The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

for Thai Traditional Medicine Students. Sirindhorn Collage of Public Health, Yala.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chainarong, 2021-11-25 05:29:45

Botany

for Thai Traditional Medicine Students. Sirindhorn Collage of Public Health, Yala.



คำนำ

หนังสือพฤกษศาสตร์ (Botany) เลม่ น้ีเปน็ ฉบบั ปรบั ปรงุ โดยมีการปรบั เปลีย่ นการจัดลาดบั
เนือ้ หาตามลาดับสาระการเรียนรู้ ทั้งดา้ นสัณฐานวทิ ยาของพืช เซลล์พน้ื ฐานของพืช หลักการจาแนก
พืชตามอนุกรมวิธาน ช่ือวิทยาศาสตร์และความสาคัญของช่ือวิทยาศาสตร์ โดยเน้นพืชท่มี ีคุณค่าใน
ท้องถิ่น ศึกษาความหลากหลายทางชวี ภาพ การอนุรกั ษ์ฟ้ืนฟู และการใชป้ ระโยชน์จากพืชอยา่ งยั่งยืน
โดยคานงึ ถงึ วฒั นธรรม ความเชอื่ และภมู ปิ ญั ญาท้องถิ่น การขยายพนั ธุ์ เพาะพนั ธ์ุ การจดั การข้อมลู
และแหล่งเรียนรู้เก่ยี วกบั พืชท้องถน่ิ

หนังสือเล่มนี้ จะยึดหลักการจัดหมวดหมู่ตามแนวติดของ Englerian school ซ่ึงจาแนกพืช
ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 : Thallophytes เป็นพืชที่ยังไม่มีราก ลาต้น และใบท่ีแท้จริง ยังไม่มี
ระบบในการลาเลียงน้าและอาหาร ส่วนใหญ่สืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ ได้แก่ แบคทีเรีย เห็ด รา ไล
เคน และ สาหร่าย กลุ่มที่ 2 : Bryophytes และ Pteridophytes โดยพืชในกลุ่ม Bryophytes
เป็นกลุ่มท่ีมีลาต้นและใบท่ีแท้จริงแล้ว แต่ยังไม่มีระบบราก ได้แก่ มอส และ ลิเวอร์เวิร์ท ส่วนกลุ่ม
Pteridophytes จัดเป็นพืชท่ีมีท่อลาเลียงน้าและอาหาร มีราก ลาต้น และใบท่ีแท้จริง แต่ส่วนใหญ่
ยังคงสืบ พั น ธุ์ด้วยการใช้อับ เรณู (spore) เช่น ห ญ้ าถอดป ล้อง เฟิ ร์น และกลุ่ม ท่ี 3 :
Spermatophytes เป็นพืชที่มีท่อลาเลียงน้าและอาหารสมบูรณ์ มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศโดย
การสร้างเมลด็

และเน่ืองจากพืชในกลุ่ม Thallophytes นี้แทบจะไม่มีการนามาใช้เป็นสมุนไพรเลย จึงขอไม่
ลงรายละเอยี ดของพชื ในแตล่ ะวงศ์

ผเู้ รยี บเรียงหวงั ว่าหนงั สือเลม่ นจี้ ะเป็นประโยชน์แก่ผสู้ นใจได้เป็นอยา่ งดี

ชยั ณรงค์ ชูทอง
วทิ ยาลยั การสาธารณสุขสิรนิ ธร จังหวัดยะลา

พฤษภาคม 2556



กิตติกรรมประกำศ

ในการจัดทาหนงั สือเลม่ นี้ผู้จดั ทาขอขอบพระคุณผ้มู สี ่วนเก่ยี วข้องในการจดั ทาหนงั สือเล่มนี้
ให้เสรจ็ สมบูรณ์ อนั ได้แก่

คณาจารย์ ในกลุ่มงานหลกั สูตรเทคนิคเภสชั กรรม วทิ ยาลัยการสาธารณสุขสริ ินธร
จังหวดั ยะลา ในการเปน็ กาลงั ใจ รวมทงั้ เป็นแรงกระตุน้ ทสี่ าคัญ ในการจัดทาผลงานชนิ้ น้ีข้ึน

ผู้ทรงคณุ วุฒิ จากคณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น อนั ได้แก่ ผศ.ดร.ศรสี มร ปรเี ปรม
ผศ.ศภุ ชยั ติยวรนนั ท์ และ ผศ.ดร.ประธาน ฦๅชา ท่ใี ห้ความกรุณาเสยี สละเวลาในการอ่าน วิพากษ์
ผลงาน รวมท้ังใหข้ ้อเสนอแนะในการพฒั นาผลงานท้ังทางดา้ นเนื้อหา สาระสาคญั รวมท้ังการใชภ้ าษา
ที่ถูกต้อง ทาใหส้ ามารถพฒั นาหนังสอื เล่มน้มี ีความสมบรู ณ์มากยง่ิ ข้นึ

กาลงั ใจ และความกรุณาจากผเู้ กี่ยวขอ้ งทกุ ทา่ น เป็นแรงขับเคลื่อนในการสรา้ งผลงานช้นิ นี้
และผู้จัดทาหวงั เปน็ อย่างย่งิ ว่าผลงานช้นิ นจ้ี ะเป็นประโยชนใ์ นการเพิ่มพนู ความรู้ด้านพฤกษศาสตร์
ทั้งในด้านการจดั การเรียนการสอน และผสู้ นใจท่วั ไป

ชัยณรงค์ ชทู อง
วทิ ยาลยั การสาธารณสขุ สิรินธร จังหวดั ยะลา

พฤษภาคม 2556

สำรบัญ ค

คำนำ หน้ำ

กติ ตกิ รรมประกำศ

บทท่ี 1 ควำมรู้ทว่ั ไปเก่ียวกับวิชำพฤกษศำสตร์
พฤกษศาสตร์พนื้ บ้าน 1
พชื สมนุ ไพร 3
การแบง่ ประเภทสมุนไพร 6
9
บทที่ 2 เซลล์วทิ ยำของพืช
เซลล์พชื 11
เนอื้ เยอื่ พืช 11
15
บทที่ 3 สณั ฐำนวิทยำของพืช
หลกั การศึกษาสณั ฐานวิทยาของพชื 20
คาศัพทท์ างสณั ฐานวิทยา 20
การตรวจสอบเอกลักษณ์พืช 21
การเขยี นสูตรดอกหรือแผนภาพดอก 62
64
บทท่ี 4 พฤกษอนกุ รมวธิ ำน
ประวัติของพฤกษอนุกรมวิธาน 56
ลาดบั ในการจัดหมวดหมู่ของสิ่งมชี วี ติ (Taxonomic category) 56
การตรวจสอบเอกลกั ษณ์ ลักษณะ และการวนิ จิ ฉยั ชื่อพืช 60
ช่อื วิทยาศาสตรแ์ ละความสาคัญของช่อื วทิ ยาศาสตร์ 62
63

สำรบญั (ตอ่ ) ง

บทท่ี 5 วงศพ์ ชื หน้ำ
ตวั อย่างวงศ์พชื จาพวก Pteridophyte
ตวั อย่างวงศ์พืช จาพวกพืชเมล็ดเปลือย (Gymnosperms) 80
ตวั อยา่ งวงศ์พืช จาพวกพืชมดี อก (Angiosperms) 80
วงศพ์ ืชใบเล้ยี งคู่ (Class Dicoteledoneae) 85
กลุม่ Apetalae 89
กลุ่ม Polypetalae 89
กลุ่ม Synpetalae 89
วงศ์พชื ใบเล้ียงเด่ยี ว (Class Monocoteledoneae) 95
118
บทที่ 6 กำรเผยแพร่ อนรุ กั ษ์ ฟ้นื ฟูควำมรู้ด้ำนพฤกษศำสตร์ 128
พิพิธภณั ฑ์พืช
สวนพฤกษศาสตร์ 140
ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ 140
148
เอกสำรอ้ำงองิ 150

159



ภำพท่ี 2.1 สำรบญั ภำพ หนำ้
ภำพท่ี 2.2 12
ภำพท่ี 2.3 แสดงลกั ษณะของเซลล์พืช 15
ภำพที่ 3.1 แสดงลักษณะของเนื้อเย่ือพืชในส่วนตา่ งๆ 19
ภำพท่ี 3.2 แสดงส่วนตา่ งๆ ของเนือ้ เยื่อพืช 21
ภำพที่ 3.3 แสดงระบบรากของพชื 22
ภำพท่ี 3.4 แสดงรากทีเ่ ปลี่ยนแปลงไปรปู แบบตา่ งๆ 24
ภำพท่ี 3.5 แสดงสว่ นตา่ งๆ ของลาตน้ 25
ภำพที่ 3.6 แสดงลกั ษณะวิสยั พืช (Plant habit) 26
ภำพที่ 3.7 แสดงลาตน้ ทเี่ ปลี่ยนแปลงไป (Modified stem : over-ground stem) 27
ภำพที่ 3.8 แสดงลาตน้ ท่เี ปลีย่ นแปลงไป (Modified stem : underground stem) 28
ภำพที่ 3.9 แสดงโครงสรา้ งและส่วนประกอบของใบ 30
ภำพที่ 3.10 แสดงชนดิ ของใบ 32
ภำพท่ี 3.11 แสดงรูปรา่ งของใบ (Leaf shape) 34
ภำพที่ 3.12 แสดงลกั ษณะของปลายใบ (Leaf-apex) และฐานใบ (Leaf-base) 35
ภำพท่ี 3.13 แสดงลักษณะของขอบใบ (Leaf-margin) 36
ภำพที่ 3.14 แสดงลกั ษณะการจัดเรยี งตัวของเส้นใบ 37
ภำพท่ี 3.15 แสดงลักษณะการจัดเรียงตัวของใบ (Leaf arrangement) 38
ภำพท่ี 3.16 แสดงใบท่ีเปลี่ยนแปลงเพ่อื ทาหน้าทพ่ี ิเศษ (Modified leaf) 39
ภำพที่ 3.17 แสดงส่วนประกอบต่างๆ ของดอก 42
ภำพที่ 3.18 แสดงชอ่ ดอกแบบต่างๆ 43
ภำพที่ 3.19 แสดงรปู ร่างของดอก (Flower shape) 44
ภำพที่ 3.20 แสดงลกั ษณะการตดิ ของอบั เรณู และการแตกของอบั เรณู 45
ภำพท่ี 3.21 แสดงชนิดของรังไข่ 46
ภำพที่ 3.22 แสดงผลเดยี่ ว ชนิดผลสด 48
ภำพท่ี 3.23 แสดงผลแหง้ (A = ชนิดแก่ไมแ่ ตก B = ชนิดแก่แลว้ แตก) 49
ภำพท่ี 4.1 แสดงชนดิ ของผล (ผลเด่ยี ว ผลกลุ่ม ผลรวม) 50
แสดงลกั ษณะทางสัณฐานวทิ ยาของพชื ในส่วนต่างๆ (Plate 1-12) 71
แสดง Bessey’s cactus บอกความสมั พนั ธต์ ามววิ ัฒนาการของพชื
ตามแนวคิดของ Bessey

สำรบญั ภำพ (ตอ่ ) ฉ

ภำพที่ 5.1 แสดงลกั ษณะของพชื ในวงศ์ LYCOPODIACEAE หนำ้
ภำพท่ี 5.2 แสดงลักษณะของพืชในวงศ์ SELAGINELLACEAE 81
ภำพที่ 5.3 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ EQUISETACEAE 81
ภำพที่ 5.4 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ POLYPODIACEAE 82
ภำพที่ 5.5 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ MARATTIACEAE 83
ภำพท่ี 5.6 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ MARSILEACEAE 84
ภำพที่ 5.7 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ CYCADACEAE 84
ภำพที่ 5.8 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ GINKGOACEAE 85
ภำพท่ี 5.9 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ PINACEAE 86
ภำพท่ี 5.10 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ GNETACEAE 87
ภำพท่ี 5.11 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ CASUARINACEAE 88
ภำพท่ี 5.12 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ PIPERACEAE 89
ภำพที่ 5.13 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ SAURURACEAE 90
ภำพที่ 5.14 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ CHLORANTHACEAE 90
ภำพที่ 5.15 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ SALICACEAE 91
ภำพท่ี 5.16 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ BETULACEAE 92
ภำพท่ี 5.17 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ MORACEAE 93
ภำพที่ 5.18 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ AMARANTHACEAE 94
ภำพที่ 5.19 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ MAGNOLIACEAE 94
ภำพที่ 5.20 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ ANNONACEAE 95
ภำพที่ 5.21 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ LAURACEAE 96
ภำพที่ 5.22 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ MENISPERMACEAE 97
ภำพท่ี 5.23 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ NYMPHAEACEAE 98
ภำพที่ 5.24 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ NELUMBONACEAE 99
ภำพที่ 5.25 แสดงลกั ษณะของพชื วงศย์ อ่ ย MIMOSOIDEAE 100
ภำพที่ 5.26 แสดงลกั ษณะของพชื วงศย์ อ่ ย FABOIDEAE 101
ภำพที่ 5.27 แสดงลักษณะของพืชวงศย์ ่อย CAESALPINIOIDEAE 102
ภำพที่ 5.28 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ MYRISTICACEAE 103
ภำพที่ 5.29 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ BRASSICACEAE (CRUCIFERAE) 104
105

สำรบัญภำพ (ต่อ) ช

ภำพที่ 5.30 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ ROSACEAE หน้ำ
ภำพท่ี 5.31 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) 106
ภำพที่ 5.32 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ DIPTEROCARPACEAE 107
ภำพที่ 5.33 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ LYTHRACEAE 108
ภำพท่ี 5.34 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ COMBRETACEAE 109
ภำพที่ 5.35 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ MYRTACEAE 110
ภำพที่ 5.36 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ MALVACEAE 111
ภำพท่ี 5.37 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ STERCULIACEAE 112
ภำพท่ี 5.38 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ RUTACEAE 113
ภำพที่ 5.39 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ MELIACEAE 114
ภำพที่ 5.40 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ EUPHORBIACEAE 115
ภำพท่ี 5.41 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ SAPINDACEAE 116
ภำพที่ 5.42 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ CUCURBITACEAE 117
ภำพท่ี 5.43 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ SAPOTACEAE 118
ภำพที่ 5.44 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ APOCYNACEAE 119
ภำพที่ 5.45 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ ASCLEPIADACEAE 120
ภำพที่ 5.46 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ RUBIACEAE 121
ภำพท่ี 5.47 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ CONVOLVULACEAE 122
ภำพท่ี 5.48 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ SOLANACEAE 123
ภำพท่ี 5.49 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ BIGNONIACEAE 124
ภำพท่ี 5.50 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ ACANTHACEAE 125
ภำพที่ 5.51 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ LAMIACEAE (LABIATAE) 126
ภำพที่ 5.52 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ ASTERACEAE (COMPOSITAE) 127
ภำพที่ 5.53 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ LILIACEAE 128
ภำพที่ 5.54 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ SMILACACEAE 129
ภำพท่ี 5.55 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ AMARYLIDACEAE 130
ภำพที่ 5.56 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ DIOSCOREACEAE 131
ภำพท่ี 5.57 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ ARECACEAE (PALMAE) 132
ภำพที่ 5.58 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ ARACEAE 133
134

สำรบญั ภำพ (ต่อ) ซ

ภำพที่ 5.59 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ ZINGIBERACEAE หน้ำ
ภำพที่ 5.60 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ MUSACEAE 135
ภำพท่ี 5.61 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ ORCHIDACEAE 136
ภำพที่ 5.62 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ POACEAE (GRAMINAE) 137
ภำพที่ 5.63 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ CYPERACEAE 138
ภำพที่ 6.1 แสดงลาดับการจัดวางตัวอยา่ งพืชสาหรบั การอดั แหง้ 139
ภำพท่ี 6.2 แสดงลักษณะการจดั วางตวั อยา่ งพชื สาหรบั การผึ่งแหง้ 145
ภำพที่ 6.3 แสดงลักษณะการตดิ พนั ธไุ์ ม้ลงบนกระดาษ 146
ภำพที่ 6.4 แสดงวธิ ีการเก็บรกั ษาพืชสาหรบั เปน็ แบบวาดภาพ 147
ภำพที่ 6.5 แสดงตวั อย่างการลงสีภาพทางพฤกษศาสตร์ 155
ภำพท่ี 6.6 แสดงตวั อย่างภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ทเ่ี สร็จสมบรู ณ์ 157
158

1

บทท่ี 1 : ควำมรทู้ ่วั ไปเก่ยี วกับวชิ ำพฤกษศำสตร์

พฤกษศำสตร์ (Botany) เป็นสาขาวิชาหน่ึงของชีววิทยา อันเกี่ยวข้องกับพืชและการ
เจริญเติบโต บางครั้งเรียกว่า ชีววิทยาของพืช ที่ว่าด้วยเรื่องขอบเขตการศึกษาครอบคลุมสิ่งมีชีวิตใน
อาณาจักรพืช สาหร่าย และเห็ดรา ศึกษาท้ังในด้านโครงสร้าง การเจริญเติบโต การสืบพันธุ์
เมแทบอลิซึม โรค และคุณสมบัติทางเคมีและความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการระหว่างกลุ่มต่างๆ
การศึกษาทางด้านพฤกษศาสตร์เริ่มต้นจากความรู้ที่สืบต่อกันมา จากการจาแนกพืชที่กินได้ พืช
สมุนไพรและพืชมีพิษ เป็นศาสตร์ท่ีเก่าแก่สาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ จากความสนใจในเร่ืองพืชของ
บรรพชนทาให้ปัจจุบันมีการจาแนกส่ิงมีชีวิตในกลุ่มพืช สาหร่าย และเห็ดรา แล้วมากกว่า 550,000
ชนดิ

นอกจากนี้คาว่าพฤกษศาสตร์ยังมีความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.
2542 ว่า วิชาวา่ ด้วยต้นไม้ โดยพฤกษศาสตร์มาจากคาว่า พฤกษ (พฺรกึ สะ) หมายถึงตน้ ไม้ มรี ากศัพท์
มาจากภาษากึ่งบาลีก่ึงสันสกฤตจาก วฺฤกฺษ ในภาษาสันสกฤตและ รุกฺข ในภาษาบาลี กับคาว่า
ศาสตร์ (สาด) หมายถึงระบบวชิ าความรู้ มรี ากศพั ทม์ าจากภาษาสันสกฤต

ขอบเขตและควำมสำคญั ของพฤกษศำสตร์
การศึกษาทางพฤกษศาสตร์ หรือการศึกษาเก่ียวกับพืชน้ันก็มีลักษณะการศึกษาเช่นเดียวกับ

การศึกษาสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ โดยสามารถศึกษาในหลายแง่มุม ท้ังในด้านโมเลกุล พันธุศาสตร์ หรือ
ชีวเคมี และศกึ ษาได้ตั้งแต่ระดับออร์แกเนลล์ เซลล์ เนื้อเย่ือ อวัยวะ ต้นพืช ประชากร ไปจนถึงระดับ
ชุมชนหรือสังคมของพืช ในแต่ละระดับเหล่านี้นักพฤกษศาสตร์อาจสนใจศึกษาได้ท้ังในด้านการจัด
หมวดหมู่ (อนุกรมวิธาน) ด้านโครงสร้าง (กายวิภาคศาสตร์) หรือด้านหน้าท่ี (สรีรวิทยา) ของส่วน
ตา่ งๆ ของพืช

ในอดีตน้ัน ส่ิงมีชีวิตทั้งหมดจะถูกจาแนกให้อยู่ในกลุ่มพืชหรือกลุ่มสัตว์ พฤกษศาสตร์จึง
ครอบคลุมส่ิงมีชีวิตท้ังหมดทไี่ มไ่ ด้ถูกพจิ ารณาให้อยู่ในกลมุ่ สตั ว์ สิ่งมชี ีวิตบางจาพวกซึ่งครั้งหน่ึงเคยอยู่
ในสาขาพฤกษศาสตร์ได้ถูกจัดแยกไปอยู่ในอาณาจักรอ่ืนๆ ได้แก่ เห็ดรา (วิทยาเห็ดรา) แบคทีเรีย
(วทิ ยาแบคทเี รีย) ไวรัส (วทิ ยาไวรัส) และสาหร่ายเซลล์เดียว ซ่งึ กล่มุ สาหร่ายเซลล์เดียวถูกจัดเป็นสว่ น
หนึ่งของโพรทิสตาในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม นักพฤกษศาสตร์ยังคงให้ความสาคัญกับส่ิงมีชีวิตเหล่าน้ี
โดยเปน็ เนอื้ หาสว่ นหนง่ึ ในวิชาพฤกษศาสตร์เบื้องต้น

การศึกษาพืชมีความสาคัญมากเพราะพืชเป็นส่ิงมีชีวิตชนิดแรกๆ บนโลก พืชสร้างแก๊ส
ออกซิเจน อาหาร เช้ือเพลิง และยา ซ่ึงทาให้สิ่งมีชีวิตช้ันสูงกว่ารวมทั้งมนุษย์สามารถดารงชีวิตอยู่ได้
พืชยังดูดกลืนแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ในกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง ซ่ึงเป็นแกส๊ ท่เี ปน็ สาเหตุของ
ปรากฏการณ์เรือนกระจก ความรู้และความเข้าใจเก่ียวกบั พืชมคี วามสาคญั ต่ออนาคตของสังคมมนุษย์
ดงั ต่อไปนี้

2

 การผลิตอาหารใหแ้ กป่ ระชากรมนุษยท์ ีก่ าลงั เพิม่ จานวนมากขน้ึ
 ความเขา้ ใจในกระบวนการพ้ืนฐานของชวี ติ
 การผลิตยาและวสั ดุต่างๆ เพื่อรกั ษาโรคภัยไขเ้ จ็บและโรคดา้ นอนื่ ๆ
 ความเข้าใจในการเปล่ยี นแปลงของส่งิ แวดลอ้ ม

กำรผลิตอำหำรให้แกโ่ ลก
อาหารแทบทุกชนิดท่ีเรารับประทานมาจากพืชอย่างเช่นข้าว ซ่ึงเป็นเหตุผลหน่ึงท่ีทาให้

สาขาวิชาพฤกษศาสตร์เป็นหัวข้อการศึกษาวิจัยที่สาคัญ ความจริงแล้วอาหารทุกอย่างท่ีเรา
รับประทานล้วนมาจากพืช ท้ังโดยตรงจากอาหารหลักจาพวกแป้ง ข้าว รวมทั้งผักและผลไม้ หรือโดย
ออ้ มผ่านทางปศุสัตว์ซง่ึ กินพืชเป็นอาหาร ความหมายอีกนัยหน่งึ คือ พืชเป็นรากฐานของห่วงโซ่อาหาร
เกือบทุกห่วงโซ่ หรือท่ีนักนิเวศวิทยาเรียกว่า ลาดับข้ันแรกของอาหาร ความเข้าใจในการผลิตอาหาร
ของพชื มีความสาคัญต่อการผลิตอาหารใหแ้ ก่คนทั่วโลก และเกบ็ รักษาอาหารไว้สาหรบั อนาคต แตพ่ ืช
ไม่ได้มีประโยชน์ต่อมนุษย์ทุกชนิด วัชพืชบางชนิดสร้างปัญหาในการเกษตรกรรม และนัก
พฤกษศาสตร์ก็พยายามศกึ ษาเพ่ือหาวิธีลดผลกระทบใหน้ ้อยท่สี ุด

ควำมเข้ำใจในกระบวนกำรพน้ื ฐำนของชวี ิต
พืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมและสะดวกต่อการศึกษากระบวนการพ้ืนฐานต่างๆของสิ่งมีชีวิต

(ตัวอย่างเช่น การแบ่งเซลล์ และการสังเคราะห์โปรตนี ) โดยไม่มีปัญหาทางจริยธรรมจากการศึกษาใน
สัตว์หรอื มนษุ ย์ กฎการถ่ายทอดทางพนั ธุกรรมของเกรเกอร์ เมนเดล ก็ถูกค้นพบโดยการศึกษาด้วยวิธี
น้ี โดยศกึ ษาจากการถ่ายทอดลักษณะของถัว่

กำรผลติ ยำและวัสดุต่ำงๆ
ยาบาบัดโรคและสารท่ีมีผลต่อประสาทอย่างเชน่ กัญชา คาเฟอีน และนิโคติน ส่วนใหญ่แล้ว

ได้มาจากพืชโดยตรง ตัวอย่างเช่น ยาแอสไพริน ซึ่งสกัดจากสารจากเปลือกของต้นหลิว อาจมีวิธี
บาบัดโรคภัยไขเ้ จ็บโดยใชพ้ ืชอกี หลายวิธที ี่ยงั รอการค้นพบอยู่ เคร่อื งด่ืมทนี่ ิยมอยา่ งกาแฟ ชอ็ คโกแลต
และชา ก็มาจากพืชเช่นกัน เคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่ก็ได้จากการหมักพืชอย่างเช่นข้าวบาร์เลย์
มอลต์ และองุน่

นอกจากน้ี พืชยังเป็นแหล่งของวัสดุธรรมชาตมิ ากมาย เชน่ ฝา้ ย ไม้ กระดาษ ลินิน น้ามันพืช
และยาง ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมจะไม่เกิดข้ึนหากไม่มีการเพาะปลูกต้นหม่อน และไม่นานมาน้ี อ้อยและพืช
อนื่ ๆกถ็ ูกใช้เป็นแหลง่ ของเชอ้ื เพลิงชวี ภาพ ซ่งึ เปน็ ทางเลือกใหม่นอกเหนือไปจากเชอ้ื เพลิงฟอสซลิ

ควำมเข้ำใจในกำรเปลีย่ นแปลงของสงิ่ แวดลอ้ ม
พืชสามารถทาใหเ้ ราเขา้ ใจการเปลย่ี นแปลงในส่ิงแวดลอ้ มได้จากหลายทาง ได้แก่
 ความเข้าใจในการทาลายถ่ินที่อยู่อาศัย และการสูญพันธ์ุของส่ิงมีชีวิต มีความสาคัญต่อการ
จัดหมวดหมู่และการศึกษาอนกุ รมวธิ านของพชื ไดอ้ ย่างถูกต้องและสมบรู ณ์
 พชื มกี ารตอบสนองต่อรังสีอัลตราไวโอเลต จึงใชศ้ ึกษาและตรวจสอบการลดลงของโอโซนได้

3

 การศึกษาวิเคราะห์ละอองเกสรจากซากดึกดาบรรพ์ของพืช ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์จาลอง
สภาพภูมิอากาศในอดีต และทานายสภาพอากาศในอนาคตได้

 การบันทึกและวิเคราะห์ช่วงเวลาของวัฏจักรชีวิตของพืช มีความสาคัญต่อการศึกษา
ปรากฏการณแ์ ละการเปลี่ยนแปลงของภมู อิ ากาศ

 ไลเคน ซึ่งเปน็ สง่ิ มีชวี ิตทไ่ี วตอ่ สภาพอากาศ สามารถใชต้ รวจวัดมลภาวะได้

เภสัชพฤกษศำสตร์ (Pharmaceutical Botany)
เภสัชพฤกษศาสตร์ (Pharmaceutical Botany) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพืชสมุนไพรที่มี

สารสาคัญซ่ึงออกฤทธ์ิทางเภสัชวิทยา หรือเป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาพืชท่ีใช้เป็นยา โดยมีขอบเขต
ครอบคลุมถึงรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพืชสมุนไพร ได้แก่ สัณฐานวิทยา พฤกษอนุกรมวิธาน
การเก็บตัวอย่างพันธุ์ไม้ สารสาคัญในสมุนไพร การคัดเลือกพันธ์ุ การขยายพันธุ์ การปลูก การเก็บ
เกี่ยว การแปรสภาพ การเก็บรักษา การควบคุมคุณภาพยาที่ผลิตจากสมุนไพร รวมทั้งการสืบค้นและ
การอ้างอิงขอ้ มลู ทางเภสัชพฤกษศาสตร์

ประเทศไทยเอง มีการใช้สมุนไพรเป็นยาบาบัดโรคเป็นภูมิปัญญาท่ีสืบทอดกันมา และมีการ
ใช้สารธรรมชาติในการบาบัดโรคมานาน แต่ปัจจุบันการใช้ยังมีข้อจากัด เน่ืองจากขาดการศึกษาวิจัย
เพื่อทราบข้อมูลทั้งทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยาที่เพียงพอ ดังน้ันการศึกษาความรู้ทางสมุนไพรในการ
ใช้เป็นยา (Pharmacognosy) ความรู้ทางพฤกษศาสตร์ (Botany) และความรู้ทางเภสัชวิทยา
(Pharmacology) จะเป็นการกระตุ้นใหเ้ ห็นความสาคัญและการผสมผสานความรู้ทาให้สามารถเข้าใจ
การใชส้ มุนไพร และพ่งึ พาตนเองดา้ นสมุนไพรไดม้ ากขน้ึ

พฤกษศำสตรพ์ น้ื บำ้ น (Folk botany / Ethnobotany)
พฤกษศาสตร์พ้ืนบ้าน เป็นศาสตร์ท่ีมีความสาคัญอีกสาขาหน่ึงของวิชาพฤกษศาสตร์ ตรงกับ

นิยามศัพท์ภาษาอังกฤษว่า "Ethnobotany" เรียกกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) จาก
การศึกษาพันธ์ุไม้ที่ชาวพ้ืนเมืองท้องถ่ินนามาใช้ประโยชน์ของ ดร.จอห์น ดับเบิลยู ฮาร์ชเบอร์เกอร์
(Dr. John W. Harshberger) พฤกษศาสตร์พ้ืนบ้านเป็นคาผสมระหว่าง "พฤกษศาสตร์" หมายถึง
วิชาท่ีศึกษาในเร่ืองพืช และ "พ้ืนบ้าน" หมายถึง กลุ่มชนใด กลุ่มชนหนึ่งที่มีเอกลักษณ์อย่างใดอย่าง
หนึ่งรว่ มกนั อาจจะเป็นการดารงชีพ ใชภ้ าษาท้องถิ่นเดียวกัน นับถือศาสนาหรือความเชือ่ ถือเดียวกัน
กล่าวได้ว่ากลุ่มชนนั้นมีจุดรวมของวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีร่วมกัน ความหมายของคา
ว่าพื้นบ้านในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะชาวชนบทหรือชาวไร่ ชาวนา แต่อาจจะเป็นกลุ่มชนเมือง หาก
กลุ่มชนนั้นยังคงเอกลักษณ์ของกลุ่มตนไว้ได้ พฤกษศาสตร์พื้นบ้านจึงเป็นวิชาท่ีศึกษาถึงความเก่ียว
ข้องระหว่างพืชและกลุ่มชนพื้นบ้าน ความหมายที่ชัดเจนของวชิ านี้ก็คือ "การนาพืชมาใช้โดยตรงของ
กลุ่มชนพ้ืนบ้านท่สี ืบทอดตอ่ กันมาจากบรรพบรุ ษุ หรอื ไดร้ ับการถ่ายทอดจากเพ่ือนบ้านในกลุม่ ของตน
จนเป็นเอกลักษณ์การใช้พืชพรรณประจาท้องถ่ินนั้น" พฤกษศาสตร์พื้นบ้านเก่ียวข้องกับศาสตร์อื่นๆ
อีกหลายสาขา เช่น พฤกษศาสตร์จาแนกพวกพฤกษนิเวศ มานุษยวิทยา นิรุกติศาสตร์ เภสัชศาสตร์
ฯลฯ

4

ตวั อย่ำงพฤกษศำสตรท์ ่ีเก่ียวข้องกับชีวิตควำมเปน็ อย่ขู องชุมชนพืน้ บำ้ น
1. กลุ่มพืชพิษ มนุษย์ได้นาพิษของพืชบางชนิดมาใช้ประโยชน์ เช่น นาน้ายางของพืชที่เป็นพิษมาใช้
อาบลกู ดอกไม้ใช้ในการล่าสัตว์ หรือยิงศัตรู และนาพืชทม่ี ีพษิ หลายชนิดมาใช้เบ่อื ปลา ผู้คนพ้ืนบา้ นได้
สั่งสมความรู้และประสบการณ์ในการเสาะแสวงหาพืชอาหาร ในขณะเดียวกันได้รู้จักพืชท่ีมีพิษ เพ่ือ
หลีกเลี่ยงพิษของพืชท่ีทาอันตรายต่อร่างกายหรือการดารงชีพ ผู้คนพ้ืนบ้านจึงต้องศึกษาหาวิธีท่ีจะ
กาจดั พิษในพืชให้หมดไป จนสามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้ เช่น

บอน (Colocasia antiquarum) สว่ นตา่ งๆ มียางที่ทาใหเ้ กดิ ความระคายเคืองต่อเยื่อบุปาก
และลาคอ เมอื่ ยางถกู ผิวหนังทาใหค้ นั หรือเป็นผืน่ แต่ชาวบ้านรจู้ กั นาก้านใบมาดองกบั เกลือกินต่างผัก
ดอง หรือนามาต้มเค่ียวในแกงบอน

เผือก (Colocasia esculenta) นิยมใช้หัวเป็นอาหารแต่ต้องต้มให้สุกเสียก่อนเพ่ือท่ีจะได้ไม่
คนั เพราะในเผือกมียางเชน่ เดยี วกบั บอน แต่ปริมาณนอ้ ยกว่า

กลอย (Dioscorea hispida) หัวกลอยให้แป้งมาก แต่มีสารท่ีเป็นพิษต่อระบบประสาท ต้อง
สกัดสารที่เป็นพิษออกเสียก่อน โดยปอกเปลือกแล้วฝานเป็นแผ่นบางๆ นาไปแช่ในน้าไหล 2-3 วัน
หรือหมกั เกลอื นามาค้ันนา้ ทงิ้ 2-3 วนั แล้วจึงนามาหงุ ตม้ เปน็ อาหารได้

หมำมุ่ย (Mucuna pruriens) ไมเ้ ถา ผลเปน็ ฝักมีขนสีน้าตาล เม่อื ถกู ผิวหนงั ทาให้คัน เมอื่ ฝัก
แกใ่ นฤดูร้อน ขนจะปลิวตามลมได้ง่าย ทาให้ผทู้ ส่ี ัมผัสมีอาการคนั โดยไม่ทราบสาเหตุ

ตำตุ่มทะเล (Excoecaria agallocha) ไม้ในป่าโกงกางยางสีขาวมีพิษมาก เข้าตาทาให้ตา
บอด ถ้าปนกับอาหารกินเข้าไปทาให้ท้องร่วงอย่างแรง แม้แต่หอยบางชนิดที่เกาะไม้ชนิดนี้ ถ้าเก็บมา
ปรุงอาหารกจ็ ะเกิดอาการทอ้ งร่วงได้เช่นกัน

2. กลุ่มพืชให้สี ชนพื้นบ้านรู้จักนาส่วนต่างๆ ของพืชหลายชนิดที่ให้สีมาใช้แต่งสีอาหารอันเป็น
ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ไม่เป็นพิษภัยต่อร่างกาย หรือนาพืชท่ีให้สีย้อมมาย้อมผ้า แห อวน หรือหนัง
โดยเฉพาะผ้าพื้นเมืองจาพวกผ้าไหม ผ้าฝ้ายให้สสี ันเปน็ ธรรมชาติดีกวา่ สวี ิทยาศาสตร์หรอื สสี ังเคราะห์
กลุม่ พืชทใ่ี หส้ ดี ังกล่าว เชน่

เหง้ำขม้ินชนั (Curcuma longa) ใช้แตง่ สีเหลอื งในอาหาร
เมล็ดคำแสด (Bixa orellana) ใชแ้ ต่งสีแสดในอาหาร
แก่นไม้ฝำง (Caesalpinia sappan) ใช้แต่งสีแดงในอาหาร และใช้ย้อมผ้า ส่วนรากให้สี
เหลอื งใช้ยอ้ มผา้
ใบอ่อนสัก (Tectona grandis) ให้สแี ดงใชย้ ้อมผ้า ย้อมกระดาษ
เปลือกและผลสมอพิเภก (Terminalia bellirica) ใหส้ ีข้ีม้า ใช้ยอ้ มผ้า
เนือ้ ไม้แกแล (Maclura cochinchinensis) ใหส้ เี หลอื งปนน้าตาล ใช้ย้อมผา้
เน้ือไม้ประดู่ป่ำ (Pterocarpus macrocarpus) ให้สีแดงคล้า และเปลือกให้สีน้าตาล ใช้
ย้อมผ้า
เปลือกตวิ้ ขน (Cratoxylum formosum ssp. pruniflorum) ให้สีนา้ ตาลเขม้ ใชย้ ้อมผ้า

5

3. กลุ่มพืชผักพื้นบ้ำน พันธ์ุไม้ในป่าหลายชนิดให้ผลท่ีมีรสและคุณค่าทางโภชนาการ ชนพื้นบ้าน
นามาใช้บริโภคแบบผลไมเ้ ศรษฐกิจท่วั ไป มีเพียงไม่กช่ี นิดที่นามาปลูกตามบา้ นหรือหัวไรป่ ลายนา เชน่

คอแลนหรือหมำกแวว (Nephelium hypoleucum) ผลคล้ายลิ้นจ่ี แต่มีเมล็ดใหญ่เน้ือหุ้ม
เมล็ดบาง รสคอ่ นข้าวเปรีย้ ว ใช้กินกับเกลอื หรือน้าปลาหวาน

เงำะขนสั้น (Nephelium ramboutan-ake) ผลคล้ายเงาะ แต่ขนสั้นเหลือแค่โคน เน้ือหุ้ม
เมล็ดรสหวานไมเ่ ทา่ เงาะ พบบา้ งตามตลาด ชนบททางภาคใตต้ อนล่าง มีมากในประเทศมาเลเซยี

ตะครอ้ หรอื มะโจก๊ (Schleichera oleosa) ผลสุกกินได้
มะขำมป้อม (Phyllanthus emblica) ผลสดใช้อมหรือเค้ียว ทาให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้า
ผลแห้งนามาตม้ ดื่มแกไ้ อ แก้ไข้
มะดัน (Garcinia schomburgkiana) ผลมีรสเปร้ียวจัดใช้แทนมะนาวได้ดี มักนิยมนาไป
ดองน้าเกลอื เพื่อทาใหร้ สเปร้ียวลดลงและเก็บไว้ไดน้ าน
กอ่ หนำม ก่อเดือย ก่อแป้น (Castanopsis spp.) ไม้ก่อหลายชนิดมีผลที่มีหนามหุ้ม เม่ือนา
เมลด็ ไปคัว่ แกะกินเนอ้ื ใน ไดร้ สหวานมันคลา้ ยลูกเกาลัด
ลูกมุดหรือส้มมุด (Mangifera foetida) นิยมปลูกตามบ้าน หรือหัวไร่ปลายนาทางภาคใต้
ผลสุกมีกล่ินหอม รสหวาน ผลดิบนามาทามะม่วงดองได้เช่นเดยี วกับมะม่วง
เขลงหรือหยหี รือนำงดำ (Dialium cochinchinensis) ผลสุก สีดา เน้ือหุ้มเมลด็ นุน่ สีน้าตาล
รสหวานอมเปร้ียว นิยมนาไปคลุกหรือเคลือบน้าตาลเรียกลูกหยี ชนิดผลโตเรียก กาหยี (Dialium
indum) พบทางภาคใต้

4. กลุ่มพืชที่ใช้ทำกระดำษ กระดาษสา ทาจากต้นปอกระสา (Broussonetia papyrifera) และ
กระดาษข่อย ทาจากต้นข่อย (Streblus asper) สมุดไทยท่ีทาข้ึนจากกระดาษสาเรียก "สมุดสา" ทา
จากกระดาษข่อยเรียก "สมุดข่อย" ใช้ตามชนบทในสมัยก่อน สมุดมีลักษณะเป็นกระดาษแผ่นเดียว
ยาวติดตอ่ กันไปตลอดเลม่ ด้วยการพับทบกลับไปกลบั มาจนเปน็ เลม่ หนา กว้างยาวเท่าใดกไ็ ด้ สามารถ
เขียนภาพประกอบทั้งภาพลายเส้น และภาพสีประเภทจิตรกรรมลงสมุดได้ด้วย การเขียนหนังสือลง
บนวัสดุท่ีทาจากพืช ท่ีนิยมกันมากในสมัยโบราณอีกแบบหนึ่ง ได้แก่ การจารึกลงใบลาน (Corypha
umbraculifera) หรือใบตาล (Borassus flabellifer) เรียกว่า "คัมภีร์ใบลาน" การเขียนตัวอักษรลง
บนใบลาน เรียกว่า "การจาร" โดยใช้การฝังเขม่าสีดาลงไปในร่องที่ขีดไว้บนใบลาน แล้วขัดตกแต่ง
ใบลานให้สะอาด จะได้ ตัวอักษรสีดาฝังอยู่ในเน้ือของใบลาน การทาคัมภีร์ใบลานในสมัยก่อน จะใช้
เขา้ ห่อหรอื ผูกห่อคัมภรี ต์ กแตง่ ปกหน้าหลงั เชน่ เดียวกับสมดุ ในปจั จุบัน

5. กลุ่มพืชที่ใช้ทำเคร่ืองดนตรีพ้ืนบ้ำน คุณภาพเสียงของเครื่องดนตรีพื้นเมืองของไทยขึ้นกับวัสดุที่
ใช้ เช่น แคนคุณภาพดีของภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่ทาจาก ไผ่เฮียะ (Cephalostachyum
virgatum) ร ะ น า ด ที่ มี คุ ณ ภ า พ มั ก ใช้ ไผ่ บ ง (Bamboo spp.) ห รื อ ไม้ พ ยุ ง (Dalbergia
cochinchinensis) เป็นพ้ืนระนาด ส่วนรางระนาดทาจากไม้หลายชนิด เช่น มะริด (Diospyros
philippensis) มะเกลือ (Diospyros mollis) กลองพ้ืนเมืองที่ให้เสียงดีข้ึนอยู่กับไม้และหนังท่ีขึงหน้า
กลอง เช่น กลองเพล ต้องใช้ไม้เน้ือแข็ง หนา จาพวกประดปู่ ่า (Pterocarpus macrocarpus) ชิงชัน
(Dalbergia oliveri) เพราะความหนาและความแข็งของเน้ือไม้ช่วยใหอ้ ุ้มเสียงไดด้ ี

6

6. กลุ่มพืชท่ีใช้ทำหัตถกรรมพ้ืนบ้ำน กลุ่มชนพื้นบ้านใช้พืชเป็นวัตถุดิบในงานจักสาน หรือทา
เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ในการเกษตร เคร่ืองมือจับหรือดักสัตว์ และภาชนะใช้สอยในครัวเรือน สาหรับไว้
ใช้สอยเท่าท่ีจาเป็นในการดารงชีวิตประจาวัน เครอ่ื งมือหรือภาชนะเหล่าน้ันจะมีลักษณะเฉพาะถิ่นท่ี
บ่งบอกถึงงานฝีมือของกลุ่มชนต่างๆ เคร่ืองมือเครื่องใช้บางอย่างมีการ ผลิตอย่างประณีต หรือมี
ลวดลายสวยงาม อนั เป็นงานฝีมือพื้นบ้านท่ไี ด้รับการถ่ายทอดต่อกันมาหลายรุ่น เคร่ืองใชห้ รือภาชนะ
พืน้ บา้ นบางอย่างได้กลายมาเป็นของใช้สาหรบั คนช้นั สูง

เครื่องมือเครื่องใช้หรือภาชนะท่ีมีลักษณะเฉพาะถ่ิน เช่น กระเป๋าและตะกร้าย่านลิเภาของ
จังหวัดนครศรีธรรมราชใช้เฟิร์นเถาในสกุลย่านลิเภา (Lygodium spp.) เสื่อกระจูดหรือสาดกระจูด
ของภาคใต้ใช้ต้นของกระจูด (Lepironia articulata) "หมาหรือ หมาจาก" เป็นภาชนะตักน้าในบ่อ
ทางภาคใต้ ทาด้วยกาบหมากของ ต้นหมาก (Areca catechu) หรือกาบของต้นหลาวชะโอน
(Oncosperma tigillaria) ส่วนภาชนะตกั น้าในบอ่ ทางภาคเหนอื เรียก "นา้ ถงุ้ หรือ น้าทงุ้ " สานดว้ ยไม้
ไผ่แล้วยาด้วยชันและน้ามันยาง มีไม้ไขว้กันด้านบนตรงปากสาหรับเก่ียวขอ ไม้ไผ่บางชนิดท่ีลาขนาด
ใหญ่ปล้องยาว ขนาดเส้นผ่านศูนย์พลาง 15-25 เซนติเมตร มักจะถูกนา มาใช้เป็นกระบอกบรรจุน้า
ขนถ่ายน้า หรือใช้ในระบบประปาจากแหล่งน้าธรรมชาติตามหมู่บ้านชาวเขา ทางภาคเหนือ เช่น
ไผ่ ห ก (Dendrocalamus hamiltonii) ไผ่ บ ง ให ญ่ (Dendrocalamus brandisii) ไผ่ เป๊ า ะ
(Dendrocalamus giganteus) และไผซ่ างดอย (Dendrocalamus membranaceus)

พชื สมนุ ไพร
สมุนไพร ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2525 ให้ความหมายของคาว่า

"สมุนไพร" ว่า ผลิตผลธรรมชาติ ไดจ้ ากพืช สัตว์ แร่ธาตุ ที่ใช้เป็นยา หรือผสมกับสารอื่นตามตารับยา
เพื่อบาบัดโรค บารุงร่างกาย หรือใช้เป็นยาพิษ ส่วนพระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 ให้ความหมายของ
"ยาสมุนไพร" ว่า ยาที่ได้จากพฤกษชาติ สตั ว์ แรธ่ าตุ ซงึ่ ยังมิได้ผสม ปรุง หรือแปรสภาพ โดยสรปุ แล้ว
สมนุ ไพร จึงหมายถึง วัตถทุ ี่ใช้เป็นยาซึง่ ไดจ้ ากแหล่งธรรมชาติ (Natural Source) ได้แกพ่ ชื สตั ว์ และ
แร่ธาตุ โดยมิได้แปรรูป ยกเว้นการทาให้แห้ง (แต่ในทางการค้าอาจถูกดัดแปลงได้บ้างเพ่ือให้ง่ายแก่
การเก็บรักษาและการขนส่ง เช่น หั่นให้เป็นช้ินเล็กลง บดเป็นผง หรืออัดเป็นแท่ง) โดยเน้นท่ีการ
นามาใชป้ ระโยชนเ์ พ่ือปอ้ งกัน บาบดั โรค ตลอดจนใช้เพือ่ การบารงุ สุขภาพให้สมบูรณแ์ ขง็ แรง

พืช ถือเป็นแหล่งสมุนไพรแหล่งใหญ่ท่ีสุด มีการนามาใช้ในการบาบัดโรคกันอย่างแพร่หลาย
เนื่องจากพืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และพืชจะมีการผลิตสารเคมีต่างๆ
ออกมาเพ่ือใช้ในการดารงชีวิต หรือเพ่ือการอยู่รอดในสิ่งแวดล้อม เช่นเพื่อต่อสู้กับศัตรูตามธรรมชาติ
เช่นหนอนผีเสื้อ ด้วง ฯลฯ หรือเพื่อการดารงเผ่าพันธุ์ เช่นการผลิตกล่ิน น้าหวาน เพื่อหลอกล่อแมลง
เพื่อช่วยในการผสมเกสร ซึ่งการนาพืชสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ของมนุษย์นั้นมีมาต้ังแต่สมัยโบราณ
จนกระทั่งปัจจุบนั ก็มีการใชป้ ระโยชน์จากพชื ในหลายๆ ลกั ษณะ ดงั นี้

1. กำรใช้สมุนไพรสดหรือแห้งเพียงชนิดเดียวเพ่ือบำบัดโรคหรือบรรเทำอำกำรง่ำยๆ ท่ีมี
อำกำรไม่รุนแรง เช่น ใช้วุ้นจากใบสดของว่านหางจระเข้เพื่อแก้แผลไฟไหม้น้าร้อนลวก หรือใช้ใบ
เพสลาด (ใบก่ึงแก่ก่ึงอ่อน) ของชุมเห็ดเทศมาตากแห้งแล้วชงเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูก
เป็นต้น การใช้ประโยชน์จากสมุนไพรในลักษณะนี้จะสามารถใช้ได้ง่าย เป็นภูมิปัญญาท่ีสั่งสมกันมา
และสอดคล้องกับทรัพยากรพืชที่มีในท้องถ่ิน วิธีการใช้ง่าย ไม่ซับซ้อน มีความปลอดภัยและได้ผลดี

7

เพราะใช้บาบัดโรคหรืออาการเจ็บป่วยท่ีรู้จักกันดี ผู้ป่วยสามารถวินิจฉัยอาการเบ้ืองต้นได้ด้วยตนเอง
ดังนั้นข้อสาคัญของการใช้สมุนไพรในลักษณะนี้คือ ผู้ใช้ยาต้องรู้จักกับพืชสมุนไพรที่จะนามาใช้นั้น
เพื่อเป็นการป้องกันการใช้สมุนไพรผิดชนิด ซ่ึงนอกจากโรคจะไม่หายแล้วอาจก่อให้เกิดอันตรายหรือ
ไดร้ บั พษิ จากพืชน้ันๆ ได้

ในปัจจุบันได้มีการผลิตสมุนไพรเด่ียวออกมาเป็นยาสาเร็จรูป และมีการกาหนดปริมาณตวั ยา
สาคัญและขนาดยาที่แน่นอน ช่วยให้การใช้สมุนไพรในลักษณะนี้มีความสะดวก และช่วยให้เกิด
มาตรฐานด้านความสะอาดและเกิดประสิทธิภาพในการใช้มากขึ้น ตัวอย่างของสมุนไพรสาเร็จรูปท่ี
ผลติ จาหน่ายในท้องตลาดท่วั ไป ไดแ้ ก่

- ยาระบายมะขามแขก ทง้ั ชนิดเมด็ ชนิดผง และแคปซลู ใชเ้ พ่อื บาบัดอาการทอ้ งผกู
- ยาฟ้าทะลายโจรชนิดเม็ดและแคปซูล ที่ใช้สาหรับแก้อาการท้องร่วงจากการติดเช้ือ

แบคทีเรียหรือบรรเทาอาการไข้
- ครมี สกัดจากไพล ทช่ี ว่ ยในการบรรเทาอาการปวดเมื่อยกลา้ มเนอ้ื

2. กำรใช้สมุนไพรหลำยชนิดผสมกันเป็นสตู รตำรับยำ ซ่ึงในตารับยาแผนไทยมีอยู่มากมาย
หลายพันตารับ การใช้สมุนไพรในลักษณะนี้เป็นแบบแผนทางการแพทย์แผนไทยที่มีมาต้ังแต่โบราณ
โดยอาจเตรียมข้ึนเป็นยาเฉพาะบุคคล ตามการวินิจฉัยโรคโดยผู้ประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์แผน
ไทย หรอื แพทย์พนื้ บา้ น ซงึ่ ส่วนใหญ่นยิ มเตรียมในรูปของยาต้ม หรือท่เี รียกกนั โดยทว่ั ไปว่า “ยาหมอ้ ”
นอกจากนั้นยังมีการเตรยี มเป็นตารับยาแผนโบราณสาเร็จรูป มีจาหน่ายตามร้านยาแผนโบราณทั่วไป
เช่น ยาเขียวหอม ยาหอม ยาลม ฯลฯ ซึ่งการผลิตยาแผนโบราณสาเร็จรูปนี้จะต้องมีมาตรฐานการ
ผลติ ยาตามทีก่ ระทรวงสาธารณสขุ กาหนด

3. กำรใช้พืชสมุนไพรในรูปของเครื่องเทศ หรือเคร่ืองแกงประกอบอาหารประจาวัน การใช้
สมุนไพรในลักษณะนี้เป็นส่ิงที่เราคุ้นเคยกันดีและได้รับประโยชน์ สรรพคุณจากสมุนไพรเหล่านั้นโดย
ไม่รู้ตัว พืชสมุนไพรที่มีการใช้ในลักษณะน้ีเป็นกลุ่มสมุนไพรท่ีรู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น กระเทียม
ขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด พริกไท พริกข้ีหนู ลูกจันทน์เทศ เปลือกอบเชย ลูกผักชี ย่ีหร่า โหระพา
กระเพรา พรกิ หอม ฯลฯ โดยพืชสมุนไพรเหล่าน้ีนอกจากให้สรรพคุณทางยาแล้วยังเป็นกลุ่มสมุนไพร
ที่มีกลิน่ เฉพาะช่วยในการแตง่ กลน่ิ รสของอาหารใหช้ วนน่ารบั ประทานยิ่งข้ึน

4. กำรใช้สำรสำคัญจำกสมุนไพรเป็นวัตถุดิบ การใช้สมุนไพรในลักษณะนี้ เป็นการนาพืช
สมุนไพรเป็นสารต้ังต้น (Starting material) ในการผลิตยาแผนปัจจุบัน เพื่อลดขั้นตอนการ
สังเคราะห์ช่วยทาให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตยาถูกลง เช่น การใช้สาร Diosgenin จากลูกซัด
(Trigonella foenum-graecum L.) และพืชในสกุล Dioscorea บางชนิดเป็นสารต้ังต้นในการผลิต
ยากลมุ่ สเตยี รอยด์ (steroids) เปน็ ต้น

5. กำรใช้สำรสกัดหยำบจำกสมุนไพร (Crude extract) เตรียมเป็นยาบาบัดโรคสาเร็จรูป
ที่มีมาตรฐานคุณภาพแน่นอน (Standardized phytomedicines) โดยมีขนาดยาและข้อบ่งใช้ท่ี
แน่นอน เช่น การเตรียมสารสกัดหยาบ Ginkgo flavone glycoside จากใบของต้นแป๊ะก๊วย
(Ginkgo biloba L.) มาผลิตเป็นยาเม็ดเคลอื บฟิล์มขนาด 40 mg ซึ่งแต่ละเม็ดจะตอ้ งมีมาตรฐานของ
ปริมาณ Ginkgo flavone glycoside 9.6 mg เป็นต้น

8

6. กำรใช้สำรบริสุทธิ์ท่ีแยกได้จำกพืชเป็นสารทดสอบเพ่ือการศึกษาการเปล่ียนแปลงทาง
สรรี วิทยาของสัตว์ มนุษย์ รวมท้ังศึกษากระบวนการเกิดโรค (Disease processes) การใช้ประโยชน์
จากพืชสมุนไพรในลักษณะนี้เป็นการศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาสารเคมีสาหรับการพัฒนาเป็นยาบาบัดโรค
ต่อไป

7. กำรใช้ในลักษณะยำต้นแบบ (Prototype) เป็นการนาสารบริสุทธ์ิที่แยกได้จากพืชท่ี
ทราบสรรพคุณ หรือขอ้ มูลทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยาที่ดีและครบถ้วน มาเป็นสารต้ังต้นเพ่ือทาการ
สังเคราะห์ทางเคมีเลียนแบบโครงสร้างของสารน้ัน ตามหลักการความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและ
การออกฤทธิ์ (Structure-Activity Relationship, SAR) เพ่ือให้ไดต้ ัวยาใหม่ท่ีมีความแรงมากขึน้ เพ่ือ
ลดความเป็นพิษและฤทธิ์ข้างเคียงที่ไม่ต้องการ หรือเพ่ือให้ได้ปริมาณสารสาคัญมากขึ้น การใช้
ประโยชนจ์ ากสมุนไพรในลกั ษณะนีน้ ับเป็นตัวจักรสาคัญสาหรับกระบวนการสรรหาและพัฒนายาใหม่
ในวงการยา ซ่งึ ตอ้ งใชค้ วามรู้หลายๆ สาขาประกอบกนั รวมทัง้ สาขาเภสชั พฤกษศาสตรด์ ว้ ย
การได้มาซง่ึ สารบรสิ ุทธห์ิ รือสารสาคัญจากพชื สมนุ ไพรน้นั ในทางปฏิบัตจิ ะมีอยู่ 4 แนวทาง คือ

1. คัดเลอื กพืชโดยวธิ กี ารตรวจสอบทางพฤกษเคมี (Based on phytochemical screening)
2. คัดเลือกพืชเฉพาะกลุ่มที่มีสารเคมีกลุ่มเดียวกันแล้วนามาวิเคราะห์ฤทธิ์เชิงชีวภาพ (Based

on specified class of chemical compounds, followed by bioassay)
3. คดั เลอื กพชื ตามฤทธใ์ิ นการรักษาท่รี ะบุไวใ้ นตารบั ยาพนื้ บา้ น (Based on folkloric use)
4. คัดเลือกพืชโดยการตรวจสอบฤทธิ์ ทางเภสัชวิทยา (Based on pharmacological

screening)

ประเดน็ สำคัญในกำรศกึ ษำและพัฒนำยำจำกสมนุ ไพร
1. ความถูกตอ้ งของพืชสมุนไพร ควรตรวจสอบไดช้ ่ือท่ียุติ ท้ังช่อื ไทยและชื่อวิทยาศาสตร์ พร้อม
ทั้งบรรยายลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และข้อมูลทางเภสัชเวท พร้อมท้ังกาหนดมาตรฐาน
สมุนไพรไวอ้ ยา่ งชัดเจน
2. ทดสอบฤทธ์ิทางเภสัชวิทยาและพิษวิทยา เพ่ือยืนยันความปลอดภัย และระบุข้อบ่งใช้ไว้
ชัดเจน ไม่ว่าจะมีลักษณะเป็นสารบริสุทธิ์ (Pure compound) หรือเป็นเคร่ืองยา (Crude
drugs)
3. มีรูปแบบยาที่เหมาะสม โดยพัฒนาควบคู่กันไปท้ังในระดับอุตสาหกรรมเพื่อการค้าและระดับ
การพึง่ พาตนเอง พร้อมท้ังส่งเสริมการปลูกพชื สมุนไพรและให้ความรใู้ นการใชย้ าสมุนไพรน้ัน
ควบคู่กันไปด้วย และควรสนับสนุนการวิจัยสารบริสุทธ์ิเชิงพฤกษเคมี และเชิงชีวภาพเพ่ือ
สนบั สนนุ กระบวนการสรรหาตัวยาใหม่ในระดบั อตุ สาหกรรม

9

กำรแบง่ ประเภทสมุนไพร
สมุนไพรที่นามาใชป้ ระโยชน์ทางยาน้ัน โดยทวั่ ไปจะมีอยู่ 3 รูปแบบคอื
1. เคร่ืองยำ (Crude drugs) เป็นสมุนไพรตามสภาพเดิมตามธรรมชาติท่ียังไมผ่ ่านการแปร

รูป โดยนามาทาให้แห้งด้วยวิธีการที่เหมาะสม หรือในบางกรณีอาจเป็นสมุนไพรสด เพื่อใช้เป็นตัวยา
โดยตรงหรือเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตตัวยาป้อนอุตสาหกรรมยา เช่น ใบมะขามแขก รากระย่อม
เปลือกอบเชย รากชะเอม เป็นต้น โดยการพิสูจน์เอกลักษณ์หรือจาแนกเคร่ืองยาจาเป็นต้องอาศัย
ความรู้ทางสัณฐานวิทยาของพืช และประสาทสมั ผสั เป็นสาคัญ

2. ผงยำ (Powdered drugs) เป็นสมุนไพรแห้งท่ีนามาบดเป็นผง เพื่อใช้ในการเตรียมยา
ตามตารบั ยา เช่น ผงชะเอม ผงกฤษณา ผงขมิ้นชัน ฯลฯ การพิสูจน์เอกลักษณ์ของผงยาจะใช้เทคนิค
ทางกล้องจุลทรรศน์ การทดสอบทางเคมี เปน็ สาคญั

3. สำรประกอบในยำสมุนไพร (Chemical constituents) เป็นสารเคมีท่ีสกัดหรือเตรียม
ข้ึนจากสมุนไพร โดยอาจอยู่ในรูปของสารสกัดหยาบ (Crude extracts) ซ่ึงมีสารเคมีหลายชนิดผสม
กันอยู่ หรือเป็นสารสกัดบริสุทธิ์ (Pure compound) ท่ีเป็นการแยกเอาสารเคมีเพียงชนิดเดียว
ออกมาก็ได้ การพิสูจน์เอกลักษณ์ของสารเคมีเหล่าน้ีต้องอาศัยความรู้ทางปฏิกิริยาเคมี และ
สเปกโทรสโกปี (Spectroscopy) เช่น UV, IR, NMR, MS เป็นตน้

ในการศึกษาพืชสมุนไพรเหล่านี้ จะมีการแบ่งสมุนไพรออกตามหมวดหมู่ได้หลายแบบ โดย
อาศัยหลักเกณฑต์ ่างๆ ดังน้ี

1. กำรเรียงตำมลำดับตัวอักษร (Alphabetical) เป็นการจัดแบ่งสมุนไพรตามลาดับ
ตวั อกั ษรของชอ่ื สมนุ ไพรในภาษาอังกฤษ หรอื ภาษาละติน เช่น การจดั แบ่งในหนังสอื

European Pharmacopoiea, vols. I-III (1996-1975). Maisonneuve, Paris (Latin
titles).

British Pharmaceutical Codex (1973). Pharmaceutical Press, London (English
Titles).

2. กำรแบ่งตำมพฤกษอนุกรมวิธำน (Taxonomic or systematic botany) เป็นการ
แบ่งประเภทสมุนไพรตามหลักการทางอนุกรมวิธานของพืช โดยแบ่งเป็น หมวด (division), ชั้น
(class), อันดับ (order), วงศ์ (family), สกุล (genus), ชนิด (species) โดยระบบการจาแนกใน
ปัจจุบันมีใช้อยู่ 2 ระบบคือ ระบบของ Engler & Prantl และระบบของ Bentham & Hooker เช่น
การจัดแบง่ ในหนังสือ

Youngken, H.W. (1950) Textbook of Pharmacognosy 6th edn. Blakiston,
Philadelphia.

3. กำรแบ่งตำมฤทธิ์ทำงเภสัชวิทยำ (Pharmaceutical or therapeutic) เป็นการแบ่ง
ประเภทของสมนุ ไพรตามสรรพคุณหรือประโยชน์ในการบาบัดรกั ษาโรค เชน่ กลุ่มสมนุ ไพรที่ออกฤทธิ์
ต่อกลา้ มเน้อื หวั ใจ กลมุ่ สมุนไพรทีอ่ อกฤทธติ์ ่อทางเดนิ อาหาร เป็นต้น เช่นการจัดแบ่งในหนงั สอื

Pratte,R. and Youngken, Jr.,H.W. (1956). Pharmacognosy 2nd edn. Lippincott,
Philadelphia.

10

4. กำรแบ่งประเภทสมุนไพรตำมส่วนท่ีนำมำใช้ประโยชน์ เป็นการแบ่งประเภทสมุนไพร
ตามส่วนต่างๆของพืชท่ีนามาใช้ประโยชน์เป็นยา เช่น ราก เปลือกต้น ดอก ใบ ผล เมล็ด ซึ่งรวม
เรียกว่า “Organized Drugs” ส่วนสมุนไพรที่เป็นผลิตผลจากพืช เช่น การสกัด ยาง ชัน น้ามัน ฯลฯ
จะเรียกวา่ “Unorganized Drugs” ตัวอยา่ งหนังสอื ทีใ่ ช้ระบบการจาแนกแบบนี้ เช่น

“Wallis, T.E. (1967) Textbook of Pharmacognosy. 5th edn. Churchill
Livingstone, London

5. กำรแบ่งประเภทของสมุนไพรตำมสำรเคมีท่ีเป็นองค์ประกอบ (Chemical) เป็นการ
แบ่งตามองคป์ ระกอบทางเคมีท่ีมีอยู่ในสมุนไพรน้ันๆ โดยอาศัยความสมั พันธ์ของการเกิดกระบวนการ
ชีวสังเคราะห์ของสารเคมีน้ันๆ ในพืช (biosynthesis) เป็นหลักในการจาแนก ตัวอย่างหนังสือที่ใช้
ระบบการจาแนกแบบน้ี เช่น

Ewans, W.C.(1989) Trease and Evans’ Pharmacognosy 13th edn. Bailliere
Tindall, London.

อย่างไรก็ดีการแบ่งสมุนไพรตาม 5 วิธีการข้างต้นน้ัน บางวิธีสามารถใช้ได้เฉพาะสมุนไพรจาก
พืชเท่านั้น การแบ่งแต่ละวิธีจึงมีข้อดี-ข้อเสียและความมุ่งหมายในการนามาใช้ประโยชน์แตกต่างกัน
ออกไป ผู้ใช้เองจึงควรศึกษาและระบุความมุ่งหมายในการค้นข้อมูลสมุนไพรให้ชัดเจนเพื่อให้สามารถ
คน้ ข้อมลู และจาแนกสมุนไพรไดถ้ ูกตอ้ งและตรงตามความตอ้ งการ

11

บทท่ี 2 : เซลลว์ ทิ ยำของพืช

เซลลพ์ ืช (Plant cell)
เซลล์ (Cell) เป็นองค์ประกอบหรือหน่วยท่ีเล็กที่สุด ของส่วนต่าง ๆ ของพืชหรือสัตว์

ประกอบด้วยผนังเซลล์ (Cell wall) ภายในมีสารโพรโทพลาซึม (Protoplasm) และออแกเนลล์
(Organelle) เล็ก ๆ ที่มีชีวิตอยู่เต็มเซลล์ ในโพรโทพลาซึมจะประกอบด้วย ไซโทพลาซึม
(Cytoplasm) และนิวเคลียส (Nucleus) โดยเราสามารถแบ่งเซลล์พืชตามโครงสร้างพ้ืนฐานไดเ้ ป็น 2
กลมุ่ คอื

1. กลมุ่ เซลล์โพรแคริโอต (Procaryotic cell) เซลล์กลุ่มนจี้ ะไมม่ ีเยอ่ื ห้มุ นิวเคลยี สและไม่มี
ออร์แกเนลท่ีมเี ยื่อหุ้ม จึงทาให้รงควัตถุท่ีใช้ในการสังเคราะห์แสงกระจาย ไม่อยใู่ นพลาสทิด (Plastid)
มีดีเอ็นเอ (DNA) กระจายอยู่ในไซโทพลาซึม (Cytoplasm) จะพบในแบคทีเรีย สาหร่ายสีเขียวแกม
นา้ เงนิ (Cyanobacteria)

2. กลุ่มเซลล์ยูแคริโอต (Eucaryotic cell) เซลล์กลุ่มน้ีจะมีเย่ือหุ้มนิวเคลียส มีออร์แกน
เนลมาก พบทั้งมีเยื่อหุ้มและไม่มีเย่ือหุ้มรงควัตถุที่ใช้ในการสังเคราะห์แสงอยู่ในพลาสทิด มีกรด
นิวคลิอกิ (Nucleic acid) ประกอบด้วยดเี อ็นเอและอาร์เอ็นเอได้แก่ สาหร่าย และพชื ทวั่ ไป
โครงสร้ำงของพืช (แบง่ ตำมส่วนประกอบเซลล์)

1. ผนงั เซลล์ (Cell wall)
2. โพรโทพลาซมึ (Protoplasm) ประกอบดว้ ยส่วนสาคัญ 2 ส่วนคือ

2.1 ไซโทพลาซึม (Cytoplasm)
2.1.1 ออแกเนลล์ต่าง ๆ เช่น พลาสทิด (Plastid), ไมโทคอนเดรีย

(Mitochondria), ก อ ล ไจ บ อ ดี้ (Golgi body), แ ล ะ ร่ างแ ห เอ น โด พ ล าซึ ม
(Endoplasmic recticulum) เปน็ ตน้

2.1.2 สารเออร์แกสติก (Ergastic substance) หรือส่วนไม่มีชีวิตของ
ไซโทพลาซึม (Inclusion) เช่น รงควัตถุ ผลึก เม็ดแป้ง หยดน้ามัน ซ่ึงเป็นผลผลิต
จากการทางานของเซลล์
2.2 นิวเคลยี ส (nucleus) เป็นออแกเนลล์ทส่ี าคญั มากเพราะ เปน็ ศนู ย์กลางรวมการ
สงั่ งานและควบคุมการถ่ายทอดสารพนั ธกุ รรม

12

ภำพที่ 2.1 แสดงลกั ษณะของเซลล์พืช
ท่ีมา : Plant cell structure. http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/08/
Plant_cell_ structure.png [online]. 2011
1. ผนังเซลล์ (Cell wall) เป็นโครงสร้างที่แข็งแกร่ง ห่อหุ้มเซลล์ ป้องกันไม่ให้ของเหลวต่างๆ
ภายในเซลล์ได้รับอันตรายนอกจากนี้ยังมีบทบาทสาคัญในกระบวนการดูดซึม (Absorption), ขนส่ง
(Transport) และขับถ่าย (Secretion) สารต่างๆ ผนังเซลล์พืชทุกชนิดมีสองช้ัน ได้แก่ มิดเดิลลา
เมลลา และผนังเซลล์ปฐมภมู ิ นอกจากนี้เซลลพ์ ืชอกี หลายชนดิ อาจมผี นังเซลล์ทุตยิ ภูมอิ กี ชั้นหน่ึง

1.1 มดิ เดลิ ลำเมลลำ (Middle lamella) เป็นชนั้ ท่ีอยรู่ ะหว่างผนงั เซลล์ปฐมภูมขิ องเซลล์ที่
อยตู่ ิดกนั ประกอบด้วยสารประกอบเพกทิน (Pectic substance) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปเกลอื แคลเซียม
เพกเทต (Calcium pectate) และแมกนีเซยี มเพกเทต (Magnesium pectate)

1.2 ผนังเซลล์ปฐมภูมิ (Primary wall) เป็นผนังเซลล์ที่พืชสร้างขึ้นในระยะที่เซลล์กาลัง
เจริญเติบโตประกอบด้วยเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลสและเพกทิน ตลอดจนไกลโคโปรตีน (Glycoprotein)
และอาจมีลิกนิน (Lignin) สะสมอยู่ด้วย การที่มีเพกทินเป็นส่วนประกอบทาให้ผนังเซลล์มีสภาพ
พลาสติก (Plasticity) สามารถคงรูปร่างได้อย่างถาวร เซลล์บางชนิดจะมีเฉพาะผนังเซลล์ปฐมภูมิ
เทา่ นนั้ เช่น เซลล์พาเรงคมิ า เซลลข์ องเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ บรเิ วณปลายยอดและปลายราก
ผนังเซลล์ปฐมภูมิมีความหนาไม่สม่าเสมอ ผนังส่วนท่ีบางเรียกว่า ไพรมารีพิตฟิลด์ (Primary pit-
field) ซ่ึงมักจะอยู่ตรงกันท้ังสองด้านของมิดเดิลลาเมลลา บริเวณไพรมารีพิตฟิลด์จะมีรูพรุนเล็ก ๆ
เรียกว่า พลาสโมเดสมาตา (Plasmodesmata) ทาให้ไซโทพลาซึมของเซลล์ท่ีอยู่ติดกันสามารถเช่ือม
ติดต่อถงึ กนั และกันได้

13

1.3 ผนังเซลล์ทุติภูมิ (Secondary wall) ถึงแม้ว่าเซลล์พืชหลายชนิดมีเฉพาะผนังเซลล์
ปฐมภูมิ แต่บางชนิดโพรโทพลาสต์จะสร้างผนังเซลล์ข้ึนมาอีกชั้นถัดผนังเซลล์ปฐมภูมิเข้ามาทางด้าน
ภายในเซลล์ เรียกว่าผนังเซลล์ทุติยภูมิ จากนั้นโพรโทพลาสต์จะตายไป ผนังเซลล์ชั้นนี้ส่วนใหญ่พืช
สร้างข้ึนมาภายหลังจากเซลล์หยุดการเจริญเติบโตหรือเจริญเติบโตเต็มท่ีแล้ว ประกอบด้วยเซลลูโลส
ซึ่งมีมากกว่าในผนังเซลล์ปฐมภูมิ แต่ปราศจากสารเพกทินและไกลโคโปรตีน นอกจากนี้ยังมีเฮมิ
เซลลูโลสและลิกนินทาให้เซลล์มีความแข็ง เหนียวและทนทาน จึงมีความสาคัญต่อเซลล์ที่ทาหน้าที่
พิเศษอ่ืน ๆ เชน่ เซลล์ไฟเบอร์ (Fiber) สเกลอรีด (Sclereid) เวสเซล (Vessel) เป็นตน้

2. โพรโทพลำซึม (Protoplasm) เป็นส่วนของเซลล์ที่อยู่ถัดผนังเซลล์เข้ามาแบ่งได้เป็นสองส่วน
ได้แก่ นิวเคลียสและไซโทพลาสซึม

2.1 ไซโทพลำซึม (Cytoplasm) เป็นส่วนของโพรโทพลาสต์ที่อยู่รอบนอกนิวเคลียส
ล้อมรอบด้วยเยื่อหุ้มซึ่งมีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น พลาสมาเมมเบรน (Plasma membrane) พลาสมา
เลมมา (Plasmalemma) เซลล์เมมเบรน (Cell membrane) หรือไซโทพลาสมิกเมมเบรน
(Cytoplasmic membrane) ทาหน้าที่ห่อหุ้มและป้องกันส่ิงที่อยู่ภายใน แบ่งขอบเขตของเซลล์
ควบคุมการผ่านเข้าออกของโมเลกุลสารต่างๆ สังเคราะห์บางชนิดและยังอาจพบเอนไซม์หลายชนิดที่
เกี่ยวข้องกับการเคล่ือนย้ายสารและการถ่ายทอดอิเล็กตรอน ไซโทพลาสซึมเป็นสารกึ่งเหลว ยืดหยุ่น
ได้ โปร่งแสง ประกอบด้วย 2 ส่วน คอื ออรแ์ กเนลลห์ ลายชนิดและสารเออร์แกสติก

2.1.1 องค์ประกอบที่มีชีวิต (Living cell contends) คือออแกเนลล์ต่าง ๆ ในท่ีน้ีจะ
กล่าวถงึ พลาสทดิ (Plastid) เพราะเป็นออแกเนลล์ท่ีสาคัญโดยเฉพาะในเซลล์พชื

- พลาสทิด (Plastid) เป็นออรแ์ กเนลล์ที่พบในเซลล์พืช ห่อหุม้ ด้วยเย่ือสองชัน้ มขี นาดและ

รูปร่างแตกต่างกันไปขึ้นกับเน้ือเยื่อและส่วนของพืช จาแนกได้ 3 ชนิดข้ึนกับชนิดของสารสี
(pigment) ทเ่ี ป็นสว่ นประกอบ ได้แก่ คลอโรพลาสต์ โครโมพลาสต์ และลิวโคพลาสต์

- คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) เป็นพลาสทิดสีเขียว พบในส่วนของพืชท่ีถูกแสง

ประกอบด้วยสารสีพวกคลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) เป็นส่วนใหญ่ โดยคลอโรพลาสต์ทาหน้าท่ีสาคัญ
ในกระบวนการสงั เคราะห์แสงโดยปฏิกิริยาแสง (Light reaction)

- โครโมพลาสต์ (Chomoplast) เป็นพลาสทิดสีต่างๆ ยกเวน้ สีเขียว เช่น สแี ดง สีเหลือง สี

ส้ม สีน้าตาล สีต่างๆ ของโครโมพลาสซึมเกิดจากสารสีสองชนิด คือ แคโรทีน (Carotene) มีสีส้ม สี
แสดและสีแดงและแซนโทฟีลล์ (Xanthophyll) มีสีเหลืองและสีน้าตาล โครโมพลาสต์จะมีมากใน
กลีบดอกไมท้ ม่ี สี ตี า่ ง ๆ และในผลสกุ เช่น มะเขือเทศ พริก มะละกอ แครอต เปน็ ต้น

- ลิวโคพลาสต์ (Leucoplast) เป็นพลาสทิดไม่มีสีปกติจะพบในโครงสร้างของพืชที่ไม่ถูก

แสงแดด เช่น รากและลาต้นในดิน ทาหน้าท่ีช่วยเปล่ียนน้าตาลให้เป็นแป้ง หรืออาหารสะสมที่ไม่
ละลายนา้

14

2.1.2 องคป์ ระกอบท่ีไม่มีชีวติ (Nonliving cell contents) หรือ สารออรแ์ กสติก (Ergastic
substance) เป็นส่ิงไม่มีชีวิตที่อยู่ในไซโทพลาสซึม ซ่ึงเป็นผลผลิตที่ได้จากกระบวนการเมทาบอลิซึม
ของเซลล์ เช่น ของเสียต่าง ๆ และอาหารท่เี ก็บสะสมไวใ้ นเซลล์ สารเหล่านี้มีส่วนสาคัญในการดาเนิน
กจิ กรรมต่าง ๆ ของเซลล์ใหเ้ ป็น ปกติแบ่งเป็น 3 กลุม่ ใหญค่ อื

- วัตถุท่ีสำรองไว้ (Reserve materials) เป็นสารท่ีส่วนมากได้มาจากการสร้างภายใน
โพรโทพลาซึมถูกนาไปเก็บภายในเซลล์มีความสาคัญใช้เป็นอาหารเช่น น้าตาล อินซูลิน แป้ง โปรตีน
นา้ มนั ไขมัน และ ไกลโคเจน (glycogen)

- กลุ่มสำรคัดหลั่ง (Secretory products) เป็นผลผลิตท่ีได้จากไซโทพลาซึมจะนาไปใช้
ประโยชน์เฉพาะทางเช่นป้องกันศัตรู ใช้ล่อแมลง ตัวอย่างเช่น เอนไซม์ (Enzyme) ผลึก สี น้าหวาน
ฟนี อล (Phenol) เรซิน (Resin) แทนนนิ (Tannin) เป็นตน้

- ของเสีย (Waste products) เป็นสารที่สร้าง และกาจัดให้อยู่ในรูปของเสีย หรือของ
เหลอื ใหส้ ะสมอยภู่ ายใต้เซลล์พืช โดยเฉพาะอยูใ่ น แวคิวโอ (Vacuole )

2.2 นิวเคลียส (Nucleus) นิวเคลียสเปน็ โครงสร้างท่เี ดน่ ชดั ที่สุดในไซโทพลาซึมของเซลล์ มี
บทบาทสาคัญในการควบคุมกิจกรรมของเซลล์ ซึ่งได้แก่ แบ่งเซลล์ สังเคราะห์โปรตีนและกรด
นิวคลิอิก สังเคราะห์เอนไซม์ ควบคุมกิจกรรมทางชีวเคมีต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนภายในเซลล์ ตลอดจน
ถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม โดยปกติเซลล์พืชแต่ละเซลล์จะมีนิวเคลียสเดียว รูปร่างทรงกลมหรือรูป
ไข่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-25 ไมครอน มักพบอยู่บริเวณกลางเซลล์ท่ีมีอายุน้อยแต่จะถูก
แวคิวโอเบียดร่นให้ไปอยบู่ รเิ วณริมเซลล์เมอื่ มอี ายุมากข้ึนนวิ เคลียสประกอบด้วยส่วนท่สี าคัญ ได้แก่

2.2.1 เย่ือหุ้มนิวเคลียส (Nuclear envelope) มีลักษณะเป็นเยื่อสองช้ัน มีรูเล็ก ๆ
กระจายอย่โู ดยรอบเพื่อทาหน้าที่เป็นทางผ่านและควบคมุ การแลกเปล่ียนสารต่างๆ ระหว่างนิวเคลียส
กับไซโทพลาสซมึ เย่ือชนั้ นอกจะเชอ่ื มต่อกบั เอนโดพลาสมกิ เรตทคิ ิวลมั

2.2.2 น้ำเลี้ยงนิวเคลียส (Karyolymph or nuclear sap) เป็นของเหลวที่มีความ
หนาแนน่ มากกว่าไซโทพลาซึม ทาหน้าทเี่ ป็นตวั กลางหล่อเลี้ยงโครโมโซมและนวิ คลีโอลัสให้แขวนลอย
อยู่ไดป้ ระกอบด้วยสารพวกไขมนั โปรตีน เอนไซมต์ า่ ง ๆ

2.2.3 นิวคลีโอลัส (Nucleolus) เป็นโครงสร้างขนาดเล็กที่อยู่ในนิวเคลียส มีรูปร่าง
คอ่ นข้างกลม ไม่มเี ย่อื ห้มุ มจี านวนแตกตา่ งกนั ไปข้ึนกับชนิดพืชซึง่ พชื บางชนดิ อาจมีจานวนมากถงึ 10
นิวคลีโอลัส แต่โดยทั่วไปมีนวิ คลีโอลัสเดียว ประกอบด้วยโปรตีนและกรดไรโบนิวคลิอกิ (ribonucleic
acid) หน้าที่ทีแ่ ท้จริงของนวิ คลโี อลัสยังไม่ทราบแน่ชดั แต่เขา้ ใจว่าเป็นศนู ย์กลางในการสร้างไรโบโซม
หรือกรดไรโบนิวคลอิ กิ และควบคุมการสงั เคราะห์โปรตีนภายในเซลล์

2.2.4 โครมำทิน (Chromatin) มีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ พันกันคล้ายร่างแหรูปร่างไม่
แน่นอน ในระหว่างท่ีเซลล์มีการแบ่งตัวจะหดสั้นและหนาข้ึนกลายเป็นโครงสร้างใหม่ เรียกว่า
โครโมโซม (Chromosome) โครโมโซมของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันจะมีรูปร่างท่ีแน่นอน ลักษณะคงท่ี
แ ล ะมี จ าน ว น เท่ ากั น ป ระก อ บ ด้ วย ส ารพ ว ก โป รตี น แ ล ะ ก รด ดี อ อ ก ซี ไรโบ นิ วค ลิ อิ ก
(Deoxyribonucleic acid; DNA) เป็นส่วนใหญ่ บนโครโมโซมมีสารถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
เรียกว่า จีน (gene) ซ่ึงเป็นสารพวกกรดดีออกซีไรโบนิวคลิอิก ดังนั้นโครโมโซมจึงมีหน้าท่ีควบคุม
กิจกรรมต่าง ๆ ภายในเซลล์ให้ดาเนินเป็นปกติและควบคุมการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของ
เซลล์

15
เนื้อเยือ่ พืช

เนื้อเย่ือพืช (Plant tissue) เกิดจากกลุ่มเซลล์ที่มีลักษณะรูปร่างเหมือนกันมาร่วมกันทา
หน้าท่ีอย่างเดียวกัน เน้ือเยื่อหลาย ๆ ชนิดจะมาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มและทาหน้าที่อย่างเดียวกัน
กลายเป็นอวัยวะ (Organs) ได้แก่ ลาต้น ใบ ดอก ผล และราก เป็นต้น เนื้อเย่ือมีหลายชนิดซึ่งอาจ
ประกอบด้วยเซลล์เพียงชนิดเดียวหรือหลายชนิด แบ่งไดเ้ ป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ เนื้อเย่ือเจริญ
และเน้ือเยื่อถาวร นอกจากน้ียังสามารถแบ่งเป็นชนิดย่อยตามหน้าท่ี แหล่งกาเนิดตาแหน่งท่ีอยู่
องค์ประกอบของเซลล์ทม่ี ารวมกันเป็นเนื้อเยื่อ ความสามารถในการแบ่งตวั และการเจรญิ เตบิ โต
ของเนอื้ เยื่อ

ภำพที่ 2.2 แสดงลกั ษณะของเนื้อเย่ือพชื ในส่วนต่างๆ
ที่มา : Plant tissue. http://cikgurozaini.blogspot.com/2011/01/plant-
tissues.html.[online]. 2011

16

เนอื้ เยอ่ื พืช แบง่ เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
1. เน้ือเยื่อเจริญ ( Meristematic tissue) เนื้อเยื่อเจริญ (Meristematic tissue) คือ

เนื้อเย่ือที่ประกอบด้วยเซลล์ท่ีมีความสามารถในการแบ่งตัวแบบไมโทซิส (Mitosis) อยู่ตลอดเวลา
ลักษณะเซลลเ์ ป็นเซลล์ที่มีชีวติ โดยมากมีรปู ร่างหลายเหล่ียมหรอื ค่อนขา้ งกลม ขนาดเล็ก ผนังบาง มี
นวิ เคลียสขนาดใหญ่ ไซโทพลาซึมเต็มเซลล์ แวคิวโอลมขี นาดเลก็ หรือไม่มีแต่ละเซลล์อยชู่ ิดกันมากจน
ไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์ (Intercellular space) เมื่อเซลล์ของเนื้อเย่ือเจริญหยุดแบ่งตัวจะเปล่ียน
สภาพไปเปน็ เน้ือเยื่อถาวรต่อไป เน้ือเยื่อเจริญสามารถจาแนกตามตาแหน่งทอ่ี ยบู่ นสว่ นต่าง ๆ ของพืช
ได้ 3 ชนดิ คอื

1.1 เน้ือเยอื่ เจรญิ ปลำยยอด (Apical meristem) เปน็ เน้ือเย่ือเจรญิ ทีอ่ ยู่บรเิ วณปลายยอด
ปลายรากปลายกิ่ง และตา ทาหน้าท่ชี ่วยใหส้ ่วนต่าง ๆ ของพชื ยาวขนึ้ หรอื สงู ข้ึน

1.2 เน้ือเย่ือเจริญด้ำนข้ำง (Lateral meristem) เป็นเน้ือเย่ือเจริญท่ีอยู่ระหว่างเปลือก
และเนอ้ื ไมข้ องพืชใบเลี้ยงคู่ท่ีมีการเจรญิ เตบิ โตทุติยภูมิ ทาหน้าท่เี พิม่ ความกว้างให้แก่ลาต้น ได้แก่ ท่อ
ลาเลียงแคมเบยี ม (Vascular cambium) และคอรก์ แคมเบยี ม (Cork cambium)

1.3 เน้ือเย่ือเจริญระหว่ำงปล้อง (Intercalary meristem) เป็นเนื้อเย่ือเจริญที่อยู่บริเวณ
ข้อหรือเหนือขอ้ ของพืชใบเลี้ยงเดยี่ ว เชน่ ขา้ ว หญ้า และพืชชนิดอนื่ ๆ ทาหนา้ ท่ชี ว่ ยใหป้ ล้องยดื ยาว

2. เน้ือเยื่อถำวร (Permanent tissue) เนอ้ื เย่ือถาวร (Permanent tissue) เป็นเน้ือเย่ือที่
เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่เปลี่ยนสภาพมาจากเนื้อเย่ือเจริญ มีรูปร่างคงท่ี ไม่มี
การแบ่งตวั เพิม่ ขน้ึ อีกและมหี น้าทีเ่ ฉพาะสามารถจาแนกตามลักษณะของเซลลไ์ ดส้ องชนดิ ได้แก่

2.1 เน้ือเยื่อถำวรเชิงเด่ียว (Simple permanent tissue) เนื้อเย่ือถาวรเชิงเดียวเป็น
เนอ้ื เย่ือท่ี
ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวมาทาหน้าที่อย่างเดียว ได้แก่ เนื้อเย่ือชั้นผิว (Epidermis)
พาเรงคิมา (Parenchyma) คอลเลงคิมา (Collenchyma) สเกลอเรงคิมา (Sclerenchyma) และ
เพรเิ ดิรม์ (Periderm)

2.1.1 เนื้อเยื่อชั้นผิว (Epidermis) เป็นเน้ือเยื่อชั้นผิวนอกสุดของส่วนต่าง ๆ ของ
พชื ทอ่ี ายนุ ้อยประกอบดว้ ยเซลล์ทเี่ รียงตัวชิดกันแน่นจนไม่มีช่องว่างระหวา่ งเซลล์ ผนังเซลล์ช้ันนอกมี
สารคิวทินซ่ึงเป็นสารจาพวกขี้ผึ้งฉาบอยู่เรียกชั้นน้ีว่า ชั้นเคลือบผิวพืชหรือคิวทิเคิล (Cuticle) ทา
หน้าที่ปอ้ งกนั การระเหยน้า รักษาความชื้นของเนอ้ื เยื่อที่อยู่ภายใน ใหค้ วามแขง็ แรงแกพ่ ืชและปอ้ งกัน
เน้ือเยื่อภายในไม่ให้ได้รับอันตราย พืชส่วนใหญ่จะมีเอพิเดอร์มิสเพียงช้ันเดียว ยกเว้นพืชบางชนิดท่ี
เจริญในที่แห้งแล้งเอพิเดอร์มิสอาจเปล่ียนแปลงรูปร่างไปเพื่อทาหน้าที่พิเศษเฉพาะอย่าง ได้แก่
เปลย่ี นไปเป็นขนราก (Root hair) ทาหนา้ ที่ชว่ ยดูดน้าและธาตุอาหาร เปลย่ี นไปเปน็ ขน (Trichome)
หรือต่อม (Gland) ต่าง ๆ เซลลเ์ อพิเดอร์มิสบริเวณผิวใบด้านล่างหรือผิวลาต้นท่ีอายนุ ้อยจะเปลี่ยนไป
เป็นเซลล์คุม (Guard cell) ทาหน้าที่ควบคุมการปิดเปิดของปากใบ (Stoma) เซลล์เอพิเดอร์มิสไม่มี
คลอโรฟลี ลย์ กเว้นในเซลล์คุม ดังนัน้ เซลลค์ ุมจึงสามารถสังเคราะหแ์ สงได้

2.1.2 พำเรงคิมำ (Parenchyma) เป็นเน้ือเย่ือท่ัวๆ ไปท่ีพบมากที่สุดในพืชหรือ
อาจกล่าวได้ว่าแทบทุกส่วนของพืช โดยเฉพาะส่วนท่ีอ่อนนุ่มและอมน้าได้มาก เช่น ชั้นคอร์เทกซ์และ
ไสใ้ นของลาต้นและราก มโี ซฟลี ล์ของใบ เนอื้ ของผลไม้ เป็นตน้ พาเรงคิมาเปน็ เซลล์ทมี่ ีชีวิตพาเรงคิมา
มีหน้าที่แตกต่างกันไปขึ้นกับส่วนของพืช ได้แก่ สังเคราะห์แสง สะสมอาหารและน้าสังเคราะห์สาร

17

พวกน้ามันระเหยง่ายและสารสี ช่วยในการลาเลียง นอกจากน้ีอาจเปลี่ยนสภาพกลับไปเป็นเนื้อเย่ือ
เจริญได้อกี ซ่งึ จะพบในบริเวณทีพ่ ืชเกิดบาดแผลโดยเปล่ยี นไป ชว่ ยสมานแผล

2.1.3 คอลเลงคิมำ (Collenchyma) เป็นเนื้อเยื่อท่ีประกอบด้วยเซลล์ท่ีมีชีวิต
ผนังเซลล์เป็นแบบผนังเซลล์ปฐมภมู ิ มีความหนาไม่สม่าเสมอ มีความเหนียวและยดื หยุ่นประกอบด้วย
เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลสและเพกทิน เซลล์มีขนาดเล็ก การเรียงตัวของเซลล์อยู่ชิดกันแน่นจนไม่ค่อยมี
ช่องว่างระหว่างเซลล์ ทาหน้าท่ีช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แกพ่ ืชและต้านแรงเสียดทาน พบเซลล์กลุ่มน้ี
ไดใ้ นส่วนของลาต้น ก้านใบ และเส้นกลางใบ

2.1.4 ส เก ล อ เร งคิ ม ำ (Sclerenchyma) ส เก ล อ เร งคิ ม าเป็ น เนื้ อ เย่ื อ ที่
ประกอบด้วยเซลล์ที่มีผนังหนาส่วนใหญ่เป็นแบบผนังเซลล์ทุติยภูมิ มีเซลลูโลสและลิกนินมากทาให้
เพิ่มความแข็งแรงแก่พืช เซลล์เม่ือโตเต็มที่จะตาย โดยผนังเซลล์ยังอยู่แต่โพรโทพลาสต์สลายไปเหลือ
เป็นช่องว่าง เรยี กวา่ ลูเมน (Lumen) สเกลอเรงคิมาจาแนกได้เป็นสองชนดิ ไดแ้ ก่

1) ไฟเบอร์ (Fiber) หรือเซลล์เส้นใย เป็นเซลล์ท่ีมีรูปร่างเล็กเรียวยาว หัวท้ายแหลม ผนัง
เซลล์หนามากเพราะมีลิกนินและเซลลูโลสมาสะสม แต่มีความเหนียวและยืดหยุ่น ทาหน้าท่ีให้ความ
แข็งแรงแก่พืช พบอยู่ตามส่วนต่างๆ ของพืช เช่น คอร์เทกช์ ปะปนอยู่ในท่อลาเลียงหรืออยู่โดยรอบ
ทอ่ ลาเลียง มีประโยชน์มากในทางเศรษฐกิจ โดยใช้ทาเป็นเชือก กระดาษ ทอเป็นเส้ือผ้าและกระสอบ
เปน็ ตน้

2) สเกลอรีด (Sclereid) เป็นเซลล์ท่ีมีลักษณะคล้ายไฟเบอร์แต่ละเซลล์ส้ันกว่า รูปร่างมี
หลายแบบ ท้งั รปู กลมหลายเหลยี่ ม เป็นทอ่ นยาวหรอื เปน็ แฉกคลา้ ยดาว ผนังเซลลห์ นามากเนื่องจากมี
ลิกนินมาสะสม พบในส่วนของพืชท่ีแข็ง เช่น เปลือกของเมล็ดหรือผลไม้ ได้แก่ กะลามะพร้าว เมล็ด
พุทรา เนื้อผลไม้ที่สุก เช่น ละมุดน้อยหน่า ฝรั่ง ท้อ สาลี่ อาจพบแทรกในช้ันคอร์เทกซ์ ในท่อลาเลียง
ของลาต้นในสว่ นของใบและก้านใบ เปน็ ต้น ทาหนา้ ท่ีเพิ่มความแข็งแรงใหแ้ กส่ ว่ นต่าง ๆ ของพืช

2.1.5 เพริเดิร์ม (Periderm) เพริเดิร์มเป็นเน้ือเย่ือท่ีเกิดขึ้นที่เอพิเดอร์มิสของลา
ตน้ และรากที่มกี ารเจรญิ เติบโตทุตยิ ภมู ิ ประกอบด้วยคอรก์ คอรก์ แคมเบียมและเฟลโลเดิร์ม

1) คอร์ก (Cork) หรือเฟลเลม (Phellem) เป็นเซลล์ท่ีมีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวเรียงตัว
เบียดกันแน่นจนไม่มชี ่องว่างระหว่างเซลล์ ผนังเซลล์มีท้ังปฐมภูมิและทุติยภูมิ เม่ือเจริญเต็มท่ีจะสร้าง
สารซูเบอริน (Suberin) ซึ่งเป็นสารจาพวกขี้ผ้ึง มีสีน้าตาลมาทับถมผนังเซลล์ทาให้เห็นเปลือกไม้ มีสี
น้าตาล จากน้ันไซโทพลาซึมจะสลายตัวและเซลล์ตายไป คอร์กจะทาหน้าที่คล้ายเอพิเดอร์มิสคือช่วย
รักษาความช้ืน ป้องกันการระเหยน้าของพืช ทาให้พืชแข็งแรงรวมท้ังป้องกันอันตรายจากภายนอก
ใหแ้ กเ่ ซลล์พชื

2) คอร์กแคมเบียม (Cork cambium) หรือเฟลโลเจน (Phellogen) เป็นชั้นที่อยู่ถัดจาก
ชั้นคอร์กเข้ามาข้างในเป็นเน้ือเยื่อเจริญท่ีทาหน้าที่สร้างคอร์กและเฟลโลเดิร์ม เซลล์เป็นรูป
สเ่ี หลย่ี มผืนผา้ ค่อนข้างแบน ผนงั เซลล์บางเรยี งตวั ชิดกันแน่น

3) เฟลโลเดิร์ม (Phelloderm) เป็นเนื้อเย่ือท่ีมีชีวิตอยู่ช้ันในสุดของเพริเดิร์มประกอบด้วย
เซลล์ที่เรียงตัวกันค่อนข้างหลวม รูปร่างคล้ายพาเรงคิมา บางเซลล์อาจทาหน้าที่สะสมอาหารหรือมี
ผลกึ สะสมอยู่ภายใน

18

2.2 เนื้อเย่ือถำวรเชิงซ้อน (Complex permanent tissue) เน้ือเยื่อถาวรเชิงซ้อนเป็น
เน้ือเยือ่ ที่ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ท่ีเรียงตัวกันค่อนข้างหลวม รปู ร่างคล้ายพาเรงคิมา บางเซลล์อาจทา
หน้าท่ีสะสมอาหารหรือมผี ลึกสะสมอยภู่ ายใน

2.2.1 ไซเล็ม (Xylem) เป็นเน้ือเยื่อที่มีหน้าท่ีเก่ียวกับการลาเลียงน้า อินทรีย์สาร
และวัตถดุ ิบซึ่งเปน็ สารละลาย รวมทั้งแรธ่ าตุตา่ ง ๆ จากรากขึ้นไปสู่ส่วนบนของลาต้น ไซเลม็ มักจะอยู่
คู่กับโพลเอ็ม ซ่ึงเป็นท่อลาเลียงอาหารเสมอเรียกรวมกันว่าเนื้อเย่ือลาเลียง (Vascular tissue) ท่อ
ลาเลยี งนี้จะอยู่ในทกุ ส่วนของพืช ไซเล็ม จะประกอบไปด้วยเน้ือเย่อื ตอ่ ไปนี้ ได้แก่

1. เทรเคียรีเอลิเมนต์ (Tracheary elements) ทาหน้าที่ลาเลียงน้าและธาตุอาหาร
ประกอบด้วยเทรคีต (Tracheid) ซ่ึงมีรูปร่างยาวหรือเป็นเหล่ียมยาว ปลายค่อนข้างแหลมทั้งสองข้าง
ไม่มผี นังดา้ นปลาย (End wall) และเวสเซล (Vessel) มีผนงั ดา้ นปลายทช่ี ดั เจน อาจตดั ตรงหรอื เอยี ง

2. ไซเล็มพำเรงคิมำ (Xylem parenchyma) เป็นเซลล์ท่ีมีชีวิต รูปร่างคล้ายพาเรงคิมา
ทั่วไป ทาหน้าที่สะสมอาหารจาพวกแป้ง น้ามัน ผลึกและสารอ่ืน ๆ นอกเหนือจากการทาหน้าท่ี
ลาเลียงน้าและธาตุอาหารไซเลมพาเรงคิมาบางกลุ่มอาจเรียงตัวขนานกับรัศมีของลาต้นและราก
เรยี กว่า ไซเลมเรย์ (Xylem ray)ทาหน้าทลี่ าเลยี งน้าและธาตุอาหารไปยังด้านข้างของลาต้นและราก

3. ไซเล็มไฟเบอร์ (Xylem fiber) เป็นเซลล์ขนาดสั้น ผนังหนา ปลายแหลม อาจมีผนังก้ัน
เป็นห้อง ๆ ทาหน้าที่ช่วยให้ความแข็งแรงแก่พืชสาหรับพืชพวกจิมโนสเปิร์มและเฟิร์นพบเฉพาะ
เทรคีด และไซเลมพาเรงคมิ าเท่านนั้

2.2.2 โฟลเอ็ม (Phloem) โฟลเอ็มเป็นเนื้อเย่ือท่ีมีหน้าที่เกี่ยวกับการลาเลียง
อาหารของพืชซึ่งเป็นผลิตผลที่ได้จากการสังเคราะห์แสง และอยตู่ ิดกับไซเล็มเสมอประกอบด้วยเซลล์
มหี ลายชนิดเช่นเดียวกบั ไซเล็มประกอบดว้ ย

1. เซลล์หลอดตะแกรง (Sieve tube member) เรยี งต่อเปน็ ท่อยาว ลาเรยี งอาหารปลาย
เซลล์มีรพู รุน เรียกแผ่นตะแกรง (Sieve plate) เปน็ ทางให้ไซโตพลาสซมึ ภายในติดตอ่ กัน

2. เซลล์ประกบ (Companion cell) ทาหน้าที่ช่วยเหลือเซลล์หลอดตะแกรงในการ
ลาเลยี งอาหาร โดยเฉพาะเมอ่ื เซลล์มอี ายมุ ากขน้ึ

3. โฟลเอ็มพำเรงคิมำ (Phloem parenchyma) ทาหน้าท่ีช่วยสะสมอาหารและอินทรีย
สารเช่น เม็ดแป้ง แทนนิน เรซินและน้ามัน เป็นต้น ตลอดทั้งทาหน้าที่ในการลาเลียงอาหารและช่วย
เสรมิ สร้างความแข็งแรงใหแ้ ก่พืช ในพชื ทม่ี กี ารเจริญเติบโตทตุ ิยภมู ิจะพบโฟลเอม็ พาเรงคมิ าเรียงตัวใน
แนวขนานกับรัศมีของลาต้นและราก เรียกว่า โฟลเอ็มเรย์ (phloem ray) ทาหน้าท่ีลาเลียงอาหารไป
ยงั ดา้ นข้างของลาตน้ และราก

4. โฟลเอ็มไฟเบอร์ (Phloem fiber) ทาหน้าที่ช่วย เสริมความแข็งแรงแก่ท่ออาหาร และ
ช่วยสะสมอาหาร

19

ภำพที่ 2.3 แสดงสว่ นต่างๆของเน้อื เยอ่ื พืช
ที่มา : Plant tissue. http://cikgurozaini.blogspot.com/2011/01/plant-
tissues.html.[online]. 2011

20

บทที่ 3 : สัณฐำนวิทยำของพืช

การศึกษาทางสัณฐานวทิ ยาของพืช (Plant morphology) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สามารถบอก
ความหมายและแยกความแตกต่างของลักษณะทางสัณฐานวิทยาท่ีใช้ในการบรรยายลักษณะทาง
พฤกษศาสตรแ์ ละจาแนกชนิดของพชื ได้อย่างถกู ตอ้ ง

หลกั กำรศึกษำทำงสัณฐำนวิทยำ จะพิจารณาจากลักษณะสาคญั 3 ประการ คือ
1. ลักษณะวิสัย (Habit) เป็นลักษณะชนิดไม้ซึ่งเป็นโครงร่างโดยรวมของพืชนั้นๆ เช่น ไม้

พมุ่ ไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก เป็นต้น โดยการศึกษาและบันทึกข้อมูลจะเน้นทขี่ นาดของลาต้น ความสูง การ
แตกกิง่ ก้าน ทรงพมุ่ ฯลฯ

2. อวัยวะที่ไม่เกีย่ วกับเพศ (Vegetative organs) เป็นสว่ นของโครงสร้างพืชท่ไี ม่เก่ียวข้อง
กับการสบื พนั ธุ์ ได้แก่ ลาตน้ ราก ใบ ฯลฯ

3. อวัยวะสืบพันธ์ุ (Reproductive organs) เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธ์ุของพืช
ซึง่ ได้แก่ ดอก และผล

ลักษณะทางสัณฐานวิทยาที่ปรากฏอยู่ในพืชน้ันถึงแม้จะมีอยู่หลากหลาย แต่ก็สามารถแบ่ง
ออกไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะคอื

1. รูปลักษณ์เชิงคุณภำพ (Qualitative character) เป็นลักษณะท่ีมีการแบ่งแยกชัดเจน
ไม่มีความตอ่ เนอ่ื ง นอกจากนี้ยงั ให้ความหมายรวมถึงการมหี รอื ไม่มี ถือเปน็ ลกั ษณะท่ีดใี นการนามาใช้
ในการจาแนกพืช เชน่ การจัดเรียงตัวของใบ การตดิ ของรงั ไข่ ชนิดของใบ เป็นต้น

2. รูปลักษณ์เชิงปริมำณ (Quantitative character) เป็นการระบุโดยใช้ขนาด ความ
กว้าง ความยาว เป็นเกณฑ์ จึงมักเกิดความแปรผันต่อเน่ือง เช่น ขนาดความกว้างความยาวของแผ่น
ใบของพืชชนดิ เดียวกันแต่อาศัยอยู่ในส่ิงแวดล้อมท่ีแตกต่างกันอาจมีขนาดไม่เท่ากนั ดงั นั้นการบันทึก
ข้อมลู เหลา่ นีม้ ักใช้การระบเุ ป็นชว่ งกวา้ งๆ ที่เปน็ คา่ เฉล่ยี ของพชื นนั้ ๆตามท่สี ังเกตได้

อย่างไรก็ดีในการศึกษาทางสัณฐานวิทยาน้ันจาเป็นจะต้องใช้ลักษณะทั้งเชิงปริมาณ และเชิง
คุณภาพประกอบกัน เพื่อให้สามารถจาแนกชนิดของพืชได้อย่างถูกต้อง และจะต้องมีความแปรผัน
น้อยท่ีสุด รวมถึงตัวอย่างที่นามาศึกษาต้องมีความแปรผันทางพันธุกรรมต่าด้วย เพ่ือให้สามารถคง
รูปลกั ษณท์ ตี่ ้านทานตอ่ การเปล่ียนแปลงของส่งิ แวดลอ้ มที่อาศัยอยู่

สาหรับการศกึ ษาในบทน้จี ะเนน้ ในส่วนลกั ษณะทางสัณฐานวิทยาโดยรวม (Gross
morphology) ของส่วนต่างๆ ของพืชท่สี ามารถเหน็ ได้ดว้ ยตาเปลา่ ได้แก่ สว่ นของราก สาตน้ ใบ
ดอก ผล เมล็ด

21

คำศัพท์ทำงสัณฐำนวิทยำ
 รำก (Root) คือ อวัยวะของพืชท่ีไม่มีคลอโรฟีลล์ ไม่มีข้อ ปล้อง ตาและใบ เจริญเติบโตตาม
แรงดงึ ดดู ของโลกลงสดู่ นิ โดยมหี นา้ ท่ี ดงั นี้

1. ดดู (Absorption) น้า แรธ่ าตุ และแกส๊ จากส่ิงแวดล้อมรอบตัว
2. ลาเลียง (Conduction) น้า แรธ่ าตุ และ อาหาร
3. ยดึ (Anchorange) ลาตน้ ให้ติดกบั พนื้ ดิน หรอื ตน้ ไมช้ นดิ อื่น เช่นพวกกาฝาก
4. สร้างฮอร์โมน (Producing hormones) เช่น ไซโทไคนิน (Cytokinin) และจิบเบอเรลลิน
(Gibberellin) เพ่ือพฒั นาลาตน้ ยอดและสว่ นอน่ื ๆ
5. อาจทาหนา้ ทีพ่ ิเศษอ่ืน ๆ เชน่ สะสมอาหาร สงั เคราะหแ์ สง ค้าจนุ ยดึ เกาะ หายใจ เป็นตน้
ระบบรำก ระบบรากของพชื สามารถจาแนกได้ 2 ระบบ ไดแ้ ก่

1) ระบบรำกแก้ว (Tap root system) หมายถึง ระบบรากที่มีรากปฐมภูมิเป็นรากหลัก มี
ขนาดใหญก่ ว่ารากอ่ืน ๆ อาจมีรากทตุ ิยภมู แิ ตกออกมา ทาหน้าทย่ี ดึ พนื้ ดินใหพ้ ืชทรงตวั อยู่ได้

2) ระบบรำกฝอย (Fibrous root system) หมายถึง ระบบรากท่ีมีขนาดใกล้เคียงกัน
จานวนมาก ไม่มีรากหลัก แผก่ ระจายออกไปโดยรอบลาต้น ส่วนใหญพ่ บในพืชใบเลย้ี งเด่ยี ว ระบบราก
ฝอยเกดิ ขน้ึ เนื่องมาจากระบบรากแกว้ ไมเ่ จริญ เช่น พชื จาพวกหญ้า จะมีระบบรากแอดเวนทิเซียสรูต
(Adventitious root system) เป็นรากที่เกดิ จากสว่ นใดส่วนหน่ึงของพืช เช่น เกิดจากใบ กิ่ง หรือข้อ
ของลาตน้ ไม่ได้เกิดมาจากรากแรกเกดิ หรือรากปฐมภูมิโดยตรง ต้นข้าวโพดที่เจริญเติบโตมีขนาดใหญ่
จะมีแตร่ ากชนิดน้ีเท่านนั้ เช่นเดยี วกบั รากก่งิ ตอนและก่ิงชาของพชื

ภำพที่ 3.1 แสดงระบบรากของพชื
ท่ีมา : Root system. http://depssa.ignou.ac.in/wiki/index.php/Structure_
and_Function_ of_Living_Organisms. [online]. 2010

22

รำกที่เปล่ียนแปลงไป รากบางชนิดสามารถเปลีย่ นแปลงรูปร่างไปเพ่ือทาหน้าทีพ่ ิเศษต่าง ๆ เรียกราก
เหล่านี้ว่า รากที่เปล่ียนแปลงไป (Modified หรือ Specialized root) ซ่ึงอาจเป็นรากแก้ว รากแขนง
หรือรากพิเศษ ไดแ้ ก่

1) รากสะสมอาหาร (Storage root) เป็นรากท่ีทาหน้าสะสมอาหารจาพวกแป้ง น้าตาล

หรือโปรตีน มีลักษณะอวบอ้วน ซ่ึงมักเรียกกันทั่วไป หัว โดยอาจเปล่ียนแปลงมาจาก รากแก้ว เช่น
แครอต ผกั กาดหวั เทอรน์ ปิ แรดชิ หรือเปลยี่ นแปลงมาจากแขนง เชน่ กระชาย มันเทศ มันสาปะหลงั

2) รากค้า (Prop root) เป็นรากที่แตกออกจากข้อของลาต้นที่อยู่ใต้ดินหรือเหนือดิน

เล็กน้อย แลว้ พุ่งลงดนิ เพือ่ ชว่ ยพยุงและค้าจนุ ลาต้น เช่น รากข้าวโพด เตย ไทร โกงกาง
3) รากสังเคราะห์แสง (Photosynthetic root) เป็นรากที่แตกออกมาจากข้อของลาต้น

หรอื กง่ิ แล้วหอ้ ยลงมาในอากาศ มีสเี ขยี วของคลอโรฟลี ล์จึงสงั เคราะหแ์ สงได้ เช่น รากกล้วยไม้
4) รากหายใจ (Respiratory root หรือ Aerating root) เป็นรากท่ีชูส่วนปลายข้ึนเหนือ

ดินแทนที่จะงอกลงดนิ เพ่ือชว่ ยในการหายใจไดม้ ากเป็นพิเศษกว่ารากทว่ั ๆ ไป รากเหล่านีอ้ าจเรียกว่า
รากทุ่นลอย หรอื นวิ มาโทฟอร์ (Pneumatopore) เชน่ ลาพู แสม โกงกาง แพงพวยนา้ ผกั กะเฉด

5) รากปีนป่าย (Climbing root) เป็นรากที่แตกออกมาจากข้อของลาต้นแล้วเกาะติดกับ

สิง่ ยึด เช่น รากพลู พลดู า่ ง พรกิ ไทย
6) รากเบียน (Parasitic root) เป็นรากของพืชที่เกาะกินบนพืชชนิดอ่ืน โดยรากจะทอดไป

ตามต้นพืชที่เกาะแล้วมีรากเล็ก ๆ เรียกว่า ฮอสทอเรียม (Haustorium) แตกออกมาเป็นกระจุกแทง
ลกึ ลงไปในลาต้นจนถึงท่อลาเลียง ทาหน้าท่ีแย่งน้า ธาตุอาหารและอาหารจากพืชที่ยึดเกาะ เชน่ ราก
ฝอยทอง กาฝาก

Nodulose roots of Curcuma mamoda Modiliform roots of Momordica sp.

Root nodules of Vicia faba Epiphytic roots
Aerial root
Aerial and epiphytic roots of Vanda sp.

ภำพท่ี 3.2 แสดงรากที่เปล่ยี นแปลงไปรูปแบบต่างๆ
ทีม่ า : Type of root. http://www.daviddarling.info/encyclopedia/P/plant_root.html.[online]. 2010

23

 ลำต้น (Stem)
ลำต้น (Stem) เป็นอวยั วะของพชื ที่โดยทัว่ ไปเจริญอยเู่ หนือพน้ื ดิน มหี น้าท่ี

1. หน้าท่ีหลัก คือ เป็นแกนช่วยพยุง (Support) อวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ กิ่ง ใบ ดอก ผลและเมล็ด ช่วย
ใหใ้ บกางออกรับแสงแดดเพื่อประโยชน์ในการสงั เคราะห์แสง
2. เปน็ ตัวกลางในการลาเลียง (Conduction) น้า ธาตุอาหาร ไปยังเน้ือเยือ่ และอวัยวะของพชื ทข่ี ึ้นมา
ใหม่ เช่นใบ ดอก ผล ขึน้ มาใหม่
3. อาจทาหนา้ ท่พี เิ ศษ เช่น สะสมอาหาร สังเคราะห์แสง สบื พนั ธ์ุ เปลยี่ นไปเป็นมอื พันเพือ่ ชว่ ยพยุงค้า
จุนลาต้นสรา้ งสารบางชนดิ เชน่ แทนนิน นา้ ยางและเรซิน เปน็ ต้น

ลักษณะท่วั ไปของลำตน้ ประกอบดว้ ย 3 สว่ น คือ
1. ขอ้ (Node) เปน็ บรเิ วณที่มกี ่งิ ใบ เจริญออกมา
2. ปลอ้ ง (Internode) เปน็ สว่ นทอ่ี ยรู่ ะหว่างข้อแตล่ ะข้อ
3. ตา (Bud) เป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของลาต้น ทาหน้าที่ให้กาเนิดก่ิง ใบและดอก ตามีรูปร่างโค้ง
นูนหรือรูปกรวย ประกอบด้วยเนื้อเย่ือเจริญจานวนมาก สามารถจาแนกชนิดของตาตามตาแหน่งท่ี
เกิดบนลาตน้ ไดด้ ังนี้

ตายอด (Apical bud หรอื Terminal bud) เปน็ ตาท่ีอยู่ปลายกิ่งหรือยอดของลาตน้ เมื่อ

เจรญิ ยืดยาวออกมาจะมีผลให้ลาต้นหรือก่ิงน้นั ยืดออกและสูงขน้ึ
ตาข้าง (Axillary bud หรือ Lateral bud) เป็นตาท่ีเกิดอยู่ตรงบริเวณซอกใบ (Leaf

axil) อนั เปน็ มุมทล่ี าตน้ กบั ก้านใบมาบรรจบกัน ทาหน้าทใี่ หก้ าเนิดกงิ่ แขนงหรือดอก
ตาช่วย (Accessory bud) เป็นตาที่เกิดใกล้ ๆ กับตาข้างที่บริเวณข้อ พบในพืชบางชนิด

หากตาขา้ งถกู ทาลาย ตาชนิดน้จี ะทาหนา้ ทีแ่ ทน
ตาพิเศษ (Adventitious bud) เป็นตาที่เกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของลาต้นนอกเหนือจากตา

ดงั กลา่ วข้างต้น จะเห็นได้จากเม่อื โค่นต้นไม้เหลือเฉพาะตอ ตาชนิดน้ีจะเกิดขึ้นโดยรอบตอ ทาให้มีลา
ต้นออ่ นเกิดขึน้ ไดจ้ ากตอนน้ั ๆ หรือบางทอี าจเกดิ ขน้ึ ที่ใบใหก้ าเนิดตน้ อ่อน

ในพืชหลายชนิดมีเปลือกหุ้มตาหรือใบเกล็ด (bud scale หรือ scale leaf) ซึ่งเป็นใบที่
เปล่ียนแปลงไปหุ้มตาไว้ขณะท่ีตายังอ่อนอยู่ เพื่อป้องกันอันตรายจากภายนอกและป้องกันการระเหย
นา้ เมอื่ ตาเจรญิ เติบโตไปเป็นกงิ่ ใบหรือดอก ใบเกลด็ นี้จะหลุดไป

24

ภำพที่ 3.3 แสดงส่วนตา่ งๆของลาต้น
ที่มา: ลาต้น. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010
ชนิดของลำตน้
1. ไม้ยืนต้น (Tree) ไม้ใหญ่หรือไม้ยืนต้น ไม้ประเภทนี้มีลาต้นเป็นไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่ มี
ลาตน้ หลักต้ังตรง ต้นเดียว แลว้ จงึ แตกก่ิงกา้ นบริเวณยอด โตเต็มที่สูงเกิน 5 เมตร มีอายุยืนยาวหลาย
ปี เชน่ สน เต็ง รงั แดง สัก ประดู่ นนทรี จามจรุ ี มะขาม
2.ไมพ้ มุ่ (Shrub) ลาต้นมเี น้ือไม้แข็งแตข่ นาดเลก็ กวา่ ไมย้ ืนต้น และมลี าต้นหลกั หลายตน้ มี
กง่ิ ก้านสาขาแยกไปมากบริเวณใกล้โคนต้น ลักษณะเป็นพุ่มสูงไม่เกิน 5 เมตร มีอายุหลายปี เช่น ชบา
แกว้ เข็ม พุดตาน กระถนิ
3. ไม้ล้มลุก (Herb) มีลาต้นเป็นไม้เน้ืออ่อนไม่มีเน้ือไม้ หรือมีเนื้อไม้เล็กน้อยบริเวณโคนต้น
แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท คอื
1. ไม้ล้มลุกปีเดียว (Annual herb) เป็นพืชอายุไม่เกิน 1 ปี เม่ือออกดอกออกผลแล้วจะตาย เช่น
ดาวเรอื ง บานชน่ื หงอนไก่ ทานตะวัน
2. ไม้ล้มลุกข้ามปี (Biennial herb) เป็นพืชท่ีมีอายุ 2 ปี โดยปีแรกจะเจริญเติบโตทางลาต้นและใบ
แล้วออกดอกออกผลในปีที่ 2 จึงจะตาย เช่น กลว้ ยประดบั ผกั กาดแดง
3. ไม้ล้มลุกหลายปี (Perennial herb) เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุมากกว่า 2 ปี และออกดอกออกผลทุกปี
เช่นบวั บานเช้า พลับพลึง พุทธรกั ษา
4. ไม้เถา (Climber) เป็นพืชที่ลาต้นมีเน้ือไม้หรือไม่มีเน้ือไม้ อายุปีเดียวหรือหลายปี ลาต้น
เลื้อยไปตามดนิ หรือพันสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง โดยอาจมีอวัยวะพิเศษช่วยในการเก่ียวยึด เช่น ราก มือเกาะ
ขอเกีย่ ว ไม้เลอ้ื ยได้แก่ พวงชมพู กระเทยี มเถา สรอ้ ยอินทนิล

25

5.ไม้รอเลือย (Scandent) ไม้รอเลื้อยหรือไม้พุ่มกึ่งไม้เถา เม่ือขึ้นอยู่ตามลาพังจะทรงตัวอยู่
ได้ โดยกิ่งก้านไม่เลื้อยทอดลงดิน ต่อเมื่ออยู่ใกล้ต้นไม้อ่ืนหรือสิ่งอื่น กิ่งก้านก็จะทอดเล้ือยพันส่ิงนั้นๆ
เชน่ การเวกนมแมว โนรา เฟือ่ งฟา้

ภำพท่ี 3.4 แสดงลกั ษณะวสิ ัยพืช (Plant habit)
ท่มี า: วสิ ัยพืช. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010

ลำต้นทเี่ ปลีย่ นแปลงไปเพ่อื ทำหนำ้ ทีพ่ ิเศษ
ลำตน้ เหนือดิน

1. ล้าต้นเกาะเลือย (Creeping stem หรือ Prostate stem) เป็นลาต้นท่ีเลื้อยไปตามผิว
ดินหรือผิวน้าและมีรากงอกออกมาจากบริเวณข้อแล้วแทงลงดินเพื่อช่วยยึดลาต้น นอกจากนี้บริเวณ
ข้อจะมีตาเจริญเป็นลาต้นที่ทอดยาวขนานกับพ้ืนดินหรือผิวน้า ซึ่งจะงอกรากและลาต้นข้ึนใหม่
เรียกว่า ไหล (Stolon) เช่นท่ีพบใน หญ้าแพรก และ ลาต้นที่ทอดยาวไปเร่ือยๆ ไม่ขนานกับพื้นดิน
หรอื พื้นน้า และบรเิ วณข้อจะมีรากงอกออกมาเพื่องอกเป็นลาต้นใหม่ เรียกว่า รันเนอร์ (Runner) เช่น
ทพี่ บใน ชา้ พลู หรือบวั บก

2.ล้าต้นพันเลีอย (Twiner) เป็นไม้เถาที่ปีนป่ายข้ึนที่สูงโดยใช้ลาต้นพันกับหลักเป็นเกลียว
เช่น ถ่ัวฝกั ยาว บางชนิดลาต้นเปลย่ี นไปเปน็ มือพัน (Tendril) ยดื หดได้คลา้ ยลวดสปริง เชน่ องุ่น

3. ล้าต้นเลือย (Climber) เป็นลาต้นท่ีปีนป่ายข้ึนท่ีสูง โดยงอกรากออกจากข้อยึดติดกับ
หลกั หรอื ต้นไม้ เช่น พลู พรกิ ไทย

4. ล้าต้นหนาม (Spine หรือ Thorny stem) เป็นลาต้นที่เปล่ียนแปลงไปเป็นหนาม
รวมทง้ั ขอเกี่ยวสาหรบั ปีนปา่ ยขึน้ ทีส่ ูงและป้องกนั อันตราย เช่น เฟ่ืองฟ้า

5. ล้าต้นคล้ายใบ (Phylloclade) เป็นลาต้นท่ีมีลักษณะแบนจนกระท่ังคล้ายกับลักษณะ
ของใบในพืชท่ัว ๆ ไป ลาต้นแบบน้ีปกติจะทาหน้าท่ีของใบด้วย คือ สังเคราะห์แสง ดังนั้นพืชที่มีลา
ต้นแบบน้จี ึงไม่มีใบหรอื มีก็เลก็ มากเช่น ตะบองเพชร

26

ภำพท่ี 3.5 แสดงลาต้นเหนอื ดินทีเ่ ปล่ียนแปลงไป (Modified stem : over-ground stem)
ท่ีมา: ลาต้นเหนือดินที่เปลี่ยนแปลงไป. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online].
2010
ลำต้นใต้ดิน (Underground stem) ลาต้นใต้ดินบางชนิดมักมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นราก ท้ังนี้เพราะลา
ต้นเหล่านี้ไม่มีคลอโรฟีลล์ มีรากเล็ก ๆ งอกออกมาซึ่งคล้ายกับรากแขนงท่ีแตกออกมาจากรากแก้ว
การที่จะพิจารณาว่าลาต้นใต้ดินไม่ใช่รากสังเกตได้จากลาต้นเหล่านี้มีข้อและปล้องส้ัน ๆ บางทีก็มีตา
อยู่ตามข้อด้วย ลาต้นใต้ดินมีรูปร่างแตกต่างไปจากลาต้นเหนือดิน ส่วนใหญ่ทาหน้าที่สะสมอาหาร
ไดแ้ ก่ เหงา้ ทูเบอร์ บัลบแ์ ละคอร์ม

1. เหง้า (Rhizome) เป็นลาต้นใต้ดินท่ีมักขนานไปกับผิวดนิ มีข้อและปล้องสน้ั ๆ ตามขอ้ มี
ใบเกล็ดสีน้าตาลไม่มคี ลอโรฟีลล์หุ้มตาไว้ ตาสามารถแตกแขนงเป็นลาต้นใต้ดินหรอื ลาต้นและใบชูข้ึน
เหนือดิน มีรากงอกลงดินลาต้นชนิดน้ีมักเรียกว่า แง่ง หรือเหง้า เช่น ขิง ข่า ขม้ิน พุทธรกั ษา หญ้าคา
หญ้าแพรก

2. หัวแบบมันฝร่งั (Tuber) เป็นลาต้นใต้ดินส้ัน ๆ ประกอบดว้ ยขอ้ และปล้องประมาณ 3-
4 ปล้องเท่านั้น ไม่มีใบเกล็ดลาต้นมีอาหารสะสมทาให้อวบอ้วน มีตาอยู่โดยรอบซึ่งมักจะบุ๋มลงไป
สามารถงอกตน้ ใหญช่ ูข้นึ เหนอื ดินในบริเวณตานั้น ได้แก่ มนั ฝรั่ง

27
3.หัวแบบหอม (Bulb) เป็นลาต้นใต้ดินท่ีตั้งตรง อาจโผล่พ้นดินขึ้นมาบ้าง มีปล้องส้ันมาก
ตามปล้องมีใบเกล็ดซ้อนกันหลายช้ันห่อหุ้มลาต้นเอาไว้เห็นเป็นหัวขึ้นมา ใบเกล็ดนี้จะทาหน้าท่ีสะสม
อาหาร ในขณะที่ลาต้นไม่มีอาหารสะสมอยู่ ส่วนล่างของลาต้นมีรากเป็นกระจุก เช่น หอม กระเทียม
พลับพลึง
4. หัวแบบเผือก (Corm) เป็นลาต้นใต้ดินท่ีตั้งตรงเช่นเดียวกับบัลบ์ มีข้อปล้องเห็นชัดตาม
ข้อมีใบเกล็ดบาง ๆ หุ้ม ลาต้นหน้าที่สะสมอาหารทาให้อวบอ้วน มีตาตามข้อสามารถงอกเป็นใบโผล่
ข้นึ เหนอื ดินหรืออาจแตกเป็นลาตน้ ใต้ดินต่อไปได้ ส่วนล่างของลาต้นมรี ากฝอยเส้นเล็ก ๆ จานวนมาก
เช่น เผือก แหว้ จีน ซอ่ นกล่นิ ฝร่ัง

ภำพท่ี 3.6 แสดงลาตน้ ใต้ดินท่เี ปล่ยี นแปลงไป (Modified stem : underground stem)
ท่ีมา: ลาต้นใต้ดินที่เปล่ียนแปลงไป. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online].
2010

 ใบ (Leaf)
ใบ (Leaf) คือ อวัยวะของพืชหรือรยางค์ท่ีเจรญิ ออกมาจากข้อของลาต้นและกิ่ง ใบส่วนใหญ่

จะมีสเี ขียวของคลอโรฟีลล์ มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกนั ไปตามชนดิ ของพชื โดยใบมหี น้าที่
1. หน้าท่หี ลกั คอื การสงั เคราะห์แสง หายใจและคายน้า
2.อาจเปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่พิเศษอ่ืน ๆ เช่น สะสมอาหาร สืบพันธุ์ ช่วยยึดและค้าจุน ป้องกัน
ยอดออ่ น

28

ส่วนประกอบของใบ ใบแท้ ท่ีครบส่วน (Complete leaf) จะประกอบไปด้วยแผ่นใบ ก้านใบและหู
ใบครบทงั้ 3 สว่ น หากขาดสว่ นหน่ึงส่วนใดจะเป็นใบทีไ่ ม่ครบส่วน (Incomplete leaf)

1) แผ่นใบหรือตัวใบ (Blade หรือ Lamina) เป็นส่วนสาคัญมากของใบ แผ่นใบ
ประกอบด้วยปลายใบ (Apex) ขอบใบ (Margin) และฐานใบ (Base) ภายในแผ่นใบมีเส้นเล็ก ๆ อยู่
มากมาย เส้นเหล่านี้นี้คือเส้นใบ (Vein) ซึ่งประกอบด้วย ท่อลาเลียง และถ้าเป็นพืชใบเล้ียงคู่จะพบว่า
ท่ีกลางแผ่นใบจะมีเส้นใหญ่ ๆ ติดต่อจากก้านใบไปจนถึงปลายใบ เรียกว่าเส้นกลางใบ (Mid rib)
ประกอบด้วยท่อลาเลียงเช่นเดียวกับเส้นใบ ท่อลาเลยี งของเส้นใบและเส้นกลางใบจะเชื่อมถึงกันหมด
และจะเชอ่ื มไปยังก้านใบรวมท้งั ทอ่ ลาเลียงของลาตน้ และรากอีกด้วย

2) ก้ำนใบ (Petiole หรอื Stalk) เป็นส่วนของใบที่เชื่อมระหว่างตัวใบกับลาต้นหรือก่ิงก้าน
มหี น้าท่ีในการลาเลยี งน้าและธาตุอาหารจากราก ลาต้น ผา่ นก้านใบไปยงั แผ่นใบ และลาเลยี งอาหารที่
แผน่ ใบผลิตขึ้นมา ผ่านเส้นใบ เส้นกลางใบมายังกา้ นใบและไปยังสว่ นอื่น ๆ ของพืช แต่ในพืชบางชนิด
ก้านใบจะติดอยู่ใต้ท้องไปไม่ใช่บริเวณฐานใบ เช่น ใบบัว ใบบอน เรียกใบชนิดนี้ว่าเพลเทตลีฟ
(Peltate leaf) พืชบางชนิดพบว่าใบไม่มีก้านใบ (Sessile leaf) เช่น ใบหูปลาช่อน ตรงโคนของก้าน
ใบท่อี อกมาจากลาต้นจะเกิดเป็นมุม เรียกว่า มมุ ใบ (Leaf axil) เป็นท่ีอยู่ของตาซง่ึ จะเจรญิ เติบโตเป็น
กงิ่ หรือดอก ก้านใบพืชใบเลี้ยงคู่มักเรียวเล็กลักษณะกลมหรือค่อนขา้ งกลม แตก่ ้านใบพืชเลี้ยงเด่ยี วมัก
แผ่เป็นกาบ (Sheath) หุ้มลาต้นและตาไว้

3) หูใบ (Stipule) เป็นส่วนของใบท่ียื่นออกมาจากโคนก้านใบตรงบริเวณท่ีเช่ือมต่อกับลา
ต้นหรือกิ่ง มีอันเดียวหรอื สองอัน มักมีสีเขียวในการสังเคราะห์แสง หูใบมีรปู ร่างต่างกันขึ้นกับชนิดพืช
เช่น เปน็ แผ่นสเี ขียวคลา้ ยแผ่นใบ เปน็ เกลด็ เป็นหนาม เปน็ ต้น

ใบพืชแต่ละชนิดจะมคี วามแตกต่างกนั ในดา้ นลักษณะสณั ฐานวิทยาของแผ่นใบ ปลายใบขอบ
ใบและฐานใบ ซง่ึ มีความสาคัญในการใช้จาแนกชนิดพืช แต่อย่างไรก็ดบี างครั้งแมใ้ นพืชชนดิ เดียวกันก็
มีลักษณะของใบท่ีก้าก่ึงไม่สามารถแยกออกได้เด่นชัด รวมทั้งอาจมีรูปร่างของใบได้มากกว่า 1 แบบ
โดยคาศพั ทท์ างสณั ฐานวทิ ยาทใ่ี ช้อธบิ ายรูปรา่ งของแผ่นใบ ปลายใบ ฐานใบ และขอบใบ มดี ังน้ี

ภำพท่ี 3.7 แสดงโครงสร้างและสว่ นประกอบของใบ
ท่มี า : Structure of leaf. http://www.infovisual.info/01/008_en.html. [online]. 2005

29

ชนดิ ของใบ

1) ใบแท้ (Foliage leaf) คือ ใบปกติของพืชท่ัวไป อาจเป็นแผ่นแบนหรือเรียวเลก็ มีสีเขียว
ทาหนา้ ทห่ี ลักในการสังเคราะห์แสง หายใจและคายนา้ จาแนกไดเ้ ป็นใบเดี่ยวและใบประกอบ
1.1) ใบเดี่ยว (Simple leaf) คือ ใบท่ีมีแผ่นใบเพียงแผ่นเดียวติดอยู่บนก้านใบท่ีแตกออกจากกิ่ง
หรือลาต้น เช่นใบมะม่วง ชมพู่ กล้วย ข้าว ฟักทอง ใบเดี่ยวบางชนิดอาจมีขอบใบเว้าหยักลึกเข้าไป
มากจนดูคลา้ ยใบประกอบ เชน่ ใบมะละกอ สาเก มนั สาปะหลัง
1.2) ใบประกอบ (Compound leaf) คือ ใบแต่ละใบของใบประกอบ เรียกว่า ใบย่อย (Leaflet)
ก้านใบย่อย เรียกว่า เพทิโอลูล (Petiolule) ส่วนก้านใบใหญ่ที่อยู่ระหว่างช่วงก้านใบย่อยเรียกว่า
(Rachis) ที่โคนของก้านใบย่อยจะไม่มีหูแบและตา ซึ่งต่างจากใบเด่ียวซ่ึงมีตาและหูใบ ใบประกอบยัง
จาแนกยอ่ ยได้ดงั น้ี คือ

- ใบประกอบแบบฝ่ามือ (Palmately compound leaf) เช่น ยางพารา ใบนุ่น หนุมาน
ประสานกาย

- ใบประกอบแบบขนนก (Pinnately compound leaf) เช่น ใบกุหลาบ ใบมะขาม ใบ
จามจุรี

- ใ บ ป ร ะ ก อ บ แ บ บ ข น น ก ป ล า ย ใ บ คี่ ( Odd-pinnately compound leaf,
Imparipinnate) ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดยี วที่ปลายใบประกอบมีใบย่อยหนึง่ ใบ

- ใ บ ป ร ะ ก อ บ แ บ บ ข น น ก ป ล า ย ใ บ คู่ ( Even-pinnately compound leaf,
Paripinnate leaf) ใบประกอบแบบขนนกชนั้ เดียวทีป่ ลายใบประกอบมีใบย่อยออกเปน็ คู่

- ใบประกอบแบบขนนกสองชัน (Bipinnately compound leaf) เช่น ใบนนทรี หาง
นกยงู

- ใบประกอบแบบขนนกสามชัน (Tripinnately compound leaf) เชน่ ใบมะรุม ปีบ

2) ใบเล้ียง (Cotyledon) คือใบของต้นอ่อนหรือเอ็มบริโอและเป็นใบแรกท่ีงอกออกมาจาก
เมล็ด ทาหน้าท่ีช่วยสะสมหรอื สร้างอาหารเพ่ือการเจรญิ เติบโตของต้นอ่อนในขณะท่เี มล็ดเริ่มงอกและ
ยังไมม่ ีใบแท้

3) ใบดอก (Bract หรือ Floral leaf) คือ ใบท่ีเปล่ียนไปเป็นส่วนของดอกเพ่ือทาหน้าท่ีล่อ
แมลงในการผสมเกสรหรอื การขยายสบื พันธ์ุ

4) ใบเกล็ด (Scale leaf หรือ Cataphyll) คือใบที่เจริญมาเพื่อทาหน้าที่ห่อหุ้มป้องกันตา
และใบอ่อนไม่ให้ได้รับอันตราย โดยทั่วไปไม่มีสีเขียว ลักษณะเป็นแผ่นเล็ก ๆ คล้ายเกล็ด บางชนิดมี
ขนาดใหญท่ าหนา้ ท่ีสะสมอาหาร เชน่ หวั หอม

30

ภำพท่ี 3.8 แสดงชนิดของใบ
ทีม่ า: ใบ. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010
ลกั ษณะและรปู รำ่ งของแผ่นใบ (Leaf Shape)

 รปู เข็ม (Acicular, Needle shaped) แผน่ ใบคล้ายรปู เข็ม มคี วามยาวมากและแคบ
 รูปแถบ (Linear) แผ่นใบยาวและแคบ ขอบของแผ่นใบทั้งสองข้างเกือบขนานกันตลอด

ความยาวของใบมักจะยาวมากกวา่ 4 เท่าของความกว้างของใบ
 รูปขอบขนาน (Oblong) แผ่นใบที่มีขอบใบทั้งสองข้างขนานกัน ปลายทั้งสองด้านกลมหรือ

มน และความยาวประมาณ 2-3 เทา่ ของความกว้าง คล้ายรูปส่ีเหล่ยี มผืนผ้า
 รูปรี (Elliptic) แผ่นใบมีความกว้างมากท่ีสุดตรงกลางแผ่นแล้วค่อยๆ เรียวไปทางปลายและ

ฐานใบ
 รูปใบหอก (Lanceolate) แผ่นใบมีฐานใบกวา้ งแล้วคอ่ ยๆเรียวไปทางปลายใบ
 รูปใบหอกกลบั (Oblanceolate) แผ่นใบคล้ายรูปใบหอกแต่กลบั หวั
 รูปไข่ (Ovate) แผ่นใบรูปคล้ายไข่ ซ่ึงมีส่วนกว้างที่สุดของแผ่นใบค่อนมาทางฐานใบแล้ว

ค่อยๆ เรยี วไปทางปลายใบ
 รูปไข่กลบั (Obovate) แผ่นใบมีด้านปา้ นอย่ทู างด้านบนฐานใบ แคบและปลายใบกว้าง
 รูปหัวใจ (Cordate) แผ่นใบมีส่วนกว้างใกล้ฐานใบแล้วค่อยเรียวแหลมไปทางปลายใบ ก้าน

ใบติดตรงฐานใบที่เวา้ เขา้ ไป
 รปู หวั ใจกลับ (Obcordate) แผน่ ใบคลา้ ยรปู หัวใจแต่หวั กลับ

31

 รูปสามเหลี่ยม (Deltoid) แผ่นใบคล้ายรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า โดยด้านหน่ึงของสามเหลี่ยม
เป็นดา้ นฐานใบ ขอบใบจะเรียวไปทางปลาย ก้านใบตดิ ตรงกลางฐานใบ

 รปู คล้ายสามเหลย่ี ม (Obdeltoid) แผน่ ใบคล้ายรปู สามเหลยี่ มแต่หวั กลบั
 รูปล่ิม (Cuneate) แผ่นใบมีฐานใบแหลมและกว้างออกตรงปลายใบ ก้านใบติดตรงปลาย

แหลม
 รูปไต (Reniform) แผน่ ใบรูปรา่ งคล้ายไต หรือเมล็ดถั่ว ก้านใบติดอยทู่ ่ีฐานของรอยเวา้
 รูปโล่ (Peltate) แผน่ ใบรูปกลมคล้ายโล่ ก้านใบตดิ ตรงกลางด้านท้องใบ
 รูปวงกลม (Orbicular) หรือเกือบกลม (Rotund) แผ่นใบมีลักษณะกลมแบนก้านใบติดตรง

กลางของฐานใบ
 รูปช้อน (Spathulate, Spatulate) แผ่นใบมีฐานของแผ่นใบเรียวยาว ปลายแผ่นใบมนและ

กวา้ งกวา่ ดา้ นฐานแผ่นใบ
 รูปเงี่ยงใบหอก (Hastate, Halberd-shaped) แผ่นใบคล้ายลูกศร ฐานใบสองข้างกางออก

ทามุม 90 องศากับแกน
 รปู หวั ลูกศร (Sagittate) แผ่นใบคล้ายลกู ศร ฐานใบเว้าเป็นพแู ละโค้งเขา้ หาก้านใบ
 รปู จันทร์เสี้ยว (Lunate) แผน่ ใบคล้ายรูปพระจันทรเ์ ส้ียว
 รปู ไวโอลิน (Pandurate) แผ่นใบท่ีรปู รา่ งคลา้ ยไวโอลิน
 รูปพดั (Flabellate) แผน่ ใบที่รูปร่างคล้ายพัด เช่นใบแปะ๊ ก๋วย
 รูปพัด (Fan-shaped) แผ่นใบคลา้ ยพัดแต่หยักลกึ เชน่ ใบปาล์ม
 รูปล่มิ แคบ (Subulate) แผน่ ใบคลา้ ยแผ่นใบรูปล่ิมแตแ่ คบกว่า
 รปู แฉกแบบนิว้ มือ (Palmalifid) แผน่ ใบที่หยักคล้ายนว้ิ มือ โดยหยักลกึ ประมาณคร่งึ หน่ึงของ

ระยะจากขอบใบถึงเสน้ กลางใบ
 รูปแฉกลึกแบบนิ้วมือ (Palmatisect) แผ่นใบหยักคล้ายน้ิวมือ โดยหยักลึกเกือบถึงเส้นกลาง

ใบ
 รูปหยักแบบขนนก(Pinnatifid) แผ่นใบหยักคล้ายขนนก โดยหยักลึกประมาณคร่ึงหน่ึงของ

ระยะจากขอบใบถงึ เส้นกลางใบ
 รูปหยักลึกสุดแบบขนนก (Pinnatisect) แผ่นใบหยักคล้ายขนนก โดยหยักลึกเกือบถึงเส้น

กลางใบ
 รูปคล้ายส่เี หล่ยี มขา้ วหลามตดั (Rhomboid) แผน่ ใบคลา้ ยรูปไขแ่ ต่ไมม่ น มีเหล่ียมทีม่ ุมสีม่ มุ

32

ภำพที่ 3.9 แสดงรูปร่างของใบ
ท่มี า: รปู รา่ งใบ. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010

33

ลักษณะและรปู ร่ำงของปลำย (Leaf Apex)
 ใบเรยี วแหลม (Acuminate) ปลายใบสอบเขา้ หากนั แลว้ ย่นื ยาวออกไปเล็กนอ้ ย
 แหลม (Acute) ปลายใบจะค่อยๆ เรียวเขา้ บรรจบกนั ลักษณะเป็นมุมแหลม
 ติ่งแหลม (Apiculate) ปลายใบเรียวเป็นติ่งส้นั
 แหลมเข็ม (Aristate) ปลายใบเรยี วเปน็ ติ่งแหลมยาวและแขง็
 ยาวคล้ายหาง (Caudate) ปลายใบเรียวคอดเป็นหางยาว
 ม้วน (Cirrhose) ปลายใบเรียวเป็นรยางคโ์ ค้งและม้วนงอ
 เวา้ ลึก (Cleft) ปลายใบเว้าเป็นแอง่ ลกึ
 ติ่งแหลมยาว (Cuspidate) ปลายขอบใบที่โค้งมาแล้วยืน่ ปลายแหลมสั้นๆ
 เวา้ ตื้น (Emarginate) ปลายใบคล้ายเป็นเส้นตัด แต่เวา้ เปน็ แอง่ ตืน้
 ตงิ่ หนาม (Mucronate) ปลายใบมน แตด่ ้านปลายสดุ จะเป็นต่ิงแหลมและส้นั
 ต่งิ หนามสนั้ (Mucronulate) ปลายใบโค้งมนและเสน้ ใบย่นื ออกไป
 ป้าน, มน (Obtuse) ปลายใบโค้งมนแต่สอบแคบกว่ารปู กลม
 เวา้ บุม๋ (Retuse) ปลายใบเวา้ เข้ามาในแผน่ ใบเป็นแอ่งต้ืนๆ
 กลม (Rounded) ปลายใบโค้งกลม กวา้ งกว่ารูปดา้ นหรือกลม
 หนาม (Spinose) ปลายใบเปน็ หนาม
 ตดั (Truncate) ปลายใบตัดเป็นเสน้ ตรงหรอื เกือบตรง
 ปลายแหวง่ (Praemorse) ปลายใบตดั แต่ไม่เรยี บคลา้ ยรอยแทะ
 ปลายแหลมแข็ง (Pungent) ปลายใบเป็นต่อมที่มลี ักษณะแหลมและแข็ง

ลักษณะและรปู ร่ำงของโคนใบ (Leaf Base)
 รปู ลิ่ม (Cuneate) ฐานใบค่อยๆเรยี วเขา้ ส่กู า้ นใบเปน็ รปู ลิม่
 รปู หุ้มลาต้น (Amplexicaul) ฐานใบโคง้ มาโอบลอ้ มรอบลาต้น
 รูปสอบเรยี ว (Attenuate) ฐานใบเรยี วเข้าสู่กา้ นใบเป็นครีบยาว
 รูปต่ิงหู (Auriculate) ฐานใบโคง้ เป็นรูปต่ิงหู
 รปู ฐานคู่เชือ่ มรอบข้อ (Connate perfoliate) ฐานใบของสองใบมาเช่ือมกัน
 รูปหวั ใจ (Cordate) ฐานใบหยกั เวา้ เปน็ รูปหวั ใจ
 รูปครบี (Decurrent) ฐานใบยาวลงมาตามกา้ นใบเป็นครบี
 รปู เงี่ยงใบหอก (Hastate) ฐานใบทง้ั สองขา้ งชี้ออกและมปี ลายแหลม
 รปู ล้นิ (Ligulate) ฐานใบยาวแคบและขอบสองใบทัง้ สองข้างขนานกนั ระหวา่ งแผน่ ใบและกาบใบมี
ลน้ิ ใบ (Ligule)
 รปู เฉยี ง, เบยี้ ว (Oblique) ฐานใบท้งั สองขา้ งไมเ่ ทา่ กนั
 รปู ปา้ น, มน (Obtuse) ฐานใบโค้งแคบ
 รปู โล่ (Peltate) ฐานใบทมี่ ีกา้ นใบติดตรงกลางแผน่ ใบ
 รปู กลม (Rounded) ฐานใบโค้งกลม
 รูปหวั ลูกศร (Sagittate) ฐานใบทม่ี ปี ลายแหลมทัง้ สองข้างและโคง้ เข้าหากันดา้ นในเลก็ นอ้ ย
 รปู ตัด (Truncate) ฐานใบทเี่ สมอเปน็ เส้นตัด

34

ภำพท่ี 3.10 แสดงลักษณะของปลายใบ (Leaf-apex) และฐานใบ (Leaf-base)
ทมี่ า: ลกั ษณะของปลายใบ,ลกั ษณะของฐานใบ. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online].
2010
ลกั ษณะและรปู ร่ำงของขอบใบ (Leaf Margin)

 ขอบเรียบ (Entire) ขอบใบเรียบเปน็ เส้นเดียวกนั ตลอด
 หนามแหลม (Aculeate, Spinose) ขอบใบเปน็ หนาม
 ขนครุย (Ciliate) ขอบใบเรียบแต่มีขนยาวตามขอบใบ
 หยกั มน (Crenate) ขอบใบหยกั ตืน้ ปลายมน
 หยักมนถี่ (Crenulate) ขอบใบหยกั ตืน้ ปลายมนถ่ี
 ยบั ย่น (Crispate) ขอบใบหยักและใบบดิ ม้วนมากกวา่ หนึ่งระนาบ
 หยกั ซ่ีฟัน (Dentate) ขอบใบหยกั รปู สามเหลีย่ ม ปลายฟนั หยักตงั้ ฉากกับขอบใบ
 หยกั ซ่ีฟนั ถ่ี (Denticulate) ขอบใบหยักละเอยี ดกว่าขอบใบหยกั ซ่ีฟัน
 จักฟันเลอื่ ย (Serrate) ขอบใบหยกั ฟันเลอื่ ย ปลายฟันแหลมและชไ้ี ปทางปลายใบ

35
 จกั ฟันเลอื่ ยถี่ (Serrulate) ขอบใบหยักฟันเลอื่ ยละเอยี ดกว่าขอบใบจกั ฟันเลอ่ื ย
 จกั ฟนั เล่อื ยซ้อน (Double serrate) ขอบใบหยกั ฟันเลอ่ื ย ซง่ึ แต่ละซี่จะมีหยักยอ่ ยแซมอีกชน้ั
 หยกั ไม่เปน็ ระเบียบ (Erose) ขอบใบหยักเล็กๆ ไม่เป็นระเบยี บ
 รูปฝา่ มือ (Palmate) ขอบใบหยักเว้าคลา้ ยนว้ิ มอื
 ขอบใบม้วนลง (Revolute) ขอบใบมว้ นลงทางดา้ นทอ้ งใบ
 คลืน่ (Undulate) ขอบใบมีลกั ษณะเป็นคล่นื ขึน้ ลง
 พู (Lobed) ขอบใบเว้าเป็นพู โดยเวา้ เขา้ ประมาณครึง่ หนง่ึ ของระยะจากขอบใบถงึ กลางใบ

ภำพท่ี 3.11 แสดงลักษณะของขอบใบ (Leaf-margin)
ท่มี า: ลักษณะของใบ. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010

36
ลักษณะและกำรจดั เรยี งตวั ของเส้นกลำงใบ ( Leaf venation)

 กำรเรียงเส้นใบแยกสองแฉก (Dichotomous venation) เส้นใบเรียงขนานกันแต่ปลาย
ของเสน้ ใบแยกออกเป็นคู่ เช่น ใบเฟริ น์ แปะ๊ กว้ ย

 กำรเรียงเส้นใบแบขนำน (Paralle venation) เส้นใบเรียงขนานกัน พบในพืชใบเล้ียง
เดีย่ ว
o การเรียงเส้นใบแบบขนานรปู ฝ่ามอื (Palmately paralled venation) เส้นใบเรยี ง
ออกจากฐานใบเรียงขนานกนั ไปถงึ ปลายใบ เชน่ เสน้ ใบผักตบชวา ใบข้าว ใบ
ข้าวโพด ใบอ้อย
o เสน้ ใบขนานแบบขนนก (Pinnately parallel venation) เส้นใบเรียงออกจาก
เสน้ กลางใบขนานกนั ไปจนถึงขอบใบ เชน่ เสน้ ใบกล้วย ใบพุทธรักษา

 เส้นใบร่ำงแห (Netted หรือ Reticulated venation) การเรียงเส้นใบทเี่ รียงออกไปทุก
ทิศทาง โดยมาออกจากเส้นกลางใบต้ังแต่โคนใบไปจนถึงปลายใบ เส้นใบย่อยเรียง
ประสานกันเปน็ รา่ งแห
o เส้นใบร่างแหแบบฝ่ามือ (Palmately netted venation) เส้นใบออกมาจากจุด
เดยี วกันทโ่ี คนใบ เชน่ ใบมะละกอ, อบเชย,ฟกั ทอง
o เส้นใบร่างแหแบบขนนก ( Pinnately netted venation) เส้นใบแตกจากเส้น
กลางใบออกไปทั้งสองข้าง เชน่ ใบมะมว่ ง, ขนนุ , ชบา
o

ภำพที่ 3.12 แสดงลักษณะการจดั เรยี งตวั ของเส้นใบ
ที่มา: เส้นกลางใบ. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010

37

กำรจัดเรียงตัวของใบ (Leaf Arrangement)
 การเรียงใบแบบสลับ (Alternate) การเรียงใบกับลาต้นแบบสลับและไม่ได้อยู่ในระนาบ
เดียวกนั
 การเรยี งใบสลับระนาบเดียว (Alternate distichous) การเรยี งใบกบั ลาต้นเรียงออกเปน็ สอง
แถว ทามุม 180 องศาระหวา่ งแถว
 การเรียงใบแบบตรงข้าม (Opposite) การเรียงใบสองใบที่ออกจากข้อของลาต้นหรือก่ิงเป็น
ค่ๆู ทามุมประมาณ 180 องศา
 การเรียงใบแบบตรงข้ามสลับตั้งฉาก (Opposite decussate) การเรียงใบสองใบท่ีออกจาก
ข้อของลาต้นหรอื ก่ิงเปน็ คูๆ่ และแต่ละคเู่ รยี งทามมุ ประมาณ 90 องศากับคถู่ ัดไป เชน่ เข็ม
 การเรยี งใบแบบกระจุก (Fascicled) การเรียงใบแบบเปน็ มดั เช่น สนสองใบ สนสามใบ
 การเรยี งใบคล้ายแบบกระจุก (Clusterd) การเรียงใบแนน่ เป็นกลุ่ม
 การเรียงใบแบบวงรอบ (Whorl, Verticillate) การเรียงใบตั้งแต่สามใบข้ึนไปในข้อเดียวกัน
เช่น สัตตบรรณ ยโ่ี ถ
 การเรียงใบกระจุกแบบกุหลาบซ้อน (Rosette) การเรียงใบแบบกระจุกที่เกิดขึ้นใกล้รอยต่อ
ระหวา่ งลาตน้ และราก

ภำพที่ 3.13 แสดงลกั ษณะการจัดเรยี งตวั ของใบ (Leaf Arrangement)
ทีม่ า: การจดั เรียงตัวของใบ. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010

38
ใบทเี่ ปลยี่ นแปลงไปทำหนำ้ ทพ่ี เิ ศษ (modified leaf)

 ใบมือเกาะ (Leaf tendrils) ใบ ใบย่อย หรือบางส่วนของใบท่ีเปลี่ยนแปลงไปทาหน้าท่ียึด
เกาะ เช่น ใบพวงแสด ใบหวายลิง

 ใบหนาม (Spinose leaf) ใบท่ีเปลี่ยนแปลงไปเพื่อทาหน้าที่ป้องกันอันตรายและลดการคาย
น้า เช่น ใบกระบองเพชรที่ลดรูปเปน็ หนาม

 ใบกนิ แมลง (Insectivorous leaf) ใบที่เปล่ยี นแปลงไปทาหน้าทจี่ ับแมลงหรือสัตว์เล็กๆ เพ่ือ
นาสารอาหารทไ่ี ด้มาใช้ในการดารงชวี ติ เชน่ ใบหมอ้ ข้าวหม้อแกงลิง

 ใบสะสมอาหาร (Storage leaf) ใบท่ีหนาและอวบ ทาหน้าท่ีเก็บสะสมอาหารหรือน้า เช่น
ใบกุหลาบหิน หอม กระเทยี ม

 ใบขยายพันธ์ุ (Reproductive leaf) ใบที่เปล่ียนแปลงไปช่วยในการขยายพันธ์ุ เช่น ใบคว่า
ตายหงายเป็น

ภำพที่ 3.14 แสดงใบที่เปลยี่ นแปลงเพือ่ ทาหน้าทีพ่ ิเศษ (Modified leaf)
ทม่ี า: ใบทาหน้าทพ่ี เิ ศษ. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010

 ดอก (Flower)
ดอก (flower) คือ อวัยวะสืบพันธ์ุ (reproductive organ) ของพืชช้ันสูง ทาหน้าท่ีสืบพันธ์ุ

แบบอาศัยเพศ มีกาเนิดมาจากตาชนิดตาดอก (floral bud) หรือตาผสม (mixed bud) ที่อยู่ตรง
บริเวณปลายยอด ปลายก่ิงบริเวณลาต้นหรือมุมระหว่างใบกับลาต้นหรือก่ิงตามแต่ชนิดของพืช ดอก
ของพืชแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันไปใช้เป็นหลักสาคัญในการจาแนกหมวดหมู่พืชตามหลักทาง
พฤกษศาสตร์
ส่วนประกอบของดอก ดอกประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ 4 ส่วน แต่ละส่วนจะเรียงเป็นช้ันเป็นวง
ตามลาดับจากนอกสดุ เขา้ สู่ด้านใน คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้และเกสรตวั เมยี

39

1) กลีบเลี้ยง (sepal) อยู่ชนั้ นอกสดุ เรียงกนั เป็นวง เรียกว่า วงกลีบเลยี้ งหรอื เคลิกซ์ (calyx)
ส่วนมากมสี ีเขียวเจริญเปลี่ยนแปลงมาจากใบ ทาหน้าทปี่ ้องกนั อันตรายต่าง ๆ จากส่ิงแวดล้อม แมลง
และศัตรูอ่ืน ๆ ท่ีจะมาทาอันตรายในขณะที่ดอกยังตูมอยู่ นอกจากนี้ยังช่วยในการสังเคราะห์แสง พืช
บางชนิดอาจมีกลีบเลี้ยงสีอื่น ๆเรียกว่า เพทัลลอยด์ (petaloid) ทาหน้าที่ช่วยช่อแมลงในการผสม
เกสรเช่นเดยี วกนั กลบี ดอก

2) กลีบดอก (petal) อยเู่ รียงกันเป็นวง เรียกวา่ โครอลลา (Corolla) มีสสี ันต่าง ๆ สวยงาม
เนื่องจากมีสารสีจาพวกแอนโทไซยานิน (anthocyanin) และแอนโทแซนทิน (anthoxanthin)
ละลายอยู่ในน้าเล้ียงหรือเซลล์แซปของแวคิวโอล หรืออาจมีแคโรทีนอยด์ (carotenoid) ในพลาสทิด
ชนิดโครโมพลาสต์ทาให้กลีบดอกเป็นสีเหลืองหรือสีแสด ส่วนดอกสีขาวหรือไม่มีสีเกิดเนื่องจากไม่มี
สารสีอยู่ภายในเซลล์ของกลีบดอก นอกจากนี้กลีบดอกของพืชบางชนิดสามารถเปล่ียนสีได้ เชน่ ดอก
พุดตาน ไฮเดรนเยีย ทั้งน้เี น่ืองจากการเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นกรดและด่างภายในเซลล์ของกลีบ
ดอก พืชบางชนิดกลีบดอกอาจมีกลิ่นหอม หรือโคนกลีบดอกมีต่อมน้าหวานเพื่อช่วยล่อแมลงมาช่วย
ผสมเกสร

3) เกสรตัวผู้ (stamen) และก้านเกสรตัวผู้ (filament)จัดเรียงตัวเป็นวง เรียกว่า
Androecium ายในอับเรณูเป็นโพรงอับเรณู (pollen sac) 4 ช่อง แต่ละช่องมีเรณู(pollen grain)
จานวนมากเพื่อทาหนา้ ท่ีสร้าง sperm ต่อไป

4) เกสรตัวเมีย (carpel) จัดเรียงตัวเป็นวง เรียกว่า gymnoecium (pistil) อยใู่ จกลางของ
ดอก ประกอบด้วยส่วนฐานท่ีสร้างออวุล (ovule) เรียกรังไข่ (ovary) มีก้านเกสรตัวเมีย (style) ย่ืน
ออกไปและปลายเกสรตัวเมีย (stigma) อยู่ปลายสุด วงเกสรตัวเมียประกอบด้วย carpel ถ้ามี 1
carpel เรยี ก simple pistil ถ้ามมี ากกวา่ 1 carpel ขึน้ ไปเรยี ก compound pistil

5) receptacle เปน็ ฐานรองดอกรองรับสว่ นตา่ ง ๆ ของดอก

ภำพที่ 3.15 แสดงส่วนประกอบตา่ งๆของดอก
ท่ีมา: ดอกไม.้ http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010

ชนิดของดอก การจาแนกชนิดของดอกสามารถกระทาได้หลายวิธี ซึ่งอาจพิจารณาจากสว่ นประกอบ
ของดอกลกั ษณะเพศดอก จานวนดอก ลักษณะการติดของสว่ นประกอบของดอกบนฐานดอก เป็นต้น
1) จำแนกตำมส่วนประกอบของดอก ได้แก่

1.1) ดอกครบส่วน (complete flower) คือ ดอกที่มีส่วนประกอบของดอกทั้ง 4 วง คือ
กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ครบทุกสว่ นในดอกเดยี วกนั เช่น ชบา พู่ระหง กุหลาบ
แค โสน มะเขือ

40

1.2) ดอกไม่ครบส่วน (incomplete flower) คือ ดอกที่ขาดส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่ง
ดอกบางชนิดขาดกลีบดอก เช่น ดอกบานเย็น บางชนิดขาดทั้งกลีบเล้ียงและกลีบดอก เช่น ดอก
หน้าวัว ดอกอุตพิต บางชนิดขาดเฉพาะเกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียเพียงอย่างเดียว เช่น ดอก ตาลึง
ฟักทอง แตงกวา แตงเทศ บวม มะระ
2) จำแนกตำมลักษณะเพศดอก ไดแ้ ก่

2.1) ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower หรือ bisexual flower) คือ ดอกท่ีมีท้ังเกสรตัวผู้
และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ถึงแม้วา่ ดอกนั้นจะมสี ่วนอ่ืน ๆ ไดแ้ ก่ กลบี เลี้ยงและกลีบดอกครบ
หรือไม่ครบก็ตาม ดังนั้นดอกสมบูรณ์เพศน้ีอาจจะเป็นดอกครบส่วนหรือดอกไม่ครบส่วนก็ได้ เช่น ถ่ัว
กุหลาบ ชบา พู่ระหง

2.2) ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower หรือ unisexual flower) คือ ดอกท่ีมีเฉพาะ
เกสรตัวผู้หรอื เกสรตัวเมียเพียงอย่างใดอยา่ งหนึ่งในแต่ละดอก ถ้ามีเฉพาะเกสรตัวผู้ เรียกวา่ ดอกเพศ
ผู้ (staminate flower)ถ้ามีเฉพาะเกสรตัวเมีย เรียกว่า ดอกเพศเมีย (pistillate plant) เช่น ฟักทอง
แตง บวบ ตาลงึ

2.3) ดอกไม่มีเพศ (sterile flower) คือ ดอกท่ีไม่มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียดอกทั้งดอก
จะมีเฉพาะกลีบเลี้ยง และกลีบดอกเท่านั้น เช่น ดอกย่อยที่อยู่รอบนอกหรือเรย์ฟลาวเวอร์ (ray
flower) ของดอกทานตะวนั
3) จำแนกตำมจำนวนดอก ไดแ้ ก่

3.1) ดอกเดี่ยว (solitary flower) คอื ดอกท่เี กดิ ข้ึนบนก้านดอก (peduncle) เป็นดอกเดียว
3.2) ชอ่ ดอก (inflorescence) คือ ดอกที่เกดิ เป็นกลุ่มบนก้านดอก โดยมีลกั ษณะของช่อดอก
(Inflorescence Type) ดงั นี้

 แบบช่อกระจุก (cymose type) ช่อดอกที่มีดอกย่อยท่ีเกิดก่อนอยู่ตรงกลาง หรือปลายช่อ
ดอกการบานของดอกเริ่มที่ดอกย่อยบริเวณกลางหรือด้านปลายบนของช่อดอก มีหลาย
ประเภทได้แก่ ช่อกระจุกด้านเดียวชนิดเดี่ยว ช่อวงแถวเดี่ยว (ช่อกระจุกด้านเด่ียวชนิด
ประกอบ) ชอ่ กระจุกซ้อนเด่ยี ว ช่อกระจกุ ซอ้ นเชงิ ประกอบ ช่อกระจกุ ซ้อนผสม
o ช่อกระจุกด้านเดียวชนิดเดี่ยว (simple monochasium) ช่อดอกที่มีดอก 2 ดอก
โดยดอกย่อยท่ีอยปู่ ลายสุดบานกอ่ นดอกย่อยท่อี ยู่ด้านข้าง
o ช่อวงแถวเด่ียว (helicoids cyme) เป็นช่อกระจุกด้านเด่ียวชนิดประกอบ
(compound monochasium) มีดอกย่อยที่ปลายสุดบานก่อน ดอกย่อยออกด้าน
เดียวทาใหด้ อกโคง้ เขา้ หาชอ่ ดอก เชน่ ช่อดอกหญา้ งวงชา้ ง
o ช่ อ ว งแ ถ ว คู่ (scorpioid cyme) เป็ น ช่ อ ก ระ จุ ก ด้ าน เด่ี ย ว ช นิ ด ป ระก อ บ
(compound monochasium) มีดอกย่อยท่ีปลายสุดบานก่อน ดอกย่อยออกเป็น
แนวซิกแซกทาให้ช่อดอกโค้งเขา้ หาชอ่ ดอก
o ช่อกระจุกซ้อน (dichasium) ช่อดอกที่ดอกย่อยที่เกิดก่อนอยู่ท่ีปลาย มีดอกย่อย
เกดิ สองขา้ งของดอกทปี่ ลายชอ่
o ช่อกระจุกซ้อนเดี่ยว (simple dichasium) ช่อดอกที่มีดอกย่อย 3 ดอก ดอกย่อย
ตรงกลางบานกอ่ นดอกยอ่ ยดา้ นขา้ งท้งั สองดอก เช่น ช่อดอกมะลลิ า
o ช่อกระจุกซ้อนเชิงประกอบ (compound dichasium) ช่อดอกท่ีมีหลายช่อกระจุก
ซอ้ นเดย่ี ว เชน่ ช่อดอกเขม็ มะลิ

41

o ช่อกระจุกซ้อนผสม (pleiochasium) ช่อดอกแบบช่อกระจุกซ้อน แต่ท่ีปลายก้าน
ดอกจะมชี อ่ ดอกแบบชอ่ กระจุกซ้อนประกอบมากกว่าสองชดุ ขน้ึ ไป

 แบบช่อกระจะ (racemose type) ช่อดอกที่มีดอกย่อยที่เกิดก่อนอยู่ล่างสุดหรือด้านนอก
สุดของช่อดอก ดอกท่ีอ่อนสุดอยู่ส่วนปลายหรือใจกลางของช่อดอก การบานของดอกเร่ิมท่ี
ดอกยอ่ ยบริเวณโคนช่อหรือด้านนอกของช่อดอก มีหลายประเภทได้แก่ ช่อกระจะ ช่อเชงิ ลด
ช่อแบบหางกระรอก ช่อเชิงหล่ัน ช่อเชิงลดมีกาบ ช่อซ่ีร่ม ช่อซี่ร่มเชิง-ประกอบ ช่อกระจุก
แน่น ชอ่ แยกแขนง
o ช่อกระจะ (raceme) ช่อดอกย่อยที่มีก้านดอกย่อยยาวไล่เล่ียกัน ดอกเกิดสลับสอง
ข้างของแกนกลาง ดอกเกิดและบานก่อนอยู่ด้านล่างของช่อดอก เช่น ช่อดอก
กลว้ ยไม้
o ช่อเชิงลด (spike) ช่อดอกที่คล้ายช่อกระจะ แต่ดอกย่อยไม่มีก้านดอกย่อย เช่นช่อ
ดอกกระถินณรงค์
o ช่อแบบหางกระรอก (ament, catkin) ช่อดอกที่คล้ายช่อเชิงลด แต่ช่อดอกห้อยลง
และมกั เป็นดอกเพศเดยี ว เชน่ ชอ่ ดอกหางกระรอก
o ช่อเชิงหล่ัน (corymb) ช่อดอกที่ดอกย่อยมีก้านดอกย่อยยาวไม่เท่ากัน ดอกย่อยที่
อย่ลู ่างสดุ มีก้านดอกยอ่ ยยาวท่สี ดุ แล้วลดหลัน่ กันไปทปี่ ลายยอด ดอกย่อยมักจะเรยี ง
อยู่ในระนาบเดียวกันหรือใกล้เคยี งกนั เช่นชอ่ ดอกหางนกยูงไทย ผักกาดเขียว
o ช่อเชิงลดมีกาบ (spadix) ช่อดอกที่คล้ายช่อเชิงลด ดอกย่อยเกิดเบียดกันอยู่บน
แกนกลางและมีกาบ (spathe) ห้มุ ชอ่ ดอก เช่นช่อดอกหน้าวัว บอนสี
o ช่อซ่ีร่ม (umbel) ช่อดอกที่ก้านดอกย่อยเจริญออกมาจากปลายก้านช่อดอกที่จุด
เดยี วกันและมีขนาดไลเ่ ลยี่ กัน คลา้ ยซ่ีรม่ เชน่ ชอ่ ดอกหอม กยุ ชา่ ย
o ช่อซ่ีร่มเชิงประกอบ (compound umbel) ช่อซี่ร่มที่บนก้านย่อยมีการแตกเป็นช่อ
ดอกย่อยแบบช่อซรี่ ่มย่อย (umbelet) อกี และแต่ละช่อดอกย่อยมีใบประดับรองรับ
เชน่ ชอ่ ดอกของผักชีลอ้ ม
o ชอ่ กระจุกแนน่ (capitulum, head) ชอ่ ดอกทมี่ ีดอกย่อยเรยี งบนฐานรองดอกท่ีพอง
ออกหรือแผ่กว้าง และไม่มีก้านดอกย่อย เช่นช่อดอกทานตะวัน บานไม่รู้โรย
ผกากรอง
o ช่อแยกแขนง (panicle, compound raceme) ช่อดอกท่ีมีช่อกระจะหลายช่อมา
ซ้อนกัน ช่อรูปถ้วย (cyathium) ช่อดอกที่ประกอบด้วยดอกเพศเมียที่ลดรูปเหลือ
เพียงเกสรเพศเมีย 1 ดอก และดอกเพศผู้ที่ลดรูปเหลือเพียงเกสรเพศผู้จานวนมาก
และมใี บประดับรองรับ เชน่ ชอ่ ดอกโปย๊ เซียน นา้ นมราชสหี ์

 ฐำนดอกรูปถ้วย (hypanthium) ช่อดอกที่เกิดจากฐานรองดอกเจริญขึ้นเป็นรูปถ้วย
อาจจะเจรญิ ร่วมกบั กลบี เลย้ี ง

 ช่อฉัตร (verticillate) ช่อดอกที่มีดอกย่อยเกิดบริเวณรอบข้อของแกนกลาง คล้ายฉตั รเป็น
วง เชน่ ชอ่ ดอกกะเพราะ โหระพา


Click to View FlipBook Version