The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานฉบับกลาง (Interim Report)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kanokwan Chartsuwan, 2023-02-07 04:54:10

รายงานฉบับกลาง (Interim Report)

รายงานฉบับกลาง (Interim Report)

รายงานฉบับกลาง (Interim Report) โครงการศึกษาวิจัยว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานและ การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของสำนักงานอัยการสูงสุด (Research Project: Public Participation in the Administration of Criminal Justice by Office of the Attorney General) โดย สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอต่อ สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด พฤศจิกายน 2565


สารบัญ หน้า บทที่ 1 ข้อกำหนดการศึกษาและแผนการดำเนินงาน 1 1. หลักการและเหตุผล 1 2. วัตถุประสงค์ของโครงการ 2 3. เป้าหมายของการจัดการจ้างที่ปรึกษา 2 4. กรอบแนวคิดในการดำเนินการศึกษาและงานที่ที่ปรึกษาจะต้องรับผิดชอบ 3 5. วิธีการดำเนินการศึกษา 6 6. ระยะเวลาดำเนินการ 9 7. แผนการดำเนินงาน 10 8. การดำเนินงานและการส่งมอบงาน 12 9. คณะที่ปรึกษา สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 13 บทที่ 2 แนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของกฎหมายต่างประเทศ 14 1. ประเทศญี่ปุ่น 14 1.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจและชั้นพนักงานสอบสวน 14 1.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ 16 1.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล 24 2. สาธารณรัฐเกาหลี 29 2.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ 29 2.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ 30 2.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล 32 3. สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 34 3.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ 34 3.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ 35 3.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล 36 4. สาธารณรัฐฝรั่งเศส 38 4.1 การมีของส่วนร่วมประชาชนในชั้นตำรวจ 38 4.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ 40 4.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล 42 5. ราชอาณาจักรนอร์เวย์ 43 5.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ 44 5.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ 44


สารบัญ หน้า 5.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล 45 6. ประเทศสกอตแลนด์ 47 6.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ 47 6.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ 48 6.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล 50 7. ประเทศอังกฤษ 55 7.1 การมีส่วนร่วมในชั้นตำรวจ 55 7.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการฟ้องคดี 56 7.3 การมีส่วนร่วมในกระบวนการทางศาล 57 7.4 การมีส่วนร่วมในการบังคับโทษ 58 8. สหรัฐอเมริกา 59 8.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ 59 8.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการฟ้องคดี 60 8.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนพิจารณาทางศาล 60 บทที่ 3 สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงาน 62 1. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคใต้ 64 2. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 76 3. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคกลาง 85 4. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคเหนือ 100 5. สรุปข้อมูลจากแบบสอบถามทางออนไลน์ 106 6. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงาน 4 ภาค และแบบสอบถาม 109 บทที่ 4 สรุปผลการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมหรือนักวิชาการ ในสาขาที่เกี่ยวข้อง 128 1. ประเทศญี่ปุ่น 128 2. สาธารณรัฐเกาหลี 135 บทที่ 5 การวิเคราะห์ผลการเก็บข้อมูล 141 1. สรุปรูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนและกฎหมายของหน่วยงาน กระบวนการยุติธรรม 141 2. การแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนของหน่วยงานอัยการ 143


สารบัญ หน้า 3. ข้อจำกัดในการแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนของ หน่วยงานอัยการ 146 3.1 ไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจน 146 3.2 วาระการโยกย้ายอัยการจังหวัดทำให้งานไม่ต่อเนื่อง 148 3.3 ลักษณะงานของสำนักงานอัยการจังหวัดที่ใช้กฎหมายและเป็นความลับ 149 3.4 ปัญหาการรับรู้ของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมในหน่วยงานอัยการ 151 4. ข้อเสนอแนะกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในหน่วยงานอัยการ 153 4.1 การออกกฎหมายเพื่อการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ในหน่วยงานอัยการ 153 4.2 บทบาทของสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย และการบังคับคดีต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในหน่วยงานอัยการ 155 4.3 การส่งเสริมการรับรู้ของประชาชนเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในหน่วยงานอัยการ 156 4.4 ข้อเสนอแนะอื่น ๆ 158 5. การวิเคราะห์ระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม ต่างประเทศ 161 5.1 ข้อสังเกตจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิชาวต่างประเทศ 161 5.2 การเปรียบเทียบระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม ต่างประเทศและประเทศไทย 162 งานที่คณะที่ปรึกษาจะดำเนินการต่อไป 166 ภาคผนวก 1 ข้อคำถามการสัมภาษณ์ เรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม 167 ภาคผนวก 2 ภาพการลงพื้นที่สัมภาษณ์และเก็บข้อมูล 4 ภูมิภาค 173


สารบัญตาราง หน้า บทที่ 3 ตารางที่ 1 การลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคใต้ 64 ตารางที่ 2 การลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 76 ตารางที่ 3 การลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคกลาง 85 ตารางที่ 4 การลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคเหนือ 100 ตารางที่ 5 สรุปจำนวนการสัมภาษณ์ 109 ตารางที่ 6 สรุปจำนวนการตอบแบบสอบถาม 110 ตารางที่ 7 สรุปจำนวนการสัมภาษณ์และการตอบแบบสอบถาม 110 บทที่ 5 ตารางที่ 1 สรุปโครงการที่เป็นกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนของหน่วยงาน กระบวนการยุติธรรม 142 ตารางที่ 2 นโยบายและกฎหมายที่กำกับการจัดทำกลไกประชาชนมีส่วนร่วม ในกระบวนการยุติธรรม 144


1 บทที่ 1 ข้อกำหนดการศึกษาและแผนการดำเนินงาน ในบทนี้ คณะที่ปรึกษาได้จัดทำกรอบการศึกษา วิธีการศึกษา และแผนการดำเนินงานตามโครงการ ศึกษาวิจัยว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานและการอำนวยความยุติธรรมทางอาญา ของสำนักงานอัยการสูงสุด ดังนี้ 1. หลักการและเหตุผล กระบวนการยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยเน้นความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ โดยการ มีส่วนร่วมของประชาชนในระดับต่าง ๆ เป็นสิ่งที่รัฐส่งเสริมและสนับสนุน หลักการดังกล่าวสอดคล้องกับ หลักในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 68 ซึ่งกำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และ ไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร และแผนปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมในการพัฒนากลไก ช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมา สำนักงานอัยการจังหวัดบางแห่งได้ริเริ่มเปิดช่องทางให้ประชาชน/ภาคเอกชนเข้ามา มีส่วนร่วมในการพัฒนาบริหารงานในสำนักงานอัยการด้วยการจัดตั้ง “คณะกรรมการมีส่วนร่วม ภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด...” ขึ้นทั่วประเทศ แต่ในปัจจุบันยังไม่ปรากฏเป็นที่ แน่ชัดว่ามีสำนักงานอัยการแห่งใดบ้างที่เริ่มเปิดช่องทางให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการอำนวย ความยุติธรรม หรือแม้ว่าอาจมีสำนักงานอัยการจังหวัดใดที่ได้เริ่มต้นโครงการที่ให้ภาคประชาสังคมเข้ามา มีส่วนร่วมดังกล่าวแล้ว ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรมว่าการให้ภาคประชาสังคมเข้ามา มีส่วนร่วมนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ โดยที่หลักการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการบริหาร กิจการภาครัฐนั้นเป็นทั้งหลักการและแนวคิดที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล อีกทั้งยังเป็นหลักการ ที่ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการ ยุติธรรม จึงสมควรที่จะมีการส่งเสริมช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จึงมี ความจำเป็นอย่างยิ่งที่การจะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวจะต้องอาศัยการศึกษาวิจัยเพื่อทบทวน ผลสัมฤทธิ์ของช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในช่องทางต่าง ๆ ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม และ ศึกษาจากแนวปฏิบัติที่ดี (Good Practice) ของหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่มีลักษณะงานทำนอง เดียวกันทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการศึกษาและวิเคราะห์ว่าประชาชนน่าจะมีส่วนร่วม ในกระบวนการยุติธรรมในระดับ ช่องทาง และรูปแบบอื่นใดได้อีก เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อทั้ง ภาครัฐและภาคประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของกระบวนการยุติธรรม อันอาจนำไปสู่ ความหวังในการที่จะมีกระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และน่าเชื่อถืออย่างแท้จริง


2 2. วัตถุประสงค์ของโครงการ 2.1 เพื่อทำการศึกษา ต่อยอด ทบทวน และประเมินประสิทธิภาพของ “คณะกรรมการมีส่วนร่วม ภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด...” 2.2 เพื่อศึกษาและวิเคราะห์กฎหมายและรูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงาน และอำนวยความยุติธรรมทางอาญา หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสำนักงานอัยการทั้งใน และต่างประเทศเพื่อให้ได้บทเรียน (lesson learned) และให้ได้แบบอย่างและแนวทางที่เหมาะสม (benchmark/good practice) 2.3 เพื่อเสนอแนะรูปแบบและกลไกที่เหมาะสมในการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ บริหารงานและการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของสำนักงานอัยการทั่วประเทศที่ดำเนินคดีอาญา 2.4 เพื่อให้ได้แนวทางในการปรับปรุง แก้ไข กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ สำนักงานอัยการสูงสุดสามารถดำเนินการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานและอำนวย ความยุติธรรมทางอาญาได้ 2.5 เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์สำหรับสำนักงานอัยการสูงสุดในการดำเนินการ ปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และแนวปฏิบัติ เพื่อให้สามารถดำเนินการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของสำนักงานอัยการสูงสุดได้อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักเสรี ประชาธิปไตย 3. เป้าหมายของการจัดการจ้างที่ปรึกษา 3.1 ได้ผลการประเมินและบทเรียนเกี่ยวกับรูปแบบ กลไก วิธีการ และประสิทธิภาพของ “คณะกรรมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด” และสรุปบทเรียน มาตรการ และกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนของหน่วยงานอื่นในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ หน่วยงานด้านการสืบสวนสอบสวน เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานตุลาการ เช่น สำนักงานศาลยุติธรรม 3.2 ได้แบบอย่างและแนวทางที่เหมาะสม (benchmark/good practice) จากการถอด บทเรียนและประสบการณ์ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของไทยและต่างประเทศในการให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารสำนักงานและการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของสำนักงาน อัยการทั่วประเทศที่ดำเนินคดีอาญา 3.3 ได้รายงานผลการศึกษาที่ครบถ้วน ครอบคลุม สามารถนำมาใช้สนับสนุนการพัฒนาระบบ การดำเนินงานของสำนักงานอัยการสูงสุดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ อำนวยความยุติธรรมทางอาญาได้ 3.4 ได้ผลการถอดบทเรียนและประสบการณ์ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของไทย และต่างประเทศที่มีเนื้อหาที่ชัดเจน สามารถนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานอื่นในกระบวนการ ยุติธรรมของไทยได้ด้วย


3 4. กรอบแนวคิดในการดำเนินการศึกษาและงานที่ที่ปรึกษาจะต้องรับผิดชอบ 4.1 หน้าที่ของรัฐในการบริหารกระบวนการยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 68 ซึ่งกำหนดให้รัฐพึง จัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร จากบทบัญญัติดังกล่าวทำให้รัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการจัดระบบการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร แต่ถ้าพิจารณาการบริหารจัดการกระบวนการยุติธรรมพบว่าเป็นการ ดำเนินงานโดยใช้องค์กรของรัฐเป็นหลัก และมีการดำเนินงานตามเป้าหมาย และตัวชี้วัดของแต่ละ หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ในลักษณะแยกส่วน ขาดการบูรณาการ และมีการดำเนินการอย่าง เป็นเอกเทศ จึงเกิดการบูรณาการน้อยกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งการดำเนินงานมิได้เปิดให้ประชาชนเข้ามา มีส่วนร่วมในการบริหารงานยุติธรรมเท่าที่ควร แผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม มีเป้าประสงค์เพื่ออำนวยความยุติธรรม ในแต่ละขั้นตอนให้เป็นไปอย่างโปร่งใสแล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด ประชาชนสามารถเข้าถึง กระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สร้างความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาระบบการบริหารงาน ยุติธรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เลือกปฏิบัติและเป็นธรรม โดยกำหนดกิจกรรมปฏิรูปประเทศ ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ จำนวน 5 กิจกรรม ประกอบด้วย 1) การให้ประชาชนสามารถติดตามความคืบหน้า ขั้นตอนการดำเนินงานด้านต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม 2) การรับแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่ 3) การจัดหาทนายความประจำสถานีตำรวจให้ครบทุกสถานี ทั่วประเทศ 4) ปฏิรูประบบการปล่อยชั่วคราว 5) การบันทึกภาพและเสียงในการตรวจค้น จับกุม และ การสอบปากคำในการสอบสวน ทั้งนี้ในการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ประชาชนทราบถึงระยะเวลา ดำเนินงานในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมได้ชัดเจน มีมาตรการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของ ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา และจำเลย ทำให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสะดวก รวดเร็ว ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสิทธิที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราว ในแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมดังกล่าวได้กำหนดส่วนที่ 2 กิจกรรมปฏิรูป ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ คือ 2.1 กิจกรรมปฏิรูปที่ 1 การให้ ประชาชนสามารถติดตามความคืบหน้า ขั้นตอนการดำเนินงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อกำหนด ระยะเวลาดำเนินงานในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมที่ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนได้รับความ ยุติธรรมโดยไม่ล่าช้า สร้างระบบการตรวจสอบ ติดตาม และแจ้งความคืบหน้าให้แก่ประชาชนทราบ จากการที่สำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งทำหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมทั้งทางแพ่ง ปกครอง และทางอาญา แม้ว่าในบางเรื่องจะไม่เป็นกิจกรรมที่กำหนดไว้ในแผนปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการ ยุติธรรมโดยเฉพาะเจาะจงก็ตาม แต่หากพิจารณาบทบาทหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎหมายแล้วจะเห็นได้ว่า สำนักงานอัยการสูงสุดมีส่วนที่จะอำนวยความยุติธรรม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงความเป็นธรรมตาม


4 แนวทางที่แผนปฏิรูปประเทศกำหนด ทั้งนี้เพราะสำนักงานอัยการสูงสุดมีบทบาทในกระบวนการ ยุติธรรมตามกฎหมายในข้อ 2 ดังนี้ 4.2 บทบาทของพนักงานอัยการในกระบวนการยุติธรรม แยกออกเป็นสามด้าน 4.2.1 การอำนวยความยุติธรรม ได้แก่ การบริหารงานยุติธรรมในส่วนฝ่ายบริหารของรัฐ เพื่อให้เกิดความสงบ เรียบร้อยและปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินโดยอัยการจะเป็นผู้พิจารณา พยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนที่พนักงานสอบสวนเสนอมาแล้ววินิจฉัยสั่งคดี ตลอดทั้งดำเนิน คดีอาญาทางศาลในฐานะทนายแผ่นดินตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น ๆ บัญญัติไว้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการ 4.2.2 การรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ได้แก่ การพิจารณาให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายแก่ ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ตรวจร่างสัญญา ตอบข้อหารือตลอดจนทั้งการดำเนินคดีในศาล ในฐานะทนายความของแผ่นดินแทนรัฐบาล หน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ หรือพระราชกฤษฎีกา 4.2.3 การคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย ได้แก่ การคุ้มครองสิทธิและรักษา ผลประโยชน์ของประชาชน ที่กฎหมายกำหนดไว้ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการ เช่น ในคดีแพ่ง ให้อำนาจอัยการเข้าไปคุ้มครองสิทธิของบุคคลไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนสาบสูญ การร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก การให้ความช่วยเหลือทางอรรถคดี โดยจัดการทนายอาสาให้ตลอด ทั้งการเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชนทั่วไป 4.3 แนวคิดในการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม (public participation) แนวคิดในการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการสาธารณะนั้น เป็นแนวคิดที่ได้รับการ ยอมรับในหลายๆ ประเทศ เพราะถือว่า เป็นบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมกับรัฐ และทำให้การ ให้บริการสาธารณะเป็นผลดีและมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งในรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จนถึงปัจจุบันก็ได้รับรองสิทธิดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิใน การมีส่วนร่วมในการใช้ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม1 สำหรับการบริหารกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะในกระบวนยุติธรรมทางอาญา ในประเทศที่มี ความก้าวหน้าในระบบการบริหารงานยุติธรรม ได้ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ดำเนินคดีในหลายๆ รูปแบบ เช่น เป็นผู้ฟ้องคดีอาญาได้แม้จะไม่เป็นผู้เสียหาย ซึ่งเป็นหลักการฟ้อง คดีอาญาโดยประชาชน (popular prosecution)2 หรือฟ้องคดีอาญา เพราะได้รับความเสียหายตาม 1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 46,56 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 66,67 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 43 2หลักนี้เป็นหลักของกฎหมายอังกฤษ see John Sprack, Emmins on Criminal Procedure, ninth edition, (Oxford: Oxford University Press, 2002),pp. 56-63 และศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร, กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 1, (กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2564) น. 59-62


5 หลักการฟ้องคดีอาญาโดยเอกชน (private prosecution)3 ซึ่งเป็นหลักที่คู่ขนานกับหลักการดำเนินคดี อาญาโดยรัฐ (public prosecution)4 นอกจากการฟ้องคดีโดยประชาชนแล้ว กฎหมายยังให้ประชาชนเข้ามามีส่วนในการป้องกัน อาชญากรรม เช่น เป็นตำรวจ (constable) ในกฎหมายอังกฤษหรือในสหรัฐอเมริกาให้ตำรวจอยู่ใน ความรับผิดชอบของฝ่ายปกครอง มีลักษณะการบริหารงานเหมือนกับการบริหารงานส่วนท้องถิ่น แต่ใน ประเทศภาคพื้นยุโรปไม่ได้ให้ตำรวจอยู่กับท้องถิ่น แต่ขึ้นอยู่กับราชการส่วนกลาง ในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งให้ประชาชนเข้ามามีส่วนในกระบวนการยุติธรรม คือการเป็นองค์คณะในการ ตัดสินคดี ในรูปแบบขององค์คณะตัดสินคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี ในฐานะ magistrate court หรือเป็นองค์คณะลูกขุน jury ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในระบบ common law อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันมี หลายประเทศในระบบที่ใช้ประมวลกฎหมาย เช่น เยอรมัน ญี่ปุ่น เป็นต้น ได้มีศาลลูกขุนที่มีทั้ง ผู้พิพากษาอาชีพ และผู้พิพากษาที่มาจากประชาชนร่วมองค์คณะในการพิจารณาและตัดสินคดี ซึ่งถือว่า เป็นแนวทางในการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา สำหรับแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในคดีอาญาของไทยนั้นยังไม่ก้าวไปจนถึงขั้นให้ ประชาชนมีส่วนในการตัดสินชี้ขาดคดีเหมือนในประเทศที่กล่าวมาข้างต้น คงให้ประชาชนที่ได้รับความ เสียหายฟ้องคดีได้ แต่ไม่อาจเป็นองค์คณะในการพิจารณาหรือตัดสินคดี แต่มีแนวทางที่จะเปิดโอกาสให้ ประชาชนเข้าร่วมเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือร่วมกำหนดมาตรการในการลงโทษแก่ผู้กระทำผิดในกระบวนการ ไกล่เกลี่ยคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 หรือในคดีเด็กและเยาวชน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 เป็นต้น นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐาน หรือเป็นผู้พิจารณาคดี แต่ดำเนินการในการเป็นอาสาสมัครร่วมมือกับเจ้าพนักงานตำรวจในการแจ้ง เบาะแสการกระทำความผิด ซึ่งเป็นแนวทางที่สำนักงานตำรวจนำมาใช้โดยมีพื้นฐานแนวคิดจาก community policing ของอังกฤษ เพื่อให้อาสาสมัครเหล่านี้ช่วยเฝ้าระวัง สืบสวนการกระทำผิดแล้ว แจ้งข้อมูลให้กับตำรวจในท้องที่นั้น ๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด แต่การดำเนินการ ดังกล่าวยังมีการดำเนินงานที่ไม่กว้างขวางเท่าที่ควร ซึ่งควรจะได้ศึกษาถึงปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อ นำมาปรับปรุงและส่งเสริมต่อไป ในการมีส่วนร่วมในด้านการเฝ้าระวังติดตามการดำเนินงานของเจ้าพนักงานในกระบวนการ ยุติธรรมโดยเฉพาะกระบวนการในชั้นก่อนฟ้องคดี ประเทศสหรัฐอเมริกามีคณะกรรมการตำรวจที่ ผู้ว่าการมลรัฐจัดตั้งขึ้นมาเพื่อพิจารณาข้อร้องเรียนที่ประชาชนกล่าวหาว่าตำรวจประพฤติมิชอบ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวเป็นประชาชนที่ได้รับการแต่งตั้ง และสามารถสอบถามและเสนอแนะให้ 3หลักนี้มีใช้ในกฎหมายเยอรมัน กฎหมายไทย เป็นต้น ศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร, กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 1 , (กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2564) น. 59-62 4หลักนี้มีใช้ในกฎหมายฝรั่งเศส กฎหมายเยอรมัน กฎหมายญี่ปุ่น เป็นต้น, เพิ่งอ้าง


6 ผู้ว่าการมลรัฐสั่งลงโทษทางวินัยได้ หรือเลิกจ้างได้ ส่วนในประเทศไทยก็มีแนวคิดใกล้เคียงกัน แต่ในทาง ปฏิบัติคณะกรรมการดังกล่าวระดับจังหวัดมักจะทำหน้าที่สนับสนุนการทำงานของสถานีตำรวจในด้าน การส่งเสริมสาธารณูปโภค อุปกรณ์ที่จำเป็นในงานตำรวจมากกว่าการตรวจสอบ การกำกับการทำงาน ของตำรวจ สำหรับสำนักงานอัยการสูงสุดในภูมิภาคก็มีแนวคิดในการให้ประชาชนมีส่วนร่วมที่เรียกว่า “คณะกรรมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด...” ขึ้นทั่วประเทศ แต่ใน ปัจจุบันยังไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่ามีสำนักงานอัยการแห่งใดบ้างที่เริ่มเปิดช่องทางให้ภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการอำนวยความยุติธรรม ซึ่งในงานวิจัยเรื่องนี้ได้กำหนดให้มีแนวทางในการ ประเมินผลการดำเนินงาน และศึกษาพัฒนาเพื่อให้โครงการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยมี แนวทางที่ทำให้เกิดรูปธรรมและก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงานยุติธรรมต่อไป การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารงานยุติธรรมนั้น ถือเป็นแนวคิดที่ได้รับการ ยอมรับในระดับสากล และประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น คณะที่ปรึกษา เห็นควรที่ดำเนินการศึกษาโดยศึกษาวิจัยด้านเอกสารในแนวทาง รูปแบบ ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมถึงหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประเทศที่ศึกษา ได้แก่ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น เพื่อใช้เป็นแบบอย่างในการนำมาปรับใช้กับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ของไทย ทั้งนี้ จะศึกษาปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในด้านกฎหมาย ระเบียบ เพื่อเป็นกลไกในการดำเนินงาน 5. วิธีการดำเนินการศึกษา จะเป็นลำดับขั้นตอนตามข้อกำหนดการศึกษา ดังนี้ 5.1 ภาพรวมของแนวทางและขอบเขตการดำเนินงานด้านเนื้อหาอย่างน้อยต้องครอบคลุม ดังนี้ 5.1.1 ศึกษา ทบทวน และถอดบทเรียนเพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการและกลไก ต่าง ๆ ของกระบวนการยุติธรรมไทยที่เปิดให้มีส่วนร่วมของภาคประชาชนในระดับ มิติ และแง่มุมใดก็ตาม โดยอย่างน้อยต้องมีการถอดบทเรียนในเรื่องนี้ของ (1) หน่วยงานด้านการสืบสวนสอบสวน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2) หน่วยงานตุลาการ ได้แก่ สำนักงานศาลยุติธรรม และ (3) สำนักงาน อัยการสูงสุด ซึ่งรวมทั้งกลไกการมีส่วนร่วมผ่าน “คณะกรรมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนา สำนักงานอัยการจังหวัด...” โดยศึกษาและวิเคราะห์ทั้งในแง่กฎหมาย นโยบาย แนวปฏิบัติ และในแง่การ ดำเนินงานจริงในระดับปฏิบัติการ เพื่อพิสูจน์ทราบว่าที่ผ่านมามาตรการและกลไกการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในกระบวนการยุติธรรมไทยมีปัจจัยและองค์ประกอบใดบ้างที่เป็นตัวแปรความสำเร็จหรือ ล้มเหลว มีองค์ประกอบใดบ้างที่เป็นจุดแข็งและจุดอ่อน และมีปัญหาหรืออุปสรรคที่มาจากสาเหตุและ ปัจจัยใดเป็นสำคัญ 5.1.2 ศึกษา ทบทวน และถอดบทเรียนเพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการและกลไก ต่างๆ ของกระบวนการยุติธรรมไทยที่เปิดให้มีส่วนร่วมของภาคประชาชนในระดับ มิติ และแง่มุมใดก็ตาม ของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว โดยศึกษาวิเคราะห์ทั้งใน แง่กฎหมาย นโยบาย แนวปฏิบัติ และในแง่การดำเนินงานจริงในระดับปฏิบัติการ เพื่อให้ได้บทเรียน (lesson learned) ได้แบบอย่างที่ดี (good practice) และนำมาเป็นแนวทางในการหาเกณฑ์มาตรฐาน


7 5.1.3 ศึกษาวิเคราะห์และสังเคราะห์ผลการศึกษาในข้อ 5.1.1 และ 5.1.2 แล้วเสนอแนะอย่างมี ยุทธศาสตร์และเป็นรูปธรรม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยและสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารและอำนวยความยุติธรรมทางอาญา 5.1.4 รายงานผลการศึกษาที่เสร็จสมบูรณ์ด้วยเนื้อหาที่ครอบคลุมและชัดเจนตาม วัตถุประสงค์ของโครงการที่ระบุไว้ในข้อ 2 และเป้าหมายของการจัดจ้างที่ปรึกษาที่ระบุไว้ในข้อ 3 ข้างต้น 5.2 ขอบเขตการศึกษาวิจัย และแนวทางการดำเนินงาน 5.2.1 กลุ่มกิจกรรมที่ 1 Diagnosis เพื่อตรวจอาการและประเมินสภาพที่เป็นอยู่ (ก) แสวงหาข้อมูลและข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ด้วยการสำรวจ สังเกตการณ์ สัมภาษณ์ หรือสืบทราบผ่านผู้มีประสบการณ์ด้วยวิธีการอื่นใด เพื่อทบทวนประสิทธิภาพและคุณภาพในภาคปฏิบัติ จากประสบการณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดและเข้าไปมีส่วนร่วมในรูปแบบ ช่องทาง และวิธีการต่าง ๆ ที่มีและเคยมีในหน่วยงานทั้งหลายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยว่ามีปัจจัยและ องค์ประกอบใดบ้างที่เป็นตัวแปรความสำเร็จหรือล้มเหลวของกลไกการมีส่วนร่วม เหตุและปัจจัยที่ทำให้ เกิดจุดแข็งและจุดอ่อน และที่ผ่านมามักมีปัญหาหรืออุปสรรคที่มาจากสาเหตุและปัจจัยใดเป็นสำคัญ (ข) แสวงหาข้อมูลและข้อเท็จจริงจากเอกสาร (Literature Review) ศึกษา วิเคราะห์ กฎหมาย ระเบียบ นโยบาย และแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องของไทยอย่างกระชับ ตรงประเด็นและเท่าที่ จำเป็นแก่การประเมินสภาพในปัจจุบันว่าประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมทางกฎหมายในระดับต่างๆ ที่เอื้อ หรือไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือไม่ เพียงใด เพื่อเป็นการปูพื้นฐานไปสู่การวิเคราะห์และ จัดทำข้อเสนอแนะเพื่อการแก้ไข ปรับปรุง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 5.2.2 กลุ่มกิจกรรมที่ 2 Identifying & Establishing Benchmark เพื่อวางหลักการและ เกณฑ์มาตรฐาน (ก) แสวงหาข้อมูลและข้อเท็จจริงจากเอกสาร (Literature Review) โดยศึกษาวิเคราะห์ หลักและแนวปฏิบัติสากลหรือของต่างประเทศ รวมทั้งตัวอย่างจากประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว ในยุโรปอย่างน้อย ได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส นอร์เวย์ รวมทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา ว่าการบริหารงานและการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาของตำรวจ อัยการ และตุลาการ ของประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้วสามารถเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนใดบ้างที่เป็น ประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยไม่กระทบกับความเป็นกลางและอิสระในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในทาง อรรถคดี (ข) แสวงหาข้อมูลและข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ ด้วยการสัมภาษณ์ผู้มีประสบการณ์ ชาวต่างประเทศที่เป็นนักวิชาการในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นอาจารย์ในคณะนิติศาสตร์หรือสาขาอื่น ที่เกี่ยวข้องที่ปฏิบัติงานอยู่ในสถาบันการศึกษาของรัฐหรือเอกชนในประเทศไทย รวมทั้งสัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมหรือนักวิชาการในประเทศที่พัฒนาแล้วผ่านระบบทางไกล (online interview) ทั้งนี้ โดยนำความรู้ความเข้าใจที่ได้จากผลการดำเนินงานในข้อ 5.2.2 (ก) มาเป็นพื้นฐาน


8 และหลักการในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการสัมภาษณ์ และออกแบบคำถาม/ทิศทางการสนทนา (ภายในเดือนกันยายน 2565) โดยการสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถามของคณะที่ปรึกษาที่นำเสนอในบทที่ 3 ทั้งการ สอบถามแบบ online แก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน นักวิชาการ และ ทนายความ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจ คณะที่ปรึกษาจะลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์เชิงลึก ในแต่ละภูมิภาค ภาคละ 4 จังหวัด โดยแยก เป็นจังหวัดใหญ่ 2 จังหวัด และจังหวัดเล็ก 2 จังหวัด ดังนี้ ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก กำแพงเพชร สุโขทัย ภาคกลาง ได้แก่ สุพรรณบุรี นนทบุรี ชัยนาท ชลบุรี/พัทยา ภาคใต้ ได้แก่ สงขลา นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานีตรัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครราชสีมา อุดรธานีร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ โดยสัมภาษณ์ตำรวจ พนักงานอัยการ ศาล หมายเหตุ : พื้นที่แต่ละจังหวัดปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของคณะตรวจรับงาน ทั้งนี้ โดยใช้วิธีการตาม (ก) และ (ข) ใน 5.2.2 นี้เสริมสร้างกันและกันจนได้ความรู้ความเข้าใจ เพียงพอสำหรับการวางหลักและเกณฑ์มาตรฐานขึ้นมาเพื่อใช้ในโครงการวิจัยนี้ 5.2.3 กลุ่มกิจกรรมที่ 3 Identifying & Analyzing Gap and Formulating Recommendation ที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาวิจัยชั้นปลาย โดยวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่ได้มาทั้งหมดว่า 1) กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยในภาพรวม ยังขาดหลักการ กฎหมาย แนวปฏิบัติ มาตรการหรือกลไกที่จำเป็นแก่การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบกับหลักการ และเกณฑ์มาตรฐานที่เป็นผลจากการดำเนินการในข้อ 5.2.2 2) สำนักงานอัยการสูงสุดยังขาดหลักการ กฎหมาย แนวปฏิบัติ มาตรการหรือกลไกที่จำเป็น แก่การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบกับหลักการและเกณฑ์มาตรฐานที่เป็น ผลจากการดำเนินการในข้อ 5.2.2 3) สำนักงานอัยการสูงสุดควรดำเนินการเพื่อให้มีการออกกฎหมายใหม่ หรือแก้ไขปรับปรุง กฎหมาย แนวปฏิบัติ มาตรการหรือกลไก ที่จำเป็นแก่การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบกับหลักการและเกณฑ์มาตรฐานที่เป็นผลจากการดำเนินการในข้อ 5.2.2 4) หน่วยงานทั้งหลายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ ศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุดต้องดำเนินการอย่างไรจึงจะสามารถจัดการให้เกิดผลใน ทางบวกกับปัจจัยและองค์ประกอบที่เป็นตัวแปรความสำเร็จหรือล้มเหลวของกลไกการมีส่วนร่วม และที่ผ่าน มามักมีปัญหาหรืออุปสรรคที่มาจากสาเหตุและปัจจัยใดเป็นสำคัญ ตามบทเรียนที่ตรวจพบตามข้อ 5.1.1 และจากการดำเนินงานในข้อ 5.2.1 (ก)


9 5.2.4 กลุ่มกิจกรรมที่ 4 Presenting & Testing the Result of Gap Analysis and the Recommendation นำร่างรายงานผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ มานำเสนอเพื่อให้มีการอภิปรายในการ ประชุม ดังนี้ (ก) การประชุมระดับนานาชาติ (ออนไลน์) 1 ครั้ง มีเวลาสำหรับการนำเสนอและอภิปราย บนเวทีไม่น้อยกว่าสองชั่วโมงครึ่ง โดยมีผู้ร่วมอภิปรายบนเวที (panelists) ซึ่งเป็นนักวิชาการหรือ บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมหรือจากองค์กรระหว่างประเทศ อย่างน้อย 4 คน จากอย่างน้อย 3 ประเทศ โดยเปิดให้ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นได้ด้วย (ภายในเดือน ธันวาคม 2565) (ข) ประชุมร่วมกับผู้แทนในกระบวนการยุติธรรมของไทย 1 ครั้ง (ออนไลน์หรือในห้อง ประชุมสัมมนา แล้วแต่ความเหมาะสม) ใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง โดยมีผู้ร่วมอภิปรายบนเวที (panelists) ซึ่งเป็นนักวิชาการไทย และบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไทย อย่างน้อย 4 คน โดยเปิดให้ ผู้สนใจสามารถแสดงความคิดเห็นได้ด้วย (ภายในเดือนธันวาคม 2565) (ค) นำข้อคิดเห็นที่ได้มาปรับปรุงร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ แล้วนำเสนอรายงานฉบับ สมบูรณ์ (ปรับปรุง) ในที่ประชุมสัมมนาแบบวงกว้าง (ออนไลน์หรือในห้องประชุมสัมมนา แล้วแต่ความ เหมาะสม) โดยเชิญผู้ที่เคยเข้าร่วมประชุมในข้อ (ข) และเปิดให้ผู้สนใจจากประชาชนในวงกว้างสามารถ ลงทะเบียนเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นได้ด้วย หลังจากนั้นจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์และ บทสรุปผู้บริหารที่ครอบคลุม และสรุปเนื้อหาตามขอบเขตการดำเนินการทั้งหมด (ภายในเดือนมกราคม 2566) 6. ระยะเวลาดำเนินการ ระยะเวลาดำเนินการ 270 วัน นับถัดจากวันลงนามในสัญญา (5 กรกฎาคม 2565 –31 มีนาคม 2566)


1 7. แผนการดำเนินงาน รายการ 3 1. เตรียมข้อมูล วางแผน การดำเนินงาน และส่งรายงานเบื้องต้น (ส่งงานงวดที่ 1 วันที่ 3 สิงหาคม 2565) 2. ศึกษา ทบทวน และถอดบทเรียนเพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการและกลไกต่างๆ ของกระบวนการยุติธรรมไทยที่เปิดให้มีส่วนร่วมของภาคประชาชนในระดับ มิติ และแง่มุม ใดก็ตาม โดยอย่างน้อยต้องมีการถอดบทเรียน ตามข้อ 5.1.1 (3 สิงหาคม-2 กันยายน 2565) 3. ศึกษา ทบทวน และถอดบทเรียนเพื่อประเมินประสิทธิภาพของมาตรการและกลไกต่าง ๆ ของกระบวนการยุติธรรมไทยที่เปิดให้มีส่วนร่วมของภาคประชาชนในระดับ มิติ และแง่มุม ใดก็ตามของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว โดย ศึกษาวิเคราะห์ทั้งในแง่กฎหมาย นโยบาย แนวปฏิบัติ และในแง่การดำเนินงานจริงในระดับ ปฏิบัติการ เพื่อให้ได้บทเรียน (lesson learned) ได้เยี่ยงอย่างที่ดี (good practice) และ นำมาเป็นแนวทางในการหาเกณฑ์มาตรฐาน ตามข้อ 5.1.2 (3 สิงหาคม-2 ตุลาคม 2565) 4. ดำเนินการตามกิจกรรมที่ 5.2.1, 5.2.2, 5.2.3 จัดทำรายงานฉบับกลาง (ส่งงานงวดที่ 2 วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565) 5. ก ล ุ ่ ม ก ิ จก รรม ที ่ 4 Presenting & Testing the Result of Gap Analysis and the Recommendation นำร่างรายงานผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ มานำเสนอเพื่อให้มีการ อภิปรายในการประชุม ตามข้อ 5.2.4 1. การประชุมระดับนานาชาติ (ออนไลน์) 1 ครั้ง (ภายในเดือนธันวาคม 2565)


0 ระยะเวลา 270 วัน (5 กรกฎาคม 2565 – 31 มีนาคม 2566) 30 ส.ค.65 60 2 ก.ย.65 90 2 ต.ค.65 120 1 พ.ย..65 150 1 ธ.ค.65 180 31 ธ.ค.65 210 30 ม.ค.66 240 1 มี.ค.66 270 31 มี.ค.66


1 รายการ 3 2. ประชุมร่วมกับผู้แทนในกระบวนการยุติธรรมของไทย 1 ครั้ง (ออนไลน์หรือในห้อง ประชุมสัมมนาแล้วแต่ความเหมาะสม) ใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง โดยมีผู้ร่วมอภิปราย บนเวที (panelists) ซึ่งเป็นนักวิชาการไทยและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไทย อย่างน้อย 4 คน โดยเปิดให้ผู้สนใจสามารถ (ภายในเดือนธันวาคม 2565) 6. จัดทำร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ แล้วนำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์ (ปรับปรุง) ในที่ ประชุมสัมมนาแบบวงกว้าง (ออนไลน์หรือในห้องประชุมสัมมนา แล้วแต่ความเหมาะสม) โดยเชิญผู้ที่เคยเข้าร่วมประชุมในข้อ (ข) และเปิดให้ผู้สนใจจากประชาชนในวงกว้างสามารถ ลงทะเบียนเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นได้ด้วย รายงานผลการศึกษาที่เสร็จสมบูรณ์ เสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุด (ส่งงานงวดที่ 3 วันที่ 30 มกราคม 2566) 7.รายงานผลการศึกษาที่เสร็จสมบูรณ์ เสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุด (ส่งงานงวดที่4 วันที่ 31 มีนาคม 2566)


1 ระยะเวลา 270 วัน (4 กรกฎาคม 2565 – 30 มีนาคม 2566) 30 ส.ค.65 60 2 ก.ย.65 90 2 ต.ค.65 120 1 พ.ย.65 150 1 ธ.ค.65 180 31 ธ.ค.65 210 30 ม.ค.66 240 1 มี.ค.66 270 31 มี.ค.66


12 8. การดำเนินงานและการส่งมอบงาน กำหนดระยะเวลาการรายงานผลการดำเนินงานและส่งมอบงาน แบ่งเป็น 4 งวด ดังนี้ 8.1 งานงวดที่ 1 ภายใน 30 วันนับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญาจ้าง (3 สิงหาคม 2565) ประกอบด้วย งานที่ส่งมอบดังนี้ 8.1.1 รายงานผลการศึกษาขั้นต้น (Inception Report) ประกอบด้วย แนวคิดในการศึกษา (conceptual framework) หัวข้อและประเด็นคำถาม (Key issues and the right questions) ระเบียบ วิธีการศึกษาวิจัย ขอบเขต และวิธีการขั้นตอนการดำเนินการ (methodology) แหล่งข้อมูล (information and data source) และเค้าโครงพร้อมทิศทางของการศึกษาของการศึกษาวิจัยที่วางแผนจะดำเนินการที่ สามารถแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้รับจ้างเข้าใจข้อกำหนดและขอบเขตของโครงการศึกษาวิจัยนี้อย่างถ่องแท้ ทั้งนี้ ให้ส่งรายงานผลการศึกษาขั้นต่ำ จำนวน 10 ชุด และ USB Flash Drive ที่บันทึกข้อมูล จำนวน 1 อัน 8.1.2 ทิศทาง แผน และแนวทางการดำเนินงานที่กำหนดปฏิทินการทำงานและผลผลิตของการ ดำเนินงานอย่างชัดเจนนับตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดโครงการ 8.2 งานงวดที่ 2 ภายใน 120 วันนับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญาจ้าง (1 พฤศจิกายน 2565) ประกอบด้วยงานที่ส่งมอบ คือ รายงานฉบับกลาง (Interim Report) ซึ่งได้แก่ผลการดำเนินงานตามข้อ 5.1 และ 5.2 ทั้งนี้ ให้ส่งรายงานฉบับกลาง จำนวน 10 ชุด และ USB Flash Drive ที่บันทึกข้อมูล จำนวน 1อัน 8.3 งานงวดที่ 3 ภายใน 210 วันนับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญาจ้าง (30 มกราคม 2566) ประกอบด้วยงานที่ส่งมอบ คือ ร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ (Draft Final Report) ซึ่งได้แก่ ผลการดำเนินงานตาม ข้อ 5.2.3 อันประกอบด้วย ผลการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่ได้มาทั้งหมด ทั้งนี้ ให้ส่งร่าง รายงานฉบับสมบูรณ์ จำนวน 10 ชุด และ USB Flash Drive ที่บันทึกข้อมูล จำนวน 1 อัน ดังนี้ 1) กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยในภาพรวม ยังขาดหลักการ กฎหมาย แนวปฏิบัติ มาตรการ หรือกลไกที่จำเป็นแก่การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบกับหลักการและเกณฑ์ มาตรฐานที่เป็นผลจากการดำเนินการในข้อ 5.2.2 2) สำนักงานอัยการสูงสุดยังขาดหลักการ กฎหมาย แนวปฏิบัติ มาตรหรือกลไก ที่จำเป็นแก่การ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบกับหลักการและเกณฑ์มาตรฐานที่เป็นผลจากการ ดำเนินการในข้อ 5.2.2 3) สำนักงานอัยการสูงสุดควรดำเนินการเพื่อให้มีการออกกฎหมายใหม่ หรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย แนวปฏิบัติ มาตรการหรือกลไกที่จำเป็นแก่การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบกับ หลักการและเกณฑ์มาตรฐานที่เป็นผลจากการดำเนินการในข้อ 5.2.2 4) หน่วยงานทั้งหลายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศาลยุติธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุดต้องดำเนินการอย่างไรจึงจะสามารถจัดการให้เกิดผลในทางบวกกับ ปัจจัยและองค์ประกอบที่เป็นตัวแปรความสำเร็จหรือล้มเหลวของกลไกการมีส่วนร่วม และที่ผ่านมามักมีปัญหา หรืออุปสรรคที่มาจากสาเหตุและปัจจัยใดเป็นสำคัญ ตามบทเรียนที่ตรวจพบตามข้อ 4.1.1 และจากการ ดำเนินงานในข้อ 5.2.1 (ก)


13 8.4 งานงวดที่ 4 ภายใน 270 วันนับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญาจ้าง (31 มีนาคม 2566) ประกอบด้วย งานที่ส่งมอบ ดังนี้ 8.4.1 ผลการดำเนินงานตามข้อ 5.2.4 อันได้แก่ (ก) สรุปผลการประชุมระดับนานาชาติ (ออนไลน์) 1 ครั้ง (ข) สรุปผลการประชุมร่วมกับผู้แทนในกระบวนการยุติธรรมของไทย 1 ครั้ง (ค) ผลการประชุมสัมมนาวงกว้าง ทั้งนี้ รายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์ (Final Report) พร้อมบทสรุปผู้บริหารฉบับภาษาไทยและ อังกฤษ รวมทั้งรายงานการศึกษาฉบับย่อกระชับและเข้าใจง่าย พร้อมภาพประกอบ info-graphic เพื่อการ เผยแพร่สู่สาธารณะ จำนวนอย่างละ 15 ชุด และ USB Flash Drive ที่บันทึกข้อมูลเอกสาร พร้อมรูป และ ตารางในรูปแบบไฟล์ word และ Excel และ Adobe InDesign และ E-book พร้อมไฟล์ PDF จำนวน 3 ชุด 9. คณะที่ปรึกษา สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประกอบด้วย 1. ศาสตราจารย์ ณรงค์ ใจหาญ หัวหน้าโครงการ 2. รองศาสตราจารย์ ดร.ณภัทร สรอัฑฒ์ นักวิจัย 3. อาจารย์ ดร.ผ่องศรี เวสารัช นักวิจัย 4. อาจารย์ดร.ภาคภูมิ โลหวริตานนท์ ผู้ช่วยนักวิจัย 5. อาจารย์ ดร.ศุภวัฒน์ สุขะปรเมษฐ ผู้ช่วยนักวิจัย 6. นางสาวกนกพรรณ ชลชวลิต ผู้ช่วยนักวิจัย 7. นางสาวกนกวรรณ ชาติสุวรรณ ผู้ประสานงาน


14 บทที่2 แนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของกฎหมายต่างประเทศ ในบทนี้คณะที่ปรึกษาได้ศึกษาแนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของ กฎหมายต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีสาธารณรัฐ ฝรั่งเศส ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ประเทศสกอตแลนด์ ประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นมีการส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ในหลายระดับทั้งก่อนและหลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยภาคประชาชนมีบทบาททั้งในด้านการ ตรวจสอบ และการส่งเสริมการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ไม่ว่าจะเป็นในแง่ การป้องกันอาชญากรรม การให้ความร่วมมือในการแจ้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การตรวจสอบดุลพินิจ การสั่งฟ้อง รวมไปถึงการมีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณาหรือตัดสินคดีอาญาบางประเภท 1.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจและชั้นพนักงานสอบสวน 1) ระบบป้อมตำรวจชุมชน (โคบัง-Koban1 และ จูไซโชะ-Chuzaisho) ระบบป้อมตำรวจชุมชนเป็นระบบการทำงานขององค์กรตำรวจญี่ปุ่นแบบกระจายอำนาจ โดยจะ มีการจัดตั้งป้อมตำรวจกระจายพื้นที่รับผิดชอบไปตามชุมชนทั้งในเมืองใหญ่และตามท้องถิ่นต่าง ๆ ซึ่ง แบ่งออกเป็น ป้อมตำรวจชุมชนเมือง (โคบัง) และ ป้อมตำรวจท้องถิ่น (จูไซโชะ) โดยป้อมตำรวจทั้ง 2 ประเภท จะมีข้อแตกต่างกันในรายละเอียด เช่น จำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำป้อม หรือเวลาเปิดทำการ แต่ลักษณะงานในภาพรวมมีความใกล้เคียงกัน คือการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ดูแลความ ปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยในชุมชนและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนในชุมชน ระบบป้อมตำรวจชุมชนนั้นถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานแนวคิด “ตำรวจชุมชนสัมพันธ์” กล่าวคือ องค์กรตำรวจมีหน้าที่บริการประชาชนมิใช่เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการใช้อำนาจรัฐ (Instrument of State Power) จึงต้องมีความใกล้ชิดและอยู่เคียงข้างประชาชนให้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติงานของ ตำรวจภายใต้แนวคิดตำรวจชุมชนสัมพันธ์จึงมุ่งเน้นภารกิจด้านชุมชนสัมพันธ์ควบคู่ไปกับการป้องกัน ปราบปรามอาชญากรรมทั่วไป ทำให้ประชาชนเข้าถึงและมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมหลากหลาย ช่องทาง โดยการสร้างความสัมพันธ์ของตำรวจกับชุมชนนั้นจะมีทั้งในระดับกลุ่มคน ร้านค้า วัด โรงเรียน ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนเกิดความรู้สึกใกล้ชิดและไว้วางใจตำรวจ อันจะนำมาสู่การให้ความร่วมมือกับตำรวจ ในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและการพัฒนาการทำงานขององค์กรตำรวจในอนาคต 1警視庁、「交番・パトカーの活動」(Metropolitan Police Department, ‘Police box and police car activities’) <https://www.keishicho.metro.tokyo.lg.jp/about_mpd/shokai/katsudo/koban/index.html> accessed 15 October 2022.


15 ระบบป้อมตำรวจชุมชนเป็นระบบที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงและมีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับทั่วโลกในแง่ระบบที่มีความสำเร็จในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมและในแง่ การเสริมสร้างความมั่นใจของประชาชนต่อการทำงานของตำรวจ หลายประเทศได้ศึกษาและนำแนวคิด ระบบป้อมตำรวจชุมชนนี้ไปเป็นต้นแบบในการประยุกต์ปรับปรุงพัฒนาระบบการป้องกันอาชญากรรม ในประเทศตนเอง เช่น NPP (Neighborhood Police Post) ในสิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งนี้ทางสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติของไทยก็มีนโยบายในการรับเอาแนวคิดนี้มาเป็นต้นแบบในการพัฒนาระบบการทำงาน ขององค์กรตำรวจและป้องกันปัญหาอาชญากรรมในชุมชนด้วยเช่นกัน •ลักษณะการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบบป้อมตำรวจชุมชน (1) การเสนอความเห็นหรือความต้องการต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตระเวนตรวจความปลอดภัย ในชุมชน “การตระเวนตรวจความปลอดภัยในชุมชน” (junkai renraku: patrol communication) เป็นหนึ่งในภารกิจชุมชนสัมพันธ์ของตำรวจท้องที่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตระเวนตรวจความสงบ เรียบร้อยภายในพื้นที่และแวะเยี่ยมตามบ้านหรือสถานประกอบกิจการในชุมชนในท้องที่ที่ตนรับผิดชอบ (Door-to-door visits) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้อยู่อาศัยในชุมชนดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขและปลอดภัย และเพื่อ เป็นการสร้างความเข้าใจในงานของตำรวจ ในขณะเดียวกันก็จะมีการให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ประชาชน เกี่ยวกับมาตรการป้องกันอุบัติเหตุหรืออาชญากรรมต่าง ๆ พร้อมทั้งสอบถามความคิดเห็นหรือความต้องการ ของคนในชุมชนที่มีต่อองค์กรตำรวจด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับทราบสภาพปัญหาที่แท้จริงและ สามารถนำข้อมูลตรงนี้มาอ้างอิงเพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบการทำงานต่อไป (2) คณะที่ปรึกษาป้อมตำรวจชุมชน (Koban/Chuzaisho Renraku Kyogikai) “คณะที่ปรึกษาป้อมตำรวจชุมชน” เป็นกลไกที่ให้ประชาชนในท้องที่เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุน การทำงานของตำรวจในด้านการให้คำปรึกษาและร่วมตัดสินใจวางแผนเกี่ยวกับมาตรการป้องกัน อาชญากรรมและอุบัติเหตุในชุมชน เพื่อให้ตำรวจสามารถเข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของ ประชาชนมากขึ้น และสามารถสะท้อนความเข้าใจประชาชนผ่านการปฏิบัติงานของตำรวจได้ และตำรวจ ยังสามารถใช้ช่องทางนี้ในการเผยแพร่ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัยแก่ประชาชนได้ด้วย คณะที่ปรึกษาป้อมตำรวจชุมชน ประกอบด้วย ประธานคณะที่ปรึกษา รองประธานคณะที่ปรึกษา และกรรมการ รวมประมาณ 5 ถึง 10 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้บัญชาการตำรวจท้องที่ โดยคัดเลือก จากผู้นำชุมชนและผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำงานในชุมชนที่อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของป้อมตำรวจนั้น ๆ ซึ่งมี ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพความเป็นไปในชุมชนนั้นเป็นอย่างดีและได้รับความไว้วางใจจากคนในชุมชน โดยการคัดเลือกจะคำนึงถึงความหลากหลายทางอาชีพ เพศ และอายุประกอบด้วย ทั้งนี้ ผู้ได้รับการแต่งตั้ง จะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 2 ปี และไม่มีข้อห้ามในการดำรงตำแหน่งซ้ำ หน้าที่ของคณะที่ปรึกษาป้อมตำรวจชุมชน คือเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือ ให้คำปรึกษา แจ้งความ ต้องการของชุมชน ร่วมพิจารณาเสนอทางแก้เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน และร่วมวางแผนคิด


16 มาตรการป้องกันอาชญากรรมและอุบัติเหตุร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุมชน โดยการประชุมคณะที่ปรึกษา ป้อมตำรวจชุมชนจะจัดขึ้นอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และอาจมีการประชุมวิสามัญได้หากเห็นสมควรว่า มีความจำเป็นเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ในปัจจุบันมีการจัดตั้ง “คณะที่ปรึกษาป้อมตำรวจชุมชน” ประจำป้อมตำรวจชุมชนประมาณ 12,000 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561)2 2) การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นสอบสวน สำหรับในชั้นสอบสวนคดี นอกจากจะมีการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือจากประชาชนในการให้ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหน้าที่ผ่านการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจและ ขอความร่วมมือจากประชาชนทางเว็บไซต์ของสำนักงานตำรวจแต่ละจังหวัดแล้ว ยังมีการขอความร่วมมือ จากประชาชนในเรื่องการสอบสวนและการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่คดีผ่านการใช้สื่อกลางอื่น ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย3 การปิดแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลตามสถานที่ต่าง ๆ การทำแผ่นพับ และการ โฆษณา4 เป็นต้น และหากมีความจำเป็นเพื่อสืบหาตัวหรือจับกุมผู้ต้องหาหรือเพื่อป้องกันการก่อ อาชญากรรมซ้ำ ทางตำรวจก็อาจมีการเผยแพร่ชื่อสกุลผู้ต้องสงสัยเป็นการทั่วไปและดำเนินการสอบสวน โดยเปิดเผยได้ด้วย นอกจากนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา ทางสำนักงานตำรวจก็ได้นำระบบรางวัล นำจับมาใช้เพื่อกระตุ้นความร่วมมือของประชาชนในการให้ข้อมูลในคดีที่เป็นความผิดอาญาร้ายแรง อีกด้วย 1.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นพนักงานอัยการ จะมุ่งเน้นไปในทางระบบตรวจสอบและ อุทธรณ์การใช้สิทธิในการสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ โดยในระบบกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นมีการนำ หลักการบังคับฟ้องคดี(Kiso Kyosei Seido-Compulsory institution of prosecution) มาใช้ผ่าน 2 ทาง คือ 1) ทางศาล โดยผู้เสียหายร้องต่อศาลให้รับพิจารณาคดีที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และ 2) ทาง คณะกรรมการตรวจสอบการฟ้องของอัยการ โดยช่องทางนี้เป็นช่องทางที่ภาคประชาชนทั่วไปสามารถ เข้ามาตรวจสอบการใช้ดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการและกลับดุลพินิจของพนักงานอัยการได้ 2警察庁、平成 30 年 警察白書 (National Police Agency, THE WHITE PAPER on POLICE 2018) <https://www.npa.go.jp/hakusyo/h30/pdf/pdfindex.html> accessed 15 October 2022. 3Web サイト等による行政情報の提供・利用促進に関する基本的指針 (Basic guidelines for providing and promoting the use of administrative information through websites, etc.) (2015) <https://www.soumu.go.jp/main_content/000348841.pdf> accessed 15 October 2022. 4福島県警察本部、行政サービスの向上のための取組の継続的な推進について (Fukushima Prefecture Police, ‘About continuous promotion of approach for improvement of administrative service’) (2017) <https://www.police.pref.fukushima.jp/03.tetuduki/-jyouhoukoukai/reiki_int/reiki_honbun/u244RG00001286.html> accessed 15 October 2022, 警察庁、特集:変容する捜査環境と警察の取組 (National Police Agency, ‘Special Feature: Transforming Investigative Environment and Police Efforts’) <https://www.npa.go.jp/hakusyo/h26/honbun/html/qf310000.html> accessed 15 October 2022.


17 1) สิทธิผู้เสียหายในการร้องขอให้ศาลรับคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องเข้าสู่การพิจารณาของศาล เนื่องจากหลักการดำเนินคดีอาญาของประเทศญี่ปุ่นเป็นรูปแบบการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ (public prosecution) ซึ่งอัยการเป็นผู้มีอำนาจในการฟ้องคดีอาญาทุกประเภท5 ผู้เสียหายไม่มีอำนาจ ฟ้องคดีอาญาด้วยตนเองได้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาญี่ปุ่น มาตรา 262 จึงเปิดโอกาสให้ ผู้เสียหายในคดีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องสามารถร้องขอต่อศาลท้องถิ่นที่มีเขตอำนาจเหนือพื้นที่ ที่สำนักงานอัยการนั้นตั้งอยู่ให้นำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลได้ อย่างไรก็ดี สิทธิในการร้องขอต่อศาลตามมาตรา 262 นั้น จำกัดเพียงความผิดบางประเภทที่ กฎหมายกำหนด เช่น ความผิดในการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของข้าราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 193-196 เป็นต้น ซึ่งหากศาลเห็นว่าคำร้องของผู้เสียหายมีเหตุผลจะมีคำสั่งให้พิจารณาคดีนั้น โดยถือว่ามีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว6 และศาลก็จะมีคำสั่งแต่งตั้งทนายความให้ดำเนินคดีอาญา ดังกล่าวแทนพนักงานอัยการต่อไป โดยอัยการจะต้องให้ความร่วมมือกับทนายความในการสอบสวน ต่าง ๆ ด้วย 2) คณะกรรมการตรวจสอบการฟ้องของอัยการ (Kensatsu-shinsakai: The Committee for Inquest of Prosecution or The Prosecution Review Commission-PRC)7 ระบบ “คณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง” เป็นระบบการตรวจสอบดุลพินิจการสั่ง “ไม่ฟ้อง” ของ พนักงานอัยการโดยประชาชนทั่วไป ซึ่งมีอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง พ.ศ.2491 (แก้ไขล่าสุด พ.ศ.2559) (Kensatsu Shinsakai Hou: The Act on Committee for Inquest of Prosecution (Act no.147 of 1948 (ACIP) ต่อไปนี้จะเรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจฟ้อง”)8 ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศญี่ปุ่นใช้ระบบไต่สวน (Inquisitorial system) และอำนาจในการดำเนินคดีอาญาส่วนใหญ่อยู่ที่ฝ่ายตุลาการเป็นหลัก ส่วนอัยการ ทำหน้าที่เสมือนเป็นที่ปรึกษาและคอยสังเกตการณ์การทำงานของศาล แต่ในเวลาต่อมาภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นได้รับ อิทธิพลเกี่ยวกับแนวคิดด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจากสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก และมีการ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยให้อัยการแยกเป็นอิสระจากศาลและนำรูปแบบการดำเนินคดีอาญาเป็น ระบบกล่าวหา (Advisory system) มาใช้9 ส่งผลให้พนักงานอัยการจะมีอำนาจมากขึ้นและสามารถใช้ ดุลพินิจได้อย่างอิสระ การทำงานของอัยการจะเป็นลักษณะ ‘one man officer' คือพนักงานอัยการ 5ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาญี่ปุ่น มาตรา 247 6ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาญี่ปุ่น มาตรา 267 7最高裁判所、「検察審査会」 (Supreme Court of Japan, ‘The Committee for Inquest of Prosecution’ <https://www.courts.go.jp/links/kensin/index.html> accessed 15 October 2022. 8The Act on Committee for Inquest of Prosecution (Act no.147 of 1948 (ACIP) (Japanese Version) <https://elaws.e-gov.go.jp/document?lawid=323AC0000000147 > accessed 15 October 2022. 9Supreme Court of Japan, Outline of Criminal Justice in JAPAN 2021 <https://www.courts.go.jp/english/vcfiles/courts-en/Material/Outline_of_Criminal_Justice_in_Japan_2021.pdf> accessed 15 October 2022.


18 แต่ละคนมีอิสระในการใช้ดุลพินิจ และมีอำนาจตัดสินใจในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนหรือสั่งฟ้อง เองโดยไม่ขึ้นกับพนักงานอัยการคนอื่นและไม่มีการตรวจสอบจากภายนอก ลักษณะเฉพาะของอัยการญี่ปุ่น คือการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการมิได้เป็นการปฏิบัติ ในฐานะตัวแทนของรัฐแต่ถือเป็นตัวแทนประชาชน อำนาจในการดำเนินคดี (Prosecution) ผูกขาดโดย อัยการ บุคคลอื่นนอกจากพนักงานอัยการไม่สามารถฟ้องคดีอาญาได้ พนักงานอัยการมีอำนาจในการใช้ ดุลพินิจอย่างกว้างขวางในการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องใครและฟ้องข้อหาอะไร รวมถึงอำนาจในการสืบสวน คดีอาญาทุกประเภท อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติพนักงานอัยการอาจไม่ได้ใช้อำนาจสืบสวนในเชิงรุกมากนัก เนื่องจากให้ความไว้วางใจการทำงานของตำรวจ ทั้งนี้ จากสถิติรายงานปริมาณการสั่งคดีของพนักงานอัยการนั้น10 แต่ละปีจะมีคดีที่พนักงาน อัยการสั่งฟ้องเทียบเป็นประมาณเพียงร้อยละ 30 ของคดีทั้งหมดที่เข้าสู่การพิจารณาของพนักงาน อัยการ จะเห็นได้ว่าสถิติการสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการมีปริมาณน้อยมาก เนื่องจากในทางปฏิบัติ ของอัยการในประเทศญี่ปุ่นนั้น อัยการจะสั่งฟ้องต่อเมื่อมีหลักฐานเพียงพอให้มั่นใจได้ว่าจำเลยได้กระทำ ผิดตามฟ้องจริง ซึ่งมาตรฐานในการพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อสั่งฟ้องของอัยการประเทศญี่ปุ่น จะสูงมาก คืออัยการจะสั่งฟ้องต่อเมื่อมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าฟ้องแล้วจะชนะคดี (คือจำเลยกระทำ ผิดตามฟ้องจริง) ไม่เช่นนั้นอัยการจะสั่งไม่ฟ้อง หรือแม้ในกรณีที่มีพยานหลักฐานเพียงพอเชื่อได้ว่าจำเลย ได้กระทำผิดจริงแต่หากอัยการพิจารณาจากพฤติการณ์ต่าง ๆ แล้วเห็นว่าไม่สมควรสั่งฟ้องหรือไม่จำเป็น ต้องสั่งฟ้องอัยการก็ใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องได้11 เนื่องจากดุลพินิจการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องของอัยการที่กว้างขวาง ทำให้มีความกังวลว่าจะมีการใช้ อำนาจไปในทางที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นนอกจากการตรวจสอบภายในองค์กรอัยการเองแล้ว การตรวจสอบ จากภายนอกก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน กฎหมายญี่ปุ่นจึงได้จัดตั้งกลไกการตรวจสอบการสั่งฟ้องของ พนักงานอัยการจากองค์กรภายนอกขึ้น ซึ่งในกลไกที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบคือ “คณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง” และได้ตราพ.ร.บ.คณะกรรมการตรวจฟ้องขึ้น ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ การทำงานของอัยการเป็นไปในทางที่สะท้อนเจตจำนงและความคิดเห็นของประชาชนทั่วไป (民意, the will of the people, public opinion)12 คณะกรรมการตรวจฟ้องจะตั้งประจำอยู่ในศาลชั้นต้น (Chiho-saibansho: District Court) ทุกศาลอย่างน้อยศาลละ 1 คณะ (ศาลชั้นต้นของญี่ปุ่นมีด้วยกัน 50 ศาลและมีสาขา 203 แห่ง) หากศาล ที่มีคดีในเขตอำนาจมาก เช่น ศาลชั้นต้นกรุงโตเกียว (Tokyo Chiho-saibansho) มีคณะกรรมการตรวจ ฟ้องตั้งอยู่ถึง 5 คณะ ปัจจุบันมีคณะกรรมการตรวจฟ้องประจำอยู่ในศาลชั้นต้นทั่วประเทศญี่ปุ่นรวม 10検察統計調査 / 検察統計 (Prosecutorial Statistics Survey / Prosecutorial Statistics) <https://www.e-stat.go.jp/statsearch/files?page=1&layout=datalist&toukei=00250003&tstat=000001012929&cycle=7&year=20210&month=0 > accessed 15 Oct. 2022. 11ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาญี่ปุ่น มาตรา 248 12พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 1


19 165 คณะ แม้คณะกรรมการตรวจฟ้องจะปฏิบัติหน้าที่โดยได้รับงบประมาณจากศาลยุติธรรม แต่คณะกรรมการตรวจสอบฟ้องมีสถานะเป็น “องค์กรอิสระ” ไม่ได้ถือเป็นส่วนหนึ่งของศาล13 •ระบบและขั้นตอนการคัดเลือกคณะกรรมการตรวจฟ้อง คณะกรรมการตรวจฟ้อง 1 คณะ ประกอบด้วย ประชาชนจำนวน 11 คน จากการคัดเลือกโดย ระบบสุ่ม โดยคัดเลือกจากบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร14 และไม่เป็นบุคคลที่กฎหมาย กำหนดห้ามปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจฟ้อง เช่น บุคคลที่ดำรงตำแหน่งหรือประกอบอาชีพบางประเภท (เช่น ราชวงศ์ รัฐมนตรี ผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ พนักงานศาล ตำรวจ กองกำลังป้องกันตนเอง เป็นต้น)15 หรือบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่ บุคคลที่ไม่สำเร็จการศึกษาภาคบังคับตาม กฎหมาย16 และบุคคลที่เคยต้องโทษจำคุกเกินกว่า 1 ปี17 ในการคัดเลือกคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง เลขาธิการคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง ซึ่งโดย ปกติจะเป็นเจ้าหน้าที่ศาลระดับอาวุโสจะต้องแจ้งให้ทางจังหวัด เมือง และหมู่บ้านที่อยู่ในเขตอำนาจศาลนั้น ส่งรายชื่อผู้มีคุณสมบัติให้แก่ศาลภายในวันที่ 1 กันยายนของทุกปีโดยแบ่งรายชื่อผู้มีคุณสมบัติเป็น 4 กลุ่ม ๆ ละ 100 คน รวม 400 คน18 เมื่อทางจังหวัด เมือง หรือหมู่บ้านได้รับแจ้งแล้วก็ให้ทำการ รวบรวมรายชื่อและจัดทำเป็น 4 กลุ่มดังกล่าวส่งให้แก่เลขาธิการคณะกรรมการตรวจฟ้องภายในวันที่ 15 ตุลาคมของปีนั้น ๆ19 จากนั้นทางเลขาธิการฯ จะทำการรวมรวมรายชื่อและตรวจสอบว่าผู้มีรายชื่อดังกล่าว มีคุณสมบัติต้องห้ามดำรงตำแหน่งคณะกรรมการตรวจฟ้องหรือไม่ และดำเนินการคัดเลือกผู้มาทำหน้าที่ คณะกรรมการตรวจฟ้องจากรายชื่อดังกล่าว โดยการจับฉลาก (Kuji) ต่อหน้าผู้พิพากษาศาลชั้นต้น 1 คน และพนักงานอัยการท้องถิ่น 1 คน การคัดเลือกและแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจฟ้องจะจัดขึ้นปีละ 4 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะคัดเลือก คณะกรรมการตรวจสอบฟ้องและคณะกรรมการสำรองครั้งละ 1 กลุ่ม หมุนเวียนไปตามลำดับ ดังนี้20 กลุ่มที่ 1 –คัดเลือกคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง 5 คน และคณะกรรมการสำรอง 5 คน จากรายชื่อ ที่เสนอมา 100 คน ภายในวันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี 13พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 3 14ทั้งนี้ บุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งภายใต้กฎหมายญี่ปุ่นปัจจุบัน (มีผลบังคับตั้งแต่เมษายน พ.ศ.2565) คือ บุคคลที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 9) 15พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 6 16การศึกษาภาคบังคับของประเทศญี่ปุ่น คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนสายสามัญเป็นระยะเวลา 9 ปี ในช่วงอายุตั้งแต่ 6 ถึง 15 ปี (ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3) (พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 5 วรรค 1 ประกอบ พระราชบัญญัติการศึกษาในสถานศึกษา มาตรา 4, 16, 17) 17พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 5 18พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 9 19พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 10 และ มาตรา 11 20พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 1. 最高裁判所、「検察審査員・補充員とは」 (Supreme Court of Japan, ‘What is the Committee for Inquest of Prosecution and Supplementary Committee’) <https://www.courts.go.jp/links/kensin/seido_sinsain/index.html > accessed 15 October 2022.


20 กลุ่มที่ 2 – คัดเลือกคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง 6 คน และคณะกรรมการสำรอง 6 คน จาก รายชื่อที่เสนอมา 100 คน ภายในวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี กลุ่มที่ 3 – คัดเลือกคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง 5 คน และคณะกรรมการสำรอง 5 คน จาก รายชื่อที่เสนอมา 100 คน ภายในวันที่ 30 มิถุนายนของทุกปี กลุ่มที่ 4 – คัดเลือกคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง 6 คน และคณะกรรมการสำรอง 6 คน จาก รายชื่อที่เสนอมา 100 คน ภายในวันที่ 30 กันยายนของทุกปี ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจฟ้องและคณะกรรมการสำรองแต่ละกลุ่มจะมีวาระการดำรงตำแหน่ง คราวละ 6 เดือน โดยมีช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งที่ต่างกัน ดังนี้21 กลุ่มที่ 1 – ประกอบด้วยคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง 5 คน และคณะกรรมการสำรอง 5 คน ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 กรกฎาคม กลุ่มที่ 2 – ประกอบด้วยคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง 6 คน และคณะกรรมการสำรอง 6 คน ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 ตุลาคม กลุ่มที่ 3 – ประกอบด้วยคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง 5 คน และคณะกรรมการสำรอง 5 คน ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ถึง 31 มกราคมของปีถัดไป กลุ่มที่ 4 – ประกอบด้วยคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง 6 คน และคณะกรรมการสำรอง 6 คน ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 30 เมษายนของปีถัดไป การหมุนเวียนดำรงตำแหน่งข้างต้นส่งผลให้แต่ละกลุ่มจะมีช่วงเวลาดำรงตำแหน่งที่คาบเกี่ยวกัน อยู่ 3 เดือน ทำให้มีคณะกรรมการตรวจฟ้องและคณะกรรมการสำรองอยู่ในตำแหน่งครบ 11 คน เสมอ โดยหลักผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมการตรวจสอบฟ้องไม่มีสิทธิปฏิเสธการเข้ารับหน้าที่ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นหรือสมควรตามที่กฎหมายกำหนด มิฉะนั้นอาจต้องจ่ายค่าปรับไม่เกิน 100,000 เยน22 21พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 14 22พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 43 ตาราง 1 การหมุนเวียนดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง 1 คณะ (4 กลุ่ม) อ้างอิงจาก https://www.courts.go.jp/links/kensin/seido_sinsain/index.html


21 อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติเกณฑ์การใช้เหตุผลในการปฏิเสธค่อนข้างยืดหยุ่นเนื่องจากคำนึงถึงความสะดวก ของประชาชนในการเข้าร่วมเป็นหลักซึ่งมาตรา 8 พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจฟ้องได้กำหนดเหตุ อันอาจปฏิเสธไม่เข้ารับหน้าที่คณะกรรมการตรวจฟ้องไว้หลายสาเหตุ โดยเฉพาะในวรรคเก้าได้กำหนดเหตุ ปฏิเสธไว้เช่น ป่วยหนัก เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือ “เหตุอย่างอื่นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” ซึ่งจะ เห็นได้ว่ามีการกำหนดเหตุปฏิเสธไว้กว้างและยืดหยุ่นมากเนื่องจากในสภาพความเป็นจริงประชาชนอาจ ไม่สะดวกเข้าร่วมได้ด้วยหลายสาเหตุ เช่น ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัดห่างไกลที่ประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ ไกลจากศาลมากและเป็นผู้สูงอายุที่เดินทางมาไม่สะดวก อนึ่ง ขั้นตอนการคัดเลือกคณะกรรมการตรวจสอบฟ้องเป็นระบบสุ่มจับฉลาก ซึ่งมีความยืดหยุ่น กว่าการจับฉลากเลือกคณะลูกขุนไซบังอินและไม่ได้มีการเปิดโอกาสให้ฝ่ายใดมาคัดค้านการแต่งตั้ง •ค่าตอบแทน ในการปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจสอบฟ้องจะได้รับค่าตอบแทนรายวัน รวมทั้งค่าเดินทาง และค่าที่พักตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง23 •อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจฟ้อง บทบาทหน้าที่หลักของคณะกรรมการตรวจฟ้อง มีด้วยกัน 2 ประการ คือ24 (1) การตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ (พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจฟ้อง มาตรา 2 วรรคหนึ่ง) โดยหลักคณะกรรมการตรวจสอบฟ้องมีอำนาจตรวจสอบดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องของพนักงาน อัยการในคดีอาญาได้เกือบทุกประเภทความผิด ยกเว้นความผิดเกี่ยวกับการก่อจลาจลภายในประเทศ และความผิดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการผูกขาดทางการค้าบางประเภท ทั้งนี้ คณะกรรมการ ตรวจฟ้องสามารถริเริ่มการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องของอัยการได้แม้ไม่มีผู้เสียหาย มายื่นคำร้องซึ่งถือเป็นกลไกที่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบดุลพินิจอัยการที่มีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีที่อยู่ใน ความสนใจของสาธารณชนหรือเป็นที่วิพากย์วิจารณ์ในสังคม เช่น การดำเนินคดีกับอาชญากรคอปกขาว (White-collar crime) หรือเหล่าบรรดาผู้มีอำนาจในสังคม เช่น นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง เป็นต้น25 -ในกรณีผู้มีส่วนได้เสียในคดี เช่น ผู้เสียหาย หรือคู่สมรสหรือครอบครัวของผู้เสียหายในกรณีที่ ผู้เสียหายเสียชีวิต ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ คณะกรรมการตรวจฟ้อง จะต้องดำเนินการพิจารณาตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการในคดีดังกล่าว -ในกรณีที่มีมติเสียงข้างมาก คณะกรรมการตรวจฟ้องอาจริเริ่มพิจารณาตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้อง ของพนักงานอัยการโดยอาศัยข้อมูลที่ตนได้รับรู้มาได้เอง (ex officio) 23พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 19 24พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 2 25Hiroshi Fukurai, ‘Lay Judge and Victim Participation in Japan: Japan’s Saiban’in Trial, the Prosecution Review Commission, and the Public Prosecution of White-Collar Crimes’ (2020) 1 Hastings J. Crime & Punish 395, 395-438. <https://repository.uchastings.edu/hastings_journal_crime_punishment/vol1/iss3/7> accessed 15 October 2022.


22 นอกจากนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจฟ้องสามารถใช้อำนาจต่อไปนี้ได้ 1. เรียกให้พนักงานอัยการส่งเอกสารที่จำเป็นหรือมาแสดงความเห็นต่อหน้าคณะกรรมการ26 2. สั่งให้หน่วยงานหรือองค์กรรัฐหรือเอกชนรายงานข้อมูลที่จำเป็นต่อคณะกรรมการ27 3. เรียกผู้ร้องหรือพยานบุคคลมาสอบปากคำ 28 4. เรียกผู้เชี่ยวชาญที่เห็นว่าเหมาะสมมาให้ความเห็น29 5. คณะกรรมการอาจจ้างทนายเป็นรายคดีไป ในกรณีที่เห็นจำเป็นเพื่อให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย ได้30 (2) การจัดทำข้อเสนอหรือคำแนะนำเพื่อพัฒนาปรับปรุงการทำงานของสำนักงานอัยการ (พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจฟ้อง มาตรา 2 วรรคสอง) คณะกรรมการตรวจฟ้อง มิได้มีเพียงบทบาทในการตรวจสอบแต่ยังมีบทบาทในการให้ คำแนะนำในการพัฒนาปรับปรุงของพนักงานอัยการได้ด้วย ซึ่งเป็นการจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การพัฒนางานอัยการโดยทั่วไป มิได้เฉพาะเจาะจงคดีใดคดีหนึ่ง โดยอัยการที่ได้รับข้อเสนอแนะหรือ คำแนะนำจากคณะกรรมการตรวจฟ้องเกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินคดีของพนักงานอัยการที่ควรจะเป็น มีหน้าที่ต้องแจ้งรายงานว่าทางสำนักงานอัยการได้มีมาตรการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอยู่แล้วหรือไม่ และมีเนื้อหาอย่างไรให้คณะกรรมการตรวจฟ้องทราบ •ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ31 1. ผู้เสียหายที่ได้ยื่นคำร้องขอให้ฟ้องคดีอาญา 2. บุคคลอื่นใดนอกจากผู้เสียหายที่เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาในคดีอาญา 3. บุคคลที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษคดีอาญา ในคดีอาญาที่จำเป็นต้องมีการร้องทุกข์กล่าวโทษจึงจะ ดำเนินคดีอาญาได้ เช่น คดีการทำลายธงชาติต่างประเทศ อันถือเป็นความผิดอาญาตามมาตรา 92 ประมวลกฎหมายอาญาญี่ปุ่น ซึ่งต้องอาศัยคำร้องทุกข์กล่าวโทษของรัฐบาลประเทศนั้น ๆ จึงจะฟ้อง คดีอาญาได้ 4. ผู้เสียหายจากการกระทำความผิดอาญา (ในกรณีผู้เสียหายเสียชีวิต ผู้สมรสหรือญาติพี่น้องที่มี ความสัมพันธ์ทางสายโลหิต) 26พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 35 27พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 36 28พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 37 29พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 38 30พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 39/2 31พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 30 ประกอบมาตรา 2 วรรคสอง


23 •มติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง32 คณะกรรมการตรวจฟ้อง เมื่อตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการแล้ว อาจมีมติได้ 3 ลักษณะคือ 1. เห็นควรสั่งฟ้อง 2. เห็นว่าคำสั่งไม่ฟ้องไม่สมควร 3. เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง33 โดยการลงมติจะอาศัยหลักเสียงข้างมาก คือ 6 เสียงขึ้นไปจาก 11 เสียง แต่หากเป็นกรณีมติ “เห็นควรสั่งฟ้อง” ต้องอาศัยเสียงข้างมาก 8 เสียงขึ้นไปจาก 11 เสียง34 และคณะกรรมการตรวจฟ้องจะ ส่งมติดังกล่าวไปยังอัยการเพื่อพิจารณา โดยการพิจารณาของอัยการและผลของคำสั่งสามารถแยกตาม ลักษณะมติของกรรมการตรวจฟ้อง ดังนี้ 1. กรณีมติเห็นควรสั่งฟ้อง35 หากอัยการพิจารณาแล้วเห็นควรสั่งฟ้องตามที่คณะกรรมการตรวจฟ้องมีมติก็ดำเนินการยื่นฟ้อง ต่อไป แต่หากอัยการยังคงมีคำสั่งไม่ฟ้อง หรือไม่ดำเนินการใด ๆ ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (โดยหลักคือ ภายในระยะเวลา 3 เดือน) ให้คณะกรรมการดำเนินการประชุมตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องของ อัยการเป็นครั้งที่ 236 และหากคณะกรรมการยังคงมีมติเห็นควรให้สั่งฟ้อง (มติ 8 เสียงขึ้นไปจาก 11 เสียง)37 ให้ทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งดำเนินการยื่นฟ้องแทนอัยการต่อไป38 2. กรณีมติเห็นว่าคำสั่งไม่ฟ้องไม่สมควร39 หากคณะกรรมการตรวจฟ้อง มีมติเห็นว่า คำสั่งไม่ฟ้องของอัยการไม่มีเหตุผลสมควร กล่าวคือ เห็นควรให้อัยการทำการสืบสวนสอบสวนรายละเอียดเพิ่มเติมแล้วพิจารณาคำสั่งฟ้องใหม่ ให้อัยการ พิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของตนเองอีกครั้งและดำเนินการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องตามที่อัยการเห็นสมควร กรณีนี้ แม้อัยการยังคงมีคำสั่งไม่ฟ้องเช่นเดิม คณะกรรมการตรวจฟ้องก็จะไม่ประชุมพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของ อัยการเป็นครั้งที่ 2 อีก 3. กรณีมติเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง หากคณะกรรมการตรวจฟ้องมีมติเห็นว่าการสั่งไม่ฟ้องของอัยการเป็นการสมควรแล้ว ก็ให้แจ้ง มติดังกล่าวให้อัยการทราบต่อไป 32最高裁判所、「検察審査会での審査の流れ」 (Supreme Court of Japan, ‘The inquest procedures of the Committee for Inquest of Prosecution’) <https://www.courts.go.jp/links/kensin/shinsanonagare/index.html > accessed 15 October 2022. 33พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 39/5 34พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 39/5 วรรคสอง 35พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 41 36พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 41/2 37พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 41/6 38พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 41/9 ถึง 41/12 39พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 41 วรรคสอง และ วรรคสาม


24 •บทบัญญัติอื่น ๆ ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจฟ้องยังได้กำหนดรายละเอียดในเรื่องอื่น ๆ เช่น มาตรการ คุ้มครองคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง40 การกำหนดให้ศาลต้องอธิบายสิทธิหน้าที่และรายละเอียดอื่น ๆ ที่จำเป็นให้แก่ผู้จะเข้ารับตำแหน่งคณะกรรมการตรวจฟ้องฟังและให้สาบานตนก่อนเริ่มประชุม คณะกรรมการตรวจฟ้อง41 และบทลงโทษกรณีคณะกรรมการตรวจฟ้องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ42 เป็นต้น 1.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล 1) ระบบคณะลูกขุนไซบังอิน (Saibanin Seido: Quasi-Jury System) ระบบไซบังอิน เป็นระบบการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล ซึ่งเป็นระบบที่มีลักษณะเฉพาะของประเทศญี่ปุ่น แตกต่างจากระบบคณะลูกขุน (Jury) ของประเทศ สหรัฐอเมริกาและระบบผู้พิพากษาสมทบ (Lay Judge) ก่อนมีระบบไซบังอิน ประเทศญี่ปุ่นมีระบบลูกขุนในรูปแบบอื่นมาก่อน โดยเป็นระบบคณะลูกขุน ที่ประกอบด้วยลูกขุน 12 คน ซึ่งในระบบคณะลูกขุนแบบเก่าจำเลยมีสิทธิปฏิเสธไม่ให้นำคณะลูกขุนเข้ามา พิจารณาคดี(jury trial) และให้มีเพียงผู้พิพากษาอาชีพพิจารณาตัดสินคดีของตนได้(bench trial) ในระบบ คณะลูกขุนแบบเก่านั้นคำตัดสินของคณะลูกขุนไม่มีผลผูกพันผู้พิพากษาให้ต้องปฏิบัติตาม ผู้พิพากษา ยังสามารถปฏิเสธไม่รับคำตัดสินคณะลูกขุนและโอนคดีไปให้ไซบังอินชุดอื่นพิจารณาได้ด้วย หรือหากเป็น กรณีที่ผู้พิพากษาเห็นด้วยและพิพากษาตามมติของคณะลูกขุน จำเลยก็ไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษา ดังกล่าวอีก นอกจากนี้จำเลยยังต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้คณะลูกขุนด้วยหากจำเลยถูกตัดสินว่า มีความผิดตามฟ้องจริง จะเห็นได้ว่าระบบคณะลูกขุนแบบเก่าเป็นระบบที่ไม่เป็นมิตรแก่จำเลยและอาจ ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล่าช้ากว่าเดิม ส่งผลให้ระบบนี้ไม่ถูกใช้ในทางปฏิบัติมากนัก ในเวลาต่อมาจึงมีการยกเลิกระบบคณะลูกขุนแบบเก่า และนำระบบไซบังอินมาใช้แทนซึ่งเป็นระบบที่ ผสมผสานระหว่างระบบลูกขุนของสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมันที่ใช้อยู่ ณ เวลานั้น ระบบไซบังอิน จัดตั้งโดย Act on Criminal Trials with the Participation of Saiban-in (Act No.63 of May 28, 2004) (ต่อไปนี้จะเรียกว่า “พระราชบัญญัติไซบังอิน”) 43 โดยมีรากฐานมาจาก พระราชบัญญัติศาลยุติธรรม (Courts Act (Act No. 59 of 1947)) มาตรา 3 ซึ่งกำหนดเกี่ยวกับเขตอำนาจ ในการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรมและได้บัญญัติไว้ในวรรคสาม ว่า “บทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เป็นการต้องห้ามใช้ระบบคณะลูกขุนที่แต่งตั้งขึ้นตามกฎหมายอื่นในการพิจารณาคดีอาญา” 40พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 42/2 บัญญัติห้ามนายจ้างไล่ลูกจ้างออกหรือกระทำการใดให้เสียประโยชน์แก่ ลูกจ้างโดยอาศัยเหตุจากการที่ลูกจ้างต้องหยุดงานเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง หรือคณะกรรมการสำรอง 41พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 16 42พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 44 มาตรา 44/2 และ มาตรา 45 43Saiban’in no sanka suru keiji saiban ni kansuru horitsu, Law No. 63 of 2004.


25 วัตถุประสงค์ของการนำระบบไซบังอินมาใช้ในประเทศญี่ปุ่น คือเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและ ความไว้วางใจของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม (to promote the citizens' understanding of and enhance trust in the judicial system)44 คณะลูกขุนไซบังอินจะมีอำนาจพิจารณาเฉพาะคดีที่อยู่ในศาลชั้นต้น (ศาลท้องถิ่น) เท่านั้น ไม่มี อำนาจพิจารณาคดีอาญาที่เยาวชนเป็นผู้กระทำความผิด และไม่มีอำนาจพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ หรือฎีกา อนึ่ง ประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีศาลชั้นต้น (Chiho-saibansho) ทั่วประเทศจำนวน 50 ศาล และสาขาอีก 203 แห่งนั้น มีเพียงศาลขนาดใหญ่ 10 ศาลเท่านั้นที่มีการพิจารณาคดีโดยไซบังอิน ทั้งนี้จากการสำรวจ ปริมาณคดีอาญาที่เข้าสู่การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นในปี2564 พบว่ามีคดีที่มีการพิจารณาโดยคณะลูกขุน เพียง 793 คดี จากคดีอาญาในศาลชั้นต้นทั้งหมด 65,151 คดี คิดเป็นร้อยละ 1.245 ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ น้อยมาก ภายใต้ระบบไซบังอินในปัจจุบัน การกำหนดว่าจะใช้คณะลูกขุนในคดีใด ๆ หรือไม่เป็นดุลพินิจ ของศาล จำเลยในคดีอาญาไม่มีสิทธิเลือกหรือปฏิเสธการพิจารณาคดีโดยไซบังอิน อย่างไรก็ดีจำเลยยังมี สิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาชั้นต้นได้ซึ่งในชั้นอุทธรณ์ฎีกาจะเป็นการพิจารณาคดีโดยผู้พิพากษาทั้งหมด •ระบบและขั้นตอนการคัดเลือกไซบังอิน ระบบไซบังอินเป็นระบบที่สุ่มเลือกประชาชนทั่วไปจำนวน 6 คน เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เป็นไซบังอิน เพื่อร่วมพิจารณาคดีเป็นองค์คณะเดียวกันกับผู้พิพากษาอาชีพ (ไซบังคัง) ซึ่งองค์คณะหนึ่งจะประกอบด้วย ผู้พิพากษา 3 คน และไซบังอิน 6 คน โดยไซบังอินมีอำนาจร่วมกับผู้พิพากษาทั้งในการตัดสินว่าจำเลยมี ความผิดตามฟ้องหรือไม่และกรณีที่ตัดสินว่าจำเลยมีความผิดควรกำหนดโทษที่จำเลยอย่างไร โดยการคัดเลือกบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ไซบังอินจะคัดเลือกจากบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร46 และไม่เป็นบุคคลที่กฎหมายกำหนดห้ามปฏิบัติหน้าที่ไซบังอิน เช่น บุคคลที่ ดำรงตำแหน่งหรือประกอบอาชีพบางประเภท (เช่น รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม เป็นต้น) และบุคคลที่ถูกจับหรือกักขัง หรือถูกฟ้องเป็น จำเลยในคดีอาญาที่มีโทษจำคุกหรือหนักกว่าซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด47 ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าบุคคลที่ถูกจับหรือ กักขัง หรือถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาที่มีโทษจำคุกหรือหนักกว่า ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุดนั้นยังได้รับการ 44พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 1 45最高裁判所、「令和3年における裁判員裁判の実施状況等に関する資料」2 頁 (Supreme Court, Materials related to the state of implementation of Saiban-in trials in 2021) (2021) <https://www.saibanin.courts.go.jp/vcfiles/saibanin/2022/R3-103-1.pdf> accessed 12 October 2022. 最高裁判所、「裁判員制度の運用に関する意識調査」(Supreme Court, 2022 Research on Citizen’s perception of Saiban-in System) (2022) <https://www.saibanin.courts.go.jp/vc-files/saibanin/2022/1.pdf> accessed 12 October 2022. 46พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 13. ทั้งนี้ บุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งภายใต้กฎหมายญี่ปุ่นปัจจุบัน (มีผลบังคับตั้งแต่เมษายน พ.ศ. 2565) คือ บุคคลที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 9) 47พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 15


26 สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมายอยู่ แต่กฎหมายกำหนดห้ามให้บุคคลดังกล่าวเข้าทำหน้าที่ไซบังอิน เนื่องจากมีเหตุเชื่อได้ว่าบุคคลดังกล่าวอาจมีอคติต่อกระบวนการพิจารณาคดีอาญาทำให้ไม่สามารถ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลางได้ นอกจากนี้บุคคลที่จะเป็นไซบังอินต้องไม่ใช่บุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามที่กฎหมาย กำหนด เช่น บุคคลที่ไม่สำเร็จการศึกษาภาคบังคับตามกฎหมาย48 หรือบุคคลที่เคยต้องโทษจำคุก บุคคล ที่มีความบกพร่องทางจิตและไม่สามารถทำหน้าที่ไซบังอินได้49 โดยหลักบุคคลที่ได้รับการเรียกให้ไปปฏิบัติหน้าที่ไซบังอินไม่อาจปฏิเสธการเข้ารับได้เว้นแต่มี เหตุปฏิเสธตามที่กฎหมายกำหนด เช่น บุคคลที่มีอายุเกิน 70 ปี บุคคลที่เคยปฏิบัติหน้าที่ไซบังอินภายใน 5 ปีที่ผ่านมา บุคคลที่ป่วยหรือบาดเจ็บร้ายแรงจนไม่อาจมาศาลได้ เป็นต้น50 คุณสมบัติที่กล่าวไปข้างต้นเป็นคุณสมบัติและข้อห้ามทั่วไปสำหรับบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ไซบังอิน ในทุกคดี นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติที่ห้ามบุคคลเข้าเป็นไซบังอินเฉพาะในคดีที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เช่น ผู้เสียหาย หรือพยานในคดีนั้น ๆ51 หรือบุคคลที่ศาลเห็นว่าอาจตัดสินคดีนั้นโดยไม่เป็นธรรมได้52 อนึ่ง กระบวนการคัดเลือกไซบังอินจะมีการดำเนินการคัดเลือกตามลำดับดังนี้53 ขั้นตอนแรก คือในช่วงประมาณก่อนเดือนกันยายนของแต่ละปีศาลจะแจ้งไปยังคณะกรรมการ การเลือกตั้งในท้องถิ่นที่อยู่ในเขตอำนาจศาลให้สุ่มเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งตาม จำนวนที่ศาลกำหนด54 เพื่อนำมาจัดทำบัญชีรายชื่อ “ผู้ที่อาจถูกเรียกให้ปฏิบัติหน้าที่ไซบังอิน” ของปีถัดไป เมื่อสุ่มเลือกแล้วจะมีการส่งจดหมายแจ้งให้บุคคลที่มีรายชื่อทราบ พร้อมแบบสอบถาม เพื่อให้บุคคลนั้นตอบรับหรือแจ้งเหตุที่อาจปฏิเสธการเข้ารับหน้าที่ไซบังอินได้55 ขั้นตอนที่สอง เมื่อศาลมีความเห็นว่าคดีใดมีความจำเป็นต้องใช้คณะลูกขุนไซบังอิน ศาลจะทำการ จับฉลากอีกครั้งเพื่อเลือกบุคคลจำนวนหนึ่ง (มากน้อยแล้วแต่คดี) จากรายชื่อที่ทำไว้ในขั้นตอนแรก ภายในเวลา 6 สัปดาห์ก่อนคดีดังกล่าวจะเริ่ม เพื่อให้ได้รายชื่อ “ผู้ที่อาจถูกเรียกให้เป็นไซบังอินสำหรับ คดีนั้น ๆ” เมื่อได้รายชื่อแล้วศาลจะส่งจดหมายเรียกไปยังบุคคลดังกล่าวเพื่อให้มารายงานตัวที่ศาลในวัน คัดเลือกตามที่ศาลกำหนด 48การศึกษาภาคบังคับของประเทศญี่ปุ่น คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนสายสามัญเป็นระยะเวลา 9 ปี ในช่วงอายุตั้งแต่ 6 ถึง 15 ปี (ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3) (พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง มาตรา 5 วรรคหนึ่ง ประกอบ พระราชบัญญัติการศึกษาในสถานศึกษา มาตรา 4, 16, 17) 49พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 14 50พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 16 51พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 17 52พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 18 53法務省、「裁判員制度の概要」(Ministry of Justice, ‘Overview of Saiban-in System’) <https://www.moj.go.jp/keiji1/saibanin_seido_gaiyou02.html> accessed 13 October 2022. 54ทั้งนี้ แต่ละศาลจะกำหนดจำนวนบุคคลที่จะได้รับเลือกขึ้นทะเบียนเป็นไซบังอินไม่เท่ากัน เช่น ศาลโตเกียว จะขึ้นทะเบียนไว้ประมาณ 23,000 คนต่อปี 55พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 25


27 ขั้นตอนที่สาม ในวันคัดเลือกไซบังอินสำหรับแต่ละคดี ผู้ที่ได้รับจดหมายเรียกตามขั้นตอนที่สอง จะต้องมารายงานตัวต่อศาล และศาลจะทำการอธิบายและตอบคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ไซบังอิน และเปิดโอกาสให้อัยการ (ฝ่ายโจทก์) และทนายจำเลยคัดค้านบุคคลที่ศาลเลือกให้เป็นไซบังอินในคดีของ ตนได้ และศาลก็จะทำการจับฉลากอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 จากบัญชีรายชื่อในขั้นตอนที่สองเพื่อเลือกบุคคล จำนวน 6 คน ที่จะได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ไซบังอินในคดีนั้น และอาจเลือกคณะลูกขุนสำรองได้หากศาล เห็นว่ามีความจำเป็น ทั้งนี้ ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นไซบังอินจะปฏิบัติหน้าที่เฉพาะคดีที่ตนได้รับการแต่งตั้งเป็นรายคดีไป ไม่ได้มีวาระการดำรงตำแหน่งเป็นระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง •ประเภทคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของไซบังอิน56 1. คดีที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุกตลอดชีวิต 2. คดีอาญาที่เกิดจากการกระทำความผิดโดยเจตนาอันเป็นเหตุให้เหยื่อถึงแก่ความตายซึ่งมี ระวางโทษจำคุกอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป ตัวอย่างประเภทคดีที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของไซบังอิน เช่น คดีฆาตกรรม คดีลักทรัพย์ อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือได้รับบาดเจ็บ คดีทำร้ายร่างกายอันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คดีขับรถขณะเมาสุราและชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย คดีลอบวางเพลิงเคหสถานอันเป็นที่อยู่อาศัย คดีลักพาตัว เพื่อเรียกค่าไถ่ คดีเกี่ยวกับความผิดฐานทอดทิ้งเด็กไม่ดูแลความเป็นอยู่และอาหารการกินแก่เด็กที่อยู่ใน ปกครองของตนเป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย คดีลักลอบขนยาเสพติดเพื่อการค้า เป็นต้น •การตัดสินคดีที่มีคณะลูกขุนไซบังอินเข้าร่วมพิจารณา คดีที่มีคณะลูกขุนไซบังอินเข้าร่วมพิจารณา องค์คณะผู้พิจารณาจะประกอบด้วย ผู้พิพากษา 3 คน และไซบังอิน 6 คน โดยไซบังอินมีอำนาจพิจารณาคดีร่วมกับผู้พิพากษาทั้งในการตัดสินว่าจําเลยมีความผิด ตามฟ้องหรือไม่และกรณีที่ตัดสินว่าจําเลยมีความผิดควรกำหนดโทษจําเลยอย่างไร การตัดสินคดีและกำหนดโทษจะใช้หลัก “เสียงข้างมาก” ของทั้งผู้พิพากษาและไซบังอินรวมกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่องค์คณะจะมีมติเอกฉันท์ แต่หากไม่สามารถมีมติเอกฉันท์ได้จึงค่อยลงมติเพื่อหาเสียง ข้างมาก ซึ่งกรณีที่จะพิพากษาให้จำเลยมีความผิดในเสียงข้างมากจะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 1 คน ที่ลงความเห็นให้จำเลยมีความผิดตามฟ้อง หากไม่มีผู้พิพากษาในองค์คณะตัดสินให้จำเลยมีความผิดตาม ฟ้องเลยก็จะพิพากษาให้จำเลยมีความผิดไม่ได้ เช่น ผู้พิพากษา 3 คน ลงความเห็นว่าจำเลยไม่มีความผิด แต่ไซบังอินทั้ง 6 คน ลงความเห็นว่าจำเลยมีความผิด เช่นนี้แม้จะเป็นเสียงข้างมากในองค์คณะแต่ก็มิอาจ พิพากษาลงโทษจำเลยได้57 ในส่วนของการกำหนดโทษ หากองค์คณะมีความเห็นต่างกันและไม่อาจหาเสียงข้างมากได้ ให้คำนวณหาเสียงข้างมากโดยการนำคะแนนเสียงที่เป็นโทษหนักต่อจำเลยมากที่สุดไปรวมเข้าเป็น 56พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 2 57พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 67 วรรคหนึ่ง


28 คะแนนเสียงที่เป็นโทษกับจำเลยในลำดับถัดมาจนกว่าจะได้มติที่มีเสียงข้างมาก เช่น มีมติ 3 เสียง เห็นควรลงโทษจำคุกจำเลย 7 ปีมติ 2 เสียง เห็นควรลงโทษจำคุกจำเลย 6 ปี และมติ 4 เสียงเห็นควร ลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี กรณีนี้จะเห็นว่าไม่มีโทษจำคุกไหนที่ได้มติเสียงข้างมากขององค์คณะ คือ 5 เสียง จึงต้องนำคะแนนเสียงที่เป็นโทษหนักต่อจำเลยมากที่สุดไปรวมเข้ากับคะแนนเสียงที่เป็นโทษกับจำเลย ในลำดับถัดมา คือมติจำคุกจำเลย 7 ปี ไปรวมกับมติจำคุก 6 ปี รวมเป็น 5 เสียง ซึ่งเป็นเสียงข้างมาก ขององค์คณะ (มติจำคุก 6-7 ปี 5 เสียง ต่อมติจำคุก 5 ปี 4 เสียง) ให้พิพากษากำหนดโทษจำเลยตามโทษ ที่เป็นคุณแก่จำเลยมากที่สุดในฝั่งเสียงข้างมาก ซึ่งตามตัวอย่างนี้คือลงโทษจำคุกจำเลย 6 ปี58 2) สิทธิผู้เสียหายในการขอเข้าร่วมกระบวนพิจารณาคดีอาญา (Higaisha Sanka SeidoVictim Participation) 59 ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า หลักการดำเนินคดีอาญาของประเทศญี่ปุ่นเป็นรูปแบบการดำเนิน คดีอาญาโดยรัฐ (public prosecution) ซึ่งอัยการเป็นผู้มีอำนาจในการฟ้องคดีอาญาทุกประเภท ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องคดีอาญาหรือดำเนินคดีอาญาด้วยตนเอง ดังนั้น กฎหมายญี่ปุ่นจึงเปิดช่องให้ บุคคลที่เป็นผู้เสียหายหรือทายาทของผู้เสียหายในประเภทคดีอาญาที่กฎหมายกำหนด เช่น คดีกักขัง หน่วงเหนี่ยว คดีข่มขืนหรืออนาจาร คดีฆาตกรรม เป็นต้น สามารถยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีอาญา ร่วมกับอัยการที่รับผิดชอบสำนวนคดีนั้นได้ เมื่ออัยการได้รับคำร้องแล้วก็จะพิจารณาให้ความเห็นต่อคำร้องดังกล่าว แล้วส่งความเห็นแนบกับ คำร้องนั้นให้ศาลพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตอีกครั้งหนึ่ง โดยศาลจะพิจารณาคำร้องโดยการรับฟังความเห็นของจำเลยหรือทนายความจำเลย ลักษณะ ความผิดอาญาตามฟ้อง ความสัมพันธ์ของผู้ร้องกับจำเลย รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบกัน หากศาลเห็นว่าสมควรให้ผู้เสียหายเข้าร่วมได้ก็จะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้อง ผู้เสียหายที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการพิจารณาคดี สามารถดำเนินการพิจารณาคดีในขั้นตอน ต่าง ๆ ร่วมกับอัยการได้ เช่น ในวันพิจารณาคดี ผู้เสียหายสามารถเข้าร่วมการพิจารณาในห้องพิจารณา คดีได้โดยนั่งพิจารณาข้าง ๆ พนักงานอัยการ ผู้เสียหายสามารถให้ความเห็นหรือร้องขอให้พนักงานอัยการ อธิบายเกี่ยวกับการดำเนินคดีของพนักงานอัยการในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การขอตรวจพยานหลักฐาน การแถลงปิดคดี การเสนอระวางโทษต่อศาล (求刑 -Kyukei) สามารถซักถามพยานในประเด็นที่จำเป็น เพื่อโต้แย้งพฤติการณ์เกี่ยวกับพยานหลักฐานที่พยานปากนั้นนำสืบ เป็นต้น อย่างไรก็ดี แม้จะได้รับ อนุญาตจากศาลให้เป็น “ผู้เสียหายที่เข้าร่วมการพิจารณา” แล้ว แต่อาจมีบางกรณีหรือบางขั้นตอนการ พิจารณาที่ศาลไม่อนุญาตให้เข้าร่วมก็ได้ 58พระราชบัญญัติไซบังอิน มาตรา 67 วรรค 2 59法務省、「4.公判段階での被害者支援」(Ministry of Justice, ‘Victim Participation Support in Criminal Trials’) <https://www.moj.go.jp/keiji1/keiji_keiji11-4.html#:~:text=4%20 被害者参加制度,人」と呼ばれます。> accessed 15 October 2022.


29 ทั้งนี้ ในการเข้าร่วมการดำเนินคดีอาญานั้น ผู้เสียหายที่ขอเข้าร่วมสามารถแต่งตั้งให้ทนายความ กระทำการแทนได้ ซึ่งถ้าไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอในการว่าจ้างทนายความก็มีระบบทนายความของรัฐ (国選弁護制度 – Kokusen Bengo Seido) รองรับด้วย 3) คณะกรรมการศาลท้องถิ่น (Chiho Saibansho Iinkai)60 คณะกรรมการศาลท้องถิ่น จัดตั้งขึ้นตาม ข้อบังคับว่าด้วยคณะกรรมการศาลท้องถิ่น (Chiho Saibansho Iinkai Kisoku) ที่ออกตามระเบียบศาลฎีกาฉบับที่ 9 (ลงวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2546) โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้การบริหารงานยุติธรรมของศาลท้องถิ่นเป็นไปในทางที่สะท้อนความคิดเห็นของ ประชาชนมากขึ้น ซึ่งคณะกรรมการศาลท้องถิ่นมีหน้าที่ให้ความเห็นต่อข้อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการ บริหารงานยุติธรรมของศาลที่ศาลท้องถิ่น (Chiho Saibansho) รวมถึงศาลคดีไม่มีข้อยุ่งยาก (Kan-i Saibansho) ที่อยู่ในเขตอำนาจเดียวกับศาลท้องถิ่นที่ตนเป็นคณะกรรมการอยู่ร้องขอ คณะกรรมการศาลท้องถิ่นจะประกอบด้วยกลุ่มบุคคลไม่เกิน 15 คน หรือกรณีที่ศาลฎีกา เห็นสมควรอาจมีการแต่งตั้งคณะกรรมการศาลท้องถิ่นเพิ่มได้แต่รวมแล้วไม่เกิน 25 คน โดยคัดเลือกจาก บุคคลที่มีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ข้อบังคับฯ กำหนด เช่น บุคคลที่มีประสบการณ์ทำงานทางด้าน วิชาการซึ่งอาศัยหรือทำงานอยู่ในพื้นที่เขตอำนาจศาลท้องถิ่นนั้น ทนายความที่สังกัดสภาทนายความ ที่จัดตั้งขึ้นในเขตอำนาจศาลท้องถิ่นนั้น เป็นต้น โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี และสามารถ ดำรงตำแหน่งซ้ำได้ 2. สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐเกาหลีได้มีการปฏิรูปการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมโดยให้ความสำคัญกับ การมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา 2.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ 1) กลุ่มอาสาสมัครป้องกันอาชญากรรม (Police Crime Prevention Volunteers) ภายใต้แนวคิดตำรวจชุมชนสัมพันธ์ (community policing) สาธารณรัฐเกาหลีได้นำระบบตำรวจชุมชนสัมพันธ์มาใช้ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1999 ในช่วงปฏิรูป ระบบตำรวจให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งเป็นระบบที่เน้นความเข้าใจความต้องการ ของประชาชน เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อตำรวจ ซึ่งการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ระบบตำรวจชุมชนสัมพันธ์บรรลุเป้าหมาย61 โดยหนึ่งในกลไกการมีส่วนร่วม ของประชาชน คือการจัดตั้งโครงการอาสาสมัครป้องกันอาชญากรรมตำรวจ (Police Crime Prevention 60最高裁判所、「地方裁判所委員会規則」 (Supreme Court, ‘Regulations on the District Court Commission’) <https://www.courts.go.jp/toukei_siryou/kisokusyu/sonota_kisoku/sonota_kisoku_11/index.html > accessed 15 October 2022. 61Wook Kang & Mahesh K. Nalla & Yongtae Chun, Community policing in South Korea: an analysis of organizational determinants, Crime Law Soc Change (2014) 62:549–570.


30 Volunteer Scheme) เพื่อป้องกันอาชญากรรมในชุมชน ประกอบไปด้วยกลุ่มประชาชนในพื้นที่ที่ทำงาน ร่วมกันกับสถานีตำรวจท้องถิ่น โดยทั่วไปกลุ่มอาสาสมัครป้องกันอาชญากรรมในชุมชนจะประกอบด้วย กลุ่มประชาชนในพื้นที่ประมาณ 3-5 คน ทำหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการลาดตระเวนและ รายงานการเกิดอาชญากรรมทั้งในพื้นที่และในจุดสุ่มเสี่ยงเกิดอาชญากรรมในเวลากลางคืน ซึ่งระบบ อาสาสมัครป้องกันอาชญากรรมนี้เป็นระบบอาสาสมัครเต็มรูปแบบคืออาสาสมัครไม่ได้รับค่าตอบแทน ใด ๆ ในรูปแบบเงินตราหรือของอย่างอื่นจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว62 2) คณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวน (ชั้นตำรวจ) (Investigation Review Committee) สถานีตำรวจนครบาลแต่ละแห่งจะมี คณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวน (ชั้นตำรวจ) (Investigation Review Committee) ที่เพิ่งเริ่มมีการจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2021 ซึ่งมีอำนาจตรวจสอบ ว่าการสืบสวนสอบสวนของตำรวจเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตัวอย่างการใช้อำนาจตรวจสอบ ของคณะกรรมการฯ เช่น หากตำรวจเร่งทำการสืบสวนเพื่อรีบปิดสำนวนคดีแล้วมีเหยื่อในคดีอาญานั้น ร้องเรียนคณะกรรมการฯ ก็จะเป็นเครื่องมือสุดท้ายที่ประชาชนจะสามารถตรวจสอบได้ว่าการสืบสวน สอบสวนของตำรวจได้กระทำอย่างถูกต้องหรือไม่ โดยคณะกรรมการฯ จะประชุมกันทุกเดือนเพื่อหารือ เกี่ยวกับคดีประมาณ 10-12 คดีที่มีการร้องเรียนเข้ามาแล้วทำความเห็นเสนอต่อตำรวจ ซึ่งความเห็น ของคณะกรรมการฯ มีสถานะเป็น “คำแนะนำ” (advisory) กล่าวคือ ตำรวจไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม คำแนะนำก็ได้ทั้งนี้คณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวน (ชั้นตำรวจ) จะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ในแต่ละสาขา (experts) จึงอาจไม่ใช่กลไกที่ให้ประชาชนทั่วไป (lay person) เข้ามีส่วนร่วมได้ 2.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ 1) คณะกรรมการตรวจสอบฟ้องภาคประชาชน (검찰시민위원 Committee of Prosecution Service and Citizens) 63 การดำเนินคดีอาญาในสาธารณรัฐเกาหลีเป็นระบบดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ คืออัยการมีสิทธิ แต่ผู้เดียวในการฟ้องคดีเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น64 และแนวคิดการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง ภาคประชาชนในชั้นการสั่งฟ้องของพนักงานอัยการของสาธารณรัฐเกาหลีก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิด 62Choi, Kwan, Citizen participation in community safety: a comparative study of community policing in South Korea and the United Kingdom. Monash University. Thesis. (2017) <https://doi.org/10.4225/03/58b4f88d6a8b0> accessed 15 October 2022. 63李 東熹「 韓国・刑事司法における国民参加とその実践的な意義」関西大学法学研究所ノモス 第 31 号 13 頁、19 頁 (2012 年 12 月))(Lee Donghee, ‘Citizen Participation in Criminal Justice and its Actual Meaning in Korea’ Kansai University Institute of Legal Studies NOMOS no.31) (2012) 13, 19. See also, Supreme Prosecutors’ Office Republic of Korea, ‘Institutional Reforms-Pursuing Investigations in a Trustworthy, Impartial and Refined Manner’ <https://www.spo.go.kr/site/eng/03/10304000000002018120607.jsp> accessed 15 October 2022, Supreme Prosecutors’ Office Republic of Korea, ‘검찰시민위원 (The Prosecutor's Citizenship Committee)’<https://www.spo.go.kr/site/museum/03/10304000000002018120612.jsp> accessed 15 October 2022. 64Lee Donghee, supra note 63.


31 คณะกรรมการตรวจสอบฟ้องของอัยการของประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี คณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง ภาคประชาชนนี้ เป็นเพียงองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษตามนโยบายการปฏิรูประบบการทำงานของ อัยการให้มีความโปร่งใสและมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมากขึ้นภายใต้คู่มือการปฏิบัติหน้าที่ ของคณะกรรมการตรวจฟ้องภาคประชาชน (Operational Guidelines)65 ไม่ได้เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายแบบคณะกรรมการตรวจฟ้องของประเทศญี่ปุ่น วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบฟ้องภาคประชาชน คือเพื่อตอบสนอง ข้อเรียกร้องของสังคมที่ต้องการให้มีการพัฒนาปรับปรุงระบบการดำเนินคดีอาญาของอัยการ โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้การทำงานของอัยการเป็นไปโดยสะท้อนเจตจำนงและความเห็นของภาคประชาชน มากขึ้นทั้งในขั้นตอนการสอบสวนและการพิจารณาฟ้อง โดยระบบนี้เริ่มนำมาใช้ในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553 โดยแรกเริ่มมีการจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวอยู่ประจำสำนักงานอัยการท้องถิ่นและ สำนักงานอัยการสาขาย่อยรวม 41 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบฟ้องภาคประชาชน 1 คณะ จะประกอบด้วย ประธานกรรมการ 1 คน กรรมการ 8 คน และกรรมการสำรองอีก 9 คน ทำหน้าที่ในการ พิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับการสั่งฟ้องหรือการขอออกหมายต่าง ๆ ของพนักงานอัยการในคดีอาญา66 และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 เป็นต้นมาได้มีการเพิ่มจำนวนคณะกรรมการประจำสำนักงานอัยการท้องถิ่นเป็น 64 แห่งทั่วประเทศ อย่างไรก็ดี คณะกรรมการตรวจสอบฟ้องภาคประชาชนของสำนักงานอัยการแห่งสาธารณรัฐ เกาหลีไม่ได้มีอำนาจกว้างขวางเท่าคณะกรรมการตรวจฟ้องของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากมีอำนาจ ตรวจสอบจำกัดเฉพาะคดีที่สำนักงานอัยการกำหนดและมติของคณะกรรมการดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันให้ พนักงานอัยการต้องปฏิบัติตามแต่อย่างใด อีกทั้ง การคัดเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ ก็ทำโดยองค์กรอัยการเอง ทำให้มีการตั้งคำถามว่าคณะกรรมการดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพในการ ตรวจสอบและควบคุมความเป็นกลางในการทำงานของอัยการได้เพียงใด 67 2) คณะกรรมการตรวจสอบการสอบสอนและสั่งฟ้อง (ชั้นอัยการ) (수사자문위원Investigation Review Committee) สำนักงานอัยการสูงสุดมีคณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวนและสั่งฟ้องในชั้นอัยการซึ่งมีชื่อ เรียกว่า ‘Investigation Review Committee’ ซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา (experts) เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจสอบการสั่งฟ้องในชั้นตำรวจ แต่จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2018 และทำหน้าที่ ต่างกันกับคณะกรรมการตรวจสอบการสืบสวนในชั้นตำรวจ พนักงานอัยการภายใต้ระบบกฎหมาย 65Prosecution Citizenship Committee Operation Guidelines [Enforcement 2018. 9. 20.] [Supreme Prosecutor’s Office Regulation No. 965, 2018. 9. 20., partially amended] <https://www.law.go.kr/정규칙/검찰시민위원운영지침> accessed 15 October 2022. 66Korean Institute of Criminology and Justice, ‘Asia-Pacific Networks against Crimes (APNAC) - Judicial Reform: Exploring Current Policy Tasks and Its Issues’ (2017) <https://www.kicj.re.kr/board.es?mid=a20601010300&bid=0029&tag=&act=view&list_no=12430> accessed 15 October 2022. 67Supreme Prosecutors’ Office Republic of Korea, supra note 63.


32 เกาหลีมีอำนาจสืบสวนสอบสวนคดีด้วย โดยคณะกรรมการฯ ในชั้นอัยการจะทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่ อัยการในเรื่องต่อไปนี้ 1) อัยการควรดำเนินการสืบสวนต่อไปหรือไม่ 2) หลังการสืบสวนสอบสวนคดีแล้ว หากอัยการยังไม่มั่นใจว่าควรส่งฟ้องคดีนั้นหรือไม่ ก็อาจขอความเห็นจากคณะกรรมการฯ ได้ 3) อัยการ เป็นองค์กรเดียวที่มีอำนาจขอหมายจับภายใต้กฎหมายเกาหลี คณะกรรมการฯ ก็สามารถแนะนำอัยการ ได้ว่าควรขอหมายจับหรือขอหมายจับใหม่อีกครั้งหรือไม่ 4) ความเหมาะสมและความชอบด้วยกฎหมาย ของคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องของอัยการ 5) ให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำในเรื่องอื่นที่อัยการร้องขอ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวน (ชั้นอัยการ) ถูกกำหนดไว้ในคู่มือการ ปฏิบัติงาน (operational guidelines) ของคณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวน (ชั้นอัยการ) ที่จัดทำขึ้น โดยสำนักงานอัยการสูงสุด ไม่ได้เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมาย68 ความเห็นของคณะกรรมการฯ ก็มี สถานะเป็น “คำแนะนำ” (advisory) ไม่ได้ผูกพันให้อัยการต้องปฏิบัติตาม 2.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล 1) ระบบคณะลูกขุน (Advisory Jury System)69 การมีส่วนร่วมของพลเมืองเกาหลีในกระบวนการพิจารณาคดีอาญาของศาลเป็นการมีส่วนร่วม ในรูปแบบคณะลูกขุน ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของพลเมืองในกระบวนพิจารณา คดีอาญา (Act on Citizen Participation in Criminal Trials (แก้ไขล่าสุดปี ค.ศ. 2017) (ต่อไปนี้ จะเรียกว่า “พระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมฯ”)70 สาธารณรัฐเกาหลีได้ริเริ่มนำระบบคณะลูกขุนเข้ามาใช้ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2008 ในช่วงปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมครั้งเพื่อใหญ่ให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย มากขึ้น โดยคดีแรกที่มีการให้คณะลูกขุนเข้าร่วมพิจารณาเป็นคดีลักทรัพย์และทำร้ายร่างกาย ซึ่งในคดี ดังกล่าวคณะลูกขุน 9 คน ได้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาทั้งในชั้นไต่สวนและสืบพยานและได้ร่วมตรวจ พยานหลักฐานทั้งหมด หลังจากนั้นคณะลูกขุนจะออกจากห้องพิจารณาเพื่อไปประชุมหารือเกี่ยวกับคดี ในคดีดังกล่าว คณะลูกขุนลงมติตัดสินว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องจริงแต่เห็นควรชะลอการลงโทษ ไว้ก่อน เนื่องจากเห็นว่าจำเลยได้พยายามนำตัวผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลเมื่อพบว่าผู้เสียหายมีเลือดออก จากการถูกทำร้าย และศาลก็ได้พิพากษาคดีไปตามมติคณะลูกขุน71 68Operational Rules of Professional Investigation Advisory Committee [Enforcement 2018. 3. 21.] [Ministry of Justice Ordinance No. 920, 2018. 3. 21., partially amended] <https://www.law.go.kr/법령/전문수사자문위원운영규칙> accessed 15 October 2022. 69http://saibanin.net/updatearea/staffcolumn/archives/1044 70Act on Citizen Participation in Criminal Trials <https://elaw.klri.re.kr/eng_mobile/viewer.do?hseq=46745&type=part&key=9> accessed 15 October 2022. 71Jaihyun Park, The Korean Jury System: The First Decade, in Juries, Lay Judges, and Mixed Courts: A Global Perspective 88, 88 (Sanja Kutnjak Ivković et al. eds., Cambridge University Press 2021).


33 ลักษณะระบบคณะลูกขุนของสาธารณรัฐเกาหลีได้รับอิทธิพลมาจากระบบลูกขุนแบบ คอมมอนลอว์ (all-citizen jury) ค่อนข้างมาก แต่ก็มีลักษณะของระบบคณะลูกขุนแบบผสม (mixed tribunals) บางประการอยู่ด้วย72 พระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมฯ กำหนดคุณสมบัติบุคคลที่สามารถสมัครเข้ารับหน้าที่ลูกขุน คือ ประชาชนชาวเกาหลีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และข้อกำหนดเกี่ยวกับการห้าม ผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมายบางประเภทเป็นคณะลูกขุน เช่น ทนายความ เป็นต้น การคัดเลือกคณะลูกขุนใช้ระบบสุ่มจากประชาชนทั่วไปที่สมัครเข้ามา ทั้งนี้ คณะลูกขุน 1 คณะ จะประกอบด้วย ลูกขุนจำนวน 5 คน 7 คน หรือ 9 คน แล้วแต่ความหนักเบาของโทษในแต่ละประเภทคดี ซึ่งโดยปกติศาลมักใช้คณะลูกขุน 7 คน แต่หากเป็นคดีที่มีโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต เช่น คดี ฆาตกรรม จะใช้คณะลูกขุน 9 คน และหากเป็นคดีที่ไม่มีประเด็นพิพาทเนื่องจากจำเลยให้การสารภาพ ศาลอาจใช้คณะลูกขุน 5 คนได้73 โดยคณะลูกขุนจะมีอำนาจเข้าพิจารณาคดีในศาลได้ในคดีอาญาที่มีความผิดร้ายแรง ซึ่งกำหนด ให้มีองค์คณะผู้พิพากษา 3 คนขึ้นไปในศาลชั้นต้น74 และคดีเกี่ยวกับการรับสินบน และจะได้รับการ แต่งตั้งให้เข้าร่วมพิจารณาเป็น “รายคดี” ไปเหมือนกับของประเทศญี่ปุ่น แต่มีข้อแตกต่างกับไซบังอินของ ญี่ปุ่นคือคณะลูกขุนจะแยกเป็นคณะต่างหากกับองค์คณะผู้พิพากษา มิได้ร่วมพิจารณาในองค์คณะ เดียวกัน กล่าวคือหลังจากได้รับฟังการพิจารณาและสืบพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว คณะลูกขุนจะร่วม หารือเกี่ยวกับการพิจารณาคดีและลงมติกันเอง โดยไม่มีผู้พิพากษาอาชีพเข้าร่วมพิจารณาหารือด้วย แต่อาจมีกรณีที่ขอคำแนะนำจากศาลหากคณะลูกขุนไม่สามารถลงมติเป็นเอกฉันท์ได้ คณะลูกขุนมีอำนาจในการตัดสินว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องหรือไม่และอาจให้ความเห็น เกี่ยวกับโทษที่จำเลยควรได้รับหากศาลพิพากษาให้จำเลยมีความผิด75 ซึ่งการจะตัดสินว่าจำเลยมีความผิด ตามฟ้องจะต้องอาศัยมติเอกฉันท์ของคณะลูกขุน อย่างไรก็ตาม หากคณะลูกขุนไม่สามารถมีมติเอกฉันท์ได้ กฎหมายได้กำหนดให้คณะลูกขุนขอ คำปรึกษาจากผู้พิพากษาหัวหน้าศาลก่อนจะลงมติใหม่โดยอาศัยมติเสียงข้างมาก76 อนึ่ง มติคณะลูกขุน ดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันให้ผู้พิพากษาต้องพิพากษาตาม77 คำตัดสินของคณะลูกขุนจึงมีผลเป็นเพียง “คำแนะนำหรือความเห็น” (Advisory effect) ประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาอาชีพ เท่านั้น ในระบบคณะลูกขุนของสาธารณรัฐเกาหลี จำเลยในคดีอาญาสามารถร้องขอให้ศาลตั้งคณะลูกขุน เข้ามาพิจารณาคดีของตนได้ แต่ศาลก็มีดุลพินิจในการพิจารณาไม่อนุญาตตามคำขอของจำเลยได้หาก 72Jaihyun Park, supra note 71, at 88. 73Jaihyun Park, supra note 71, at 94. 74Jaihyun Park, supra note 71, at 93. 75Jaihyun Park, supra note 71, at 96. 76Jaihyun Park, supra note 71, at 95. 77พระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมฯ มาตรา 46


34 คำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ แล้วเห็นว่าการใช้คณะลูกขุนพิจารณาคดีดังกล่าวไม่เหมาะสม เช่น สภาพจิตใจ ของผู้เสียหายไม่พร้อมจะให้การต่อหน้าคณะลูกขุน เป็นต้น ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของกระบวนการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุนของสาธารณรัฐเกาหลี คือ คดีที่มีการพิจารณาโดยคณะลูกขุนจะใช้เวลาสั้นมากโดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาพิจารณาคดีเพียงวันเดียว ขณะที่การพิจารณาคดีโดยศาล (bench trials) โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลาหลายเดือน78 ซึ่งกลไกที่ทำให้ คดีที่มีคณะลูกขุนเข้าร่วมพิจารณาสามารถดำเนินการเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็วคือ ในทางปฏิบัติก่อนวัน พิจารณาจริงจะมีกระบวนการเตรียมการและทำความเข้าใจคดีกับคณะลูกขุน (preparatory days) และมีการกำหนดประเด็นแห่งคดีให้ชัดและน้อยลงกว่าการพิจารณาคดีทั่วไป ทำให้ในวันพิจารณาจริง คณะลูกขุนสามารถเข้าใจประเด็นและมีมติในการตัดสินคดีได้อย่างรวดเร็ว 3. สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี 3.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ 1) การมีส่วนร่วมในการป้องกันอาชญากรรมในชุมชน (crime prevention) ภายใต้ แนวคิดตำรวจชุมชนสัมพันธ์ (bürgernahe Polizeiarbeit-citizenoriented policing) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีได้มีความพยายามในการสร้างความร่วมมือระหว่างตำรวจกับ ประชาชนในท้องถิ่นในหลายรูปแบบ บนพื้นฐานแนวคิดที่ว่าอาชญากรรมจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขตาม บริบทของท้องถิ่นนั้น ๆ ทำให้ภารกิจด้านตำรวจชุมชนสัมพันธ์ (community policing) และภารกิจ ด้านการป้องกันอาชญากรรมในชุมชน (community crime prevention) เป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กัน อย่างใกล้ชิด79 สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีมีการปกครองแบบสหพันธ์สาธารณรัฐ ประกอบด้วย มลรัฐ (Länder) 16 แห่ง แต่ละมลรัฐมีสภาและฝ่ายบริหารเป็นของตนเอง ทำให้แต่ละรัฐอาจมีลักษณะการมี ส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมในระดับท้องถิ่นที่ต่างกัน ซึ่งในระดับท้องถิ่นประชาชน อาจเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันอาชญากรรมในชุมชนได้ในรูปแบบคณะกรรมการป้องกันอาชญากรรม (Crime Prevention Committee) ซึ่งอาจมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ80 หรือในฐานะ อาสาสมัครป้องกันอาชญากรรมในชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น อาสาสมัครพลเมืองตรวจตราความปลอดภัย ในชุมชน (Sicherheitswacht: citizen patrols) อาสาสมัครตำรวจ (volunteer police) ซึ่งทำหน้าที่ เดินลาดตระเวนสำรวจความปลอดภัยในชุมชน เช่น บริเวณใกล้โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก และยังมีหน้าที่ 78Jaihyun Park, supra note 71, at 93. 79Thomas Feltes, ‘Community Policing in Germany’ IFSH (ed.), OSCE Yearbook 2013, Baden-Baden 2014, p. 219-230. <https://ifsh.de/file-CORE/documents/yearbook/english/13/Feltes_Thomas-en.pdf> accessed 15 October 2022. 80Wolfgang Kahl, Crime Prevention Networking and Community-based Prevention Management in Germany, German Forum for Crime Prevention (DFK) (Bonn 2014), p.2 <https://www.kriminalpraevention.de/files/DFK/sprachen/en/crime_prev_in_germany_2014.pdf> accessed 15 October 2022.


35 ในคอยติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่มีความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม หรือเป็นผู้กระทำความผิดที่ เป็นเด็กหรือเยาวชน81 3.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ 1) การให้สิทธิผู้เสียหายร้องขอต่อศาลให้นำคดีอาญาที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องขึ้นสู่ การพิจารณา82 ในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีมีหลักการบังคับให้ฟ้องคดี(Compulsory institution of prosecution/Klageerzwingungs-verfahren) ในกรณีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องได้เช่นเดียวกับ ประเทศญี่ปุ่น โดยภายใต้กฎหมายสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ก่อนที่ผู้เสียหายจะร้องขอให้ศาลนำคดีที่ พนักงานอัยการสั่งฟ้องขึ้นสู่การพิจารณา ผู้เสียหายจะต้องยื่นคำร้องคัดค้านการสั่งไม่ฟ้องอย่างเป็นทางการ ต่ออัยการสูงสุดประจำมลรัฐที่เป็นผู้บังคับบัญชาอัยการเจ้าของเรื่องภายใน 2 สัปดาห์นับจากได้รับคำสั่ง ไม่ฟ้องคดีของอัยการเจ้าของเรื่อง เพื่อให้มีการตรวจสอบกันภายในองค์กรก่อน หากอัยการสูงสุดยืนยัน คำสั่งไม่ฟ้องคดีผู้เสียหายจึงมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์แห่งรัฐมีเขตอำนาจเหนือพื้นที่ที่สำนักงาน อัยการนั้นตั้งอยู่ (State Court of Appeals) ภายใน 1 เดือน โดยหากศาลอนุญาตตามคำร้องของ ผู้เสียหาย อัยการก็จะต้องถูกบังคับโดยปริยายให้ต้องทำหน้าที่เป็นโจทก์ในคดี83 มีข้อสังเกตว่า สิทธิผู้เสียหายในการร้องขอให้ศาลนำคดีอาญาขึ้นสู่การพิจารณาตามกฎหมาย สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีมีความแตกต่างกับของญี่ปุ่นบางประการ กล่าวคือตามกฎหมายสหพันธ์ สาธารณรัฐเยอรมนีผู้เสียหายจะต้องร้องไปที่อัยการสูงสุดก่อน ถ้าอัยการสูงสุดยืนยันคำสั่งไม่ฟ้องจึงมี สิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาล แต่ของประเทศญี่ปุ่นผู้เสียหายสามารถร้องไปที่ศาลท้องถิ่นในเขตที่ สำนักงานอัยการตั้งอยู่ได้เลย นอกจากนี้ ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้นำคดีขึ้นสู่การพิจารณานั้น ตามระบบของประเทศญี่ปุ่น ทนายความที่ศาลแต่งตั้งจะเป็นผู้มีหน้าที่ดำเนินคดีแทนอัยการ แต่ภายใต้กฎหมายสหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมนีคืออัยการจะต้องดำเนินการในคดีที่ตนสั่งไม่ฟ้องไปในตอนแรกเอง ข้อแตกต่างอีกประการของระบบการให้สิทธิผู้เสียหายในการร้องขอให้ศาลนำคดีขึ้นสู่การ พิจารณา คือระบบดังกล่าวตามกฎหมายญี่ปุ่นจะใช้ได้กับความผิดบางประเภทตามที่กฎหมายกำหนด เท่านั้น แต่ของเยอรมันใช้ได้กับความผิดทุกประเภท 81Rabindra K Mohanty & Satyajit Mohanty, Community Policing as a Public Policy: Challenges and Recommendations (Cambridge Scholars Publishing, 2014) 88-89. 82กรณัท สร้อยทอง, ‘การตรวจสอบดุลพินิจในการสั่งคดีอาญาของพนักงานอัยการของประเทศไทยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ’ (2564) ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 วารสารวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ 170, 177. 83กรณัท สร้อยทอง, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 82.


36 3.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล 1) ระบบผู้พิพากษาสมทบ (Schöffen: Lay Judges or Lay Assessors) 84 เหตุผลเบื้องหลังในการนำระบบผู้พิพากษาสมทบมาใช้ในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มีหลาย ประการ เช่น85 1. ต้องการให้การพิจารณาตัดสินคดีสะท้อนความคิดของประชาชนทั่วไปที่มีประสบการณ์และ ความคิดเห็นกว้างกว่าแค่ความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย 2. มีความคาดหวังว่าการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีจะทำให้ผู้พิพากษา อาชีพพิจารณาคดีด้วยความระมัดระวังมากขึ้นและให้เหตุผลประกอบการพิจารณาที่มีน้ำหนักฟังได้มากขึ้น 3. เชื่อว่าการนำระบบผู้พิพากษาสมทบมาใช้จะช่วยบรรเทาปัญหาปริมาณผู้พิพากษาอาชีพที่ ไม่เพียงพอได้ 4. คู่ความในคดีจะมีความเชื่อถือในคำพิพากษาของศาลมากขึ้น หากเห็นว่ามีประชาชนทั่วไป เข้าเป็นผู้ตัดสินคดีร่วมกับผู้พิพากษาอาชีพ 5. การนำเสนอคดีของทนายความหรือคู่ความจะใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายขึ้นเพื่อให้ผู้พิพากษาสมทบ เข้าใจประเด็นแห่งคดี โครงสร้างระบบผู้พิพากษาสมทบของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นแบบ the German-style mixed court model กล่าวคือไม่ได้มีการแยกองค์คณะระหว่างศาลกับคณะลูกขุน (Schöffen) องค์คณะ จะประกอบด้วย ผู้พิพากษาอาชีพ 1-3 คน แล้วแต่ความหนักเบาของโทษตามประเภทความผิดในคดี และผู้พิพากษาสมทบ 2 คน (Mixed tribunal) วิธีการคัดเลือกผู้พิพากษาสมทบอาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามกฎหมายในแต่ละรัฐ แต่โดยทั่วไปศาลจะเลือกจบุคคลจากรายชื่อที่หน่วยงานท้องถิ่นจัดทำขึ้นทุก ๆ 5 ปี86 ซึ่งเป็นบุคคลที่ ได้รับการเสนอชื่อโดยพรรคการเมืองหรือองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าคณะผู้พิพากษาสมทบจะเป็น ตัวแทนของชุมชนซึ่งมีความหลากหลายทั้งด้านเพศ อายุ อาชีพ และสถานะทางสังคม อนึ่ง คุณสมบัติพื้นฐานของบุคคลที่จะเป็นผู้พิพากษาสมทบคือ ต้องเป็นบุคคลสัญชาติเยอรมัน ที่มีอายุอย่างน้อย 25 ปีและไม่เกิน 69 ปีทั้งนี้ผู้ดำรงตำแหน่งหรือประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับด้าน กฎหมาย ผู้กระทำความผิดอาญา และบุคคลที่ถูกสั่งเป็นบุคคลล้มละลาย จะไม่สามารถดำรงตำแหน่ง เป็นผู้พิพากษาสมทบได้โดยผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบมีหน้าที่ต้องรับปฏิบัติหน้าที่ 84Deutsche Vereinigung der Schöffinnen und Schöffen (DVS), ‘Lay judges in Germany’ <https://www.schoeffen.de/ehrenamtliche-richter/lay-judges-in-germany.html > accessed 15 October 2022. See also, 裁判員ネット、「【シリーズ・海外の司法参加】第3部:ドイツ編(上)―参審制度の導入の背景と概要」(2010) <http://saibanin.net/updatearea/staffcolumn/archives/1447> accessed 15 October 2022. 85Deutsche Vereinigung der Schöffinnen und Schöffen (DVS), supra note 84. See also, Stefan Machura & Christoph Rennig, “In the Name of the People” – Lay Assessors in Germany”, in Juries, Lay Judges, and Mixed Courts: A Global Perspective 152, 152 (Sanja Kutnjak Ivković et al. eds., Cambridge University Press 2021). 86Gerichtsverfassungsgesetz (Courts Constitution Act, hereinafter called ‘GVG’), s.33, s.36.


37 ดังกล่าว87 อนึ่ง บุคคลจะได้รับค่าตอบแทนในการเข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิพากษาสมทบตามที่กำหนดไว้ แต่ไม่ได้เป็นค่าตอบแทนที่มากนัก88 และบุคคลอาจได้รับเลือกให้เป็นผู้พิพากษาสมทบซ้ำหลายวาระได้ และอาจเป็นผู้พิพากษาสมทบในศาลเดิมหรือศาลอื่นก็ได้89 ทั้งนี้ ผู้พิพากษาสมทบอาจถูกคู่ความคัดค้าน ได้เช่นเดียวกับผู้พิพากษาอาชีพหากมีเหตุอันควรสงสัยเรื่องความเป็นกลางในการพิจารณาคดี90 ขอบเขตคดีที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของผู้พิพากษาสมทบไม่ได้จำกัดเฉพาะการมีส่วนร่วมใน คดีอาญาเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงการมีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีประเภทอื่นด้วย เช่น คดีความผิด เกี่ยวกับเยาวชน คดีแรงงาน คดีทางปกครอง เป็นต้น ซึ่งถือว่ามีขอบเขตประเภทคดีที่กว้างกว่าระบบ คณะลูกขุนส่วนใหญ่ในประเทศอื่น ๆ91 โดยในส่วนของคดีอาญานั้น ผู้พิพากษาสมทบจะมีอำนาจร่วมพิจารณาคดีอาญาที่อยู่ในศาล ชั้นต้นเป็นการมีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น คือศาล Amtsgericht (Local Courts) และศาล Landgericht (District Court) และในกระบวนพิจารณาอุทธรณ์ของศาล Landgericht (District Court)92 ผู้พิพากษาสมทบจะมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี และปฏิบัติหน้าที่พิจารณาคดีร่วมกับ ศาลประมาณเดือนละ 1 คดี ซึ่งผู้พิพากษาสมทบจะมีอำนาจตัดสินความผิดของจำเลยและอำนาจในการ กำหนดโทษที่จำเลยควรได้รับเช่นเดียวกับผู้พิพากษาอาชีพ แต่ไม่มีอำนาจในการเขียนเหตุผลประกอบ คำพิพากษาและอำนาจในการตรวจดูเอกสารสำนวนการสอบสวนคดีที่องค์กรในชั้นสอบสวนได้ทำขึ้น ก่อนที่คดีจะขึ้นสู่ชั้นพิจารณาของศาล ทำให้ผู้พิพากษาสมทบไม่อาจทราบรายละเอียดคดีในชั้นสอบสวนได้ เว้นแต่ข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารในชั้นสอบสวนคดีจะถูกเปิดเผยในชั้นพิจารณาคดี อย่างไรก็ตาม ในประเด็นดังกล่าวศาลสูงสุดของสหพันธรัฐ (Bundesgerichtshof) ให้วางหลัก ว่าผู้พิพากษาอาชีพอาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับสำนวนการสอบสวนคดีบางส่วนแก่ผู้พิพากษาสมทบได้ในกรณี ที่สำนวนนั้นมีส่วนที่เป็นบันทึกเสียงคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวน และบันทึกดังกล่าวถูกใช้เป็น พยานหลักฐานในชั้นพิจารณา ซึ่งการเปิดช่องให้ผู้พิพากษาสมทบเข้าถึงสำนวนการสอบสวนในส่วนนี้ ได้ช่วยให้ผู้พิพากษาสมทบเข้าใจบันทึกคำให้การของจำเลยมากขึ้น และศาลสูงสุดของสหพันธรัฐ (Bundesgerichtshof) ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าการที่ผู้พิพากษาสมทบเข้าถึงเอกสารดังกล่าวไม่ได้ทำให้ ผู้พิพากษาสมทบเกิดอคติแก่คดีและมิได้เป็นการฝ่าฝืนหลักกระบวนการพิจารณาคดีอาญาแต่อย่างใด93 87GVG, s.33, s.34. 88Stefan Machura & Christoph Rennig, supra note 85. 89Stefan Machura & Christoph Rennig, supra note 85, at 160. 90Stefan Machura & Christoph Rennig, supra note 85, at 160. 91Stefan Machura & Christoph Rennig, supra note 85, at 152-153. 92GVG, s.28. 93Stefan Machura & Christoph Rennig, supra note 85, at 160-161.


38 การตัดสินคดีอาญาที่มีผู้พิพากษาสมทบเข้าร่วมพิจารณาจะต้องใช้คะแนนเสียงข้างมากขององค์ คณะ คือทั้งผู้พิพากษาอาชีพและผู้พิพากษาสมทบรวมกัน ในการตัดสินความผิดและกำหนดโทษจำเลย94 โดยในเสียงข้างมากไม่จำเป็นต้องมีคะแนนเสียงของผู้พิพากษาอาชีพรวมอยู่ด้วยก็ได้ ซึ่งจุดนี้จะแตกต่าง กับระบบไซบังอินของญี่ปุ่นที่การจะตัดสินว่าจะเลยมีความผิดจะต้องใช้เสียงข้างมากขององค์คณะซึ่งต้อง มีผู้พิพากษาอาชีพอย่างน้อย 1 เสียงรวมอยู่ด้วยเสมอ 4. สาธารณรัฐฝรั่งเศส กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของฝรั่งเศสให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ของบุคคลในการดำเนินคดี อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 ที่ล้มล้างระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ และสถาปนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยขึ้นในประเทศ โดยยึดหลักการสำคัญ 3 ประการในการปฏิวัติ คือ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ (Liberté, Égalité, Fraternité) ซึ่ง หลักการดังกล่าวกลายเป็นส่วนหนึ่งของหลักพื้นฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส95 ทั้งนี้ รูปแบบ การมีส่วนร่วมของประชาชนในคดีอาญารูปแบบหนึ่งที่โดดเด่นในฝรั่งเศสและมีความเป็นมาที่ยาวนาน คือการนำลูกขุนมาช่วยพิจารณาคดี โดยได้รับอิทธิพลจากระบบลูกขุนของอังกฤษ โดยมีการนำระบบ ลูกขุนมาใช้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพิจารณาคดีจากระบบไต่สวน (Inquisition system) เป็นระบบกล่าวหา (Adversarial system) ที่ใช้วิธีการพิจารณาแบบเปิดเผย96 ซึ่งเกิดขึ้นจากการไม่ไว้วางใจ อำนาจรัฐและการตัดสินคดีผู้พิพากษาภายใต้ระบบการดำเนินคดีภายใต้ระบบไต่สวนที่มีอยู่ก่อนการปฏิวัติ ดังนั้น การมีลูกขุนจึงเป็นการลดอำนาจเด็ดขาดของผู้พิพากษาลง และอาจมองได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของ ประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนจึงควรมีสิทธิในการร่วมพิจารณาคดี97 4.1 การมีของส่วนร่วมประชาชนในชั้นตำรวจ ระบบการบริหารจัดการกิจการตำรวจของสาธารณรัฐฝรั่งเศสโดยทั่วไปเป็นระบบแบบรวมศูนย์ (Centralized approach) มีภารกิจหลักในการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย (Maintaining public order and enforcing the law) โดยภายใต้ระบบการบริหารงานระบบตำรวจของสาธารณรัฐ ฝรั่งเศสในระดับชาติ มีการแบ่งประเภทของตำรวจออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ Police Nationale (National Police) ซึ่งคอยดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเขตเมืองใหญ่ Gendarmerie Nationale (National Gendarmerie) ซึ่งคอยดูแลความสงบเรียบร้อยในเมืองขนาดเล็กที่มีประชากรต่ำกว่า 20,000 คน นอกจากนั้นแล้ว สาธารณรัฐฝรั่งเศสยังมี Municipal Police หรือตำรวจท้องถิ่นซึ่งขึ้นตรง 94GVG, s.33, s.196. 95Jacqueline Hodgson, French Criminal Justice: A Comparative Account of the Investigation and Prosecution of crime in French (London: Hart Publishing, 2005) 15. 96Valerie Hans and Claire Germain, ‘The French Jury at a Crossroads’ (2011) 2 Chicago-Kent Review 740. 97ibid.


39 ต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น98 แต่อำนาจหน้าที่ของ Municipal Police มีจำกัด โดยมีฐานะเป็นเพียง ผู้ช่วยตำรวจฝ่ายคดี (deputy judicial police officer)99 เท่านั้น โดยมีหน้าที่ในการจัดการตรวจตราและ ควบคุมการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร การเหยียดหยามทางเพศตามประมวลกฎหมายอาญา การสืบสวน เบื้องต้น เพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดและรายงานการกระทำผิดหรืออาชญากรรมให้National Police หรือ Gendarmerie Nationale ทราบ แต่ไม่มีอำนาจในการสอบสวนผู้กระทำความผิด100 อย่างไรก็ตาม ระบบการบริหารกิจการตำรวจแบบรวมศูนย์ดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่ามีความมุ่งหมาย หลักในการรักษาความมั่นคงของรัฐเป็นหลัก โดยละเลยการสร้างความสัมพันธ์กับประชาชนเพื่อป้องกัน อาชญากรรมพื้นฐานในท้องถิ่น101 ด้วยเหตุนี้ในปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของประธานาธิบดี Emmanuel Macron จึงมีนโยบายในการปฏิรูปกิจการตำรวจที่เรียกว่า Police de sécurité du quotidien (PSQ) (ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Dairy Security Police”) โดยมีความมุ่งหมายเพื่อส่งเสริม ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับประชาชน102 ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมการ แก้ไขอาชญากรรมที่เกิดขึ้นด้วยการสร้างความร่วมมือกับประชาชนในท้องถิ่นเพื่อกำหนดแนวทางที่ เหมาะสมในการรับมือกับปัญหาการกระทำผิดที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องที่ซึ่งอาจมีลักษณะที่แตกต่างกัน ออกไป103 ทั้งนี้ ตามแนวนโยบายในเรื่อง PSQ ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของ ตำรวจในรูปแบบของการรายงานอาชญากรรมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น การฉ้อโกงเกี่ยวกับการ ชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ รายงานเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ เป็นต้น104 นอกจากนี้ ยังอาจเข้ามา มีส่วนร่วมใน Groupes de Partenariat Opérationnels (GPO) (แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Operational Partnership Groups”) ซึ่งเป็นคณะทำงานที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมหรือ ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยในท้องถิ่น105 เช่น ปัญหาการค้ายาเสพติดและธุรกิจผิดกฎหมาย 98Organization for Security and Co-operation in Europe, ‘COUNTRY PROFILE: France’ (2010) <https://polis.osce.org/index.php/country-profiles/france> accessed 14 July 2022. 99ตำรวจในสาธารณรัฐฝรั่งเศส แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท (ตามอำนาจหน้าที่) คือ ตำรวจฝ่ายปกครอง (Administrative police) ซึ่งมี อำนาจในการจัดการและควบคุมการจราจร ตรวจตราลาดตระเวนรักษาความสงบ และทำหน้าที่ควบคุมฝูงชนกรณีที่เกิดการประท้วง หรือจลาจล แต่ไม่มีอำนาจสอบสวน และตำรวจฝ่ายคดี (Judicial police) ซึ่งทำหน้าที่ช่วยสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด สอบสวน รวบรวม พยานหลักฐาน และทำการจับกุมผู้ต้องสงสัย 100Code de procédure pénale (Code of Criminal Procedure), art 21. 101Jacques de Maillard and Mathieu Zagrodzki, ‘Community Policing Initiatives in France’ in Jacques de Maillard, Wesley G. Skogan (eds), Policing in France (Routledge 2020) 294. 102Ministère de L'intérieur, ‘Police de sécurité du quotidien: Construire Une Relation De Confiance!’ (Dairy Security Police: Building A Trusting Relationship!) (2018) <http://www.ain.gouv.fr/IMG/pdf/flyer_com_4_pages_psq.pdf> accessed 18 July 2022. 103ibid. 104ibid. 105Institut des hautes études du ministère de l'Intérieur (IHEMI), ‘Police de sécurité du quotidien et approche de résolution de problème : quelques résultats de l’étude CoPPOSQ’ (Dairy Security Police and the problem-solving approach: some results of the CoPPOSQ study) (2021) <https://www.ihemi.fr/articles/police-de-securite-duquotidien-approche-resolution-probleme-etude-copposq> accessed 19 July 2022.


40 ซึ่งกระทบต่อความสงบของชุมชน การกระทำความผิดจราจรที่อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุและทำให้คน ได้รับบาดเจ็บ มลภาวะทางเสียงและความเดือดร้อนรำคาญจากจักรยานยนต์ การกลั่นแกล้งและความรุนแรง ในโรงเรียน เป็นต้น106 ซึ่งคณะทำงานนี้โดยปกติจะประกอบไปด้วย หัวหน้าของตำรวจประจำท้องถิ่น สมาชิกของสภาท้องถิ่น ผู้แทนสถาบันการศึกษาภายในท้องถิ่น ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะ ผู้ให้บริการ ที่พักอาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (social landlords) หรือผู้แทนจากภาคประชาสังคมที่มีความเกี่ยวข้องกับ การแก้ไขสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น107 ซึ่ง GPO ที่ตั้งขึ้นจะร่วมกันในการกำหนดและจัดลำดับ ความสำคัญของปัญหา กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นอย่างเป็นรูปธรรม กำหนด แนวทางในการกำกับดูแลและแก้ไขปัญหา และกำหนดกลยุทธ์เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป ในอนาคต108 4.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ ระบบการดำเนินคดีอาญาของฝรั่งเศสนั้นไม่ได้แบ่งแยกการสอบสวนและการฟ้องคดีออกจากกัน โดยผู้ที่มีอำนาจสอบสวนและฟ้องคดีอาญาคือพนักงานอัยการ109 ซึ่งเป็นไปตามหลักการดำเนินคดีอาญา โดยรัฐ (Public prosecution) อัยการในฝรั่งเศสจึงเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนโดยอาจทำการ สอบสวนด้วยตนเองหรือมอบหมายให้ตำรวจฝ่ายคดีดำเนินการแทนก็ได้แต่โดยทั่วไปแล้วพนักงานอัยการ จะมอบให้ตำรวจฝ่ายคดีดำเนินการสอบสวนแทน โดยอัยการเป็นผู้กำหนดทิศทางและกำกับดูแลทำงาน ของตำรวจฝ่ายคดี110 เมื่อทำการสอบสวนเสร็จแล้วอัยการก็จะเป็นผู้สั่งคดี ซึ่งกฎหมายกำหนดให้อัยการ สามารถใช้ดุลพินิจในการสั่งคดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ -สั่งฟ้องคดีอาญา -สั่งให้ใช้มาตรการอื่นแทนการฟ้องคดี -สั่งไม่ฟ้องคดีอาญา111 มาตรการอื่นแทนการฟ้องคดีที่อัยการสามารถเลือกใช้มีด้วยกันหลายมาตรการ แต่หนึ่งใน มาตรการสำคัญที่มีการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อเบี่ยงเบนคดีออกจากระบวนการยุติธรรม เพื่อลดปริมาณคดีที่ขึ้นศาลและแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินกระบวนการยุติธรรม คือการไกล่เกลี่ย 106Ministère de L'intérieur, ‘POLICE DE SÉCURITÉ DU QUOTIDIEN, la mise en œuvre des groups de partenariat opérationnel (GPO)’ (DAILY SECURITY POLICE, the implementation of the Operational Partnership Groups) <http://www.maine-et-loire.gouv.fr/IMG/pdf/bilan_de_la_police_de_securite_du_quotidien_en_zone_police.pdf> accessed 19 July 2022. 107Ministère de L'intérieur, supra note 106. 108ibid. 109Code de procédure pénale (Code of Criminal Procedure), art 41. 110อุทัย อาทิเวช, “อัยการฝรั่งเศส” ใน อุทัย อาทิเวช, รวมบทความกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฝรั่งเศส, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.เจ.พริ้นติ้ง 2557),น.193. 111Code de procédure pénale (Code of Criminal Procedure), art 40-1.


41 ข้อพิพาทในคดีอาญา (Médiation pénale)112 ซึ่งประชาชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมได้ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย ที่ได้รับมอบหมายจากพนักงานอัยการ ประเภทของคดีที่เข้าสู่การไกล่เกลี่ยในคดีอาญาได้จะต้องเป็นคดีไม่ร้ายแรง เช่น ทำร้ายร่างกาย ที่ไม่รุนแรง การก่อความเดือดร้อนรำคาญระหว่างเพื่อนบ้าน ลักทรัพย์ธรรมดา ทำให้เสียทรัพย์ เป็นต้น113 นอกจากนี้ ผู้ต้องหาที่จะเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยได้จะต้องไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าเป็น ผู้กระทำความผิดอาญามาก่อนหรือเป็นผู้ที่มีแนวโน้มในการกระทำความผิดซ้ำ เช่น มีความพยาบาทหรือ โกรธแค้นผู้เสียหาย114 อย่างไรก็ตาม ในการดุลยพินิจสั่งให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาในคดีใด ๆ จะต้องเป็น กรณีที่พนักงานอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าการเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย จะทำให้ผู้เสียหายได้รับ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความผิดนั้น หรือจะเป็นการยุติปัญหาที่เกิดขึ้นจากการ กระทำผิด หรือทำให้ผู้กระทำผิดได้กลับตัวเป็นคนดีและกลับคืนสู่สังคมได้115และเมื่อพนักงานอัยการ เห็นควรให้มีการไกล่เกลี่ยแล้ว และคู่ความยินยอมเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยก็จะมีการแต่งตั้งผู้ไกล่เกลี่ย ขึ้น ซึ่งพนักงานอัยการอาจจะเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง หรืออาจมอบหมายให้ตำรวจฝ่ายคดี หรือ แต่งตั้งบุคคลธรรมดาหรือสมาคมที่มีหน้าที่ในการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดและผู้เสียหายในการ หาทางออกในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทร่วมกันโดยสมานฉันท์มาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย116 โดยบุคคลธรรมดา หรือสมาคมที่จะเข้ามาทำหน้าที่จะต้องยื่นคำร้องต่อพนักงานอัยการเพื่อเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าว บุคคล ที่มาทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องเป็นผู้มีอายุไม่เกิน 75 ปีบริบูรณ์ และต้องไม่มีความสัมพันธ์ทาง ครอบครัวกับผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะและเจ้าหน้าที่ของศาล นอกจากนี้ยังต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ ความสามารถในการทำหน้าที่ เช่น ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย117 ผลของการที่พนักงานอัยการมีคำสั่งให้คู่ความเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ย่อมทำให้อายุความ สะดุดหยุดอยู่118 โดยหากผู้กระทำความผิดได้ปฏิบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขในข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่าง ผู้กระทำผิดและผู้เสียหายอันเป็นผลมาจากเข้าร่วมในกระบวนการไกล่เกลี่ยแล้ว พนักงานอัยการก็จะสั่ง 112ณรงค์ ใจหาญ และคณะ, “รายงานผลการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยเรื่อง กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในศาล ยุติธรรม” เสนอต่อ สถาบันวิจัยรพีพัฒนศักดิ์ สำนักงานศาลยุติธรรม, 2553, น.112. 113The French Civil Service, ‘Criminal mediation’ (2020) <https://www.servicepublic.fr/telechargerPdf?location=/particuliers/vosdroits/F1824&audience=particuliers&lang=en> accessed 19 July 2022. 114ibid. 115Code de procédure pénale (Code of Criminal Procedure), art 41-1 para 1. 116Ibid. 117The French Civil Service, ‘Criminal Ombudsman’ (2020) <https://www.servicepublic.fr/telechargerPdf?location=/particuliers/vosdroits/F1739&audience=particuliers&lang=en> accessed 19 July 2022. 118Code de procédure pénale (Code of Criminal Procedure), art 41-1 para 2.


42 ไม่ฟ้องคดีอาญา แต่หากผู้กระทำผิดฝ่าฝืนข้อตกลง พนักงานอัยการอาจจะใช้ดุลพินิจในการสั่งฟ้องคดี หรือสั่งให้ใช้วิธีการเบี่ยงเบนคดีในรูปแบบอื่น ๆ ก็ได้119 4.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล ในชั้นการพิจารณาคดีของศาล ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ได้ในฐานะลูกขุน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่คดีอาญาทุกประเภทที่จะต้องได้รับการพิจารณาโดยมีลูกขุนเป็น องค์คณะ แต่เฉพาะคดีความผิดอุกฤษฏ์โทษ (les crimes)120 ที่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลลูกขุน (Cour d’assises) โดยเป็นคดีที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 15 ปี และคดีที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป121 ทั้งนี้ในศาลลูกขุนจะมีทั้งผู้พิพากษาอาชีพและคณะลูกขุนร่วมในการพิจารณาคดีด้วยกัน122 โดยองค์คณะ ในศาลลูกขุนจะประกอบไปด้วย ผู้พิพากษาอาชีพ 3 คน ลูกขุน 6 คน แต่หากเป็นศาลลูกขุนชั้นอุทธรณ์ จะมีการเพิ่มจำนวนลูกขุนเป็น 9 คน123 คุณสมบัติของผู้ที่ทำหน้าที่เป็นลูกขุน จะต้องเป็นพลเมือง ฝรั่งเศสอายุ 23 ปีขึ้นไป สามารถอ่านและเขียนภาษาฝรั่งเศสได้ ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ ไม่เป็นผู้ที่ เคยต้องคำพิพากษาจำคุกตั้งแต่หกเดือนขึ้นไป สำหรับความผิดอุกฤษฏ์โทษหรือมัชฌิมโทษ รวมถึงผู้ต้อง คำพิพากษาตัดสิทธิทางแพ่ง สิทธิพลเมือง และสิทธิในครอบครัวหรือถูกลงโทษทางวินัยไม่เป็นสมาชิก ของคณะรัฐบาล สมาชิกรัฐสภา ตุลาการ ตำรวจ 124 การคัดเลือกลูกขุนจะดำเนินการโดยการสุ่มจาก บัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งประจำปีของแต่ละ commune ซึ่งนายกเทศมนตรี (Maire) จะทำหน้าที่ ในการจับฉลากรายชื่อของประชาชนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง โดยตัดรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีอายุน้อยกว่า 23 ปีออกแล้วแจ้งผลให้ผู้ที่มีรายชื่อทราบ และส่งรายชื่อให้ที่ทำการของศาลลูกขุนที่มีเขตอำนาจใน 119ibid art 41-1 para 3. 120ตามประมวลกฎหมายอาญาของสาธารณรัฐฝรั่งเศสมีการแบ่งประเภทของความผิดอาญาออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ความผิดอุกฤษฏ์โทษ (les crimes) ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาล Court d’assises 2. ความผิดมัชฌิมโทษ (les délits) ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาล Tribunal correctionnel 3. ความผิดลหุโทษ (les contraventions) ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาล Tribunal de police สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับความผิดอาญาแต่ละประเภท โปรดดูเพิ่มเติมใน ณรงค์ ใจหาญ และคณะ, “รายงานผลการศึกษาวิจัย เรื่อง การกำหนดชั้นโทษและการนำไปปรับใช้ในประมวลกฎหมายอาญา” เสนอต่อ สถาบันวิจัยและพัฒนากระบวนการยุติธรรม สำนักงานกิจการยุติธรรม, 2551, น.163–179. 121ก่อนปี พ.ศ. 2564 ศาลลูกขุนหรือ Court d’assises มีอำนาจในการพิจารณาคดีความผิดอุกฤษฏ์โทษทั้งหมด คือ คดีที่มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปจนถึงจำคุกตลอดชีวิต แต่ในปี 2564 มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของฝรั่งเศสเพื่อตั้งศาลใหม่ ขึ้นมา คือ Cour criminelle départementale (Departmental criminal court) โดยให้มีอำนาจในการพิจารณาคดีที่มีโทษจำคุก 15 ถึง 20 ปี โดยองค์คณะในการพิจารณาคดี จะประกอบไปด้วย ผู้พิพากษาอาชีพจำนวน 5 คน และจะไม่มีลูกขุนเข้าร่วมเป็นองค์คณะในการ พิจารณาด้วย เพื่อลดภาระการพิจารณาคดีของศาลลูกขุนและทำให้การพิจารณาคดีเกิดความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้คดีที่มีโทษจำคุกเกิน กว่า 20 ปีขึ้นไป ยังคงอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลลูกขุนตามเดิม 122Code de procédure pénale (Code of Criminal Procedure), art 240. 123ibid art 296. 124Code de procédure pénale (Code of Criminal Procedure), art 255-257.


43 commune นั้น ๆ เมื่อศาลได้รับบัญชีแล้วจะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาว่าผู้มีรายชื่อในบัญชีเป็น ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่125 ในการทำหน้าที่ของลูกขุน คณะลูกขุนจะนั่งพิจารณาคดีเคียงข้างผู้พิพากษาอาชีพ ลูกขุน สามารถถามคำถามพยานและจำเลยได้โดยตรง หลังจากร้องขออนุญาตจากประธานศาลลูกขุนแล้ว โดยจะต้องไม่แสดงความเห็นของตนเองในระหว่างการพิจารณาคดี126 เมื่อการพิจารณาสืบพยาน เสร็จสิ้นแล้วประธานศาลลูกขุนจะทำการประกาศปิดการพิจารณาคดี127 เพื่อความสะดวกในการวินิจฉัย ความผิดของจำเลย โดยเฉพาะสำหรับลูกขุนซึ่งมิใช่ผู้พิพากษาอาชีพ ประธานศาลอาจกำหนดประเด็น ปัญหาที่ให้องค์คณะร่วมกันวินิจฉัยชี้ขาดก็ได้128 หลังจากนั้นผู้พิพากษาและคณะลูกขุนซึ่งเป็นองค์คณะ จะประชุมร่วมกันเพื่อวินิจฉัยความผิดของจำเลย โดยในการพิพากษาลงโทษจำเลยจะต้องอาศัยเสียงข้างมาก อย่างน้อย 7 ใน 9 เสียงในศาลลูกขุนชั้นต้น แต่ถ้าหากเป็นศาลลูกขุนชั้นอุทธรณ์ต้องอาศัยเสียงข้างมาก อย่างน้อย 8 เสียง129 5. ราชอาณาจักรนอร์เวย์ นอร์เวย์ยึดถือหลักสิทธิมนุษยชน (Human right) เป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของนอร์เวย์ซึ่งรับรองสิทธิในการมีชีวิตของ มนุษย์ทุกคน จึงไม่อนุญาตให้มีการใช้โทษประหารชีวิตในประเทศ130 รับรองสิทธิของบุคคลที่จะไม่ถูก ลงโทษด้วยการทรมานหรือโหดร้าย131สิทธิไม่ถูกคุมขังโดยไม่จำเป็น132สิทธิในการได้รับการพิจารณา โดยเปิดเผยและเป็นธรรม โดยได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ว่าได้กระทำ ผิดจริง133 ดังนั้น นโยบายด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของนอร์เวย์จึงมิได้มุ่งเน้นการลงโทษ ผู้กระทำผิดเพื่อแก้แค้นทดแทน (retribution) แต่จะให้ความสำคัญกับการยุติข้อพิพาทด้วยกระบวนการ ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) และการแก้ไขหรือฟื้นฟูตัวผู้กระผิด (rehabilitation)134 นอกจากนั้นแล้ว รัฐบาลนอร์เวย์ยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานภาครัฐ 125อุทัย อาทิเวช, “การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา: ตัวอย่างของระบบลูกขุนฝรั่งเศส” ใน อุทัย อาทิเวช, รวมบทความกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฝรั่งเศส, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.เจ.พริ้นติ้ง 2557),น.285. 126อุทัย อาทิเวช, อ้างแล้ว เชิงอรรถที่ 125, น.294. 127Code de procédure pénale (Code of Criminal Procedure), art 347. 128ibid art. 348. 129ibid art. 359. 130The Constitution of the Kingdom of Norway, art 93 131ibid. 132ibid art 94. 133ibid art 95-96. 134David J. Cornwell and others, Civilising Criminal Justice: an International Restorative Agenda for Penal Reform (Waterside Press 2013) 479.


Click to View FlipBook Version