42
ภำพท่ี 3.16 แสดงช่อดอกแบบตา่ งๆ
ทม่ี า: ชนดิ ของช่อดอก. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010
รปู ร่ำงและลักษณะของดอก (Perianth Forms)
รูปกงล้อ (rotate, wheel-shaped) กลีบดอกท่ีมีกลีบหลอดดอกส้ัน และแฉกกลีบดอกแผ่กว้าง
เรยี งกนั คล้ายวงล้อ
รูประฆงั (campanulate, bell-shaped) กลบี ดอกทีม่ ีลักษณะคล้ายระฆัง
รูปคนโท, โถ (urceolate, urn-shaped) กลีบดอกท่ีหลอดกลีบดอกพองรูปไข่และแฉกกลีบดอก
เปดิ กว้างออก เลก็ นอ้ ย
รูปดอกเข็ม (salverform, hypocrateriform) กลบี ดอกท่ีมหี ลอดกลีบดอกเปน็ หลอดยาวและแฉก
กลีบดอกแผก่ วา้ ง
รปู กรวย (funnelform), รูปแตร (infundibular), รูปลาโพง (infundibuliform) กลีบดอกที่ปลาย
หลอดกลบี ดอกเปิดกว้างคล้ายกรวย แตรหรือลาโพง
รปู หลอด (tubular) กลีบดอกที่มหี ลอดกลบี ดอกเปน็ หลอดยาวและแคบ
รปู ล้นิ (ligulate, tongue-shaped) กลีบดอกทีม่ ีหลอดกลบี ดอกเป็นหลอดส้ันๆและแฉกกลีบดอก
แผ่ออกด้านเดียว
รปู ปากเปดิ (bilabiate) กลบี ดอกที่มแี ฉกกลบี ดอกแยกออกเปน็ สองส่วน
รูปปากปิด (personate) กลบี ดอกทมี่ ลี กั ษณะคลา้ ยรปู ปากเปิด แต่หลอดกลีบดอกกว้างกว่า
รูปกระเปาะทรงกระบอก (foxgloveform) กลีบดอกที่มีหลอดกลีบดอกพองคล้ายกระเปาะรูป
ทรงกระบอกและแฉกกลีบดอกแผ่กวา้ ง
รูปดอกถ่ัว (papilionaceous) กลีบดอกแต่ละกลีบมีรูปร่างแตกต่างกันได้แก่ กลีบกลาง
(standard, banner) เปน็ กลบี นอกสุดและใหญ่ทสี่ ดุ ห้มุ กลีบอ่นื ไว้ขณะดอกตูม กลีบคู่ลา่ ง (keel)
43
เป็นกลีบอยู่ด้านล่าง รูปร่างคล้ายท้องเรือมี 2 กลีบ และกลีบคู่ข้าง (wing) เป็นกลีบท่ีอยู่ด้านข้าง
ของกลบี คลู่ ่าง มี 2 กลบี
ภำพท่ี 3.17 แสดงรูปร่างของดอก (Flower shape)
ทม่ี า: รูปร่างของดอก. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010
สัณฐำนวิทยำของช้ันเกสรตัวผู้
เกสรเพศผู้ (stamen) โดยรวมเรียกว่า วงเกสรเพศผู้ (androecium) ที่อยู่ถัดจากวงกลีบ
ดอก เกสรเพศผู้ประกอบด้วยอับเรณู (anther) ภายในมีเรณู (pollen) ท่ีสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้
และก้านเกสรเพศผู้ (filament) ทาหนา้ ทชี่ อู บั เรณู
กำรติดของก้ำนเกสรเพศผู้ (anther attachment)
ตดิ ท่ฐี าน (basifixed, innate) สว่ นปลายของกา้ นเกสรเพศผ้ตู ิดที่ฐานของอบั เรณู
ตดิ ทดี่ า้ นหลงั (dorsifixed) ส่วนปลายของกา้ นเกสรเพศผู้ติดตรงกลางด้านหลงั ของอับเรณู
เช่ือมติด (adnate) กา้ นเกสรเพศผู้เชอื่ มติดกับอับเรณู โดยเช่ือมจากฐานอับเรณูไปตามความ
ยาวของอบั เรณู เช่น เกสรเพศผู้ของบวั สาย
ติดกลาง (versatile) ส่วนปลายสุดของก้านเกสรเพศผู้ติดตรงบริเวณกลางของอับเรณู และ
อบั เรณูหมุนไดร้ อบทิศ
กำรแตกของอับเรณู (anther dehiscence)
แตกตามยาว (longitudinal dehiscence) อับเรณจู ะแตกตามความยาวของอับเรณู
แตกตามชอ่ ง (poricidal dehiscence) อบั เรณเู ปิดเปน็ ชอ่ งเลก็ ๆหรือรูเลก็ ๆ ท่ีปลายอับเรณู
แตกตามขวาง (transverse dehiscence) อบั เรณูเปิดตามขวางของอบั เรณู
แตกแบบมีล้นิ ปิดเปิด (valvular dehiscence) อบั เรณเู ปดิ โดยมีลน้ิ หรือเปดิ
44
ภำพท่ี 3.18 แสดงลักษณะการติด
ของอบั เรณู และการแตกของอบั เรณู
ที่ ม า : อั บ เร ณู . http://village.haii.or.th/
botanical.html. [online]. 2010
สณั ฐำนวทิ ยำของช้ันเกสรตวั เมีย
เกสรเพศเมีย (pistil) โดยรวมเรียกว่า วงเกสรเพศเมีย (gynoecium) อยู่วงในสุดของดอก
ซึ่งอาจมีหนึ่งหรือหลายอัน เกสรเพศเมีย 1 อัน ประกอบด้วย รังไข่ (ovary) เป็นส่วนท่ีอยู่ล่างสุด
ภายในมีไข่ (ovule) ก้านเกสรเพศเมีย (style) เป็นส่วนท่ีถัดจากรังไข่ข้ึนมา และยอดเกสรเพศเมีย
(stigma) เปน็ ส่วนท่อี ยปู่ ลายสุดของเกสรเพศเมยี ทาหนา้ ที่รบั ละอองเกสรเพศผู้
ชนิดของรังไข่ (ovary position)
รังไข่เหนือวงกลีบ (superior ovary) รังไข่ท่ีอยู่เหนือส่วนอ่ืนๆของดอก หรือผนังรังไข่ไม่
เช่ือมกับสว่ นอืน่ ๆ ของดอก
รังไข่ใต้วงกลีบ (inferior ovary) รังไข่ท่ีอยู่ใต้ส่วนอื่นๆของดอก และผนังรังไข่ติดรวมอยู่กับ
สว่ นอ่นื ๆ ของดอก
รงั ไขก่ ง่ึ ใตว้ งกลีบ (half-inferior ovary) รังไขท่ สี่ ว่ นหน่งึ ฝงั อยใู่ นฐานดอก
ชนิดของออวลุ (ovule type) เป็นลกั ษณะการตดิ ของออวุลเมื่อทามุมสัมพนั ธ์กับก้านออวลุ
ออวุลตั้งตรง (orthotropous ovule, และ antitropous ovule) ออวลุ ท่ีตั้งตรง และไมโคร
ไพล์อยู่ดา้ นบนตรงขา้ มกา้ นออวุล
ออวลุ คว่า (anatropous ovule) ออวุลท่มี ีไมโครไพลช์ ี้ลงด้านล่างใกล้กบั กา้ นออวลุ
ออวุลแนวนอน (amphitropous ovule) ออวุลทมี่ ไี มโครไพล์อยูใ่ นแนวตัง้ ฉากกับกา้ นออวุล
ออวุลตะแคง (campylotropous ovule) ออวุลท่ีไมโครไพล์โค้งต่าลงมา จนอยู่ด้านขา้ งใกล้
กบั ฐานออวลุ (chalaza)
45
ภำพท่ี 3.19 แสดงชนิดของรังไข่
ท่มี า: รงั ไข.่ http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010
ผล (fruit) และ เมล็ด (seed)
ผล (fruit) คือรังไข่ท่ีเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว (mature ovary) รังไข่ดังกล่าวอาจเจริญ
เปลี่ยนแปลงมาภายหลังการปฏิสนธิ ซ่งึ จะมีเมล็ดอยู่ภายในหรือเจรญิ มาโดยไม่ได้รับการปฏิสนธิหรือ
พารท์ ีโนคาร์ปี(parthenocarpy) ผลประเภทหลังนี้โดยท่ัวไปจะไม่มเี มล็ด เรยี กว่า ผลพาร์ทีโนคาร์ปิก
(parthenocarpic fruit) ผลของพืชบางชนิดอาจมีส่วนอื่น ๆ ของดอกเจริญควบคู่มากับรังไข่และ
กลายเป็นส่วนหน่ึงของผลด้วย เช่น มังคุด แอปเปิล ฝรั่ง ทับทิม มีกลีบเล้ียงรวมอยู่ ชมพู่ แอปเปิล
และมะเดอื่ มีสว่ นของฐานดอกรวมอยู่ เป็นตน้
โครงสรำ้ งของผล
เมื่อรังไข่เปล่ียนแปลงกลายเป็นผล ผนังรังไข่จะเปล่ียนเป็นผนังผล (pericarp) ห่อหุ้มเมล็ด
อยูภ่ ายใน ผนงั ผลของพืชแต่ละชนิดจะประกอบด้วยเนื้อเย่ือ 3 ชน้ั
1) ผนังชนั้ นอก (exocarp) เปน็ ช้ันนอกสุดของผลทมี่ ักเรยี กว่า เปลือก โดยทั่วไปประกอบด้วยเน้ือเยื่อ
เอพิเดอร์มสิ เพียงชนั้ เดียว แต่ก็มีผลบางชนิดทเ่ี อกโซคาร์ประกอบด้วยเน้ือเยื่อหลายชั้นและอาจมปี าก
ใบด้วย เอกโซคาร์ปของพืชแต่ละชนิดจะมีลักษณะแตกต่างกันไป เช่น เรียบเหนียว เป็นมัน ขรุขระ
อาจมหี นาม มีขนหรอื ต่อมน้ามนั
2) ผนังช้ันกลาง (mesocarp) เป็นช้ันกลางถัดจากเอกโซคาร์ปเข้ามา ผลบางชนิดนั้นมีโซคาร์ปหนา
บางชนิดบางมาก มีโซคาร์ปของผลบางชนิดเป็นเนอ้ื อ่อนนุม่ ใช้รบั ประทานได้
3) ผนังชั้นใน (endocarp) เป็นชั้นในสุดของเพริคาร์ป ประกอบด้วยเน้ือเย่ือที่มีความหนาช้ันเดียว
หรือหลายช้ันจนมีลักษณะหนามาก บางชนิดเป็นเนื้อนุ่มใช้รับประทานได้เพริคาร์ปของผลแต่ละชนิด
จะแตกต่างกันไป ผลบางชนิดมีเพริคาร์ปเชื่อมติดกันจนแยกไม่ออก เช่นข้าวโพด ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
บางชนิดส่วนเอกโซคาร์ปและมีโซคาร์ปเชื่อมติดกันหรือแยกกันไม่เด่นชัด เช่นมะเขือเทศ มะละกอ
ฟัก แต่เพริคาร์ปของพืชอกี หลายชนิดสามารถแยกเปน็ 3 ชั้นชัดเจน เช่น มะมว่ ง พทุ รา
มะพร้าว มะปราง
46
ประเภทของผล
1) ผลเดี่ยว (simple fruit) คือผลที่เจริญมาจากรังไข่อันเดียวภายในดอกหน่ึง ๆ รังไข่นี้อาจ
ประกอบด้วยคาร์เพลเดียวหรอื หลายคารเ์ พลเชื่อมกัน ดอกเป็นชนิดดอกเดี่ยวหรอื ชอ่ ดอกก็ได้ผลเดย่ี ว
ยังสามารถจาแนกตามลักษณะของเพริคาร์ปไดเ้ ปน็ ผลสดและผลแหง้
1.1) ผลสด (freshy fruit) เป็นผลเด่ียวที่เมอื่ เจริญเติบโตเต็มที่แล้วมีเนอ้ื นุ่มและสดจาแนก
ไดด้ ังน้ี
1.1.1) ผลเมล็ดเดียวแข็ง (drupe) เป็นผลสดชนิดทีเ่ พริคาร์ปแบ่งเปน็ 3 ชั้น เอนโดคาร์ปแขง็ มากอาจ
เรยี กว่าสโตนฟรตุ (stone fruit) เอนโดคารป์ มักติดกบั เปลือกหุม้ เมล็ดซึง่ มอี ยู่เมลด็ เดียวมีโซคารป์ เป็น
เน้ือนุ่มหรือเป็นเส้นเหนียว ๆ ส่วนเอกโซคาร์ปเรียบเป็นมัน มีคาร์เพลเดียวหรือหลายเคร์เพล เช่น
มะมว่ งพุทรา มะปราง มะกอก มะพรา้ ว ตาล เชอร่ี ท้อ
1.1.2) ผลมีเน้ือหลายเมล็ด (berry) เป็นผลสดที่มีเพริคาร์ปอ่อนนุ่ม เอกโซคาร์ปเป็นผิวบาง ๆ มีโซ
คาร์ป และเอนโดคารป์ รวมกันแยกได้ไม่ชัดเจน เชน่ มะเขือ มะเขอื เทศ พรกิ อง่นุ กล้วย ฝร่งั
1.1.3) ผลแบบแตง (pepo) เป็นผลสดท่ีมีลักษณะคล้ายเบอรี แต่มีเปลือกนอกหนาเหนียวและแข็ง
เจรญิ มาจากฐานดอกเช่ือมรวมกับเอกโซคาร์ป ชั้นมโี ซคาร์ปและเอนโดคารป์ เป็นเนอ้ื เย่อื นุ่ม ผลชนดิ นี้
มักเจรญิ มาจากดอกทม่ี ีรงั ไขแ่ บบอินฟีเรยี เช่น ฟัก แฟง แตงกวา นา้ เต้า บวบ มะตมู
1.1.4) ผลแบบส้ม (hesperidium) เป็นผลสดที่มีเอกโซคาร์ปค่อนข้างแข็งและเหนียว มีต่อมน้ามัน
มาก เปลือกประกอบด้วยเอกโซคาร์ปและมีโซคาร์ปซึ่งติดกนั และมองเกือบไม่เห็นรอยแยก แตช่ ั้นมีโซ
คารป์ จะมีสีขาวและไม่ค่อยมีต่อมน้ามัน เอนโดคารป์ เป็นเยื่อบาง ๆ หุ้มเนื้อ บางส่วนจะเปล่ียนไปเป็น
ขนหรอื ถุงสาหรับเกบ็ นา้ (juice sac) ซ่งึ เป็นเน้ือทใี่ ช้รบั ประทาน เชน่ สม้ มะนาว มะกรดู
1.1.5) ผลแบบแอปเป้ิล (pome) เป็นผลสดท่ีเจริญมาจากดอกท่ีมีรังไข่แบบอินฟีเรีย มีหลายคาร์เพล
เน้ือผลส่วนใหญ่มาจากฐานดอกหรอื สว่ นฐานของกลีบดอก กลีบเล้ียงและก้านเกสรตัวผู้ซ่ึงเชื่อมติดกัน
โอบล้อมผนังรังไข่ เน้ือส่วนน้อยท่ีอยู่ด้านในเกิดจากเพริคาร์ป ส่วนเอนโดคาร์ปจะบางหรือมีลักษณะ
กรบุ ๆ คลา้ ยกระดกู ออ่ นเช่น แอปเปิล สาลี่ ชมพู่
ภำพที่ 3.20 แสดงผลเด่ยี ว ชนดิ ผลสด
ทมี่ า: ผลสด. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010
47
1.2 ผลแห้ง (dry fruit) เป็นผลเด่ียวท่ีเม่ือเจรญิ เติบโตเต็มท่ีแล้วผนังผลจะแห้งจาแนกย่อย
เป็นผลแหง้ แตกเองไดแ้ ละผลแห้งแล้วไมแ่ ตก
1.2.1) ผลแห้งแตกเองได้ (dehiscent dry fruit) เป็นผลทเ่ี ม่ือแกแ่ ลว้ เพรคิ าร์ปจะแห้งและแตกได้
จาแนกยอ่ ยได้ดงั นี้
- ฝัก (legume) เป็นผลท่ีเกดิ จากดอกทีม่ รี งั ไขค่ ารเ์ พลเดียว ภายในมีเมล็ดมากติดอย่ดู ้านขา้ ง
ผล เม่ือผลแก่จะแตกออกเปน็ สองซีกตามรอยตะเข็บ เชน่ ถวั่ แค กระถิน ชงโค
- ฟอลลเิ คิล (follicle) เป็นผลท่ีเกดิ จากดอกทีม่ ีรังไข่คาร์เพลเดียว ภายในมีเมลด็ มาก เม่ือผล
แกจ่ ะแตกตามรอยตะเข็บเพียงดา้ นเดยี ว เช่น รัก ขจร ย่หี บุ ล่ันทม แพงพวย แมกคาเดเมีย
- ผลแห้งแตก (capsule) เป็นผลที่เกิดจากดอกที่มีรังไข่หลายคาร์เพลมาเชื่อมกัน เม่ือผลแก่
จะแตกตามรอยหรือมชี อ่ งเปิดให้เมลด็ ออก จาแนกตามการแตกของผลได้ดงั น้ี
- โลคูลิซิดัลแคปซูล (loculicidal capsule) เป็นผลท่ีแตกออกตรงกลางพูหรือ
ก่งึ กลางของคาร์เพล เช่นทุเรยี น ตะแบก อินทนิล ฝ้าย
- เซปทิซิดัลแคปซูล (septicidal capsule) เป็นผลที่แตกตรงผนังก้ันพู (septum)
หรือแนวเชือ่ มระหว่างคาร์เพล เชน่ กระเชา้ สีดา
- เซอรค์ ัมเซสไซล์แคปซูล (circumessile capsule) เป็นผลที่แตกเป็นวงรอบ ๆ ผล
ตามขวาง มลี กั ษณะคลา้ ยฝาเปดิ เชน่ หงอนไก่ แพรเซ่ียงไฮ้
- ผลแตกแบบผักกาด (silique) เป็นผลท่ีเกิดจากรังไข่ที่มีสองคาร์เพลติดกัน เมื่อผลแก่เพริ
คาร์ปจะแตกตรงกลางตะเข็บโดยเริ่มจากก้านข้ึนไปสู่ปลายเป็นสองซีก เหลือผนังบาง ๆ (septum)
ติดก้านอยู่ เช่น ผกั กาด ผกั เสยี้ น ต้อยต่ิง
- ผลแตกสองครั้ง (schizocarp) เป็นผลท่ีเกิดจากรังไข่ท่ีมีหลายคาร์เพล เมื่อแก่จะแตก
ออกเป็นสองซีก แต่ละซีกเรียกว่า เมริคาร์ป (mericarp) และมีเมล็ดอยู่ภายในซีกละเมล็ด เช่น ผักชี
ยหี่ รา ขึ้นฉ่าย แครอต
1.2.2) ผลแหง้ แล้วไม่แตก (indehiscent dry fruit) เป็นผลท่ีเมอื่ แกแ่ ลว้ จะไม่แตกออกเอง โดยปติมี
เมล็ดนอ้ ยเพยี ง 1 - 2 เมล็ดเทา่ นัน้ จาแนกย่อยไดด้ ังน้ี
- ผลแห้ง เมล็ดอ่อน (achene) เป็นผลขนาดเล็ก มีเมล็ดเดียว เพริคาร์ปแข็ง ไม่เชื่อมรวมติด
กับเปลือกหมุ้ เมลด็ นอกจากตรงก้านฟนั นิคิวลสั เท่านน้ั เชน่ ทานตะวนั ดาวเรือง บางชนื่ ดาวกระจาย
- ผลปีกเดียว (samara) เป็นผลที่มีส่วนของเพริคาร์ปแผ่ออกเป็นแกแบน ๆ บาง ๆ เพื่อให้
ลอยไปกบั ลมได้ มี 1- 2 คารเ์ พล แต่ละคาร์เพลมเี มลด็ เดยี ว เช่น ประดู่ ตะเคียน
- ผลแบบธัญพืช(caryopsis) เป็นผลท่ีมีขนาดเล็ก มเี มล็ดเดียวคล้ายเอคีน แต่เพริคาร์ปเชื่อม
รวมกนั แน่นกับเปลอื กหมุ้ เมลด็ โดยตลาด เชน่ ข้าว ขา้ วโพด ข้าวสาลี
- ฝักหักข้อ (lomentum) เป็นผลที่ม่ีลักษณะคล้ายเลกูม มีคาร์เพลเดียว หักเป็นข้อ ๆ ได้
ตามขวาง แตล่ ะขอ้ มเี มล็ดเดียว ผลชนดิ นม้ี ักเป็นฝักยาว เช่น จามจรุ ี คนู มะขาม
48
AB
ภำพท่ี 3.21 แสดงผลแหง้ (A = ชนิดแก่ไมแ่ ตก B = ชนิดแก่แลว้ แตก)
ทีม่ า: ผลแหง้ . http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010
2) ผลกลุ่ม (aggregate fruit) คือผลที่เจริญมาจากหลาย ๆ รังไข่ท่ีอยู่ในดอกเดียวกัน โดยอยู่บน
รากฐานดอกเดียวกนั รังไขแ่ ตล่ ะอันจะเจริญเป็นผลย่อยหลาย ๆ ผล บางชนิดผนงั รงั ไข่แต่ละอันอยู่อัด
กันแน่นจนผนังเช่ือมรวมกันทาให้ดูคล้ายเป็นผลเด่ียว เช่น น้อยหน่า สตรอเบอรี่ แต่บางชนิดแม้ผนัง
รังไข่จะอัดกันแน่นแต่จะไม่เช่ือมรวมกัน เช่น ลูกจาก นอกจากน้ีผลกล่มุ บางชนิดจะแยกเป็นผลเล็ก ๆ
หลายผลอยู่บนฐานดอกเดียวกันเช่น กระดังงา การะเวก นมแมว จาปี จาปา สาหรับสตรอเบอรีนั้น
เนื้อท่ีรับประทานเจริญมาจากฐานดอกซึ่งเชื่อมรวมกันแล้วมีผลย่อย ๆ ซ่ึงเป็นผลเดียวชนิดเอคีนติด
อยผู่ วิ นอก
49
3) ผลรวม (multiple fruit) คือผลที่เจรญิ มาจากกลุ่มรังไข่ของช่อดอกซ่ึงเชื่อมรวมกันแน่นบนฐาน
ดอกหรือก้านดอกรวมเดียวกัน รังไข่เหล่านี้จะกลายเป็นผลย่อย ๆ และเชื่อมกันแน่นจนเป็นผลรวม
หนึ่งผล บางชนิดอาจมีส่วนอื่น ๆ ของดอก ได้แก่ ฐานดอก กลีบดอก กลีบเลี้ยงและยอดเกสรตัวเมีย
เจรญิ ควบคมู่ ากบั รงั ไขแ่ ลว้ กลายเป็นสว่ นของผลดว้ ย เชน่ สบั ปะรด ขนุน ยอ สาเก
ภำพท่ี 3.22 แสดงชนดิ ของผล (ผลเด่ยี ว ผลกลุม่ ผลรวม)
ที่มา: ชนิดของผล. http://village.haii.or.th/botanical.html. [online]. 2010
เมล็ด : เมล็ด (seed) คือออวุลที่เจริญเติบโตเต็มท่ี (mature ovule) ภายหลังจากการ
ปฏิสนธิแล้วเมล็ดพืชแต่ละชนิดจะมีรูปร่าง ขนาด สีสันและโครงสร้างแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถ
จาแนกได้เปน็
1) เมล็ดจริง (true seed) หมายถึง เมล็ดท่ีในแต่ละหน่วยของเมล็ด (seed unit) เป็นเมล็ด
เด่ยี วๆ มกี าเนดิ มาจากออวลุ ส่วนใหญ่มักป็นเมลด็ ท่ีแต่ละผลมีหลายเมล็ด (multiple seeded fruit)
เมล็ดพวกน้มี ีเปลอื กหุ้มเมล็ดทาหนา้ ที่ห่อห้มุ ภายนอก เช่น เมล็ดถัว่ ฝักยาว ผักกาดต่าง ๆ ผักบุ้ง แตง
ตา่ ง ๆ
2) เมล็ดท่ีมีส่วนของเมล็ดและผลอยู่รวมกัน (one seeded fruit) แต่ละหน่วยของเมลด็ พวก
น้ี คือ ส่วนของเมล็ดจริงและผลรวมอยู่ด้วยกัน โดยแต่ละผลจะมีเมล็ดเดียว เปลือกหุ้มเมล็ดจะเชื่อม
รวมกับเพรคิ ารป์ ของผล เชน่ ข้าวโพด ผักกาดหอม ข้าว แครอท ต้งั โอ๋
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
ภำพที่ 3.23 แสดง ลักษณะทางสัณฐานวทิ ยาในสว่ นตา่ งๆของพืช (Plate 1 – 12)
62
กำรตรวจสอบเอกลกั ษณพ์ ืช (plant identification)
การตรวจสอบเอกลักษณ์พืชเป็นกระบวนการพื้นฐานของพฤกษอนุกรมวิธานซ่ึงนาไปสู่การ
จัดหมวดหมู่ของส่ิงมีชีวิต และการต้ังช่ือ การตรวจสอบเอกลักษณ์ของพืชน้ีมีบทบาทสาคัญในการให้
ขอ้ มูลและการสอื่ ความหมายโยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ต้องการให้ทราบว่าพืชทีต่ ้องการตรวจสอบจัดเข้าใน
กลุ่มพืชวงศ์ใด สกุลใด จนกระทั่งแยกย่อยสุดว่าเป็นต้นอะไร ดังนั้นความหมายโดยรวมของการ
ตรวจสอบเอกลักษณ์พืช จึงเป็นการพิจารณาพืชที่ต้องการตรวจสอบว่ามีลักษณะเหมือนหรือ
คลา้ ยคลงึ กบั พชื ทไ่ี ด้รูจ้ ักแล้วหรอื ไม่ ซ่ึงในบางครั้งอาจพบว่าตวั อย่างพชื นน้ั เป็นพชื ชนดิ ใหม่
วธิ กี ารตรวจสอบเอกลักษณ์พืช หลักการตรวจสอบเอกลกั ษณ์พืชสามารถทาได้หลายวิธี ไดแ้ ก่
1. กำรตรวจสอบโดยผู้เช่ียวชำญ (expert determination) ผู้เช่ียวชาญคือผู้ท่ีได้ศึกษา
ทาการวิจัย จัดทาเอกสารเกี่ยวกับพืช ในรปู เอกสารเฉพาะเรอ่ื ง (monograph) หรือ เอกสารทบทวน
(revision) ซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับรายละเอียดของพืชชนิดใดชนิดหน่ึงหรือกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง
โดยเฉพาะ โดยถ้าเป็นเอกสารรวบรวมรายการหรือลักษณะของพืชในท้องถ่ินจะเรียกเฉพาะว่า
หนังสือพรรณพฤกษชาติ (flora) หรือคู่มือ (manual) การตรวจสอบเอกลักษณ์ของพืชโดยวิธีการนี้
เปน็ วธิ ีการที่ดี แต่มขี ้อเสยี จากการทตี่ ้องอาศัยเวลามาก
2. กำรตรวจสอบพืชโดยใช้ควำมจำ (recognition) วีการน้ีเป็นการอาศัยประสบการณ์
เดิมและมีความรู้กว้างขวาง และลึกซึ้งมาก ผู้ท่ีจะตรวจสอบต้องเคยพบเห็นพืชท่ีคล้ายคลึงกับพืชท่ี
เป็นตวั อยา่ ง ซงึ่ ในพืชบางกล่มุ วธิ ีการตรวจสอบแบบนี้เปน็ วธิ กี ารทไี่ ม่เหมาะสม
3. กำรตรวจสอบพืชโดยกำรเปรียบเทียบ (comparison) โดยการนาพืชที่ยังไม่รู้จัก
เปรียบเทียบกับพืชที่มีชื่อแล้ว อาจนามาเปรียบเทียบกับตัวอย่างพืชแห้ง ภาพถ่าย ภาพวาดหรือคา
บรรยายของพืชท่ีรจู้ ักแล้ว วิธนี ี้แม้ว่าจะเปน็ วิธีการที่ดีเพราะได้คาตอบค่อนข้างชดั เจน แต่มีข้อเสียคือ
ต้องใช้เวลามาก และไม่สามารถมีพชื มาเปรียบเทยี บได้ทุกชนดิ
4. กำรตรวจสอบพืชโดยใช้รูปวิธำน (key) เป็นวีการท่ีนิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง และเป็น
วิธีการที่ดีที่สุด เนื่องจากไม่เสียเวลามากและไม่จาเป็นต้องมีตัวอย่างพืชมาเปรียบเทียบ หรือไม่
จาเป็นต้องมปี ระสบการณม์ าก่อน
รูปวธิ าน (key) เป็นสิ่งที่ใช้สาหรับตรวจสอบสิ่งที่ไม่รู้จัก ลักษณะของรูปวิธานเป็นข้อความที่
บรรยายลักษณะของสิ่งท่ีนามาตรวจสอบ โดยรูปวิธานที่นิยมใช้สาหรับการตรวจสอบเอกลักษณ์พืช
เรียกว่า “รูปวิธานแยกสองแฉก (dichoyomous key)” เป็นข้อความบรรยายที่แยกลักษณะต่างๆ
ออกเปน็ สองแนวหรือสองหัวข้อที่มีลักษณะแตกตา่ งกัน เพื่อให้ผูใ้ ช้รูปวิธานน้นั ได้เลือกว่าลักษณะของ
พืชที่นามาตรวจสอบนั้นตรงกับหัวข้อบรรยายใด ตัวอย่างเช่นหากรูปวิธานหัวข้อหน่ึงบอกวา่ มีใบเป็น
ใบเด่ียว ส่วนอีกหัวข้อบอกว่ามีใบเป็นใบประกอบ หากตัวอย่างพืชของเรามีใบเป็นใบเดี่ยว เราก็
วิเคราะห์ตามรูปวิธานน้ันไปเร่ือยๆ โดยความแตกต่างของข้อความที่นามาใช้ในการเปรียบเทียบ
ลักษณะของพืชโดยมีความแตกต่างเป็นคู่ๆน้ีจะเรียกว่า “couplet” ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะทาง
สัณฐานวิทยา ดังน้ันผู้ท่ีจะสามารถตรวจสอบชนิดของพืชได้ดี จาเป้นอย่างย่ิงที่จะต้องมีความ
เช่ยี วชาญในด้านสัณฐานวิทยาของพชื
ชนิดของรูปวธิ ำน
รปู วิธานที่ใช้ในการตรวจสอบเอกลักษณพ์ ชื มี 2 แบบ คอื
1. รูปวิธำนแบบเบ่ียง (indented key หรือ Yoked key) เป็นรูปวิธานท่ีใช้ลักษณะสาคัญ
บางอย่างของพชื มาแยกเป็นกลมุ่ ใหญ่ๆก่อน แล้วคอ่ ยเปรียบเทยี บลกั ษณะย่อยๆเป็นคๆู่ โดยการใช้ย่อ
63
หน้าถัดไปเรื่อยๆ เพื่อแสดงลาดับก่อนหลังของข้อความ จึงสามารถแสดงถึงความสัมพันธ์ทางสัณฐาน
วิทยาและความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของพืชแต่ละกลุ่มได้เป็นอย่างดี แต่มีข้อเสียคือ หัวข้อหลังๆ
ของพืชแต่ละชนิดจะมีพื้นท่ีในการบรรยายลักษณะน้อย ทาให้บางคร้ังต้องใช้การโยงหน้าเข้ามาช่วย
แตอ่ ยา่ งไรก็ตามวิธีการน้ีกเ็ ปน็ วิธกี ารที่นยิ มมากท่สี ดุ
ตวั อยำ่ งของ Indented key หรือ Yoked key
A.Fruit baccate ; anthers basifixed.
B. Ovary superior ; trees or shubs.
C. Flowers mostly bisexual
D. Anthers glabrous ; fruit few seeded………….………Ternstroemia
DD. Anthers hairy ; fruit many seeded.…………..…..…Adinandra
CC. Flowers unisexual, dioecious…………………..…………..………Eurya
BB. Ovary half inferior ; trees……………………………………………….………...Anneslea
AA. Fruit capsule ; anthers versatile
B. Capsule leathery ; seed not winged…………………………………..…….Pyrenaria
BB. Capsule woody ; seed winged and kidney shaped………………Schima
2. รูปวิธำนแบบหิ้ง (bracket key) เป็นรูปวิธานระบบเช่ือมโยงข้อความ ใช้เม่ือมีจานวนตัวอย่าง
พืชมากๆ โดยวางลักษณะตรงข้างเอาไว้ติดกันเป็นคู่ๆ โดยใช้ตัวเลขหรือตัวอักษรกากับอย่างต่อเน่ือง
และจะโยงหัวขอ้ ที่จะต้องดูเป็นลาดับถัดไปไว้ท่ีขอบขวาสุดของกระดาษ เพ่ือความประหยัดเน้ือท่ีและ
ความสะดวกในการตรวจสอบ เวลาพิจารณาลักษณะตรงข้ามในแต่ละลักษณะจะทาได้เร็วเพราะ
ลักษณะน้ันอยู่ติดกัน แต่จะเสียเวลาในการค้นหาหัวข้อท่ีจะต้องพิจารณาเป็นลาดับถัดไป เนื่องจาก
การกระจายของลักษณะทางสัณฐานวิทยาไม่ต่อเน่ือง การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างวงศ์พืช
ต่างๆจึงทาไดย้ าก
ตัวอยำ่ งของ Bracket key
1. Fruit baccate ; anther basifixed………………………………………………………. See No.2
1. Fruit capsular ; anther versatile………………………………………………………..See No.2
2.Ovary superior ; trees or shrubs…………………………………………………..……See No.3
2.Ovary half-inferior ; trees…………………………………………………………….………Anneslea
3. Flowers mostly bisexual……………………………………………………………………See No.4
3. Flowers unisexual ; dioecious…………………………………………………………..Eurya
4. Anther glabrous ; fruit few seeded……………………………….……………..….Ternstroemia
4. Anther hairy ; fruit many seeded…………………………………………..…………Adinandra
5. Capsule leathery ; seed not winged……………………………………… ……..Pyrenaria
5. Capsule woody ; seed winged and Kidney-shaped……………………... Schima
64
ข้นั ตอนกำรสังเกตพืชก่อนกำรใชร้ ปู วิธำน
1. ตรวจสอบวา่ พืชชนิดนน้ั เป็นพืชท่มี เี น้ือไม้ (Woody) หรือไม้ล้มลกุ (Herbaceous) ถา้ เปน็ ไมล้ ม้ ลกุ
ตรวจสอบวา่ เป็นแบบปีเดยี วหรอื หลายปี
2. สงั เกตดอกว่ามรี ูปทรงอย่างไร พร้อมทงั้ จานวนกลีบดอกและกลบี เลี้ยงดวู า่ เช่ือมติดกันหรอื แยก
ออกจากกนั
3. นบั จานวน Stamens ดูลกั ษณะและจานวนของ Filament และ Anthers ตาแหน่งการติดของ
anthers
4. นับจานวน Pistil, Styles และ Stigmas พร้อมท้งั ดูลักษณะ
5. Cross section ดรู งั ไข่ นบั จานวน locule ดูการตดิ ของ ovule ในแตล่ ะ locule ว่าตดิ แบบใด
6. long section ดอกไม้ แล้วดูตาแหน่งของรังไขว่ า่ เปน็ Supirior หรือ Inferior ovary
7. ดูลกั ษณะ รูปรา่ งของใบ การตดิ ของใบ และการวางตัวของเส้นกลางใบ
8. ดลู กั ษณะของผล
9. ลักษณะอ่ืนๆทน่ี อกเหนือ หรือพเิ ศษจากดอกไมช้ นิดอื่นๆ เช่น การมใี บประดบั
กำรเขยี นสตู รดอกหรอื แผนภำพดอก (Floral Formula and Floral Diagram)
การบรรยายลักษณะของพืชต่างๆในวงศ์ต่างๆ โดยเฉพาะพืชดอกนั้น บางครั้งการบรรยาย
ด้วยตัวอักษรจะทาให้ใช้เวลานานกว่าจะเข้าใจว่า พืชชนิดนั้นมีลักษณะดอกเป็นอย่างไร ดังนั้นใน
บางครั้งการสื่อสารดว้ ยสัญลักษณ์หรืออักษรข้ึนแทนจะทาให้สามารถส่ือสารได้ง่ายและกระชับข้นึ ซึ่ง
การใชส้ ญั ลักษณแ์ ทนพืชดอกทน่ี ิยมใชใ้ นปจั จุบนั มี 2 ลกั ษณะ คือ
1. สูตรดอก (floral formula) เป็นการบรรยายลักษณะของพืชดอกด้วยอกั ษรย่อ การลาดับ
ช้นั ของดอกไม้จะเขยี นเรียงจากชนั้ นอกสุดของดอกไม้ไปชั้นในสุด โดยเรยี งลาดบั จากซ้ายไปขวา ส่วน
แตล่ ะช้นั มีจานวนเท่าไหร่ จะแทนดว้ ยตัวเลขหรอื ตัวอกั ษร
2. แผนภาพดอก (floral diagram) คือการบรรยายลักษณะของพืชดอกด้วยสัญลักษณ์แทน
ชั้นของดอกแต่ละช้ัน การแสดงสัญลักษณ์จะแสดงให้เห็นการมองดอกไม้จากด้านบนลงมาด้านล่าง
(Top view)
สัญลกั ษณท์ ใ่ี ชใ้ นกำรเขยี นบรรยำย Floral Formula
สัญลักษณ์ ควำมหมำย คำแปล
B Bract
Ca / K / S Calyx, Sepal ใบรองดอก
Co / C / P Corolla, Petal กลีบดอกชัน้ นอก
S / A Stamen, กลบี ดอกชน้ั ใน
เกสรตวั ผู้
Androecium
P / G Pistil, Gynoecium เกสรตวั เมีย (รงั ไข)่
T Tepal, perianth กลีบดอกช้ันนอก และชัน้ ในมลี ักษณะเหมือนกัน
Z Zygomorphic กลีบดอกไม่เทา่ กัน
p Pappus กลบี ดอกชั้นนอกเป็นขน
การเรียงลาดบั B Ca Co S P หรอื B Ca Co A G
หรือ B K C AG
กำรแสดงลกั ษณะและจำนวน 65
1. วงกลีบดอกชั้นนอก ไมม่ ีกลีบดอกชนั้ นอก
มีกลีบดอกชั้นนอก 5 กลบี ไม่ตดิ กัน
Ca0 หมายถงึ มีกลีบดอกชน้ั นอก 5 กลีบ ตดิ กนั ขา้ งลา่ งเป็นหลอด
มกี ลีบดอกชั้นนอก 5 กลีบ ติดกนั ดา้ นบน
Ca5 หมายถึง มีกลบี ดอกชัน้ นอก 5 กลบี ไมต่ ดิ กัน ขนาดไมเ่ ทา่ กนั
มกี ลบี ดอกช้นั นอกเปน็ ขน มีจานวนมาก
Ca5 หมายถงึ มีกลบี ดอกชัน้ นอก 5 กลบี ไม่ตดิ กัน ขนาดไมเ่ ท่ากนั แต่
มีขนาดเท่ากนั เป็น 2 คู่ และ 1 กลบี ตา่ งออกไป
Ca5 หมายถงึ
มีกลีบดอกชนั้ ใน 5 กลบี ไมต่ ดิ กนั
Caz5 หมายถงึ มีกลีบดอกลกั ษณะเดยี วกัน 5 กลบี ไม่ตดิ กัน ถอื ว่าเปน็
กลีบดอกชั้นนอก
Cap หมายถงึ
ไม่มีเกสรตวั ผู้ (ดอกตวั เมีย)
Ca1+2+2 หมายถึง เกสรตวั ผ้มู ี 5 อนั ไม่ติดกัน
เกสรตัวผมู้ ี 5 อัน มกี า้ นเกสร (filament) ตดิ กนั
2. วงกลบี ดอกชนั้ ใน หมายถงึ เกสรตัวผมู้ ี 5 อัน มอี บั เกสร (anther) ตดิ กัน
หมายถึง เกสรตวั ผู้มี 4 อนั เกสรยาว 2 อัน สัน้ 2 อัน หรอื มรี ูปร่าง
Co ต่างกันเป็น 2 ชดุ
T5,Ca5Co0 เกสรตัวผมู้ ี 10 อัน มีกา้ นเกสรตดิ กัน 9 อนั อกี อนั แยก
เกสรตวั ผูม้ ี 5 อัน ไมต่ ดิ กัน มี 1 อันทีม่ ีอับเกสรติดอยู่
3. วงเกสรตัวผู้ หมายถงึ สว่ นอีก 4 อนั เป็นหมนั (sterile)
S0 หมายถึง เกสรตวั ผมู้ จี านวนมาก
S5 หมายถึง เกสรตัวผู้มี 6 อนั ติดอยูบ่ นชั้นกลบี ดอกช้ันนอกซึ่ง
หมายถึง ติดกันเป็นหลอดมี 6 กลีบ
S5 หมายถึง เกสรตัวผมู้ ี 4 อนั ติดอยู่กับกลบี ดอกชั้นในซงึ่ มี 5 กลีบ
S5 และเชื่อมตดิ กันเปน็ หลอด
S2+2 ไมม่ ีรงั ไข่
S1+9 หมายถงึ รงั ไขเ่ ปน็ ชนดิ อยู่เหนือส่วนอ่นื ของดอก มรี งั ไข่อนั เดียว
S1+4(staminode) หมายถงึ เป็ น syncarpus ภ ายใน มี 1 ช่อง (locule) และ 1
carpel
S∞ หมายถึง
Ca6S6 หมายถึง รังไขเ่ ป็นชนิดอยตู่ า่ กวา่ สว่ นอ่ืนของดอก มีรงั ไข่ 1 อัน
Co5S4 หมายถงึ
4.วงเกสรตัวเมยี /รงั ไข่
P0 หมายถงึ
P1:1 หมายถึง
1:3 หมายถึง
P
66
P 21:1 หมายถึง เป็ น syncarpus ภ ายใน มี 1 ช่อง (locule) และ 3
carpel
รังไขเ่ ป็นชนดิ อยู่เหนอื ส่วนอน่ื ของดอก มีรังไข่ 2 อัน
เป็น apocarpus ภ ายในมี 1 ช่อง (locule) และ 1
carpel
สญั ลกั ษณท์ ่ใี ชใ้ นกำรเขยี นแทนแผนภำพดอก (floral diagram)
Androeceum (Stamen)
จะแสดงด้วยวงกลมเล็กๆ 2 วงติดกัน ซึ่งเหมอื นกับ ลักษณะของ Anther Sac ในรูปตัดขวาง
ถ้ามีการเชือ่ มกนั ให้ลากเส้นเช่อื ม ถา้ เช่ือมกนั ที่ Anther ให้ลากเส้นเช่ือม ท่กี ะเปาะ แต่ถ้าเช่อื มกนั ท่ี
Filament ใหล้ ากเสน้ เปน็ เหมอื น Filament ลงมาเล็กนอ้ ย แลว้ จึงโยง เสน้ เชือ่ ม
= Androecium ประกอบดว้ ย 5 Stamen ไมต่ ดิ กนั
= Androecium ประกอบดว้ ย 5 Stamenและเชอื่ มติดกันเป็น Monadelphous
= Androecium ประกอบด้วย 5 Stamen และเปน็ Syngenesious
Gynoeceum (ovary)
Ovary ใช้ Diagram เป็นวงกลม โดยหากใช้เป็นเส้นรอบวงบางจะเปน็ ชนิด Superior ovary
และถ้าเส้นรอบวงเป็นเส้นหนาจะหมายถึง Inferior ovary และภายในวงกลมจะแสดงจานวน
Carpel และ Locule ดว้ ยรอยหยักและเส้นแบง่ ตัวอยา่ งเช่น
Pistil ทีป่ ระกอบด้วย 1 Locule, 1 Carpel (Simple Pistil)
Pistil ที่ประกอบด้วย 3 Locule, 3 Carpel(Compound Pistil)
Pistil ที่ประกอบดว้ ย 1 Locule, 3 Carpel(Compound Pistil)
สว่ นชัน้ วงอ่ืนๆของดอกจะแสดงด้วยสญั ลักษณ์ดงั ตอ่ ไปนี้
ตวั อยำ่ งกำรเขยี นสญั ลกั ษณ์แทนพชื ดอก
67
หมายถึง ดอกสมบูรณ์ (complete flower ) ท่ีประกอบไปด้วยกลีบดอกช้ันนอก (calyx) 5
กลีบเป็นอิสระ มีกลีบดอกชั้นใน (corolla) 5 กลีบ แต่ขนาดกลีบไม่เท่ากัน ติดกันท่ีฐาน มีเกสรตัวผู้
(stamen) 5 อัน แยกอิสระ มีรังไข่ชนิดอยู่ใต้ช้ันอ่ืนๆของดอก (inferior ovary) ท่ีมี 1 locule 3
carpels
หมายถึง ดอกสมบูรณ์ (complete flower ) ที่ประกอบไปด้วยกลีบดอกชั้นนอก (calyx) 5
กลีบติดกันท่ีฐาน มีกลีบดอกช้ันใน (corolla) 5 กลีบติดกันท่ีฐาน มีเกสรตัวผู้(stamen) 5 อัน แยก
อิสระ แต่ติดอยู่กับกลีบดอกชั้นใน มีรังไข่ชนิดอยู่เหนือช้ันอื่นๆของดอก (superior ovary:
hypogynous flower ) ทีม่ ี 3 locule 3 carpels
หมายถึง ดอกสมบูรณ์ (complete flower ) ที่ประกอบไปด้วยกลีบดอกชั้นนอก (calyx) 5
กลีบเปน็ อิสระ มีกลีบดอกชั้นใน (corolla) 5 กลีบเปน็ อิสระ มีเกสรตัวผู(้ stamen) 5 อัน แยกอสิ ระ มี
รังไขช่ นิดอยลู่ ่างชัน้ อืน่ ๆของดอก (Inferior ovary: Epigynous flower) ทม่ี ี 1 locule 1 carpels
หมายถึง ดอกสมบูรณ์ (complete flower ) ท่ีประกอบไปด้วยกลีบดอกชั้นนอก (calyx) 5
กลีบเป็นอิสระ มีกลบี ดอกช้ันใน (corolla) 5 กลีบเป็นอสิ ระ มีเกสรตัวผู(้ stamen) 10 อนั แยกเปน็ 2
กลุ่ม ยาว 5 อัน สั้น 5 อัน มีรังไข่ชนิดอยู่ติดฐานรองดอก (Perigynous flower) ท่ีมี 2 locule 2
carpels และทกุ สว่ นตดิ อยกู่ บั ฐานรองดอก (hypanthium)
68
บทท่ี 4 : พฤกษอนกุ รมวิธำน
เนอื้ หำกำรเรียนกำรสอน
ประวัตกิ ารจัดจาแนกพชื
ลาดับในการจัดหมวดหม่ขู องสิ่งมีชีวติ (Taxonomic category)
ช่ือวิทยาศาสตรแ์ ละความสาคัญของชอ่ื วทิ ยาศาสตร์
อนุกรมวิธานพืช (plant taxonomy) หรือ พฤกษอนุกรมวิธาน หมายถึง วิชาที่ศึกษา
เก่ียวกับพืชทางด้านการจัดจาแนกออกเป็นหมวดหมู่ (classification) การตรวจสอบเอกลักษณ์
ลกั ษณะ และการวินิจฉัยชอ่ื (identification) และการกาหนดหรอื การตั้งช่อื (nomenclature)
สิง่ มีชีวิตในโลกนี้มจี านวนมากนับลา้ นชนิด ในส่วนของจานวนชนิดพันธุ์พืช นักพฤกษศาสตร์
ไดป้ ระเมินว่า จานวนพืชในโลกมอี ยู่ประมาณ 500,000 ชนดิ โดยแบ่งออกเป็นพืชชั้นตา่ (พชื ทไ่ี ม่มที ่อ
ลาเลียง non-vascular plants) ประมาณ 240,000 ชนิด และเป็นพืชช้ันสูง (พืชที่มีท่อลาเลียง
vascular plants) ประมาณ 260,000 ชนิด (วีระชัย ณ นคร, 2539) อีกทั้งในแต่ละท้องท่ีอาจมีการ
เรียกชื่อส่ิงมีชีวิตชนิดเดียวกันแตกต่างกันไปตามแต่ละภาษา หรืออาจมีช่ือเดียวกันแต่หมายถึง
ส่ิงมีชีวิตต่างชนิดกันก็เป็นได้ เพ่ือความสะดวกในการนาส่ิงมีชีวิตมาศึกษาและใช้ประโยชน์ได้อย่าง
ถูกต้องตามต้องการ จึงมีความจาเป็นอย่างมากที่จะต้องมีหลักเกณฑ์เพ่ือป้องกันความสับสน เป็น
ส่ือกลาง สื่อความหมายให้เข้าใจได้ตรงกัน เม่ือกล่าวถึงส่ิงมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง ซ่ึงก็คือ วิชา
อนกุ รมวิธาน น่นั เอง
ประวัตขิ องพฤกษอนกุ รมวธิ ำน
การจัดหมวดหมู่ของพืชได้พัฒนาข้ึนมาเป็นลาดับ โดยเร่ิมตั้งแต่การจาแนกแบบง่าย
(artificial classification) ซ่ึงเป็นการจัดหมวดหมู่พืชตามความสะดวก โดยพจิ ารณาจากลกั ษณะทาง
สัณฐานวิทยาเพียงลักษณะเดียว หรือสองสามลักษณะเท่าน้ัน เช่น การจาแนกตามลักษณะของใบ
เลี้ยง เป็นพืชใบเล้ียงเดี่ยวกับพืชใบเลี้ยงคู่ หรือพืชที่ไม่มีท่อลาเลียง กับพืชท่ีมีท่อลาเลียง เป็นต้น
ต่อมาจึงพัฒ นาเป็นการจัดหมวดหมู่โดยระบบ การจาแนกแบบหลายลักษณ ะ (natural
classification) ซ่ึงเป็นการจัดหมวดหมู่พืชโดยการพิจารณาลักษณะต่างๆทางสัณฐานวิทยาของพืช
เท่าที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันน้ีเท่านั้น ไม่ได้ศึกษาถึงลักษณะที่ต่อเนื่องทางพันธุกรรม จากน้ัน
ระบบการจาแนกจึงพัฒ นามาเป็นระบบท่ีเรียกว่าการจาแนกตามวิวัฒ นาการชาติพันธุ์
(phylogenetic classification) ซึ่งเป็นระบบการจาแนกที่ศึกษาถึงวิวัฒนาการ โดยการพิจารณาถึง
ความสมั พันธท์ างพันธกุ รรมของพชื เปน็ สาคัญ
โดยเม่ือพิจารณาจากรระบบการจาแนกพืชออกเป็นกลุ่มต่างๆนั้นทาให้เราสามารถแบ่ง
พฒั นาการของพฤกษศาสตร์อนุกรมวธิ านออกได้เป็น 4 สมัย (Lawrence, 1971) คอื
สมัยที่ 1 กำรจำแนกบนพ้ืนฐำนวิสัยพืชแบบง่ำย (classification based on habit
and early artificial syste)
สมัยน้ีการจัดหมวดหมู่พืชใช้การพิจารณาจากวิสัยพืช (Habit) เพียงอย่างเดียว เช่น
การแบ่งพืชเป็น ไม้ยืนต้น (Tree) ไม้พุ่ม (Shrub) ไม้ล้มลุก (Herb) และ ไม้เล้ือย (Climber) เป็น
ระบบที่นักพฤกษศาสตร์ชาวกรีกนามาใช้เป็นคร้ังแรกและเป็นท่ีแพร่หลายในระหว่าง 300 ปีก่อนคริ
69
สตศักราชจนถึงประมาณกลางศตวรรษที่ 18 ถือเป็นต้นแบบของระบบการจาแนกพืชแบบ Artificial
System โดยนักพฤกษศาสตร์คนสาคญั ที่ใช้ระบบการจาแนกพชื แบบน้ีคอื Theophrastus (370-287
B.C.) ซ่งึ ถือวา่ เป็น “บิดาแหง่ วิชาพฤกษศาสตรข์ องโลก”
สมัยที่ 2 กำรจำแนกแบบง่ำยบนพ้ืนฐำนของจำนวน (artificial system based on
numerical classification)
เป็นการจัดหมวดหมู่พืชโดยการพิจารณาจานวนของส่วนของดอกเป็นสาคัญ สมัยนี้
อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยนักพฤกษศาสตร์ท่ีสาคัญที่ใช้ระบบน้ีคือ Carolus Linnaeus (1707-
1778) ซึ่งเป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ซ่ึงได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งอนุกรมวิธานของพืช
และสัตว์” เป็นผู้วางรากฐานของการจัดหมวดหมู่พืชและสัตว์ โดยได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “Species
Plantarum” (1753) ซึ่งได้บรรยายลักษณะพืชเอาไว้ประมาณ 7,500 Species โดยจัดแบ่งตาม
ระบบ Sexual System ซง่ึ แบ่งพืชออกเป็น 24 Classes โดยพจิ ารณาจากจานวนและการติดกนั ของ
เกสรตัวผู้ และจาก Class แบ่งเป็น Order โดยอาศยั จานวนของเกสรตวั ผใู้ นแตล่ ะดอก
สมัยท่ี 3 กำรจำแนกจำกควำมสัมพันธ์ (system based on form relationships)
เป็นการจัดหมวดหมู่พืชโดยที่ พิจารณาจากความสัมพันธ์ของลักษณะทางสัณฐาน
วิทยาหลายๆลักษณะร่วมกัน ถือเป็นยุคของ Natural system อยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ต่อ
ศตวรรษที่ 19 นักพฤกษศาสตร์ผู้วางรากฐานของระบบนี้คือ ตระกูล De Jussieu ชาวฝรั่งเศส และ
ตระกลู De Candolle ชาวสวิตเซอร์แลนด์ แต่ผทู้ ่ีสามารถจัดแบ่งพืชตามระบบ Natural system ได้
สมบูรณ์ที่สุดคือ George Bentham (1800-1884) และ Joseph Dalton Hooker (1817-1911)
นกั พฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ซึ่งร่วมกันเขยี นหนงั สือเรื่อง “Genera Plantarum” (1862-1883) เป็น
หนังสือที่ได้จัดแบ่งพืชตามแนวของ Natural system โดยมีการบรรยายลักษณะ Genus ของพืชท่ี
สมบรู ณแ์ ละถกู ตอ้ ง พชื ทีน่ ามาศึกษาสว่ นใหญ่ได้มาจากพพิ ธิ ภณั ฑ์พืชของอังกฤษ
สมยั ที่ 4 กำรจำแนกตำมวิวัฒนำกำรชำตพิ ันธ์ุ (system based on phylogeny)
เป็นการจัดหมวดหมู่พืชโดยการพิจารณาสายสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ ซ่ึงได้รับ
อิทธิพลโดยตรงจากทฤษฎีวิวัฒนาการของ Charles Darwin ซ่ึงไดตีพิมพ์ในหนังสือ “The Origin of
Species” (1859) โดยระบบการจาแนกพืชแบบน้ีจะเน้นเร่ืองความสัมพันธ์ของพันธุกรรมและบรรพ
บรุ ุษเป็นหลัก โดยถือวา่ ส่ิงมีชีวิตทุกชนิดมาจากบรรพบุรุษเดียวกันแล้วพัฒนาตัวเองออกไปในทิศทาง
ที่แตกต่างกันออกไปและยงั คงพัฒนาไปเรื่อยๆ ทาให้ได้ส่ิงมีชีวิตท่ีหลากหลายและบ้างก็ได้สูญพันธ์ไป
แล้ว สาหรับพืชนั้นพืชที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันก็ควรมีบรรพบุรุษเดียวกันและพัฒนาไปในทิศทาง
เดียวกันโยอาจมีลักษณะร่วมท่ีสาคัญเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อย การ
พจิ ารณาลกั ษณะทางสัณฐานวิทยาเพื่อจัดจาแนกพชื จงึ มุ่งประเดน็ ไปที่ลักษณะด้อยพัฒนา (Primitive
or unspecialized) กับพัฒนาสูง (Advance or specialized) โดยเปรียบเทียบกับลักษณะเดิมที่
ปรากฏมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ท้ังน้ีเพราะอัตราการเกิดวิวัฒนาการ (Rate of evolution) ของลักษณะ
แตล่ ะอย่างในพืชแต่ละชนดิ น้นั จะมไี ม่เทา่ กนั
นักพฤกษศาสตร์คนสาคัญท่ีใช้ระบบการจาแนกพืชแบบน้ีคือ August Wilhelm
Eichler (1839-1887) ชาวเยอรมัน และนักพฤกษศาสตร์รุ่นต่อมาอีกหลายท่าน ท่ีเสนอแนวคิดการ
จัดหมวดหมู่พืชโดยอาศัยสายพันธ์ุวิวัฒนาการ ซ่ึงที่สาคัญท่ียังคงใช้จนปัจจุบันมีอยู่ 2 แนวคิด คือ
Englerian school และ Ranalian school
70
1. Englerian school มีนักพฤกษศาสตร์ท่ีสาคัญคือ Adolf Engler (1844-1930) และ
Karl Prantl (1849-1893) ชาวเยอรมัน ซ่ึงได้ปรับปรุงงานของ Eichler สามารถให้ระเอียดทาง
สัณฐานวิทยาและกายวิภาค มีรูปวิธาน (Key) ในการจาแนกพืชที่ทันสมัย ครอบคลุมพืชพันธ์ุไม้ส่วน
ใหญ่ของโลก แนวคิดน้ีถือว่าพืชดอกท่ีด้อยพัฒนาจะอาศัยลมในการช่วยผสมเกสร (Wind-
pollination or anemophilous) แ ล ะ ไม่ มี ก ลี บ ด อ ก ท้ั งเช่ื อ ว่ าบ ร ร พ บุ รุษ ข อ งพื ช ด อ ก
(Angiosperms) คือพืชแบบ Unisexual และไม่มีกลีบดอก (Apetalous) ซึ่งพัฒนามาจากกลุ่มพืช
เมล็ดเปลือย (Gymnosperms) รวมทั้งระบบนี้ได้จัดให้พืชใบเลี้ยงเดี่ยวด้อยพัฒนากว่าพืชใบเล้ียงคู่
พชื ไม่มกี ลบี ดอกดอ้ ยพฒั นากวา่ พืชมีกลีบดอก และจัดให้พชื ท่ีมชี ่อดอกแบบ Catkin เปน็ ลกั ษณะด้อย
พฒั นากวา่ พชื ทม่ี ีช่อดอกแบบอนื่ ๆ โดยพืชใบเลยี้ งคูท่ ีด่ อ้ ยพฒั นาท่สี ดุ คอื พืชในสกุล Amentiferae
จากระบบการจาแนกดังกล่าวทาให้ Engler & Prantl ได้จัดแบ่งอาณาจักรพืชออกเป็น 14
Division ดังน้ี
1. Schizophyta 2. Myxomycetes
3. Flagellatae 4. Dinoflagellatae
5. Heterocontae 6. Bacillariophyta
7. Conjugatae 8. Chlorophyceae
9. Chlorophyta 10. Phaeophyceae
11. Rhodophyceae 12. Eumycetes
13. Archegoniatae 14. Embryophyta Siphonogama
Subdivision 1 : Gymnospermae
Subdivision 2 : Angiospermae
2. Ranalian school มีนักพฤกษศาสตร์ท่ีสาคัญคือ Charles Edwin Bessey (1845-
1915) ซึ่งเป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันคนแรกที่เสนอแนวความรู้ทางความสัมพันธ์ของพืชและ
การจัดหมวดหมพู่ ืชที่ถอื เป็นระบบแรกทเี่ ป็น Phylogenetic ท่ีแทจ้ รงิ เป้นการนาเอาระบบการศึกษา
ของ Bentham & Hooker มาปรับปรุงใหม่ให้เป้นความสัมพันธ์ทางวิวฒั นาการท่ีเรียกวา่ Besseyan
system ซึ่งได้บรรยายาลักษณะด้อยพัฒนาและลักษณะที่พัฒนาการสูงเอาไว้รวม 28 ข้อเรียกว่า
“Bessey’s dicta” พร้อมทั้งสร้างแผนผังแสดงความสัมพันธ์ของ order พืช โดยยึดเอาพืชใบเลี้ยงคู่
ใน order Ranales เปน็ กลุ่มพนื้ ฐานที่มีพฒั นาการต่าสุด แลว้ ทั้งพืชใบเล้ียงคู่และใบเลี้ยงเดย่ี วก็มีการ
พัฒนาไปจากพืช Ranales และถือวา่ พืชใบเล้ยี งเด่ียว order Alismatales มีวิวฒั นาการมาจากพชื ใน
กลมุ่ herbaceous Ranales
71
ภำพที่ 4.1 แสดง Bessey’s cactus บอกความสัมพนั ธต์ ามววิ ฒั นาการของพชื
ตามแนวคิดของ Bessey
ท่ี ม า : SIUC / College of Science / Elements of Plant Systematics. Bassey’s cactus.
www.plantbiology. siu.edu/PLB304/HistTaxon.html. [online]. 2011
นอกจากน้ีเขายงั เสนอว่าพืชดอกทง้ั หมด (Angiosperm) ได้วิวฒั นาการมาจากพืชพวกปรงซึ่ง
เป็นพืชในกลุ่มเมล็ดเปลือย (Gymnosperm) รวมท้ังถือว่าพืชดอกที่อาศัยแมลงในการช่วยผสมเกสร
(insect-pollination or entomophilous) เป็นลักษณะที่ด้อยพัฒนา และจัดเรียงพืชใบเลี้ยงคู่มา
ก่อนพชื ใบเลี้ยงเด่ียว
จากแนวคิดท้ังของ Engler & Prantl และ Bessey น้ันเราไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าระบบ
การจาแนกของใครถูกต้องที่สุดเพราะท้ังสองแนวคิดมีหลักฐานสนับสนุนและข้อโต้แย้งที่มีลักษณะ
พอๆกัน อย่างไรก็ตามสาหรับ Bessey’s dicta นั้นเมื่อผ่านการปรับปรุงในภายหลังแล้วก็มีลักษณะ
หลายประการที่นามาใช้เป็นหลักในการพิจารณาความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการ (Phylogeny) ของพืช
ดังเชน่
พชื ดอกประเภทไมพ้ ุ่มและไม้ยืนต้นเป็นลักษณะเก่ากว่า (primitive) ไม้พมุ่ และไมเ้ ล้ือย พืช
ท่ีมีอายุ 2 ฤดูเปลี่ยนแปลงจากพืชหลายฤดู และพืชฤดูเดียวเปล่ียนมาจากทั้งพืช 2 ฤดูและ
พืชหลายฤดู
พืชดอกในกลุ่มท่ีมีท่อลาเลียงน้าและอาหารของลาต้นเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบแบบท่ีพบใน
พชื ใบเลี้ยงคู่เป็นลักษณะเก่ากว่าพืชท่ีมีท่อลาเลียงน้าและอาหารกระจดั กระจายแบบที่พบใน
พืชใบเล้ยี งเดีย่ ว
ใบเดี่ยวเป็นลักษณะเก่ากว่า ใบประกอบ ใบที่เรียงตัวแบบ alternate จะ primitive กว่า
แบบ opposite หรือ แบบ whorled
72
ดอกชนิด Bisexual เกิดมาก่อนดอกชนิด Unisexual และลักษณะแยกเพศแบบดอกแยก
เพศอยู่รว่ มตน้ (monoecious) จะเป็นลักษณะเกา่ กว่าลกั ษณะแยกเพศแบบดอกแยกเพศอยู่
ต่างตน้ (dioecious)
ส่วนประกอบของดอก เช่น กลีบเล้ียง กลีบดอก เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย ที่มีจานวนมากหรือ
แยกจากกันเป็นลักษณะเก่ากว่าพวกมีจานวนน้อยหรือติดกัน และการเรียงตัวของกลีบดอก
แบบ Spiral และ Imbricate จะเป็นลักษณะเก่ากว่าการเรียงตัวแบบ Whorled และ
Valvate
ดอกชนิด Hypogyny (superior ovary) จะเป็นลักษณ ะเก่ากว่าดอกแบบ Epigyny
(inferior ovary)
ผลเดี่ยวเป็นลักษณะเก่ากว่าผลกลุ่มและผลรวม ส่วนผลแบบ Capsule จะเป็นลักษณะเก่า
กวา่ กว่าแบบ Drupe หรอื Berry
จากลักษณะของวิวัฒนาการดังกล่าวเราจะเห็นว่าการววิ ัฒนาการของพชื จะเกดิ ขน้ึ ใน 4 ลกั ษณะคือ
1. การลดจานวน (Reduction) 2. การเชอ่ื มตดิ กัน (Fusion)
3. การเปล่ียนรูปรา่ ง (Elaboration) 4. การเปล่ยี นสมมาตร (Change of symmetry)
สาหรับการจัดหมวดหมู่พืชในปัจจุบันนั้นจะยึดแนวทางของ Phylogenetic system เป็นหลัก
(อาจเป็น Englerian school หรือ Ranalian school แล้วแต่กรณี) และผสมผสานด้วยระบบ
Natural system โดยมีหลักเกณฑท์ ใี่ ช้ในการจดั จาแนกพชื ดังน้ี
1. ลักษณะทางสัณฐานวิทยา (Morphology) และกายวิภาค (Anatomy) ท้ังที่เป็น Homologous
และ Analogous structure
2. แบบแผนและลักษณะการเจริญเติบโตของตัวออ่ น (Embryology)
3. สายความสมั พนั ธ์ทางววิ ฒั นาการ (Evolution)
4. ลักษณะและการถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Genetic)
5. ขบวนการทางสรีรวิทยา การสบื พันธุ์ การดารงชีพ การกระจายพนั ธุ์ และพฤตกิ รรม
6. สารเคมที ส่ี รา้ งขึน้
ลำดบั ในกำรจดั หมวดหมู่ของสิง่ มชี ีวติ (Taxonomic category)
การจัดจาแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ มีลาดับขั้นจากกลุ่มใหญ่ลงไปหากลุ่มเล็กจนถึง
ระดับสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด แต่ละลาดับข้ันเรียกว่า Taxonomic rank หรือ Taxonomic unit
(Taxon, Taxa (pl.)) ดังน้ี
Unit of Classification
Kingdom (Plant Kingdom)
Division (Phylum)…………………………………………………….………….….. (-ophyta)
Subdivision…………………………………………..………………………………(-mae)
Class………………………………………………………..…………………….(oneae)
Subclass……………………………………………………...………….……..(-deae)
Order……………………………………………….…………....……..(-ales)
Suborder…………………………………………………………...(-ineae)
Family………………………………………………..….…….(-aceae)
73
Subfamily…………………………………………….……..(-oideae)
Tribe…………………………………………………….….(-eae)
Subtribe…………………………………………….……(inae)
Genus
Subgenus
Section
Subsection
Series
Subseries
Species (sp.)
Subspecies (spp.)
Varietas (var.)
Subvarietas (subvar.)
Forma (f.)
Clone (cl.)
หมายเหตุ : วงศ์ (Family) ของพืชน้ันส่วนใหญ่แล้วจะลงท้ายชื่อวงศ์ด้วย –aceae ยกเว้น 8 วงศ์ ท่ี
ไม่เป็นไปตามกฎ ICBN แต่เน่ืองจากเป็นช่ือเก่าที่นิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว จึงยัง
อนุโลมให้ใชช้ อ่ื เกา่ ได้ คอื
1. Palmae (Arecaceae) 2. Cruciferae (Brassicaceae)
3. Gramineae (Poaceae) 4. Umbelliferae (Apiaceae)
5. Guttuferae (Clusiaceae) 6. Labiatae (Lamiaceae)
7. Leguminosae (Fabaceae) 8. Compositae (Asteraceae)
ตัวอย่างการจัดจาแนกพืชถึงลาดับชนิดของ จาปี (Michelia alba DC.) จาปา (Michelia
champaca L.) มณฑาดอย (Manglietia garrettii Craib) และยี่หุบ (Magnolia coco (Lour.)
DC.)
พืชทงั้ สชี่ นิดน้ีมีลักษณะรว่ มกนั จึงได้ถูกจัดใหอ้ ยู่ในกลมุ่ เดียวกัน กล่าวคือ
- เป็นพชื จัดอยู่ในอาณาจกั รพชื (Kingdom Plantae)
-เป็นพืชท่ีมีระบบท่อลาเลียงน้าและอาหาร และมีดอก จัดอยู่ในหมวดพืชมีดอก (Division
Magnoliophyta)
-เป็นพืชที่มีระบบท่อลาเลียงน้าและอาหาร มีดอก และต้นอ่อนมีใบเล้ียง 2 ใบ จัดอยู่ในชั้น
พืชใบเลีย้ งคู่ (Class Magnoliopsida)
- เป็นพืชที่มีระบบท่อลาเลยี งน้าและอาหาร มีดอก ตน้ อ่อนมีใบเล้ียง 2 ใบ และมีกลบี ดอกซึ่ง
แต่ละกลีบแยกเป็นอิสระต่อกัน จัดอยู่ในอันดับพืชกลุ่มจาปี จาปา มณฑา ย่ีหุบ กระดังงา
สายหยดุ (Order Magnoliales)
- เป็นพืชที่มีระบบท่อลาเลียงน้าและอาหาร มีดอก ต้นอ่อนมีใบเลี้ยง 2 ใบ มีกลีบดอกซ่ึงแต่
ละกลีบแยกเป็นอิสระต่อกนั และกลีบเลี้ยงไม่สามารถแยกออกได้ชัดเจนจากกลีบดอก จัดอยู่
ในวงศจ์ าปี จาปา มณฑา ย่หี บุ (Family Magnoliaceae)
74
- เป็นพืชที่มีระบบท่อลาเลียงน้าและอาหาร มีดอก ต้นอ่อนมีใบเล้ียง 2 ใบ มีกลีบดอกซ่ึงแต่
ละกลีบแยกเป็นอิสระต่อกัน กลีบเล้ียงไม่สามารถแยกออกได้ชัดเจนจากกลีบดอก ดอก
ออกเป็นดอกเดี่ยวท่ียอด และมีไข่อ่อนจานวน 4 เมล็ดหรือมากกว่าในแต่ละรังไข่ จัดอยู่ใน
สกุลมณฑา (Genus Manglietia) ถ้าดอกออกเป็นดอกเดี่ยวท่ียอดเช่นกัน แต่มีไข่อ่อน
จานวน 2 เมล็ดในแต่ละรังไข่ จัดอยู่ในสกุลยี่หุบ (Genus Magnolia) แต่ถ้าดอกออกเป็น
ดอกเด่ยี วทซี่ อกใบ จะจดั อย่ใู นสกุลจาปี จาปา (Genus Michelia)
ถึงแม้ว่า จาปี และ จาปา จะมีลักษณะส่วนใหญ่ร่วมกัน และถูกจัดให้อยู่ในสกุลเดียวกัน
เนื่องจากมีลักษณะร่วมกันมากกว่ามณฑาดอย และยี่หุบ แต่ก็ยังคงมีความแตกต่างกันจึงไม่ได้ถูกจัด
ให้เปน็ ชนิดเดียวกัน
เม่ือนา จาปี จาปา มณฑาดอย และยห่ี ุบ มาเขยี นเรยี งเปน็ หมวดหมจู่ ะจัดจาแนกได้ดงั นี้
อาณาจักร (Kingdom) พชื (Plantae)
หมวด (Division) พืชมดี อก (Magnoliophyta)
ชั้น (Class) พชื ใบเลย้ี งคู่ (Magnoliopsida)
อนั ดบั (Order) พืชกลุ่มจาปี จาปา มณฑา กระดังงา สายหยุด (Magnoliales)
วงศ์ (Family) จาปี จาปา มณฑา ยห่ี ุบ (Magnoliaceae)
สกลุ (Genus) จาปี จาปา (Michelia) , มณฑา (Manglietia) , ยหี่ บุ (Magnolia)
ชนิด (Species) จาปี (Michelia alba DC.) ,จาปา (Michelia champaca L.)
มณฑาดอย (Manglietia garrettii Craib) ,ยีห่ บุ (Magnolia coco (Lour.) DC.)
กำรตรวจสอบเอกลักษณ์ ลกั ษณะ และวนิ ิจฉยั ช่ือพืช (Plant Identification)
หมายถึง การวิเคราะห์ว่าพืชชนิดนั้นๆมีลักษณะอย่างไร และมีช่ือเรียกว่าอะไร ซึ่งสามารถ
ตรวจสอบได้หลายวิธี เชน่
- เปรยี บเทยี บกบั ตัวอย่างของพืชซึง่ มกี ารระบชุ ่ือท่ถี ูกตอ้ งและเก็บเปน็ ตวั อย่างอา้ งองิ ไวใ้ นหอ
พันธ์ุไม้หรือพิพิธภัณฑ์พืชว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่ โดยพิจารณาจากรูปพรรณทั้งหมดว่าเหมือนกัน
หรือไม่
- ตรวจสอบกับเอกสารทางอนุกรมวิธาน (Flora, Manual, Monograph, Revision) โดยใช้
รปู วธิ าน (Identification key) และตรวจสอบกับคาบรรยายลักษณะ (Description) ว่ามลี ักษณะตรง
กับพืชชนดิ ใด
- สอบถามจากนกั อนกุ รมวธิ าน หรอื ผ้เู ชย่ี วชาญ
ตัวอย่างรูปวิธานในการตรวจสอบพชื วา่ เปน็ จาปี จาปา มณฑาดอย หรือ ยี่หุบ
1. ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวทยี่ อด
2. มไี ขอ่ ่อนจานวน 4 เมล็ดหรือมากกว่าในแตล่ ะรังไข่ มณฑำดอย
2. มไี ข่อ่อนจานวน 2 เมลด็ ในแตล่ ะรังไข่ ยี่หบุ
1. ดอกออกเปน็ ดอกเดี่ยวทีซ่ อกใบ
3. ดอกสขี าว จำปี
3. ดอกสีสม้ หรือสเี หลือง จำปำ
75
ชือ่ วทิ ยำศำสตรแ์ ละควำมสำคญั ของชอื่ วิทยำศำสตร์
ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของชอ่ื วทิ ยำศำสตรพ์ ชื
การกาหนดหรือการตั้งชื่อพืช (plant nomenclature) หมายถึง การกาหนดใหพ้ ืชชนิดน้ันๆ
มีชื่อเรียกว่าอะไร นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการประมวลรายชื่อพืชที่มีการตั้งไว้แล้วว่าเป็นช่ือที่ซ้าซ้อน
กันหรือไม่ ชื่อวิทยาศาสตร์ (scientific name) ถือเป็นสื่อกลาง เพื่อทาให้เข้าใจว่าส่ิงมีชีวิตที่กาลัง
ศึกษาหรือกล่าวถึงน้ันมีลักษณะอย่างไรกันแน่ เช่น น้อยหน่า ซ่ึงเป็นช่ือท่ีคนไทยเรียกผลไม้ชนิดหน่ึง
แต่คนชาติอ่ืนเรียกชื่อของผลไม้ชนิดนี้แตกต่างกันออกไป โดยที่ อินเดีย เรียก สิตผล ญ่ีปุ่น เรียก
ปันเรฮิชิ จีน เรียก ฟานลิซ้ี (พังไหล) เขมร เรียก เตียบ ลาว เรียก หมักเขียบ ญวน เรียก กวาหนา
มลายู เรียก พอนา อังกฤษ เรียก Custard apple หรือ Sugar apple แต่ถ้าเป็นช่ือวิทยาศาสตร์ จะ
มีเพียงช่ือเดียวเท่าน้ันคือ Annona squamosa L. หรือพืชซ่ึงมีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Samanea
saman (Jacq.) Merr. แต่มีช่ือเรียกในภาษาไทยหลายช่ือ เช่น จามจุรี ฉาฉา และก้ามปู เมื่อดู
ตัวอย่างพันธุ์ไม้ท่ีเก็บมาจะทราบได้ทันทีว่าพืชเหล่าน้ีเป็นชนิดเดียวกัน และในกรณีของพืชที่มีช่ือใน
ภาษาไทยว่า รัก ซ่ึงอาจหมายถึงพืชหลายชนิด เช่น รัก (Gluta usitata (Wall.) Ding Hou) เป็นพืช
ที่ให้ยาง ใช้ในการทาเครื่องเขิน หรือ รัก (Calotropis gigantea (L.) Dryander ex W.T. Aiton)
เปน็ พชื ทีน่ าดอกมาร้อยมาลยั เมอ่ื ดตู วั อยา่ งพันธไุ์ มท้ ่ีเกบ็ มาจะทราบไดว้ ่าเปน็ พชื คนละชนิดกนั
ในสมัยโบราณการกาหนดช่ือวิทยาศาสตร์ของพืชไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนจนกระท่ังถึง ค.ศ.
1753 Carolus Linnaeus นักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนได้ตีพิมพ์หนังสือช่ือ “Species Plantarum”
ซึ่งกาหนดเรียกช่ือพืชในระบบ Binomial system ไว้อย่างดีนับเป็นจุดเริ่มต้นของการกาหนดช่ือพืช
ตามระบบสากลของ International Code of Botanical Nomenclature (ICBN) ต่อมาได้มีการจัด
ประชุมทางพฤกษศาสตรก์ ันอีกหลายครงั้ จนสามารถวางกฎเกณฑ์การกาหนดชื่อสากลท่เี ปน็ ที่ยอมรับ
กนั ทั่วโลก ได้เมอื่ ค.ศ.1930 โดยมีผลบงั คับยอ้ นหลงั ตง้ั แต่วนั ท่ี 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1753 เป็นตน้ มา
หลกั เกณฑใ์ นกำรต้งั ชอ่ื
ปัจจุบันนักอนุกรมวิธานทั่วโลกได้ใช้ระบบการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ตามหลักสากลที่มีการ
ยอมรบั ท่วั ไป โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ดงั นี้
1. เพื่อแสดงลาดบั และความสมั พนั ธ์ของสิง่ มีชวี ิต
2. เพื่อให้สิ่งมชี วี ติ มชี วี ิตมชี ือ่ วิทยาศาสตรท์ ่ีถกู ต้องแนน่ อน
3. เพื่อกาจัดชื่อผดิ สบั สน คลุมเครือ หรือชอ่ื ทม่ี ีปัญหาให้หมดไป
4. เพ่ือเปน็ แนวทางในการต้ังช่ือสงิ่ มีชีวติ ที่พบใหม่
ระบบการตง้ั ช่ือวทิ ยาศาสตร์ตามหลกั สากล มีหลกั เกณฑ์ดังน้ี
1. ชื่อวิทยาศาสตรข์ องพืชและสัตว์ ต่างเป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่แก่กัน ดังนั้นชื่อของพืชมีโอกาสท่ีจะ
ซา้ กับช่ือของสัตวไ์ ด้
2. ในการกาหนดชื่อของพืชใดๆตอ้ งมีตัวอย่างพืชเป็นแบบฉบับมาพิจารณาประกอบการกาหนด
ชอื่ ช้ันด้วย ตัวอย่างพืชท่ีเป็นต้นฉบับน้ันเรียกว่า “Nomenclature type” หรอื “Type” ซ่ึง
ตอ้ งมีเลขทะเบยี น (Reference Number) ตามระบบสากลและสามารถตรวจสอบได้
3. ช่ือของตัวอย่างจะต้องพิจารณ าให้เป็นลาดับก่อนหลังของการพิมพ์ (Priority of
publication) โดยช่ือท่ีถูกต้องตามกฎต้องเป็นชื่อที่ได้ตีพิมพ์เป็นคร้ังแรกสุดโดยถูกต้องตาม
กฎของ ICBN ซึง่ กาหนดวนั ที่ 1 พฤษภาคม 1753 เป็น Priority แรก
76
4. ช่ือวิทยาศาสตร์ในแต่ละลาดับต้องมีชื่อท่ีถูกต้องตามหลักเกณฑ์การตั้งช่ือเพียงช่ือเดียว
เทา่ นน้ั เว้นแตม่ ีกรณพี เิ ศษ
5. ช่ือวิทยาศาสตร์ต้องเป็นภาษาลาติน หรือดัดแปลงภาษาอ่ืนให้เป็นภาษาลาติน (Latinized
spelling)
6. ช่ือวิทยาศาสตร์ทุกลาดับตั้งแต่ระดับวงศ์ (family) ข้ึนไป จะต้องมีกฎในการกาหนดคาลง
ทา้ ยชอ่ื เช่นวงศ์ของพชื ลงท้ายด้วย -aceae วงศ์ของสัตว์ ลงท้ายด้วย –idae
7. การต้ังช่ือชนิดใช้ระบบทวินาม (Binomial nomenclature) ซึ่งประกอบด้วยชื่อสกุล
(generic name) เป็นช่ือหน้า และชื่อที่แสดงคุณลักษณะ (specific epithet หรือ specific
name) เปน็ ชอื่ หลัง ชือ่ ชนดิ ตอ้ งเขียนเป็นอกั ษรเอน หรอื ขีดเส้นใต้
องคป์ ระกอบของชื่อวิทยำศำสตร์ของพชื ตำม Binomial System
ชอื่ วทิ ยาศาสตรข์ องพืชแต่ละชนิดประกอบด้วย 3 สว่ น คือ
1. Generic name (ชื่อสกุล)
2. Specific epithet (ช่อื ตัว)
3. Author citation (การอา้ งช่อื ผู้ต้ังช่อื พชื )
Generic name จะมีลักษณะ ดงั น้ี
1) เปน็ คานามเอกพจน์หรอื ศัพท์ที่แปลงเปน็ คานามภาษาลาตนิ
2) อกั ษรตัวแรกเรม่ิ ดว้ ยอักษรตวั ใหญ่ (Capital latter)
3) ต้องเป็นคา 1 คา ห้ามเชื่อมด้วย hyphen (-)
4) เขียนสะกดเต็มคาครั้งเดียว หลังจากนั้นถ้ามีการอ้างถึงพืชชนิดนี้อีกหรือพืชชนิด
อื่นๆในสกุลนี้ ในบทความอันเดียวกันนี้อีกก็สามารถย่อด้วยตัวใหญ่ตัวแรกตัวเดียว
แลว้ ตามด้วยจุด แต่ต้องระวงั การสับสนกบั พืชชนดิ อ่ืนที่ขึ้นตน้ ตวั แรกเหมอื นๆกนั
5) ชื่อ Genus เป็นชื่อท่ีดัดแปลงมาจากช่ือคน ลักษณะพิเศษ หรือข้อมูลบางชนิด
เกีย่ วกับพืชสกลุ น้นั รวมถงึ คาศพั ท์โบราณในบางภาษาท่ีร้จู กั กันอย่างแพร่หลาย
Specific epithet จะมีลักษณะ ดงั นี้
1) มักเป็นคาคุณศัพท์ (Adjective) เพ่ือบอกลักษณะพิเศษบางประการของพืชชนิดน้ัน
หรือเปน็ คานาม โดยระบุเพศตามช่อื สกลุ ตามหลกั ไวยากรณต์ ามภาษาลาตนิ
2) โดยมากใช้เป็นคา 1 คา ถ้าใช้ 2 คาตอ้ งเชื่อมดว้ ย hyphen
3) ช่ือ specific epithet ต้องใช้อักษรตัวเลก็
4) เป็นชื่อที่ดัดแปลงมาจากชื่อคน ชื่อประเทศ แหล่งทางภูมิศาสตร์ คาศัพท์โบราณ และ
ขอ้ มลู ทเี่ ก่ียวกับลกั ษณะสาคัญของพชื ชนิดน้นั ๆ
5) ชือ่ specific epithet ของพืชแต่ละชนดิ ทอ่ี ยู่ตา่ ง genus กันอาจซา้ กันได้ (แตช่ ื่อของแต่
ละ genus ห้ามต้ังซ้ากันอย่างเด็ดขาด) ข้อนี้ทาให้ชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชแต่ละชนิดไม่
ซ้ากัน
Author citation จะมลี ักษณะ ดังน้ี
1) เป็นแหลง่ ขอ้ มูลประวัตขิ องชอื่ พืช
2) เขียนตามหลัง specific epithet
77
3) ถ้าช่ือ author มี 1 พยางค์ ให้เขียนเต็ม ส่วนช่ือตั้งแต่ 2 พยางค์ขึ้นไปให้เขียนย่อตาม
หลักเกณฑท์ ่ีกาหนดไว้ใน ICBN
4) Author อาจมีคนเดียวหรือหลายคนกไ็ ด้ และได้มกี ารกาหนดรูปแบบที่แน่นอนในการลง
ช่อื author โดยใช้คาเชอื่ มต่างๆ ดงั นี้
et หรอื & หมายถงึ author 2 คนทที่ างานรว่ มกันในการต้ังช่ือพืชชนิดนนั้ ๆ
ex ใช้เมื่อ valid-published author ทางานสาเร็จในการต้ัง description ของพืช
ชนดิ น้ันโดยเอาชื่อของ valid-published author ข้นึ กอ่ น ตามด้วย ex แลว้ ตามด้วยชอื่ ของ
previous author
et al. ใช้เม่ือ author มากกว่า 2 คน โดยเขียนช่ือ-สกุลของ author คนแรก แล้ว
ตามดว้ ย et al.
นอกจากน้ีในระบบของการต้ังช่ือวิทยาศาสตร์ยังมีการเขียนที่เรียกว่า Parenthetical
authority ซึ่งเป็นระบบที่ใช้เมื่อมีการย้ายสกุลหรือมีการยกฐานะของช่ือในระดับ Variety หรือ
Subspecies ขึ้นมาเป็น Species โดยยังคง specific epithet เดิมอยู่ เป็นการเขียนโดยให้เอาช่ือ
ของ author คนแรกใสไ่ ว้ในวงเลบ็ กอ่ นแลว้ จึงตามดว้ ยช่ือของ author ทต่ี ั้งชอ่ื พชื น้นั ใหม่
ตัวอย่างช่ือวิทยาศาสตร์ลาดับชนิด เช่น จาปี มีชื่อตามหลักสากล (ช่ือวิทยาศาสตร์) ว่า
Michelia alba DC. ซึ่ง Michelia หมายถึง พืชในสกุล (Genus) จาปี จาปา ช่ือสกุล Michelia น้ี
ตั้งให้เป็นเกียรติแก่ Pier (Pietro) Antonio Micheli (1679-1737) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาเลียน
ส่วน Michelia alba หมายถึง พืชที่มีช่ือในภาษาไทยว่า จาปี คาว่า alba แปลว่า สีขาว ส่วน DC.
เป็นช่ือย่อของนาย Augustin Pyramus de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ซ่ึง
เป็นคนต้ังช่อื ตามหลกั สากลของจาปี
นอกจากนี้ยังมีกฎ และข้อแนะนาในการตั้งชื่อ อีกหลายข้อท่ีต้องยึดปฏิบัติเม่ือจะต้ังช่ือ
สิ่งมีชีวิตที่พบใหม่ เพ่ือให้การต้ังช่ือน้ันไม่สับสน ทับซ้อน หรือมีปัญหาภายหลัง เช่น ต้องมีสิ่งมีชีวิต
ตน้ แบบในการต้งั ชอื่ (nomenclatural type) ชื่อทตี่ ั้งต้องมีการตีพมิ พ์เผยแพร่ในหนงั สือหรอื วารสาร
ช่ือทต่ี ้งั ใหม่นั้นจะต้องไม่ซา้ กบั ชื่อท่ีมกี ารต้งั ไว้ก่อนแล้ว เป็นต้น
ชนดิ (species) คืออะไร
ชนิด คือ ลาดับพ้ืนฐาน ท่ีใช้ในการจัดหรือจาแนกส่ิงมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ และเป็นสิ่งที่
พบไดใ้ นธรรมชาติ สงิ่ มชี วี ิตที่มีลกั ษณะรว่ มกนั ดงั น้จี ะจัดว่าเป็นชนดิ เดียวกัน
1. มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางบรรพบุรุษ (มีกลุ่มยีน gene pool ของประชากรมาจากบรรพ
บุรุษเดียวกนั )
2. สามารถผสมพนั ธ์ุกันได้และลูกท่ีได้ไมเ่ ป็นหมนั
3. มีโครงสรา้ งของอวัยวะและหน้าทเี่ หมอื นกนั
4. สว่ นมากมีโครโมโซมเทา่ กัน
นอกจากน้ีถ้าสิ่งมีชีวิตชนิดหน่ึง มีกลุ่มประชากรหน่ึงหรือหลายกลุ่มในส่ิงมีชีวิตชนิดนั้น มี
ลักษณะที่แตกต่างเห็นชัดและคงที่ไปตลอด อาจจัดลาดับชนิดให้ย่อยและเล็กลงไปอีกได้ ลาดับที่ต่า
กว่าชนิดมีดังน้ี subspecies, variety และ forma
ส่ิงมีชีวิตหลายๆชนิดท่ีมีความคล้ายคลึงกัน จะถูกจัดรวมกันไว้ในสกุล (genus) เดียวกัน
สิ่งมีชีวิตหลายๆสกุลที่มีความคล้ายคลึงกัน จะถูกจัดรวมกันไว้ในวงศ์ (family) เดียวกัน เป็นอย่างน้ี
78
เรื่อยไปจนถึงลาดับอาณาจักร (kingdom) ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้
เราสามารถศึกษาพืชแต่ละชนิด แตล่ ะกลุ่มได้ละเอียดย่ิงข้ึน เช่น พืชสกุลชา วงศ์ Theaceae เดิมน้ัน
มีการจัดจาแนกระดับสกุล ให้อยู่ในสกุล 2 สกุล คือ สกุล Camellia L. และ สกุล Thea L. จาก
การศึกษาเพ่ิมเติม ทาให้ได้ข้อสรุปว่า พืชที่เป็นสมาชิกของทั้งสองสกุลน้ัน ไม่มีความแตกต่างกันถึง
ระดับที่จะจัดจาแนกให้เป็นแต่ละสกุล จึงมีการรวมทั้งสองสกุลเข้าไว้เป็นสกุลเดียวกัน คือสกุล
Camellia L. และแบ่งพืชสกลุ ชา ออกเป็น 2 สกุลยอ่ ย (subgenus)
ต้นสัก (Tectona grandis L.f.) แต่เดิม นักพฤกษศาสตร์ จัดให้เป็นสมาชิกของวงศ์
Verbenaceae จากข้อมูลหลักฐานเพ่ิมเติม ในปัจจุบัน พบว่าต้นสัก นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับ
พืชในวงศ์กะเพรา (Lamiaceae, Labiatae) มากกว่า ทาให้มีการจัดจาแนกใหม่ ให้ต้นสัก เป็น
สมาชิกของวงศ์ Lamiaceae แทน เปน็ ต้น จะเห็นไดว้ ่าการศึกษาทางอนุกรมวธิ านนน้ั มีการปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามข้อมูลและหลักฐานที่มีมากขึ้น เพื่อให้เราสามารถเข้าใจและมีข้อมูล
เพียงพอในการศึกษาความหลากหลายของพืชในโลก และเพ่ือนาความรู้เหล่าน้ีมาประยุกต์ใช้
ประโยชน์ในด้านตา่ งๆ
ตวั อย่ำงกำรตัง้ ช่อื พชื
1. ช่อื ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั ลักษณะ คุณสมบัตขิ องพืช หรอื สภำพท่ีอยู่อำศยั เชน่
อ้อย (Sugar cane) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Saccharum officinarum Linn. โดยคาว่า
Saccharum แปลวา่ นา้ ตาลซึง่ มาจากลกั ษณะของต้นออ้ ยที่มีความหวานของนา้ ตาล
ตดหมูตดหมา มชี ่ือวิทยาศาสตร์วา่ Paederia foetida Linn. คาว่า Foetida แปลวา่ มีกล่ิน
เหมน็ ซ่งึ มาจากลกั ษณะของพืชชนดิ นท้ี ่ีเมื่อนามาขยีแ้ ลว้ จะมกี ลน่ิ เหม็น
จันทน์เทศ (Nutmeg Tree) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Myristica fragrans Houtt. โดยคาว่า
Myristica แปลว่ามีกลิ่นเหมือนมดยอบ (Myrrh) และ fragrans แปลว่ามีกลิ่นหอมซึ่งท้ังใน
ส่วนของเมล็ดจากพืชชนิดนี้ท่ีเรียกว่า “ลูกจันทน์” และส่วนของรกหุ้มเมล็ดที่เรียกว่า
“ดอกจันทน”์ จะประกอบดว้ ยน้ามนั หอมระเหยท่มี ีกล่ินเฉพาะตัว
แสลงใจ มีชอ่ื วิทยาศาสตร์ว่า Strychnos nux-vomica Linn. คาว่า Nux-vomica แปลว่า
มีเมล็ดแขง็ และทาให้อาเจยี น โดยเมล็ดของพืชชนดิ นี้ จะเรียกว่า “โกฐกะกลิ้ง” ซึ่งใช้เป็นยา
เบ่ือสัตว์มาแต่โบราณ ต่อมาพบว่าภายในมีสาร Strychnine และ Brucine ซ่งึ มฤี ทธ์เิ บื่อเมา
และกระตุน้ ใหเ้ กดิ อาการอาเจียนได้
เพชรสังฆาต มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cissus quadrangularis Linn. คาว่า Quadrangularis
แปลว่าเปน็ ส่ีเหลย่ี ม ซง่ึ ตรงกับลกั ษณะของเถาต้นเพชรสังฆาตที่มีลักษณะเป็นสเี่ หลี่ยม มีสัน
ตลอดความยาวของเถา นอกจากนี้ยังมีศัพท์อื่นๆที่ใช้บรรยายลักษณะ ขาดรูปร่างท่ีควรรู้
ได้แก่ Macrophylla แปลว่ามีใบใหญ่, Camphanulatus แปลว่ามีลักษณะเป็นรูประฆัง
เปน็ ต้น
กระตังใบ มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Leea rubra Blume ex Spreng. คาว่า Rubra แปลว่ามีสี
แดง ซ่ึงมาจากลักษณะของช่อดอกของกระตังใยท่ีมีสีแดงสดใส สะดุดตา โดยคาศัพท์อื่นๆท่ี
ใช้บรรยายเกี่ยวกับสีของพืชได้แก่ Alba แปลว่ามีสีขาว, Purpura แปลว่ามีสีม่วง, Nigra
แปลว่ามีสดี า เปน็ ต้น
79
ชื่อทแ่ี ปลงมำจำกชอื่ พื้นเมอื ง
จาปา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Michelia champaga Linn. คาว่า champaga แปลงมาจาก
ชอ่ื พ้นื เมืองของไทยคือ จาปา
สัก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tectona grandis Linn. คาว่า Tectona แปลงมาจากภาษาทมิฬ
ซ่งึ เรยี กพชื ชนิดน้วี ่า Tekka
มะขาม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tamarindus indica Linn. คาว่า Tammarindus แปลงมา
จากภาษาอารบิกทีเ่ รยี กช่อื พชื ชนดิ น้ีวา่ Tammr
ชอื่ ที่ต้ังเพอ่ื เปน็ เกยี รติแกบ่ ุคคล
กันภัยมหิดล มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Afgekia mahidoliae Burtt et Chermsir. คาว่า
Mahidoliae ตัง้ เพอื่ เฉลมิ พระเกียรติสมเด็จพระศรนี ครินทราบรมราชชนนี
ข่า มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Alpinia galangal Swartz. คาว่า Alpinia ต้ังเป็นเกียรติแก่นัก
พฤกษศาสตร์ชาวอติ าลี ช่อื Prosper Alpino (ค.ศ. 1553-1616)
ชือ่ ท่ีตงั้ ตำมถ่นิ ทีพ่ ชื มีกำรกระจำยพันธุ์
ขี้เหล็ก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Senna siamea (Lam.) Irwin et Barneby โดยคาว่า
Siamea แปลวา่ มาจากประเทศไทย
ชา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis (L.) O. Kuntze. โดยคาว่า Sinensis แปลว่า
มาจากประเทศจนี
80
บทท่ี 5 : วงศ์พชื
เนอื้ หำกำรเรียนกำรสอน
วงศพ์ ืชไรด้ อก
วงศพ์ ืชดอก
วงศ์พชื
สาหรับการศึกษาในรายวิชาน้ี จะยึดหลักการจัดหมวดหมู่ตามแนวติดของ Englerian
school โดยจากพชื ทงั้ หมด 14 Division จะสามารถแยกออกไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม คอื
กลุ่มท่ี 1 : Thallophytes เป็นพืชที่ยังไม่มีราก ลาต้น และใบท่ีแท้จริง ยังไม่มีระบบในการ
ลาเลียงน้าและอาหาร ส่วนใหญ่สืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ มีอยู่ทั้งหมด 12 Division คือต้ังแต่
Division Schizophyta ขน้ึ มาจนถึง Division Eumycetes พืชทจ่ี ัดอยใู่ นกลุ่มนไ้ี ด้แก่ แบคทเี รีย เห็ด
รา ไลเคน และ สาหร่าย จัดเปน็ พืชข้นั ตา่ ตามสายวิวฒั นาการของอาณาจักรพชื
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งเราไม่จัดพวก Thallophytes เป็นพืช เนื่องจากการพิจารณา
องค์ประกอบเซลล์เป็นหลัก โดยจะแยกพืชกลุ่มน้ีออกเป็น 2 อาณาจักร คือ อาณาจักร Monera ซึ่ง
เปน็ กลมุ่ ของ Prokaryote และอาณาจกั ร Protista ซ่ึงเปน็ อาณาจักรของกลุ่ม Eukaryote
และเนื่องจากพืชในกลุ่มนี้แทบจะไม่มีการนามาใช้เป็นสมุนไพรเลย จึงขอไม่ลงรายละเอียด
ของพืชในแต่ละวงศ์
กลุ่มที่ 2 : Bryophytes และ Pteridophytes เป็นพืชใน Division Archegoniatae
(หรือ division Embryphyta Asophonogama) โดยพืชในกลุ่ม Bryophytes เป็นกลุ่มท่ีมีลาต้น
และใบที่แท้จริงแล้ว แต่ยังไม่มีระบบราก ได้แก่ มอส และ ลิเวอร์เวิร์ท ส่วนกลุ่ม Pteridophytes
จัดเป็นพืชท่ีมีท่อลาเลียงน้าและอาหาร มีราก ลาต้น และใบที่แท้จริง แต่ส่วนใหญ่ยังคงสืบพันธุ์ด้วย
การใช้อับเรณู (spore) เช่น หญา้ ถอดปล้อง เฟริ น์ เป็นต้น
ตัวอยำ่ งวงศ์พืช จำพวก Pteridophyte
1. วงศ์ LYCOPODIACEAE เป็นกลุ่มของพืชที่มีลักษณะใกล้เคียงกับเฟิร์น มีขนาดเล็ก ไม่มี
เนื้อไม้ กระจายตัวอยู่ในเขตร้อนและอบอุ่น มีจานวนประชากรประมาณ 200 ชนิด ลักษณะเด่นของ
พชื วงศ์น้ีคือ ลาต้นจะแยกสาขาเป็นคู่ ใบมีขนาดเล็กเรียงหมุนเวียนรอบต้น ทีซ่ อกใบมีอับสปอร์คล้าย
เมลด็ ถั่ว ตวั อยา่ งเชน่ สามรอ้ ยยอด ช้องนางคลี่
81
ภำพท่ี 5.1 แสดงลักษณะของพชื ในวงศ์ LYCOPODIACEAE
ที่มา : Vascular plant image library. Images of the Lycopodiaceae.
http://botany.csdl.tamu.edu/ FLORA/imaxxlyc.htm. [online]. 2011
2. วงศ์ SELAGINELLACEAE เป็นกลุ่มพืชใกลเ้ คยี งกับพวกเฟิร์น มีขนาดเลก็ ไม่มีเน้ือไม้ มี
จานวนประชากรประมาณ 600 ชนิด ในประเทศไทยพบขึ้นตามพ้ืนป่าท่ัวไป เช่น กูดเฟือย พ่อค้าตี
เมีย กูดหิน เป็นต้น โดยมีลักษณะร่วมกับวงศ์ LYCOPODIACEAE ที่ตาแหน่งและการเกิดของอับ
สปอร์ แต่แตกต่างกันที่การจัดเรียงตัวของใบ ซ่ึงวงศ์นี้จะมีการจัดเรียงตัวเป็น 4 แถว บิดตัวมาอยู่ใน
ระนาบเดียวกัน สร้างก่ิงพิเศษท่ีไม่มีใบลงมายึดเกาะกับดินคล้ายเป็นกิ่งค้ายันไม่ให้กิ่งใบตกลงเร่ียดิน
อบั สปอรม์ ักเกิดทีบ่ ริเวณปลายยอด
ภำพที่ 5.2 แสดงลกั ษณะของพืชในวงศ์ SELAGINELLACEAE
ทีม่ า : Vascular plant image library. Images of the Selaginellaceae.
http://botany.csdl.tamu.edu/ FLORA/imaxxlyc.htm. [online]. 2011
82
3. วงศ์ EQUISETACEAE พืชกลุ่มน้ีมีลักษณะใกลเ้ คียงเฟิร์น มีขนาดเล็ก พบข้ึนตามบริเวณ
ชุ่มชื้น ต้นคลา้ ยหญา้ แต่ใบลดรปู ลงเปน็ เกล็ดเล็กๆ โคนใบเช่ือมติดกันเป็นปลอกหุ้มเหนือขอ้ ผิวลาต้น
มีสันและร่องตามยาว ก่ิงเกิดได้หลายกิ่งจากข้อเดียวกัน อับสปอร์เกิดท่ีแผ่นรูปโล่ซ่ึงเรียงซ้อนกันเป็น
ช้ันเห็นเปน็ กลมุ่ ทป่ี ลายยอด พืชวงศ์นพี้ บเพียง 1 สกุล มีประชากรประมาณ 25 ชนิด กระจายพนั ธ์ุใน
เขตอบอนุ่ สาหรบั ประเทศไทยพบเพยี งชนิดเดียว คือ หญา้ ถอดปลอ้ ง
ภำพที่ 5.3 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ EQUISETACEAE (หญ้าถอดปลอ้ ง)
ทม่ี า : Equisetaceae. http://domenicus.malleotus.free.fr/v/prele_des_
champs.htm.[online].2011
4. วงศ์ POLYPODIACEAE เป็นพืชกลุ่มเฟิร์นท่ีแท้จริง มักเป็นพืชอิงอาศัย ลาต้นทอด
ขนาน มีระบบท่อลาเลียงแบบง่ายๆ ไม่มีการเพิ่มขนาดทางกว้างอย่างพืชดอก มีขนหรือเกล็ดปกคลุม
เกล็ดมีลักษณะเป็นแผ่นท่ีมีรูปร่างต่างๆตามชนิดของเฟิร์นนั้นๆ รากเกิดจากลาต้นโดยแตกแขนงจาก
ต้นโดยตรงไม่มีรากแกว้ ใบมีท้งั ทเ่ี ป็นใบเดี่ยวและใบประกอบ ใต้ใบจะประกอบด้วยกลมุ่ ของอับสปอร์
จานวนมาก เส้นใบมกั จะสานกันเป็นร่างแห กลุ่มอบั สปอร์ไม่มีเยอ่ื คลุม ใบอ่อนของเฟิร์นจะมีลักษณะ
แตกต่างไปจากพืชอื่นๆ กล่าวคือมีการม้วนงอเป็นก้นหอย (Circinate) การสืบพันธ์สามารถเกิดข้ึนได้
ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ โดยเมื่อต้นเฟิร์นเจริญเติบโตเต็มที่ จะสร้างสปอร์เพื่อใช้สืบพันธุ์
83
เมื่อสปอร์ตกลงในส่ิงแวดล้อมท่ีเหมาะสมก็จะเกิดเป็นต้นอ่อนท่ีมีลลักษณะเป็นแผ่นสีเขียวขนาดเล็ก
และสามารถมีการสืบพันธ์ุแบบมีเพศโดยมีอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ ท่ีสร้างสเปิร์มท่ีเรียกว่า
“Antheridium” และอวัยวะเพศเมียที่สร้างรังไข่ที่เรียกว่า “Archegonium” ในระยะนี้สเปิร์มจะ
ว่ายน้าเข้าผสมกับไข่ ดังน้ันต้องการน้าและความชื้นสูงมาก เม่ือผสมแล้วจะเติบโตเป็นต้นเฟิร์นท่ีมี
ระบบราก ต้นและใบ ตรงตาแหน่งที่สร้างอวัยวะท่ีสร้างไข่ พืชวงศ์นี้มีประมาณ 50 สกุล ประชากร
ประมาณ 600 ชนิด กระจายในเขตร้อน ตัวอย่างเช่น ชายผ้าสีดา กระแตไต่หิน ข้าหลวงหลังลาย
เป็นต้น
ภำพท่ี 5.4 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ POLYPODIACEAE
ทม่ี า : Polypodiaceae. http://caliban.mpiz-koeln.mpg.de/lindman/499.jpg.
[online].2010
5.วงศ์ MARATTIACEAE วงศ์น้ีเป็นกลุ่มของเฟิร์นที่มีขนาดใหญ่ มีเหง้าใต้ดินสั้น ใบเป็นใบ
เด่ียวหรือใบประกอบแบบขนนก อับสปอร์แยกจากกันหรือเช่ือมตืดกัน ไม่มีเย่อื หุ้มคลุมกลุ่มอับสปอร์
พืชวงศน์ ี้พบ 4 สกุล มปี ระชากรประมาณ 100 ชนดิ ได้แก่ วา่ นกีบแรด
84
ภำพท่ี 5.5 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ MARATTIACEAE
ที่มา : Marattiaceae. http://tupian.hudong.com/a2_73_88_..._ jpg.html.
[online].2010
6. วงศ์ MARSILEACEAE วงศ์น้ีเป็นกลุ่มของเฟิร์นขนาดเล็ก ชอบข้ึนในน้า ลาต้นเป็นเถา
เลื้อย ใบมี 2 แถว ก้านใบยาว สปอร์อยู่ใน Sporocap ถูกคลุมด้วยเยื่อคลุมกลุ่มอับสปอร์ พืชวงศ์น้ีมี
เหลอื เพียง 3 สกุล ประชากรประมาณ 75 ชนดิ กระจายในเขตรอ้ นและเขตอบอุ่น ไดแ้ ก่ ผักแวน่
ภำพท่ี 5.6 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ MARSILEACEAE
ท่ี ม า : Marsilea vestita. http://luirig.altervista.org/photos/m/marsilea_vestita.htm.
[online].2010
85
ก ลุ่ ม ที่ 3 : Spermatophytes เป็ น พื ช ใน Division Embryophyta Siphonogama
(Seed plants) มีท่อลาเลียงน้าและอาหารสมบูรณ์ มีการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศโดยการสร้างเมล็ด
สามารถแบง่ ย่อยเป็น 2 subdivision คือ
1. Subdivision Gymnospermae เป็นกลุ่มพืชที่ยังไม่มีดอกท่ีแท้จริง การสร้างเมล็ดอาศัย
เซลล์สืบพันธ์ุจาก ovaliferous cone (เพศเมีย) ผสมกับเซลล์สืบพันธ์ุจาก Polliniferous cone
(เพศผู้) โดยไดเ้ มล็ดที่เปน็ เมล็ดเปลอื ยท่ไี ม่มีผนังหุม้ รังไข่ ไดแ้ ก่ แปะก๊วย ปรง สนเมืองหนาว เปน็ ต้น
2. Subdivision Angiospermae เป็นพืชที่มีดอกอย่างแท้จริง (Flowering plants) จัดเป็น
กลุ่มพืชท่ีมีวิวัฒนาการสูงสุดและมีจานวนพืชมากที่สุดในอาณาจักรพืชปัจจุบัน เป็นพืชดอกท่ีรู้จักพบ
เห็นกันท่วั ไป เมลด็ มรี ังไข่ทีส่ มบูรณ์ มีอย่ปู ระมาณ 250,000 ชนดิ แบง่ ย่อยออกเป็น 2 Classes คอื
Class Monocotyledoneae ซ่งึ เปน็ กลุ่มพืชใบเล้ยี งเดีย่ ว
Class Dicotyledoneae ซ่ึงเป็นกลุ่มพืชใบเลี้ยงคู่ สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
Apetalae เป็นพืชไม่มีกลีบดอกหรือมีกลีบดอกเพียงช้ันเดียว Polypetalae เป็นพืชที่มีกลีบดอก
ชัน้ ในแยกจากกัน และ Sympetalae ซง่ึ เปน็ พชื ทีม่ ีกลีบดอกช้นั ในเชอื่ มตดิ กนั เปน็ หลอด
ตัวอยำ่ ง วงศ์พชื จำพวกพชื เมล็ดเปลือย (Gymnosperms)
1. วงศ์ CYCADACEAE เป็นกลุ่มของพืชไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก จัดเป็นพืชทนแล้ง มี
ลักษณะคล้ายกับพืชพวกปาล์ม ไม่ผลัดใบ แยกเพสอยู่คนละต้น แตกก่ิงก้นน้อย ใบประกอบแบบขน
นก ใบอ่อนม้วนงอ ใบย่อยรูปแถบ ขอบใบเรียบ เน้ือใบหนาและเหนียวคล้ายแผ่นหนัง ปลายใบเป็น
หนามแหลม โคนตัวผู้ (Male cone) ตั้งตรง ออกท่ีปลายยอด ประกอบด้วยใบที่มีหน้าท่ีสร้าง
Microsporophyll เรียงตัวอัดกันแน่น อับเรณูรูปทรงกลม ส่วนโคนเพศเมีย (Female cone)
ประกอบด้วยใบสร้าง Megasporophyll อยู่ระหว่างก้านใบ มีขนคล้ายปุยฝ้ายปกคลุมแน่น เมล้ดมี
ขนาดใหญ่ รปู ทรงกลม สเี หลอื ง-สม้ พืชวงศ์นีพ้ บเพียง 1 สกุล ประชากรท้ังสิน้ 17 ชนดิ กระจายพนั ธุ์
ตัง้ แต่แอฟรกิ าตะวันออก ถงึ ญี่ปนุ่ และนิวซีแลนด์ ไดแ้ ก่ ปรงเขา ปรงเหลีย่ ม เป็นต้น
ภำพที่ 5.7 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ CYCADACEAE
ทม่ี า : Watson, L., and Dallwitz, M.J. The families of gymnosperms. http://delta-
intkey.com/ gymno/www/cycadace.htm. [online]. 2009
86
2. วงศ์ GINKGOACEAE เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงไดถ้ ึง 30 เมตร ผลดั ใบ ใบมกี ้านยาว แผ่น
ใบคล้ายพัด เส้นใบแยกเป็นสองแฉก มีอวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียแยกกันอยู่คนละต้น โดย
อวัยวะสืบพันธุ์เพศผู้ (Male strobillus) มีลักษณะเป็นช่อแบบหางกระรอก มรใบที่สรา้ งสปอร์จัดตัว
แบบเรยี งเวยี นรอบแกนกลาง อวยั วะสืบพนั ธเุ์ พศเมีย (Female strobillus) มอี อวุลตดิ อยูก่ บั กา้ นยาว
พืชวงศ์น้ีเหลือเพียง 1 สกุล 1 ชนิด กระจายพันธ์ุในเขตประเทศจีน คือ แป๊ะก๊วย (Ginkgo biloba
Linn.)
ภำพท่ี 5.8 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ GINKGOACEAE
ที่มา : Christopher J. Earle. The gymnosperm database.
http://www.conifers.org/gi/i/09.jpg. [Online].2011
87
3. วงศ์ PINACEAE เป็นกลุ่มของไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มรูปทรงคล้ายเจดีย์
หรือร่ม เนื้อไม้มีชัน (Resin) ใบเรียงตัวเวียนสลับเป็นจุก ใบรูปเข็ม อวัยวะสืบพันธุ์ (Cone) แข็ง
ลักษณะเป็นแผ่นแข็งที่เรียงซ้อนกันแน่นรอบแกน แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน เมล็ดมีปีกช่วยในการ
กระจายพันธุ์ พืชวงศน์ ี้พบอยู่ 12 สกุล สมาชกิ ประมาณ 220 ชนิด สาหรบั ในประเทศไทยพบอยเู่ พยี ง
2 ชนดิ คือ สนสามใบ และสนสองใบ
ภำพที่ 5.9 แสดงลกั ษณะของพืชวงศ์ PINACEAE
ทีม่ า : Pinaceae. http://www.seaconnection.ws/0arboretum.html [online]. 2011
88
4. วงศ์ GNETACEAE ไม้ต้น ไม้พุ่ม หรือไม้เถาเนื้อแข็ง มีข้อโป่งพอง แยกเพศอยู่คนละต้น
ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม หรือเรียงรอบข้อ ขอบใบเรียบ ไม่มีหูใบ อวัยวะสืบพันธ์ุเพศผู้ (Staminate
strobilus) ออกท่ีซอกใบ ยาง พองออกที่ข้อ มีใบประดับย่อยซ่ึงเชื่อมติดกัน อวัยวะสืบพันธ์ุเพศเมีย
(Ovulate strobilus) ยาว พองออกท่ีข้อ ออวลุ มีเย่ือห้มุ 3 ช้ัน เมล็ดมีเปลือกแข็ง มีใบประดับรองรับ
และท่ีปลายเมล็ดมีเปลือกช้ันในของเมล็ดยืดตัวยาวเป็นหลอดหรือเส้นเล็กๆ พืชวงศืนี้เหลือเพียง 2
สกุล จานวนประชากร 29 ชนิด กระจายตัวในเขตร้อนท่ัวไป ได้แก่ เมื่อย มะม่วย เมื่อยเลือด ต้นผัก
เหลยี ง เปน็ ต้น
ภำพท่ี 5.10 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ GNETACEAE
ท่มี า : Gnetaceae. http://www.plantsystematics.org/imgs/kcn2/r/
Gnetaceae_Gnetum_ latifolium_5043.html [online]. 2011
89
ตวั อย่ำงวงศ์พืช จำพวกพืชมดี อก (Angiosperms)
กลมุ่ พืชใบเลย้ี งคู่ (Class Dicotyledoneae)
กลุม่ APETALAE : ไม่มีกลบี ดอกชั้นใน
1. วงศ์ CASUARINACEAE ไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ มีก่ิงย่อยต่อเป็นข้อๆ ใบเป็นใบเกล็ด ติด
เป็นวงรอบก่ิง ดอกช่อ ไม่สมบูรณ์เพศ ดอกตัวผู้และตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกัน แต่ละดอกมีกลีบรอง
ดอก 2 กลีบ ดอกตัวผู้มีเกสรตัวผู้ 1 อัน ส่วนดอกตัวเมีย เรม่ิ แรกมีรังไข่ 2 ใบหลังจากนั้นจึงฝ่อไปจน
เหลือเพียงใบเดียว ผลเป็นผลรวมเป็นรูปโคน ผลแต่ละใบมีกลีบรองดอกแข็งสองอัน เมล็ดมีปีก
ตวั อยา่ งของพชื ในวงศน์ ี้ ไดแ้ ก่ สนทะเล สนปฏพิ ัทธ์
ภำพท่ี 5.11 แสดงลักษณะของพชื วงศ์ CASUARINACEAE
ทมี่ า : Casuarinaceae. http://www.fcagr.unr.edu.ar/Extension/Informes%20tecnicos/
plantarosario.htm [online]. 2011
2. วงศ์ PIPERACEAE ไม้พุ่มหรือไม้เลื้อยเนื้ออ่อน มีข้อป่องออก มีรากออกมาตามข้อ บาง
ชนิดฉ่าน้า มีท่อลาเลียงอาหารเรียงไม่เป็นระเบียบ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงแบบสลับ แผ่นใบมีจุดใสๆท่ี
เรียกว่า Pearl grand ดอกออกเป็นช่อ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก มีทั้งท่ีสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์เพศ ไม่มี
กลีบดอกแตม่ ีกลีบรองดอก ดอกตัวผู้มี 1-10 อนั ดอกตัวเมียมีรังไข่ 1 อันวางตัวอยู่บนชั้นชัน้ รองดอก
ผลเปน็ ชนดิ Drupe หรือ Berry มักมีรสเผ็ด ตัวอย่างของพืชในวงศ์นี้ ไดแ้ ก่ พรกิ ไท ชา้ พลู พลู
90
ภำพที่ 5.12 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ PIPERACEAE
ทีม่ ำ : L. Watson and M. J. Dallwitz. The Families of Flowering Plants. http://delta-
intkey.com/angio/www/piperace.htm [online]. 2011
3. วงศ์ SAURURACEAE ไม้ล้มลุกอายุหลายปี ใบเดี่ยว รูปใบกว้าง ติดแบบสลับ มีหูใบ
ดอกเป็นดอกช่อชนิด Spike หรือ Panicle สมบูรณ์เพศ ไม่มีกลีบดอก แต่มีกลีบรองดอก เกสรตัวผู้
6-8 อัน บางอันเป็นหมัน เกสรตัวเมียมีรังไข่ 1-4 ใบ ผลเป็นผลฉ่าน้า หรือผลแห้งแบบแคปซูล
ตวั อยา่ งพืชในวงศน์ ี้ เชน่ พลูคาว
ภำพที่ 5.13 แสดงลกั ษณะของพชื วงศ์ SAURURACEAE
ท่มี ำ : L. Watson and M. J. Dallwitz. The Families of Flowering Plants. http://delta-
intkey.com/angio/www/saururac.htm [online]. 2011
91
4. วงศ์ CHLORANTHACEAE ไม้ต้นหรือไม้พุ่มเน้ืออ่อน ใบเด่ียว ขอบใบหยัก มีกล่ินหอม
ติดตรงข้าม มีหูใบ ดอกช่อออกตรงยอดหรือซอกใบ ส่วนใหญ่เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกมีขนาดเล็ก
เกสรตัวผู้ 1 หรอื 3 อนั รงั ไข่ 1 ใบ ผลเป็นชนิดฉา่ น้ามีขนาดเล็ก รปู ไข่หรือรูปกลม ตวั อยา่ งพชื ในวงศ์
นี้ ได้แก่ เนียมหเู สือ กระดูกไก่
ภำพท่ี 5.14 แสดงลักษณะของพืชวงศ์ CHLORANTHACEAE
ทม่ี ำ : L. Watson and M. J. Dallwitz. The Families of Flowering Plants. http://delta-
intkey.com/angio/www/chlorant.htm [online]. 2011