The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

for Thai Traditional Medicine Students. Sirindhorn Collage of Public Health, Yala.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chainarong, 2021-11-25 05:29:45

Botany

for Thai Traditional Medicine Students. Sirindhorn Collage of Public Health, Yala.

142

หลักกำรทั่วไปของกำรเกบ็ ตัวอยำ่ งพนั ธไุ์ ม้เพอ่ื จดั ทำพพิ ิธภัณฑพ์ ืช
1. พันธไุ์ ม้ทจ่ี ะเก็บจะนาไปตดิ บนแผน่ กระดาษแข็ง ขนาด 11.5 x 16.5 นว้ิ ดงั น้นั ต้องเลอื ก
ขนาดพนั ธุไ์ มใ้ ห้พอเหมาะ
2. เลือกเก็บต้นไม้ ก่งิ ไม้ ทีม่ ลี ักษณะปกติ ไม่ใช่ต้นทีก่ าลงั เห่ียว แมลงกัดกนิ หรือเป็นโรค
3. พันธไ์ุ ม้ขนาดเล็ก ต้องเก็บทั้งตน้ ใหต้ ิดรากมาด้วย และควรเก็บตน้ ท่ีมีขนาดปานกลาง และ
บันทึกชว่ งขนาดของต้นทพ่ี บ
4. พชื ทีม่ ใี บหลายแบบตอ้ งเกบ็ ตัวอย่างทุกแบบใหค้ รบ
5. พยายามเกบ็ ตัวอย่างให้สะอาด การขุดเอาลาต้นใต้ดนิ และราก ตอ้ งขดุ อยา่ งระมัดระวัง และ
ล้างเอาดินออกให้หมด
6. เกบ็ ตัวอย่างให้มีปรมิ าณเพียงพอแก่การใช้ เช่น 4-6 ชิน้ หรอื อาจมากกวา่
7. เก็บตวั อย่างใสถ่ งุ พลาสติกที่มีขนาดพอเหมาะ เม่ือเต็มให้ปิดปากถงุ กันเห่ยี ว พนั ธ์ุไม้ที่บอบ
บางควรวางไวด้ า้ นบน
8. พันธ์ไุ มท้ ี่บอบอบางและเหี่ยวงา่ ย ควรรบี อดั ลงแผงทนั ที
9. พันธุไ์ มท้ ี่เกบ็ จากทกุ ที่และทุกชนดิ ใหผ้ กู ปา้ ยกระดาษแข็งเขียนชือ่ พนั ธุ์ไม้ สถานท่ีเก็บ หรือ
ใหเ้ ขยี นหมายเลขพนั ธไุ์ ม้ตรงกับหมายเลขในสมดุ บนั ทึก ถ้าเปน็ ชนดิ เดียวกันและเก็บจากที่
เดยี วกนั ใหจ้ ดจานวนชน้ิ ของชนดิ นน้ั ๆด้วย

วิธกี ำรเกบ็ ตวั อยำ่ งพนั ธ์พุ ชื
1. พวกเฟริ ์นและกลุ่มใกล้เคียงกับเฟริ ์น เก็บทงั้ ตน้ ใหต้ ดิ ราก และควรมีอับสปอร์ตดิ มาดว้ ย ใน
กรณขี องเฟรน์ ขนาดโต เช่น พวก Tree fern ใหเ้ ก็บในบางสว่ นทมี่ ีอบั สปอร์ สว่ นของก้านใบ
ใหต้ ดิ ขนหรือเกล็ด บันทึกขนาดความสงู ของตน้ ขนาดของใบ จานวนคูข่ องใบย่อย ส่วนใน
กรณีทใ่ี บสร้างสปอรม์ รี ปู รา่ งและขนาดตา่ งกัน ควรเก็บตวั อย่างใบใหค้ รบ เฟริ ์นบางชนิดต้อง
เกบ็ ใบอ่อน เนื่องจากใบอ่อนมักจะมขี นหรือเกล็ดซ่งึ หลดุ ร่วงไดง้ ่าย
2. พืชในกลมุ่ Gymnosperm เปน็ ทัง้ Monoecious และ Dioecious ดังนั้นตอ้ งเกบ็ ใหค้ รบทั้ง
Male cone และ Female cone
3. พชื พวกไม้ดอก ควรเก็บทง้ั ดอกและผล พชื ดอกบางชนดิ อาจมีวิธกี ารเก็บที่พเิ ศษออกไป เช่น
3.1 กกและหญ้า ขุดทัง้ ตน้ ให้ติดรากและไหล พยายามเกบ็ ตน้ ท่ตี ดิ ผล
3.2 การเก็บพชื พวกไผ่ ตอ้ งเกบ็ กาบไผ่อยา่ งน้อยสองช้ิน แขนงไผ่ กง่ิ ไผ่ ขอ้ และปล้อง เหงา้
กง่ิ ท่มี ดี อกและผล และต้นอ่อน เมือ่ เก็บส่วนตา่ งๆครบแลว้ จะตอ้ งบนั ทึกลักษณะของกอไผแ่ ละ
ลาไผ่ ความสงู ท่สี ุดของลาไผแ่ ละเสน้ ผ่านศูนย์กลางท่ีฐาน ความยาว และเสน้ ผา่ นศูนย์กลางของ
ขอ้ ที่ 5 ความยาวของปลอ้ งท่ียาวท่ีสุดและเปน็ ปลอ้ งทีเ่ ทา่ ใด ตาแหนง่ สถานที่พบ
3.3 การเก็บปาล์ม ควรถา่ ยภาพปาล์มท้ังต้น ถ่ายรปู ใบและแสดงขนาดที่มีมาตรส่วน
เปรียบเทียบ เน่ืองจากใบและชอ่ ดอกมีขนาดใหญ่ ควรตดั แบ่งเปน็ ส่วนๆ และควรเกบ็ กาบหมุ้ ช่อ
ดอกมาด้วย
3.4 การเก็บพชื จาพวกเตย ซงึ่ พืชชนิดนแี้ ยกตน้ ตวั ผู้และต้นตัวเมีย ควรถา่ ยภาพแสดง
ลกั ษณะของลาต้น ฐานของต้น รางคา้ จุน กิ่งทต่ี ดิ ดอกและผล เกบ็ ส่วนตา่ งๆเช่น ใบทั้งใบ ตอ้ งมี
กา้ นใบและปลายยอดทีอ่ ยู่ในสภาพดี เปลอื กของตน้ ทเ่ี จริญเต็มท่ี รากคา้ จุน ช่อดอก และผล

143

หนามท่ีขอบใบและเสน้ กลางใบของเตยเปน็ ส่ิงที่สาคัญท่ใี ช้ในการประกอบการตรวจหาชอื่
วิทยาศาสตร์

3.5 การเกบ็ ตวั อยา่ งไม้นา้ ควรเกบ็ ทั้งต้น ใส่ถัง หรอื ถงุ พลาสติก แช่ไวใ้ ห้เหมอื นสภาพเดมิ
ไม้น้าบางชนดิ โดยเฉพาะพวกครงึ่ จมคร่งึ ลอย มลี ักษณะของใบที่อยู่ใตน้ ้าและโผล่พ้นนา้ แตกต่าง
กนั ควรเกบ็ ใหค้ รบท้งั สองแบบ

3.6 การเกบ็ พวกกระบองเพชร เร่มิ ดว้ ยการถา่ ยภาพโดยมีมาตรสว่ นเปรียบเทียบขนาด
(เน่อื งจากเน่ือเย่ือจะหดตัวเม่ือแห้ง) บนั ทึกสดี อกและผล พวกท่ีมีลาต้นขนาดใหญ่ อาจตัดลาต้น
เป็นแผ่นๆ ท้งั ทางยาวและทางขวาง โดยมีส่วนลาตน้ ท่ีแสดงการติดของดอกและผล เนอ่ื งจาก
ดอกและผลมักจะอวบนา้ จึงควรผา่ ครงึ่ หรือฝานเปน็ แผน่ เพื่อให้สามารถแห้งได้งาย

3.7 การเก็บพืชทมี่ ีใบอวบหนาและขนาดใหญ่ เช่น พลบั พลึง ศรนารายณ์ ฯลฯ ควรถา่ ยภาพ
ท้ังต้น และลกั ษณะใบและชอ่ ดอก โดยมมี าตราส่วนเปรียบเทยี บ
4. ในการเก็บตวั อยา่ งต้องบนั ทกึ ข้อมลู ลงในสมุดบนั ทึกข้อมูล การบนั ทึกข้อความ ควรบันทึก

สัน้ ๆแต่เขา้ ใจง่าย และใช้อักษรย่อท่ีนิยมใช้ ข้อมูลทบี่ ันทกึ ควรเป็นขอ้ มูลที่ไมส่ ามารถ
ตรวจหาไดจ้ ากตัวอย่างพนั ธ์ุไม้แห้งทต่ี ดิ บนแผน่ กระดาษแข็ง โดยขอ้ มูลทตี่ อ้ งบนั ทึกมดี ังนี้
4.1 ถิน่ ฐาน (Locality) สถานทเ่ี กบ็ ช่ือหมู่บา้ น ชื่อแมน่ า้ ชื่อภเู ขา
4.2 ลักษณะ (Habit) ลกั ษณะของพืชท่ีเก็บ เช่นไมล้ ้มลกุ ไมพ้ ุ่ม ไมเ้ ล้ือย ไมย้ นื ตน้
4.3 ทอ่ี าศยั (Habitat) สภาพแวดล้อม สภาพดนิ สภาพปา่
4.4 ช่ือพ้ืนเมือง (Local name)
4.5 ประโยชน์ (Uses) เปน็ อาหาร หรือประโยชนท์ างยา
4.6 ระดบั ความสูงจากระดับนา้ ทะเล (Altitude)
4.7 ชือ่ ผเู้ กบ็ และหมายเลข (Collector(s) and Collection Number)
4.8 วนั เดือน ปี ท่เี ก็บ (Date)
4.9 ข้อมูลอื่นๆ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสี กล่นิ รส ฯลฯ

วธิ กี ารจัดท้าพิพธิ ภณั ฑพ์ ืชแบบแหง้ (การอดั แห้งพันธไ์ุ ม้)

1. เครือ่ งมอื และอุปกรณ์
แผงอัดพนั ธุ์ไม้ เปน็ รปู สีเ่ หลีย่ มผืนผา้ ขนาด 12 x 18 น้ิว ลกั ษณะโปร่งเปน็ ตาราง อาจทาด้วยไม้
หรอื โลหะ พร้อมด้วยเชอื กผูก
กรรไกร ขวาน กรรไกรตดั ก่งิ ไม้ มีดพับ พลัว่ เสยี ม
ถงุ พลาสติกขนาดต่างๆ
กระดาษอดั พนั ธ์ุไม้ นิยมใช้กระดาษหนังสือพิมพ์หนง่ึ คู่ อัดพันธไ์ุ ม้ 1 ชน้ิ ค่ันกลางด้วยกระดาษ
ลูกฟูกแขง็ ซ่ึงมรี ่องตามขวาง กระดาหนงั สือพิมพช์ ่วยซับน้าจากตัวอยา่ งพันธไ์ุ ม้ใหแ้ หง้ ส่วนกระดาษ
ลกู ฟกู ชว้ ยให้พันธุ์ไมเ้ รยี บเสมอกนั
สมุดบันทกึ ใช้จดข้อความต่างๆที่เกี่ยวกบั พนั ธุ์ไม้
ป้านกระดาษแข็งสาหรับผูกพันธ์ไุ ม้ ขนาด 2 x 3 ซม. ปลายข้างหน่งึ เจาะรรู ้อยดา้ ยทาเป้น 2 ทบ
ยาวประมาณ 10 ซม.
ดนิ สอดา ใชบ้ นั ทึกลงในสมดุ และปา้ ยกระดาษแข็ง ไม่นยิ มใชป้ ากกาเพราะเลอะเลอื นได้ง่าย
เครอ่ื งวดั ระดับความสงู (Altimeter) วัดว่าสถานที่เกบ็ สูงจากระดับนา้ ทะเลเทา่ ใด

144

อุปกรณ์อ่นื ๆ เชน่ กล้องถา่ ยรปู กล้องสอ่ งทางไกล แว่นขยาย เทปวดั ระยะ เทอรโ์ มมเิ ตอร์ เป็น
ตน้

การทา้ พพิ ิธภัณฑ์พชื แบบแห้ง

1. การทา้ ใหแ้ ห้งโดยการอัดพนั ธไุ์ ม้

เป็นการอดั พันธุไ์ ม้ลงบนแผงอัดพันธไ์ุ ม้ จากน้นั อบ หรอื ผึง่ ใหแ้ หง้ ก่อนท่ีจะนาไปติดหรือเย็บ
บนแผ่นกระดาษแข็ง หรอื กระดาษสาหรับเยบ็ ติดพนั ธไ์ุ ม้ เมอ่ื ไดต้ ัวอยา่ งพนั ธไ์ุ ม้มาแลว้ ควรอดั แห้ง
ทันทไี ม่ควรทิ้งไว้เกนิ 4-6 ชม. และควรอัดพนั ธุไ์ ม้แตล่ ะชนิด 4-6 ชน้ิ

1.1 วิธกี ำรอัดพันธุ์ไม้ พชื แต่ละชนิดมีวธิ กี ารอดั แตกตา่ งกนั ดังนี้
- เฟริ ์นและกลมุ่ ใกล้เคียง ให้อัดใบทสี่ ร้างสปอร์ 1-2 ใบ และใบท่ีไม่สรา้ งสปอร์ 1-2

ใบ เป็นใบสมบรู ณ์ หงายบา้ ง ควา่ บา้ ง ควรอัดลาตน้ ดว้ ย ถ้าใบยาวอาจพบั เป็นรปู ตวั V, N หรือ W
- พชื พวกทสี่ ร้างเมล็ดแต่เมลด็ ยังไม่มผี ลหอ่ หมุ้ พวกทีมี Cone ขนาดใหญ่และแขง็

อาจจะแยกตากแห้ง อาจจะเลื่อย Cone ตามยาวออกบา้ งใหพ้ อที่จะอัดได้
- พืชพวกไรด้ อก ควรมีดอกและใบตั้งแต่ 3 ใบขึน้ ไป ใหใ้ บคว่าบ้าง หงายบา้ ง ภ้า

จาเปน็ ต้องตัดออก ก็ควรเหลอื ฐานใบไว้
- พชื ใบยาว เช่น เตยและหญา้ ให้พบั ใบแบบพชื พวกเฟิร์น ตรงบริเวณที่พับใชแ้ ถบ

กาวยึดไว้ การพบั ไมค่ วรพับเกิน 3 ครง้ั ถ้าพับมากกวา่ 3 คร้ัง ให้ตัดออกเป็นส่วนๆแล้วอดั แยกกนั
-พนั ธุไ์ ม้ท่ีมีขนาดโตมากไม่สามารถอัดสว่ นต่างๆลงในกระดาษหนังสอื พมิ พ์แผน่

เดยี วกนั ได้ อาจแยกอดั เป็นส่วนๆ เชน่ ราก ใบ ช่อดอก และผล
รากและลาต้นทีม่ ขี นาดใหญ่ อาจต้องถ่ายภาพและสเกตซภ์ าพท่ีมีมาตราสว่ นเปรียบเทียบ

ขนาดก่อนทจ่ี ะฝานเปน็ แผ่นแลว้ นาไปอดั แหง้
ใบท่ีมีขนาดโต ตัดแผน่ ใบออกครึง่ หน่งึ ได้ ถา้ ยังโตเกินไปกต็ ัดและอดั แยกจากกัน และควร

ถ่ายภาพพร้อมมาตราสว่ นเปรียบเทยี บ
ผลทีม่ ขี นาดใหญ่ ไมส่ ามารถอัดได้ทั้งผล จะตอ้ งฝานเปน็ แว่นทงั้ ทางแนวยาวและแนวขวาง

แล้วอดั แยกกัน
- พนั ธ์ุไม้ท่ีลอยนา้ และจมนา้ พวกนี้ใบมักเสยี รปู ได้งา่ ยเม่ือนาขึน้ จากน้า จงึ ใชว้ ธิ กี าร

อดั เชน่ เดยี วกบั การอัดสาหรา่ ย ซง่ึ พชื พวกนมี้ ักติดกระดาษหนงั สอื พมิ พท์ ่ีอดั จงึ ควรใชก้ ระดาษไขวาง
ทับตัวอย่างแลว้ ค่อยปิดทับดว้ ยกระดาษหนังสือพิมพ์

- พนั ธ์ไุ ม้ที่อวบน้าตามลาต้นหรือก้านใบ ภายในมีนา้ มาก ใช้ปลายมดี กรีดตามยาว
2-3 ทางเพื่อใหน้ า้ ออกได้ง่ายและแหง้ เรว็

- พนั ธไุ์ ม้ที่มดี อกติดกบั ก่ิงขนาดใหญ่ เวลาอดั ใบและดอกมักจะร่วง ควรใชก้ ระดาษ
ฟาง หรอื กระดาษหนังสือพมิ พ์หนนุ ใบและดอกใหร้ ะดับเดียวกัน

- พันธ์ุไม้ทีม่ ีดอกบอบบาง เช่น ผักบ้งุ ดอกกลว้ ยไม้ ใชก้ ระดาษไข วางทั้งทาง
ด้านบนและดา้ นล่างของดอก เพื่อไม่ใหต้ ิดกระดาษหนังสือพมิ พ์

- พนั ธุไ์ ม้ท่ีมีดอกหนา เชน่ ดอกชบา มักข้ึนราไดง้ ่าย และมักตดิ กับกระดาษท่ีอัด ต้อง
รองรับดว้ ยกระดาษทีด่ ูดซบั น้าได้ดีท้ังสองดา้ น โดยปกติมักจมุ่ 90-95% alcohol หรือฟอรม์ าลนิ
เพอ่ื ฆ่าเซลลแ์ ละทาใหแ้ หง้ เร็ว

145
- พันธไ์ุ ม้ทม่ี ีหนามแข็ง ให้ตัดหนามด้านทีก่ ดเขา้ หากระดาษลูกฟูกออก ยกเว้นหนาม
ใบของพชื จาพวกเตย
- พันธุ์ไม้ท่ีเหี่ยว อาจทาใหแ้ ข็งขนึ้ โดยการแชใ่ นนา้ เย็น 3-2 ชั่วโมงกอ่ นอดั
- พนั ธ์ไุ ม้บางชนดิ แห้งยากและร่วงงา่ ย ควรจมุ่ ใน 70-95 5 แอลกอฮอล์หรือ
ฟอร์มาลิน หรือนา้ เดือด เพื่อฆ่าเซลล์ จะป้องกันการ่วงของใบ ดอก ผล
- ดอก/ผล ท่ีเหลือจาการตกแตง่ ดอก หรอื ชอ่ ดอก ให้อัดและเก็บใส่วอง แล้วติดลง
บนกระดาติดพนั ธ์ุไม้แข็ง เพื่อทีจ่ ะศึกษาลักษณะตา่ งๆได้ง่าย
- เมอื่ จดั ตัวอยา่ งทจ่ี ะอดั เรียบร้อยดแี ลว้ ใช้กระดาลูกฟูกแทรกระหว่างพันธไ์ุ ม้แตล่ ะ
ชนิ้ (สาหรบั พวกทมี่ ีก่งิ แขง็ หรอื กิ่งขนาดใหญ่) หรือแทรกระหว่างพันธ์ไุ ม้ 2- 3 ช้นิ (สาหรับพวกทีม่ ีก่งิ
อ่อน)

ภำพท่ี 6.1 แสดงลาดบั การจดั วางตวั อยา่ งพชื สาหรับการอัดแหง้

146

1.2 วธิ ีกำรอบ หรือผึ่งพันธุ์ไม้ใหแ้ หง้ เมือ่ อดั ตัวอยา่ งลงบนแผงไม้เรียบร้อยแล้ว สามารถทา
ให้แห้งได้ 2 วิธี คือ

1. การผ่ึงแดด หมน่ั เก็บแผงทผ่ี งึ่ แดดเม่ือหมดแสงอาทิตย์ อยา่ ปลอ่ ยทิ้งไวใ้ ห้ตากนา้ ค้างหรือ
ตากฝน ซ่ึงจะทาใหต้ วั อย่างเสียหาย

2. อบด้วยความร้อน อบด้วยตอู้ บ ควรเปลีย่ นกระดาษบอ่ ยๆและควรมัดแผงให้แนน่ อยู่
ตลอดเวลา เพราะแผงอัดจะหลวมเมื่อพชื แห้ง

ภำพที่ 6.2 แสดงลักษณะการจัดวางตวั อยา่ งพชื สาหรับการผง่ึ แห้ง
Fig. 1 การแขวนติดผนัง
Fig. 2 การทับด้วยแผ่นอัดพนั ธ์ไุ มแ้ ล้วรัดให้แน่น
Fig. 3 การทบั ดว้ ยของหนัก เชน่ แผ่นหนิ แผ่นปนู

ทม่ี ำ : Andrea Tarozzi. A Herbarium. http://www.funsci.com/fun3_en/herb/herb.htm
[online]. 1996

1.3 วิธีอำบน้ำยำพันธไ์ุ ม้เม่อื แหง้ แลว้ น้ายาอาบพนั ธุไ์ มเ้ พื่อกนั แมลง ไดแ้ ก่

สตู ร 1 95% Ethyl alcohol 5 L

Mercuric chloride 75 g.

สตู ร 2 Mercuric chloride 35 g.

Ammonium chloride 25 g.

Arcenic oxide 5 g.

95 % Ethyl alcohol 1 L.

Water 500 ml.

สูตร Mercuric chloride 28 g.

Phenol 20 ml.

95 % Ethyl alcohol 1 L.

เทน้ายาที่ผสมเข้ากนั ดแี ลว้ ลงในถาดพลาสติก ใชป้ ากคีมที่ทาดว้ ยไม้หรือพลาสติกคีบพนั ธไ์ุ ม้

แหง้ แชล่ งในนา้ ยาประมาณ 1 นาที แล้วนากลบั มาวางบนกระดาษแขง็ หรือกระดาษฟางทงิ้ ไว้ให้แห้ง

สนทิ หรืออาจจะนามาอบใหมอ่ ีกคร้ัง

147
การอาบนา้ ยาอาจจะดาเนินการหลังจากเยบ็ พนั ธุ์ไม้ตดิ กบั กระดาษแข็งเรยี บร้อยแล้ว โดยใช้
แปรงจมุ่ น้ายาอาบพนั ธุ์ไม้ ทาตัวอย่างให้ทัว่ ถึง แต่วธิ ีนอ้ี าจให้ผลการอาบน้ายาดสี ูว้ ธิ ีแรกไม่ได้
1.4 วธิ ตี ิดพนั ธุ์ไม้บนกระดำษพนั ธุ์ไม้ พนั ธ์ุไม้ท่ีอาบนา้ ยาแหง้ สนทิ ดีแลว้ มาตดิ บน
กระดาษแข็งสีขาวขนาด 11.5*16.5 น้วิ เพ่อื ชว่ ยให้กง่ิ พันธไ์ุ ม้ตวั อย่างไม่เปราะหักง่ายเวลานาตัวอย่าง
พนั ธ์ุไม้ออกจากตู้มาศึกษา
การติดพนั ธุ์ไมล้ งบนแผน่ กระดาษแข็ง อาจจะตดิ โดยการเย็บด้วยด้าย หรือดว้ ยกาว

ภำพที่ 6.3 แสดงลกั ษณะการตดิ พันธุ์ไม้ลงบนกระดาษ
ท่ีมำ : Andrea Tarozzi. A Herbarium. http://www.funsci.com/fun3_en/herb/herb.htm
[online]. 1996

1.5 กำรปิดป้ำยบนั ทกึ ในการปิดป้านบันทึกข้อมูลจะต้องบันทกึ รายละเอยี ดตา่ งๆ โดยลอก
มาจากสมุดบนั ทึก ข้อมูล ทจี่ ะต้องเขยี นเพ่ิมเติมคือ ชอ่ื ผเู้ ก็บ(Collector) เลขที่ลาดับที่เกบ็
(Collection number) ชอื่ วิทยาศาสตรแ์ ละช่ือผตู้ รวจหาชือ่ พันธ์ไุ ม้ ป้ายบันทึกขอ้ มูลมกั จะมีขนาด
ประมาณ 2.75*4.50 นว้ิ

1.6 กำรเกบ็ พนั ธุ์ไม้แหง้ ตวั อยา่ งพนั ธ์ไุ ม้ เม่ือติดลงบนแผน่ กระดาษแข็งและปิดฉลาก
เรยี บรอ้ ยแลว้ จะนาไปเก็บในตเู้ ก็บพันธ์ุไมแ้ หง้ โดยแยกเป็นวงศ์หรอื สกลุ

พันธุ์ไมท้ ่ีเกบ็ ไวน้ านๆน้ายาท่ีชุบกนั แมลงไว้อาจเสื่อมคุณภาพไป จงึ จาเป็นต้องอบดว้ ยนา้ ยา
ฆ่าแมลงทุกเวลา 6 เดอื น นอกจากน้ีห้องเกบ็ พิพธิ ภณั ฑ์พชื ทเี่ ก็บตัวอยา่ ง ควรเปน็ หอ้ งท่ีโปร่ง อากาศ
ถา่ ยเทสะดวก ไม่อับชื้นเพื่อป้องกันเช้ือราขนึ้ ในตู้
2. กำรทำใหแ้ ห้งด้วยสำรดดู ควำมชนื้

วธิ กี ารนเี้ ปน็ การทาตัวอย่างพันธ์ไุ มแ้ หง้ ดว้ ยสารดูดความชนื้ ซง่ึ ส่วนใหญเ่ ป็นซิลิกาเจล โดย
การบรรจตุ ัวอยา่ งพนั ธุ์ไมล้ งในภาชนะซ่ึงส่วนใหญ่เป็นขวดแกว้ จากนน้ั บรรจุสารดดู ความช้นื ลงไป

148

พร้อมกับการจดั ตัวอย่างให้เข้ารปู โดยบรรจสุ ารดดู ความชนื้ ให้เต็มภาชนะ แลว้ ปิดให้สนิท เม่อื ต้งั ท้ิง
ไว้ ประมาณ 2-3 สปั ดาห์ ตัวอย่างพันธุ์ไมก้ ็จะแหง้ และสามารถเก็บตวั อยา่ งในภาชนะบรรจุได้ โดย
ยงั คงเหลือสารดดู ความชื้นสว่ นหนงึ่ ไวท้ ่ีก้นภาชนะบรรจุเพื่อเปน็ การกาจดั ความชน้ื ในภาชนะ

3. กำรทำพพิ ิธภัณฑ์พืชแบบเปยี ก
กำรดอง การเก็บรกั ษาตวั อยา่ งพชื โดยการดอง มักใชก้ ับพชื บางกลุ่มทม่ี ปี ญั หาในการทาให้

แหง้ เช่น พชื ท่มี ีต้นและใบอวบนา้ หรือพวกไม้น้า พวกทีมีดอกบอบบาง หรอื ตวั อยา่ งผลที่มเี น้อื มาก
และและฉ่านา้ ก่อนดองต้องบันทึกลกั ษณะท่ีไม่สามารถสงั เกตไดภ้ ายหลังการดอง เชน่ สีของดอก ผล
และการมยี าง

1. อุปกรณ์
a. ภาชนะโปรง่ ใส อาจทาดว้ ยแก้วหรือพลาสติกที่มฝี าขนาดต่างๆกนั ตามขนาด
ตัวอย่างพันธ์ุไมท้ ี่จะดอง
b. แผน่ แกว้ รูปร่างส่เี หลี่ยมผืนผา้ พอเหมาะ ทจี่ ะใสท่ แยงจากกน้ ถึงปากภาชนะ ใช้
ยดึ ตัวอย่างไม่ใหล้ อยในนา้ ยาดอง
c. ดา้ ย ด้ายสีขาวที่มคี วามเหนียวใช้สาหรบั ผกู ตวั อย่างทจี่ ะดองกบั แผ่นกระจก

2. น้ายาดอง นิยมใชส้ ารเคมี 2 ชนิด คือ 40 % Formaldehyde และ Ethyl alcohol
อาจใช้เดยี่ วๆ ผสมน้า หรือใช้ผสมกัน
3. วธิ ีการดอง ทาความสะอาดตวั อยา่ งทจ่ี ะดองใหส้ ะอาด พร้อมกบั ตกแต่งใหส้ วยงาม
ตวั อยา่ งท่มี ีใบมากเกินไปให้ตัดออกบ้าง ควรเลอื กตัวอยา่ งทส่ี มบูรณไ์ มม่ ีแมลงกัด สว่ นของผล
ต้องสมบรู ณ์ ไม่มีการเนา่ ภายใน ผูกตัวอย่างทจ่ี ะดองไว้กบั แผน่ แก้ว แลว้ นาตัวอย่างใส่ลงไป
ในภาชนะ โดยวางแผ่นแก้วทแยง ค่อยๆรนิ น้ายาดองใส่ลงในภาชนะจนท่วมสว่ นบนของ
ตัวอยา่ ง สงู ประมาณ 3 ซม. ปดิ ฝาภาชนะใหส้ นทิ และตดิ ปา้ ยบนั ทึกข้อมูลแบบเดียวกับทใ่ี ช้
กบั ตัวอย่างพนั ธ์ุไม้แหง้

สวนพฤกษศำสตร์
สวนพฤกษศาสตร์ (Botanic garden) เป็นสถาบันทางวชิ าการท่ีเป็นแหล่งรวบรวมพรรณพืช

ต่างๆ เอาไว้เพื่อทาการอนุรักษ์ ศึกษา วิจัยทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะทางด้านพฤกษศาสตร์หรือ
วิทยาศาสตร์ว่าด้วยพืช โดยมากจะมีการปลูกรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ ตามแต่ละนโยบาย ลักษณะ
พื้นท่ี และงบประมาณของสวนพฤกษศาสตร์นั้นๆ เช่น สวนกล้วยไม้ สวนสมุนไพร สวนพืชให้สี สวน
พืชมีพิษ หรือ ตามการจัดจาแนกพืชเป็นวงศ์ต่างๆ เช่น วงศ์ปาล์ม วงศ์ขิงข่า เป็นต้น โดยสวน
พฤกษศาสตร์ท่ีมีมาตรฐานจะมีองค์ประกอบที่สาคัญ เช่น แปลงรวบรวมพรรณพืช ห้องสมุด หอ
พรรณไม้ ห้องปฏิบัติการ นอกจากงานด้านอนุรักษ์พืชแล้ว ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพืชสาหรับ
การศึกษาของนักวิจัย นักเรียนนักศึกษา หรือตอบสนองต่อการเป็นแหล่งท่องเท่ียวและสถานพักผ่อน
หย่อนใจ ซ่ึงแนวโน้มในปัจจุบันสวนพฤกษศาสตร์จะต้องตอบสนองต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ เช่น
การเปน็ แหล่งพันธกุ รรมใหแ้ ก่ชมุ ชนในท้องถ่นิ

149

ควำมสำคญั ของสวนพฤกษศำสตร์
การจัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ในยุคแรก มุ่งเน้นการรวบรวมพรรณไม้ท่ีมีคุณค่าทางสมุนไพรมา

ปลูก มีการจัดหมวดหมู่ให้ถูกต้อง เช่นการนาเอาพืชในวงศ์ปรงมาไว้ในสถานท่ีเดียวกัน บางชนิดที่ไม่
สามารถนามาจัดปลกู ไดก้ จ็ ะจัดเก็บไว้ในรปู พรรณไม้แห้ง ในสมัยล่าอาณานิคม ประเทศมหาอานาจใน
ยุโรปเข้ามายึดครองประเทศในเขตศูนย์สูตรที่ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้และเอเชียที่อุดม
สมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและมีวัฒนธรรมอันยาวนาน ประเทศมหาอานาจจัดตั้งสวน
พฤกษศาสตร์ข้นึ ในประเทศอาณานิคมของตน เพอื่ ใช้เป็นสถานทที่ าการศกึ ษาพันธ์ุพืชโดยเฉพาะพันธ์ุ
พืชทางเศรษฐกิจและใช้ สวนพฤกษศาสตร์เป็นแหล่งขยายพันธ์ุก่อนที่จะนาไปปลูกยังสวน
พฤกษศาสตร์ประเทศอ่ืน ทต่ี ัง้ อยู่ในเขตศนู ย์สูตรอีกด้านหน่ึงของโลก เพื่อขยายแหล่งที่ปลูกใหม้ ากขึ้น
ใหไ้ ดผ้ ลผลิตมากพอกับความต้องการของตลาด

สวนพฤกษศาสตร์ในอดีตมีขนาดเล็กมักจะมีหน้าท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษาทางด้านพืช มาใน
ปัจจุบันสวนพฤกษศาสตร์รวบรวมพันธ์ุไม้จากต่างถ่ินมาปลูกเพิ่มข้ึนทาให้สวนพฤกษศาสตร์มีขนาด
ใหญ่ข้ึนกลายเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาธรรมชาติด้านพฤกษศาสตร์ บทบาทและหน้าที่ของสวน
พฤกษศาสตร์ จึงเพ่ิมมากขนึ้ ได้แก่

 ให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป สวนพฤกษศาสตร์สามารถให้บริการแก่ประชาชน ทั้งทางด้าน
พักผ่อนหยอ่ นใจ และให้บรกิ ารทางด้านการศกึ ษาควบคกู่ ันไป จงึ มีการจดั ภมู ิทัศน์ดว้ ยพรรณ
ไม้ หลากสี แสดงพันธ์ุพืชต่างๆ ให้ประชาชนเข้าเดินชม จัดการแสดงถาวรของสิ่งต่างๆ ที่
เก่ียวกับพืชในตัวอาคารด้วย (botanical museums) เพ่ือให้ประชาชนได้เห็นถึงความ
สวยงามต่างๆ ของพืชและธรรมชาติในทุกฤดูกาลตลอดปี และทาให้เกิดความประทับใจท่ี
ได้มาเยือน โดยมีการสอดแทรกความรู้ให้แก่ผู้เข้าเยี่ยมชม เช่น จัดนิทรรศการในรูปแบบ
ต่างๆ ที่นาเสนอความรู้เก่ียวกับต้นไม้ สิ่งประดิษฐ์ที่ทาจากพืช ซากพืชโบราณ (fossils)
แผนภูมิทีแ่ สดงถงึ ความสาคัญของต้นไม้ทม่ี ตี ่อระบบนิเวศ และความสัมพนั ธ์ของพรรณพชื กับ
คน เพ่ือให้มนษุ ย์ตระหนกั ถงึ คุณค่าของทรพั ยากรดา้ นพชื เป็นต้น

 เป็นท่ีเก็บรวบรวมพรรณไม้ชนิดต่างๆ ท่ีมีอยู่ภายในประเทศ และพรรณไม้ต่างประเทศ เก็บ
สะสมท้ังพรรณพืชอัดแห้งและท่ีมีชีวิต นาพืชเหล่านั้นมาตรวจสอบช่ือทางวิทยาศาสตร์ให้
ถูกต้อง ถ้าเป็นพืชอัดแห้งนามาทาหอพรรณไม้ เก็บรักษาในตู้ป้องกันแมลงและความชื้น จัด
ให้เป็นหมวดหมู่ ตามวงศ์ สกุล และชนิดพันธ์ุ สาหรับการเก็บสะสมพชื ทย่ี ังมีชีวิต นามาปลูก
ให้ถูกต้องตามระบบนิเวศ และภูมิศาสตร์ของพรรณพืช จัดระเบียบการปลูกให้เป็นวงศ์และ
จัดปลูกให้สวยงาม ติดชื่อทางวิทยาศาสตร์ กากับพืชแต่ละต้นให้ชัดเจน สาหรับสวน
พฤกษศาสตร์ท่ีต้ังอยู่ในเขตอบอุ่นของโลกที่มีอากาศหนาวจัดในช่วงฤดูหนาวนั้นพรรณพืช
จากเขตศนู ยส์ ูตรจะนามาเก็บไว้ในเรอื นกระจกที่มกี ารปรบั อุณหภูมคิ วามชน้ื แสง ใหใ้ กลเ้ คียง
กับสภาวะแวดล้อมในเขตศูนย์สูตรมากท่ีสุด และในทางกลับกันสวนพฤกษศาสตร์ท่ีตั้งอยู่ใน
เขตศูนย์สูตรกจ็ ะสร้างเรือนกระจกสาหรับเก็บสะสมพันธุพ์ ืชของเขตอบอ่นุ พืชท่ีเก็บรวบรวม
สะสมไว้นี้นอกจากเก็บไว้เป็นข้อมูลของประเทศแล้ว ยังเก็บไว้สาหรับการศึกษาวิจัย และใช้
แลกเปลี่ยนตวั อยา่ งกับสถาบนั ทางการศกึ ษาอื่นๆ ดว้ ย

 เป็นสถาบันทางการศึกษาและวิจัยด้านพฤกษศาสตร์ ดาเนินการผลิตบัณฑิตและนัก
พฤกษศาสตร์ระดับสูงร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ตลอดจนพัฒนาบุคลากรร่วมกับ
มหาวิทยาลัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ และใช้เป็นสถานท่ีดาเนินการโครงการ

150

วิทยานิพนธ์ช้ันสูงทางพฤกษศาสตร์และพันธุกรรมพืช ในส่วนของสวนพฤกษศาสตร์เองก็
ดาเนินงานวิจัยในด้านต่างๆ เพ่ือพัฒนาความรู้ทางพฤกษศาสตร์ให้กว้างขวางลึกซึ้งขึ้น โดย
ทาการศึกษา วิจัย ต้ังแต่ระดับส่ิงมีชีวิตจนถึงระดับชีวโมเลกุล งานวิจัย ด้านสรีรวิทยา
นิเวศวิทยา การสารวจพรรณไม้ นอกจากน้ันสวนพฤกษศาสตร์ยังมีส่วนร่วมในการจัดการ
ประชุมวชิ าการทางพฤกษศาสตร์และจัดอบรม จัดบริการอบรมโปรแกรมพิเศษ ให้แก่บุคคล
ในระดับตา่ งๆ เช่น เดก็ ก่อนวยั เรียน นักเรียน ครู เป็นต้น

 ทาการอนุรักษ์และขยายพันธุ์พืช โดยเฉพาะไม้ประจาถ่ิน ไม้หายาก หรือไม้ที่ใกล้สูญพันธ์ุ
พืชสมุนไพรและไม้ท่ีมีค่าทางเศรษฐกิจ ดาเนินการขยายพันธุ์มากขึ้น จัดทาคลังเมล็ดพันธ์ุ
สาหรับแจกจ่าย จัดทาธนาคารเชื้อพันธ์ุ ปกป้องอนุรักษ์บริเวณที่มีความละเอียดเปราะบาง
ทางนิเวศวิทยา มีบทบาทในการกระตุ้นเตือนรัฐบาลและประชาชนให้ตระหนักถึงความ
จาเป็นในการอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ

 เป็นศูนย์ข้อมูลด้านพืช จัดทาฐานข้อมูลพรรณพืช จัดทาเอกสารส่ิงตีพิมพ์เผยแพร่
ผลงานวิจัยทางพฤกษศาสตร์ หรอื การคน้ พบส่ิงใหม่ๆ

 ทาการประสานงานกับสถาบันภายนอก ได้แก่ ความร่วมมือระหว่าง สวนพฤกษศาสตร์กับ
ภาครัฐบาลและเอกชน และระหว่างสวนพฤกษศาสตร์ในต่างประเทศ เพ่ือประโยชน์ในการ
แลกเปล่ียนพรรณไม้ เอกสาร ข่าวสาร และนักวิชาการ ความรู้ดา้ นวิชาการ การเกษตรกรรม
และอตุ สาหกรรมของประเทศ ซึ่งจะนาไปส่กู ารพฒั นากา้ วทันโลก

สวนพฤกษศำสตรใ์ นประเทศไทย
การจัดสร้างสวนพฤกษศาสตร์ในประเทศไทย ได้เคยพยายามทามาแล้วในอดีต แต่ไม่ประสบ

ผลสาเร็จ เม่ือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ฯ เสด็จข้ึนครองราชย์ ได้ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้า ฯ ให้จัดสร้างสวนในลักษณะของสวนพฤกษศาสตร์ขึ้นในสวนลุมพินี พร้อมๆ กับการจัดสร้าง
สยามรัฐพิพธิ ภณั ฑ์ตามพระราชประสงค์ของสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ก็ไมส่ าเร็จดงั พระ
ราชประสงค์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2478 ได้มีการจัดต้ังสมาคมพืชกรรมแห่งประเทศสยามขึ้น และได้
พยายามจดั ทาสวนลุมพินี ใหเ้ ปน็ สวนพฤกษศาสตรอ์ ีกครงั้ หน่งึ แต่กไ็ มส่ าเร็จอกี

ประเทศไทยไม่เคยมีหลักฐานการจัดสร้างสวนพฤกษศาสตร์มาก่อน แต่ก็มีความสนใจในการนา
พันธุ์พืชใหม่ๆ เข้ามาในประเทศ ซ่ึงมีมาตลอดเวลาควบคู่กับการค้าขายหรือติดต่อราชการกับ
ต่างประเทศ ตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช แต่จะนามาจัดสวนในลักษณะอุทยานดังปรากฏใน
ประวตั ิศาสตร์และวรรณคดีไทย ในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั พระองค์ทรงสนพระทัยเก็บ
สะสมพันธุ์พืช เมื่อเสด็จประพาสต่างประเทศแต่ละคร้ังพระองค์จะทรงนาพันธุ์พืชใหม่ๆ เข้ามา
พระองค์มีพระราชดารใิ ห้จดั สร้าง เรอื นเพาะชาในพระราชวงั สวนดสุ ติ สาหรบั เก็บสะสมพันธุ์พชื ตา่ งๆ
ไว้ เมื่อเวลาเสด็จประพาสเย่ียมราษฎรในหัวเมอื งกจ็ ะพระราชทานพันธ์ุให้ไปปลูก และทุกคร้ังทม่ี ีการ
ตดั ถนนสายใหม่ พระองค์จะทรงให้ปลูกต้นไม้ก่อน โดยนามาจากเรือนเพาะชาภายในพระราชวงั สวน
ดสุ ติ ทรงเอาพระราชหฤทยั ใสแ่ ละทรงประณีต ในการเลือกพนั ธุไ์ ม้ให้เหมาะกับสภาพถนนแต่ละทาเล
ไป ถนนอะไรควรปลูกพันธุ์พืชชนิดใด เพื่อให้เหมาะสมกับส่ิงแวดล้อม เกิดความร่มรื่นเป็นระเบียบ
และสวยงาม และมีพระราชดาริให้ปลูกบวั สายหลากสี ในคูน้าสาหรับเป็นท่ีพักผอ่ นของประชาราษฎร
ดังนั้นถึงแม้ประเทศไทยจะไม่เคยมีการสร้างสวนพฤกษศาสตร์มาก่อน แต่ก็มีการสะสมพันธ์ุพืช
ขยายพันธุ์พชื และนามาปลูกไวต้ ามถนนต่างๆ

151

สวนพฤกษศาสตร์ของประเทศไทยจาแนกตามหนว่ ยงานที่สังกัดออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. สวนพฤกษศำสตร์สังกัดกรมป่ำไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สวนท่ีสังกัดกรมป่าไม้มี 2
ลักษณะ ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ของกรมปา่ ไม้ และ สวนรุกขชาติ ซึ่งเป็นสวนที่มีเน้ือทน่ี ้อยกวา่ สวน
พฤกษศาสตร์ สร้างข้ึนเพื่อปลูกรวบรวมพันธ์ุไม้ต่างๆ โดยเฉพาะไม้ยืนต้นท่ีมีค่าหายากในทาง
เศรษฐกิจและพชื ไม้ดอกท่ีหายากซ่ึงมอี ย่ใู นท้องถ่ิน แตม่ ไิ ด้ปลกู เปน็ หมวดหมู่เหมือนสวนพฤกษศาสตร์
หากแต่มีชื่อพันธุ์ไม้ติดไว้ มีการทาถนนทางเดินเพ่ือเข้าชม จุดมุ่งหมายเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
โดยเฉพาะ และให้ผ้เู ขา้ พกั ผ่อนได้รับความรเู้ กย่ี วกบั พนั ธ์ุไมไ้ ปดว้ ย

2. สวนพฤกษศำสตร์สังกัดกรุงเทพมหำนคร ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ในสวนหลวง ร.9 ต้ังอยู่ที่
แขวงหนองบอน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร มีพื้นท่ีประมาณ 500 ไร่ พื้นท่ีนี้ส่วนหน่ึงเป็นของ
กรุงเทพมหานครท่ีซื้อไว้นานแล้ว และบางส่วนได้รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา กรุงเทพมหานครและ
มูลนิธิสวนหลวง ร.9 จัดสรา้ งขึน้ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว ฯ ในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระ
ชนมพรรษา 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2530

สวนพฤกษศาสตรใ์ นสวนหลวง ร.9 เปน็ สวนพฤกษศาสตร์สมบรู ณ์แบบตามหลักอนุกรมวิธานและ
นิเวศวิทยา เนื่องจากหน้าที่ของสวนพฤกษศาสตร์ปัจจุบันได้เพิ่มจากการเป็นสถานศึกษาวิจัยของ
นักวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว มาเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจในเชิงทัศนศึกษาเพิ่มข้ึนอีกอย่างหนึ่ง การ
จดั รวบรวมพันธ์ุไม้จึงมุ่งเน้นการจัดภูมิทัศน์ให้สวยงามจาเริญตาด้วย ส่วนของสวนพฤกษศาสตร์มีเนื้อ
ทส่ี ุทธิประมาณ 90 ไร่ และหากนับท่ีจอดรถและคูน้าด้วยก็จะมีเนื้อท่ีรวมเป็น 120 ไร่ นับว่าเป็นสวน
พฤกษศาสตร์ท่ีมีขนาดเล็กมาก เน้ือท่ีภายในสวนมีการแบ่งออกเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนมีคูน้าเพื่อการ
ชลประทานและการระบายน้าล้อมรอบ สวนพฤกษศาสตร์สวนหลวง ร.9 ทาการเก็บรวบรวมพันธ์ุไม้
ท้ังของไทยและต่างประเทศ ทาการอนุรักษ์และขยายพันธุ์พืชหายากและใกล้สูญพันธ์ุ เช่นเดียวกับ
สวนพฤกษศาสตร์อื่นๆ ปัจจุบันมีหอพรรณไม้เก็บรวบรวมตัวอย่างพรรณพืชอัดแห้งอยู่ประมาณ
5,000 ตัวอย่าง มีห้องสมุดขนาดเล็ก มีเรือนเพาะชา และเรือนอนุบาลพืช แต่ยังไม่มีห้องปฏิบัติการ
สาหรับงานวิจยั ทางพฤกษศาสตร์ชนั้ สงู

3. สวนพฤกษศำสตร์สังกัดสำนักนำยกรัฐมนตรี ได้แก่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ
(Queen Sirikit Botanic Garden) องค์การสวนพฤกษศาสตร์ มีสถานภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ
ดาเนินการภายใต้พระราชบัญญัติองค์การสวนพฤกษศาสตร์ พ.ศ. 2535 ต้ังอยู่ท่ีบริเวณชายเขต
อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ท้องที่ตาบลแม่แรม อาเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพ้ืนท่ีที่มีความ
อุดมสมบูรณ์ มีทางน้าไหลผ่านตลอดปี ภูมิประเทศเป็นพ้ืนที่ราบและสูงสลับเป็นช้ันต่าง ๆ
ต้ังแต่ระดับความสูง 400 เมตรขึ้นไปจนถึงระดับความสูงประมาณ 1,200 เมตรเหนือระดับน้าทะเล
โดยมีวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ คือ การเป็นศูนย์วิชาการและบริการด้าน
พฤกษศาสตร์ของประเทศ เป็นสถานที่รวบรวมพรรณไม้ชนิดต่างๆ ท่ีมีอยู่ท้ังในประเทศและ
ต่างประเทศ จัดปลูกให้สวยงามร่มรื่น เป็นหมวดหมู่อย่างผสมผสานตามอุปนิสัยพรรณไม้และติดป้าย
ชื่อพรรณไม้ เป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุ์พืชของประเทศไทย โดยเฉพาะไม้ประจาถิ่น กล้วยไม้ ไม้มีค่าทาง
เศรษฐกิจ ไม้สมุนไพร ไม้หายากและไม้ที่กาลังจะสูญพันธ์ุ ตลอดจนดาเนินการขยายพันธุ์ให้มีปริมาณ
เพ่ิมขึ้นเพื่อการศึกษาในอนาคต เป็นต้น ซึ่งเม่ือพิจารณาจากบทบาท หน้าที่และกิจกรรมของสวน
พฤกษศาสตร์ไทยแล้ว สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์จะมี

152

ความสมบูรณ์แบบมากท่ีสุด เพราะ มีการดาเนินงานที่ครบวงจรมีท้ังหอพรรณไม้ ห้องสมุดสวน
พฤกษศาสตร์ พพิ ิธภัณฑพ์ ชื หอ้ งปฏิบัติการ และศนู ย์ฝึกอบรมบุคคลากร

ภำพวำดทำงพฤกษศำสตร์ (Botanical Illustration)
การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์เปน็ การบันทึกข้อมลู ทางวทิ ยาศาสตรใ์ นรูปแบบหน่งึ ซึ่งใช้เป็น

ส่ือให้เกิดความเข้าใจในรายละเอียดต่างๆ ของพรรณไม้ได้ง่ายขึ้น นอกเหนือจากการอธิบายด้วย
ตวั อักษร การวาดภาพทางวิทยาศาสตร์มีความแตกต่างจากการวาดภาพทางศิลปะ เพราะจะไม่มีการ
ตกแต่งดัดแปลงให้ดูสวยงามเกินจริง วัตถุที่ใช้เป็นแบบวาดที่ได้ถูกออกแบบมาแล้วให้สวยงามใน
ตัวเองโดยธรรมชาติ ผู้วาดมีหน้าท่ีเพียงถ่ายทอดภาพออกมาให้ถูกต้องเหมือนจริงเท่านั้น
จะเห็นได้ว่าการเสนอภาพทางวิทยาศาสตร์ ต้องใช้ทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และทักษะทางศิลปะ
เพราะนอกจากต้องวาดทุกส่วนในภาพอยา่ งตรงไปตรงมา วดั ขนาดอย่างละเอียด แม่นยา เพอื่ ให้ภาพ
น้ันแสดงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้มาก และถูกต้องที่สุดแล้วยังต้องสร้างสรรค์ภาพท่ีสมดุลสวยงาม
ชวนดูตามหลักองค์ประกอบศิลป์ เพื่อให้ภาพมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์ ทาให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนและ
จดจาภาพน้นั ได้

ภำพวำดวิทยำศำสตร์ธรรมชำติ (Scientific Art Illustration) คืองานศิลปะที่ถ่ายทอด
เร่ืองราวเก่ียวกับธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ดอกไม้ สัตว์ แมลง ปลา นก ฯลฯ อย่างถูกต้อง ทาให้
จาแนกออกไดว้ ่าเป็นชนดิ ใดๆ

ภำพวำดพฤกษศำสตร์ธรรมชำติ (Botanical Art Illustration) คืองานศิลปะท่ีมีการ
จาเพาะลงไป เฉพาะพืชพรรณ ต้นไม้ต่างๆ โดยนาวทิ ยาศาสตร์ และศลิ ปศาสตร์สองแขนงนี้มารวมกัน
หรือท่เี ราเรยี กว่า "วิทย์สานศิลป"์ โดยวิทยาศาสตร์ คือความถูกต้องความเป็นจรงิ ตามธรรมชาติ ส่วน
ศิลปศาสตร์ เกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์ โดยใช้จินตนาการและให้อารมณ์ ดังนั้นงานศิลปะ
พฤกษศาสตรท์ ่ถี ูกต้องจะต้องมี 3 องคป์ ระกอบ คอื

 สัดสว่ น ทีถ่ กู ตอ้ งตามหลักวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Accuracy)

 สังเกต มีการสงั เกตรายละเอียดอย่างถถี่ ว้ น และแมน่ ยา (Keen Observation)

 สวยงำม เมอื่ มองดผู ลงานแลว้ ให้ความสวยงามอยา่ งมคี ุณคา่ ทางศลิ ปะ (Aesthetic)
งานภาพวาดท่ีเก่ียวข้องกับพืชพรรณต้นไม้ ดอกไม้ หรือท่ีเรียกเป็นทางการว่าพฤกษศาสตร์น้ัน
สามารถแบ่งกวา้ งๆ ได้ 3 แบบ
1. ภำพเหมือนทำงพฤกษศำสตร์ (Botanical Illustration) จุดมุ่งหมายน้ี นามาใช้ทาง

วิชาการ ผลงานจะต้องบ่งบอกชัดเจนว่าพืชพรรณน้ีคือชนิดอะไร ดังนั้นสัดส่วนที่ถูกต้องเป็น
ส่ิงสาคัญท่ีสุด ตามมาด้วยการสังเกตพินิจพิเคราะห์และความสวยงาม จะพบเห็นทั่วไปตาม
พจนานุกรม หนังสือวิทยาศาสตร์ เป็นต้น มักจะใช้ปากกาดาเขียนเป็นเส้นบนพิมพ์กระดาษ
ขาว
2. ภำพวำดพฤกษศำสตร์ (Botanical Painting) ภาพวาดลักษณะนี้เน้นความสวยงามมา
ก่อน แต่การสังเกตพิจารณาอย่างถี่ถ้วนต้องมีด้วย และสัดส่วนก็ต้องถูกต้องตามความเป็น
จริงเช่นเดียวกัน
3. ภำพวำดทำงธรรมชำติ (Nature Painting หรือ Flowers Painting) เป็นภาพวาดท่ี
ศิลปะนาคือดูแล้วสวยงาม ศิลปินใช้ความสุนทรีย์ทางอารมณ์และจินตนาการสร้างงานเป็น
หลักสาคัญ โดยการพินิจพิเคราะห์และสัดส่วนท่ีถูกต้องไม่จาเป็น เช่น ภาพวาดดอกไม้ใน

153

แจกัน (Still Life) เหล่าน้ีเป็นต้น สีสันการวาดภาพ อารมณ์ของศิลปินจะมาก่อนความถูก
ตอ้ งว่าพชื ดอกที่วาดเปน็ ชนดิ ไหน การสงั เกตรายละเอยี ดจะไม่แมน่ ยาเสมอไป

กำรเตรยี มวสั ดอุ ุปกรณ์
สาหรับผูเ้ ร่ิม อปุ กรณส์ าคญั สามอยา่ งที่ต้องมีคือ กระดาษ ดนิ สอ พูก่ ัน และสี

กระดำษ กระดาษวาดเขียนที่ใช้ในการวาดภาพโดยส่วนใหญ่แล้วมี 3 ชนิดคือ
1. H.P. ( Hot Pressed ) คือกระดาษท่ถี ูกอัดโดยใช้ความร้อน เป็นกระดาษที่ผิวเรียบ

เหมาะทสี่ ดุ ในการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ ซง่ึ ต้องการเก็บรายละเอยี ดให้ชัดเจน มหี ลายย่หี ้อ เชน่
- Arches Aquarelle ขนาด 300 กรัม สีขาวค่อนข้างเหลือง เหมาะสาหรบั งาน dry brush

แต่บางครงั้ กเ็ กิดปัญหาเวลาเราต้องการถ่ายเอกสารงานของเรา มักออกมาไม่ชัดเจน เนื่องจากเน้ือมีสี
คอ่ นข้างเหลือง

- Lanaquarelle ขนาด 300 กรัม เน้อื กระดาษสขี าวและผวิ เรยี บ
- Fabriano ขนาด 300 กรัม ผิวสีขาวและผิวกระดาษเรยี บดี เหมาะสาหรบั งานท่ีต้องการ
รายละเอียด
- Winsor & Newton ขนาด 300 กรัม เป็นกระดาษที่มีสีออกขาวมากกว่าชนิด Arches
Aquarelle เหมาะสาหรับวานที่ต้องลงสีหลายๆ ช้ัน โดยส่วนตัวดิฉันชอบกระดาษชนิด Arches
Aquarelle และ Fabriano โดยใชก้ ระดาษขนาด B4 หรือ A3
2. NOT ( Not Hot Pressed ) คือกระดาษท่ีอัดโดยไม่ใช้ความร้อนผิวหน้ากระดาษ
มักไมค่ ่อยเรยี บแตก่ ็ไม่หยาบมาก นักวาดภาพพฤกษศาสตร์บางท่านนิยมกระดาษชนิดนี้
3. COLD PRESSED (ROUGH) เป็นกระดาษเนื้อหยาบ เหมาะสาหรับงานด้านภูมิ
ทศั น์ หรืองานประเภท Impressionist ไมเ่ หมาะกบั งานท่ตี อ้ งการเน้นรายละเอียด
ความหนาของกระดาษจะวดั เป็นหน่วยปอนด์ตอ่ รีม หรือวดั จากแรงกดตอ่ ตารางเมตร (gsm)
ถ้าจะใช้กระดาษท่ีมีความหนาน้อยกว่า 300 gsm (140 ปอนด์) บางครั้งต้องขึงกระดาษ (Stretch)
ด้วยน้าบนแผ่นบอรด์ แข็งก่อน กระดาษจึงจะไม่เป็นรอยคล่ืนเม่ือโดนสีน้าหลายๆ ครั้งทาทับลงไป ถ้า
ต้องการกระดาษท่ีเรียบและไม่เป็นรอยคล่ืนง่ายๆ ต้องใช้กระดาษที่มีเน้ือหนามากกว่า 230
gsm หรอื อย่างต่าสดุ 170 gsm
ดินสอ มีท้ังหมด 16 ระดับ ความเข้มคือ ต้ังแต่ 8B (ไส้น่ิมมาก - ดามาก) ถึง 8 H (ไส้แข็งมาก - จาง
มาก หรือสีเทาเงิน) ดินสอใช้ในการร่างภาพ โดยขนาดที่เหมาะสมกับงานร่างก็คือดินสดขนาด H
และ HB
ดินสอกด สะดวกและเหมาะท่ีสุดสาหรับงานที่ต้องการเพ่ิมเติมรายละเอียด ขนาดความเข้มของไส้
ดนิ สดที่แนะนาก็คอื ขนาดความเข้ม H และ HB ส่วนขนาดความใหญ่ของเส้นดินสอกค็ ือขนาด 0.3,
0.5 และ 0.7 มิลลิเมตร
สี ท่ีนิยมใช้คือสีน้า (Water Colour) เพราะมีความละเอียด ทาให้งานพิถีพิถันในส่วนเล็กๆ น้อยๆ
ได้ดี เป็นสีที่นิยมใช้วาดทางพฤกษศาสตร์มากท่ีสุด สีน้าที่ดีต้องมีคุณสมบัติท่ีโปร่งใส แสงสามารถ
ส่องผ่านได้ มีความละเอียด และมีความคงทนถาวร ไม่ซีดจาง หรือบางครั้งจะใช้สีอีกชนิดที่เรียกว่า
Gouache (body - colour) ส่วนใหญ่ใช้สีขาวเติมในช่วงสุดท้ายของการวาดภาพเพ่ือเพ่ิมความ
เดน่ ชดั ในบางบริเวณท่ีตอ้ งการเน้น เช่น บริเวณเส้นขน หนาม หรอื บริเวณจุดเลก็ ๆ ดา่ งๆ เป็นตน้ แต่
ถ้าคุณใช้ Gouache สีขาวแต้มเพ่ือเน้นจุดหรือรายละเอียดเล็กๆ คุณต้องนาสีจานวนน้อยไปผสมกับ

154

น้าแล้วค่อยๆ แต้มบริเวณที่ต้องการ เพราะสีชนิดน้ีเมื่อวาดหรือแต้มทับลงไปบนสีพ้ืนแล้วจะปิดไม่ให้

เหน็ สีพน้ื ลา่ งเลย เน่อื งจากไมโ่ ปรง่ ใส จึงควรใชต้ อ่ เมื่อจาเปน็ เทา่ นน้ั

สที ั้งสองชนิดนีจ้ ะบรรจใุ นแบบหลอดและแบบจาน แบบหลอดเหมาะสาหรบั วาดภาพท่ีบา้ น

ส่วนแบบจาน (pan) พร้อมใช้งานได้ทันที คืออยู่บนจานท่ีมีฝาปิดแล้วเพียงเติมน้าก็สามารถใช้ได้

เลย มกั ใช้ในการวาดภาพนอกสถานที่

สีตา่ งๆ มีหลายเฉดสี ซ่ึงมคี วามจาเปน็ ตอ่ นกั วาดภาพ เช่น

สีเหลือง Aureolin , New Gambodge , Lemon Yellow

สีฟา้ French Ultramarine , Cabalt Blue

สมี ว่ ง Winsor Violet

สีน้าตาล Burnt Sienna

สีแดงหรอื สชี มพู Alizarin Crimson , Cadium Red , Permanent Rose , Scarlet Red

สีเขียว Hooker Green , Permanent Sap Green , Viridian

สีเทา Davy' s Grey , Payne's Grey

สีขาว Chinese White

สีบางสีจะทนถาวร ขณะท่ีบางสีจะจืดจางไปได้เร็วเม่ือโดนแดด จึงจาเป็นต้องรู้จักลักษณะ

ของสแี ต่ละสที ่ใี ช้ แต่ละยีห่ ้อของสี คณุ ลกั ษณะอาจจะแตกต่างกันออกไป

พู่กันหรือแปรง พู่กันหรอื แปรงท่ีทามาจากตัว Sable (สัตว์ชนิดหนง่ึ มีขนยาวอาศัยอยู่ในแถบหนาว)

เป็นพู่กันท่ีมีคุณภาพดีที่สุด และราคาแพงที่สุด คุณภาพดีกว่าพู่กันท่ีทามาจากขนม้ิง ไซบีเสียเสียอีก

หรอื ถ้าจะประหยัดค่าใช้จ่ายก็อาจใช้พู่กันที่ผลิตจากใยสังเคราะห์ หรอื พู่กันที่ทามาจากขนมิ้งผสมกับ

ใยสังเคราะห์ก็ได้ คุณสมบัติของพู่กันที่ดี คือสามารถดูดซึมน้าได้มาก มีปลายแหลม สามารถเขียน

เสน้ ทค่ี มชัด และทีส่ าคญั ต้องทนทาน ท้ังนต้ี อ้ งรู้จักดูแลพกู่ นั ใหถ้ ูกต้องด้วย

สาหรบั อปุ กรณอ์ ืน่ ๆท่จี าเป็น เชน่ แผ่นลอกลาย ยางลบ จานผสมสี โถนา้ เปน็ ต้น

วธิ ีกำรเลือกตวั อย่ำงที่ตอ้ งกำรวำด
ควรเลือกตัวอย่างจริงท่ีมีชีวิต ไม่ควรวาดจากรูปภาพหรือภาพถ่าย หากวาดภาพจาก

ภาพถ่าย เพราะภาพที่ได้แม้จะดีเพียงใดก็ใกล้เคียงที่สุดได้เพียงภาพถ่าย ไม่มีความรู้สึกท่ีเป็น
ธรรมชาติอย่างแท้จริง บางครั้งเราต้องใช้ภาพถ่ายมาช่วย แต่ควรได้สัมผัสและเก็บรายละเอียดส่วน
ตา่ งๆ ของพืช และสีสันจากของจริงก่อน อาจเรม่ิ ต้นด้วยการเดินหาตัวอย่างต้นไม้ หรือดอกไม้ ที่มี
องค์ประกอบงา่ ยๆ แบนๆ ยกตัวอย่างเชน่ ดอกแพนซี (pansy) ดอกชนดิ นจ้ี ะบานนานประมาณหนึ่ง
สัปดาห์จึงโรย ถ้าช่วงใดอากาศร้อนมากก็ให้แช่ตัวอย่างไว้ในตู้เย็น ก็จะสามารถยืดอายุตัวอย่างได้
หรอื นามาทง้ั กระถางกจ็ ะอยู่ไดน้ าน

เมื่อได้ตัวอย่างพืชใดๆ ถ้าเก็บรักษาอย่างถูกวิธีและเหมาะสม สามารถเก็บตัวอย่างน้ันเป็น
แบบได้นานกว่าปกติ เช่น ถ้าเกบ็ ดอกไม้ในชว่ งเวลาเชา้ ดอกไม้น้ันจะเหย่ี วช้ากว่าปกติ
วธิ ีเก็บรกั ษาพืชแต่ละชนิด

155

1. พืชพวก Gladiolus , Rose , Geranium , Camellia , Iris , Tulip , Chrysanthemum
และกล้วยไม้ ควรตัดก่ิงหรือลาต้นในน้า เพื่อให้น้าเข้าแทนที่อากาศ ถ้ายิ่งตัดในน้าลึกเท่าใด
แรงดันของน้าจะเข้าไปแทนท่ีในลาต้นพืชมากขึ้นเท่านั้น ในกรณีที่พืชนั้นมีเนื้อไม้หรือมีก่ิง
ขนาดใหญ่ กค็ วรตดั กง่ิ เปน็ สองซีกเพอ่ื เพมิ่ พ้นื ท่ีหนา้ ตัดในการดดู ซึมน้าของพืชนัน้

2. พชื พวก Clematis ควรทุบบริเวณปลายลาตน้ แลว้ คอ่ ยนาไปแชน่ ้า
3. พืชพวกทานตะวนั ให้ทาด้วยเกลอื บรเิ วณทต่ี ดั หรือนาสว่ นท่ตี ดั จุ่มในนา้ เดอื ด
4. พืชพวก Hydrengea ให้นาก้านดอกไปเผาแล้วของเหลวภายในลาตน้ จะไหลออกมา แล้วรีบ

นาลาต้นน้ันแช่ในน้าทันที (เวลาลนไฟควรนากระดาษฟอยล์ห่อดอกไม้ไว้เพ่ือป้องกันความ
รอ้ นด้วย)
5. พืชพวกบัว (Water Lily) ให้ฉีดน้าหรือสารละลายกรดอะซิติก เข้าไปในลาต้นโดยใช้หลอด
ฉดี น้าหรอื เขม็ ขนาดใหญ่
6. พชื พวก Wisteria , Lilac , Magnolia และ Poinsettia ใหต้ ัดแลว้ นาส่วนทตี่ ้องการ แชใ่ น
แอลกอฮอลห์ รือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต แลว้ จุม่ ลงในน้าอีกคร้งั
7. ใบกล้วย ใหแ้ ชบ่ ริเวณท่โี ดนตดั ในสารละลายกรดอะซิติก

ภำพท่ี 6.4 แสดงวิธีการเกบ็ รกั ษาพชื สาหรับเป็นแบบวาดภาพ
ทมี่ า : ลลิตา โรจนกร. 2542. ศลิ ปะกำรวำดภำพพฤกษศำสตร์ . 2552
เม่ือได้ตัวอย่างมาแล้ว ก็ทาการจัดวางตัวอย่าง โดยอาจหาซ้ือท่ีหนีบตัวอย่างจากร้านวาด
เขียนท่ัวไป หรืออาจใช้วัสดุอื่นๆ เช่น โอเอซิส (oasis) ที่สาหรับปักของ (needlepoint holder)
ลักษณะเป็นแท่งโลหะ เข็มแหลม หรือวัสดุยาวๆ จานวนหลายๆ แท่งเรียงชิดกัน, ถ้วยน้าพลาสติก
โดยนาถ้วยมาคว่าลงแล้วเจาะรูบริเวณก้านแก้ว แล้วนาก่ิงไม้ตัวอย่างมาปักไว้แล้วเอาสาลีหรือ
กระดาษทิชชูชุบน้าห่อหุ้มปลายท่ีตัดแล้วหุ้มด้วยกระดาษฟรอยด์อีกที หรืออาจใช้ขวดท่ีมีปากขวด
เลก็ ๆ หรอื ท่ีวางปกั ดนิ สอแลว้ เอาดนิ สอปักไว้ หาไมห้ นบี ผา้ มาหนีบดอกไมก้ ็ได้

156

เราควรเริ่มวาดส่วนต่างๆ ของดอกในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เช่น เร่ิมตาดอกเป็นส่วนแรก
เพราะว่าอีกไม่นานตาน้ันก็อาจผลิบานอออกกลายเป็นดอกก็ได้ ต่อจากส่วนตาดอก หรือดอกตูม จึง
คอ่ ยวาดส่วนของดอกสมบูรณ์ทีบ่ านแล้ว ถดั มาก็เป็นส่วนของใบและราก แต่ทัง้ น้ีกข็ ึ้นอยู่กับชนิดของ
พืชเช่นกัน

อย่างไรก็ดีพืชบางอย่าง เราไม่ควรเก็บตัวอย่างมา แต่ใช้การวาดในสถานท่ีจริงท่ีตัวอย่างพืช
นน้ั เจริญเติบโตอยู่จะเหมาะสมกว่า เช่น ตัวอยา่ งพืชในสวนพฤกษศาสตร์ ตัวอย่างพืชหายากและใกล้
สูญพันธ์ุ

ข้นั ตอนกำรวำดภำพทำงวทิ ยำศำสตร์
1.ศึกษาตัวอย่างละเอยี ด ศกึ ษาข้อมลู ที่เก่ียวขอ้ ง เช่น อายแุ หลง่ ทีพ่ บ ฯลฯ
2.รา่ งภาพให้มขี นาดและสัดส่วนถูกตอ้ ง
3.วาดรายละเอยี ด
4.ลอกภาพร่างบนกระดาษทใี่ ช้จริง
5.ให้แสง-เงา (rendering)
6.ตรวจสอบข้ันสุดทา้ ย

กำรรำ่ งภำพพืช
การวาดภาพพืช อาจวาดจากตัวอย่างสด ตัวอย่างดอง หรือตัวอย่างแห้งก็ได้ นอกจากน้ีอาจ

วาดจากภาพถ่ายแต่การวาดจากตัวอย่างสดจะให้รายลเอียดได้ถูกต้องมากกว่า หากเป็นตัวอย่างท่ีตัด
ออกจากต้น ควรจัดวางและยึดให้ม่ันคงไม่เอนเอียงหรือล้มในระหว่างที่วาด โดยอาจปักในแจกันหรือ
บนโฟมจัดดอกไม้ ควรบันทึกรายละเอียดให้มากท่ีสุด เช่น สีลักษณะผิว ฯลฯ ก่อนท่ีตัวอย่างจะ
เปลี่ยนสภาพไป อาจต้องถ่ายภาพในมุมต่างๆ เก็บไว้ หากตัวอย่างเห่ียว บาน หรือโรยเร็ว การวาด
ดอกไม้ ผล หรือเมล็ดอาจต้องมีการผ่าตามยาง หรือตามขวาง ต้องผ่าในตาแหน่งที่แสดง
ลกั ษณะเฉพาะ โดยมีขน้ั ตอนดังน้ี

1. วัดความกวา้ ง ความสูง และร่างขอบเขตของวัตถุซ่ึงอาจเปน็ สเี่ หลย่ี ม วงกลม วงรี ฯลฯ
2. รา่ งแกนหลัก (main axis) ของวัตถุ
3. วัดขนาดของส่วนสาคญั ๆ ชิน้ ใหญๆ่ และกาหนดขนาดน้ันลงบนแกนหลกั
4. ร่างแกนของแต่ละชน้ิ สว่ นนัน้ แลว้ จึงรา่ งรปู ทรงรอบๆ แกน
5. ถา้ วัตถมุ รี ายละเอยี ดมาก อาจวาดรายละเอยี ดเฉพาะส่วนสาคญั สว่ นที่เหลืออาจตัดทอน

ออกจากภาพ หรอื วาดใหเ้ หน็ แต่เพยี งโครง

กำรวำงองค์ประกอบของภำพ
ตาแหน่งที่เหมาะสมในการวางภาพ สว่ นใหญจ่ ะเนน้ ให้ตัวอยา่ งพืชพันธทุ์ ่ีวาดอยู่บริเวณก่ึงกลาง

ของภาพ บางครั้งอาจวาดให้เต็มหน้ากระดาษเลยก็ได้ ท้ังนี้ข้ึนกับตัวอย่างที่วาด สีที่ใช้ อีกทั้งมาตรา
สว่ นของภาพ โดยท่ัวไปการวางภาพมักจดั วางได้ 4 แบบ ดังนี้

157

1. วำดตัวอย่ำงท้ังต้น คอื วาดต้งั แตส่ ่วนของรากจนถึงสว่ นยอดโดยไม่ตัดต่อ ขนาดเทา่ กับของ
จรงิ หรือเขยี นมาตราส่วนยอ่ ไว้

2. วำดเฉพำะสว่ นท่ีสนใจเพื่อเน้นรำยละเอียดท่ีสำคัญ เช่น วาดเฉพาะส่วนของ ดอก ผล ซ่ึง
บางคร้ังจะพบเห็น วา่ วาดด้วยดนิ สอ หรอื ปากกา เป็นภาพลายเส้น

3. วำดแบบ metaphor คือการวาดภาพพืชชนิดเดียวกันเป็นระยะๆ เช่น การวาดรูปตาดอก
ก็จะวาดต้ังแต่ช่วงที่เป็นตาอ่อน แล้วก็วาดช่วงท่ีเริ่มเจริญเป็นดอกตูม แล้วช่วงสุดท้ายก็
เจริญไปเป็นดอกบานสมบูรณ์ หรือเราอาจวาดภาพต้นไม้หรือใบไม้ชนิดเดียวกันแต่แตกต่าง
กนั ในแต่ละฤดู

4. วำดเป็นส่วน ในกรณีที่ตัวอย่างน้ันมีขนาดยาวมาก หรือขนาดใหญ่ เราอาจวาดตัวอย่างตัด
แยกเปน็ สว่ นๆ ในตาแหน่งเรียงกนั ในกระดาษแผน่ เดียวกนั

เทคนิคกำรลงสมี ี 5 ขั้นตอนดงั น้ี
1. TEA WASH : คือข้ันตอนการลงพื้นที่อ่อนท่ีสุด เริ่มจากท่ีเราเลือกสีใดสีหน่ึง แล้วนาพู่กัน
มาจมุ่ สี แล้วเริม่ ลงสีจากบริเวณมุมบน เรม่ิ จากซา้ ยไปขวา ไปมาหลายๆรอบแลว้ ลองใช้สีอ่นื ๆ
หลายๆ สี โดยเริ่มสีจากสีเข้มไปสีอ่อน จากบริเวณบนสุดของภาพแล้วลองใช้พู่กันชุ่มน้า
มากๆ ลากซ้าไปมาอีกหลายๆ รอบในแนวดงิ่ และแนวราบและทางซา้ ยขวา แล้วลองลงสีเป็น
รปู ทรงตา่ งๆ เช่น รูปใบ หรอื รปู กลบี ดอกไม้ เปน็ ตน้
2. RELIEF : คือข้ันตอนการลงสีเพื่อเพิ่มบริเวณต่างๆ ในภาพ ซึ่งจะทาให้ภาพมีน้าหนักเกิด
ความลึกและทาใหภ้ าพมีมติ ิ
3. CONTRAST : คือขั้นตอนการลงสีเพื่อเน้นรายละเอียดของภาพทาให้เกิดความแตกต่างกัน
ระหว่างสีสองสีที่อยู่ในบริเวณท่ีต่างกันของภาพ เช่น กลีบดอกท่ีอยู่ด้านบนต้องมีสีอ่อนกว่า
กลบี ดอกที่อย่ดู ้านลา่ งเสมอ
4. HARMONIZE : คือข้ันตอนการลงสีเพื่อให้ภาพเกิดความกลมกลนื เช่น ถ้าคุณวาดก่ิงไม้ท่ีมี
ดอกกุหลาบสีเหลืองอยู่ คุณต้องใส่สีเขียวของใบไม้ผสมเข้าไปกับสีเหลืองของดอกไม้
ดว้ ย และเชน่ กันคุณตอ้ งใส่สีเหลืองของดอกกหุ ลาบลงไปในสีเขียวของใบไม้ดว้ ย
5. ขั้นตอนสุดท้ำย : คือการสังเกตรายละเอียดปลีกย่อยอย่างพิถีพิถัน เราอาจต้องเติม
ลายเส้นเพื่อเพม่ิ รายละเอียดอีกเล็กนอ้ ย เชน่ เนน้ ลายเส้นขนใหเ้ ข้มขึ้น

ภำพท่ี 6.5 แสดงตัวอยา่ งการลงสภี าพทางพฤกษศาสตร์
ที่มา : ลลิตา โรจนกร. 2542. ศิลปะกำรวำดภำพพฤกษศำสตร์ . 2552

158
เมือ่ งานเสร็จแล้วควรตรวจดูให้ดีวา่ มีครบท้ัง 3 ส. คือสัดส่วนถูกตอ้ งตามหลกั วิทยาศาสตร์ มี
การสังเกตรายละเอียดต่างๆ อย่างแม่นยาและมีความสวยงาม เป็นศิลปะที่มีคุณค่าครบถ้วน
หรือไม่ ตามปกติในผลงานแต่ละช้ิน ศิลปินแต่ละท่านมักเขียนช่ือหรือเซ็นช่ือตนเองไว้บริเวณมุม
ภาพ หรืออยู่ถัดจากชื่อภาพน้ัน แต่ว่าในส่วนลายเซ็นจะมีขนาดเล็กกว่า ส่วนในเรื่องการเขียนชื่อพืช
ควรเขียนให้ถูกต้อง ถ้าเป็นไปได้ควรเขียนช่ือวิทยาศาสตร์ท่ีเป็นภาษาลาติน ตามด้วยช่ือวงศ์ ชื่อ
สามัญ และชื่อพื้นเมือง ถ้ามีข้อมูลการใช้ประโยชน์ ควรใส่ลงไปด้วย และที่สาคัญอย่าลืมใส่วันท่ีและ
สถานที่เก็บตัวอยา่ งนน้ั ๆ ด้วย

ภำพที่ 6.6 แสดงตวั อย่างภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ที่เสรจ็ สมบรู ณ์
ทม่ี า : ลลิตา โรจนกร. 2542. ศิลปะกำรวำดภำพพฤกษศำสตร์ . 2552

159

เอกสำรอำ้ งองิ

ถนอมจติ สภุ าวิตา. 2541. พืชใบเล้ียงคู่ ตอน Apetalae. สงขลา: คณะเภสัชศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์.

ประนอม จนั ทรโณทยั . 2537. พฤกษำนกุ รมวธิ ำน (Plant Taxonomy). ขอนแก่น: ภาควชิ าชีววิทยา
คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

ลลติ า โรจนกร. 2542. ศลิ ปะกำรวำดภำพพฤกษศำสตร์ .โครงการอนุรักษ์พนั ธกุ รรมพืชอันเนื่องมาจาก
พระราชดารฯิ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี.
http://www.rspg.or.th/articles/painting/painting.htm วันท่คี น้ ขอ้ มูล 21 ตลุ าคม 2552

วรี ะชยั ณ นคร. 2539. ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพดำ้ นพชื ในประเทศไทย. ใน การอบรมเชิง
ปฏิบัติการนักพฤกษศาสตร์ท้องถ่นิ Parataxonomist. หนา้ 16-27. เชยี งใหม่:
สวนพฤกษ ศาสตร์สมเด็จพระนางเจา้ สริ กิ ิติ์.

สมพร ภตู ยิ านันท.์ 2551. การตรวจสอบเอกลักษณ์พชื สมนุ ไพร : พฤกษอนุกรมวิธำน. เชยี งใหม่ :
เอราวณั การพมิ พ.์

สุปรียา ยืนยงสวัสด.ิ์ 2541. พชื ใบเลยี้ งคู่ ตอน Polypetalae. สงขลา: คณะเภสัชศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์.

สุภญิ ญา ต๋วิ ตระกลู . 2539. พืชใบเลย้ี งคู่ ตอน Sympetalae. สงขลา: คณะเภสชั ศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

ศริศักดิ์ สนุ ทรไชย (ประธานกรรมการผลิตชดุ วชิ า).2551. เอกสำรกำรสอนชดุ วิชำ
เภสัชพฤกษศำสตร์. นนทบุรี: มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.

Andrea Tarozzi. A Herbarium. http://www.funsci.com/fun3_en/herb/herb.htm
[online]. 1996

AMARANTHACEAE. http://wdict.net/word/ amaranthaceae/ [online]. 2011
Botany. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010
Casuarinaceae. http://www.fcagr.unr.edu.ar/Extension/Informes%20tecnicos/

plantarosario.htm [online]. 2011
Christopher J. Earle. The gymnosperm database. http://www.conifers.org/gi/i/09.jpg.

[Online].2011
Equisetaceae. http://domenicus.malleotus.free.fr/v/prele_des_champs.htm.

[online].2011
Gnetaceae. http://www.plantsystematics.org/imgs/kcn2/r/Gnetaceae_Gnetum_

latifolium_5043.html [online]. 2011

160

เอกสำรอ้ำงอิง (ต่อ)

L. Watson and M. J. Dallwitz. The Families of Flowering Plants. http://delta-
intkey.com/angio/www/piperace.htm [online]. 2011

Marattiaceae. http://tupian.hudong.com/a2_73_88_..._ jpg.html. [online].2010
Marsilea vestita. http://luirig.altervista.org/photos/m/marsilea_vestita.htm.

[online].2010
Pinaceae. http://www.seaconnection.ws/0arboretum.html [online]. 2011
Plant cell structure. http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/08/

Plant_cell_ structure.png [online]. 2011
Plant tissue. http://cikgurozaini.blogspot.com/2011/01/plant-tissues.html.[online].

2011
Polypodiaceae. http://caliban.mpiz-koeln.mpg.de/lindman/499.jpg. [online].2010
Root system. http://depssa.ignou.ac.in/wiki/index.php/Structure_ and_Function_

of_Living_Organisms. [online]. 2010
SIUC / College of Science / Elements of Plant Systematics. Bassey’s cactus.

www.plantbiology. siu.edu/PLB304/HistTaxon.html. [online]. 2011
Structure of leaf. http://www.infovisual.info/01/008_en.html. [online]. 2005
Type of root. http://www.daviddarling.info/encyclopedia/P/plant_root.html.

[online]. 2010
Vascular plant image library. Images of the Lycopodiaceae.

http://botany.csdl.tamu.edu/ FLORA/imaxxlyc.htm. [online]. 2011
Watson, L., and Dallwitz, M.J. The families of gymnosperms. http://delta-

intkey.com/ gymno/www/cycadace.htm. [online]. 2009
Wikimedia. http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/7/79/Michelia

_champaca _Bra1.png [online]. 2011


Click to View FlipBook Version