44 ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในสังคมประชาธิปไตย 135 ซึ่งอาจรวมไปถึงสิทธิในการมีส่วนร่วมในการ บริหารงานและการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาในรูปแบบต่าง ๆ ด้วย 5.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ ประชาชนนอร์เวย์อาจเข้ามีส่วนร่วมในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องถิ่นได้ อย่างไร ก็ตาม ด้วยผลของนโยบายในการปฏิรูปตำรวจของนอร์เวย์ในปี พ.ศ. 2559 ที่ต้องการรวมอำนาจในการ บริหารจัดการตำรวจเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเผชิญหน้า กับปัญหาการก่อการร้ายและอาชญากรรมในรูปแบบใหม่ ๆ 136 ส่งผลให้มีการลดจำนวนเขตการบริหารงาน ตำรวจ (police districts) จาก 27 เขต เหลือ 12 เขต และลดจำนวนหน่วยบริการตำรวจท้องถิ่น (local police entities) จาก 354 แห่งเหลือ 225 แห่ง ซึ่งทำให้ในบางท้องถิ่นไม่มีหน่วยบริการตำรวจ137 รัฐบาลนอร์เวย์ได้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยกำหนดนโยบายเกี่ยวกับตำรวจชุมชนขึ้น (Community police) ด้วยการกำหนดให้แต่ละเทศบาล (municipality) จะต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดต่อได้ (Police Contact) อย่างน้อยหนึ่งคนมาปฏิบัติหน้าที่ ณ สำนักงานท้องถิ่นในการป้องกันอาชญากรรมร่วมกับ ผู้คนในท้องถิ่น เช่น โรงเรียน องค์กรธุรกิจภายในท้องถิ่น หรือองค์กรอาสาสมัครต่าง ๆ 138 โดยประชาชน ในท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมกับ Police Contact ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือแจ้งเหตุต้องสงสัย เกี่ยวกับการก่ออาชญากรรม139 นอกจากนี้ ประชาชนยังอาจเข้ามามีส่วนร่วมกับตำรวจผ่านองค์กร อาสาสมัคร (Voluntary Emergency Organizations) ที่ช่วยในการเฝ้าระวังและระงับภัยในกรณีที่มี เหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในท้องที่140 5.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศนอร์เวย์ อาจเห็นได้ อย่างชัดเจนในการทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย (Mediator) ในกระบวนการไกล่เกลี่ยระหว่างผู้เสียหายกับ ผู้กระทำผิด (victim-offender mediation) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางเลือกในการระงับข้อพิพาท นอกเหนือจากการดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาแบบเดิม141 และหากการไกล่เกลี่ยประสบ 135Norwegian Ministry of Foreign Affairs, ‘Opportunities for All: Human Rights in Norway’s Foreign Policy and Development Cooperation (2014) 9. 136Paul Larsson, ‘From Integration to Contact: A Community Policing Reform?’ (2017) 2 Nordisk Politiforskning 170,171. 137ibid. 138The Royal Ministry of Justice and Emergency Management, ‘Changes in the Police Act, etc. (Security in everyday life-local police reform)’ (2015) 78. 139ibid 24. 140ibid 93. 141Jenny Maria Lundgaard, ‘Norway’ in Frieder Dünkel and others (eds), Restorative Justice and Mediation in Penal Matters: A stock-taking of legal issues, implementation strategies and outcomes in 36 European countries Vol.2 (Mönchengladbach 2015) 619.
45 ความสำเร็จเนื่องจากสามารถยุติข้อพิพาทลงระหว่างคู่ความได้ ก็จะไม่มีการบันทึกคดีไว้ในประวัติ อาชญากรรม142 โดยทั่วไป เมื่อคดีมาสู่การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมีการสอบถามคู่กรณีว่าประสงค์ หรือยินยอมที่จะเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยแทนการดำเนินคดีหรือไม่ ในกรณีที่ทั้งผู้กระทำผิดและ ผู้เสียหายยินยอมเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย พนักงานอัยการจะเป็นผู้พิจารณาต่อไปว่าคดีนี้เหมาะสม ที่จะให้ทำการไกล่เกลี่ยหรือไม่143 ตัวอย่างของคดีซึ่งเหมาะสมที่ไกล่เกลี่ยโดยทั่วไป เช่น ลักทรัพย์ทำให้ เสียทรัพย์ หรือทำร้ายร่างกายเนื่องจากมีความขัดแย้งกันมาก่อน เป็นต้น144 อย่างไรก็ตาม ไม่มีการจำกัด ประเภทของคดีที่จะไกล่เกลี่ยได้เอาไว้ในกฎหมาย แต่อาจมีการกำหนดแนวทางพิเศษรวมถึงการฝึกอบรม เพื่อทำการไกล่เกลี่ยคดีที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ145 หากอัยการเห็นว่าคดีสมควรเข้าสู่การไกล่เกลี่ย ก็จะส่งเรื่องให้ศูนย์บริการไกล่เกลี่ยแห่งชาติ (National Mediation Service (NMS)) ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เพื่อดำเนินการต่อไป146 ในปัจจุบัน NMS มีศูนย์บริการไกล่เกลี่ยระดับภูมิภาคกระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งหมด 22 แห่ง โดยมีจำนวนอาสาสมัครที่ทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยประมาณ 650 คน147 บุคคลที่มาทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย มักจะเป็นอาสาสมัครที่ได้รับการฝึกอบรมโดย NMS และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ไกล่เกลี่ยประจำในแต่ละ ท้องถิ่น (municipality)148 ทั้งนี้ ในกรณีที่พนักงานอัยการโอนคดีอาญามาให้ NMS ดำเนินการไกล่เกลี่ย พนักงานอัยการจะเป็นผู้กำหนดว่าการไกล่เกลี่ยนั้นจะถูกดำเนินการโดยศูนย์บริการไกล่เกลี่ยของท้องที่ใด ซึ่งโดยทั่วไปมักจะเป็นท้องที่ที่คู่ความอาศัยอยู่ เว้นแต่คู่ความจะตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น149 นอกเหนือจาก NMS แล้ว ยังมีองค์กรอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยหรือประนอมข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างเยาวชน เช่น Red Cross, Minhajul Quran International เป็นต้น150 5.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของ นอร์เวย์ ก็คือประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีในศาลได้ในฐานะของผู้พิพากษา สมทบ (lay judge) โดยมีแนวคิดว่าประชาชนที่เข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวสามารถใช้สามัญสำนึกและ 142The Central Administration of the National Mediation Service, The Mediator’s Handbook (2021) 40. 143Criminal Procedure Act (Straffeprosessloven), s 71a. 144Jenny Maria Lundgaard , supra note 54, p.619. 145The Scottish Government, ‘Rapid Evidence Review: Uses of Restorative Justice’ (2019) 11. 146Mediation Service Act (Lov om konfliktrådsbehandling), s 20. 147The National Mediation Service (Konfliktrådet), ‘About us’ (2020) <https://konfliktraadet.no/en/about-us> accessed 16 July 2022. 148ibid. 149Mediation Service Act (Lov om konfliktrådsbehandling), s 13. 150Jenny Maria Lundgaard, supra note 141, p.620.
46 วิจารณญาณที่ดีในการพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้มีความผิดหรือบริสุทธิ์ เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลการ ทำหน้าที่ของผู้พิพากษาอาชีพ (Professional judge)151 ทั้งนี้ คุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเลือกเป็น ผู้พิพากษาสมทบจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์และเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งท้องถิ่น (local council)152 ไม่เป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในรัฐบาล นักบวช นักกฎหมาย153 หรือผู้ที่เคยต้องโทษจำคุกและพ้นโทษมา ไม่เกิน 10 ปี154 การคัดเลือกผู้พิพากษาสมทบจะดำเนินการโดยคณะกรรมการซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยพิจารณาจากบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งท้องถิ่น155 การคัดเลือก ผู้พิพากษาสมบทของท้องถิ่นจะดำเนินการทุก ๆ 4 ปี156 ภายหลังจากการเลือกตั้งท้องถิ่นเสร็จสิ้น ดังนั้น ตามปกติผู้พิพากษาสมทบจึงมีวาระในการดำรงตำแหน่งตามปกติ คราวละ 4 ปี คดีอาญาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้น ใน City Court หรือ District Court ทั่วไปจะมีองค์คณะ ประกอบด้วย ผู้พิพากษาอาชีพ 1 คน ผู้พิพากษาสมทบ 2 คน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่คดีนั้นเป็นคดีที่ ต้องพิพากษาจำคุกเกินกว่าหกปีซึ่งมีความซับซ้อน หรือมีเหตุผลพิเศษประการอื่น ๆ อธิบดีผู้พิพากษาศาล อาจสั่งให้มีการนั่งพิจารณาโดยผู้พิพากษาอาชีพ 2 คน และผู้พิพากษาสมทบ 3 คนก็ได้157 ในศาล อุทธรณ์ องค์คณะจะประกอบไปด้วย ผู้พิพากษาอาชีพ 2 คน และผู้พิพากษาสมทบ 5 คน 158 ส่วนศาลฎีกา จะไม่มีผู้พิพากษาสมทบ ทั้งนี้ ผู้พิพากษาสมทบย่อมมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้พิพากษาอาชีพ โดยจะ ร่วมกับผู้พิพากษาอาชีพในการชี้ขาดปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย159 อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาอาชีพจะเป็นผู้ทำหน้าที่หลักในการพิจารณาคดีและรับฟังพยานหลักฐาน ที่มีการนำสืบในการพิจารณา ทั้งนี้ ผู้พิพากษาสมทบมีสิทธิในการถามจำเลยและพยานเพิ่มเติมได้ ภายหลังจากที่ผู้พิพากษาอาชีพได้สอบถามคู่ความแล้ว160 นอกจากนี้ ในชั้นของการพิจารณาคดีเพื่อ ชี้ขาดว่าจำเลยกระทำผิดจริงหรือไม่ ผู้พิพากษาอาชีพจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการอธิบายข้อกฎหมายให้แก่ ผู้พิพากษาสมทบฟัง ก่อนที่จะทำการชี้ขาดคดี ซึ่งทั้งผู้พิพากษาอาชีพและผู้พิพากษาสมทบต่างก็มีสิทธิ ในการออกเสียงเพื่อชี้ขาดคดี แต่ผู้พิพากษาอาชีพจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการจัดทำคำพิพากษาเพื่ออ่านให้ คู่ความฟังในการพิพากษาคดี161 151Anna Offit, ‘Dismissing the Jury: Mixed Courts and Lay participation in Norway’ in Shari Diamond and others (eds), Juries, Lay Judges, and Mixed Courts: A Global Perspective (Oxford University Press 2021) p.199. 152Court of justice Act (Lov om domstolene), s 65. 153ibid s 66. 154ibid s 66a. 155ibid s 73. 156ibid s 64. 157Criminal Procedure Act (Straffeprosessloven), s 276. 158ibid s 332. 159AsbjØrn Strandbakken, ‘Lay participation in Norway’ (2001) 72 International Review of Penal Law, p.230. 160ibid p.231. 161AsbjØrn Strandbakken, supra note 72, p.232.
47 6. ประเทศสกอตแลนด์ นโยบายด้านการยุติธรรมของสกอตแลนด์ให้ความสำคัญกับแนวคิดในการอำนวยความยุติธรรม ที่ยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People-centered Justice) โดยรัฐต้องจัดให้ประชาชนสามารถ เข้าถึงมาตรการหรือความช่วยเหลือต่าง ๆ ที่เหมาะสม เพื่อเข้าถึงและมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม หรือการดำเนินคดีได้โดยผู้เสียหายหรือเหยื่อย่อมมีสิทธิในการได้รับการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น แก่ตน162 เช่น การระงับข้อพิพาทด้วยกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice)163 ในขณะที่ผู้ต้องหาก็ควรได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (Fair trial)164 และควรลดการตีตรา (Stigma) การเป็นอาชญากรต่อตัวผู้ต้องโทษ เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลดังกล่าวสามารถกลับคืนสู่สังคม ได้165 6.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจสกอตแลนด์ตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญที่เรียกกันว่า “Policing by consent” ที่มองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจย่อมไม่อาจใช้อำนาจหน้าที่ของตนได้ หากปราศจาก ความยินยอมของสาธารณชน (the consent of the public) โดยจะต้องไม่ใช้อำนาจของตนเพื่อบังคับ หรือข่มขู่ประชาชนให้เกิดความหวาดกลัว แต่จะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและเสมอภาค และใช้กำลังให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้166 เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ อันจะมีผลทำให้ สาธารณชนเกิดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ167 องค์การตำรวจแห่งสกอตแลนด์ (Police Scotland Authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลกิจการตำรวจในสกอตแลนด์ จึงมีนโยบายที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนในสกอตแลนด์เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ของ ตำรวจ168 เช่น การแจ้งหรือรายงานการเกิดอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ หรือแจ้งเกี่ยวกับเหตุต้อง สงสัยว่าจะมีการกระทำผิดเกิดขึ้นเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันอาชญากรรม169 อีกทั้ง ประชาชนยังมีส่วนร่วม ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับในหัวข้อต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการงานตำรวจผ่านแพลตฟอร์ม ออนไลน์ Citizen Space เพื่อประโยชน์ในการพัฒนากิจการตำรวจให้มีประสิทธิภาพขึ้นและสร้างความ เชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อองค์กรตำรวจ170 นอกจากนี้ องค์การตำรวจแห่งสกอตแลนด์ ยังเปิดโอกาส ให้ประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป สามารถเข้ามาเป็นอาสาสมัครตำรวจพิเศษ (Special 162The Scottish Government, The Vision for Justice in Scotland (2022), p.23. 163ibid 20 164ibid 19 165Ibid 25 166Jennifer Brown, Policing in the UK (The House of Commons Library 2021, p.8. 167The Scottish Government, ‘Strategic Police Priorities for Scotland’ (2016), p.9. 168Scottish Police Authority, ‘Annual Police Plan 2022/23’ (2022), p.13. 169Scottish Police Authority, ‘Public Contact and Engagement Strategy 2020’ (2020), p.18. 170Delib, ‘Customer story: Police Scotland’ (2020) <https://www.delib.net/citizen_space/customer_stories/police_scotland> accessed 19 July 2022.
48 constables)171 โดยทำงานแบบไม่เต็มเวลา (part-time) เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติงาน ของตำรวจประจำท้องที่ (Local police) ในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ป้องกัน อาชญากรรม และสืบหาตัวผู้กระทำความผิด172 เช่น ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรักษาความปลอดภัย ใน event พิเศษต่าง ๆ หรือช่วยเหลืองานอื่น ๆ ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำท้องที่มอบหมาย นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างชุมชนกับตำรวจภายในท้องที่อีกด้วย173 6.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นอัยการ ในส่วนของกระบวนการยุติธรรมในชั้นอัยการ ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในชั้นนี้ได้ เช่นเดียวกันกับชั้นของตำรวจ แต่อาจจะมิได้เข้ามีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการ โดยตรงในเรื่องการดำเนินคดี เนื่องจากพนักงานอัยการของสกอตแลนด์มีหน้าที่หลักในการฟ้อง คดีอาญา174 ไต่สวนการตายที่ผิดธรรมชาติและไต่สวนกรณีที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ากระทำ ความผิดอาญาอันเนื่องมาจากการปฏิบัติการตามหน้าที่175 อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเกี่ยวกับหน้าที่ของ พนักงานอัยการในการฟ้องคดี พนักงานอัยการอาจใช้ดุลพินิจในการเบี่ยงเบนการฟ้องคดี (Diversion from prosecution) ด้วยการให้ผู้ถูกฟ้องคดีทำงานตามโปรแกรมที่เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ด้าน กระบวนการยุติธรรมอาญา (Criminal Justice Social Work (CJSW) กำหนดแทนการดำเนินคดี โดยมี ความมุ่งหมายเพื่อให้เข้าใจถึงเหตุผลในการกระทำผิด และป้องกันการกระทำผิดซ้ำ หากความผิดนั้น เป็นความผิดเล็กน้อย176 ในการออกคำสั่งให้เบี่ยงเบนคดี พนักงานอัยการจะพิจารณาจากรายงานคดีของเจ้าหน้าที่ ตำรวจ (Standard Police Report (SPR)) ซึ่งระบุข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับตัวผู้ถูกกล่าวหาเพื่อพิจารณา ใช้ดุลพินิจในการเบี่ยงเบนคดี เช่น สุขภาพจิต การติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ ความเปราะบางทาง กายหรือจิตใจ ความพิการ เจตนาในการกระทำความผิด สภาพครอบครัว การศึกษาและอาชีพการงาน เป็นต้น177 เมื่อพิจารณารายงานคดีดังกล่าวแล้ว หากพนักงานอัยการเห็นว่าประโยชน์สาธารณะจะไม่ 171Police and Fire Reform (Scotland) Act 2012, s 9. 172Police Scotland, ‘Job Specification for Special Constables’ (2021) <https://www.scotland.police.uk/spamedia/w1nmm5ez/job-spec-special-constable.pdf> accessed 19 July 2022. 173ibid. 174ในสกอตแลนด์ แม้กฎหมายจะเปิดโอกาสให้มีการฟ้องคดีโดยประชาชน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว แทบไม่เคยเกิดขึ้น เนื่องจากประชาชน ที่ประสงค์จะฟ้องคดีเองจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลสูง (The High Court of Justiciary) โดยต้องแสดงเห็นว่ามีเหตุจำเป็นอย่างยิ่ง (Exceptional circumstance) ที่สมควรจะอนุญาตให้ประชาชนฟ้องคดีได้ เช่น อธิบดีอัยการ (Lord Advocate) สั่งไม่ฟ้องคดี และ ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีส่วนได้เสียเป็นการเฉพาะและเป็นพิเศษ (a particular and special interest) ที่จะเป็นผู้ฟ้องคดีโดยประชาชน รายละเอียดเพิ่มเติม โปรดดู Law Society of Scotland, ‘Petition PE 1633: Private Criminal Prosecution in Scotland’ (2018), p.6-7. 175Frazer McCallum, ‘The Scottish Criminal Justice System: The Public Prosecution System’ (The Scottish Parliament Information Centre 2016), p.2. 176Shetland Community Justice Partnership, ‘A summary of community options: Alternatives to Prosecution, Alternatives to Remand Alternatives to Custody (2017), p.16. 177Community Justice Scotland, ‘National Guidelines on Diversion from Prosecution in Scotland’ (2020), p.5.
49 ถูกกระทบหากอนุญาตให้มีการประเมินในขั้นต่อไปถึงความเหมาะสมของการเบี่ยงเบนคดี ก็ให้แจ้งเป็น ลายลักษณ์อักษรไปยังผู้ถูกฟ้องคดีเพื่อขอความยินยอมในการส่งเรื่องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Local authorities) พิจารณาถึงความเหมาะสมของการเบี่ยงเบนคดี178 ถ้าหากผู้ถูกฟ้องคดียินยอม เข้าสู่กระบวนการประเมิน เจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เจ้าหน้าที่ในส่วนงานสังคม สงเคราะห์ด้านกระบวนการยุติธรรมอาญา (CJSW) จะเป็นผู้พิจารณาเรื่องที่พนักงานอัยการส่งมาและ ประเมินว่า สมควรจะให้เบี่ยงเบนคดีให้ผู้ถูกฟ้องคดีหรือไม่ โดยพิจารณาจากรายงานคดีของเจ้าหน้าที่ ตำรวจและเหตุผลประกอบของพนักงานอัยการในการส่งเรื่องมายังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเมิน ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะเบี่ยงเบนคดี ก็จะแจ้งผลการประเมินให้ พนักงานอัยการทราบ พร้อมทั้งกำหนดโปรแกรมการทำงานที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้องทำเพื่อทดแทนการฟ้องคดี รวมถึงผลที่คาดว่าจะได้รับจากโปรแกรมการทำงานดังกล่าว179 ซึ่งเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีทำงานครบถ้วนตาม โปรแกรมที่กำหนดไว้ก็ให้ CJSW แจ้งให้พนักงานอัยการทราบเพื่อยุติการฟ้องคดีต่อไป180 ทั้งนี้ CJSW อาจจะกำหนดมาตรการอื่นให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าร่วมเพื่อเบี่ยงเบนคดีด้วยก็ได้ เช่น เข้าร่วมในกระบวนการ ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice (RJ))181 ในรูปแบบของการประนอมข้อพิพาทระหว่าง ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิด (Victim-offender mediation)182 ในกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดียินยอมในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ประชาชนก็อาจ เข้ามามีส่วนร่วมเป็นผู้นำในกระบวนการประนอมข้อพิพาท (Facilitator) ขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่เป็นผู้ให้บริการกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice Service Providers)183 อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า ประชาชนที่จะมาทำหน้าที่เป็น Facilitator มิใช่อาสาสมัคร โดยทั่วไป แต่จะต้องได้รับการฝึกอบรมจาก RJ Service providers และต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติและ ความสามารถตามที่กำหนดไว้ใน Guidance for the Delivery of Restorative Justice in Scotland ซึ่งจัดทำโดยรัฐบาลสกอตแลนด์184 นอกจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์แล้ว ประชาชนอาจเข้ามาเป็น อาสาสมัครในการช่วยดูแลเหยื่อหรือผู้เสียหายจากการกระทำผิดได้ ผ่านองค์กรที่ทำหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว (Victim support organizations) เช่น Visit Support Scotland ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลรายสำคัญ 178Ibid p.5. 179ibid p.8. 180ibid p.10. 181ibid p.8. 182The Scottish Government, Guidance for the Delivery of Restorative Justice in Scotland (2017), p.6. 183Restorative Justice Service Providers (RJ Service Providers) มีหน้าที่หลักในการฝึกอบรมผู้ที่ทำหน้าที่เป็น facilitator และ จัดทำบันทึกการประชุมระหว่างผู้เข้าร่วมประนอมข้อพิพาท (participants) แจ้งให้ผู้เข้าร่วมประนอมข้อพิพาททราบถึงผลการประนอม ข้อพิพาท และรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อตกลงที่เกิดขึ้นจากการประนอมข้อพิพาทให้ผู้เข้าร่วมทราบ ทั้งนี้ RJ Service Providers ในสกอตแลนด์จะมีทั้งส่วนที่ให้บริการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ NGOs โดย NGOs รายสำคัญที่ทำหน้าที่ RJ Service Providers ได้แก่ Safeguarding Communities Reducing Offending (SACRO) 184Victims and Witnesses (Scotland) Act 2014, s 5.
50 ที่ทำหน้าที่ในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมในสกอตแลนด์185 ทั้งนี้ ในส่วนขององค์กร อัยการมีการตั้งศูนย์บริการข้อมูลและคำแนะนำสำหรับผู้เสียหายในคดีอาญา (Victim Information and Advice (VIA) Service) ประจำในศาล เพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เสียหายที่เป็นผู้เปราะบาง (vulnerable victim) หรือผู้ที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ เป็นพิเศษ เช่น เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้สูงอายุ เหยื่อจากการถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว หรือความผิดเกี่ยวกับเพศ เป็นต้น186 บริการของ VIA โดยหลักแล้วจะเกี่ยวกับการให้ข้อมูลและความรู้ ความเข้าใจแก่เหยื่อหรือผู้เสียหายเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในแต่ละขั้นตอน และ ช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวกแก่ผู้เสียหายและพยานในการจัดมาตรการพิเศษสำหรับพิจารณาคดี เช่น การสืบพยานทางจอภาพ เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายเห็นตัวผู้ถูกกล่าวหาในขณะให้การในศาล การพิจารณาคดีโดยอนุญาตเฉพาะคนใกล้ชิดกับผู้เสียหายในการเข้ามาฟังการพิจารณาเพื่อลด ความเครียดหรือกังวลของผู้เสียหายที่เป็นผู้เปราะบาง เป็นต้น187 และหากเหยื่อหรือผู้เสียหายต้องการ การช่วยเหลือเยียวยาด้านจิตใจหรือเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับคดีโดยตรง ก็จะมีการประสานงานส่งเรื่องให้ องค์กรภาคเอกชนที่ทำหน้าที่ในการดูแลเหยื่อหรือผู้เสียหายจากการกระทำผิดเข้ามาดูแลต่อไป188 6.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล ในชั้นการพิจารณาของศาล ประชาชนในสกอตแลนด์สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณา คดีอาญาได้ในฐานะลูกขุน (Juries) ในส่วนของการพิจารณาชี้ขาดปัญหาข้อเท็จจริง โดยมองว่าการนำ คณะลูกขุนมาร่วมพิจารณาคดีเป็นการช่วยคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหามากยิ่งขึ้นและทำให้ กระบวนการยุติธรรมทางอาญามีความชอบธรรม เพื่อเข้ามาทดแทนการพิจารณาคดีแก่ผู้ถูกกล่าวหา แบบเดิม ซึ่งใช้วิธีการทรมาน (Trail by ordeal) หรือการท้าสาบาน (Trail by compurgation) เป็นหลัก189 อย่างไรก็ตาม คดีอาญาในสกอตแลนด์ที่ต้องมีคณะลูกขุนร่วมพิจารณาด้วย จะมีแต่เฉพาะคดีร้ายแรง (serious offenses) ซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาคดีของ Sheriff Court และ High Court of justiciary190 185Victim Support Scotland, ‘Empowering people affected by crime’ (2022) <https://victimsupport.scot> accessed 17 July 2022. 186Crown Office & Procurator Fiscal Service, ‘Victim Information and Advice (VIA) service’ (2022) <https://www.copfs.gov.uk/services/victim-services/victim-information-and-advice-via-service/> accessed 18 July 2022. 187Crown Office & Procurator Fiscal Service, ‘Vulnerable victims and witnesses (special measures)’ (2022) <https://www.copfs.gov.uk/services/support-at-court/vulnerable-victims-and-witnesses/> accessed 18 July 2022. 188Crown Office & Procurator Fiscal Service, supra note 186. 189Peter Duff, ‘The Scottish Criminal Jury: A Very Peculiar Institution’ (1999) 62 (2) Law and Contemporary Problems, p.173. 190ศาลในสกอตแลนด์ที่มีอำนาจในการพิจารณาคดีอาญา มีด้วยกัน 3 ศาล ดังนี้ 1. Justice of the Peace Court มีอำนาจในการพิจารณาคดีที่ไม่ร้ายแรง เช่น คดีทำร้ายร่างกายเล็กน้อย (minor assaults) คดีความผิดจราจร (road traffic offense) คดีลักทรัพย์ธรรมดา (petty theft) โดยรูปแบบการพิจารณาคดีในศาลนี้ จะใช้การพิจารณาคดี แบบรวบรัด (Summary procedure) ซึ่งไม่ต้องมีคณะลูกขุนร่วมพิจารณาคดีด้วย แต่ให้ผู้พิพากษาอาชีพพิจารณาคดีได้โดยลำพัง โดยศาล นี้มีอำนาจในการพิพากษาลงโทษจำคุกได้สูงสุด ไม่เกิน 60 วัน หรือปรับไม่เกิน 2,500 ปอนด์
51 ที่จะต้องใช้การพิจารณาคดีในรูปแบบเคร่งครัด (Solemn procedure) ซึ่งต้องให้ผู้พิพากษาอาชีพ พิจารณาคดีร่วมกับคณะลูกขุน จำนวน 15 คน โดยคณะลูกขุนที่จะเข้ามาร่วมในการพิจารณาคดีนั้นจะ ทำหน้าที่จะมาจากการสุ่มจากรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งมีอายุระหว่าง 18 ปี ถึง 65 ปีโดยผู้ได้รับเลือก เป็นลูกขุนจะต้องเป็นผู้ที่ไม่รู้จักกับคู่ความมาก่อน โดยลูกขุนจะเป็นผู้ทำหน้าที่ชี้ขาดข้อเท็จจริงจาก ที่รับฟังพยานโจทก์และจำเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ (reach a verdict) หลังจากที่คณะลูกขุนได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในคดีจนครบถ้วน และได้ฟังคำอธิบาย จากผู้พิพากษาเจ้าของคดีแล้วในประเด็นข้อกฎหมายก่อนที่คณะลูกขุนจะลงมติว่าเชื่อว่าจำเลยกระทำ ผิดตามที่กล่าวหาหรือไม่191 นอกเหนือจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาในรูปแบบต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวไป แล้วข้างต้น ประชาชนในสกอตแลนด์อาจเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในการจัดทำ แผนพัฒนาผลที่เกิดขึ้นจากงานด้านยุติธรรมชุมชน192 (Community justice outcomes improvement 2. Sheriff Court มีอำนาจในการพิจารณาคดีที่มีความร้ายแรงยิ่งขึ้นกว่าที่พิจารณาใน Justice of the Peace Court แต่ยังไม่ ร้ายแรงที่สุด (the most serious crimes) ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของ High Court of justiciary รูปแบบการพิจารณาคดีในศาลนี้ จะมีทั้ง การพิจารณาคดีแบบรวบรัด ซึ่งไม่ต้องมีคณะลูกขุนร่วมพิจารณา แต่ให้ผู้พิพากษาอาชีพพิจารณาพิพากษาได้ โดยมีอำนาจในการพิพากษา ลงโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 12 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 ปอนด์ และการพิจารณาคดีแบบเคร่งครัด (Solemn procedure) สำหรับ ความผิดที่ร้ายแรงมากขึ้น ซึ่งต้องให้ผู้พิพากษาอาชีพร่วมพิจารณาคดีกับคณะลูกขุนจำนวน 15 คน ด้วย โดยในกรณีนี้ศาลมีอำนาจ พิพากษาลงโทษจำคุกได้สูงสุด ไม่เกิน 5 ปี แต่สามารถพิพากษาปรับได้โดยไม่จำกัด ทั้งนี้ พนักงานอัยการจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการพิจารณาเลือกใช้รูปแบบการพิจารณาคดีในศาลอาญา โดยพิจารณาจากความร้ายแรง ของความผิด (Seriousness of the crime) 3. High Court of justiciary มีอำนาจในการพิจารณาคดีที่มีความร้ายแรงสูงสุด (the most serious crimes) เช่น ความผิดฐาน กบฏ ฆ่าผู้อื่น ข่มขืน ค้ายาเสพติด ความผิดเกี่ยวกับเพศที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เป็นต้น รูปแบบการดำเนินคดีในศาลนี้ ต้องใช้การพิจารณาคดี แบบเคร่งครัด เท่านั้น จึงต้องมีคณะลูกขุนเข้ามาร่วมในการพิจารณาคดีทุกคดี สำหรับอำนาจในการพิพากษาลงโทษของศาลนี้มีไม่จำกัด 191Scottish Courts and Tribunals, ‘Participating in jury trials in Scotland’ (2022) <https://www.scotcourts.gov.uk/coming-to-court/jurors> accessed 18 July 2022. 192งานด้านยุติธรรมชุมชน (Community Justice) ในที่นี้หมายถึงงานที่เกิดจากการร่วมมือกันเพื่อทำหน้าที่ในการส่งเสริมและกำกับดูแล ผู้กระทำความผิดในการกลับคืนสู่ชุมชน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นแกนกลางในการทำหน้าที่ ดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและลดการกระทำความผิดซ้ำ หรือระงับยับยั้งการกระทำผิด และสร้างความยอมรับของสังคมต่อ ตัวผู้กระทำผิดที่ต้องการกลับคืนสู่สังคม ตัวอย่างของมาตรการทางกฎหมายที่ให้ท้องถิ่นมีส่วนในงานด้านยุติธรรมชุมชน เช่น การกำกับ ดูแลผู้กระทำผิดซึ่งศาลมีคำสั่งให้ทำงานบริการชุมชน (Community Payback Order - CPO) โดยศาลอาจใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่ง ดังกล่าวแทนการพิพากษาให้ผู้กระทำผิดรับโทษจำคุกได้ โดยพิจารณาจากรายงานการสืบเสาะข้อมูลเกี่ยวกับผู้กระทำผิดซึ่งประกอบไปด้วย ลักษณะของการกระทำผิด ประวัติการกระทำผิด ความเสี่ยงในการกระทำผิดซ้ำ ความต้องการที่จะแก้ไขการกระทำผิดของตน สุขภาพและ ความเป็นอยู่ของผู้กระทำผิด รายงานดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งได้รับมอบหมายจากองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น หากศาล พิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่สมควรให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษจำคุก เช่น เป็นผู้ที่กระทำผิดครั้งแรกหรือกระทำผิดเพราะอาการทางจิต ศาลอาจ มีคำสั่งให้ผู้นั้นทำงานบริการชุมชนแทนก็ได้ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนักสังคมสงเคราะห์ ทั้งนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจ เสนอความเห็นเกี่ยวกับงานที่ผู้กระทำผิดต้องทำให้ชุมชนด้วยก็ได้ นอกจากนี้ ศาลยังมีอำนาจในการออกคำสั่งให้ผู้กระทำผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย หรือกำหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัยอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ผู้กระทำผิด เช่น การห้ามเขตที่กำหนด รวมถึงการเข้ารับการบำบัด หากผู้กระผิดมีอาการทางจิตเวชหรือติดยาเสพติด
52 plan) 193 ซึ่งถูกจัดทำขึ้นในแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น194ซึ่งโดยทั่วไปจะบังคับใช้เป็นเวลา 3 ปี เพื่อประเมินผลว่าท้องถิ่นได้ดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลตามที่กำหนดไว้ในกรอบการดำเนินการระดับชาติ เกี่ยวกับงานด้านยุติธรรมชุมชน (National performance framework in relation to community justice) ที่จัดทำขึ้นโดย Community Justice Scotland195 หรือไม่ 196 ตามตัวชี้วัดที่ถูกกำหนดไว้ เช่น ผลในป้องกันและลดความเสี่ยงในการกระทำความผิดซ้ำในชุมชน อาจมีการกำหนดตัวชี้วัดโดยทำการสำรวจ ทัศนคติตัวผู้กระทำผิดที่ต้องทำงานบริการชุมชนว่ามีทัศนคติเกี่ยวกับการกระทำผิดที่เปลี่ยนแปลงไป หรือไม่ หรือจำนวนคดีที่ศาลมีคำสั่งให้ใช้มาตรการยุติธรรมชุมชนแทนโทษจำคุกในท้องถิ่นนั้น ๆ 197 ทั้งนี้ตาม Community Justice (Scotland) Act 2016 ได้กำหนดให้กลุ่มบุคคลองค์กรที่เรียกว่า Community justice partners ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแต่ละท้องถิ่น ได้แก่ ตำรวจ คณะกรรมการสาธารณสุข คณะกรรมการบูรณาการด้านสาธารณสุขและการดูแลสังคม องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ศาล หน่วยงานดับเพลิงและกู้ภัย หน่วยงานพัฒนาทักษะด้านแรงงาน หน่วยงานของ Scottish Ministers เช่น องค์กรอัยการ หน่วยงานราชทัณฑ์198 เป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดทำแผนดังกล่าว (แผน 3 ปี) โดยต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นเข้ามีส่วนร่วมใน การแสดงความคิดเห็นเพื่อจัดทำแผนด้วย199 นอกจากนั้นแล้ว Community justice partners ยังต้อง จัดทำรายงานประจำปีในการดำเนินการให้เป็นไปตาม Community justice outcomes improvement plan เสนอ Community Justice Scotland เพื่อพิจารณาด้วย ซึ่งก็ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นเช่นกัน200 เมื่อ Community Justice Scotland พิจารณา แล้วเห็นว่ามีข้อเสนอแนะแก่ท้องถิ่นเพื่อให้ดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน กรอบ การดำเนินการระดับชาติเกี่ยวกับงานด้านยุติธรรมชุมชน หรือแผน Community justice outcomes improvement plan ของแต่ละท้องถิ่น Community Justice Scotland ก็จะจัดทำข้อแนะนำเป็น ลายลักษณ์อักษร (Local improvement recommendations) เพื่อให้ท้องถิ่นดำเนินการ201 193Community Justice (Scotland) Act 2016, s 20 (6). 194ในปัจจุบันสกอตแลนด์มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า Council) ทั้งหมด 32 แห่ง 195Community Justice Scotland จัดตั้งขึ้นโดย Community Justice อาการทางจิตเวชหรือติดยาเสพติด 195Community Justice (Scotland) Act 2016, s 20 (6). 195ในปัจจุบันสกอตแลนด์มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า Council) ทั้งหมด 32 แห่ง 195Community Justice Scotland จัดตั้งขึ้นโดย Community Justice (Scotland) Act 2016 มีภารกิจสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ ระดับประเทศเพื่อพัฒนางานยุติธรรมชุมชน กำกับดูแลและส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานด้านยุติธรรมชุมชนในแต่ละท้องถิ่น ตลอดจน สร้างความตระหนักแก่ประชาชนถึงประโยชน์ที่ได้รับ หากมีการนำมาตรการด้านยุติธรรมชุมชนมาใช้แทนการลงโทษจำคุก หรือการช่วยเหลือ หรือดูแลผู้กระทำผิดมิให้กระทำผิดซ้ำ 196Community Justice (Scotland) Act 2016, s 19 (2). 197The Scottish Government, ‘Community Justice Outcomes, Performance and Improvement Framework’ (2016), p.35-36. 198Community Justice (Scotland) Act 2016, s 13 (1). 199Community Justice (Scotland) Act 2016, s 20. 200ibid s 23. 201ibid s 29.
53 ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินงานด้านยุติธรรมชุมชนซึ่งถูกกำหนดไว้ใน Community Justice Outcomes, Performance and Improvement Framework202 202The Scottish Government, supra note 197, p.65.
5 ตัวอย่าง Community justice outcomes improvemen ANGUS COMMUNITY JUSTICE OUTCO National Outcome: Effective interventions are delivered What Needs To Change (Outcomes) How Will Change be Delivered (Outp 12. Tailored interventions will be further developed for and with individuals to reduce re-offending 12.1 Review integrated needs assessmen tool for offenders and their families 12.2 Develop the capacity of the commu and third sector to increase the range an quality of interventions 12.3 Focus resource allocation on evidenbased early intervention and targeted prevention 12.4 Further develop and raise awarenes diversion from prosecution options 12.5 Reduce the use of custodial senten and remand 12.6 Use “problem-solving courts” to develop innovative practice 12.7 Apply the good information sharing practices developed through MAPPA to lower tariff cases 203Angus Council, ‘ANGUS COMMUNITY JUSTICE OUTCOMES IMPROVEMENT PLAN 2017 -2020’ (20
4 nt plan 2017-2020 ของ Angus Council ในสกอตแลนด์ OMES IMPROVEMENT DELIVERY PLAN d to prevent and reduce the risk of further offending203 uts) Lead Agency /Partner Involvement Indicators/Measures nt unity nd nce ss of nces Community Justice Partnership Angus Council (CJSW) COPFS SCTS The Judiciary Police Scotland Examples of quality needs assessments leading to effective disposals Number and type of programmes dealing with offenders Evidence of improved CJ Outcomes Number of police/fiscal diversion measures Number of community disposals Number of people held on remand Number of short-term prison sentences under one year 017), p.36.
55 7. ประเทศอังกฤษ การมีส่วนร่วมของประชาชนในอังกฤษ ถือเป็นแนวคิดในเรื่องของประชาชนมีส่วนร่วม ในกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ในอดีต ดังนั้นประชาชนจึงมีส่วนร่วมตั้งแต่การฟ้องคดี (people participation) รวมถึงมีอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับสังคม เช่นเดียวกับตำรวจ (constable) อำนาจในการเป็นศาล magistrate ที่เรียกว่า “Lay magistrate” และในส่วนของคดี ร้ายแรง ประชาชนมีส่วนในการเป็นคณะลูกขุน (jury) ทั้งนี้ ในกระบวนการบังคับโทษ ที่ไม่ใช่ในเรือนจำ ประชาชนมีส่วนในการร่วมคุมประพฤติบุคคลที่ศาลสั่งให้ต้องคุมประพฤติในชุมชนด้วย 7.1 การมีส่วนร่วมในชั้นตำรวจ ในอังกฤษ การบังคับคดีเพื่อจะนำมาฟ้องต่อศาลนั้นมีความแตกต่างจากระบบในยุโรปที่ให้ พนักงานอัยการทำหน้าที่สอบสวนและฟ้องคดี แต่ในอังกฤษนั้นเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าหน้าที่ ที่บังคับให้เป็นไปตามกฎหมายแต่ละฉบับจะเป็นผู้จับกุม ปราบปราม และฟ้องคดีต่อศาล เพื่อดำเนินคดี แก่ผู้กระทำความผิดแต่จะมี Director of Public Prosecution เป็นผู้ให้ความเห็นทางกฎหมายว่าจะ ฟ้องในข้อหาใด และต้องเตรียมคดีอย่างไร ในส่วนของประชาชนที่จะมีส่วนร่วมกับตำรวจอังกฤษในการป้องกันและปราบปรามการกระทำ ความผิด เป็นหลักที่เรียกว่า “ตำรวจชุมชน” (community police) โดยองค์กรตำรวจจะร่วมมือกับ ประชาชนในการเฝ้าระวังอาชญากรรม ซึ่งในปัจจุบันอังกฤษและสกอตแลนด์ได้จัดทำโครงการเพื่อส่งเสริม ให้เยาวชน (อายุตั้งแต่ 8-18 ปี) สามารถเข้าเป็นอาสาสมัครร่วมกับตำรวจในการป้องกันอาชญากรรมได้ ในโครงการชื่อว่า Police Scotland Youth Volunteers204 ซึ่งสนับสนุนให้ตำรวจในท้องถิ่นร่วมกับ ประชาชนที่เป็นอาสาสมัครร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อจะดำเนินการให้ขยายไปในระดับชาติ โครงการดังกล่าวเป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่เยาวชนเพื่อจะมีส่วนร่วมกับตำรวจโดยการฝึกอบรม อาสาสมัครร่วมกันระหว่างตำรวจกับประชาชนที่มีประสบการณ์ในการป้องกันและปราบปราม แต่เยาวชนที่เข้ามาร่วมโครงการไม่จำเป็นต้องมาประกอบอาชีพตำรวจ เพียงแต่ต้องการสร้างความ ตระหนักของประชาชนในการมีส่วนร่วมในการรักษาความสงบเรียบร้อย การประสานงานระหว่าง ตำรวจกับประชาชนต่อไป เป้าหมายของโครงการดังกล่าวมีสี่ประการ คือ ประการแรกเป็นการสร้างความเข้มแข็งของ ชุมชนให้มีความน่าเชื่อถือผ่านทางผู้นำเยาวชนและกระบวนการทางสังคม ประการที่สองเป็นการ ป้องกันเยาวชนไม่ให้ถูกชักนำพฤติกรรมเชิงต่อต้านสังคม ประการที่สาม สร้างความเชื่อมั่นศรัทธา ระหว่างเยาวชน สังคม และตำรวจ และประการสุดท้าย รับฟังความเห็นของเยาวชนที่จะมีต่อสังคม ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป 204https://vpc.police.uk/about-us/retrived 31/07/2022
56 ส่วนการทำงานของตำรวจในอังกฤษ มีตำรวจอาชีพและมีอาสาสมัครของชุมชนเข้ามาร่วมในการ ป้องกันอาชญากรรมและการรักษาความสงบเรียบร้อย 205 จากสถิติในปี ค.ศ. 2021 ตำรวจในอังกฤษมี 135,301 คน ในเขตทั้งหมด 43 เขต ทั้งนี้มีหน่วยต่าง ๆ ประกอบด้วย police officers, police staff, Police Community Support Officers (PCSOs), designated officers, special constables and Police Support Volunteers (PSVs) ซึ่งมีอาสาสมัครที่เข้ามาช่วยงานตำรวจถึงปีละ 8,000 คนทั่วประเทศ การคัดเลือกผู้ที่จะทำหน้าที่ Police Community Support officer (PCSOs)206 ไม่ได้มีหลักเกณฑ์ เข้มงวดแต่อย่างใด เพราะถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือเยาวชนที่สนใจเข้ามาร่วมเป็นเจ้าหน้าที่ ช่วยเหลืองานของตำรวจซึ่งใช้การสมัครเข้ามาทำงาน โดยจะต้องได้รับการฝึกอบรมแล้วจึงเข้าทำหน้าที่ได้ อาสาสมัครเหล่านี้จะได้รับค่าตอบแทนในการทำงานด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่ เป็น PCSOs ทำหน้าที่ช่วยเหลือตำรวจในการพูดคุยกับประชาชน ให้การสนับสนุน พนักงานเจ้าหน้าที่ ป้องกันอาชญากรรม ช่วยเหลือในการจราจร หรือควบคุมคนที่มีพฤติกรรมที่เป็น อันตรายต่อสังคม ทั้งนี้เพื่อทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตำรวจและประชาชน แต่ไม่มีอำนาจจับ หรือค้นบุคคล การทำงานอาจเป็นการทำงานเต็มเวลาหรือ บางเวลาก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำเป็นเวลา 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่บางตำแหน่งต้องทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง207 7.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินคดี หลักการฟ้องคดีของอังกฤษ เป็นการฟ้องคดีอาญาโดยประชาชน ดังนั้น แม้ประชาชนคนนั้นจะ ไม่ได้เป็นผู้เสียหายก็สามารถที่จะฟ้องคดีได้ โดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นเรื่องที่พนักงานอัยการหรือตำรวจ ไม่ฟ้องก่อน ทั้งนี้ เพราะอังกฤษถือหลักว่าประชาชนมีส่วนในการฟ้องคดีเพื่อนำคำฟ้องมาสู่ศาลให้ศาล ดำเนินกระบวนพิจารณาหาผู้กระทำความผิด208 การดำเนินคดีของประชาชนจึงเป็นเอกเทศต่างหากจาก ตำรวจหรือพนักงานอัยการ อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1985 อังกฤษเห็นว่าการฟ้องคดีอาญาเป็นเรื่องสำคัญ ควรต้องมีหน่วยงาน ของรัฐเข้ามาดูแลเพื่อให้การฟ้องคดีเป็นไปอย่างเป็นเอกภาพ จึงจัดตั้งหน่วยงานเข้ามารับผิดชอบ คดีอาญาที่สำคัญคือ Crown Prosecution Service และกำหนดให้มีอำนาจในการฟ้องคดีอาญาที่สำคัญ บางคดีตามที่กฎหมายกำหนด 205https://www.gov.uk/government/statistics/police-workforce-england-and-wales-31-march-2021/retrived 31/07/2022 206พัฒนาการของการมีอาสาสมัครช่วยเหลือตำรวจ ตามโครงการนี้เกิดจากการศึกษาและปฏิรูปตำรวจจนมีกฎหมาย the Police Reform Act 2002 ซึ่งเดิมเห็นว่าอาสาสมัครดังกล่าวไม่เหมาะสม แต่ต่อมาเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี และช่วยเหลือตำรวจในการรักษาความ สงบเรียบร้อยเป็นผลดีโดยเฉพาะการลดการก่อการไม่สงบคนในสังคมและการพัฒนาคุณภาพชีวิต การลดความกลัวว่าจะเกิดอาชญากรรม และเพิ่มความมั่นใจว่าสังคมมีความปลอดภัย เพิ่มความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อตำรวจ และพัฒนาสังคม see Tuffin R , Morri J. and Poole, A , 2006, An evaluation of the Impact of the National Reassurance Policing Programme, London:Home Office, UK Governments,p 13 207https://www.met.police.uk/car/careers/met/pcso/pcso-overview/retived 27/10/2022 208หลัก Popular Prosecution ซึ่งให้ประชาชนมีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมโดยสามารถนำคดีอาญาฟ้องต่อศาลได้
57 7.3 การมีส่วนร่วมในกระบวนการทางศาล แยกเป็นศาลสองระดับ คือศาล Magistrate Court และศาล Crown Court หากเป็นการดำเนิน กระบวนพิจารณารวบรัด ซึ่งใช้กับคดีที่มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี เป็นการดำเนินคดี summary trial ผู้พิพากษาจะมีได้สองกรณี คือ lay magistrate เป็นองค์คณะผู้พิพากษาที่เป็นคนธรรมดาชี้ขาดทั้ง ข้อเท็จจริงและการลงโทษ องค์คณะของ justice of the peace มีจำนวนสามคน เป็นประชาชนที่ อาสาสมัครที่เข้ามาและได้รับการฝึกอบรมให้สามารถพิจารณาและพิพากษาได้ และมีนักกฎหมายที่ให้ คำปรึกษาแนะนำ อีกกรณีหนึ่งเป็นผู้พิพากษาอาชีพคนเดียวชี้ขาดทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และ กำหนดโทษ ส่วนการดำเนินคดีของกระบวนพิจารณาที่เรียกว่า Trial on indictment ซี่งเป็นคดีที่มีอัตรา โทษสูง (เกินกว่าอัตราโทษจำคุกสามปี) การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อจะชี้ขาดว่าจำเลยกระทำความผิดตาม ฟ้องหรือไม่ เป็นบทบาทของคณะลูกขุน (jury) โดยคณะลูกขุนซึ่งจะได้รับเลือกมาจากประชาชนในพื้นที่นั้น จำนวน 12 คน209 เพื่อรับฟังพยานหลักฐานทั้งโจทก์และจำเลย และประชุมลงมติว่าจำเลยกระทำ ความผิดหรือไม่ ซึ่งมติดังกล่าวจะต้องเอกฉันท์ แต่ถ้าไม่สามารถหามติที่เอกฉันท์ได้ก็จะต้องเป็นเสียงข้างมาก คือ 10 ใน 12 จึงจะถือว่าเป็นมติว่าจำเลยกระทำความผิด หากมีมติไม่ถึงจำนวนดังกล่าวก็ต้องถือว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิด จากนั้นศาลจะเป็นผู้กำหนดโทษจำเลยตามหลัก Sentencing process ส่วนการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลสูงจะไม่มีการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นการพิจารณา โดยองค์คณะผู้พิพากษาเท่านั้น 1) กระบวนการได้มาซึ่งคณะลูกขุน มีการดำเนินการดังนี้210 1.1) เป็นบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ โดยมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีและ ไม่เกินเจ็ดสิบปี มีภูมิลำเนาในสหราชอาณาจักร และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามส่วน 1 และส่วน 2 ของ Schedule 1 ซึ่งลักษณะต้องห้ามตาม ส่วนที่ 1 เป็นกรณีเป็นผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม เช่น พิพากษารวมทั้ง magistrate หรือเป็นบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม law clerk หรือเป็นบุคคล วิกลจริต ส่วนที่ 2 คือเป็นผู้มีประวัติอาชญากรรม เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก หรือกักและอบรม 1.2) Lord Chancellor จะเป็นผู้ออกหมายเรียกผ่านทางเจ้าหน้าที่ของศาล Crown Court โดยการสุ่มรายชื่อ และศาลก็ไม่ทราบว่าผู้ถูกเรียกนั้นจะมีคุณสมบัติต้องห้ามหรือไม่ และจะพิจารณาจาก ระยะทางที่ผู้นั้นจะมาทำหน้าที่เป็นลูกขุน 1.3) คณะลูกขุนจะมาเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ ครั้งละ 30 คน แต่จะได้รับเป็นคณะลูกขุน เพียง 12 คน ทั้งนี้เพราะคู่ความอาจโต้แย้งคัดค้านลูกขุนเพราะมีเหตุตั้งรังเกียจได้ 1.4) การพิจารณาของคณะลูกขุนจะทำหน้าที่จนจบ และพิจารณาว่าจะออก verdict หรือไม่ โดยมติของคณะลูกขุนต้องเอกฉันท์หากไม่เอกฉันท์ก็จะต้องเป็นเสียง 10 ใน 12 จึงจะถือว่าจำเลยผิด 209Juries Act 1974, section1 210See Stephen Seabrook and John Sprack, Criminal Evidence and Procedure: The Esential framework, รรม
58 7.4 งานวิจัยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในศาล คณะที่ปรึกษาจะขอยกตัวอย่างการประเมินผลเกี่ยวกับการที่ประชาชนเข้ามามีบทบาทใน กระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยมีหนังสือ ชื่อ Participation in Courts and Tribunals: Concepts realities and Aspirations, editors Jessica Jacopson and Penny Cooper, ได้วิเคราะห์ขอบเขตของ การมีส่วนร่วมและข้อดี ข้อด้อยของการมีส่วนร่วมในกระบวนพิจารณาของศาล พอสรุปได้ดังนี้ 1) ขอบเขตของการมีส่วนร่วมในศาลเป็นนโยบายที่อังกฤษพยายามจะปฏิรูปศาลในโครงการ สร้าง “ระบบการบริหารกระบวนการยุติธรรมใหม่ที่ทำให้ผู้รับบริการได้รับประโยชน์ถ้วนหน้า” ทั้งนี้ มิได้แต่เพียงมุ่งอำนวยความยุติธรรมให้ทุกคนเข้าถึงได้ แต่รวมถึงการพัฒนาศักยภาพที่ให้ประชาชนมี ส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ ให้การพิจารณาเป็นไปโดยเปิดเผยและสามารถใช้ระบบเทคโนโลยี สารสนเทศได้ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่สามารถขอใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว 2) จากการสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมายได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมใน กระบวนการยุติธรรม ได้ข้อสรุปว่าหมายความถึงการให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงแก่ศาล การได้รับข้อมูล ความคืบหน้าของการดำเนินคดี การมีทนายความช่วยเหลือ การได้รับการคุ้มครอง และไม่ต้องกลัวว่าจะ ถูกข่มขู่ในระหว่างการดำเนินคดี การบริหารจัดการมิให้เกิดความขัดข้องในการดำเนินกระบวนพิจารณา และการได้มาเบิกความในศาล 3) หน้าที่ของผู้รับบริการที่ศาลสามารถมีได้หลายลักษณะ ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการใช้สิทธิ ของบุคคล การที่ศาลจะพิพากษาตัดสินควรขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ผุ้รับบริการนำเสนอหรือชี้แจงต่อศาล ควรเปิดโอกาสให้ผู้รับบริการแสดงความเห็นร่วมและผลของการตัดสิน การมีส่วนร่วมในศาลทำให้เกิด ความรู้สึกที่ดีและความศรัทธาต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศาล 4) อย่างไรก็ดีการมีส่วนร่วมของประชาชนที่มารับบริการนั้นย่อมจะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากฐานะทางคดีมีต่างกัน เช่น จำเลยย่อมมี่บทบาทในการมีส่วนร่วมแตกต่างจากพยานหรือ ผู้เสียหายในคดีอาญา เพราะมีผลประโยชน์หรือได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของศาลต่างกัน ซึ่งการมี ส่วนร่วมของแต่ละคนจะมีส่วนได้หรือส่วนเสียที่แตกต่างกัน งานวิจัยอีกเรื่องหนึ่งของ Adam Crawford (2002) , Public Participation in Criminal Justice, ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของการมีส่วนร่วมของประชาชนในอังกฤษ เริ่มลดลงเพราะในช่วงสอง ศตวรรษที่ผ่านมาระบบการดำเนินคดีอาญาได้พัฒนาไปในทางที่ต้องการใช้เจ้าพนักงานในกระบวนการ ยุติธรรมที่มาจากนักกฎหมายอาชีพ เพื่อทำให้งานด้านกระบวนการยุติธรรมมีความน่าเชื่อถือ เป็นธรรม มีความเป็นระบบราชการ และเน้นการบริหารกระบวนการยุติธรรมที่เน้นการควบคุมปราบปรามและ ป้องกันอาชญากรรม ซึ่งกลับเข้ามาสู่หลักการว่าต้องมีความเป็นมืออาชีพ (professional) การมีส่วนร่วม ของประชาชนในการเฝ้าระวังอาชญากรรมกลับมีผลดีและประหยัดกว่าการติดตามปราบปรามผู้กระทำ ความผิด
59 แต่ในทางตรงข้ามกับความเชื่อของสังคมหรือประชาชนทั่วไปกลับเห็นว่า การมีส่วนร่วมของ ประชาชนไม่ได้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูง การมีอาสาสมัครมิได้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการพัฒนา นักกฎหมายมืออาชีพแต่กลับได้ความยุติธรรมมาในสังคม อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่าการมีส่วนร่วมของ ประชาชนจะมีประสิทธิภาพและประชาชนมีส่วนร่วมมากในกรณีทีเป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรงหากเป็น การกระทำโดยองค์กรอาชญากรรมหรือผู้มีอิทธิพล การมีส่วนร่วมของประชาชนจะมีน้อยเพราะเกิดจาก ความกลัวว่าจะเกิดภยันตรายแก่ตนหากเข้าไปมีส่วนร่วม จะเห็นว่า เดิมการมีส่วนร่วมของประชาชนมีมาตั้งแต่ในอดีต แต่ในปัจจุบันการดำเนินคดีอาญา เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานและศาลในกระบวนการยุติธรรม โดยมีนักกฎหมายและผู้ประกอบวิชาชีพ กฎหมายเป็นหลัก แต่การมีส่วนของประชาชนในอังกฤษยังคงอยู่ในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ทางอาญา 8. สหรัฐอเมริกา 8.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ ในสหรัฐอเมริกาได้มีpolicing communityในแนวทางเดียวกับอังกฤษ ซึ่งมีแนวคิดที่ว่าให้ ประชาชนดูแลรักษาความสงบสุขในสังคมด้วยกันเอง ซี่งแนวคิดในการปรับเปลี่ยนไปจากบทบาทของ ตำรวจสหรัฐอเมริกาที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันอาชญากรรมในลักษณะที่หน่วยงาน เดียวที่รับผิดชอบในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วม แต่ต่อมาได้มีแนวคิดที่พัฒนาระบบตำรวจชุมชน ที่ให้ประชาชนในแต่ละชุมชนร่วมกับตำรวจ ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของตนในชั้นแรกก่อน หากไม่สามารถดำเนินการได้จะต้องถึงกลไกของตำรวจ อันเป็นการสร้างความตระหนักและรับผิดชอบของประชาชนในชุมชนในการป้องกันอาชญากรรมด้วย211 อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติจะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของตำรวจไม่ได้เป็นไปดังหลักการดังกล่าว212 เพราะ ความรู้สึกของตำรวจมีความแตกต่างกับตำรวจอังกฤษซึ่งมีความเห็นใจประชาชน แต่ในสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ตำรวจจะมีการทำร้ายหรือทุบตีประชาชน213 จนเกิดข้อร้องเรียนในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบต่อผู้ว่าการมลรัฐ และผู้ว่าการมลรัฐต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการทำงานของตำรวจ หากได้ความว่ามีมูลจะตัดเงินเดือนตำรวจคนนั้น หรือไม่ต่อสัญญาจ้าง ทั้งนี้ เพราะตำรวจในสหรัฐอเมริกา มิได้เป็นข้าราชการแต่เป็นบุคลากรที่ท้องถิ่นจ้างมาเพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย 211โปรดดูพัฒนาการและการเปรียบเทียบระบบตำรวจเดิมกับตำรวจชุมชนของสหรัฐอเมริกาใน See Jack R. Greene, Community Policing in America, : Changing the Nature, Structure, and Function of the Police in Policies Processes and Decisions of criminal Justice System, Vol 3 ,2000 https://www.ncjrs.gov/criminal_justice2000/vol_3/03g.pdf,retrived 28/10/2022 212https://www.americanbar.org/groups/crsj/publications/human_rights_magazine_home/2016-17-vol-42/vol-42-no1/legitimate-community-policing--how-citizen-participation-creates/retrived 31/07/2022 213Gove, Tracey G. “Implicit Bias and Law Enforcement,” The Police Chief. October 2011: (78) 44–56. http://www.policechiefmagazine.org/magazine/index.cfm?fuseaction=display_arch&article_id=2499& issue id=102011- 37Gove, retrieved 31/07/2022
60 การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นตำรวจ มีอีกโครงการหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับอังกฤษ คือการมีอาสาสมัครร่วมป้องกันอาชญากรรม ที่เรียกว่า Neighbourhood policing ซึ่งช่วยงานด้านการ ป้องกันอาชญากรรมให้สามารถกระจายไปในทุกพื้นที่ของสหรัฐอเมริกาทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้รับ การประเมินว่าก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการป้องกันอาชญากรรมและเสริมสร้างความรับรู้ของสังคม ในด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนที่จะแก้ไขปัญหาให้แก่สังคมส่วนรวม ตัวอย่างที่มีโครงการ Neighourhood policing ได้แก่ในนิวยอร์ค ซึ่งได้รับการประเมินว่า ประสบควรสำเร็จในการเข้าถึงชุมชนและให้ประชาชนที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครเข้ามาร่วมในการแก้ไข ปัญหาชุมชนและป้องกันอาชญากรรมร่วมกับตำรวจ แจ้งเบาะแส จัดการจราจร เป็นต้น อันเป็นการ สร้างความเชื่อมั่นและความไว้ใจของประชาชนที่มีต่อตำรวจ214 8.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการฟ้องคดี ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีระบบคอมมอนลอว์ตามแนวทางอังกฤษ แต่การฟ้องคดีอาญานั้นมี พัฒนาการที่แตกต่างกันเพราะอังกฤษเปิดโอกาสให้ประชาชนฟ้องคดีอาญาได้ แต่ในสหรัฐอเมริกาถือว่า การฟ้องคดีอาญาต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการและเป็นพนักงานอัยการในแต่ละมลรัฐ เนื่องจาก เป็นเรื่องที่รัฐจะต้องเข้ามาดูแลเพราะความผิดอาญามีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงไม่ อาจที่ให้ประชาชนมาฟ้องร้องกันเอง เหมือนข้อพิพาททางแพ่ง พนักงานอัยการในสหรัฐอเมริกามีอำนาจหน้าที่คล้ายกับเยอรมันและญี่ปุ่น คือมีอำนาจในการ สอบสวนด้วยตนเอง และยังมีอำนาจในการฟ้องคดีอาญาที่เกิดขึ้นในต่างประเทศด้วย ส่วนเอกชนจะฟ้องคดีนั้นมาจากหลัก private prosecution หากเอกชนได้รับความเสียหาย ก็จะฟ้องคดีได้ อย่างไรก็ดี แนวทางของสหรัฐเมริกาในคดีสิ่งแวดล้อมประชาชนอาจใช้สิทธิฟ้องแทนรัฐ ซึ่งเป็นพนักงานอัยการได้หากได้แจ้งให้พนักงานอัยการดำเนินคดีแล้ว พนักงานอัยการละเลยไม่ฟ้องคดี 8.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนพิจารณาทางศาล ในสหรัฐอเมริกา ประชาชนเข้ามาร่วมในกระบวนการชี้ขาดข้อเท็จจริงอยู่สองระดับ คือในชั้น ไต่สวนมูลฟ้อง เป็นองค์คณะ ที่เรียกว่า Grand Jury ส่วนอีกระดับหนึ่งคือ ในชั้นพิจารณาโดยคณะลูกขุน คือ jury ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหาก Grand jury เห็นว่าไม่มีมูลก็จะยกฟ้อง แล้วยุติคดี ไม่ส่งไปพิจารณา ที่ศาลต่อไป ส่วนในกรณีที่เห็นว่ามีมูล การพิจารณาข้อเท็จจริงจะเป็นหน้าที่ของ petit Jury และเมื่อ คณะลูกขุนซึ่งคัดเลือกมาจากประชาชนได้มีมติว่ากระทำผิดจริงแล้วก็จะเป็นหน้าที่ศาลที่จะพิจารณา ปรับบทลงโทษ และกำหนดโทษต่อไป 214Through neighborhood policing, officers perform their law enforcement duties while also embedding themselves into their communities as part of a team that works together to improve the safety and quality of life for everyone see https://www1.nyc.gov/site/nypd/bureaus/patrol/patrol-landing.page retrived 28/10/2022
61 การได้มาของ Grand Jury จะคัดเลือกมาจากประชาชนที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็น jury จำนวน 12-16 คน โดยปกติจะขึ้นบัญชีไว้ไม่เกิน 120 วัน Grand jury ทำหน้าที่หาข้อเท็จจริงในคดีอาญา รวมถึงการประพฤติมิชอบหรือทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย การไต่สวนจะนำเสนอหลักฐานโดย พนักงานอัยการต่อ Grand jury เพื่อให้ Grand jury พิจารณาว่าจะส่งไปพิจารณาต่อหรือไม่ ส่วน State Grand Jury มีอำนาจเช่นเดียวกัน และศาลสูงสหรัฐอเมริกาจะเป็นผู้ออกกฎ ข้อบังคับในการพิจารณาของ Grand jury215 ส่วน petit jury คือคณะลูกขุนที่ชี้ขาดการกระทำจำเลยในกระบวนพิจารณาคดีของศาลใน คดีอาญา ประกอบด้วยองค์คณะ 6-12 คน เลือกมาจากบุคคลในอาชีพ แนวคิดในการมีลูกขุนมาพิจารณาคดี ถือเป็นหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของจำเลยที่จะได้รับ การพิจารณาจากคณะลูกขุนตามหลักประชาธิปไตย เพราะการอำนวยความยุติธรรมต้องมาจาก ประชาชน มิใช่จากเจ้าพนักงานของรัฐแต่ฝ่ายเดียว ดังนั้น ศาลสูงสหรัฐอเมริกาจึงให้หลักประกัน หากเป็นคดีร้ายแรงจำเลยมีสิทธิได้รับการพิจารณาจากคณะลูกขุน216 ซึ่งใช้กับคดีที่มีโทษจำคุกเกินกว่า หกเดือน ในเบื้องต้นจะเห็นได้ว่า แนวคิดในการที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทาง อาญา ถือว่าเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับในแต่ละประเทศ ตามที่คณะที่ปรึกษาได้ review มา เพียงแต่ การมีส่วนร่วมดังกล่าวจะมีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับบริบทและเหตุผลอันเป็นที่มาของหลักการมีส่วนร่วม ของประชาชน และพื้นฐานของแนวคิดว่าประชาชนควรเข้ามามีส่วนในกระบวนพิจารณาคดีอาญา ในระดับใด 215https://www.azcourts.gov/guidetoazcourts/The-Players-in-a-Trial-Courtroom retrived 31/07/2022 216The Supreme Court has ruled that if imprisonment is for six months or less, trial by jury is not required, meaning a state may choose whether or not to permit trial by jury in such cases.
62 บทที่ 3 สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงาน ในบทนี้ คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติ ใน 4 ภาค ได้แก่ ภาคใต้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนือ เพื่อ แสวงหาข้อมูลและข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ด้วยการสำรวจ สังเกตการณ์ สัมภาษณ์ หรือสืบทราบ ผ่านผู้มีประสบการณ์ด้วยวิธีการอื่นใด เพื่อทบทวนประสิทธิภาพและคุณภาพในภาคปฏิบัติจาก ประสบการณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดและเข้าไปมีส่วนร่วมในรูปแบบ ช่องทาง และวิธีการต่าง ๆ ที่มี และเคยมีในหน่วยงานทั้งหลายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย ว่ามีปัจจัยและองค์ประกอบ ใดบ้างที่เป็นตัวแปรความสำเร็จหรือล้มเหลวของกลไกการมีส่วนร่วม เหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดจุดแข็งและ จุดอ่อน และที่ผ่านมามักมีปัญหาหรืออุปสรรคที่มาจากสาเหตุและปัจจัยใดเป็นสำคัญ ทั้งนี้ คณะที่ปรึกษาได้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์และจากแบบสอบถามทางออนไลน์ผ่าน เว็บไซต์ของสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ข้อคำถามการสัมภาษณ์และแบบสอบถามมีคำถาม เดียวกัน ซึ่งคณะที่ปรึกษาได้ติดต่อขอเข้าสัมภาษณ์หน่วยงานบางแห่งเป็นการเฉพาะเจาะจง และได้เปิดกว้าง สำหรับหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมทุกแห่งในการตอบแบบสอบถามออนไลน์ โดยได้แจ้งทุกครั้งที่ สัมภาษณ์และได้ระบุในแบบสอบถามอย่างชัดเจนว่าข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถามและผู้ให้สัมภาษณ์นั้น จะใช้ในโครงการศึกษาวิจัยและที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ในการสัมภาษณ์และในแบบสอบถาม มีคำสำคัญจำนวน 3 คำที่ได้อธิบายแก่ผู้ให้สัมภาษณ์และ ผู้ตอบแบบสอบถามเพื่อให้รับทราบความหมายที่ตรงกัน ได้แก่ “การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม” หมายถึง กลไก/มาตรการ/โครงการ/ กิจกรรม/คณะกรรมการ/หรือรูปแบบอื่น ๆ ของสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม หรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่กำหนดให้มีผู้แทนจากภาคประชาชนร่วมดำเนินการ (เช่น ตรวจสำนวน ร่วมให้ ดุลพินิจ ดำเนินคดีผู้กระทำผิด ดูแลผู้ต้องหาและผู้เสียหาย ปรับปรุงจิตพิสัย คุมประพฤติ ฟื้นฟูนักโทษ ก่อนปล่อยตัว ป้องกันการกระทำผิด หรือให้คำแนะนำต่อกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ) เพื่อส่งเสริมให้ ประชาชนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของหน่วยงานทั้งระดับจังหวัดหรือในระดับท้องที่ “หน่วยงาน” หมายถึง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม หรือสำนักงานตำรวจ แห่งชาติในระดับจังหวัดหรือในระดับท้องที่ “ประชาชน” หมายถึง ประชาชนทั่วไปในพื้นที่ของหน่วยงาน พื้นที่ที่คณะที่ปรึกษาเก็บข้อมูล ประกอบด้วย สำนักงานอัยการภาคกับสำนักงานอัยการจังหวัด ศาลจังหวัด และสถานีตำรวจภูธร ระหว่างวันที่26 กันยายน ถึงวันที่ 12 ตุลาคม 2565 ในจังหวัดขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ของ 4 ภาค ดังนี้
63 -ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี -ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดร้อยเอ็ด และ จังหวัดอุดรธานี -ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี -ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย รายละเอียดของการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามเพื่อแสวงหาข้อมูลและ ข้อเท็จจริงด้านกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมของสำนักงาน อัยการภาคกับสำนักงานอัยการจังหวัด ศาลจังหวัด และสถานีตำรวจภูธร คณะที่ปรึกษาดำเนินการ สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานเป็น 4 ภาค และสรุปข้อมูลจากแบบสอบถามทาง ออนไลน์โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคใต้ 2. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคกลาง 4. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคเหนือ 5. สรุปข้อมูลจากแบบสอบถามทางออนไลน์ การสรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานในแต่ละภาคและการสรุปผลข้อมูลจาก แบบสอบถามออนไลน์ได้สรุปผลใน 5 ประเด็น ได้แก่ ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการเข้ามา มีส่วนร่วมของประชาชน จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม จำนวน 3 กลุ่ม (อัยการ ศาล และตำรวจ) ในพื้นที่ทั้ง 4 ภาค และได้รับข้อมูลจากแบบสอบถามออนไลน์โดยแบ่ง ออกเป็น 5 ประเด็น ซึ่งมีรายละเอียดการสรุปผลดังกล่าวดังต่อไปนี้
64 1. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคใต้ คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง จังหวัด นครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีหน่วยงาน 8 แห่ง ประกอบด้วย สำนักงาน อัยการภาค 2 แห่ง สำนักงานอัยการจังหวัด 2 แห่ง ศาลจังหวัด 1 แห่ง สถานีตำรวจภูธรจังหวัด 3 แห่ง ดังนี้ ตารางที่ 1 การลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคใต้ (ระหว่างวันที่26-29 กันยายน 2565) ที่ หน่วยงาน ชื่อ-สกุล / ตำแหน่ง วันที่ 26 กันยายน 2565 1. สำนักงานอัยการภาค 9 -นายสมยศ เสรีอภินันท์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 1 -นายโสภณ สมานเดชา อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ 2. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา -พ.ต.อ.ภูวรา แก้วพารัตน์ ผกก.สภ.เมืองสงขลา วันที่ 27 กันยายน 2565 3. สำนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช -นายนฤชา วชิระพงษ์ อัยการจังหวัด ประจำสำนักงานอัยการสูงสุด 4. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช -พ.ต.อ.อภิชาติ คชเวช ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.นครศรีธรรมราช วันที่ 28 กันยายน 2565 5. สำนักงานอัยการจังหวัดตรัง -นางสาวจุฑามาศ พฤติวิญญู รองอัยการจังหวัด -นายชัยพร แดงบรรจง รองอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือ ทางกฎหมายและบังคับคดีจังหวัดตรัง 6. ศาลจังหวัดตรัง -นายปภณ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดตรัง วันที่ 29 กันยายน 2565 7. สำนักงานอัยการภาค 8 -นายวินัย ทิพย์สุวรรณ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 1
65 ที่ หน่วยงาน ชื่อ-สกุล / ตำแหน่ง วันที่ 29 กันยายน 2565 8. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี -พ.ต.ท. ธวัชชัย พรหมเทพ รอง ผกก. (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน ภ.จว.สุราษฎร์ธานี -พ.ต.ต อะเดียว มะต่อม สารวัตรชุมชนมวลชนสัมพันธ์ (ตชส.) ภ.จว.สุราษฎร์ธานี 1.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในสำนักงานอัยการจังหวัด การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในสำนักงานอัยการเป็นการดำเนินการตามวิสัยทัศน์ขององค์กร อัยการที่กำหนดให้เป็น “องค์กรนำในการใช้กฎหมาย เพื่อรักษาความยุติธรรมให้กับประชาชนและ สังคม” และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 - 2564 ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมใน กระบวนการยุติธรรม ช่วยในการสะท้อนหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในท้องที่ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม หรือการดำเนินคดีให้หน่วยงานอัยการทราบ โดยสามารถทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างประชาชนในพื้นที่และองค์กรอัยการ เนื่องจากองค์กรอัยการ อาจจะมิได้ใกล้ชิดกับประชาชนเหมือนตำรวจ ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ 1) คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัดเป็นไปตาม แนวนโยบายของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยสำนักงานอัยการจังหวัดของจังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดตรัง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีการตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนา สำนักงานอัยการจังหวัด จังหวัดละ 1 ชุด ส่วนจังหวัดสงขลามีการตั้งกรรมการ 2 ชุด คือ คณะกรรมการ การมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัดสงขลา และคณะกรรมการการมีส่วนร่วม ภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัดนาทวี คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด ประกอบด้วย ผู้แทนประชาชนโดยทางสำนักงานอัยการจังหวัดจะเป็นผู้คัดเลือกตัวแทนประชาชนที่มีความเหมาะสม และมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ และบรรลุนิติภาวะแล้ว จำนวนไม่เกิน 5 คน เช่น อดีต นายกเทศมนตรี อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปีและจัดให้มีการ ประชุมเดือนละครั้ง/สองเดือนต่อครั้ง
66 อำนาจหน้าที่ของกรรมการชุดนี้เป็นไปตามคำสั่งของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยมีหน้าที่ในการ ให้คำปรึกษาแก่สำนักงานอัยการจังหวัดในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในจังหวัด เช่น ให้คำแนะนำหรือสะท้อนปัญหาทางสังคมเกี่ยวกับอาชญากรรมในพื้นที่ รับฟังความคิดเห็นหรือ คำแนะนำจากภาคประชาชน รับเรื่องร้องเรียนในเรื่องต่าง ๆ จากประชาชนในท้องที่ และเป็นสื่อกลาง ระหว่างประชาชนกับหน่วยงานอัยการในการสื่อสารหรือช่วยเหลือประชาชน เพื่อเข้าถึงกระบวนการ ยุติธรรม สนับสนุนการจัดกิจกรรม/โครงการจากภาคประชาชนที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่น ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากกรรมการชุดนี้เช่น -การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่ชาวบ้านไปกู้ยืมมา ซึ่งมีการสะท้อนปัญหามาให้ทางอัยการ ทราบผ่านกรรมการชุดนี้ ซึ่งสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนก็เข้าไปช่วย ไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ -การให้คำแนะนำเรื่องการจอดรถในการติดต่อราชการ เนื่องจากที่จอดรถของสำนักงานอัยการ มีอยู่ค่อนข้างจำกัด ทำให้ประชาชนที่มาติดต่อหน่วยงานไม่ได้รับความสะดวก นำไปสู่การจัดระบบการ จอดรถ การจัดรูปแบบสถานที่ใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เป็นต้น -การเสนอแนะจากตัวแทนประชาชน ในคดีพรากผู้เยาว์ซึ่งเป็นพ่อแม่วัยรุ่น และแยกทางกัน แต่มีลูกด้วยกันคนหนึ่ง จึงเสนอแนะว่าไม่ควรฟ้องคดีนี้ เพราะอาจจะกระทบต่อครอบครัวของเด็ก ซึ่งอัยการเห็นว่าสามารถใช้ดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องคดีได้ โดยอาศัยระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วย การสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน 2) การร้องขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับคดี การร้องขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับคดี เป็นการดำเนินการตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 65 กำหนดไว้ว่ากรณีผู้เสียหายหรือ ผู้ต้องหา หรือ “บุคคลอื่นใด” เพื่อประโยชน์ของผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือ กฎหมายอื่น หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ โดยกล่าวอ้าง ว่าผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ให้พนักงาน อัยการพิจารณารับคำร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าวไว้พิจารณา ซึ่งคำว่า “บุคคลอื่นใด” ตามระเบียบฯ ในข้อดังกล่าวมีความหมายกว้าง โดยอาจจะมิใช่ตัวผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา แต่อาจจะเป็นญาติของ ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหา ทนายความ หรือพลเมืองดี ก็ได้ เมื่ออัยการจังหวัดรับเรื่องแล้ว อาจจะสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องครบถ้วนมากยิ่งขึ้น และเพื่อ ประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรมในคดี โดยการปฏิบัติงานของอัยการจังหวัดจะพิจารณาให้ความ เป็นธรรม โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอันสำคัญแก่คดีที่จะนำไปสู่การพิสูจน์ความผิดหรือ ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาได้ ซึ่งประชาชนที่เข้าร่วมอาจจะมีหน้าที่ที่จะต้องไปให้การในฐานะพยาน
67 3) การร้องทุกข์เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ประชาชนสามารถเสนอเรื่อง ตั้งเรื่อง หรือแนะนำ หากพบว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ ของพนักงานอัยการหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ประสงค์ร้องทุกข์ โดยหลักจะมีการร้องเรียนไปยัง ผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องประโยชน์ทับซ้อน เช่น ร้องเรียนไปยังสำนักงาน อัยการภาค 9 ซึ่งกำกับดูแลอัยการจังหวัด 4) การเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานอัยการ ประชาชนสามารถยื่นคำร้องขอข้อมูลข่าวสารของสำนักงานอัยการ เช่น เอกสารเกี่ยวกับสำนวนคดี โดยให้เหตุผลที่ต้องขอข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์ในการพิจารณา เช่น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการ ฟ้องคดีส่วนแพ่ง หรือเพื่อประโยชน์ในการมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ต้องหาหรือผู้เสียหาย ส่วนใหญ่ผู้ยื่น คำร้องมักเป็นผู้ต้องหา หรือผู้มีส่วนได้เสียในคดี แต่บุคคลอื่น ๆ ก็สามารถยื่นคำร้องได้เช่นกัน หากมีเหตุ อันสมควร เมื่อสำนักงานอัยการได้รับคำร้องแล้วจะพิจารณาว่าทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการและผู้อื่นหรือไม่ ตามระเบียบ สำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2541 และพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของ ราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 หากไม่มีข้อขัดข้องในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายหรือก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ราชการ ก็จะอนุญาตให้มีการคัดถ่ายเอกสารได้ กรณีการร้องขอข้อมูลข่าวสาร มีตัวอย่างที่น่าสนใจกรณีหนึ่ง ผู้ขอข้อมูลไม่ได้มีส่วนได้เสียแต่ได้ ร้องขอข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น มูลนิธิสายเด็ก 1387 ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ได้รับ การรับรองตามกฎหมายประสงค์จะขอทราบผลการพิจารณาคดี โดยขอทราบความคืบหน้าผลการ ดำเนินคดีพร้อมรายละเอียดข้อกล่าวหาเพื่อวางแผนหาแนวทางการช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพของ เด็กก็สามารถดำเนินการได้ 5) การให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการจังหวัดได้ดำเนินการร่วมกับสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทาง กฎหมาย โดยประชาชนทั่วไปในพื้นที่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในภารกิจของสำนักงานอัยการได้ โดยทางอัยการจะเชิญตัวแทนภาคประชาชนมาเป็นวิทยากร บรรยายให้ความรู้กฎหมายเฉพาะด้าน เช่น หลักกฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดก เป็นต้น 6) การจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กหรือเยาวชนที่กระทำผิด พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 86 และ 87 กำหนดว่า ในคดีที่เด็กหรือเยาวชนต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษ อย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี ไม่ว่าจะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ถ้าปรากฏว่า เด็กหรือเยาวชนไม่เคยได้รับโทษจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือ ความผิดลหุโทษ หากเด็กหรือเยาวชนสำนึกในการกระทำก่อนฟ้องคดีและผู้อำนวยการสถานพินิจและ
68 คุ้มครองเด็กและเยาวชนพิจารณาเห็นว่าเด็กหรือเยาวชนนั้นอาจกลับตนเป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้อง ก็ให้จัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูให้เด็กหรือเยาวชนปฏิบัติได้ ในการจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู ให้ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เชิญฝ่ายเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด ฝ่ายผู้เสียหาย และนักจิตวิทยาหรือนักสังคม สงเคราะห์เข้าร่วมประชุม และหากเห็นสมควรอาจเชิญ “ผู้แทนชุมชน” หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง หรือได้รับผลกระทบจากการกระทำความผิด หรือพนักงานอัยการด้วยก็ได้ ทั้งนี้ จะต้องจัดทำแผนแก้ไข บำบัดฟื้นฟูให้แล้วเสร็จและเสนอให้พนักงานอัยการพิจารณาภายใน 30 วันนับแต่วันที่เด็กหรือเยาวชน สำนึกในการกระทำ ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม -เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายหรือระเบียบที่ชัดเจนในการจัดตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วม ภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด เพราะเป็นเพียงนโยบายจึงทำให้ขาดความชัดเจน ในเรื่องวัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ ทั้งนี้ ความตื่นตัวในการดำเนินงานของ คณะกรรมการฯ ในสำนักงานอัยการจังหวัดแต่ละจังหวัดอาจจะขึ้นอยู่กับความชัดเจนในเชิงนโยบาย ของอัยการจังหวัด ซึ่งมักจะต้องโยกย้ายอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ขาดความต่อเนื่องของนโยบาย -การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมอาจจะมีอยู่อย่างจำกัด เนื่องจากเป็นงาน อาสาสมัคร ชาวบ้านหรือประชาชนอาจจะไม่ได้สนใจเพราะต้องให้ความสำคัญกับการทำงานหาเลี้ยงชีพ ของตนเองเป็นอันดับแรก อีกทั้งยังเป็นงานที่ต้องอาศัยการมีจิตสาธารณะ ซึ่งเป็นปัญหาว่าจะทำอย่างไร ให้คนมีจิตสาธารณะเพิ่มมากขึ้น -ประชาชนไม่ทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา สำนักงานอัยการจังหวัด เนื่องจากไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์ ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม การตื่นตัวในการเข้ามามีส่วนร่วม ในมุมมองของอัยการแต่ละจังหวัดมีความแตกต่างกัน ในจังหวัดสงขลาการมีส่วนร่วมของประชาชนค่อนข้างน้อย อาจจะมีอยู่อย่างจำกัด เช่น การร้องขอความ เป็นธรรมของผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาหรือ NGOs ที่เข้ามาช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดีจังหวัด นครศรีธรรมราชโดยรวมค่อนข้างตื่นตัว เนื่องจากมีประชาชนเรียนกฎหมายเป็นจำนวนมากทำให้รู้ถึง สิทธิหน้าที่ของตนเอง และประสงค์จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม เช่น การส่งหรือแจ้ง ข้อร้องเรียนต่าง ๆ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของคนจังหวัดนี้ ส่วนจังหวัดตรังประชาชนตื่นตัวในระดับปานกลาง เพราะประชาชนบางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภารกิจงานในหน้าที่ของสำนักงานอัยการ หรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิทธิตามกฎหมายในการมีส่วนร่วม หรือเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของ หน่วยงาน และจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีประชาชนในพื้นที่ตื่นตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน มีการสอดส่องและ ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่มากขึ้น ผ่านโซเชียลมีเดีย หรือทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม
69 ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ในการมีส่วนร่วมของประชาชนกับสำนักงานอัยการ อาจจะสร้างปัญหาในเรื่องความลับในการ สอบสวน ประชาชนผู้มีส่วนร่วมที่มาแจ้งข้อมูลหรือเป็นพยานอาจจะนำข้อมูลทางคดีไปเปิดเผย ทำให้ เกิดความเสียหายแก่รูปคดีหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีได้นอกจากนี้ ยังเคยมีกรณีที่ประชาชนที่เข้ามามี ส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมที่เข้ามาช่วยเหลือประชาชนหรือชาวบ้านในเรื่องเกี่ยวกับการจัดการ มรดกมีการเรียกรับทรัพย์สินฉวยโอกาสเข้ามาหาประโยชน์จากการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ผู้ให้สัมภาษณ์มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรมีการออกกฎหมายหรือระเบียบที่ชัดเจน กำหนด คุณสมบัติของบุคคลหรือประชาชนที่เข้ามาเป็นกรรมการในคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด รวมถึงกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ให้ชัดเจน และ ควรมีการกำหนดค่าตอบแทนหรือค่าพาหนะให้แก่ผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นกรรมการในคณะกรรมการการมี ส่วนร่วมภาคประชาชนในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด 1.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในศาลจังหวัด ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ 1) ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว การตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว เป็นแนวนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำสำหรับ ผู้ด้อยโอกาส และเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนให้สามารถได้รับการปล่อยชั่วคราว โดยผู้กำกับดูแล ช่วยกำกับ สอดส่อง ให้คำปรึกษาแทนการเรียกหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงกระบวนการ ยุติธรรมมากขึ้น ประชาชนสามารถเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลผู้ที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ที่เข้ามา ทำหน้าที่ดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตาม จับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560 ศาลอาจแต่งตั้งผู้นำท้องถิ่น คณะกรรมการชุมชน อาสาสมัครคุมประพฤติ ในการกำกับดูแลและให้คำปรึกษาในการปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณา เพื่อให้ สามารถปล่อยชั่วคราวโดยไม่ต้องใช้หลักประกันหรือลดหลักประกัน และจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้กำกับดูแลฯ ตามระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมฯ โดยบุคคลดังกล่าวต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้กำกับดูแลฯ ของศาล มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามกฎหมายและประกาศในระบบ CIOS (ระบบบริการข้อมูลคดีศาล ยุติธรรม - Case Information Online Service) ในเว็บไซต์ https://cios.coj.go.th ทุกศาลในประเทศ สามารถนำไปใช้ได้ ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวมีหน้าที่ในการสอดส่อง ดูแล กำชับ ตักเตือนให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังทำหน้าที่สอดส่องไม่ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยไปคุกคาม ผู้เสียหาย หากพบพฤติกรรมอันควรสงสัยว่าเป็นการผิดเงื่อนไขต้องรายงานศาลทราบโดยเร็ว
70 ผลสำเร็จที่ได้รับจากการดำเนินการในเรื่องนี้คือสังคมได้รับความปลอดภัยมากขึ้น ลดความจำเป็น ในการเรียกหลักประกัน ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ยากจนมีโอกาสที่จะได้รับการปล่อยชั่วคราวเช่นเดียวกับ ผู้ต้องหาหรือจำเลยอื่น เป็นการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม 2) ผู้ควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรณีที่พิพากษาให้รอการลงโทษจำเลย ศาลอาจแต่งตั้งบุคคลในครอบครัวของจำเลยหรือบุคคลที่ศาลเห็นสมควรซึ่งยอมรับดูแลจำเลย นอกจากพนักงานคุมประพฤติหรือเจ้าพนักงานศาล เป็นผู้ควบคุม ดูแล ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ หรือ ตักเตือน รวมถึงติดตามการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด โดยระบุถึงระยะเวลาและวิธีการ รายงานผล การปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวให้ศาลทราบ เป็นไปตามคำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับวิธีการ รอการกำหนดโทษ การรอการลงโทษ และการกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติ พ.ศ. 2559 3) นายประกันอาชีพ เป็นบุคคลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากศาลเพื่อแสดงความจำนงยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาหรือจำเลย ด้วยการวางหลักทรัพย์ของตนเองเป็นประกัน โดยคิดค่าตอบแทนจากการนั้น ซึ่งนายประกันอาชีพจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามระเบียบของศาลจังหวัดว่าด้วยการ ขอปล่อยชั่วคราว 4) ทนายความอาสา เป็นทนายความที่ขึ้นทะเบียนกับศาลยุติธรรมอยู่ประจำตามศาลเพื่อให้คำแนะนำด้านกฎหมาย และช่วยเหลือประชาชนเกี่ยวกับคดีความ 5) ล่ามอาสาสมัคร เป็นประชาชนที่มีความรู้ในภาษาต่างประเทศหรือภาษามือที่ขึ้นทะเบียนไว้กับศาลยุติธรรม ทำหน้าที่เป็นล่ามในการพิจารณาคดี เมื่อมีการร้องขอหรือศาลเห็นเอง 6) การมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของคู่ความ เป็นการดำเนินการในลักษณะของการยื่นคำร้องต่อศาลจากตัวญาติของผู้ต้องหาหรือจำเลย หรือ คู่ความเพื่อร้องขอต่อศาลในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินคดี เช่น ยื่นคำแถลงต่อศาลว่าได้มีการเยียวยา ความเสียหายแก่ผู้เสียหายไปแล้ว เพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจของศาลตามมาตรา 44/1 ประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา 7) การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการของศาล และการร้องเรียนการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนที่มาใช้บริการที่ศาลสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการของศาลผ่านทาง QR Code ที่ให้ไว้ขณะรับบริการจากศาล และสามารถร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อหน่วยงานส่วนกลางของสำนักงานศาลยุติธรรมได้ 8) การเข้าฟังการพิจารณาคดี ประชาชนสามารถเข้ามาฟังการพิจารณาคดีได้ เว้นแต่คดีที่ต้องพิจารณาโดยลับ
71 9) รูปแบบอื่น ๆ ประชาชนที่เข้าร่วมในโครงการหรือกิจกรรมการให้ความรู้ทางกฎหมายที่ศาลเป็นผู้ดำเนินการ (บรรยายโดยหัวหน้าศาลหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เช่น นิติกรศาล) ซึ่งมีการจัดที่โรงเรียนหรือเรือนจำ การให้ความรู้ด้านกฎหมายทางวิทยุการอบรมให้ความรู้กับผู้ประนีประนอมประจำศาล ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนใหญ่เป็นปัญหาของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว เพราะต้องเป็นผู้สมัครใจ มีความพร้อม และเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวยังมีจำนวนน้อย ปัญหาความแตกแยก ในสังคมที่เกิดจากการเลือกตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทำให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยที่เป็นฝ่ายแพ้การเลือกตั้ง ไม่ยอมให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ชนะการเลือกตั้งเป็นผู้กำกับดูแลฯ แต่ศาลแก้ปัญหาโดยตั้งบุคคลอื่นเป็น ผู้กำกับดูแลฯ แทน รวมทั้งมีคดียาเสพติดจำนวนมากเกินศักยภาพของผู้กำกับดูแลฯ จะรับไปดำเนินการ ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ประชาชนให้การยอมรับและรู้สึกได้ถึงประโยชน์ของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และมีการ นำเสนออาชีพอื่น ๆ มาเพิ่มเติมเพื่อเป็นผู้กำกับดูแลฯ มากขึ้น ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ไม่มี เพราะศาลจะไม่ตั้งบุคคลที่มีส่วนได้เสียเข้ามาเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และมี การประเมินการปฏิบัติงานจากผู้พิพากษาเมื่อเบิกเงินค่าตอบแทน จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ -ควรเพิ่มกลุ่มบุคคลที่หลากหลาย มาเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวจากทุกภาคส่วน เช่น สหภาพแรงงานหรือองค์กรด้านที่มีความน่าเชื่อถือ -ในกระบวนการที่ไม่เกี่ยวข้องกับดุลพินิจในการพิจารณาพิพากษาคดี ควรเปิดโอกาสให้ภาค ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาบริการให้ดีขึ้น เป็นต้นว่าในส่วนที่เกี่ยวกับการดูแลผู้ต้องหาหรือ ผู้เสียหาย การปรับปรุงจิตพิสัย การคุมประพฤติ การฟื้นฟู และการป้องกันการกระทำความผิด 1.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในตำรวจภูธร ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน1 /องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ 1) คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร) คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ กต.ตร. ระดับชาติ กต.ตร.ระดับจังหวัด และ กต.ตร. ระดับสถานีตำรวจ การแต่งตั้ง กต.ตร. ทุกระดับเป็นเรื่อง เชิงนโยบายและเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ตามมาตรา 7 และ มาตรา 15 1 รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ในกิจการตำรวจ สามารถดูเพิ่มเติมได้ในระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วย การส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น และองค์กรมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ. 2551
72 “มาตรา 7 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดระบบการบริหาร การปฏิบัติงานด้านการป้องกันและ ปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอดภัยของ ประชาชนให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่นและชุมชน โดยต้องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคเอกชน และชุมชนมีส่วนร่วม ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย งบประมาณ และอาสาสมัคร ตลอดจน การติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงานตำรวจ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ต.ช. (คณะกรรมการนโยบาย ตำรวจแห่งชาติ) กำหนด ในกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่สถานีตำรวจใด ให้ใช้เพื่อประโยชน์ ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจและกิจการในสถานีตำรวจนั้น โดยไม่ต้องนำส่งคลัง เป็นรายได้ แผ่นดิน การมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคเอกชน หรือชุมชนตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือองค์กร ภาคเอกชน หรือชุมชนนั้น มาตรา 15 ให้ ก.ต.ช. มีหน้าที่และอำนาจกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การบริหาร ราชการ ตำรวจ และกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบาย มติคณะรัฐมนตรี และระเบียบแบบแผน รวมทั้งให้มีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย (4) ตรวจสอบการปฏิบัติตามนโยบายการบริหารราชการตำรวจให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ และกฎหมายอื่น ในการนี้ ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจของ กรุงเทพมหานคร จังหวัด และสถานีตำรวจต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงาน ของข้าราชการตำรวจ ในเขตพื้นที่ดังกล่าว แล้วรายงาน ก.ต.ช. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามควรแก่กรณี ต่อไป องค์ประกอบ การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา และอำนาจ หน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.ต.ช. กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา” -ระเบียบ ก.ต.ช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชน มีส่วนร่วมในกิจการ ตำรวจ พ.ศ. 2549 -ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน ท้องถิ่นและองค์กรมี ส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ. 25512 2 ระเบียบ ก.ต.ช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ. 2549 และ ระเบียบสำนักงาน ตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน ท้องถิ่นและองค์กรมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ. 2551 นี้ออกโดยอาศัยอำนาจ ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการตราพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ขึ้น โดยมีผล บังคับใช้ในวันที่ 17 ตุลาคม 2565 ซึ่งมาตรา 179 ได้กำหนดว่าในระหว่างที่ยังมิได้ตราพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง กฎ ก.ตร. ข้อบังคับ ระเบียบ หรือมติ ก.ตร. เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง กฎ ก.ตร. ข้อบังคับ ระเบียบ หรือมติ ก.ตร. ซึ่งใช้อยู่เดิมมาใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ดังนั้น ระเบียบทั้งสองระเบียบดังกล่าวจึงยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ จนกว่าจะได้มีการออกระเบียบใหม่ในเรื่องเดียวกัน เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565
73 สำหรับ กต.ตร. ระดับจังหวัดในภาคใต้มีกรรมการผู้แทนภาคประชาชน คัดเลือกจากที่ผู้ที่เคย เป็น กต.ตร. ระดับสถานีตำรวจภูธร (กต.ตร.สภ.) แล้ว โดย กต.ตร. จังหวัด มีการประชุม 3 เดือน/ครั้ง มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ช่วยติดตาม ตรวจสอบ และให้คำแนะนำ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการตำรวจของสถานีตำรวจภูธรต่าง ๆ ในพื้นที่ความรับผิดชอบ ช่วยกำกับดูแล กต.ตร.สภ. อีกทีหนึ่ง สำหรับคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจระดับสถานีตำรวจภูธร (กต.ตร.สภ.) มีตัวแทนจากภาคประชาชนไม่เกิน 3 คน เป็นผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน (จังหวัดสงขลา มีประจำ สภ. จำนวน 31 แห่ง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีประจำ สภ. จำนวน 32 แห่ง จังหวัดตรังมีประจำ สภ. จำนวน 16 แห่ง และจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีประจำ สภ. จำนวน 28 แห่ง) โดย กต.ตร.สภ. มีการประชุม 2 เดือน/ครั้ง อำนาจหน้าที่ของ กต.ตร.สภ. จะมีหน้าที่หรือภารกิจในการส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้ามา มีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม3 ทั้งนี้ กรรมการที่มาจากภาคประชาชนมีบทบาท สำคัญในการช่วยสะท้อนปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนหรือในพื้นที่ให้ตำรวจท้องที่ทราบ โดยอาจจะเป็น ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาญาหรือไม่เกี่ยวข้องก็ได้ เช่น ปัญหาในเรื่องการจราจรหรือการ เกิดอุบัติเหตุ และร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐในหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ร่วมกัน ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการจัดตั้ง กต.ตร.คือการช่วยสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น ทำให้การ แก้ไขปัญหาในท้องถิ่นทำได้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากสามารถเห็นปัญหาได้อย่างรวดเร็วและชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น ปัญหาในเรื่องยาเสพติดที่เกิดขึ้นในชุมชน การแก้ไขปัญหาในการลักขโมยผลผลิตทางการเกษตรของ ชาวบ้านในพื้นที่ เป็นต้น 2) อาสาสมัครตำรวจ อาสาสมัครตำรวจทำหน้าที่ในการลาดตระเวน ออกตรวจพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือรักษา ความปลอดภัยในงานเทศกาลต่างๆ หรือเป็นสายลับในการสืบคดีโดยมีที่มาจากบุคคลหลากหลายอาชีพ เช่น พ่อค้า ชาวสวน ฯลฯ เป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองหรือรักษาความสงบเรียบร้อยของท้องที่ในภาพรวม 3 ระเบียบ ก.ต.ช. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ. 2549 ข้อ 6 ท้องถิ่นและชุมชนสามารถมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (1) ด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม (2) ด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยของประชาชน (3) ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (4) ด้านการจราจร (5) ด้านการดูแลสาธารณสมบัติ (6) ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น
74 3) ทนายความอาสาประจำสถานีตำรวจ ทนายความอาสาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและด้านคดีความแก่ประชาชน แต่ไม่ได้มี การจัดให้มีทนายความอาสาประจำอยู่ทุกสถานีตำรวจ จะมีเฉพาะสถานีตำรวจขนาดใหญ่ที่มีคดีจำนวน มากเท่านั้นโดยทนายความอาสาจะต้องมีใบอนุญาตประกอบอาชีพทนายความ ไม่ใช่ประชาชนทั่วไป 4) ผู้ไกล่เกลี่ย ผู้ไกล่เกลี่ยทำหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยคดีอาญาที่ไม่ร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ย ข้อพิพาท พ.ศ. 2562 ซึ่งในการไกล่เกลี่ยนี้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยได้ นอกจากนี้ ยังมีการให้ผู้นำชุมชน เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยด้วย แต่ต้อง ผ่านการอบรมและขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยกับกระทรวงยุติธรรม โดยผู้ไกล่เกลี่ยไม่ได้อยู่ประจำตาม สถานีตำรวจเหมือนทนายความอาสา การมีผู้ไกล่เกลี่ยจะเป็นประโยชน์ในการอำนวยความยุติธรรม โดยหากคู่กรณีตกลงกันได้ก็ไม่จำเป็นต้องนำคดีเข้าสู่กระบวนพิจารณา และผู้เสียหายย่อมได้รับการ เยียวยาความเสียหายจากผู้กระทำความผิด 5) ล่ามอาสาสมัคร ล่ามอาสาสมัครทำหน้าที่ในการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแปลภาษา แปลคำให้การของ ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย พยานที่เป็นคนต่างชาติ หรือผู้พิการทางการได้ยินเป็นล่ามภาษามือ 6) ประชาชนที่แจ้งข้อมูลหรือเบาะแสอาชญากรรม/ร้องเรียนขอความเป็นธรรม ประชาชนทั่วไปหรือพลเมืองดีจะช่วยแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือ อาชญากรรมให้ตำรวจท้องที่ทราบ เมื่อพบเห็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติหรือเหตุต้องสงสัยว่าจะมีการกระทำ ความผิดเกิดขึ้น โดยรูปแบบการแจ้งเหตุนี้ในปัจจุบันมีหลายช่องทาง ทั้งมาแจ้งด้วยตนเองที่สถานีตำรวจ ทางโทรศัพท์ หรือแจ้งผ่าน FacebookLine Official ของสภ. ตู้ Police4.0 ที่ตั้งอยู่ในชุมชน การที่ประชาชน ในท้องที่ได้ช่วยเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่องและแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมในพื้นที่ให้ทางตำรวจ ท้องที่รับทราบ โดยอาจจะสะท้อนปัญหาผ่าน กต.ตร. ที่เป็นตัวแทนจากภาคประชาชน หรือแจ้งข้อมูล โดยตรงแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำให้การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีไม่เพียงพอและอาจดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ได้ไม่ทั่วถึง สำหรับการรับเรื่องร้องเรียน ประชาชนทั่วไปที่ได้รับความเดือนร้อนหรือได้รับความไม่เป็นธรรม จากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถร้องเรียนหรือร้องขอความเป็นธรรมเพื่อต้องการให้ มีการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้โดยอาจจะให้ข้อมูลต่อผู้บังคับบัญชาของหน่วยงาน หรือ ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม เป็นการเปิดช่องทางให้ประชาชนร้องเรียน หรือร้องขอความเป็น ธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ผู้บังคับบัญชาสามารถนำไปวิเคราะห์หาสาเหตุ และพิจารณาหาแนวทางแก้ไข เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประชาชนให้มากยิ่งขึ้น และยังช่วยให้เกิด ความโปร่งใสในการดำเนินคดีและสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้คนทั่วไปในการดำเนินคดีอีกด้วย
75 7) รูปแบบอื่น ๆ การให้ญาติหรือบุคคลสำคัญในพื้นที่ที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือ เช่น ผู้นำทางศาสนา เข้าร่วมในการสอบปากคำผู้ต้องหาและพยาน รวมทั้งเข้าร่วมในการนำชี้ที่เกิดเหตุในคดีที่สำคัญ เช่น คดี เกี่ยวกับการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้ประชาชนผ่อนคลายความตึงเครียด ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคง ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม -ประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมไม่ประสงค์จะเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีความ เช่น การเข้ามาเป็น พยานในชั้นศาล จึงอาจจะให้ความร่วมมือในเรื่องการแจ้งข้อมูล หรือให้เบาะแสในคดีแต่เพียงอย่างเดียว -การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ยังต้องอาศัยเรื่อง การมีจิตสาธารณะของประชาชน เพราะส่วนใหญ่การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนมักจะเป็นเรื่องที่ กระทำการโดยไม่ได้มีค่าตอบแทน ดังนั้น จึงต้องอาศัยการสร้างจิตสำนึกในการมีส่วนร่วม ซึ่งยังอาจจะ ต้องอาศัยเวลา -ทนายความอาสาไม่ได้มีประจำครบทุกสถานีตำรวจ โดยจะมีประจำที่สถานีตำรวจขนาดใหญ่ที่มี คดีจำนวนมากเท่านั้น ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมในแจ้งข้อมูลหรือให้เบาะแสอาชญากรรมจากประชาชนในพื้นที่ค่อนข้างดี เนื่องจากต้องการให้ชุมชนหรือท้องที่เกิดความสงบสุข ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน อาจจะสร้างปัญหาในเรื่องความลับในการสอบสวน ประชาชนผู้มีส่วนร่วมที่มาแจ้งข้อมูลหรือ พยาน อาจจะนำข้อมูลทางคดีไปเปิดเผย ทำให้เกิดความเสียหายแก่รูปคดีหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีได้ จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ เนื่องจากตำรวจมีภารกิจหลักในการบังคับใช้กฎหมายอาญา เป็นกระบวนการในชั้นก่อนฟ้องคดี ซึ่งจำเป็นต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมายที่มีอยู่อย่างเคร่งครัด การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนจึงอาจ ต้องแยกพิจารณา ดังนี้ -หากเป็นกรณีที่กฎหมายเปิดช่อง เช่น ความผิดเล็กน้อย หรือเข้าเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติการ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 พนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการให้ผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นประชาชนทั่วไป สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในคดีได้ ซึ่งเป็นมาตรการทางเลือกที่สำคัญที่ช่วยลดปริมาณคดีที่จะเข้ามาสู่ พนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม การนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ ควรมีการบันทึกเป็นฐานข้อมูลหรือสถิติ เอาไว้ว่าการดำเนินการไกล่เกลี่ยในชั้นพนักงานสอบสวนมีจำนวนกี่เรื่องต่อเดือน ต่อปี เป็นผลสำเร็จ หรือไม่สำเร็จเพียงใด เพราะเหตุใด
76 -หากเป็นกรณีความผิดอาญาแผ่นดิน การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนอาจจะมีจำกัดโดยเข้า มามีส่วนร่วมผ่านสิทธิของคู่กรณี เช่น การเป็นพยานหรือให้ความเห็น หรือบุคคลที่ผู้ต้องหาไว้วางใจ ตามที่กฎหมายกำหนด และเนื่องจากการดำเนินคดีอาญาของรัฐเจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระทำการแทนรัฐใน การรักษาความสงบเรียบร้อย จึงต้องดำเนินการให้รอบคอบ ป้องกันมิให้บุคคลภายนอกคดีเข้ามากระทำ การอันเป็นเหตุให้รูปคดีเสียหายได้ -ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม จำเป็นที่จะต้องมีการให้ ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้ามามีส่วนร่วม -การจะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมในชั้นตำรวจ อาจจะต้องทำให้ ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานตำรวจ เพื่อคุ้มครองหรือรักษาความสงบ เรียบร้อยของท้องที่ -ในส่วนของการมีทนายความอาสามานั่งเป็นเวรประจำสถานีตำรวจแต่ละแห่งนั้น ถือเป็นเรื่องดี ที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถมาปรึกษาอรรถคดีได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยควรเปิดให้ทนายความอาสา มานั่งเวรทนายความอาสามาประจำสถานีตำรวจให้ครอบคลุมทุกแห่งให้มากที่สุด 2. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัด กาฬสินธุ์ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีหน่วยงาน 10 แห่ง ประกอบด้วย สำนักงานอัยการภาค 1 แห่ง สำนักงานอัยการจังหวัด 3 แห่ง ศาลจังหวัด 2 แห่ง สถานีตำรวจภูธรจังหวัด 4 แห่ง ดังนี้ ตารางที่ 2 การลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ระหว่างวันที่26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2565) ที่ หน่วยงาน ชื่อ-สกุล / ตำแหน่ง วันที่ 26 กันยายน 2565 1. สำนักงานอัยการภาค 3 -นายสุวิทย์ เภาภู่ นิติกรชำนาญการพิเศษ สำนักงานอัยการ คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย และการบังคับคดีจังหวัดนครราชสีมา 2. สถานีตำรวจภูธรโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา -พ.ต.อ. อิษฏ์ บุญญะฤทธิ์ ผกก.สภ.โนนไทย -พ.ต.ท. ธวัช บุญเคหา รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.โนนไทย
77 ที่ หน่วยงาน ชื่อ-สกุล / ตำแหน่ง วันที่ 3 ตุลาคม 2565 3. สำนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี -นายวุฒิชัย วุฒิศาสตร์กุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด 4. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี -พล.ต.ต. พิษณุ อุณหเสรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี วันที่ 4 ตุลาคม 2565 5. สำนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ -นายราชันย์ เติมผล อัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ 6. ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ -นางสาวโกมลลดา ไกรสิงห์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ 7. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ -พ.ต.อ.สุธน สีหามาตย์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน วันที่ 5 ตุลาคม 2565 8. สำนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ด -พ.ต.ท.อธิวัฒน์ พรรณนาสุระ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด วันที่ 5 ตุลาคม 2565 9. สำนักงานศาลจังหวัดร้อยเอ็ด -นายรุ่งโรจน์ ดีพร้อม ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดร้อยเอ็ด 10. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด -พ.ต.อ.วันชัย วินทะสมบัติ รอง ผบก.ภจว.ร้อยเอ็ด 2.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในสำนักงานอัยการจังหวัด จากการสัมภาษณ์ผู้แทนจากองค์กรอัยการของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้ง 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดอุดรธานี ได้ให้ข้อมูล สำคัญเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมว่ามีความเกี่ยวข้องกับสำนักงานอัยการ คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี มากกว่าสำนักงานอัยการจังหวัด ซึ่ง สคช. มีอยู่ในทุกจังหวัดเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและ ผลประโยชน์ของประชาชน ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย รวมถึงการเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน และความรู้ทางกฎหมายให้แก่ประชาชน ดังนั้น ประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาชนจึงเป็นการมุ่งให้ ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจ และการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม โดยที่ สคช. เป็นเสมือนด่านหน้าในการรับเรื่องร้องเรียน และการให้ความรู้แก่ประชาชน การเป็นผู้ไกล่เกลี่ย
78 เพื่อช่วยเหลือประชาชนในกรณีที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้น รวมถึงการตั้งทนายความอาสาให้กับประชาชนที่ ยากจนเมื่อเกิดคดี และประชาชนสามารถมีส่วนร่วมกับ สคช. ได้ ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ 1) คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ในการสัมภาษณ์ผู้แทนจากองค์กรอัยการของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้ง 4 จังหวัด ข้อมูลที่ได้ พบว่าที่จังหวัดนครราชสีมาไม่มีคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน แต่สำนักงานอัยการในเขต สำนักงานอัยการภาค 4 ทั้งที่ได้ไปสัมภาษณ์ คือจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดอุดรธานี รวมไปถึง สำนักงานอัยการจังหวัดอื่น ๆ ที่ไม่ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูล เช่น สำนักงานอัยการจังหวัดเลย สำนักงาน อัยการจังหวัดชุมแพ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนประกอบด้วย ประชาชนทั่วไปที่มาจากหลากหลาย สาขาอาชีพ เช่น ธุรกิจส่วนตัว ค้าขาย รับเหมาก่อสร้าง ในบางพื้นที่ เช่น สำนักงานอัยการจังหวัดเลยได้ แต่งตั้งข้าราชการและข้าราชการบำนาญที่มีความรู้ในกระบวนการยุติธรรม เช่น อดีตผู้กำกับการสถานี ตำรวจ ร่วมเป็นคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนด้วย ทั้งนี้ ไม่มีการกำหนดคุณสมบัติ วาระ การดำรงตำแหน่ง และจำนวนคณะกรรมการแต่อย่างใด บางจังหวัดมีกรรมการ 5-7 คน และมีที่ปรึกษา คณะกรรมการ 5 คน โดยหน้าที่ของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนของสำนักงานอัยการ คือ -การประชุมร่วมกับสำนักงานอัยการจังหวัดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง -การเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา -การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้กับสำนักงานอัยการจังหวัดตามโอกาสอันสมควร เช่น การสนับสนุนอาหารและของว่างในกิจกรรมการบรรยายความรู้ทางกฎหมายให้กับประชาชน การสนับสนุน ครุภัณฑ์ต่าง ๆ แต่คณะกรรมการฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระบวนการพิจารณาสำนวนแต่อย่างใด การเข้ามา มีส่วนร่วมของคณะกรรมการภาคประชาชนนั้นเป็นไปด้วยความสมัครใจ และความยินดีที่จะช่วยเหลือ โดยไม่มีค่าตอบแทน และเป็นกระบอกเสียงให้กับสำนักงานอัยการจังหวัด ในกรณีของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนของสำนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ด อาจจะถือได้ว่าเป็นคณะกรรมการฯ ที่มีความโดดเด่นและประสบความสำเร็จในการดำเนินงาน โดยเริ่ม จากแนวคิดที่ต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมรู้จักและเข้าใจกระบวนการทำงานของสำนักงาน อัยการจังหวัด จึงได้มีการคัดเลือกบุคคลจากประชาชนทั่วไปที่มีอาชีพ ประวัติที่เหมาะสม และทาบทาม เป็นคณะกรรมการฯ โดยตรง ไม่ได้เปิดรับสมัครแต่อย่างใด ซึ่งคณะกรรมการฯ ชุดแรก มีกรรมการ จำนวน 5 คน และที่ปรึกษาคณะกรรมการฯ อีก 3 คนจากหลายอาชีพ เช่น ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว สื่อสารมวลชน เป็นต้น เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการฯ ชุดต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนตัวบุคคลเพื่อให้ คณะกรรมการฯ มีความเหมาะสม แต่ยังคงจำนวนคณะกรรมการฯ ไว้ที่ 5 คน โดยหน้าที่ของคณะกรรมการฯ นั้นมีความเหมือนกับคณะกรรมการฯ ของสำนักงานอัยการจังหวัดอื่น ๆ คือการมีส่วนร่วมในกิจกรรม
79 วันสำคัญต่าง ๆ และการสนับสนุนสำนักงานอัยการจังหวัด และมีการประชุมร่วมกับสำนักงานอัยการ จังหวัดร้อยเอ็ดมากกว่าปีละ 2 ครั้ง รวมถึงมีการติดต่อพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการบ่อยครั้ง อนึ่ง สำนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ดเคยมีแนวคิดให้กรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน มีบทบาทในกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น โดยทดลองให้กรรมการในคณะกรรมการฯ บางท่านปฏิบัติ หน้าที่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทใน สคช. ซึ่งแม้ว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยดี แต่จากการสังเกตอากัปกิริยา ของคู่กรณีแม้จะไม่ได้แสดงความคิดเห็นออกมาอย่างชัดเจน คู่กรณีอาจจะเกิดความไม่สบายใจในการ เข้าร่วมไกล่เกลี่ยของกรรมการ เนื่องจากกรรมการบางท่านอาจจะมีความรู้จักกับคู่กรณีฝ่ายตรงข้าม ซึ่งอาจจะทำให้การไกล่เกลี่ยเกิดความไม่โปร่งใสขึ้นได้ สำนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ดจึงได้ยุติบทบาท ของกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไป จากการมีบทบาทที่โดดเด่นของคณะกรรมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนของสำนักงานอัยการ จังหวัดร้อยเอ็ด สำนักงานอัยการจังหวัดจึงได้จัดทำเสื้อและมอบเกียรติบัตรแสดงว่าเป็นกรรมการ ในคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน เพื่อเป็นเป็นเกียรติและถือว่าเป็นการตอบแทนในรูปแบบที่ ไม่ใช่ตัวเงิน 2) ทนายความอาสา ทนายความอาสาทำหน้าที่ช่วยเหลือและให้ข้อแนะนำทางกฎหมาย รวมถึงว่าความให้ในกรณีที่ ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมและมีฐานะยากจน เป็นไปตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วย การคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน พ.ศ. 2560 ซึ่งได้กำหนดให้มีทนายความอาสา จะต้องเป็นทนายความที่ได้อาสาสมัครเป็นผู้ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน และ ได้รับแต่งตั้งเป็นทนายความอาสาหรือทนายความอาสาอาวุโส และให้ทนายความอาสาดังกล่าวได้รับ ค่าตอบแทนตามระเบียบที่สำนักงานอัยการสูงสุดกำหนด ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม -ปัญหาอุปสรรคเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาค ประชาชนเป็นปัญหาหนึ่งที่ในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการฯ ว่าจะต้องมี คุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามอย่างไรบ้าง ขึ้นกับดุลพินิจของแต่ละสำนักงานอัยการจังหวัดที่เป็น ผู้กำหนดและคัดเลือกบุคคล และเนื่องจากสำนักงานอัยการจังหวัดมีการเปลี่ยนตำแหน่งทุกปีทำให้ต้อง อาศัยข้อมูลจากข้าราชการในสำนักงานในพื้นที่ ซึ่งอาจจะทราบข้อมูลหรือรู้จักตัวบุคคลจำนวนไม่มากนัก จึงส่งผลให้ผู้เข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในวงที่ค่อนข้างจำกัด -ข้อจำกัดด้านสถานที่ของสำนักงานอัยการจังหวัดที่ไม่สามารถรองรับการเข้ามาทำหน้าที่ของ ภาคประชาชนได้อย่างเต็มที่ หากประชาชนมีความสนใจเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น อาจจะเข้ามา ช่วยเหลืองานด้านธุรการและให้คำแนะนำด้านเอกสารของ สคช. จะไม่มีที่นั่งทำงานได้ -ข้อจำกัดด้านงบประมาณเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้กับประชาชนที่ประสงค์จะเข้ามามีส่วนร่วมใน กระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากมีการกำหนดระเบียบและการกำหนดค่าตอบแทนอย่างชัดเจน จะเป็นอีก หนึ่งแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนช่วยเหลือกิจการของสำนักงานอัยการจังหวัดได้มากขึ้น
80 ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ประชาชนรับรู้ถึงคณะกรรมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนและทนายความอาสาของสำนักงาน อัยการจังหวัดบ้าง แต่เข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในวงที่ค่อนข้างจำกัด ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน การดำเนินงานของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน อาจเกิดการนำเอาตำแหน่งไป อวดอ้าง สำนักงานอัยการจังหวัดได้ตระหนักถึงประเด็นนี้ค่อนข้างมาก จึงได้มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ ของคณะกรรมการฯ ให้เป็นการอำนวยความสะดวกแก่สำนักงาน และไม่ได้ให้มีส่วนร่วมในการพิจารณา สำนวน รวมถึงมีการคัดเลือกผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งอย่างระมัดระวัง ส่วนกรณีทนายความอาสาประจำ สคช. อาจจะเป็นช่องทางในการนำเอาสถานะความเป็นทนายความอาสาของ สคช. แอบอ้างหรือ นำไปใช้ทางที่ผิดได้ ซึ่งทางสำนักงานอัยการสูงสุดเคยมีหนังสือตักเตือนหรือกวดขันการนำเอาตำแหน่ง ทนายความอาสาไปใช้ในทางมิชอบ จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมนับว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นประโยชน์ ต่อสำนักงานอัยการจังหวัด ซึ่งควรให้กระบวนการการได้มาของคณะกรรมการมีส่วนร่วมของภาค ประชาชนให้มีความชัดเจนขึ้น โดยจะต้องกำหนดเป็นระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุดในประเด็นของ คุณสมบัติ ที่ควรจะต้องกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการฯ อาจจะ เป็นให้มีความหลากหลายของสาขาอาชีพ เช่น นักธุรกิจ ข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการตำรวจ หรือ ควรกำหนดให้มีแต่ประชาชนทั่วไปเท่านั้นที่สามารถเข้ามาเป็นคณะกรรมการฯ ได้ นอกจากนี้ ควรมีกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งให้ชัดเจน เช่น วาระละ 2 ปี และควรกำหนด จำนวนคณะกรรมการฯ ให้ชัดเจน ซึ่งอาจจะมีจำนวน 5-7 คน รวมถึงควรมีการกำหนดค่าตอบแทน เช่น เบี้ยประชุม เป็นต้น 2.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในศาลจังหวัด ในภาพรวมภารกิจของศาลยุติธรรมที่สำคัญประการหนึ่ง คือการให้บริการ อำนวยความสะดวก และให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชน ดังนั้น การทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับกระบวนการยุติธรรม ของสำนักงานศาลยุติธรรม จึงเป็นการอำนวยความสะดวกทางคดีให้กับประชาชน ผ่านทางระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ระบบยื่นคำฟ้องอิเล็กทรอนิกส์สำหรับประชาชน (e-Filing) ระบบบันทึกคำพยาน ด้วยภาพและเสียงในห้องพิจารณาคดี (e-Hearing) รวมถึงการที่ศาลมีกิจกรรมให้ความรู้กับประชาชน และนักเรียน เพื่อให้เข้าใจการทำงานของศาลมากขึ้น
81 ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ 1) ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว บทบาทของประชาชนในการเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว เป็นการแต่งตั้งตาม พระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560 ซึ่ง กำหนดให้ศาลสามารถแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้ทั้งกรณีที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยไม่มีหลักประกันหรือมีหลักประกันก็ได้ และกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวได้ปฏิบัติ คุณสมบัติของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวนั้นจากเดิมเป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ที่มี บทบาทหลัก ปัจจุบันได้เพิ่มให้เป็นมีบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือบุคคลที่ผู้คนในสังคมนั้นให้ความเคารพหรือ เกรงใจ เช่น ข้าราชการครูหรือข้าราชการตำรวจที่เกษียณอายุราชการ สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นต้น โดยจะคัดเลือกจากบุคคลที่รู้จักผู้ถูกปล่อย ชั่วคราวเป็นอย่างดีและผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวให้ความเคารพเชื่อฟัง หรือได้รับความไว้วางใจจากชุมชน ที่ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวมีที่อยู่อาศัยให้ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย และเป็นผู้สมัครใจ มีความพร้อมและ เหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่ศาลมอบหมาย อาจจะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำชุมชน และต้อง มีความสมัครใจให้ความร่วมมือกับทางศาล เพราะเคยมีกรณีที่ผู้กำกับดูแลฯ ขอยุติการดูแลผู้ถูกปล่อยตัว ชั่วคราวเช่นกัน จึงต้องถามความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวที่ศาลแต่งตั้ง อาจมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้โดยคำนึงถึงความจำเป็นและความเหมาะสม เมื่อผู้กำกับดูแลปฏิบัติ หน้าที่เสร็จแล้วมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายตามที่ระเบียบกำหนด4 2) ระบบคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมคดียาเสพติดในระบบศาล ระบบคลินิกให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมคดียาเสพติดในระบบศาล เป็นความร่วมมือของศาล ยุติธรรมกับหน่วยงานอื่น เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กรม สุขภาพจิต และกรมการแพทย์ เป็นต้น จัดตั้งขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ เข้ารับคำปรึกษาด้านจิตสังคม การนำผู้ต้องโทษคดีลหุโทษ การใช้ยาเสพติดและความรุนแรง มาปรับ ทัศนคติดูแลสุขภาพจิตใจ เพื่อลดทอนความตึงเครียด 4 ระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การแต่งตั้งและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อย ชั่วคราว การจ่ายค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ค่าพาหนะแก่ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวที่ยากไร้ เงินสินบนแก่ผู้แจ้ง ความนำจับ และเงินรางวัลแก่เจ้าหน้าที่ผู้จับผู้ถูกปล่อยชั่วคราวโดยศาลที่หลบหนี พ.ศ. 2561 และ ระเบียบคณะกรรมการบริหารศาล ยุติธรรมว่าด้วยคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การแต่งตั้งและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว การจ่ายค่าตอบแทนและ ค่าใช้จ่ายของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ค่าพาหนะแก่ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวที่ยากไร้ เงินสินบนแก่ผู้แจ้งความนำจับ และเงินรางวัลแก่ เจ้าหน้าที่ผู้จับผู้ถูกปล่อยชั่วคราวโดยศาลที่หลบหนี(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564
82 ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องผ่านหลักสูตรการให้คำปรึกษาที่ออกแบบโดยสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ได้แก่ การจัดการภาวะเสพติด การให้คำปรึกษาครอบครัว และการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม พร้อมมี อาสาสมัครที่รับบทบาทเป็นผู้เอื้ออำนวยและกระตุ้นให้ผู้ต้องหาสำรวจแรงจูงใจในการก่อคดี ตลอดจน เป็นผู้แนะแนวทางชีวิตโดยการถามถึงเป้าหมายและเส้นทางการดำเนินชีวิตของผู้ต้องหา 3) ผู้ประนีประนอมประจำศาล ศาลแต่งตั้งผู้ประนีประนอมประจำศาลจากประชาชนทั่วไป ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยและ ดำเนินการเพื่อช่วยเหลือให้คำแนะนำศาลในการไกล่เกลี่ยคดี แต่ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินชี้ขาด โดยคุณสมบัติ ของผู้ประนีประนอมเป็นไปตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการไกล่เกลี่ย พ.ศ. 2554 และ ในทางปฏิบัติจะพิจารณาจากผู้ที่มีความประพฤติดี เป็นบุคคลที่ไม่ใช่ข้าราชการประจำ ไม่เป็นผู้ดำรง ตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสมทบในศาลอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว นักธุรกิจที่ประสบ ความสำเร็จ เป็นผู้ที่มีความพร้อมทางการเงิน หรือเป็นข้าราชการที่เกษียณอายุราชการ เป็นต้น ทั้งนี้ ศาลอาจจะพิจารณาแต่งตั้งจากประสบการณ์หรือคุณวุฒิที่มี เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการไกล่เกลี่ยคดีได้ เช่น ผู้ประนีประนอมเป็นผู้ประกอบการด้านอู่ซ่อมรถ มีความรู้เรื่องราคาอะไหล่รถยนต์ ก็จะให้ไกล่เกลี่ย คดีพิพาทด้านสินไหมทดแทนประกันรถ หรือผู้ประนีประนอมเคยเป็นเจ้าพนักงานที่ดินมาก่อนและ มีประสบการณ์เกี่ยวกับการรังวัดที่ดินจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตที่ดิน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประนีประนอมประจำศาลทั้งทางแพ่งและอาญา ถือได้ว่า ผู้ประนีประนอมประจำศาลเป็นผู้ที่ได้เข้าถึงการพิจารณาคดีอีกส่วนหนึ่ง ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ที่ผ่านมาการดำเนินการของศาลประสบปัญหาเรื่องจำนวนผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราว ที่ยังมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนคดีและจำนวนผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้เมื่อมีผู้ร้องขอ ไม่สามารถแต่งตั้งได้ทันที อาจจะมีการสร้างเครือข่าย หรือเพิ่มค่าตอบแทนเพื่อเป็นแนวทางจูงใจให้มี ผู้กำกับดูแลมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวเป็นเรื่องของความสมัครใจ ดังนั้นจึงน่าจะต้องมีการพูดคุยหรือสร้างทัศนคติที่ดีให้กับผู้ที่มีความสามารถในการเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูก ปล่อยตัวชั่วคราว ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ประชาชนมีความสนใจและรับรู้การดำเนินงานของศาล และรับทราบช่องทางในการติดต่อศาล มากขึ้น รวมถึงการเสนอตัวเพื่อเป็นผู้ประนีประนอมมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการที่ศาลพัฒนาช่องทางในการ ติดต่อกับประชาชน รวมถึงการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย การติดตั้งป้าย อิเล็กทรอนิกส์เพื่อแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการพิพากษาคดี การจัดกิจกรรมต้นกล้าตุลาการให้กับนักเรียน รวมทั้งช่องทางการแจ้งความปัญหาหรือเหตุขัดข้องในสำนักงานศาลโดยตรงต่อผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ซึ่งทั้งหมดสะท้อนถึงการพัฒนาและแนวทางที่จะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการดำเนินงานของศาล มากขึ้น
83 ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน การมีบทบาทของผู้ประนีประนอมในศาลยุติธรรม ทำให้นับว่ามีส่วนในกระบวนการยุติธรรม ค่อนข้างมากกว่าส่วนอื่น ๆ เนื่องจากสามารถรับทราบถึงรายละเอียดของสำนวนคดี จึงจำเป็นจะต้องมี การคัดเลือกบุคคลที่เข้ามาดำรงตำแหน่งด้วยความรอบคอบ โดยทางศาลมีการสอบสวนและค้นประวัติ อาชญากร การสัมภาษณ์ รวมถึงการกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวลของศาล เนื่องจากผู้ประนีประนอมเป็นผู้ที่อาจจะให้คุณให้โทษแก่คู่ความได้ จึงควรมีหลักการ กรอบการปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องเหมาะสมและไม่ควรละเลยนิติประเพณีด้วย จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ---ไม่มี--- 2.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในตำรวจภูธร ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ •การมีส่วนร่วมแบบเป็นทางการ ประกอบด้วย -คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) เป็นการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขาอาชีพตามระเบียบ สตช. ว่าด้วย คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ พ.ศ. 2549 ซึ่งจำนวนจะแตกต่างกันไป ตามแต่ละสถานีตำรวจ 10-22 คน ประกอบด้วย นายอำเภอ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ข้าราชการจากหน่วยงานต่าง ๆ ข้าราชการตำรวจชั้น ประทวน และประชาชน/ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการคัดเลือก ทั้งนี้ประชาชนที่ต้องการเป็นกรรมการใน กต.ตร. จะต้องแจ้งความประสงค์สมัครและตรวจสอบคุณสมบัติ ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งใน คณะกรรมการฯ โดยจะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสังคม และมีการออกเสียงลงคะแนนเพื่อ เลือกประชาชนเป็นคณะกรรมการ กต.ตร. จากนั้นเมื่อได้บุคคลทั้งหมดตามจำนวนแล้ว จะมีการประชุม เพื่อเลือกประธาน กต.ตร. ซึ่งจะเลือกจากประชาชน/ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ กต.ตร.มีวาระการดำรงตำแหน่ง คราวละ 2 ปี แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ กต.ตร. มีหน้าที่ (1) ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานของตำรวจในด้านต่าง ๆ (2) ให้ข้อมูลข่าวสารและการเสนอปัญหาและความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ (3) ประชาสัมพันธ์ กิจกรรม/สร้างความเข้าใจ และเป็นกระบอกเสียงในการดำเนินงานของสถานีตำรวจ โดยมีการประชุม เดือนละ 1 ครั้ง จากการดำเนินงานของ กต.ตร. นอกจากจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบปัญหาของประชาชนได้ อีกช่องทางแล้ว กต.ตร. ยังเป็นกระบอกเสียงของตำรวจ
84 -ผู้ไกล่เกลี่ยในชั้นสอบสวน พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 กำหนดให้ประชาชนที่จะเข้ามาเป็นผู้ไกล่ เกลี่ยจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมตามหลักสูตรการอบรมการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามหลักสูตรที่ คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาการบริหารงาน ยุติธรรมแห่งชาติรับรอง โดยไม่ได้จำกัดอาชีพ แต่มักจะเป็นข้าราชการบำนาญที่มีความรู้ด้านกฎระเบียบ อยู่แล้ว หรืออาจจะเป็นข้าราชการตำรวจ/พนักงานสอบสวนก็ได้ ผู้ไกล่เกลี่ยมีหน้าที่ต้องกำหนดแนวทาง จัดให้มีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รวมถึงให้ความช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก และเสนอแนะคู่กรณี ในการหาแนวทางยุติข้อพิพาท จากนั้นดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท สุดท้ายคือการจัดทำข้อตกลงระงับ ข้อพิพาทตามผลของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยสถานีตำรวจภูธรกาฬสินธุ์มีการขึ้นทะเบียนและจัดทำ บัญชีผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไว้แล้ว แต่ที่ผ่านมายังไม่มีคดีใดที่ใช้ผู้ไกล่เกลี่ยในชั้นสอบสวนเลย ซึ่งคาดว่า ในอนาคตอาจจะต้องมีบางคดีที่ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย •สำหรับการมีส่วนร่วมแบบไม่เป็นทางการ ประกอบด้วย -การแจ้งเบาะแส การแจ้งข่าวสาร การเป็นพยาน ประชาชนได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยการแจ้งเบาะแส แจ้งข่าวสารผ่านช่องทาง ต่าง ๆ ทั้งโทรศัพท์ สายด่วน 191 แอปพลิเคชัน Facebook รวมถึงการให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่ เป็นประโยชน์ เช่น ภาพหรือวิดีโอจากกล้องวงจรปิด การเป็นพยาน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม จากการดำเนินงาน กต.ตร. ของตำรวจภูธรต่าง ๆ ที่ผ่านมายังไม่พบปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ แต่ปัญหาสำคัญของการมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแสหรือการเป็นพยานของประชาชนที่ไม่ต้องการ เปิดเผยตัวตน และลำบากใจหากต้องมาเป็นพยานซึ่งอาจจะมีผลกระทบความสัมพันธ์กับคู่กรณีใน ภายหลัง ประชาชนบางส่วนจึงไม่ต้องการให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมี แนวทางเพื่อจูงใจให้ประชาชนให้ข้อมูลกับประชาชนให้มากขึ้น เช่น ในอนาคตอาจจะมีการลดหย่อน ภาษีให้กับร้านค้า ธุรกิจ หรือประชาชนที่ให้ความร่วมมือติดตั้งกล้องวงจรปิดที่สามารถมองเห็นภาพ พื้นที่สาธารณะ เป็นต้น ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม เมื่อประชาชนได้รับรู้ถึงภาระหน้าที่ของตำรวจมากขึ้น ก็ส่งผลให้ความร่วมมือกับตำรวจดีขึ้น และการที่ประชาชนสามารถรับรู้ข่าวสาร รวมถึงแจ้งข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสถานีตำรวจได้อย่าง สะดวก ใช้งานง่าย เสียค่าใช้จ่ายน้อย รวมถึงประชาชนที่ใช้โซเชียลมีเดียมีความคุ้นเคยกับการใช้ แอปพลิเคชันอยู่แล้ว ทำให้สามารถช่วยเหลือได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมีหลายกรณีที่ประชาชนแจ้ง เบาะแสทันทีที่เหตุเกิดขึ้น นำไปสู่การติดตามและสามารถการจับกุมตัวผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็วภายใน
85 ไม่กี่ชั่วโมง รวมถึงการนำภาพวิดีโอจากกล้องมาให้กับทางตำรวจสามารถนำมาเป็นหลักฐานใน กระบวนการยุติธรรมได้และเป็นการลดโอกาสในการเกิดอาชญากรรมได้ ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน กรณีของ กต.ตร. ไม่มีประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจาก กต.ตร. มีเพียงหน้าที่ติดตามและ ตรวจสอบการทำงานของตำรวจ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางกระบวนยุติธรรมหรือกระบวนการสอบสวน ของตำรวจแต่อย่างใด จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ---ไม่มี--- 3. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคกลาง คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัด ชัยนาท จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีหน่วยงาน 13 แห่ง ประกอบด้วยสำนักงานอัยการภาค 1 แห่ง สำนักงานอัยการจังหวัด 5 แห่ง ศาลจังหวัด 4 แห่ง และสถานีตำรวจภูธรจังหวัด 3 แห่ง ดังนี้ ตารางที่ 3 การลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคกลาง (ระหว่างวันที่28 กันยายน – 11ตุลาคม 2565) ที่ หน่วยงาน ชื่อ-สกุล / ตำแหน่ง วันที่ 28 กันยายน 2565 1. สำนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี -นางสาวสุภาภรณ์ นิปวณิชย์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ 2. ศาลจังหวัดนนทบุรี -นายสมบัติ พฤฒิพงศภัค ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนนทบุรี 3. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี -พ.ต.ท. ถนอม ชุมแสง สว.ฝอ.ภ.จว.นนทบุรี วันที่ 3 ตุลาคม 2565 4. สำนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี -นายอนุชล สัญชยานุกูล รองอัยการจังหวัดชลบุรี 5. ศาลจังหวัดชลบุรี -นายอติรุจ ตันบุญเจริญ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้น
86 ที่ หน่วยงาน ชื่อ-สกุล / ตำแหน่ง วันที่ 4 ตุลาคม 2565 6. ศาลจังหวัดพัทยา -นางสาริศา พชรจิโรภาส เจ้าพนักงานศาลยุติธรรมชำนาญการพิเศษ 7. สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา -พ.ต.ท. ณัฐวรรธน์ เพลินจิตร สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองพัทยา วันที่ 5 ตุลาคม 2565 8. สำนักงานอัยการภาค 2 จังหวัดชลบุรี -นางรัตนภรณ์ โพธิ์ทอง จันทร์อินทร์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ -สิบโทสมศักดิ์ อุดมศักดิ์ นิติกรชำนาญการพิเศษ 9. สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา -นายกีรติกิติ์ หนูเกื้อ รองอัยการจังหวัด วันที่ 10 ตุลาคม 2565 10. สำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี -นายธนานนท์ รัตนาเดชาชัย อัยการจังหวัด 11. ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี -นายชัชวาลย์ กันฉาย ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ 11 ตุลาคม 2565 12. สำนักงานอัยการจังหวัดชัยนาท -นายอิทธิพัฒน์ เพชรกวินกุล อัยการจังหวัดชัยนาท 13. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท -พ.ต.อ. ออมสิน สุขการค้า ผู้กำกับสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน หมายเหตุ : ลำดับที่ 2 , 3 , 10 ให้ข้อมูลโดยการตอบแบบสอบถามกลับมายังคณะที่ปรึกษา 3.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในสำนักงานอัยการจังหวัด ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ คณะที่ปรึกษาได้สัมภาษณ์สำนักงานอัยการภาค ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหาร กำหนดนโยบายและ สั่งการมีภารกิจหลักในการตรวจความถูกต้องในสำนวนของอัยการจังหวัด หรือรับคำร้องขอความเป็น ธรรมจากประชาชนที่สามารถร้องขอต่อสำนักงานอัยการทุกแห่งทุกชั้นได้ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษา อัยการภาคก็สามารถเรียกตรวจสอบได้ ด้วยเนื้องานของสำนักงานอัยการภาค สำนวนการสอบสวนเป็น ความลับ จึงไม่มีขั้นตอนใดที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมได้ ประกอบกับเป็นเรื่องของระบบและนโยบายของ
87 อธิบดีอัยการภาคแต่ละคน และอธิบดีอัยการภาคทำงานประจำเพียงปีเดียว จึงมีความไม่ต่อเนื่อง แต่สามารถที่จะมอบนโยบายหรือสั่งการพิเศษนอกเหนือจากงานประจำเพิ่มเติมได้ สำหรับสำนักงานอัยการจังหวัด มีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมในการพิจารณาสั่งคดี รับสำนวน จากพนักงานสอบสวน ตรวจสอบพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง ในกรณีที่ประชาชนถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดทางอาญาและไม่ได้รับความเป็นธรรมในการสอบสวน ก็สามารถยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ต่อพนักงานอัยการจังหวัดได้ โดยการลงพื้นที่สัมภาษณ์สำนักงานอัยการจังหวัดภาคทั้งหมด 5 แห่ง นั้นมี เพียง 2 แห่ง คือสำนักงานอัยการชัยนาท และสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา ที่มีโครงการเกี่ยวกับการมี ส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของสำนักงานอัยการจังหวัดตามนโยบายของสำนักงาน อัยการสูงสุด ได้แก่ 1) คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน สำนักงานอัยการจังหวัดชัยนาทได้ประกาศรับสมัครคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ผ่านสื่อออนไลน์ ผู้สนใจเป็นคนในพื้นสามารถยื่นใบสมัครให้สำนักงานอัยการจังหวัดคัดเลือกแต่งตั้ง จำนวน 8 คน มีนักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการเกษียณ พ่อค้า ประชาชน สามารถแต่งตั้งเพิ่มได้อีก ไม่มี การจำกัดจำนวนคน มีวาระ 2 ปี ไม่มีเบี้ยเลี้ยง เป็นการเข้ามาด้วยความสมัครใจ ส่วนอำนาจหน้าที่ไม่ได้ กำหนด เพียงแต่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม มีการประชุมปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้เป็นตัวแทนของสำนักงาน อัยการจังหวัดในการประชาสัมพันธ์การทำงานของอัยการจังหวัด และส่งข้อมูลสะท้อนกลับเข้ามาให้ อัยการจังหวัดทราบ มีการทำกิจกรรมมุทิตาจิตเพื่อประโยชน์ราชการและบุคลากรสำนักงาน สนับสนุน การจัดกิจกรรมเผยแพร่งานของอัยการ ประสานกับเอกชนทำกิจกรรมสาธารณะ และเป็นสื่อกลางให้ ประชาชนรับรู้ถึงงานของอัยการจังหวัด ทำให้ประชาชนเข้าถึงอัยการจังหวัดได้ 2) คณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัด สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา มีคณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัดแต่งตั้งโดยสำนักงาน อัยการภาค 2 และสำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา โดยมีภาคประชาชนเป็นที่ปรึกษา ประกอบด้วย นักธุรกิจ เจ้าของกิจการบ้านจัดสรร โรงแรม เครือญาติของนักการเมืองท้องถิ่น สมาชิกองค์การบริหาร การปกครองส่วนตำบล (อบต.) หรือเทศบาล บุคคลที่น่าเชื่อถือ ผู้มีความรู้ความสามารถ เป็นบุคคลที่อยู่ ในพื้นที่ยาวนานและมีประวัติคุณงามความดี จำนวน 30-50 คน มีวาระ 1 ปี ประชุม 3 เดือนครั้ง ไม่มี ค่าตอบแทนเป็นการทำงานดัวยความเสียสละ โดยช่วยงานเชิงการบริหาร ดังนี้ -ให้คำชี้แนะการบังคับใช้กฎหมายในเขตอำนาจศาล สภาพปัญหาในท้องที่ หากลูกบ้านมีปัญหา เดือดร้อนไม่ได้รับความเป็นธรรมความคืบหน้าในคดี คณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัดจะแนะนำให้ ไปขอความช่วยเหลือจากอัยการ -ช่วยปรับปรุงทัศนียภาพ ติดตั้งป้ายสำนักงาน ติดตั้งเครื่องปรับอากาศและโทรทัศน์เพราะอัยการ ต้องให้บริการช่วยประชาชน -การเชิญอัยการไปบรรยายเสนอแนะการใช้กฎหมาย เช่น คดีอาวุธปืน คดีช่วยเหลือชาวบ้าน ตั้งผู้จัดการมรดก การตั้งผู้อนุบาลคนไร้ความสามารถ หรือสั่งให้เป็นคนสาบสูญ
88 ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากคณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัดที่ชัดเจนคือ ทำให้ภาพลักษณ์ของ อัยการดีขึ้น ประชาชนรับทราบ รู้จัก และคำนึงถึงบทบาทของอัยการมากขึ้น เพราะอัยการจังหวัด ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย มีแต่การชำระค่าธรรมเนียมศาล และประชาชนจะ เป็นเกราะให้กับอัยการจังหวัดทำให้งานของอัยการดำเนินการไปได้ เป็นขวัญกำลังใจแก่อัยการท้องถิ่น ในการปฏิบัติงานที่ต้องรับผิดชอบงานทุกด้านทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา ยาเสพติด ศุลกากร การค้าไม้ ฯลฯ ทำให้ผลักดันงานได้เต็มที่ 3) การฝึกงานของนักเรียนนักศึกษาในสำนักงานอัยการจังหวัด สำนักงานอัยการจังหวัดได้เปิดโอกาสและอนุญาตให้นักเรียนนักศึกษาเข้ามาฝึกงานช่วยเหลือ งานธุรการ การเรียนรู้วิธีการทำงานของอัยการในสำนักงานอัยการจังหวัดได้ ก. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม สำนักงานอัยการจังหวัดที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนกับคณะที่ปรึกษา สำนักงานอัยการจังหวัดให้ข้อมูลว่าไม่มีปัญหาอุปสรรค เพราะประชาชนให้ความร่วมมือดี เนื่องจากเป็น คนในพื้นที่ที่รู้เรื่อง มีความเข้าใจ จึงช่วยอำนวยความสะดวกให้กับอัยการได้เป็นอย่างดี และทำให้สังคม มีความสุข ส่วนสำนักงานอัยการจังหวัดอีก 3 แห่ง คือ สำนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี สำนักงานอัยการ จังหวัดนนทบุรี และสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี ไม่มีโครงการหรือกิจกรรมที่ให้ประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม โดยสำนักงานอัยการจังหวัดแห่งแรกได้ระบุว่าเมื่อ 2-3 ปีก่อน เคยมี คณะกรรมการจากภาคประชาชนที่อัยการจังหวัดก่อนหน้านี้ได้แต่งตั้งขึ้นเพื่อช่วยปรับปรุงภูมิทัศน์ของ สำนักงานอัยการจังหวัด ประกอบด้วยคหบดี นักธุรกิจ จิตอาสาคนในพื้นที่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักซึ่ง เป็นการแต่งตั้งตามหนังสือเวียนจากสำนักงานอัยการสูงสุดที่ขอให้สำนักงานอัยการจังหวัดดำเนินการ แต่งตั้งตามแผนยุทธศาสตร์สำนักงานอัยการสูงสุด ปีพ.ศ. 2559-2562 ในยุทธศาสตร์ที่ 4 สร้างความเชื่อมั่น แก่ประชาชนและหน่วยงานที่มีส่วนได้เสีย กลยุทธฺที่ 4.2 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้บรรลุ เป้าหมายตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 แต่ ปัจจุบัน (ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565) ไม่มีคณะกรรมการจากภาคประชาชน เพราะไม่ต้องการให้เป็นที่ จับตามองว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการจากภาคประชาชนจะมีความเกี่ยวพันกับคดี จะมีเรื่องของส่วนได้เสีย หรือจะมีข้อครหา ให้เป็นจุดโจมตี ซึ่งไม่สามารถแก้ข่าวได้ทั้งที่ความจริงไม่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะสื่อ หากแก้ ข่าวจะยิ่งขยายวงกว้าง ไม่มีโอกาสชี้แจง จึงแก้ปัญหาโดยไม่แต่งตั้งเลย หากตั้งผิดคนจะเกิดความ ผิดพลาดได้ จึงต้องระมัดระวัง เพราะจังหวัดที่มีขนาดใหญ่มีประชากรจำนวนคนมากทำให้รู้จักผู้คน ไม่ทั่วถึง อาจเกิดความไม่เหมาะสม บางคนประสงค์จะเป็นจิตอาสาที่ไม่อยากให้แต่งตั้ง บางคนอาจ ขัดแย้งกับบุคคลอื่นมาก่อนหน้านี้หรือมีพรรคพวก หรือมีปัญหารอบด้าน แต่ก็พร้อมจะแต่งตั้งเพราะเป็น การทำเพื่อสังคมและองค์กร หากนโยบายนั้นเป็นคำสั่งให้แต่งตั้งกำหนดข้อปฏิบัติหลักเกณฑ์การ คัดเลือกผู้ไม่มีประวัติเสื่อมเสียหรือพ้นมลทิน
89 สำนักงานอัยการจังหวัดอีกแห่งหนึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาการแต่งตั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม ภาพลักษณ์องค์กรในการดึงประชาชนเข้ามา ซึ่งขึ้นอยู่กับแนวทางการ บริหารของอัยการจังหวัดแต่ละคน และแต่ละแห่งไม่สามารถกำหนดตายตัวได้ จึงทำให้มีความแตกต่าง กัน เหตุผลหลักที่ยังไม่มีการแต่งตั้งเนื่องจากงานหลักของสำนักงานอัยการจังหวัดเป็นความลับ ไม่ควร แตะเรื่องการสอบสวน สำนักงานอัยการจังหวัดแห่งสุดท้ายที่ไม่ได้แต่งตั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วมนั้น ให้เหตุผลว่างาน ของอัยการคือการสั่งสำนวนที่รับจากพนักงานสอบสวน เป็นการใช้กฎหมาย การดำเนินการตาม ข้อกฎหมาย ไม่ได้เป็นการใช้ดุลพินิจ จำเป็นต้องรักษาความเป็นอิสระ เที่ยงตรง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในการ สั่งคดีของอัยการและเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงไม่อาจเปิดโอกาส ให้บุคคลภายนอกเข้าร่วมงานกับอัยการจังหวัดได้ เพราะสำนวนอาจหลุดลอดไปที่จำเลยได้ รวมถึง อัยการจังหวัดมีการโยกย้ายเป็นประจำ อาจเกิดความไม่ต่อเนื่องในการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วม ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วมกับสำนักงานอัยการจังหวัด นั้นส่วนใหญ่ประชาชนยังไม่รู้จักและเข้าไม่ถึงอัยการ ประชาชนบางกลุ่มไม่ทราบ ไม่มีความตื่นตัวในการ เข้าร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัด เพราะอาจไม่สนใจหรือต้องทำมาหากิน ประชาชนที่ จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานของสำนักงานอัยการจังหวัด จำเป็นต้องเป็นผู้ที่สนใจ มีความพร้อม ต้องมี เวลาและไม่ใช่ผู้ที่ทำงานประจำ นอกจากนี้ หน้าที่ของสำนักงานอัยการจังหวัดไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่สำนักงาน อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี (สคช.) จะมีบทบาทเกี่ยวข้องกับ ประชาชนมากกว่า เพราะได้ลงพื้นที่ออกไปบรรยายให้คำแนะนำกฎหมายเบื้องต้น ทำให้ประชาชนรู้จัก อัยการมากขึ้น ประชาชนเริ่มมีส่วนร่วม เป็นตัวแทนของอัยการเพื่อช่วยเผยแพร่ความรู้ มีการสร้างไลน์กลุ่ม กับประชาชน การใช้โทรศัพท์ติดต่อประสานงาน อย่างไรก็ตาม ถ้าประชาชนในพื้นที่มีส่วนได้เสียในประเด็นใด ก็จะมีความสนใจที่จะเข้าร่วม กระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นนั้น และอาจจะมีผลกระทบความเป็นอิสระในการพิจารณา สั่งคดีได้ ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน -การแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัดเป็นดุลพินิจของแต่ละจังหวัดในการแต่งตั้ง แต่การที่ประชาชนได้เข้ามาเป็นคณะกรรมการแล้ว ประชาชนอาจแอบอ้างความใกล้ชิดกับอัยการ จังหวัดเพื่อหวังผลทางคดี หรือนำสำนวนไปเผยแพร่ เช่น เอาไปลงสื่อโซเชียลมีเดียที่ไม่สามารถควบคุม ได้ การที่ได้รู้จักกับอัยการอาจรู้สึกมีความภาคภูมิใจหรืออาจนำไปสร้างอิทธิพลในพื้นที่ได้ รวมทั้ง ต้องการเป็นสื่อเชื่อมต่อกับผู้มีปัญหาทางคดีกรณีซึ่งดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นเป็นจำนวนไม่มาก สำนักงาน
90 อัยการจังหวัดต้องคัดเลือกผู้ที่ต้องการเข้ามาร่วมงานอย่างจริงจัง และเชื่อมั่นในคุณงามความดีของ ประชาชนที่เข้ามาร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาฯ -บุคลากรของสำนักงานอัยการจังหวัดเป็นผู้ที่มีศักยภาพ มีความรู้สูง เมื่อมีสถานที่ให้พูดคุยจึง สามารถดำเนินกิจกรรมคล้ายกับคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) ได้ แต่อาจต้องดำเนินกิจกรรมได้แคบและจำกัดมากกว่า ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเข้าหวังผลทางคดี จึงต้อง คัดเลือกผู้ที่เข้ามาช่วยงานจริง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่เป็นการเข้ามาเพื่อต้องการเชื่อมต่อช่วยเหลือ ผู้มีปัญหาทางคดี จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ -สำนักงานอัยการจังหวัดสามารถดำเนินงานเชิงรุกเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้ในกรณี ดังต่อไปนี้ •ปัญหาการสืบพยานในชั้นอัยการในคดีที่เกิดขึ้นมาหลายปีจนทำให้ตามตัวพยานลำบาก เพราะพยานได้ย้ายที่อยู่ ในส่วนนี้อาจเปิดโอกาสให้ประชาชนช่วยติดตามพยานได้เพราะมีความสัมพันธ์ เชื่อมโยง จากเดิมพนักงานสอบสวนจะส่งหมายตามไปที่บ้านเลขที่ อัยการโทรศัพท์หรือตามไปที่ ทะเบียนราษฎร์ •ความปลอดภัยพยานในการให้ความคุ้มครองพยาน เพราะพยานเกรงกลัวจำเลย ไม่กล้า เบิกความซึ่งอาจจะทำให้ศาลยกฟ้องได้ ประชาชนอาจช่วยในการรับพยานไปอยู่ในที่ปลอดภัย •กฎหมายเกี่ยวกับการชะลอฟ้องที่อัยการสามารถใช้ดุลพินิจได้เพราะไม่ใช่โทษหนัก อาจ เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมออกแบบระบบได้ -ตำรวจและอำเภอดูแลคนในพื้นที่และใกล้ชิดประชาชนมากกว่า สามารถเป็นกระบอกเสียงให้ได้ แต่บทบาทหน้าที่ที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมจะถูกจำกัดและแคบกว่า เพราะงานของอัยการเป็นงาน ด้านสำนวนคดี เน้นงานอาญา สั่งสำนวนตามพยานหลักฐาน และมีอำนาจอิสระในการพิจารณาคดีตาม กฎหมาย จึงไม่ต้องการให้ประชาชนข้องเกี่ยวกับคดี -การให้ประชาชนมีส่วนร่วม อาจเป็นงานของ สคช. มากกว่าอัยการจังหวัด แต่สามารถบูรณาการ ทำงานร่วมกัน การใช้สถานที่ร่วมพูดคุยกันได้ -หากอัยการนำเรื่อง “ผู้กำกับดูแลการปล่อยตัวชั่วคราว” ของศาลมาใช้ในงานของอัยการ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของอัยการได้มากยิ่งขึ้น ทั้งกรณี การประกันตัวที่มีหลักทรัพย์และไม่มีหลักทรัพย์ เพื่อจะได้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการ จังหวัดในการรายงานตัวในพื้นที่ ช่วยลดภาระให้ทั้งอัยการและผู้ต้องหา ลดการเดินทางของผู้ต้องหา และยุติคดีได้ รวมถึงประชาชนจะได้รับทราบภาระงานของอัยการว่าไม่ได้ทำให้เข้าคุกเท่านั้น แต่เป็นงาน ที่อำนวยความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย ถ้าไม่ผิดก็สั่งไม่ฟ้อง ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้าหาอัยการมากขึ้น
91 -พนักงานสอบสวนและอัยการจังหวัดควรมีบทบาทในการทำงานมาตรฐานเดียวกัน ตรวจสอบดู สำนวนได้ตั้งแต่เริ่มต้นเพราะอัยการก้าวก่ายไม่ได้ อาจทำให้ประชาชนเดือดร้อนหรือถูกดำเนินคดีเพราะ เข้าไม่ถึงสำนวน ถ้าประชาชนได้ทราบเรื่องก่อนก็จะได้ร้องขอความเป็นธรรมได้ -การแบ่งส่วนราชการใหม่ของสำนักงานอัยการจังหวัดที่จะพิจารณาเพิ่มจำนวนบุคลากรจาก ปริมาณของสำนวนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เหมาะสม ควรพิจารณาถึงความยากง่าย ความแตกต่างของ แต่ละพื้นที่ เช่น เป็นเมืองเล็กหรือเมืองเศรษฐกิจ หรือการให้แยกกองคดีแพ่งออกจากสำนักงานอัยการ จังหวัด หากมีความชัดเจนในงานมากขึ้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับงานของ สำนักงานอัยการจังหวัดได้ -ให้ความสำคัญต่ออัยการพื้นที่ โดยเฉพาะ สคช. ควรให้ทำงานในพื้นที่ได้เกิน 4 ปี หรือสามารถ สลับหมุนเวียนการทำหน้าที่ในพื้นที่ได้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เพราะเป็นผู้ที่รู้และเข้าใจปัญหาสามารถช่วย ชาวบ้าน รวมถึง สคช. ไม่มีเงินประจำตำแหน่ง ไม่มีค่าเดินทาง ไม่มีอิทธิพล ไม่กระทบต่อการปฏิบัติงาน อันจะช่วยให้กำลังใจแก่อัยการชั้นผู้น้อยในการทำงานที่เข้าถึงประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ 3.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในศาลยุติธรรม ศาลจังหวัดภาคกลางที่คณะที่ปรึกษาลงพื้นที่เก็บข้อมูลทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ศาลจังหวัดชลบุรี ศาลจังหวัดนนทบุรี ศาลจังหวัดพัทยา และศาลจังหวัดสุพรรณบุรีนั้น ทุกแห่งมีโครงการเกี่ยวกับการมี ส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของศาลจังหวัดตามนโยบายของประธานศาลฎีกา เดิมศาลยุติธรรมจะเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนกำหนดทิศทางใช้ดุลพินิจค่อนข้างน้อย ใช้แต่กฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา ไม่ยืดหยุ่น ในขณะที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางสามารถใช้หลักความ ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice - RJ) ได้เต็มที่ 1) ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว มาตรา 108 วรรคสาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้กำหนดให้ศาลสามารถ ปล่อยตัวโดยกำหนดเงื่อนไขได้ มีการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นโปรแกรมระบบแบบประเมิน ความเสี่ยงรวม 14 ปัจจัยเพื่อคำนวณความเสี่ยงเป็นเปอร์เซ็นต์สำหรับประกอบดุลพินิจของศาลในการ ปล่อยตัวชั่วคราว และพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราว โดยศาล พ.ศ. 2560 ผู้เสียหายจะไม่ถูกปรับหรือไม่ถูกจำคุก สามารถใช้วิธีการให้บริการสังคมหรือการใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring - EM) แต่ควบคุมได้เฉพาะตามพื้นที่ทาง ภูมิศาสตร์ ทำให้จำกัดพื้นที่ได้ สามารถทราบว่าอยู่ที่ไหน แต่ไม่อาจทราบถึงพฤติกรรมว่าทำดีหรือไม่ หรือเข้ารับการคุมประพฤติก่อนศาลมีคำพิพากษา เป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ “การสร้างดุลยภาพแห่งสิทธิ” ตามนโยบายของประธานศาลฎีกาได้มุ่งเน้นเรื่องความเสมอภาค ยกระดับความเป็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างการต่อสู้คดี และยกระดับการ คุ้มครองสิทธิแก่ผู้เสียหาย เหยื่ออาชญากรรม และพยาน และลดการคุมขังที่ไม่จำเป็นลง จึงเป็นที่มา ของการกำหนดกลไกมาตรการรูปแบบการออกหมายจับและการปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวนเป็น
92 มาตรการตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเดียวกับการออกคำสั่งหรือ หมายอาญา (ฉบับที่ 5) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2565 โดยจะมีพิจารณาที่ความสำคัญในคดี มีการรับฟังความเห็นของผู้เสียหายกับพยานว่ามีการคัดค้านกรณีผู้ต้องหาขอให้ปล่อยชั่วคราวหรือไม่ เนื่องจากสำนักงานศาลยุติธรรมต้องการเพิ่มมาตรการในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาให้มากขึ้น โดยใช้ ตัวบุคคลเป็นผู้กำกับดูแลนอกเหนือไปจากการใช้หลักทรัพย์วางศาลหรือเงินสดในการปล่อยชั่วคราว เพื่อประชาชนทั่วไป หรือผู้ต้องหา หรือจำเลย สามารถเข้าถึงสิทธิในการปล่อยชั่วคราวได้อย่างเท่าเทียม โดยเป็นโทษที่ต่ำกว่า 10 ปี และประเมินความเสี่ยงโดยไม่เรียกหลักประกัน ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะได้รับ การปล่อยชั่วคราวโดยไม่ต้องใช้หลักประกัน หวังช่วยให้เกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของ ผู้ต้องหาหรือจำเลย เพื่อป้องกันการหลบหนีและก่ออันตรายอย่างอื่นและสามารกลับตัวเป็นคนดีของ สังคมต่อไปได้ในภายหน้า ซึ่งหัวหน้าศาลรับนโยบาย ศาลทุกแห่งรับทราบมาตรการดังกล่าว ศาลต้อง ปรับตัว เข้ารับอบรม โดยศาลจังหวัดมีการทำบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Understanding– MOU) กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานีตำรวจ สำนักงานที่ดิน และสำนักงานคุมประพฤติ ในขณะที่ สำนักงานศาลยุติธรรมได้ทำ MOU กับกระทรวงมหาดไทยแล้ว เพื่อให้หน่วยงานที่ร่วมทำ MOU เสนอ ชื่อพร้อมเบอร์โทรศัพท์ติดต่อในการแต่งตั้งเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว กรณีที่มีหลักฐานตามสมควรว่าเป็นคดีที่ไม่มีความร้ายแรง ไม่มีความเสี่ยงสูง พฤติกรรมของ ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวจะไม่ก่ออันตราย ไม่มีเหตุหลบหนี ไม่เกิดความเสียหาย หรือไม่เกิดอุปสรรคในการ ดำเนินคดีที่อาจเกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราว ศาลจะสั่งปล่อยตัวระหว่างสอบสวนและระหว่างการ พิจารณาคดี และให้ตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาหรือจำเลย เป็นกระบวนการก่อนศาล พิพากษาซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลโดยแท้ และเป็นการอำนวยความสะดวกของศาลแก่ประชาชน ศาลจะมีคำสั่งแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว โดยพิจารณาจากคุณสมบัติว่ามีความเหมาะสม แก่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่ศาลกำหนดได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. การรวบรวมรายชื่อจากผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้เกษียณอายุราชการ อาสาสมัครคุมประพฤติ ตลอดจนคนในชุมชนที่สมัครใจ 2. ผู้ต้องหาหรือจำเลยเสนอชื่อขอให้แต่งตั้งผู้ที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยเคารพเชื่อฟังหรือไว้ใจ เมื่อศาลมีคำสั่งให้ใช้ “ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว” ที่ไม่ได้ระบุชื่อบุคคลแล้ว เจ้าหน้าที่ ประชาสัมพันธ์ศาลจะคัดเลือกจากรายชื่อผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ที่บันทึกในระบบบริการข้อมูล คดีศาลยุติธรรม (CIOS) ที่ศาลทุกแห่งสามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากผู้ต้องหาหรือจำเลยอาจเป็นคนจาก ถิ่นอื่นซึ่งจะเป็นผู้ที่รู้จักผู้ต้องหาหรือจำเลยที่เป็นลูกบ้านของตนเองได้ดี สามารถกลับไปรายงานตัวกับ ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวที่หมู่บ้านตนเองได้โดยไม่ต้องมาที่ศาลในจังหวัดที่กระทำผิดอีก ผู้ต้องหาหรือจำเลยขอแถลงเปลี่ยนแปลงผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้ เจ้าหน้าที่ ประชาสัมพันธ์ศาลจะเปลี่ยนตัวผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวให้ หรือจะติดต่อผู้อื่นที่ยังไม่ได้แต่งตั้ง แต่มีคุณสมบัติครบถ้วนด้วยวาจาก่อนได้ เมื่อได้รับความยินยอม คำสั่งแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อย ชั่วคราวจากศาลคนใหม่จะออกภายหลัง พร้อมรับแบบรายงานตัว