The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

พลังผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี : ความจริง และภาพแทน

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 151

ความคิดดั้งเดิมที่ว่า “อะไรคืองานผู้หญิง อะไรคืองานผู้ชาย” จึงเร่ิมเปลี่ยนไปเป็นมุมมองใหม่ว่า
“ผู้หญิงกท็ ำ� ไดท้ ุกงาน”

สง่ิ ประดษิ ฐท์ เี่ ปน็ นวตั กรรม ทงั้ ทถ่ี กู สรา้ งมาเพอ่ื เฉพาะ “เพศหญงิ ” และสรา้ งเพอื่ เปน็
“เครอ่ื งทนุ แรงสำ� หรบั ทกุ เพศทกุ วยั ” มคี วามสำ� คญั มาก ทจี่ ะทำ� ใหผ้ หู้ ญงิ กา้ วเขา้ มามบี ทบาท
ในสงั คมสมยั ใหม่ ท่เี ปิดโอกาสให้ทงั้ สองเพศมคี วามเท่าเทยี มกนั ในการประกอบอาชพี และ
การดำ� เนนิ บทบาทในสงั คม “ผา้ อนามยั ” และ “ยาคมุ กำ� เนดิ ” ชว่ ยแกป้ ญั หาสว่ นตวั สว่ น
เทคโนโลยที ส่ี รา้ งขนึ้ มาเปน็ เครอื่ งทนุ แรง ถอื ไดว้ า่ เปน็ ตวั เสรมิ ทที่ ำ� ใหผ้ หู้ ญงิ กา้ วขา้ มขอ้ จำ� กดั
เรอ่ื งพละกำ� ลงั ทงั้ หมดนสี้ ง่ ผลใหผ้ หู้ ญงิ ในปจั จบุ นั ไมไ่ ดม้ องวา่ ตนเองมคี วามดอ้ ยกวา่ ผชู้ าย
นอกจากนยี้ งั ทำ� ใหค้ วามคดิ เรอ่ื งความแตกตา่ งทางรา่ งกายเปน็ ตวั กำ� หนดบทบาททางสงั คม
เรม่ิ ไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั และถกู ทา้ ทาย เมอื่ ผหู้ ญงิ เหน็ วา่ ตนเองทำ� งานนอกบา้ นไดเ้ หมอื นกบั
ผชู้ าย แตใ่ นสงั คมยงั มกี ารปฏบิ ตั แิ บบไมเ่ ทา่ เทยี ม ยงั คงใหค้ ณุ คา่ ใหค้ วามสำ� คญั กบั เพศชายท่ี
เหนอื กวา่ เพศหญงิ จงึ เปน็ เหตผุ ลหนง่ึ ทนี่ ำ� มาสกู่ ารเรยี กรอ้ งสทิ ธสิ ตรีนนั่ เอง

152 พลงั ผู้หญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

บรรณานุกรม
ปรานี วงษ์เทศ. เพศและวฒั นธรรม. กรุงเทพฯ: มติชน, 2544.
สม สุจริ า. ทวาร 6 ศาสตร์แห่งการรทู้ ันตนเอง. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทร,์ 2550.
อินเตอรเ์ น็ต
ไทยซ่าดอทคอม. ข้อห้ามและความเช่ือเม่ือหญิงมีประจ�ำเดือน. http://horoscope.thaiza.com/
ขอ้ หา้ มและความเช่อื เมอ่ื หญิงมีประจำ� เดือน/251774: เขา้ ถงึ เมือ่ 3 กรกฎาคม 2559
ผู้จัดการออนไลน์. ผ้าอนามัยมีใช้กันต้ังแต่เม่ือไหร่. http://www.manager.co.th/Around/
ViewNews.aspx?NewsID=9490000104571: เข้าถึงเม่ือ 3 กรกฎาคม 2559
มูลนิธิมุสลิม. เลือดของสตรี. http://www.islammore.com/view/287: เข้าถึงเมื่อ 3 กรกฎาคม
2559
เอ็มไทยดอทคอม. ขาดแคลนหนัก ไม่รับเงิน แต่รับผ้าอนามัย ช่วยเด็กบนดอย. http://news.
mthai.com/hot-news/social-news/488662.html: เขา้ ถึงเมื่อ 3 กรกฎาคม 2559
Danaan, Jodie 2015. Menstrual taboos in Bali; exploring the deep and wild within.
Available at: https://medium.com/@Oakwillowcircle/menstrual-taboos-in-bali-
exploring-the-deep-and-wild-within-56b7a4088a4#.eaj0lvl3n. Accessed
Jul 2, 2016.
Wentz, Laurel. P&G’s Touch the pickle wins Glass Grand Prix. Available at:
http://adage.com/article/special-report-cannes-lions/p-g-whisper-s-touch-
pickle-wins-glass-grand-prix/299182/. Accessed Jul 2, 2016.
Braizaz, Marion (Interviewer), Women and cars: a long-standing history. Available
at: http://www.womenology.com/sectors/automobile/women-and-cars-a-long-
standing-history/. Accessed Jul 27, 2016.
Russo, Naomi 2016. A 2000 Years History of Alarm Clocks. Available at: http://www.
atlasobscura.com/articles/a-2000year-history-of-alarm-clocks. Accessed Jul
2, 2016.
Planned Parenthood Federation of America. Birth control has expanded opportunity
for women. Available at: https://www.plannedparenthood.org/files/1614/
3275/8659/BC_factsheet _may2015_updated_1.pdf. Accessed Jul 2, 2016.

เทว:ี เทวสตรใี นอินเดยี

อาจารย์คมกฤช อยุ่ เต็กเคง่

ภาควชิ าปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

คตกิ ารนบั ถอื ผหู้ ญงิ เปน็ คตทิ ม่ี มี าโบราณเกา่ แกก่ อ่ นประวตั ศิ าสตร์ และเปน็ คตทิ ม่ี อี ยทู่ กุ หนแหง่
ในโลก ผหู้ ญงิ ถกู เชอื่ มโยงใหเ้ ขา้ กบั ความศกั ดส์ิ ทิ ธใิ์ นแงค่ วามอดุ มสมบรู ณ์ (fertility) เพราะเปน็ เพศ
ท่ีสามารถให้ก�ำเนิดชีวิตและเลี้ยงดูบุตรให้เติบใหญ่ได้ แต่ในเวลาต่อมาเม่ือศาสนาที่มีศาสดาเป็น
“มหาบรุ ษุ ” กอ่ ก�ำเนดิ ขนึ้ เชน่ ศาสนากลุ่มเทวนิยมในตะวนั ออกกลางคอื ยูดาย- ครสิ ต์ - อิสลาม
หรือกลุ่มศาสนาในอินเดีย ทำ� ให้บทบาทของเพศหญิงค่อยๆ ลดความส�ำคญั ลง ทัง้ ผู้หญิงในลกั ษณะ
ของเทวหี รือเทพเจา้ สตรี รวมทั้งนักบวชหญงิ ดว้ ย

ทา่ มกลางศาสนาทดี่ ำ� รงอยใู่ นปจั จบุ นั ศาสนาฮนิ ดมู คี วามนา่ สนใจในการพจิ ารณาเกย่ี วกบั
เทวีหรือเทพสตรีไม่น้อย ด้วยเหตุที่ว่าศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างศาสนา
โบราณกับศาสนาสมัยใหม่ที่มีการพัฒนาแนวคิดทางปรัชญาอย่างลึกซ้ึง แม้อิทธิพลของสังคม
แบบเพศชายเปน็ ใหญจ่ ะทำ� ใหบ้ ทบาทของเทวแี ละผหู้ ญงิ ในศาสนาลดลงไปมาก เชน่ เดยี วกบั ศาสนา
อนื่ ๆ แตท่ ท่ี างของผหู้ ญงิ โดยเฉพาะทเี่ ปน็ เทพเจา้ ยงั คงมมี ากพอทเ่ี ราจะเขา้ ไปสำ� รวจและทำ� ความเขา้ ใจ
ได้ อีกท้ังการด�ำรงอยู่ของความเชือ่ กอ่ นประวัตศิ าสตรใ์ นศาสนาฮนิ ดูก็ไมไ่ ดเ้ ลอื นหายไป ทว่าสง่ ตอ่
มายงั ปัจจบุ นั ในรปู ของเทวตำ� นาน พิธกี รรม และสัญลักษณ์จ�ำนวนมาก หรอื แมแ้ ตก่ ารดำ� รงอยู่ของ
“ นกิ าย” ทางศาสนาทน่ี บั ถือเทวสตรเี ป็นเทพสูงสดุ
จากบพุ กาลสสู่ มัยประวตั ิศาสตร์ : พฒั นาการของเทวใี นอินเดยี

ทฤษฎีทางโบราณคดีจ�ำนวนมากมักกล่าวถึงการเข้ามาของชนเผ่า “อารยัน (Aryan)”
จากตอนเหนอื เขา้ สทู่ ี่ราบลุ่มนำ้� สินธุ (Sindhu) ในราวสามพนั ถึงสพี่ ันปีก่อน ซงึ่ น�ำเอาจนิ ตนาการ
ทางศาสนาและความเจริญมาสู่ชนพื้นเมือง แต่ท่ีจริงแล้ว การขุดค้นทางโบราณคดีสมัยใหม่แสดง
ให้เห็นว่า คนพื้นเมืองหรือที่เรียกกันว่าพวก “ฑราวิท” (Dravidian) มีอารยธรรมของตนเอง
ท่ีก้าวหน้าและเจริญอยู่ไม่น้อย เช่นมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน การวางผังเมืองและ
การชลประทานแล้ว เม่ือชาวอารยันเคล่ือนย้ายเข้ามาคงได้ผสมผสานกับชาวพื้นเมืองอย่างช้าๆ
และอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ติ ดงั นนั้ ทฤษฎกี ารรกุ รานของชาวอารยนั และทำ� ลายอารยธรรมของคนพน้ื เมอื ง
ดงั ท่เี คยเชือ่ ถอื กันนน้ั คงไมไ่ ด้เกิดขน้ึ จรงิ (Goel, n.d. : 3)

154 พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

ชาวพนื้ เมอื งเปน็ ชาวลมุ่ (อยใู่ นพน้ื ทรี่ าบลมุ่ ) ผดิ กบั ชาวอารยนั ทเ่ี ปน็ พวกเรร่ อ่ น จนิ ตนาการ
และความเชื่อทางศาสนาของสองกลุ่มน้ีจึงมีความแตกต่างกันพอสมควร ชาวลุ่มน้ันมีความผูกพัน
กบั ผนื ดนิ แมน่ ำ้� เพราะระบบเกษตรกรรมตดิ ที่ จงึ ไมแ่ ปลกทจ่ี ะใหค้ วามสำ� คญั กบั เพศหญงิ เพราะเปน็
ผเู้ ปน็ ใหญใ่ นครวั เรอื น ซง่ึ สะทอ้ นภาวะการกอ่ กำ� เนดิ เชน่ เดยี วกบั สง่ิ แวดลอ้ มธรรมชาตทิ ค่ี นพน้ื เมอื ง
ใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นแม่น้�ำหรือแผ่นดิน ผิดกับชาวอารยันท่ีมักสัมพันธ์กับเพศชายและท้องฟ้า
ตามลกั ษณะวถิ ชี วี ติ ทต่ี อ้ งเคลอื่ นยา้ ยไปหาอาหารในพนื้ ทห่ี า่ งไกล ดงั เชน่ จนิ ตนาการของชาวอารยนั
เกี่ยวกับสถานพ�ำนักของเทพบนท้องฟ้าและสรวงสวรรค์ และการให้ความส�ำคัญของเทพบุรุษ
เปน็ สำ� คญั แตใ่ นเวลาตอ่ มาความคดิ ทง้ั สองแบบนจี้ ะไดค้ อ่ ยๆ ผสมผสานกนั จนกอ่ เกดิ เปน็ ศาสนาฮนิ ดู
ทเ่ี ราร้จู ักกนั ในปัจจบุ ัน

ประติมากรรมดินเผาที่เช่ือว่าเป็นเทพสตรีของวัฒนธรรม
ล่มุ นำ�้ สินธุท่ีแหล่งเมอื งฮารปั ปา อายรุ าว 2,500-1,900 ปี
กอ่ นคริสตกาล
(ทม่ี า: https://en.wikipedia.org/wiki/Indus_Valley_
Civilisation)

เทวีพืน้ เมอื งก่อนประวัติศาสตร์
มีหลกั ฐานแสดงให้เหน็ ว่าชาวพ้นื เมืองมกี ารเคารพเทวหี รือเทพสตรเี ปน็ สำ� คญั ดังมีการขุด

ค้นพบเคร่ืองปั้นดินเผารูปสตรีเปลือยจ�ำนวนมากในเขตโบราณสถานฮารัปปา ((Harappa) และ
โมเฮนโจดาโร (Mohenjodaro) ซ่ึงรูปปั้นเหล่านี้น่าจะหมายถึงเหล่าเทวสตรีที่ชาวพื้นเมืองนับถือ
รวมทั้งจิตรกรรมรปู สตรที ี่ถำ�้ ภมี ะเบตตา (เนอ้ื อ่อน ขรัวทองเขยี ว, 2553 : 6-7) และรูปโยค-ี โยคินีที่
ไดร้ บั การตคี วามวา่ เปน็ อศี (Isha) และอศี านี (Ishani) อนั หมายถงึ เทพผชู้ ายและเทพผหู้ ญงิ (Swa-
mi Swahananda,2012 : 14)

คตคิ วามเชอื่ เรอื่ งการนบั ถอื เทวสตรขี องคนพนื้ เมอื งกอ่ นประวตั ศิ าสตรห์ รอื ทจ่ี รงิ ควรเรยี กวา่
“ก่อนฮนิ ด”ู (Pre-Hinduism) เหลา่ น้นั มิไดส้ ูญหายไป ทว่ายังคงเหลอื รอด แปรเปลี่ยนไปบ้างและ

พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 155

ยังปรากฏร่องรอยให้เห็นในปัจจุบัน เช่นการเคารพหินธรรมชาติรูปอวัยวะเพศหญิงขนาดใหญ่ท ี่
รฐั อสั สัม ท่ีเรยี กว่า “กามขยเทว”ี , ความแพรห่ ลายของรปู เคารพของ “ลชั ชาเคาร”ี เทวีทีส่ ะท้อน
การก่อกำ� เนดิ ทีช่ ดั เจนมากรูปหนง่ึ และมลี กั ษณะใกลเ้ คียงกบั เทวีก่อนประวตั ศิ าสตร์

รูปสลัก “ลัชชาเคารี” จากวิหารนาคนาถ (Naganath) เมอื งพีชปุระ
รัฐกรรณาฏก(Karnataka) ประเทศอินเดีย อายุราว ครสิ ตศตวรรษ
ท่ี 7 ปัจจบุ ันอย่ใู นพิพิธภณั ฑพ์ ทามิ (Badami)
(ที่มา : Shaktisadhana.50megs.com/newhomepage/Shakti/
lajjaGauri.html)

ภาพการบชู าหนิ ธรรมชาตริ ปู อวยั วะเพศหญงิ “กามขยเทว”ี จากวหิ ารเทวปี รุ ะ รฐั อนั ธรประเทศ
ซึ่งจ�ำลองมาจาก กามขยเทวอี งค์จรงิ รฐั อัสสมั อินเดยี (ทม่ี า : www.devipaduka.com)

156 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

ความเชอื่ เรอ่ื งเทวโี บราณยงั ปรากฏในศาสนสถานของเจา้ แมจ่ ำ� นวนมากโดยเฉพาะในภาคใต้
ของอนิ เดยี หรอื ในพธิ กี รรม เชน่ พธิ บี ชู าเทวกี าลี ซง่ึ มกั ตอ้ งบชู ายญั ดว้ ยเลอื ดเนอื้ ของมนษุ ยห์ รอื สตั ว์
หรือแม้แต่สัญลักษณ์พื้นๆ อย่างจุดสีแดงบนหน้าผากของศาสนิกชนฮินดูที่พบเห็นได้ท่ัวไป อันมี
ความหมายถงึ สริ มิ งคลตามความเชอ่ื แตย่ งั ซอ่ นความหมายเกยี่ วกบั โลหติ และการบชู ายญั ไวอ้ กี ดว้ ย

นอกจากการเคารพบูชาอวัยวะเพศหญิงโดยตรงแล้ว “เต้านม” ของสตรีก็ถูกถือว่าเป็น
สญั ลกั ษณท์ ศ่ี กั ดสิ์ ทิ ธส์ิ งู สง่ มาแตโ่ บราณ เพราะเปน็ แหลง่ บรรจุ “นำ�้ อมฤต” ซงึ่ สามารถใหค้ วามเจรญิ
เตบิ โตแกส่ รรพสงิ่ ได้ เตา้ นมจงึ เปน็ สญั ลกั ษณส์ ำ� คญั ในระบบความเชอื่ น ้ี เราจงึ เหน็ ไดว้ า่ ในรปู เคารพ
ของเทวตี ามประเพณนี ยิ ม มกั มกี ารสรา้ งใหป้ ระตมิ ากรรมมเี ตา้ นมทม่ี ขี นาดใหญ่ รวมถงึ การปลอ่ ยให้
เต้านมเปลอื ยเปลา่ แมแ้ ต่สิ่งของเครือ่ งใชใ้ นพธิ ีกรรมทางศาสนา เชน่ การใช้หมอ้ มนี ม (เรยี กว่าหม้อ
อุขา) ในพธิ ีบูชาไฟ “อัคนจิ ยนะ”หรือ “อตริ าตรฺ มฺ” ท่ีมมี าตัง้ แตส่ มัยพระเวทและเกา่ แกท่ ่สี ุดเท่าท ี่
ยงั มกี ารประกอบในปจั จบุ นั หรอื หมอ้ นำ้� “ กลศั ” ของพธิ บี ชู าทปี่ ฏบิ ตั กิ นั ในทกุ วนั นก้ี ล็ ว้ นเปน็ ตวั แทน
ของเตา้ นมแห่งพระเทวี

ภาพหม้อมีนม หรือหม้ออุขา (Ukha)
และอุปกรณอ์ นื่ ๆ เชน่ ดนิ ปน้ั รูปหัวสัตว์
ซงึ่ ใชใ้ นพธิ ี “อคั นจิ ยนะ”หรอื อตริ าตรมั
ของอินเดีย กับภาพหม้อมีนมซึ่งขุด
ค้นพบที่หนองหญ้าไซ ประเทศไทย
(ที่มา : thapos.in/index.php/page/
past_event และ www.suphan.biz/
nongrajwat.html)

พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 157

ความเข้าใจพื้นฐานอย่างหน่ึง ท่ีเราอาจต้องมีเป็นเบ้ืองต้นในการศึกษาเรื่องเทพเจ้าของ
อินเดีย คือ เทพเจ้าของอนิ เดยี นน้ั มีความเปล่ยี นแปลงอยูต่ ลอดเวลา

ประการแรก คอื เทพองคห์ นง่ึ อาจคอ่ ยๆ แปรเปลย่ี นไปเปน็ เทพเจา้ อกี องคห์ นงึ่ ในยคุ ทต่ี า่ งกนั
ตวั อยา่ งเชน่ “พระศวิ ะ” ในแบบทเี่ รารจู้ กั กนั ทกุ วนั นย้ี งั ไมป่ รากฏในสมยั พระเวท แตจ่ ะปรากฏขน้ึ ใน
ภายหลังโดยพัฒนามาจาก “ รุทระ” เทพเจ้าองค์หน่ึงในคัมภีร์ฤคเวท หรืออาจผสานรวมกับเทพ
พน้ื เมอื งเข้าไปดว้ ย

ประการทสี่ อง คอื แนวคดิ เรอ่ื ง “ปาง” ซงึ่ มไิ ดห้ มายถงึ เพยี งแคท่ า่ ทางและบทบาทหลากหลาย
ของเทพองค์เดียวกันเท่าน้ัน แต่ยังหมายถึงการน�ำเทพเจ้าที่มีความสัมพันธ์กันมารวมอยู่ใน
องคเ์ ดยี วกนั หรอื หมวดเดยี วกนั เชน่ การมปี างทสี่ งบหรอื ปางทด่ี รุ า้ ยของเทวตี า่ งๆ ปางทห่ี ลากหลาย
ดงั กลา่ วนอกจากจะเกย่ี วพนั กบั การกลนื หรอื ความพยายามทจ่ี ะรวมเทพหลายๆ องคเ์ ขา้ ไวด้ ว้ ยกนั แลว้
ยงั เกยี่ วขอ้ งกบั ความคดิ ความเชอื่ อกี มากมายทอี่ ย่เู บอ้ื งหลงั เชน่ แนวคดิ เรอื่ ง “ภาวะ” ของเทพหรอื
จักรวาลที่สามารถส�ำแดงออกไปได้มากมาย หรือแนวคิดเร่ืองสัจธรรมหนึ่งเดียวท่ีอยู่เบื้องหลัง
ปรากฏการณต์ า่ งๆ เป็นต้น

นอกจากน้ี “ปาง” ยังสะท้อนการส่งผ่านเทพเจ้าในสองลักษณะ เช่นการน�ำเทพเจ้าจาก
พระเวทไปสู่คนพื้นเมือง หรือในทางกลับกัน นักโบราณคดียังมีความเห็นว่าเทพเจ้าของพ้ืนเมือง
ก็ได้เข้าไปสู่ความนิยมนับถือของพวกอารยันและต่อมาคือศาสนาฮินดูเช่นเดียวกัน (Swami
Swahananda, 2012 : 15)

พัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงอันยาวนานนับพันปีน้ี ท�ำให้เราอาจแบ่งประเภทของ
พระเทวีตามยุคสมยั และลักษณะส�ำคญั ได้ดงั นี้
เทวีในพระเวท

พระเวทเปน็ คัมภรี ์ทางศาสนาทีส่ �ำคญั ท่ีสุดของชาวฮนิ ดู ถอื เป็น “ศรตุ ”ิ คือฤษไี ด้ยินไดฟ้ งั
มาจากพระเจ้าโดยตรง พระเวททีเ่ กา่ แก่ท่ีสดุ คือ ฤคเวท ซงึ่ รวบรวมเอาจนิ ตนาการทางศาสนาของ
ชาวอารยนั เอาไว้ เทพเจา้ ในพระเวทมีจำ� นวนมากมายและส่วนมากเป็นเทพบุรุษ

แมว้ า่ ชาวอารยนั จะนยิ มนบั ถอื เทพบรุ ษุ มากกวา่ ชาวพนื้ เมอื ง แตก่ ม็ กี ารนบั ถอื เทพสตรหี รอื
เทวีด้วยเช่นกัน ความแตกต่างระหว่างเทพสตรีของคนสองกลุ่มน้ี คือเทพสตรีของชาวอารยันนั้น
แมจ้ ะสะทอ้ น “ปรากฏการณท์ างธรรมชาต”ิ เปน็ สว่ นใหญไ่ มต่ า่ งกบั เทวขี องชาวพน้ื เมอื ง แตก่ ลบั ไมค่ อ่ ย
สะทอ้ นดา้ นทน่ี า่ กลวั ของธรรมชาติ ใหอ้ อกมาในรปู ของเทวที ด่ี รุ า้ ยอยา่ งทคี่ นพน้ื เมอื งนยิ ม นอกจากน้ี
ชาวอารยนั มักมแี นวคดิ เกี่ยวกับเทวีทม่ี ลี ักษณะนามธรรมมากกว่า

ตวั อย่างของเทวสี ำ� คัญท่ีปรากฏในคมั ภีรฤ์ คเวท เช่น
“อษุ าเทว”ี (Usha) เธอเป็นเทวีแห่งร่งุ อรุณ ซ่งึ บทสวดในฤคเวทบรรยายไวว้ ่าเธอเยาว์วยั
ดจุ ดรุณี งดงามและออ่ นโยน เสดจ็ มากอ่ นหน้าสรุ ยิ เทพเพ่ือปลกุ มนษุ ย์และสตั วใ์ ห้ตน่ื ขน้ึ ในยามเชา้
เทวอี ษุ าจงึ หมายถึงความสว่างเรือ่ เรอื งในยามรุ่งสางก่อนท่ดี วงอาทิตย์จะแผดแสงแรงกล้านั่นเอง
“ราตรีเทวี” เธอเป็นเทวีแห่งกลางคืนคู่กับอุษาเทวี แต่เธอมิได้หมายถึงราตรีอันมืดมิด
น่ากลัว แต่เป็นกลางคืนที่ส่องสว่างด้วยแสงของดวงดาวระยิบระยับ ที่ช่วยให้คนเดินทางกลับบ้าน
อยา่ งปลอดภัย

158 พลังผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

“ปฤถิวี” หรอื พระแม่ธรณี เทวีองคน์ ้มี ักถกู กลา่ วถงึ ค่กู บั เทฺยาสฺ (Dyaus) ซึ่งเป็นเทพบุรษุ
แห่งท้องฟ้า เป็นบิดาและมารดาของสรรพส่ิง เช่นเดียวกับเทวต�ำนานกรีกท่ีกล่าวถึงพระแม่ธรณ ี
ไกอา (Gaia) และเทพบดิ รยเู รนสั (Uranus) เทวปี ฤถวิ เี รม่ิ สะทอ้ นใหเ้ หน็ การนบั ถอื ธรรมชาตใิ นฐานะ
มารดาของพวกอารยนั

“สรัสวตี” ในคัมภีร์ฤคเวท สรัสวตีเป็นเทวีแห่งแม่น�้ำ ซ่ึงน่าจะเป็นแม่น�้ำสายส�ำคัญของ
พวกอารยนั ปจั จบุ นั เชอื่ กนั วา่ แมน่ ำ้� สายนไี้ ดห้ ายสาบสญู ไปแลว้ ในเวลาตอ่ มาสรสั วตจี ะหมายถงึ เทวี
แหง่ อกั ษรศาสตรแ์ ละศลิ ปะวทิ ยาแทน โดยมกี ารนำ� “วาคเทว”ี หรอื เทวแี หง่ คำ� พดู มารวมกบั เธอ และ
คติใหมน่ ้ีจะเป็นทีน่ ับถอื จนถึงปจั จบุ นั

“วาคเทว”ี วาค ตรงกบั ภาษาไทยวา่ วาจา เธอคอื เทวแี หง่ คำ� พดู เนอื่ งจากคนในสมยั โบราณ
เชอ่ื วา่ การทคี่ ำ� พดู มคี วามหมายและสามารถสอื่ สารกนั ไดเ้ ขา้ ใจนนั้ กเ็ พราะมี “พลงั อำ� นาจ” บางอยา่ งท่ี
อยเู่ บอื้ งหลงั เสยี งทเ่ี ราเปลอ่ งออกไป วาคเทวคี อื พลงั อำ� นาจทท่ี ำ� ใหค้ ำ� พดู มคี วามหมาย และถกู ยกขนึ้
เป็นเทพเจ้า ซงึ่ เทวอี งค์น้มี ลี กั ษณะเชิงนามธรรมค่อนขา้ งมากเมือ่ เทยี บกับเทวอี ืน่ ๆ

“อทติ ”ิ เป็นเทวที ่ีมีความพิเศษทสี่ ุดองค์หนงึ่ ในฤคเวท เนือ่ งจากเทวีอทิตมิ ไิ ด้เก่ียวพันกับ
ปรากฏการณต์ ามธรรมชาตเิ ฉกเชน่ เทพเจา้ และเทวสี ว่ นใหญข่ องพระเวท แตอ่ ทติ หิ มายถงึ “ ความเปน็
มารดา” โดยเฉพาะ อนั แสดงลกั ษณะในเชงิ นามธรรมมากกวา่ ในฤคเวทอทติ เิ ปน็ เทพมารดาทปี่ ราศจาก
คู่ครอง แตใ่ นสมยั ต่อมาปุราณะจะสร้างเทวต�ำนานให้อทิตเิ คียงคู่กับเทพบรุ ษุ เช่น กศั ยปประชาบดี
แตเ่ ธอยังรกั ษาบทบาททส่ี ำ� คญั คือเปน็ มารดาของเทพเจ้า อสรู และอมนษุ ยห์ ลายประเภท (Kinley,
2005: 9)

“ศร-ี ลกั ษม”ี ในฤคเวทคำ� วา่ “ศร”ี ถกู ใชม้ ากอ่ นชอ่ื “ลกั ษม”ี ศรหี มายถงึ พลงั หรอื ศกั ยภาพ
ในเวลาตอ่ มาจงึ หมายถงึ ทงั้ ความงาม ความยง่ิ ใหญ่ ความมโี ชค เมอ่ื ถกู ทำ� บคุ คลาธษิ ฐานใหก้ ลายเปน็
เทวีแห่งความเป็นสิริมงคลแล้ว จึงปรากฏนามลักษมีร่วมกับศรีด้วย และเนื่องจากถูกบรรยายไว้ใน
“ศรีสูกตะ” หรือบทสวดถึงพระศรีว่าประทับบนดอกบัวหรือเกี่ยวพันกับดอกบัว จึงมักถูกเรียกว่า
“ปทั มา” และ “กมลา” การถกู สถาปนาใหเ้ ปน็ เทวแี หง่ สริ มิ งคลรวมทง้ั การมบี ทบาทสำ� คญั ในไวษณพ
นิกายหรือนิกายท่ีนับถือพระวิษณุ ศรี-ลักษมี จึงเป็นเทวีในพระเวทท่ียังคงมีความส�ำคัญมากท่ีสุด
องคห์ น่ึงในปัจจบุ นั

ในยคุ พระเวท เทวสี ว่ นใหญย่ งั ไมม่ คี คู่ รองเปน็ เทพบรุ ษุ ตอ่ มาในสมยั ปรุ าณะจงึ คอ่ ยๆ มกี าร
สร้างเทวตำ� นานใหเ้ ทวเี หล่าน้จี ับคูก่ บั เทวดาอน่ื ๆ เช่น ปฤถวิ ,ี ศร-ี ลักษมี เปน็ ชายาของพระวษิ ณ ุ
สรัสวตีเป็นชายาของพระพรหม เป็นต้น (Kinley, 2005: 17) นอกจากน้ี เทวีท่ีรู้จักกันส่วนมาก
ในปจั จุบนั เชน่ ปารวตี อมุ าไหมวตี ทุรคา กาลี ราธา ฯลฯ ยังไมป่ รากฏในฤคเวท รวมทั้งแนวคดิ
เกย่ี วกบั “มหาเทว”ี หรือเทวที ่ยี ิ่งใหญส่ ูงสุดเหนอื เทพอน่ื ๆเช่นกนั
เทวีในปรุ าณะ

ปุราณะ โดยศัพท์แปลว่า “โบราณ” เป็นคัมภีร์ที่มีเน้ือหาเก่ียวกับเทวต�ำนานโดยเฉพาะ
แม้จะเขียนข้ึนด้วยภาษาสันสกฤตแต่ไม่มีข้อห้ามในการศึกษาเท่าพระเวทจึงแพร่หลายไปในผู้คน
ทกุ ชนชนั้ อกี ทง้ั เปน็ ตำ� นานนทิ านสนกุ สนานจงึ เปน็ ทชี่ น่ื ชอบกนั ยคุ สมยั ปรุ าณะเรมิ่ ตน้ ในราว 200 ปี
ก่อนคริสตกาลถึงราว คริสต์ศตวรรษท่ี 500 ปุราณะได้มีการน�ำเอาเทพเจ้าที่มีอยู่แล้วในพระเวท
เทพทอ้ งถิ่น หรอื เทพทีเ่ กดิ ขน้ึ ใหมม่ าผสมผสานสรา้ งเปน็ เทวตำ� นานจ�ำนวนมาก

พลังผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน 159

ปรุ าณะอนั เปน็ ทย่ี อมรบั นบั ถอื วา่ เปน็ ปรุ าณะหลกั หรอื มหาปรุ าณะ มที งั้ สน้ิ 18 เลม่ เชน่ วษิ ณุ
ปุราณะ, ศิวปุราณะ, พรหมไววรตปรุ าณะ, ครฑุ ปุราณะ ฯลฯ นอกจากนี้ยงั มปี ุราณะอืน่ ๆ ท่ีถอื เปน็
ปรุ าณะรองเรยี กว่า “อปุ ปุราณะ” อีกมาก

นอกจากปุราณะสันสกฤตทั้งสองแบบคือมหาปุราณะและอุปปุราณะ ยังมีปุราณะท่ีมัก
ประพนั ธข์ น้ึ ในภาษาทอ้ งถน่ิ เพอื่ บอกเลา่ ตำ� นานของสถานทห่ี รอื ศาสนสถานสำ� คญั ปรุ าณะดงั กลา่ ว
เรยี กว่า “สถาลปรุ าณะ” และยังมีปรุ าณะฉบับชาวบา้ นที่เลา่ สืบๆ ตอ่ กันมาอกี มากมาย

เน้ือความในปุราณะทั้งหลายแม้จะกล่าวถึงเทพเจ้าองค์เดียวกัน แต่มักมีเร่ืองราวแตกต่าง
กันมากถงึ ขน้ั ขดั กนั เองก็มี ขึน้ อยูก่ ับว่าปรุ าณะนนั้ เน้นความสำ� คญั ของเทพเจ้าองคใ์ ดเปน็ พเิ ศษ

เทวีต่างๆ ที่ไมเ่ คยปรากฏในพระเวท เช่น อุมาไหมวตี, ทรุ คา, กาล,ี ราธา ฯลฯ ได้เรมิ่
ปรากฏขนึ้ ในสมยั ปรุ าณะนเี่ อง สว่ นเทวบี างองคท์ เ่ี คยปรากฏในพระเวท เชน่ อทติ ิ สรสั วตี ศร-ี ลกั ษมี
ก็ไดถ้ ูกทำ� ให้มลี กั ษณะทแ่ี ตกตา่ งไปจากเดมิ และเทวีบางองคซ์ งึ่ เคยส�ำคญั มากทีส่ ดุ ในพระเวท เชน่
อษุ าเทวี กลับหมดความส�ำคัญลง

นอกจากเร่ืองราวของเทวไี ด้ถูกกล่าวถงึ ในปุราณะต่างๆ แล้ว ในราวครสิ ตศตวรรษท่ี 5-6
ยังได้เกิด ปุราณะของเทวีเองโดยเฉพาะ คือ “มารกัณเฑยปุราณะ” มีเนื้อหาส่วนท่ีส�ำคัญเรียกว่า
“เทวมี หาตมยะ” อนั หมายถงึ “ความยง่ิ ใหญข่ องพระเทว”ี (John Strattonand and Donna Marrie,
1995: 153) เนอ้ื หาของเทวมี หาตมยะกลา่ วถงึ การทพี่ ระเทวปี ราบอสรู หลายตน เชน่ มหษิ าสรู รกั ตพชี ะ
มธุ และไกตภะ เป็นต้น ต�ำนานเล่าว่าอสูรเหล่าน้ีพวกเทพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท้ังหลายไม่สามารถปราบ
ลงได้ (David Kinley, 2005 :101)

ดงั นนั้ ดว้ ยเนอ้ื หาของปรุ าณะตา่ งๆ และมารกณั เฑยปรุ าณะเอง ทำ� ใหเ้ กดิ ความเปลยี่ นแปลง
ความคิดความเชือ่ เกยี่ วกบั เทวอี ยหู่ ลายประการ คอื

ประการแรก แตเ่ ดมิ เทวใี นพระเวทมกั ไมม่ คี คู่ รอง แตใ่ นปรุ าณะไดส้ รา้ งใหเ้ ทวที ง้ั หลายมสี ามี
การมคี คู่ รองของเทวจี ะถกู นำ� ไปอธบิ ายและตคี วามเชงิ ปรชั ญาเกย่ี วกบั พระเทวใี นฐานะ “ศกั ต”ิ หรอื
พลังงานของพระเจ้าบุรษุ ในภายหลัง

ประการทสี่ อง ในสมยั พระเวท เทวยี งั ไมม่ บี ทบาทในการปราบปรามอสรู หรอื สงิ่ ชว่ั รา้ ย เพราะ
หนา้ ทเี่ หลา่ นเ้ี ปน็ ของเทพบรุ ษุ เชน่ พระอนิ ทรป์ ราบวฤตาสรู แตใ่ นสมยั ปรุ าณะ เทวกี ลบั ไดร้ บั บทบาท
นแ้ี ทน เชน่ เทวที รุ คาหรือมหษิ าสรุ มรทินี และจะเปน็ กลายเปน็ บทบาทท่โี ดดเดน่ มากกว่าเทพบุรุษ
เสียอกี เพราะเป็นบทบาทที่ศาสนกิ ชนจดจำ� ได้มากท่สี ุด (Kinley, 2005: 95)

ประการท่ีสาม ได้เกิดแนวคิดเก่ียวกับ “มหาเทวี” ปรากฏขึ้น คือถือว่า พระเทวีทรงเป็น
พระเจ้าท่ยี ่งิ ใหญ่ หรือเทพสงู สดุ และจากแนวคดิ ดงั กลา่ ว จะค่อยๆ พฒั นาเปน็ รากฐานทางความคดิ
ของนกิ ายทนี่ บั ถอื เทวโี ดยเฉพาะ เรยี กวา่ นกิ าย “ศากตะ” ซง่ึ รวมเอาแนวคดิ เกย่ี วกบั เทวใี นเชงิ ปรชั ญา
และวิธกี ารทผ่ี สานเอาความเชอื่ ดั้งเดิมของชาวบ้านหรือ แนวคดิ “ตันตระ” ไว้ดว้ ยกนั

ตัวอย่างของเทวที สี่ ำ� คัญในสมยั ปรุ าณะ มดี งั นี้
“ทุรคา” ทรุ คามคี วามหมายวา่ “เข้าถึงไดย้ าก” อาจเปน็ เพราะรูปลกั ษณ์ท่ีทรงพลังอำ� นาจ
ของพระองคเ์ อง ในปุราณะเลา่ วา่ ทรงมหี ลายพระกร แตล่ ะกรมีศาสตราวุธ ทรงพาหนะเป็นเสอื หรอื
สงิ ห์ทีด่ ุร้าย ในชว่ งคริสตศตวรรษท่ี 4 รปู เคารพของทุรคาฆา่ อสรู ควายหรอื มหิษาสรุ มรทินี (แปลว่า
เทวีผู้ฆ่าอสูรควาย) ได้แพร่หลายไปทั่วอินเดีย ตามเทวต�ำนานพระองค์ได้รับการร้องขอจาก
เหล่าเทพบรุ ษุ ใหส้ งั หารอสรู ซ่งึ พวกเทพบุรษุ ไม่สามารถปราบลงได้

160 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

ภาพวาดเทวที ุรคาไดร้ ับการสักการะจากมหาเทพบรุ ษุ ทั้งสาม คอื พระพรหมา พระวษิ ณุ และพระศิวะ
อายุราว ค.ศ.1850-1900 จากกัศมรี ะ อินเดีย (ที่มา : education.asianart.org)

นอกจากบทบาทในการปอ้ งปราบสง่ิ ชว่ั รา้ ยแลว้ พระองคย์ งั เกย่ี วขอ้ งกบั พชื พรรณธญั ญาหาร
และการเกษตรดว้ ย นแี่ สดงถงึ ความเกยี่ วพนั กบั คตกิ ารนบั ถอื พนื้ เมอื ง เพราะในเทศกาลทสี่ ำ� คญั ทสี่ ดุ
ของเทวที รุ คา คือเทศกาล “นวราตร”ี หรือในบางท้องทเี่ รยี กวา่ “ทุรคาบชู า” ชาวบา้ นจะพากันบชู า
“นวทรุ คา” หรอื พระแมท่ รุ คาเกา้ ปางเพอื่ ขอความสำ� เรจ็ ในพชื พรรณธญั ญาหาร เนอ่ื งจากในเวลานน้ั
เปน็ เวลาเกบ็ เกย่ี วหรอื การประหตั ประหารตน้ ขา้ ว ทรุ คาจงึ มนี ยั เกย่ี วพนั กบั การทำ� ลายและการกา้ วขา้ ม
(คอื การเกบ็ เกยี่ วทท่ี ำ� ใหพ้ ชื พนั ธต์ุ อ้ งตาย แตม่ นษุ ยจ์ ะไดอ้ าหาร และกา้ วขา้ มจากความตายไปสชู่ วี ติ ใหม)่

นอกจากพธิ บี ชู าทวั่ ๆไปแลว้ พบวา่ มกี ารบชู ายญั ดว้ ยชวี ติ สตั วแ์ ดพ่ ระองคด์ ว้ ย เชน่ การเซน่
สรวงดว้ ยควายและแพะ ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะของศาสนาแบบพน้ื เมอื ง เพราะควายเปน็ สตั วส์ ำ� คญั ในระบบ
การเกษตรของชาวลุม่ ท่ชี าวอารยันไม่ค้นุ เคย

“กาลี” กาลี มคี วามหมายวา่ “ดำ� ” “กลางคนื ” หรืออาจตคี วามว่าหมายถงึ “เวลา” ซ่ึงเป็น
คำ� นามเพศหญงิ ของคำ� วา่ “กาล” อนั เปน็ พระนามของพระศวิ ะผกู้ ลนื กนิ ทกุ สงิ่ เทวกี าลมี รี ปู กายสดี ำ�
เปลือยกายสยายผม ประดบั ประดารา่ งกายดว้ ยอวยั วะมนษุ ย์ ในพระหตั ถถ์ ือศรี ษะบุรุษ ถ้วยกปาล
(ถว้ ยกะโหลก) บรรจุโลหติ และอาวุธ มกั จะประทบั ยนื บน “ศพ” พระศวิ ะ

เร่ืองราวของเทวีกาลีเร่ิมปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรคร้ังแรกในราวคริสต์ศตวรรษท่ี 6
ในคมั ภรี อ์ คั นปิ รุ าณะและครฑุ ปรุ าณะ โดยมฐี านะเปน็ เทวแี หง่ สงคราม (David Kinley, 2005 : 116)
ในวรรณกรรมสันสกฤตเรื่องกทัมพรี ซ่ึงเขียนข้ึนในคริสต์ศตวรรษที่ 17 กล่าวถงึ พระนาม “จณั ฑี”
ซง่ึ หมายรวมทัง้ เทวีทรุ คาและกาลี

พลังผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 161

ภาพวาดเทวีกาลี อายุราวค.ศ.1800-
1805 จาก กังครา(Kangra) อินเดีย
ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของ
พพิ ิธภณั ฑ์ Walter Arts Museum
สหรฐั อเมริกา
(ท่มี า : www.thewalter.org)

กาลีเป็นเทวีท่ีโดดเด่นที่สุดองค์หนึ่งในสมัยปุราณะ เน่ืองด้วยรูปลักษณ์ที่ดุร้ายและดูแปลก
ประหลาดของพระองค์ เราอาจวิเคราะห์ได้ว่า กาลีเป็นเทวีที่แสดงความคิดเก่ียวกับเจ้าแม่ท้องถิ่น
และศาสนาพนื้ บา้ นกอ่ นประวตั ศิ าสตรใ์ นอนิ เดยี ไดด้ ที สี่ ดุ องคห์ นงึ่ อกี ทง้ั เทวกี าลยี งั คงไดร้ บั ความนยิ ม
นับถือมาจนปัจจุบันท้ังในและนอกอินเดียเช่นในสังคมไทย อาจเพราะกาลีมีลักษณะใกล้เคียงกับ
เจา้ แมพ่ น้ื เมอื งหรอื “ผ”ี ในศาสนาพน้ื เมอื งของไทย นอกจากนเี้ ธอยงั มบี ทบาทมากในระบบ “ตนั ตระ”
ของฮนิ ดูเอง

“มาตฤกา” คำ� น้แี ปลวา่ “มารดา” มาตฤกาไม่ใช่เทวีองคใ์ ดองคห์ น่งึ แต่เป็น “กลมุ่ เทวี”
ซึ่งมีจ�ำนวนต้ังแต่ 7, 8, และ 16 มาตฤกาเป็นกลุ่มเทวีเกิดจากการที่แปลงเทพบุรุษให้กลายเป็น
สตรี เช่น พระพรหมา เปน็ เทวีพรหมี, พระวราหะหรืออวตารพระวิษณใุ นรูปหมปู า่ เปน็ เทววี ราห,ี
กุมาร (ขันทกุมาร) เป็น เกามารี เป็นต้น การนับถือมาตฤกาสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับภาวะคู่ คือ
ในจกั รวาลมไิ ดม้ เี ฉพาะพลงั เพศชายเทา่ นนั้ แตย่ งั มแี งม่ มุ ทตี่ รงกนั ขา้ ม คอื พลงั ทอี่ ยใู่ นแบบอติ ถภี าวะ
ในลกั ษณะเดยี วกันด้วย

162 พลังผ้หู ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

เทวพี ืน้ เมือง
เทวเี หลา่ นสี้ ว่ นใหญม่ กั ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นสาระบบพระเวทและปรุ าณะ แมจ้ ะมบี างองคท์ ไี่ ดร้ บั การนำ�

เข้าไปสู่ปุราณะบ้างก็ตาม เช่น เทวีกาลี ท่ีจริงอาจต้องกล่าวว่าเทวีเหล่าน้ีมีมาก่อนศาสนาฮินดู
(Pre-Hinduism) และมลี กั ษณะเหมอื นกบั การนับถอื “ ผ”ี ในอษุ าคเนย์

เทวีพ้นื เมืองมกั มีชอื่ ในภาษาถิ่น และไม่ใช้ระบบการบูชาอยา่ งพราหมณ์ ผดู้ ูแลมกั
ไมใ่ ชพ่ ราหมณ์ สว่ นมากเปน็ การแสดงด้านร้ายของธรรมชาติ เช่น เทวศี ตี ลา เทวีแหง่ โรค
ระบาด รวมทงั้ บรรดา “อมั มา” (แปลวา่ แม)่ ของชาวอินเดียใตห้ ลายพระองค์ ในอินเดียศาสนสถาน
ของเทวีเหลา่ น้ี มกั สร้างขน้ึ อย่างงา่ ยๆ เช่นกองหินตามชายปา่ รมิ หมู่บา้ นหรอื เนินดนิ มักเรียกรวมๆ
กันวา่ “ครามเทว”ี ซง่ึ หมายถงึ เทวปี ระจำ� หมูบ่ ้าน การนบั ถอื เทวีเหล่านี้ให้พื้นทแ่ี กผ่ หู้ ญงิ ค่อนขา้ ง
มากในการประกอบพิธีกรรมและมีบทบาทตา่ งๆ รวมท้ังยังมีความเก่ยี วข้องกบั การทรงเจ้าเข้าผี ซ่งึ
มักไม่เปน็ ที่นยิ มในศาสนาฮินดูแบบทางการ
เม่ือศาสนาฮินดูแพร่ไปยังคนพ้ืนเมือง ก็มักกลืนเทวีเข้าสู่ระบบฮินดูเหล่าน้ีโดยการสร้าง
เทวตำ� นานใหเ้ จา้ แมพ่ น้ื เมอื งกลายเปน็ ภาคสว่ นของพระอมุ าเทวหี รอื ปารวตี หรอื ทำ� ใหเ้ ปน็ ชายาของ
พระศิวะ
วัดฮินดูท่ีมีชื่อเสียงท่ีสุดของไทย คือวัดพระศรีมหาอุมาเทวีหรือวัดแขกสีลม เป็นตัวอย่าง
ที่ส�ำคัญของกรณีข้างต้น วัดแห่งน้ีเป็นวัดของชาวทมิฬซ่ึงเป็นชนพ้ืนเมืองอินเดียใต้ท่ีมีวัฒนธรรม
ของตนเองและเป็นวัดในนิกายศากตะหรือนิกายท่ีนับถือเจ้าแม่ ท่ีจริงวัดนี้มีชื่อในภาษาทมิฬว่า
“ติรุมาริอัมมันโกยิล” โกยิลหมายถึงปราสาทหรือมณเฑียร ติรุเป็นค�ำน�ำหน้าช่ือ ตรงกับ “ศรี”
ในภาษาสันสกฤต และ “มาริอมั มนั ” เป็นชอื่ ของเทวีประธานของวดั หรือเจา้ แมม่ าริ
มารอิ มั มาเปน็ เทวแี หง่ โรคระบาดตามคตดิ งั้ เดมิ ของชาวทมฬิ เปน็ เจา้ แมพ่ นื้ เมอื งทช่ี าวบา้ น
นิยมนับถอื โดยมักสรา้ งศาลงา่ ยๆ ตามจอมปลวกหรอื เนินดิน แต่การใช้นามวดั วา่ “วัดพระศรีมหา
อุมาเทวี” น้ัน เพื่อแสดงความคิดที่ว่า พระองค์คือภาคส่วนหน่ึงของพระแม่อุมาเทวีตามความเช่ือ
ของฮนิ ดู และยงั งา่ ยตอ่ การทำ� ความเขา้ ใจของคนไทยด้วย
ศกั ติ - ประกฤติ - มายา : เทวใี นมุมมองทางปรชั ญา
คำ� วา่ เทวี เปน็ คำ� นามเพศหญงิ ของคำ� วา่ “เทวะ” ซง่ึ มาจากธาตุ ทวิ ฺ ในภาษาสนั สกฤตแปลวา่
“ส่องสว่าง” เพราะเช่ือกันว่าเทวดามีภาวะทิพย์ และแสงสว่างยังเก่ียวข้องกับความดีงามและ
ความรุง่ เรือง ค�ำว่าเทวนี ัน้ สามารถใชส้ ำ� หรบั เทวสตรที ่ัวๆ ไปทุกองค์ และในอกี ทางหนง่ึ ยังหมายถงึ
แนวคดิ เก่ียวกบั เทวผี ูย้ ่งิ ใหญด่ ว้ ย
จากพัฒนาการหลังยุคพระเวท เม่ือเทวีถูกท�ำให้มีคู่ครองแล้ว ไศวนิกายที่นับถือพระศิวะ
และนิกายศากตะท่ีนับถือเทวีจะพัฒนาแนวคิดทางปรัชญาของตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะแนวคิดเร่ือง
“ศักต”ิ หรือ “พลัง”
ค�ำว่า “ศักติ” แปลว่า “พลัง” (power) แต่มักรับรู้กันว่า ค�ำน้ีใช้เป็นค�ำเรียกเทพสตรีใน
ศาสนาฮินดไู ดด้ ้วย
สวามวี เิ วกกานนั ท์ นกั ปราชญฮ์ นิ ดอู ธบิ ายวา่ การบชู าเทพมารดรตงั้ อยบู่ นมโนทศั นเ์ กย่ี วกบั
“พลัง” เพราะมนุษย์มักต้องเผชิญกับความขัดแย้งกันของพลังสองอย่างในชีวิตอยู่เสมอ เช่น
ความด-ี ความช่วั ดังนนั้ สงิ่ นีจ้ งึ ผลักดันไปสกู่ ารบชู าเทวี (Swami Vivekananda site in Swami
Swahananda, 2012: 92-93)

พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 163

สวามศี วิ านนั ทะ นกั ปราชญอ์ กี ทา่ นเหน็ วา่ การนบั ถอื เจา้ แม่ เปน็ หนง่ึ ในศาสนาทเี่ กา่ แกแ่ ละ
แพรห่ ลายทสี่ ดุ ในโลก เพราะพลงั เปน็ สงิ่ ทค่ี วบคกู่ บั มนษุ ยแ์ ละผลกั ดนั ใหม้ นษุ ยท์ ำ� สงิ่ ตา่ งๆ มาตง้ั แต่
สมยั โบราณ (Swami Sivananda, 2003 : 263)

จากมมุ มองทง้ั สองน้ี แสดงใหเ้ หน็ ความเชอื่ ของอนิ เดยี ทว่ี า่ “ พลงั ” เปน็ รากฐานของสรรพสงิ่
และเป็นรากฐานของการก่อก�ำเนิดส่ิงต่างๆ พลังจึงสัมพันธ์กับภาวะของความเป็นมารดาหรือสตรี
เพราะมิใช่บทบาทของเทพบรุ ษุ หรอื บรุ ุษเพศทัง้ ในทางชีววิทยาและทางวัฒนธรรม

ไศวนกิ าย มแี นวคดิ โดยรวมเกย่ี วกบั ศกั ติ วา่ เปน็ พลงั ทส่ี มั พนั ธก์ บั พระเจา้ บรุ ษุ (คอื พระศวิ ะ)
ดงั นน้ั พลังน้ีจงึ อยูใ่ นรปู ของเทวีปารวตหี รืออุมาไหมวตใี นฐานะคู่ครองท่ีแนบสนิทกบั พระองคเ์ สมอ
เปน็ พลังทีพ่ ระเจา้ ใชก้ ระท�ำการต่างๆ

ส่วนพวกศากตะ หรือพวกท่ีนับถือเทวี มีความคิดว่า พระศิวะหรือเทพบุรุษ เป็น “ตัวรู้”
(consciousness) ทไ่ี มเ่ คลอื่ นไหวเปลย่ี นแปลง ในขณะท่ี “ศกั ต”ิ หรอื พระเทวี เปน็ “พลงั ” ทแี่ ปรเปลย่ี น
(changing power) และเพราะเปน็ พลงั ทส่ี ามารถแปรเปล่ยี นเคลือ่ นไหวไดน้ ีเ้ องจึงทำ� ให้ จักรวาล
และโลกเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นพลังของการถนอมรักษาและท�ำลายหรือหมุนเวียน เพ่ือให้มี
การก่อก�ำเนิดใหม่อีกคร้ัง ส่วนตัวรู้แม้จะเป็นรากฐานของการรู้คิด(พุทธิ) ซึ่งเป็นพ้ืนฐานของชีวิต
แตด่ ว้ ยความทต่ี วั มนั เองมอิ าจเปลยี่ นแปลงใดๆ และอยใู่ นสภาวะเสถยี รหรอื หยดุ นง่ิ สรรพสงิ่ จงึ มอิ าจ
ก่อก�ำเนิดขึ้นได้ ศักติจึงมีความส�ำคัญย่ิงกว่าเทพบุรุษ เพราะคือพลังหรือพระเป็นเจ้าผู้ขับเคล่ือน
สกลจักรวาลอยา่ งแทจ้ รงิ

ตรมี ูรติหรอื พระเจ้าสงู สุดสามรปู ได้แก่ผสู้ รา้ ง ผู้รักษา และผู้ท�ำลาย จงึ ไม่สำ� คญั เทา่ ตรีศกั ติ
หรอื พลังสงู สุดสามอย่างในอิตถภี าวะ

แนวคดิ นี้คล้ายคลงึ กับแนวคิดในปรัชญาสำ� นัก “สางขยะ” (samkya) ของฮินดู ซ่ึงถือวา่ มี
ความจริงอยู่สองประการ ได้แก่ “ปุรุษะ” (purusha) ซ่ึงหมายถึงจิตบริสุทธิ์ที่ท�ำหน้าท่ีดุจตัวรู้คิด
(คำ� น้ีแปลวา่ บุรุษเพศ หรอื คนไดเ้ ชน่ กัน) และ “ปรกฤต”ิ (prakriti) หมายถึง “ ธรรมชาติ “ ซึ่งคอื
สภาวะทีส่ ามารถเกิดการเปลีย่ นแปลงและววิ ัฒน์ไปสสู่ ิ่งต่างๆ ได้ เมือ่ ปุรุษะเข้ารวมกับประกฤตกิ จ็ ะ
เกดิ การววิ ฒั นาการขนึ้ แตต่ วั ปรุ ษุ ะเองปราศจากศกั ยะหรอื พลงั ในการสรรคส์ รา้ ง สว่ นประกฤตกิ เ็ ปน็
ดจุ พลงั ทไ่ี รเ้ จตจำ� นง ทงั้ สองจงึ ตอ้ งอาศยั กนั และกนั เพราะตวั รเู้ ทยี บไดก้ บั ปรุ ษุ ะ ประกฤตจิ งึ หมายถงึ
เทวีหรือภาวะคู่ตรงข้ามอันได้แก่สตรี และประกฤติกลายเป็นหนึ่งในพระนามส�ำคัญของพระเทว ี
ไปในท่ีสุด

ความคิดเรื่องปุรุษะ-ประกฤติของสางขยะ ต่างกับแนวคิดแบบศากตะอยู่บ้างตรงท่ี ใน
ศากตนกิ าย พลงั งานหรือศกั ตินน้ั ทรงอำ� นาจและส�ำคัญมากกวา่ ฝา่ ยชายเสมอ มไิ ดเ้ ป็นความจรงิ ท่ี
ส�ำคัญเท่าๆ กันอย่างปุรุษะและประกฤติ คัมภีร์กุพชิกาตันตระกล่าวว่า “มิใช่ พรหมา วิษณุ และ
รทุ ระ (ศิวะ) หรอกทสี่ ร้าง รักษา และท�ำลาย (สกลจกั รวาล) แต่คอื พรหมี ไวษณวี และรทุ ราณี
(พระนามเพศหญิงของพระเป็นเจ้าสามองค์) ต่างหาก สวามีของพวกนางเป็นก็แต่เพียงซากศพ”
(Swami Swahananda, 2012 : 94)

พระเปน็ เจา้ สงู สดุ ในนกิ ายศากตะจงึ ตอ้ งเปน็ เทวหี รอื สตรเี สมอ แมจ้ ะเปน็ เรอ่ื งยากทค่ี วามคดิ
ของนิกายศากตะจะแพร่หลายไปในสังคมท่ีชายเป็นใหญ่ แต่ด้วยการท่ีนิกายศากตะเก่ียวพันกับ
“ตนั ตระ” อันมีลักษณะเรน้ ลับ และการซอ่ นแนวคิดไวใ้ นสญั ลกั ษณแ์ ละพิธีกรรม นิกายศากตะจึงยงั
คงอยู่รอดมาได้

164 พลังผ้หู ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

ในทางประตมิ านวทิ ยา ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพลงั เพศชายและหญงิ หรอื ความดอ้ ย-เหนอื กวา่
ของเทวี-เทวะ สะท้อนออกมาในประติมากรรมการเคียงคู่หรือรวมกัน (union) เทพบุรุษและเทว ี
3 รปู แบบ คอื

แบบแรก เทพบุรุษเป็นประธานของรูปเคารพ ส่วนเทวีมักมีขนาดเล็กกว่าและประทับท ่ี
ตกั ข้างซา้ ยของเทพบุรุษ เช่นเทวรปู ลักษมี-นรสงิ ห์, สีตา-ราม, อมุ า-มเหศวร ฯลฯ ซึ่งแสดงถึง
ความเปน็ รองของเทวีและความสำ� คญั กวา่ ของเทพบรุ ษุ

แบบทส่ี อง เทวแี ละเทวะ อยใู่ นลกั ษณะทเ่ี คยี งขา้ งหรอื กลมกลนื กนั เชน่ เทวรปู ราธา-กฤษณะ
หรอื อรธนารศี วร ซึ่งมีท้ังเทวีและเทวะรวมอย่ใู นองคเ์ ดียวกัน แสดงถึงความเท่าเทยี ม

แบบท่ีสาม เทวีประทบั ยนื (เหยยี บ) หรือนัง่ (ทบั ) เหนอื เทพบรุ ษุ เชน่ เทวรูป กาลี – ศิวะ
(กาลีเหยียบพระศิวะ), ราชราเชศวรี (เทวีประทับอาสน์ซ่ึงเทพบุรุษค�้ำยันไว้) ฯลฯ รูปแบบท่ีสาม
แสดงความเหนอื กวา่ ของเทวอี ยา่ งเห็นได้ชดั (John Strattonand Donna Marrie, 1995 : 309)
และมักเปน็ รปู แบบทพี่ บมากทสี่ ุดในรูปเคารพของนิกายศากตะ

ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 500-700 นักปรัชญาคนส�ำคัญ คือ อาทิศังกราจารย์ ได้น�ำเสนอ
แนวคดิ อไทวฺ ตเวทานตะ หรอื หลักปรัชญา “ความจริงหนง่ึ เดียว” นอกจากนี้ยังน�ำเสนอแนวคิดทาง
ปรัชญาทส่ี �ำคญั ควบคกู่ นั ไป คือแนวคดิ เร่อื ง “มายา” ซีง่ พอจะสรปุ อยา่ งหยาบๆ ได้วา่ ความจรงิ แท้
มเี พียงหนึ่งเดียวคือพรหมนั ซงึ่ “ปรากฏ” ออกมาในสองลกั ษณะ

ลักษณะแรกเรียกว่า “นิรคุณพรหมัน” หมายถึงสัจธรรมแบบนามธรรมที่มิอาจอธิบาย
คุณสมบัตใิ ดใดได้หรือใช้ภาษาในการเขา้ ถึงได้ พรหมันยงั ปรากฏออกมาในอกี ลกั ษณะหนึ่ง เรียกวา่
สคุณพรหมัน คือ พรหมันที่ประกอบด้วยคุณสมบัติต่างๆ อาจเรียกอีกอย่างว่า “อีศวร” หมายถึง
พระเป็นเจา้ แบบบุคคล (Personal God)

อศี วรนเี้ อง ทม่ี อี ำ� นาจ (ศกั ต)ิ ของพระองคเ์ อง ศกั ตนิ เ้ี รยี กอกี อยา่ งวา่ “มายา” เพราะพลงั นี้
ฉายโลกใหป้ รากฏขน้ึ เสมอื นวา่ โลกมอี ยู่ โดยทโี่ ลกมไิ ดเ้ กดิ ขนึ้ หรอื มอี ยจู่ รงิ ๆ แมว้ า่ เราอาจมปี ระสบการณ์
ตอ่ โลกและใชช้ ีวิตประจ�ำวันราวกับวา่ โลกน้ีมอี ยู่ แตโ่ ดยเน้ือแท้มันไมเ่ คยเกดิ ข้นึ และมอี ยู่เลย

ดังนน้ั ศักติจึงมิใช่แคพ่ ลังเฉยๆ แตเ่ ป็นพลงั ทท่ี ำ� ใหโ้ ลกฉายปรากฏข้ึนดว้ ย
แม้ศังกราจารย์จะไม่อธิบายมายาในแง่อิตถีภาวะหรือพลังของเพศหญิงมากนัก คงเพราะ
ความพยายามที่จะยกระดับไปสคู่ วามคดิ ทางปรัชญาที่ซับซ้อนข้นึ แต่ในแง่ศาสนา “มายา” มกั ถูก
ใชเ้ ปน็ พระนามของเทวีดว้ ยอีกพระนามหนึ่ง ซง่ึ บง่ ถึงพลงั ในแง่การกอ่ กำ� เนดิ อกี แบบ คือไม่ได้เปน็
การกอ่ กำ� เนดิ อยา่ งตรงไปตรงมาในเชงิ รปู ธรรมเทา่ นนั้ แตเ่ ปน็ การกอ่ กำ� เนดิ ในลกั ษณะของการทำ� ให้
“ปรากฏ” ขนึ้ โดยมไิ ด้มีอยูอ่ ยา่ งแท้จริง
ตนั ตระ : หนทางในการเขา้ ถึงเทวี
“ตันตระ” หมายความวา่ ถักทอ เชอื่ มโยง สืบเน่ือง หรอื แปลวา่ ระบบหรือหลักการกไ็ ด้
ตันตระเริม่ ปรากฏขน้ึ ในราวครสิ ต์ศตวรรษท่ี 5 และแพรห่ ลายมากในชว่ งคริสตศ์ ตวรรษที่ 8-9
ตนั ตระมไิ ดเ้ ปน็ ของศาสนาใดศาสนาหนงึ่ โดยเฉพาะ แตเ่ ปน็ “วถิ ปี ฏบิ ตั พิ น้ื บา้ น” ทด่ี ำ� รงอยู่
ในอนิ เดยี มาตงั้ แตก่ อ่ นสมยั พทุ ธกาล ตนั ตระอธบิ ายถงึ ธรรมชาตเิ ดมิ แท้ อนั เปน็ พน้ื หลงั ของทกุ สภาวะ
การด�ำรงอยู่ (วจิ กั ขณ์ พานิช, 2558 :121) ดงั นัน้ มโนทัศน์และเทคนิควธิ ีการของตันตระอาจเขา้ ไป
อยใู่ นศาสนาใดกไ็ ด้ ในพทุ ธศาสนา ตนั ตระฝกึ ฝนปฏบิ ตั กิ นั ในฝา่ ยวชั รยาน ในศาสนาฮนิ ดฝู า่ ยไศวนกิ าย

พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 165

เรียกการปฏิบัติตนั ตระวา่ “มนตรมารค” สว่ นในฝ่ายศากตะเรียกการปฏิบตั ิตันตระว่า “กุลมารคะ”
หรือ “เกาละ” อนั มคี วามหมายวา่ “หนทางของกลุ ” กลุ ในทน่ี ีห้ มายถึง “กาลกิ ลุ ” แปลว่าการเขา้ สู่
ครอบครวั วงศ์วานของพระแม่กาลี

ด้วยความท่ีตันตระเป็นวิถีพื้นบ้านจึงมักถูกเข้าใจว่าเกี่ยวพันกับไสยศาสตร์และสิ่งเร้นลับ
และมักจะเป็นที่รังเกียจหรือไม่เข้าใจ เน่ืองจากเทคนิควิธีการของตันตระล่อแหลมต่อศีลธรรมและ
บรรทดั ฐานของสังคม เชน่ ความเกีย่ วข้องกับเพศสมั พันธ์ ตามแนวคดิ ตนั ตระ ท่จี รงิ แล้วบรรทดั ฐาน
และศีลธรรมทางสังคมในทางหนึ่งดึงเราออกจากสภาพเดิมแท้ตามธรรมชาติของเราเอง ตันตระจึง
พยายามน�ำมนษุ ย์กลบั ไปสู่สภาพตามธรรมชาติผสานรวมกบั ภาวะอันเป็นทิพย์ท่มี ีอยแู่ ล้ว

เทคนิควิธีการของตันตระต้ังอยู่บนพื้นฐานว่าภาวะของเทพ-เทวีหรือความจริงสูงสุดนั้น
มิใช่สิ่งไกลตัวหรืออยู่ภายนอก แต่เป็นสิ่งที่ด�ำรงอยู่แล้วภายในตัวเรา เทคนิคปฏิบัติของตันตระ
กเ็ พอ่ื ให้ “พลงั ”เหล่านั้นถูกปลุกขึน้ และเขา้ สกู่ ารบรรลุหลดุ พน้ โดยปราศจากอุปสรรคและฉบั พลัน
ผู้บรรลทุ างตนั ตระจงึ เรยี กว่า “สิทธา” หมายถึงผูส้ �ำเรจ็

คมั ภรี ์ตันตระจึงกลา่ ววา่ “ศกฺติ ชฺญานํ วิน เทวี นิรวาณํ ไนว ชายเต” ปราศจากความรู้เรอ่ื ง
เทวี นริ วาณก็มิอาจร้ไู ด้ (Swami Sivananda, 2003 : 266)

ในวิถีตนั ตระ ครมู คี วามส�ำคญั อยา่ งสุงสดุ ในฐานะเป็นผู้บรรลุถึงความบริบูรณแ์ ล้ว และคอ่ ย
ส่ังสอนชี้น�ำ เพราะตันตระมีความล่อแหลมต่อศีลธรรมและอาจท�ำให้ผู้ปฏิบัติถึงแก่ความพินาศหรือ
หลงผดิ จนไม่อาจกลบั มาในหนทางได้

เทคนิคปฏิบัติในตันตระเรียกว่า “สาธนา” อาทิการสวดมนต์ การเพ่งนิมิต บูชายัญและ
รูปมณฑลหรือแผนผังของจักรวาล อันมีองค์เทวีประธานอยู่ในใจกลาง มักท�ำในรูปสามเหล่ียมคว�่ำ
สะท้อนสัญลักษณ์ที่ถูกทอนลงของอวัยวะเพศหญิง การเพ่งนิมิตและเทคนิคต่างๆ น้ีเพ่ือกระท�ำให้
ตนเองและเทพเจา้ ท่เี พง่ ถงึ ผสานรวมเปน็ หน่ึงเดยี วโดยไมแ่ บง่ แยก

หลักการของศกั ตโิ ยคสาธนาในนิกายศากตะ คอื การหลอมรวม “ศวิ ะ” และ “ศักติ” ภายใน
ตัวเราเข้าด้วยกัน คือการบรรสานพลังของกายและจิตให้เป็นหนึ่งเดียว พลังท่ีซ่อนเร้นอยู่ในกายน้ี
เรียกว่า “กุณฑาลินี” เม่ือท�ำสาธนากุณฑาลินีจะเคล่ือนไปสู่จักระต่างๆ และรวมกับศิวะในท่ีสุด
การแปรเปลยี่ นนเี้ รยี กวา่ การแปรเปลยี่ น “สาธก” หรอื ผปู้ ฏบิ ตั สิ าธนาจาก “ปศภุ าวะ” (ภาวะอยา่ งสตั ว)์
ไปสู่ “ทพิ ยภาวะ” (ภาวะทิพย)์ (SwamiSivananda, 2003: 265-266)

การปฏบิ ตั ิสาธนาในตนั ตระของเทวีมีอยูส่ องฝ่าย ฝา่ ยแรกเรยี กวา่ “ทักษณิ จาร” หรอื ฝา่ ย
ขวา ฝา่ ยนมี้ กั มกี ารปฏบิ ตั ทิ ไี่ มร่ นุ แรงหรอื ลอ่ แหลมตอ่ ศลี ธรรมมากนกั กบั อกี ฝา่ ยเรยี กวา่ “วามจาร”
แปลว่าฝ่ายซา้ ย

ในฝา่ ยซา้ ยมกี ารปฏบิ ตั ทิ ีเ่ รยี กวา่ “ปัญจมการ” หรือ “ม” ทั้ง 5 ได้แก่ 1. มุทรา-การท�ำทา่
มือต่างๆ 2. มนตร์–การพร�่ำบ่นสวดมนตร์ 3. มางสะ–การกินเน้ือ/ปลา 4. เมรัย-การดื่มสุรา
5.ไมถุน-การรว่ มเพศ ซ่ึงผปู้ ฏบิ ัตอิ าจต้องประกอบปัญจมการะน้ีท้ังหมด และเพ่งนมิ ติ ตนเองกบั เทวี
โดยถือว่าตนเองกับเทวีมิได้ต่างกัน ดังน้ัน การเสพเสวยส่ิงท้ังหมดในฐานะพระเทวีหรือพระศิวะ
กเ็ พอ่ื ดึงเอาภาวะทิพยข์ องตนหรือท่ีจริงคือธรรมชาติแทจ้ รงิ ของตนออกมา

ในระบบศีลธรรมของสังคมฮินดู ปัญจมการในข้อ 3-5 เป็นสิ่งต้องห้าม ดังน้ันวิธีปฏิบัต ิ
ของวามจารมี กั ไดร้ บั การตำ� หนอิ ยา่ งรนุ แรง แตท่ งั้ นจ้ี ะเหน็ ไดว้ า่ หลกั การของปญั จมการ คอื การถา่ ยถอน

166 พลงั ผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

ผู้ปฏิบัติออกจากกฏเกณฑ์ทางสังคมไปเผชิญหน้ากับเส้นแบ่งทางศีลธรรม เพ่ือกลับไปสู่ภาวะตาม
ธรรมชาติ และเข้ารวมกบั ประสบการณ์แห่งความ “รน่ื รมณ”์ ซึง่ เป็นประสบการณเ์ ดียวกันกับภาวะ
ของเทพ แตค่ วามรนื่ รมณจ์ ากการเสพเสวยทง้ั หลาย กลบั ถกู ระบบศลี ธรรมผลกั ไปสฝู่ า่ ยของความชว่ั
ท้ังน้ีปัญจมการอาจเป็นทั้งอุปสรรคหรือส่ิงที่ช่วยให้รุดหน้าไปสู่การหลุดพ้นก็ได้ หากผู้ปฏิบัติขาด
ความเขา้ ใจทีถ่ ูกตอ้ ง ปัญจมการจะเปน็ เพียงการเล่นสนุก ครุ ุหรอื ครูจงึ มบี ทบาทอย่างยง่ิ ในหนทาง
ตันตระทจ่ี ะช่วยขดั เกลาการปฏบิ ตั ิของศษิ ยม์ ิให้ถลำ� สู่ความหลงผิด

ตันตระโดยเฉพาะฝ่ายวามจาร ได้ยกเทวีกาลี ข้ึนเป็นเทพสูงสุด เหตุผลในการเลือกเทวี
องคน์ ย้ี งั มคี วามคลมุ เครอื แตอ่ าจเปน็ ไปไดว้ า่ เพราะผปู้ ฏบิ ตั ติ อ้ งปฏบิ ตั ปิ ญั จมการ ในขณะทเี่ ทวกี าลี
สะทอ้ นถงึ ความตาย การทำ� ลายลา้ งและความกลวั (Kinley, 2005: 124) สามสง่ิ นเี้ ปน็ ภาวะที่ผ้ปู ฏบิ ตั ิ
จะต้องท�ำความเข้าใจและแปรเปลี่ยนไปสู่ประสบการณ์แห่งความรื่นรมณ์ให้ได้ เพราะสามสภาวะน้ี
คอื พลังท่ถี ูกเกบ็ งำ� ซ้อนเรน้ อยู่ภายในและเปน็ พลัง “มืด” ตามธรรมชาติท่ผี คู้ นไม่กลา้ เผชิญ

ผ้เู ขยี นยงั มีความเหน็ ว่า เหตุทพ่ี วกวามจารเลือกเทวกี าลี ก็เพราะเทวกี าลเี องยงั มลี ักษณะ
ของเทวพี ้ืนเมอื งอยู่มากและเกี่ยวขอ้ งวิถีการนบั ถือเจา้ แม่แบบโบราณมากทส่ี ดุ องคห์ นึ่ง ซึง่ สมั พันธ์
กบั ตนั ตระในฐานะเทคนคิ วิธกี ารพื้นบา้ นและการปลดปล่อยสธู่ รรมชาติ
หญงิ โสด –เมยี – แม่ : ถอดรหัสเทวี

ศาสนาโบราณมกั มลี ักษณะแบบ “ศาสนาผู้หญงิ ” (feminine religion) หมายถงึ ศาสนา
ท่ีให้ความส�ำคัญกับเพศหญิงเป็นพิเศษ ซึ่งมีลักษณะร่วมกันตรงท่ีไม่ได้ปฏิเสธหรือถือว่า กิจกรรม
ทางเพศเปน็ เร่ืองเลวร้าย เพราะกิจกรรมทางเพศกอ่ กำ� เนิดชีวติ และความอดุ มสมบูรณ์ สญั ลกั ษณท์ ี่
เกย่ี วขอ้ งกบั เพศจงึ ถกู ถอื วา่ “เปน็ สริ มิ งคล” ตรงขา้ มกบั ศาสนาแบบผชู้ ายซงึ่ มลี กั ษณะ “พรตนยิ ม”
(asceticism) คือพยายามสรา้ งระบบการบำ� เพ็ญพรตหรือสถาบนั นักบวชท่ีปฏเิ สธกิจกรรมทางเพศ
ทั้งสองศาสนาพยายามท่ีจะสร้างสัญลักษณ์ในลักษณะที่ข่มกันไปมา เช่นรูปเจ้าแม่กาลีเหยียบยืน
บนศพพระศวิ ะ แมจ้ ะมเี ทวตำ� นานเพอื่ ปกปดิ ความหมายชน้ั น้ี โดยอธบิ ายวา่ พระศวิ ะใหเ้ จา้ แมเ่ หยยี บยนื
เพ่ือหยุดความคลุ้มคลั่งของเจ้าแม่เอง แต่หากเราพิจารณาจากกรอบแนวคิดของนิกายศากตะ
พระศิวะทป่ี รากฏในรปู เคารพเจ้าแม่กาลีก็เป็นแตซ่ ากศพทม่ี ิอาจสรา้ งสรรค์ส่งิ ใดเท่าน้ัน

ในขณะทฝ่ี า่ ยศาสนาของผชู้ าย กไ็ ดส้ รา้ งสญั ลกั ษณใ์ นลกั ษณะนเี้ ชน่ กนั เชน่ รปู “ศวิ นาฏราช”
หรอื พระศวิ ะรา่ ยรำ� ซงึ่ ไมเคลิ ไรทต์ คี วามวา่ รปู อปสั มาราหรอื ยกั ษแ์ คระทพี่ ระศวิ ะเหยยี บอยนู่ น้ั ทจ่ี รงิ
คือรูปเคารพของเจ้าแมน่ ่นั เอง (ไมเคลิ ไรท,์ 2550: 19)

นอกจากรูปเคารพสองอย่างนี้ ท่ีจริง มีความซับซ้อนในการท�ำความเข้าใจสัญลักษณ์หรือ
ความสัมพันธ์ของเทวีองค์ต่างๆ ซึ่งการถอดรหัสนี้จะช่วยให้เราเข้าใจระบบการนับถือเจ้าแม่และ
ความเชอื่ ในอนิ เดียดยี ิ่งข้ึน
กาล-ี ทุรคา- เคารี

มคี �ำกลา่ ววา่ “คนปา่ บชู ากาลี คนเมอื งบชู าเคาร”ี เคารแี ปลวา่ ขาวหรือทอง เธอเป็นเทวี
แห่งพืชพันธุ์ และเมื่อเก่ียวข้องกับอาหารจะมีนามว่า “อันนปูรณา” แปลว่าอาหารสมบูรณ์ เคารีมี
วรกายขาว มกั ทรงเครอ่ื งทรงขาวหรอื เขยี วซงึ่ เปน็ สขี องตน้ ไม้ มดั ผม สวมเครอื่ งประดบั มคี วามนมุ่ นวล
บางครัง้ ประทบั บนตักของพระศวิ ะ และมกั นิยมบชู าในครัวเรือน

พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 167

ท่ีจริงกาลีและเคารี คือสองด้านของพลังสตรี กาลีคือพลังธรรมชาติที่ไร้กฏเกณฑ์หรืออยู่
นอกสงั คมครอบครวั (Undomesticated Nature) หรือกฏแหง่ ป่า กาลีเปลือยกายสยายผม ประดบั
ประดาดว้ ยอวยั วะมนษุ ย์ ซง่ึ เปน็ สญั ลกั ษณข์ องการอยนู่ อกอารยธรรม เธอกระหายโลหติ อยใู่ นสนามรบ
หรอื ปา่ ชา้ เธอจงึ เปน็ “หญงิ โสด” ไมเ่ ปน็ ทงั้ เมยี และแม่ ยนื อยโู่ ดดเดยี่ วบนศพบรุ ษุ เพศ กาลเี กย่ี วพนั
กับความรนุ แรงและเพศในฐานะสภาวะตามธรรมชาตทิ ่มี ิไดถ้ กู ควบคมุ หรือ “กฏแห่งปา่ ”

กาลีจงึ มักเป็นท่นี ยิ มบูชาตามชายป่ารมิ หมู่บา้ นหรือริมป่าชา้ ซึ่งแสดงถึง “เสน้ แบ่ง” ของ
อารยธรรมและสังคมมนุษย์ กบั “ปา่ ” หรือท่ีๆ ยงั ไม่มอี ารยธรรมเข้าไปครอบงำ�

ส่วนเคารีแสดงถึง “กฏแห่งบ้าน” หรือธรรมชาติที่ถูกท�ำให้เข้าสู่ความเป็นสังคม
(Domesticated Nature) เธอจึงนุ่งห่มมิดชิดและมัดผม เธอไม่กระหายเลือดแต่ประทานนมและ
ธัญพชื เป็นท้งั “เมยี และแม่” ซึ่งเปน็ สถานภาพศกั ดิส์ ทิ ธิใ์ นระบบสงั คมฮินดู เธอเก่ียวขอ้ งกับเซ็กส์
และความรนุ แรงเฉพาะทีจ่ ะสัมพันธก์ ับครอบครัว (Pattanaika, 2006: 106-108)

ภาพเทวรปู เทวเี คารที รงอาภรณเ์ ขยี ว ซง่ึ ใชใ้ นพธิ เี คารบี ชู า
ของแควน้ มหาราษฎร์ ในช่วงต้นฤดเู พาะปลูก
(ทม่ี า: viralnetwork.com/image/id/28078/Goddess_
gauri_jpeg.html)

ดร.เทวทตั ต์ ตคี วามเทศกาลเกยี่ วกบั เทวที ส่ี มั พนั ธก์ บั ฤดกู าลและชวี ติ ไวว้ า่ เมอ่ื ยามถงึ หนา้ ฝน
ในฤดเู พาะปลกู เคารใี นอาภรณส์ เี ขยี วซงึ่ สะทอ้ นถงึ พชื ผกั และอาหารจะไดร้ บั การบชู าควบคกู่ บั พระคเณศ
ในเวลานี้ เทวีแสดงถึงความเป็นแม่อย่างเต็มท่ี ตั้งท้องเพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และประทาน
อาหารพืชผลตามความปรารถนาแกม่ วลมนษุ ย์

ครน้ั ถงึ ฤดเู กบ็ เกยี่ วในชว่ งใบไมร้ ว่ ง กจ็ ะมเี ทศกาลนวราตรี ผคู้ นพากนั บชู าเทวที รุ คา เธอมา
ในอาภรณส์ แี ดงอนั เปน็ สญั ลกั ษณข์ องโลหติ หรอื เชอื้ ชวี ติ ของสตรี มอี าวธุ เพอื่ แสดงถงึ การประหตั ประหาร
หรือเก็บเกี่ยว ในแคว้นเบงกอล ทุรคาจะได้รับการบูชาควบคู่กับเทวีลักษมี สรัสวตี คเณศ และ
ขนั ทกมุ ารในฐานะบตุ รแี ละบตุ รของพระนาง เธอยงั คงรบั บทบาทมารดา (ทไ่ี รส้ าม)ี ผปู้ ระทานสิ่งต่างๆ
ใหก้ ับมนุษย์

168 พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

ในฤดูหนาวท่ีพืชพันธุ์ตายลงและเห่ียวเฉา เทวีเสด็จมาในรูปของกาลี หรือความตายของ
สงิ่ ทง้ั หลาย เธอมาอยา่ งโดดเดย่ี วแบบหญงิ โสด เธอไมป่ ระทานนมและอาหารอกี ตอ่ ไป แตม่ าพรอ้ มกบั
ความหวิ กระหายโลหติ และเชอ้ื ชวี ติ เธอเสพเสวยโลหติ เกบ็ สะสมพลงั เพอ่ื จะกลายเปน็ เคารที ปี่ ระทาน
นม ธัญพชื และอาหารแก่ชีวติ ทั้งหลายในฤดฝู นถดั ไป

คร้ันถึงฤดูใบไม้ผลิ ก็จะถึงเทศกาลศิวราตรี อันเป็นการเฉลิมฉลองการสมรสของพระศิวะ
ซง่ึ แสดงวา่ พระศวิ ะและพระแมไ่ ดเ้ ขา้ กลบั มาสมสกู่ นั การรว่ มกนั ของเทพทงั้ สอง จะทำ� ใหเ้ กดิ การงอกงาม
ของพืชผลตอ่ ไป (Pattanaika, 2006: 197-198)

ดร.เทวทตั ตส์ รุปสญั ลักษณแ์ ละความสัมพันธ์ของเทวีท้งั สาม เปน็ ตารางดังน้ี

เคารี ทุรคา กาลี
เปลอื ยกาย
สวมอาภรณ์เขยี ว สวมอาภรณ์แดง โสด
สยายผม
เปน็ แม่ เปน็ เจ้าสาว(หรอื เมยี ) ข่สี ิงห์ (บางครง้ั )
ต้องการโลหิตบชู ายัญ
มดั ผม สยายผม ปกคลมุ ร่างด้วยอวยั วะมนษุ ย์
ทรงอาวุธเพ่ือโจมตี
เก่ยี วข้องกบั ววั ขส่ี ิงห์ (หรอื เสือ) ไม่ประทานอาหาร

รับของถวายมงั สวริ ัติ รบั ของถวายทุกอย่าง

สวมสญั ลักษณข์ องการแต่งงานแล้ว สวมเครอื่ งประดบั เจ้าสาว

ไม่ทรงอาวธุ ทรงอาวธุ เพือ่ ปกปอ้ ง

ประทานอาหาร ไม่ประทานอาหาร

(Pattanaika, 2006: 199)

ในวัฏจกั รแหง่ โลก เทวีจึงเปลย่ี นบทบาทไปมาระหวา่ งหญิงโสด แม่ เมีย หมุนเวียน
ไปมาระหวา่ งภาวะนอกสงั คม -ภาวะในสงั คม ภาวะแหง่ การเกดิ และการตาย เปน็ ทง้ั มารดา
ผู้ใหช้ ีวิตและหลุมดำ� มืดอนั กลนื กินชวี ิต

การทำ� ความเขา้ ใจและวเิ คราะหบ์ ทบาทรวมถงึ พฒั นาการของเจา้ แมห่ รอื เทวจี งึ อาจ
ชว่ ยใหเ้ ราเขา้ ใจพน้ื เพของความเชอื่ ของเราเองยง่ิ ขนึ้ ในขณะเดยี วกนั กช็ ว่ ยใหเ้ ราเขา้ ใจ “ปม”
หรือความขัดแย้งระหว่างเพศ ความขัดแย้งระหว่างอารยธรรมและธรรมชาติ รวมท้ัง
ความเขา้ ใจทีม่ ตี อ่ “พลงั ” ท้งั ปวงท่ีมอี ยู่ในโลกธรรมชาติและตวั เราเช่นกนั

พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 169

บรรณานุกรม
ไมเคิล ไรท.์ ฝร่ังคลงั่ ผี. กรุงเทพฯ: มตชิ น, 2550.
เน้ืออ่อน ครวั ทองเขยี ว. แกะรอยพระลักษมี. กรุงเทพฯ: มิวเซียมเพลส, 2553.
วจิ กั ขณ์ พานชิ . วชั รยานกบั การเผชญิ ความทา้ ทายของสงั คมสมยั ใหม.่ วารสารปรชั ญา มหาวทิ ยาลยั
ศลิ ปากร ปที ี่1 ฉบับที่ 1(มกราคม –ธันวาคม 2558): 114-152.
Kingley, David. Hindu Goddesses : Vision of the Divine Feminine in the Hindu Religious
Traditions. Delhi: Motilal Banarasidas Publisher, 2005.
Pattanaika, Devdutt. Myth = mithya : A Handbook of Hindu Mythology. Delhi: Penguin
Books India, 2006.
Hoeley, John Stratton and Wuff,Donna Marrie. The Divine Consort : Radha and Goddesses
of India. Delhi: Motilal Banarasidas Publisher, 2005.
Goel, Madan Lal. (n.d.) The Myth of Aryan Invasions of India. Retrieved from
www.uwf.edu/lgoel
Swami Sivananda. All About Hinduism. Uttachal: Divine Life Society Publication, 2003.
Swami Swahananda. Vedanta Sadhana and Shakti Puja. Kolkata: Advaita Ashram, 2012.
บรรณานุกรม
Chatterjee, Gautam. Sacred Hindu Symbols. Delhi: Abhinav Publication, 1996.
Johnson, W.J. Oxfrod Dictionary of Hinduism. Newyork: Oxfrod University Press, 2010.
Swami Harshananda. Devi and her Aspect. Bangalore: SriRamkrishna Math, 2000.
Swami Harshananda. Hindu Gods and Godesses. Chennai: SriRamkrishna Math, 2014.
Swami Jagadiswarananda.(trans). Devi Mahatmyam. Madras: SriRamkrishnaMath, 2007.
Swami Swahananda. Hindu symbols. Chennai: SriRamkrishna Math, 2012.

170 พลังผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

คนธรรพวิวาหแ์ ละสยุมพร:

เสรภี าพในการเลอื กคคู่ รองของสตรอี นิ เดียโบราณ?

ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ชานปว์ ิชช์ ทัดแก้ว

สาขาวชิ าภาษาเอเชยี ใต้ ภาควชิ าภาษาตะวนั ออก คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั
แม้วา่ ในยคุ พระเวทและอปุ นษิ ทั 1 สถานะของสตรจี ะสูงส่ง และเรยี กไดว้ า่ เกอื บจะเทา่ เทยี ม
กับบรุ ษุ ดังเหน็ ไดจ้ ากการทม่ี ีช่ือของสตรีเปน็ ฤษผี ู้รจนาบทสวดในคัมภีรพ์ ระเวท นักคดิ นกั ปรัชญา
และบุคคลส�ำคัญทางศาสนา นอกจากน้ีในพิธีกรรมและการเฉลิมฉลองต่างๆ สตรีมีบทบาทส�ำคัญ
อยู่ในพิธีเหล่าน้ันไม่ด้อยกว่าบุรุษ (วาสนา ไอยรารัตน์, 2522: 1-4) ก็ตาม แต่จากการศึกษา
เปรยี บเทยี บขอ้ มลู ในวรรณคดี กลบั พบวา่ สตรี รวมถงึ เทวสตรี มกี ลา่ วถงึ นอ้ ยกวา่ บรุ ษุ และเหลา่ เทวะ
มาก ในคมั ภรี ฤ์ คเวทมีข้อความเหยยี ดหยามหรอื เวทนา “บตุ รีที่ไร้พช่ี าย/น้องชาย” หรอื ข้อความ
ท่ีบิดาตัดพ้อ คร�่ำครวญในการที่ตนได้บุตรีแทนที่จะเป็นบุตร ในพิธีกรรมหลายประเภท สตรีไม่มี
บทบาทหลัก เป็นเพียงคู่ท�ำพิธี เป็นส่วนเติมเต็มพิธีกรรมเท่าน้ัน หรือแม้กระทั่งในพิธีกรรมทาง
การเกษตรบางอย่าง หญิงสาวพรหมจรรย์ถูกใช้เป็นเครื่องสังเวย หรือแม้กระท่ังเป็นค่าทักษิณา
ใหแ้ กพ่ ราหมณส์ ำ� หรบั การประกอบพธิ กี รรม (Renou and Filliozat, 1947: 376) ในอาถรรพเวทและ
คมั ภรี พ์ ราหมณะ เรม่ิ ปรากฏขอ้ ความทเ่ี หยยี ดหยามสตรมี ากขนึ้ ถงึ ขนาดกลา่ ววา่ นางนำ� ความวบิ ตั มิ า
สูต่ ระกูล (วาสนา ไอยรารตั น์, 2522: 5-7)
ยง่ิ ในสมยั ที่มีการประพนั ธค์ มั ภรี ซ์ ง่ึ วา่ ดว้ ยกฏเกณฑ์ บทบัญญัติเรือ่ ง “ธรรม” อนั หมายถงึ
“หน้าท่ีของคนในสังคม” หน้าท่ีซึ่งปัจเจกบุคคลต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมตามชนช้ัน
วรรณะและสถานะทางสังคมอื่นๆ ของตน คัมภีร์เหล่านี้ เรียกว่า คัมภีร์สมฤติ ธรรมสูตร หรือ
ธรรมศาสตร2์ ตัวอย่างเชน่ คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ คัมภรี ย์ าชยวลั กยธรรมสตู ร เป็นต้น สทิ ธแิ ละ
เสรีภาพของสตรีย่ิงถูกจ�ำกัดด้วยกฏเกณฑ์มากมาย และสตรีในสังคมอินเดียไม่มีสิทธ์ิครอบครอง

1ประมาณ 1,500-1,000ปี กอ่ นคริสต์ศักราช เรียกชอื่ ยุคตามคมั ภรี ์สำ� คญั ของชาวอารยนั ได้แก่คัมภีรพ์ ระเวท
ทงั้ 4 คอื ฤคเวท ยชรุ เวท สามเวท อาถรรพเวท รวมทงั้ คมั ภรี ใ์ นชน้ั หลงั ทข่ี นึ้ อยกู่ บั แตล่ ะพระเวท เชน่ คมั ภรี พ์ ราหมณะ
อารัณยกะ ส่วนอปุ นษิ ทั เปน็ ยุคปลายสุดของพระเวท อปุ นษิ ทั เรียกอีกอยา่ งวา่ เวทานตะ มีอายุราว 800 ปี กอ่ น
ครสิ ตศ์ กั ราช เปน็ ยคุ ทอ่ี ดุ มไปดว้ ยนกั คดิ นกั ปรชั ญา หลงั จากนน้ั กจ็ ะเปน็ ยคุ มหากาพย์ ทชี่ าวอารยนั ไดส้ รา้ งอาณาจกั ร
เป็นปึกแผ่นม่ันคงแล้ว มีการท�ำสงครามระหว่างอาณาจักร ในช่วงรอยต่อนี้เอง ศาสนาต่างๆ ลัทธิความเชื่อต่างๆ
เกิดข้นึ มากมายในอินเดยี พระพทุ ธศาสนา ศาสนาเชน เปน็ ตน้ ก็เกดิ ขน้ึ มาในยคุ หลงั อปุ นิษัทนเี้ อง

พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 171

คมั ภีรฤ์ คเวท (ทีม่ า: https://en.wikipedia.org/wiki/Vedas)

ทรพั ย์สมบตั ขิ องตระกูล ทรพั ยส์ ินที่นางครอบครองไดส้ ่วนตัวนนั้ มีมูลค่าเพยี งแคจ่ ำ� นวนทค่ี นวรรณ
ศทู รจะมสี ิทธิถือครองได้เทา่ น้นั (Renou and Filliozat, 1947: 376)

มีเฉพาะทรพั ย์สนิ ส่วนตัวทเ่ี รยี กว่า “สตรธี นะ” เท่านัน้ ท่นี างมสี ิทธิครอบครองและสบื ทอด
ให้แก่ทายาทผู้หญิง แต่หากนางมีทรัพย์มากเกินกว่าท่ีกฎหมายก�ำหนดไว้ ทรัพย์ส่วนเกินเหล่านั้น
จะตกเป็นของสามี ให้สามดี แู ลและจะสืบทอดไปยงั ทายาทชาย (Basham: 1967, p. 179)

จากข้อความในคัมภรี ์มานวธรรมศาสตร์ อัธยายะที่ 9 ความวา่

2กฎหมายศักดส์ิ ิทธิ์ พวกฮนิ ดเู หน็ วา่ มีความศกั ด์ิสทิ ธนิ์ อ้ ยกว่าคมั ภรี พ์ ระเวทเพยี งเล็กนอ้ ย และได้รวมกนั เปน็
ร่างแห่งต�ำราก่ึงคัมภีร์ เรียกว่า “สมฤติ” คือ “ปรัมปราประเพณี” ขึ้น ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าคัมภีร์สมฤติมีพ้ืนฐาน
จากคัมภีรศ์ รตุ ิ (พระเวท) ประมวลกฎหมายยุคหลังท่ีมีช่อื เสียงมาก เรียกวา่ “มนุสมฤติ” หรือ “กฎหมายของมนู”
แตง่ ในสมยั ราชวงศศ์ งุ คะ และ “ยาชฺยวลกฺ ยสมฤติ” หรอื “ประมวลกฎหมายของยาชยวัลกยะ” แต่งในสมยั ราชวงศ์
คปุ ตะ (จ�ำนงค์ ทองประเสรฐิ , 2556: 221)

172 พลงั ผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

ขา้ พเจา้ จักกล่าวถึงหนา้ ท่ที ง้ั หลายอนั เปน็ นิรนั ดร์ของบรุ ษุ และสตรี
ผูต้ ้งั อยู่ในแนวทางอนั เป็นหน้าที่ ทั้งในยามอย่รู ่วมกนั และในยามพลัดพราก (มานว.9.1)
บรุ ษุ พึงกระทำ� ให้สตรีไมเ่ ป็นตัวของตวั เอง ตลอดท้งั กลางวันและกลางคนื
และจงท�ำใหน้ าง ผตู้ ิดขอ้ งในวสิ ยั ทง้ั หลาย (= รูป รส กลิ่น เสียง สมั ผสั )
อยใู่ นอำ� นาจของตน (มานว. 9.2)
ในวยั เยาว์ บิดาย่อมคมุ้ ครองนาง ในยามสาว สามีย่อมคมุ้ ครองนาง ในยามชรา
บตุ รทงั้ หลายย่อมคมุ้ ครองนาง สตรีไม่ควรแก่การเป็นตวั ของตวั เอง (มานว.9.3)3
จะเหน็ วา่ สตรีนั้นไมม่ ีเสรภี าพตลอดชวี ติ ของนาง นางตอ้ งข้นึ อยู่กับบุรษุ เสมอ ไม่ว่าอยู่ใน
ชว่ งวยั ใดกต็ าม บทบาทของสตรที ส่ี ำ� คญั คอื การเปน็ บตุ รี ภรรยา และมารดา สงิ่ ทสี่ ำ� คญั ทส่ี ดุ ในชวี ติ
ของสตรี คือ การออกเรือนแต่งงาน ถือเป็นหน้าที่ส�ำคัญยิ่งที่ระบุไว้ตามหลักศาสนา บิดาจึงเป็น
ผมู้ หี นา้ ทส่ี ำ� คญั ในการหาคคู่ รองทเ่ี หมาะสม เพอ่ื ใหน้ างไดอ้ อกเรอื นในวยั อนั ควร หาไมแ่ ลว้ บดิ าผนู้ น้ั
จะถกู ตำ� หนิ (มานว.9.4)4 การมบี ตุ รนี นั้ นบั เปน็ ภาระของบดิ ามารดาและไมเ่ ปน็ ทป่ี รารถนานกั ทง้ั น้ี
เพราะบุตรีไม่อาจช่วยบิดามารดาให้มีความสุขได้ทั้งในปรโลกและในการสืบตระกูล เนื่องจาก
เมอ่ื แตง่ งานออกเรอื นไปแลว้ นางจะไปเปน็ สมาชกิ ของตระกลู อนื่ การทบ่ี ดิ ามารดามอบนางพรอ้ มกบั
สินสอดใหฝ้ ่ายชายน้นั เป็นการช่วยให้นางเปน็ ทป่ี รารถนาย่ิงขึ้น แตใ่ นสงั คมปติ าธปิ ไตย ที่บุรษุ เพศ
เป็นใหญ่อย่างสังคมอินเดียโบราณ น่าประหลาดใจว่าไม่มีหลักฐานกล่าวถึงการท้ิงหรือฆ่าทารก
เพศหญงิ แมแ้ ตน่ อ้ ยในวรรณคดโี บราณ ในตระกลู ทด่ี ี ถงึ แมว้ า่ บดิ ามารดาจะผดิ หวงั ทบ่ี ตุ รถี อื กำ� เนดิ มา
ก็ตาม แต่นางกไ็ ด้รับการดูแลเป็นอย่างดีเสมือนกับบตุ ร ถึงแมว้ ่าจะไมม่ ีการกลา่ วถงึ การศึกษาของ
เดก็ หญงิ เลย แตก่ ไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ นางจะไมไ่ ดร้ บั การศกึ ษาใดๆ วรรณคดยี งั กลา่ วถงึ สตรที ไ่ี ดร้ บั
การอบรมศกึ ษาให้เป็นตัวอยา่ งอยู่ (Basham, 1967: 161-163.)
ถงึ แมว้ า่ สตรจี ะไมส่ ามารถเปน็ ตวั ของตวั เองได้ ตอ้ งขนึ้ อยกู่ บั บรุ ษุ เสมอ แตเ่ ปน็ ทนี่ า่ สนใจวา่
ในวฒั นธรรมอนิ เดยี โบราณ มกี ารกลา่ วถงึ รปู แบบของการววิ าห์ ทส่ี ตรมี เี สรภี าพในการเลอื กคคู่ รองอยู่
รูปแบบดังกลา่ ว ได้แก่ คนธรรพวิวาหแ์ ละการสยมุ พร บทความน้ีจะอธบิ ายลกั ษณะการววิ าหท์ งั้
สองประเภท พร้อมยกตัวอย่างจากวรรณคดีสนั สกฤต เป็นตน้ พรอ้ มวเิ คราะห์วา่ สตรใี นอินเดียสมัย
โบราณนัน้ มีเสรีภาพในการเลอื กคคู่ รองของตนได้จริงหรอื ไม่ มีขอ้ จำ� กดั ใด เพ่ือให้เขา้ ใจการสยมุ พร
และคนธรรพววิ าหไ์ ดอ้ ยา่ งถอ่ งแท้ จำ� เปน็ ตอ้ งอธบิ ายลกั ษณะโครงสรา้ งสงั คมอนิ เดยี โบราณ อดุ มคติ
ในการด�ำเนนิ ชีวิตของชาวฮนิ ดแู ต่ละชว่ งวยั โดยเนน้ เรอ่ื งการววิ าห์เสียก่อน

3ปรุ ุษสยฺ สตฺ รฺ ยิ าศไฺ จว ธรฺเม วรตฺ มฺ นิ ติษฺฐโตะ |
สํโยเค วิปรฺ โยเค จ ธรฺมานฺวกฺษยฺ ามิ ศาสฺวตานฺ ||9.1||
อสฺวตนฺตฺราะ สตฺ รฺ ิยะ การยฺ าะ ปรุ ุไษะ ไสฺวรทฺ ิวานศิ มฺ |
วิษเยษุ จ สชฺชนฺตฺยะ สํสถฺ าปยฺ า อาตฺมโน วเศ ||9.2||
ปติ า รกฺษติ เกามาเร ภรฺตา รกฺษติ เยาวเน |
รกษฺ นตฺ ิ สฺถาวิเร ปตุ ฺรา น สฺตรฺ ี สฺวาตนฺตฺรฺยมรฺหติ ||9.3||
4กาเล ‘ทาตา ปติ า ปติ า วาจโฺ ย .... ||9.4||

พลังผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 173

ลักษณะโครงสรา้ งสังคมของชาวอารยนั (Aryan): วรรณะกับความบริสุทธ์ขิ องสายเลือด
ชาวอารยัน เดมิ เปน็ ชนเผ่าเร่ร่อน มีหลายเผ่า สันนษิ ฐานว่า ชนเผ่าอารยนั เดิมมีแหลง่ ที่อยู่

อาศยั ในแถบตอนกลางของทวปี ยโุ รป ตอ่ มาภายหลงั ไดอ้ พยพยา้ ยถน่ิ ฐาน กระจดั กระจายไปทง้ั ทาง
ฝง่ั ตะวนั ตกและตะวนั ออก พวกหนง่ึ ทเ่ี ดนิ ทางมาฝง่ั ตะวนั ออก ขา้ มเทอื กเขาฮนิ ดกู ชู (Hindu Kush)
เขา้ มาต้ังถนิ่ ฐานอยใู่ นแถบตอนบนของชมพทู วีป ตามลมุ่ แม่น้ำ� ส�ำคัญ 5 สาย ที่เรียกว่า ปญั จาบ คอื
ชาวอารยนั ทเ่ี ปน็ บรรพบุรุษของคนอินเดียบางสว่ นในปัจจุบัน

ตอ่ มาภายหลงั ชาวอารยนั ไดแ้ ผข่ ยายอำ� นาจลงมาทางใตจ้ รดเทอื กเขาวนิ ธยั และทางตะวนั ออก
ตามลุม่ แมน่ �้ำคงคาและยมนุ า ดว้ ยความสามารถในการใช้อาวุธ การใช้มา้ และรถศกึ รวมถึงกลยทุ ธ์
ในดา้ นการเมอื งการปกครอง ทำ� ใหช้ าวอารยนั สามารถครอบครองดนิ แดนไดก้ วา่ กงึ่ หนง่ึ ของชมพทู วปี
(Basham, 1967: 29-32)

ในสงั คมของชาวอารยนั ในอนทุ วปี แตเ่ ดมิ นน้ั แบง่ กลมุ่ คนในสงั คมออกเปน็ กลมุ่ ๆ ทเ่ี รยี กวา่
“วรรณะ” ถึงแม้ว่าระบบวรรณะในอินเดียจะเข้มงวดและรุนแรงแม้กระท่ังในยุคปัจจุบัน แต่ระบบ
ทางสงั คมเชน่ นี้ ไมใ่ ชส่ งิ่ ทช่ี าวอารยนั ในอนิ เดยี คดิ ขนึ้ มา หากแตเ่ ปน็ ระบบดง้ั เดมิ ทเ่ี ปน็ ปรากฏการณ์
ทางสงั คมในกลมุ่ ชาวอารยนั กลมุ่ อนื่ ดว้ ย คำ� วา่ “วรรณะ” หมายความตามรปู ศพั ทว์ า่ “ส”ี หรอื “สผี วิ ”
แบง่ เป็น 4 วรรณะหลกั ชอื่ ของวรรณะต่างๆ พบทใ่ี ชใ้ นบทสวดของคัมภีรฤ์ คเวทรุ่นหลงั แล้ว เชน่
คำ� วา่ พฺราหฺมณ (พราหมณ์) หมายถงึ ผปู้ ระกอบพิธี ราชนฺย (ราชันย์) หมายถึง นักรบ นกั ปกครอง
สว่ นค�ำว่า กฺษตรฺ ิย (กษตั รยิ ์) พบทีใ่ ชต้ ้งั แตช่ ้ันคมั ภีรอ์ าถรรพเวทเปน็ ต้นมา ไวศฺย (แพศย)์ หมายถึง
ชาวบา้ นท่วั ไป โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ เกษตรกรและผู้เลย้ี งปศสุ ตั ว์ พบท่ีใชใ้ นคัมภรี ์ยชุรเวท ส่วน ศูทรฺ
(ศทู ร) ซึง่ เดิมน่าจะใช้เรยี กพวกทไ่ี ม่ใชช่ นเผ่าอารยัน ต่อมาถูกผนวกเขา้ มาในสังคมชาวอารยนั ด้วย
จนกลายเป็นชอ่ื วรรณะที่ 4

แรกเรมิ่ เดมิ ที การหา้ มแตง่ งานกบั เครอื ญาตกิ ด็ ี การแตง่ งานระหวา่ งชาวอารยนั และศทู รกด็ ี
ไมไ่ ดถ้ อื เปน็ เรอ่ื งทเ่ี ครง่ ครดั หรอื เปน็ ขอ้ หา้ มซง่ึ มพี น้ื ฐานจากแนวคดิ เรอื่ งความบรสิ ทุ ธข์ิ องคน แตเ่ ปน็
เรอื่ งของการรกั ษาลกั ษณะเดน่ ทางพนั ธกุ รรมและเปน็ เรอื่ งการสงวนอาชพี ในกลมุ่ ของตนเสยี มากกวา่
(Renou and Filliozat, 1947: 374f) ในสมัยหลัง เร่ิมมีการผสมผสานระหว่างชาวอารยันกับ
ชนพ้นื เมอื งมากขนึ้ รวมถึงการแตง่ งานขา้ มวรรณะกนั แนวคิดเรือ่ งความบรสิ ทุ ธแิ์ ละไมบ่ ริสทุ ธข์ิ อง
สายเลือดจึงกลายเป็นแนวคดิ หลักในการจดั ระเบียบทางสังคมของชาวอารยนั ไป

นักมานุษยวิทยาชาวฝร่ังเศส Louis Dumont ต้ังข้อสังเกตว่า ในขณะที่สังคมตะวันตก
มแี นวโนม้ เปน็ สงั คมปจั เจกบคุ คลไปเรอื่ ยๆ แตส่ งั คมอนิ เดยี กลบั เปน็ สงั คมองคร์ วม กลา่ วคอื ชาวอนิ เดยี
มองจกั รวาลและสรรพสง่ิ เปน็ หนงึ่ เดยี ว สงั คมมนษุ ยเ์ ปน็ เพยี งสว่ นหนงึ่ ของระบบทงั้ หมด เพราะสงั คม
ดำ� เนนิ ไปตามกฏสากลจกั รวาล มนษุ ยจ์ งึ มบี ทบาทสำ� คญั ในสงั คม ไมใ่ ชใ่ นลกั ษณะทเ่ี ปน็ ปจั เจกบคุ คล
แตข่ นึ้ อยกู่ บั ชนชน้ั วรรณะ หรอื กลมุ่ ทต่ี นสงั กดั ตามแนวคดิ ของ Dumont การจดั ลำ� ดบั ชนชน้ั มพี น้ื ฐาน
คือแนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ ดังนั้น จึงมีการจัดล�ำดับให้ พราหมณ์เป็นส่วนศีรษะ
ของปุรุษะ ในขณะท่ีศูทร ซึ่งถือว่าเป็นวรรณะไม่บริสุทธ์ิถูกจัดอยู่ท่ีเท้าของปุรุษะ (Harland and
Courtright, 1995: 5)

174 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

เน่ืองจากอุดมคติในการรักษาความบริสุทธิ์ของสายเลือดในกลุ่มชาวอารยันนี้เอง ส่งผลให้
ชาวอารยันตรากฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมาเพ่ือไม่ให้มีการผสมผสานวรรณะกัน หมวดหมู่หนึ่งที่ส�ำคัญ
ในบรรดากฎเกณฑ์เหล่านี้ คอื สว่ นทวี่ า่ ด้วยการแตง่ งาน อนั เปน็ กลไกทางสงั คมทีส่ ำ� คญั ทีช่ ว่ ยให้
เกดิ ความบรสิ ทุ ธขิ์ นึ้ สตรเี ปน็ ตวั แปรทส่ี ำ� คญั อยา่ งยง่ิ และถกู คาดหวงั จากสงั คมวา่ จะตอ้ งเปน็ ผปู้ ระพฤติ
ถูกตอ้ งตามกฎเกณฑ์อยา่ งเครง่ ครัด

ชาวอนิ เดียเหน็ ว่าสถานภาพทางสงั คมและศกั ยภาพของมนุษยน์ ้ัน เป็นส่ิงท่อี ยใู่ นสายเลอื ด
การสบื สายเลือด นบั ทางฝั่งของบิดาเปน็ หลกั สายเลือดเปน็ ส่งิ ทีส่ ืบทอดจากบดิ าสบู่ ตุ ร โดยมารดา
เปน็ เพยี งสอื่ กลางเทา่ นน้ั ความบรสิ ทุ ธข์ิ องวรรณะอยใู่ นสายเลอื ด นอกจากเปน็ สารตั ถะของชวี ติ แลว้
ยงั เชอ่ื กนั วา่ บคุ ลกิ และลกั ษณะของตระกลู กม็ พี นื้ ฐานมาจากความบรสิ ทุ ธทิ์ างสายเลอื ดดว้ ย การแปดเปอ้ื น
มีมลทิน ย่อมเกิดจากการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลที่มีความบริสุทธิ์น้อยกว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง
บิดาวรรณะสูงกว่ากับมารดาวรรณะต�่ำกว่า แม้จะถือว่าเป็นความสัมพันธ์แบบ “อนุโลม” คือ เป็น
แบบที่พอจะยอมรับได้ แต่บุตรท่ีเกิดมาก็จะมีสายเลือดบริสุทธ์ิน้อยกว่าบิดาของตน ลดหล่ันกันไป
ในทางตรงกนั ขา้ ม ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบดิ าวรรณะตำ่� กวา่ กบั มารดาวรรณะสงู กวา่ ถอื วา่ เปน็ ความ
สัมพนั ธแ์ บบ “ปฏโิ ลม” คอื เปน็ แบบท่สี งั คมไม่ยอมรับ ส่งผลให้บุตรนน้ั ถูกกดี กัน ถกู จัดเป็นบุคคล
ชนั้ ตำ่� อยนู่ อกระบบวรรณะ ดงั นนั้ ในการรกั ษาความบรสิ ทุ ธขิ์ องสายเลอื ด มารดาจงึ เปน็ ตวั แปรสำ� คญั
ย่งิ ในการก�ำหนดสถานะในครอบครัวและชนชน้ั ทางสังคม (Harland and Courtright, 1995: 6)

ชาวอินเดยี ตัง้ แตส่ มัยโบราณยดึ ถอื เรอ่ื งวรรณะและหน้าทีท่ ี่ตอ้ งกระทำ� ที่เรยี กว่า “ธรรมะ”
ของแต่ละวรรณะอย่างเคร่งครัด หน้าท่ีเหล่าน้ีนอกจากสัมพันธ์กับเร่ืองของวรรณะแล้วยังสัมพันธ์
กบั เพศสภาพ และช่วงวยั ต่างๆ ในชวี ิต ลำ� ดับต่อไปจะกล่าวถงึ ชว่ งวยั ของชาวอินเดยี โบราณ
“จตุราศรม”: ช่วงวัยอุดมคตขิ องบรุ ษุ แตไ่ มใ่ ชข่ องสตรี

นอกจากแนวคดิ ในการแบ่งคนในสงั คมชาวอารยนั อินเดียออกเปน็ วรรณะแลว้ ชาวอนิ เดยี
ในสมยั โบราณ ยังมแี นวคิดในการก�ำหนดชว่ งวัยและเป้าหมายของชีวติ ทบี่ ุคคลพึงบรรลุ5 พรอ้ มทงั้
ระบหุ นา้ ทต่ี า่ งๆ ทจ่ี ะตอ้ งกระทำ� ในแตล่ ะชว่ งวยั ตามความเหมาะสมดว้ ย ดงั ทไี่ ดก้ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้
ในสงั คมมวี รรณะ 4 วรรณะหลกั แตล่ ะวรรณะกจ็ ะมหี นา้ ทแี่ ตกตา่ งกนั ไป วรรณะ 3 วรรณะแรก ถอื วา่
เปน็ ชาวอารยนั จงึ มสี ทิ ธใิ นการเรยี นคมั ภรี ศ์ กั ดส์ิ ทิ ธิ์ ไดแ้ กค่ มั ภรี พ์ ระเวท เปน็ ตน้ ชนใน 3 วรรณะน้ี
ไดช้ อื่ วา่ “ทวชิ ะ” หรอื “ทวชิ าต”ิ แปลวา่ “ผเู้ กดิ สองหน” กลา่ วคอื เกดิ จากบดิ ามารดาครง้ั หนง่ึ และ
เกิดในฐานะสมาชิกของสังคมชาวอารยันอีกครั้งหน่ึง ด้วยการผ่านพิธีกรรมอันศักด์ิสิทธ์ิ ที่เรียกว่า
อปุ นยั น์ (อปุ นยน) กระทำ� เมอื่ เดก็ ชายถงึ วยั อนั สมควรทจ่ี ะศกึ ษาเลา่ เรยี นพระเวทไดแ้ ลว้ สว่ นวรรณะ
ศูทรและเด็กหญิงนั้นไม่มีสิทธิดังกล่าว หน้าท่ีหลักของวรรณะศูทร คือคอยรับใช้คนในวรรณะอื่นๆ
ดว้ ยความภกั ดเี ทา่ น้นั แนวคดิ เรือ่ ง “จตุราศรม” หรอื “ชว่ งวยั ท้ัง 4” นี้ จงึ เปน็ เรอ่ื งของบรุ ษุ เพศและ
จ�ำกดั ในหมคู่ นวรรณะสงู เท่านน้ั ตามคัมภีร์ธรรมศาสตร์ ชว่ งวยั ทัง้ 4 ดงั น้ี

ก. พรหมจาริน เป็นวยั เรยี น ที่เดก็ ชายจะฝากตวั เปน็ ศิษย์ของครู เพื่อเลา่ เรยี นพระเวทและ
ศิลปวิทยาการ ในวัยน้ี เดก็ จะตอ้ งถอื พรตพรหมจรรย์ ต้ังใจศกึ ษาเล่าเรยี น และคอยรับใช้ครูของตน

5เป้าหมายของชีวิต หรือ “ปุรุษารถะ” ของชาวฮินดูได้แก่ 1. อรรถะ ได้แก่ ทรัพย์สินและส่ิงมีค่าในโลก
2. ธรรมะ ได้แก่ คุณธรรมประจำ� ใจ 3. กามะ ไดแ้ ก่ ความสุขเยย่ี งโลกียวสิ ยั และ 4. โมกษะ ไดแ้ กค่ วามหลุดพ้นจาก
วัฏสงสาร (กรณุ า-เรอื งอุไร กุศลาศยั , 2534: 7-8; Embree, 1988: 209-212)

พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 175

เมอื่ สำ� เรจ็ การศกึ ษา เดก็ จะผา่ นพธิ ี “สนาน” หรอื “การอาบนำ�้ ” เพอ่ื แสดงถงึ การพน้ ชว่ งวยั น้ี ผผู้ า่ น
พธิ นี เี้ รยี กวา่ “สนาตกะ” จะกลบั คนื ส่ตู ระกูลของตน และแตง่ งานในไมช่ า้ เพอื่ เรม่ิ ชว่ งวัยที่สอง

ข. คฤหสั ถ์ เปน็ วัยผูใ้ หญ่ หนมุ่ สาวจะตอ้ งแตง่ งานออกเรอื น เพื่อสร้างครอบครวั มีทายาท
สืบสกุล เพราะการแต่งงานเป็นหน้าท่ีทางศาสนา การแต่งงานมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ได้แก่
การส่งเสริมให้ศาสนามีความรุ่งเรืองด้วยการประกอบพิธีกรรมในครัวเรือน การให้ก�ำเนิดผู้สืบสกุล
ซงึ่ ทำ� ใหบ้ ดิ าและบรรพบรุ ษุ ไดร้ บั ความสขุ ในปรโลกและสายสกลุ จะไมข่ าดลง ลำ� ดบั สดุ ทา้ ย คอื ความสขุ
ในการอภริ มย์รกั (Basham, 1967: 167)

ค. วานปรสั ถ์ เปน็ วยั กลางคน เมอื่ มบี ตุ รชายเพอ่ื สบื สกลุ และสรา้ งความมนั่ คงใหก้ บั ครอบครวั
แล้ว บุรุษจะละท้ิงครอบครัวออกไปเป็นนักพรตในอาศรม ประพฤติกิจกรรมทางศาสนา พยายาม
ละทง้ิ ความติดข้องในวตั ถุ เพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณใหเ้ ปน็ อิสระ

ง. สันยาสนิ เป็นวยั ชรา บุรษุ จะละทงิ้ อาศรมออกเดินทางเร่รอ่ นไปตามทตี่ ่างๆ เพื่อแสวงหา
ความหลดุ พน้ ในทีส่ ดุ (Basham, 1967: 159-160; กรุณา-เรืองอุไร กุศลาศยั , 2534: 7)

จากทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ จะเหน็ วา่ ชว่ งวยั อนั เปน็ อดุ มคตนิ เี้ ปน็ เรอ่ื งของบรุ ษุ เทา่ นนั้ ในความเปน็
จรงิ มีคนเพยี งส่วนนอ้ ยเทา่ นั้น ท่ีสามารถดำ� เนินชีวิตตามอุดมคตินี้ จารตี ในการสละเรอื นออกบวชนี้
ขดั แยง้ ตอ่ สารตั ถะของการแตง่ งาน อนั เปน็ พนั ธะตลอดชพี ของคบู่ า่ วสาว (Harland and Courtright,
1995: 13) ตามจารตี ประเพณแี ตโ่ บราณ กำ� หนดใหส้ ตรมี บี ทบาทสำ� คญั 2 ประการเทา่ นน้ั กลา่ วคอื
“บุตรี” และ “ภรรยา” ช่วงชีวิตบรุ ษุ ทม่ี ี 4 ชว่ งวัยนี้ เปน็ อดุ มคตมิ ากกวา่ ที่จะเปน็ จรงิ ในทางปฏบิ ตั ิ
ในขณะทชี่ ว่ งชวี ติ ของสตรกี ลบั ใกลเ้ คยี งกบั อดุ มคติ ความคาดหวงั ทางสงั คม ซงึ่ กำ� หนดไวใ้ นวรรณคดตี า่ งๆ
มากกวา่ (Harland and Courtright, 1995: 14)

เมอ่ื พิจารณาชว่ งวยั ท้ังบุรุษและสตรีทีก่ ลา่ วมาแล้วขา้ งต้น จะเห็นว่า ชว่ งวยั ท่ีมีความส�ำคญั
ต่อทงั้ สองเพศ ก็คอื ชว่ งวัยท่ี 2 “คฤหัสถ์” ซ่งึ ถือเป็นหน้าทอี่ ันศักดส์ิ ิทธท์ิ างศาสนา ดงั น้นั พิธีกรรม
การแต่งงาน ที่เรียกเป็นภาษาบาลีสันสกฤตว่า “วิวาหะ” นั้น จึงเป็นพิธีที่มีความส�ำคัญอย่างย่ิง
มีความซบั ซอ้ นมากที่สดุ ไมเ่ พยี งแตเ่ ปน็ เรอ่ื งของคบู่ า่ วสาวเทา่ นัน้ แต่เป็นเรือ่ งของสองตระกูลทจ่ี ะ
ต้องกระท�ำร่วมกัน ล�ำดับต่อไปจะกล่าวถึงความส�ำคัญ และรูปแบบของการแต่งงานของอินเดีย
สมยั โบราณ โดยสังเขป
วิวาห์: พิธกี รรมส�ำคัญแหง่ ชีวติ

อดุ มคติ ความเชอื่ การประกอบพธิ กี รรมการแตง่ งานในสงั คมอนิ เดยี มคี วามซบั ซอ้ น แตกตา่ ง
กันไปตามภูมิภาค กลุ่มชน และวรรณะ แต่ทว่า เราสามารถเห็นลักษณะบางประการที่สังคม
ในวัฒนธรรมฮินดูมีร่วมกัน การจัดแจงพิธีแต่งงานจึงเป็นบริบทส�ำคัญในการแยกแยะว่าตระกูล
โคตรและวงศใ์ ดมคี วามเกีย่ วดองกับตระกูล โคตร วงศอ์ ื่นอย่างไร ดว้ ยการแตง่ งานน้ีเอง สถานภาพ
ของครอบครวั จงึ ดำ� รงอยไู่ ด้ จะเขม้ แขง็ ขน้ึ หรอื ออ่ นแอลง การแตง่ งานสามารถสง่ ผลตอ่ คนทง้ั ตระกลู
ดงั นนั้ การมอบหมายใหป้ จั เจกบคุ คลตดั สนิ ใจเรอื่ งการเลอื กคคู่ รองเองจงึ เปน็ สงิ่ ทล่ี อ่ แหลม เสยี่ งเกนิ ไป
การแตง่ งานแบบทม่ี กี ารจดั แจงจงึ เปน็ บรรทดั ฐานของสงั คมอนิ เดยี มากกวา่ (Harland and Courtright,
1995: 5)

176 พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

การแต่งงาน หรอื “ววิ าหะ” (วิวาห)์ เป็นพธิ สี งั สการ6 เดยี วเท่านนั้ ท่ผี หู้ ญิงมีส่วนร่วมโดย
มกี ารทอ่ งมนตรพ์ ระเวท ตา่ งจากพธิ อี นื่ ๆ ทน่ี างอาจมสี ว่ นรว่ มได้ แตไ่ มม่ หี นา้ ทใี่ นการสาธยายมนตร์
ในสมยั หลงั เม่อื การแต่งงานกลายเป็นข้อบังคบั ส�ำหรบั สตรี วา่ จะตอ้ งออกเรือน การแตง่ งานจงึ เทียบ
ได้กบั พธิ อี ปุ นยั น์ หรอื พิธเี รม่ิ การศึกษาของเดก็ ชาย (เสาวภา เจรญิ ขวัญ, 2520: 2)

การแต่งงาน เปน็ พธิ ีสังสการที่สำ� คัญท่ีสุดในบรรดาพธิ สี งั สการของฮนิ ดู ในคฤหยสูตร ซ่ึง
เป็นวรรณคดีสันสกฤตว่าด้วยพิธีกรรมท่ีประกอบในครัวเรือน จะกล่าวถึงพิธีวิวาห์เป็นล�ำดับแรก
เพราะถือวา่ ววิ าหเ์ ปน็ ทงั้ จุดเร่ิมต้นและเป็นศูนย์กลางของพิธกี รรมในครัวเรอื น สงั คมฮนิ ดคู าดหวัง
ว่าสมาชกิ ในสังคมทุกคนตอ้ งแตง่ งานมีครอบครวั เพราะการมที ายาทสบื สกลุ นนั้ ถอื เปน็ หน้าท่ีทาง
ศาสนาอนั ศักดิส์ ิทธ์ิ การแต่งงานนับเปน็ “ยัชญพิธี” อยา่ งหน่ึง ผู้ทไ่ี ม่ไดแ้ ตง่ งาน กเ็ ปน็ ดง่ั ผู้ท่ีไมไ่ ด้
ประกอบยัชญพิธี (อยชฺโญ วา เอษ โย ’ปตฺนกี าะ) บรุ ุษและสตรเี ปน็ ครึง่ หนึง่ ของกนั และกัน หากไม่
ได้แต่งงานแล้วไซร้ ก็นับว่าเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ การแต่งงานจะเป็นหนทางที่จะใช้หนี้หนึ่งในสาม
ประเภท7 ตามความเช่ือของคนฮินดู น่ันคือ หน้ีตอ่ บรรพบรุ ษุ วธิ กี ารกค็ ือการมีบุตรชายเพอื่ สืบสกลุ

การแต่งงานตามหลักศาสนาโดยปกติ บิดามารดาของคู่บ่าวสาวจะเป็นผู้จัดแจง หลังจาก
ปรกึ ษาหารอื และดฤู กษย์ ามทเ่ี ปน็ มงคลแลว้ รวมไปถงึ การดลู กั ษณะคณุ -โทษของรปู ลกั ษณภ์ ายนอก
ดว้ ย คู่บ่าวสาวควรร่วมวรรณะเดียวกนั แต่ต้องตา่ งโคตรและประวระ (หมายถึงสาแหรกของตระกูล)
ถงึ แมว้ า่ หญงิ ควรจะเปน็ สาวรนุ่ แลว้ จงึ สมควรจะแตง่ งาน แตใ่ นคมั ภรี ธ์ รรมศาสตรก์ ลบั ระบวุ า่ เจา้ บา่ ว
ควรมีอายมุ ากกวา่ เจา้ สาวอยา่ งนอ้ ย 12 ปี และเจ้าสาวควรแตง่ งานก่อนทีจ่ ะเขา้ สวู่ ยั สาว คือ ก่อนมี
ระดูเป็นคร้ังแรก ส่วนอายขุ องฝา่ ยชายทีเ่ หมาะสมส�ำหรับการแต่งงาน ไม่มกี ารระบุ วา่ ควรจะกระท�ำ
ก่อนหรือหลังเข้าสู่วัยรุ่น เพียงแต่เป็นอุดมคติว่า การแต่งงานควรกระท�ำภายหลังจากผ่านช่วงวัย
ศึกษา (Basham, 1967: 167-168)

รูปแบบของการแตง่ งานทกี่ ำ� หนดไว้ในคัมภีรธ์ รรมศาสตร์ มีท้งั สิ้น 8 แบบไดแ้ ก่
1. การแตง่ งานแบบพรหม (พรฺ าหมฺ ) เปน็ การแตง่ งาน ทบ่ี ดิ าของฝา่ ยเจา้ สาว ยกบตุ รี

พรอ้ มดว้ ยสินสอดติดตัวฝ่ายหญิงไป ให้แก่ฝ่ายชายที่รู้พระเวท มีการศึกษาและความประพฤติดี
โดยไม่เรยี กรอ้ งส่ิงใดจากฝา่ ยชาย

2. การแตง่ งานแบบเทพ (ไทว) เปน็ การแตง่ งานท่บี ดิ าฝา่ ยเจ้าสาว ยกบุตรขี องตนให้
แกพ่ ราหมณ์ผ้ปู ระกอบพิธีกรรม ถอื เปน็ ค่าทักษิณา หรอื คา่ ตอบแทนในการประกอบพธิ ี

3. การแต่งงานแบบฤษี (อารษฺ ) เปน็ การแตง่ งานท่บี ดิ าฝ่ายเจ้าสาว ยกบตุ รีของตน
ให้แก่ฝ่ายชาย หลังจากท่ีรับวัวผู้-เมีย อย่างละตัวเป็นของก�ำนัล แต่ไม่ถือว่าเป็นการขายบุตรี
นับเป็นสินน�ำ้ ใจและการแสดงความเคารพนับถือ

6พธิ สี งั สการ หมายถงึ ประเพณตี า่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ นบั ตง้ั แตเ่ กดิ จนถงึ ตาย เปน็ พธิ กี รรมทางศาสนาภายนอก
อนั เปน็ สญั ลกั ษณบ์ ง่ บอกถงึ ความบรสิ ทุ ธง์ิ ดงามภายใน หรอื เปน็ พธิ กี รรมทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความบรสิ ทุ ธท์ิ างกายและใจของ
ปัจเจกบุคคล เพ่อื ตกแต่งกระท�ำใหบ้ ุคคลน้นั มีสมาชกิ ภาพในสงั คมอยา่ งสมบูรณ์ (Rajbali Pandey, 1987: 15-16)

7หนที้ ง้ั สามประเภททชี่ าวฮนิ ดเู ชอ่ื กนั วา่ แตล่ ะคนมตี ดิ ตวั และมหี นา้ ทต่ี อ้ งชดใช้ คอื หนต้ี อ่ มหาฤษี (มหรษฺ )ิ หนต้ี อ่
บรรพบรุ ษุ (ปติ ฤ) และหนต้ี อ่ เทวดา (เทว) หนท้ี งั้ สามนม้ี กี ลา่ วถงึ ในมานวธรรมศาสตร์ 4.527, 6.35-7, 94, 9.106-7

พลังผู้หญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 177

4. การแตง่ งานแบบประชาบดี (ปรฺ ชาปต)ิ เปน็ การแตง่ งานทบ่ี ดิ าฝา่ ยเจา้ สาว ยกบตุ รี
ให้ฝา่ ยเจา้ บา่ ว โดยไมม่ ีสนิ สอดติดตัวให้นางและไม่เรยี กรอ้ งส่ิงใดจากฝา่ ยเจ้าบา่ ว ม่งุ ให้แตง่ งานกนั
เพือ่ ปฏิบตั ิกจิ ทางศาสนาเปน็ หลัก

5. การแตง่ งานแบบอสรู (อาสรุ ) เปน็ การแตง่ งานทฝ่ี า่ ยชายจา่ ยทรพั ย์ เพอื่ ซอื้ เจา้ สาว
6. การแตง่ งานแบบคนธรรพ์ (คานธฺ รวฺ ) เปน็ การแตง่ งานดว้ ยความสมคั รใจและตกลง
กนั เองของฝา่ ยเจา้ บา่ วและเจา้ สาว ไมม่ กี ารประกอบพธิ กี รรมใดๆ มจี ดุ มงุ่ หมาย คอื การบรรลคุ วามสขุ
ทางกามารมณ์ (ส�ำหรบั การแต่งงานประเภทน้จี ะกลา่ วอยา่ งละเอยี ดในหวั ข้อต่อไป)
7. การแต่งงานแบบรากษส (รากฺษส) เป็นการแต่งงาน โดยเจ้าบ่าวจับกุม ฉุดคร่า
เจา้ สาว และมกี ารปะทะ ตอ่ สู้กับญาติทางฝา่ ยเจา้ สาว ถงึ ขนาดบาดเจบ็ ลม้ ตาย การแตง่ งานแบบนี้
เรยี กอกี อย่างหนงึ่ วา่ การแตง่ งานแบบกษตั รยิ ์ (กษฺ าตรฺ ) เหมาะสมกบั วรรณะของพวกนักรบ มที ั้ง
กรณที เ่ี จา้ สาวไมย่ นิ ยอมและยนิ ยอม ในกรณที เี่ จา้ สาวยนิ ยอมสมคั รใจ จะเปน็ ลกั ษณะผสมกงึ่ ระหวา่ ง
แบบคนธรรพ์และแบบรากษส
8. การแตง่ งานแบบปิศาจ (ไปศาจ) เป็นการลักลอบกระทำ� การล่วงเกินฝ่ายหญงิ ใน
ขณะท่ีหลับใหล หวาดกลัวจนไม่มีสติ หรือมึนเมา (Basham, 1967: 169; Pandey, 1987: 158-170;
เสาวภา เจรญิ ขวญั , 2520: 49-56)
การววิ าห์ 8 แบบน้ี แมบ้ างประเภทอาจจะเกา่ แก่ สบื ยอ้ นไปจนถงึ ยคุ พระเวทไดก้ ต็ าม แตก่ ็
ไมม่ หี ลกั ฐานปรากฏแนช่ ดั ในยคุ หลงั ทมี่ คี มั ภรี ค์ ฤยสตู รเกดิ ขน้ึ แลว้ ในบางคมั ภรี ์ เชน่ มานวคฤหยสตู ร
และวาราหคฤหยสตู ร เอย่ ถึงเพียง 2 แบบ คอื พราหมะ และ ศุลกะ (เทียบไดก้ บั แบบอสูร) มีเพียง
อาศวลายนคฤหยสตู รเทา่ นนั้ ทกี่ ลา่ วถงึ ทง้ั 8 แบบ ถงึ แมจ้ ะไมม่ กี ารระบไุ วก้ ต็ าม แตม่ ไิ ดห้ มายความวา่ ใน
สงั คมจริงๆ จะไมม่ กี ารวิวาหห์ ลายประเภทดังกลา่ ว ในคัมภีรส์ มฤติแบ่งการวิวาห์ 8 แบบออกเปน็ 2
กล่มุ กลา่ วคอื การวิวาหท์ ่เี ปน็ ทส่ี รรเสรญิ (ปรฺ ศสตฺ ) และ ไมเ่ ปน็ ทีส่ รรเสริญ (อปรฺ ศสฺต) การววิ าห์
แบบ 1-4 เป็นแบบทีส่ รรเสรญิ โดยแบบที่ 1 เป็นแบบท่ีดีทส่ี ดุ (Pandey, 1987: 159)
นอกจากการแตง่ งานทงั้ 8 แบบทกี่ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ ยงั มกี ารแตง่ งานอกี ประเภท ทเี่ รยี กวา่
การสยมุ พร (สฺวยมฺวร) ซงึ่ สมั พนั ธ์กับการแต่งงานแบบคนธรรพ์ เนอ่ื งจากเป็นความสมคั รใจและ
เสรีภาพของสตรี ที่จะเลือกคู่ครองด้วยตนเอง นับว่าเป็นข้อยกเว้นประการหนึ่งของสังคมอินเดีย
โบราณ ทอ่ี นญุ าตใหส้ ตรเี ปน็ ตวั ของตวั เอง ตา่ งจากทกี่ ำ� หนดไวใ้ นคมั ภรี ธ์ รรมศาสตรข์ า้ งตน้ ในลำ� ดบั
ต่อไปจะกล่าวถึงการแต่งงานแบบคนธรรพ์และการสยุมพร เพื่ออภิปรายว่า ที่จริงแล้วสตรีอินเดีย
โบราณมีสิทธิเสรีภาพในการเลอื ก “บุรษุ ” ดว้ ยตนจริงหรือไม่
คนธรรพวิวาหแ์ ละสยุมพร: เสรภี าพของหญงิ ในการเลอื กคูค่ รอง?
คนธรรพววิ าห์
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คนธรรพวิวาห์เป็นการแต่งงานที่ชายหญิงตกลงปลงใจอยู่กินกัน
ฉนั สามภี รรยาเอง โดยไมม่ พี ธิ กี รรมและญาตขิ องทงั้ สองฝา่ ยเขา้ มาเกย่ี วขอ้ ง ตามมตขิ องเคาตมและ
หารตี ธรรมสตู ร คนธรรพววิ าหเ์ ปน็ การแตง่ งานทส่ี ตรเี ลอื กสามดี ว้ ยตนเอง ในขณะทมี่ านวธรรมศาสตร์
กล่าวว่า เป็นการแต่งงานที่คู่บ่าวสาวพบกันตามความสมัครใจ และการตกลงปลงใจครองคู่นั้น
เป็นสงิ่ ทเ่ี กิดจากความรกั (Pandey, 1987: 162)

178 พลงั ผูห้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

การแต่งงานแบบคนธรรพ์นี้ ในพระเวทถือว่าเป็นการแต่งงานธรรมดา ไม่ได้ถูกต�ำหน ิ
หรือไม่เป็นที่ยอมรับแต่อย่างใด แต่กระน้ัน ก็ถือว่าเป็นการวิวาห์โดยลักลอบกระท�ำ ไม่มีพิธีกรรม
เป็นเพยี งความสัมพันธฉ์ นั ชสู้ าว เพ่ือบรรลุความสขุ ทางกาม ดงั นัน้ บรรดาคัมภรี ส์ มฤตติ า่ งๆ จงึ จัด
การแตง่ งานแบบคนธรรพ์ด้อยกว่าการแตง่ งานแบบที่ 1-4 (เสาวภา เจริญขวญั , 2520: 53) คนธรรพ
วิวาห์นี้ ถงึ แม้จะเป็นเพียงความสมั พนั ธ์ฉนั ชสู้ าวของหญิงชายกต็ าม แตก่ เ็ ป็นทอี่ นโุ ลม ยอมรบั ได ้
ในสงั คม แตท่ วา่ กย็ งั มขี อ้ คลางแคลงอยวู่ า่ คนในวรรณะพราหมณจ์ ะไดร้ บั อนญุ าตใหก้ ระทำ� ไดห้ รอื ไม่
ท่ีแน่ๆ วรรณะกษัตริย์และวรรณะที่ต่�ำกว่านั้นสามารถกระท�ำได้แน่นอน (Basham, 1967: 169)
ในบางตำ� รากลา่ ววา่ การวิวาห์แบบน้เี หมาะสมกบั ทุกวรรณะ แม้กระทั่งวรรณะพราหมณ์ และถือวา่
เปน็ แบบทดี่ ที ส่ี ดุ เนอื่ งจากเกดิ จากความรกั ของหนมุ่ สาวอยา่ งแทจ้ รงิ หนมุ่ สาวมเี สรภี าพในการเลอื ก
ค่คู รองอยา่ งเตม็ ที่ (เสาวภา เจรญิ ขวญั , 2520: 54)

ภาพสลักคนธรรพ์และนางอัปสรก�ำลังเหาะ ที่เทวาลัยทุรคา
ประเทศอนิ เดีย (ถา่ ยภาพโดย มจ.สุภทั รดศิ ดศิ กลุ )
(ทมี่ า: ttp://www.era.su.ac.th/supat/slide/SL1012_0865.jpg)

ในสมัยหลังการแต่งงานแบบคนธรรพ์ นิยมกระท�ำกันในหมู่ของวรรณะกษัตริย์เท่าน้ัน
ดงั ตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ ทรี่ จู้ กั เชน่ การววิ าหข์ องทา้ วทษุ ยนั ตก์ บั นางศกนุ ตลาในมหาภารตะ และในบทละคร
เรือ่ งอภชิ ญานศากนุ ตละของกวกี าลิทาส

ในมหาภารตะ ฤษกี รรณวะ บดิ าเลย้ี งของนางศกนุ ตลากลา่ ววา่ “การววิ าหข์ องหญงิ ผมู้ คี วามรกั
กับชายผมู้ คี วามรกั ปานกนั ถือว่าเปน็ สง่ิ ท่ปี ระเสริฐท่ีสดุ (แมจ้ ะ) ไร้มนั ตระกต็ าม (= ไรพ้ ธิ ีกรรม)”8
กระนนั้ ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ กฏเกณฑเ์ รอื่ งวรรณะกย็ งั มคี วามสำ� คญั อยไู่ มน่ อ้ ย แมใ้ นการววิ าหแ์ บบคนธรรพ์
การแต่งงานข้ามวรรณะน้ันไม่เป็นท่ียอมรับ ดังเห็นได้จากเร่ืองอภิชญานศากุนตละในองก์ท่ี 1
ทา้ วทษุ ยนั ตย์ งั ลงั เลทจี่ ะผกู สมคั รรกั ใครก่ บั นางศกนุ ตลาในตอนแรก เนอื่ งจากทรงเหน็ วา่ นางเปน็ ธดิ า
ของฤษี น่ันหมายความว่านางต้องเป็นสตรีในวรรณะพราหมณ์ การแต่งงานแบบปฏิโลมดังท่ี
กลา่ วไว้ข้างต้น จงึ เป็นสิ่งไมเ่ หมาะสม แตเ่ ม่อื พระองค์ทรงทราบชาติกำ� เนดิ ท่แี ทจ้ รงิ ของนาง ว่าเป็น
ธดิ าของฤษวี ศิ วามติ ร ซงึ่ เปน็ คนในวรรณะกษตั รยิ ก์ บั นางอปั สรเมนกา นางจงึ เปน็ คนในวรรณะกษตั รยิ ์

8สกามายาะ สกาเมน นริ มฺ นตฺ รฺ ะ เศรฺ ษฐฺ อจุ ยฺ เต | มหาภารต4.94.60 อา้ งใน (Rajbali Pandey, 1987: 163note 44)

พลงั ผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 179

ดว้ ย ทา้ วทษุ ยนั ตถ์ งึ ไดท้ รงแสดงพระองคแ์ ละทง้ั คไู่ ดเ้ ขา้ ววิ าหแ์ บบคนธรรพใ์ นทสี่ ดุ อาจจะเปน็ ไปไดว้ า่
กวีกาลิทาสประพันธ์เร่ืองนี้อยู่ในวรรณะพราหมณ์และยึดถือกฏเกณฑ์ตามคัมภีร์ธรรมศาสตร์ ท่ีถือ
เร่อื งความบริสุทธขิ์ องวรรณะอย่างเคร่งครัด

การสยุมพร
ค�ำว่า “สยุมพร” (สันสกฤต สฺวยํวร, บาลี สยํวร) ตามพจนานุกรมหมายถึง “การเลือก
ด้วยตนเอง” “การเลือกสวามีของสตรีหรือธิดาของกษัตริย์ท่ามกลางที่ประชุมของผู้ม่ันหมาย”
(Monier-Williams, 1819-1899: 1278) การสยมุ พรเปน็ การแตง่ งานทนี่ อกเหนอื จาก 8 แบบทกี่ ลา่ ว
มาแล้วข้างต้น มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการแต่งงานแบบคนธรรพ์ ซึ่งไม่อาจเกิดข้ึนได ้
หากเจ้าสาวยังไม่เติบโตอยู่ในรุ่นสาว ดังนั้นในสมัยหลัง ที่ก�ำหนดให้เด็กสาวแต่งงานก่อนที่นาง
จะเข้าสู่วัยรุ่น มีระดูเป็นครั้งแรก ตามคัมภีร์ธรรมศาสตร์ ความนิยมในการแต่งงานแบบสยุมพร
จึงหมดไปด้วย (เสาวภา เจริญขวัญ, 2520: 57) จากการศึกษา เสาวภา เจริญขวัญกล่าวว่า
การสยมุ พรมี 2 ประเภท กล่าวคือ แบบธรรมดาทีส่ ุด คอื เมื่อเด็กหญิงเข้าส่วู ัยสาวแลว้ และบดิ าของ
นางยงั หาคคู่ รองทเ่ี หมาะสมใหน้ างไมไ่ ดภ้ ายใน 3 ปี นางมสี ทิ ธใิ นการเลอื กคคู่ รองเอง และการสยมุ พร
ทเี่ จา้ สาวเลอื กสามจี ากการทบ่ี ดิ าหรอื ผปู้ กครองจดั ใหม้ กี ารประลองฝมี อื ในการรบ ผทู้ มี่ คี วามสามารถ
มากทส่ี ุด สามารถพสิ จู นฝ์ ีมือให้เป็นทป่ี ระจกั ษ์ จะไดร้ บั เลือกเป็นคู่ครองของนาง การสยมุ พรแบบน้ี
ปรากฏในวรรณคดีมหากาพย์ ได้แก่ รามายณะและมหาภารตะ ซึ่งเป็นพิธีของราชตระกูลเท่าน้ัน
เนอื่ งจากเปน็ พธิ ีทย่ี ่งิ ใหญ่ และตอ้ งกระท�ำอยา่ งละเอยี ดรอบคอบ (เสาวภา เจริญขวญั , 2520: 58)
พธิ กี ารสยมุ พรนน้ั ไมไ่ ดเ้ ปน็ การชมุ นมุ รน่ื เรงิ ทว่ั ไปและสตรที เี่ ขา้ พธิ สี ยมุ พร กไ็ มไ่ ดม้ เี สรภี าพ
ในการคลอ้ งพวงมาลยั แหง่ ชยั ชนะ (ชยั มาลา) ใหแ้ กช่ ายหนมุ่ ผใู้ ดกต็ ามทน่ี างมใี จประดพิ ทั ธไ์ ดเ้ สมอไป
ผู้ท่ีเข้าร่วมพิธีต้องบรรลุเงื่อนไขในการสยุมพรท่ีต้ังไว้จึงจะได้นางมาครอง การสยุมพร เช่น ของ
นางสดี า เทราปที อมั พา อมั พกิ าและอมั พลกิ า เรยี กวา่ “การสยมุ พรทเ่ี ปน็ การประชนั ความหา้ วหาญ”
(วีรฺยศุลฺก-สฺวยมฺวร) ซึ่งก�ำหนดเงื่อนไขที่ยากล�ำบากยิ่ง เพื่อทดสอบก�ำลัง ความห้าวหาญ และ
ทกั ษะต่างๆ ของผูท้ เ่ี ขา้ ร่วมพธิ สี ยมุ พร ในท�ำนองคล้ายกนั นี้ มกี ารสยมุ พรท่เี รียกว่า “การสยุมพร
ท่ีเป็นการประชันความงาม” (เสานฺทรฺยศุลฺก-สฺวยมฺวร) ซึ่งเจ้าสาวมีเสรีภาพในการเลือกชายหนุ่ม
รปู งามทน่ี างพงึ ใจจากบรรดาผทู้ ม่ี าชมุ นมุ กนั เพอื่ เสนอตวั เปน็ เจา้ บา่ ว ตวั อยา่ ง การสยมุ พรประเภทหลงั
เช่น การสยุมพรของนางทมยันตีและนางอนิ ทุมตี
การสยมุ พร เปน็ วธิ ใี นการเลอื กคคู่ รองเพอื่ ววิ าหท์ ไ่ี มแ่ พรห่ ลายนกั แมก้ ระทงั่ ในสมยั โบราณ
ทจ่ี ะเหน็ แพรห่ ลายอยกู่ เ็ ฉพาะในวรรณะกษตั รยิ เ์ ทา่ นนั้ แตท่ วา่ การววิ าหข์ องกษตั รยิ ก์ ไ็ มใ่ ชก่ ารสยมุ พร
แต่อย่างเดยี ว อย่างเชน่ การแต่งงานของกนษิ ฐภคนิ ีของนางสดี าในรามายณะ หรอื ของนางอุตตรา
ในมหาภารตะกไ็ มใ่ ชว้ ธิ นี ้ี เปน็ การจดั แจงของผปู้ กครองของนาง ยงั ไมป่ รากฏหลกั ฐานอน่ื ใดทแ่ี สดงถงึ
การสยุมพรของชนวรรณะอื่น ถึงแม้ว่าในพิธีสยุมพรของนางเทราปที อรชุน ซ่ึงแปลงมาในรูป
พราหมณ์หนุ่มจะสามารถยิงธนูถูกเป้าก็ตาม และมีสิทธ์ิที่จะวิวาห์กับนางเทราปทีอย่างชอบธรรม
แต่บรรดากษัตริย์ที่มาชุมนุมกัน ณ สภาแห่งน้ัน ต่างก็โห่ร้อง บริภาษถากถาง และกล่าวว่า
การสยุมพรน้ันเป็นเร่ืองของวรรณะกษัตริย์ เม่ือสถานภาพท่ีแท้จริงของอรชุนเปิดเผย การพิพาท
จงึ เป็นอนั สงบลง แต่ในบางกรณี ความบาดหมางเปน็ ศัตรูกนั ในหมกู่ ษัตริย์ที่มาชุมนุมในพิธสี ยมุ พร
เป็นผลท�ำให้เกิดการต่อสู้และการวิวาทอย่างรุนแรง ดังท่ีปรากฏในการสยุมพรของนางสีดาและ

180 พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

เทราปที (Tripathi, 2005: 112) ในหลายกรณี พระราชธิดามิได้ถูกเรียกมาเพ่ือให้เลือกสาม ี
ท่ีนางพอใจ แต่ถกู เรียกมาใหเ้ ปน็ ของก�ำนัลแกก่ ษตั ริย์ ผู้ซ่งึ มฝี ีมอื เหนอื คู่แขง่ ทงั้ หมด ในการทดสอบ
ทกั ษะบางประการทยี่ ากยง่ิ ดว้ ยลกั ษณะเชน่ นเี้ อง การสยมุ พรในสมยั ตอ่ ๆ มา จงึ เปน็ ลกั ษณะการประลอง
ชงิ รางวลั กนั มากกว่า (Wheeler, 1867: 85)

เมอื่ พิจารณาจากวรรณคดพี ุทธศาสนา พบวา่ มเี รือ่ งราวการแต่งงานปรากฏอยู่ 3 แบบ คอื
แบบแรก คอื การแตง่ งานแบบจดั แจงของบดิ ามารดา ตรงกบั การแตง่ งานแบบประชาบดี
ตัวอย่างเช่น การแต่งงานของนางวิสาขา ธิดาของธนัญชัยเศรษฐีกับบุตรชายของมิคารเศรษฐี
(DhA.i.390f.) หรือ การวิวาห์ของเจ้าชายสิทธัตถะ ท่ีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นผู้ทรงจัดแจงเลือก
เจ้าหญิงยโสธรา (สันสกฤต ยโศธรา) โคปา หรอื ที่เรียกอีกชอื่ หน่งึ วา่ ราหุลมาตา ใหต้ บแต่งกบั
เจา้ ชาย (Buddhacarita ii.26), (แสง มนวิทูร, 2512: 634-640), (JA.i.58) เปน็ ต้น
แบบที่ 2 การสยมุ พร พบในชาดกหลายเรื่อง เชน่ กณุ าลชาดก (เรื่องท่ี 536) กล่าวถึงการ
ที่เจ้าหญิงกัณหาเลือกสวามีตามความพอใจของนางถึง 5 คนในคราวเดียวกัน (เร่ืองพ้องกับการ
สยุมพรของนางเทราปทใี นมหาภารตะ) นัจจชาดก (เร่อื งที่ 32) เรอื่ งทา้ วสักกะกับนางสุชาดา ที่อสรู
เวปจติ ติ บดิ าของนางจดั พธิ สี ยมุ พรใหน้ างเลอื กคคู่ รองจากบรรดาอสรู ทเ่ี ชอ้ื เชญิ มา ดว้ ยบพุ เพสนั นวิ าส
นางสุชาดาได้เลือกทา้ วสกั กเทวราช ซึ่งแปลงมาเป็นอสรู เปน็ สวามี (DhA.i.278-279)
แบบท่ี 3 การแต่งงานแบบคนธรรพ์ เช่น เรื่องกัฏฐหาริชาดก (เร่ืองท่ี 7) กล่าวถึง
พระราชาเสด็จประพาสอุทยานและทรงพบกับหญิงสาว จึงได้อภิรมย์รักกับนาง จนนางต้ังครรภ ์
พระราชาจึงพระราชทานแหวนให้นางไว้และสัญญาว่าหากนางคลอดบุตรชาย ให้นางน�ำแหวนมา
แสดงตน จะทรงรับนางและบุตรไว้ในราชส�ำนัก (พ้องกับเรื่องท้าวทุษยันต์และนางศกุนตลาใน
มหาภารตะ) เรอ่ื งของพระเจา้ อเุ ทนกบั นางวาสลุ ทตั ตาในอรรถกถาธรรมบท (DhA.i.198f.) ทพี่ ระเจา้
อเุ ทนและนางวาสลุ ทตั ตาตดั สนิ ใจววิ าหก์ นั และรว่ มใจกนั ขนึ้ ชา้ งทรงหนพี ระเจา้ ปชั โชตไปเมอื งอชุ เชนี
ของพระเจา้ อุเทน เปน็ การวิวาหก์ �ำ้ กึง่ กันระหวา่ งแบบคนธรรพ์และรากษส (Law, 1926: 561-575)
ในวรรณคดีของศาสนาเชน การแต่งงานถือว่าเป็นผลจากกรรมที่เกิดจากราคะ (ความรัก)
และ เทวษะ (โทสะ ความเกลยี ดชงั ) ผา่ นโยคะ (แรงกระตนุ้ ) ทางกาย วาจาและใจ หนมุ่ สาวถกู ลวงลอ่
ให้แต่งงานกันด้วยกรรมเรียกว่า “จาริตโมหนียกรรม” (กรรมซ่ึงลวงล่อความประพฤติ) ในบรรดา
การแตง่ งานทั้งหมด ทงั้ แปดแบบ เชน่ คานธรรวะ รากษสะ อาสุระ เปน็ ตน้ สวยัมวระ หรือ สยุมพร
เปน็ “สนาตนมรรค” (วถิ ที างดงั้ เดมิ /โบราณ) ถอื วา่ เปน็ การแตง่ งานทด่ี ที สี่ ดุ จากตวั อยา่ งการสยมุ พร
จะเห็นว่าเร่ืองของวรรณะไม่ได้มีความเคร่งครัดนัก มีการแต่งงานข้ามวรรณะอยู่หลายกรณี (Jain,
1928: 146-152)
จะเหน็ ไดว้ า่ ในกรณขี องการสยมุ พรนี้ สตรมี ที งั้ เสรภี าพและไมม่ เี สรภี าพในการเลอื กคคู่ รอง
ของนางดว้ ยตนเอง จากตวั อยา่ งทป่ี รากฏ การกำ� หนดเงอ่ื นไขเปน็ เรอ่ื งของบดิ ามากกวา่ ทจ่ี ะเหน็ วา่
เปน็ เสรภี าพของนางโดยแทจ้ รงิ กเ็ หน็ จะเปน็ กรณขี องนางทมยนั ตกี บั พระนลในมหาภารตะ นางเลอื ก
พระนลจากความรัก โดยไม่มีเง่ือนไขใดๆ
การสยมุ พรทม่ี กี ารประลองหลายกรณี ผทู้ ชี่ นะการประลองเปน็ ผทู้ นี่ างตอ้ งใจดว้ ย จงึ ไมเ่ กดิ
การขดั ขนื ของฝา่ ยสตรี เชน่ กรณขี องนางสดี า และนางเทราปที แตใ่ นกรณขี องนางอมั พา ซงึ่ นางหมาย
จะเลือกราชาศาลวะแห่งเสาภะก่อนแล้วในพิธีสยุมพร แต่ภีษมะได้คัดค้านและท้าประลอง ในท่ีสุด

พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน 181

ภษี มะฆา่ ราชาศาลวะตาย และนำ� นางอมั พา พรอ้ มดว้ ยนอ้ งสาวอกี สองคน คอื อมั พกิ า และอมั พลกิ า
ไปยังราชส�ำนักของหัสตินาปุระ โดยที่เดิมทีนางอัมพาไม่มีความเต็มใจแต่น้อย แต่เมื่อภีษมะชนะ
การประลองก�ำลัง นางจึงถูกยกเป็นของก�ำนัลให้แก่ภีษมะไป เรื่องวุ่นวายนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้ง
อยา่ งรุนแรงและเปน็ ชนวนหนึ่งในการเกิดสงครามมหาภารตะ (Smith, 2009: 36-37)
บทสรุป

บทบาทของสตรอี นิ เดยี สมยั โบราณ มคี วามสำ� คญั ไมน่ อ้ ย เพราะเปน็ ตวั แปรสำ� คญั ในการรกั ษา
หรอื ทำ� ลายความบริสทุ ธิ์ของตระกูล เปน็ ปจั จัยทีจ่ ะท�ำให้ตระกลู ของสามสี บื ตอ่ ไปได้ ด้วยเหตนุ จี้ ึงมี
กฎเกณฑ์ข้อบังคับมากมายตราข้ึนมา เพื่อรักษาให้สตรีมีความประพฤติที่เรียบร้อย ยิ่งในสมัยหลัง
กฎเกณฑเ์ หลา่ นน้ั มคี วามซบั ซอ้ นมากยง่ิ ขน้ึ จนกระทงั่ เปน็ การจำ� กดั ลดิ รอนเสรภี าพของสตรใี นทสี่ ดุ
เม่ือเปรียบเทียบกับสตรีในสมัยพระเวทและสมัยมหากาพย์แล้ว สตรีในสมัยหลังไม่สามารถเป็นตัว
ของตวั เอง ไมม่ อี สิ รภาพและเสรภี าพ แมก้ ระทงั่ เรอ่ื งของความรกั แตเ่ ปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ ในวรรรณคดี
สนั สกฤตกด็ ี วรรณคดีพทุ ธศาสนา หรือ วรรณคดีศาสนาเชนก็ดี วรรณะกษตั ริยเ์ ปน็ วรรณะยกเว้น
เพราะมรี ปู แบบความประพฤติ ขนบธรรมเนยี มและจารตี ประเพณที ต่ี า่ งออกไปจากวรรณะพราหมณ์
และวรรณะอื่นๆ สตรีในวรรณะกษัตริย์ โดยเฉพาะในยุคมหากาพย์ มีความกล้าหาญ มีสิทธิและ
เสรีภาพ ในหลายเรื่องด้วยกัน รวมถึงเรื่องของการเลือกคู่ นางสามารถปลงใจเลือกชายคนรัก
ดว้ ยการแตง่ งานแบบคนธรรพแ์ ละการสยมุ พร การแตง่ งานทง้ั สองลกั ษณะนี้ แมจ้ ะมขี อ้ ความทก่ี ลา่ ว
ว่าเหมาะสมกบั ทกุ วรรณะก็จริง แตเ่ ราจะเห็นวา่ คนในวรรณะกษตั รยิ เ์ ลอื กวธิ แี ตง่ งานแบบน้ไี ม่น้อย

อยา่ งไรกด็ ี ในกรณขี องการสยมุ พร สตรไี มไ่ ดม้ เี สรภี าพอยา่ งแทจ้ รงิ หากแตอ่ ยใู่ นฐานะ
ของรางวัลในการประลอง เน่ืองจากการสยุมพรน้ัน บิดาของนางเป็นผู้จัดแจงและมักตั้ง
เงอื่ นไขทย่ี ากลำ� บาก สนั นษิ ฐานวา่ ทง้ั นกี้ เ็ พอื่ ใหน้ างไดค้ คู่ รองทแี่ ขง็ แกรง่ ทส่ี ดุ มคี วามสามารถ
มากท่ีสุดในบรรดากษัตริย์ ราชาผู้ที่เข้าร่วมการประลอง การท่ีเป็นเช่นน้ี ก็เพราะบิดา
ต้องการเลือกผู้ที่เหมาะสม ซึ่งสามารถคุ้มครองดูแลนางได้ต่อจากตนเอง เป็นการเปล่ียน
ผูค้ ้มุ ครองนางจากช่วงวยั แรก คือ วัยเยาว์ ไปสมู่ อื ผู้คมุ้ ครองนางในชว่ งวัยทีส่ อง คือ วัยสาว
แตห่ ากมองในประเด็นของการเมอื งการปกครองแล้ว ผู้เขียนเห็นว่า การที่บุตรีของกษัตริย์
ผู้หน่ึงได้แต่งงานกับกษัตริย์ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในการประลองในพิธีสยุมพร ที่มีกษัตริย์
มากมายมาชมุ นมุ กนั ยอ่ มเปน็ การเสรมิ สรา้ งความแขง็ แกรง่ ของอาณาจกั รของบดิ าฝา่ ยหญงิ
เอง เป็นการสร้างพันธมิตรทางการเมืองการปกครอง และการทหาร ทั้งยังเป็นที่ย�ำเกรง
ของแว่นแคว้นอื่นด้วยจากการเชื่อมสัมพันธ์ทางการเมืองผ่านการแต่งงาน กรณีนี้สามารถ
เทยี บเคียงได้กับเหตุการณใ์ นประวตั ศิ าสตร์ของไทยหลายกรณี

182 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

บรรณานุกรม
กรณุ า-เรอื งอไุ ร กศุ ลาสยั . อนิ เดยี อนทุ วปี ทนี่ า่ ทง่ึ . พมิ พค์ รงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั พมิ พศ์ ยาม, 2538.
จ�ำนงค์ ทองประเสรฐิ (แปล). บ่อเกดิ ลทั ธปิ ระเพณีอนิ เดยี เลม่ 1 ภาค 1-4. พิมพ์ครั้งท่ี 3. กรงุ เทพฯ:
ราชบณั ฑิตยสถาน, 2556.
วาสนา ไอยรารตั น.์ สทิ ธแิ ละหนา้ ทข่ี องสตรใี นวรรณกรรมสนั สฤตทว่ี า่ ดว้ ยธรรมศาสตร.์ วทิ ยานพิ นธ ์
อักษรศาสตรมหาบณั ฑติ : จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2522.
แสง มนวิทูร (แปล). คัมภรี ์ลลติ วิสตระ. กรุงเทพฯ : กรมศลิ ปากร. 2512.
เสาวภา เจริญขวัญ. ประเพณีการแต่งงานของอินเดียในสมัยพระเวท. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร
มหาบัณฑิต : จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2520.
Ainslie, T. Embree (ed. & revised) Sources of Indian Tradition volume I (second edition).
New York: Columbia University Press, 1988.
Basham, A. L. The Wonder That Was India. London: Sidwick and Jackson, 1967.
Doniger, Wendy and Smith, B. K. (trans.) The Laws of Manu. London: Penguin Books, 1991.
Harland, Lindsey and Courtright, Paul B. (eds.) From the Margins of Hindu Marriage:
Essays on Gender, Religion, and Culture. London: Oxford University Press, 1995.
Jain, Kamta Prasad. “Marriage in Jain Literature” in The Indian Historical Quarterly,
Volume 4 Issue 3-4. Calcutta: Calcutta Oriental Press, 1928.
Johnston, E. H. (ed. & trans.) The Buddhacarita or Acts of the Buddha (reprint). Delhi:
Motilal Banarsidass, 1995.
Law, Bimala Churn. “Marriage in Buddhist Literature” in The Indian Historical Quarterly,
Volume 2 Issue 3. Calcutta: Calcutta Oriental Press, 1926.
Monier-Williams, Monier, Sir. Sanskrit-English Dictionary. London: Oxford Clarendon
Press, 1819-1899
Pandey, Rajbali. Hindusamkāra (reprint). Delhi: Motilal Banarsidass, 1987.
Renou, Louis, et Filliozat, Jean. L'Inde Classique (Manuel des Etudes Indiennes) Tome
I. Paris: Payot, 1947.
Shastri, J. L. (ed.) Manusmṛti with the Sanskrit Commentary Manvartha-Muktāvalī
(reprint). Delhi: Motilal Banarsidas, 2010.
Smith, John. D, The Mahābhārata. London: Penguin Classic, 2009.
Tripathi, Candrabali. The Evolution of Ideals of Womanhood in Indian Society. Delhi:
Kalpaz Publication, 2005.
Wheeler, James Talboys. The History of India from the Earliest Ages: The Vedic Period
and the Mahabharata, Vol. one. London: N. Trübner & Co., 1867.

พลงั สาวกิ าในพระพทุ ธศาสนา
จากมมุ มองพระไตรปิฎก

อาจารย์ ดร.สมพรนุช ตนั ศรสี ุข

สาขาวชิ าภาษาบาลแี ละสนั สกฤต คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั

บทนำ�
ค�ำว่า สาวิกา ในพระไตรปฎิ ก และคัมภรี ์พระพทุ ธศาสนาเปน็ คำ� นามในภาษาบาลที ่ีใชเ้ รียก

ผหู้ ญงิ ทป่ี ระกาศตนเปน็ สาวกของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั ทเ่ี ปน็ นกั บวชซง่ึ เรยี กวา่ ภกิ ษณุ ี และไมเ่ ปน็ นกั บวช
ซึง่ เรยี กว่า อุบาสกิ า

ค�ำว่า สาวิกา นี้เป็นค�ำนามเพศหญิง1 ของค�ำว่า สาวก ค�ำนามเพศชาย ซ่ึงใช้เรียกผู้ชาย
ทป่ี ระกาศตนเปน็ สาวกของพระพทุ ธเจา้ ตามรปู ศพั ท์ หมายถงึ ผฟู้ งั ทเี่ ปน็ ชาย ทง้ั สาวก และสาวกิ า
เปน็ คำ� นามศพั ทท์ เ่ี กดิ ขน้ึ เนอ่ื งมาจากการฟงั เปน็ วธิ กี ารศกึ ษาเรยี นรใู้ นสมยั นนั้ บคุ คลทไ่ี ดช้ อื่ วา่ เปน็
ผฟู้ งั คอื นกั ศกึ ษาผซู้ ง่ึ แสดงตวั วา่ ตนเปน็ ศษิ ยข์ องบคุ คลทเี่ รยี กวา่ สตถฺ า ซงึ่ แปลวา่ ศาสดา หรอื ผสู้ อน
การเป็นนักศึกษาหรือเป็นศิษย์นี้มิใช่การฟังเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจเหมือนการเรียนรู้ในสมัย
ปจั จบุ นั หากแตเ่ ปน็ การเรยี นรฝู้ กึ ฝนทง้ั กาย ใจ เพอ่ื เปลย่ี นโลกทศั นต์ ามคำ� สอนของศาสดาของตนนน้ั
เพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายทางจติ วญิ ญาณซง่ึ ศาสดาไดช้ ท้ี างและวางหลกั ไว้ (สมพรนชุ ตนั ศรสี ขุ , 2550: 12)

การทค่ี มั ภรี ส์ ำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนาปรากฏคำ� วา่ สาวกิ า เชน่ เดยี วกบั คำ� วา่ สาวกในฐานะ
ผศู้ กึ ษาคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ยอ่ มแสดงวา่ ผหู้ ญงิ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของพทุ ธบรษิ ทั ถงึ แมว้ า่ วฒั นธรรม
ในสมยั นน้ั จะไมเ่ ออ้ื อำ� นวยใหผ้ หู้ ญงิ ไดแ้ สดงออกทางความคดิ หรอื เปน็ ตวั ของตวั เองมากนกั แตเ่ รอื่ งราว
ของผู้หญิงในพระพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกคัมภีร์ส�ำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งได้สืบทอดโดย
ประเพณีของพระภิกษุสงฆ์มาตลอด 2,500 กว่าปี กลับสะท้อนให้เห็นถึงพลังศรัทธาและปัญญา
อันแก่กล้าของผ้หู ญิงทแ่ี สดงออกมาอย่างชัดเจน

1ภาษาบาลี เป็นภาษาที่ค�ำนามมีเพศ (Gender) ค�ำนามศัพท์ค�ำหนึ่งอาจมีเพศใดเพศหนึ่ง ได้แก่ เพศชาย
(Masculine) เพศหญิง (Feminine) และเพศกลาง(Neutral) โดยอาจก�ำหนดเพศตามเพศของบุคคลสง่ิ ของนน้ั
จริงๆ เชน่ ภกิ ขฺ ุ “พระภิกษ”ุ สาวก “ผฟู้ งั ท่เี ป็นชาย” เพศชาย ภิกฺขนุ ี “พระภกิ ษุณี” สาวกิ า “ผฟู้ งั ทีเ่ ป็นหญิง”
เพศหญิง หรือสมมติเอาตามทัศนะที่ภาษาน้ันๆ มีต่อธรรมชาติก็ได้ เช่น สุริย “พระอาทิตย์” เพศชาย จนฺท
“พระจนั ทร์” เพศชาย หรืออาจจะไม่เก่ยี วขอ้ งกบั เพศของสง่ิ นน้ั เลยก็ได ้ แต่เพศก�ำหนดตามเสยี งสระทา้ ยคำ� เชน่
ทาร “เมีย” เป็นค�ำนามเพศชาย แต่ เทวตา “หมูแ่ หง่ เทวะ” เป็นค�ำนามเพศหญงิ

184 พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

เรื่องผู้หญิงกับพระพุทธศาสนาเป็นประเด็นทางวิชาการที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง
เนอ่ื งจากปจั จบุ นั มขี อ้ ถกเถยี งเกย่ี วกบั สถานะของผหู้ ญงิ ในมมุ มองของพระพทุ ธศาสนาจากขอ้ ความ
ที่ขัดแย้งกันหลายแห่งในพระไตรปิฎก จึงเกิดค�ำถามส�ำคัญว่าแท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าทรงมีท่าที
อยา่ งไรตอ่ ผหู้ ญงิ คำ� ถามนเ้ี ปน็ ไปตามแนวคดิ ของกลมุ่ สตรนี ยิ ม (Feminism) ซง่ึ สนใจศกึ ษาเกยี่ วกบั
สถานะของผหู้ ญงิ ในวฒั นธรรมตา่ งๆ ท่วั โลก ในระดบั สากล ดังเชน่ Rita Gross ซึง่ เปน็ นกั วชิ าการ
พระพทุ ธศาสนาตามแนวทางสตรนี ยิ มเขยี นหนงั สอื เรอ่ื ง Buddhism after Patriarchy: A Feminist
History, Analysis, and Reconstruction of Buddhism (1993)2 ในประเทศไทยมภี กิ ษณุ ธี รรมนนั ทา
หรือรองศาสตราจารย์ ดร. ฉัตรสมุ าลย์ กบลิ สงิ ห์ ซงึ่ สนใจเรื่องภกิ ษุณีในพระพุทธศาสนา ทา่ นเปน็
นักวิชาการไทยคนแรกๆ ที่ได้ค้นคว้าวิจัยและเขียนหนังสือเก่ียวกับประเด็นดังกล่าวไว้จ�ำนวนมาก
นอกจากนย้ี งั มลี กั ษณว์ ตั ปาละรตั น ์ ไดน้ ำ� วทิ ยานพิ นธเ์ มอื่ ปกี ารศกึ ษา 2523 นำ� มาจดั พมิ พเ์ ปน็ หนงั สอื
เรอื่ งสตรใี นมมุ มองของพทุ ธปรชั ญา (2545) พระภกิ ษแุ ละนกั วชิ าการอน่ื ๆ เชน่ สมภาร พรมทา เขียน
บทความวิชาการเรื่อง สตรีในทัศนะพุทธศาสนา (2537) พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ให้สมั ภาษณเ์ รื่อง ทศั นะของพระพทุ ธศาสนาต่อสตรแี ละการบวชเปน็ ภิกษณุ ี ในปี 2541) และแสดง
ธรรมกถาเรอ่ื งปัญหาภกิ ษณุ ี บททดสอบสงั คมไทย ในปี 2544 ต่อมาไดต้ พี ิมพเ์ ผยแพร่เป็นหนงั สอื
พระศรปี รยิ ตั โิ มลี (สมชัย กุศลจิตฺโต) หนงั สอื เร่ือง สตรีในพระพุทธศาสนา (2541) ซง่ึ รวบรวมข้อคิด
เกยี่ วกบั ปญั หาสตรใี นพระพทุ ธศาสนาในแงม่ มุ ตา่ งๆ มนตร ี สริ ะโรจนานนั ท์ เปน็ อกี คนทค่ี น้ ควา้ ขอ้ มลู
และเขียนเป็นต�ำราเร่ือง สตรีในพระพุทธศาสนา (2557)

นอกจากงานวจิ ยั แลว้ ยงั มนี กั วชิ าการและผรู้ อู้ กี หลายทา่ นถา่ ยทอดเรอ่ื งราวของพทุ ธสาวกิ า
เพอ่ื เปน็ แบบอยา่ งแกช่ าวพทุ ธรนุ่ หลงั เชน่ ลลี ากรรมของสตรสี มยั พทุ ธกาล (2525) ของ วศนิ อนิ ทสระ,
สตรใี นวรรณคดพี ทุ ธศาสนา (2535) ของเรอื งอไุ ร กศุ ลาสยั , ภกิ ษณุ :ี พทุ ธสาวกิ าครงั้ พทุ ธกาล (2539)
ของ บรรจบ บรรณรจุ ,ิ สตรใี นพทุ ธกาล (2539) และหญงิ เกง่ ในดงขมนิ้ (2545) ของภกิ ษณุ ี ธรรม
นันทา เป็นต้น

ภิกษุณีธรรมนันทา ช่ือเดิมของท่านคือ
ดร.ฉตั รสมุ าลย์ กบลิ สงิ ห์ ภกิ ษณุ ชี าวไทย
สงั กัดสยามนกิ าย ประเทศศรีลังกา
(ทมี่ า: https://th.wikipedia.org/wiki/
ภิกษุณธี รรมนนั ทา)

2แปลเปน็ ไทยวา่ พระพทุ ธศาสนาหลงั ปติ าธปิ ไตย: ประวตั ศิ าสตรผ์ หู้ ญงิ การวเิ คราะห์ และการทบทวนพระพทุ ธศาสนา
(แปลช่ือโดยหนังสอื โดยบรรณาธกิ าร)

พลังผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 185

จากทกี่ ลา่ วมาทงั้ หมด บทความนมี้ ไิ ดม้ งุ่ เนน้ การคน้ ควา้ เพอื่ ตอบคำ� ถามเกยี่ วกบั สถานะหรอื
เล่าเร่ืองราวของสตรีในพระพุทธศาสนาเหมือนงานวิชาการอ่ืนๆ หากแต่ต้องการแสดงให้เห็นพลัง
ศรทั ธาและปญั ญาของผหู้ ญงิ จากเรอ่ื งราวของพทุ ธสาวกิ าทบ่ี นั ทกึ ไวใ้ นพระไตรปฎิ ก ผเู้ ขยี นเรมิ่ ตน้
โดยกลา่ วถงึ วฒั นธรรมชายเปน็ ใหญซ่ ง่ึ มผี ลกระทบตอ่ ประเพณกี ารศกึ ษาสบื ทอดคำ� สอนในพระพทุ ธ
ศาสนา จากนน้ั จะวเิ คราะหบ์ ทบาทสำ� คญั ของผหู้ ญงิ ในพระพทุ ธศาสนาทสี่ ะทอ้ นผา่ นพระไตรปฎิ ก
วัฒนธรรมชายเปน็ ใหญใ่ นประเพณกี ารศกึ ษาสบื ทอดพระไตรปิฎก

พระพทุ ธศาสนาอบุ ตั ขิ น้ึ ในสงั คมอนิ เดยี โบราณ ซง่ึ ในสมยั นนั้ ถอื วา่ ชายเปน็ เพศทสี่ ำ� คญั กวา่
เพศหญิงในทุกๆ ด้าน คัมภีร์ส�ำคัญในลัทธิศาสนาต่างๆ วางหลักจริยธรรมของสตรีไปในทิศทาง
เดยี วกนั กลา่ วคอื ผหู้ ญงิ เปรยี บเสมอื นเปน็ สง่ิ ของทผ่ี ชู้ ายครอบครอง เปน็ ผทู้ ำ� หนา้ ทเ่ี ลยี้ งดบู ตุ รหลาน
ดูแลบ้านและการปรนนบิ ตั ิสาม ี จนมีคำ� กลา่ วว่า ผหู้ ญงิ เมือ่ เปน็ วยั ร่นุ ตอ้ งอย่ใู นความปกครองของ
บิดา เมือ่ ออกจากเรอื นแตง่ งานตอ้ งอย่ใู นโอวาทของสามี เมอื่ สามตี าย อยกู่ บั บตุ ร กอ็ ยูใ่ นความดูแล
ของบุตร (ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์, 2539: 36) การศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับผู้หญิงในอินเดียโบราณ
จงึ หลกี เลย่ี งไม่ได้ท่ีจะต้องเผชิญกับอคติต่างๆท่ผี ชู้ ายมีตอ่ ผู้หญิง

พระไตรปฏิ กของไทยบนั ทกึ ไวบ้ นใบลาน (ทีม่ า: http://www.bugforex.com/วิธสี วดยอดพระกัณฑพ์ ระไ/)

พระไตรปฎิ กบาลี เปน็ ผลผลติ หนง่ึ จากประเพณกี ารศกึ ษาสบื ทอดคำ� สอนของพระภกิ ษสุ งฆ์
กลมุ่ ตา่ งๆ ทง้ั นเี้ นอื่ งมาจากบทบาทของผชู้ ายในฐานะเปน็ ผนู้ ำ� ทางจติ วญิ ญาณและการใหค้ วามรสู้ ำ� คญั
โดยเรมิ่ ตน้ จากการทช่ี ายหนมุ่ โดยทวั่ ไปไดร้ บั การศกึ ษาพระเวทตามประเพณขี องครอบครวั เมอื่ เขา้
มาบวชเปน็ พระภกิ ษ ุ ไดศ้ กึ ษาคำ� สอนและปฏบิ ตั ธิ รรมกบั พระพทุ ธเจา้ และอาจารยข์ องตนจนกระทง่ั
บรรลธุ รรม จงึ มคี วามสามารถในการทรงจำ� และถา่ ยทอดคำ� สอนโดยใชว้ ิธกี ารทค่ี ุน้ เคย ดว้ ยเหตนุ ้ี
พระภิกษุหลายรูปที่มีพื้นเพมาจากวรรณะพราหมณ์หลายท่านได้เป็นพระอุปัชฌาย์ หัวหน้าคณะ
พระภิกษุ ตัวอย่างเช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัจจายนะ ผลงานการสอนธรรม
ของท่านทกี่ ลา่ วถึงน้มี บี นั ทึกอยู่ในพระสตุ ตนั ตปิฎกดว้ ย แสดงให้เหน็ ว่า ท่านน่าจะมีบทบาทส�ำคญั
ในการสอนพระภกิ ษจุ �ำนวนมากซ่ึงตอ่ มาได้เปน็ อุปชั ฌาย์อาจารยส์ อนพระภิกษรุ นุ่ ตอ่ ๆ ไป

นอกจากการสอนในคณะพระภิกษุสงฆ์แล้ว พระภิกษุที่มีความสามารถบางท่านยังได้รับ
มอบหมายใหแ้ สดงพระปาฏโิ มกขแ์ ละคำ� สอนตา่ งๆแกพ่ ระภกิ ษณุ ดี ว้ ย ตามครธุ รรมขอ้ หนง่ึ ทกี่ ำ� หนด

186 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

ให้พระภิกษุณีถามอุโบสถและรับโอวาทจากพระภิกษุสงฆ์ทุกๆ กึ่งเดือน ค�ำสอนต่างๆ ท่ีเป็นทั้ง
ใจความและพลความทรี่ วบรวมอยใู่ นพระไตรปฎิ กจงึ มหี ลากหลาย ทง้ั ทม่ี ลี กั ษณะดหู มน่ิ ผหู้ ญงิ ยกยอ่ ง
ผู้หญิง และแสดงความเทา่ เทยี มกนั ระหว่างผ้ชู ายผหู้ ญิง (มนตรี สริ ะโรจนานันท,์ 2557: 3-11) ขน้ึ
อยู่กับบริบทของค�ำสอนนั้นๆ ว่าเป็นค�ำสอนที่แสดงแก่ใคร ถ้าเป็นค�ำสอนท่ีแสดงแก่ภิกษุอาจมี
ส�ำเนียงดูหม่ินผู้หญิง เพ่ือให้เกิดความสังเวชและสละออกจากราคะ แต่ถ้าเป็นค�ำสอนท่ีแสดงแก่
อบุ าสกอบุ าสกิ าอาจมนี ำ้� เสยี งยกยอ่ ง ใหก้ ำ� ลงั ใจ สนบั สนนุ ผหู้ ญงิ ทท่ี ำ� หนา้ ทขี่ องตนตามครรลองธรรม
เปน็ ตน้ (มนตร ี สริ ะโรจนานันท์, 2557: 20)

นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาพยายามวิเคราะห์จุดยืนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับสตรีจาก
คำ� สอนทห่ี ลากหลายในคมั ภีรส์ ำ� คญั นั้น และอธบิ ายสาเหตุ โดยท่ัวไป เรามกั เขา้ ใจวา่ ค�ำสอนต่างๆ
ในคัมภีร์ทางศาสนาควรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะเป็นส่ิงท่ีสร้างสรรค์โดยคนๆเดียวกันคือ
พระศาสดา หรอื อยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ ตอ้ งมที ม่ี าจากแหลง่ ความคดิ เดยี วกนั คอื เหลา่ ลกู ศษิ ยใ์ นสำ� นกั ทเ่ี รยี น
รคู้ ำ� สอนของพระศาสดา ฉะนน้ั ทา่ ทดี หู มน่ิ ตอ่ ผหู้ ญงิ นา่ จะมสี าเหต ุ เชน่ มกี ารแทรกขอ้ ความใหมๆ่
ในระหว่างการสืบทอดค�ำสอน เนื่องมาจากตอ้ งการก�ำจดั ภกิ ษุณีสงฆ์ (เมตตานนโฺ ทภกิ ฺขุ, 2545: 147
อา้ งใน มนตร ี สริ ะโรจนานนั ท์, 2557: 12) เป็นคำ� สอนทีอ่ งิ วถิ ีชีวิตในยุคนน้ั ซ่ึงใหค้ วามส�ำคญั กบั
ผชู้ าย (ขอ้ ความประจกั ษ)์ หรอื เปน็ ขอ้ ความสมมตทิ างโลก (โลกยิ ะ) (สมภาร พรมทา, 2537: 45-46,
ภกิ ษณุ ธี มั มนนั ทา 2547: 15 อา้ งใน มนตร ี สริ ะโรจนานนั ท์ 2557: 13) หรอื อาจจะมาจากอคตทิ แ่ี ตกต่าง
กันของผู้รวบรวมและสืบทอดค�ำสอนซึง่ เป็นพระภกิ ษุ (ภิกษุณธี มั มนันทา, 2541, 2547: 15, 14 อ้าง
ใน มนตรี สิระโรจนานันท,์ 2557: 15)

อยา่ งไรกต็ าม นกั วชิ าการสว่ นใหญย่ งั ไมส่ ามารถแสดงความเหน็ ในทศิ ทางเดยี วกนั ได้ เนอ่ื งจาก
มุมมองของแต่ละท่านที่มีต่อการเกิดข้ึนของพระไตรปิฎกแตกต่างกัน นักวิชาการหัวก้าวหน้ามักจะ
กลา้ แสดงความคดิ วา่ คัมภรี บ์ างส่วนในพระไตรปิฎกไมใ่ ช่ผลงานของพระพุทธเจ้าโดยตรง ขอ้ ความ
ทม่ี ที า่ ทแี ตกตา่ งจากคำ� สอนโลกตุ ตระหรอื สจั ธรรมนา่ จะมาจากการสอดแทรกไปในภายหลงั โดยบคุ คล
อนื่ ที่มีอคติตอ่ ผู้หญิง ในขณะท่นี ักวชิ าการหวั อนุรักษ์นยิ มแม้จะไมเ่ ห็นดว้ ยกบั ทา่ ทขี องนกั วิชาการ
หวั กา้ วหนา้ แต่กไ็ ม่สรปุ ถึงสาเหตุทที่ �ำใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งนั้น

ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ ขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ ของนกั วชิ าการทย่ี กมาขา้ งตน้ สว่ นใหญย่ งั ไมห่ นกั แนน่
เพยี งพอประกอบดว้ ยอคตบิ างประการของนกั วชิ าการเอง แมไ้ มม่ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในขอ้ สรปุ กย็ งั พบวา่
ยากท่ีจะตดั สินทา่ ทที ี่แทจ้ รงิ ของพระพุทธศาสนาต่อผู้หญิงได ้ (สมภาร พรมทา, 2537: 43) อย่างไร
กต็ าม ขอ้ เทจ็ จรงิ ทน่ี กั วชิ าการจำ� ตอ้ งยอมรบั คอื พระไตรปฎิ กเปน็ ผลงานของพระภกิ ษสุ งฆ์ เรอื่ งราว
ของภกิ ษณุ แี ละอบุ าสกิ าทป่ี รากฏอยใู่ นสว่ นตา่ งๆ ของพระไตรปฎิ กจงึ แสดงถงึ การยอมรบั ความสามารถ
ของผหู้ ญงิ ซงึ่ จะตอ้ งมคี วามโดดเดน่ ควรคา่ แกก่ ารเลา่ เรยี นทรงจำ� ในพระพทุ ธศาสนาสบื ตอ่ มาถงึ ปจั จบุ นั
แหลง่ ค้นควา้ เรื่องของสาวกิ าในพระไตรปิฎก

หากเทยี บกบั ขนาดของพระไตรปฎิ ก3 ฉบบั พมิ พใ์ นประเทศไทยซงึ่ มจี ำ� นวน 45 เลม่ กลา่ วไดว้ า่
ค�ำสอนท่ีกล่าวถึงผู้หญิงมีไม่มากนัก แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงในพระไตรปิฎกมาจากส่วนต่างๆ

3พระไตรปิฎกแบ่งเป็น 3 หมวดตามลักษณะของเนื้อหาได้แก่ พระวินัยปิฎก ว่าด้วยสิกขาบทของพระสงฆ ์
พระสตุ ตันตปิฎก ว่าด้วยบทสนทนาและคำ� สอนของพระพุทธเจา้ พระสาวก และคาถาธรรมตา่ งๆ พระอภธิ รรมปิฎก
วา่ ดว้ ยธรรมที่จ�ำแนกเปน็ นัยต่างๆ

พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 187

ของพระไตรปฎิ ก ได้แก ่ ภกิ ขุนวี นิ ยั และภิกขุนีขันธกะ ว่าด้วยสกิ ขาบทและระเบยี บปฏบิ ตั ิสำ� หรบั
ภิกษุณีในพระวนิ ยั ปฎิ ก พระสตู รจำ� นวนหนึง่ เถรีคาถา และวิมานวัตถใุ นพระสุตตันตปิฎก ดังนี้

ภกิ ขุนวี นิ ัย และภกิ ขุนขี นั ธกะ
คมั ภรี ์กลุ่มนี้เป็นสว่ นหนึง่ ของพระวนิ ัยปฎิ กในพระไตรปฎิ กเลม่ 3 และ 7 ตามลำ� ดบั ว่าด้วย
สกิ ขาบทและวัตรปฏบิ ัติของภกิ ษณุ ี สกิ ขาบทของพระภกิ ษุณใี นเล่ม 3 ลำ� ดับต่อจากสกิ ขาบทของ
พระภิกษุในเลม่ 1 และ 2 เนอื่ งจากสิกขาบทของภิกษุณีประกอบดว้ ยพระวนิ ัยท่พี ระพุทธเจ้าบัญญัติ
แกพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ และพระวนิ ยั ทท่ี รงบญั ญตั ขิ นึ้ เปน็ พเิ ศษสำ� หรบั ภกิ ษณุ สี งฆด์ ว้ ย สว่ นภกิ ขนุ ขี นั ธกะ
แสดงประวัติการเกิดข้ึนของภิกษุณี ระเบียบปฏิบัติอ่ืนๆที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเพิ่มเติมส�ำหรับ
ภิกษุณี
นอกเหนือจากสิกขาบทแล้ว เรื่องราวในภิกขุนีวินัยและภิกขุนีขันธกะท�ำให้เห็นสภาพชีวิต
ความเปน็ อยขู่ องผหู้ ญงิ ในฐานะนกั บวชฝา่ ยหนงึ่ ในคณะสงฆข์ องพระพทุ ธเจา้ ซงึ่ สะทอ้ นความมงุ่ มน่ั
ตงั้ ใจของผหู้ ญงิ ทจี่ ะอทุ ศิ ชวี ติ เพอ่ื การศกึ ษาปฏบิ ตั ธิ รรม ในขณะเดยี วกนั กต็ อ้ งผจญกบั อปุ สรรคทาง
วฒั นธรรม ไดแ้ ก่ สงั คมซงึ่ ไมค่ นุ้ เคยและตอ่ ตา้ นนกั บวชผหู้ ญงิ หรอื แมแ้ ตค่ วามออ่ นแอจากความเปน็
หญิงท่ีถูกกล่อมเกลาในวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่นั้น ท�ำให้บางท่านต้องพ่ายแพ้ต่อส่ิงย่ัวยุต่างๆ
สกิ ขาบทและระเบยี บปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษณุ จี งึ หนกั และปฏบิ ตั ไิ ดย้ ากกวา่ ของพระภกิ ษเุ พอื่ ทดสอบจติ ใจ
ของภกิ ษณุ ที ่ตี อ้ งเข้มแข็งและอดทน หากต้องการด�ำรงชวี ติ อยู่ในสภาพนกั บวชต่อไป
เถรีคาถา
เถรคี าถา รวบรวมคาถา หรอื บทกวใี นภาษาบาลที บ่ี รรยายประวตั ิ เหตกุ ารณ์ หรอื พรรณนา
ความรสู้ กึ ในชว่ งเวลาของชวี ติ พระภกิ ษณุ ี จากมมุ มองของพระภกิ ษณุ เี อง หรอื จากการบรรยายของ
บุคคลทีส่ าม สะท้อนความเขา้ ใจธรรมชาติของโลกและชวี ิตมนุษย์ในทัศนะแบบผ้หู ญงิ เช่นความไม่
เทย่ี งแทข้ องรปู กายทีเ่ คยสวยงามในวยั สาว ความล�ำบากของผู้หญิงในฐานะภรรยา ความสลดใจใน
กามราคะของผ้ชู ายทีต่ อ้ งการเสพกามกบั ผู้หญงิ แม้อยใู่ นสภาพของนักบวช เป็นต้น
การล�ำดับเถรีคาถาหลังเถรคาถาของพระภิกษุเถระ แสดงให้เห็นว่า ประวัติ ค�ำสอน และ
ทัศนะของพระภิกษุณีได้รับการยอมรับให้มีการศึกษา สืบทอด และรวบรวมไว้ในพระไตรปิฎกเช่น
เดียวกับพระภกิ ษุ

ภิกษุณีระหว่างการทำ� งานกอ่ สรา้ งที่
วดั ทรงธรรมกลั ยาณี

(ท่มี า: http://www.aljazeera.com/
indepth/inpiures/2013/06/201362

95128230163.html)

188 พลังผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน

พระสูตร
พระสตู รเปน็ คำ� สอน หรอื บทสนทนาของพระพทุ ธเจา้ หรอื พระสาวกในบรบิ ทสถานการณห์ นง่ึ
อยใู่ นพระสตุ ตนั ตปฎิ ก คำ� สอนหรอื บทสนทนาของพทุ ธสาวกิ าเปน็ พระสตู รสำ� คญั ไดแ้ ก่ จฬู เวทลั ลสตู ร
โดยภกิ ษุณธี ัมมทนิ นาเถรี เขมาเถรีสตู ร โดยภิกษุณเี ขมาเถรี มาตาสูตร กลา่ วถงึ การกลา่ วต้อนรบั
ท้าวเวสสุวรรณของนนั ทมาตาดว้ ยคาถาพทุ ธวจนะในสุตตนิบาต และคณุ สมบัติทางธรรมของนาง
กลา่ วไดว้ ่า การปรากฏค�ำสอนของพระเถรหี รือการทรงจำ� คาถาพุทธวจนะนแี้ สดงใหเ้ ห็นวา่
ภมู ธิ รรม ความรคู้ วามสามารถของผหู้ ญงิ ไดร้ บั การยอมรบั ในคณะสงฆใ์ นระดบั หนงึ่ ในเอตทคั คปาล ิ
พระพุทธเจ้าทรงยกยอ่ งพทุ ธบรษิ ัทฝา่ ยหญิงเช่นเดียวกบั พุทธบริษทั ฝ่ายชาย เช่น ภกิ ษุณีท่เี ลศิ กว่า
ผอู้ นื่ ในดา้ นปญั ญา การเจริญฌาน การแสดงธรรม การถวายทาน การถวายรสอันประณีต เปน็ ตน้
วมิ านวตั ถุ
วมิ านวตั ถุ อยใู่ นเลม่ ท่ี 26 เปน็ คมั ภรี ห์ นง่ึ ในขทุ ทกนกิ าย รวบรวมคาถาซงึ่ มเี นอื้ หาเปน็ เรอื่ งราว
การชมทิพยวิมานของบรรดาเทพบุตรเทพธิดาต่างๆ ของพระโมคคัลลานะ หรือพระเถระอื่นๆ ท่ีมี
อทิ ธฤิ ทธส์ิ ามารถพบเหน็ พดู คยุ กบั ผทู้ ใ่ี ชช้ วี ติ อยใู่ นสวรรคพภิ พได ้ พระเถระไดส้ นทนาถามไถบ่ รรดา
ชาวสวรรค์เหลา่ นนั้ ถึงบุญกศุ ลทไี่ ด้บ�ำเพ็ญเม่อื ครงั้ เป็นมนุษย์
ทน่ี า่ สนใจในวมิ านวตั ถุ มเี ทพธดิ าหลายองคไ์ ดเ้ คยถวายทานตา่ งๆ แดพ่ ระภกิ ษสุ งฆเ์ มอ่ื ครง้ั
ทตี่ นเกดิ เปน็ มนษุ ย์ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การถวายอาหารอนั ประณตี เครอื่ งนงุ่ หม่ ของใชต้ า่ งๆ ซงึ่ เปน็
สงิ่ ทซี่ ง่ึ ผหู้ ญงิ ในสมยั นน้ั ตอ้ งตระเตรยี มเพอ่ื สามี บคุ คลในครอบครวั หรอื เพอื่ นายทตี่ นทำ� งานเปน็ ทาส
ความรู้สึกสละ ไม่ตระหนี่ หวงแหน หรือยึดติดในข้าวของท่ีถวายเป็นบุญกุศลในพระพุทธศาสนา
ซึ่งส่งผลใหผ้ ู้ถวายทานมีชวี ิตความเปน็ อยูท่ ี่สุขสบายในสุคติภมู ิ
พลงั พุทธสาวิกาในพระพทุ ธศาสนา
ในทัศนะของพระพุทธศาสนา นอกเหนือจากเพศท่ีแสดงรูปร่างที่มาตั้งแต่ก�ำเนิด ตลอด
อปุ นสิ ยั ใจคออนั เปน็ ผลจากการขดั เกลาทางสงั คม ผหู้ ญงิ กไ็ มแ่ ตกตา่ งจากผชู้ ายในแงข่ องความเปน็
มนุษยท์ ต่ี กอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติต่างๆ เช่น การตอ้ งเผชญิ กับไตรลักษณ์ ได้แก่ร่างกาย การรับรู้
อารมณท์ างตาหจู มกู ลนิ้ กายใจทไี่ มเ่ ทยี่ ง เปน็ ทกุ ข์ เปน็ อนตั ตา การอยภู่ ายใตก้ ฎแหง่ กรรม ตลอดจน
ศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองให้พ้นจากสภาพที่เป็นไตรลักษณ์นั้น (ลักษณ์วัต ปาละรัตน์, 2545:
57-83) ผหู้ ญงิ จงึ สามารถศกึ ษาปฏบิ ตั ธิ รรมและบรรลมุ รรคผลตามคำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ไมต่ า่ งจาก
ผชู้ าย ถงึ กระนนั้ ความเปน็ หญงิ ทม่ี อี ยโู่ ดยสญั ชาตญาณ โดยการเรยี นร ู้ อกี ทงั้ สภาพแวดลอ้ มทางสงั คม
และวฒั นธรรมทก่ี ดขผ่ี หู้ ญงิ ไมเ่ ออื้ อำ� นวยตอ่ อสิ รภาพทางจติ วญิ ญาณ ชว่ ยกลอ่ มเกลาพทุ ธสาวกิ า
มคี ณุ ลักษณะพเิ ศษบางประการ ดงั นี้
การบรรลมุ รรคผลและเขา้ ถงึ ธรรมเหนอื ธรรมดา
ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงผู้หญิงจ�ำนวนมากท่ีประสบความส�ำเร็จในการศึกษาปฏิบัติธรรม
ในพระพทุ ธศาสนา ผหู้ ญงิ ทเี่ ขา้ มาบวชเปน็ ภกิ ษณุ หี ลายทา่ นสำ� เรจ็ เปน็ พระอรหนั ต์ สว่ นผหู้ ญงิ ทเ่ี ปน็
อบุ าสกิ าครองเรอื นสำ� เรจ็ เปน็ พระอรยิ ะชนั้ อนาคามีสกทาคามแี ละโสดาบนั เหลา่ นเ้ี ปน็ ผลจากความสามารถ
ในการพฒั นาทางจติ วญิ ญาณซงึ่ ไมไ่ ดถ้ กู กำ� หนดโดยเพศสภาพ และดว้ ยความสามารถนข้ี องผหู้ ญงิ
เสน้ ทางอรยิ ะของพทุ ธสาวิกาจงึ ไม่ถกู ปดิ ตายตลอดกาล ผู้หญงิ สามารถเพียรพฒั นาตนเองทางศีล

พลังผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 189

สมาธปิ ญั ญาเพอ่ื ความพน้ ทกุ ข์ ตราบเทา่ ทค่ี ำ� สอนในพระพทุ ธศาสนายงั คงดำ� รงอยู่ เชน่ เดยี วกบั ผชู้ าย
การทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงยอมใหผ้ หู้ ญงิ บวชไดจ้ งึ นบั วา่ เปน็ โอกาสของผหู้ ญงิ ทจี่ ะไดเ้ ขา้ มาใชช้ วี ติ ในคณะสงฆ์
ใกล้ชดิ กบั พระองค์ และพระอปุ ัชฌายอ์ าจารย ์ เพอ่ื พฒั นาตนตามค�ำสอนของพระพุทธเจ้า

ในเถรีคาถา ภิกษุณีหลายรูปได้รับพระกรุณาจากพระพุทธเจ้าซ่ึงทรงส่งพระญาณเตือนสติ
ให้พิจารณาสภาพธรรม หากภิกษุณีน้ันมีความสามารถท่ีจะบรรลุธรรมได้ พระพุทธเจ้าทรงสอน
พระตสิ สาเถรใี หศ้ กึ ษาในไตรสกิ ขา อยา่ ไดป้ ลอ่ ยเวลาแตล่ ะขณะลว่ งไปโดยเปลา่ ประโยชน ์ ทรงสอน
พระติสสาเถรี (อกี รูปหนึง่ ) ให้เจริญธรรมคอื สมถะ วปิ สั สนาและโพธปิ กั ขยิ ธรรมใหม้ าก ทรงสอน
พระสุมนาเถรีให้พิจารณาเห็นธาตุท้ังหลายเป็นทุกข์ เพ่ือคลายความพอใจในส่ิงต่างๆ ที่เกิดขึ้น
จากการประชมุ ของธาตเุ หลา่ นนั้ ทรงสอนพระธรี าเถรใี หเ้ ขา้ ใจความหมายของการดบั ทกุ ข ์ ใหท้ า่ น
มกี ำ� ลงั ใจในการปฏบิ ตั ธิ รรม ทรงสอนใหพ้ ระมติ ตาเถรไี มป่ ระมาท เพราะไดอ้ ตุ สา่ หส์ ละชวี ติ ฆราวาส
ออกบวชเป็นพระภิกษุณีแล้ว การอยู่กับกัลยาณมิตรจะช่วยส่งเสริมให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้า
ทรงสอนพระสุนทรีนันทาเถรีท่ีมีความฝักใฝ่ในรูปกายสตรีท่ีสวยงามด้วยการแสดงนิมิตรูปสตรี
ในวยั ตา่ งๆ จากวยั แรกสาวจนถงึ วยั ชราตามลำ� ดบั ทำ� ใหท้ า่ นเขา้ ใจธรรมชาตขิ องชวี ติ ตามความเปน็ จรงิ
ละคลายจากราคะในรูปและตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมด้วยความพากเพียร (บรรจบ บรรณรุจิ, 2539:
24-29) ตวั อยา่ งทยี่ กมานแี้ สดงใหเ้ หน็ วา่ พทุ ธสาวกิ าตอ้ งอาศยั คำ� แนะนำ� ทเ่ี หมาะสมจากพระพทุ ธเจา้
ทจี่ ะใหผ้ า่ นจดุ ทเ่ี ปน็ อปุ สรรคนนั้ ไปได้ ซง่ึ พระองคก์ ท็ รงพระกรณุ าโดยไมเ่ ลอื กวา่ เปน็ เพศหญงิ หรอื ชาย

รูปหล่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี วัดเทพธิดาราม
สร้างสมัยรัชกาลที่ 3

(ทีม่ า:https://th.wikipedia.org/wiki/ภิกษุณ)ี

พุทธสาวิกาท่ีไม่ใช่นักบวชก็มีเรื่องราวปรากฏในพระไตรปิฎกในท�ำนองเดียวกัน แสดงให้
เหน็ วา่ พระพทุ ธศาสนาไมเ่ คยปดิ กนั้ เพศหญงิ ในการเขา้ ถงึ ความรทู้ างธรรมเลย ผทู้ เี่ ดน่ ทส่ี ดุ ในเรอื่ งน้ี
เห็นจะเป็นนางนันทมาตา ชาวเมืองเวฬุกัณฑกะ เป็นผู้ท่ีสามารถสวดปารยนสูตร พระสูตรหนึ่งใน
สตุ ตนบิ าต แสดงใหเ้ หน็ วา่ ทา่ นสามารถทรงจำ� คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ไดเ้ ชน่ เดยี วกบั พระภกิ ษสุ งฆ์
ทท่ี ำ� หนา้ ทน่ี อ้ี ยแู่ ลว้ นางนนั ทมาตาเปน็ ผมู้ ฌี าน สามารถเขา้ ฌานไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคลว่ ตงั้ แตป่ ฐมฌาน
ถึงจตตุ ถฌาน ทา่ นบรรลธุ รรมช้ันอนาคามีโดยที่ไมไ่ ด้บวชซ่ึงทำ� ใหท้ ่านเป็นผไู้ ม่โกรธ แม้จะประสบ
กบั ความสญู เสยี บคุ คลในครอบครวั และไมม่ คี วามกำ� หนดั หวน่ั ไหวในบรุ ษุ เพศ (มนตร ี สริ โรจนานนั ท,์

190 พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

2557: 96-97) เรื่องของนางนันทมาตาแสดงให้เห็นว่า อุบาสิกาท่ีมีความสามารถทางธรรม
เปน็ พระอริยบคุ คลชน้ั สงู นั้นมอี ยู่ สอดคลอ้ งกับพทุ ธพจนท์ ี่แสดงว่า สาวกสาวิกาของพระองค์ทเี่ ปน็
ผเู้ ฉยี บแหลม มคี วามรคู้ วามสามารถในทางธรรม บรรลพุ ระสทั ธรรม สามารถกลา่ วพระสทั ธรรมโดยชอบ
สามารถแสดงธรรมใหม้ ปี าฏหิ ารยิ ์ เปน็ ทยี่ อมรบั นบั ถอื ของผฟู้ งั อนื่ ๆ และขม่ ขลี่ ทั ธคิ ำ� สอนอนื่ ซง่ึ แสดง
ถึงความตง้ั ม่ันของพระศาสนา

ความสามารถของหญิงในการบรรลุอริยธรรมเหนือธรรมดาปรากฏชัดเจนในเอตทัคคะปาล ิ
ซง่ึ พระพทุ ธเจา้ ทรงยกยอ่ งพระสาวก หรอื พระสาวกิ าผเู้ ลศิ ในดา้ นตา่ งๆ มภี กิ ษณุ ที ไ่ี ดร้ บั การยกยอ่ งวา่
เลิศกว่าภิกษุณีอ่ืน เช่น พระเขมาเถรีในด้านปัญญา พระอุบลวรรณาเถรีในด้านเป็นผู้มีฤทธ์ ิ
พระปฏาจาราในดา้ นเปน็ ผทู้ รงวนิ ยั พระโสณาภิกษณุ ีในด้านเป็นผปู้ รารภความเพียร พระสกลุ าเถรี
ในดา้ นเปน็ ผมู้ จี กั ษทุ พิ ย์ พระภทั ทากณุ ฑลเกสาในดา้ นเปน็ ผตู้ รสั รเู้ รว็ พลนั พระภทั ทากปลิ านใี นดา้ น
เป็นผูร้ ะลกึ ชาติกอ่ นได้ พระภทั ทากจั จานาในด้านเป็นผไู้ ดบ้ รรลอุ ภิญญาใหญ่ ในท�ำนองเดยี วกนั กม็ ี
อุบาสกิ าบางทา่ นทีไ่ ด้รบั การยกยอ่ งวา่ เลศิ กวา่ อบุ าสิกาอ่ืน เชน่ นางอุตตรานนั ทมาตา ในด้านเป็น
ผยู้ นิ ดใี นฌาน เหลา่ นแ้ี สดงใหเ้ หน็ วา่ ความรแู้ จง้ ในธรรมกด็ ี การบำ� เพญ็ ฌานสมาธกิ ด็ ี ผหู้ ญงิ สามารถ
เจรญิ ขน้ึ ได้ กลา่ วไดว้ า่ วฒั นธรรมการศกึ ษาปฏบิ ตั ธิ รรมในพระพทุ ธศาสนาไมจ่ ำ� กดั เพศชายหรอื หญงิ
แม้จะเปน็ อบุ าสกิ า ถ้าสนใจใฝ่ฌานก็สามารถเรียนร้กู บั พระอริยสงฆ์ และปฏิบตั ใิ หส้ ำ� เรจ็ ได้

ความอดทนในการใช้ชีวิตเพศนักบวช
การท่ีผู้หญิงออกจากครอบครัวเพ่ือมาบวชเป็นภิกษุณีถือว่าเป็นการตัดสินใจท่ีเด็ดเด่ียว
เพราะจะตอ้ งออกมาใชช้ ีวติ ทีย่ ากลำ� บากตามลำ� พงั และเส่ยี งอันตราย แตเ่ ดิมประเพณกี ารสละโลก
ออกบวชเปน็ สมณะเปน็ เรอื่ งของชายหนมุ่ ทเ่ี หน็ ความทกุ ขใ์ นชวี ติ และปรารถนาทจี่ ะแสวงหาทางออก
ด้วยการบ�ำเพ็ญเพียรทางจิต ชาวบ้านท่ียังอยู่ในทางโลกแม้จะไม่เข้าใจความคิดของบรรดาสมณะ
ทง้ั หลายนกั แตก่ อ็ นโุ มทนากบั ความคดิ ในการใชช้ วี ติ เชน่ นนั้ ดว้ ยการสนบั สนนุ ปจั จยั สี่ ดงั นน้ั จงึ เปน็
เรอ่ื งปกตทิ ผ่ี คู้ นในชมุ ชนจะถวายอาหาร ของใช ้ ผา้ นงุ่ หม่ ตลอดจนอนญุ าตใหส้ มณะเขา้ มาพกั อาศยั
ชวั่ คราวในโรง โถง ศาลาเพอ่ื คมุ้ แดดคมุ้ ฝน ปอ้ งกนั อนั ตรายตา่ งๆ ในยามคำ่� คนื อยา่ งไรกต็ าม ผหู้ ญงิ
ท่ีใช้ชีวิตนักบวชอาจไม่ได้รับความสนับสนุนเหล่าน้ีเท่าที่ควร เพราะการบวชเป็นสมณะของผู้หญิง
เป็นความคิดที่ก้าวหน้ามาก ซึ่งผู้คนในสมัยน้ันอาจตามไม่ทัน หรือยังคงยึดติดกับความคิดเดิมๆ
ทคี่ าดหวงั วา่ ผหู้ ญงิ ควรอยกู่ บั เหยา้ เฝา้ กบั เรอื น เปน็ ผตู้ ามทด่ี ขี องบดิ า สามี และบตุ ร ชาวบา้ นชาวเมอื ง
บางส่วนอาจจะมีทัศนคติท่ีไม่ดีต่อพระภิกษุณี ไม่ให้ความสนับสนุนปัจจัยสี่ ไปจนถึงกลั่นแกล้ง
เกีย้ วพาราสี หรอื ทำ� ร้ายพระภิกษุณีท่ีเดนิ ทางไปในทีต่ ่างๆ ตามล�ำพงั ภิกษณุ ีจงึ ตอ้ งอดทนอย่างย่ิง
ในส่ิงแวดล้อมเชน่ น้ัน
ภกิ ขนุ ขี นั ธกะเลา่ ประวตั ขิ องภกิ ษณุ เี มอ่ื พระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าตใหม้ ภี กิ ษณุ ขี น้ึ ในคณะสงฆ์
ครง้ั แรก ดเู หมอื นวา่ พระพทุ ธเจา้ จะทรงไมต่ อ้ งการใหม้ ภี กิ ษณุ สี งฆใ์ นศาสนาของพระองคเ์ ลย ทรงปฏเิ สธ
พระอานนทซ์ งึ่ ทลู ขอใหท้ รงอนญุ าตถงึ สามครงั้ กอ่ นทจ่ี ะทรงยนิ ยอมเพราะทรงไมป่ ฏเิ สธความสามารถ
ของผ้หู ญงิ ในการบรรลุธรรมทพ่ี ระอานนทย์ กข้ึนกล่าวอา้ ง หลงั จากท่ที รงอนุญาตแล้ว ทรงกลา่ วถึง
สภาพของคณะสงฆท์ ป่ี ระกอบดว้ ยภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ วี า่ เปรยี บเหมอื นหนอนขยอกในนาขา้ วทสี่ มบรู ณ์
เพลย้ี ในไรอ่ อ้ ย ซง่ึ เปน็ สภาพทอี่ อ่ นแอทไ่ี มป่ รากฏภายนอก ปอ้ งกนั แกไ้ ขไดย้ าก กวา่ จะรวู้ า่ เสยี หาย
กส็ ายเกนิ กวา่ ทจ่ี ะปอ้ งกนั หรอื แกไ้ ขไดเ้ สยี แลว้ เพราะความเปน็ มลทนิ ของพรหมจรรยแ์ กก่ นั และกนั

พลังผหู้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 191

ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในการใช้ชีวิต ความประพฤติการปฏิบัติของนักบวช (มนตร ี
สริ โรจนานนั ท,์ 2557: 144-145) แตใ่ นทสี่ ดุ แลว้ พระพทุ ธเจา้ กท็ รงอนญุ าตใหม้ ภี กิ ษณุ เี ปน็ สว่ นหนง่ึ ของ
สงฆ์ ทำ� ใหเ้ หน็ วา่ แทจ้ รงิ แลว้ การทที่ รงไมอ่ นญุ าตในทนั ที แตใ่ หม้ ผี รู้ อ้ งขอและโตแ้ ยง้ ถงึ ความสามารถใน
การบรรลธุ รรมของผู้หญิง น่าจะเพราะทรงทดสอบความตง้ั ใจจริงของผู้หญงิ ในการเป็นนักบวช และ
กำ� หนดเปา้ หมายของการมภี กิ ษณุ สี งฆไ์ ปทค่ี วามสามารถในการบรรลธุ รรมเปน็ สำ� คญั (พระธรรมปฎิ ก
2544: 8) ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดทอนความไม่พอใจของสังคมท่ีมีอคติต่อผู้หญิงซึ่งอาจต�ำหนิ
พระองค์ได้ หากทราบวา่ ทรงอนญุ าตการอุปสมบทของภกิ ษณุ งี ่ายๆ (ฌชั ปภา วาสิงหน 2555: 53)

ภาพวาดพระพทุ ธประวตั ิตอน พระนางปชาบดีโคตรมี
ทลู ขอบวชเปน็ พระภิกษณุ รี ปู แรกของโลก
(ทีม่ า:https://th.wikipedia.org/wiki/ภิกษณุ )ี

พระภกิ ษณุ ใี นระยะแรกถกู มองดว้ ยสายตาเยย้ หยนั วา่ เปน็ ภรรยาของพระภกิ ษุ การสอนธรรม
ปวารณา หรอื กจิ กรรมของสมณะอน่ื ๆทภี่ กิ ษแุ ละภกิ ษณุ ตี อ้ งกระทำ� ตอ่ กนั และกนั ถกู มองดว้ ยความสงสยั
ไปในทางชสู้ าวจนกระทงั่ พระพทุ ธเจา้ ทรงกำ� หนดระเบยี บปฏบิ ตั ทิ ส่ี มควร สกิ ขาบทของภกิ ษณุ หี ลายขอ้
มที ี่มาจากอันตรายของภกิ ษณุ ซี ึ่งจ�ำพรรษาในป่า หรอื เดนิ ทางตามลำ� พัง ถูกรังแก ถกู ลวงไปขืนใจ
หรือโดนค�ำครหาเรื่องชู้สาว ท�ำให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ภิกษุณีจ�ำพรรษาอยู่ในวัดที่มีภิกษ ุ
จ�ำพรรษาด้วย อคติที่ชาวบ้านชาวเมืองมีต่อผู้หญิงยังท�ำให้ภิกษุณีประสบปัญหาในการบิณฑบาต
ได้รบั ภิกษานอ้ ยหรือไม่เพยี งพอในแตล่ ะวัน ชีวิตของภิกษณุ ีจงึ ลำ� บาก เพราะอาหาร ปจั จยั สี่ต่างๆ
ไมค่ อ่ ยบริบรู ณ์เม่อื เทยี บกับพระภิกษ ุ

นอกจากน ี้ ผหู้ ญงิ ยงั วางตวั ไดล้ ำ� บากในวถิ ชี วี ติ นกั บวชซงึ่ แตกตา่ งจากวถิ ชี วี ติ แบบคฤหสั ถ์
เช่น การนงุ่ หม่ ซ่งึ ต้องปดิ บงั ร่างกายท่มี สี ัดสว่ นโคง้ เว้าอันย่ัวยุกามารมณ์ การช�ำระล้างรา่ งกาย และ
การใชข้ องบางอย่างอนั เนอื่ งมาจากการมีเต้านม ระดู และอวยั วะเพศซง่ึ เปน็ ช่องลกึ ภกิ ษณุ ีบางรูป
ยงั เคยชนิ กบั การแตง่ กาย การใชช้ วี ติ แบบเดมิ ซงึ่ ไมเ่ หมาะสมกบั เพศนกั บวช ในสงั คมสมยั นน้ั ไมม่ กี าร
กำ� หนดทา่ นำ�้ สำ� หรบั นกั บวชผหู้ ญงิ ภกิ ษณุ ตี อ้ งใชท้ า่ นำ้� รว่ มกบั หญงิ คฤหสั ถแ์ ละหญงิ คณกิ า ประสบ
กบั คำ� พดู เยย้ หยนั ของผหู้ ญงิ บางคนในทนี่ น้ั 4 นอกจากนี้ ความเคยชนิ ของผหู้ ญงิ ในฐานะผรู้ บั ใชผ้ ชู้ าย
ในบ้านยังคงติดตัวภิกษุณีในคณะสงฆ์ เป็นเหตุให้ภิกษุบางรูปที่ไม่มีความละอายใช้ให้พระภิกษุณี
ซกั ผา้ จวี ร ทำ� ความสะอาด ปรนนบิ ตั ิ เปน็ บรวิ ารรบั ใชข้ องตน โดยทภ่ี กิ ษณุ นี นั้ กไ็ มป่ รปิ ากบน่ เพราะ

4ดคู ำ� กราบทูลของนางวสิ าขาท่ยี กมาประกอบในบทความนี้

192 พลังผ้หู ญิง แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

มองวา่ เปน็ หนา้ ท ี่ ทง้ั ๆ ทก่ี ารบวชเปน็ ภกิ ษณุ คี อื การสละบทบาทหนา้ ทขี่ องตนเองในครอบครวั เพอื่
เขา้ มาเปน็ สาวกผศู้ กึ ษาปฏบิ ตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ เชน่ เดยี วกบั พระภกิ ษุ พระพทุ ธเจา้ จงึ ตอ้ งทรงบญั ญตั ิ
หา้ มภกิ ษุท่ไี ม่ใช่ญาตขิ องภกิ ษณุ ใี ช้ภกิ ษุณีน้ันใหซ้ กั ผา้ หรอื อน่ื ๆ เพอ่ื คมุ้ ครองภิกษณุ ี ใหภ้ กิ ษณุ ีได้
เป็นอิสระ มเี วลาหลีกเรน้ สว่ นตวั มากข้นึ

สกิ ขาบทของพระภกิ ษณุ ที มี่ จี ำ� นวนมากถงึ 310 ขอ้ และครธุ รรมอกี 8 ประการเปน็ เครอ่ื งยนื ยนั
ถงึ ความพยายามในการปรบั ความเปน็ อยขู่ องผหู้ ญงิ เขา้ กบั วถิ ชี วี ติ นกั บวชในสมยั นน้ั ถงึ แมว้ า่ จะเปน็
กฎกตกิ ายบิ ยอ่ ยทำ� ไดย้ ากล�ำบาก แตภ่ ิกษณุ ีในพระพุทธศาสนาก็สามารถอดทนกบั ระเบยี บปฏบิ ตั ิ
ท่ีพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เพื่อรักษาสถานะของภิกษุณีให้เป็นชุมชนนักบวชสตรีท่ีน่าเลื่อมใส
ในสายตาของบุคคลภายนอก และเป็นสถานท่ีอันสงบส�ำหรับผู้หญิงที่เล่ือมใสในพระธรรมค�ำสอน
ได้เข้ามาใช้ชีวิตในคณะสงฆ์เพ่ือศึกษาปฏิบัติธรรมของพระองค์ ถือได้ว่า ภิกษุณีในพุทธกาลและ
ในยคุ ตอ่ ๆมาไดพ้ ยายามรกั ษาประเพณไี วด้ ว้ ยความเขา้ ใจและอดทน จนกระทงั่ ประเพณขี องภกิ ษณุ ี
สาบสูญไปอันเนื่องมาจากความยากล�ำบากในการปฏิบัติ และความไม่เหมาะสมของวัตรปฏิบัติ
บางอย่างในบรบิ ททางสังคมและวฒั นธรรมใหม่

ความมงุ่ มนั่ ในการศึกษาปฏบิ ตั ธิ รรม
ในพระไตรปฎิ ก มเี รอื่ งราวของภกิ ษณุ หี ลายทา่ นทบี่ รรลอุ รยิ ธรรมชนั้ สงู ซง่ึ เปน็ ผลจากการ
ศึกษาปฏิบัติธรรมที่มีแรงผลักดันจากเคราะห์กรรมในชีวิตท่ีน่าสงสาร ความทุกข์โศกอย่างรุนแรง
จากการยึดตดิ กบั ความสวยงามทางกาย ความวนุ่ วายในการเลอื กคู่ครอง การยึดติดในความสขุ
ในชีวิตครอบครวั ในฐานะภรรยาของสามี ในฐานะแม่ของบตุ ร อาจกล่าวไดว้ า่ ผลจากความเป็น
หญิงท่ีถูกกล่อมเกลาในวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในอินเดียโบราณน้ันท�ำให้พุทธสาวิกาบางท่าน
ตระหนักในความไม่แน่นอนของชีวิต ผลักดันให้มีความมุ่งม่ันและประสบความส�ำเร็จในการศึกษา
ปฏิบตั ิธรรมในท่ีสดุ
ในเถรีคาถา มีภกิ ษณุ หี ลายท่านทเี่ ข้ามาบวชเพราะประสบกบั ความทุกข์แสนสาหสั ท่เี ปน็
ที่รจู้ กั ทั่วไป คอื พระปฏาจาราเถรซี งึ่ เคยประสบกับความสูญเสียบคุ คลอนั เป็นทีร่ กั ในเวลาไล่เลยี่ กนั
ท�ำให้ท่านถึงกับเป็นบ้า เดินเปลือยกายคร�่ำครวญไปในที่ต่างๆ ก่อนที่จะมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระจนั ทาเถรี ผซู้ ง่ึ ครอบครวั ของทา่ นคอ่ ยๆ ยากจน จนกระทงั่ สญู สนิ้ ทรพั ยส์ มบตั ิ หลงั จากแตง่ งาน
มคี รอบครวั เกดิ ภยั อหวิ าตกโรคมาพรากสมาชกิ ในครอบครวั ของทา่ นไปหมด เหลอื ทา่ นเพยี งคนเดยี ว
ต้องเดินเรข่ ออาหารกินก่อนทจี่ ะได้มาพงึ่ พิงพระพุทธศาสนา (บรรจบ บรรณรุจิ, 2539: 197)
นอกจากน้ี ยังมสี ตรสี งู ศักด์ิซง่ึ แม้จะไมไ่ ด้ประสบกบั ความยากไร ้ แตก่ ไ็ ด้สญู เสยี บุตรธิดา
อันเป็นทร่ี กั ของตน รู้สกึ วา่ ตัวเองไม่มีความส�ำคัญในครอบครัว หมดก�ำลงั ใจท่จี ะมชี วี ิตอยใู่ นโลกนี้
อกี ตอ่ ไป เชน่ พระอพุ พริ เี ถรี ผซู้ ง่ึ แมจ้ ะมรี ปู กายสวยงาม เปน็ ทร่ี กั ของพระเจา้ ปเสนทโิ กศลผเู้ ปน็ สาม ี
แต่ทา่ นก็หมดอาลัยในชีวิตหลังจากไดส้ ญู เสียธิดาอันเปน็ ท่รี ักยิง่ (บรรจบ บรรณรุจ,ิ 2539: 62-65)
พระกสี าโคตมเี ถรผี ซู้ ง่ึ สญู เสยี บตุ รในวยั กำ� ลงั นา่ รกั อมุ้ ศพบตุ รเดนิ ทางไปในทต่ี า่ งๆเพอ่ื วงิ วอนรอ้ งขอ
ให้ผู้วเิ ศษได้ชุบชีวติ บตุ รให้ฟน้ื ขนึ้ (บรรจบ บรรณรุจ,ิ 2539: 65) การได้เข้ามาบวชเป็นภกิ ษณุ ีทำ� ให้
ทา่ นเหลา่ นม้ี กี ำ� ลงั ใจทจี่ ะมชี วี ติ อยใู่ นโลกมากขน้ึ อยา่ งนอ้ ยทา่ นกม็ อี าหาร เครอื่ งนงุ่ หม่ มพี ระอปุ ชั ฌาย์
อาจารย์ เพ่ือนร่วมส�ำนักเป็นที่ปรึกษา มีพระธรรมเป็นเครื่องปลอบใจท่ีท�ำให้เห็นว่าชีวิตของท่าน
ยังมีจุดหมายปลายทางให้ก้าวต่อไป หลังจากที่ได้ประสบมาแล้วว่าชีวิตในโลกน้ีมีความผันแปร
และเศร้าโศกเพยี งใด

พลงั ผู้หญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 193

พุทธสาวิกาบางท่านมีความยินดีในรูปกายและบุคลิกสง่างามของพระเถระ ติดตามไป
ย่วั ยวนท่านด้วยความหลงใหลใฝ่ฝนั ด้วยความเคยชินในอาการของหญิงซ่งึ ถูกฝึกฝนใหย้ ัว่ ยวนบรุ ุษ
เมือ่ ได้รบั ค�ำเตือนจากพระเถระ พจิ ารณาเหตุผลตามถ้อยค�ำของพระเถระทำ� ให้เกดิ สต ิ รูส้ กึ ละอาย
ในการกระทำ� ของตวั เอง และเกดิ ศรทั ธาปญั ญาในพระพทุ ธศาสนา พระวมิ ลาเถรไี ดก้ ลา่ วถงึ เมอ่ื ครง้ั ทตี่ น
ไดร้ จู้ กั พระรตั นตรยั ครงั้ แรกเพราะความสงั เวชใจทไ่ี ดฟ้ งั พระโมคคลั ลานะกลา่ วตำ� หนทิ า่ น กอ่ นออกบวช
ท่านเป็นหญิงโสเภณีตามตระกูลของมารดาในแคว้นวัชชี วันหน่ึงท่านได้พบพระโมคคัลลานะ
เกิดความรู้สึกปฏิพัทธ์จึงติดตามไปถึงที่อยู่ เมื่อเห็นพระเถระอยู่รูปเดียว จึงพูดจาและแสดงท่าที
ยว่ั ยวน พระเถระรคู้ วามประสงคข์ องทา่ น จงึ แสดงสภาพธรรมของรา่ งกายทปี่ ระกอบขน้ึ จากกระดกู
ฉาบดว้ ยเนอื้ รอ้ ยรดั ดว้ ยเสน้ เอน็ เตม็ ไปดว้ ยของไมส่ ะอาด มกี ลนิ่ เหมน็ เปน็ ของทนี่ า่ รงั เกยี จ เหมอื นถงุ
ใสส่ ิ่งปฏิกลู ตอ้ งหลีกเลย่ี งให้ไกล ดงั น้นั จติ ใจของพระเถระนั้นจงึ ว่างเปลา่ เหมอื นอากาศตอ่ รา่ งกาย
อนั นา่ รงั เกยี จน ้ี ไมค่ วรทห่ี ญงิ ใดจะมาคาดหวงั ความรกั จากจติ ใจอนั วา่ งเปลา่ นน้ั ซง่ึ มแี ตจ่ ะทำ� ใหเ้ จบ็ ปวด
เหมอื นแมงเมา่ ทบ่ี นิ เขา้ กองไฟ ทา่ นจงึ ไดส้ ตเิ กดิ ศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา และไดอ้ อกบวชในวยั ชรา
(บรรจบ บรรณรจุ ,ิ 2539: 164-166)

สังคมอินเดียโบราณมักสบประมาทผู้หญิงที่ไม่สามารถท�ำอะไรอ่ืนที่มีคุณค่าด้วยตัวเองได้
ในขณะที่ความทุกขจ์ ากการไมม่ ที ี่พง่ึ พงิ ในชีวติ บบี คน้ั ผหู้ ญิงรอบด้าน ภกิ ษุณจี ึงเป็นขบวนการทาง
สงั คมท่รี องรับชีวติ ของผูห้ ญงิ ในบทบาทหนา้ ท่ใี หม ่ ซ่งึ ทำ� ใหภ้ ิกษณุ ีต้องมวี ริ ยิ ะอตุ สาหะอยา่ งเต็มที่
ท่จี ะลบคำ� สบประมาทเหล่านนั้

ความสามารถในการเผยแผ่ธรรม
ความสามารถในการเผยแผ่ธรรมเป็นคุณสมบัติพิเศษท่ีไม่มีในทุกบุคคลท่ีบรรลุอริยธรรม
แสดงถึงความแตกฉานซึง่ ในพระพทุ ธศาสนาเรียกว่าปฏิสมั ภทิ า ซ่ึงมีอยู่ 4 ดา้ น ไดแ้ ก่
1. อัตถปฏิสมั ภิทา ความแตกฉานในความหมาย วิเคราะหป์ ระเด็นหนง่ึ ๆ ไดโ้ ดยพศิ ดาร
2. ธมั มปฏสิ มั ภทิ า ความแตกฉานในหลกั เหตผุ ล หรอื อรรถาธบิ ายอยา่ งหนงึ่ กส็ ามารถอธบิ าย
สบื สาวกลบั ไปหาเหตุ หลกั หรือหวั ข้อได้
3. นริ ตุ ตปิ ฏสิ มั ภทิ า ความแตกฉานในภาษา รศู้ พั ท์ และภาษาตา่ งๆ มคี วามสามารถใชภ้ าษา
ตา่ งๆ ในการช้แี จงให้ผู้อน่ื เขา้ ใจได ้
4. ปฏภิ าณปฏสิ มั ภทิ า ความแตกฉานในปฏภิ าณ เขา้ ใจความรทู้ มี่ อี ยู่ และสามารถเชอ่ื มโยง
สร้างชุดความคิดและเหตผุ ลขึน้ ใหม่ได้อย่างมไี หวพริบ เหมาะกบั สถานการณ์
ปฏิสมั ภิทา 4 น้ี ในคมั ภีรช์ ้นั หลังถอื วา่ เป็นสง่ิ เกดิ ข้นึ พร้อมๆ กบั การบรรลอุ รหัตผล ทำ� ให้
ทา่ นผนู้ น้ั นอกจากจะรแู้ จง้ เหน็ จรงิ แลว้ ยงั สามารถสอนหรอื อธบิ ายใหแ้ กผ่ อู้ น่ื ได้ (สมพรนชุ ตนั ศรสี ขุ ,
2550: 119-120) หากไม่ได้คิดว่าปฏิสัมภิทา 4 มีท่ีมาจากการส่ังสมบารมีเก่าอย่างเดียว ก็ควร
นบั วา่ เปน็ ความสามารถสว่ นบคุ คลทแี่ ตล่ ะทา่ นเคยสง่ั สมเมอื่ ครงั้ ทเ่ี ปน็ ฆราวาส เชน่ การเปน็ ผฉู้ ลาด
เรยี นรไู้ ดร้ วดเรว็ รหู้ ลายภาษา มคี วามสามารถในการใชถ้ อ้ ยคำ� เพอื่ อธบิ ายใหค้ นเขา้ ใจหรอื คลอ้ ยตาม
เปน็ ตน้ ดว้ ยเหตนุ ้ี พระภกิ ษทุ มี่ าจากวรรณะพราหมณห์ ลายทา่ นทมี่ ปี ฏสิ มั ภทิ าจงึ ไดร้ บั ยกยอ่ งเปน็
อาจารยข์ องคณะสงฆ์ เชน่ พระสารบี ตุ ร พระโมคคลั ลานะ พระมหากจั จายนะ โดยเฉพาะพระสารบี ตุ ร
และพระมหากัจจายนะซึ่งได้รับยกย่องเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านปัญญา และการอธิบายธรรม
โดยพิศดาร ในพระไตรปฎิ ก มคี �ำสอนของท่านท้ังสองหลายแหง่

194 พลงั ผู้หญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

คณุ สมบตั ดิ งั กลา่ วกม็ กี ลา่ วถงึ ในพทุ ธสาวกิ าเชน่ เดยี วกนั ถงึ แมจ้ ะไมป่ รากฏในพระไตรปฎิ กวา่
ท่านเหล่าน้ีจะได้รับการฝึกฝนในเร่ืองปัญญาและการใช้ภาษามากเพียงใด แต่การท่ีพระพุทธเจ้า
ทรงยกย่องพุทธสาวิกาบางท่านเป็นผู้เลิศกว่าพุทธสาวิกาอื่นในด้านปัญญา การแสดงธรรม พหูสูต
ก็แสดงว่าบทบาทของพุทธสาวิกาในพระพุทธศาสนาไม่ได้จ�ำกัดอยู่เฉพาะการเป็นผู้มีศรัทธามาก
เปน็ ผเู้ ลอื่ มใสอยา่ งแนน่ แฟน้ หรอื เปน็ ผถู้ วายทานทย่ี ง่ิ ใหญเ่ ทา่ นนั้ เชน่ พระเขมาเถรซี งึ่ เปน็ อคั รสาวกิ า
เบอื้ งขวา เปน็ ภกิ ษณุ ผี เู้ ลศิ กวา่ ภกิ ษณุ อี นื่ ดา้ นปญั ญา พระธรรมทนิ นาเถรี เปน็ ภกิ ษณุ ผี เู้ ลศิ กวา่ ภกิ ษณุ ี
อ่ืนในด้านการแสดงธรรม ในพระไตรปิฎกมีจูฬเวทัลลสูตร ซึ่งแสดงการสนทนาธรรมระหว่าง
พระธรรมทินนาเถรีกับวิสาขาอุบาสก เขมาเถรีสูตร การสนทนาระหว่างพระเขมาเถรีกับพระเจ้า
ปเสนทิโกศล ความสามารถในด้านปัญญาและการแสดงธรรมของพุทธสาวิกาที่เทียบเคียงได้กับ
พุทธสาวกท�ำให้เห็นว่า ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็สามารถเป็นผู้สืบทอดค�ำสอนของพระพุทธเจ้าได ้
เหมอื นๆ กนั แตท่ พ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงยกบทบาทของพระภกิ ษใุ หเ้ ปน็ ผสู้ บื ทอดและผสู้ อนธรรมหลกั ของ
พทุ ธบรษิ ทั เพราะบรบิ ทของสงั คมเออื้ แกบ่ ทบาทของผชู้ ายในดา้ นนม้ี ากกวา่ บทบาทของผหู้ ญงิ จงึ ทรง
บญั ญตั คิ รธุ รรมหา้ มภกิ ษณุ เี ปน็ อาจารยส์ อนธรรมและรบั ความเคารพของพระภกิ ษเุ นอื่ งมาจากวฒั นธรรม
ชายเปน็ ใหญใ่ นยคุ นนั้ ซงึ่ ไมย่ อมรบั ความสามารถทางสตปิ ญั ญาของผหู้ ญงิ ดงั นน้ั เวน้ แตภ่ กิ ษ ุ ภกิ ษณุ ี
สามารถสอนธรรมแกภ่ กิ ษุณีดว้ ยกนั เอง หรือแกอ่ บุ าสกอบุ าสิกา

การเปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญในการแสดงธรรมตอ้ งใชค้ วามสามารถหลายอยา่ ง ตง้ั แตค่ วามสามารถ
ในการเขา้ ใจความหมายจากการฟัง การทรงจำ� สิง่ ทีไ่ ด้ฟัง การเชอื่ มโยงกับธรรมอนื่ ๆท่เี คยฟัง หรอื
ความเปรยี บซงึ่ สอดคลอ้ งกนั การใชค้ ำ� ศพั ทท์ ต่ี รงความหมาย การพดู ทท่ี ำ� ใหผ้ ฟู้ งั เขา้ ใจ ถงึ กระนน้ั
ถา้ ผศู้ กึ ษามคี วามตง้ั ใจ ขยนั หมน่ั เพยี รในการศกึ ษา การทอ่ งจำ� และใฝห่ าความรกู้ บั ทา่ นผรู้ ู้ กจ็ ะทำ� ให้
ผู้น้นั สามารถเรียนและทรงจ�ำพทุ ธวจนะ และบรรลุธรรมได้ โดยไม่จำ� เปน็ ว่าจะตอ้ งฉลาดหรอื เรยี นรู้
ไดร้ วดเรว็ (สมพรนชุ ตนั ศรสี ขุ , 2550: 43) ภกิ ษณุ ี หรอื อบุ าสกิ าอาจจะใสใ่ จเรยี นรหู้ ลกั ธรรมคำ� สอน
ด้วยความศรัทธา ซึ่งท�ำให้ท่านเข้าใจค�ำสอนอย่างแตกฉาน สามารถถ่ายทอดหรืออธิบายค�ำสอน
แกผ่ ้อู ่ืนได้

งานชั้นอรรถกถากล่าวถึงความสามารถของนางขุชุตตรา พุทธสาวิกาผู้เป็นเลิศกว่าผู้อื่น
ในด้านพหูสูตซ่ึงทรงจ�ำค�ำสอนของพระพุทธเจ้ามาแสดงแก่พระนางสามาวดีและบริวาร 500 คน
จนทำ� ใหพ้ ระนางและบรวิ ารบรรลอุ รยิ ธรรมชนั้ พระโสดาบนั หลกั ฐานทอ่ี รรถกถายนื ยนั ความสามารถ
ของนางคือคัมภีรอ์ ิติวตุ ตกะ ซึ่งเปน็ คมั ภรี ์เล่มหนงึ่ ในขุททกนกิ าย รวบรวมค�ำสอนของพระพุทธเจา้
โดยเกบ็ เปน็ ประเดน็ ธรรมสนั้ ๆ ไมม่ บี รบิ ทสถานการณเ์ หมอื นพระสตู รอน่ื ๆ โดยใหเ้ หตผุ ลวา่ พระสตู ร
ในอิติวุตตกะแตกตา่ งจากพระสูตรอ่ืนๆ ซงึ่ เปน็ ผลงานของพระอานนท์ ตรงที่พระสูตรในอิตวิ ุตตกะ
ขนึ้ ตน้ ด้วยประโยควา่ วุตตฺ ํ เหตํ ภควตา วุตตฺ มรหตาติ เม สตุ ํ “จรงิ อยู่ พระสูตรนพี้ ระผ้มู พี ระภาค
ตรสั แลว้ พระสตู รนพ้ี ระผมู้ พี ระภาคผเู้ ปน็ พระอรหนั ตต์ รสั แลว้ เพราะเหตนุ นั้ ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาแลว้ วา่ ”
ในขณะทพี่ ระสตู รท่วั ไปซึ่งถือว่าเปน็ ผลงานของพระอานนท์ข้ึนต้นดว้ ย เอวํ เม สุตํ “ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วดังน”ี้ (พระไตรปฎิ กและอรรถกถาแปลไทย เลม่ 45: 52)

หากเรอื่ งเลา่ นเ้ี ปน็ จรงิ นบั วา่ ประเพณกี ารศกึ ษาสบื ทอดคำ� สอนในพระพทุ ธศาสนาใหเ้ กยี รตสิ ตรี
โดยการยอมรบั ความสามารถของสตรใี นเรอื่ งการรวบรวมทรงจำ� คำ� สอน เพราะอติ วิ ตุ ตกะถอื วา่ เปน็
คัมภีรเ์ กา่ แก่ในกลุ่มนวงั คสัตถุศาสน ์ ค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าดง้ั เดิมซึ่งจำ� แนกออกเป็น 9 ประเภท

พลงั ผ้หู ญงิ แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน 195

แสดงวา่ ผลงานของนางขชุ ชตุ ราเปน็ ทย่ี อมรบั ในคณะสงฆแ์ ละในการสงั คายนา เชน่ เดยี วกนั กบั พทุ ธวจนะ
อื่นๆ ทพ่ี ระสงฆท์ รงจำ� ตอ่ กันมา

ความละเอยี ดถถ่ี ว้ นในการอปุ ถมั ภบ์ �ำรงุ สงฆ์
ผหู้ ญงิ มสี ญั ชาตญาณความเปน็ แมท่ จี่ ะโอบอมุ้ ดแู ลความเปน็ อยขู่ องบตุ รตง้ั แตย่ งั ชว่ ยตวั เอง
ไมไ่ ดด้ ว้ ยความรกั และความเสยี สละ ในทางพระพทุ ธศาสนาถอื วา่ คณุ ลกั ษณะนขี้ องผหู้ ญงิ โดดเดน่ กวา่
ผู้ชาย (ลกั ษณว์ ัต ปาละรตั น์, 2547: 299) อกี ทง้ั ผหู้ ญงิ ยงั ท�ำหน้าทเ่ี ป็นผดู้ แู ลบา้ นและครอบครวั
อาจเป็นสาเหตหุ นง่ึ ท่ีทำ� ให้งานดแู ลอปุ ฏั ฐากพระสงฆข์ องพทุ ธสาวกิ าเดน่ กวา่ ของพทุ ธสาวก ถึงแม้
จะมีอุบาสกจะได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในด้านการถวายทาน-ดูแลอุปัฏฐากสงฆ์ ท่ีเด่นๆ คือ
เรอ่ื งของนางสปุ ปยิ าผซู้ ง่ึ เอาใจใสใ่ นการบำ� รงุ อปุ ฏั ฐากพระสงฆ ์ จากกรณที เ่ี กดิ ขน้ึ พระภกิ ษอุ าพาธ
รูปหนึ่งปรารถนาน้�ำต้มเน้ือเพ่ือน�ำมาผสมเป็นยาถ่าย นางสุปปิยาซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากไม่สามารถ
หาซอื้ เนอ้ื ไดใ้ นวนั นน้ั ทา่ นจงึ เฉอื นเนอ้ื ของตนเองเพอื่ ทำ� นำ้� ตม้ เนอื้ ถวาย (พระไตรปฎิ กและอรรถกถา
แปลไทย เล่ม 7: 94) จะเหน็ ไดว้ า่ นางมีความตั้งใจทำ� งานทีน่ างได้ปวารณาไว้ อีกท้งั มเี มตตากรณุ า
ตอ่ พระภิกษุ ปรารถนาใหพ้ ระภกิ ษหุ ายจากอาการเจ็บป่วยโดยเรว็

จติ รกรรมวาดภาพนางวิสาขาเข้าเฝ้าพระพทุ ธเจ้า
(ทม่ี า: http://rerngnow04.blogspot.com/2014/
05/blog-post_1238.html)

อกี ตวั อยา่ งทโ่ี ดดเดน่ เปน็ แบบอยา่ งของอบุ าสกิ าในพระพทุ ธศาสนา คอื นางวสิ าขา ผซู้ งึ่ เปน็
อบุ าสกิ าผเู้ ลศิ กวา่ อบุ าสกิ าอน่ื ในดา้ นการถวายทาน ในคมั ภรี ช์ นั้ หลงั กลา่ วถงึ ประวตั ขิ องนางวสิ าขาว่า
ท่านเกิดในตระกูลม่ังคั่งของแคว้นมคธ เป็นผู้มีรูปกายสวยงาม มีก�ำลังกายมาก มีปัญญามาก
นางบรรลธุ รรมเปน็ พระโสดาบนั ตงั้ แตอ่ ายไุ ด้ 7 ปี และฝกั ใฝใ่ นการทำ� บญุ ถวายทานแดพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์
นบั แตน่ น้ั เมอ่ื ทา่ นเตบิ โตเปน็ สาว ไดแ้ ตง่ งานออกเรอื นไปในตระกลู เศรษฐอี กี ตระกลู หนง่ึ และยงั คง
ศรัทธาในพระพุทธศาสนาไม่เปล่ียนแปลง เป็นเหตุให้ขัดแย้งกับพ่อสามีซ่ึงนับถือนักบวชสมณะ
อกี ส�ำนักหนง่ึ และดว้ ยปัญญาของนาง สามารถท�ำใหพ้ อ่ สามเี ขา้ ใจค�ำสอนในพระพทุ ธศาสนาและ
ศรทั ธาในพระรตั นตรยั ได ้ ทา่ นเปน็ ผมู้ ง่ั คง่ั เปน็ เจา้ ของเครอ่ื งประดบั อนั ลำ้� คา่ ทเี่ รยี กวา่ มหาลดาปสาธน ์
ซ่ึงต่อมาท่านได้ขายเครื่องประดับนี้เพ่ือน�ำเงินมาสร้างวัดนามว่าวัดบุพพาราม ในเมืองสาวัตถี
(พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลไทย เลม่ 41: 73-100)

อย่างไรก็ตาม สง่ิ ที่สะท้อนความละเอยี ดถถี่ ้วนของความเปน็ หญงิ ในการถวายทาน ไม่ใช่
การถวายทานจ�ำนวนมากหรือสารพัดอย่างของท่าน แต่คือความเอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของ

196 พลงั ผหู้ ญิง แม่ เมยี และเทพสตร:ี ความจรงิ และภาพแทน

พระภกิ ษพุ ระภกิ ษณุ ใี นสภาพการณต์ า่ งๆ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากเหตผุ ลทน่ี างวสิ าขากราบทลู พระพทุ ธเจา้
ประทานอนญุ าตให้พระสงฆย์ อมรับผ้าอาบน้ำ� ฝน และทานอ่นื ๆ ท่ีนางจะถวายทาน 8 ประการ ดังนี้

พระพทุ ธเจา้ ขา้ วนั นี้หม่อมฉนั สัง่ ทาสวี ่า ไปเถดิ แมท่ าสี เจ้าจงไปอาราม แลว้ บอก
ภตั รกาลวา่ ภตั ตาหารเสรจ็ แลว้ เจา้ ขา้ และนางกไ็ ปวดั ไดเ้ หน็ ภกิ ษทุ ง้ั หลายเปลอ้ื งผา้ สรงสนานกายอยู่
เขา้ ใจผดิ คดิ วา่ ไมม่ ภี กิ ษใุ นอาราม มแี ตพ่ วกอาชวี กสรงสนานกายอยู่ จงึ กลบั มาบา้ น แลว้ รายงานแก่
หม่อมฉันว่า คุณนาย ไม่มีภิกษุในอาราม มีแต่พวกอาชีวกสรงสนานกายอยู่ พระพุทธเจ้าข้า
ความเปลือยกายไม่งาม น่าเกลียด น่าชัง หม่อมฉันเห็นอ�ำนาจประโยชน์นี้ จึงปรารถนาจะถวาย
ผ้าวสั สกิ สาฎกแกพ่ ระสงฆ์ จนตลอดชีพ (1)

อน่งึ ขอ้ อืน่ ยงั มีอกี พระพุทธเจ้าขา้ พระอาคนั ตกุ ะไม่ชำ� นาญหนทาง ไมร่ ้จู กั ทโ่ี คจร
ย่อมเท่ียวบิณฑบาตล�ำบาก ท่านฉันอาคันตุกภัตรของหม่อมฉันพอช�ำนาญหนทาง รู้จักท่ีโคจร
จักเทยี่ วบณิ ฑบาตไดไ้ มล่ ำ� บาก หม่อมฉนั เห็นอ�ำนาจประโยชนน์ ี้ จงึ ปรารถนาจะถวายอาคันตกุ ภตั ร
แกพ่ ระสงฆ์ จนตลอดชพี (2)

อนง่ึ ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี พระพทุ ธเจา้ ขา้ พระผเู้ ตรยี มตวั จะไปมวั แสวงหาภตั ตาหารเพอื่ ตนอยู่
จกั พลาดจากหมเู่ กวยี น หรอื จกั ถงึ สถานทที่ ต่ี นตอ้ งการจะไปอยเู่ มอ่ื พลบคำ่� จกั เดนิ ทางลำ� บาก ทา่ นฉนั
คมกิ ภตั รของหมอ่ มฉนั แลว้ จกั ไมพ่ ลาดจากหมเู่ กวยี น หรอื จกั ถงึ สถานทท่ี ต่ี นตอ้ งการจะไปอยไู่ มพ่ ลบคำ่�
จักเดินทางไม่ล�ำบาก หม่อมฉันเห็นอ�ำนาจประโยชน์น้ีจึงปรารถนาจะถวายคมิกภัตรแก่พระสงฆ์
จนตลอดชพี (3)

อนง่ึ ขอ้ อน่ื ยงั มอี กี พระพทุ ธเจา้ ขา้ เมอื่ พระอาพาธไมไ่ ดโ้ ภชนาหารทเ่ี ปน็ สปั ปายะอาพาธ
กำ� เรบิ หรอื ทา่ นจกั ถงึ มรณภาพ เมอื่ ทา่ นฉนั คลิ านภตั รของหมอ่ มฉนั แลว้ อาพาธจกั ทเุ ลาทา่ นจกั ไมถ่ งึ
มรณภาพ หมอ่ มฉันเห็นอ�ำนาจประโยชนน์ ี้ จงึ ปรารถนาจะถวายคลิ านภตั รแกส่ งฆ์ จนตลอดชพี (4)

อน่ึง ข้ออื่นยังมอี ีก พระพุทธเจา้ ข้า พระผพู้ ยาบาลพระอาพาธ มวั แสวงหาภตั ตาหาร
เพอ่ื ตน จกั นำ� ภตั ตาหารไปถวายพระอาพาธจนสาย ตนเองจกั อดอาหาร ทา่ นไดฉ้ นั คลิ านปุ ฏั ฐากภตั ร
ของหม่อมฉันแลว้ จักนำ� ภัตตาหารไปถวายพระอาพาธตามเวลา ตนเองกจ็ กั ไมอ่ ดอาหาร หมอ่ มฉนั
เหน็ อำ� นาจประโยชนน์ ้ี จงึ ปรารถนาจะถวายคลิ านปุ ฏั ฐากภตั รแกพ่ ระสงฆ์ จนตลอดชีพ (5)

อนง่ึ ขอ้ อ่ืนยังมีอกี พระพทุ ธเจา้ ขา้ เมื่อพระอาพาธไมไ่ ดเ้ ภสัชทเ่ี ปน็ สปั ปายะอาพาธ
จกั กำ� เรบิ หรอื จกั ถงึ มรณภาพ เมอื่ ทา่ นฉนั คลิ านเภสชั ของหมอ่ มฉนั แลว้ อาพาธจกั ทเุ ลา ทา่ นจกั ไมถ่ งึ
มรณภาพ หมอ่ มฉนั เหน็ อำ� นาจประโยชนน์ ้ี จงึ ปรารถนาจะถวายคลิ านเภสชั แกพ่ ระสงฆ์ จนตลอดชพี (6)

อน่ึง ข้ออ่ืนยังมีอีก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงเห็นอานิสงส์ 10 ประการ ได้ทรง
อนุญาตยาคไู วแ้ ล้ว ทเี่ มืองอันธกวินทะ หมอ่ มฉันเหน็ อานสิ งสต์ ามท่ีพระองค์ตรสั นัน้ จงึ ปรารถนาจะ
ถวายยาคปู ระจ�ำแก่สงฆ์ จนตลอดชพี (7)

พระพทุ ธเจ้าขา้ ภกิ ษณุ ที ้งั หลายเปลือยกายอาบน้�ำร่วมทา่ กับหญงิ แพศยา ณ แมน่ �้ำ
อจิรวดีนี้ หญิงแพศยาเหล่าน้ันพากันเย้ยหยันภิกษุณีว่า แม่เจ้าเอ่ยพวกท่านก�ำลังสาวประพฤติ
พรหมจรรย์จะไดป้ ระโยชน์อะไร ควรบรโิ ภคกามมิใช่หรือ ประพฤติพรหมจรรยต์ อ่ เม่อื แก่เฒ่าอย่างนี้
จกั เปน็ อนั พวกทา่ นยดึ สว่ นทงั้ สองไวไ้ ด้ ภกิ ษณุ เี หลา่ นนั้ ถกู พวกหญงิ แพศยาเยย้ หยนั อยู่ ไดเ้ ปน็ ผเู้ กอ้
ความเปลอื ยกายของมาตคุ ามไมง่ าม นา่ เกลยี ด นา่ ชงั หมอ่ มฉนั เหน็ อำ� นาจประโยชนน์ ี้ จงึ ปรารถนา
จะถวายผ้าอุทกสาฎก แกภ่ กิ ษณุ สี งฆ์ จนตลอดชีพ (8)

(พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปลไทย เลม่ 7: 284-286)

พลงั ผูห้ ญงิ แม่ เมยี และเทพสตรี: ความจรงิ และภาพแทน 197

แตล่ ะขอ้ แสดงใหเ้ หน็ ปญั ญาของนางวสิ าขาในเรอ่ื งตา่ งๆ ขอ้ 2-6 แสดงความละเอยี ดถถ่ี ว้ น
ในการอ�ำนวยความสะดวกแก่พระสงฆ ์ ทำ� ใหพ้ ระสงฆ์ทีป่ ระสบกบั ปัญหา หรอื มีภาระหนา้ ท่ี ไม่ตอ้ ง
กงั วลกับการแสวงหาภตั ตาหาร เภสชั ภิกษุอาพาธสามารถฟืน้ ตัวไดเ้ รว็ พระภกิ ษุท่ีท�ำหนา้ ท่ี
พยาบาลภกิ ษุอาพาธตลอดเวลากส็ ามารถทำ� หนา้ ทพ่ี ยาบาลไดเ้ ต็มที่ ภกิ ษอุ าคนั ตุกะซึง่ ยงั ไม่คนุ้ ชิน
กบั สถานทีใ่ หมๆ่ กส็ ามารถรับภตั ตาหารได้โดยไมต่ ้องเรยี นรสู้ ถานทท่ี ่จี ะบณิ ฑบาต ภิกษผุ ตู้ ้องการ
เดินทางกจ็ ะสามารถรับภัตตาหารและออกเดินทางไดท้ นั ท ี ในข้อ 7 นางวสิ าขายังเสนอให้พระสงฆ์
รบั นำ้� ขา้ วยาคอู นั เป็นเภสัช ซง่ึ พระพุทธเจ้าตรัสถึงประโยชน์ต่อสขุ ภาพไว5้

ส่วนในข้อ 1 และ ข้อ 8 มีหลกั คลา้ ยกนั คอื เพอ่ื รักษาความน่าเคารพนบั ถือในฐานะผู้ทรงศลี
ในสายตาของคนทว่ั ไป โดยทา่ นไดพ้ จิ ารณาเหน็ วา่ พระภกิ ษแุ ละพระภกิ ษณุ มี จี วี รจำ� กดั ตามบญั ญตั ิ
ในพระวินยั เวลาอาบน้ำ� ในทส่ี าธารณะ เชน่ ขณะทฝี่ นตก พระภิกษุจะตอ้ งเปลือยกายอาบน้�ำฝน
ซ่ึงเป็นสภาพที่ดูไม่เหมาะสมแก่ผู้พบเห็น พระสงฆ์จึงควรมีผ้าอาบน้�ำฝนเป็นบริขารเพิ่มเติมอีกชิ้น
หนึง่ เพ่อื ปกปดิ อวัยวะเพศท่ีน่าละอาย เช่นเดยี วกนั กับพระภกิ ษณุ ีซ่ึงต้องเปลอื ยกายอาบน้�ำร่วม
กับหญิงคฤหัสถ์อ่นื ๆ ควรจะมีผ้าอีกผนื หนง่ึ ส�ำหรับนงุ่ อาบนำ้� นบั ไดว้ า่ นางวสิ าขาเป็นพุทธสาวกิ า
ท�ำคุณประโยชน์ให้แก่คณะสงฆ์ในฐานะท่ีเป็นคฤหัสถ์ผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาต้องการพัฒนา
คณุ ภาพชวี ติ สง่ เสรมิ ฐานะของพระภกิ ษภุ กิ ษณุ สี งฆใ์ หด้ ขี น้ึ กวา่ ทเ่ี ปน็ อยู่ ตลอดจนปอ้ งกนั ครหาหรอื
ปญั หาใดๆ ทอี่ าจเกดิ ขน้ึ เปน็ การสรา้ งความศรัทธาแก่ผพู้ บเห็น
สรุป

เรอื่ งราวของพทุ ธสาวกิ าในพระไตรปฎิ กสะท้อนพลงั ของผหู้ ญงิ ในพระพุทธศาสนาซงึ่ เปน็ ท่ี
ยอมรบั ในคณะสงฆท์ ศี่ กึ ษาสบื ทอดคำ� สอนจากพทุ ธกาลมาถงึ ปจั จบุ นั การศกึ ษาเรอื่ งราวเหลา่ นี้ ทำ� ให้
เหน็ ว่า พุทธสาวิกาได้รับการกลา่ วถึงในด้านความสามารถทางธรรมไมต่ ่างจากพุทธสาวก แต่ด้วย
ความกดดันทางสังคมและวัฒนธรรม ภาพลักษณ์ของพุทธสาวิกาท่ีปรากฏจึงมีจ�ำนวนไม่มากเมื่อ
เทียบกบั เร่อื งราวของพทุ ธสาวก โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์

ถงึ กระนนั้ กเ็ หน็ ไดว้ า่ ภายใตค้ วามไมเ่ ทา่ เทยี มนนั้ ภาพของพทุ ธสาวกิ าปรากฏเปน็ อสิ ระ
จากพุทธสาวกอย่างเด่นชัด พุทธสาวิกาท่ีเป็นภิกษุณีมีความอดทนในการใช้ชีวิตภายใต้สิกขาบท
ที่เข้มงวด ในสังคมวัฒนธรรมท่ียังไม่ยอมรับนักบวชผู้หญิง ด้วยความเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง
การบญั ญตั สิ กิ ขาบทและกฏระเบยี บตา่ งๆ บางทา่ นมงุ่ มน่ั ในการศกึ ษาปฏบิ ตั ธิ รรมโดยใชป้ ระสบการณ์
ชวี ติ เปน็ แรงผลกั ดนั ในการพฒั นาตนเองและใชป้ ระสบการณน์ นั้ ในการสอนตนเองและผอู้ นื่ ใหเ้ หน็ แจง้
บางทา่ นมคี วามสามารถในการแสดงธรรม โดยมพี ระสตู รทบี่ นั ทกึ เรอ่ื งราวการสนทนาธรรมของพทุ ธสาวกิ า
เปน็ หลกั ฐานวา่ พระพทุ ธศาสนายอมรบั ความสามารถของผหู้ ญงิ ในการสบื ทอดพระพทุ ธศาสนา และ
สดุ ทา้ ย พทุ ธสาวิกาบางท่านท่เี ปน็ อุบาสกิ ามีความละเอยี ดถถี่ ว้ นในการบ�ำรงุ อุปฏั ฐากพระสงฆ์ ให้
ได้รบั ความสะดวก สนบั สนุนคุณภาพชวี ิตของพระภิกษสุ งฆใ์ หด้ ขี ้นึ เป็นกำ� ลงั ให้ศกึ ษาปฏิบตั ิธรรม

ทงั้ หมดนจี้ งึ กลา่ วไดว้ า่ พระไตรปฎิ กไดแ้ สดงบทบาทของผหู้ ญงิ ไวอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ มสี ว่ นสำ� คญั
ในการสร้างสรรคจ์ รรโลงพระพทุ ธศาสนา

198 พลังผหู้ ญิง แม่ เมีย และเทพสตรี: ความจริง และภาพแทน

บรรณานกุ รม
พระไตรปฎิ กและอรรถกถาแปลไทย เลม่ 7, 36, 41, 45 ฉบับมหามกฏุ ราชวิทยาลัย พ.ศ. 2555.
ฌัชปภา วาสงิ หน. “ความเข้าใจเกยี่ วกบั พุทธประสงค์ในการประดษิ ฐานภิกษุณีสงฆ”์ วารสารพุทธ
ศาสนศ์ ึกษา 19 (ก.ย.-ธ.ค.), 45-63, 2555.
ธรรมปฎิ ก, พระ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). ทศั นะของพระพทุ ธศาสนาตอ่ สตรแี ละการบวชเปน็ ภกิ ษณุ .ี กรงุ เทพ:
มลู นิธิพทุ ธธรรม, 2544.
บรรจบ บรรณรจุ .ิ ภกิ ษณุ :ี พทุ ธสาวกิ าครง้ั พทุ ธกาล. กรงุ เทพ: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2539.
มนตร ี สริ ะโรจนานนั ท.์ สตรใี นพระพทุ ธศาสนา. กรงุ เทพ: สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2557.
ลักษณ์วัต ปาละรัตน์. สตรีในมุมมองของพุทธปรัชญา. กรุงเทพ: ส�ำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ ์
มหาวทิ ยาลัย, 2545.
สมพรนุช ตันศรีสุข. งานนิพนธ์พระสารีบุตรในพระไตรปิฎกบาลี. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร
มหาบัณฑิต สาขาวชิ าภาษาบาลแี ละสันสกฤต จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2550.
สมภาร พรมทา. “สตรีในทัศนะของพุทธศาสนา” วารสารพุทธศาสน์ศึกษา 3 (ก.ย.-ธ.ค.),
38-52, 2537.

ผูห้ ญิงในพระพทุ ธศาสนา

ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.มนตรี สริ ะโรจนานนั ท์

ภาควิชาประวตั ศิ าสตร์ ปรัชญา วรรณคดอี ังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

บทนำ�
เรอื่ งผหู้ ญงิ ในพระพทุ ธศาสนาถอื เปน็ เรอื่ งทค่ี วรใหค้ วามสนใจ เพราะผหู้ ญงิ มสี ถานภาพและ

บทบาทในพระพทุ ธศาสนาในฐานะพทุ ธบรษิ ทั 4 คอื ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อบุ าสก และอบุ าสกิ า ในพทุ ธบรษิ ทั
ทงั้ สน่ี ี้ ผหู้ ญงิ มสี ว่ นรว่ มอยคู่ รงึ่ หนงึ่ ในฐานะภกิ ษณุ แี ละอบุ าสกิ า แมใ้ นพระพทุ ธศาสนาจะมกี ารกลา่ วถงึ
ผู้หญิงในสถานะดังกล่าว ถึงกระนั้น เม่ือพุทธศาสนิกชนเปิดค้นข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงในคัมภีร์หลัก
ของพระพทุ ธศาสนา คอื พระไตรปฎิ ก และคมั ภรี ร์ อง คอื อรรถกถา จะพบเรอ่ื งราวและคำ� สอนเกย่ี วกบั
ผู้หญิงทั้งที่ดีและไม่ดีปะปนกัน เรื่องที่ดีดูเหมือนจะไม่มีข้อสงสัยและไม่ยากที่จะท�ำความเข้าใจนัก
แต่เรื่องท่ีไม่ดี อาจก่อให้เกิดความเคลือบแคลงได้ว่า ค�ำสอนเหล่านั้นเป็นค�ำสอนของพระพุทธเจ้า
จรงิ หรอื ไม่ หรอื มีใครบางคนแอบปลอมปนเข้ามา

นอกจากนี้ เร่ืองราวเกี่ยวกับผู้หญิงในฐานะอุบาสิกาและภิกษุณี ยังมีแง่มุมและประเด็นท ่ี
นา่ สนใจศกึ ษาทำ� ความเขา้ ใจใหก้ ระจา่ ง ผหู้ ญงิ ในฐานะอบุ าสกิ ามขี อ้ มลู หลกั ฐานตามคมั ภรี อ์ ธบิ ายเรอ่ื ง
และบทบาทไวอ้ ยา่ งไรบา้ ง เพอ่ื จะเปน็ ฐานขอ้ มลู นำ� มาประกอบการทำ� ความเขา้ ใจผหู้ ญงิ ในยคุ ปจั จบุ นั
สำ� หรบั ผหู้ ญงิ ในฐานะภกิ ษณุ นี นั้ มเี รอ่ื งทคี่ วรทำ� ความเขา้ ใจคอื เพราะเหตใุ ด พระพทุ ธเจา้ จงึ กำ� หนด
ใหผ้ ้หู ญิงตอ้ งบวชเป็นภกิ ษุณจี ากสงฆ์ 2 ฝ่าย

ฉะนนั้ ในบทความน้ี ผเู้ ขยี นจะขอเลา่ เรอื่ งราวตา่ งๆ เกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ โดยไดก้ ำ� หนดขอบขา่ ยไว้
3 ประการ คอื 1) เรอื่ งคำ� สอนเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ 2) ผหู้ ญงิ ในอดตี สมยั พทุ ธกาล 3) ผหู้ ญงิ ในพระพทุ ธ
ศาสนาในสงั คมไทย
คำ� สอนเก่ยี วกบั ผู้หญงิ

ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาน้ัน มีค�ำสอนเกี่ยวกับผู้หญิงทั้งที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป
เรอื่ งทด่ี ีเช่น ผหู้ ญงิ สามารถศกึ ษาธรรม ปฏิบตั ธิ รรมและบรรลุธรรมได้ ไม่มีการกีดกนั หรือสงวนไว้
เฉพาะผชู้ าย ชายหรอื หญงิ กส็ ามารถทจี่ ะกระทำ� ดแี ละชว่ั ไดเ้ สมอเหมอื นกนั ไมว่ า่ เพศใดใครทำ� ดยี อ่ ม
ไดด้ ี ใครท�ำชั่วย่อมได้ชั่ว ไมม่ กี ารเลอื กเพศ หรอื ชนช้นั และวรรณะ เร่อื งผู้หญงิ ในพระพุทธศาสนา
ดา้ นดีเหล่าน้ี พุทธศาสนิกชนทีไ่ ดอ้ า่ นแล้ว อาจไม่มีข้อสงสัยหรือแปลกใจใดๆ

200 พลงั ผ้หู ญิง แม่ เมีย และเทพสตร:ี ความจริง และภาพแทน

แต่ในทางตรงกันข้าม ยังมีเร่ืองราวเก่ียวกับผู้หญิงที่ปรากฏในคัมภีร์ในด้านไม่ดีอยู่หลาย
คมั ภีรด์ ้วยกนั พทุ ธศาสนิกชนบางคนเมอื่ ไดอ้ ่านพระไตรปฎิ กในเล่มที่ 27 หรอื 28 จะมเี ร่ืองราว
เกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ทไี่ มด่ อี ยหู่ ลายเรอ่ื ง ตวั อยา่ งเชน่ คำ� กลา่ ววา่ “หญงิ ทงั้ หลายยวั่ ยวนใหล้ มุ่ หลงมมี ายามาก
ทำ� พรหมจรรยใ์ หก้ ำ� เรบิ ยอ่ มทำ� ใหล้ ม่ จมเสยี หาย ชายรแู้ จง้ ชดั แลว้ พงึ เวน้ เสยี ใหห้ า่ งไกล” (ข.ุ ชา (ไทย)
28/349/154)

ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27 และ 28 น้ี เป็นเลม่ ท่พี ระเถระผู้สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั รวบรวม
จัดหมวดหมู่ไว้ โดยจัดหมวดหมู่ท้ังสองเล่มนี้ให้เป็นเร่ืองเก่ียวกับชาดกท้ังหมด เมื่อกล่าวถึงชาดก
ชาวพุทธส่วนใหญจ่ ะนึกถงึ นทิ านชาดก ดังนนั้ เรื่องเกีย่ วกับผูห้ ญิงในชาดกเหลา่ นี้ จึงเปน็ ลักษณะ
เรอ่ื งเลา่ หรอื เปน็ นทิ านประกอบการสอนของพระพทุ ธเจา้ หลายคนอาจตง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ นทิ านเหลา่ น้ี
ไมน่ า่ ทจ่ี ะเปน็ เรอื่ งทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนจรงิ แตผ่ เู้ ขยี นเหน็ วา่ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงยกนทิ านเหลา่ น ี้
มาประกอบการสอนคนในยุคนั้น พระองค์จึงทรงเล่าเร่ืองที่มีอยู่ในสมัยนั้นและเป็นท่ีเข้าใจง่าย
แกย่ คุ สมยั ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ อาจมเี รอื่ งเกย่ี วกบั ผหู้ ญงิ ทดี่ เู หมอื นเปน็ ลกั ษณะตำ� หนิ ดหู มนิ่ ประกอบอยดู่ ว้ ย
ในความเปน็ จรงิ แลว้ ในชาดกเหลา่ นนั้ ยงั มเี รอื่ งอนื่ ๆ อกี มาก และรวมถงึ เรอ่ื งเกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ ในดา้ นดี
กม็ อี ยดู่ ว้ ย เชน่ ในสลุ สาชาดก มขี อ้ ความทกี่ ลา่ วถงึ ผหู้ ญงิ วา่ มปี ญั ญา มคี วามสามารถ ทดั เทยี มผชู้ าย
วา่ “ใช่วา่ ชายจะเปน็ บัณฑิตในที่ทุกสถานกห็ าไม่ แมห้ ญงิ มีปัญญาเหน็ ประจักษ์ในเร่อื งน้นั ๆ กเ็ ปน็
บัณฑิตได้ ใช่ว่าชายจะเป็นบัณฑิตในที่ทุกสถานก็หาไม่ แม้หญิงมีปัญญาคิดเน้ือความได้ฉับพลัน
กเ็ ป็นบัณฑติ ได”้ (ขุ.ชา. (ไทย) 27/22-23/288)

จากเร่ืองเก่ียวกับชาดกดงั ท่ีไดก้ ล่าวมาข้างตน้ นี้ ผเู้ ขยี นเคยได้เขยี นสรุปไว้ในหนังสอื สตรี
ในพระพุทธศาสนา ว่าเป็นเพราะเหตุปจั จยั 5 ประการ (มนตร ี สริ ะโรจนานันท,์ 2557: 20) ไดแ้ ก่
1) เป็นการสอนเฉพาะคนหรือเฉพาะกรณี ในชาดกท่ีมีเร่ืองเก่ียวกับผู้หญิงที่ไม่ดีปรากฏอยู่นั้น
พระพทุ ธเจา้ มงุ่ สอนพระภกิ ษบุ วชใหมใ่ หค้ ลายจากความกำ� หนดั ยนิ ดใี นเพศตรงขา้ ม ซง่ึ ปญั หาใหญข่ อง
พระภกิ ษุที่บวชใหม่ ซึง่ ยังเป็นหนุม่ ส่วนมากและเกือบท้งั หมดคอื มีคนรักอยแู่ ลว้ กอ่ นบวช เมอ่ื บวช
มาแล้วจึงยังไม่สามารถท่ีจะตัดใจจากคนท่ีตนรักเพ่ือมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มท่ี ฉะน้ัน
พระพทุ ธเจา้ จงึ ตอ้ งพยายามหากศุ โลบายในการสอนและชาดกเกยี่ วกบั ผหู้ ญงิ กเ็ ปน็ วธิ กี ารอยา่ งหนง่ึ
ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงใช้ และชาดกเรอื่ งนนั้ ๆ กเ็ ปน็ การสอนเฉพาะกรณี มไิ ดห้ มายถงึ ใชป้ ระกอบการสอน
ในทุกกรณี

2) ผู้ฟงั สว่ นใหญเ่ ปน็ พระภกิ ษุ ขอ้ ทส่ี องกต็ อ่ เนอ่ื งจากขอ้ แรก เรอื่ งเลา่ ในชาดกนนั้ พระพทุ ธเจา้
ใชเ้ ปน็ กศุ โลบายเพอื่ สอนพระภกิ ษเุ ปน็ หลกั หลายเรอ่ื งในชาดกทง้ั ทเี่ กยี่ วกบั ผหู้ ญงิ เมอื่ พระพทุ ธเจา้
ประสงค์จะตรสั สอนพระภกิ ษุ พระองคจ์ ึงใช้ทั้งคำ� ส่ังสอน ทั้งปฏบิ ตั ใิ ห้ดู และสอนด้วยเรอื่ งเลา่ หรือ
สภาพแวดลอ้ มรอบขา้ ง เพอื่ ใหพ้ ระภกิ ษสุ าวกของพระองคม์ คี วามตงั้ ใจปฏบิ ตั ติ ามธรรมวนิ ยั มกี ำ� ลงั ใจ และ
ไม่เบื่อหน่ายในการประพฤติพรหมจรรย์

3) ให้คุณค่าแก่ความเป็นบรรพชิต (พระภิกษุ) ข้อนี้ก็เช่นเดียวกันเป็นเรื่องต่อเน่ืองจาก
สองขอ้ แรก เมอื่ บคุ คลใดตดั สนิ ใจออกบวชเปน็ พระภกิ ษใุ นพระพทุ ธศาสนาแลว้ จะตอ้ งมภี าระหนา้ ท่ี
ทตี่ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามทง้ั ขอ้ หา้ มมใิ หก้ ระทำ� (คอื พระวนิ ยั ) และหลกั ปฏบิ ตั ทิ คี่ วรปฏบิ ตั ติ าม (คอื พระธรรม)
ซง่ึ หลกั การทงั้ สองอยา่ งนี้ จะมเี รอ่ื งทม่ี าขดั ขวางหรอื อาจทำ� ใหพ้ ระภกิ ษปุ ฏบิ ตั ไิ ดไ้ มเ่ ตม็ ท่ี คอื ผหู้ ญงิ
ซ่ึงเป็นเพศตรงข้าม ดังน้ัน พระพุทธเจ้าจึงได้แนะน�ำพร่�ำสอนให้พระภิกษุเรียนรู้และสังวรระวัง


Click to View FlipBook Version