้ชาย เป้าหมายของ
รชิ มใิ ชก่ ารลม้ ลา้ งความเปน็ แม่ แตต่ อ้ งการทจ่ี ะทำ� ลายสถาบนั ของความเปน็ แม่ เพอื่ เปน็ การปลดปลอ่ ย
พลงั การสรา้ งสรรค์ การอยรู่ อดของชวี ติ เพอื่ ใหก้ ารเปน็ แมเ่ ปน็ เหมอื นการทำ� งานอน่ื ในสงั คมทผ่ี หู้ ญงิ
จะต้องเข้าไปมบี ทบาท
โดยสรปุ สตรนี ยิ มสายถอนรากถอนโคนใหค้ วามสำ� คญั กบั ความเปน็ เพศหญงิ ในฐานะทเ่ี ปน็
สาเหตขุ องการถกู กดขี่ ระบบชายเปน็ ใหญเ่ ปน็ สาเหตสุ ำ� คญั ทส่ี ดุ ในการกดขผี่ หู้ ญงิ ผา่ นการหลอ่ หลอม
จากอดุ มการณท์ างสงั คม โครงการเสนอเพอื่ ปลดปลอ่ ยผหู้ ญงิ ถกู เสนอในลกั ษณะของการปฏวิ ตั โิ คน่ ลม้
ระบบการกดขผี่ หู้ ญงิ ทงั้ หมด แนวคดิ นมี้ สี ว่ นสำ� คญั อยา่ งมากในการพฒั นาความรคู้ วามเขา้ ใจในเรอ่ื ง
อคตทิ างเพศ ซง่ึ รวมถงึ ประเดน็ เพศ เพศภาวะ การสบื พนั ธ์ุ ความรนุ แรงตอ่ ผหู้ ญงิ ในทกุ รปู แบบ ใหเ้ ปน็
ศูนย์กลางของการวิเคราะหป์ ระเดน็ การเมือง และขยายไปสูเ่ รื่องภาพโปเ๊ ปลือย การคุกคามทางเพศ
การขม่ ขนื การถูกทบุ ตี โสเภณ ี ทีส่ �ำคญั ท่สี ดุ คือแนวคิดน้ีได้กอ่ ให้เกิดความรสู้ กึ ทวี่ ่าผหู้ ญิงสามารถ
เป็นผู้หญิงท่ีมีความสามารถและมีศักด์ิศรีโดยไม่จ�ำเป็นต้องท�ำตัวเองให้เหมือนกับผู้ชายเสียก่อน
(Saulnier, 1996; Beasley, 1999; Bryson, 2003; วารุณ,ี 2545)
เบลล์ ฮคุ ส์ (bell hooks)12 นกั สตรนี ยิ มผวิ สกี ลา่ ววา่ ขบวนการเคลอื่ นไหวของผหู้ ญงิ เปน็ เรอ่ื ง
ของผหู้ ญงิ ชนชน้ั กลางผวิ ขาวทไี่ มพ่ อใจตอ่ อภสิ ทิ ธข์ิ องผชู้ าย เธอไมเ่ ชอ่ื วา่ แนวคดิ สตรนี ยิ มสายถอนราก
ถอนโคนจะให้ความสำ� คัญต่อประเด็นชนชัน้ สีผวิ และชาตพิ นั ธ์ุ เธอต้ังค�ำถามว่า จริงหรอื ไมท่ ี่ผหู้ ญงิ
ผวิ ขาวคดิ แคว่ า่ ผชู้ ายไมไ่ ดร้ บั ประโยชนใ์ ดใดอยา่ งเทา่ เทยี มจากอคตทิ างเพศ ความคดิ ของสตรนี ยิ ม
สายถอนรากถอนโคนก็คือแนวคิดของผู้หญิงผิวขาวน่ันเอง นักสตรีนิยมชาวเอเชียส่วนหน่ึงก็ได้
วเิ คราะหถ์ งึ ความเขา้ ใจทจ่ี ำ� กดั ของสตรนี ยิ มสายถอนรากถอนโคนผวิ ขาวเชน่ กนั และยอมรบั วา่ ประเดน็
เรอื่ งอคตใิ นชาตพิ นั ธไ์ุ มถ่ กู ใหค้ วามสำ� คญั จรงิ และไมถ่ กู จดั ใหเ้ ปน็ ปญั หาแรกๆทจี่ ะตอ้ งแกไ้ ข (Yamada,
1983 in Saulnier, 1996: 31) แตอ่ ย่างนอ้ ยทีส่ ุดการวพิ ากษแ์ ละการเคลอ่ื นไหวท่ที ้งั สนบั สนนุ และ
ต่อต้านแนวคิดดังกล่าวก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาแนวคิดสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคน
ให้เป็นส่วนหน่ึงของการเคลื่อนไหว ต้ังแตศ่ ตวรรษท1ี่ 9 เปน็ ต้นมากระทงั่ ปัจจุบนั
ข้อวิจารณ์หลักของแนวคิดสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคนคือ การยอมรับความเป็นสากล
และการมีแก่นแท้หนึ่งเดียวของผู้หญิง แต่มันก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธความหลากหลายของผู้หญิง
ปฏเิ สธปัญหา เชอ้ื ชาติ ชนชนั้ วัฒนธรรม การไม่คำ� นึงถึงมติ ทิ างประวตั ิศาสตร์ เปน็ การนำ� สตรนี ิยม
กลบั ไปสกู่ บั ดกั ความคดิ แบบทวลิ กั ษณ์ เทา่ กบั ยงิ่ เปน็ การหลอ่ เลยี้ งใหก้ ารกดขที่ างเพศดำ� รงอยู่ ขณะที่
12ชอื่ ของ bell hooks สะกดดว้ ยตวั พมิ พเ์ ลก็ เพราะตวั เธอไมป่ ระสงคใ์ ชต้ วั อกั ษรพมิ พใ์ หญด่ ว้ ยเหตผุ ลวา่ ภาษา
มีนัยยะของการใช้อ�ำนาจ การเหยยี ดสีผิว และเหยียดเพศ
288 พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
แก่นความคิดส�ำคัญของแนวคิดนี้คือ ระบอบชายเป็นใหญ่ก็ไม่ได้ถูกพัฒนาให้มีกลไกเชิงรูปธรรม
โดยขาดความสามารถในการอธบิ ายทสี่ ามารถเชอ่ื มโยงเขา้ กบั บรบิ ททางสงั คมและมติ ทิ างประวตั ศิ าสตร์
การมงุ่ เนน้ ทปี่ ระเดน็ เรอ่ื งรา่ งกายทำ� ใหก้ ารอธบิ ายปญั หาการกดขยี่ งั ขาดมมุ มองทางเศรษฐกจิ การใช้
ร่างกายของผู้หญิงเป็นศูนย์กลางในการศึกษาท�ำให้การศึกษาตามแนวคิดนี้ไม่สามารถขยายพื้นท่ี
การศกึ ษาเรอื่ งผหู้ ญงิ ไปสกู่ ารเปน็ ศนู ยก์ ลางในทางวฒั นธรรมและสงั คม ผหู้ ญงิ จงึ ยงั คงตกเปน็ ผถู้ กู กระทำ�
และเปน็ คนอนื่ แทนทจี่ ะเปน็ องคป์ ระธานของการตอ่ สเู้ พอื่ ปลดปลอ่ ยจากการกดขท่ี างเพศ นอกจากน้ี
การท่แี นวคิดมกี ารต่อต้านผชู้ ายแบบสุดโต่งจงึ ทำ� ให้สูญเสียแนวรว่ มท่ีเป็นผหู้ ญงิ และผ้ชู ายบางสว่ น
ไปไดเ้ ชน่ กนั (Saulnier, 1996; Beasley, 1999; Bryson, 2003; วารณุ ,ี 2545)
ผูห้ ญิงในแบบสตรีนิยมสายสงั คมนยิ ม
สตรนี ยิ มสายสงั คมนยิ ม (Socialist feminism) เปน็ แนวคดิ ทผี่ สมผสานแนวคดิ มารก์ ซสิ ม์
และแนวคิดสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคนรวมทั้งสตรีนิยมสายจิตวิเคราะห์เข้าด้วยกัน แนวคิดน้ี
อธบิ ายวา่ การกดขร่ี ะหวา่ งเพศและการกดขที่ างชนชนั้ นนั้ เกดิ ขนึ้ พรอ้ มๆ กนั ระบบชายเปน็ ใหญม่ ไิ ด้
เกดิ จากการกดขที่ างชนชน้ั หากแตด่ ำ� รงอยกู่ อ่ นแลว้ สบื ทอดจากสงั คมหนงึ่ ไปอกี สงั คมหนงึ่ และในยคุ
ทนุ นยิ มนนั้ ระบบชายเปน็ ใหญแ่ ละระบบทนุ นยิ มไดป้ รบั ตวั และทำ� งานรว่ มกนั โดยระบบชายเปน็ ใหญ่
ต้องการจดั ล�ำดับสูงตำ่� ทางเพศ ผ่านการควบคุมอ�ำนาจ รา่ งกายและพืน้ ทขี่ องผ้หู ญงิ ระบบทนุ นิยม
ก็ต้องการขูดรีดแสวงหาก�ำไรและสะสมทุน เมื่อระบบท้ังสองท�ำงานร่วมกันจึงเกื้อหนุนกันและกัน
และกลายเปน็ รากฐานของการกดขท่ี างเพศในยคุ ทนุ นยิ มชายเปน็ ใหญ่ (กลุ ลนิ ี มทุ ธากลนิ และ วรารกั
เฉลิมพนั ธศุ กั ด์ิ, 2547: 235)
แนวคิดสตรนี ิยมสายสังคมนยิ มแบง่ ไดเ้ ป็น 2 แนวคดิ ใหญ่ คือ
1. การวเิ คราะห์แบบระบบคู่ (Dual system) อธบิ ายการกดขผ่ี ้หู ญงิ โดยพิจารณาจากทงั้
ระบบชายเป็นใหญ่และระบบทุนนิยม แนวคิดนี้เช่ือว่าแม้ระบบชายเป็นใหญ่กับระบบทุนนิยมจะมี
ความขัดแย้งกันอยู่บ้างแต่ท้ังสองแนวคิดน้ีต่างท�ำงานร่วมกันในการกดขี่ผู้หญิง นักสตรีนิยมกลุ่มน้ี
ได้แก่ จูเลยี ต มติ เชลล์ (Juliet Mitchell) เขียนงานทม่ี ีช่อื ว่า “Women’s Estate”13 (1971) มองวา่
เพศวิถี (sexuality) ความเชื่อเรอื่ งชายเปน็ ใหญ่ (patriarchy) ทนุ นิยม (capitalism) และชนชนั้
(class) เปน็ สโี่ ครงสรา้ งหลกั ทางสงั คมทก่ี ดขผี่ หู้ ญงิ โดยชใ้ี หเ้ หน็ วา่ การทผ่ี ชู้ ายมอี ำ� นาจเหนอื เนอ้ื ตวั
ร่างกายผู้หญิง ในแง่ท่ีเป็นฝ่ายควบคุมระบบอนามัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิงท�ำให้ผู้ชายอยู่ในฐานะที่
เหนอื กวา่ ผหู้ ญงิ เสมอ และมผี ลทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ รบั เอาความคดิ ความเชอ่ื ทว่ี า่ เรอื นรา่ งของผหู้ ญงิ นนั้ มไี ว้
เพื่อตอบสนองความเพลิดเพลินทางเพศของผู้ชายและเพอ่ื การมบี ตุ รให้แก่ผู้ชาย ซ่ึงท้ังสองบทบาท
น้ีได้มีส่วนจ�ำกัดผู้หญิงเอาไว้กับพ้ืนที่ในบ้านและกิจกรรมที่เป็นเร่ืองในบ้าน (Tannenbaum, 2001
อ้างใน วลิ าสินี พิพธิ กลุ และกิตติ กันภยั , 2546)
มติ เชลลม์ องวา่ การปลดปลอ่ ยผหู้ ญงิ จำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งในสว่ นตา่ งๆ ใน
สงั คมดว้ ย ไดแ้ ก่ โครงสรา้ งการผลติ การสบื พนั ธ์ุ กามารมณ์ และกระบวนการขดั เกลาทางสงั คม โดย
เธออธิบายในสว่ นของโครงสรา้ งการผลติ ว่าที่ผา่ นมาผหู้ ญิงถูกทำ� ให้เชอื่ วา่ ไม่เหมาะกบั งานประเภท
13สนิ ทรพั ยข์ องผ้หู ญิง – บรรณาธิการ
พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 289
จเู ลียต มิตเชลล์ (Juliet Mitchell) เขยี นงานทมี่ ชี อ่ื วา่ สนิ ทรพั ย์ของผูห้ ญิง (Women’s Estate) (1971)
(ทม่ี า: http://www.bl.uk/britishlibrary/~/media/bl/global/sisterhood/portraits/julietmitchell.jpg)
ทีต่ ้องใช้แรงงาน ผหู้ ญิงจงึ ต้องทำ� งานบ้านซึง่ ไมถ่ ูกน�ำเขา้ ไปร่วมในโครงสรา้ งการผลิต ผ้หู ญิงจงึ ตก
อยใู่ นสถานะทเี่ ปน็ รองเสมอมา ในประเดน็ การสบื พนั ธม์ุ ติ เชลลม์ องวา่ สงั คมทนุ นยิ มไดส้ รา้ งอดุ มการณ์
วา่ การเลย้ี งดเู ดก็ และงานบา้ นเปน็ อาชพี ตามธรรมชาตขิ องผหู้ ญงิ ซงึ่ ทง้ั หมดนเี้ ปน็ เพยี งการประกอบ
สร้างขึ้นมาและท�ำให้ผู้หญิงไม่มีส่วนร่วมในการผลิต นอกจากน้ี การสืบพันธุ์ยังถูกมองว่าเป็นเร่ือง
ทางรา่ งกายไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การเปลย่ี นแปลงทางประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ เปน็ ภาพลวง เพราะในความเปน็ จรงิ
การสบื พนั ธข์ องผหู้ ญงิ ถกู ควบคมุ จากผชู้ าย เชน่ การควบคมุ จำ� นวนบตุ ร การใชก้ ฎหมายและเศรษฐกจิ
เปน็ ตัวควบคุมผหู้ ญิงและลูก เป็นต้น
สว่ นเรอื่ งกามารมณ์ มติ เชลลเ์ สนอวา่ ในประวตั ศิ าสตรท์ ย่ี าวนานของมนษุ ย์ ผหู้ ญงิ ถกู เปรยี บ
เสมอื นวตั ถทุ างเพศ วฒั นธรรมทผ่ี กู ตดิ อยกู่ บั กามารมณไ์ ดก้ อ่ ใหเ้ กดิ การกดขตี่ อ่ ผหู้ ญงิ เชน่ การทสี่ ามี
มภี รรยาไดห้ ลายคนโดยทผี่ หู้ ญงิ ตอ้ งซอื่ สตั ยต์ อ่ ผชู้ ายเพยี งคนเดยี ว อยา่ งไรกต็ าม การแตง่ งานระบบ
ผัวเดียวเมียเดียวท่ีใช้ความรักเป็นพ้ืนฐานก็ไม่ได้ท�ำให้สภาพของผู้หญิงดีข้ึน ความรักได้ถูกน�ำมา
หลอมละลายเขา้ กบั การแตง่ งาน ทง้ั ๆ ทแี่ นวคดิ ทง้ั สองไมน่ า่ จะเขา้ กนั ไดเ้ พราะความรกั เปน็ เรอื่ งของ
อารมณ์ ขณะที่การแต่งงานเป็นเร่ืองของความต้ังใจ การแต่งงานเป็นพันธะสัญญาทางกฎหมาย
ท่ีก�ำหนดให้คู่สามีภรรยาซื่อสัตย์ต่อกัน จากความขัดแย้งระหว่างความรักและการแต่งงานจึงท�ำให้
เกดิ การหย่ารา้ งหรือความสัมพันธ์ทางเพศนอกสมรสเกดิ ขึ้นมากมาย เพราะฉะน้นั การแต่งงานตาม
กฎหมายจงึ เปน็ การกดขี่ในรปู แบบใหม่ ไมไ่ ดท้ �ำใหเ้ กิดความเทา่ เทยี มและเป็นอิสระ
สำ� หรบั ประเดน็ กระบวนการขดั เกลาทางสงั คม มติ เชลล์เหน็ ว่าสังคมมักมอบหมายหน้าท่ีนี้
ใหแ้ กผ่ ูห้ ญงิ ฝ่ายเดยี ว แต่มกี ารศึกษาหลายชน้ิ พบวา่ เด็กตอ้ งการท้ังพ่อและแม่ เพราะฉะน้ันสังคม
จึงควรมีรูปแบบการขัดเกลาทางสังคมหลายๆรูปแบบ และไม่จ�ำเป็นต้องเป็นหน้าท่ีของแม่เสมอไป
(วารณุ ี ภูรสิ นิ สิทธิ,์ 2545: 119-122)
290 พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
2. การวิเคราะห์ระบบเดยี่ ว (Unified system) ระบบนี้เชือ่ วา่ ระบบทนุ นิยมชายเป็นใหญ่
เปน็ เพยี งระบบเดยี วทมี่ กี ารกดขผ่ี หู้ ญงิ เปน็ ประเดน็ หลกั ไอรสิ ยงั (Iris Young) เสนอวา่ การวเิ คราะห์
ระบบคู่น้ันยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการวิเคราะห์พ้ืนฐานของมาร์กซ์ หากแต่เพิ่มเติมส่วนของ
การกดข่ีผู้หญิงโดยระบบชายเป็นใหญ่เข้าไปในการวิเคราะห์เท่านั้น ดังนั้นสตรีนิยมจึงต้องพัฒนา
แนวคิดเดียวท่ีสามารถท�ำความเข้าใจระบบทุนนิยมชายเป็นใหญ่ ยังเสนอให้น�ำแนวคิดเร่ือง
การแบง่ งานกนั ทำ� ระหวา่ งเพศมาใชใ้ นการวเิ คราะห์ และวจิ ารณว์ า่ การใชช้ นชน้ั ในการวเิ คราะหร์ ปู แบบ
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งชนชน้ั นายทนุ และผใู้ ชแ้ รงงานนน้ั มคี วามเปน็ นามธรรมเกนิ ไป แตก่ ารวเิ คราะห์
การแบง่ งานกนั ทำ� มคี วามละเอยี ดมากกวา่ นนั้ เพราะสามารถอธบิ ายไดว้ า่ ทำ� ไมผหู้ ญงิ จงึ ตอ้ งรบั คำ� สง่ั
ทำ� งานซ้ำ� ซาก และได้รับคา่ จ้างทีต่ ่�ำกวา่
สว่ นอลสิ นั แจก็ เกอร์ (Alison Jagger) นกั สตรนี ยิ มสายสงั คมนยิ มระบบเดย่ี วอกี คนเสนอวา่
สตรนี ยิ มตอ้ งใชม้ มุ มองจากจดุ ยนื ของผหู้ ญงิ ในการมองโลก และดว้ ยกระบวนการเคลอ่ื นไหวทางการเมอื ง
เท่านั้นทจี่ ะทำ� ให้ค้นพบมุมมองทแี่ ท้จริงของผูห้ ญิง (กลุ ลินี มุทธากลนิ และ วรารกั เฉลิมพนั ธุศกั ด,์ิ
2547: 237) ในระบบทุนนิยมชายเปน็ ใหญ่ไดท้ �ำให้ผหู้ ญงิ แปลกแยกจากส่ิงรอบๆ ตวั รวมทั้งร่างกาย
ของเธอซ่ึงถือเป็นการกดขี่ในรูปแบบหน่ึง น่ันคือผู้หญิงไม่สามารถที่จะเลือกเป็นหรือไม่เป็นแม่ได้
เนอ่ื งจากสงั คมเปน็ ผกู้ ำ� หนดวา่ หนา้ ทแี่ ละบทบาทความเปน็ แมค่ อื หนา้ ทข่ี องผหู้ ญงิ ผหู้ ญงิ แทบไมไ่ ด้
ตัดสินใจเลยวา่ รา่ งกายของเธอถกู ใชเ้ มื่อไหร่ ทไี่ หน อยา่ งไร และโดยใคร การทผ่ี หู้ ญงิ พยายามดแู ล
รา่ งกายของตัวเองท�ำให้ร่างกายของผหู้ ญิงไม่ตา่ งจากการเปน็ วตั ถสุ ำ� หรบั ผูช้ ายและตัวเธอเอง และ
การกดขท่ี ไ่ี มไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ เฉพาะภายในจติ ใจแตแ่ อบแฝงอยใู่ นสถาบนั สงั คมตา่ งๆ และในโครงสรา้ งทาง
วัฒนธรรม นักสตรีนิยมกลุ่มน้ีจึงเสนอให้เกิดอิสรภาพในการผลิตซ้�ำแก่ผู้หญิงควบคู่ไปกับการขจัด
ความเหนือกวา่ ของผูช้ ายในโลกสาธารณะ โดยจะตอ้ งดึงผู้หญงิ ออกมาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกจิ
ให้ได้ อย่างไรก็ตามการเปล่ียนแปลงโครงสร้างการผลิตก็ไม่อาจบรรลุผลได้ถ้าระบบความสัมพันธ์
ระหวา่ งเพศหรอื วถิ กี ารผลติ ซำ้� ในสงั คมยงั คงเปน็ สง่ิ ทเี่ รยี กวา่ มายาคตอิ ยเู่ ชน่ เดมิ (Sexual economyths)
(Jaggar, 1983 in Saulnier, 1996: 63)
การทสี่ ตรนี ยิ มสายสงั คมนยิ มยอมรบั วา่ ระบบชายเปน็ ใหญม่ มี ากอ่ นระบบทนุ นยิ ม แตก่ ารศกึ ษา
ของแนวคิดน้ีมิได้มีการวิเคราะห์เลยว่าผู้ชายในชนชั้นแรงงานถูกท�ำให้มีคุณค่าเหนือกว่าผู้หญิง
อยา่ งไร (Saulnier, 1996: 62) นักเคล่อื นไหวชายฝ่ายซา้ ยวจิ ารณ์ว่าสตรีนยิ มสายสงั คมนยิ มเปน็
การเคลอ่ื นไหวของชนชนั้ กลางทอี่ ทุ ศิ ตวั ใหก้ บั ประเดน็ เพศวถิ แี ละครอบครวั แตไ่ มเ่ คยกระตนุ้ ใหเ้ กดิ
การถกเถยี งถงึ การลม้ ลา้ งอำ� นาจชายเปน็ ใหญ่ นกั สตรนี ยิ มกลมุ่ นเ้ี พยี งแคค่ น้ เจอวา่ มรี ะบบปติ าธปิ ไตย
อยใู่ นระบบทนุ นยิ ม อดุ มการณเ์ ศรษฐกจิ และโครงสรา้ งสงั คมตะวนั ตกเทา่ นน้ั (Whelehan, 1995: 62)
บทบรรณาธิการ Feminist Review14 (no.23, summer 1986 in Whelehan,1995: 64)
วิจารณ์ว่านักสตรีนิยมที่เข้าร่วมกับแนวคิดสังคมนิยมคือผู้หญิงชนชั้นกลางผิวขาวท่ีมีการศึกษา
การวพิ ากษใ์ นประเดน็ การเมอื งบางครงั้ คอ่ นขา้ งไหวเอนไปทางการเมอื งฝา่ ยขวามากกวา่ ทจ่ี ะเปน็ ซา้ ย
แม้ว่าการอธิบายปรากฏการณ์การกดข่ีผู้หญิงจะมุ่งตรงไปท่ีผู้หญิงในชนชั้นแรงงาน แต่โลกของ
ความเปน็ จรงิ นนั้ ผหู้ ญงิ ในสงั คมมคี วามหลากหลาย มคี วามแตกตา่ งทง้ั สผี วิ และชาตพิ นั ธร์ุ วมทง้ั รปู แบบ
การกดข่ีก็ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว ดังน้ันการน�ำแนวคิดน้ีไปประยุกต์ใช้ก็คงต้องท�ำให้ภาพ
ความหลากหลายของผ้หู ญิงปรากฏข้ึนมาเพอื่ สะท้อนมุมมองทแี่ ท้จริงของผหู้ ญิงท้ังมวลใหไ้ ด้
14วารสารทบทวนความรดู้ ้านสตรีนยิ มฉบบั หน่ึง – บรรณาธิการ
พลังผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 291
ผูห้ ญงิ ในแบบสตรีนิยมสายหลงั สมยั ใหม่ (Postmodern Feminism)
หลังทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา แนวคิดหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) ได้จุดประกาย
ท้าทายต่อญาณวิทยา15 และระบบความคิดของยุคสมัยใหม่ท้ังหมด ด้วยการปฏิเสธระบบความคิด
ท่ีสืบทอดมาจากยุคแสงสว่างทางปัญญา (Enlightenment) ของยุโรปในศตวรรษท่ี 18 แนวคิด
หลังสมัยใหม่ได้วิพากษ์วิจารณ์การมีอยู่จริงความรู้อันเป็นสากล ไม่เช่ือว่าเหตุผลจะเป็นเคร่ืองมือ
ในการเขา้ ถึงความจริง กฎเกณฑไ์ ม่สามารถสร้างความแนน่ อนในการอธิบายปรากฏการณ์ของโลก
และสงั คมได้ ปฏเิ สธตอ่ ระบบคดิ คู่ตรงข้าม รวมทัง้ ไม่เชือ่ วา่ มคี วามจริงทเ่ี ป็นวัตถุวสิ ัย เปน็ ต้น
แนวคิดหลังสมัยใหม่ได้รับความสนใจในกลุ่มนักสตรีนิยมเป็นอย่างมาก มีการมองกันว่า
โดยพ้ืนฐานแนวคิดสตรีนิยมมีความเหมือนกับแนวคิดหลังสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็น
การวพิ ากษ์ตอ่ กรอบโครงการการรู้แจง้ (Enlightenment Project) ท่ีมีชายเปน็ ใหญเ่ ป็นศนู ยก์ ลาง
และการปฏิเสธแนวคิดองค์ประธานท่ีมีเหตุผลเป็นสากล และความรู้เป็นสิ่งท่ีผ่านการประกอบ
สรา้ งจากสงั คม ความเปน็ เพศกเ็ ชน่ เดยี วกนั มไิ ดเ้ ปน็ ปจั จยั ทางดา้ นชวี ะเทา่ นน้ั หากแตค่ วามเปน็ หญงิ
ความเป็นชายล้วนเป็นการประกอบสร้างความหมายทางวัฒนธรรมท้ังส้ิน ตัวตนธาตุแท้แก่นแกน
ลว้ นไมไ่ ดด้ ำ� รงอยู่ แทจ้ รงิ ความเปน็ สากลมใิ ชส่ ง่ิ ทไ่ี รเ้ ดยี งสาหากแตม่ อี ำ� นาจและการทำ� ใหต้ กเปน็ รอง
แอบแฝงอยู่ สตรีนิยมหลังสมัยใหม่เสนอว่าการเลือกปฏิบัติหรือการกีดกันผู้หญิงมีหลายรูปแบบ
หลายลักษณะพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะถูกเลือกปฏิบัติอย่างเดียวกัน แนวคิดนี้วิพากษ์
สังคมและแนวทางที่ชายเป็นใหญ่ครอบง�ำสังคม การแสวงหาความหมายที่แน่นอนไม่มีประโยชน์
เพราะไม่มีความหมายเดียว การเป็นอิสระท่ีสุดคือการไม่ติดอยู่ในกับดักของค�ำคู่ตรงข้าม (วิระดา
สมสวสั ดิ,์ 2549: 42-43)
สตรีนิยมหลังสมัยใหม่ได้น�ำความคิดในเรื่อง
วาทกรรมมาอธบิ ายปรากฏการณท์ างสงั คม โดยเฉพาะใน
ประเดน็ เรอื่ งอำ� นาจและความรขู้ องมเิ ชล ฟโู กต์ (Michel
Foucault) และแนวความคดิ เรอื่ งเพศนน้ั ซาวคิ กี (Sawicki)
(1988, อา้ งใน วารณุ ,ี 2545: 167-168) เสนอวา่ การวเิ คราะห์
เรื่องอ�ำนาจของฟูโกต์ช่วยให้ขอบเขตเรื่องส่วนตัว
กลายเป็นเรื่องการเมือง ท�ำให้ผู้หญิงสามารถต่อต้าน
การกดขท่ี มี่ อี ยทู่ วั่ ไปได้ การทฟ่ี โู กตป์ ฏเิ สธการอธบิ าย
ดว้ ยทฤษฎสี ากล (Grand theory) ทำ� ใหล้ กั ษณะเฉพาะ
ความหลากหลาย และพหนุ ยิ มในสงั คมทถ่ี กู กดขม่ี บี ทบาท
ขน้ึ มา และการทอ่ี ำ� นาจไมไ่ ด้รวมอยใู่ นปรมิ ณฑลเดยี ว
ของสงั คมทำ� ใหว้ าทกรรมทสี่ รา้ งผหู้ ญงิ ใหด้ อ้ ยกวา่ ชาย
กระจายอยทู่ ว่ั ทง้ั องคส์ งั คม ดงั นนั้ การแกไ้ ขความเปน็ รอง
ของผหู้ ญงิ ทางการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คม จงึ ไมไ่ ดเ้ ปน็
มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) การปลดปลอ่ ยผหู้ ญงิ อยา่ งแทจ้ รงิ ผหู้ ญงิ จำ� เปน็ ตอ้ งคดั คา้ น
นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ตอ่ วาทกรรมความรแู้ ละอำ� นาจทท่ี ำ� ใหผ้ หู้ ญงิ ดอ้ ยกวา่ ผชู้ าย
(ทีม่ า: https://media1.britannica.com/eb-me- ทแี่ ฝงตวั อยอู่ ยา่ งกระจดั กระจายในทกุ ทส่ี งั คม
dia/88/61988-004-DDE63C75.jpg)
15คอื ความพยายามในการทำ� ความเข้าใจเกี่ยวกบั ทีม่ าของความรู้- บรรณาธกิ าร
292 พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
นอกจากน้ี ฟูโกต์ยงั มองว่าสตรีนิยมควรให้ความสำ� คญั กับมมุ มองทเ่ี ปน็ ท้องถ่ิน บรบิ ททาง
ประวัตศิ าสตร์ ซึง่ จะน�ำไปสกู่ ารต่อสู้ของผหู้ ญงิ แทนที่จะพยายามกลา่ วถงึ ธรรมชาติความเปน็ หญิง
ท่ีเป็นธาตุแท้ น่าจะพยายามท�ำความเข้าใจว่าผู้หญิงถูกสร้างทางสังคมอย่างไร และแทนท่ีจะเสนอ
ความเปน็ สากลของระบบชายเปน็ ใหญ่ นา่ จะทำ� การศกึ ษาววิ ฒั นาการทางประวตั ศิ าสตรข์ องโครงสรา้ ง
ชายเปน็ ใหญ่ ฟโู กตม์ องวา่ นกั สตรนี ยิ มไมส่ ามารถตอ่ ตา้ นระบบชายเปน็ ใหญท่ เ่ี ปน็ สากลได้ แตส่ ามารถ
ต่อต้านปรากฏการณ์ของชายเป็นใหญ่ท่ีมีลักษณะเฉพาะเจาะจงได้ ซ่ึงเป็นการต่อต้านของท้องถิ่น
(วารุณี ภูรสิ นิ สิทธ,์ิ 2545: 170-171)
จดู ธิ บตั เลอร์ (Judith Butler) (1999:3-44) นักสตรีนยิ มหลังสมัยใหม่ ผู้เขียน Gender
Trouble16 กลา่ ววา่ สตรนี ยิ มหลงั สมยั ใหมป่ ฏเิ สธความเหมอื นกนั ของกลมุ่ ผหู้ ญงิ หรอื การมอี ตั ลกั ษณ์
ท่ีแน่นอนของกลุ่ม การสรา้ งอตั ลักษณถ์ ือเปน็ การใช้ความรุนแรงและเปน็ เรือ่ งอนั ตราย เพราะการมี
อัตลักษณ์ถือเป็นการด�ำเนินการทางอ�ำนาจ ไม่ใช่การปลดปล่อยตัวตนท่ีแท้จริง บัตเลอร์กล่าวว่า
ถา้ เชอื่ วา่ ความหมายของผหู้ ญงิ เปน็ สงิ่ ทถ่ี กู สรา้ งขน้ึ มาและอยภู่ ายใตก้ รอบแนวคดิ บางอยา่ ง กค็ วรเลกิ
ใชค้ ำ� นี้ เพอื่ เปน็ การเปดิ ทางไปสคู่ วามหลากหลายขนึ้ ในความเปน็ ผหู้ ญงิ ไมจ่ ำ� กดั อยภู่ ายใตก้ รอบแนวคดิ
บางอยา่ ง บตั เลอรเ์ สนอความเปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ แนวคดิ สารตั ถะนยิ มและบอกวา่ แทนทจี่ ะพจิ ารณาอตั ลกั ษณ์
ทางเพศของคนว่ามีความคงที่แนน่ อนแบบเดยี ว ควรตอ้ งมีการพิจารณาในมมุ ของความไม่ตอ่ เนอื่ ง
เปลยี่ นแปลงได้ และเปน็ สงิ่ ทถ่ี กู สรา้ งขนึ้ อตั ลกั ษณข์ องคนควรมลี กั ษณะเปน็ พหหุ ลากหลาย และควร
ปฏเิ สธแนวคิดทวิลักษณ์ แมแ้ ตผ่ ้หู ญิงเองกไ็ มเ่ หมอื นกันและไม่มีความเปน็ สากลเช่นเดยี วกนั
จูดิธ บัตเลอร์ (Judith Butler) ผเู้ ขียนหนังสือ Gender Trouble (1990)
(ท่มี า: https://en.wJudith_Butlerikipedia.org/wiki/)
เฮเลน ซิเซียส (Helene Cixous) (Tong, 1998: 199-201) ให้ความสำ� คัญกบั การวิเคราะห์
ความสัมพนั ธ์ระหว่างภาษากับโครงสร้างอำ� นาจชายเปน็ ใหญ่ ภายใตร้ ะบบคดิ ของสงั คมผู้หญงิ ไม่มี
ภาษาเพยี งพอทจี่ ะใชพ้ ดู คำ� วา่ “ไม”่ ผหู้ ญงิ ไมส่ ามารถมองเหน็ ตวั เธอเอง ไมม่ แี มแ้ ตภ่ าษาทจ่ี ะบนั ทกึ
เรอื่ งราวของเธอไวใ้ นประวตั ศิ าสตร์ ซเิ ซยี สเสนอใหต้ อ่ ตา้ นการเขยี นแบบผชู้ าย (Masculine writing)
ทน่ี ำ� มาซงึ่ แนวคดิ ทวลิ กั ษณ์ ผชู้ ายไดแ้ ยกสว่ นความเปน็ จรงิ โดยการจดั กลมุ่ ความคดิ ออกเปน็ ขวั้ ตา่ งๆ
16อปุ สรรค์ของเพศสภาวะ – บรรณาธิการ
พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 293
ทตี่ รงขา้ มกนั ทำ� ใหช้ ดุ ความคดิ หนง่ึ มอี ำ� นาจเหนอื ชดุ ความคดิ อนื่ เชน่ การแบง่ กลมุ่ ออกเปน็ วฒั นธรรม
ตรงขา้ มกบั ธรรมชาติ พระอาทติ ย์ ตรงขา้ มกบั พระจนั ทร์ กลางวนั ตรงขา้ มกบั กลางคนื เปน็ ตน้ แนวคดิ
คตู่ รงขา้ มนำ� มาซงึ่ การแบง่ แยกหญงิ ชาย โดยทผ่ี ชู้ ายจะมคี วามเชอ่ื มโยงกบั วฒั นธรรม ความเขม้ แขง็
การเปน็ ผกู้ ระทำ� หรอื ความหมายในทางบวก ขณะทผี่ หู้ ญงิ ถกู เชอื่ มโยงเขา้ กบั ธรรมชาติ ผถู้ กู กระทำ�
ความอ่อนแอ หรอื ความหมายในทางลบผชู้ ายคือสิ่งท่ีมีตวั ตน ผหู้ ญิงคือความเปน็ อ่นื ผูห้ ญงิ จึงอยู ่
ในโลกของชุดค�ำศพั ท์ทีก่ �ำหนดโดยผชู้ าย
ทสี่ ำ� คญั ซเิ ซยี สทา้ ทายใหผ้ หู้ ญงิ เขยี นถงึ ตวั เองโดยออกจากโลกทผ่ี ชู้ ายเปน็ ผกู้ ำ� หนด ผหู้ ญงิ
อาจเริ่มต้นการเขียนแบบบันทึก ไม่ยึดติดกฎเกณฑ์ โดยการให้ความส�ำคัญกับร่างกายของตนเอง
(writing is of the body) ขณะที่การเขยี นแบบชายคอื การเขยี นเพ่ือสร้างภมู ิปัญญา จงึ ยากทจี่ ะ
เปลยี่ นแปลง การเขยี นแบบผหู้ ญงิ ไมเ่ พยี งแตเ่ ปน็ การเขยี นในรปู แบบใหมแ่ ตย่ งั เปน็ การโคน่ ลม้ ความคดิ
เพือ่ ท่จี ะนำ� ไปสู่การเปลย่ี นแปลงมาตรฐานทางสังคมและวฒั นธรรม การเขียนแบบผูห้ ญงิ จะชว่ ยให้
ผหู้ ญงิ เขา้ ใจจติ ใจตนเองและสามารถปลดปลอ่ ยโลกจากขว้ั ตรงขา้ มรวมทงั้ การใชอ้ ำ� นาจเพอื่ การครอบครอง
ผทู้ ่ีตกเปน็ รองได้
ลซู อริ กิ าเรย์ (Luce Irigaray) (Tong, 1998: 201-204) กลา่ ววา่ ผหู้ ญงิ มกั ถกู มองรวมไปกบั
ความปรารถนาทางเพศ ซึ่งเป็นมุมมองของผู้ชาย ผู้หญิงถูกรู้จักในลักษณะที่เป็นผู้หญิงแบบผู้ชาย
(Masculine feminine) ซึ่งเปน็ ทัศนะทผี่ ้ชู ายมอง มากกว่าทจ่ี ะเปน็ ผหู้ ญงิ แบบผหู้ ญงิ (Feminine
feminine) อิรกิ าเรยใ์ ชค้ ำ� วา่ เครือ่ งถ่างตรวจ (speculum) ซึ่งไม่เปน็ เพียงอปุ กรณท์ ่ีใช้ในการตรวจ
ชอ่ งคลอดเทา่ นนั้ แตย่ งั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การมอี ยขู่ ององคป์ ระธานซง่ึ เปน็ วาทกรรมของผชู้ ายทไ่ี มเ่ คย
เข้าใจในความเป็นหญิง เมือ่ ผู้ชายมองผ้หู ญิง พวกเขาไมไ่ ดเ้ ห็นผูห้ ญิง หากแตผ่ หู้ ญงิ เปน็ เพยี งภาพ
สะท้อนและจินตนาการของพวกเขาเท่านัน้ ในการศึกษาปรัชญาและจิตวิเคราะห์ตะวนั ตก อริ กิ าเรย์
พบความเหมือนในทุกแนวคิดของนักคิดต่างๆ เช่น ฟรอยด์มองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ว่าเหมือนกับ
ผชู้ ายตวั เลก็ ๆ ทไ่ี มม่ ลี งึ ค์ ผหู้ ญงิ เปน็ ภาพสะทอ้ นของผชู้ าย เหมอื นผชู้ ายเพยี งแตแ่ ตกตา่ งตรงทเี่ พศ
วิถีเท่าน้ัน อิริกาเรย์กล่าวว่าถ้าผู้หญิงต้องการท่ีจะเป็นมากกว่าความเป็นอ่ืนในโครงสร้างชายขอบ
ของระบบชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงจะต้องสร้างภาษาของผู้หญิง สร้างเพศวิถีของผู้หญิงและพยายามท่ี
จะเปน็ ตวั เองให้มากทสี่ ดุ
ลซู อริ กิ าเรย์ (Luce Irigaray) จเู ลีย ครสิ เตวา (Julia Kristeva)
(ทม่ี า: http://exchanges.warwick.ac.uk/public/ (ทมี่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/
journals/1/cover_article_17_en_US.jpg) Julia_Kristeva)
294 พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
จเู ลยี ครสิ เตวา (Julia Kristeva) (Tong, 1998: 204) เชอ่ื วา่ ตวั ตนไมม่ อี ยจู่ รงิ ไรเ้ อกภาพ
เต็มไปด้วยความหลากหลาย เปลี่ยนแปลงได้และถูกสร้างผ่านวาทกรรม เธอเสนอว่า สัญลักษณ ์
(symbolic) เปน็ ตวั สรา้ งวาทกรรมและผลติ ซำ้� ระเบยี บสงั คม และมลี กั ษณะของความเปน็ พอ่ มรี ะเบยี บ
กฎเกณฑแ์ บบชายทมี่ ศี นู ยก์ ลางแบบเดยี ว สว่ นสญั ญะวทิ ยา (semiotic) เปน็ การแสดงถงึ พลงั อำ� นาจ
ผา่ นวาทกรรมและเปน็ ทม่ี าของความเปน็ แม่ (Maternal semiotic) ครสิ เตวาเชอื่ วา่ ครงั้ หนงึ่ มคี วามเชอ่ื
ที่ว่าการแยกแยะความเป็นหญิงชายต้องใช้ปัจจัยทางร่างกาย แท้จริงแล้วภาษาเป็นปัจจัยส�ำคัญ
ในการสง่ ผา่ นเรอ่ื งราวและผลติ ซำ�้ ระเบยี บสงั คม การแสดงออกในดา้ นแรงขบั ทางเพศกเ็ กดิ ดว้ ยวถิ ที าง
ของภาษา ภาษาทแ่ี สดงสภาพความเปน็ แมท่ ถ่ี กู ใชใ้ นการตอ่ ตา้ นและรบกวนอำ� นาจของชายและนำ� มา
ซงึ่ การเปลย่ี นแปลงสญั ลกั ษณต์ า่ งๆ ภาษาจงึ มบี ทบาทฐานะทเ่ี ปน็ การสรา้ งตวั ตนและกำ� หนดอำ� นาจ
ทางสังคมของผ้หู ญิง
การปฏเิ สธเรอ่ื งการไมม่ อี งคป์ ระธานของผหู้ ญงิ ของสตรนี ยิ มหลงั สมยั ใหมท่ ำ� ใหถ้ กู วจิ ารณว์ า่
อาจทำ� ใหก้ ารตอ่ สทู้ างการเมอื งของผหู้ ญงิ เปน็ เรอ่ื งทเี่ ปน็ ไปไมไ่ ด้ การปฏเิ สธการมอี ยจู่ รงิ ของผหู้ ญงิ
เป็นการบ่ันทอนความชอบธรรมในการเคล่ือนไหว นอกจากน้ี แนวคิดน้ียังถูกวิจารณ์ว่าไม่ได้ให ้
ความส�ำคัญในการท�ำความเข้าใจเรื่องความไม่เท่าเทียมในเชิงโครงสร้าง เพราะมองว่าโลกเป็นส่ิงที่
ไม่คงที่เปลี่ยนแปลง ฉะน้ันความไม่เท่าเทียมอย่างต่อเนื่องของความเป็นเพศจึงถูกท�ำให้หมดไป
แนวคิดนีย้ งั ถูกโจมตีวา่ ละเลยบริบทสังคมของความสัมพันธท์ างอ�ำนาจและมองวา่ อ�ำนาจมอี ย่ทู ่วั ไป
ท�ำใหข้ าดการเนน้ ยำ้� ท่ีปญั หาการถูกกดข่อี ยา่ งเปน็ ระบบของเพศ
บทสรุป
โดยสรปุ ผหู้ ญงิ ในมมุ มองสตรนี ยิ ม เมอื่ พจิ ารณาจากมมุ มองเสรนี ยิ ม “ผหู้ ญงิ แบบเสรนี ยิ ม”
คอื ผหู้ ญงิ ซง่ึ มพี นื้ ทใ่ี นเชงิ สงั คม เปน็ ผหู้ ญงิ ซงึ่ ควรไดร้ บั โอกาสกา้ วหนา้ ในอาชพี มกี ารศกึ ษา มสี ว่ นรว่ ม
ทางการเมือง และการผลิตในเชิงเศรษฐกิจ โดยมีกฎหมายและกลไกทางสังคมท่ีเอื้อต่อการสร้าง
ความเทา่ เทยี มในโอกาสของผ้หู ญงิ
ในขณะที่ “ผู้หญิงในมมุ มองสตรีนิยมสายถอนรากถอนโคน” คือผ้หู ญงิ ที่ใหค้ วามส�ำคัญกับ
เน้ือตัวร่างกาย ใช้เรื่องเพศ ความรุนแรงทางเพศที่ผู้หญิงต้องเผชิญ เปิดประเด็นไปสู่การต่อสู้ทาง
การเมอื งเพอื่ แก้ไขอคตทิ างเพศ ชนช้ันทางเพศ และระบบคิดชายเป็นใหญ่
สว่ น “ผหู้ ญงิ แบบสงั คมนยิ ม” ไดเ้ ขา้ มาเตมิ เตม็ คำ� อธบิ ายความรนุ แรงตอ่ ผหู้ ญงิ วา่ นอกจาก
จะมีมติ ิชนชัน้ แลว้ ยังมี เพศวถิ ี อดุ มการณท์ นุ นยิ มชายเปน็ ใหญ่ และรากเหง้าความรนุ แรงท่ฝี ังลกึ
อยู่ภายใตโ้ ครงสร้างสงั คม เศรษฐกิจ วฒั นธรรมอกี ดว้ ย
สดุ ทา้ ย “ผหู้ ญงิ สายหลงั สมยั ใหม”่ มองวา่ การตอ่ สตู้ อ่ ความรนุ แรงตอ่ ผหู้ ญงิ ตอ้ งเรมิ่ ที่
การคดั คา้ นความเปน็ สากลของผชู้ ายและสถาปนาความหลากหลายของผหู้ ญงิ ใหเ้ ปน็ ความรู้
ความหมายใหม่ในสังคม ปฏิเสธแนวคิดทวิลักษณ์ ให้ความส�ำคัญกับมุมมองท้องถิ่นและ
บรบิ ทประวตั ศิ าสตร์ รวมทงั้ เสนอมมุ มองวา่ วาทกรรมการกดขผี่ หู้ ญงิ ไมไ่ ดม้ คี วามหมายเดยี ว
วิธีการต่อสู้ที่ส�ำคัญคือการสถาปนาการเขียนแบบผู้หญิง ท�ำให้การใช้ภาษาแบบผู้หญิงเป็น
วธิ กี ารต่อส้ตู อ่ การกดขีใ่ นทุกรูปแบบ
พลังผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 295
บรรณานุกรม
กรวภิ า บญุ ซอื่ . แนวคดิ การพฒั นาสตรี มมุ มองการวเิ คราะหเ์ ชงิ หญงิ ชาย. แปลโดย มารยาท อนิ ทรทศั น.์
กรุงเทพมหานคร: โครงการสตรีและเยาวชนศึกษามหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2538.
กลุ ลนิ ี มทุ ธากลนิ และ วรารกั เฉลมิ พนั ธศุ กั ด.์ิ แนวคดิ สตรนี ยิ มกบั การเมอื ง. ใน แนวคดิ ทางการเมอื ง
และสังคม, หน้า 54-69. มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, 2547.
ชเนตตี ทนิ นาม. การพัฒนาแนวทางปฏิบัติ ในการนำ� เสนอรายการโทรทศั น์บนหลกั สทิ ธิมนุษยชน
และศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ยข์ องสตร.ี กรงุ เทพมหานคร: คณะกรรมการกจิ การ กระจายเสยี ง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแหง่ ชาติ (กสทช.), 2559.
ชเนตตี ทนิ นาม. ประวตั ศิ าสตรว์ าทกรรมความรนุ แรงตอ่ ผหู้ ญงิ ในสอ่ื พ.ศ.2449-2519. วทิ ยานพิ นธ ์
นิเทศศาสตรดุษฎีบัณฑติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .2551.
วารุณี ภรู ิสนิ สิทธิ์. สตรนี ิยม ขบวนการและแนวคดิ ทางสงั คมแห่งศตวรรษท่ี 20. กรุงเทพมหานคร:
โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2545.
วิระดา สมสวสั ด์.ิ ทีทรรศนส์ ตรนี ิยม. เชยี งใหม:่ วนดิ าเพรส, 2549.
วิลาสินี พิพธิ กลุ และ กิตติ กันภยั . โครงการวจิ ัยเพศและการสื่อสารในสงั คมไทย. กรุงเทพมหานคร:
ส�ำนักงานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ัย, 2546.
Beasley, C. What is Feminism?. London: Sage Publications, 1999.
Bryson,V. Feminist political theory : an introduction. New York : Palgrave Macmillan, 2003
Butler, J. Gender Trouble: Feminism and the Subversion of Identity. New York:
Routledge, 1999.
Millett, K. Sexual Politics. New York: Avon Books, 1971.
Rich, A. Of Woman Born: Motherhood as Experience an Institution. New York:
W.W.Norton & Company, 1986.
Saulnier, C.F. Feminist theories and social work : approaches and applications.
New York : The Haworth Press, 1996
Tong, R. P. Feminist Thought. Colorado: Westview Press, 1998.
Whelehan, I. Modern Feminist Thought from the Second Wave to Post-Feminism.
New York : New York University Press, 1995.
296 พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน
ผูห้ ญงิ ในมติ ปิ ระวตั ิศาสตรเ์ พศสภาวะ
ภัทรตั น์ พันธุ์ประสทิ ธ์ิ
นกั ศกึ ษาปรญิ ญาโท สาขาประวตั ศิ าสตร์ แหง่ มหาวทิ ยาลยั เอดินเบอระ ประเทศองั กฤษ
บทนำ�
ปัจจุบันการศึกษาเกี่ยวกับ “ผู้หญิง” อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่ประเด็นใหม่ในแวดวงวิชาการ
อีกต่อไป เน่ืองจากมีการนับรวมผู้หญิงเข้ามาเป็นหัวข้อการศึกษาท่ีแตกต่างหลากหลายในเกือบ
ทุกสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ
แตถ่ า้ จะกลา่ วถงึ แวดวงวชิ าการทศ่ี กึ ษาเกย่ี วกบั “ผหู้ ญงิ ” อยา่ งจรงิ จงั เหน็ จะไมพ่ น้ การศกึ ษาทเี่ รยี กวา่
“สตรีศึกษา” (Feminism) และกล่มุ “สตรีนิยม” (Feminist) ทแ่ี สดงจดุ ยนื ของตนเองอยา่ งชดั เจน
ถึงการศึกษาเกี่ยวกับผู้หญิง โดยการศึกษาน้ีได้จัดวางต�ำแหน่งของการศึกษา “ผู้หญิง” ในฐานะ
ศูนย์กลางของประเด็นปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการถูกกดขี่จากเพศชายและระบบปิตาธิปไตย หรือ
ความคดิ แบบชายเปน็ ใหญ่ (Patriarchy regime) มากกวา่ ทจี่ ะศกึ ษา “ผหู้ ญงิ ” อยา่ งกวา้ งๆ เหมอื นกบั
การศกึ ษาในพืน้ ทีอ่ นื่
อยา่ งไรกต็ าม แมว้ า่ กลมุ่ นกั สตรนี ยิ มหรอื สตรศี กึ ษาจะมปี ระวตั ศิ าสตรม์ าอยา่ งยาวนาน หาก
ปจั จบุ นั ไดเ้ รม่ิ มกี ารขยายขอบเขตของการศกึ ษาเกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ทส่ี มั พนั ธก์ บั เพศอนื่ ๆ ในสงั คมมากขนึ้
รวมถงึ มกี ารศกึ ษาเกยี่ วกบั ผชู้ ายหรอื บรุ ษุ ศกึ ษา (Men’s Studies) เชน่ กนั โดยมเี หตผุ ลคอื ตอ้ งการ
ขยายพรมแดนของการท�ำความเข้าใจเพศสภาวะและความสัมพันธ์ระหว่างเพศต่างๆ ในสังคม
เนื่องจากกรอบการท�ำความเข้าใจในแบบเดิมอาจไม่เพียงพอต่อการอธิบายได้อย่างครอบคลุมกับ
ความหลากหลายในสังคมปัจจุบนั
จากท้ังหมดที่กล่าวมาจึงน�ำมาสู่ที่มาและค�ำถามส�ำคัญของบทความนี้ คือ จะท�ำอย่างไร
จงึ จะเข้าใจการศึกษาเกี่ยวกับ “ผหู้ ญงิ ” ทั้งในแงข่ องการศึกษาทม่ี ผี ู้หญิงเปน็ ศูนยก์ ลางของประเด็น
ปญั หาและการท่ี “ผหู้ ญงิ ” เขา้ ไปสมั พนั ธก์ บั คนกลมุ่ อนื่ ในสงั คมไดด้ ยี ง่ิ ขน้ึ บทความชน้ิ นม้ี จี ดุ มงุ่ หมาย
ส�ำคัญอยู่ที่การทบทวนความรู้เก่ียวกับการศึกษาของกลุ่มสตรีนิยมโดยย่อ และการต่อยอดของ
สาขาวชิ าอนื่ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ทส่ี ำ� คญั คอื การศกึ ษาเพศสภาวะในมติ ขิ องประวตั ศิ าสตร์ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเปน็
รปู ธรรมบทความนจี้ ะพยายามยกตวั อยา่ งงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งเพอ่ื ใหเ้ หน็ ภาพไดช้ ดั เจน และสามารถ
น�ำมาปรับใช้กับการศึกษาผู้หญิงและเพศสภาวะในสังคมไทยได้ หวังว่าบทความช้ินนี้จะก่อให้เกิด
ความรคู้ วามเข้าใจท่มี ากข้นึ ต่อประเด็นของผหู้ ญิงและเพศสภาวะในประวัติศาสตรไ์ ด้ไมม่ ากก็น้อย
พลงั ผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 297
“ผู้หญงิ ” ในการศึกษาทางวชิ าการและแวดวงสตรศี กึ ษา
ส�ำหรับการศึกษาเกี่ยวกับ “ผู้หญิง” ในกลุ่มนักสตรีนิยมและสตรีศึกษาต้ังแต่อดีตจนถึง
ปจั จบุ นั อาจกลา่ วไดว้ า่ สตรศี กึ ษาสามารถแบง่ ออกเปน็ สามชว่ งเวลาใหญๆ่ คอื สตรนี ยิ มคลนื่ ลกู ทห่ี นงึ่
(First Wave Feminism) สตรนี ยิ มคลนื่ ลกู ทสี่ อง (Second Wave Feminism) และยคุ หลงั สตรศี กึ ษา
(Postfeminism) รวมถึงสตรนี ยิ มคลืน่ ลกู ทสี่ าม (Third Wave Feminism) ท่มี กี รอบคดิ ค่อนข้าง
จะคาบเกยี่ วกันในบางแง่มมุ แม้วา่ สองกลมุ่ นจี้ ะไมใ่ ช่แนวคิดเดยี วกนั กต็ าม
การเกิดข้นึ ของกลุม่ สตรีนยิ มคลื่นลกู ทห่ี นึง่ เกดิ เม่ือราวสองรอ้ ยกว่าปที ผี่ า่ นมา โดยเรมิ่ จาก
ข้อเสนอของผู้หญิงชาวองั กฤษช่อื แมรี่ วลู ล์สโตนคราฟ (Mary Wollstonecraft) และหนงั สอื ของ
เธอเรอ่ื ง Vindica-tion of the Rights of Woman ทต่ี ีพิมพใ์ นปี 1792 หนงั สอื เลม่ นมี้ เี น้ือหาและ
ความคิดท่ีเน้นไปที่ความยากล�ำบากในชีวิตที่ผู้หญิงต้องเผชิญ โดยเฉพาะปัญหาภายในครอบครัว
กบั ภาระหนา้ ทขี่ องภรรยาและมารดา และเปน็ ครง้ั แรกของการเรมิ่ ใชค้ ำ� วา่ “นกั สตรนี ยิ ม” (Feminist)
และ “สตรศี ึกษา” (Feminism) (Gamble, 2010: 27) หลังจากนนั้ กเ็ รมิ่ มกี ารถกเถยี งเร่ืองสทิ ธขิ อง
ผหู้ ญงิ โดย จอห์น รสั กิน (John Ruskin) และ จอหน์ สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เก่ียวกบั
ประเดน็ การกดขผี่ หู้ ญิงและสทิ ธิของผู้หญิงวา่ ควรจะเป็นไปในทศิ ทางใด (Gamble, 2010: 29)
ในเวลาเดยี วกนั นนั้ ทส่ี หรฐั อเมรกิ าความคดิ เกย่ี วกบั สทิ ธขิ องผหู้ ญงิ กไ็ ดร้ เิ รมิ่ เกดิ ขนึ้ เชน่ กนั
แตถ่ กู นำ� ไปผกู โยงกบั บรบิ ทของการตอ่ ตา้ นแรงงานทาสแอฟรกิ าดว้ ยทตี่ อ้ งการเรยี กรอ้ งใหค้ นมสี ทิ ธิ
เสรีภาพเท่าเทยี มกนั ไมว่ า่ จะเปน็ ผิวสีหรือชาวอเมริกนั และผชู้ ายหรือผ้หู ญงิ ในชว่ งทศวรรษ 1840
ในการประชุมช่ือ ซีเนกา ฟอลส์ (Seneca Falls) ได้มีการประกาศสนับสนุนให้เลิกอคติทางเพศ
ตอ่ ผหู้ ญงิ เชน่ กนั (Gamble, 33) ความคดิ เกยี่ วกบั การเรมิ่ ตน้ เรยี กรอ้ งสทิ ธใิ หก้ บั ผหู้ ญงิ ยงั ไดป้ รากฏ
ในงานวรรณกรรมท่เี ขียนโดยนกั เขยี นหญงิ สมยั น้นั อาจเรยี กไดว้ ่าเป็นวรรณกรรมทมี่ ีเนือ้ หาระบาย
ความในใจและความทกุ ขข์ องผหู้ ญงิ โดยเฉพาะผหู้ ญงิ ทแี่ ตง่ งานแลว้ (Confession Novel) กบั การท่ี
พวกเธอถกู ท�ำใหไ้ มม่ ีตวั ตนและมชี ีวติ อยเู่ พื่อสามีและลูกเท่านน้ั (Whelehan, 2005: 66)
ขบวนการเรียกรอ้ งสิทธิสตรียุคเริ่มแรก
หรอื เดอะ ซัฟราแกตส์ (The Suffragettes)
(ท่มี า http://www.express.co.uk/expressyourself/
300118/Told-in-their-own-voices-the-suffering-
of-the-suffragettes)
298 พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน
ต่อมา ประเด็นเหล่าน้ีถูกยกระดับออกไปสัมพันธ์กับเรื่องการท�ำงานนอกบ้านของผู้หญิง
รวมถึงประเด็นการให้สทิ ธิเลือกตัง้ แก่ผหู้ ญิงดว้ ยภายใต้ขบวนการท่ีชอ่ื ว่า เดอะ ซัฟราแกตส์ (The
Suffragettes) (Gamble, 2010: 34) จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ ในยคุ เรม่ิ แรกของการศกึ ษาสตรศี กึ ษา ผหู้ ญงิ
ได้เร่ิมจากประเด็นปัญหาใกล้ตัว เช่น ความเป็นแม่และความเป็นแม่บ้านในปริมณฑลของบ้านและ
ครอบครวั พวกเธอไดต้ ระหนักถงึ ความล�ำบากในชวี ิตและต้องการออกสโู่ ลกภายนอก ประเดน็ อ่นื ๆ
จึงเริ่มเกิดข้ึนและส่งผลให้ผู้หญิงได้ออกมาสู่พ้ืนที่สาธารณะ เช่น ที่ท�ำงานและสิทธิทางการเมือง
อยา่ งไรกต็ าม เนอื่ งจากความคดิ เรอ่ื งสตรศี กึ ษาในยคุ แรกยงั คอ่ นขา้ งจำ� กดั อยใู่ นวงของผหู้ ญงิ ไมม่ าก
โดยเฉพาะเปน็ ทส่ี นใจของผหู้ ญงิ ทพ่ี อจะมกี ารศกึ ษาและพอจะมฐี านะ จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ ความคดิ
สตรนี ยิ มในยคุ แรกเรมิ่ ไดส้ มั พนั ธก์ บั ความคดิ ของผหู้ ญงิ ชนชน้ั กลางผวิ ขาวมากกวา่ ทจ่ี ะรวมถงึ ผหู้ ญงิ
กลมุ่ อ่นื ๆ ในสังคม
ต่อมาราวคริสต์ศตวรรษที่ 20 สมัยของสตรีนิยมคล่ืนลูกท่ีสองเริ่มเปล่ียนไปสู่การประกาศ
ตวั ถงึ เสรภี าพมากกวา่ จะเนน้ ทกี่ ารปฏริ ปู อยา่ งทนี่ กั สตรนี ยิ มคลน่ื ลกู ทห่ี นง่ึ เนน้ ยำ�้ (Gamble, 2010: 37)
เบ็ตตี้ ฟรายเดน (Betty Friedan) หญงิ ชาวอเมรกิ นั ไดก้ ่อตง้ั NOW (National Organization for
Women) ในปี 1966 เพื่อสนับสนุนสิทธิเสรีภาพของผู้หญิง นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกาความคิด
เรอ่ื งสตรนี ยิ มยงั สมั พนั ธก์ บั บรบิ ทการเมอื งขณะนน้ั คอื การตอ่ ตา้ นการทำ� สงครามระหวา่ งสหรฐั อเมรกิ า
กบั เวียดนามและการประทว้ งของนักศกึ ษาช่วงทศวรรษ 1960 เกิดเป็นส�ำนึกของผูถ้ ูกกดข่ี ทค่ี นเร่ิม
ตืน่ ตัวและเกิดกระแสสำ� นึกตัวตน
เชน่ เดยี วกบั ในแวดวงสตรศี กึ ษาทเี่ รม่ิ เกดิ สำ� นกึ เรอื่ งอำ� นาจของผชู้ ายทไี่ หลเวยี นอยใู่ นสงั คม
โดยเฉพาะสถาบนั ครอบครวั สถาบนั การแตง่ งาน หรอื แมแ้ ตก่ ารประกวดนางงาม เปน็ ตน้ โดยเชอ่ื วา่
สังคมแบบชายเป็นใหญ่ได้หล่อหลอมให้ผู้หญิงเชื่อว่าการแต่งงานเป็นจุดหมายส�ำคัญในชีวิตของ
ผู้หญิง และผู้หญิงจ�ำเป็นที่จะต้องแต่งกายให้สวยงาม ขับเน้นเรือนร่าง ทั้งหมดเป็นไปเพื่อรองรับ
ต่อความตอ้ งการของผ้ชู ายเท่านัน้ ไม่ได้เป็นสิง่ ทผี่ ูห้ ญงิ ต้องการจรงิ ๆ ส่งผลใหน้ กั สตรีนิยมในยคุ น้ี
ออกมาประทว้ งการกดขขี่ องผชู้ ายในระดบั ทมี่ องไมเ่ หน็ และในระดบั โครงสรา้ ง มกี ารเผาเสอ้ื ชนั้ ในสตรี
และปฏเิ สธการสวมรองเทา้ สน้ สงู เพราะเชอ่ื วา่ เปน็ อทิ ธพิ ลความคดิ ของระบบปติ าธปิ ไตยทก่ี ดขผี่ หู้ ญงิ
(Gamble, 2010: 38) ในยคุ นป้ี ระเดน็ ทางเพศไดร้ บั การถกู เอย่ ถงึ มากขน้ึ และเชอ่ื วา่ เสรภี าพทางเพศ
จะนำ� มาสอู่ สิ รภาพของผหู้ ญงิ ในงานวรรณกรรมพบวา่ นกั เขยี นหญงิ จำ� นวนมากไดส้ ะทอ้ นความคดิ นี้
มากพอสมควร โดยเฉพาะประเดน็ ทเี่ กย่ี วกบั ความสขุ ทางเพศและการแตง่ งาน (Whelehan, 2005: 99)
การเผาเสอื้ ชัน้ ในสตรโี ดยกลุ่มนกั สตรนี ยิ ม
คล่นื ลูกท่สี อง
(ทีม่ า: https://www.laprogressive.com/
bra-burning/)
พลังผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 299
ในชว่ งเวลานย้ี งั มนี กั คดิ แนวสตรนี ยิ มทสี่ ำ� คญั คอื ซโิ มน เดอ โบววั (Simone de Beauvoir)
ทเี่ ขยี นหนงั สอื ทมี่ ชี อื่ เสยี งเลม่ หนง่ึ ในแวดวงสตรศี กึ ษา นน่ั คอื The Second Sex1 โดยเสนอวา่ มนษุ ย์
ไมไ่ ดเ้ กดิ มาแลว้ มเี พศ แต่เปน็ เพราะสังคมท่ีหล่อหลอมให้ผหู้ ญิงกลายเป็นผู้หญิง นอกจากนี้ ภายใต้
อ�ำนาจของผู้ชาย ผู้หญิงจึงเป็นเพียงแค่คนอื่นหรือส่ิงอื่นที่เอาไว้เทียบเคียงความเป็นชายเท่าน้ัน
(Gamble, 2010: 41) อีกความหมายหน่ึง เพศหญิงจึงเป็นเพียงเพศท่ีสองท่ีด้อยกว่าเพศชาย
เชน่ เดยี วกับจูเลยี ต มิทเชลล์ (Juliet Mitchell) ทเ่ี ขียนเรอ่ื ง Women: The Longest Revolution2
ในปี 1966 กไ็ ดเ้ สนอวา่ ควรมกี ารศกึ ษาเรอ่ื งผหู้ ญงิ มากกวา่ เดมิ โดยเฉพาะประเดน็ ทางสงั คม การเมอื ง
ทน่ี กั คิดและนกั วิชาการเพศชายจ�ำนวนมากละเลยไป ทง้ั ท่ปี ระเด็นของผูห้ ญิงและการกดขีเ่ พศหญิง
ควรอย่างยิ่งที่จะถูกควบรวมในการศึกษา เช่นนักวิชาการสายมาร์กซิสต์ หรือนักวิชาการ
สายสังคมศาสตร์ วฒั นธรรม อย่างเรยม์ อน วลิ เลียมส์ (Raymond Williams) (Gamble, 2010: 44)
ส�ำหรับปัจจุบันได้เกิดกระแสของกลุ่มสตรีนิยมอีกกลุ่มหนึ่ง คือ Postfeminism (โพสท ์
เฟมินสิ ม์)หรอื ยุคหลังสตรีศกึ ษา เนอื่ งจากไดร้ ับอทิ ธพิ ลอย่างมากจากกลุ่ม Postmodernism หรือ
ยคุ หลงั สมัยใหม่ การเรียกตัวเองวา่ เป็นยุคหลงั สตรีศึกษา เนื่องจากนกั คดิ ในกลุม่ นี้ต้องการทบทวน
ค�ำถามและประเด็นที่กลุ่มคลื่นลูกที่หนึ่งและสองเคยต้ังค�ำถามมา มากกว่าที่จะเป็นการสืบเน่ือง
ทางความคิดเก่ียวกับการศึกษาผู้หญิง ทั้งยังคิดว่าการศึกษาเก่ียวกับผู้หญิงควรจะขยายพรมแดน
และไม่จ�ำกัดอยู่แค่ประเด็นเดิมๆ เท่าน้ัน (Scott, ‘Feminism’s History’ 13) (Harzewski,
2011: 153) นอกจากน้ียังมีเป้าหมายรวมไปถึงการศึกษาผู้หญิงกลุ่มอื่นๆ ท่ีมีความหลากหลาย
ของชนช้นั สผี วิ เช้อื ชาตดิ ้วย นกั คดิ ทส่ี ำ� คญั อยา่ งนาโอมิ วฟู (Naomi Wolf ) (1991) ท่เี ขยี นเรื่อง
The Beauty Myth3 เสนอว่าผู้หญิงที่อยากก้าวเข้ามาศึกษาเก่ียวกับสตรีนิยมมีจ�ำนวนน้อยลง
เนื่องจากจุดยืนที่ดูจะไม่ยืดหยุ่น ท้ังยังพยายามจัดวาง “ผู้หญิง” ให้มีความส�ำคัญท่ีสุดในประเด็น
การศกึ ษาตา่ งๆ กอ่ ใหเ้ กดิ ขอ้ ถกเถยี งและปญั หาในการศกึ ษาทเ่ี ปดิ โอกาสใหก้ บั นกั สตรนี ยิ มบางกลมุ่
เทา่ นน้ั หรอื จะกลา่ ววา่ นกั สตรนี ยิ มเองทม่ี สี ว่ นทำ� ใหส้ ตรศี กึ ษาไมก่ า้ วหนา้ ไปเทา่ ทค่ี วร ไมเ่ พยี งเทา่ น้ี
หากจะเชอื่ มโยงการคลคี่ ลายของความคดิ ยคุ หลงั สตรนี ยิ มเขา้ กบั บรบิ ทของสงั คม แอนเจลา แมครอบบ้ี
(Angela McRobbie) (2004) เสนอว่าสังคมปัจจุบันมีความเป็นปัจเจกสูง และคนด�ำรงชีวิตด้วย
ความเสยี่ ง ไมว่ า่ จะเปน็ ภยั พบิ ตั ิ การกอ่ การรา้ ย และยงั มคี วามรสู้ กึ แปลกแยกทงั้ ตอ่ สงั คมและคนรอบขา้ ง
สง่ ผลใหก้ รอบการอธบิ ายเกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ในแบบเดมิ ๆไมส่ ามารถทำ� ความเขา้ ใจไดอ้ กี ตอ่ ไป เชน่ เดยี ว
กบั ความคดิ เรอ่ื งเพศหญงิ และชาย บทบาทหนา้ ทที่ เ่ี ปลยี่ นไปเชน่ กนั (McRobbie, 2004: 260) ดงั นนั้
จึงมีการเสนอว่านักสตรีนิยมจึงควรพัฒนาองค์ความรู้ของตัวเองขึ้นมาเช่นเดียวกับการศึกษา
ทางวิชาการในพื้นทอ่ี ื่นๆ (Waugh, 1992: 130)
อยา่ งไรกต็ ามการเชอ่ื มโยงเขา้ กบั ความคดิ แบบหลงั สมยั ใหมย่ งั ทำ� ใหก้ ลมุ่ หลงั สตรนี ยิ มหรอื
Post-femisnim ถูกวิจารณ์ค่อนข้างมาก ต้องท�ำความเข้าใจเบ้ืองต้นก่อนว่าพื้นฐานของความคิด
แบบหลงั สมัยใหมค่ ือการต้งั ค�ำถามตอ่ ความเปน็ จริงของสงั คมทเี่ คยเชื่อกันมา ดงั นน้ั ส�ำหรบั แง่ของ
พลังสตรีนิยม จึงได้เกิดการต้ังค�ำถามต่อความเป็นหญิงและความเป็นชาย เม่ืออยู่บนพื้นฐานนี้
จงึ มองวา่ ความเปน็ หญงิ เปน็ เพยี งสง่ิ ทส่ี งั คมสรา้ งขน้ึ มาเทา่ นนั้ เมอื่ เปน็ เชน่ นจี้ งึ เปดิ ประเดน็ ความสนใจ
ออกไปหลากหลายมากขน้ึ แต่ในอกี ทางหนึ่งก็ถกู นกั สตรีนิยมโจมตอี ยา่ งมาก วา่ เมอ่ื ความเปน็ หญิง
1เพศท่สี อง – บรรณาธิการ
2ผู้หญิง: การปฏิวัติท่ยี าวนานทีส่ ุด – บรรณาธิการ
3มายาคติของความสวย – บรรณาธกิ าร
300 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน
เป็นเพียงส่ิงท่ีถูกสร้างขึ้นมาแล้วการศึกษาเก่ียวกับผู้หญิงจะยังคงรักษาสถานภาพที่ส�ำคัญในฐานะ
ศนู ย์กลางของนักสตรนี ยิ มไดอ้ ย่างไร จะเหน็ ได้วา่ พฒั นาการของความคิดสตรีนยิ มน้นั สมั พันธอ์ ย่าง
มากกับความเปลยี่ นแปลงของสงั คม อาจเรยี กได้ว่าการศกึ ษาเก่ียวกบั “ผู้หญงิ ” ไมไ่ ดล้ อยอย่เู พียง
อย่างเดียว หากได้รับอิทธิพลจากนักคิดและกรอบคิดสมัยน้ันๆอยู่มาก เม่ือมาถึงปัจจุบันท่ีวงการ
วชิ าการไดร้ บั อทิ ธพิ ลความคดิ ของสกลุ หลงั สมยั ใหม่ ยอ่ มทำ� ใหค้ วามคดิ เกยี่ วกบั การศกึ ษา “ผหู้ ญงิ ”
เปล่ยี นไปเช่นกนั ดงั จะกลา่ วต่อไปขา้ งหนา้ นี้
เพศสภาวะและการศกึ ษาเพศสภาวะในประวัตศิ าสตร์
อาจจะนับจุดเริ่มต้นของการศึกษาประวัติศาสตร์ของเพศสภาวะเม่ือโจน ดับเบิ้ลยู สก๊อต
(Joan W. Scott) (1986) เสนอว่าควรจะใช้ประเด็นเก่ียวกับเพศสภาวะเป็นอีกเครื่องมือหน่ึง
ในการศึกษาทางประวตั ศิ าสตร์ ในงานช้ินสำ� คัญเร่อื ง Gender: A Useful Category of Historical
Analysis4 สกอ๊ ตได้นยิ ามค�ำจัดความของเพศสภาวะ (Gender) จากทีถ่ กู ใชใ้ นแวดวงสตรีศกึ ษา
และมคี วามหมายสมั พนั ธก์ บั ผหู้ ญงิ เพยี งอยา่ งเดยี ว ใหข้ ยายขอบเขตมาเปน็ ทง้ั ชายและหญงิ รวมถงึ
ขยายออกมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพศที่สามและเพศอื่นๆอีกด้วย (Scott, 1986: 1069) ดังนั้น
เธอจึงเสนอว่าการศึกษาเกี่ยวกับเพศสภาพไม่ควรเป็นเร่ืองของผู้หญิงเพียงกลุ่มเดียวอีกต่อไป
หากต้องรวมถึงเพศอื่นๆ โดยเฉพาะเพศชายด้วยเช่นกัน โดยสก๊อตยังได้วิจารณ์การศึกษาของ
กลมุ่ สตรนี ยิ มวา่ จำ� กดั อยเู่ พยี งแคป่ ระเดน็ เกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ครอบครวั เดก็ การแตง่ งาน ฯลฯ หรอื อยใู่ น
พรมแดนของผู้หญิงเท่าน้ัน ที่ท�ำให้นักสตรีนิยมไม่สามารถเชื่อมโยงคำ� อธิบายท่ีหลากหลายเข้ากับ
การศึกษาผ้หู ญิงได้ (Scott, 1986: 1073)
สก๊อตจึงเสนอว่า การศึกษาเก่ียวกับเพศสภาพน้ันเป็นเรื่องส�ำคัญ หากจะมองในแง่มุมนี้
จะเห็นว่าเธอได้รบั เอาความคิดเก่ียวกบั Postmodernism หรือความคดิ แบบยุคหลงั สมยั ใหมเ่ ขา้ มา
อย่างมาก รวมถึงค�ำอธิบายเก่ียวกับขั้วตรงกันข้ามระหว่างหญิงชายและความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ
กลา่ วคอื หากเราเชอื่ วา่ อำ� นาจเปน็ สงิ่ ทส่ี รา้ งขน้ึ ดงั นนั้ การจะเขา้ ใจความสมั พนั ธท์ างอำ� นาจในสงั คม
จงึ จำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งเรมิ่ จากความเขา้ ใจความสมั พนั ธท์ างอำ� นาจในหนว่ ยทเ่ี ลก็ ทส่ี ดุ กอ่ น นน่ั คอื ความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งหญงิ กบั ชาย การทำ� ความเขา้ ใจเรอื่ งเพศสภาพ จงึ จะทำ� ใหม้ องเหน็ อำ� นาจทต่ี อ่ สู้ ขบั เคย่ี วกนั
(Scott, 1986: 1067) และนจี่ ะเปน็ จดุ ทที่ ำ� ใหเ้ ราสามารถขยายพรมแดนออกไปในดา้ นอนื่ ๆได้ โดยสกอ๊ ต
ยกตวั อย่างในด้านสังคม การเมอื ง และสงคราม ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั เพศสภาวะของเธอ จงึ หมายถงึ
การทำ� ความเขา้ ใจทง้ั ชายและหญงิ เพอ่ื เขา้ ใจโครงสรา้ งและความสมั พนั ธท์ ส่ี บื เนอื่ งตอ่ ไปในระดบั สงั คม
การจะศกึ ษาแค่ดา้ นของผู้หญงิ จึงไมอ่ าจเติมเตม็ ความร้ไู ด้
ขอ้ เสนอของสกอ๊ ตไดท้ ำ� ใหเ้ กดิ การตนื่ ตวั ในแวดวงของสตรนี ยิ มและกอ่ ใหเ้ กดิ ความสนใจตอ่
เพศสภาวะมากข้ึน แต่ก็มีนักสตรีนิยมจ�ำนวนมากที่ถกเถียงและแสดงความไม่เห็นด้วยต่อประเด็น
ดงั กลา่ ว โดยเฉพาะขอ้ โจมตที วี่ า่ ขอ้ เสนอนม้ี องวา่ ความเปน็ ชายและหญงิ เปน็ เพยี งสง่ิ ทสี่ รา้ งขนึ้ ดงั นน้ั
ย่อมหมายความว่าไม่มีอะไรที่จริงแท้แม้แต่ความเป็นผู้หญิง และหากไม่มีความเป็นผู้หญิงท่ีแท้จริง
เหล่านักสตรีนิยมจะเรียกร้องความเท่าเทียมกันได้อย่างไร นอกจากน้ียังเป็นกรณีที่ว่า การรวมเอา
การศกึ ษาเกย่ี วกบั ผชู้ ายเขา้ มา จะทำ� ใหศ้ นู ยก์ ลางความสำ� คญั ของผหู้ ญงิ ทเ่ี หลา่ นกั สตรนี ยิ มเรยี กรอ้ ง
มาจะหมดความหมายไปโดยปรยิ ายและกลายเปน็ วา่ การศกึ ษาของผหู้ ญงิ ทา้ ยทส่ี ดุ แลว้ กถ็ กู มองผา่ น
สายตาของผชู้ าย
4เพศสภาวะ: ประเภททเ่ี ปน็ ประโยชนข์ องการวิเคราะหท์ างประวตั ิศาสตร์