The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานฉบับกลาง (Interim Report)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kanokwan Chartsuwan, 2023-02-07 04:54:10

รายงานฉบับกลาง (Interim Report)

รายงานฉบับกลาง (Interim Report)

93 ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว มีหน้าที่ความรับผิดชอบดังต่อไปนี้ ซึ่งอาจทำหน้าที่เดียวหรือ อาจทำครบทุกหน้าที่ก็ได้ 1. สอดส่องดูแลตักเตือน (ไม่ต้องอบรม แต่ทำความเข้าใจ โดยมีเจ้าหน้าที่ศาลเป็นพี่เลี้ยง) 2. รับรายงานตัว (ไม่ต้องอบรม แต่ทำความเข้าใจ โดยมีเจ้าหน้าที่ศาลเป็นพี่เลี้ยง) 3. ให้คำปรึกษา (โดยนักจิตวิทยา แพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาชีพ หรือผู้ที่ ผ่านการอบรมการให้คำปรึกษาทางจิตสังคมที่สำนักงานศาลยุติธรรมกำหนด) เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ศาลจะตั้งไลน์กลุ่มกับผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวเพื่อการ ประสานงานติดต่อแจ้งวันกำหนดการรายงานตัว การส่งรูปถ่ายการรายงานตัวของผู้ต้องหา ตลอดจนมี การแบ่งปันข้อมูลเทคนิคของการเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวด้วย เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่ของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวแล้ว จะได้รับค่าตอบแทนจาก สำนักงานศาลยุติธรรมในอัตราที่กำหนด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงาน ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อย ชั่วคราวหนึ่งคนสามารถเป็นผู้กำกับดูแลฯ ได้หลายคดี และไม่มีวาระ หากผู้ต้องหาหลบหนีไม่รายงานตัว ตามที่กำหนดผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวก็ไม่มีความผิด ไม่ถือว่าบกพร่องในหน้าที่ และยังได้รับ ค่าตอบแทน ศาลจะติดตามผู้ต้องหาเอง ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้เสียสละที่ช่วยเหลือศาล และเป็นการขยายโอกาสแก่ผู้ต้องหา ให้ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะถ้าคดีไม่มีความเสี่ยง ศาลไม่ต้องการให้คุมขังเพราะผู้ต้องหาจะได้ เตรียมพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีต่อไปหรือสามารถยุติคดีได้ ตัวอย่างที่ดีของศาลที่ใช้มาตรการผู้ กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้ดี คือศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชและศาลจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้เป็น ต้นแบบรับเชิญมาบรรยายเล่าประสบการณ์ให้กับศาลจังหวัดต่าง ๆ มาตรการผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ทำให้สามารถดำเนินกระบวนการต่อด้วยการคุมประพฤติ ผู้ต้องหาหรือจำเลยก่อนศาลตัดสิน เพียงแต่มีความบกพร่อง ปรับทัศนคติวิธีคิด กลับตัวเป็นคนดีทำให้ ชุมชนเข้มแข็ง นอกจากนี้ ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของ ศาลจังหวัดที่เห็นได้ชัด คือศาลเรียกหลักประกันลดลงและใช้วิธีอื่นเพิ่มขึ้น มีการตั้งผู้กำกับดูแล ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวเพิ่มมากขึ้น บางจังหวัดศาลยังได้ตั้งถึง 400-500 คน ในขณะที่จังหวัดขนาดใหญ่หรือ พื้นที่ทางเศรษฐกิจ ศาลจังหวัดจะแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้น้อย เพราะส่วนใหญ่เป็นคนต่างถิ่น ที่เข้ามาประกอบอาชีพในพื้นที่ เป็นแรงงานโยกย้ายถิ่น และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ การที่จะตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ข้าราชการ ฯลฯ เป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว อาจไม่คุ้นเคยหรือไม่รู้จักกับ ผู้ต้องหาหรือจำเลยกลุ่มดังกล่าวมากพอ ทำให้ไม่ประสงค์จะรับเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว เนื่องจากอาจเกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ต้องใช้วิธีอื่นแทน เช่น การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring - EM) และบางคดีศาลจังหวัดได้ แต่งตั้งนายจ้าง ผู้บังคับบัญชา ครู ฯลฯ ที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยรู้จักและชุมชนไว้ใจให้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวแทน โดยจะต้องมีคุณสมบัติครบ ไม่มีลักษณะต้องห้าม และให้ความยินยอม


94 ซึ่งศาลสามารถแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้ตลอด โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมเป็นราย กรณี และผู้ที่ศาลแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวก็จะต้องให้ความยินยอมด้วยเช่นกัน ประโยชน์ของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว นอกจากประชาชนทั่วไป ผู้ต้องหาหรือจำเลย สามารถเข้าถึงสิทธิในการปล่อยชั่วคราวได้อย่างเท่าเทียมแล้ว ยังช่วยเป็นปากเสียงให้ศาลกับผู้ต้องหา ด้วย ซึ่งดีกว่าการตีราคาหลักประกัน ช่วยทำให้ชุมชนปลอดภัย เพราะได้เป็นหูเป็นตาเป็นกระบอกเสียง ให้กับศาล รวมถึงการได้เข้ามาฟังวิธีคิดของศาล มุมมองของศาลและกระบวนการของศาล ที่ศาลใช้ ดุลพินิจเพราะอะไร เนื่องจากงานศาลเป็นระบบปิด หากเข้าใจแต่ไม่เห็นด้วยก็สามารถอุทธรณ์ต่อไปได้ เพื่อให้รับรู้ถูกต้อง ทำให้ประชาชนไว้วางใจ และให้ความจะร่วมมือได้ดีที่สุด จึงเป็นการขยายความ ร่วมมือของศาลไปที่ประชาชนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแล รวมทั้งเป็นการสื่อสารระดับชุมชน 2) คลินิกจิตสังคมในระบบศาล เป็นโครงการที่ศาลจัดตั้งด้วยงบประมาณกองทุนสนับสนุนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้องได้เข้ารับคำปรึกษา ด้านจิตสังคม วิธีการดำรงชีวิต เฝ้าดูพฤติกรรม ไม่ให้กลับไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดอีก เป็นการให้ คำปรึกษาด้านจิตสังคมคดียาเสพติด โดยบุคคลที่ทำหน้าที่รับรายงานตัวและเป็นที่ปรึกษาจะต้องผ่าน การอบรมจากสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งส่วนมากจะเป็นข้าราชการครู ข้าราชการเกษียณ หรือ นักจิตวิทยาที่จ้างเป็นรายปีหรือได้รับเงินเดือน 15,000 บาท เป็นไปตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพ ผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ที่กำหนดให้ผู้เสพยาเสพติดคือผู้ป่วยต้องนำตัวไปบำบัด หากฟื้นฟูไม่สำเร็จ หรือไม่มารายงานตัวจะแจ้งตำรวจขอศาลออกหมายจับ ซึ่งผู้ต้องหาสามารถเลือกที่จะขอรายงานตัว รับการควบคุมจากที่ปรึกษาหรือจะมาศาลตามกำหนดก็ได้ แต่จะใช้มาตรการดังกล่าวกับคดีเล็กน้อย แต่ปัญหาคือจะเป็นคดียาเสพติดที่ไม่ควรให้ประกันตัวหรือปล่อยตัว จึงไม่สามารถใช้มาตรการดังกล่าวได้ 3) ศูนย์กลางผู้เสียหายในคดีอาญา เป็นอีกโครงการหนึ่งของศาลจังหวัดในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของ ในระบบบริการข้อมูลคดีศาลยุติธรรม (CIOS) เป็นภารกิจของศาลยุติธรรมเพื่อการปฏิบัติเท่ากันเพื่อการ ยกระดับคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา เป็นการสร้างดุลยภาพเพื่อให้ผู้เสียหายสามารถขอความ ช่วยเหลือ ขอข้อมูล ขอค่าเสียหาย ขอการรักษาพยาบาล ขอให้ลงโทษสถานหนัก แสดงความกังวลใจ ขอให้คัดค้านการปล่อยตัว รวมทั้งสามารถอยู่ในคำเบิกความได้โดยไม่ต้องรอฟ้อง ทำให้เปิดช่องทางให้มี ตัวตนมากขึ้น กระบวนการดังกล่าวผู้เสียหายสามารถดำเนินการได้ทั้งการติดต่อขอศาลโดยตรง หรือผ่าน เว็บไซต์ จดหมาย โทรศัพท์ หรือสื่อสารสนเทศต่าง ๆ ของศาล 4) การเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีของศาล การพิจารณาของศาลดำเนินการอย่างเปิดเผย คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้เข้าฟังได้แม้จะไม่ใช่ คู่ความ ยกเว้นบางคดีต้องพิจารณาลับ คดีเด็ก หรือคดีความมั่นคง ซึ่งศาลจังหวัดจะเปิดห้องพิจารณา หากมีคดีนัดจะพิจารณาทีละเรื่อง สามารถนั่งฟังได้ทุกเรื่อง เพียงแต่สถานการณ์โควิด-19 ได้จำกัดคน


95 เข้าบริเวณศาล และมีนักศึกษามาศึกษาดูงานศาลด้วย เพื่อมาเห็นการพิจารณาคดีของศาล รับทราบ เหตุผลในการวินิจฉัย รู้วิธีพิจารณาความของศาล อัยการถาม และทนายความถามติง การบันทึกการเบิก ความ คำพิพากษาที่อ่าน หากผู้ต้องหาไม่เห็นด้วยก็สามารถอุทธรณ์ฎีกาได้ เพราะทั้งตำรวจ อัยการ และ ศาลไม่ได้รู้เห็นด้วย มีเพียงแต่คู่ความเป็นฝ่ายเสนอข้อเท็จจริงที่จะเล่าเฉพาะที่เป็นประโยชน์ ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ปัญหาของการดำเนินการมาตรการผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ในเบื้องต้นเป็นเรื่องของ ความรู้ความเข้าใจในการเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวของประชาชนยังไม่แพร่หลาย ศาลจึงต้อง ปรับตัว ไม่ทำงานเชิงตั้งรับ เดิมการติดต่อหาผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้เพิ่มงานให้กับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ศาล เป็นอย่างมาก ทำให้เกิดการต่อต้าน จึงจำเป็นต้องผลักดันให้คนบุคลากรในศาลเห็นประโยชน์ก่อน จากนั้นให้สังคมได้รับรู้กระจายความรู้และเผยแพร่ให้มากกว่านี้ ทุกภาคส่วนควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ ผู้เสียหาย เหยื่ออาชญากรรม และพยาน รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักรับรู้ถึงการทำดุลยภาพแห่ง สิทธิให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการรายงานการกำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และคดี ส่วนใหญ่ในศาลเป็นคดียาเสพติดที่มีโทษสูงจึงไม่สามารถใช้มาตรการดังกล่าวได้ ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม -ศาลได้ออกไปให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ภาคกลาง มีการประชาสัมพันธ์ ทั้งทางสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ ป้ายประชาสัมพันธ์ ขยายไปทุกอำเภอ ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ถึงการมีอยู่และ บทบาทหน้าที่ของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และการขอปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลย เจ้าหน้าที่ศาลจะให้คำแนะนำในการใช้มาตรการกำกับดูแลดังกล่าวอยู่เสมอ ทำให้ประชาชนเข้าถึง มาตรการดังกล่าวของศาลได้ เมื่อประชาชนรับรู้ได้รู้จักผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวแล้วจะสนใจให้ ความร่วมมือช่วยเหลือเอง หรือสามารถติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ศาลได้เสมอ -ประชาชนในจังหวัดใหญ่มักจะมีประชากรแฝงจำนวนมาก ทั้งคนต่างชาติและคนไทยที่โยกย้าย ถิ่นมาทำงาน การแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวของศาลในจังหวัดเหล่านี้จึงดำเนินการยาก ศาลต้องเข้าถึงคนในพื้นที่ให้มากขึ้น หรือแต่งตั้งนายจ้างหรือผู้อื่นเป็นผู้กำกับดูแลฯ ที่ขึ้นทะเบียน ภายหลังแทน ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการเข้ามา มีส่วนร่วมของประชาชน มาตรการผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ถือว่าเป็นโครงการที่มีประชาชนมีส่วนร่วมใน กระบวนการยุติธรรมของศาลซึ่งยังไม่มีรายงานในประเด็นของการมีส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) และยากแก่การเกิดประโยชน์ทับซ้อน เพราะมีการตรวจสอบคุณสมบัติและเป็น ที่ยอมรับของทุกฝ่าย


96 อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดเรื่องทุจริต ไม่ให้มีการเรียกผลประโยชน์หรือเรียกสิ่งตอบแทน เพื่อให้มีการปล่อยชั่วคราวจนกลายเป็นนายประกันอาชีพเข้าไปเกี่ยวข้องกับพยานหลักฐาน หรือ ทำหน้าที่ไม่ตรงไปตรงมา หากเกิดกรณีดังกล่าวศาลจะต้องให้ถอนตัว หรือหากมีการปล่อยปละละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสมควรจะไม่เบิกค่าตอบแทนให้ แต่จะไม่มีความผิด จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ -ศาลเป็นหน่วยงานอิสระ มีกระบวนการเฉพาะ เป็นงานเชิงคดีและตัวบทกฎหมาย สถานที่ใน ศาลมีจำกัด มีประเด็นเรื่องความปลอดภัย การทำสำนวนเป็นเรื่องความลับ การให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในรูปแบบอื่น ๆ ในศาลอาจจะมีความลำบาก อีกทั้งศาลได้ทำหน้าที่แทนประชาชนและชุมชน รวมทั้ง ศาลได้คิดให้แทนสังคมแล้ว -ศาลต้องวางตัว การขยายเครือข่ายเป็นการรู้จักกันในหน้าที่ ไม่ใช่ความสนิทสนมที่จะขอเรื่องคดี จึงต้องตัดสินคดีกันตามปกติ หากมีการฝากคดีศาลจะตัดสินลงโทษหนัก ศาลจึงยังมีความเกี่ยวโยงกับ ประชาชนไม่มาก นอกจากนี้ ศาลยังไม่รู้จักผู้คนในท้องถิ่นโดยเฉพาะศาลในกรุงเทพมหานครทำให้ตั้ง ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้ยาก -ปัจจุบันกระบวนการคุมประพฤติ การบังคับคดี และสถานพินิจอยู่ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม การตัดสินคดีจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานกลาง เพื่อเป็นแนวทางการตัดสินของผู้พิพากษาทุกคนให้ ใกล้เคียงกัน โดยศาลสามารถปรึกษาหัวหน้าศาลและหัวหน้าศาลจะช่วยตรวจสำนวนให้ การดำเนินการ ตามแนวทางดังกล่าวทำให้จำเลยและผู้ต้องโทษทราบแนวทางในการตัดสิน จำเลยสามารถทักท้วงได้ว่า โทษที่ได้รับนั้นสูงเกินไป รวมทั้งทนายความและตำรวจที่รับทราบแนวทางดังกล่าวจะใช้เป็นช่องทาง ต่อรองกับผู้ต้องหาที่คิดไม่สุจริตได้ -นโยบายใหม่กำหนดให้คดีอาญาต้องมีจำเลยในกระบวนการพิจารณา เพื่อสร้างความมั่นใจให้ จำเลยมาศาล มีการเรียกประกันตัว ใช้เงินสด โฉนดที่ดิน บัญชีเงินฝาก พันธบัตร หรือใช้ตำแหน่งหน้าที่ ในการประกัน หากคนที่ไม่มีหลักทรัพย์ก็ต้องไปเช่านายประกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในการปล่อยตัวชั่วคราว จึงทำให้จำเลยที่ยากจนขาดโอกาส จึงต้องผ่อนคลายด้วยมาตรการผู้กำกับดูแล ในการปล่อยชั่วคราว แต่ไม่ต้องการให้ผู้กำกับดูแลฯ กลายเป็นนายประกันอาชีพ 3.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในตำรวจภูธร ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ สถานีตำรวจภูธรจังหวัดในพื้นที่ภาคกลางที่คณะที่ปรึกษาเก็บข้อมูลทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ สถานี ตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท สถานีตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี และสถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา มีโครงการ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนี้ 1) คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตรวจ (กต.ตร.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดนโยบายให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ยุติธรรมในรูปแบบของการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.)


97 ทั้งในระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับสถานีตำรวจ เพื่อตรวจสอบการทำงานของตำรวจรวมถึงจัด กิจกรรมการกุศลช่วยเหลือประชาชนในด้านต่าง ๆ เช่น ทุนการศึกษา สิ่งของช่วยเหลือเมื่อมีเหตุการณ์ ภัยพิบัติ มีทุกโรงพัก ส่วนการประชุม กต.ตร. ยังไม่ได้กำหนดไว้แน่นอน บางแห่งประชุมเดือนละ 1 ครั้ง บางแห่งประชุมตามที่มีวาระ แต่มีการทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อประชาชนเป็นสำคัญ กต.ตร. ประกอบด้วย ประชาชนที่มีคุณสมบัติภายใต้ระเบียบ ก.ต.ช. ว่าด้วยคณะกรรมการ ตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ พ.ศ. 2549 ส่วนมากจะเป็นภาคประชาชนที่ประกอบธุรกิจ ส่วนตัว รวมถึงประชาชน อดีตข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น ทนายความ นักวิชาการ ผู้ประกอบกิจการ นายทุน และอาจตั้งคนที่ร้องเรียนตำรวจเป็นประจำให้มาร่วมใน กต.ตร. เพื่อเป็นเครือข่าย ทำให้เข้าใจ และช่วยเหลือตำรวจมากขึ้น เป็นการเลือกเชิงจิตวิทยาและปฏิบัติงานโดยไม่มีค่าตอบแทนเพราะเป็นผู้ที่ มีฐานะมั่นคงอยู่แล้ว เพียงต้องการเข้ามามีส่วนร่วมเป็นตัวแทนของประชาชน โดยมีประธานซึ่งเป็น บุคคลใน กต.ตร. เลือกขึ้น โดยมีผู้กำกับการตำรวจเป็นรองประธาน และสารวัตรธุรการเป็นเลขานุการ โดยตำแหน่ง หน้าที่ของ กต.ตร. มีดังต่อไปนี้ 1. ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะการการปฏิบัติงานของกองบัญชาการตำรวจภูธร ให้เป็นไป ตามนโยบายการพัฒนาและการบริหารงานตำรวจ 2. ประสานการตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติงานของกองบัญชาการตำรวจภูธร 3. รับคำร้องเรียนของประชาชนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธร จังหวัด 4. แต่งตั้งคณะกรรมการระดับสถานีตำรวจ 5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงาน เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ กต.ตร. จังหวัดมอบหมาย 6. รายงานผลการปฏิบัติงานให้กต.ตร. ทราบตามที่ กต.ตร.กำหนด 7. อำนาจหน้าที่อื่นตามที่ กต.ตร. มอบหมาย ในทางปฏิบัติ กต.ตร. ให้ความร่วมมือกับตำรวจในเรื่องการตรวจสอบการทำงาน การให้ความเห็น เกี่ยวกับการทำงานของตำรวจ การทำงานการกุศล การร่วมกันลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความ เดือดร้อนในกรณีต่าง ๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของสถานีตำรวจแต่ละแห่ง ตลอดจนการให้ความ ช่วยเหลือในกิจการและความเดือดร้อนของตำรวจ เช่น สนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ จัดหาเงินกองทุนให้ ตำรวจเป็นเงินออกตรวจ จัดตั้งกองทุนกู้ยืมให้ตำรวจโดยไม่เสียดอกเบี้ย ซึ่งเป็นกิจกรรมขอความร่วมมือ เพื่อทำให้มีการขับเคลื่อนกิจกรรมของตำรวจที่ทำเองไม่ได้ กต.ตร. จะดำเนินการแทนได้โดยไม่ขัดต่อ ระเบียบทำให้ช่วยเหลืองานของตำรวจได้มาก แต่จะไม่แสดงความคิดเห็นทางด้านกฎหมาย 2) โครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเบื้องต้น เป็นไปตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 หากเป็นข้อพิพาทที่สามารถใช้ ดุลพินิจได้เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้จะใช้กระบวนการไกล่เกลี่ย หากเจ้าหน้าที่ไกล่เกลี่ยมีจำนวน


98 ไม่เพียงพอจึงต้องมีการอบรมขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ส่วนใหญ่จะเป็นคนผู้ที่มีความรู้เรื่องกฎหมาย และเคยมีประสบการณ์ในการทำงานไกล่เกลี่ยมาบ้างแล้ว เช่น อดีตข้าราชการตำรวจ หรือผู้ที่ผ่านการ อบรม หากเป็นกรณีความรุนแรงในครอบครัวตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรง ในครอบครัว. พ.ศ. 2550 ผู้ไกล่เกลี่ยส่วนใหญ่จะเป็นเครือญาติของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายและนักสังคมสงเคราะห์ เพราะจะต้องมีการดูแลผู้ต้องหาและผู้เสียหาย การปรับปรุงจิตพิสัย การคุมประพฤติ รวมทั้งให้คำแนะนำ ต่อกระบวนการยุติธรรมหากทั้งสองฝ่ายต้องกลับมาอยู่ด้วยกัน เพื่อไม่ให้มีการกระทำความผิดซ้ำซึ่งเรื่อง ความรุนแรงในครอบครัวเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนจะไม่มีความรู้ความเข้าใจในบทบาท ในการทำหน้าที่และไม่มีประสบการณ์เท่าที่ควร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีภารกิจอีกหลายด้าน สำหรับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์พ.ศ. 2551 จะมีความร่วมมือทั้ง ฝ่ายพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจ นักสงคมสงเคราะห์ อัยการ และ NGOs จนมีการแก้ไขกฎหมาย เพิ่มเติม 2 ฉบับ เช่น การครอบครองภาพลามกเด็ก และการขยายความคุ้มครองไปยังเด็กพิการหรือมี ความบกพร่องทางสติปัญญา และเด็กที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นผู้เสียหาย การแก้ไขคดีค้ามนุษย์ครั้งที่ 3 3) โครงการยุติความรุนแรง เป็นโครงการที่ช่วยเหลือผู้เสียหาย คุ้มครองสิทธิของประชาชน โดยมีนักสังคมสงเคราะห์ดูแล และประชาชนจะช่วยสอดส่องดูแลให้ตำรวจเพราะตำรวจดูแลประชาชน 4) โครงการตำรวจอาสา โครงการตำรวจอาสามีหลายโครงการที่ประชาชนสามารถให้ความช่วยเหลือผ่อนเบางานของ ตำรวจ เช่น การที่ประชาชนเข้าร่วมเป็นอาสาจราจร การช่วยเหลือในงานป้องกัน สืบและรายงานตำรวจ การร่วมออกตรวจเพื่อป้องกันเหตุหรือขับรถลงพื้นที่ การช่วยสอดส่องดูแลพื้นที่ หรือผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ รับจ้างสาธารณะช่วยปิดซอยกันพื้นที่ตอนรับเสด็จ ฯลฯ ประชาชนที่เป็นตำรวจอาสา ต้องผ่านการอบรมได้รับความรู้กฎหมายเบื้องต้นตามหน้าที่ที่ได้รับ มาด้วยใจ มีเครื่องแบบที่ทำให้เห็นแตกต่างจากตำรวจ มีการตรวจสอบความประพฤติ ด้วยความที่ ตำรวจเป็นมิตร สร้างมวลชน ทำให้ตำรวจหาแนวร่วมกับประชาชนได้ง่ายขึ้น 5) โครงการปักกลด เป็นโครงการที่ขอความช่วยเหลือจากประชาชนที่ร่วมโครงการที่จะเข้าไปแฝงอยู่ในชุมชน เพื่อตรวจสอบโดยเฉพาะคดียาเสพติด 6) โครงการทนายความอาสา สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมทำ MOU กับสภาทนายความเพื่อให้สถานีตำรวจในแต่ละจังหวัด จะมีทนายความประสานช่วยเหลือคัดกรองงานให้กับประชาชน แต่จะไม่มีทนายความประจำทุกสถานี ตำรวจซึ่งพิจารณาจากจำนวนคดี ซึ่งสามารถประสานกับสภาทนายความได้ โดยสภาทนายความจ่าย ค่าตอบแทนให้แก่ทนายความอาสา


99 ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม -ปัญหาอุปสรรคของ กต.ตร. เป็นเรื่องเวลาทำงานของประชาชน เพราะประชาชนที่ยังต้องการ ช่วยเหลือตำรวจยังต้องทำงานประจำในเวลากลางวัน -โครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเบื้องต้น หากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความเห็นว่าขั้นตอนการปฏิบัติ ยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม เป็นการเพิ่มขั้นตอนหรือเพิ่มเงื่อนไข ทำให้การไกล่เกลี่ยยากขึ้นหรือไม่ได้ช่วยให้ คดีลดลง ควรจะปรับให้การดำเนินการจบได้เร็วที่สุด ซึ่งพนักงานสอบสวนและฝ่ายปกครองทำอยู่แล้ว ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม กต.ตร. ถือว่าได้รับการตอบรับในเชิงบวก เพราะประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือในการทำงาน เป็นอย่างดี ตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ กต.ตร. จัดทำขึ้นอย่างดีเพราะมีประชาสัมพันธ์ผ่านโครงการ ตำรวจมวลชนสัมพันธ์ การสร้างมวลชนหาแนวร่วม ตำรวจไม่ต้องออกแรงมาก เมื่อชุมชนเข้มแข็งทำให้ อาชญากรรมลดลง เมื่อชุมชนเข้มแข็งงานตำรวจจะลดลง อย่างไรก็ตาม ในความเป็นชุมชนเมืองขนาดใหญ่หรือเป็นเมืองเศรษฐกิจของบางพื้นที่จะมี อาสาสมัครช่วยเหลือที่หลากหลาย มีทั้งประชาชนที่เป็นคนในพื้นที่แรงงานข้ามถิ่น และชาวต่างชาติ มีประชากรแฝงจำนวนมากจึงจำเป็นต้องมีการคัดกรอง ซึ่งประชาชนกลุ่มนี้มีความสนใจที่จะเข้ามา มีส่วนร่วมใน กต.ตร. น้อย มีแต่เพียงคนในพื้นที่ที่รับรู้ หากจะมีการสำรวจความสนใจของผู้คนในพื้นที่ สามารถตรวจสอบข้อมูลจากสำนักงานยุติธรรม จังหวัดและศูนย์ดำรงธรรมเพิ่มเติม ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ในประเด็นของการมีส่วนได้เสียอาจเกิดขึ้นกับ กต.ตร. ได้เพราะสังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ จึงต้องมีการตรวจสอบประวัติ แต่อาจเกิดได้น้อยเพราะยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นปัจจัยที่จะทำให้ คดีเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ทำให้ประชาชนเสียเปรียบหรือไม่ทำให้ผิดเป็นถูก ซึ่งต้องทำให้อยู่ในกรอบ ตำรวจอาจ เพียงช่วยอำนวยความสะดวกรวดเร็วขึ้น ลดขั้นตอนมากขึ้น สามารถทำให้ได้เท่าที่ไม่เกิดความเสียหาย และไม่ทำให้คดีพลิกเปลี่ยน เพราะหากมีความผิดปกติจะมีความเสี่ยงต่อพนักงานสอบสวนที่จะถูกตั้ง กรรมการสอบสวนเสียเอง ในการปฏิบัติหน้าที่ของประชาชนใน กต.ตร. อาจเข้ามาแฝงเพื่อหาผลประโยชน์จากการทำงาน ของตำรวจได้หรือเป็นตำรวจอาสาแต่ออกตรวจพื้นที่เองเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งตำรวจอาสาเป็น เพียงผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานจะต้องออกตรวจพร้อมกับตำรวจ จึงได้ปรับเครื่องแบบของตำรวจอาสาให้ ชัดเจนเพื่อไม่ให้คล้ายตำรวจ ส่วนอาวุธปืนที่ให้ยืมใช้ขณะออกตรวจก็ต้องคืนหลังเสร็จสิ้นภาระงาน จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ -ขอบเขตของการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของตำรวจไม่สามารถทำได้ ทุกเรื่อง ซึ่งพนักงานสอบสวนจะพิจารณาจากข้อกฎหมายได้ให้อำนาจไว้หรือไม่ เช่น มีกรณีที่ผู้ต้องหา


100 ซึ่งเป็นพี่ชายของผู้เสียหายได้ข่มขืนผู้เสียหายแล้วถูกดำเนินคดี หลังจากพ้นโทษมาแล้วได้กลับมาอยู่ที่ บ้านทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถอยู่ที่บ้านของตนเองได้ และกฎหมายก็ไม่ได้คุ้มครองผู้เสียหายแล้ว เนื่องจากคดีเสร็จสิ้นแล้ว หรือกรณีคดีที่ผู้ต้องหามีการอาการคลุ้มคลั่งและไม่มีญาติดูแลจะมีผู้ใดรับไป ดูแลแทน -ประชาชนอาจช่วยเหลืองานธุรการของตำรวจ การเดินเอกสาร การให้คำแนะนำเบื้องต้น เพราะสถานีตำรวจมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงเป็นจำนวนน้อยมาก แต่ด้านการเงินและคดีไม่สามารถให้ เข้ามาช่วยเหลือได้เพราะเป็นความลับ -ตำรวจมีความเห็นว่าอัยการมีความห่างกับประชาชนมาก เข้าถึงได้ยาก มีลักษณะงานเป็น ทางการ แม้กระทั่งตำรวจและอัยการยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน ควรต้องมีการพบปะสังสรรค์ประสาน สัมพันธ์ระหว่างกันและกับประชาชนให้มากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างแนวร่วมช่วยเหลือโดย ประชาชนได้ 4. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคเหนือ คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย ซึ่งมีหน่วยงาน 10 แห่ง ประกอบด้วย สำนักงาน อัยการภาค 1 แห่ง สำนักงานอัยการจังหวัด 3 แห่ง สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 แห่ง ศาลจังหวัด 1 แห่ง และสถานีตำรวจภูธรจังหวัด 4 แห่ง ดังนี้ ตารางที่ 4 การลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานภาคเหนือ (ระหว่างวันที่3-12 ตุลาคม 2565) ที่ หน่วยงาน ชื่อ-สกุล / ตำแหน่ง วันที่ 3 ตุลาคม 2565 1. สำนักงานอัยการภาค 5 -ดร.สนธยา เครือเวทย์ อัยการพิเศษฝ่ายคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือ ทางกฎหมายภาค 5 2. สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 นางสาวสุนทรียา เหมือนพะวงศ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 5 3. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ -พ.ต.อ.ดำเนิน กันอ่อง รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ -พ.ต.ท.กฤตภาส นารานิธิธนกุล รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.ช้างเผือก -พ.ต.ท.อดุลย์ สวยสม รอง ผกก.(สอบสวน) หน.สอบสวน สภ.ภูพิงค์พระราชนิเวศน์


101 ที่ หน่วยงาน ชื่อ-สกุล / ตำแหน่ง วันที่ 10 ตุลาคม 2565 4. สำนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก -นายสุเมธ คูหเพ็ญแสง อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด - นายคงศักดิ์ มาตังครัตน์ อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือ ทางกฎหมาย 5. สถานีตำรวจภูธรวังทอง จังหวัดพิษณุโลก -พ.ต.อ. เจษฎา ท่าโพธิ์ ผกก. สภ.วังทอง -ร.ต.อ.ชณุภากร นิ่มเพ็ง รอง สว.(สอบสวน) สภ.วังทอง วันที่ 11 ตุลาคม 2565 6. สำนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัย -นายทวี อยู่จันทร์ อัยการจังหวัดสุโขทัย 7. ศาลจังหวัดสุโขทัย -นายไวฑูรย์ มีมงคล เจ้าพนักงานศาลยุติธรรมชำนาญการพิเศษ วันที่ 11 ตุลาคม 2565 8. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสุโขทัย -พ.ต.อ.สุขเกษม สุนทรวิภาต รอง ผบก.สภ.จว.สุโขทัย วันที่ 12 ตุลาคม 2565 9. สำนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร -นายสมโชค ศรีนิรัตน์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด 10. สถานีตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร -พ.ต.ท. เสกสรรค์ ศักดิ์บูรณาเพชร รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.เมืองกำแพงเพชร -พ.ต.ท. สุวิช พิศอ่อน สว. (สอบสวน) สภ.เมืองกำแพงเพชร -ร.ต.ท. วสันต์ ทองวิจิตร รอง สว. (สอบสวน) สภ.ขาณุวรลักษบุรี -พ.ต.ท. เอกรินทร์ รักพ่วง สว. (สอบสวน) สภ.ทรงธรรม


102 4.1 การมีส่วนร่วมของประชาชนในสำนักงานอัยการจังหวัด ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ 1) คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน การแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน เป็นนโยบายของแต่ละจังหวัดมีลักษณะ คล้ายผู้พิพากษาสมทบ แต่ไม่มีกฎหมายรองรับอย่างเป็นทางการ เป็นไปตามนโยบายของสำนักงาน อัยการสูงสุดที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้มีการตั้งตามความพร้อมของแต่ละจังหวัด สำนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัย ไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เนื่องจากประชาชนไม่ให้ความสนใจ แต่สำนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานอัยการจังหวัด พิษณุโลก และสำนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของ ภาคประชาชน ประกอบด้วย ประชาชนทั่วไปที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น จังหวัดกำแพงเพชร พิจารณาตั้งจากผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้ประกอบธุรกิจ เกษตรกร ข้าราชการบำนาญ ผู้บริหารโรงสีข้าว ที่มีศักยภาพในการประสานงานและให้ความร่วมมือสนับสนุนการจัดกิจกรรม โดยจะต้องไม่มีประโยชน์ ทับซ้อนกับการอำนวยความยุติธรรม ทั้งนี้ ไม่มีการกำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และ จำนวนคณะกรรมการแต่อย่างใด จำนวนกรรมการของคณะกรรมการดังกล่าวในแต่ละแห่งมีจำนวนไม่เท่ากัน สำนักงานอัยการ จังหวัดกำแพงเพชรมีคณะกรรมการ 2 ชุด คือ คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน 5 คน และมี การตั้งคณะที่ปรึกษาอัยการจังหวัดกำแพงเพชรอีก 21 คน ตามคำสั่งตั้งของอัยการจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งที่มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น ผู้ประกอบธุรกิจ ผู้บริหารโรงสีข้าว ผู้บริหารร้านเกษตร เกษตรกร ผู้นำท้องถิ่น (นายกองค์การบริหารส่วนตำบล นายกเทศมนตรี) อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้บริหารโรงงาน พ่อค้า โดยใช้การกลั่นกรองร่วมกันของอัยการจังหวัด อดีตอัยการจังหวัด คณะอัยการ และคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ทำหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาค ประชาชน และทำงานร่วมกัน หน้าที่ของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนของสำนักงานอัยการจังหวัด คือ -การประชุมร่วมกับสำนักงานอัยการอย่างน้อย 1 เดือน หรือ 3 เดือนต่อ 1 ครั้ง แล้วแต่ละ จังหวัด และหากมีกิจกรรมพิเศษสามารถนัดประชุมเพิ่มเติมได้ -การสนับสนุน/อำนวยความสะดวกให้กับสำนักงานอัยการตามโอกาสอันสมควร เช่น การสนับสนุน งบประมาณในการจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย -เสนอแนะเกี่ยวกับความต้องการของประชาชนในชุมชนหรือท้องถิ่น เช่น เสนอให้ สคช. ไป เผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชนในพื้นที่ -ช่วยในการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาทของประชาชน แต่คณะกรรมการฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระบวนการพิจารณาสำนวนแต่อย่างใด การ เข้ามามีส่วนร่วมของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนนั้นเป็นไปด้วยความสมัครใจและ


103 ความยินดีที่จะช่วยเหลือโดยไม่มีค่าตอบแทน โดยจะเป็นผู้รับฟังปัญหาและสะท้อนปัญหาจากประชาชน ในชุมชน ควบคู่กับการเป็นกระบอกเสียงให้กับสำนักงานอัยการจังหวัด ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม -คุณสมบัติของผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ซึ่งในปัจจุบัน ยังไม่มีการกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการฯ ว่าจะต้องมีคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามอย่างไรบ้าง ขึ้นกับดุลพินิจของแต่ละสำนักงานอัยการจังหวัดที่เป็นผู้กำหนดและคัดเลือกบุคคล ซึ่งอาจส่งผลกระทบ ต่อมาตรฐานของการทำงาน -ไม่มีกฎหมายรับรองอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ทำให้ไม่ มีความชัดเจนในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตนเอง การทำหน้าที่จึงไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ -ข้อจำกัดด้านงบประมาณเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้กับประชาชนที่ประสงค์จะเข้ามามีส่วนร่วมใน กระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากมีการกำหนดระเบียบและการกำหนดค่าตอบแทนอย่างชัดเจน จะเป็นอีก หนึ่งแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนช่วยเหลือกิจการของสำนักงานอัยการได้มากขึ้น ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม -ประชาชนให้ความสนใจในการเข้าร่วมเป็นอย่างดีโดยเฉพาะในจังหวัดกำแพงเพชร ตรงกันข้ามกับ จังหวัดสุโขทัยที่ประชาชนให้ความสนใจน้อยมาก ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน -ไม่ปรากฎปัญหาการมีผลประโยชน์ทับซ้อน จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ -การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เป็นประโยชน์ ต่อทางสำนักงานอัยการจังหวัด ในอนาคตควรเปลี่ยนแปลงกระบวนการการได้มาของคณะกรรมการ มีส่วนร่วมของภาคประชาชนให้มีความชัดเจนขึ้นโดยตราเป็นกฎหมายเช่นเดียวกับผู้พิพากษาสมทบ -ภาคประชาชนมีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถในการรับฟังข้อเท็จจริงได้ดีมากไม่แตกต่าง จากพนักงานอัยการ ควรให้ประชาชนมามีส่วนร่วมในการใช้ดุลพินิจในเรื่องข้อเท็จจริงตามความรู้ความ เชี่ยวชาญของประชาชนเช่นเดียวกับลูกขุนในชั้นศาลในต่างประเทศ 4.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนในศาลจังหวัด จากการสัมภาษณ์ผู้แทนจากศาลยุติธรรมของภาคเหนือทั้ง 3 จังหวัด ประกอบด้วย ผู้แทน อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 5 (จังหวัดเชียงใหม่) และผู้แทนศาลจังหวัดสุโขทัย ได้ให้ข้อมูลสำคัญที่ เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม สรุปได้ดังนี้


104 ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ 1) ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว เป็นการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อย ชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดให้ศาลสามารถแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้ทั้งกรณี ที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกันหรือมีหลักประกันก็ได้ และกำหนดเงื่อนไขให้ ผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราวปฏิบัติ คุณสมบัติของผู้กำกับดูแลนั้นจะคัดเลือกจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำชุมชน ในพื้นที่ที่ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวมีภูมิลำเนา และต้องมีความสมัครใจให้ความร่วมมือกับทางศาลเป็นอย่างดี โดยทำหน้าที่รับรายงานตัว และไม่มีการนัดประชุม แต่จะมีการทำรายงานเสนอศาลเกี่ยวกับผู้ถูกปล่อยตัว ชั่วคราว ซึ่งร้อยละ 90 ของผู้รับทำหน้าที่นี้สามารถดำเนินงานได้ประสบผลสำเร็จ คือปฏิบัติหน้าที่ได้โดย เรียบร้อยจนครบกำหนดระยะเวลาในการปล่อยชั่วคราว 2) ผู้พิพากษาสมทบ ศาลยุติธรรมมีการแต่งตั้งผู้พิพากษาสมทบ ทำหน้าที่ทั้งการตรวจสำนวนและพิจารณาตัดสินคดี โดยมีที่มาจากทั้งกรณีของประชาชนทั่วไป (ศาลเยาวชนและครอบครัว) ผู้เชี่ยวชาญ (ศาลทรัพย์สินทาง ปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง) และผู้แทนกลุ่มองค์กร (ศาลแรงงาน) ทำหน้าที่ทั้งการตรวจ สำนวนและพิจารณาตัดสินคดีและให้การสนับสนุน/อำนวยความสะดวกให้กับสำนักงานอัยการตาม โอกาสอันสมควร เช่น การสนับสนุนงบประมาณในการจัดกิจกรรมของศาล 3) ผู้ประนีประนอม ผู้ประนีประนอมคัดเลือกจากประชาชนทั่วไป ทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยและดำเนินการเพื่อ ช่วยเหลือให้คำแนะนำศาลในการไกล่เกลี่ยคดี แต่ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินชี้ขาด พิจารณาแต่งตั้งจาก ประสบการณ์หรือคุณวุฒิที่มี เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการไกล่เกลี่ยคดี ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม -ต้องการความชัดเจนและความเชื่อมั่นต่อสถานะความเป็นผู้พิพากษาของผู้พิพากษาสมทบ ที่เป็นบุคคลภายนอกต่อการทำหน้าที่ของบุคลากรในศาล -ผู้สนใจเป็นผู้ไกล่เกลี่ยส่วนมากจะเป็นผู้มีความพร้อมทางฐานะ แต่ยังมีผู้มีความรู้เชี่ยวชาญใน หลายภาคส่วน เช่น NGOs ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม -กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำชุมชนในพื้นที่ที่เป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิเสธการเข้า ทำหน้าที่ เนื่องจากผู้ถูกปล่อยชั่วคราวเป็นผู้กระทำความผิดซ้ำซาก หรือไม่สามารถดูแลให้อยู่ภายใต้การ กำกับดูแลได้ ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม -ประชาชนให้ความสนใจในการเข้าร่วมเป็นอย่างดี


105 ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน -ไม่ปรากฎปัญหาการมีผลประโยชน์ทับซ้อน จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ---ไม่มี--- 4.3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในตำรวจภูธร ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ จากการสัมภาษณ์ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของภาคเหนือทั้ง 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย ได้ให้ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้อง กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของตำรวจภูธรมี 2 รูปแบบ •การมีส่วนร่วมแบบเป็นทางการ ประกอบด้วย -คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สถานีตำรวจภูธรที่ได้เก็บข้อมูลสัมภาษณ์ทุกแห่งมีการแต่งตั้ง กต.ตร. โดยองค์ประกอบของ กรรมการส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลภายนอกที่มีทั้งประชาชนที่ได้รับการยอมรับ เป็นนักธุรกิจ เป็นผู้นำ ท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอดีตข้าราชการ ฯลฯ เป็นการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยบทบาทหน้าที่ของ กต.ตร. จะเป็นงานเชิงสนับสนุนการปฏิบัติงานของตำรวจ เป็นการช่วยเหลือทางกายภาพที่ไม่เกี่ยวข้อง กับสำนวนคดี มีหน้าที่ช่วยสร้างความเข้าใจ ช่วยประชาสัมพันธ์ และช่วยเป็นกระบอกเสียงในการ ดำเนินงานของสถานีตำรวจ มีวาระการดำรงตำแหน่ง และมีการจัดประชุมเป็นประจำสม่ำเสมอ •สำหรับการมีส่วนร่วมแบบไม่เป็นทางการ ประกอบด้วย -การแจ้งเบาะแส และการแจ้งข่าวสาร ประชาชนได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยการแจ้งเบาะแส แจ้งข่าวสารผ่านช่องทาง ต่าง ๆ ทั้งโทรศัพท์ สายด่วน 191 แอปพลิเคชัน line@อินทนนท์(มีสมาชิกประมาณ 20,000 คน) รวมถึงการให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ปัจจัยที่ทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมคือ การที่ประชาชนสามารถรับรู้ข่าวสาร รวมถึงแจ้งข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสถานีตำรวจได้อย่างสะดวก ใช้งานง่าย เสียค่าใช้จ่ายน้อย และประชาชนที่ใช้โซเชียลมีเดียมีความคุ้นเคยกับการใช้แอปพลิเคชันอยู่แล้ว และประชาชนสามารถส่วนช่วยเหลือตำรวจได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม กต.ตร. ของตำรวจภูธรต่าง ๆ ยังไม่พบปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม จากการดำเนินงานของ กต.ตร. นอกจากจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบปัญหาของประชาชนได้ อีกช่องทางแล้ว กต.ตร. ยังเป็นกระบอกเสียงของตำรวจ ส่งผลโดยอ้อมต่อความตื่นตัว และการรับรู้ของ ประชาชนถึงภาระหน้าที่ของตำรวจมากขึ้น และให้ความร่วมมือกับตำรวจดีขึ้น


106 ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน กต.ตร. ของตำรวจภูธรต่าง ๆ ไม่มีประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจาก กต.ตร. มีหน้าที่ ติดตามและตรวจสอบการทำงานของตำรวจ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางกระบวนยุติธรรมหรือกระบวนการ สอบสวนของตำรวจแต่อย่างใด จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ---ไม่มี--- 5. สรุปข้อมูลจากแบบสอบถามทางออนไลน์ คณะที่ปรึกษาได้จัดทำ QR Code สำหรับแบบสอบถามออนไลน์ “การมีส่วนร่วมของประชาชน ในกระบวนการยุติธรรม” ในรูปแบบ Google Form โดยได้จัดทำแผ่นประชาสัมพันธ์พร้อม QR Code ไปวางบนเว็บไซต์ https://www3.ago.go.th/nitivajra/civic-participation/ ซึ่งเป็นหน้าเว็บไซต์ข่าว ประชาสัมพันธ์ของสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นเวลาประมาณ 20 วัน ปิดรับข้อมูลวันที่ 20 ตุลาคม 2565 รวมถึงช่องทางอื่น ๆที่สถาบันนิติวัชร์ได้อนุเคราะห์นำแผ่นประชาสัมพันธ์แบบสอบถาม ออนไลน์ “การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม” ไปเผยแพร่ในสื่อสารสนเทศต่าง ๆ ของสำนักงานอัยการสูงสุดด้วย เช่น Facebook และกลุ่มไลน์ (LINE) ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจากแบบสอบถาม ออนไลน์สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามรวมทั้งหมด จำนวน 8 ราย ประกอบด้วย 1. หน่วยงานสำนักงานอัยการ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายพัฒนากฎหมาย สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครปฐม สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัว จังหวัดแพร่ และสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี (ซึ่งได้ให้ข้อมูลโดยการตอบแบบสอบถามกลับมายัง คณะที่ปรึกษาโดยตรงแล้ว และได้ตอบแบบสอบถามออนไลน์ให้อีกครั้ง) 2. หน่วยงานสำนักงานตำรวจ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สถานีตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก (2 ราย) สถานีตำรวจภูธรลอง จังหวัดแพร่ และสถานีตำรวจภูธรเมืองตรัง จังหวัดตรัง 3. หน่วยงานในสำนักงานศาลยุติธรรม ไม่มีการตอบแบบสอบถาม หน่วยงานที่ได้ตอบแบบสอบถามนั้นส่วนใหญ่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมใน กระบวนการยุติธรรมคิดเป็นร้อยละ 62.5 ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาคิดเป็นร้อยละ 37.5 โดยมี รายละเอียดดังนี้ ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ ในกลุ่มของหน่วยงานที่ตอบแบบสอบถามร้อยละ 62.5 จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ สำนักงานอัยการ พิเศษฝ่ายพัฒนากฎหมาย สถานีตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก (2 ราย) สถานีตำรวจภูธรลอง จังหวัดแพร่ และสถานีตำรวจภูธรเมืองตรัง จังหวัดตรัง มีรูปแบบที่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมใน กระบวนการยุติธรรม จำนวน 4 รูปแบบ คือ


107 1) คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กก.ตร.) จัดตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบ และติดตามการบริหารงานตำรวจ การรับคำร้องทุกข์จากประชาชนเพื่อนำเสนอหน่วยงานในการแก้ไขปัญหา การดูแลผู้ต้องหาและผู้เสียหาย และให้คำแนะนำต่อกระบวนการยุติธรรม โดยดำเนินการสัปดาห์ละ 1 ครั้ง (4 ครั้งต่อเดือน) ผลที่ได้รับคือได้รับความร่วมมือและเสียงตอบรับจากประชาชนในพื้นที่ได้เป็น อย่างดี 2) การให้ผู้นำชุมชนเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ย เป็นการให้ผู้นำชุมชนในท้องที่ให้รายละเอียด เกี่ยวกับประชาชนในพื้นที่รวมทั้งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ช่วยให้ข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับคดี การช่วยดูแลบุคคล ผู้พ้นโทษ การช่วยควบคุมบุคคลกลุ่มเสี่ยง ช่วยให้ได้ข้อมูลที่แท้จริงเพื่ออำนวยความยุติธรรมได้ถูกต้อง 3) การแสดงความคิดต่อเห็นร่างกฎหมาย เป็นการดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดให้รับฟัง ความคิดเห็นของประชาชน ต่อร่างกฎหมายเมื่อมีการประกาศรับฟังความคิดเห็นร่างกฎหมาย 4) การให้มีตัวแทนประชาชนตรวจสอบการทำงานของตำรวจ จัดทำสรุปงานรายเดือนและ สามารถแจ้งปัญหาอุปสรรคการทำงานได้ เป็นการดำเนินการตามข้อกำหนดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ดำเนินการเดือนละ 1 ครั้ง เป็นประโยชน์ต่อ ประชาชนให้สามารถตรวจสอบและเข้าถึงการทำงานได้ ผู้เข้าร่วมการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม ประกอบไปด้วย หัวหน้าหน่วยงานในจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ข้าราชการ นายกเทศมนตรี สมาชิกสภาจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทน ทนายความ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนประชาชน รวมไปถึงประชาชนทั่วไป ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของหน่วยงานทั้ง ระดับจังหวัดหรือในระดับท้องที่ ได้แก่ การปัญหาเรื่องงบประมาณในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับ ประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วม ปัญหาเรื่องทัศนคติ รวมทั้งปัญหาที่ประชาชนยังให้ความสำคัญน้อย อย่างไรก็ตาม มีบางหน่วยงานไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนมีส่วนร่วม ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม แม้ว่าประชาชนสามารถติดตามการทำงานของหน่วยงานยุติธรรมได้ตามสื่อสังคมออนไลน์ใน พื้นที่ประชาชนอาศัย เช่น สถานีตำรวจ แต่ส่วนใหญ่มีการรับรู้ ตื่นตัว และสนใจในระดับปานกลางไป จนถึงระดับน้อย เนื่องจากไม่มีค่าตอบแทน ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานจากการ เข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ผู้ตอบแบบสอบถามมีทั้งเห็นว่าไม่น่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้นเพราะประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วมด้วยใจและจิตอาสา ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนแต่อย่างใด ทำให้มีผลดีเกิดการบูรณาการร่วมกัน เช่น สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในจังหวัดได้สนับสนุนนักจิตวิทยาในการ สอบปากคำ และยังมีความเห็นว่าอาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนได้ในส่วนของความเป็นเครือญาติ


108 จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ -พนักงานอัยการไม่เคยลงพื้นที่เกิดเหตุ ประชาชนยังต้องมาหาพนักงานอัยการเอง การแสวงหา พยานมอบให้ตำรวจดำเนินการหน่วยเดียว พนักงานอัยการไม่ได้อำนวยความยุติธรรมหรือแสวงหา ข้อเท็จจริงเชิงรุกเลย สำหรับกลุ่มของหน่วยงานที่ตอบแบบสอบถามร้อยละ 37.5 จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ สำนักงาน อัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครปฐม สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแพร่ และสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี5 ให้ข้อมูลว่าไม่มีกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ยุติธรรม เนื่องจากหน่วยงานสำนักงานอัยการจังหวัดเป็นหน่วยงานที่พิจารณาในด้านการอำนวยความ ยุติธรรมในการพิจารณาสั่งคดี เพื่อรักษาความเป็นอิสระในการสั่งคดีของพนักงานอัยการและปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่กำหนดไว้ว่าห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้ผ่านการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนมาก่อน ดังนั้น จึงไม่มีกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ในกระบวนการยุติธรรม การที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นอาจให้ช่วยเหลือ ในการสอบถามความคิดเห็นเรื่องเยียวยา/ผลกระทบที่เกิดขึ้น/ความต้องการของทั้งสองฝ่าย ในกรณีที่ ประชาชนคนใดที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญาและไม่ได้รับความเป็นธรรมในการสอบสวน ก็สามารถยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ เพื่อให้พิจารณาในประเด็นที่ตนไม่ได้รับ ความเป็นธรรมได้ และควรสนับสนุนให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการบังคับโทษตามคำสั่งศาล หรือ มาตรการตามกฎหมายในการพิจารณาลดโทษ ในประเด็นของความสนใจของประชาชนที่จะเข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรมประจำจังหวัดหรือ ระดับท้องที่นั้น ผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นแตกต่างกัน มีทั้งเห็นว่าประชาชนอาจจะสนใจ เห็นว่า ไม่ตื่นตัวหากรบกวนการทำมาหากิน และเห็นว่าหากประชาชนในพื้นที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในประเด็นใด ก็อาจจะมีความสนใจที่จะเข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวเนื่องในประเด็นดังกล่าว ผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นต่อประเด็นของผลประโยชน์ทับซ้อนกับหน่วยงานยุติธรรมหาก ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ประชาชนทั่วไปอาจจะมอง ว่าผู้ที่แสดงความคิดเห็นจะมีส่วนได้เสีย แต่ผู้ที่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นย่อมทราบว่าความคิดเห็นนั้น ไม่ผูกมัดหน่วยงานที่จะนำมาใช้ในทางคดี เนื่องจากความเป็นกลางของหน่วยงานในกระบวนการ ยุติธรรม อีกหนึ่งความเห็นระบุว่าไม่แน่ใจ เพราะไม่ทราบขั้นตอนการมีส่วนร่วมของประชาชนมากน้อย เพียงใด และความเห็นสุดท้ายคืออาจจะมีผลกระทบต่อความเป็นอิสระ มีฝักฝ่ายมีความไม่เที่ยงตรงใน การพิจารณาสั่งคดี ผู้ตอบแบบสอบถามได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนควรมีขอบเขต ไม่ก้าวล่วงการพิจารณาความเห็นในเนื้อหาของคดี 5คำตอบของสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรีที่ตอบแบบสอบถามส่งให้คณะที่ปรึกษาโดยตรง แจ้งว่ามีกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน ในหน่วยงาน แต่ผู้ตอบแบบสอบถามออนไลน์ให้ข้อมูลว่าไม่มีกลไกให้ประชาชนมีส่วนร่วมตามเหตุผลข้างต้น


109 6. สรุปผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงาน 4 ภาค และแบบสอบถาม คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมทั้ง 4 ภาค ในระหว่างวันที่26 กันยายน ถึงวันที่ 12 ตุลาคม 2565 ดังนี้ -ภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา และจังหวัดสุราษฎร์ธานี -ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดร้อยเอ็ด และ จังหวัดอุดรธานี -ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี -ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย ตารางที่ 5 สรุปจำนวนการสัมภาษณ์ รายการ ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคเหนือ รวม อัยการภาค 2 1 1 1 5 อัยการจังหวัด 2 3 5 3 13 ผู้พิพากษาภาค - - - 1 1 ศาลจังหวัด 1 2 4 1 8 ตำรวจภูธร 3 4 3 4 14 รวม 8 10 13 10 41 ในแต่ละภาค มีหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมที่คณะที่ปรึกษาลงพื้นที่เพื่อสัมภาษณ์เก็บข้อมูล จำนวน 3 กลุ่มหลัก รวม 41 แห่ง ประกอบด้วย •หน่วยงานอัยการ (รวม 18 แห่ง) -สำนักงานอัยการภาค จำนวน 5 แห่ง แบ่งเป็นภาคใต้ 2 แห่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนืออีกภาคละ 1 แห่ง -สำนักงานอัยการจังหวัด จำนวน 13 แห่ง แบ่งเป็นภาคใต้ 2 แห่ง ตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แห่ง ภาคกลาง 5 แห่ง และภาคเหนือ 3 แห่ง •หน่วยงานศาล (รวม 9 แห่ง) -สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 แห่งที่ภาคเหนือ ส่วนภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคกลางไม่มีสัมภาษณ์หน่วยงานดังกล่าว -ศาลจังหวัด 8 แห่ง แบ่งเป็นภาคใต้ 1 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 แห่ง ภาคกลาง 4 แห่ง และภาคเหนือ 1 แห่ง


110 •หน่วยงานตำรวจ (รวม 14 แห่ง) -สำนักงานตำรวจภูธร 14 แห่ง แบ่งเป็นภาคใต้และภาคกลาง ภาคละ 3 แห่ง กับภาค ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ อีกภาคละ 4 แห่ง ตารางที่ 6 สรุปจำนวนการตอบแบบสอบถาม รายการ ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคเหนือ รวม อัยการ - - 3 1 4 ศาล - - - - - ตำรวจ 1 - - 3 4 รวม 1 - 3 4 8 สำหรับแบบสอบถาม มีผู้ตอบแบบสอบถามรวมทั้งหมดจำนวน 8 แห่งราย ประกอบด้วย 1. หน่วยงานอัยการ รวม 4 หน่วยงาน แบ่งเป็นหน่วยงานอัยการจากภาคกลางจำนวน 3 แห่ง คือ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายพัฒนากฎหมาย กรุงเทพฯ สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัว จังหวัดนครปฐม และสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี และหน่วยงานอัยการจากภาคเหนือจำนวน 1 แห่ง คือ สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแพร่ 2. หน่วยงานศาล ไม่มีการตอบแบบสอบถาม 3. หน่วยงานตำรวจ รวม 4 หน่วยงาน แบ่งเป็น ตำรวจภูธรจากภาคเหนือ 3 แห่ง คือ สถานี ตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลกจำนวน 2 แห่ง และสถานีตำรวจภูธรลอง จังหวัดแพร่ จำนวน 1 แห่ง นอกจากนี้ สถานีตำรวจภูธรเมืองตรัง จังหวัดตรัง เป็นหน่วยงานตำรวจจากภาคใต้ที่ตอบแบบสอบถาม อีกจำนวน 1 แห่ง ตารางที่7 สรุปจำนวนการสัมภาษณ์และการตอบแบบสอบถาม รายการ ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคเหนือ รวม สัมภาษณ์ แบบสอบถาม สัมภาษณ์ แบบสอบถาม สัมภาษณ์ แบบสอบถาม สัมภาษณ์ แบบสอบถาม อัยการ 4 - 4 - 6 3 4 1 22 ศาล 1 - 2 - 4 - 2 - 9 ตำรวจ 3 1 4 - 3 - 4 3 18 รวม 8 1 10 - 13 3 10 4 49 ในภาพรวม จำนวนข้อมูลที่ได้รับจากการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานในแต่ละภาค และจากผู้ตอบแบบสอบถามออนไลน์รวมทั้งหมด 49 ชุด แบ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับจากหน่วยงานสำนักงาน อัยการจำนวนมากที่สุด รวม 22 ชุด รองลงมาเป็นข้อมูลที่ได้รับจากหน่วยงานสำนักงานตำรวจ รวม 18 ชุด และเป็นข้อมูลที่ได้รับจากหน่วยงานในสำนักงานศาลยุติธรรมน้อยที่สุด รวม 9 ชุด


111 จากผลการลงพื้นที่สัมภาษณ์เก็บข้อมูลหน่วยงานในแต่ละภาคและข้อมูลจากแบบสอบถาม ออนไลน์ตามหัวข้อที่ 1-5 ของบทนี้ หน่วยงานกระบวนการยุติธรรม 3 กลุ่มหลัก คือ หน่วยงานอัยการ หน่วยงานศาล และหน่วยงานตำรวจ ข้อมูลที่ทุกแห่งตอบเหมือนกันส่วนหนึ่ง และมีบางส่วนที่มีความ แตกต่างกันในแต่ละแห่ง คณะที่ปรึกษาจึงได้รวบรวมและสรุปข้อมูลในภาพรวมตามการประมวลผล ข้างต้นใน 5 ประเด็น โดยจะเน้นการนำเสนอกลไกที่หน่วยงานกระบวนการยุติธรรมทุกแห่งมีเหมือนกัน และสรุปกลไกอื่น ๆ ของแต่ละกลุ่มหลัก ดังต่อไปนี้ 1. หน่วยงานอัยการ หน่วยงานอัยการที่ให้ข้อมูลสัมภาษณ์(18 แห่ง) และตอบแบบสอบถาม (4 แห่ง) รวมจำนวน 22 แห่ง แต่มี 1 แห่ง คือสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรีได้ตอบแบบสอบถามให้คณะที่ปรึกษา โดยตรงและตอบแบบสอบถามออนไลน์ด้วย มีดังนี้ 1) สำนักงานอัยการภาค 2 2) สำนักงานอัยการภาค 3 3) สำนักงานอัยการภาค 5 4) สำนักงานอัยการภาค 8 5) สำนักงานอัยการภาค 9 6) สำนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ 7) สำนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชร 8) สำนักงานอัยการจังหวัดตรัง 9) สำนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี 10) สำนักงานอัยการจังหวัดชัยนาท 11) สำนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช 12) สำนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี 13) สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา 14) สำนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก 15) สำนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ด 16) สำนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัย 17) สำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี(ตอบแบบสอบถามให้คณะที่ปรึกษาและตอบแบบสอบถาม ออนไลน์) 18) สำนักงานอัยการจังหวัดอุดรธานี 19) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายพัฒนากฎหมาย (ตอบแบบสอบถามออนไลน์) 20) สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครปฐม (ตอบแบบสอบถามออนไลน์) 21) สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแพร่ (ตอบแบบสอบถามออนไลน์)


112 ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ หน่วยงานอัยการมีกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัดและ สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี (สคช.) ดังนี้ 1) คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และคณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัด สำนักงานอัยการจังหวัดในพื้นที่ทั้ง 4 ภาคได้ให้ข้อมูลสัมภาษณ์เหมือนกันทุกแห่งว่ามีกลไกให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด โดยมีชื่อเรียก 2 อย่าง คือ -คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน -คณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัด ในจังหวัดใหญ่จะมีคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนมากกว่า 1 ชุด เช่น ภาคใต้ จังหวัดสงขลา สำนักงานอัยการจังหวัดสงขลาแต่งตั้ง 1 ชุด และมีที่สำนักงานอัยการจังหวัดนาทวีอีก 1 ชุด สำหรับภาคเหนือ สำนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชรแห่งเดียวมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด คือ คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และคณะที่ปรึกษาอัยการจังหวัดกำแพงเพชร ส่วนภาค ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง สำนักงานอัยการจังหวัดแต่ละจังหวัดมีคณะกรรมการการมีส่วนร่วม ภาคประชาชนจังหวัดละ 1 ชุด แต่ที่ภาคกลางเรียกชื่อต่างกัน โดยสำนักงานอัยการจังหวัดชัยนาทแต่งตั้ง คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และที่สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยาแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา สำนักงานอัยการจังหวัด สำหรับสำนักงานอัยการจังหวัดที่ให้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์และจากแบบสอบถามออนไลน์ พบว่าบางจังหวัดไม่มีการจัดตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ได้แก่ สำนักงานอัยการ จังหวัดนนทบุรี สำนักงานอัยการจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัย (รวม 3 หน่วยงาน อัยการจากการสัมภาษณ์) และสำนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและ ครอบครัวจังหวัดนครปฐม สำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดแพร่ (รวม 3 หน่วยงาน อัยการที่ตอบแบบสอบถามออนไลน์) เนื่องจากหลายเหตุผล เช่น ลักษณะงานของสำนักงานอัยการ จังหวัดต้องรักษาความเป็นอิสระในการสั่งคดีของพนักงานอัยการ การที่ประชาชนไม่ให้ความสนใจ และ กลัวข้อครหาที่จะไม่มีโอกาสชี้แจง คุณสมบัติของกรรมการ องค์ประกอบของคณะกรรมการ วาระของคณะกรรมการ บทบาท หน้าที่ของกรรมการ งบประมาณของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และคณะที่ปรึกษา สำนักงานอัยการจังหวัดไม่มีกำหนดชัดเจน ขึ้นอยู่อัยการจังหวัดแต่ละจังหวัดจะพิจารณา เนื่องจากเป็น นโยบายจากอัยการสูงสุด แต่ไม่ได้เป็นกฎระเบียบ จึงไม่ได้มีคณะกรรมการดังกล่าวในสำนักงานอัยการ จังหวัดทุกจังหวัด กรรมการหรือที่ปรึกษาจึงเป็นจิตอาสา เป็นผู้ที่มีจิตสาธารณะในการปฏิบัติงานด้วย ความสมัครใจโดยไม่มีค่าตอบแทน กลุ่มประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นกรรมการของคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาค ประชาชน และที่ปรึกษาของคณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัด ประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่


113 1. อดีตข้าราชการ เช่น อดีตผู้ว่าราชการจังหวัด อดีตอัยการ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจ อดีต ผู้อำนวยการโรงเรียน ข้าราชการเกษียณ 2.ผู้นำท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล นายกเทศมนตรีเทศบาล เครือญาติของนักการเมืองท้องถิ่น 3.ผู้ประกอบธุรกิจ เช่น พ่อค้า คหบดี เจ้าของโรงงาน ผู้บริหารโรงสีข้าวเจ้าของกิจการบ้านจัดสรร โรงแรม รับเหมาก่อสร้าง นักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก 4. เกษตรกร บุคคลที่น่าเชื่อถือ ผู้มีความรู้ความสามารถ เป็นบุคคลที่อยู่ในพื้นที่ยาวนานและมี ประวัติคุณงามความดี 2) กลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัดรูปแบบอื่น สำนักงานอัยการจังหวัดมีกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสำนักงานอัยการ จังหวัดรูปแบบอื่น ๆ อีก เป็นการดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดเป็นนโยบายจากสำนักงานอัยการสูงสุด หรือเกิดจากปัจจัยแวดล้อม ภาพลักษณ์องค์กรในการให้ประชาชนเข้าร่วม และขึ้นอยู่กับแนวทางการบริหาร ของอัยการจังหวัดแต่ละท่าน เช่น -การแสดงความคิดต่อเห็นร่างกฎหมาย -การร้องขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับคดี -การร้องทุกข์เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ -การเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานอัยการ -การให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน -การจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กหรือเยาวชนที่กระทำผิด -ทนายความอาสา -การฝึกงานของนักเรียนนักศึกษาในสำนักงานอัยการจังหวัด ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมของหน่วยงานอัยการ ความเห็นต่อปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมของสำนักงานอัยการ จังหวัดจากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการจัดตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานอัยการ มีดังต่อไปนี้ -ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบที่ชัดเจนในการจัดตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน ในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด เป็นเพียงนโยบายจึงทำให้ขาดความชัดเจนในเรื่องวัตถุประสงค์ คุณสมบัติของคณะกรรมการ อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ และข้อจำกัดด้านงบประมาณเพื่อเป็น ค่าตอบแทนให้กับประชาชนที่ประสงค์จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม จึงทำให้การ ดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ในสำนักงานอัยการจังหวัดแต่ละจังหวัดขึ้นอยู่กับดุลพินิจของอัยการ จังหวัด ซึ่งมักจะต้องโยกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งทุกปีอาจเกิดความไม่ต่อเนื่องในการส่งเสริมให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วม ประกอบกับอัยการจังหวัดรู้จักคนในพื้นที่ไม่มาก จึงส่งผลให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม


114 ค่อนข้างจำกัด รวมถึงไม่มีความชัดเจนในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตนเอง การทำหน้าที่ของกรรมการ จึงทำได้ไม่เต็มที่อาจส่งผลกระทบต่อมาตรฐานของการทำงาน -คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนเป็นนโยบายตามหนังสือเวียนจากสำนักงานอัยการ สูงสุด ไม่ได้เป็นกฎหมายบังคับ สำนักงานอัยการจังหวัดบางแห่งจึงไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ ดังกล่าว เพราะกลัวกระทบภาพลักษณ์องค์กร ไม่ต้องการให้เป็นที่จับตามองว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการ จากภาคประชาชนจะมีความเกี่ยวพันกับคดี จะมีเรื่องของส่วนได้เสียหรือมีข้อครหา เป็นจุดโจมตี ซึ่งไม่ สามารถแก้ข่าวได้ทั้งที่ความจริงไม่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสื่อหากแก้ข่าวจะยิ่งขยายวงกว้างไม่มีโอกาส ชี้แจง จึงแก้ปัญหาโดยไม่แต่งตั้งเลย หากตั้งผิดคนจะเกิดความผิดพลาดได้จึงต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะ ในจังหวัดใหญ่ที่มีประชากรจำนวนมากแต่รู้จักผู้คนไม่ทั่วถึง อาจเกิดความไม่เหมาะสมในการแต่งตั้ง หรือบางคนประสงค์จะเป็นจิตอาสาที่แต่ไม่อยากให้แต่งตั้ง หรือบางคนอาจไม่ถูกกับบุคคลอื่นมาก่อน หน้านี้หรือมีพรรคพวก หรือมีปัญหารอบด้าน แต่สำนักงานอัยการจังหวัดก็พร้อมจะแต่งตั้งเพราะเป็น การทำเพื่อสังคมและองค์กร หากนโยบายนั้นเป็นคำสั่งให้แต่งตั้งกำหนดข้อปฏิบัติหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน -ความสนใจของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม อาจจะมีอยู่ อย่างจำกัด เนื่องจากเป็นงานอาสาสมัคร ไม่มีค่าตอบแทน ประชาชนอาจจะไม่ได้สนใจ เพราะยังต้องให้ ความสำคัญกับการทำงานหาเลี้ยงชีพของตนเองเป็นอันดับแรก อีกทั้งยังเป็นงานที่ต้องอาศัยการมี จิตสาธารณะ หรือเป็นเพราะประชาชนไม่ทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการพัฒนาสำนักงานอัยการจังหวัด เนื่องจากไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์และปัญหาเรื่องทัศนคติ ต่อการมีส่วนร่วมในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม ประชาชนจึงยังให้ความสำคัญน้อย -ข้อจำกัดด้านสถานที่ของสำนักงานอัยการจังหวัดที่ไม่สามารถรองรับการเข้ามาทำหน้าที่ของ ภาคประชาชนได้อย่างเต็มที่ หากประชาชนมีความสนใจเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น อาจจะเข้ามา ช่วยเหลืองานด้านธุรการและให้คำแนะนำด้านเอกสารของ สคช. จะไม่มีที่นั่งทำงานได้ -งานหลักของสำนักงานอัยการจังหวัดเป็นความลับ สั่งสำนวนที่รับจากพนักงานสอบสวนเป็น การใช้กฎหมาย ดำเนินการตามข้อกฎหมาย ไม่ได้เป็นการใช้ดุลพินิจ จำเป็นต้องรักษาความเป็นอิสระ เที่ยงตรง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในการสั่งคดีของอัยการ ต้องไม่ให้สำนวนอาจหลุดลอดไปที่จำเลยได้จึงไม่อาจ เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้าร่วมงานกับอัยการจังหวัด ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ความเห็นต่อการรับรู้ ตื่นตัว และความสนใจของประชาชนในพื้นที่ต่อการเข้ามามีส่วนร่วมใน หน่วยงานอัยการจากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการจัดตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาค ประชาชน และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานอัยการ มีหลายระดับดังต่อไปนี้ -ส่วนใหญ่ประชาชนยังไม่รู้จักและเข้าไม่ถึงอัยการ ประชาชนบางกลุ่มไม่ทราบ ไม่มีความตื่นตัว ในการเข้าร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการจังหวัด เพราะอาจไม่สนใจ หรือต้องทำมาหากิน ประชาชนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในงานของสำนักงานอัยการจังหวัดจำเป็นต้องเป็นผู้ที่สนใจ มีความพร้อม ต้องมีเวลาและไม่ใช่ผู้ที่ทำงานประจำ


115 -ประชาชนรับรู้ถึงคณะกรรมการมีส่วนร่วมภาคประชาชนและทนายความอาสาของสำนักงาน อัยการจังหวัดบ้าง แต่เข้ามามีส่วนร่วมอยู่ในวงที่ค่อนข้างจำกัด -ถ้าประชาชนในพื้นที่มีส่วนได้เสียในประเด็นใด ก็จะมีความสนใจที่จะเข้าร่วมกระบวนการ ยุติธรรมที่เกี่ยวเนื่อง แต่อาจจะมีผลกระทบความเป็นอิสระในการพิจารณาสั่งคดีได้ -ประชาชนเริ่มมีส่วนร่วม รู้จักอัยการมากขึ้น เพราะสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือ ทางกฎหมายและการบังคับคดี (สคช.) ได้ลงพื้นที่ออกไปบรรยายให้คำแนะนำกฎหมายเบื้องต้น ช่วยเป็น ตัวแทนของอัยการเพื่อช่วยเผยแพร่ความรู้ต่อ -การรับรู้ตื่นตัวของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนขึ้นอยู่กับอัตลักษณ์ของคน ในแต่ละจังหวัด เช่น ในจังหวัดสงขลาการมีส่วนร่วมของประชาชนค่อนข้างน้อยอาจจะมีอยู่อย่างจำกัด หรือในจังหวัดนครศรีธรรมราชโดยรวมค่อนข้างตื่นตัว เนื่องจากมีประชาชนเรียนกฎหมายเป็นจำนวน มากทำให้รู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนเอง และประสงค์จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม ส่วนจังหวัดตรังประชาชนตื่นตัวในระดับปานกลาง เพราะประชาชนบางส่วนยังขาดความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับภารกิจงานในหน้าที่ของสำนักงานอัยการ หรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิทธิตามกฎหมายในการ มีส่วนร่วมหรือเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของหน่วยงาน และจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีประชาชนในพื้นที่ ตื่นตัวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน มีการสอดส่องและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่มากขึ้น ผ่านทาง โซเชียลมีเดีย ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานอัยการจาก การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ความเห็นในเรื่องของการมีส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์ทับซ้อนของประชาชนในการที่ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในหน่วยงานอัยการ จากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการจัดตั้ง คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานอัยการ ได้ยกตัวอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังต่อไปนี้ -อาจจะสร้างปัญหาในเรื่องความลับในการสอบสวน ประชาชนผู้มีส่วนร่วมที่มาแจ้งข้อมูลหรือ พยานอาจจะนำข้อมูลทางคดีไปเปิดเผย ทำให้เกิดความเสียหายแก่รูปคดีหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีได้ -อาจมีกรณีของประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมช่วยเหลือเกี่ยวกับ การจัดการมรดก เกิดการเรียกรับทรัพย์สินหรือฉวยโอกาสเข้ามาหาประโยชน์จากการดำเนินการในเรื่อง ดังกล่าวได้ -อาจเกิดการนำตำแหน่งไปอวดอ้าง หรือแอบอ้างความใกล้ชิดกับอัยการจังหวัด หวังผลทางคดี ต้องการเป็นสื่อเชื่อมต่อกับผู้มีปัญหาทางคดี -ส่วนกรณีทนายความอาสาประจำ สคช. อาจจะเป็นช่องทางในการนำเอาสถานะความเป็น ทนายความอาสาของ สคช. แอบอ้างหรือนำไปใช้ทางที่ผิด เป็นการนำเอาตำแหน่งทนายความอาสา ไปใช้ในทางมิชอบ


116 จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการจัดตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วม ภาคประชาชน และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานอัยการ ได้มีความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ เพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้ -การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมนับว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นประโยชน์ ต่อสำนักงานอัยการจังหวัด ซึ่งควรให้กระบวนการการได้มาของคณะกรรมการมีส่วนร่วมของภาค ประชาชนให้มีความชัดเจนขึ้นโดยจะต้องกำหนดเป็นระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุดในประเด็นของ คุณสมบัติ ที่ควรจะต้องกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเข้าดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการฯ โดย อาจจะเป็นให้มีความหลากหลายของสาขาอาชีพ เช่น นักธุรกิจ ข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการตำรวจ หรือควรกำหนดให้มีแต่ประชาชนทั่วไปเท่านั้นที่สามารถเข้ามาเป็นคณะกรรมการฯ ได้ นอกจากนี้ ควรมี กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งให้ชัดเจน เช่น วาระละ 2 ปี และควรกำหนดจำนวนคณะกรรมการฯ ให้ชัดเจน ซึ่งอาจจะมีจำนวน 5-7 คน รวมถึงควรมีการกำหนดค่าตอบแทน เช่น เบี้ยประชุม เป็นต้น หรือจะตรา เป็นกฎหมายเช่นเดียวกับผู้พิพากษาสมทบก็ได้ -ภาคประชาชนมีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถในการรับฟังข้อเท็จจริงได้ดีมาก ไม่แตกต่าง จากพนักงานอัยการ ควรให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการใช้ดุลพินิจในเรื่องข้อเท็จจริงตามความรู้ ความเชี่ยวชาญของประชาชนเช่นเดียวกับลูกขุนในชั้นศาลในต่างประเทศ -สำนักงานอัยการจังหวัดสามารถดำเนินงานเชิงรุกเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้ ในกรณี ดังต่อไปนี้ •ปัญหาของอัยการเรื่องของการสืบพยานในคดีที่เกิดหลายปีคือการตามตัวพยานลำบาก เพราะได้ย้ายที่อยู่ ในส่วนนี้อาจเปิดโอกาสให้ประชาชนช่วยติดตามพยานได้เพราะมีความสัมพันธ์ เชื่อมโยง ซึ่งเดิมพนักงานสอบสวนจะส่งหมายตามไปที่บ้านเลขที่ อัยการโทรศัพท์หรือตามไปที่ทะเบียน ราษฎร์ •เรื่องของความปลอดภัยพยานในการให้ความคุ้มครองพยาน เพราะพยานเกรงกลัวจำเลย ไม่กล้าเบิกความที่อาจทำให้ศาลยกฟ้องได้ ประชาชนอาจช่วยได้ในการรับพยานไปอยู่ในที่ปลอดภัย •กฎหมายการชะลอฟ้องที่อัยการสามารถใช้ดุลพินิจได้เพราะไม่ใช่โทษหนัก อาจเปิด โอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมออกแบบระบบได้ -ตำรวจและอำเภอดูแลคนในพื้นที่และใกล้ชิดประชาชนมากกว่าอัยการ เป็นกระบอกเสียงให้ได้ แต่บทบาทหน้าที่ที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมกับอัยการจะถูกจำกัดและแคบกว่า เพราะงานของ อัยการเป็นงานด้านสำนวนคดี เน้นงานอาญา สั่งสำนวนตามพยานหลักฐาน และมีอำนาจอิสระในการ พิจารณาคดีตามกฎหมาย จึงไม่ต้องการให้ประชาชนยุ่งเกี่ยวกับคดี -การให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับหน่วยงานอัยการ อาจเป็นงานของ สคช. มากกว่าของอัยการ จังหวัด แต่สามารถบูรณาการทำงานร่วมกัน ใช้สถานที่ร่วมพูดคุยกันได้


117 -เห็นด้วยหากอัยการนำเรื่อง “ผู้กำกับดูแลการปล่อยตัวชั่วคราว” ของศาลมาใช้ในงานของ อัยการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของอัยการได้มากยิ่งขึ้น ทั้งกรณีการประกันตัวที่มีหลักทรัพย์และไม่มีหลักทรัพย์ เพื่อจะได้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน อัยการจังหวัดในการรายงานตัวในพื้นที่ ช่วยลดภาระให้ทั้งอัยการและผู้ต้องหา ลดการเดินทางของ ผู้ต้องหาและยุติคดีได้ รวมถึงประชาชนจะได้รับทราบภาระงานของอัยการว่าไม่ได้ทำให้เข้าคุกเท่านั้น แต่เป็นงานที่อำนวยความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย ถ้าไม่ผิดก็สั่งไม่ฟ้อง ก็จะทำให้ประชาชนเข้าหาอัยการมากขึ้น -พนักงานสอบสวนและอัยการจังหวัดควรมีบทบาทในการทำงานมาตรฐานเดียวกัน ตรวจสอบดู สำนวนได้ตั้งแต่เริ่มต้นเพราะอัยการก้าวก่ายไม่ได้ อาจทำให้ประชาชนเดือดร้อนถูกดำเนินคดีเพราะ เข้าไม่ถึงสำนวน ถ้าประชาชนได้ทราบก่อนก็จะได้ร้องขอความเป็นธรรมได้ -การแบ่งส่วนราชการใหม่ของสำนักงานอัยการจังหวัดที่จะพิจารณาเพิ่มจำนวนบุคลากรจาก ปริมาณของสำนวนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เหมาะสม ควรพิจารณาถึงความยากความแตกต่างของแต่ละ พื้นที่ เช่น เป็นเมืองขนาดเล็กหรือเมืองเศรษฐกิจ หรือการให้แยกกองคดีแพ่งออกจากสำนักงานอัยการ จังหวัด หากมีความชัดเจนในงานมากขึ้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับงาน ของสำนักงานอัยการจังหวัดได้ -ขอให้ความสำคัญต่ออัยการพื้นที่ โดยเฉพาะ สคช. ควรให้ทำงานในพื้นที่ได้เกิน 4 ปี หรือ สามารถสลับหมุนเวียนการทำหน้าที่ในพื้นที่ได้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เพราะเป็นผู้ที่รู้และเข้าใจปัญหา สามารถช่วยชาวบ้าน รวมถึง สคช. ไม่มีเงินประจำตำแหน่ง ไม่มีค่าเดินทาง ไม่มีอิทธิพล ไม่กระทบต่อ การปฏิบัติงาน อันจะช่วยให้กำลังใจแก่อัยการชั้นผู้น้อยในการทำงานที่เข้าถึงประชาชนในพื้นที่ได้อย่าง เต็มที่ 2. หน่วยงานศาล หน่วยงานศาลที่ให้ข้อมูลสัมภาษณ์(ไม่ได้ตอบแบบสอบถาม) รวมจำนวน 9 แห่ง มีดังนี้ 1) สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 2) ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ 3) ศาลจังหวัดตรัง 4) ศาลจังหวัดชลบุรี 5) ศาลจังหวัดนนทบุรี 6) ศาลจังหวัดพัทยา 7) ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด 8) ศาลจังหวัดสุโขทัย 9) ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ สำนักงานศาลยุติธรรมในพื้นที่ทั้ง 4 ภาคมีกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา องค์กร ดังนี้


118 1) ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ศาลจังหวัดของทั้ง 4 ภาคที่คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลมีการจัดตั้งและขึ้นทะเบียน ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวทุกแห่ง ทำหน้าที่ช่วยกำกับ สอดส่อง ดูแล และให้คำปรึกษาแก่ผู้ต้องหา หรือจำเลยที่ได้รับโอกาสเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมในการปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งกรณีที่ศาลอนุญาตให้ ปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีหลักประกันหรือมีหลักประกันก็ได้ และกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราว นำไปปฏิบัติ เป็น “การสร้างดุลยภาพแห่งสิทธิ” ตามนโยบายของประธานศาลฎีกา และเป็นไปตาม พระราชบัญญัติมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผู้หลบหนีการปล่อยชั่วคราวโดยศาล พ.ศ. 2560 จึงมี ความชัดเจนให้ศาลจังหวัดดำเนินการทุกแห่ง มีแนวทางการดำเนินงานของทั้งศาลและผู้กำกับดูแล ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวที่ชัดเจน รวมถึงมีการกำหนดค่าตอบแทนแก่ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวด้วย และ เป็นระบบที่ศาลจังหวัดจะขึ้นทะเบียนในพื้นที่ตนเอง แต่ได้นำไปวางในระบบบริการข้อมูลคดีศาลยุติธรรม (Case Information Online Service - CIOS) ในเว็บไซต์ https://cios.coj.go.th จึงทำให้บุคคลดังกล่าว ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้กำกับดูแลฯ ของศาล มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามกฎหมายและประกาศในระบบ CIOS ทุกศาลในประเทศสามารถนำไปใช้ได้ ศาลจังหวัดแต่ละแห่งจะขึ้นทะเบียนผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวในจำนวนที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่ กับการติดต่อ ความสนใจ การให้ความยินยอมของทั้งตัวผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวและผู้ถูกปล่อย ชั่วคราว โดยผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวมีหน้าที่สอดส่องดูแล รับรายงานตัว หรือให้คำปรึกษา ที่อาจ ทำเพียงหน้าที่เดียว หรืออาจทำครบทุกหน้าที่ก็ได้ กลุ่มประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการ “ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว” ให้กับศาลจังหวัด ประกอบด้วย 3 กลุ่มที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ หรือบุคคลที่รู้จักผู้ถูกปล่อยชั่วคราวเป็นอย่างดี หรือผู้ถูกปล่อย ชั่วคราวให้ความเคารพหรือไว้วางใจ ได้แก่ 1. ผู้เกษียณอายุราชการ 2. ผู้นำท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการชุมชน ผู้นำชุมชน ซึ่งเป็นผู้นำท้องถิ่นใน พื้นที่ของศาลจังหวัด หรือในพื้นที่ที่ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวมีภูมิลำเนาอยู่ 3. อาสาสมัครคุมประพฤติ ทั้งนี้ ศาลจังหวัดแต่ละแห่งจะแต่งตั้งคนในพื้นที่ หรือรวบรวมรายชื่อจากผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้เกษียณอายุราชการ อาสาสมัครคุมประพฤติ ตลอดจนคนในชุมชนที่สมัครใจ หรือเป็น บุคคลที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยเสนอชื่อขอให้แต่งตั้งผู้ที่ตนเคารพเชื่อฟังหรือไว้ใจ 2) กลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศาลจังหวัดในรูปแบบอื่น ศาลจังหวัดมีกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศาลจังหวัดรูปแบบอื่น ๆ อีก โดยเป็น การดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด เป็นนโยบายของศาล หรือตามเหตุปัจจัยที่จำเป็นที่เกี่ยวข้องกับ ภารกิจของศาล เช่น -ผู้ประนีประนอมประจำศาล -คลินิกจิตสังคมในระบบศาล


119 -ผู้พิพากษาสมทบ -ทนายความอาสา -ล่ามอาสาสมัคร -นายประกันอาชีพ -ผู้ควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในกรณีที่พิพากษาให้รอการลงโทษจำเลย -การเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีของศาล -การมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของคู่ความ -การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้บริการของศาล และการร้องเรียนการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่รัฐ -ศูนย์กลางผู้เสียหายในคดีอาญา -การให้ความรู้ทางกฎหมายที่ศาลเป็นผู้ดำเนินการ -การอำนวยความสะดวกทางคดีให้กับประชาชน ผ่านทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ระบบยื่นคำฟ้องอิเล็กทรอนิกส์สำหรับประชาชน (e-Filing) ระบบบันทึกคำพยานด้วยภาพและเสียง ในห้องพิจารณาคดี (e-Hearing) -การจัดกิจกรรมต้นกล้าตุลาการให้กับนักเรียน ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมของหน่วยงานศาล ความเห็นต่อปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมของศาลจังหวัดจากการ สัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการแต่งตั้งของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และกลไกในรูปแบบ อื่น ๆ ของหน่วยงานศาล มีดังต่อไปนี้ -ไม่มีปัญหาอุปสรรค เพราะศาลจะไม่ตั้งบุคคลที่มีส่วนได้เสียเข้ามาเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อย ชั่วคราว และมีการประเมินการปฏิบัติงานจากผู้พิพากษาเมื่อเบิกเงินค่าตอบแทน -ปัญหาของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว เช่น มีจำนวนน้อย เพราะต้องเป็นผู้สมัครใจ มีความ พร้อมและเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวเท่านั้น หรือเป็นผู้ที่ศาลแต่ง ตั้งแต่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ต้องการให้เป็นผู้กำกับดูแลฯ หรือเป็นคดียาเสพติดที่เกินศักยภาพของ ผู้กำกับดูแลฯ หรือผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิเสธไม่รับทำหน้าที่เนื่องจากผู้ถูกปล่อยชั่วคราวเป็น ผู้กระทำความผิดซ้ำซาก หรือไม่สามารถดูแลให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลได้ -ปัญหาของความรู้ความเข้าใจในมาตรการผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวยังไม่แพร่หลาย ประชาชนไม่รู้จัก และเป็นการเพิ่มงานให้กับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ศาลเป็นอย่างมาก เกิดการต่อต้าน รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับวิธีการรายงานการกำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และคดีส่วนใหญ่ในศาลเป็นคดี ยาเสพติดที่มีโทษสูงไม่สามารถใช้มาตรการดังกล่าวได้ -กรณีของผู้พิพากษาสมทบ มีปัญหาของความชัดเจนและความเชื่อมั่นต่อสถานะความเป็น ผู้พิพากษาและการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาสมทบในศาลที่เป็นบุคคลภายนอก


120 -กรณีของผู้สนใจเป็นผู้ไกล่เกลี่ยส่วนมากจะต้องเป็นผู้มีความพร้อมทางฐานะ แต่ยังไม่มีผู้มี ความรู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในอีกหลายภาคส่วน เช่น NGOs เข้ามามีส่วนร่วม ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ความเห็นต่อการรับรู้ ตื่นตัว และความสนใจของประชาชนในพื้นที่ต่อการเข้ามามีส่วนร่วมใน หน่วยงานศาลจากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และ กลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานศาล มีหลายระดับดังต่อไปนี้ -ศาลได้ออกไปให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ภาคกลาง มีการประชาสัมพันธ์ ทั้งทางสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ ป้ายประชาสัมพันธ์ ขยายไปทุกอำเภอ ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ถึงการมีอยู่และ บทบาทหน้าที่ของผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว ประชาชนให้การยอมรับและรู้สึกได้ถึงประโยชน์ของ ผู้กำกับดูแลฯ เมื่อประชาชนรับรู้ได้รู้จักผู้กำกับดูแลฯ แล้ว ประชาชนจะสนใจติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ ศาลให้ความร่วมมือช่วยเหลือเอง และมีการนำเสนออาชีพอื่น ๆ มาเพิ่มเติมเป็นผู้กำกับดูแลฯ มากขึ้น -ประชาชนในจังหวัดใหญ่มักจะมีประชากรแฝงจำนวนมาก ทั้งคนต่างชาติและคนไทยที่โยกย้าย ถิ่นมาทำงาน การแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวของศาลในจังหวัดเหล่านี้จึงดำเนินการยาก ศาลต้องเข้าถึงผู้คนในพื้นที่ให้มากขึ้น หรือแต่งตั้งนายจ้างหรือผู้อื่นเป็นผู้กำกับดูแลฯ ที่ขึ้นทะเบียน ภายหลังแทน ศาลจังหวัดบางแห่งก็มีการแต่งตั้งผู้กำกับดูแลฯ จำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนคดี และจำนวนผู้ถูกปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้เมื่อมีผู้ร้องขอไม่สามารถแต่งตั้งได้ทันที ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานศาลจาก การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ความเห็นในเรื่องของการมีส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์ทับซ้อนของประชาชนในการที่ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในหน่วยงานศาล จากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการแต่งตั้ง ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานศาล ได้ยกตัวอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังต่อไปนี้ -ไม่มี เพราะศาลจะไม่ตั้งบุคคลที่มีส่วนได้เสียเข้ามาเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และมี การประเมินการปฏิบัติงานจากผู้พิพากษาเมื่อเบิกเงินค่าตอบแทน -ไม่มี เพราะยังไม่มีรายงานในประเด็นของการมีส่วนได้เสีย และยากที่จะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะมีการตรวจสอบคุณสมบัติและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย -อาจเกิดเรื่องของการทุจริต มีการเรียกผลประโยชน์เพื่อให้มีการปล่อยชั่วคราว เรียกสิ่งตอบแทน กลายเป็นนายประกันอาชีพ ไปเกี่ยวข้องกับพยานหลักฐาน หรือทำหน้าที่ไม่ตรงไปตรงมา -กรณีของผู้ประนีประนอมในศาลยุติธรรมที่สามารถรับทราบถึงรายละเอียดของสำนวนคดี อาจจะให้คุณให้โทษแก่คู่ความได้


121 จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อย ชั่วคราว และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานศาล ได้มีความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ เพิ่มเติมใน ประเด็นดังต่อไปนี้ -ศาลเป็นหน่วยงานอิสระ มีกระบวนการเฉพาะ เป็นงานเชิงคดี ตัวบทกฎหมาย สถานที่ในศาล มีจำกัด มีเรื่องความปลอดภัย สำนวนเป็นความลับ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในรูปแบบอื่น ๆ ในศาล อาจลำบาก อีกทั้งศาลได้ทำหน้าที่แทนประชาชนอยู่แล้ว และศาลได้คิดแทนสังคมแล้ว -ศาลต้องวางตัว การขยายเครือข่ายเป็นการรู้จักกันในหน้าที่ไม่ใช่ความสนิทสนมที่จะขอเรื่องคดีได้ จึงต้องตัดสินคดีกันตามปกติ หากมีการฝากคดีศาลจะตัดสินลงโทษหนัก ศาลจึงยังมีความเกี่ยวโยงกับ ประชาชนไม่มาก นอกจากนี้ ศาลยังไม่รู้จักผู้คนในท้องถิ่น โดยเฉพาะศาลในกรุงเทพมหานครทำให้ตั้ง ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวได้ยาก -ในกระบวนการที่ไม่เกี่ยวข้องกับดุลพินิจในการพิจารณาพิพากษาคดี ควรเปิดโอกาสให้ภาค ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาบริการให้ดีขึ้น เป็นต้นว่าในส่วนที่เกี่ยวกับการดูแลผู้ต้องหาหรือ ผู้เสียหาย การปรับปรุงจิตพิสัย การคุมประพฤติ การฟื้นฟู และการป้องกันการกระทำความผิด -ปัจจุบันกระบวนการคุมประพฤติ การบังคับคดี และสถานพินิจอยู่ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม การตัดสินคดีจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานกลางเพื่อคุมแนวทางการตัดสินของผู้พิพากษาทุกคนให้ ใกล้เคียงกัน โดยศาลสามารถปรึกษาหัวหน้าศาลและหัวหน้าศาลจะช่วยตรวจสำนวนให้การดำเนินการ ตามแนวทางดังกล่าวได้ทำให้จำเลย และผู้ต้องโทษทราบแนวทางในการตัดสิน จำเลยสามารถทักท้วง ได้ว่าโทษที่ได้รับนั้นสูงเกิน หรือทนายความและตำรวจที่รับทราบแนวทางดังกล่าวจะใช้เป็นช่องทาง ต่อรองกับผู้ต้องหาที่คิดไม่สุจริตได้ -นโยบายใหม่กำหนดให้คดีอาญาต้องมีจำเลยในกระบวนการพิจารณาเพื่อสร้างความมั่นใจให้ จำเลยมาศาล มีการเรียกประกันตัว ใช้เงินสด โฉนดที่ดิน บัญชีเงินฝาก พันธบัตร หรือใช้ตำแหน่งหน้าที่ใน การประกัน หากผู้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ก็ต้องไปเช่าหลักทรัพย์จากนายประกัน ตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญาในการปล่อยตัวชั่วคราวจึงทำให้จำเลยที่ยากจนขาดโอกาส จึงต้องผ่อนคลายด้วย มาตรการผู้กำกับดูแลในการปล่อยชั่วคราว แต่ไม่อยากให้ผู้กำกับดูแลฯ กลายเป็นนายประกันอาชีพ -ควรเพิ่มกลุ่มบุคคลที่หลากหลาย มาเป็นผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราวจากทุกภาคส่วน เช่น สหภาพแรงงานหรือองค์กรด้านที่มีความน่าเชื่อถือ 3. หน่วยงานตำรวจ หน่วยงานตำรวจที่ให้ข้อมูลสัมภาษณ์(14 แห่ง) และตอบแบบสอบถาม (4 แห่ง) รวมจำนวน 18 แห่ง โดยสถานีตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลกได้ตอบแบบสอบถามออนไลน์ 2 ราย มีดังนี้ 1) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ 2) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร 3) สถานีตำรวจภูธรเมืองตรัง จังหวัดตรัง (ตอบแบบสอบถามออนไลน์)


122 4) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท 5) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ 6) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช 7) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี 8) สถานีตำรวจภูธรโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา 9) สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา 10) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดพิษณุโลก (ตอบแบบสอบถามออนไลน์2 ราย) 11) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด 12) สถานีตำรวจภูธรลอง จังหวัดแพร่ (ตอบแบบสอบถามออนไลน์) 13) สถานีตำรวจภูธรวังทอง จังหวัดพิษณุโลก 14) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา 15) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสุโขทัย 16) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี 17) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี ก. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชน/องค์ประกอบ/ผลสำเร็จ สถานีตำรวจภูธรในพื้นที่ทั้ง 4 ภาคมีกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร ดังนี้ 1) คณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สถานีตำรวจภูธรของทั้ง 4 ภาคที่คณะที่ปรึกษาได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ ตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) ทุกแห่ง เป็นการแต่งตั้งเพื่อเป็นการส่งเสริมการมี ส่วนร่วมของประชาชนกับตำรวจ ช่วยติดตาม ตรวจสอบ และให้คำแนะนำในกิจการของตำรวจ รวมถึง จัดกิจกรรมการกุศลช่วยเหลือประชาชนในด้านต่าง ๆ เช่น ทุนการศึกษา สิ่งของช่วยเหลือเมื่อมีเหตุการณ์ ภัยพิบัติ ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับตำรวจ เป็นการดำเนินการตามนโยบาย และตามพระราชบัญญัติ ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 กลุ่มประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็น กต.ตร. เป็นงานจิตอาสาที่ปฏิบัติงานด้วยความสมัครใจ ไม่มีค่าตอบแทน ประกอบด้วย 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ข้าราชการจากหน่วยงานต่าง ๆ ข้าราชการตำรวจชั้นประทวน อดีต ข้าราชการ 2. นักการเมืองท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกเทศมนตรี สมาชิกสภาจังหวัด สมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน 3. ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ผู้ประกอบกิจการ นายทุน 4. ทนายความ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ


123 5. ประชาชน/ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการคัดเลือก เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสังคม หรือเป็น ผู้ที่ร้องเรียนตำรวจบ่อย จึงเชิญให้มาร่วมใน กต.ตร. เป็นเครือข่ายจะเข้าใจและช่วยเหลือตำรวจมากขึ้น ทั้งนี้ประชาชนที่เป็นกรรมการใน กต.ตร. จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติ และมีการออกเสียง ลงคะแนน การปฏิบัติงาน กต.ตร. จะไม่มีค่าตอบแทน เพราะเป็นผู้ที่มีฐานะดีอยู่แล้ว แต่เข้ามีส่วนร่วม เป็นตัวแทนประชาชน 2) กลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาตำรวจภูธรในรูปแบบอื่น สถานีตำรวจภูธรมีกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนางานของสถานีตำรวจภูธร รูปแบบอื่น ๆ อีก โดยเป็นการดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด เป็นนโยบายของสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ และตามวัตถุประสงค์ของสถานีตำรวจแต่ละแห่ง เช่น -โครงการตำรวจอาสา -โครงการทนายความอาสา -โครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท -โครงการยุติความรุนแรง -โครงการปักกลด -ล่ามอาสาสมัคร -การแจ้งเบาะแส การแจ้งข่าวสาร การเป็นพยาน -การให้ญาติหรือบุคคลสำคัญในพื้นที่ที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือ เช่น ผู้นำทางศาสนาเข้าร่วม ในการสอบปากคำผู้ต้องหาและพยาน รวมทั้งเข้าร่วมในการนำชี้ที่เกิดเหตุในคดีที่สำคัญ เช่น คดีเกี่ยวกับ การก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้ประชาชนผ่อนคลายความตึงเครียดที่เกิดขึ้น จากการปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคง ข. ปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมของหน่วยงานตำรวจ ความเห็นต่อปัญหาหรืออุปสรรคจากการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมของสถานีตำรวจภูธร จากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการ บริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานตำรวจ มีดังต่อไปนี้ -ไม่พบปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ ใน กต.ตร. ของตำรวจภูธรต่าง ๆ -ปัญหาของการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนใน กต.ตร. เพราะไม่มีค่าตอบแทน จึงต้องอาศัย เรื่องการมีจิตสาธารณะของประชาชน ต้องสร้างจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งยังอาจจะ ต้องอาศัยเวลา รวมถึงปัญหาอุปสรรคเรื่องเวลาของประชาชน เพราะต้องทำงานประจำตอนกลางวัน แต่ก็ยังอยากช่วยเหลือตำรวจ -ปัญหาของโครงการทนายความอาสา ไม่ได้มีประจำครบทุกสถานีตำรวจ โดยจะมีประจำที่ สถานีตำรวจขนาดใหญ่ที่มีคดีจำนวนมากเท่านั้น -ปัญหาของโครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความเห็นว่าเป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่ ยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม เป็นการเพิ่มขั้นตอน เพิ่มเงื่อนไขทำให้การไกล่เกลี่ยยากขึ้น ไม่ได้ช่วยให้คดีลดลง


124 ควรจะปรับให้การดำเนินการจบได้เร็วที่สุด และเป็นงานที่พนักงานสอบสวนและฝ่ายปกครองดำเนินการ อยู่แล้ว -ปัญหาของการแจ้งเบาะแสหรือการเป็นพยานของประชาชนที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน มีความ ลำบากใจหากต้องมาเป็นพยาน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบความสัมพันธ์กับคู่กรณีในภายหลัง ประชาชน บางส่วนจึงไม่เป็นพยานให้กับตำรวจ แต่ให้ความร่วมมือในเรื่องการแจ้งข้อมูลหรือให้เบาะแสในคดี แต่เพียงอย่างเดียวดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีแนวทางเพื่อจูงใจให้ประชาชนให้ข้อมูลกับประชาชนให้มากขึ้น เช่น ในอนาคตอาจจะมีการลดหย่อนภาษีให้กับร้านค้า ภาคธุรกิจ หรือประชาชนที่ให้ความร่วมมือติดตั้ง กล้องวงจรปิดที่สามารถมองเห็นภาพพื้นที่สาธารณะ เป็นต้น ค. การรับรู้ ตื่นตัว และสนใจของประชาชนในพื้นที่มีที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ความเห็นต่อการรับรู้ ตื่นตัว และความสนใจของประชาชนในพื้นที่ต่อการเข้ามามีส่วนร่วมใน หน่วยงานตำรวจจากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและ ติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานตำรวจ มีหลายระดับ ดังต่อไปนี้ -กต.ตร.ถือว่าได้รับการตอบรับในเชิงบวก ประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือในการทำงานเป็น อย่างดี ตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ กต.ตร. จัดทำขึ้นอย่างดีเพราะมีการประชาสัมพันธ์ผ่านโครงการตำรวจ มวลชนสัมพันธ์ สร้างมวลชน หาแนวร่วม เมื่อชุมชนเข้มแข็งทำให้อาชญากรรมลดลง งานตำรวจลดลง -กต.ตร. ได้ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กับตำรวจ ส่งผลโดยอ้อมต่อความตื่นตัว และการรับรู้ของ ประชาชนถึงภาระหน้าที่ของตำรวจมากขึ้น และให้ความร่วมมือกับตำรวจดีขึ้น -เมื่อประชาชนได้รับรู้ถึงภาระหน้าที่ของตำรวจมากขึ้น ก็ส่งผลให้ความร่วมมือกับตำรวจดีขึ้น -การมีส่วนร่วมในแจ้งข้อมูลหรือให้เบาะแสอาชญากรรมจากประชาชนในพื้นที่ค่อนข้างดี เนื่องจากต้องการให้ชุมชนหรือท้องที่เกิดความสงบสุข โดยประชาชนใช้โซเชียลมีเดียให้ความช่วยเหลือ ตำรวจได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งมีหลายกรณีที่ประชาชนแจ้งเบาะแสทันทีที่เหตุเกิดขึ้น นำไปสู่การติดตาม และสามารถการจับกุมตัวผู้ต้องหาได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ชั่วโมง รวมถึงการนำภาพวิดีโอจากกล้อง มาให้กับทางตำรวจได้ใช้เป็นหลักฐานในกระบวนการยุติธรรมได้และเป็นการลดโอกาสในการเกิด อาชญากรรมได้ -จังหวัดขนาดใหญ่และเมืองเศรษฐกิจ จะมีอาสาสมัครช่วยเหลือที่หลากหลาย มีทั้งประชาชนที่ เป็นคนพื้นที่ แรงงานข้ามถิ่น และชาวต่างชาติซึ่งเป็นประชากรแฝงจำนวนมาก จำเป็นต้องมีการคัดกรอง ซึ่งประชาชนกลุ่มนี้มีความสนใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมใน กต.ตร. น้อย มีเพียงผู้คนในพื้นที่ที่รับรู้ -แม้ว่าประชาชนสามารถติดตามการทำงานของหน่วยงานยุติธรรมได้ตามสื่อสังคมออนไลน์ ในพื้นที่ประชาชนอาศัย เช่น สถานีตำรวจ แต่ส่วนใหญ่ประชาชนมีการรับรู้ ตื่นตัว และสนใจในระดับ ปานกลางไปจนถึงระดับน้อย เนื่องจากไม่มีค่าตอบแทน -ความเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามในประเด็นของความสนใจของประชาชนที่จะเข้าร่วมใน กระบวนการยุติธรรมประจำจังหวัดหรือระดับท้องที่นั้น มีความเห็นแตกต่างกัน มีทั้งเห็นว่าประชาชน


125 อาจจะสนใจ และเห็นว่าไม่ตื่นตัวหากรบกวนการทำมาหากิน กับเห็นว่าหากประชาชนในพื้นที่เป็นผู้มี ส่วนได้เสียในประเด็นใด ก็อาจจะมีความสนใจที่จะเข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวเนื่องใน ประเด็นดังกล่าว -หากจะสำรวจความสนใจของคนในพื้นที่สามารถตรวจสอบข้อมูลจากสำนักงานยุติธรรมจังหวัด และศูนย์ดำรงธรรมเพิ่มเติม ง. การมีส่วนได้เสีย/ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) กับหน่วยงานตำรวจ จากการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ความเห็นในเรื่องของการมีส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์ทับซ้อนของประชาชนในการที่ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในหน่วยงานอัยการ จากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการจัดตั้ง คณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานอัยการ ได้ยกตัวอย่าง ที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังต่อไปนี้ -กต.ตร. ของตำรวจภูธรต่าง ๆ ไม่มีประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจาก กต.ตร. มีหน้าที่ ติดตามและตรวจสอบการทำงานของตำรวจ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางกระบวนยุติธรรมหรือกระบวนการ สอบสวนของตำรวจแต่อย่างใด -อาจจะสร้างปัญหาในเรื่องความลับในการสอบสวน ประชาชนผู้มีส่วนร่วมที่มาแจ้งข้อมูลหรือ พยาน อาจจะนำข้อมูลทางคดีไปเปิดเผย ทำให้เกิดความเสียหายแก่รูปคดีหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีได้ -ในการปฏิบัติหน้าที่ของประชาชนใน กต.ตร. อาจเข้ามาแฝงเพื่อหาผลประโยชน์จากการทำงาน ของตำรวจได้หรือเป็นตำรวจอาสา แต่ออกตรวจพื้นที่เองเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งตำรวจอาสาเป็น ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน จะต้องออกตรวจพร้อมกับตำรวจ จึงได้ปรับเครื่องแบบของตำรวจอาสาให้ ชัดเจนไม่ให้คล้ายตำรวจ และอาวุธปืนที่ให้ยืมใช้ขณะออกตรวจก็ต้องคืนหลังเสร็จสิ้นภาระงานแล้ว -ในประเด็นของการมีส่วนได้เสีย อาจเกิดขึ้นกับ กต.ตร. ได้ เพราะสังคมไทยเป็นระบบอุปถัมภ์ ต้องมีการตรวจสอบประวัติ แต่อาจเกิดได้น้อยเพราะยึดกฎหมายเป็นหลัก จะไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้คดี เปลี่ยนแปลงได้ ไม่ทำให้ประชาชนเสียเปรียบ ไม่ทำให้ผิดเป็นถูก ต้องทำให้อยู่ในกรอบ ตำรวจอาจเพียง ช่วยอำนวยความสะดวกรวดเร็วและลดขั้นตอนมากขึ้น ทำให้ได้เท่าที่ไม่เกิดความเสียหาย ไม่ทำให้คดี พลิกเปลี่ยน เพราะหากมีความผิดปกติจะมีความเสี่ยงต่อพนักงานสอบสวนที่จะถูกตั้งกรรมการสอบสวนเอง -ผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นต่อประเด็นการมีส่วนได้เสียและผลประโยชน์ทับซ้อนกรณีที่ ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมตำรวจ ดังนี้ •ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยใจ และจิตอาสา ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนแต่อย่างใด และความคิดเห็นของ กต.ตร. ไม่ผูกมัดหน่วยงาน ไม่นำมาใช้ในทางคดี เนื่องจากความเป็นกลางของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม •ความเห็นว่าไม่แน่ใจ เพราะไม่ทราบขั้นตอนการมีส่วนร่วมของประชาชนมากน้อยเพียงใด


126 •ความเห็นว่าอาจจะมีผลกระทบต่อความเป็นอิสระ มีฝักฝ่าย มีความเป็นเครือญาติ มีความไม่เที่ยงตรงในการพิจารณาสั่งคดี จ. ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ข้อมูลที่ได้รับจากการสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีต่อการจัดตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วม ภาคประชาชน และกลไกในรูปแบบอื่น ๆ ของหน่วยงานอัยการ ได้มีความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ เพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้ -เนื่องจากตำรวจมีภารกิจหลักในการบังคับใช้กฎหมายอาญา เป็นกระบวนการในชั้นก่อนฟ้องคดี ซึ่งจำเป็นต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมายที่มีอยู่อย่างเคร่งครัด การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนจึงอาจ ต้องแยกพิจารณา ดังนี้ •หากเป็นกรณีความผิดอาญาแผ่นดิน การเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนอาจจะมีจำกัด โดยเข้ามามีส่วนร่วมผ่านสิทธิของคู่กรณี เช่น มาเป็นพยาน หรือให้ความเห็น หรือผู้ที่ผู้ต้องหาไว้วางใจ ตามที่กฎหมายกำหนด และเนื่องจากการดำเนินคดีอาญาของรัฐ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระทำการแทนรัฐ ในการรักษาความสงบเรียบร้อย จึงต้องดำเนินการให้รอบคอบ ป้องกันมิให้บุคคลภายนอกคดีเข้ามา กระทำการอันเป็นเหตุให้รูปคดีเสียหายได้ •หากเป็นกรณีที่กฎหมายเปิดช่อง เช่น ความผิดเล็กน้อย หรือเข้าเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 พนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการให้ผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นประชาชน ทั่วไปสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในคดีได้ ซึ่งเป็นมาตรการทางเลือกที่สำคัญที่ช่วยลดปริมาณคดีที่จะเข้ามา สู่พนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม การนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ควรมีการบันทึกเป็นฐานข้อมูลหรือ สถิติเอาไว้ว่า การดำเนินการไกล่เกลี่ยในชั้นพนักงานสอบสวนมีจำนวนกี่เรื่องต่อเดือน ต่อปี เป็นผลสำเร็จ หรือไม่เพียงใด เพราะเหตุใด -ขอบเขตของการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของตำรวจไม่สามารถทำได้ ทุกเรื่อง ซึ่งพนักงานสอบสวนจะพิจารณาจากข้อกฎหมายได้ให้อำนาจไว้หรือไม่ เช่น มีกรณีที่ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นพี่ชายของผู้เสียหายได้ข่มขืนผู้เสียหายแล้วถูกดำเนินคดี หลังจากพ้นโทษมาแล้ว ได้กลับมาอยู่ ที่บ้านทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถอยู่ที่บ้านของตนเองได้ และกฎหมายก็ไม่ได้คุ้มครองผู้เสียหายแล้ว เนื่องจากคดีเสร็จสิ้นแล้ว หรือกรณีคดีที่ผู้ต้องหามีการอาการคลุ้มคลั่งและไม่มีญาติดูแลจะมีผู้ใดรับไป ดูแลแทน -ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม จำเป็นที่จะต้องมีการให้ ความรู้แก่ประชาชนเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้ามามีส่วนร่วม -การจะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมในชั้นตำรวจ อาจจะต้องทำให้ ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานตำรวจเพื่อคุ้มครองหรือรักษาความสงบ เรียบร้อยของท้องที่


127 -ในส่วนของการมีทนายความอาสามานั่งเป็นเวรประจำสถานีตำรวจแต่ละแห่งนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี ที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถมาปรึกษาอรรถคดีได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยควรเปิดให้ทนายความอาสา มานั่งเวรทนายอาสามาประจำสถานีตำรวจให้ครอบคลุมทุกแห่งให้มากที่สุด -ประชาชนอาจช่วยเหลืองานธุรการของตำรวจ การเดินเอกสาร การให้คำแนะนำเบื้องต้น เพราะสถานีตำรวจมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงจำนวนน้อยมาก แต่ภาระงานด้านการเงินและคดีไม่สามารถ ให้ช่วยเหลือได้เพราะเป็นความลับ -ตำรวจมีความเห็นว่า อัยการมีความห่างกับประชาชนและเข้าถึงได้ยาก มีลักษณะงานเป็น ทางการ แม้กระทั่งตำรวจและอัยการยังไม่ได้พูดคุยกัน จึงต้องมีการพบปะสังสรรค์ประสานสัมพันธ์ ระหว่างกันและกับประชาชนให้มากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างแนวร่วมช่วยเหลือโดย ประชาชนได้ อีกทั้ง พนักงานอัยการไม่เคยลงพื้นที่เกิดเหตุ ประชาชนต้องมาหาพนักงานอัยการเอง การแสวงหาพยานมอบให้ตำรวจดำเนินการหน่วยเดียว พนักงานอัยการไม่ได้อำนวยความยุติธรรมหรือ แสวงหาข้อเท็จจริงเชิงรุกเลย -ผู้ตอบแบบสอบถามได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนควรมีขอบเขต ไม่ก้าวล่วงการพิจารณาความเห็นในเนื้อหาของคดี


128 บทที่ 4 สรุปผลการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมหรือนักวิชาการในสาขาที่เกี่ยวข้อง ในบทนี้ คณะที่ปรึกษาได้ดำเนินการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิชาวต่างประเทศซึ่งเป็นนักวิชาการ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบ ทางไกล (Online Interview) โดยในการสัมภาษณ์ได้ใช้แบบสอบถามของคณะที่ปรึกษาได้จัดทำขึ้นเพื่อ เป็นแนวทางในการกำหนดทิศทางการสัมภาษณ์ มีรายละเอียดดังนี้ •วันที่1 กันยายน 2565 สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศญี่ปุ่น -Mr. โมรินากะ ทาโร่ (ผู้อำนวยการสถาบัน UNAFEI) -Ms. อิริเอะ จุนโกะ (รองผู้อำนวยการสถาบัน UNAFEI) •วันที่5 ตุลาคม 2565 สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจากสาธารณรัฐเกาหลี -Prof. ยอง ปาร์ค (ศาสตราจารย์จาก Sogang University Law School) 1. ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2565 คณะที่ปรึกษาได้รับเกียรติจาก Mr. โมรินากะ ทาโร่ (ผู้อำนวยการสถาบันการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดของสหประชาชาติ ภาคพื้น เอเชียและตะวันออกไกล หรือ The United Nations Asia and Far East Institute for the Prevention of Crime and the Treatment of Offenders - UNAFEI) และ Ms. อิริเอะ จุนโกะ (รองผู้อำนวยการ สถาบัน UNAFEI) มาบรรยายและให้สัมภาษณ์ในหัวข้อ “การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญาในประเทศญี่ปุ่น” ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสองได้กล่าวเน้นในส่วนระบบที่สำคัญ 2 ระบบ คือ 1) ระบบคณะกรรมการตรวจสอบฟ้องอัยการ และ 2) ระบบไซบังอิน ซึ่งเป็นกลไกการมีส่วนร่วมของ ประชาชนทั่วไปในกระบวนการยุติธรรมโดยแท้ในประเทศญี่ปุ่น สามารถสรุปได้ดังนี้ 1) กลไกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมในประเทศ ญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นมีกลไกที่เปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้ หลายทางซึ่งกลไกที่สำคัญ 2 ระบบ ซึ่งเป็นการสร้างกลไกโดยมีกฎหมายเฉพาะให้อำนาจ คือ 1) การมี ส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบชั้นอัยการในรูปแบบ “คณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง” และ 2) การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาลในรูปแบบ “คณะลูกขุนไซบังอิน” เมื่อได้สอบถามเกี่ยวกับกลไกอื่น ๆ ที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในชั้นฟ้องคดีของอัยการ ผู้อำนวยการโมรินากะได้กล่าวว่าหากเป็นกลไกทางกฎหมายก็จะมีเพียงเรื่อง “คณะกรรมการตรวจฟ้อง” เท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี ท่านได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าในความเป็นจริงประชาชนยังอาจเข้ามามีส่วนร่วม ในทางอื่นได้อีก (De Facto) เพราะไม่ได้ถูกจำกัดว่าเข้าร่วมได้แค่ทางกลไกที่กฎหมายจัดตั้งไว้เท่านั้น เช่น


129 การวิพากษ์วิจารณ์หรือประณามการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เหมาะสม หรือการให้ความร่วมมือกับอัยการหรือ ตำรวจในชั้นสืบสวนสอบสวน 2) เหตุผลหรือปัจจัยเบื้องหลังในการสร้างกลไกประชาชนให้เข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรม ทางอาญา แนวคิดการนำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนมาใช้ในประเทศญี่ปุ่นเป็นแนวคิดที่มีมายาวนาน และมีความเกี่ยวข้องกับภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแพ้สงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่ประเทศญี่ปุ่นต้องตกอยู่ภายใต้สนธิสัญญาข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประเทศ ญี่ปุ่นต้องพัฒนาตัวเอง รวมถึงพัฒนากระบวนการยุติธรรมและระบบกฎหมายให้ทันสมัยเพื่อพัฒนาชาติ ให้ทัดเทียมระดับสากล จึงมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมขนานใหญ่ทั้งระบบ ซึ่งระบบการมีส่วนร่วม ของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมก็ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นกลไกหนึ่งในการเสริมสร้างความเป็นระบอบ ประชาธิปไตย (Democratization) อย่างไรก็ดีการปฏิรูปดังกล่าวต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะเป็นรูป เป็นร่างและใช้บังคับได้ รวมถึงต้องอาศัยระยะเวลาที่เหมาะสมในการบังคับใช้ และต้องสร้างแรงจูงใจให้ ประชาชนมีความสนใจในกระบวนการมีส่วนร่วมดังกล่าว ทั้งนี้ แนวคิดพื้นฐานในการนำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมทาง อาญามาใช้ของประเทศญี่ปุ่นนั้นเกิดจากแนวคิดที่ต้องการให้การทำงานของหน่วยงานในกระบวนการ ยุติธรรมสะท้อนเจตจำนงของประชาชนมากขึ้น (Reflect Public Will) ซึ่งจะแตกต่างจากแนวคิด พื้นฐานในประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐเกาหลี ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่ไว้วางใจ ในการใช้อำนาจรัฐ (Distrust of Authority) อีกปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่แนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชน คือในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ข้างต้น ซึ่งเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งทางแพ่งและทางอาญานั้นในเวลานั้น การพิจารณา พิพากษาคดีทางแพ่งของศาลถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยภาคธุรกิจเอกชนที่เป็นผู้ปฏิบัติจริงเป็นอย่างมาก ว่าเป็นการพิพากษาคดีแบบนั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง กล่าวคือ เป็นการพิพากษาคดีโดยไม่คำนึงถึงทาง ปฏิบัติจริงทำให้คำพิพากษาที่ออกมาไม่สมเหตุสมผลและเกิดปัญหา โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับการลงทุน หรือทรัพย์สินทางปัญญา การวิจารณ์นี้เริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และมีการเรียกร้องให้รัฐจัดการกับ ปัญหานี้ทางศาลเองก็มีความพยายามตอบสนองต่อข้อวิจารณ์เรื่องนี้เช่นกัน ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นสิ่ง ขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูประบบยุติธรรมทั้งระบบในประเทศญี่ปุ่น 3) กฎหมายรองรับการสร้างกลไกหรือจัดทำโครงการการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในกระบวนการยุติธรรม ระบบคณะกรรมการตรวจสอบฟ้องและระบบคณะลูกขุนไซบังอิน จัดตั้งโดยกฎหมายเฉพาะคือ พระราชบัญญัติคณะกรรมการตรวจสอบฟ้องและพระราชบัญญัติไซบังอินตามลำดับ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ ให้อำนาจและกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ไว้โดยละเอียด ตั้งแต่ขั้นตอนและวิธีการคัดเลือกบุคคลเข้ามา ปฏิบัติหน้าที่ คุณสมบัติและข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่ ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ค่าตอบแทน


130 ความคุ้มครองผู้ปฏิบัติหน้าที่ และบทลงโทษกรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นต้น (ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ในรายงานบทที่ 2 หัวข้อ “1. ประเทศญี่ปุ่น”) 4) ลักษณะการเข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน (1) คณะกรรมการตรวจฟ้องของอัยการ มีบทบาททั้งในแง่การตรวจสอบและการให้คำแนะนำ ในการบริหารจัดการคดีโดยทั่วไป ในแง่การตรวจสอบ คือตรวจสอบความเหมาะสมของคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการใน คดีอาญาประเภทต่าง ๆ ทั้งในเชิงรุก คือการริเริ่มตรวจสอบเองจากพยานหลักฐานและข้อมูลที่ตนได้รับรู้มา และในเชิงรับ คือโดยการรับคำร้องจากผู้มีสิทธิร้องขอตามที่กฎหมายกำหนด โดยการตรวจสอบคำสั่ง ฟ้องของอัยการ หากคณะกรรมการมีมติเห็นควรสั่งฟ้อง จะเป็นการบังคับ (Mandatory Order) ให้ อัยการต้องพิจารณาคำสั่งของตนใหม่ และหากอัยการพิจารณาคำสั่งแล้วยังคงสั่งไม่ฟ้อง คณะกรรมการ ต้องทำการตรวจสอบหารือเกี่ยวกับคำสั่งนั้นอีกครั้ง หากคณะกรรมการยืนยันมติเห็นสมควรสั่งฟ้อง ตามเดิม มติดังกล่าวจะมีผลบังคับตามกฎหมาย (Legally Binding) ให้ต้องยื่นฟ้องคดีนั้นต่อศาลต่อไป ในแง่การให้คำแนะนำในการบริหารจัดการคดีโดยทั่วไป คือคณะกรรมการตรวจฟ้องอาจ ให้คำแนะนำในการบริหารจัดการคดีโดยทั่วไปไม่ได้เจาะจงคดีใดคดีหนึ่งแก่องค์กรอัยการได้ โดยทำ ข้อเสนอยื่นต่ออัยการ ทั้งนี้คำแนะนำในการบริหารจัดการอรรถคดีโดยทั่วไปของคณะกรรมการตรวจ ฟ้องไม่ได้มีผลบังคับตามกฎหมายให้อัยการต้องปฏิบัติตาม แต่กฎหมายได้กำหนดให้อัยการทำการชี้แจง เกี่ยวกับนโยบายขององค์กรในเรื่องดังกล่าว หรือรับข้อเสนอของคณะกรรมการตรวจฟ้องไปพิจารณา เพื่อพัฒนาปรับปรุงการบริหารงานขององค์กรต่อไป ซึ่งตัวอย่างของกรณีที่คณะกรรมการตรวจฟ้องอาจให้คำแนะนำอัยการได้ เช่น คณะกรรมการตรวจฟ้องสามารถริเริ่มในตรวจสอบคำสั่งฟ้องคดีได้เอง (Ex Officio) ซึ่งในระหว่างการ ตรวจสอบคณะกรรมการก็อาจพบว่ามีบางขั้นตอนที่อัยการปฏิบัติไม่เหมาะสม เช่น การสอบสวนโดยไม่ได้ คำนึงถึงสภาพจิตใจพยานหรือเหยื่อ คณะกรรมการตรวจฟ้องก็สามารถทำข้อเสนอแนะส่งไปยังหัวหน้า อัยการจังหวัด (District Chief Public Prosecutor) ในเขตท้องที่ที่ตนมีอำนาจอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติพบว่าคณะกรรมการตรวจฟ้องแทบจะไม่ได้ใช้อำนาจในส่วน การให้ข้อเสนอแนะในการทำงานนี้ ส่วนหนึ่งอาจสันนิษฐานได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของอัยการมีปัญหา น้อยด้วย (2) คณะลูกขุนไซบังอิน มีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินคดีอาญาร้ายแรงในศาลชั้นต้น ตามประเภทที่กฎหมายกำหนด โดยร่วมพิจารณาเป็นองค์คณะเดียวกันกับผู้พิพากษาและมีอำนาจ พิจารณาตัดสินคดีและกำหนดโทษเช่นเดียวกับผู้พิพากษา ซึ่งโดยส่วนมากการพิจารณาคดีอาญาที่ใช้ ระบบลูกขุนจะใช้ระยะเวลาไม่นาน เช่น ประมาณ 1 สัปดาห์ในคดีทั่วไป หรือ 1- 3เดือนในคดีที่มีความ ซับซ้อนหรือต้องสืบพยานมาก


131 5) ผลตอบรับของการนำกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนแต่ละประเภทมาใช้ รวมถึง ปัญหาและอุปสรรค (1) คณะกรรมการตรวจฟ้อง ท่านผู้อำนวยการโมรินากะได้ให้ข้อมูลว่าจากสถิติปริมาณคดีที่คณะกรรมการตรวจฟ้อง พิจารณาพบว่าปริมาณคดีที่คณะกรรมการมีมติ “เห็นควรสั่งฟ้อง” กล่าวคือ กลับคำสั่งไม่ฟ้องของ อัยการนั้นมีปริมาณน้อยมาก เช่น ในช่วง 5 ปีหลัง (ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 ถึง พ.ศ. 2564) มีปริมาณคดีที่เข้า สู่การพิจารณาตรวจสอบของคณะกรรมการทั้งหมด 184,004 คดี แต่คดีที่คณะกรรมการมีมติเห็นควร สั่งฟ้องมีเพียง 2,573 คดี ผลลัพธ์ตามสถิตินี้มีการตีความเป็น 2 แง่ กล่าวคือในแง่หนึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันว่าการ ทำงานของอัยการญี่ปุ่นมีประสิทธิภาพและเป็นที่น่าเชื่อถือ การกลับคำสั่งของอัยการจึงมีน้อย แต่ในทางกลับกันก็อาจมีมุมมองที่คิดว่ากลไกการตรวจสอบไม่ได้ผลเท่าที่ควร อาจเพราะ คณะกรรมการตรวจฟ้องไม่ได้ตื่นตัวในการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ได้รู้เกี่ยวกับข้อกฎหมายหรือการสืบสวน สอบสวนจึงทำให้ลังเลที่จะกลับคำสั่งของพนักงานอัยการ อย่างไรก็ดี จากประสบการณ์การเป็นพนักงานอัยการของผู้ทรงคุณวุฒิที่เคยถูกเรียกให้ไป ให้ความเห็นเกี่ยวกับการสั่งคดีต่อหน้าคณะกรรมการตรวจฟ้อง กล่าวว่าคณะกรรมการตรวจฟ้องปฏิบัติ หน้าที่อย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพมาก พนักงานอัยการที่ต้องไปชี้แจงต่อคณะกรรมการจะต้องเตรียม ตัวอย่างดีในการอธิบายเหตุผลในการสั่งไม่ฟ้องของตนและต้องตอบคำถามคณะกรรมการให้ได้อย่าง ละเอียดไม่ใช่แค่เหตุผลในการสั่งไม่ฟ้อง แต่รวมไปถึงขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนต่าง ๆ ด้วย (2) คณะลูกขุนไซบังอิน การนำระบบคณะลูกขุนไซบังอินมาใช้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในทางกระบวนการ พิจารณาคดีและในทางสังคม ความเปลี่ยนแปลงในทางกระบวนการยุติธรรมมีทั้งในแง่ของกระบวนการดำเนินคดีและ ในแง่ความเปลี่ยนแปลงของการกำหนดโทษ •ในแง่ของกระบวนการดำเนินคดี ได้แก่ -มีการกำหนดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีให้ชัดเจนขึ้นและแคบลงตั้งแต่ชั้นก่อนพิจารณาคดี -มีการพิจารณาคดีอย่างละเอียดเข้มข้นในระยะเวลาอันสั้น -มีการใช้ศัพท์เฉพาะทางในกระบวนการพิจารณาน้อยลง ใช้ศัพท์ทั่วไปให้มากขึ้นเพื่อให้ ไซบังอินซึ่งเป็นประชาชนทั่วไปเข้าใจพฤติการณ์ของคดีได้ง่ายขึ้น •ในแง่ความเปลี่ยนแปลงของการกำหนดโทษ ได้แก่ -มีแนวโน้มการกำหนดโทษที่รุนแรงขึ้นในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศและคดีทำร้ายร่างกาย จนถึงแก่ความตาย -มีการสั่งรอการลงโทษมากขึ้นในคดีความผิดฐานวางเพลิงที่อยู่อาศัย


132 -มีแนวโน้มการลงโทษที่เบาลงสำหรับคดีที่จำเลยมีเหตุผลที่ควรได้รับความเห็นใจในการ กระทำความผิดอาญา -มีการใช้คำสั่งคุมประพฤติในระหว่างระยะเวลาชะลอการลงโทษมากขึ้น -ขอบเขตความต่างของโทษที่ถูกกำหนดกว้างขึ้น อาจจะเป็นโทษเบากว่าหรือหนักกว่าคดี ในความผิดประเภทเดียวกันที่ศาลตัดสินขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ในคดีนั้น ๆ ส่วนความเปลี่ยนแปลงทางสังคม คือประชาชนมีความเข้าใจและความสนใจในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญามากขึ้น โดยจากผลการสำรวจจากผู้เคยปฏิบัติหน้าที่ไซบังอินในช่วงปี ค.ศ. 2009 ถึง ปี ค.ศ. 2019 พบว่ามากกว่าร้อยละ 95 มีความเห็นว่าตนได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการทำหน้าที่ ดังกล่าว นอกจากนี้ภาครัฐและเอกชนยังมีความตื่นตัวในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้าน กฎหมายผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง เช่น การปรับปรุงแบบเรียนเกี่ยวกับกฎหมายสำหรับระดับ ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา การถ่ายทอดละครทีวีที่ให้ความรู้ด้านกฎหมาย ในด้านของปัญหาอุปสรรคที่พบเกี่ยวกับการนำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนมาใช้ คือความเต็มใจในการเข้ารับหน้าที่ ซึ่งอย่างกรณีไซบังอินจากสถิติก็พบว่ามีคนมารายงานตัวลดน้อยลง ทุกปี แม้จะได้รับจดหมายเรียกแต่ก็ไม่มารายงานตัวต่อศาล หรือปฏิเสธไม่รับหน้าที่ เหตุผลส่วนหนึ่งมา จากความคิดว่าการเป็นไซบังอินคือการต้องเข้าไปตัดสินชีวิตจำเลย ซึ่งประชาชนมองว่าการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการตรวจฟ้องหรือคณะลูกขุนไซบังอินเป็นหน้าที่ที่สำคัญและต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง และมีความรับผิดชอบซึ่งถือเป็นภาระที่ใหญ่หลวง ปัญหาอีกอย่างที่พบในการนำระบบไซบังอินมาใช้ คือปัญหาเกี่ยวกับสภาพจิตใจของ ประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งพบว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่ไซบังอินหลายคนประสบภาวะเครียด จึงมีการจัด มาตรการการเยียวยาด้านจิตใจของไซบังอิน และมีการกำหนดห้ามการนำเสนอพยานหลักฐานที่อาจ กระทบกระเทือนจิตใจ (Stimulating Evidence) ในการพิจารณาคดี เช่น ภาพศพ ภาพสถานที่เกิดเหตุ หรือหลักฐานที่เปื้อนเลือดต่าง ๆ หรือภาพบันทึกเหตุการณ์อาชญากรรมจากกล้องวงจรปิด ซึ่งส่งผลให้ พนักงานอัยการนำเสนอพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดจำเลยได้ยากขึ้น 6) การรับรู้ ตื่นตัว และความสนใจของประชาชนที่จะเข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรม ทางอาญา ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นรับรู้ว่ามีระบบคณะกรรมการตรวจสอบฟ้อง คณะลูกขุน ไซบังอิน และเข้าใจหลักการปฏิบัติหน้าที่ในเบื้องต้น แต่ความตื่นตัวและความสนใจในการเข้าร่วมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัยและช่วงวัย ของประชาชน และตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าประชาชนอาจไม่เต็มใจเข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรม ทางอาญาเพราะคิดว่ามองว่าการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวเป็นภาระที่ใหญ่หลวง ตัวอย่างที่เห็นว่าประเทศญี่ปุ่นยังประสบปัญหาความร่วมมือของประชาชนในการเข้าร่วม กระบวนการยุติธรรมทางอาญา เห็นได้จาก (1) สถิติการมารายงานตัวต่อศาลเพื่อรับเลือกเป็นไซบังอิน


133 และสถิติการปฏิเสธไม่รับหน้าที่ไซบังอินในช่วงระยะเวลา 10 ปีนับแต่ใช้ระบบนี้พบว่าอัตราของผู้มา รายงานตัวเป็นไซบังอินต่อศาลลดลง ขณะที่อัตราการปฏิเสธหน้าที่ไซบังอินเพิ่มขึ้น1 และ (2) ผลสำรวจ ความเต็มใจในการเข้ารับหน้าที่ไซบังอินของประชาชนพบว่ามีประชาชนมากกว่าร้อยละ 75 ที่ให้ ความเห็นว่าตนไม่เต็มใจเข้ารับหน้าที่ ซึ่งเหตุผลที่ไม่เต็มใจหรือลังเลที่จะรับตำแหน่งไซบังอินมีหลาย ประการ เช่น2 -รู้สึกว่าการตัดสินคดีที่มีผลกระทบต่อจำเลยเป็นภาระความรับผิดชอบที่หนัก -ไม่มีความมั่นใจว่าคณะลูกขุนจะสามารถตัดสินคดีไปในทางที่ถูกต้องเพราะการพิจารณา พิพากษาคดีเป็นเรื่องยาก -รู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องดูพยานหลักฐาน เช่น ภาพศพ -กลัวการเผชิญหน้ากับจำเลยและผู้เกี่ยวข้องฝ่ายจำเลย -มีภาระหน้าที่ในการเลี้ยงบุตรหรือดูแลผู้ป่วยทำให้ไม่สะดวกในการมาเข้าฟังการพิจารณา คดีที่ศาล นอกจากนี้ สาเหตุอีกประการที่ประชาชนไม่อยากเข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรมทาง อาญา ยังอาจมาจากบริบททางศาสนาหรือวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อทัศนคติของประชาชนต่อคดีอาญาด้วย เช่น ในบริบทของประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศแถบเอเชียหลายประเทศ ยังคงมีประชาชนที่มีทัศนคติ ในแง่ลบต่อคดีอาญาว่าเป็นสิ่งสกปรกชั่วร้าย งานเกี่ยวกับคดีอาญาจึงเป็นงานที่คนทั่วไปไม่ควรทำเพราะ เป็นการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสกปรกชั่วร้าย และในอดีตญี่ปุ่นยังมีกฎห้ามอัยการมองจักรพรรดิเนื่องจากเชื่อ ว่างานของอัยการเป็นไม่ว่าจะเป็นการฟ้องหรือการบังคับโทษผู้กระทำผิด เป็นงานที่ต้องแปดเปื้อนด้วย อาชญากรรมและความรุนแรงต่าง ๆ (เช่น การลงโทษจำเลยด้วยการเฆี่ยนตี) เชื่อว่าทัศนคติแบบนี้อาจได้รับ อิทธิพลส่วนหนึ่งจากแนวคิดศาสนาพุทธในอดีตที่จะไม่ทำเรื่องชั่วร้ายหรือรุนแรงต่อหน้าองค์พระพุทธรูป และทัศนคติเช่นนี้แม้จะลดน้อยลงแต่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน จึงมีประชาชนที่คิดว่าจะไม่เข้าร่วม เป็นคณะลูกขุนหรือคณะกรรมการตรวจฟ้องเด็ดขาด เพราะเป็นงานที่ต้องลงโทษผู้คน ไม่ใช่งานที่ ช่วยเหลือผู้คน แนวคิดนี้ค่อนข้างฝังรากลึกในบริบทของประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสองให้ความเห็นว่าแม้ในปัจจุบันจากผลสำรวจจะพบว่าใน ประเทศญี่ปุ่นยังมีประชาชนที่ไม่เต็มใจเข้าเป็นไซบังอินหรือคณะกรรมการอยู่มาก แต่ผู้เชี่ยวชาญทั้งสอง ต่างมองว่าทัศนคติของคนรุ่นใหม่เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย โดยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เริ่มมีความสนใจและตื่นตัว ในการเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น และในทางปฏิบัติยังพบว่าหลังจากได้เข้าร่วมเป็น ไซบังอินหรือกรรมการตรวจฟ้องจริง ๆ แล้ว ประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจที่ถูกต้องและมีทัศนคติที่ดี 1最高裁判所事務総局、「裁判員制度10年の総括報告書」(Supreme court, Report on 10 Years since the Introduction of the Saiban-in System) <https://www.saibanin.courts.go.jp/vcfiles/saibanin/file/r1_hyousi_honbun.pdf> accessed 13 October 2022. 2最高裁判所、「裁判員制度の運用に関する意識調査」<Supreme Court, 2022 Research on Citizen’s perception of Saiban-in System] <https://www.saibanin.courts.go.jp/vc-files/saibanin/2022/2.pdf> accessed 13 October 2022.


134 ต่อกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น รวมทั้งอคติที่มีต่อการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมก็ลด น้อยลง 7) ความกังวลในเรื่องการมีส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) จากการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากกลไกการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในประเทศญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้ทำให้บุคคลนั้น มีอำนาจหรือได้รับผลประโยชน์อะไรจากการปฏิบัติหน้าที่ถึงขนาดที่จะเอาไปหาประโยชน์ได้ เพราะในการ พิจารณาหรือตัดสินแต่ละเรื่องนั้นบุคคลจะไม่สามารถทำได้คนเดียว ต้องอาศัยมติของคณะกรรมการ หรือคณะลูกขุนคนอื่นร่วมด้วย และหากมีการกระทำดังกล่าวก็มีบทบัญญัติกำหนดโทษกรณีปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบรองรับอยู่แล้ว นอกจากนี้ ในแง่ผลประโยชน์หรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับคดี หากมีข้อสงสัยว่าบุคคลดังกล่าว อาจมีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับคดีที่ตนจะรับผิดชอบ หรืออาจไม่เป็นกลาง บุคคลนั้นก็จะ ถูกคัดออกจากบัญชีรายชื่อผู้เป็นไซบังอินสำหรับคดีนั้น ๆ หรือถูกคู่ความคัดค้านได้อยู่แล้ว หรือในกรณี ของคณะกรรมการตรวจฟ้องก็อาจถูกคัดชื่อออกตั้งแต่ขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติบุคคลทั่วไปแล้ว 8) ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสองให้ความเห็นตรงกันว่า ไม่สามารถตัดสินได้ว่าระบบการมีส่วนร่วมของ ประชาชนรูปแบบไหนหรือของประเทศไหนดีที่สุดหรือมีประสิทธิภาพที่สุด (Best Practice) เพราะ บริบททั้งทางกฎหมาย วัฒนธรรม รวมทั้งทัศนคติของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมในแต่ละ ประเทศแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติต่อหน่วยงานรัฐหรือทัศนคติต่อการเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา อย่างเช่นที่กล่าวไปข้างต้นว่า ในบริบทของประเทศญี่ปุ่นยังคงมีประชาชนที่มีทัศนคติ ต่อระบบไซบังอินหรือคณะกรรมการตรวจฟ้องว่าเป็นการให้บุคคลทั่วไปเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีอาญา อันเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยว ซึ่งตรงข้ามกับบริบทของสหรัฐอเมริกาที่ประชาชนมีทัศนคติ ต่อการเข้าเป็นคณะลูกขุนว่าเป็นเรื่องดี เป็นการปฏิบัติหน้าที่พลเมืองที่ดี และประชาชนส่วนใหญ่เต็มใจ เข้าร่วมเป็นคณะลูกขุน ดังนั้น จึงต้องพิจารณาถึงบริบทให้รอบด้านเพื่อสร้างรูปแบบการมีส่วนร่วมของ ประชาชนที่เหมาะสมกับประเทศให้ได้มากที่สุด ผู้อำนวยการโมรินากะให้ความเห็นเพิ่มเติมจากประสบการณ์การเป็นอัยการว่าการมีกลไก การตรวจสอบคำสั่งฟ้องของอัยการ โดยคณะกรรมการตรวจฟ้องนั้นมีอิทธิพลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ อัยการเป็นอย่างมาก เนื่องจากในการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีนั้นอัยการจะต้องเขียนเหตุผลประกอบคำสั่ง ซึ่งเหตุผลประกอบคำสั่งนี้แม้ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะแต่คณะกรรมการตรวจฟ้องสามารถตรวจสอบ เอกสารการสั่งไม่ฟ้องได้ทั้งหมด อัยการจึงต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าหากเหตุผลการสั่งไม่ฟ้องของตน ไม่มีน้ำหนักหรือไม่ชัดเจนเพียงพอ ก็จะถูกคณะกรรมการตรวจฟ้องตรวจสอบและคัดค้านได้ ส่งผลให้ อัยการจะต้องเขียนเหตุผลโดยละเอียด ชัดเจน และมีน้ำหนักมากพออยู่เสมอโดยเฉพาะในกรณีที่จะมี คำสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งทางปฏิบัติแบบนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของพนักงานอัยการเองอย่างมาก เช่นกัน โดยเฉพาะพนักงานอัยการที่มีประสบการณ์น้อย และด้วยทางปฏิบัติดังกล่าวจึงส่งผลในภาพรวม


135 ให้ระบบการทำงานของอัยการในประเทศญี่ปุ่นมีประสิทธิภาพและได้รับความไว้วางใจสูงมาก จึงเห็นว่า เป็นระบบที่ดีที่ควรนำมาใช้ เพราะจะทำให้อัยการตื่นตัวตลอดเวลาและในการปฏิบัติหน้าที่ก็จะคำนึงถึง ผลที่อาจตามมาทุกครั้ง 2. สาธารณรัฐเกาหลี คณะที่ปรึกษาได้ดำเนินการสัมภาษณ์เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญาของสาธารณรัฐเกาหลี ณ วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2565 เวลา 17.00 น.-18.30 น. โดยศาสตราจารย์ยอง ปาร์ค ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัย Sogang University Law School ซึ่ง สามารถสรุปประเด็นได้ดังนี้ 1) กลไกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมของ สาธารณรัฐเกาหลี ในปัจจุบันสาธารณรัฐเกาหลีได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม ในหลายรูปแบบ เช่น การเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาต่าง ๆ เกี่ยวกับการตรวจสอบการทำงานของ หน่วยงานรัฐในกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ดี กลไกคณะกรรมการส่วนใหญ่จะเป็นการคัดเลือกบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ (Expert) ไม่ได้ให้บุคคลทั่วไป (Lay Person) ทุกคน เข้าร่วมได้ จึงไม่ได้เป็นกลไกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วม (Lay Participation) โดยแท้ แต่ก็ถือเป็นช่องทางหนึ่งที่กฎหมายเปิดโอกาสในบุคคลในวงวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ เป็นตัวแทน ประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ ตัวอย่างคณะกรรมการดังกล่าว เช่น •การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นสืบสวนสอบสวน 1) คณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวน (ชั้นตำรวจ) (Investigation Review Committee) ซึ่งมีอำนาจตรวจสอบและลงความเห็นว่าการสืบสวนสอบสวนของตำรวจเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ 2) สำนักงานอัยการสูงสุดก็มีคณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวนและสั่งฟ้อง (ชั้นอัยการ) (Investigation Review Committee) ทำหน้าที่ต่างกันกับคณะกรรมการตรวจสอบการสืบสวนในชั้น ตำรวจ โดยทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก่อัยการในเรื่องต่าง ๆ เช่น 1) ความเหมาะสมและความชอบด้วย กฎหมายของคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องของอัยการ 2) ให้ความเห็นต่ออัยการว่าควรส่งฟ้องคดีหรือไม่หาก อัยการร้องขอ 3) ให้คำแนะนำอัยการในเรื่องความเหมาะสมของการขอออกหมายจับ 4) ให้คำปรึกษา หรือคำแนะนำในเรื่องอื่นที่อัยการร้องขอ 3) สำนักงานสอบสวนการทุจริตในข้าราชการระดับสูง (Corruption Investigation Office for High Ranking Officials)ก็มีคณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวน (Investigation Review Committee) ซึ่งตรวจสอบคำสั่งของเจ้าหน้าที่เช่นกัน โดยคำตัดสินของคณะกรรมการฯ มีผลเพียง “คำแนะนำ” เหมือนคณะกรรมการตรวจสอบฯ ในชั้นตำรวจและอัยการ


136 4) ในชั้นตำรวจและอัยการ อาจมีคณะกรรมการการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Information Disclosure Committee) ในคดีเกี่ยวกับความผิดอาญาร้ายแรง คณะกรรมการชุดนี้ จัดตั้งขึ้นภายใต้ Article 8-2 of Act on Special Cases Concerning the Punishment of Specific Violent Crimes มีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลในคดีอาญาร้ายแรง โดยหากคณะกรรมการมี ความเห็นว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีร้ายแรงและเป็นที่สนใจของประชาชนว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร คณะกรรมการ ก็อาจลงความเห็นให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยหรืออาชญากรในคดีนั้นก็ได้ 5) คณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งออกหมาย (Warrant Review Committee) ทำหน้าที่ ตรวจสอบความเหมาะสมและความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งปฏิเสธการขอออกหมายของพนักงาน ตำรวจโดยพนักงานอัยการ เนื่องจากอัยการเป็นองค์กรเดียวที่มีอำนาจขอออกหมายได้ตามกฎหมาย เกาหลี (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221-5) กรณีที่อัยการปฏิเสธคำขอออกหมายจากตำรวจ ตำรวจ อาจร้องขอให้คณะกรรมการพิจารณาว่าคำสั่งของอัยการเหมาะสมหรือชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไรก็ดีคำตัดสินของคณะกรรมการฯ มีผลเพียง “คำแนะนำ” ไม่เป็นการบังคับให้อัยการ ต้องปฏิบัติตาม เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐเกาหลีบัญญัติให้อำนาจในการขอออกหมายเป็น ของพนักงานอัยการเท่านั้น หากให้คำสั่งของคณะกรรมการฯ มีผลบังคับเปลี่ยนคำสั่งของอัยการได้ก็จะ เกิดการตีความว่าคณะกรรมการฯ มีอำนาจตัดสินในเรื่องการขอออกหมายเช่นเดียวกับอัยการ ซึ่งขัดกับ รัฐธรรมนูญ •การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการคุมประพฤติ คณะกรรมการตรวจสอบคำสั่งปล่อยตัวที่มีการคุมประพฤติ (Parole Review Board) จัดตั้ง โดย Parole Review Board Operational Guidelines กระทรวงยุติธรรม •การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) กระทรวงยุติธรรมจัดตั้ง Korea Rehabilitation Agency เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาค ประชาชนในกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ อย่างไรก็ตาม การมีส่วนร่วมในกระบวนการคุมประพฤติและกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ในสาธารณรัฐเกาหลียังมีอยู่น้อยมาก จึงอาจไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในแง่กลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน มากนัก ตามที่ได้กล่าวไปคือ กลไกการตรวจสอบต่าง ๆ ข้างต้นนั้น ล้วนมิได้เป็นกลไกที่เปิดให้ประชาชน โดยทั่วไปเข้ามาร่วมได้โดยแท้ แต่เป็นการคัดเลือกนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ เข้ามา ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมด และกลไกที่รองรับอำนาจมีทั้งในระดับกฎหมายและในระดับนโยบายขององค์กรที่ จัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมาเอง นอกจากนี้มีข้อสังเกตอีกประการ คือคำตัดสินของคณะกรรมการ ข้างต้นจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่อองค์กรที่ตนตรวจสอบหรือให้คำแนะนำ แต่มีผลเป็นเพียง คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะ (Advisory Effect) ซึ่งไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย (Legal Effect) ให้องค์กร รัฐต้องปฏิบัติตาม


137 กลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนทั่วไป (Lay Participation) โดยแท้ •การมีส่วนร่วมของประชาชนในชั้นศาล สาธารณรัฐเกาหลี มี Act on Citizen Participation in Criminal Trials ที่จัดตั้งระบบคณะลูกขุน (Advisory Jury System) อันถือเป็นกลไกที่ให้ประชาชนทั่วไป (Lay Participation) โดยแท้ที่มีกฎหมาย ให้อำนาจอย่างเป็นทางการเพียงกลไกเดียวของสาธารณรัฐเกาหลี โดยระบบคณะลูกขุน (Advisory Jury System) มีลักษณะที่แตกต่างกับคณะลูกขุนของประเทศญี่ปุ่นหรือสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี แต่มี ลักษณะคล้ายระบบคณะลูกขุนของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสาธารณรัฐเกาหลีเริ่มใช้ระบบคณะลูกขุนตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2008 2) เหตุผลหรือปัจจัยเบื้องหลังในการสร้างกลไกประชาชนให้เข้าร่วมในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา เหตุผลหลักของการนำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนมาใช้ในสาธารณรัฐเกาหลี คือในอดีต สาธารณรัฐเกาหลีไม่มีกลไกใด ๆ ในการให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทำให้ ประชาชนมีความไม่เชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา นำไปสู่สภาวะที่เรียกว่า Distrust of Justice ดังนั้น จึงมีการสร้างกลไกให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมเพื่อเรียกความเชื่อใจของ ประชาชนกลับคืนมา โดยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงปี ค.ศ. 2008 ที่ได้เริ่มนำระบบคณะลูกขุนมาใช้ ศาสตราจารย์ปาร์คได้ให้ข้อมูลว่าจากการสำรวจความเห็นประชาชนเกี่ยวกับทัศนคติต่อ คำพิพากษาของศาลยุติธรรมพบว่ามีถึงร้อยละ 63.9 ที่ไม่เชื่อถือคำพิพากษาของศาล ซึ่งศาสตราจารย์ ปาร์คให้ข้อสังเกตว่าผลสำรวจดังกล่าวอาจไม่ได้สะท้อนความจริงว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญา มีปัญหา แต่เกิดจากทัศนคติของประชาชนที่ได้รับอิทธิพลจากการนำเสนอข้อมูลของสื่อต่าง ๆ ที่ทำให้ ประชาชนเชื่อเช่นนั้น นี้จึงเป็นแรงผลักดันอีกอย่างหนึ่งที่รัฐต้องการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ กระบวนการยุติธรรมในแก่ประชาชน และจากการนำระบบคณะลูกขุนมาใช้ก็ประสบความสำเร็จในแง่ การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของประชาชนมาก เพราะประชาชนได้มาเห็นขั้นตอนในการพิจารณา และตัดสินคดีจริง ๆ ว่าเป็นอย่างไร 3) กฎหมายรองรับการสร้างกลไกหรือจัดทำโครงการการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมใน กระบวนการยุติธรรม กรณีคณะลูกขุน มี Act on Citizen Participation in Criminal Trials จัดตั้งและให้อำนาจไว้ แต่ก็ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการเลือกบุคคลมาเป็นคณะลูกขุนนอกจากการกำหนดอายุ ว่าต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปและข้อกำหนดเกี่ยวกับการห้ามผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมายบางประเภท เป็นคณะลูกขุน เช่น ทนายความ เป็นต้น


138 4) การมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับท้องถิ่น (จังหวัด/เมือง/ท้องถิ่น) ของสาธารณรัฐ เกาหลี ปัจจุบันระบบกฎหมายและนโยบายของรัฐในสาธารณรัฐเกาหลียังไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชน เข้าไปมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน ในระดับท้องถิ่นแต่ละพื้นที่นั้น นอกจากการรายงานหรือให้ความ ร่วมมือเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในท้องที่กับตำรวจหรืออัยการแล้ว ประชาชนในท้องถิ่นก็ไม่ได้มี บทบาทเชิงรุกในการเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมทางอาญามากนัก 5) ผลตอบรับของการนำกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนแต่ละประเภทมาใช้ รวมถึง ปัญหาและอุปสรรค การมีส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบคณะกรรมการต่าง ๆ ในสาธารณรัฐเกาหลีซึ่งส่วนใหญ่ ไม่ได้มีผลบังคับตามกฎหมายให้รัฐต้องปฏิบัติตามนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือบุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่กรรมการมีอิสระในการพิจารณามาก อย่างไรก็ตาม การพิจารณา อาจไม่ได้เป็นอิสระทั้งหมด เช่น ผู้พิพากษามีบทบาทสำคัญมากต่อคณะลูกขุนไม่ว่าจะเป็นการอธิบาย รายละเอียดของระบบและรายละเอียดของคดี และคณะลูกขุนก็อาจจะขอคำแนะนำจากผู้พิพากษา ในการพิจารณาคดี เป็นต้น ข้อดีต่อมา คือสามารถเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนได้ กล่าวคือ ประชาชนส่วนมากจะมี ทัศนคติต่อกระบวนการยุติธรรมในทางลบและไม่เชื่อถือเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากการนำเสนอของ สื่อต่าง ๆ แต่ทัศนคติของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก หลังจากได้เข้าร่วมเป็นคณะลูกขุนและได้เรียนรู้การทำงานของกระบวนการยุติธรรมจริง ๆ ซึ่งถือเป็น ข้อดีที่สำคัญของระบบนี้ ข้อดีของการใช้ระบบคณะลูกขุนอีกประการหนึ่ง คือ ลดระยะเวลาของกระบวนการพิจารณาคดี จากหลายเดือนหรือเป็นปีในคดีที่พิจารณาโดยผู้พิพากษาอาชีพ แต่คดีที่มีคณะลูกขุนสามารถพิจารณา ให้เสร็จได้ภายในวันเดียว ซึ่งระบบนี้เป็นไปได้เนื่องจากในทางปฏิบัติก่อนวันพิจารณาจริงจะมี กระบวนการเตรียมการและทำความเข้าใจคดีกับคณะลูกขุน (Preparatory Days) และมีการกำหนด ประเด็นแห่งคดีให้ชัดและน้อยลงกว่าการพิจารณาคดีทั่วไป ทำให้ในวันพิจารณาจริงคณะลูกขุนสามารถ เข้าใจประเด็นและมีมติในการตัดสินคดีได้อย่างรวดเร็ว ข้อเสีย คือมีแนวคิดที่เห็นว่าระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นเพียงคำแนะนำแต่ไม่มี ผลบังคับตามกฎหมายไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ว่าจะมีกลไกให้ประชาชนเข้าร่วมแต่การตัดสินใจสุดท้าย ยังคงอยู่ที่รัฐ อย่างไรก็ดี หากดูจากผลในทางปฏิบัติจะเห็นว่ารัฐพยายามรับฟังความเห็นของประชาชน เสมอ อย่างเช่นในกรณีของศาลและคณะลูกขุนที่มีคดีที่ศาลตัดสินตามมติของคณะลูกขุนมากกว่าร้อยละ 90 ของจำนวนคดีที่คณะลูกขุนร่วมพิจารณาทั้งหมด เพราะเจ้าหน้าที่รัฐตระหนักดีว่าหากพวกเขา เพิกเฉยต่อความเห็นหรือคำตัดสินของคณะกรรมการฯ หรือคณะลูกขุนการนำระบบนี้มาใช้ก็ไม่เกิด ประโยชน์ และคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไปในทางเดียวกันกับคณะลูกขุนก็ทำให้คำพิพากษานั้นมีน้ำหนัก


139 มากขึ้นและถูกกลับได้ยากในชั้นศาลอุทธรณ์ จึงถือได้ว่าแม้จะไม่มีผลบังคับโดยกฎหมายแต่ก็มีผลบังคับ ในทางปฏิบัติมาก อย่างไรก็ดี ในทางกลับกันก็มีกรณีที่รัฐไม่ได้ปฏิบัติตามความคิดเห็นหรือมติของประชาชน เช่น กรณีคณะกรรมการตรวจสอบการสอบสวน (ชั้นอัยการ) ซึ่งในทางปฏิบัติมีคดีที่พิจารณาต่อปีน้อยมาก ทำให้บางคดีอัยการก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมติคณะกรรมการฯ และแม้คณะกรรมการจะมีความเห็นว่า อัยการไม่ควรดำเนินการสืบสวนต่อ แต่อัยการก็ยังคงดำเนินการสืบสวนและส่งฟ้องต่อไป นอกจากนี้ ในส่วนของระบบคณะลูกขุนยังพบความกังวลในช่วงแรกว่าการนำระบบคณะลูกขุน มาใช้จะทำให้ผลคำพิพากษาคดีที่มีคณะลูกขุนเข้าร่วมจะส่งอิทธิพลต่อการพิพากษาคดีอื่นหรือไม่ แต่ความจริงแล้วจนถึงปัจจุบันจำนวนคดีที่มีคณะลูกขุนก็น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนคดีทั้งหมดที่เข้าสู่ การพิจารณาของศาล สาเหตุประการหนึ่ง คือการที่ผลคำตัดสินของคณะลูกขุนมีสถานะเป็นเพียง “คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะ” (Advisory Effect) และไม่ได้เป็นที่สุด ไม่ได้มีผลผูกพันตามกฎหมาย (Legal Binding Effect) ให้ศาลต้องพิพากษาตาม เพราะบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐเกาหลี ให้อำนาจการพิจารณาตัดสินอรรถคดีเป็นของผู้พิพากษาเท่านั้น ซึ่งมีความคิดเห็นว่าผู้พิพากษาตาม บทบัญญัติรัฐธรรมนูญไม่สามารถตีความครอบคลุมถึงคณะลูกขุนได้ แต่ถึงแม้จะไม่มีผลบังคับทาง กฎหมาย จากสถิติก็พบว่าศาลพิพากษาไปในทางเดียวกับคำตัดสินของคณะลูกขุนถึงร้อยละ 99 จึงถือว่า การใช้ระบบคณะลูกขุนในสาธารณรัฐเกาหลีถือว่าประสบความสำเร็จมาก แต่ปัญหาตามที่กล่าวไป ข้างต้นคือ ยังมีปริมาณคดีที่ใช้คณะลูกขุนน้อยเกินไป ปัญหาอุปสรรคอื่น ๆ ของกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในสาธารณรัฐเกาหลี 1. กลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนยังไม่มีกฎหมายรองรับที่เพียงพอ นอกจากระบบคณะลูกขุนแล้ว ระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนส่วนใหญ่ในสาธารณรัฐเกาหลี ไม่ได้จัดตั้งโดยกฎหมาย คือไม่มีกฎหมายรองรับการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจ ส่งผลให้ไม่มีผลบังคับ ทางกฎหมายต่อหน่วยงานรัฐที่คณะกรรมการมีคำสั่งหรือคำแนะนำไป 2.ระบบไม่ถูกใช้มากเท่าที่ควร แม้ระบบคณะลูกขุนจะประสบความสำเร็จในแง่การเสริมสร้างความเข้าใจต่อประชาชน แต่มี หลายปัจจัยที่ทำให้คณะลูกขุนไม่ถูกใช้เท่าที่ควร เช่น ฝ่ายจำเลยก็ไม่ได้ต้องการให้คนทั่วไปมาตัดสินคดี ของตัวเอง หรือศาลมักจะใช้ดุลพินิจปฏิเสธคำขอของจำเลยที่ขอให้คณะลูกขุนร่วมพิจารณาในคดี ความผิดเกี่ยวกับเพศ เนื่องจากคำนึงถึงสภาพจิตใจเหยื่อที่อาจไม่พร้อมให้การต่อหน้าคณะลูกขุน เป็นต้น นอกจากนี้ปัจจัยเรื่องการไม่มีผลบังคับทางกฎหมายของคำตัดสินก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ กลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในสาธารณรัฐเกาหลีแต่ละกลไกไม่ถูกใช้มากเท่าที่ควร 6) การรับรู้ ตื่นตัว และความสนใจของประชาชนที่จะเข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรมทาง อาญา ประชาชนที่เคยเข้าร่วมเป็นคณะลูกขุนมีทัศนคติที่ดีต่อระบบคณะลูกขุนมาก ๆ และได้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับทางปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเพิ่มขึ้นมาก ๆ


140 และในส่วนของคณะกรรมการฯ ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ แม้ประชาชนจะไม่ได้มี ส่วนเข้าร่วมโดยตรง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็มีความไว้วางใจคณะกรรมการฯ ดังกล่าวและมีความเห็นว่า ศาล อัยการ หรือตำรวจควรรับฟังความเห็นคณะกรรมการฯ 7) ความกังวลในเรื่องการมีส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) จากการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนไม่เป็นประเด็นข้อกังวลในระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนใน กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของสาธารณรัฐเกาหลี เพราะประชาชนไม่ได้มีผลประโยชน์ส่วนตัวใน การเข้าร่วมทำหน้าที่ดังกล่าว แต่อาจมีประเด็นกังวลในเรื่องความเป็นกลางของผู้ปฏิบัติหน้าที่ เช่น กรณีคณะลูกขุน เนื่องจาก คณะลูกขุนควรตัดสินคดีโดยปราศจากอคติใด ๆ ต่อคดีนั้น แต่ในความเป็นจริงก่อนจะเข้ามาทำหน้าที่ ลูกขุนประชาชนอาจได้รับข้อมูลเกี่ยวกับคดีนั้นผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะคดีที่เป็นที่สนใจของสังคมและ อาจเกิดอคติกับคดีได้ และคณะลูกขุนซึ่งโดยทั่วไปไม่ได้มีความรู้ด้านกฎหมายหรือคณะกรรมการต่าง ๆ ที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายก็อาจมีพิจารณาเรื่องที่ตัวเองรับผิดชอบบนพื้นฐานของอคติหรือ ความคิดเห็นส่วนตัวที่มีอยู่แต่เดิมซึ่งไม่มีเหตุผลทางกฎหมายรองรับ และไม่ได้ตัดสินบนพื้นฐานของ การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีแต่ตัดสินจากสิ่งที่ตนเชื่อเอาเองว่าควรเป็นเช่นนั้น 8) ความเห็นและข้อเสนอแนะอื่น ๆ การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่งในการสร้างความไว้วางใจของประชาชน ต่อกระบวนการยุติธรรม เพราะปัจจุบันประชาชนมองกระบวนการยุติธรรมไปในทางลบและแตกต่าง จากความเป็นจริงอย่างมาก การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมจะช่วยให้ประชาชน ได้เห็นการทำงานที่แท้จริง เข้าใจกระบวนการทำงานมากขึ้น และลดอคติของประชาชนต่อกระบวนการ ยุติธรรมและต่อเจ้าหน้าที่รัฐได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวัง คือรัฐอาจใช้กลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นเครื่องมือในการ ปัดความรับผิดชอบหรืออ้างความชอบธรรมในการกระทำของตนได้ เช่น ตำรวจหรืออัยการอาจเห็นว่า คำสั่งของตนอาจถูกวิจารณ์เรื่องความเหมาะสม จึงได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการพิจารณาและเมื่อ คณะกรรมการพิจารณาตามที่ตนจะสั่งก็อ้างว่าสั่งตามคำแนะนำของคณะกรรมการ เป็นต้น


141 บทที่ 5 การวิเคราะห์ผลการเก็บข้อมูล คณะที่ปรึกษาได้เก็บข้อมูลเพื่อแสวงหาข้อมูลและข้อเท็จจริงด้านกลไกการมีส่วนร่วมของภาค ประชาชนในหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมจาก 3 แหล่ง ได้แก่ 1. การสัมภาษณ์สำนักงานอัยการจังหวัด ศาลจังหวัด และสถานีตำรวจภูธรใน 4 ภาค (ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนือ) จำนวน 41 แห่ง 2. การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิชาวต่างประเทศ จำนวน 3 คน 3. แบบสอบถามออนไลน์ จำนวน 8 ชุด คณะที่ปรึกษาได้สรุปประเด็นต่าง ๆ จากผลการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ใน 4 ภาคและ แบบสอบถามออนไลน์ดังกล่าวเป็นส่วนแรก โดยยึดหน่วยงานอัยการเป็นหลักในการวิเคราะห์ เปรียบเทียบกับกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนของหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมของศาลและ ตำรวจภูธร อีกส่วนหนึ่งจะเป็นบทสรุปวิเคราะห์การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิต่างประเทศในหัวข้อสุดท้าย และเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้รับจากการเก็บข้อมูลในไทยโดยได้แบ่งเป็นประเด็นการวิเคราะห์ตาม หัวข้อต่อไปนี้ 1. สรุปรูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนและกฎหมายของหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม 2. การแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนของหน่วยงานอัยการ 3. ข้อจำกัดในการแต่งตั้งคณะกรรมการการมีส่วนร่วมภาคประชาชนของหน่วยงานอัยการ 4. ข้อเสนอแนะกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในหน่วยงานอัยการ 5. บทวิเคราะห์ระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมต่างประเทศ รายละเอียดของการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลตามความเห็นและข้อเสนอแนะสำหรับการส่งเสริมให้ เกิดมาตรการการมีส่วนร่วมของประชาชนในหน่วยงานอัยการตามหัวข้อดังกล่าว สามารถสรุปได้ ดังต่อไปนี้ 1. สรุปรูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนและกฎหมายของหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม ผลจากการสัมภาษณ์และแบบสอบถาม มีรูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในหน่วยงาน กระบวนการยุติธรรมทั้งสำนักงานอัยการจังหวัด ศาลจังหวัด และสถานีตำรวจภูธร รวม 34 โครงการ ดังสรุปไว้ในตารางต่อไปนี้


142 ตารางที่ 1 สรุปโครงการที่เป็นกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน ของหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม อัยการ (10 โครงการ) ศาล (15 โครงการ) ตำรวจ (9 โครงการ) 1. คณะกรรมการการมีส่วนร่วม ภาคประชาชน 2. คณะที่ปรึกษาสำนักงานอัยการ จังหวัด 3. ทนายความอาสา 4. การแสดงความคิดต่อเห็นร่าง กฎหมาย 5. การร้องขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับ คดี 6. การร้องทุกข์เกี่ยวกับการปฏิบัติ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ 7. การเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสาร สาธารณะในครอบครองของหน่วยงาน อัยการ 8. การให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ ประชาชน . การจัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู เด็กหรือเยาวชนที่กระทำผิด 10. การฝึกงานของนักเรียน นักศึกษาในสำนักงานอัยการจังหวัด 1. ผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว 2. ผู้ประนีประนอมประจำศาล 3. คลินิกจิตสังคมในระบบศาล 4. ผู้พิพากษาสมทบ 5. ทนายความอาสา 6. ล่ามอาสาสมัคร 7. นายประกันอาชีพ 8. ผู้ควบคุมดูแลให้ปฏิบัติตามเงื่อนไข ในกรณีที่พิพากษาให้รอการลงโทษ จำเลย 9. การเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี ของศาล 10. การมีส่วนร่วมในกระบวนการ ยุติธรรมของคู่ความ 11. การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ การให้บริการของศาล และการร้องเรียน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ 12. ศูนย์กลางผู้เสียหายในคดีอาญา 13. การให้ความรู้ทางกฎหมายที่ ศาลเป็นผู้ดำเนินการ 14. การอำนวยความสะดวกทางคดี ให้กับประชาชน ผ่านทางระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ 15. การจัดกิจกรรมต้นกล้าตุลาการ ให้กับนักเรียน 1. คณะกรรมการตรวจสอบ และติดตามการบริหารงาน ตำรวจ (กต.ตร.) 2. โครงการตำรวจอาสา 3. ทนายความอาสา 4. ล่ามอาสาสมัคร 5. โครงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 6. โครงการยุติความรุนแรง 7. โครงการปักกลด 8. การแจ้งเบาะแส การแจ้ง ข่าวสาร การเป็นพยาน 9. การให้ญาติหรือบุคคลสำคัญ ในพื้นที่ที่ประชาชนให้ความ เคารพนับถือเข้าร่วมในการ สอบปากคำผู้ต้องหาและพยาน รวมทั้งเข้าร่วมในการนำชี้ที่เกิด เหตุในคดีที่สำคัญ จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่าหน่วยงานอัยการ หน่วยงานศาล และหน่วยงานตำรวจ ต่างก็มี โครงการที่เป็นกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนของหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมทุกกลุ่ม และ หน่วยงานย่อยแต่ละกลุ่ม แบ่งเป็น -หน่วยงานอัยการที่ให้สัมภาษณ์และตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย สำนักงานอัยการภาค สำนักงานอัยการจังหวัด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายพัฒนากฎหมาย และสำนักงานอัยการคดีเยาวชน และครอบครัวจังหวัด รวม 18 แห่ง มีกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนในหน่วยงานอัยการจำนวน 10 โครงการ


Click to View FlipBook Version