1
วัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรบั ความสัมพนั ธแ์ บบชายรักชายท่สี ะท้อนภาพแทน
สังคมชายรักชายในละครเรอ่ื งคณุ หมปี าฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear
โดย
นางสาวฟารีดา พรมเวช 621031368
นายธนกฤต เฉยี้ นเงนิ 621031386
นิสิตช้ันปีที่ 4 สาขาวชิ าภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์
เสนอ
อาจารย์ ดร.อลสิ า คุ่มเค่ียม
อาจารย์ ปริยากรณ์ ชแู ก้ว
รายงานฉบบั นี้เปน็ สว่ นหนงึ่ ของรายวชิ า 0111451 สมั มนาภาษาไทย
ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
มหาวทิ ยาลัยทักษิณ
ก
คำนำ
รายงานฉบับน้ีเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 0111451 สัมมนาภาษาไทย จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาวัจนกรรม
การยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายที่สะท้อนภาพแทนสังคมชายรักชายในละครเรื่องคุณ
หมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear โดยแบ่งประเด็นการศึกษาออกเป็น 2 วัตถุประสงค์ คือ
เพื่อศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายและ เพื่อวิเคราะห์ภาพแทน
การยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle
Of Teddy Bear
ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลบทสนทนาที่แสดงการยอมรับและไม่ยอมรับความสั มพันธ์แบบชายรักชาย
ในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear ทั้งหมดจำนวน 16 ตอน มาใช้เป็นข้อมูล
ในการวิเคราะห์ด้วยวัจนกรรมของ จอห์น อาร์ เซอร์ล (John R. Searle) ที่ได้แบ่งประเภทของวัจนกรรม
ออกเป็น 5 ประเภท เพื่อทำให้เข้าใจถึงการใช้วัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับที่สะท้อนภาพแทนการ
ยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle
Of Teddy Bear
การจัดทำรายงานการศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชาย
ทสี่ ะท้อนภาพแทนสงั คมชายรกั ชายในละครเร่ืองคุณหมีปาฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ครั้งน้ผี วู้ ิจัย
ขอขอบคุณ อาจารย์ ดร.อลิสา คุ่มเคี่ยม และอาจารย์ปริยากรณ์ ชูแก้ว ที่ได้ให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะ
ในการจัดทำรายงาน ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้ให้คำแนะนำเพื่อการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ผู้ศึกษา
หวงั เป็นอย่างย่ิงวา่ รายงานฉบับน้ีจะเปน็ ประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษาค้นคว้า หากมสี ง่ิ ใดในรายงานฉบับน้ีจะต้อง
ปรับปรุงหรือมีข้อผิดพลาด ผู้ศึกษาขอน้อมรับไว้เพื่อเป็นเพื่อนเป็นอย่างในการปรับปรุงการจัดทำรายงาน
คร้ังถดั ไป
ผู้ศกึ ษา
ข
สารบัญ
เรือ่ ง หนา้
คำนำ ก
สารบัญ ข
สารบัญแผนภมู ิ ค
สารบญั ตาราง ง
บทที่ 1 บทนำ 1
ภูมิหลงั 1
วัตถุประสงค์ 4
ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รบั 4
ขอบเขตการวจิ ัย 4
นิยามศัพท์เฉพาะ 7
วิธกี ารดำเนนิ การวจิ ยั 7
ข้อตกลงเบอ้ื งตน้ 9
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง 10
เอกสารและงานวจิ ัยที่เกยี่ วข้องกบั วัจนกรรม 10
เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้องกบั ภาพแทน 18
เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้องกับละครเร่ืองคณุ หมีปาฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear 23
บทที่ 3 ผลการศกึ ษา 29
บทที่ 4 สรปุ และอภิปราย 85
บรรณานกุ รม 96
ภาคผนวก 100
สารบญั แผนภมู ิ ค
เรื่อง หน้า
88
แผนภมู เิ ปรียบเทียบความถี่วจั นกรรมการยอมรบั และไมย่ อมรบั ความสมั พนั ธ์แบบชายรักชาย 90
แผนภมู เิ ปรียบเทยี บความถี่การยอมรบั และไม่ยอมรับความสมั พันธแ์ บบชายรกั ชาย 93
ในแตล่ ะกลุ่มวัจนกรรม
แผนภูมเิ ปรียบเทยี บความถี่การใชว้ จั กรรมการยอมรบั และไมย่ อมรับความสัมพนั ธ์
แบบชายรักชายของตัวละคร
สารบัญตาราง ง
เร่อื ง หน้า
89
ตารางเปรียบเทยี บความถ่ีการยอมรบั และไม่ยอมรับความสมั พันธ์แบบชายรักชาย 92
ในแต่ละกลุ่มวัจนกรรม
ตารางเปรียบเทยี บความถก่ี ารยอมรบั และไม่ยอมรับความสมั พนั ธแ์ บบชายรกั ชาย
ในแตล่ ะตวั ละคร
1
บทที่ 1
บทนำ
วัจนกรรมการยอมรบั และไม่ยอมรบั ความสัมพนั ธแ์ บบชายรักชายท่ีสะท้อนภาพแทน
สงั คมชายรกั ชายในละครเรื่องคณุ หมปี าฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear
ภูมิหลัง
สังคมไทยในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นสังคมที่มีการแสดงทัศนคติด้านบวกต่อกลุ่มชายรักชายมากข้ึน
กว่าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งสังเกตได้จากการปรากฏตัวของชายรักชายในพื้นที่ของสื่อกระแสหลักที่มีเพิ่มมากข้ึน
เรื่อย ๆ ดังจะเห็นได้จากสังคมในยุคปัจจุบันมีการตระหนักถึงความเท่าเทียมกันของคนในสังคมมากยิ่งข้ึน
โดยเช่ือว่าทุกคนในสังคมลว้ นมคี วามเทา่ เทยี มกันไมว่ ่าจะเป็นเพศใดกต็ าม ซึ่งมีความแตกตา่ งจากในอดีตตามที่
วันดี สันติวุฒิเมธี (2560 : Online) ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีรสนิยมทางเพศตรงกันข้ามกับเพศสภาพภายนอก
จะถูกตีตราว่าเป็นพวกจิตวิปริตผิดเพศนำไปสู่การออกกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานในการกีดกันคนกลุ่มนี้
ให้กลายเป็นคนนอกคอกของสังคม และตกอยู่ในสถานะความเป็นอื่นที่ไม่เข้าพวกกับสังคมส่วนใหญ่
เป็นผลให้คนในสังคมออกมาเรียกร้องทั้งจากกลุ่มของเพศทางเลือกเองและกลุ่มผู้ที่สนับสนุน
กลุ่มเพศนอกกระแสหลักเพื่อให้สังคมเกิดการยอมรับที่มากขึ้นกระจายวงกว้าง ออกไปตลอดจนนำไปสู่
การปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันต่อคนทุกคนในอนาคต โดยใช้กระบวนการในการออกมาเรียกร้องหลากหลายวิธี
หนึ่งในวิธีการเรียกร้องความเท่าเทียมนี้คือการเปิดการรับรู้ของคนในสังคมให้กว้างมากยิ่งขึ้นผ่านสื่อต่าง ๆ
ที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ รายการโทรทัศน์ ละคร หรือภาพยนตร์ เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการ
ใช้ Soft Power หรอื อำนาจอ่อนในการเรยี กร้องเพื่อให้เกิดความเทา่ เทยี มกนั ในสังคม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า วัฒนธรรมประชานิยม (Popular culture) หรือ
กระแสป๊อปเคยตกเป็นของสือ่ ต่าง ๆ ท่ีมีการนำเสนอเรื่องราวความรักของเพศทางเลือกกลุ่มชายขอบเป็นการ
ใช้พื้นที่เหล่านั้นในการนำเสนอความรักของเพศนอกกระแสหลัก โดยเฉพาะความรัก ความสัมพันธ์ของกลุ่ม
ชายรักชาย อันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในช่วงระยะที่ผ่านมาและยังคงส่งผลม าจนถึงปัจจุบัน
โดยมีการนำเอานวนิยายวายที่ถูกเขียนไว้บนสื่อต่าง ๆ ทั้งที่เป็นหนังสือหรือในรูปแบบหนังสือออนไลน์
มาผลิตซ้ำในรูปแบบของซีรีส์ ละครหรือภาพยนตร์ ซึ่งสื่อเหล่าน้ีนั้นได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเติบโตขน้ึ
อย่างเห็นได้ชัด ดังจะเห็นได้จากปริมาณของสื่อที่ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมากและการสื่อสารที่สื่อ
ได้พยายามสือ่ สารกบั คนดูเพื่อเปิดการยอมรับให้กว้างขึ้นตามที่ ศิวัจน์ สวัสดิ์มณีกลุ (2563 : Online) ผู้กำกบั
ซรี ีสว์ ายหลายเรอ่ื งทีก่ ลา่ วถึงการแทรกเนือ้ หาของการยอมรับเพศนอกกระแสหนกั ในซรี สี ์ไวว้ า่ “ทุกๆ เรื่องของ
นวิ นวิ จะไมค่ อ่ ยเน้นเรอื่ งเพศ คอื เราพยายามมองว่าเขาเป็นคน เปน็ มนษุ ยเ์ หมอื นกนั ไม่ได้มองวา่ เปน็ ผชู้ ายกับ
ผู้ชาย นอกจากนี้ทุก ๆ เรื่องนิวก็จะพยายามแทรกเรื่องครอบครัวเข้าไป เปรียบเทียบว่าในเมื่อก่อนครอบครวั
ไม่ไดย้ อมรบั กบั ปัจจบุ นั ที่สังคมเปิดกว้างมากขึน้ อะไรแบบนี้ กเ็ ลยพยายามหาอะไรแบบนสี้ อดแทรกไปตลอด ”
2
ช่วงเวลายอดนิยมการฉายละคร หรอื ท่ไี ดย้ ินกันวา่ ช่วง prime time นั้นให้ความหมายถึงช่วงเวลาที่มี
ผู้ชมมากที่สุด ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่สถานีโทรทัศน์ทำรายได้จากค่าโฆษณามากที่สุดความหมายของ
ช่วงเวลายอดนิยมนั้นอาจแตกต่างออกไปตามภูมิภาค รวมถึงช่วงเวลาก็อาจแตกต่างกันด้วย
ละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear เป็นละครชายรักชายเรื่องแรกของช่อง 3 ที่ผลิต
ออกมาและได้ฉายในช่วงเวลายอดนิยมที่มีผู้ชมสูงสุด หรือที่ถูกเรียกว่าช่วงละครหลังข่าว แม้ในสัปดาห์แรก
ของการฉายละครผลของเรตติงจะออกมาต่ำ แต่ในทุกตอนที่ฉายกลับได้รับกระแสชื่นชม ดังจะเห็นได้จาก
การขึ้นเทรนทวิตเตอร์ลำดับต้น ๆ ในทุกตอนที่ฉายเพราะละครเรื่องนี้นอกจากจะออกอากาศสดทางทีวีแล้ว
ผ้ชู มสามารถชมผา่ นชอ่ งทางสตรีมมิง Netflix ยทุ ธนา ลอพันธไ์ุ พบูลย์ (2565 : Online) ผูจ้ ดั และผู้กำกับละคร
เรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ไดใ้ ห้สัมภาษณ์ ถึงการทำละครวายเรือ่ งนี้ซึง่ ถือเป็นละครวายเรื่องแรกของชอ่ ง 3 ไว้ว่า
ละครสมัยน้ีเปลี่ยนไปมากจะมาเลา่ ละครในแบบท่ีเคยเป็นไม่ได้แล้ว กอ่ นทำเร่ืองน้ีเราก็ไปดูว่าละครวายเขาทำ
อะไรกัน แต่ก็มองเห็นว่าการเล่าเรื่องยังค่อนข้างจะเบา ๆ เพ้อฝันเลยอยากทำเรื่องที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ
ความเข้าใจของครอบครัวกับคนต่างวัยต่างรุ่นที่ต้องทำความเข้าใจเพือ่ ไม่ให้เกิดช่องวา่ ง ละครเรื่องนี้นอกจาก
จะต้องเชียร์พระเอกกับนายเอกให้จิ้นกันแล้ว ยังมีเรื่องราวของครอบครัวที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ
กันไปด้วย ละครเรื่องนี้ถูกทำมาให้เป็นละครวายที่คนปกติดูได้ไม่ใช่เพียงแค่คนชอบดูวาย แล้วก็ได้ประโยชน์
จากการดลู ะครวายเรื่องน้ี
คุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear เป็นละครโทรทัศน์ไทยแนวโรแมนติก ดราม่า
แฟนตาซี ที่มีเค้าโครงเรื่องมาจากนวนิยายที่มีชื่อเรื่องเดียวกันซึ่งถูกตีพิมพ์ในปีพ.ศ. 2562 ของ ปราบต์
แต่ลำดับการเล่าเรื่องในละครค่อนข้างต่างกับในหนังสือ ละครเรื่องนี้ใช้ความแฟนตาซีถ่ายทอดเรื่องราว
ความสมั พนั ธแ์ บบชายรักชายทแี่ ฝงไวท้ งั้ อำนาจการกดขี่ทง้ั ในระดับครอบครวั โรงเรยี น ไปจนถงึ ระดับประเทศ
ที่สอดแทรกอยู่ในตัวบทได้แสดงออกมาผ่านการกระทำและบทสนทนาของตัวละคร ตัวอย่างเช่นบทสนทนา
ของพีรณัฐที่ได้พูดเอาไว้ว่า “ ณัฐเขียนเกีย่ วกับความรักของเด็กผู้ชายคนหน่ึง ถึงมันจะเป็นความรักตอนมธั ยม
แต่มันก็ไม่ได้สดใสเหมือนโลกนิยายหรอกนะแม่ ณัฐจะไม่ได้เขียนซีรีส์เกย์โลกสวยขนาดนั้น เพราะความเป็น
จริงผู้ชายไม่ได้รักกันง่ายขนาดนั้น ครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้แต่ป้าข้างบ้านก็ไม่ได้ยอมรับ ความเป็นจริงมัน
ไม่ใช่ ” จากตัวอย่างบทพูดของตัวละครพีรณัฐที่เป็นตัวละครชายรักชายที่กำลังใช้ถ้อยคำสื่อความหมาย
ตามเจตนาของผู้พูดเพื่อต้องการให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ฟังในปริบทใดปริบทหนึ่งโดยระหว่าง
การสนทนามกี ารพดู ถึงความสัมพนั ธแ์ บบชายรกั ชายและใชถ้ อ้ ยคำทแี่ สดงให้เห็นถึงเจตนาของการยอมรับและ
ไม่ยอมความสัมพันธ์แบบชายรักชายปรากฎอยู่ อีกทั้งยังเป็นการสะท้อนให้เห็นภาพแทนของการยอมรับและ
ไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายที่มีอยู่ในสังคมจากการนำเสนอผ่านบทสนทนาของตัวละครในเรื่อง
คุณหมปี าฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear
วัจนกรรมเป็นทฤษฎีหนึ่งที่สามารถนำมาวิเคราะห์ถ้อยคำหรือคำพูดของตัวละครหลักที่กล่าวถ้อยคำ
หรือคำพูดนั้น ๆ ออกมาในปริบทใดปริบทหนึ่งจากละครเรื่อง คุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy
Bear ละครเรื่องนี้ถือเป็นละครที่มีการสะท้อนภาพสังคมออกมาได้อย่างดีในประเด็นของการยอมรับและ
ไมย่ อมรบั ความสัมพันธ์แบบชายรักชายท่ไี ม่ใช่แคก่ ารก้าวข้ามผา่ นชว่ งวยั (Coming of age) หรือความรกั ใส ๆ
3
แบบวัยรุ่นแต่เป็นเรื่องราวของการยอมรับในระดับครอบครัว สังคม และประเทศผ่านถ้อยคำหรือคำพูด
ระหว่างตัวละคร มีความโดดเด่นที่น่าสนใจมีการกล่าวถ้อยคำในการยอมรับและไม่ยอมรับในความสัมพันธ์
แบบชายรักชายทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ตัวละครใช้ถ้อยคำในการกล่าวแสดง
การยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายระหว่างที่สนทนากันซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วย
วัจนกรรม ตามที่ อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ (อัจฉราพร ใครบุตร และ วิไลศักด์ิ กิ่งคำ 2559 ; อ้างอิงจาก อมรา
ประสิทธิ์รัฐสินธุ ,2545 ) ได้ให้ความหมายของวัจนกรรมไว้วา การกระทําโดยเจตนาของผูพูด แสดงออก
ในรูปของคําพูด เชน คําสั่ง ขอโทษ ขอรอง เปนตน ซึ่งสอดคล้องกับ กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์ และธีรนุช
โชคสุวณิช (2551) กล่าวว่า ถ้อยคำที่แสดงการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ การแสดงความเสียใจ
การปฏิเสธข้อกล่าวหา การทักทาย และการแสดงความปรารถนาดี การกระทำที่ถ่ายทอดทางคำพูดเช่นนี้
เรียกว่า “วัจนกรรม” วัจนกรรมจึงเป็นการกระทำด้วยคำพูดที่มีความสัมพันธ์ระหว่างถ้อยคำของผู้พูดและ
ผลของถ้อยคำทมี่ ีต่อผฟู้ งั ในปรบิ ทใดปรบิ ทหน่ึงของการสือ่ สาร และไดก้ ลา่ วถึงลกั ษณะเดน่ ของวจั นกรรม ไวว้ ่า
“ถอ้ ยคำทกุ ถอ้ ยคำไม่เพยี งแต่จะบอกข้อความที่อ้างถงึ แต่ยงั ใชเ้ พอ่ื กอ่ ใหเ้ กิดการกระทำ”
หากสังคมเป็นภาพสะท้อนของวรรณกรรม วรรณกรรมก็เป็นภาพสะท้อนของสังคมด้วยเช่นกัน
ซึ่งละครเร่ืองคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear ก็เป็นละครท่ีดัดแปลงมาจากวรรณกรรมถอื ได้
ว่า เป็นเสมือนกระจกสะท้อนสังคมอีกประเภทหนึ่งผ่านการแสดง ท่าทางต่าง ๆ และที่สำคัญคือบทสนทนา
หรือถ้อยคำพูดที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างกันของตัวละคร ซึ่งถือเป็นการถ่ายแบบหรือสะท้อนภาพสังคมได้
ชัดเจนที่สุด ดังนั้นละครเรื่องน้ีจึงเป็นละครที่มีการสะท้อนภาพสังคมออกมาได้อย่างดีในประเด็นของ
การยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายผ่านการสร้างภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับ
ความสัมพันธ์แบบชายรักชาย ซึ่งสอดคล้องกับการสรุปแนวคิดและความหมายเรื่องภาพแทนของ ละอองดาว
จิตต์พิริยะการ (2565) ไว้ว่า ภาพตัวแทนคือผลผลิตทางความหมายของภาพในใจคนที่คิดผ่านกระบวนทัศน์
หรอื อุดมการณข์ องผู้สรา้ งเพือ่ ให้คนในสังคงไดร้ บั รู้เก่ียวกับความหมายนนั้ ๆ โดยมภี าษาเป็นส่ือกลางเช่ือมโยง
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ กับแนวคิดและระบบสัญญะ เพื่อบ่งบอกให้ทราบว่าผู้คนในสังคมมีความคิด
ความเชื่อความคาดหวังและให้ความหมาย คุณค่า ต่อสิ่งที่นำเสนออย่างไร เช่นเดียวกันกับที่ ชุณพฤทธิ์กร
จิรบวรกิจ (พิชญาวี ทองกลาง 2563 ; อ้างอิงจาก ชุณพฤทธิ์กร จิรบวรกิจ, 2550) ได้กล่าวว่าภาพแทนไม่ได้
นำเสนอหรือสื่อสารความจริงกับผู้รับสารท้ังหมดแต่เป็นภาพที่ถูกประกอบสร้างและตีความตามความต้องการ
ของผู้ส่งสาร โดยมีภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการประกอบสร้างภาพแทนที่มีผลต่อการควบคุมความเชื่อ
ทัศนคติ คา่ นิยม และการกระทาํ บางอย่างของคนในสังคมทง้ั ทีร่ ู้ตัวและไม่รู้ตัวสรุปไดว้ า่ ภาพแทนถกู สร้างขึน้ มา
เพื่อแทนมุมมองหรือความคิดเห็นของผู้ที่สื่อสารต่อสิ่งที่ถูกกล่าวถึงเมื่อวิเคราะห์จากการใช้ภาษาจะทำให้เห็น
ภาพแทนไดช้ ดั เจนยิ่งขึน้
ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาและวเิ คราะห์วัจนกรรมที่สะท้อนภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรบั
ความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear
โดยมี 2 วัตถุประสงค์ คือศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายเพื่อจัดกลมุ่
ตามประเภทของวจั นกรรมตา่ ง ๆ และแสดงใหเ้ หน็ ถึงเจตนาท่ีแฝงอยู่ในถ้อยคำนั้น ๆ อีกทงั้ วเิ คราะห์ภาพแทน
4
การยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of
Teddy Bear เพ่ือให้ทราบถึงการนำเสนอท่ีสะท้อนภาพแทนสังคมชายรักชายผ่านการสนทนาโดยการใช้
ถ้อยคำหรือคำพูดวัจนกรรมในการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายของตัวละครที่ปรากฎ
และสอ่ื สารออกมาผ่านละครเรอ่ื งนี้
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย
1. เพื่อศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมี
ปาฏหิ ารยิ ์The Miracle Of Teddy Bear
2. เพอื่ วิเคราะหภ์ าพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมี
ปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear
ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะได้รับจากการวจิ ยั
1. สามารถแยกวัจนกรรมการยอมรบั และไม่ยอมรับความสมั พนั ธแ์ บบชายรักชายในละครเรอ่ื งคณุ หมี
ปาฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear รวมถงึ จัดเข้าตามกลุม่ วัจนกรรมตา่ ง ๆ ได้
2. นำเสนอภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมี
ปาฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear
ขอบเขตของการวจิ ยั
1.ขอบเขตขอ้ มลู
ผูว้ จิ ัยเก็บรวบรวมข้อมลู วัจนกรรม เพ่ือแยกวัจนกรรมการยอมรบั และไมย่ อมรบั ความสัมพนั ธ์
แบบชายรักชาย รวมถึงจัดเข้าตามกลุ่มวัจนกรรมต่าง ๆ เพื่อนำเสนอภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับ
ของตัวละครจากละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear ซึ่งออกอากาศทางช่อง 3
เวลา 20.25 – 22.25 น. ทุกวันศุกร์ - อาทิตย์ เริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2565 ถึง
1 พฤษภาคม พ.ศ.2565 ทั้งหมดจำนวน 16 ตอน โดยนำเสนอแนวคิดวัจนกรรมของจอห์น อาร์ เซอร์ล
(John R. Searle) ทไ่ี ด้แบ่งประเภทวจั นกรรมออกเป็น 5 ประเภท มาใชใ้ นการวิเคราะห์
เนื่องจากวัจนกรรม เป็นทฤษฎีหนึ่งที่สามารถนำมาวิเคราะห์ถ้อยคำหรือคำพูดของตัวละคร
หลักที่สื่อสารกล่าวถ้อยคำหรือคำพูดนั้น ๆ ออกมาในปริบทใดปริบทหนึ่ง วัจนกรรมจึงเปรียบเสมือน
การกระทำด้วยคำพูดที่สามารถเป็นตัวแทนสะท้อนเจตนาของผู้สื่อสารออกมา ดังนั้น จึงสามารถ
ที่จะนำแนวคิดวัจนกรรมของจอห์น อาร์ เซอร์ล (John R. Searle) ที่ได้แบ่งประเภทวัจนกรรมออกเป็น 5
ประเภท มาใช้ในการวเิ คราะห์ได้
5
2.ขอบเขตเนอ้ื หา
การวิเคราะห์วัวัจนกรรมทีส่ ะทอ้ นภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพนั ธ์แบบชาย
รักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear ผู้วิจัยได้เก็บรวบข้อมูลจากละคร
ที่ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2565 ถึง 1 พฤษาคม พ.ศ.2565 โดยมีทั้งหมดจำนวน 16 ตอน
มีจำนวนข้อมูลทั้งหมด 174 ข้อมูล มาวิเคราะห์โดยใช้แนวคิดวัจนกรรมของจอห์น อาร์ เซอร์ล (John R.
Searle) ทไ่ี ด้แบง่ ประเภทวจั นกรรมออกเป็น 5 ประเภท ซ่งึ ปรากฏวัจนกรรมการใช้ถอ้ ยคำในการแสดงเจตนา
ของผู้พูดที่มีต่อผู้ฟังหรือคู่สนทนาถึงความสัมพันธ์แบบชายรักชายและใช้ถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงเจตนา
ของการยอมรับและไมย่ อมความสัมพันธ์แบบชายรักชาย 5 ประเภท คือ 1. วัจนกรรมบอกกล่าว (assertives)
2. วัจนกรรมชี้นำ (directives) 3. วัจนกรรมผูกมัด (commissives) 4. วัจนกรรมแสดงความรู้สึก
(expressives) 5. วัจนกรรมแถลงการณ์ (declaratives) สังเกตได้จากคำกริยาในบทสนทนาที่แสดงให้เห็นถงึ
การกระทำของถอ้ ยคำที่ใชใ้ นการแสดงเจตนายอมรับและไมย่ อมรับความสมั พันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่อง
คุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear เป็นการบ่งชี้ให้เห็นการกระทำของคู่สนทนาว่า คู่สนทนา
ต้องการสื่อเจตนาในการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายอย่างไร สามารถแบ่งออกเป็น
2 ขอบเขตในดา้ นเน้ือหา ดังนี้
1. วัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์
The Miracle Of Teddy Bear
1.1 วัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์
The Miracle Of Teddy Bear
1.1.1 วจั นกรรมบอกกลา่ ว
1.1.1.1 การกล่าว
1.1.1.2 บรรยาย
1.1.1.3 ยืนยัน
1.1.1.4 คาดคะเน
1.1.1.5 คาดหวัง
1.1.1.6 เตอื นความจำ
1.1.2 วัจนกรรมชนี้ ำ
1.1.2.1 คำถาม
1.1.2.2 ขอรอ้ ง
1.1.2.3 ชักชวน
1.1.2.4 เสนอแนะ
1.1.2.5 คำสั่ง
1.1.2.6 ทา้ ทาย
6
1.1.3 วัจนกรรมผูกมดั
1.1.3.1 แสดงความตั้งใจ
1.1.3.2 เสนอตัว
1.1.3.3 สญั ญา
1.1.3.4 ปลอบโยน
1.1.4 วจั นกรรมแสดงความรู้สกึ
1.1.4.1 ด้านลบ
1.1.4.2 ดา้ นบวก
1.1.5 วจั นกรรมแถลงการณ์
1.2 วัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle
Of Teddy Bear
1.2.1 วจั นกรรมบอกกลา่ ว
1.2.1.1 การกล่าว
1.2.1.2 บรรยาย
1.2.1.3 ยนื ยัน
1.2.1.4 คาดคะเน
1.2.1.5 คาดหวัง
1.2.1.6 เตอื นความจำ
1.2.2 วจั นกรรมช้นี ำ
1.2.2.1 คำถาม
1.2.2.2 ขอรอ้ ง
1.2.2.3 ชกั ชวน
1.2.2.4 เสนอแนะ
1.2.2.5 คำสั่ง
1.2.2.6 ท้าทาย
1.2.3 วัจนกรรมผกู มัด
1.2.3.1 แสดงความต้งั ใจ
1.2.3.2 เสนอตวั
1.2.3.3 สญั ญา
1.2.3.4 ปลอบโยน
1.2.4 วจั นกรรมแสดงความรสู้ กึ
1.2.4.1 ด้านลบ
1.2.4.2 ด้านบวก
7
1.2.5 วัจนกรรมแถลงการณ์
2. ภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์
The Miracle Of Teddy Bear
2.1 ภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมี
ปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ผ่านตัวละครชายรกั ชาย
2.2 ภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมี
ปาฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ผ่านตวั ละครชาย
2.3 ภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมี
ปาฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ผา่ นตัวละครหญงิ
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
วัจนกรรมการยอมรับ หมายถึง ถ้อยคำที่ใช้สื่อความหมายตามเจตนาของผู้พูดเพื่อต้องการให้เกิดผล
อย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ฟัง โดยพิจารณาตัวถ้อยคำที่ผู้พูดใช้ในการสนทนากับคู่สนทนาเป็นหลักที่สื่อสารกันใน
ปริบทใดปริบทหนึ่งโดยในระหว่างการสนทนามีการพูดถึงความสัมพันธ์แบบชา ยรักชายและใช้ถ้อยคำที่แสดง
ให้เห็นถึงเจตนาของการยอมรบั ความสมั พนั ธ์แบบชายรักชาย
วัจนกรรมการไม่ยอมรับ หมายถึง ถ้อยคำที่ใช้สื่อความหมายตามเจตนาของผู้พูดเพื่อต้องการให้
เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ฟัง โดยพิจารณาตัวถ้อยคำท่ีผู้พูดใช้ในการสนทนากับคูส่ นทนาเป็นหลักทีส่ ือ่ สาร
กันใน ปริบทใดปริบทหนึ่งโดยในระหว่างการสนทนามีการพูดถึงความสมั พันธ์แบบชายรกั ชายและใช้ถ้อยคำ
ท่แี สดงใหเ้ ห็นถงึ เจตนาของการไมย่ อมรบั ความสัมพนั ธ์แบบชายรักชาย
ภาพแทน หมายถึง สิ่งทีถ่ ูกสร้างขึ้นมาเพือ่ แทนมุมมองความคิดเห็นของผูส้ รา้ งหรือผู้ส่งสารที่มตี ่อสิ่ง
ทถี่ ูกกลา่ วถงึ หรือสิง่ ทส่ี อื่ สารออกมาผา่ นวจั นกรรมในการยอมรบั และไมย่ อมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายที่
ทำให้เห็นภาพแทนสงั คมชายรักชายในละครเร่ืองนี้
คำบง่ ช้ี หมายถงึ คำกริยาและกรยิ าวลีท่ีปรากฏในบรบิ ทการใชถ้ ้อยคำในการสือ่ สาร เนอ่ื งจากบางครง้ั
คำกริยาคำเดยี วไม่สามารถทจ่ี ะส่อื เจตนาของผู้สนทนาไดอ้ ย่างชดั เจนได้ จึงตอ้ งนำคำชนิดต่าง ๆ มาวางไว้หน้า
หรือหลงั คำกรยิ าเพอ่ื ขยายความหมายของคำกรยิ านนั้ ๆ ให้มีความชดั เจนยง่ิ ขน้ึ
วิธกี ารดำเนนิ การวิจยั
การวิจัยในครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งผู้วิจัยได้วิเคราะห์วัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับ
ความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear โดยมีวิธีการ
ดำเนนิ การวิจยั ดังน้ี
1. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง
1.1 เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ยี วข้องกับวจั นกรรม
1.2 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวข้องกบั ภาพแทน
8
2. วธิ กี ารรวบรวมขอ้ มลู
2.1 กำหนดระยะเวลาในการศึกษาคน้ ควา้ ข้อมูล โดยแบ่งเปน็ 3 ชว่ งเวลา ดงั น้ี
ชว่ งเวลาที่ 1 ศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวข้อง
ชว่ งเวลาท่ี 2 ดำเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ชว่ งเวลาที่ 3 วเิ คราะหข์ ้อมูลและสรปุ ผลการศกึ ษาคน้ คว้า
2.2 การพิจารณารวบรวมข้อมูลจากบทสนทนาในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle
Of Teddy Bear โดยมีวธิ ีการวเิ คราะห์ ดงั นี้
2.2.1 ผู้วิจัยใช้ข้อมูลจากบทสนทนาของตัวละครในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์
The Miracle Of Teddy Bear ที่เริ่มที่ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2565 ถึง 1 พฤษาคม
พ.ศ.2565 มีท้ังหมด 16 ตอน
2.2.2 นำข้อมูลจากบทสนทนาของตัวละครในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy
Bear มาวิเคราะห์จัดเรียงเป็นตอนตามที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ถึง
15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 มที ้ังหมด 16 ตอน
3. วิธกี ารวเิ คราะหข์ ้อมูล
ผู้วิจัยวิเคราะห์วัจนกรรมการการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่อง
คณุ หมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตามขอบเขตของเนอ้ื หาที่กำหนด ดังนี้
3.1 วิเคราะห์วัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่อง
คุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear โดยใช้แนวคิดวัจนกรรมของจอห์น อาร์เซอร์ล (John R.
Searle) มาวเิ คราะห์ในประเด็นตอ่ ไปนี้
3.1.1 คำกริยาที่ปรากฏในวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบ
ชายรักชายในละครเรื่องคณุ หมปี าฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear
3.1.2 ประเภทวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธแ์ บบชายรักชายใน
ละครเรอ่ื งคุณหมีปาฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตามประเภทต่าง ๆ
3.2 วิเคราะห์ภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่อง
คุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear โดยใช้แนวคิดวัจนกรรมของจอห์น อาร์เซอร์ล (John R.
Searle) มาวเิ คราะหใ์ นประเด็นตอ่ ไปนี้
3.2.1 วัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายที่สะท้อน
ภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเร่ืองคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle
Of Teddy Bear
3.2.2 ภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละคร
เรอ่ื งคุณหมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ผ่านตัวละครต่าง ๆ
4. นำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าแบบพรรณนาวิเคราะห์
9
ข้อตกลงเบ้ืองต้น
1. การศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่อง
คุณหมีปาฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ผูว้ จิ ยั เกบ็ รวบรวมข้อมลู วจั นกรรมการยอมรับและไมย่ อมรับ
ความสัมพันธ์แบบชายรักชายผ่านตัวละครในเรื่องที่เริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2565 ถึง
1 พฤษภาคม พ.ศ.2565 ทง้ั หมดจำนวน 16 ตอน
2. การศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละคร
เรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear ผู้วิจัยเจาะจงเฉพาะบทสนทนาที่สื่อถึงการยอมรับ
และไมย่ อมรบั ความสัมพนั ธ์แบบชายรักชายจากตวั ละครท้งั หมดในเรอ่ื ง
3. การศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่อง
คณุ หมปี าฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ผ้วู ิจัยเก็บรวบรวมขอ้ มลู วจั นกรรมการยอมรบั และไมย่ อมรับ
ความสัมพันธ์แบบชายรักชายเพื่อวิเคราะห์การสะท้อนภาพแทนการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชาย
ที่มีต่อมมุ มองการยอมรบั ต่อตนเอง ครอบครวั และสังคม
4. การศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละคร
เรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear ผู้วิจัยนำเสนอแนวคิดวัจนกรรมของจอห์น อาร์ เซอร์ล
(John R. Searle) มาใช้ในการวิเคราะห์บทสนทนาที่สื่อถึงการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์
แบบชายรักชายทป่ี รากฏภายในเร่อื ง
5. การศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละคร
เรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear ผู้วิจัยได้นิยามศัพท์เฉพาะเพื่อกำหนดขอบเขตของ
เนอ้ื หาท่ีจะใชใ้ นการวเิ คราะห์และเพอ่ื ใหส้ อดคล้องกับวตั ถปุ ระสงคท์ ่ผี ู้วิจยั ตอ้ งการจะศึกษา
10
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยที่เกี่ยวขอ้ ง
ผู้วิจัยได้รวบรวมเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวัจนกรรมและภาพแทนเพื่อใช้เป็นแนวทางใน
การศึกษาและวิเคราะห์วัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายที่สะท้อนภาพแทน
สังคมชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear โดยจัดจำแนกข้อมูลตาม
ประเด็นตา่ ง ๆ ไดด้ ังนี้
1. เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้องกบั วัจนกรรม
1.1 เอกสารทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั วัจนกรรม
1.1.1 นิยามความหมายของวัจนกรรม
1.1.2 แนวคดิ ทฤษฎที างวจั นกรรม
1.2 งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั วัจนกรรม
2. เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วข้องกับภาพแทน
2.1 เอกสารที่เก่ยี วข้องกบั ภาพแทน
2.1.1 นยิ ามความหมายของภาพแทน
2.2 งานวจิ ัยที่เกย่ี วข้องกบั ภาพแทน
3. เอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วขอ้ งกับละครเรื่องคณุ หมีปาฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear
3.1 เอกสารทเ่ี กี่ยวข้องกับละครเรื่องคุณหมปี าฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear
3.2 งานวจิ ัยทเี่ กีย่ วข้องกบั ชายรักชาย
1. เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั วัจนกรรม
1.1 เอกสารทเี่ ก่ยี วข้องกบั วัจนกรรม
1.1.1 นยิ ามความหมายของวัจนกรรม
อมรา ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ (2541) กล่าวว่า “วัจนกรรม หมายถึง ถ้อยคำที่ใช้ส่ือ
ความหมายตามเจตนาของผู้พูด เช่น วัจนกรรมขอร้อง ซึ่งผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังกระทำอย่างไรอย่างหน่ึง
ให้กับผู้พูดและผู้พูดเชื่อว่าผู้ฟังสามารถทำได้ วัจนกรรมขอบคุณ แสดงว่าผู้ฟังได้ทำอย่างไรอยา่ งหนึ่งเพ่อื ผ้พู ดู
และผูพ้ ดู สำนกึ ในบญุ คณุ ของการกระทำนัน้ ”
11
สมฤดี วิสทเวทย์ (2546) กล่าวว่า “การกระทำด้วยคำพูดที่ผู้พูดจงใจให้ภาษาส่ือ
บางสง่ิ ไปสู่ผู้ฟงั ” ภาษาไม่ได้สะท้อนความจริงภายนอกแตเ่ ปน็ เคร่ืองมือทม่ี นษุ ยใ์ ช้แสดงกจิ กรรมที่เก่ียวข้องกับ
ความคิดความเช่ือและการยอมรับในสงั คม
กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์ และธีรนุช โชคสุวณิช (2551) กล่าวถึงวัจนกรรรมไว้ว่า
“ถ้อยคำที่แสดงการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ การแสดงความเสียใจ การปฏิเสธข้อกล่าวหา
การทักทาย และการแสดงความปรารถนาดี การกระทำที่ถ่ายทอดทางคำพูดเช่นนี้เรียกว่า “วัจนกรรม” และ
ได้กลา่ วถึงลักษณะเด่นของวัจนกรรม ไวว้ ่า “ถอ้ ยคำทกุ ถอ้ ยคำไมเ่ พียงแต่จะบอกข้อความที่อ้างถงึ แต่ยังใช้เพ่ือ
กอ่ ใหเ้ กดิ การกระทำ”
ราชบัณฑิตยสถาน (2553) ได้นิยามความหมายของคำว่า Speech ไว้ว่า “Speech
(วัจนะ, คำพูด) หมายถึง การกล่าวถ้อยคำที่สื่อความหมายในภาษาซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้ภาษา คำว่า
“วัจนะ” บางครั้งอาจเรียกว่า “วจี” หรือ “คำพูด” (Parole) ซึ่งตรงข้ามกับระบบภาษา (Langue) บางคร้ัง
คำวา่ “วจั นะ” อาจเรยี กวา่ “การใช้ภาษา” หรอื “กฤตกรรมภาษา” (Linguistic Performance)”
วัจนะเป็นพฤติกรรมการใช้ภาษาที่เป็นรูปธรรมและแตกต่างจากระบบภาษา
ท่เี ปน็ นามธรรมซ่งึ เรียกว่า ความรใู้ นภาษา หรือ สามตั ถยิ ะภาษา (Linguistic Competence)
ราชบัณฑิตยสถาน (2553) ได้นิยามความหมายของคำว่า Speech act ไว้ว่า
“Speech act (วัจนกรรม) หมายถึง การกระทำด้วยคำพูดซึ่งจำแนกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ตามเจตนาของ
ผู้พูด เช่น บอกเล่า สัญญา ขอร้อง สั่ง ถาม ตัวอย่างวัจนกรรมสัญญา เช่น การกล่าวถ้อยคำหรือคำพูดว่า
“ผมสัญญาว่าจะใช้หนี้คืนคุณภายในสิ้นเดือนนี้” วัจนกรรมขอร้อง เช่น การกล่าวถ้อยคำหรือคำพูดว่า
“ช่วยสง่ หนงั สือใหห้ น่อย”
อิงอร พึ่งจะงาม (สุจริตลักษณ์ ดีผดุง 2549 ; อ้างอิงจากอิงอร พึ่งจะงาม, 2554)
กล่าวว่า “วัจนกรรม (Speech Acts) เป็นแนวคิดหนึ่งในวัจนปฏิบัตศิ าสตร์ กล่าวถึงการกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อผู้
พูดหรือผู้เขียน (speaker/writer) กล่าวถ้อยคำใดถ้อยคำหนึ่ง (utterance) กับผู้ฟังหรือผู้อ่าน
(hearer/reader) หรือผู้รับสารในบริบทใดบริบทหนึ่ง สามารถจำแนกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ตามเจตนา
ของผพู้ ดู เชน่ การบอกเล่า การสัญญา การสงั่ การถาม เปน็ ต้น”
อัจฉราพร ใครบุตร และวิไลศักดิ์ กิ่งคำ (2559) กล่าวสรุปถึงวัจนกรรมไว้ว่า
“วัจนกรรมเป็นการใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายหรือแนวคิดที่บ่งบอกถึงเจตนาในการสื่อสาร ซ่ึงต้องคำนึงถึง
ความหลากหลายของรปู แบบทางภาษาท่ีเหมาะสมกับสถานการณแ์ ละเป็นทีย่ อมรับของสังคมรวมทง้ั ความรู้สึก
นึกคิดทัศนคติของผู้พูดที่มีต่อเรื่องราวต่าง ๆ กล่าวคือ “วัจนกรรม” เป็นการกระทำโดยเจตนาของผู้พูด
ซึ่งแสดงออกนรูปของคำพูด เช่น การขอร้อง ออกคำสั่ง และการขอโทษ เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถช่วยให้ผู้ฟัง
รบั ทราบถึงวตั ถปุ ระสงคเ์ ข้าใจความหมายของคำพูดท่ีผู้พดู กลา่ วออกมาได้ชดั เจนยิ่งข้นึ ”
12
ดียู ศรีนราวัฒน์ (2559) กล่าวว่า “นักปรัชญาได้เริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับการสื่อเจตนา
ผ่านถ้อยคำอย่างจริงจังในช่วงคริสต์วรรษที่ 20 และนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า สิ่งที่ผู้พูดกล่าวออกมา มีคุณสมบัติ
เปรียบเสมือน “การกระทำอันเกิดจากคำพดู ” ซึ่งเรียกเป็นศัพทว์ ชิ าการด้านวัจนปฏิบัติศาสตร์ว่า “วัจนรรม”
(Speech act) (Austin, 1962) ถือว่าการกระทำมีมากกว่า 1 ชนิด ได้แก่ การกระทำอันเกิดจากพลังทาง
กายภาพ เช่น ชายหนุ่มแตะเนื้อต้องตัวหญิงสาวในวันสงกรานต์จนเป็นเหตุให้หญิงสาวรู้สึกไม่พอใจ หรือพ่อ
มอบของขวัญวนั เกิดใหก้ ับลกู ลูกจึงรสู้ กึ ดีใจ กลา่ วไดว้ ่า การรู้สกึ ไมพ่ อใจ หรอื การรสู้ กึ ดใี จดงั กลา่ ว เปน็ เหตมุ า
จากพลงั ทางกายภาพ อยา่ งไรก็ตาม ความรสู้ ึกเหลา่ นีอ้ าจเกิดข้ึนได้จากวัจนกรรมหรือ “การกระทำอันเกิดจาก
พลงั ของคำพูด” ได้เช่นกนั เชน่ “การวา่ กล่าว” และ “การกลา่ วแสดงความยินด”ี
จรัลวิไล จรูญโรจน์ (2560) กล่าวถึงวัจนกรรมว่า “วัจนะ แปลว่า คำพูดกรรม
แปลวา่ การกระทำ ดังนน้ั วัจนกรรม (Speech Act) จึงหมายถึงการกระทำโดยใช้คำพดู เชน่ ทกั ทาย ขอโทษ
อธิบาย แก้ตัว สัญญา ฯลฯ โดยอาจจะมีการกระทำที่ไม่ใช่คำพูดมาประกอบด้วยก็ได้ เช่นเวลาที่เอ่ยปาก
ทักทายกัน (การกระทำด้วยคำพูด) เราก็อาจจะยกมือไหว้ โค้งคำนับ หรือจับมือ (การกระทำโดยไม่ใช้คำพูด)
ประกอบไปด้วยตามแตว่ ัฒนธรรม”
ดังนั้น วัจนกรรม หมายถึง ถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารสื่อความหมายตามเจตนา
ของผู้พูดกับผู้รับสารในบริบทใดบริบทหนึ่ง โดยอาจมีการกระทำที่ไม่ใช่คำพูดประกอบด้วย รวมเป็นการ
กระทำอันเกิดจากคำพูดหรือใช้ภาษาเป็นตัวบ่งบอกการกระทำที่สะท้อนความคิดความเชื่อและการยอมรับใน
สังคม
1.1.2 แนวคดิ ทฤษฎที างวจั นกรรม
แนวคิดวจั นกรรมของจอหน์ อาร์ เซอรล์ (John R. Searle)
Searle (1969) ได้ปรับปรุงและสานตอ่ แนวคดิ เรอื่ งวัจนกรรมของ Austin
โดยเสนอวา่ ในการกลา่ วถอ้ ยคำแตล่ ะครัง้ ผพู้ ูดจะมีการกระทำ 3 ประการคอื
(1) การกล่าวถ้อยคำ (utterance acts) คือ การกระทำที่เป็นการกล่าวถ้อยคำ
นับตง้ั แตก่ ารเปล่งเสียงออกมาคร้งั หน่ึง ๆ มผี ลของการกระทำนั้น ๆ เปน็ คำ หรือประโยค
(2) การนำเสนอความ (propositional acts) คือ การกระทำที่เป็นการนำเสนอ
ความซง่ึ อา้ งถงึ สรรพส่ิง (Reference) และลกั ษณะอาการต่าง ๆ (Predicates)
(3) การแสดงเจตนา (ilocutionary acts) คือ การกระทำที่เป็นการนำเสนอความ
ใชค้ ำพูดแฝงไปด้วยเจตนาตา่ ง ๆ เชน่ ถาม สั่ง และอ่นื ๆ
นอกจากน้ี Searle (1979) ยงั ไดจ้ ำแนกประเภทวัจนกรรมออกเปน็ 5 กลุ่มใหม่ ดังน้ี
(1) กลุ่มบอกกล่าว (assertives) เน้นให้เห็นว่าผู้พูดเชื่อในความเป็นจริงเกี่ยวกับ
สิ่งต่าง ๆ และความเป็นไปที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว ดังนั้นจึงต้องการบอกเล่าข้อมูลดังกล่าวด้วยเห็นว่าผู้ฟังยัง
13
ไม่ทราบหรือจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง ตัวอย่างเช่น การพูด (saying) การกล่าว (stating) การยืนยัน
(asserting) การสรุป (concluding) การรายงาน (reporting) เป็นต้น นอกจากนี้วัจนกรรมในกลุ่มนี้ยัง
สามารถให้ประโยชน์แก่ผู้พูดได้เช่นกัน อาทิเช่น การพูดโอ้อวด ( boasting) ให้ข้อมูลแก่ผู้ฟัง
แต่สรา้ งความพงึ พอใจในความสำเรจ็ หรือความสามารถใหก้ ับตัวผู้พูดเอง
(2) กลุ่มชี้นำ (directives) แสดงถึงความพยายามของผู้พูดที่ต้องการให้ผู้ฟังกระทำ
บางอย่างเพื่อผลประโยชน์ของผู้พูด แต่มีน้ำหนักของถ้อยคำต่างกันขึ้นกับสถานภาพทางสังคมและ
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ตัวอย่างเช่น การออกค าสั่ง (commanding) การขอร้อง (requesting)
การเสนอแนะ (suggesting) การแนะนำ (recommending) เปน็ ต้น
(3) กลุ่มผูกมัด (commissives) เป็นถ้อยคำที่ผู้พูดมีจุดมุ่งหมายแสดงให้เห็นว่า
จะกระทำการบางอย่างเพื่อผู้ฟังในอนาคต ตัวอย่างเช่น การสัญญา (promising) การสาบาน (vowing)
การเสนอตัว (offering) การปลอบโยน (reassuring) การแสดงความตั้งใจ (intending) การขู่ (threatening)
เป็นตน้
(4) กล่มุ แสดงความรู้สกึ (expressives) เป็นกลมุ่ ถอ้ ยคำทบ่ี ่งบอกอารมณค์ วามร้สู กึ
และทัศนคติของผู้พูดที่มีต่อผู้ฟังหรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบข้างเท่านั้น ผู้พูดไม่มีความประสงค์จะให้ผู้ฟัง
กระทำสิ่งใด หรือให้ผู้ฟังทราบถึงข้อมูลสำคัญแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น การทักทาย (greeting) การต้อนรับ
(welcomeing) การขอโทษ (apologizing) การขอบคณุ (thanking) การเตอื น (warning) เปน็ ตน้
(5) กลุ่มแถลงการณ์ (declaratives) เป็นกลุ่มถ้อยคำที่ผู้พูดประกาศเพื่อ
กระทำการบางสิ่งบางอย่าง อันมีผลทำให้สภาพสิ่งของ บุคคล หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป เป็น
กลมุ่ วจั นกรรมท่แี สดงใหเ้ ห็นเจตนารมณข์ องผูพ้ ดู อยา่ งชดั เจน และมักใช้ในบริบททีเ่ ป็นทางการสูง ตัวอยา่ งเชน่
การแต่งตั้ง (appointing) การเสนอชื่อ (nominating) การไล่ออกจากงาน (firing from employment)
การตัดสินจำคกุ (sentencing to imprisonment) เปน็ ตน้
เซอร์ล (จรัลวิไล จรูญโรจน์, 2560 ; อ้างอิงจาก Searle, 1969) แบ่งวัจนกรรม
ออกเปน็ 5 ประเภท คือ
1. การกล่าวเชื่อมั่น (assertive) คือ วัจนกรรมที่ผู้พูดกล่าวสิ่งที่เป็นความจริง เช่น
การกล่าวรายงาน การแจง้ ให้ทราบ
2. การกล่าวชี้นำ (directive) คือ วัจนกรรมที่ผู้พูดต้องการชี้นำให้มีการตอบสนอง
บางอย่างจากผู้ฟัง เชน่ การสงั่ การขอร้อง (คาดหวงั ให้ผฟู้ ังทำตาม)
3. การกล่าวผูกพัน (commissive) คือ วัจนกรรมที่ผู้พูดกล่าวถึงสิ่งที่ตนจะทำ
ส่ิงที่กล่าวไปจะผูกพนั ถึงอนาคตว่าตนจะทำอะไร เชน่ การสญั ญา
14
4. การกล่าวแสดงออก (experssive) คือ วัจนกรรมที่ผู้พูดแสดงความคิดเห็นหรือ
ความร้สู ึก เช่น การแสดงความยินดี การโตแ้ ยง้
5. การกล่าวประกาศ (declaration) คือ วัจนกรรมที่ทำให้เกิดผลได้ตามนั้น
(หากผู้พูดมีสิทธิอำนาจ) เช่น การตั้งชื่อ การแต่งตั้ง การที่บาทหลวงประกาศให้ชายหญิงเป็นสามีภรรยากัน
ในพิธงี านแตง่
เซอร์ลยังกล่าวอีกว่าในการกล่าววัจนกรรมแต่ละครั้ง ผู้พูดมีการกระทำ 3 อย่าง
ไปพร้อม ๆ กัน คือ 1. การกล่าวข้อความออกมา 2. การแสดงความหมาย (ข้อความที่ออกจากปากไม่ได้มีแต่
เสียงแต่มีความหมายอยู่ในเสียงนั้นด้วย) และ 3. การแสดงเจตนา (คงไม่มีใครกล่าวถ้อยคำออกมาโดยไม่มี
เจตนาใด ๆ เลยซ่อนอยู่)
ดยี ู ศรนี ราวัฒน์ (2559) กล่าวว่า บางครั้งวจั นกรรมอาจหมายถึงเจตนาทแี่ ทจ้ ริงของ
ผู้พูด แต่บางคร้ังอาจหมายถึงเจตนาทผ่ี ูฟ้ ังคดิ ว่าเป็นสิ่งท่ีผู้พูดประสงคท์ ีจ่ ะสื่อ ในการที่ถ้อยคำ อาจมีเจตนาท่ี
หลากหลายได้เช่นนี้ นักวัจนปฏิบัติศาสตรจ์ ึงคดิ กรอบการวิเคราะห์วัจนกรรม โดยแบ่งกลุ่ม วัจนกรรมจำนวน
5 กล่มุ ดงั นี้
1. กลุ่มบอกกล่าว (Assertive/Representative) เป็นกลุ่มวัจนกรรมที่รวบรวมเอา
ถ้อยคำที่สื่อข้อมูลข่าสารต่าง ๆ ที่ผู้พูดทราบและ/หรือที่ผู้พูดเชื่อว่าเป็นจริงเข้าไว้ด้วยกัน เช่น การรายงาน
(Reporting) การแจง้ ขอ้ มูล (Inform) การสรุปความ (Summarizing) การพสิ จู น์ (Testifying) ฯลฯ
2. กลุ่มชี้นำ (Directive) เป็นกลุ่มวัจนกรรมที่แสดงให้ผู้ฟังทราบว่า ผู้พูด
ตอ้ งการบางสิง่ บางอยา่ งจากผฟู้ งั หรือตอ้ งการใหผ้ ู้ฟังกระท าบางอยา่ งให้ เชน่ การสัง่ (Ordering) การขอรอ้ ง
(Requesting) การถาม (Questioning) การเสนอแนะ (Suggesting)
3. กลุ่มผูกมัด (Commissive) เป็นกลุ่มวัจนกรรมที่สัมพันธ์กับการกระทำบางอย่าง
คล้ายกับกลุ่มชี้นำแต่วัจนกรรมในกลุ่มผูกมัดนี้ผู้พูดแสดงเจตนาว่าตนจะกระทำการบางอย่างโดยมีผู้ฟัง
เป็นฝ่ายที่จะได้รับผลจากการกระทำนั้น ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งในแง่ดีและแง่ไม่ดี เช่น การสัญญา (Promising)
การสาบาน (Vowing) การทา้ ทาย (Challenging) และการข่มขู่ (Threatening)
4. กลมุ่ แสดงความรูส้ กึ (Expressive) เปน็ กลมุ่ วจั นกรรมทเี่ น้นการสื่อเจตนาทแ่ี สดง
ความรู้สึกของผู้พูดเป็นหลัก กลุ่มวัจนกรรมนี้มีขอบเขตที่กว้างมาก วัจนกรรมที่เป็นตัวอย่างของการแสดง
ความรู้สึก ได้แก่ การขอโทษ (Apologizing) การขอบคุณ (Thanking) การชม (Complimenting)
การแสดงความยนิ ดี (Congratulating) จะเห็นวา่ วัจนกรรมในกลมุ่ นม้ี สี ว่ นคลา้ ยคลึงกับวัจนกรรมในกล่มุ บอก
กล่าวอย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปกติ วัจนกรรมเช่นการขอโทษมักไม่ได้มีไว้เพื่อแจ้งให้ผู้ฟังทราบว่าผู้พูด
กระทำผิดบางอย่าง แต่จะมีจุดมุ่งหมายหลัก คือ ต้องการให้ผู้ฟังทราบความรู้สึกที่ตัวผู้พูดมีต่อการกระทำผิด
ของตนเองมากกว่า
15
5. กลุ่มแถลงการณ์ (Declaration) เป็นกลุ่มวัจนกรรมที่ประกอบด้วยถ้อยคำที่มี
อิทธิพลทำให้สรรพสิ่งและบุคคลต่าง ๆ ในโลกรอบข้างมีสถานะเปลี่ยนแปลงไป เช่น คำพูดของผู้พิพากษา
ทำให้บุคคลคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นเพียงฝ่ายจำเลยต้องกลายเป็นนักโทษ และคำพูดของนายกเทศมนตรีทำให้
สถานท่ีแห่งหนง่ึ จากทเ่ี คยเป็นสนามกีฬาทม่ี คี นจำนวนมากมายอย่รู วมกนั เปลี่ยนไปเปน็ พิธีเปิดการแข่งขนั กีฬา
การเปลี่ยนแปลงสถานะของบุคคลและสถานท่ีตามทีไ่ ด้ยกมาเป็นตวั อย่างนี้เป็นผลมาจากการกลา่ ว วัจนกรรม
ตัดสินคดี (Sentencing) และวัจนกรรมเปิดพิธีการ (Opening a ceremony) ตามลำดับ อนึ่ง วัจนกรรม
กลุ่มแถลงการณ์มคี วามเหล่ือมลำ้ กับวจั นกรรมกลุ่มช้ีนำในบางกรณี เนือ่ งจากทั้งสองเกี่ยวข้องกับการสอ่ื เจตนา
เพื่อทำให้เกิดการกระทำบางอย่างเหมือนกัน แต่ความแตกต่างที่สำคัญ คือ โดยทั่วไปวัจนกรรม
กล่มุ แถลงการณห์ มายถึงถ้อยคำทใ่ี ชใ้ นปริบททเ่ี ปน็ ทางการสูง และการกลา่ วถ้อยคำนนั้ ๆ ส่งผลให้สถานะของ
สรรพสตั ว์เปลย่ี นไป ในขณะทีว่ จั กรรมกลุ่มชน้ี ำไม่ปรากฏลกั ษณะทั้งสองดังกล่าว
1.2 งานวิจยั ที่เกยี่ วขอ้ งกับวจั นกรรม
ปรีชา ธนะวิบูลย์ และสิริวรรณ นันทจันทูล (2559) ได้ศึกษาวัจนกรรมจากคำคม
ความรกั ในเครอื ข่ายสงั คมออนไลน์ ศึกษาคำคมความรักทปี่ รากฏในเครอื ขา่ ยสังคมออนไลนซ์ งึ่ มีลกั ษณะเดน่ ใน
การใช้วัจนกรรมรูปแบบต่าง ๆ ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัย ข้อความที่มีลักษณะเป็นคำคมความรักในแฟนเพจของ
เครอื ขา่ ยสังคมออนไลนท์ ง้ั หมด 10 แฟนเพจ จำนวน 4,389 ข้อความ โดยเก็บรวบรวมเปน็ เวลา 1 ปี เครือ่ งมือ
ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั ได้แก่ทฤษฎวี จั นกรรมของ John R. Searle และนำมาวิเคราะห์ตามเกณฑ์วัจนกรรม 5 รปู แบบ
ผลการวจิ ยั พบว่า คำคมความรักมีการใช้วัจนกรรมกล่าวความจริงมากที่สุด
รองลงมาคือวัจนกรรม กล่าวชี้นำ วัจนกรรมกล่าวแสดงความรู้สึก และวัจนกรรมกล่าวผูกพัน ตามลำดับ
แตไ่ มพ่ บรูปแบบ วัจนกรรมกล่าวประกาศ
อจั ฉราพร ใครบุตร และวไิ ลศักดิ์ กงิ่ คำ (2559) ไดศ้ ึกษาวัจนกรรมในบทเพลงปลุกใจ
ให้รกั ชาตริ ะหวา่ งพ.ศ.2510–2550 ซง่ึ เพลงปลุกใจเปน็ เพลงที่มีเนื้อหา มุ่งเชญิ ชวนใหร้ กั ชาติภกั ดีต่อชาติ และ
กระทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชาติให้อยู่รอดและเจริญก้าวหน้า โดยเน้นถึงสิ่งต่างๆ หรือคุณค่าต่างๆ ที่แตกต่าง
กันออกไปตามสถานการณ์
ขอ้ มลู ที่ได้ ผวู้ จิ ัยรวบรวมจากการตรวจเอกสารจากแหลง่ ต่างๆ แนวคิดเกี่ยวกับเพลง
ปลุกใจ แนวคิดเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยใช้ทฤษฎีวัจนปฏิบัติศาสตร์และการแบ่งประเภท
วัจนกรรมของ John R. Searle และใช้เกณฑ์การวิเคราะห์วัจนกรรมตามเจตนาของการสื่อสารโดยใช้แนวคดิ
ของ John R. Searleซึ่งเสนอหลักการวิเคราะห์ที่เรียกว่าเงื่อนไขวัจนกรรม รวมทั้งแนวคิดการแบ่งประเภท
วจั นกรรมของนภทั รองั กูรสินธนา และ วิสนั ต์ สขุ วสิ ิทธิ์ เปน็ แนวทางการศกึ ษา
ผลการศึกษาพบว่าประเภทวัจนกรรมโดยศึกษาเฉพาะความหมายประจำรูปประโยค
แบ่งได้เป็น 12 ประเภท ได้แก่ (1)วัจนกรรมการบอกเล่า (2)วัจนกรรมการขอร้อง (3)วัจนกรรมการส่ัง
16
(4)วัจนกรรมการเตือน (5)การสัญญา (6)วัจนกรรมการขู่ (7)วัจนกรรมการแนะนำ (8)วัจนกรรมการถาม
(9)วัจนกรรมการแสดงความเสียใจ (10)วัจนกรรมการบริภาษ (11)วัจนกรรมการท้าทาย (12)วัจนกรรมการ
อวยพรซึ่งวัจนกรรมที่พบมากที่สุดได้แก่ วัจนกรรมการบอกเล่า รองลงมา วัจนกรรมการสัญญา และพบน้อย
ที่สุดวจั นกรรมการถาม
พัฒน์นรี นกชัยภูมิ ศศิชณัฏฐ์ แย้มกลิ่น และซอทอง บรรจงสวัสดิ์ (2560) ได้
ศึกษาวัจนกรรมในการพาดหัวโฆษณาสินค้าประเภทอาหารในประเทศฝรั่งเศส เพื่อศึกษาประเภทของ
วัจนกรรมที่ใช้ในการเขียนพาดหัวโฆษณาสินค้าประเภทอาหารในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งวัจนกรรมและ
องค์ประกอบอื่นที่ปรากฏโฆษณาสินค้าเช่นภาพประกอบ จะสามารถสะท้อนแง่มุมของค่านิยมความเชื่อของ
สังคมขณะนั้นได้ด้วย การศึกษาในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อศึกษาประเภทของวัจนกรรมแต่เพื่อศึกษาสังคมและ
วฒั นธรรมฝรง่ั เศษอกี ดว้ ย
ข้อมูลที่ได้ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมจาก www.llllitl.fr จำนวน 33 ข้อความ จาก 21
รายการสินค้า ระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึง 31 สิงหาคม 2560 โดยใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีของ John R.
Searle
ผลการศึกษาพบว่าประเภทของวัจนกรรมที่ใช้พาดหัวโฆษณาสินค้าประอาหารใน
ฝรัง่ เศสมากทส่ี ุดคือ วัจนกรรมบรรยายเหตกุ ารณ์เชิงยนื ยัน วจั นกรรมกำหนดเหตุการณ์เชิงสง่ั ผลการศกึ ษายัง
แสดงให้เห็นว่าวัจนกรรมสองประเภทนี้มักปรากฏในประโยคบอกเล่าใน mode indicative present
นอกจากนี้ยังพบว่าภาพประกอบ การใช้สรรพนาม ความรู้ทางวัฒนธรรม ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญในงาน
โฆษณาอีกด้วย
ณัฐวดีคมประมูล จริญญา ธรรมโชโต และพัชลินจ์ จีนนุ่น (2561) ได้ศึกษาวัจนกร
รมในการให้คำปรึกษาเรื่องความรัก ในคอลัมน์คนดังนั่งเขียน ของดีเจพี่อ้อย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวัจ
นกรรมในการใหค้ ำปรึกษาเรือ่ งความรกั ในคอลัมนค์ นดงั นงั่ เขยี น ของดเี จพี่อ้อย
ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยรวบรวมจากคอลัมน์คนดังนั่งเขียนที่เขียนโดยดีเจพี่อ้อย
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์ จำนวนทั้งสิ้น 178 ฉบับ โดยใช้แนวคิดเรื่องวัจนกรรมของจอห์น อาร์เซอร์
(John. R. Searle) เป็นกรอบในการศึกษา
ผลการศึกษาพบว่า ดีเจพี่อ้อยมีการใช้วัจนกรรมในการให้คำปรึกษา 4 กลุ่ม
วัจนกรรม คือ (1) วัจนกรรมกลุ่มชี้นำ (2) วัจนกรรมกลุ่มแสดงความรู้สึก (3) วัจนกรรมกลุ่มบอกกล่าว
(4) วัจนกรรมกลุ่มผูกมัด เมื่อพิจารณาการใช้วัจนกรรมในภาพรวมพบว่าวัจนกรรมที่พบมากที่สุด คือ
วจั นกรรมการแนะนำ และพบน้อยท่ีสดุ คือ วัจนกรรมการชืน่ ชม ผลการศกึ ษาคร้งั น้ีทำให้เหน็ การใช้วัจนกรรม
ในบริบทของการให้คำปรึกษาของดีเจพี่อ้อยอย่างหลากหลาย และยังเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่า “ดีเจพี่
อ้อยเป็นหนง่ึ ใน กูรดู ้านความรักในยคุ ปจั จุบัน”
17
พิมพ์ผกา ไชยโชค และสาวิตรี คทวณชิ (2562) ได้ศึกษาวัจนกรรมในเพลงประทว้ ง
(Protest Songs) ยอดนิยมตลอดกาล โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อจำแนกประเภทวัจนกรรมที่ปรากฏในเพลง
ประท้วงตามกลุม่ วัจนกรรมของ John R. Searle (1969) เพื่อศึกษาลักษณะวัจนกรรมตรงและวัจนกรรมออ้ ม
ที่ปรากฏในเพลงประท้วง และเพื่อศึกษาว่าเพลงประท้วงนั้นมักกระตุ้นให้ผู้ฟังทำอะไรและใช้กลวิธีทางภาษา
อะไรในการกระตุ้น
ขอ้ มูลทีไ่ ด้ ผู้วจิ ัยรวบรวมรายชอื่ เพลงประท้วงจำนวน 10 เพลง ที่ไดร้ ับการจดั อันดับ
จากเว็บไซต์โรลลิ่งสโตน (RollingStone) ในปี ค.ศ. 2014 ให้เป็น 10 เพลงประท้วงยอดนิยมตลอดกาล
โดยวิเคราะหเ์ นอ้ื เพลงถ้อยคำทีอ่ ยูใ่ นแตล่ ะเพลงจะถูกนำออกมาวิเคราะห์
ผลการศึกษาพบว่า ในจำนวนถ้อยคำที่ถอดมาได้ พบว่ามีการใช้วัจนกรรมในกลุ่ม
การกล่าวแสดงออกมากที่สุด รองลงมาเป็นวัจนกรรมกลุ่มการกล่าวความจริง วัจนกรรมกลุ่มการกล่าวชี้นำ
และ วัจนกรรมกลุ่มการกล่าวผูกพัน ทั้งนี้ไม่พบวัจนกรรมกลุ่มการกล่าวประกาศ รวมถึงพบวัจนกรรมตรง
จำนวน 87 ถ้อยคำ และวัจนกรรมอ้อมจำนวน 94 ถ้อยคำ โดยวัจนกรรมอ้อมมักถูกใช้ในบทเพลงที่มีเนื้อหา
เสียดสีสังคมหรือรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่าง ๆ เป็นต้น บทเพลงส่วนใหญ่ใช้วัจนกรรมกลุ่มการกล่าว
แสดงออกซึ่งเป็นการกระตุ้นผู้ฟังให้มีอารมณร์ ่วมกับเหตุการณ์และนำไปสู่การตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการต่อสู้
ดว้ ยตัวผู้ฟงั เอง
ทักษิณ ทุนเกิด และอภิชัย ไพโรจน์ (2563) ได้ศึกษาและวิเคราะห์วัจนกรรม
การใช้ถ้อยคำในการจีบจากซีรีส์วายเรื่อง เพราะเราคู่กันโดยมี 2 วัตถุประสงค์ คือ ศึกษาวัจนกรรมการจีบ
ในซีรีส์วายเรื่องเพราะเราคู่กัน และศึกษาวัจนผลจากการจีบในซีรีส์วาย เรื่องเพราะเราคู่กัน เพื่อให้ทราบถึง
วัจนกรรมการจีบและวัจนผลจากการจีบของตัวละครทีป่ รากฏในซรี สี เ์ ร่ืองนี้
ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลวัจนกรรมการใช้ถ้อยคำในการจีบจากซีรีส์วายเรื่อง
เพราะเราคู่กัน ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลการใช้ถ้อยคำในการจีบจากบทสนทนาของตัวละครชายรักชายที่เริ่ม
ออกอากาศตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ถึง 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 มีทั้งหมด 13 ตอน
โดยนำแนวคิดวัจนกรรมของจอห์น อาร์ เซอร์ล (John R. Searle) ที่ได้แบ่งประเภทวัจนกรรมออกเป็น
5 ประเภทมาใช้ในการวิเคราะห์
ผลการศึกษา พบว่า จากจำนวนข้อมูลบทสนทนาทั้งหมด 206 บทสนทนา
มีวัจกรรมที่ใช้ในการจีบสามารถจำแนกตามกลุ่มวัจนกรรมได้ 4 กลุ่ม โดยเรียงตามความถี่ที่ปรากฏ
ในบทสนทนา ดังนี้ (1) วัจกรรมบอกกล่าว (2) วัจนกรรมชี้นำ (3) วัจนกรรมผูกมัด (4) วัจนกรรมแสดง
ความรู้สึก และพบว่ามีวัจนผลการใช้ถ้อยคำในการจีบ สามารถจำแนกตามกลุ่มวัจนกรรมได้ 4 กลุ่ม โดยเรียง
ตามความถี่ที่ปรากฏในบทสนทนาได้ดังนี้ (1) วัจนกรรมบอกกล่าว (2) วัจนกรรมแสดงความรู้สึก
(3) วจั นกรรมชีน้ ำ (4) วัจนกรรมผูกมดั
18
จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวัจนกรรมข้างต้น เป็นการศึกษาที่เก็บข้อมูล
วัจกรรมเพื่อนำมาศึกษาในประเด็นที่สนใจ เครื่องมือที่ใช้ของงานวิจัยทั้งหมดข้างต้นเลือกใช้ทฤษฎีการแบ่ง
ประเภทวัจนกรรมของ John R. Searle ซึ่งเสนอหลักการวิเคราะห์ที่เรียกว่าเงื่อนไขวัจนกรรมตามเกณฑ์
วัจนกรรม ผลการวิจัยจากการจัดกลุ่มวัจนกรรมเสนอกลุม่ วจั นกรรมที่พบมากที่สุดเรยี งลำดับไปถึงกลุ่มที่นอ้ ย
ที่สุด และไม่พบเลย ลักษณะเด่นในการใช้วัจนกรรมรูปแบบต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการศึกษาวัจนกรรมตรง
และวัจนกรรมอ้อมที่นำเสนอผลออกมาให้เห็นว่าวัจนกรรมเหล่านั้นถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร งานวิจัย
ที่ศึกษาวัจนกรรมนอกจากจะแยกกลุ่มวัจกรรมแล้วยังสามารถนำกลุ่มที่จำแนกมาสะท้อนแง่คิด มุมมอง
ค่านิยม ความเชื่อ และสังคมออกมาได้ด้วย รวมทั้งยังสามารถทำให้เห็นบริบทการใช้ภาษาของ
เจ้าของวจั กรรมได้อกี ด้วย
2. เอกสารและงานวิจัยท่ีเกีย่ วข้องกบั ภาพแทน
2.1 เอกสารทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับภาพแทน
2.1.1 นยิ ามความหมายของภาพแทน
Hall (ชญานิน บุญส่งศักดิ์และ ธนพร หมูคำ 2565 ; อ้างอิงจาก Hall, 1997 )
กล่าวถึงภาพแทนไว้ว่า “เป็นการนำเสนอแนวคิดโดยเชื่อมโยงกับการใช้ระบบสัญญะ ภาษาอังกฤษคือ
Representation และยังรวมถึงการนำเสนอใหม่ (Re-presentation) เป็นอีกนัยยะที่สำคัญของคำว่า
ภาพแทนนี้ด้วย โดยภาพแทนหรือภาพแทน ประกอบด้วย 2 กระบวนการ ได้แก่ (1) การนำเสนอภาพแทน
ในใจคือ การกลั่นกรองจากความจริงรอบตัวและความคิดหนึ่งให้กลายเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ เช่น
การตีความจากสิ่งที่มองเห็น เช่น แก้ว โต๊ะ เก้าอี้ เราจะตีความไว้ได้ง่ายว่า สิ่งเหล่านี้มีหน้าที่ทำอะไร
(2) ภาพแทนภายนอก คือ การพยายามสื่อสารความคิดหรือความรู้ท่ีอยู่ในใจออกมาให้ผู้อื่นได้ทราบผ่าน
ระบบสัญญะ เช่น ภาษา โดยจะเป็นภาษาพูดหรือเขียนหรือสิ่งอื่น ๆ แทนได้ และมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
3 สิ่ง คือ (1) สิ่งต่าง ๆ (things) ได้แก่ คน สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ ฯลฯ (2) แนวคิด (concept) คือ ความคิด
หรือแนวคิดที่อยู่ในหัวของมนุษย์ที่จะช่วยจัดประเภทสิ่งต่าง ๆ รอบตัว (3) สัญญะ (sign) คือ เครื่องหมาย
รหัสหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ช่วยในการสื่อความคิดผ่านการทํางานของภาษา ทั้งสามองค์ประกอบนี้ถือเป็นการ
เชื่อมโยงความคิดและภาษาเพื่อให้สามารถอ้างอิงได้ถึง ผู้คน เหตุการณ์และวัตถุจริง ๆ เข้าด้วยกันปรากฏ
ออกเปน็ ภาพแทน (Representation)”
วิลาสินี พิพิธกุล (2544) กล่าวถึงภาพแทนว่า “เป็นผลผลิตของความหมายใน
กระบวนการคิดความเชื่อ ความรู้สึก และอุดมการณ์ของมนุษย์ผ่านการสื่อสาร เป็นการเชื่อมโยงความคิด
เข้ากับโลกแห่งความเป็นจริงและโลกแห่งจินตนาการร่วมวัฒนธรรมเดียวกันทำให้เรารับรู้ความหมายจาก
ภาพแทนเหมือนกัน นอกจากนั้นการที่ภาพแทนมีความหมายก็เพราะมีความสอดคล้องกับบรรทัดฐานและ
คุณค่าที่คงอยู่แล้วในวัฒนธรรมนั้น การเป็นภาพแทนไม่ใชแ่ ค่เพียงเป็นภาพสะท้อนของความเป็นไปได้ในสิง่ ที่
มีอยูใ่ นโลก”
19
สุรเดช โชติอุดมพันธ์ (ภัทรศศิร์ ช้างเจิม 2559 ; อ้างอิงจากสุรเดช โชติอุดมพันธ์,
2548 ) ไดก้ ล่าวถึงภาพแทนไวว้ า่ “เป็น ผลผลิตหรือวัตถุสําเรจ็ เทา่ น้ัน แตค่ าํ ว่า representation ยงั หมายรวม
ไปถึงกระบวนการนําเสนอด้วย ดังนั้นจึงสามารถแปลออกมาได้ว่า การนําเสนอภาพแทน คําว่า ภาพแทน
จึงมีความหมายนัยยะที่ซับซ้อนมาก ภาพแทนในวรรณกรรมจึงไม่ใช่ภาพแทนของความเป็นจริงในอุดมคติ
หากแต่เป็นภาพแทนจากมุมมองของผู้เขียน ผู้แต่งหรือผู้สร้างโดยเฉพาะ ซึ่งมักมีความเกี่ยวพันกับกรอบ
วาทกรรม”
นิรินทร์ เภตราไชยอนันต์ (2550) กล่าวถึงภาพแทนว่า “การสร้างภาพแทนตัวเกิด
ขน้ึ กบั ทกุ ตวั ละคร ทง้ั ตัวละครหลัก และตวั ประกอบตา่ งๆ เชน่ ภาพของนางรา้ ย ทม่ี นี สิ ัยดุร้าย เอาแตใ่ จตัวเอง
แต่งตัวฉูดฉาด ต้องการได้พระเอกไปครอบครอง ต้องเกลียดนางเอก และต้องชนะนางเอกในช่วงแรกของเรื่อง
ดงั นั้น เม่อื เราจะเหน็ ภาพแบบฉบับ (typical) ตามท่ีกล่าวมาแลว้ ต่อมาเมื่อเราวิเคราะห์ดว้ ยแนวความคดิ ของ
ฟูโก้ต์เราจะพบความคิดเรื่องอํานาจแฝงอยู่ เช่นในตอนท้าย ๆ ของทุกเรื่อง นางร้ายของแต่ละเรื่องจะต้องถกู
ลงโทษ ท้ังนี้เพราะละครนน้ั สรา้ งภาพตวั แทนว่าผู้หญิงทแ่ี ต่งตัวแบบน้ี และพดู จาแบบนคี้ อื ตัวร้าย เพราะภาพ
ตัวแทนของนางเอกจะสุภาพพูดจาอ่อนหวานเป็นมิตรกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ แม้กระทั่ง ให้อภัยตัวร้าย
ซึ่งละครต้องการสั่งสอนคนดูให้เห็นคล้อยตามไปกับอํานาจของกรอบศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในสังคม
ตอ้ งทําตาม”
ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณและ ธนพร หมูคำ (2554) ได้กล่าวสรุปเกี่ยวกับภาพแทนไว้ว่า
“ภาพจำลองของทุกสรรพสิ่งที่ถูกถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารโดยมีภาษาเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอด
ภาษาที่ถ่ายทอดออกไปนั้นจะเป็นที่เข้าใจหรือไม่เข้าใจขึ้นอยู่กับผู้รับสารว่ามีประสบการณ์ร่วมกับผู้ส่งสาร
มากเพียงใดทั้งนี้ภาพแทนไม่ใช่ภาพสะท้อนสังคมเพราะภาพแทนเป็นเพียงการเลือกภาพบางอยา่ งมานาเสนอ
เท่านน้ั ”
สจ๊วต ฮอลล์ (ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณและ ธนพร หมูคำ, 2554 ; อ้างอิงจากสจ๊วต
ฮอลล์) ได้กล่าวถึงภาพแทนไว้ว่า “การนำเสนอภาพแทนอาศยั การเชือ่ มโยงปัจจัย 2 ประการเขา้ ดว้ ยกับปัจจัย
2 ประการท่ีวา่ น้นั คอื ภาพในใจและภาษาภาพในใจคอื ความรคู้ วามเขา้ ใจท่เี รามตี อ่ สิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ
บุคคลหรือเหตุการณ์โดยความรู้ความเข้าใจที่เรามตี ่อสิ่งต่าง ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริงทั้งที่เป็นรูปธรรมและ
นามธรรม สจว๊ ต ฮอลล์ เรียกวา่ แผนท่คี วามคิดซ่งึ จะทำใหเ้ ราสามารถสอื่ ความหมายทมี่ ตี ่อสง่ิ ต่าง ๆ ไปยังผู้อ่ืน
ได้แต่การที่จะสื่อสารให้เข้าใจตรงกันนั้นทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารจะต้องมีประสบการณ์ร่วมกันจึงจะทำให้
การตคี วามหมายไปในทิศทางเดยี วกัน”
ภาษาเปน็ ปจั จัยสำคญั รองลงมาจากภาพในใจกล่าวคอื เมอื่ เรามคี วามร้คู วามเขา้ ใจตอ่
สิ่งตา่ ง ๆ ท้ังที่เปน็ รปู ธรรมหรอื นามธรรมแล้วความร้แู ละความเข้าใจเหลา่ นั้นก็จะถกู ถา่ ยทอดออกมาเปน็ ภาษา
เป็นถ้อยคาหรอื เสยี งพดู และยงั เป็นสัญลกั ษณ์ตา่ ง ๆ ได้อีกมากมาย
20
ดังนั้น ภาพแทน หมายถึง การนำเสนอภาพจำลองสิ่งที่ถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยัง
ผู้รับสารโดยมีภาษาเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอด การสื่อความหมายจะสื่อได้ดีขึ้นหากผู้ส่งสารและผู้รับสาร
จะต้องมีประสบการณ์ร่วมกันจึงจะทำให้การตีความหมายไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งภาพแทนไม่ใช่
ภาพสะทอ้ นสงั คมเพราะภาพแทนเปน็ เพยี งการนำเสนอภาพบางอยา่ งมานำเสนอเท่านั้น
2.2 งานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั ภาพแทน
กนกกาญจน์ วรสีหะ (2555) ได้ศึกษาภาพแทน “ผู้ดี ผู้ร้าย” จากข่าวการชุมนุม
ทางการเมืองในหนังสือพิมพ์ไทยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาที่ใช้ในการนำเสนอข่ าวการ
ชุมนุมทางการเมืองและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับการนำเสนอภาพแทน “ผู้ดีผู้ร้าย” ข้อมูลที่ใช้
ในการศึกษารวบรวมจากการรายงานข่าวเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย
ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวันหนังสือพิมพ์แนวหน้า และหนังสือพิมพ์
สยามรัฐ ระหวา่ งวันที่ 1 เมษายน 2552 ถงึ 31 พฤษภาคม 2553
ผลการศึกษาพบว่าหนังสือพิมพ์ใช้กลวิธีทางภาษาที่สำคัญ 5 กลวิธีได้แก่
การเลือกใช้ถ้อยคำการใช้อุปลักษณ์ การใช้รูปประโยค การอ้างคำกล่าวและการใช้มูลบท กลวิธีทางภาษา
ทำเให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างกลวิธีทางภาษากับการนำเสนอภาพแทน“ผู้ดี ผู้ร้าย” ให้กับผู้ชุมนุมและ
เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นการเสนอภาพ “ผู้ดี” ของผู้ชุมนุมว่าผู้ชุมนุมกระทำเพื่อส่วนรวมและปกป้องสิทธิประโยชน์
ของประชาชนทุกคน และผู้ชุมนุมคือผู้ที่เชิดชูประชาธิปไตย ในทางตรงกันข้ามการเสนอภาพ “ผู้ร้าย”
ว่าผู้ชุมนุมคือผู้ก่อความวุ่นวายผู้ชุมนุมมีพฤติกรรมก้าวร้าว ในขณะที่การเสนอภาพเจ้าหน้าที่รัฐมีภาพเป็นผู้ดี
ท่มี ีความเขม้ งวดในการปฏิบัติหน้าท่ีและการยึดหลกั สันติวธิ ีในการแก้ ไขปญั หา ภาพผ้รู ้ายของเจ้าหน้าท่ีรัฐคือ
ผู้ ที่ใช้ อำนาจในทางมชิ อบ และใช้กำลงั ทำร้ายผู้ชุมนมุ
นริศรา วัฒนชัยศรีสกุล และปนันดา เลอเลิศยุติธรรม (2560) ได้ศึกษาภาพแทน
“การยอมรับการรักเพศเดียวกัน” ของวัยรุ่นจากรายการคลับฟรายเดย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาพแทน
“การยอมรับการรักเพศเดียวกัน” ของวัยรุ่นในสังคมไทยจากรายการคลับฟรายเดย์ตามแนววาทกรรม
วิเคราะห์เชงิ วิพากษ์ โดยวิเคราะห์จากกลวธิ ที างภาษาทีว่ ยั ร่นุ ใชใ้ นการถ่ายทอดเรื่องความรกั ขอ้ มลู ทใี่ ช้ในการ
วิเคราะห์จะมาจากรายการคลบั ฟรายเดย์
ผลการศึกษาพบว่า ภาพแทน “การยอมรับการรักเพศเดยี วกัน” เป็นภาพแทนหน่ึง
ทส่ี ะทอ้ นเรอ่ื งราวความรักของวยั รุ่น ซึง่ กลวิธีทางภาษามีความสมั พันธ์กบั การนำเสนอภาพแทนกล่าวคอื วัยรุ่น
ใช้กลวธิ ีทางภาษา ได้แก่ การใช้ชุดคำกริยาต่าง ๆ การใชว้ ัจนกรรม และการใชม้ ูลบท สะท้อนให้เห็นว่า วัยรุ่น
มองว่าการรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติและไม่ได้เป็นปัญหาสังคมซึ่งในปัจจุบันข้อมูลข่าวสารเข้าถึงง่ายขึ้น
โดยเฉพาะอิทธพิ ลของสื่อตา่ ง ๆ เช่น การแสดงบทบาทเพศที่สามจากละคร ภาพยนตร์ และข่าวต่าง ๆ ทท่ี ำให้
21
กลุ่มคนรักเพศเดียวกันรู้สึกมีตัวตนมากขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า บุคคลกลุ่มนี้มีความต้องการที่จะดำเนินชีวิต
ตามท่ตี นต้องการมากกวา่ จะอยภู่ ายใต้กรอบที่สงั คมกำหนด
ปิยะธิดา เกตุชาติ และวรรณพร พงษ์เพ็ง (2560) ได้ศึกษาภาพแทนผู้หญิง
ในวรรณกรรมรักโรแมนติกสำหรับผู้ใหญ่ของสำนักพิมพ์ไลต์ ออฟ เลิฟมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภาพแทน
ของผู้หญิงในวรรณกรรมรักโรแมนติกสำหรับผู้ใหญ่ ที่ผลิตโดยสำนักพิมพ์ไลต์ ออฟ เลิฟ จำนวน 10 เรื่อง
โดยใชแ้ นวคิดเร่ืองภาพแทน ศาสตรแ์ ห่งเรือ่ งเลา่ และสตรนี ิยม
ผลการศึกษาพบว่า ตัวละครเอกฝ่ายหญิงเป็นภาพแทนของผู้หญิงที่มีสถานะ
เป็นวัตถุทางเพศ ผู้ให้กำเนิดทายาทและภรรยาของตัวละครเอกฝ่ายชาย บทบาทดังกล่าวนำเสนอ
ผ่านการผสมผสานโครงเรื่องแบบรักพาฝันเข้ากับฉากเชิงสังวาส การนำเสนอลักษณะตัวละครแบบอุดมคติ
ด้านรูปลักษณ์ สถานภาพทางสังคม และค่านิยม การตั้งชื่อเรื่องและชื่อตัวละครฝ่ายชายที่กำหนดบทบาท
ตัวละครฝ่ายหญิง การตั้งชื่อตัวละครฝ่ายหญิงในเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนค่านิยมแบบจารีต และการเร้า
จินตนาการผู้อ่านด้วยองค์ประกอบของเรื่องที่ขัดแย้งกันได้แก่ ความแตกต่างด้านเช้ือชาติ อุปนิสัย และ
สถานภาพทางสังคม ตลอดจนการนำเสนอรูปแบบความรักแบบสุขนาฏกรรมผสมผสานกับพฤติกรรม
การล่วงละเมิดทางเพศของตัวละคร การนำเสนอภาพแทนดังกล่าว สะท้อนวิธีคิดแบบปิตาธิปไตย ที่ส่งผลต่อ
การสรา้ งสรรค์วรรณกรรมของนักประพันธ์หญิงของไทย
ภทั รศศิร์ ช้างเจมิ (2560) ได้ศกึ ษาภาพตวั แทนผูห้ ญงิ ในการต์ นู Disney Princess
โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาภาพตัวแทนของผู้หญิงในการ์ตูน Disney Princess ใน 3 เรื่องล่าสุดซึ่งได้แก่
ราพันเซลเจ้าหญิงผมยาวกับโจรซ่าจอมแสบ (Tangled [2010]), นักรบสาวหัวใจมหากาฬ (Brave [2012])
ผจญภัยแดนคําสาปราชินีหิมะ (Frozen [2013]) เพื่อเปรียบเทียบกับการ์ตูน Disney Princess ที่ผ่านมา
รวมถึงศึกษาการถอดรหัสภาพตัวแทนการ์ตูน Disney Princess ของกลุ่มผู้รับสารเด็กและวัยรุ่นผู้หญิง
โดยใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยด้วยการวิเคราะห์ตัวบทเพื่อศึกษาถึงภาพตัวแทน
ผู้หญิงในการ์ตูน Disney Princess และการสัมภาษณ์วิเคราะห์ผู้รับสาร สําหรับทฤษฎีที่ผู้วิจัยนํามาใช้เป็น
แนวทางในการวิเคราะห์ประกอบไปด้วย ทฤษฎีสตรีนิยม ทฤษฎีการประกอบสร้างความจริงทางสังคม
แนวคดิ การสรา้ งภาพแทน ทฤษฎกี ารเล่าเรือ่ ง แนวคดิ เร่อื งตวั ละคร และแนวคิดเรือ่ งผู้รับสาร
ผลการวิจัยพบว่า ตัวละครผู้หญิงในการ์ตูน Disney Princess ตั้งแต่อดีตจนถึง
ปัจจุบันมีการถูกประกอบสร้างให้ตรงกับยุคสมัยในสตรีนิยมในแต่ละยุค ซึ่งในยุคแรกตัวละครผู้หญิงประกอบ
สร้างภาพตวั แทน ทีผ่ ้หู ญงิ จะต้องอ่อนโยน เฝา้ รอการชว่ ยเหลือจากเจ้าชาย สวย แต่ไม่เขม้ แข็ง ไมส่ ามารถดแู ล
ตนเองได้แต่พอมาในยุคต่อมาการ์ตูน Disney Princess ได้ประกอบสร้างตัวแทนผู้หญิงแบบใหม่ตามช่วงท่ี
สตรีนิยมได้มีการขบั เคลื่อนทางสังคมใหผ้ ู้หญิงมีความกล้าท่ีจะเสนอความคิดเห็นเข้มแข็ง ดูแลตัวเองไดร้ วมถงึ
ภาพของผูห้ ญิงท่ีไมต่ ้องรอคอยความช่วยเหลอื จากเจา้ ชาย รวมทัง้ ประกอบสรา้ งภาพผูห้ ญิงทป่ี กครองประเทศ
22
ได้เพียงลำพัง ซึ่งเป็นไปตามกระแสของสตรีนิยมที่ขับเคลื่อนใหผ้ ู้หญิงมีภาพตัวแทนที่มีความหลากหลาย กล้า
แสดงออก ค้นหาความเสมอภาค
ธันย์ชนก กันทะวงศ์ (2561) ได้ศึกษาภาพแทนเพศทางเลือกในภาพยนตร์ไทย
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาพแทนเพศทางเลือกในภาพยนตร์ไทย โดยศึกษาจากภาพยนตร์จำนวน 5 เรื่อง
ไดแ้ ก่ เรอื่ งเพลงสุดท้าย เร่ืองรักแหง่ สยาม เรื่องหอแต๋วแตก เร่ืองแต๋วเตะตีนระเบดิ และเรื่องไม่ได้ขอให้มารัก
โดยศึกษาจากตัวละครเพศทางเลือกและเนื้อหาของเรื่องที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงวิเคราะห์หาภาพแทนของเพศ
ทางเลือกในตัวละครแต่ละเรอ่ื งวา่ ได้นำเสนอออกมาในรปู แบบใด
ผลการศึกษาพบว่า มีการให้ภาพของเพศทางเลือกไว้หลายรูปแบบคือ การให้ภาพ
เพศทางเลอื กเป็นตัวตลกท้งั การแต่งกาย คำพูด การให้ภาพเพศทางเลือกที่ไม่สมหวงั ในความรกั จากครอบครัว
และอิทธิพลของชายหญิง การให้ภาพเพศทางเลือกที่ถูกรังเกียจจากคนในสังคมหรือครอบครัว การให้ภาพ
เพศทางเลือกในสถานภาพและบทบาทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพครู นักเรียน พระสงฆ์ และการให้ภาพ
เพศทางเลือกกับวัยโดยแบ่งเป็นหลากหลายช่วงวัยที่มีตั้งแต่วัยนักเรียนจนถึงวัยสูงอายุ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้
เห็นถึงความต้องการแสดงตัวตนของเพศทางเลือก โดยส่วนใหญ่เพศทางเลือกมักถูกให้ภาพในลักษณะของ
ความไม่สมบรู ณ์แบบในชีวิต
ธนพจน์ กะเตื้องงาน และจุฬารัตน์ เสงี่ยม (2563) ได้ศึกษาภาพแทนเพศที่สาม
ที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง ใบไม้ที่ปลิดปลิว ของ ทมยันตี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภาพแทนเพศที่สาม
ในนวนิยายเร่ือง ใบไมท้ ปี่ ลดิ ปลิว ซงึ่ รวบรวมบททส่ี ื่อถึงภาพแทนของเพศท่สี ามท่ปี รากฏในนวนยิ ายเรอ่ื ง ใบไม้
ที่ปลิดปลิวของทมยันดีฉบับพิมพ์รวมเล่มครั้งที่ 7 สำนักพิมพ์บำรุงสาสน์ ปีที่พิมพ์ 2562 จำนวน 472 หน้า
และนำข้อมูลท้ังหมดมาวเิ คราะหภ์ าพแทนเพศที่สามตามประเด็นท่กี ำหนดไว้
ผลการศึกษาพบภาพแทนของเพศทสี่ ามในนวนยิ ายเร่อื ง ใบไม้ที่ปลิดปลวิ ท้งั หมด 2
ประเภท ได้แก่ (1) ภาพแทนที่เกี่ยวกับตัวตนซองเพศที่สาม เป็นการขบคิดของกลุ่มคนบางกลุ่มในสงั คม หรือ
เป็นเจตจำนงค์ของตัวนักเขียนเอง ที่มีต่อตัวดนของเพศที่สาม พบทั้งหมด 6 ลักษณะ ได้แก่ ภาพแทน
ผู้ที่มีความอาฆาตมาดร้าย ภาพแทนผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดี ภาพแทนผู้ที่ชื่นชอบศิลปะ และความงาม ภาพแทน
ผู้ใส่ใจดูแลสุขภาพ และรูปร่างของตนเอง ภาพแทนผู้ที่เย่อหยิ่ง และภาพแทนผู้ที่มีทักษะความเป็นแม่บ้าน
แม่เรือน และ 2) ภาพแทนที่เกี่ยวกับทัศนคติของสังคมต่อเพศที่สาม เป็นภาพแทนที่แสดงถึงแนวความคิด
ความรู้สึก ของคนบางกลุ่มในสังคม ซึ่งสะท้อนจากตัวละครแวดล้อมในนวนิยาย เช่น กลุ่มแพทย์ ครอบครัว
เป็นต้น ที่มีต่อเพศที่สามพบทั้งหมด 3 ลักษณะ ได้แก่ ภาพแทนผู้เป็นชิ้นงานศิลปะ ภาพแทนผู้ที่ขัดขืนต่อ
ธรรมชาติ และภาพแทนผูเ้ ป็นเปน็ สินค้าโฆษณา ทั้งนี้ภาพแทนทั้ง 2 ประเภทแสดงให้เห็นถงึ การแสดงถงึ พื้นที่
ทางสังคมของเพศทสี่ าม ซ่ึงในสังคมบางพน้ื ทย่ี ังคงยดึ ตดิ อยู่กับความเปน็ หญิงและชาย ทำให้ปฏิเสธตัวตนของ
เพศทีส่ าม หรือในอีกสังคมหนง่ึ ท่ีมกั จะมองกล่มุ เพศท่สี ามเป็นตัวตลกของสงั คม
23
ภูวเดช ดวงมณี ปนันดา เลอเลิศ ยุติธรรม นัทธนัย ประสานนาม (2564) ได้ศึกษา
ภาพแทนของชายรักชายจากบทสนทนาของตัวละคร บทบรรยายของผู้เขียน รวมถึงบริบทแวดล้อมต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับตวั ละครชายรกั ชายในนวนิยายยาโออเิ รื่อง “รักนี้บงั เอิญคือคุณ” ซึ่งงานวจิ ัยเรื่องนี้เป็นงานวิจัย
เชิงคุณภาพที่มีจุดประสงค์หลักในการแสดงให้เห็นถึงภาพแทนชายรักชาย ในนวนิยายยาโออิ เรื่อง
“รกั น้ีบงั เอญิ คอื คณุ ”
ผลการวิจัยปรากฏภาพแทนชายรักชายที่สำคญั 4 ภาพแทน ได้แก่ (1) ชายรกั ชาย
เป็นสิ่งผิดปกติที่สังคมไทยยังไม่สามารถยอมรับได้ (2) ชายรักชายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ต้องปิดบัง
เป็นความลับ (3) ชายรักชายเป็นสิ่งที่ทำ ให้ครอบครัวผิดหวังและต้องอับอาย (4) ชายรักชายมักไม่ได้รับ
ความรักทีจ่ ริงใจหรือต้องใช้เงินเพื่อแลกกับความรัก ภาพแทนดังกล่าวสะท้อนตอบโต้กับวาทกรรมชายรักชาย
ที่ปรากฏอยู่ก่อนแล้วในสังคมไทย ประเด็นสำคัญที่ค้นพบคือ ผู้แต่งมักนำ เสนอภาพแทนชายรักชาย
ตามความเชื่อเดิมของสงั คมไทยเพอ่ื สร้างความขัดแย้งอันจะนำ มาซ่ึงการปะทะกนั ของวาทกรรม โดยการสรา้ ง
ตัวละครที่มีอคติกับชายรักชายให้กลายเป็นตัวละครร้ายและต้องพบกับจุดจบที่ไม่ดีเพื่อเป็นการลบล้างหรือ
ทำลายความเชือ่ เดิมของสังคม ทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อใหม่ใหค้ นที่ได้อ่านนวนิยายยาโออิเกดิ ความเข้าใจ
และมองเห็นชายรกั ชายในมมุ ทีไ่ ม่เคยเห็นมากอ่ น
3. เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับละครเร่ืองคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear
3.1 เอกสารทเ่ี ก่ียวข้องกับละครเร่อื งคุณหมปี าฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear
คุณหมีปาฎิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear เป็นละครโทรทัศน์ไทยแนว
โรแมนติก ดราม่า แฟนตาซี ออกอากาศทางช่อง 3 เวลา 20.25 – 22.25 น. ทุกวันศุกร์ - อาทิตย์
เริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2565 ถึง 1 พฤษภาคม พ.ศ.2565 ทั้งหมดจำนวน 16 ตอน
ซึ่งละครเรื่องนี้เป็นละครวายเรื่องแรกที่ได้ฉายในช่วงเวลาไพรม์ไทม์หรือหลังข่าวสองทุ่มของช่อง 3
ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยออกอากาศซีรีส์วายในช่วงดึกและประสบความสำเร็จอย่างดีกับเรื่อง นับสิบจะจูบ
ที่ไปโด่งดังในหลายประเทศในเอเชียทั้ง ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวันแต่สำหรับ
คุณหมีปาฏิหาริย์นั้นต่างออกไป เพราะการนำมาออกอากาศในช่วงเวลาที่ผู้ชมมีความหลากหลายทั้งเพศและ
อายุ ทำให้มีกระแสวพิ ากวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมตั้งแต่ปล่อยตัวอย่างละครออกมาเชน่ เป็นตัวอย่างท่ไี ม่ดี
ของสงั คม ใหน้ ำไปออกอากาศตอนดึกแบบเดมิ บางความคิดเห็นถงึ ขน้ั จะเลกิ ดูละครชอ่ ง 3 แตใ่ นขณะเดียวกัน
ก็มีกระแสตีกลับว่านี่ปี 2565 ควรยอมรับความหลากหลายกันได้แล้ว และแม้ว่าในสัปดาห์แรกของการฉาย
ละครผลของเรตติงจะออกมาไม่ดี ดังที่ข้อมูลจาก TV Digital Watch เปิดเผยเรตติ้งของคุณหมีปาฏิหาริย์
ตอนแรกเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 0.851 เฉพาะในกรุงเทพฯ 1.271 ถือว่าไม่สูงนักสำหรับละครทั่วไป
แต่ #คุณหมีep1 ก็ขึ้นอันดับหนึ่งเทรนด์ทวิตเตอร์ในช่วงเวลาที่ออกอากาศ เพราะละครเรื่องนี้นอกจาก
24
จะออกอากาศสดทางทีวีแลว้ ผชู้ มสามารถชมผา่ นช่องทางสตรีมมงิ Netflix ซงึ่ จะออกอากาศกวา่ 25 ประเทศ
ในแถบเอเชยี
เค้าโครงละครเรื่องนี้มาจากนวนิยายที่มีชื่อเรื่องเดียวกันซึ่งถูกตีพิมพ์ในปีพ.ศ.2562
ของ ปราบต์ ว่าด้วยเรื่องราวของ เต้าหู้ ตุ๊กตาหมีที่กลายร่างเป็นคนอาศัยอยู่ในบ้านของพีรณัฐที่มีความหลัง
ฝังใจกบั เรื่องครอบครัวไมย่ อมรับทพ่ี ีรณฐั ชอบผู้ชาย แตด่ ว้ ยความผกู พันทำใหต้ กุ๊ ตาหมีในร่างคนค่อย ๆ พฒั นา
ความสัมพันธ์จนกลายเป็นคนรัก และนำไปสู่การค้นหาความจริงว่าเพราะเหตุใดเต้าหู้จึงกลายเป็นมนุษย์
รวมถึงค่อย ๆ คลี่คลายปมในใจของพีรณัฐ เปิดเผยความลับของครอบครัวที่ไม่มีใครคาดคิด แต่ลำดับ
การเล่าเรื่องในละครค่อนข้างต่างกับในนิยายคือแทนที่จะเริ่มเล่าตั้งแต่บทแรก ในละครกลับเริ่มเล่าจาก
เหตุการณ์หลักในช่วงบทต้น ๆ คือ เริ่มเล่าจากเหตุการณ์ที่เต้าหู้ ตุ๊กตาหมีก็กลายเป็นคน ในเรื่องนี้นอกจาก
เต้าห้ทู ม่ี ชี วี ติ แล้ว ยงั มขี ้าวของเครอ่ื งใช้บางอย่างสามารถพดู คุยสือ่ สารกบั เต้าห้ตู ๊กุ ตาหมตี ัวน้ีได้ดว้ ย
ละครเรื่องนใ้ี ชค้ วามแฟนตาซถี ่ายทอดเร่ืองราวความสมั พนั ธแ์ บบชายรักชายท่ีแฝงไว้
ทั้งอำนาจการกดขี่ทั้งในระดับครอบครัว โรงเรียน ไปจนถึงระดับประเทศ ที่สอดแทรกอยู่ในตัวบท
ได้แสดงออกมาผ่านการกระทำและบทสนทนาของตัวละคร นำเสนอการยอมรับตัวตนของความหลากหลาย
ทางเพศ ซี่งเนื้อเรื่องเสนอไว้ ไม่ว่าจะเป็นการที่พีรณัฐพูดกับครูในครั้งที่กลับมาเจอกันที่โรงเรียน หรือ
การยอมรับในครอบครัวของเกณฑ์สิทธิ์ ที่ครอบครัวนั้นเข้าใจในสิ่งที่ลูกเป็นและคอยสนับสนุนอยู่เสมอ
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ใช่เป็นการยัดเยียดบทเข้าไปเพื่อทำให้คนดูงง แต่เป็นการปูเนื้อเรื่องท่ี ทำให้
คนในสังคมยอมรับและเข้าใจตวั ตนของความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันในสังคมไทยยังมีคนไม่
เขา้ ใจความหลากหลายทางเพศอกี เปน็ จำนวนมาก
ละครเรื่องนี้ถูกทำมาให้เป็นละครวายที่คนปกติดูได้ไม่ใช่เพียงแค่คนชอบดูวาย
แล้วก็ได้ประโยชน์จากการดูละครวายเรื่องน้ี ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอเรื่องราวครอบครัวในสังคมไทยและ
นำเสนอเร่ืองราวหลายด้าน เช่น เพื่อน สังคม ดังที่บทวิเคราะหค์ วามหมายบนฉากหลังบนเว็บไซต์ไทยพับลกิ า้
ซึ่งเขียนโดย 1721955 ว่า “ส่วนตัวผู้เขียนต้องสารภาพว่าห่างหายจากการดูละครทีวีมานานมาก
เพ่งิ ไดม้ ีโอกาสกลับมาดไู ลฟส์ ดอย่างตอ่ เนือ่ งจรงิ จังก็จากเรอื่ งนี้ ดว้ ยเหตคุ วามเบอื่ หนา่ ยทลี่ ะครไทยยังคงพดู ถึง
ประเด็นซ้ำซากเดิมๆ หลายๆ เรื่องก็ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกมาตั้งแต่ 60 ปีก่อนยังมีเลย แม้จะบอกว่าปรับให้เข้ายุค
เข้าสมัย แต่มันไมเ่ คยร่วมสมัยหรือมีประเดน็ ประเทืองปัญญาใดใด เมื่อเทียบกับคุณหมีปาฏิหาริย์ ที่เล่าเรือ่ ง
ปมปัญหาในครอบครัวที่พบเห็นได้ในสังคมปัจจุบัน ก็ได้แต่หวังใจว่าช่องสามจะผลิตละครเนื้อหาดีดีเช่นนี้
ออกมาอีก แล้วก็ต้องสารภาพอย่างไม่อายว่าเป็นละครที่สะเทือนใจเป็นอย่างมาก เหมือนสะท้อนรากปัญหา
ในสังคมไทย มาตีแผ่ ทำเอาผู้เขียนน้ำตาหล่นร้องไห้อย่างไม่เคยเกิดอาการแบบนี้มาช้านานแล้ว และ
หนง่ึ ในตัวละครท่ีแสดงไดส้ มบทบาทดีเยยี่ ม คือบทแม่ มทนา ท่แี สดงโดย อุ๋ม-อาภาศิริ ทแี่ มร้ ูปลักษณ์ภายนอก
25
จะไม่เหมือนอย่างที่นิยายบรรยายไว้ แต่การแสดงของเธอกุมหัวใจคนดูได้อย่างน่าทึ่ง พอดิบพอดี งดงาม และ
สะเทอื นใจอย่างยิ่ง”
3.2 งานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วข้องกบั ชายรักชาย
ปุรินทร์ นาคสิงห์ และธาตรี ใต้ฟ้าพูล (2556) ได้ศึกษาการประกอบสร้างตัวตนเกย์
ในภาพยนตรไ์ ทย ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประกอบสร้างอัตลกั ษณ์
เกย์ในภาพยนตร์และกลวิธีในการประกอบสร้างความเป็นจริงให้สมจริง ผู้วิจัยวิเคราะห์ตัวบทภาพยนตร์เกย์
8 เรื่องที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ระหว่าง พ.ศ. 2547–2552 ภายใต้กรอบทฤษฎีการประกอบสร้าง
ความเป็นจรงิ ทางสงั คม
ผลการศึกษาพบว่า ในภาพรวมตัวละครเกย์ถูกสร้างให้มีลักษณะที่หลากหลายทั้ง
สอดคล้องและแตกต่างจากความเป็นจริงทางสังคม โดยอทิ ธิพลของความเปน็ จริงทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปมี
ส่วนสำคญั ในการกำหนดการประกอบสรา้ งนน้ั นอกจากนภ้ี าพยนตร์ในฐานะสถาบนั ทางสังคมกม็ ีแนวโน้มท่ีจะ
ผลิตและผลติ ซ้ำอตั ลกั ษณ์เกยใ์ หส้ อดรบั กับบรรทดั ฐานและความคาดหวังของสังคม สำหรบั การประกอบสร้าง
ความเป็นจริงให้สมจริง ภาพยนตร์ที่ศึกษาใช้กลวิธีดังนี้ (1) การผสมกันระหว่างความจริงกับจินตนาการ
(2) การทำใหด้ เู ป็นเรอื่ งปกติ (3) การใหค้ ุณใหโ้ ทษ (4) การสร้างขอ้ ยกเว้น และ (5) การใชเ้ สียงประกอบ
พัฒนพล วงษ์ม่วง และมยุรี ศรีกุลวงศ์ (2559) ได้ศึกษาการแสดงรปู แบบอัตลักษณ์
ของเกย์ในละครโทรทัศน์ไทยตั้งแต่ยุคเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน โดยผู้วิจัยศึกษาการพัฒนาของละครโทรทัศน์ไทย
และแบ่งยุคของการพัฒนาเป็น 3 ยุคคือ ยุคเริ่มต้น (พ.ศ. 2499 – พ.ศ. 2530) ยุคธุรกิจละครเต็มรูปแบบ
(พ.ศ. 2530 – พ.ศ. 2540) และ ยุคใหม่ของละครโทรทัศน์ไทย (พ.ศ.2540 – พ.ศ. 2558) และศึกษา
ความเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อเกย์และการแสดงรูปแบบอัตลักษณ์ของเกย์ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในละคร
โทรทศั น์ไทยในยคุ ต่างๆ
ผลการศึกษาพบว่าละครโทรทัศน์ไทยพยายามสอดแทรกอัตลักษณ์ต่างๆ ของเกย์
เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคม ในช่วงยุคใหม่ของละครโทรทัศน์ไทย แม้วาทกรรมส่วนใหญ่ไม่
ยอมรับเกย์แต่ด้วยความรู้ จากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์อธิบายว่าเกย์เป็นสิ่งที่ปกติทำให้เกิดการ
เคลื่อนไหวเพื่อแสดงตัวตนเกี่ยวกับเกย์ในสังคมซึ่งส่งผลให้ตัวละครเกย์ได้รับความนิยมมากขึ้น แต่รูปแบบ
ของการสร้างตัวละครเกย์ที่นำเสนอยังเกิดจากความคิดที่ล้าสมัย ซึ่งอาจเป็นผลจากกระแสวาทกรรมด้านลบ
ของเกย์ในยุค พ.ศ.2530 – พ.ศ. 2540 บทความนี้มีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการศึกษารูปแบบของตัวละครเกย์
ในโทรทัศน์ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของละครโทรทัศน์ไทยถึงปัจจุบัน การศึกษาในอนาคตสามารถศึกษารูปแบบ
การนำเสนอตัวละครเกย์ในละครโทรทัศน์ไทยที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามทัศนะคติที่เปิดกว้างขึ้นของสังคม
ท่ีมตี อ่ เกย์ในอนาคต
26
นุชเนตร กาฬสมุทร์ และพิทักษ์ ศิริวงศ์ (2560) ได้ศึกษากระบวนการสร้าง
อัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มชายรักชายกรณีศึกษา นักศึกษาสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว
คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ยั เป็นการวจิ ัยเชิงคุณภาพ ดว้ ยวิธีวทิ ยาปรากฏการณ์
วิทยา ผู้ให้ข้อมูลหลักได้แก่นกั ศึกษาสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยวจำนวน 10 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดย
การสมั ภาษณเ์ ชิงลึก วเิ คราะหข์ อ้ มูลดว้ ยวธิ กี ารพรรณนาวิเคราะห์
ผลการวิจัยพบว่ากระบวนการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มชายรักชาย มี 3
ขั้นตอน ได้แก่ (1) การรับรู้สาเหตุ (2) การยอมรับตนเอง และ (3) การแสดงออกต่อสังคม ข้อเสนอแนะ
จากการศึกษาครั้งนี้คือ ควรสร้างความเข้าใจและหาวิธีให้กลุ่มชายรักชายอยู่ร่วมกับคนกลุ่มอื่นในสังคมได้
อย๋างมคี วามสขุ
ธนรัชต์ สุอังคะ (2561) ได้ศึกษาศึกษาโครงสร้างและองค์ประกอบการเล่าเรื่อง
ในละครโทรทัศน์ชายรกั ชายโดยใชว้ ิธีการวิเคราะห์เนื้อหาในละครโทรทัศน์ชายรกั ชายในปี พ.ศ.2559 จำนวน
8 เรื่องและความพึงพอใจของผู้ชมที่มีต่อละครโทรทัศน์ชายรักชายโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ชม
ท่มี ีประสบการณก์ ารรับชมละครโทรทศั นช์ ายรักชายจำนวนท้งั สน้ิ 10 คน
ผลการวิจัยพบว่า โครงสร้างการเล่าเรื่องในละครโทรทัศน์ชายรักชายประกอบ
ไปด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) เริ่มเรื่องด้วยการแนะนำตัวละคร (2) ตัวละครมีความขัดแย้งภายนอก
(3) จุดสุดยอดของปัญหาของตัวละครคือการผูกเรื่อง (4) มีการคลี่คลายปัญหาแบบชัดเจน และ (5) จบเรื่อง
แบบผิดหวังส่วนองค์ประกอบการเล่าเรื่องพบว่า (1) ใช้แก่นความคิดเกี่ยวกับความรัก (2) ตัวละครเป็นแบบ
หลายมิติ (3) ฉากเกิดที่สถานศึกษา มีการนำเสนอฉากแสดงความรักแบบเปิดเผยสู่สาธารณะและ
มีการนำเสนอปัญหาครอบครัว และ (4) ใช้ภาษาที่มีลักษณะเฉพาะกลุ่มชายรักชาย ผลการวิจัยด้าน
ความพึงพอใจพบว่า ผู้ชมมีความพึงพอใจในละครเรื่อง Sotus the series พี่ว้าก ตัวร้ายกับนายปีหนึ่งมาก
ที่สุด โดยพึงพอใจด้านฉากตัวละครและโครงเรื่อง ตามลำดับ โดยลักษณะความพึงพอใจมีความสอดคล้องกบั
การเล่าเรือ่ งในละครโทรทศั น์ “ชายรกั ชาย”
นุชณาภรณ์ สมญาติ (2561) ได้ศึกษาลักษณะเฉพาะและการนำเสนอความรักของ
ชายรักชายในซีรีส์วาย โดยศึกษาจากซีรีส์วายจำนวน 4 เรื่อง ได้แก่ เรื่อง มิติรักผ่านเลนส์ ตอนรุ้งสีเทา
เรื่อง Sotus The Series พี่ว้ากตัวร้ายกับนายปีหนึ่ง เรื่อง 2Moons The Series เดือนเกี้ยวเดือน
และเรื่อง Together With Me อกหักมารักกับผม โดยศึกษาเพื่อนำมาคิดวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะ
ในการนำเสนอภาพความรกั ของชายรกั ชายผ่านซีรสี ว์ าย
ผลการวิจัยพบว่า ซีรีส์วายนั้นมีลักษณะเฉพาะจำนวน 6 ลักษณะ ได้แก่ ลักษณะ
ที่หนึ่งการขายฝันผ่านคุณสมบัติของตัวละครที่ต้องเป็นผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงหรือจะเป็นการขายฝันผ่าน
เน้ือเรือ่ งทส่ี ว่ นใหญ่มกั มีตอนจบสวยงาม ลกั ษณะทส่ี อง การจำลองความจริง ในซีรีสว์ ายนนั้ มีการจำลองสังคม
27
ที่ยอมรับความรักของชายรักชายและการสร้างสถานการณ์จำลองที่ทำให้ตัวละครเกิดความใกล้ชิดกัน
ลักษณะที่สาม การใช้บทบาทตัวละครหญิงเพื่อให้เกิดความชัดเจนในความสัมพันธ์รูปแบบชายรักชาย
ลักษณะที่สี่ การใช้สัญลักษณ์เพื่อสื่อบทบาททางเพศและอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ลักษณะที่ห้า
การใช้การเขียนแทนคำพูดเพื่อแสดงความรู้สึก และลักษณะที่หก การใช้อวัจนภาษาแทนวัจนภาษา
เพื่อแสดงความรู้สึกของตัวละคร จะเห็นได้ว่าซีรีส์วายในปัจจุบันเลือกนำเสนอตัวละครหลักเป็นชายรักชาย
เพื่อแสดงให้เห็นว่าความรักของชายรักชายนั้นมิใช่ความผิดปกติของจิตใจ ต่างจากสมัยก่อนที่กลุ่มคนชายรัก
ชายจะเป็นเพียงตัวละครประกอบ มีภาพแทนในเชิงลบแต่ซีรีส์วายปัจจุบันได้มีการนำเสนอความรัก
ของชายรกั ชายในลกั ษณะเชงิ บวกมากข้ึน
กรวิชญ์ ไทยฉาย และลักษณา คลายแก้ว (2563) ศึกษาการเล่าเรื่องความหมาย
และแก่นจินตนาการด้านเพศวิถีชายรักชายผา่ นวรรณกรรมออนไลน์ โดยจะศกึ ษาครอบคลุมถึงวิธีการเล่าเรื่อง
เพื่อสื่อความหมายเพศวิถีชายรักชายในวรรณกรรมออนไลน์ลักษณะด้านเพศวิถีของตัวละครชายรักชาย
ที่ปรากฏในวรรณกรรมออนไลน์และแก่นจินตนาการของผู้อ่านวรรณกรรมออนไลน์ประเภทชายรักชาย
โดยใช้ทฤษฎีการเล่าเรื่อง แนวทางการศึกษาเชิงสัญวิทยา แนวคิดการวิเคราะห์แก่นจินตนาการแนวคิด
เรื่องเพศวิถีชายรักชายแนวคิดเรื่องวรรณกรรมออนไลน์และแนวคิดเรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นแนวทาง
ในการวิจัยโดยการศึกษาครั้งนี้ได้ใช้แหล่งข้อมูลประเภทวรรณกรรมออนไลน์เรื่อง “จักรพรรดิวิปลาส”
จากเว็บไซต์ fictionlog.co และทัศนะของผู้อ่านวรรณกรรมออนไลน์เรื่อง “จักรพรรดิวิปลาส” ซึ่งใช้วิธิีการ
เก็บรวบรวมขอ้ มลู ในรปู แบบสนทนากลุม่ โดยนำเสนอผลวิจยั ดว้ ยวธิ ีการพรรณนาวิเคราะห์
ผลวิจัยพบว่า การเล่าเรื่องของวรรณกรรมออนไลน์ประเภทชายรักชาย
มีองค์ประกอบการเล่าเรื่องทั้งหมด 6 องค์ประกอบคือ แก่นเรื่อง ตัวละคร มุมมองการเล่าเรื่อง ความขัดแย้ง
ฉากและโครงเร่ืองแต่วรรณกรรมออนไลน์ยังมีองค์ประกอบเพิม่ เข้ามาคือ ลีลาของผู้แต่งหรือการใช้ภาษา และ
โครงเรื่องของวรรณกรรมเพื่อใช้เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ ความหมายที่บ่งบอกถึงเพศวิถีชายรักชายใน
วรรณกรรมออนไลนพ์ บความหมายที่แสดงออกถึงตวั ตนและรสนยิ มทาง เพศของเพศวิถีชายรกั ชายความหมาย
ที่แสดงออกถึงความรักของเพศวิถีชายรักชายและความหมายผ่านตัวละครที่แสดงออกถึงสังคมรอบข้างของ
เพศวิถีชายรักชายแก่นจินตนาการของผู้อ่านวรรณกรรมออนไลน์ประเภทชายรักชาย พบว่าผู้อ่าน
มีแก่นจินตนาการตัวตนและรสนิยมทางเพศของเพศวิถีชายรักชาย แก่นจินตนาการความรักของเพศวิถี
ชายรกั ชายและแก่นจนิ ตนาการสังคมรอบขางของเพศวถิ ชีิ ายรกั ชาย
28
ปัจจุบันการค้นหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชายรักชาย หรือเพศทางเลือกพบว่ามีงาน
ในประเด็นดงั กลา่ วเพิ่มมากขนึ้ และหลากหลาย จากการศึกษางานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้องในประเด็นชายรักชายข้างต้น
ผลการศกึ ษาสะท้อนให้เห็นพัฒนาการของอิทธิพลของสังคมที่กำหนดบรรทดั ฐาน ให้เปน็ ไปตามความคาดหวัง
ของสังคมในประเด็นการนำเสนอความรักของชายรักชายนั้นเพิ่มมากขึ้น แม้จะจะเห็นความเปิดกว้างบ้าง
ตา่ งจากในอดีตทน่ี ำเสนอชายรักชายในเชิงลบมาเป็นเชิงบวกมากข้ึน แตก่ ็ไมไ่ ด้สอดคล้องกบั ความเป็นจริงของ
สังคมขนาดน้นั ดงั จะเห็นไดว้ า่ ยังมีการออกมาเรยี กร้องของสงั คม การใช้พื้นท่ีสื่อเพ่อื เรียกรอ้ งความเทา่ เทยี ม
29
บทที่ 3
ผลการศึกษา
จากที่ผู้วิจัยได้ศึกษาวัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรบั ที่สะท้อนภาพแทนสังคมชายรักชายในละคร
เรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear โดยมี 2 วัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาวัจนกรรมการ
ยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์The Miracle Of Teddy
Bear และเพื่อวิเคราะห์ภาพแทนการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมี
ปาฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear สามารถจำแนกตามกลุ่มวัจนกรรมตามทฤษฎีของจอห์น อาร์
เซอรล์ (John R. Searle) ทไ่ี ดแ้ บ่งประเภทวจั นกรรมออกเป็น 5 กลมุ่ มาใชใ้ นการวิเคราะห์ซึง่ สามารถจำแนก
ตามกลุ่มวัจนกรรมได้ 4 กลุ่ม ได้แก่ วัจนกรรมบอกกล่าว วัจนกรรมชี้นำ วัจนกรรมผูกมัด และวัจนกรรม
แสดงความรู้สึก จากจำนวนข้อมูลบทสนทนาทั้งหมด 174 บทสนทนา โดยเรียงตามความถี่ที่ปรากฏในบท
สนทนามรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี
1. วัจนกรรมการยอมรับและไม่ยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์
The Miracle Of Teddy Bear
1.1 วัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายในละครเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์
The Miracle Of Teddy Bear เป็นถ้อยคำที่ใช้สื่อความหมายตามเจตนาของผู้พูดเพื่อต้องการให้เกิดผล
อย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ฟัง โดยพิจารณาตัวถ้อยคำที่ผู้พูดใช้ในการสนทนากับคู่สนทนาเป็นหลัก ที่สื่อสารกัน
ในปริบทใดปริบทหนึ่ง โดยในระหว่างการสนทนามีการพูดถึงความสัมพันธ์แบบชายรักชายและใช้ถ้อยคำท่ี
แสดงให้เห็นถึงเจตนาของการยอมรับในความสัมพันธ์แบบชายรักชาย พบวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์
แบบชายรักชาย จำนวน 138 บทสนทนา คิดเป็นร้อยละ 79.31 โดยพบวัจนกรรมบอกกล่าว วัจนกรรมชี้นำ
วัจนกรรมผูกมัด และวัจนกรรมแสดงความรสู้ กึ เรียงตามความถีท่ ่ปี รากฏในบทสนทนามรี ายละเอียดดังตอ่ ไปนี้
1.1.1 วัจนกรรมบอกกล่าว (assertives) เป็นถ้อยคำที่ผู้สนทนามีจุดมุ่งหมายเพื่อบอกกล่าว
ขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จริงเกีย่ วกับสงิ่ ตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขึ้นรอบ ๆ ตวั โดยท่คี สู่ นทนายังไม่ทราบหรอื ส่งิ นนั้ จะเปน็ ประโยชน์ต่อ
ผู้สนทนาและสื่อสารมุมมองทัศนคติที่มีต่อการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายกบั คู่สนทนาพบวัจนกรรม
บอกกล่าว เป็นจำนวน 102 บทสนทนา คิดเป็นร้อยละ 74 โดยใช้วัจนกรรมการกล่าว 5 รูปแบบวัจนกรรม
ได้แก่ การกล่าว บรรยาย คาดหวงั ยืนยัน และคาดคะเน ดงั น้ี
1.1.1.1 การกล่าว เป็นวัจนกรรมที่คู่สนทนามีเจตนาในการบอกกล่าว บอกให้ทราบ
แสดงให้เห็นเจตนาอย่างชัดเจน คล้ายกับวัจนกรรมประเภทบรรยายแต่ต่างกันท่ีการกลา่ วจะเป็นถ้อยคำส้ัน ๆ
ไมม่ งุ่ อธบิ ายหรอื ขยายความใด ๆ มจี ำนวน 46 บทสนทนา ดังตัวอยา่ ง
30
ตัวอย่างท่ี 1
สอง : ใคร ๆ ก็สนใจเรื่องพวกนี้ได้ทั้งนั้นและครับอยู่ที่ว่าจะเอา
เวลาไปสนใจหรือเปลา่
พริบพรี : เรื่องสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันเนี่ยเค้าพูดกนั
มานานแล้วนะคะ ถึงเราไม่ได้เป็น LGBTQ+ เราก็เรียกร้องสิทธิ์
ให้ LGBTQ+ ได้
(คุณหมปี าฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนที่ 13)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้การกล่าว คือ ถึงเราไม่ได้เป็น LGBTQ+ เราก็เรียกร้องสิทธิ์ให้ LGBTQ+ ได้
ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวให้ผู้สนทนาทราบจุดประสงค์ที่ผู้สนทนาต้องการสื่อเห็นได้จากการที่ผู้
สนทนาพูดว่า เรื่องสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันเนี่ยเค้าพูดกันมานานแล้วนะคะ ถึงเราไม่ได้เป็น
LGBTQ+ เราก็เรียกร้องสิทธิ์ให้ LGBTQ+ ได้ หมายความว่าผู้สนนาต้องการบอกให้คู่สนทนาทราบว่า
การเรียกร้องสิทธิ์นั้นเป็นเรื่องของทุกคนและมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องในบริบทที่พูดถึงเรื่องของ LGBTQ+ นั้นมี
เจตนาแฝงแสดงถงึ การยอมรบั ความสมั พนั ธ์แบบชายรักชายรวมอยูด่ ว้ ย
ตัวอยา่ งที่ 2
สอง : จะหนีกลับแลว้ หรอลงุ รีบไปไหนครบั หึ
เกณฑ์สิทธิ์ : ก็เมื่อคืนมึงตื้อให้กูนอนเนี่ยจะให้กูทำไง กูก็ต้องรีบ
กลบั เพราะก่อนท่ีพอ่ มงึ จะมาไง
สอง : ไหนลุงบอกว่าลงุ ก็มีดไี ง แลว้ กลวั อะไรละ่
เกณฑ์สิทธิ์ : กูอะไม่ได้กลัว แต่กูห่วงใจพ่อมึงต่างหาก มาเจอกูใน
บ้านแบบไม่ทันตงั้ ตวั แบบน้ีเนย่ี เด่ยี วเค้ากช็ ็อคตายหรอก
(คณุ หมปี าฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 15)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาไดจ้ ากคำบ่งชี้การกลา่ ว คอื มาเจอกใู นบา้ นแบบไม่ทันตัง้ ตัวแบบน้ีเนี่ย เด่ียวเค้าก็ช็อคตาย
หรอก ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวให้ผู้สนทนาทราบจุดประสงค์ที่ผู้สนทนาต้องการสื่อเห็นได้จาก
การที่ผู้สนทนาพูดว่า กูห่วงใจพ่อมึงต่างหาก มาเจอกูในบ้านแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้เนี่ย เดี่ยวเค้าก็ช็อคตาย
หรอก หมายความว่าผู้สนทนาต้องการบอกให้คู่สนทนาทราบว่า หากพ่อมาเจอทั้งสองอยู่ด้วยกันอาจทำให้
ตกใจได้ซ่ึงเกดิ ขึ้นในบริบททีผ่ ู้สนทนาชายท้ังสองกำลังคบหากันแต่พ่อยังไม่ทราบ นั้นมีเจตนาแฝงแสดงถึงการ
ยอมรบั ความสมั พันธ์แบบชายรกั ชายของตัวละคร
ตัวอยา่ งท่ี 3
31
เตา้ หู้ : แต่พณ่ี ฐั คือคนสำคญั ของผม
พรี ณัฐ : มึงพูดว่าอะไรนะ
เตา้ หู้ : ผมบอกว่าพ่ณี ฐั เป็น
พรี ณัฐ : เป็นอะไร
เต้าหู้ : เปน็ คนสำคญั ของผมฮะ
พีรณฐั : มงึ ไปได้แลว้ ไป กูว่านอกจากความจำเสอ่ื มแล้ว มึงเป็นบ้า
ด้วย เสรจ็ แล้วก็ไป
(คณุ หมปี าฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 2)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้การกล่าว คือ พี่ณัฐคือคนสำคัญของผมหรอก/เป็นคนสำคัญของผมฮะ
ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวให้ผู้สนทนาทราบจุดประสงค์ที่ผู้สนทนาต้องการสื่อเห็นได้จาก
การที่ผู้สนทนาพูดว่า กูห่วงใจพ่อมึงต่างหาก มาเจอกูในบ้านแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้เนี่ย เดี่ยวเค้าก็ช็อคตาย
หรอก หมายความว่าผู้สนทนาต้องการบอกให้คู่สนทนาทราบว่า หากพ่อมาเจอทั้งสองอยู่ด้วยกันอาจทำให้
ตกใจได้ซ่ึงเกดิ ขึ้นในบริบทที่ผู้สนทนาชายท้ังสองกำลังคบหากันแต่พอ่ ยังไม่ทราบ นั้นมีเจตนาแฝงแสดงถึงการ
ยอมรบั ความสัมพันธแ์ บบชายรักชายของตัวละคร
1.1.1.2 บรรยาย เป็นวัจนกรรมที่ผู้สนทนามีเจตนาชี้แจง อธิบาย ขยายความ
เรื่องราวหรอื สิง่ ตา่ ง ๆ รวมถงึ การบอกเล่าให้ผู้สนทนารบั ทราบหรอื เข้าใจขอ้ เทจ็ จรงิ ที่ผพู้ ดู ตอ้ งการจะสือ่ สาร มี
จำนวน 33 บทสนทนา ดงั ตัวอย่าง
ตัวอย่างท่ี 1
พีเ่ จือ : มนั คอื มันเครียดไปอะณัฐ
พีรณฐั : มนั เครยี ดยังไงพี่ ไหนพ่ีบอกชอ่ งต้องการวายแนวนี้ไง
พี่เจือ : ก็ใช่ ช่องต้องการวายแนวน้ี แต่เป็นวายทีส่ ดใสวัยรักแรก
รนุ่ ปิง๊ ปัง๊ ปิ๊งปงั๊ ป๊งิ ปัง๊ อะ เน่ยี อย่างเนีย่ ะใครจะไปดู เครียดฉบิ หาย
พีรณัฐ : พก่ี ลวั คนไม่ดูหรอื โฆษณาไม่เข้ากันแนพ่ ี่
พี่เจือ : โอ้โห ณัฐยังไม่เข้าใจอะไรวะ ช่องขายสปอนเซอร์ไม่ได้
อะไรมันจะเกิดขึ้นตามมา เป็นชอต ๆ ฉาก ๆ สปอนเซอร์ไม่
จ่ายเงินช่อง ช่องไม่จ่ายเงนิ เรา และเงินลงทุนท่ีพี่ลงไป เหอะ หาย
หมดไม่มีเงินจ่ายพวกแก คิดบา้ งสิ กลับไปทำมา แก้ด้วย
(คุณหมปี าฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 2)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้บรรยาย คือ ก็ใช่ ช่องต้องการวายแนวนี้ / โอ้โห ณัฐยังไม่เข้าใจอะไรวะ
ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าว อธิบาย ขยายความเรื่องราวหรือสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการบอกเล่าให้ผู้สนทนา
32
รับทราบหรือเข้าใจข้อเท็จจริง เหน็ ได้จากการที่ผู้สนทนาพดู ว่า กใ็ ช่ ช่องต้องการวายแนวน้ี แต่เป็นวายท่ีสดใส
วัยรักแรกรุ่นปิ๊งปั๊งปิ๊งปั๊งปิ๊งปั๊งอะ เนี่ยอย่างเนี่ยะใครจะไปดู เครียดฉิบหาย หมายความว่าผู้สนทนาต้องการ
อธบิ ายใหค้ สู่ นทนาทราบว่า ทางตน้ สงั กดั ในการผลติ ซีรีส์วายนัน้ ตอ้ งการซรี สี ์วายทมี่ เี นื้อหาสดสัยของรักวยั แรก
รุ่นไม่ต้องการเรื่องราวสะท้อนปัญหาที่เครียดไป ในบริบทนี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับความสัมพันธ์แบบชาย
รักชายในรูปแบบซีรีส์วายโดยทั่วไปในสังคมแต่ก็ยังเป็นการนำเสนอเรื่องราวของชายรักชายในอุดมคติรักแบบ
ใส ๆ วยั ร่นุ และปฏเิ สธความจริงของชายรกั ชายที่เกดิ ขึ้นจริงในสงั คม
ตัวอยา่ งท่ี 2
มนทนา : เต้าห้กู บั ณฐั รักกันใชไ่ หม
พีรณัฐ : (พุ่งเข้ามาตอบ) ใช่ แม่เข้าใจถูกแล้ว ณัฐกับเต้าหู้รักกัน
เต้าหู้เป็นคนที่ทำให้ณัฐมีความสุข ที่ณัฐอยู่บ้านนี้ได้นาน ๆ ได้
เพราะมัน แล้วแม่ตอ้ งการอะไร มาถามลับหลงั ณัฐแบบเนีย่ แม่จะ
ไล่คนที่ณัฐรักไปอีกแล้วใช่ไหม จะทำเหมือนเดิมอีกแล้วใช่ไหมแม่
มึงไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นถ้ามึงไปกูจะไปด้วย ถ้าแม่รับไม่ได้ณัฐก็จะ
ไมอ่ ยูท่ ีน่ ี่
(คณุ หมปี าฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 10)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้บรรยาย คือ แม่เข้าใจถูกแล้ว / มึงไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้
เพื่อการกล่าว อธิบาย ขยายความเรื่องราวหรือสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการบอกเล่าให้ผู้สนทนารับทราบหรือเข้าใจ
ข้อเท็จจริง เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพูดว่า ใช่ แม่เข้าใจถูกแล้ว ณัฐกับเต้าหู้รักกัน เต้าหู้เป็นคนที่ทำให้ณัฐมี
ความสุข ที่ณัฐอยู่บ้านนี้ได้นาน ๆ ได้เพราะมัน แล้วแม่ต้องการอะไร มาถามลับหลังณัฐแบบเนี่ย แม่จะไล่คน
ที่ณัฐรักไปอีกแล้วใช่ไหม จะทำเหมือนเดิมอีกแล้วใช่ไหมแม่ หมายความว่าผู้สนทนาต้องการอธิบายให้
คู่สนทนาทราบว่า ผู้สนทนายอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายและเปิดเผยกับผู้เป็นแม่ และอธิบายเหตุผล
ว่าทำไมถึงตัดสินใจพัฒนาความสัมพันธ์และกล้าที่จะเปิดเผยกับแม่เพราะกลัวว่าแม่จะไม่ยอมรับและไล่
คนรักไป ในบริบทที่ตัวละครยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ และมีความสัมพันธ์คบหากับเพศเดียวกันต่อคนใน
ครอบครัว
ตัวอยา่ งที่ 3
เตา้ หู้ : แล้วเรอ่ื งท่ีพ่ณี ฐั ทำอย่อู ยากเล่าอะไรเหรอฮะ
พีรณัฐ : กูอยากบอกว่าประเทศที่ส่งออกซีรีส์วาย มีกะเทยสวย
ที่สุดในโลก มีคู่เกย์เป็นเน็ตไอดอล แต่กลับไม่มีกฎหมายยอมรับ
เพราะไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง และอยากจะบอกไปถึง
เค้าอีกด้วยถึงแม้มันจะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วอะแต่กูก็อยากขอโทษ
33
อยากขอบคุณ เขาคือความทรงจำดี ๆ เป็นแรงบันดาลใจที่ทำใหก้ ู
ได้เปน็ กูแลว้ กร็ กั ตวั เองมากขน้ึ อะ
(คณุ หมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนที่ 12)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้บรรยาย คือ ไม่มีกฎหมายยอมรับเพราะไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง
ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าว อธิบาย ขยายความเรื่องราวหรือสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการบอกเล่าให้ผู้สนทนา
รับทราบหรอื เขา้ ใจขอ้ เทจ็ จริง เหน็ ได้จากการทผี่ สู้ นทนาพดู กูอยากบอกว่า ประเทศที่สง่ ออกซีรสี ์วาย มีกะเทย
สวยที่สุดในโลก มีคู่เกย์เป็นเน็ตไอดอล แต่กลับไม่มีกฎหมายยอมรับเพราะไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง
หมายความว่าผู้สนทนาต้องการอธิบายให้ คู่สนทนาทราบว่า ประเทศของผู้สนทนานั้นมีการยอมรับ
ความสัมพันธ์แบบชายรักชายผ่านสื่อรูปแบบต่าง ๆ คนในประเทศส่วนใหญ่ยอมรับ แต่กลับไม่มีกฎหมาย
รองรับคนกลุ่มนี้อย่างแท้จริง ซึ่งสื่อถึงบริบทของสังคมที่เหมือนจะมีการยอมความสัมพันธ์แบบชายรักชาย
อยา่ งแพร่หลาย แตก่ ลบั ละเลยการให้ความสำคัญกบั สิทธิและความเทา่ เทยี มกนั ของคนทกุ คนในสังคม
ตัวอย่างท่ี 4
มนทนา : เพราะว่าป้าฝังใจกับการมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ป้าก็
เลยต้องการให้ครอบครัวของป้าสมบูรณ์แบบ แต่ในโลกนี้มันไม่มี
อะไรที่สมบูรณ์แบบหรอก ป้าเคยกลัวว่าการที่ณัฐเป็นแบบนี้มัน
คือการผิดปกติ แต่จริง ๆ แล้วคนเป็นเกย์ก็เปน็ คนปกติ ยิ่งวันนีป้ า้
เห็นณัฐโตขึ้นยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง มีคนยอมรับมีเพื่อนดี ๆ
ไม่ต่างจากคนทั่วไป ป้ารู้แล้วว่าลูกควรได้เป็นตัวเอง ได้เลือกเดิน
ในเส้นทางที่ตัวเองเลือก โดยที่มีพ่อแม่แค่คอยประคับประคอง
ไม่ใชต่ ีกรอบ เพราะว่าชีวิตลูกเปน็ ของลูกไม่ใช่ของพอ่ แม่
(คณุ หมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 11)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งช้ีบรรยาย คือ โลกนี้มนั ไม่มอี ะไรที่สมบูรณ์แบบหรอก ผสู้ นทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อ
การกล่าว อธิบาย ขยายความเรื่องราวหรือสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการบอกเล่าให้ผู้สนทนารับทราบหรือเข้าใจ
ข้อเท็จจริง เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพูดกูอยากบอกว่า แต่ในโลกนี้มันไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบหรอก ป้าเคย
กลัวว่าการที่ณัฐเป็นแบบนีม้ ันคือการผิดปกติ แต่จริง ๆ แล้วคนเป็นเกย์ก็เป็นคนปกติ ยิ่งวันนี้ป้าเห็นณัฐโตขึ้น
ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง มีคนยอมรับมีเพื่อนดี ๆ ไม่ต่างจากคนทั่วไป ป้ารู้แล้วว่าลูกควรได้เป็นตัวเอง ได้
เลือกเดินในเส้นทางที่ตัวเองเลือก โดยทีม่ ีพ่อแม่แค่คอยประคบั ประคองไมใ่ ช่ตกี รอบ เพราะวา่ ชีวติ ลูกเป็นของ
ลูกไม่ใช่ของพ่อแม่ หมายความว่าผู้สนทนาต้องการอธิบายให้ คู่สนทนาเข้าใจว่าในอดีตเคยเข้าใจว่าการเป็น
34
เกย์เป็นเรื่องผดิ ปกติแต่จริง ๆ แล้วการเปน็ เกย์เป็นเรอื่ งปกติ อีกท้ังยงั สามารถเป็นท่ียอมรับของคนในสังคมได้
เหมือนคนทุก ๆ คนในบรบิ ทของแม่ทรี่ ู้วา่ ลกู เป็นเกย์และไดใ้ ห้ลูกเลือกเส้นทางชีวติ ของตัวเองโดยมีพ่อแม่คอย
สนับสนนุ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การยอมรับในความสมั พนั ธแ์ บบชายรักชายของผูพ้ ูดซึง่ ในที่นี่คอื แม่
1.1.1.3 ยืนยัน เป็นวัจนกรรมที่ผู้สนทนามีเจตนาสนับสนุนคำพูดการกระทำ
ความเชื่อหรือทัศนคติต่าง ๆ ว่าเป็นจริงเช่นนั้น และการย้ำหรือแจ้งความจำนงอย่างแน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง
มีจำนวน 9 บทสนทนา ดังตวั อยา่ ง
ตวั อยา่ งท่ี 1
พีรณัฐ : มึงเป็นใครเนี่ย เมาจนไม่รู้เรื่องเลยกู หิ้วติดมือกลับมา
บ้านอกี จนได้
เตา้ หู้ : พี่ณฐั ว่าอะไรนะครบั
พรี ณฐั : เปลา่ สเปคกมู ันแน่นอนจรงิ ๆ
เตา้ หู้ : ห๊ะ
(คุณหมปี าฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 1)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้ยืนยัน คือ อีกจนได้/ แน่นอนจริง ๆ ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าว
ที่มีเจตนาสนับสนุนคำพูดการกระทำ ความเชื่อหรือทัศนคติต่าง ๆ ว่าเป็นจริงเช่นนั้น เห็นได้จากการที่ผู้
สนทนาพูดว่า หิ้วติดมือกลับมาบ้านอีกจนได้ สเปคกูมันแน่นอนจริง ๆ หมายความว่าผู้สนทนาต้องการยืนยัน
กับตัวเองว่ารสนิยมของตนแน่นอนไม่เปล่ียนแปลง ในบริบทที่ผู้สนทนาเป็นผู้ชายและกำลังอยู่กบั ผู้ชายในหอ้ ง
และมีการพูดยืนยันถงึ รสนยิ มของตวั เองซึ่งถอื เปน็ การยอมรับความสัมพนั ธ์แบบชายรกั ชาย
ตวั อย่างที่ 2
มนทนา : ณฐั จะไปไหน ณัฐเป็นลกู แมน่ ะ
พีรณัฐ : แต่ลูกแม่เป็นเกย์ ถ้าแม่ฝันมีครอบครัวสุขสันต์เหมือนใน
โลกนิยาย ณัฐบอกแม่ตรงนี้เลยนะ ความฝันแม่ไม่มีวันเป็นจริง
หรอก เพราะณัฐชอบผู้ชาย ณัฐไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงปัม๊ หลาน
ให้แม่ได้หรอก แม่เจ็บใช่ไหมที่ลูกแบบนี้ ณัฐก็เจ็บเหมือนกันที่มี
แมแ่ บบนี้
(คุณหมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 10)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้ยืนยัน คือ แต่ลูกแม่เป็นเกย์ ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวที่มีเจตนา
ตอกย้ำตัวตนของตนเองให้แก่คู่สนทนาทราบ เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพูดว่า แต่ลูกแม่เป็นเกย์ ถ้าแม่ฝันมี
35
ครอบครัวสุขสันต์เหมือนในโลกนิยาย ณัฐบอกแม่ตรงนี้เลยนะ ความฝันแม่ไม่มีวันเป็นจริงหรอก เพราะณัฐ
ชอบผ้ชู าย ณัฐไมม่ วี นั แต่งงานกบั ผูห้ ญิงปมั๊ หลานใหแ้ ม่ได้หรอก แม่เจบ็ ใชไ่ หมทลี่ ูกแบบนี้ ณฐั กเ็ จ็บเหมอื นกันท่ี
มีแม่แบบนี้ หมายความว่าผู้สนทนาต้องการยืนยันกับตัวเองและกับคู่สนทนาว่าตัวเองเป็นเกย์ และให้เหตุผล
ยืนยันและตอกย้ำตัวตนว่าตนไม่สามารถทำตามสิ่งที่คู่สนทนาต้องการได้ในบริบทของลูกที่แม่คาดหวังให้ผู้
สนทนาเปล่ยี นจากส่งิ ทเ่ี ป็นได้ แต่ผู้สนทนายังยอมรับในตัวตนของตนเองและยนื ยนั ท่จี ะเปน็ ต่อไป
ตวั อยา่ งท่ี 3
พีรณฐั : ตกลงมงึ สองคนคบกัน
เกณฑส์ ทิ ธ์ิ : เออ ก็อยา่ งทีม่ งึ เหน็ นี่แหละ
พรี ณัฐ : ไหนมึงบอกว่าไม่ชอบคบเด็กไงวะ
เกณฑส์ ทิ ธิ์ : กเู คยพดู เหรอ ตอนไหนวะ จำไม่ได้
(คุณหมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 12)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งช้ียนื ยัน คือ เออ ก็อย่างที่มึงเห็นนีแ่ หละ ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวทีม่ ี
เจตนายอมรับและยืนยัน เห็นได้จากการทีผ่ ู้สนทนาพูดว่า ตกลงมึงสองคนคบกัน เออ ก็อย่างที่มึงเห็นนี่แหละ
หมายความว่าผู้สนทนาต้องการยนื ยันกบั คสู่ นทนาในบริบทการยอมรับความสัมพันธแ์ บบชายรกั ชายกับตนเอง
และกล้าเปดิ เผยกบั คนสนทิ ด้วยการกลา่ วยืนยัน
1.1.1.4 คาดหวัง เป็นวัจนกรรมที่ผู้สนทนามีเจตนาหมายปองไว้ใคร่อยากได้
มีความประสงค์ คาดคิดไว้ดว้ ยความใส่ใจหรอื ปรารถนาไว้อย่างตัง้ ใจ มจี ำนวน 10 บทสนทนา ดังตัวอย่าง
ตวั อยา่ งที่ 1
พี่เจือ : กูอ่านบทมึงแล้วไม่ไหวเลยว่ะ ไอฉากกุ๊กกิ๊กก็ไม่เขิน ที่ให้
ฟินก็ไม่ฟิน กูจะหลับ ไหนว่าเขียนจากพล็อตชีวิตมึงไง ทำไมมึง
เขียนไม่ได้
พีรณัฐ : ชวี ติ จรงิ มนั ไมไ่ ด้หวานเหมือนลกู กวาดนะพ่ี
พ่ีเจอื : นี่มนั ซรี ีสว์ ายนะเว้ย มันต้องมฉี ากฟิน ๆ กุ๊กก๊ิก ๆ ทำใหค้ น
ดูว้าว
พรี ณฐั : ผมรู้ แตผ่ มไมถ่ นดั
พี่เจือ : มึงก็อ้างไม่ถนัดอยู่นั้นแหละ กูก็เข้าใจ ไอบทที่มึงเขียน
เป็นดราม่าสังคม ขับเคลื่อนสังคมอะไรต่าง ๆ เนี่ยที่มึงถนัดเนี่ย
ช่องเค้าไม่เอา เค้าอยากได้อะไรใหม่ ๆ ไอณัฐกูว่างานมึงอะย่ำอยู่
กบั ทน่ี ะเวย้
36
(คุณหมปี าฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 5)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพจิ ารณาได้จากคำบ่งช้คี าดหวัง คือ ทำไมมึงเขียนไม่ได้ /เคา้ อยากไดอ้ ะไรใหม่ ๆ ผสู้ นทนาใช้ถ้อยคำ
นี้เพื่อการกล่าวที่มีเจตนาคาดคิดหวังไว้ด้วยความใส่ใจหรือปรารถนาไว้อย่างตั้งใจ เห็นได้จากกา รที่ผู้สนทนา
พดู ว่า มึงก็อา้ งไมถ่ นดั อยู่นั้นแหละ กูก็เขา้ ใจ ไอบทท่มี ึงเขยี นเป็นดราม่าสงั คม ขับเคล่อื นสงั คมอะไรตา่ ง ๆ เนี่ย
ที่มึงถนัดเนี่ยช่องเค้าไม่เอา เค้าอยากได้อะไรใหม่ ๆ ไอณัฐกูว่างานมึงอะ ย่ำอยู่กับที่นะเว้ย หมายความว่า ผู้
สนทนาคาดหวังมีความตอ้ งการอยากได้ซีรีสว์ ายทีเ่ ป็นความต้องการของตลาดในท่ีนี้หมายถึงเรื่องราวรกั สดใส
ไม่สะท้อนสังคมในบริบทที่คู่สนทนายอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายแต่ถกถียงกันในประเด็นความ
ตอ้ งการของสงั คมเก่ียวกบั ซีรสี ์วาย
ตวั อยา่ งท่ี 2
พริบพรี : เรียบร้อยดคี ่ะ เนยี่ ะพริบกำลังจะกลบั เด๋ียวเอารูปไปให้ดู
บอกเลยว่าถ้านา้ เจือเหน็ แลว้ เผื่อจะเอาไปเป็น ref ในซรี ีสไ์ ด้บา้ ง
พี่เจือ : อย่างน้นั เลยเหรอวะ
พริบพรี : ได้ฟลิ pre wedding เลยแหละน้าพเี่ กณฑ์ทำดีมาก
พเ่ี จอื : อ่อ งน้ั สายวายอยา่ งแกคงฟนิ เวอร์ไปเลยนะสิ
พริบพรี : จะฟินกว่านี้อะ ถ้าเป็นจริงได้อะ อยากให้มีกฎหมาย
สมรสเท่าเทียมจัง ในเมื่อกฎหมายถูกสร้างมาให้ทุกคน ทุกคนก็
ควรจะไดใ้ ชส้ ิทธ์ิตามกฎหมายไมใ่ ชเ่ หรอ
(คุณหมปี าฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนที่ 14)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้คาดหวัง คือ อยากให้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมจัง ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพ่ือ
การกล่าวที่มีเจตนาคาดคิดหวังไว้ด้วยความใส่ใจหรือปรารถนาไว้อย่างตั้งใจ เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพูดว่า
จะฟินกว่านี้อะ ถ้าเป็นจริงได้อะ อยากให้มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมจัง ในเมื่อกฎหมายถูกสร้างมาให้ทุกคน
ทกุ คนกค็ วรจะไดใ้ ชส้ ิทธต์ิ ามกฎหมายไม่ใช่เหรอ หมายความว่า ผสู้ นทนามีเจตนาคาดหวงั ปรารถนาทีอ่ ยากให้
สงั คมให้ความสำคัญและให้ความเท่าเทียมกับทุกคนทุกเพศ อย่างเชน่ การมีกฎหมายสมรสเทา่ เทียม ซ่ึงถือเป็น
การแสดงออกการยอมรบั ความสัมพันธแ์ บบชายรักชาย
ตวั อยา่ งที่ 3
พริบพรี : เพราะพวกเรายงั มคี วามหวังไงเตา้ หโู้ ดยเฉพาะพธี่ าร จรงิ
ๆ เขาไม่ได้หวังแค่เรื่องศิลปะหรอกเขาหวังในทุก ๆ เรื่อง สิ่งที่เขา
37
หวังอะ ก็เป็นเรื่องปกติที่ทุกประเทศมี เขาไม่อยากเห็นบ้านเมือง
เราบิดเบี้ยวแล้วก็ผิดเพ้ียนไปมากกวา่ น้ี เขาเลยเร่ิมจากเร่อื งปา่ โหว่
ใกล้ ๆ ตวั
ตาธาร : พี่แค่อยากมีชีวิตที่ปกติ ในสังคมที่ทุกอย่างปกติ ทุกคน
เท่าเทียมกนั ไม่ว่าเพศไหนกไ็ ม่มใี ครผิดปกตทิ ั้งน้ัน
(คุณหมปี าฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 12)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้คาดหวัง คือ พี่แค่อยากมีชีวิตที่ปกติ ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวที่มี
เจตนาคาดคิดหวังไว้ด้วยความใส่ใจหรือปรารถนาไว้อย่างตั้งใจ เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพูดว่า พี่แค่อยากมี
ชีวิตที่ปกติ ในสังคมที่ทุกอย่างปกติ ทุกคนเท่าเทียมกนั ไม่ว่าเพศไหนก็ไม่มีใครผิดปกติทั้งนั้น หมายความว่ า ผู้
สนทนาคาดหวงั ทจี่ ะมชี วี ิตปกตแิ บบเดียวกนั กับเพศอื่น ๆ ในบริบทที่ผู้พดู เปน็ เกย์และมีความคาดหวังให้สังคม
มองทกุ เพศอย่างเทา่ เทียม
1.1.1.5 คาดคะเน เป็นวัจนกรรมทผี่ ้สู นทนามเี จตนานึกไว้ หมายไว้ คาดหมายไว้ กะ
ประมาณ หรือคดิ ประมาณการไว้ครา่ ว ๆ โดยไมแ่ น่ใจ มีจำนวน 4 บทสนทนา ดงั ตัวอย่าง
ตวั อยา่ งที่ 1
สจั จารยี ์ : บันเทิงไหมละคะบ้านเนี่ยะ ไม่รู้ว่าดูแลกันถึงซอกถึงมุม
ไหนถึงกับต้องแก้ผ้าดูแลอะคะ แล้วคุณป้ายังเรียกเจ้าชายน้อย
เจ้าชายนอ้ ยอกี ไมป่ ว่ ยจริงทำไม่ได้นะคะเนยี่
ลุงชู : คิดมากไปรึเปลา่ ครับคุณจนั ทร์ มันอาจจะไมเ่ ป็นอย่างนั้นก็
ไดน้ ะผมว่า
สัจจารีย์ : ไมอ่ ย่างน้นั แลว้ มันยังไงคะ
(คณุ หมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 2)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้คาดคะเน คือ มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการ
กลา่ วท่มี เี จตนานึกไว้ คดิ ประมาณการไวค้ ร่าว ๆ โดยไมแ่ นใ่ จ เห็นได้จากการทผี่ สู้ นทนาพูดวา่ คดิ มากไปรึเปล่า
ครับคุณจนั ทร์ มนั อาจจะไม่เปน็ อยา่ งนั้นกไ็ ดน้ ะผมว่า หมายความวา่ ผู้สนทนากล่าวโดยไม่แนใ่ จและคาดคะเน
ว่าอาจจะไม่เป็นไปตามที่คู่สนทนาคิด ในบริบทที่ผู้สนทนาพยายามชี้นำคู่สนทนาไม่ให้คิดไปในทางที่ไม่ดี
ปกปอ้ งผ้ทู ีถ่ ูกกล่าวถงึ ซง่ึ เป็นการชีน้ ำที่แสดงให้เห็นถึงการยอมรบั ความสัมพันธแ์ บบชายรกั ชายของผ้สู นทนา
ตวั อย่างที่ 2
สอง : ฮัลโหล ลุงถึงบา้ นรยึ งั อะ
38
เกณฑ์สิทธิ์ : อือ กถู ึงบา้ นแล้ว มึงโอเคใชม่ ั้ย
สอง : อือ ขอโทษนะลุงจริง ๆ ผมตั้งใจจะพาลุงมาแนะนำตัวกับ
พ่อดี ๆ กวา่ เนี่ยอะ
เกณฑ์สิทธิ์ : จะพาไปแบบไหนพ่อมึงก็ช็อคทั้งนั้นแหละ แต่กูเชื่อ
นะว่าอีกไม่นานพ่อมึงจะเข้าใจ ว่าที่มึงกล้าบอกเค้าคนแรก
เพราะเคา้ คอื คนท่มี งึ รกั และไว้ใจท่สี ดุ
สอง : มึงรอผมหน่อยนะ ท่พี อ่ เงยี บกค็ งจะช็อคอย่างทล่ี ุงว่า แต่ผม
เชื่อว่าพ่อจะต้องรกั ลุงไดเ้ หมือนท่ีผมรัก พ่อจะต้องรู้ว่าผมเลือกรัก
คนไม่ผดิ
(คณุ หมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 15)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้คาดคะเน คือ แต่กูเชื่อนะว่าอีกไม่นานพ่อมึงจะเข้าใจ ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำน้ี
เพื่อการกล่าวที่มีเจตนานึกไว้ คิดประมาณการไว้คร่าว ๆ โดยไม่แน่ใจ เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพูดว่า จะพา
ไปแบบไหนพ่อมึงก็ช็อคทง้ั น้นั แหละ แตก่ ูเชื่อนะว่าอีกไมน่ านพ่อมงึ จะเขา้ ใจ วา่ ท่มี ึงกลา้ บอกเคา้ คนแรก เพราะ
เค้าคือคนทีม่ ึงรักและไว้ใจที่สุด หมายความวา่ ผู้สนทนาคาดคะเนไวว้ ่าอีกไม่นานพ่อก็คงจะเข้าใจในบริบทที่คู่
สนทนาต้ังใจจะไปสารภาพกับพอ่ ว่ากำลังคบหาดูใจกันในความสัมพันธ์แบบชายรักชาย และคาดคะเนว่าอีกไม่
นานพ่อก็จะเข้าใจและยอมรบั
ตัวอยา่ งท่ี 3
เกณฑ์สทิ ธ์ิ : ไมม่ ใี ครตอบมงึ ได้หรอก ว่ามันจะสขุ หรอื ทกุ ข์ มงึ อาจ
คิดว่าป่านี้มึงคงได้สมหวังกับเค้าไปแล้ว แต่มึงอย่าลืมนะเว้ย ว่า
สองปีที่แล้วแม่มึงป่วย แล้วก็ยังไม่ได้เปิดใจ มึงกะเค้าอาจต้อง
แอบคบกันไมไ่ ดเ้ หมือนท่มี งึ คบเต้าหอู้ ยตู่ อนน้ีก็ได้นะเวย้
(คณุ หมปี าฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนที่ 13)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาไดจ้ ากคำบ่งชค้ี าดคะเน คือ มึงกะเค้าอาจต้องแอบคบกนั ผ้สู นทนาใช้ถอ้ ยคำน้เี พ่ือการกล่าว
ที่มีเจตนานึกไว้ คิดประมาณการไว้คร่าว ๆ โดยไม่แน่ใจ เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพูดว่า ไม่มีใครตอบมึงได้
หรอก วา่ มนั จะสขุ หรือทกุ ข์ มงึ อาจคดิ วา่ ปา่ นม้ี งึ คงไดส้ มหวังกบั เค้าไปแล้ว แตม่ ึงอยา่ ลืมนะเว้ย ว่าสองปีท่ีแล้ว
แม่มึงป่วย แล้วก็ยังไม่ได้เปิดใจ มึงกะเค้าอาจต้องแอบคบกันไม่ได้เหมือนที่มึงคบเต้าหู้อยู่ตอนนี้ก็ได้นะเว้ย
หมายความว่า ผู้สนทนามีเจตนาบอกให้คู่สนทนาเห็นว่ามันอาจจะไม่เป็นไปตามที่คิดด้วยการคาดคะเน ใน
39
บริบทที่คู่สนทนาคิดวา่ หากตนเจอกับคนรักเก่าเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนี้อาจจะได้คบกันแต่ในความเป็นจริงอาจ
ไม่ได้เป็นไปตามที่คู่สนทนาคิด ด้วยบริบทแวดล้อมในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันในเรื่องของการยอมรับ
ความสมั พนั ธแ์ บบชายรักชาย
1.1.2 วัจนกรรมช้นี ำ (directives) เป็นถอ้ ยคำทีแ่ สดงถึงความพยายามของผ้สู นทนาท่ีตอ้ งการ
ให้ผู้สนทนากระทำการบางอย่างเพื่อผลประโยชน์ของคู่สนทนา ที่ชี้นำนำพาให้คู่สนทนาคล้อยตามไปกับสิ่งท่ี
ต้องการสื่อสารในประเด็นการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชาย พบวัจนกรรมชี้นำ เป็นจำนวน 29 บท
สนทนา คดิ เป็นร้อยละ 21 โดยใช้วจั นกรรมชี้ 5 รปู แบบวจั นกรรมได้แก่ คำถาม เสนอแนะ ชกั ชวน คำสง่ั และ
ทา้ ทาย ดังน้ี
1.1.2.1 คำถาม เป็นวัจนกรรมที่ผู้สนทนามีเจตนากล่าว เพื่อขอคำตอบหรือต้ัง
ปัญหาเพ่ือให้ตอบ ไขข้อสงสยั มีจำนวน 18 บทสนทนา ดงั ตวั อย่าง
ตวั อยา่ งท่ี 1
พริบพรี : พี่มีเรื่องต้องคุยกับน้องสองคน พี่อยากรู้ว่าตกลงเต้าหู้
ชอบพณ่ี ัฐรเึ ปล่า
เตา้ หู้ : ห้ะ
พริบพรี : ตกใจอะไรเล่าก็พี่ณัฐเสน่ห์แรงเกินต้านซะขนาดนั้นนะ
ใครอยู่ใกล้ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ใจสั่นหมดแหละ แล้วน้องก็
ความจำเสือ่ มอะ พ่ีไม่รู้วา่ กอ่ นหน้านนี้ อ้ งชอบแบบไหนอะไรยังไง
พ่ไี ม่ไว้ใจ ตกลงเต้าหชู้ อบพี่ณัฐแบบอยากได้เปน็ แฟนรึเปล่า
(คณุ หมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 4)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้คำถาม คือ ตกลงเต้าหู้ชอบพี่ณัฐรึเปล่า/พี่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้น้องชอบแบบ
ไหนอะไรยังไง ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวที่มีเจตนากล่าว เพื่อขอคำตอบหรือตั้งปัญหาเพ่ือให้ตอบ
ไขข้อสงสัย เหน็ ได้จากการท่ีผูส้ นทนาพดู วา่ ตกใจอะไรเล่าก็พี่ณฐั เสน่ห์แรงเกินต้านซะขนาดน้ันนะ ใครอยู่ใกล้
ไม่วา่ จะชายหรือหญงิ ก็ใจสัน่ หมดแหละ แล้วนอ้ งก็ความจำเสอ่ื มอะ พี่ไมร่ วู้ า่ กอ่ นหน้าน้ีน้องชอบแบบไหนอะไร
ยังไง พี่ไม่ไว้ใจ ตกลงเต้าหู้ชอบพีณ่ ฐั แบบอยากได้เป็นแฟนรึเปล่า หมายความวา่ ผู้สนทนาตอ้ งการจะทราบวา่
คู่สนทนาชอบพี่ณัฐหรือไม่และอยากทราบวา่ คูส่ นทนามีรสนิยมทางเพศแบบใด ในบริบทที่ผู้สนทนายอมรับใน
ความหลากหลายทางเพศและต้องการที่จะไขข้อสงสัย เพื่อที่จะเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์กับพี่ณัฐต่อ
อย่างไร
ตวั อย่างที่ 2
40
เต้าหู้ : เดี๋ยวครับพี่ณัฐทำไมเราจับมือกนั ไม่ได้อะฮะก่อนน้าจันมา
เรายังจับมือกันดี ๆ อย่เู ลยฮะ
พีรณฐั : (เงียบลงจากรถเดนิ หน)ี
เต้าหู้ : พี่ณฐั (เดินตาม)
พีรณัฐ : ก็กูไม่ชอบเปน็ จุดสนใจไง กูไม่อยากให้คนเอาไปพูดกันทัง้
ตลาด มึงก็เหน็ แลว้ หนแิ คป่ ากน้าจันคนเดียวกแ็ ทบแย่ละ
เตา้ หู้ : แลว้ การที่เดนิ จบั มอื กัน อยู่บา้ นเดียวกัน เราชอบกันมันผิด
ตรงไหนหรอฮะ หรอื ว่าการท่ีผู้ชายชอบกันมันผิดกฎหมายหรอฮะ
พรี ณัฐ : เปลา่
เตา้ หู้ : ถา้ ไม่ใช่แลว้ มนั เดอื ดร้อนใครหรอฮะ ผู้ชายกค็ นเหมือนกัน
ชอบกนั ไม่เห็นจะผดิ ตรงไหนเลย
พีรณัฐ : (ถอนหายใจ) กกู อ็ ยากรเู้ หมือนกันวา่ ทำไม
(คณุ หมปี าฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนที่ 9)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชีค้ ำถาม คือ มันผิดตรงไหนหรอฮะ/มันผิดกฎหมายหรอฮะ/แล้วมันเดือดร้อน
ใครหรอฮะ ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวที่มีเจตนากล่าว เพื่อขอคำตอบหรือตั้งปัญหาเพื่อให้ตอบ
ไขข้อสงสยั เห็นไดจ้ ากการทผ่ี ูส้ นทนาพดู ว่า แล้วการท่เี ดนิ จบั มือกนั อยู่บ้านเดยี วกัน เราชอบกันมนั ผิดตรงไหน
หรอฮะ หรือว่าการที่ผู้ชายชอบกันมันผิดกฎหมายหรอฮะถ้าไม่ใช่แล้วมันเดือดร้อนใครหรอฮะ ผู้ชายก็คน
เหมือนกันชอบกันไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลย หมายความว่า ผู้สนทนาต้องการที่จะถามเพื่อไขข้อสงสัยว่า
การที่ผู้ชายรักกันมีความผิดอย่างไร ผิดกฎหมายหรือทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่ ในเมื่อผู้ชายก็เป็นคน
เหมือนกันทำไมถึงแสดงความรักกันไม่ได้ ในบริบทที่พรี ณฐั ไม่ยอมจับมือกับผู้สนทนาในท่สี าธารณะ ที่แสดงถึง
การยอมรับความสมั พันธแ์ บบชายรกั ชายของผสู้ นทนาผ่านคำถามทม่ี ตี ่อสังคม
ตัวอย่างท่ี 3
พริบพรี : แหมพี่เกณฑ์พริบก็แค่สงสัยอะ แล้วดอกไม้อะก็ไม่
จำเป็นต้องเหมาะกับผู้หญิงเสมอไป ผู้ชายก็เหมาะได้ ใช่ไหมคะ
คุณปา้
มนทนา : ใช่จะ ป้าก็เคยสงสัยนะว่าทำไมต้องเอาดอกไม้ไปผูก
ติดกับเพศด้วยอะ เพราะเวลาที่เราให้ดอกไม้ใครเราก็ไม่เคยมีใคร
มาบอกเรานะวา่ ดอกไม้มันเปน็ เพศอะไร เหมาะสมกบั ใคร ท่ีเราให้
เพราะวา่ มนั มีความหมายอะไรแล้วเราให้เพราะอะไร
41
(คุณหมีปาฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนที่ 12)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้คำถาม คือ ป้าก็เคยสงสัยนะว่าทำไมต้องเอาดอกไม้ไปผูกติดกับเพศด้วยอะ
ผู้สนทนาใชถ้ อ้ ยคำน้ีเพอื่ การกล่าวที่มีเจตนากลา่ ว เพอ่ื ขอคำตอบหรือต้ังปญั หาเพื่อใหต้ อบ ไขข้อสงสัย เห็นได้
จากการที่ผู้สนทนาพูดว่า ใช่จะ ป้าก็เคยสงสัยนะว่าทำไมต้องเอาดอกไม้ไปผูกติดกบั เพศด้วยอะ เพราะเวลาที่
เราให้ดอกไม้ใครเราก็ไม่เคยมีใครมาบอกเรานะว่าดอกไม้มันเป็นเพศอะไร เหมาะสมกับใคร ที่เราให้เพราะว่า
มันมีความหมายอะไรแล้วเราให้เพราะอะไร หมายความว่า ผู้สนทนาตั้งคำถามเพ่ือหาเหตผุ ลว่าเหตใุ ดต้องเอา
ดอกไม้ไปผูกติดกับเพศ ในบริบทที่ผู้สนทนายอมรับความสัมพันธ์แบบชายรักชายและตั้งคำถามออกมาต่อ
สังคม
1.1.2.2 เสนอแนะ เปน็ วจั นกรรมท่ผี สู้ นทนามเี จตนาช้แี จงใหผ้ ู้สนทนาทำหรือปฏิบัติ
โดยอาจจะเป็นการแนะนำแนวทางให้ปฏบิ ัตติ ามหรอื นำไปปฏิบตั ติ าม จำนวน 5 บทสนทนา ดังตัวอยา่ ง
ตวั อย่างที่ 1
เกณฑ์สิทธิ์ : ก็การลืมรักครง้ั เก่าทีด่ ที ่สี ุดคอื การมรี ักครั้งใหมไ่ ม่ใช่
หรอว่ะ ก็ถ้ามึงมคี วามสุข ไอฉากหวาน ๆ ฟิน ๆ จิ้น ๆ ที่มึงติดอยู่
เดี๋ยวมนั ก็คดิ ไดเ้ อง
พีรณฐั : มึงนพ่ี ูดง่ายเนาะ กูกห็ ามาตลอด แตม่ ันเคยได้ป่ะล่ะมงึ ก็
รู้
เกณฑ์สิทธิ์ : กหู าใหม้ ย้ั ง่าย ๆ ใกลต้ ัวเทิดทนู บชู ามึงมึงท้ังคู่ ไม่ไอ
พรบิ กต็ อ้ งเต้าหแู้ ลว้
(คณุ หมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 13)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้เสนอแนะ คือ การลืมรักครั้งเก่าที่ดีที่สุดคือการมีรักครั้งใหม่ไม่ใช่หรอว่ะ/
กูหาให้มั้ย ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวที่มีเจตนากล่าว เพ่ือชี้แจงให้ผู้สนทนาทำหรือปฏิบัติโดยอาจจะ
เปน็ การแนะนำแนวทางใหป้ ฏบิ ตั ิตามหรือนำไปปฏบิ ัตติ าม เห็นได้จากการท่ีผสู้ นทนาพดู วา่ กก็ ารลืมรกั คร้งั เกา่
ท่ีดีทีส่ ดุ คอื การมีรักครงั้ ใหมไ่ มใ่ ชห่ รอวะ่ กถ็ า้ มึงมคี วามสุข ไอฉากหวาน ๆ ฟิน ๆ จน้ิ ๆ ที่มึงติดอยู่เด๋ยี วมนั ก็คดิ
ได้เอง กูหาให้มั้ย หมายความว่า ผู้สนทนามีเจตนาเสนอแนะ แนะนำให้คู่สนทนาลืมรักเก่าและมีรักครั้งใหม่
เพื่อให้คู๋สนทนาสามารถเขียนงานฉากหวาน ๆ ฟิน ๆ ได้ในบริบทที่ผู้สนทนาทั้งสองเป็นเกย์และผู้สนทนา
เสนอแนะแนะนำให้มรี กั ใหมก่ บั เต้าหู้ แสดงใหเ้ ห็นถงึ การยอมรบั ความสัมพันธ์แบบชายรกั ชาย
ตวั อยา่ งท่ี 2
42
ตาธาร : ถา้ ณัฐบอกแลว้ ทำให้ใชช้ วี ติ ลำบากหรือสรา้ งความทุกข์ใจ
ให้ใคร แต่ถ้าบอกแล้วมันทำให้ณัฐมีความสุขณัฐก็เลือกบอกตอน
ทีณ่ ฐั พร้อม
พีรณัฐ : ถ้าณฐั พิสูจน์ตวั เองใหพ้ ่อกบั แมย่ อมรบั แล้ว
ตาธาร : ทำไมอะ ทำไมเป็นเกย์แล้วต้องดิ้นรนพยายามเพื่อให้รับ
การยอมรับมากกว่าใคร เป็นเกย์แล้วต้องหล่อ ต้องเก่ง ต้องดูดี
เหรอถึงไดร้ ับการยอมรับอะ แลว้ ทำไมเขาถงึ ไม่ยอมรับเราในฐานะ
มนุษย์ธรรมดา ๆ อะ เหมือนเพศอื่นบ้างอะ ณัฐไม่จำเป็นต้อง
พิสูจน์อะไรเลย ณัฐแค่เป็นตัวของณัฐเอง ใช้ชีวิตในแบบที่ณัฐ
อยากใชก้ ็พอ เขา้ ใจนะ
(คุณหมีปาฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนที่ 12)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้เสนอแนะ คือ ณัฐแค่เป็นตัวของณัฐเอง ใช้ชีวิตในแบบที่ณัฐอยากใช้ก็พอ
ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการกล่าวที่มีเจตนากล่าว เพื่อชี้แจงให้ผู้สนทนาทำหรือปฏิบัติโดยอาจจะเป็นการ
แนะนำแนวทางให้ปฏบิ ัตติ ามหรือนำไปปฏิบัติตาม เหน็ ไดจ้ ากการทีผ่ ู้สนทนาพดู ว่า ทำไมอะ ทำไมเป็นเกย์แล้ว
ต้องดิ้นรนพยายามเพื่อให้รับการยอมรับมากกว่าใคร เป็นเกย์แล้วต้องหล่อ ต้องเก่ง ต้องดูดีเหรอถึงได้รับการ
ยอมรบั อะ แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมรับเราในฐานะมนษุ ยธ์ รรมดา ๆ อะ เหมือนเพศอื่นบา้ งอะ ณฐั ไม่จำเป็นต้อง
พิสูจน์อะไรเลย ณัฐแค่เป็นตัวของณัฐเอง ใช้ชีวิตในแบบที่ณัฐอยากใชก้ ็พอ เข้าใจนะ หมายความว่า ผู้สนทนา
เสนอแนะแนวทางการใช้ชีวิตให้กับคู่สนทนาให้เป็นตัวของตัวเองไม่ต้องพยายามดิ้นรนให้คนอื่นยอมรับแ ต่คน
อื่นในสังคมต่างหากที่ควรจะยอมรับเราในฐานะมนุษย์ธรรมดาเหมือนเพศอื่น ๆ โดยไม่ต้องพยามยามพิสูจน์
ตวั เองเพื่อใคร ในบรบิ ทท่คี ่สู นทนาทงั้ สองเป็นเกยแ์ ละมเี จตนาแนะนำแนวทางการใช้ชวี ิต
ตัวอย่างท่ี 3
สอง : ลุงอย่าพึ่งถอดใจนะ เดี๋ยวผมจะลองคุยกับพ่อดูก่อนเรามา
ทำให้พ่อยอมรับกันเถอะ ยังไงผมก็ไม่ ยอมแพ้ ลุงก็ไม่คิดจะยอม
เหมอื นกนั ใชไ่ หม
เกณฑ์สทิ ธิ์ : กูจะยอมแพไ้ ดย้ งั ไงมงึ มาจีบกกู ่อนแลว้ กเู องก็มั่นใจว่า
กูมีดีไม่แพ้ใคร พ่อมึงมีสิทธิ์ไรมาไม่ยอมรับในตัวกู ถ้ามึงคิดว่าพ่อ
มึงค่อนข้างเปิดกวา้ งเขาอาจจะแคย่ ังตัง้ ตวั ไม่ทันกไ็ ด้เราแค่ค่อย ๆ
เปน็ ค่อย ๆ ไปคอ่ ย ๆ ชินเหมอื นท่มี ึงเคยพูดกบั แฟนคลับไง
สอง : ดจี ังอะทไ่ี ด้รักลงุ อะ
43
(คุณหมีปาฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 12)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้เสนอแนะ คือ เราแค่ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปค่อย ๆ ชิน ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำน้ี
เพื่อการกล่าวท่มี ีเจตนากลา่ ว เพ่อื ช้ีแจงให้ผู้สนทนาทำหรอื ปฏบิ ัติโดยอาจจะเป็นการแนะนำแนวทางให้ปฏิบัติ
ตามหรือนำไปปฏบิ ัติตาม เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพูดวา่ กูจะยอมแพไ้ ด้ยังไงมึงมาจีบกูก่อนแล้วกูเองก็ม่นั ใจ
ว่ากูมีดีไม่แพใ้ คร พ่อมึงมีสิทธิ์ไรมาไม่ยอมรับในตัวกู ถ้ามึงคดิ ว่าพ่อมึงค่อนข้างเปิดกวา้ งเขาอาจจะแคย่ ังตั้งตวั
ไมท่ นั ก็ได้เราแคค่ อ่ ย ๆ เปน็ คอ่ ย ๆ ไปค่อย ๆ ชินเหมือนทีม่ ึงเคยพดู กับแฟนคลับไง หมายความว่า ผู้สนทนามี
เจตนาแนะนำแนวทางในการทำใหพ้ อ่ ยอมรับความสัมพนั ธ์แบบชายรกั ชาย โดยคอ่ ย ๆ เปน็ ค่อย ๆ ไป
1.1.2.3 ชักชวน เปน็ วจั นกรรมทผี่ ้สู นทนามีเจตนาโนม้ น้าวจูงใจชักนำให้ทำตามหรือ
คลอ้ ยตาม มจี ำนวน 1 บทสนทนา ดังต่อไปน้ี
สอง : ลุงอย่าพึ่งถอดใจนะ เดี๋ยวผมจะลองคุยกับพ่อดูก่อนเรามา
ทำให้พ่อยอมรับกันเถอะ ยังไงผมก็ไม่ ยอมแพ้ ลุงก็ไม่คิดจะยอม
เหมอื นกนั ใชไ่ หม
เกณฑ์สิทธ์ิ : กูจะยอมแพไ้ ดย้ ังไงมึงมาจีบกกู ่อนแลว้ กเู องก็ม่ันใจว่า
กูมีดีไม่แพ้ใคร พ่อมึงมีสิทธิ์ไรมาไม่ยอมรับในตัวกู ถ้ามึงคิดว่าพ่อ
มึงค่อนข้างเปิดกว้างเขาอาจจะแค่ยังตั้งตวั ไม่ทันก็ได้เราแค่ค่อย ๆ
เป็นค่อย ๆ ไปค่อย ๆ ชินเหมือนที่มงึ เคยพดู กับแฟนคลับไง
สอง : ดีจงั อะทไ่ี ดร้ ักลงุ อะ
(คณุ หมปี าฏิหาริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 12)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาไดจ้ ากคำบง่ ชี้ชักชวน คือ เรามาทำใหพ้ ่อยอมรบั กนั เถอะ ผูส้ นทนาใช้ถ้อยคำนี้เพ่อื การกล่าว
ทม่ี เี จตนากล่าว เพ่ือชแ้ี จงใหผ้ สู้ นทนาทำหรือปฏบิ ตั ิโดยอาจจะเป็นการแนะนำแนวทางให้ปฏิบัตติ ามหรือนำไป
ปฏิบัติตาม เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพดู ว่า กูลุงอย่าพึง่ ถอดใจนะ เดี๋ยวผมจะลองคุยกับพ่อดูก่อนเรามาทำให้
พอ่ ยอมรับกนั เถอะ ยังไงผมกไ็ ม่ ยอมแพ้ ลุงก็ไม่คิดจะยอมเหมอื นกนั ใชไ่ หม หมายความวา่ ผู้สนทนาชกั ชวนให้
คู่สนทนาร่วมกับตนในการทำให้พ่อยอมรับในความสัมพันธ์แบบชายรักชาย ในบริบทที่ทั้งคู่กำลังคบหาดูใจ
กันอยู่
1.1.2.5 คำสง่ั เป็นวจั นกรรมทผ่ี ู้สนทนามเี จตนาบงั คบั เพื่อใหท้ ำหรอื ปฏิบัติตามท่ีตน
ตอ้ งการหรือตามท่ีตนกำหนด มจี ำนวน 1 บทสนทนา ดังต่อไปน้ี
สอง : รกั นะลุง รกั นะลุง รกั นะลุง
เกณสิทธ์ิ : หยุด เดี๋ยวพยาบาลไดย้ ินเข้า
44
สอง : รกั นะลงุ รกั นะลุง
เกณฑ์สิทธิ์ : หยุด กูบอกให้มึงเงียบไง เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน เคปะ
(กระซบิ )
สอง : แต่ผมรกั ลุงจริง ๆ นะ
(คุณหมปี าฏหิ ารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 6)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพจิ ารณาไดจ้ ากคำบ่งช้ีคำสง่ั คือ หยุด/ หยดุ กูบอกให้มงึ เงียบไง ผสู้ นทนาใชถ้ อ้ ยคำนี้เพ่อื การกล่าวที่
มเี จตนากลา่ ว เพ่อื บงั คับให้ทำหรือปฏิบตั ติ ามท่ตี นต้องการหรอื ตามทต่ี นกำหนด เหน็ ได้จากการที่ผู้สนทนาพูด
ว่า หยุด เดี๋ยวพยาบาลได้ยินเข้า หยุด กูบอกให้มึงเงียบไง เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน เคปะ หมายความว่า ผู้สนทนา
สั่งให้คูส่ นทนาหยุดเพราะไมอ่ ยากใหค้ นอื่นได้ยนิ ในบริบทที่ผู้สนทนาทัง้ สองกำลังบอกรักกันซึง่ เป็นสิ่งที่แสดง
ถงึ การยอมรบั ความสมั พนั ธ์แบบชายรักชายแตไ่ มอ่ ยากใหค้ นอ่นื รู้
1.1.2.6 ทา้ ทาย เป็นวจั นกรรมท่ีผ้สู นทนามีเจตนาอยากทดลองความรคู้ วามสามารถ
หรือลองเชิง มีลักษณะการพูดที่แข็งกร้าวไม่อ่อนโยนหรือแสดงว่าตนเองไม่เชื่อ มีจำนวน 1 บทสนทนา
ดังตอ่ ไปนี้
รุ่นพี่ : เฮ้ย ทำไมมึงไม่ไปเข้าห้องน้ำหญิงว่ะ หรือมึงอยากดูของ
พวกกู
ณัฐ : (เดินหน)ี
รนุ่ พี่ : พอ่ มงึ รปู้ ะ่ เนี่ย ไอตุ๊ด
รุ่นพี่ : ว่าไงค่าบไอตุ๊ด สู้กูไหวหรอ เรียกพี่หนึ่งในดวงใจของมึงอะ
มาชว่ ยดกี ว่ามั้ย
ร่นุ พี่ : วู้วไอตุ๊ด
ตาธาร : (โยนบาส) นี่ห้องน้ำไม่ใช่คอกหมา แต่ถ้าพวกมึงอยาก
หมาหมไู่ ปเจอกูในสนามกูต่อให้
(คุณหมีปาฏหิ าริย์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 5)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้ท้าทาย คือ ถ้าพวกมึงอยากหมาหมู่ไปเจอกู ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการ
กล่าวที่มีเจตนากล่าวเพื่ออยากทดลองความรู้ความสามารถหรือลองเชิง มีลักษณะการพูดที่แข็งกร้าวไม่
อ่อนโยน เห็นได้จากการทีผ่ ู้สนทนาพูดว่า (โยนบาส) นี่ห้องน้ำไม่ใช่คอกหมา แต่ถ้าพวกมึงอยากหมาหมูไ่ ปเจอ
กูในสนามกูต่อให้ หมายความว่า ผู้สนทนาท้าทายคู่สนทนาให้ไปเจอกันในสนามบาสเพื่อแข่งกันในบริบท
45
ที่ผสู้ นทนามีเจตนาจะปกป้องพรี ณฐั จากการโดนรงั แกจากกลุ่มเพือ่ นเพราะเป็นเกย์ แสดงให้เหน็ ถึงการยอมรับ
ความสมั พนั ธ์แบบชายรักชายของผสู้ นทนา
1.1.3 วัจนกรรมผูกมัด (commissives) เป็นถ้อยคำที่แสดงถึงความพยายามของผู้สนทนาที่
ต้องการกระทำบางอย่างเพื่อผลประโยชน์ของผู้สนทนาด้วยเจตนาที่จะผูกมัดให้ยอมรับในความสัมพันธ์แบบ
ชายรักชาย พบวัจนกรรมผูกมัด เป็นจำนวน 6 บทสนทนา คิดเป็นร้อยละ 4 โดยใช้วัจนกรรมผูกมัด 3
รปู แบบวจั นกรรมได้แก่ แสดงความต้งั ใจ สญั ญา และปลอบโยน ดงั น้ี
1.1.3.1 แสดงความตง้ั ใจ เป็นวจั นกรรมท่ีผสู้ นทนามีเจตนาแสดงใหเ้ ห็นวา่ จะกระทำ
การบางอย่างเพื่อคู่สนทนาอยา่ งมุ่งมั่นอยา่ งใจจดใจจอ่ ต่อสิ่งท่ีจะกระทำด้วยความตั้งมั่นและ
สนใจ มีจำนวน 3 บทสนทนา ดงั ต่อไปนี้
บทสนทนาท่ี 1
เกณฑส์ ิทธิ์ : น่มี ึงแก้งานแล้วเหรอวะ
พีรณัฐ : เออ นี่กูเติมมาเอาใจพี่เจือสุด ๆ เลย ถ้ารอบนี้ไม่ผ่านนะ
ไมร่ จู้ ะพดู ยังไงเลย
เกณฑ์สิทธิ์ : ดูมึงอยากทำเรื่องนี้จังวะ มีอะไรในใจรึเปล่า First
Love หรอื ว่า
พีรณัฐ : หรือว่าอะไรของมึง ก็โอกาสมันมาพอดี กูอยากทำเรื่องนี้
นานละ กูวา่ มนั ก็ถึงเวลาแล้ววะ
เกณฑส์ ทิ ธิ์ : เวลาอะไรของมงึ วะ
พีรณฐั : เวลาประชมุ ไง
(คุณหมีปาฏิหารยิ ์ The Miracle Of Teddy Bear ตอนท่ี 2)
จะเห็นได้ว่าบทสนทนาข้างต้นเป็นวัจนกรรมการยอมรับความสัมพันธ์แบบชายรัก
ชายโดยพิจารณาได้จากคำบ่งชี้แสดงความตั้งใจ คือ กูว่ามันก็ถึงเวลาแล้ววะ ผู้สนทนาใช้ถ้อยคำนี้เพื่อการ
กลา่ วท่ีมเี จตนากลา่ วเพือ่ แสดงให้เห็นวา่ จะกระทำการบางอยา่ งเพอ่ื ค่สู นทนาอย่างมงุ่ มั่นอยา่ งใจจดใจจ่อต่อส่ิง
ที่จะกระทำ เห็นได้จากการที่ผู้สนทนาพูดว่า หรือว่าอะไรของมึง ก็โอกาสมันมาพอดี กูอยากทำเรื่องนี้นานละ
กูว่ามันก็ถึงเวลาแล้ววะ หมายความว่า ผู้สนทนามีเจตนาที่แสดงความตั้งมั่นอย่างตั้งใจที่จะสื่อสารเรื่องราว
ความรกั ของตนเองที่แฝงไปด้วยการเรียกรอ้ งให้เกิดการยอมรับความสมั พนั ธแ์ บบชายรกั ชาย
บทสนทนาที่ 2
พีรณัฐ : กูลองคิดเปรียบเทียบดูแล้วนะ ระหว่างไม่มีมึงอยู่ข้าง ๆ
กบั มมี ึงแตก่ ูต้องคอยระแวงตลอด
เตา้ หู้ : พณ่ี ฐั เลอื กอย่างหลงั หรอฮะ