The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ท33101 ชั้น ม.6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pueng Chalokdee, 2022-09-21 11:18:24

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ท33101 ชั้น ม.6

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ท33101 ชั้น ม.6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

กจิ กรรมเสนอแนะ
นักเรียนแบง่ กลุ่มช่วยกันค้นควา้ รวบรวม คำประสมทพี่ บในสือ่ สิ่งพิมพ์และสื่ออิเลก็ ทรอนิกส์แล้ว

ทำเปน็ โครงงานส่งครู

ความรูเ้ พิม่ เติมสำหรับครู

เรือ่ ง หลักการสร้างคำไทย
การสร้างคำในภาษาไทยน้ันจำเป็นตอ้ งรู้เกี่ยวกับหลักการสร้างคำและความหมายของคำทจี่ ะนำมาสร้าง
เพื่อที่จะไดค้ ำทีถ่ ูกตอ้ งและมีความสวยงามทางด้านภาษา
คำมลู หมายถึง คำคำเดียวทไ่ี ม่ไดป้ ระสมกบั คำอืน่ ซึ่งคำมลู มีลกั ษณะดงั นี้คอื มคี วามหมายสมบรู ณ์ในตัว มี
มาแต่เดมิ ในทุกภาษา และอาจมีพยางคเ์ ดียวหรอื หลายพยางคก์ ็ได้ เชน่ แม่ กรรม ฉัน เหนือ ป้า แดง แบตเตอรี่
สบั ปะรด เป็นต้น
ขอ้ สงั เกตเกี่ยวกับคำมูล
1. คำมูลในภาษาไทยมักเป็นคำพยางค์เดยี วสะกดตรงตวั ไม่มีคำควบกลำ้ หรือการันต์
2. คำมูลหลายพยางค์ เม่ือออกเปน็ แตล่ ะพยางคจ์ ะไม่มคี วามหมาย หรอื ความหมายไม่เกี่ยวข้อง กบั คำมลู
นนั้ ๆ เลย
การสร้างคำใหม่มีอยู่ 3 แบบดว้ ยกัน คือ
คำซำ้ คอื คำคำเดยี วกนั นำมากลา่ ว 2 คร้งั มคี วามหมายเน้นหนักหรอื บางทตี ่างกนั ไปหรือคำท่ีเพิม่ ขึน้
โดยออกเสียงใหต้ ่อเน่อื งกนั กับคำเด่ียวเพียงคำเดยี ว จึงถือวา่ เปน็ คำสรา้ งใหม่ มีความหมายใหม่
ลักษณะของคำซ้ำ
1. คำซำ้ ทซี่ ้ำคำนาม แสดงพหูพจน์ บอกว่านามนนั้ มจี ำนวนมากกว่าหนึ่งได้แก่ เด็ก ๆ หนุม่ ๆ สาว ๆ
2. คำซำ้ ทซ่ี ้ำคำขยายนาม แสดงพหูพจน์ก็มี เนน้ ลักษณะก็มี เช่น ฉนั ใหเ้ ส้ือดี ๆ เขาไป บางทเี ปลี่ยนเสยี ง
วรรณยกุ ตท์ ี่คำตน้ ด้วยเม่ือตอ้ งการเนน้ ลักษณะคำขยายนนั้ ๆ ดงั กลา่ วแล้วในเรอื่ งวรรณยุกต์ ส่วนมากเสยี งจะ
เปลี่ยนเป็นเสยี งตรี ดงั น้ี ดี๊ดี เกา๊ เก่า บ๊าบา้ ร๊ายรา้ ย ซ้วยสวย
3. คำซ้ำที่ซ้ำคำขยายนามหรือสรรพนาม แสดงความไมเ่ จาะจง เช่น มะมว่ งเลก็ แสดงว่า เล็ก แนไ่ มเ่ ปน็ อนื่
แตถ่ ้าหากใชค้ ำซำ้ ว่า ลูกเล็ก ๆ แสดงวา่ อาจจะไม่เล็ก
4. คำซ้ำทซ่ี ้ำคำนามหรอื คำบอกจำนวนนบั จะแยกความหมายออกเปน็ ส่วน ๆ เชน่ ช่งั เป็นกิโล ๆ
(ชั่งทลี ะกโิ ล และมีมากกว่ากิโลหนง่ึ )
5. คำซำ้ ทซ่ี ้ำบรุ พบท หรือคำขยาย ใช้ขยายกรยิ าบอกความเน้น เม่ือเปน็ คำสั่งท่ีซำ้ คำบุรพบท ไดแ้ ก่เขียน
กลาง ๆ น่ังใน ๆ เย็บตรงริม ๆ หยบิ บน ๆ วางใต้ ๆ

6. คำซำ้ ทซี่ ้ำจากคำซ้อน 2 คู่ ใช้เป็นคำขยายบอกความเน้น เชน่ ออด ๆ แอด ๆ แสดงว่าป่วยไข้เสมอ
ย่งิ กว่า ออดแอด

คำซอ้ น (บางทีเรยี ก คำคู่) คือ คำทมี่ ีคำเด่ยี ว 2 คำ อนั มคี วามหมายหรือเสียงคล้ายกนั ใกลเ้ คียงกัน หรอื
เป็นไปในทำนองเดียวกนั ซ้อนเข้าคกู่ ัน เม่อื ซ้อนแล้วจะมีความหมายใหมเ่ กิดขึ้น หรอื มคี วามหมายและที่ใช้ต่าง
ออกไปบา้ ง คำซ้อนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ คำซ้อนเพื่อความหมายและคำซ้อนเพื่อเสียงเจตนาในการซ้อนคำ
ก็เพ่ือให้ได้คำใหม่ มคี วามหมายใหม่ ถา้ ซ้อนเพื่อความหมาย ก็มุ่งท่ีความหมายเปน็ สำคัญ ถา้ ซอ้ นเพ่ือเสียง
กม็ งุ่ ท่ีเสียงเปน็ สำคัญ

วธิ สี ร้างคำซอ้ นเพ่อื ความหมาย
1. นำคำเดย่ี วทีม่ ีความหมายสมบูรณ์ มีทีใ่ ชใ้ นภาษามาซ้อนเข้าคู่กันคำหนึง่ เป็นคำต้น อกี คำหนงึ่ เปน็
คำท้าย คำตน้ กบั คำทา้ ยมีความหมายคลา้ ยกัน
2. ซ้อนกันแลว้ ตอ้ งเกิดความหมายใหม่ ซึ่งอาจไมเ่ ปลีย่ นไปจากความหมายเดมิ มากนกั หรืออาจเปลยี่ นไป
เป็นอันมาก แต่ถึงจะเปล่ยี นความหมายหรอื ไม่เปลย่ี นอย่างไรกต็ าม ความหมายใหม่ย่อมต่อเนอ่ื งกับความหมาย
เดิม พอเหน็ เคา้ ความหมายได้
วธิ สี ร้างคำซ้อนเพือ่ เสียง
1. นำคำท่เี สยี งมีท่เี กดิ ระดับเดียวกนั หรอื ใกลเ้ คยี งกันซ้อนกนั เข้า
2. ซ้อนกันแลว้ จะเกิดความหมายใหม่ ซงึ่ โดยมากไม่เนื่องกบั ความหมายของคำเดยี่ วแต่ละคำ แต่ท่ีมี
ความหมายเนื่องกันก็มี
คำประสม คือ คำท่ีมคี ำ 2 คำหรอื มากกว่านนั้ มาประสมกนั เข้าเปน็ คำใหมอ่ ีกคำหนึ่ง เจตนาในการสรา้ ง
คำประสมกเ็ ปน็ เช่นเดียวกบั คำซอ้ น คือใหไ้ ด้มีใหมใ่ ช้ในภาษา
ลักษณะคำประสม
คำประสมทส่ี รา้ งมลี กั ษณะต่าง ๆ ตามการใช้ แยกได้เปน็ ที่ใช้เป็นคำนาม คำกรยิ า และคำวเิ ศษณ์
คำประสมท่ีใช้เป็นคำนาม สว่ นมากคำตัวต้ังเป็นคำนาม ที่เป็นคำอื่นกม็ ีบา้ งคำประสมประเภทนี้ใช้เปน็ ช่ือสิ่งต่าง ๆ ท่ีมี
ความหมายจำกัดจำเพาะ พอเอย่ ชือ่ ข้ึนย่อมเป็นทร่ี บั รวู้ า่ เป็นช่ือของอะไรหากคำนน้ั เปน็ ทยี่ อมรับใช้
1. คำตัวตง้ั เปน็ นามและคำขยายเปน็ วิเศษณ์ ได้แก่ มด + แดง คอื มดชนดิ หนงึ่ ตวั สีแดง
2. คำตัวตั้งเป็นคำนาม คำขยายเป็นกรยิ า บางทีมีกรรมมารับด้วย ไดแ้ ก่ ผ้า + ไหว้ คอื ผา้ สำหรับไหว้
ท่ฝี า่ ยชายนำไปใหแ้ กญ่ าตผิ ใู้ หญ่ฝ่ายหญิง เพ่ือแสดงความเคารพในเวลาแต่งงาน
3. คำตัวตง้ั เปน็ คำนาม คำขยายเปน็ คำนามดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ เรอื น + ตน้ + ไม้ คือ เรือนท่ีไว้ตน้ ไมไ้ มใ่ ห้โดน
แดดมาก
4. คำตัวตงั้ เป็นคำนาม คำขยายเป็นบรุ พบท ไดแ้ ก่ คน + กลาง คอื คนทไ่ี มเ่ ข้าข้างฝา่ ยใด คนทต่ี ดิ ต่อ
ระหว่างผซู้ ้อื กับผู้ขาย

5. คำตวั ตง้ั ท่ีไมใ่ ชค่ ำนาม และคำขยายก็ไมจ่ ำกัดอาจเป็นเพราะพูดไม่เต็มความ คำนามที่เป็นคำตวั ต้ัง
จงึ หายไป กลายเป็นคำกริยาบ้าง คำวเิ ศษณบ์ ้าง เปน็ ตวั ต้งั ได้แก่ ต้ม + ยำ ตม้ + ส้ม ต้ม + ข่า เปน็ ช่ือแกงแต่ละ
อยา่ ง มีลักษณะตา่ ง ๆ กนั

สมาส เป็นวิธกี ารสร้างคำในภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเชน่ เดยี วกบั คำประสมของไทย โดยนำคำตั้งแต่ 2 คำ
มารวมเปน็ คำเดยี วกนั ใหม้ ีความหมายเกยี่ วเน่ืองกนั เชน่ มัธยมศึกษา ศลี ธรรม

วิธกี ารสรา้ งคำตามวิธีการสมาสของคำบาลี สันสกฤต มี 2 วิธี คอื
1. ลบวิภตั ติ (วภิ ัตติ หมายถึง พยางค์ท่นี ำมาประกอบท้ายนามศัพทห์ รือกรยิ าศัพท์ในภาษาบาลีและ
สันสกฤต เพ่ือบอกให้รู้บุรษุ พจน์ เพศและหน้าที่ของคำในประโยคในคำที่เป็นคำนาม หรือบอกให้รู้กาลมาลา
วาจก ในคำทเ่ี ป็นคำกริยา)
2. คงวภิ ัตติไว้ โดยคำหน้าไมล่ บวภิ ัต แลว้ สมาสกบั คำหลงั ให้ตดิ กนั เชน่ มนสิ กับ กาโร สมาสกนั เป็น มน
สกิ าโร
สนธิ เป็นการนำคำตงั้ แต่ 2 คำ มาเชื่อมกนั ใช้การกลมกลนื เสยี งให้เป็นคำเดียวกนั โดยมีการเปล่ียนแปลง
พยัญชนะ สระ ให้ออกเสยี งกลมกลนื กันสนิทเรยี กวา่ “สนธิ” เชน่ คำว่า สุข + อภิบาล เป็น สขุ าภบิ าล นร +
อินทร์ เปน็ นรนิ ทร์ สนธิมี 3 ลกั ษณะ คือ
1. สระสนธิ เปน็ การนำคำทล่ี งท้ายสระไปสนธกิ บั คำที่ข้นึ ต้นด้วยสระ ซง่ึ เม่ือสนธแิ ล้วจะมีการ
เปล่ียนแปลงรปู สระ เพ่ือให้เสียงสระ 2 เสยี งได้กลมกลนื เป็นเสียงสระเดียวกนั สระทเ่ี ปน็ คำท้ายของคำหน้า
จะได้แก่ สระอะ อา อิ อี อุ อู เป็นส่วนใหญ่
2. พยญั ชนะสนธิ ในภาษาบาลี คอื การนำคำท่ลี งท้ายดว้ ย สระไปสนธกิ บั คำทขี่ ึ้นตน้ ดว้ ยสระหรอื
พยัญชนะ สว่ นในภาษาสนั สกฤต คอื การนำคำที่ลงท้ายด้วย พยญั ชนะไปสนธิกับคำท่ีขึ้นต้นด้วยสระหรอื พยัญชนะ
ซ่งึ มหี ลักเกณฑ์ยุ่งยาก เชน่ มน + ภาว (บ.) มนสฺ + ภาว (ส) = มโนภาว ไทยใช้ มโนภาพ
3. นคิ หิตสนธิ (หรือนิคหิตสนธิ) เปน็ การนำคำที่ลงท้าย นคิ หิตไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วย พยัญชนะหรอื
สระกไ็ ด้

(ที่มา : คณุ ครภู าทิพ ศรสี ทุ ธ์ิ เรียบเรยี ง)

ใบงานท่ี 5 เรือ่ ง คำประสม

จงบอกหลักการสร้างคำประสม

.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

ชอ่ื – สกลุ ...........................................................................................................ชน้ั ม.6/........... เลขท่.ี .........

แบบทดสอบ เรือ่ ง หลกั การสรา้ งคำในภาษาไทย

วชิ าภาษาไทย รหัส ท 33101 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6
คำชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นทำเครื่องหมาย x ทับตวั เลอื กทถี่ ูกต้องท่สี ดุ
1. ขอ้ ใดกลา่ วได้ถกู ต้องเกี่ยวกับความเหมอื นระหวา่ งคำประสมกบั คำสมาส

1 จำนวนคำทนี่ ำมาประสมกัน
2 ท่ีมาของคำและความหมาย
3 การอา่ นออกเสยี ง
4 การแปลความหมายของคำ
2. ข้อใดเปน็ หลกั ในการสังเกตคำสมาสในภาษาไทย
1 เกิดจากคำมูลตง้ั แตส่ องคำข้นึ ไป
2 เปน็ คำท่มี ีรากศัพท์มาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเทา่ นัน้
3 สว่ นใหญ่จะลงทา้ ยวา่ ศาสตร์ กรรม ภาพ ภัย ศกึ ษา ศลิ ป์ วทิ ยา
4 ถกู ทุกข้อ
3. ขอ้ ใดไม่ใชอ่ า่ นอยา่ งคำสมาส
1 สามภี รรยา
2 บตุ รภรรยา
3 บุญฤทธ์ิ
4 วิพากษว์ จิ ารณ์
4. ขอ้ ใดกล่าวถึงสนธไิ ด้ถูกต้อง
1 คือคำสมาสท่มี ีการเปลย่ี นแปลงรูปสระ มกั นยิ มทำให้เสยี งกลมกลนื เขา้ กบั พยางคห์ ลังของคำแรก
2 การประสมคำของภาษาบาลีสนั สกฤต ถือวา่ เป็นคำสมาสชนดิ หนึง่
3 ถกู ทง้ั ข้อ 1 และ 2
4 ไมม่ ีข้อถูก
5. ข้อใดเป็นสระสนธิ
1 หิมาลยั มหศั จรรย์
2 อาณาจักร ทิวาวาร
3 มโนกรรม รโหฐาน
4 สมาบัติ สังขาร

6. ข้อใดบอกความหมายของคำประสมได้ถูกต้อง
1 คำมลู สองคำมารวมกนั
2 คำมลู สองคำมารวมกันแล้วเกิดคำใหม่
3 คำมูลสองคำมารวมกนั แล้วเกิดคำใหม่มคี วามหมายแตกตา่ งจากความหมายเดิม
4 คำมูลสองคำมารวมกนั แล้วเกิดคำใหม่แต่ยังรักษาเค้าความหมายเดิม

7. ข้อใดเปน็ คำประสมทุกคำ
1 นำ้ พรกิ ปลาทู ผ้าพันคอ
2 ชาวนา น่ิมนวล
3 อคั คภี ยั ธันวาคม
4 ขายหนา้ ผนวช

8. ขอ้ ใดเปน็ คำประสม 1 คำ คำสมาส 1 คำ
1 ขนมปงั ไส้กรอก
2 โหมโรง ปากหวาน
3 เจาะขา่ ว อัคคีภัย
4 ราชการ อบุ ตั เิ หตุ

9. ขอ้ ใดเป็นคำประสมทุกคำ
1 ออ่ นน้อม ปากเปลา่ หวั อ่อน
2 ดาวเทยี ม สะพานลอย ภเู ขาไฟ
3 คอหอย เรือนชาน ตาถ่ัว
4 ลกู ฟกู ยกเลกิ รถดว่ น

10. ขอ้ ใดประสมระหว่างคำไทยและคำที่มาจากภาษาอน่ื ทัง้ หมด
1 วันเพ็ญ ตายใจ หักอก
2 ราชวัง ผลไม้ ความมัธยสั ถ์
3 เรือรบ พ่อคุณ แมน่ ้ำ
4 รปู พรรณ ทรัพยส์ มบัติ อิทธฤิ ทธ์ิ

เฉลยใบงานท่ี 5 เร่ือง คำประสม

จงบอกหลักการสรา้ งคำประสม
1. คำทน่ี ำมาประกอบกนั จะเปน็ คำมาจากภาษาใดก็ได้
2. คำท่นี ำมาประกอบกันจะเปน็ คำท่มี ีความหมายอย่างใดก็ได้
3. คำทนี่ ำมาประกอบกันส่วนมากจะเปน็ คำประสมคำไทยกบั คำไทย
4. คำนาม สรรพนาม กรยิ า วิเศษณ์ และบุพบท นำมาประกอบกันได้
5. สว่ นมากใหค้ ำท่ีมีความหมายสำคญั นำหนา้ คำรองนำมาขยายไว้ดา้ นหลัง
6. คำประสมทไี่ ด้อาจทำหน้าทเ่ี ป็นนาม สรรพนาม กรยิ า วเิ ศษณ์ ได้ทัง้ นนั้
7. คำประสมที่เป็นคำคำเดยี วกนั บางคำ อาจทำหนา้ ท่ีได้หลายอยา่ ง และมคี วามหมาย

เฉลยแบบทดสอบ เรื่อง หลักการสรา้ งคำในภาษาไทย
1. 3 2. 4 3. 3 4. 3 5. 1
6. 4 7. 1 8. 3 9. 2 10. 2

ชอ่ื หน่วย : เรียนร้หู ลัก ประจกั ษ์ภาษา หนว่ ยที่ : 1 เวลา : 9 ชว่ั โมง
ชอ่ื แผน : หลักการสรา้ งคำในภาษาไทย (คำสมาส) แผนท่ี : 6 เวลา : 1 ชั่วโมง
ชือ่ วิชา : ภาษาไทย รหัส ท33101 ช้นั ม.6
ชื่อผู้สอน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี

สาระสำคญั
คำสมาสเกดิ จากการนำคำบาลีหรอื สนั สกฤต 2 คำข้นึ ไปมารวมกนั มีความหมายจากคำหลังมาคำหน้า หรอื มี

ความหมายเรียงคำจากคำหน้าไปคำหลงั ควรศึกษาความหมายของคำใหเ้ ขา้ ใจจงึ จะนำไปใช้ได้ถูกต้อง

มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวชว้ี ดั
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลยี่ นแปลงของภาษาและพลงั
ของภาษา ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบตั ิของชาติ
ตัวชว้ี ดั
ท 4.1 ม. 4-6/6 อธิบายและวเิ คราะห์หลักการสร้างคำในภาษาไทย

จุดประสงค์การเรยี นร้สู ตู่ วั ช้ีวัด
1. อธิบายเกีย่ วกบั หลักการสร้างคำสมาส (K)
2. นำคำสมาสไปใชใ้ นการส่ือสารได้ถูกต้อง (P)
3. ตระหนกั ถึงคณุ ค่าของการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง (A)

สาระการเรียนรู้
1. การสงั เกตคำสามาส
2. หลักการสร้างคำสมาส

สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
- ทักษะการอา่ น
- ทักษะการเขยี น
- ทักษะการฟัง การดู และการพดู
2. ความสามารถในการคิด
- การจำแนก
- การสังเคราะห์
- การประยุกต/์ การปรับปรงุ
- การประเมินคา่

- การสรุปความรู้
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา

คุณลักษณะอนั พึงประสงค์รกั ความเปน็ ไทย
ตวั ชว้ี ัดท่ี 7.2 เห็นคุณคา่ และใช้ภาษาไทยในการสอ่ื สารได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม

ชน้ิ งานหรือภาระงาน
ใบงานท่ี 6 เรอ่ื ง คำสมาส

คำถามท้าทาย
มหาวิทยาลัยในประเทศไทยแหง่ ใดบ้างที่มีชื่อเกิดจากการสมาสคำ

การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
ข้นั นำ
1. ครยู กตวั อย่างคำบนแผ่นป้าย ใหน้ กั เรียนสงั เกตและแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั ลักษณะของคำ

ทีย่ กตวั อยา่ งวา่ แตกต่างกนั ในลักษณะใด

คำสมาส คำอ่นื

ศัลยแพทย์ เทพบุตร ธรรมศาสตร์ รัฐศาสตร์ หมอฟัน สวยงาม นายชา่ ง ไฟฟ้า ผลไม้

อคั คีภัย สารคดี แพทยสภา วฒั นธรรม ศลิ ปศึกษา พลเรือน คนกลา้ ราชวัง รอบคอบ ดาวเทียม

ขั้นสอน
2. ให้นักเรยี นศึกษาความรเู้ รือ่ ง คำสมาส แล้วให้นกั เรยี นทัง้ ช้ันเรียนบอกคำสมาสคนละ 1 คำ จน
ครบทุกคน หากคำใดไมใ่ ชค่ ำสมาสหรือนักเรียนออกเสียงไม่ถูกต้อง ให้นักเรยี นและครูช่วยทว้ งติงและแก้ไข
3. ใหน้ ักเรียนแบง่ กลุ่ม กล่มุ ละ 3-4 คน อ่านข่าว หรือเรอ่ื งส้ัน หรือตอนใดตอนหน่งึ ของวรรณคดี
และวรรณกรรม แล้วชว่ ยกันหาคำสมาสท่ีปรากฏในเนอื้ เร่ือง แจกแจงคำเดิม และระบุคำอา่ นให้ถูกต้อง นำเสนอ
หน้าชัน้ เรยี น ใหน้ ักเรียนและครูรว่ มกนั ตรวจสอบความถกู ต้อง
4. ใหน้ ักเรียนนำข้อมูลที่ได้จากการนำเสนอไปจดั ป้ายนเิ ทศนอกช่ัวโมงเรยี น เพอื่ เผยแพร่ความรแู้ กเ่ พ่อื น
นักเรียนและบุคคลทั่วไป
5. ให้นักเรียนร่วมกันวเิ คราะหช์ ื่อของเพ่ือนในห้องว่าชือ่ คนใดเปน็ คำสมาสบ้าง และจำแนกว่ามาจาก
คำใด
6. ใหน้ กั เรยี นทำใบงานที่ 6 เร่ือง คำสมาส แลว้ รว่ มกนั ตรวจสอบความถกู ต้อง
ขั้นสรปุ
7. นักเรยี นและครูร่วมกันสรุปความรู้ ดังนี้

- คำสมาสเกิดจากการนำคำบาลหี รือสันสกฤต 2 คำขึ้นไปมารวมกนั มคี วามหมายจากคำหลงั มา
คำหน้า หรอื มีความหมายเรียงคำจากคำหนา้ ไปคำหลัง ควรศกึ ษาความหมายของคำให้เข้าใจจึงจะนำไปใช้ได้
ถูกต้อง

เพิ่มเติม นักเรยี นแบง่ กลุ่มชว่ ยกนั คน้ คว้า รวบรวม คำสมาส จากชอื่ รา้ นอาหาร ขนมหวาน อาหารคาว
และอนื่ ๆ แลว้ ออกมานำเสนอหน้าชน้ั เรยี น

สือ่ การเรียนรู้
1. ใบงานท่ี 6 เรื่อง คำสมาส
2. แผ่นปา้ ย

การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้

สงิ่ ที่ต้องการวัด วิธกี ารวดั เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวดั เกณฑผ์ า่ น
ผา่ นเกณฑ์ระดับ
1. อธิบายเกยี่ วกบั หลักการสร้าง ทำใบงานที่ 6 เรอ่ื ง คำสมาส ใบงานท่ี 6 เรื่อง คำสมาส คุณภาพ 2
ผ่านเกณฑร์ ะดบั
คำสมาส (K) คณุ ภาพ 2
ผา่ นเกณฑร์ ะดับ
2. นำคำสมาสไปใชใ้ นการส่อื สาร ทำใบงานที่ 6 เร่อื ง คำสมาส ใบงานที่ 6 เร่ือง คำสมาส คณุ ภาพ 2

ได้ถูกตอ้ ง (P)

3. ตระหนักถึงคณุ ค่าของการใช้ สงั เกตพฤติกรรมระหวา่ งเรียน แบบประเมนิ พฤตกิ รรม

ภาษาไทยให้ถกู ต้อง (A) ระหวา่ งเรยี น

เกณฑ์การวดั และการประเมินผล

1. ด้านความรู้และด้านทกั ษะกระบวนการ กำหนดเกณฑก์ ารให้คะแนน/ระดบั คุณภาพ ดังนี้

ระดับคณุ ภาพ ความสามารถของนกั เรียน
3 อธบิ ายหลักการสร้างคำสมาสหลายลักษณะแสดงถึงความเข้าใจทลี่ ะเอียด ครอบคลมุ ชัดเจน
ตรงประเด็น มีการยกตวั อย่างประกอบทำใหเ้ ขา้ ใจมากยิ่งขึ้น
ดีเยี่ยม อธบิ ายหลักการสร้างคำสมาสหลายลกั ษณะแสดงถึงความเข้าใจทล่ี ะเอยี ด ชัดเจนตรงประเด็น
2
ดี อธบิ ายหลักการสร้างคำสมาสหลายลกั ษณะแสดงถึงความเข้าใจได้สน้ั ๆ ตรงประเดน็
1
ผ่าน อธบิ ายหลักการสร้างคำสมาสหลายลกั ษณะ
0 แต่ไม่ละเอยี ด ชัดเจน

ไม่ผ่าน (ปรบั ปรุง)

ใบงานท่ี 6 เร่ือง คำสมาส

วชิ าภาษาไทย รหัส ท 33101 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6

จงบอกหลักสังเกตคำสมาสพร้อมยกตัวอยา่ งคำสมาส

.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

ช่อื – สกุล ...........................................................................................................ชนั้ ม.6/........... เลขท.่ี .........

เฉลยใบงานที่ 6 เร่ือง คำสมาส

จงบอกหลักสังเกตคำสมาสพร้อมยกตัวอย่างคำสมาส

1. คำสมาสต้องเป็นคำบาลสี ันสกฤตรวมกัน เช่น รัฐศาสตร์ กรรมกร
2. อ่านออกเสยี งต่อเน่ืองกัน และแปลจากหลังมาหนา้ เช่น เทพบตุ ร (บุตรของเทวดา)
3. ถา้ คำสมาสมีสระ อะหรือเคร่ืองหมาย ทณั ฑฆาต อยู่ตรงกลางใหต้ ัดออก สาระ + คดี = สารคดี
4. คำบาลี สันสกฤตที่มคี ำวา่ พระ แผลงจาก วร เชน่ พระกร พระหัตถ์ พระบาท
5. คำท่ีลงทา้ ย ศาสตร์ ภาพ วิทยาฯลฯ รปู ภาพ วทิ ยาศาสตร์ จติ วทิ ยา

ช่อื หน่วย : เรยี นรูห้ ลกั ประจักษ์ภาษา หนว่ ยที่ : 1 เวลา : 9 ชัว่ โมง
ชอ่ื แผน : หลักการสรา้ งคำในภาษาไทย (คำสนธิ) แผนท่ี : 7 เวลา : 1 ชว่ั โมง
ชอ่ื วิชา : ภาษาไทย รหัส ท33101 ชน้ั ม.6
ชื่อผูส้ อน : นางสาวพริ าวรรณ โฉลกดี

สาระสำคญั
คำสนธเิ กดิ จากการนำคำบาลหี รือสันสกฤตมาเชอ่ื มเสียงให้กลมกลนื กนั โดยการเปล่ยี นแปลงรูปสระ

รูปพยัญชนะ หรอื นฤคหิตให้รวมกนั เป็นคำใหม่ ควรจำแนกและศึกษาความหมายของคำใหเ้ ข้าใจจงึ จะนำไปใช้ได้
ถูกต้อง

มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวชี้วดั
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลยี่ นแปลงของภาษาและพลัง
ของภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัตขิ องชาติ
ตวั ชีว้ ัด
ท 4.1 ม. 4-6/6 อธิบายและวเิ คราะหห์ ลักการสรา้ งคำในภาษาไทย

จุดประสงคก์ ารเรียนรสู้ ู่ตวั ชี้วดั
1. อธบิ ายเกยี่ วกับหลักการสรา้ งคำสนธิ (K)
2. นำคำสนธไิ ปใชใ้ นการส่ือสารได้ถกู ต้อง (P)
3. ตระหนกั ถึงคณุ คา่ ของการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง (A)

สาระการเรียนรู้
การสรา้ งคำสนธิ

สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน

1. ความสามารถในการสื่อสาร
- ทักษะการอ่าน
- ทักษะการเขียน
- ทกั ษะการฟัง การดู และการพูด

2. ความสามารถในการคดิ
- การจำแนก

- การสงั เคราะห์
- การประยุกต์/การปรบั ปรุง
- การประเมินคา่
- การสรปุ ความรู้
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา

คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
รักความเปน็ ไทย
ตวั ช้วี ดั ท่ี 7.2 เหน็ คุณค่าและใชภ้ าษาไทยในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

ช้นิ งานหรือภาระงาน
ใบงานท่ี 7 เรอ่ื ง คำสนธิ

คำถามทา้ ทาย
นักเรยี นคิดวา่ คำสนธมิ ปี ระโยชนใ์ นการใชค้ ำในภาษาไทยอย่างไร

การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
ขน้ั นำ
1. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็น โดยครใู ช้คำถามท้าทาย ดังน้ี
- คำสนธิมปี ระโยชน์ในการใช้คำในภาษาไทยอยา่ งไร
ขัน้ สอน
2. ครูยกตวั อย่างคำบนแผ่นป้าย ใหน้ กั เรยี นสงั เกตและแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกับลักษณะของคำ

ที่ยกตัวอยา่ งว่าแตกต่างกันในลักษณะใด

คำสมาส คำสนธิ
ศัลยแพทย์ เทพบุตร ธรรมศาสตร์ รัฐศาสตร์ ธนาคาร ศลิ ปากร ภตั ตาคาร ปิโยรส
อคั คีภัย สารคดี แพทยสภา วัฒนธรรม มหัศจรรย์ มนุ ินทร์ สขุ าภบิ าล สามคั ยาจารย์
ศลิ ปศึกษา รโหฐาน สมาคม

3. ให้นกั เรียนศึกษาความรูเ้ ร่ือง คำสนธิ แล้วให้นักเรียนชว่ ยกันบอกคำสนธิ และจำแนกวา่ มาจากคำใด
หากไม่ถูกต้องใหน้ ักเรยี นและครูช่วยกันทว้ งตงิ และแก้ไข

4. ใหน้ ักเรยี นแบ่งกลุ่ม กล่มุ ละ 3-4 คน อา่ นตอนใดตอนหน่ึงของวรรณคดีบางเร่ือง เชน่ รามเกยี รติ์ แล้ว
ชว่ ยกนั คน้ หาคำสนธิทปี่ รากฏในเนอื้ เรื่อง จำแนกวา่ มาจากคำใด เปน็ คำสนธชิ นดิ ใด และระบคุ ำอา่ น
ให้ถูกต้อง นำเสนอหน้าชั้นเรียน ให้นักเรยี นและครูร่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง

5. ให้นกั เรียนนำข้อมลู ท่ีได้จากการนำเสนอไปจดั ป้ายนิเทศนอกชั่วโมงเรยี น เพ่อื เผยแพรค่ วามรแู้ ก่เพอ่ื น
นักเรยี นและบุคคลทวั่ ไป

6. ให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ช่ือของเพื่อนในห้องว่าช่อื คนใดเปน็ คำสนธบิ า้ ง แลว้ จำแนกว่ามาจาก
คำใดและเปน็ คำสนธชิ นิดใด

7. ใหน้ ักเรียนทำใบงานที่ 7 เร่ือง คำสนธิ แลว้ ร่วมกนั ตรวจสอบความถกู ต้อง
ขัน้ สรุป
8. ให้นักเรยี นและครรู ่วมกนั สรปุ ความรู้ ดงั น้ี

- คำสนธิเกิดจากการนำคำบาลีสันสกฤตมาเชอ่ื มเสยี งใหก้ ลมกลืนกันโดยเปลี่ยนแปลงรูปสระ
รูปพยัญชนะ หรอื นฤคหิตให้รวมกนั เปน็ คำใหม่ ควรจำแนกและศึกษาความหมายของคำใหเ้ ขา้ ใจจงึ จะนำไปใช้ได้
ถกู ต้อง

การจดั บรรยากาศเชิงบวก
ใหน้ ักเรยี นรว่ มกันระดมความคดิ ทำงานเปน็ กลุ่ม เพื่อเกดิ ความร้คู วามเขา้ ใจในการเพิ่มคำไทยใน

การสอื่ สาร และทศั นคตทิ ่ีดีต่อภาษาไทยและเหน็ ความสำคัญต่อภาษาไทย ซง่ึ เปน็ ภาษาเอกลักษณ์ของชาติ
และรว่ มกนั ใช้ภาษาไทยอย่างถกู ต้องมีประสทิ ธภิ าพ

สือ่ การเรยี นรู้
1. ใบงานที่ 7 เร่อื ง คำสนธิ
2. แผ่นปา้ ย

การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

สิง่ ที่ต้องการวดั วิธกี ารวดั เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวดั เกณฑผ์ ่าน
1. อธบิ ายเกยี่ วกับหลักการสรา้ ง ทำแบบทดสอบ เร่ือง แบบทดสอบ เร่ือง หลักการ ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ
คำสนธิ (K) หลกั การสรา้ งคำในภาษาไทย สร้างคำในภาษาไทย 60
2. นำคำสนธิไปใชใ้ นการส่ือสาร ทำใบงานที่ 7 เรือ่ ง คำสนธิ ใบงานที่ 7 เรอ่ื ง คำสนธิ ผ่านเกณฑร์ ะดบั
ได้ถูกตอ้ ง (P) คณุ ภาพ 2
3. ตระหนกั ถงึ คุณคา่ ของการใช้ สังเกตพฤติกรรมระหว่างเรียน แบบประเมินพฤตกิ รรม ผา่ นเกณฑ์ระดับ
ภาษาไทยให้ถกู ต้อง (A) ระหวา่ งเรียน คุณภาพ 2

เกณฑก์ ารวัดและการประเมินผล

1. ดา้ นความรู้ กำหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนน/ระดบั คุณภาพ ดงั นี้

คะแนน ความสามารถของนกั เรยี น
ผา่ น 1. แบบทดสอบ เรื่อง หลกั การสรา้ งคำในภาษาไทยถูกต้องตั้งแต่ 6 ข้อข้นึ ไป
ไม่ผา่ น 1. แบบทดสอบ เรือ่ ง หลกั การสรา้ งคำในภาษาไทยถูกต้องตงั้ แต่ 0-5 ข้อ

2. ดา้ นทักษะกระบวนการ กำหนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน/ระดบั คุณภาพ ดังนี้

ระดบั คุณภาพ ความสามารถของนกั เรียน
3 อธบิ ายหลักการสร้างคำสนธิหลายลกั ษณะแสดงถึงความเข้าใจทล่ี ะเอียด ครอบคลุม ชดั เจน
ตรงประเด็น มีการยกตวั อย่างประกอบทำใหเ้ ขา้ ใจมากยงิ่ ข้ึน
ดเี ย่ียม อธิบายหลักการสร้างคำสนธิหลายลักษณะแสดงถึงความเข้าใจที่ละเอียด ชัดเจนตรงประเดน็
2
ดี อธิบายหลักการสร้างคำสนธิหลายลักษณะแสดงถึงความเข้าใจไดส้ ั้น ๆ ตรงประเด็น
1
ผา่ น อธิบายหลักการสร้างคำสนธิหลายลักษณะ แต่ไม่ละเอยี ด ชัดเจน
0

ไม่ผา่ น (ปรับปรงุ )

ใบงานที่ 6 เร่อื ง คำสนธิ

วิชาภาษาไทย รหัส ท 33101 ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6

คำสนธมิ หี ลกั การสังเกตคำอยา่ งไร

.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

ชือ่ – สกุล ...........................................................................................................ชั้น ม.6/........... เลขท.ี่ .........

เฉลยใบงานที่ 6 เรอื่ ง คำสนธิ

คำสนธมิ ีหลักการสงั เกตคำอย่างไร

1. มงุ่ การนำคำมาเชื่อมใหเ้ สยี งกลมกลนื กัน
2. คำทีเ่ ชอ่ื มต้องมาจากคำบาลีหรอื สนั สกฤต
3. มกี ารเปลี่ยนแปลงตัวอกั ษรระหว่างคำทน่ี ำมาเช่ือมกัน
4. การเรียงลำดบั คำและการแปลความหมายเหมือนอย่างคำสมาส
5. ชนดิ ของคำสนธมิ ี 3 ชนิด คอื นฤคหติ สนธิ พยัญชนะสนธิ และสระสนธิ

ชอื่ หน่วย : เรียนรู้หลกั ประจักษ์ภาษา หน่วยท่ี : 1 เวลา : 9 ชวั่ โมง
ช่อื แผน : การใชค้ ำสรา้ งประโยค แผนที่ : 8 เวลา : 1 ชว่ั โมง
ชอ่ื วิชา : ภาษาไทย รหสั ท33101 ช้ัน ม.6
ช่อื ผู้สอน : นางสาวพริ าวรรณ โฉลกดี

สาระสำคัญ
คำ คือเสยี งทีเ่ ปลง่ ออกมาแล้วมคี วามหมาย ซ่ึงคำแต่ละคำประกอบด้วย พยัญชนะตน้ สระ วรรณยกุ ต์

ตัวสะกด ตวั การันต์ คำในภาษาไทยมหี ลายชนดิ มาประกอบเปน็ ประโยค มีภาคประธานและภาคแสดง การลำดบั
คำในประโยคแสดงความสัมพันธข์ องคำในประโยคน้ัน บางประโยคเมื่อลำดบั คำเปล่ียนไปจะทำให้ความหมายของ
ประโยคเปลย่ี นไปดว้ ย จึงควรศกึ ษาใหเ้ กิดความรคู้ วามเขา้ ใจ และสามารถนำไปใช้ไดถ้ กู ต้องเหมาะสม เพื่อชว่ ยให้
ใช้ภาษาได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ า

มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวดั
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลงั
ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบัติของชาติ
ตวั ช้วี ัด
ท 4.1 ม. 4-6/2 ใช้คำและกลมุ่ คำสร้างประโยคตรงตามวัตถุประสงค์

จุดประสงคก์ ารเรยี นรูส้ ตู่ ัวช้ีวัด
1. อธบิ ายความหมายของคำในภาษาไทย (K)
2. ใชค้ ำสรา้ งประโยค (P)
3. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ภาษาไทยในการส่ือสารได้ถูกต้อง (A)

สาระการเรียนรู้

การใชค้ ำสร้างประโยค

สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
- ทักษะการอ่าน
- ทกั ษะการเขียน
- ทักษะการฟัง การดู และการพดู
2. ความสามารถในการคดิ

- การจำแนก
- การสงั เคราะห์
- การปฏบิ ตั /ิ การสาธติ
- การประยกุ ต/์ การปรบั ปรงุ
- การประเมนิ คา่
- การสรปุ ความรู้
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต

คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
รักความเป็นไทย
ตวั ช้วี ดั ท่ี 7.2 เหน็ คณุ ค่าและใชภ้ าษาไทยในการส่อื สารได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม

ช้ินงานหรอื ภาระงาน
ใบงานท่ี 8 เรอ่ื ง การใช้คำสร้างประโยค

คำถามท้าทาย
นักเรยี นคดิ วา่ ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ จะมีหลักการเลอื กใชค้ ำให้ถกู ต้องตามบริบทอย่างไร

การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
ขัน้ นำ
1. ให้นักเรียนรว่ มกนั แสดงความคดิ เห็น โดยครใู ชค้ ำถามทา้ ทาย ดงั น้ี
- นักเรยี นคดิ ว่า ในสถานการณต์ ่าง ๆ จะมหี ลักการเลือกใช้คำใหถ้ ูกต้องตามบรบิ ทอย่างไร
ข้ันสอน
2. ใหน้ กั เรียนศกึ ษาความร้เู รื่อง การใชค้ ำสร้างประโยค ช่วยกันบอกความหมายของคำ ครอู ธิบาย

เพ่ิมเติม จากนนั้ นกั เรียนชว่ ยกนั ยกตวั อย่างคำ เช่น (แม่ ดี แดง แม้น ฯลฯ) ครบู นั ทึกคำเหล่านั้นบนกระดาน
จากนนั้ นกั เรียนอา่ นออกเสียงพร้อมกนั พรอ้ มบอกความหมายของคำ

3. ให้นกั เรยี นบอกคำทม่ี คี วามหมายเหมือนกนั (ไอยรา คชสาร กุญชร กรี) โดยครสู ุ่มจับฉลากเลขท่ี
จากนัน้ ครูกำหนดสถานการณ์ตามบรบิ ทของประโยคในบัตรคำ นกั เรยี นเลอื กคำจบั คู่กบั สถานการณ์ในบริบทให้
ถูกต้องฝึกการสังเกตและเรียนรหู้ ลักการสงั เกตการณ์ใช้คำตามบริบทให้เหมาะสม ร่วมกันวเิ คราะห์การใชค้ ำทีม่ ี
ความหมายคลา้ ยกนั แล้วร่วมกนั แลกเปล่ยี นเรยี นรู้

4. ให้นักเรยี นเลอื กคำทก่ี ำหนดให้เรยี บเรยี งเปน็ ประโยคที่ถูกตอ้ ง
ผีเสอื้ หลาย มี ดอกไม้ บ้าน ฉัน
รถ กนิ สวย แห่ง ดนิ พ่อ ตัว

เร็ว คัน วงิ่ น้อย บนิ บน มาก ของ
ที่ ท้องฟา้

- ผเี สือ้ ตวั น้อยบนิ บนท้องฟา้
- รถคันสวยวิ่งเร็วมาก
- พอ่ ของฉันมีที่ดนิ หลายแห่ง
จากน้ันร่วมกันวิเคราะหส์ รุปความเขา้ ใจแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ ของกันและกนั
5. ครนู ำบตั รคำติดทีก่ ระดาน ให้นกั เรยี น แตล่ ะกลมุ่ จำแนกชนิดของคำและหนา้ ทขี่ องคำในประโยคเขียน
ในใบตาราง กลุ่มไหนเรว็ ที่สุดและถูกต้องได้รับรางวัล นักเรียนสง่ ตัวแทนแต่ละกลุ่มนำเสนอชนดิ ของคำและหนา้ ท่ี
ของคำในประโยคหน้าชน้ั พร้อมบอกสว่ นประกอบของประโยค (ภาคประธานและภาคแสดง) แลว้ ลองลำดับคำใน
ประโยคใหมเ่ ช่น (ฉนั คิดถงึ เขา) แลว้ รว่ มกนั วิเคราะห์ถึงความหมายทเ่ี ปล่ียนไปพร้อมตระหนกั ถึงคุณคา่ การใช้
ภาษาไทยให้ถูกต้อง

6. นักเรยี นนำคำศพั ทย์ ากจากบทเรยี น คดั ตัวครึ่งบรรทัดแล้ว นำมาแตง่ ประโยคใหถ้ ูกตอ้ ง
อิทธิฤทธิ์ เกษียรสมุทร
- พวกยกั ษ์มอี ิทธิฤทธิ์มากชอบระรานผอู้ ืน่
- พระนารายณ์ประทับท่ีเกษียรสมุทร

ร่วมกันตรวจสอบความถกู ต้อง
7. ให้นักเรียนทำใบงานที่ 8 เรื่อง การใช้คำสรา้ งประโยค แลว้ รว่ มกันตรวจสอบความถูกต้อง
ขัน้ สรุป
8. ให้นกั เรียนและครรู ่วมกันสรุปความรู้ ดงั น้ี
- คำ คอื เสยี งท่เี ปล่งออกมาแลว้ มคี วามหมาย ซึง่ คำแตล่ ะคำประกอบด้วย พยญั ชนะต้น สระ วรรณยุกต์

ตวั สะกด ตวั การนั ต์ คำในภาษาไทยมีหลายชนิดมาประกอบเปน็ ประโยค มภี าคประธานและภาคแสดง การลำดับคำ
ในประโยคแสดงความสมั พนั ธข์ องคำในประโยคนั้น บางประโยคเม่ือลำดบั คำเปลีย่ นไปจะทำให้ความหมายของ
ประโยคเปลี่ยนไปดว้ ย จงึ ควรศึกษาใหเ้ กดิ ความรูค้ วามเข้าใจ และสามารถนำไปใชไ้ ด้ถกู ต้องเหมาะสม เพื่อชว่ ยให้ใช้
ภาษาได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

การจดั บรรยากาศเชิงบวก
ให้นักเรียนร่วมกันระดมความคิดทำงานเปน็ กลุม่ เพอ่ื ใช้คำสร้างประโยคสอ่ื สารและทำความเข้าใจในความ
แตกตา่ งของการใชภ้ าษาสื่อสารในโอกาสต่าง ๆ เพื่อแลกเปล่ียนเรียนรู้ ทศั นคติ และรว่ มกันใชภ้ าษาไทยอย่าง
ถกู ต้องมปี ระสทิ ธิภาพ

สอื่ การเรียนรู้

1. บัตรคำ
2. ใบงานที่ 8 เรือ่ ง การใช้คำสรา้ งประโยค
3. ฉลาก
4. ใบความรู้

การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้

สิ่งทีต่ ้องการวัด วธิ ีการวดั เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการวัด เกณฑผ์ า่ น
ผ่านเกณฑ์ระดบั
1. อธบิ ายความหมายของคำใน ทำใบงานที่ 8 เร่ือง การใชค้ ำ ใบงานที่ 8 เรอ่ื ง การใชค้ ำ คณุ ภาพ 2
ผา่ นเกณฑ์ระดับ
ภาษาไทย (K) สรา้ งประโยค สร้างประโยค คณุ ภาพ 2
ผา่ นเกณฑร์ ะดับ
2.ใช้คำสรา้ งประโยค (P) ทำใบงานท่ี 8 เร่ือง การใช้คำ ใบงานที่ 8 เรอื่ ง การใช้คำ คุณภาพ 2

สร้างประโยค สร้างประโยค

3. ตระหนักถึงคุณคา่ ของการใช้ สงั เกตพฤตกิ รรมระหวา่ งเรยี น แบบประเมนิ พฤตกิ รรม

ภาษาไทยให้ถูกต้อง (A) ระหว่างเรียน

การประเมนิ ใบงานท่ี 8 ให้ผสู้ อนพิจารณาจากเกณฑก์ ารประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Rubrics)
เร่ือง การใชค้ ำสร้างประโยค

เกณฑก์ ารประเมนิ ระดับคะแนน
การใช้คำสรา้ งประโยค
432 1

แตง่ ประโยคโดย แตง่ ประโยคโดย แตง่ ประโยคโดย แตง่ ประโยคโดย
ใช้คำท่ีกำหนด ใช้คำทก่ี ำหนด ใช้คำทกี่ ำหนด ใช้คำที่กำหนด
ไดต้ รงความหมาย ได้ตรงความหมาย ได้ตรงความหมาย ได้ตรงความหมาย
มีองคป์ ระกอบ มอี งค์ประกอบ มีองค์ประกอบ มอี งค์ประกอบครบ แต่
ของประโยคครบ ของประโยคครบ ของประโยคครบ เป็นประโยคสัน้ ๆ
ใจความของประโยคมี ใจความของประโยคมี ใจความของประโยค
ความสร้างสรรค์ใช้ ความสร้างสรรค์ สมั พันธ์กัน
ภาษาเรยี บเรียง
ได้สละสลวย

กิจกรรมเสนอแนะ

นักเรยี นแบง่ กลุ่มศึกษารวบรวมลักษณะคำทมี่ ีความหมายคลา้ ยกนั ใช้ตามบรบิ ทในภาษาไทย รว่ มกัน
วิเคราะห์วิจารณ์ แลกเปลี่ยนเรียนรแู้ ละทำเป็นรายงานวิชาการ

ความร้เู พิม่ เติมสำหรบั ครู

เร่อื ง การใชค้ ำและกลุ่มคำสร้างประโยค

คำ เปน็ หนว่ ยของภาษาที่สอื่ ถึงความหมายซ่ึงประกอบด้วยพยางคห์ นึ่งคำหรือมากกวา่ ปกติแล้วในแตล่ ะคำ
จะมีรากศัพท์ของคำแสดงถึงความหมายและทม่ี าของคำน้ัน โดยการนำคำหลายคำมาประกอบกันจะทำให้เกดิ วลี
หรือประโยคซึง่ ใช้สือ่ ความหมาย

คำมูล เปน็ คำโดดซึ่งไม่ได้เกดิ จากการประกอบของคำมลู อ่ืน
คำรวม เป็นคำที่เกดิ จากการรวมคำมลู หรอื คำประสมอ่ืนเข้าด้วยกนั เป็นคำใหม่ มีการรวมอยดู่ ้วยกัน
2 แบบคือ
1. คำประสม เปน็ การใสค่ ำใหมโ่ ดยการเรียงคำไปเร่ือย ๆ คล้ายวลี แตก่ ลมุ่ คำนนั้ กลบั มีความหมายใน
ลกั ษณะเจาะจงโดยไม่ไดเ้ ป็นการขยาย อาทิเช่น มะมว่ งนำ้ ดอกไม้ (มะมว่ ง+น้ำ+ดอกไม้) เป็น มะมว่ งพนั ธุห์ น่ึง เปน็
ตน้
2. คำทถ่ี ูกรวมตามภาษา เกิดจากกฎการรวมตามไวยากรณ์ของภาษาเชน่ คำสมาสสนธใิ นภาษาบาลี-
สนั สกฤต การประกอบคำจากรากศัพทใ์ นภาษาละติน ตวั อยา่ งเชน่ กุศโลบาย (กุศล+อบุ าย) เป็นต้น
กลมุ่ คำ คือ ข้อความทเี่ กิดจากการนำคำตงั้ แต่สองคำขนึ้ ไปมาเรียงตดิ ต่อกัน ทำใหเ้ กิดความหมายเพิ่มข้นึ
ตามความหมายของคำเดิมท่ีนำมารวมกัน แต่เป็นความหมายพอเป็นท่เี ข้าใจไดย้ ังไมส่ มบูรณเ์ ป็นประโยค
และไมเ่ กดิ เปน็ คำใหม่ชนิดใดชนิดหนึง่ คือ คำประสม คำซ้อน คำซำ้ คำสมาส หรือคำสนธิ
ชนิดของวลี หรือ กลุม่ คำในภาษาไทย จำแนกได้เป็น 7 ชนดิ ดังนี้
1. นามวลี เชน่ นกขุนทอง ผา้ ทอพน้ื บ้าน หนองขาว พนักงานโรงงานผลติ หนอ่ ไม้กระป๋อง
2. สรรพนามวลี เช่น เราทุกคน ทา่ นคณะกรรมการสภาประจำสถาบันราชภัฏ - กาญจนบรุ ี ข้าเบือ้ งยุคล
บาท
3. กริยาวลี เช่น โต้แย้งทมุ่ เถียง เหนด็ เหนอ่ื ยเมื่อยลา้ อิดหนาระอาใจกำลงั โค้งคารวะ
4. วเิ ศษณ์วลี เชน่ กอ้ งกงั วาน ที่ใช้ขยายคำนามในคำว่า เสยี งก้องกังวาน สุดทจ่ี ะพรรณนา ขยาย
คำกรยิ าว่า สวย ในคำว่า สวยสดุ ทจ่ี ะพรรณนา
5. บพุ บทวลี เช่น ทา่ มกลางฝูงชน จากคนบา้ นไกล ตามคำส่งั สอน
6. สนั ธานวลี เชน่ ถงึ อยา่ งไรก็ตาม ในระหวา่ งท่ีถ้าหากว่า
7. อทุ านวลี เชน่ พทุ โธเ่ อ๋ย! ตาเถรตกนำ้ ! อกอีแป้นแตก!

ประโยค คือ ถ้อยคำทีเ่ รยี บเรียงข้ึนเพื่อแสดงความคิดหรือเร่ืองราวทส่ี มบรู ณ์ ซ่ึงเรมิ่ แรกจะต้อง
ประกอบดว้ ยประธานและกริยา และประโยคยังมหี นา้ ทีใ่ ช้สือ่ ความหมายให้สมบูรณ์ หรือนำประโยคหลาย ๆ
ประโยคมาเรยี บเรยี งใหเ้ ปน็ เร่ืองราวไดโ้ ครงสรา้ งของประโยค กลายเปน็ ประโยคทีส่ มบรู ณ์ จะต้องประกอบด้วย 2
ส่วนคอื ภาคประธานและภาคแสดง

1. ภาคประธาน หมายถึง ส่วนสำคัญของข้อความเปน็ ผู้กระทำ กำ สว่ นใหญ่เป็นคำนาม หรือสรรพนาม
ภาคประธานประกอบด้วย บทประธาน และ/ หรือ บทขยายประธานหรือความเปน็ ไป

2. ภาคแสดง หมายถงึ สว่ นท่ีแสดงกิรยิ าอาการหรือความเปน็ ไปของภาคประธานประกอบด้วย บทกริยา
บทขยายกริยา บทกรรม และบทขยายกรรม (ถ้ามี)

(ท่ีมา : เวบ็ ไซต์ วิกิพีเดีย และความร้)ู

ใบงานท่ี 8 เร่อื ง การใช้คำสรา้ งประโยค
วิชาภาษาไทย รหัส ท 33101 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6

1. คำมีองคป์ ระกอบก่ีอย่างอะไรบา้ ง
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

2. จงนำคำทกี่ ำหนดใหส้ รา้ งเปน็ ประโยค
2.1 ฝรง่ั ........................................................................................................................ ................
2.2 ขณะที่....................................................................................................................................
2.3 เปน็ สว่ นใหญ.่ .......................................................................................................................
2.4 เพราะฉะนนั้ ..........................................................................................................................
2.5 เช่น......................................................................................................................... ...............

ชอื่ – สกุล ...........................................................................................................ช้นั ม.6/........... เลขท่ี..........

เฉลยใบงานท่ี 8 เร่อื ง การใชค้ ำสรา้ งประโยค

1. คำมีองค์ประกอบก่ีอยา่ งอะไรบ้าง
2 อยา่ ง คือ
1. เสียง
การประสมเสียงในภาษาทำใหเ้ กิดเป็นคำข้ึน คำหน่ึงอาจมีหนา่ ยเสียงชดุ หนึง่ หรือหลายชดุ กไ็ ด้

หรือหนึ่งพยางค์หรอื หลายพยางค์ก็ได้
พยางค์ คอื เสยี งที่เปล่งออกมาครัง้ หนง่ึ ๆมีความหมายหรือไมม่ ีกไ็ ด้
ส่วนประกอบของพยางค์ ประกอบด้วย 3 หน่วยเสยี งขนึ้ ไป คอื พยญั ชนะต้น
สระ วรรณยกุ ต์ บางพยางค์มีเสยี งตัวสะกดดว้ ย
2. ความหมาย
ความหมายเปน็ องค์ประกอบหนง่ึ ของคำ เพราะคำท่ีใช้ส่อื สารตอ้ งมีความหมาย ใหเ้ ปน็ ทเี่ ขา้ ใจกนั

ได้ ดงั กลา่ วต่อไปน้ี
คำทีม่ ีความหมายโดยตรง เช่น ไกว หมายถึง แกวง่
คำทม่ี ีความหมายโดยนัย เช่น หมู หมายถึง ง่าย
คำที่มีความหมายตามเสยี งวรรณยุกต์ เช่น คา ข่า ค่า ขา้ ค้า ขา
คำที่มีความหมายเปรียบเทยี บ เชน่ เสือ หมายถึง ดรุ ้าย

2. จงนำคำทีก่ ำหนดใหส้ ร้างเปน็ ประโยค
2.1 ฝรั่งมีสารอาหารประเภทวิตามินซสี ูง
2.2 ฝนตกขณะทีเ่ ขากำลังรอรถโดยสารประจำทาง
2.3 สมาชิกชมรมเห็นด้วยกับขอ้ เสนอน้ีเปน็ สว่ นใหญ่
2.4 ฉันรกั เธอเพราะฉะนัน้ ฉนั จึงดแู ลเธอ
2.5 ในสวนบา้ นคณุ ยายมีต้นไมห้ ลายชนิด เชน่ กลว้ ย มะม่วง ชมพู่

ชือ่ หน่วย : เรียนรูห้ ลัก ประจักษ์ภาษา หน่วยท่ี : 1 เวลา : 9 ชว่ั โมง
ชอื่ แผน : การใช้คำกลมุ่ คำสรา้ งสมั พนั ธข์ องประโยค แผนที่ : 9 เวลา : 1 ช่ัวโมง
ช่ือวิชา : ภาษาไทย รหสั ท33101 ชน้ั ม.6
ชือ่ ผู้สอน : นางสาวพริ าวรรณ โฉลกดี

สาระสำคญั
กลมุ่ คำเกดิ จากการนำคำมาเรียงตอ่ กนั มีความหมายเพ่ิมขน้ึ และต่อเนื่องเปน็ เร่อื งเดียวพอเปน็ ทเ่ี ข้าใจ

แตย่ งั ไม่มคี วามบรบิ ูรณต์ ้องประกอบด้วยชนิดของคำตามหน้าที่ต่าง ๆ เปน็ ภาคประธานและภาคแสดงการใช้
คำกลุม่ คำสรา้ งประโยคตามวัตถุประสงค์น้นั หลาย ๆ ประโยคอาจมีความสัมพนั ธ์ในหลายลักษณะจงึ ต้องเรยี นรู้ให้
เข้าใจเพื่อใชป้ ระโยคสอื่ สารไดถ้ กู ต้อง เหน็ ความสำคญั ของการใชภ้ าษาไทย

มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชวี้ ดั
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและพลัง
ของภาษา ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ิของชาติ
ตัวชว้ี ดั
ท 4.1 ม. 4-6/2 ใช้คำและกลมุ่ คำสร้างประโยคตรงตามวตั ถุประสงค์

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้สู่ตวั ชี้วดั
1. อธบิ ายเกย่ี วกับกล่มุ คำ (K)
2. ใชก้ ลมุ่ คำสรา้ งประโยคตามวัตถุประสงค์ (P)
3. ตระหนกั ถึงคณุ ค่าและความสำคญั ของการใชภ้ าษาไทยในการสอื่ สารได้ถูกต้อง (A)

สาระการเรยี นรู้
การใช้กลมุ่ คำสร้างความสมั พันธ์ของประโยค

สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
- ทักษะการอา่ น
- ทกั ษะการเขยี น
- ทักษะการฟัง การดู และการพดู
2. ความสามารถในการคดิ
- การจำแนก

- การสังเคราะห์
- การจดั ระบบความคิดเป็นแผนภาพ
- การประยุกต/์ การปรับปรุง
- การสรุปความรู้
- การประเมินค่า
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
รักความเปน็ ไทย
ตวั ชว้ี ดั ที่ 7.2 เห็นคณุ คา่ และใชภ้ าษาไทยในการส่ือสารได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม

ช้นิ งานหรือภาระงาน

ใบงานท่ี 9 เร่อื ง การใช้กลุ่มคำสรา้ งความสัมพนั ธ์ของประโยค

การจดั กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
1. ให้นักเรยี นรว่ มกันแสดงความคิดเหน็ โดยครใู ช้คำถามท้าทาย ดังนี้
- นกั เรยี นคดิ วา่ ประโยคมลี กั ษณะความสมั พันธ์ของประโยคอย่างใดบา้ ง
ขัน้ สอน
2. ให้นกั เรยี นรว่ มกนั สนทนาเกี่ยวกับลกั ษณะของคำและกล่มุ คำประกอบเปน็ ประโยค ซ่งึ ต้องใช้ภาษาให้

เหมาะสมและถูกกาลเทศะแล้วครอู ธิบายเพิม่ เติม
3. ครอู ธบิ ายความหมายกลุ่มคำในประโยค แลว้ ให้สุ่มนกั เรยี น พร้อมยกตัวอย่างกลุม่ คำจากสื่อสิง่ พมิ พ์
- นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6
- ดอกกุหลาบสีแดงดอกนน้ั
- บ้านหลังนนั้ หันหน้าออกสู่ทะเล
4. ครตู ้งั คำถามวา่ “ข้อบกพร่องในการใชค้ ำ ในประโยค ควรระมัดระวงั เร่อื งใดบา้ ง” (ตัวอยา่ งคำตอบ

อย่าใชค้ ำกำกวม อย่าใช้คำตา่ งประเทศโดยไม่จำเปน็ อย่าใชค้ ำภาษาฟ่มุ เฟอื ย อยา่ ใช้คำขัดแย้งกัน) แล้วให้
นกั เรียนแบ่งกลุ่มเป็น 4 กลุ่มทำรายงานเร่ือง ประโยค

5. ให้นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ใชค้ ำและกลุ่มคำสรา้ งประโยคใหม้ คี วามสัมพนั ธก์ นั หลายลักษณะรวมท้ัง
การใช้ การละ การแทน การเช่อื ม

เชน่ เขาเล่นกีตาร์ขณะที่ฉันร้องเพลงไปด้วย

- เพราะเขาเรียนเกง่ จงึ สอบได้ที่หนง่ึ

- นอ้ งอา่ นหนังสือแต่พีเ่ ลน่ ฟตุ บอล

การละ - แม่ทำงานยุ่งไมม่ ีเวลาทำกบั ขา้ ว ซกั ผ้า ถูกบ้าน

การแทน - ลกู ชายหญงิ ชราหายออกจากบ้านนานแลว้ เขาคงเสียชีวติ แลว้

การเชอื่ ม - แมแ่ ละพ่อไปทำงานต่างจงั หวดั

แล้วร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องในการการละ การแทน การเช่ือม

6. ให้นกั เรียนศึกษาความรเู้ รื่อง ความสมั พันธ์ของประโยค แล้วรว่ มกันสรุปความเขา้ ใจ จากน้ัน

ให้นกั เรยี นวิเคราะห์ลกั ษณะของประโยคจากสือ่ สงิ่ พิมพแ์ ละสือ่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เปน็ แผนภาพความคิด

สัมพันธ์โดยการ สัมพนั ธก์ นั ทางเวลา
ให้เลือกตัวเลอื ก

สัมพันธ์ทางขยายความ ลกั ษณะสัมพนั ธ์ สัมพนั ธ์ทางเหตผุ ล
ของประโยค

สมั พนั ธค์ วามหมาย สัมพันธค์ วามหมาย
ขดั แย้ง ในทางเดยี วกัน

7. ใหน้ ักเรียนทำใบงานท่ี 9 เร่ือง การใชก้ ล่มุ คำสร้างความสมั พนั ธ์ของประโยค แลว้ ร่วมกนั ตรวจสอบ
ความถูกตอ้ ง

ขั้นสรุป
8. นกั เรียนและครูรว่ มกันสรปุ ความรู้ ดังน้ี

- กลุ่มคำเกิดจากการนำคำมาเรยี งต่อกนั มีความหมายเพิ่มขึ้นและต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวพอเปน็ ท่ีเข้าใจ
แตย่ งั ไม่มคี วามบรบิ ูรณ์ต้องประกอบดว้ ยชนิดของคำตามหนา้ ทีต่ า่ ง ๆ เป็นภาคประธานและภาคแสดงการใช้

คำกล่มุ คำสร้างประโยคตามวัตถปุ ระสงคน์ ัน้ หลาย ๆ ประโยคอาจมีความสัมพนั ธ์ในหลายลักษณะจึงต้องเรียนรู้
ให้เขา้ ใจเพือ่ ใชป้ ระโยคสื่อสารไดถ้ กู ต้อง เหน็ ความสำคญั ของการใชภ้ าษาไทย

การจดั บรรยากาศเชงิ บวก
ให้นักเรียนระดมความคิดทำงานและร่วมกันวิเคราะห์กลุ่มคำในประโยคและลักษณะสัมพันธ์

ของประโยคจากขา่ วและวรรณคดีวรรณกรรม ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยและการใชภ้ าษาไทยทีถ่ ูกต้อง
และมปี ระสิทธิภาพ

ส่ือการเรยี นรู้
1. ใบงานที่ 9 เรือ่ ง การใชก้ ลุ่มคำสรา้ งความสมั พนั ธ์ของประโยค
2. ใบความรู้

การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

ส่งิ ทต่ี ้องการวดั วิธกี ารวัด เครื่องมอื ท่ีใช้ในการวดั เกณฑผ์ า่ น
1. อธบิ ายเกย่ี วกบั กลุ่มคำ (K) ผ่านเกณฑร์ ้อยละ
ทำแบบทดสอบ เร่ือง การใช้ แบบทดสอบ เร่ือง การใช้ 60
2.ใช้กล่มุ คำสรา้ งประโยคตาม
วัตถุประสงค์ (P) กลุ่มคำสรา้ งความสัมพันธข์ อง กลมุ่ คำสร้างความสมั พนั ธ์ ผา่ นเกณฑ์ระดบั
คณุ ภาพ 2
3. ตระหนักถงึ คุณคา่ ของการใช้ ประโยค ของประโยค
ภาษาไทยให้ถกู ต้อง (A) ผ่านเกณฑร์ ะดบั
ทำใบงานท่ี 9 เรือ่ ง การใช้ ใบงานท่ี 9 เรอ่ื ง การใช้ คุณภาพ 2

กลุ่มคำสร้างความสมั พนั ธ์ของ กลมุ่ คำสร้างความสัมพนั ธ์

ประโยค ของประโยค

สังเกตพฤติกรรมระหว่างเรียน แบบประเมินพฤติกรรม

ระหว่างเรยี น

การประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics)
การประเมนิ ใบงานท่ี 9 ให้ผู้สอนพิจารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics)

เรือ่ ง การใช้กลุ่มคำสรา้ งความสัมพันธข์ องประโยค

เกณฑ์การประเมนิ ระดบั คะแนน

การใช้กลมุ่ คำสร้าง 43 2 1
สัมพันธข์ องประโยค
อธิบายการใช้ อธบิ ายการใช้กลุ่มคำ อธิบายการใช้กลุ่มคำ อธิบายการใช้กลุ่มคำ

กลมุ่ คำสรา้ งสมั พนั ธ์ สร้างสัมพันธ์ของ สรา้ งสัมพนั ธ์ของ สรา้ งสัมพนั ธ์ของ

ของประโยคและ ประโยคและ ประโยคและโครงสร้าง ประโยคและโครงสรา้ ง

โครงสร้างได้อย่าง โครงสร้างได้อย่าง ได้อย่างสน้ั ๆ ตรง อย่างสั้น ๆ

ละเอยี ด ครอบคลุม ละเอียด ชัดเจน ประเดน็ แตไ่ มช่ ัดเจน

ชดั เจน ตรงประเด็น ตรงประเด็น

มกี ารยกตัวอย่าง

ประกอบทำให้เขา้ ใจ

มากย่งิ ข้ึน

ใบงานท่ี 9 เรื่อง การใชก้ ลุ่มคำสรา้ งความสัมพันธ์ของประโยค
วิชาภาษาไทย รหัส ท33101 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6

การใชก้ ล่มุ คำสรา้ งสัมพันธ์ของประโยคมีลักษณะใดบา้ งยกตวั อย่างประกอบ
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

ช่ือ – สกุล ...........................................................................................................ช้ัน ม.6/........... เลขที.่ .........

เฉลยใบงานที่ 9 เรอ่ื ง การใชก้ ลุ่มคำสร้างความสัมพันธข์ องประโยค
วชิ าภาษาไทย รหัส ท33101 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6

การใช้กลุ่มคำสร้างสัมพนั ธข์ องประโยคมลี กั ษณะใดบ้างยกตัวอย่างประกอบ

1. ประโยคทส่ี ัมพันธก์ ันทางเวลา
- พอฉันกลับถึงบ้านฝนกห็ ยุดตกพอดี

2. ประโยคสัมพนั ธ์ทางเหตุผล
- เขาขยนั เรยี นจงึ สอบได้ที่หนึ่ง

3. ประโยคที่สัมพนั ธโ์ ดยความหมายทำนองเดียวกนั
- ปา้ ทำขนมปงั ไส้ไก่อร่อยและทำขนมหวานอร่อยด้วย

4. ประโยคที่สัมพันธ์โดยมีความหมายขัดแย้ง
- พี่กนิ ข้าวแตน่ ้องกินขนม

5. ประโยคที่สมั พนั ธโ์ ดยการขยายความ
- นวลนารีชอบซ้ือตุก๊ ตา เธอชอบต๊กุ ตาลิงและหมี

6. ประโยคท่สี ัมพนั ธโ์ ดยการให้เลือกตวั เลือก
- ไม่ตำรวจก็ผรู้ า้ ยตอ้ งตายไปข้างหนึง่

แบบทดสอบ เรื่อง การใชค้ ำและกลมุ่ คำสร้างประโยค

วิชาภาษาไทย รหัส ท33101 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6

คำช้แี จง ใหน้ กั เรียนทำเครื่องหมาย X ทบั ตัวเลือกที่เปน็ คำตอบทถ่ี กู ต้องที่สดุ
1. คำในข้อใดเปน็ คำมูลพยางค์เดยี วทุกคำ

1 อยากกลบั ไปซบลงทต่ี รงตักแม่
2 คา่ น้ำนมแม่น้จี ะไม่มีอะไรเหมาะสม
3 จากเล็กจนโตโอ้แม่ถนอม
4 ปวดศีรษะกไ็ ปนอนพกั เสยี ก่อน
2. ขอ้ ใดเป็นคำมูลพยางคเ์ ดียวทุกคำ
1 รสดดี ้วยน้ำปลา
2 มัสมน่ั แกงแกว้ ตา
3 ของสวรรค์เสวยรมย์
4 ดจุ วาจากระบิดกระบวน
3. ขอ้ ใดใหค้ วามหมายของคำวา่ “กลุ่มคำ” ได้ถูกต้อง
1 ข้อความที่เกิดจากการนำคำตั้งแต่สองคำขึ้นไปมาเรยี งติดต่อกนั ทำใหเ้ กิดความหมาย

เพ่ิมข้นึ ตามความหมายของคำเดมิ ท่นี ำมารวมกัน
2 เป็นความหมายพอเป็นท่ีเข้าใจได้และสามารถเป็นประโยคท่ีสมบรู ณ์
3 เกิดเป็นคำใหมช่ นดิ ใดชนดิ หนึ่ง คือ คำประสม คำซ้อน คำซ้ำ คำสมาส หรือคำสนธิ
4 ถกู ทุกข้อ
4. วลีหรือกล่มุ คำในภาษาไทยสมารถจำแนกออกได้เปน็ ก่ีชนิด
1 3 ชนิด
2 5 ชนิด
3 7 ชนดิ
4 9 ชนดิ
5. “ถ้อยคำท่เี รียบเรียงขน้ึ เพื่อแสดงความคิดหรือเรื่องราวท่สี มบูรณ์และประกอบด้วยภาคประธาน
และภาคแสดง” มคี วามหมายตรงกับข้อใด
1 คำและคำรวม
2 คำและพยางค์
3 วลแี ละกล่มุ คำ
4 ประโยค

6. ขอ้ ใดใหค้ วามหมายของพยางค์ถกู ต้องที่สดุ
1 พยางค์ คือเสยี งท่เี ปลง่ ออกมาครั้งหน่งึ ๆ
2 พยางค์เกดิ จากเสียงพยญั ชนะ สระ และวรรณยุกต์ประสมกัน
3 พยางค์ คอื เสยี งที่เปล่งออกมาครัง้ หนง่ึ ๆ จะมีความหมายเสมอ
4 พยางค์ คือเสียงทเี่ ปล่งออกมาครั้งหนึง่ ๆ จะมีหรือไม่มีความหมายก็ได้

7. คำในข้อใดประกอบด้วยพยางค์เปิดและพยางค์ปิด
1 ใกลม้ ือ เน้ือหา
2 กมุ าร ฝนตก
3 วัวหาย ลอ้ มคอก
4 แดดออก สิบเบ้ยี

8. ขอ้ ใดกลา่ วได้ถกู ต้อง
1 เสียงที่เปลง่ ออกมา ประกอบด้วย เสียงพยัญชนะต้น เสยี งสระ และ เสียงวรรณยุกต์ เรียกว่า
“เสยี งพยางคเ์ ปิด”
2 เสียงทเ่ี ปลง่ ออกมาประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น เสยี งสระ เสียงพยัญชนะ
ตัวสะกดและเสยี งวรรณยกุ ต์ เรยี กวา่ “เสยี งพยางคป์ ดิ ”
3 พยางค์หนึ่งพยางค์ ถ้ามีความหมายเรียกวา่ “คำ” คำอาจมีเพียงพยางคเ์ ดียวหรือหลายพยางคก์ ็

ได้
4 ถกู ทุกข้อ

9. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกยี่ วกบั คำมูล
1 คำไทยแทท้ ุกคำเป็นคำมลู พยางค์เดยี ว
2 คำมลู อาจเปน็ คำมาจากภาษาอื่นก็ได้
3 คำมูลคือคำทอี่ อกเสียงหน่งึ ครัง้ และมีความหมาย
4 คำมูลที่มหี ลายพยางค์เปน็ คำมูลท่ีมาจากภาษาอนื่ เท่าน้นั

10. ขอ้ ใดไม่เป็นคำมลู
1 อิสรภาพ ลบล้าง
2 ประหลาด กำปัน่
3 แบตเตอรีโ่ ยธา
4 กะลาสี เสนา

เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น เรื่อง การใช้คำและกลมุ่ คำสร้างประโยค 5. 4
1. 1 2. 1 3. 1 4. 3 10. 1
6. 4 7. 3 8. 4 9. 2

ช่อื หน่วย : พัฒนาทักษะส่ือสารการเขียน หนว่ ยที่ : 2 เวลา : 9 ชว่ั โมง
ช่อื แผน : การเขียนแสดงทรรศนะและการเขียนโต้แยง้ (1) แผนที่ : 1 เวลา : 1 ชัว่ โมง
ชื่อวิชา : ภาษาไทย รหสั ท33101 ชั้น ม.6
ช่อื ผู้สอน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี

สาระสำคัญ
การแสดงทรรศนะและการโต้แย้งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในสงั คมประชาธปิ ไตยเพราะแต่ละบุคคลอาจมี

ความคิดเห็นท่ีแตกต่างกนั การแสดงทรรศนะทีด่ ีจะต้องเป็นประโยชน์และสรา้ งสรรค์ มีเหตผุ ล เหมาะแก่
กาลเทศะ และใช้ภาษาได้ชัดเจน สว่ นการโต้แย้งท่ีดี ประเด็นการโตแ้ ยง้ ควรสร้างสรรค์ มีเหตผุ ล มขี อ้ มลู ถูกต้อง
และใชภ้ าษาสภุ าพ

มาตรฐาน/ตวั ช้ีวัด
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขยี นเรยี งความ ย่อความ และเขียนเรอื่ งราว
ในรปู แบบตา่ ง ๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
ตัวชว้ี ดั
ท 2.1 ม. 4-6/1 เขยี นส่อื สารในรปู แบบต่าง ๆ ได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ โดยใช้ภาษาเรยี บเรยี ง
ถกู ตอ้ ง มขี ้อมูล และสาระสำคัญชัดเจน

จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธบิ ายเก่ียวกบั การเขียนแสดงทรรศนะได้ (K)
2. เขียนแสดงทรรศนะได้ (P)
3. ใฝเ่ รยี นรู้ (A)

สมรรถนะที่สำคัญของผู้เรยี น -
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา

คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ข้อท่ี 4 ใฝเ่ รยี นรู้
ตัวช้วี ดั และพฤติกรรมบง่ ชี้

ตัวชว้ี ัด พฤติกรรมบง่ ชี้
4.1 ตั้งใจ เพียรพยายามในการ 4.1.1 ตั้งใจเรยี น
เรียนและการเข้ารว่ มกิจกรรม 4.1.2 เอาใจใส่และมคี วามเพียรพยายามในการเรียนรู้
การเรยี นรู้ 4.1.3 สนใจเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียนรตู้ า่ งๆ

สาระการเรยี นรู้
1. การเขียนแสดงทรรศนะ

กิจกรรมการเรยี นรู้
1.ขน้ั นำ
1. ครนู ำนักเรยี นสนทนาด้วยการใหบ้ อกข้อดแี ละข้อเสียระหว่างการมาโรงเรยี นดว้ ยรถโดยสารประจำทาง

และการมาโรงเรียนดว้ ยรถส่วนตัว แลว้ ยกตวั อย่างการแสดงความคิดเหน็ และการโตแ้ ย้งของนักเรียน
2. ให้นักเรยี นรว่ มกันแสดงความคดิ เห็นในหัวข้อ “ ส่ิงใดเป็นปจั จยั ทท่ี ำให้เกิดความแตกตา่ งระหว่าง

ทรรศนะของบุคคล” ( ตัวอย่างคำตอบ ความแตกตา่ งด้านสติปญั ญา ความถนัด ประสบการณ์ ส่ิงแวดลอ้ ม
ความเชื่อ ค่านิยม)

3. ครแู จง้ จุดประสงค์ให้นักเรียนทราบวา่ การแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตผุ ล คือ การแสดงทรรศนะแต่
เมือ่ ไม่เห็นด้วยกบั ทรรศนะนั้น สามารถหาเหตผุ ลมาคัดค้าน หรอื อธบิ ายได้ น่นั คอื การโต้แย้ง นักเรียนต้องเขา้ ใจ
หลักการจึงจะสามารถแสดงทรรศนะและโตแ้ ยง้ ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ

2. ข้นั สอน
1. ให้นกั เรียนแบ่งกลุ่ม กลุม่ ละ 4 – 5 คน (ประมาณ 5 – 6 กลุม่ โดยใชว้ ิธกี ารสมุ่ )
2. ครแู ละนกั เรยี นศึกษาความรเู้ รอ่ื ง การเขยี นแสดงทรรศนะพร้อมกนั จากส่ือ power point ครผู สู้ อน
อธิบายเพิม่ เตมิ และยกตวั อยา่ งขอ้ ความแสดงทรรศนะประเภทต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจชดั เจนมากยง่ิ ข้ึน
3. นกั เรียนเล่นเกมตอบคำถามจากโปรแกรม kahoot เพื่อตรวจสอบความเข้าใจเกยี่ วกบั การแสดง
ทรรศนะ
4. นกั เรียนรว่ มกนั ทำใบกิจกรรมท่ี 1 พิจารณา นานาทรรศนะ แล้วเฉลยคำตอบรว่ มกัน
5. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มจบั สลากเลือกหวั ข้อเพอื่ เขียนแสดงทรรศนะประเภทต่าง ๆ กลุ่มละ 1 หัวข้อ ทำใบ
กิจกรรมที่ 2 แสดงทรรศนะของฉัน แล้วสง่ ตวั แทนออกมานำเสนอหนา้ ช้นั เรยี นในชัว่ โมงตอ่ ไป
3.ขั้นสรปุ
1. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรุปเกย่ี วกับการใชภ้ าษาในการเขยี นแสดงทรรศนะ การเขยี นแสดงทรรศนะที่ดี
และปจั จัยทีช่ ว่ ยส่งเสรมิ การเขยี นแสดงทรรศนะ

ส่อื และ แหล่งการเรียนรู้
1. ตวั อยา่ งข้อความแสดงทรรศนะ
2. power point เรื่อง การเขียนแสดงทรรศนะ
3. kahoot เรือ่ ง การแสดงทัศนะ
4. ใบกจิ กรรมที่ 1 พิจารณา นานาทรรศนะ

5. ใบกจิ กรรมที่ 2 แสดงทรรศนะของฉัน
5. หนังสอื เรียนวชิ าภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษา
6. Internet

การวดั และ ประเมนิ ผล (มกี ารวัดทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถึงภาระงาน/ช้ินงาน)

ส่ิงทีต่ อ้ งการวัด วิธีการวดั เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวัด เกณฑผ์ ่าน
ผ่านเกณฑ์
1. อธบิ ายเก่ยี วกับการเขยี น 1. ทำใบกิจกรรมท่ี 1 พจิ ารณา 1. ใบกิจกรรมที่ 1 พิจารณา นานา ร้อยละ 60
ผา่ นเกณฑ์ระดบั
แสดงทรรศนะได้ (K) นานาทรรศนะ ทรรศนะ คณุ ภาพ 2
ผา่ นเกณฑ์ระดบั
2. เขียนแสดงทรรศนะได้ 1. ทำใบกิจกรรมที่ 2 แสดง 1. ใบกจิ กรรมที่ 2 แสดงทรรศนะ คณุ ภาพ 2

(P) ทรรศนะของฉันทำแบบฝึกหดั ของฉัน

3. ใฝเ่ รยี นรู้ (A) 1.สงั เกตพฤตกิ รรมระหวา่ งเรียน แบบประเมินพฤตกิ รรมระหวา่ ง

เรยี น

เกณฑก์ ารวดั และ ประเมินผล

1. ดา้ นความรู้ กำหนดเกณฑ์การให้คะแนน/ระดับคณุ ภาพ ดงั นี้

คะแนน ความสามารถของนักเรียน
ผา่ น 1. ใบกิจกรรมที่ 1 พิจารณา นานาทรรศนะ ถูกต้อง 3 ข้อขึน้ ไป
ไมผ่ ่าน 1. ใบกจิ กรรมที่ 1 พจิ ารณา นานาทรรศนะถกู ตอ้ ง ต้ังแต่ 0-2 ข้อ

2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ กำหนดเกณฑ์การให้คะแนน/ระดับคุณภาพ ดงั น้ี

คะแนน/ระดับคุณภาพ ความสามารถของนกั เรยี น
3 มีความเขา้ ใจ สามารถอธิบาย ตอบคำถามและดำเนนิ การแก้ปัญหาได้คำตอบท่ีถูกต้อง
ครบถ้วนเป็นอย่างดีเยย่ี มและชดั เจน
ดเี ย่ียม มีความค่อนข้างเขา้ ใจ สามารถอธบิ าย ตอบคำถามและดำเนินการแก้ปัญหาได้คำตอบที่
2 ถูกต้องเปน็ อยา่ งดี
ดี มีความเข้าใจพอสมควร สามารถอธิบาย ตอบคำถามและดำเนนิ การแกป้ ัญหาได้คำตอบที่
1 ถูกต้องได้เปน็ บางสว่ น
ผา่ น ไมม่ ีความเข้าใจ ไม่สามารถอธิบาย ไม่สามารถตอบคำถามและดำเนินการแกป้ ัญหาได้
0 คำตอบทถี่ ูกตอ้ งได้

ไม่ผ่าน (ปรับปรุง)

3. ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) กำหนดเกณฑ์การให้คะแนน/ระดบั คณุ ภาพ ดงั น้ี
ขอ้ 4 ใฝ่เรยี นรู้
ตวั ช้วี ดั ท่ี 4.1 ต้ังใจเพยี รพยายามในการเรียนและเข้าร่วมกจิ กรรม

พฤติกรรมบ่งช้ี พฤติกรรมสำคัญ ระดบั คณุ ภาพ
ดี (2) ผา่ น (1)
ดีเยีย่ ม (3) ไม่ผา่ น
4.1.1 ต้งั ใจเรยี น 1. เขา้ เรยี นตรงเวลา เขา้ เรียนตรง เข้าเรียนตรงเวลา (ปรบั ปรุง) (0)
4.1.2 เอาใจใส่ 2. ทำงานถกู ต้อง สง่ เขา้ เรียนตรง เข้าเรยี นไม่ตรง
และมคี วามเพยี ร งานครบ เวลา ตง้ั ใจเรยี น เวลา ต้งั ใจเรยี น ตั้งใจเรยี น เอาใจ เวลา ไมต่ ั้งใจ
พยายามในการ 3. ทำงานท่ไี ดร้ บั เอาใจใส่ และมี เรียน ไม่มีส่วน
เรยี นรู้ มอบหมายสำเรจ็ ความเพียร เอาใจใส่ และมี ใส่ และมคี วาม ร่วมในกจิ กรรม
4.1.3 มีสว่ นร่วม ครบถ้วน ถกู ต้อง พยายามในการ การเรียน
ในการเรียนรู้และ 4. มีสว่ นรว่ มใน เรียนรู้ มีสว่ น ความเพียร เพยี รพยายามใน
เขา้ ร่วมกจิ กรรม กจิ กรรมการเรียน รว่ มในกจิ กรรม
ตา่ งๆ การเรียนเปน็ พยายามในการ การเรยี นรู้ มสี ว่ น
ประจำ
เรยี นรู้ มีสว่ น รว่ มในกิจกรรม

รว่ มในกจิ กรรม การเรียนเปน็

การเรยี น บางครงั้

บ่อยครั้ง

การประเมินพฤติกรรมการเรียนรขู้ องนักเรยี นระหว่างเรยี น
ด้านด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) : ข้อ 4 ใฝ่เรยี นรู้
หลักการประเมิน : การประเมินครงั้ นจ้ี ะทำการประเมนิ เป็นกลุ่มโดยครผู ู้สอนจะเป็นผูป้ ระเมนิ ตามเกณฑป์ ระเมิน
ดังน้ี 3 หมายถึง ดีเย่ยี ม 2 หมายถงึ ดี 1 หมายถึง ผา่ น 0 หมายถึง ไม่ผ่าน/ปรับปรุง

เลขที่ ตวั ช้วี ัดที่ 4.1 รวม สรปุ ผลการประเมนิ
รายการประเมิน (เฉล่ีย) ผา่ น ไม่ผา่ น
พฤติกรรมบ่งชี้
123

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20

ขอ้ เสนอแนะ
............................................................................................................................. .........................................

.......................................................................................... ..........................................................................................
ลงชื่อ............................................ผู้ประเมิน
( นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี )

เกณฑ์การประเมนิ คะแนน 2.5 – 3.0 ระดบั คุณภาพ ดีเยยี่ ม (3)
คะแนน 1.5 – 2.4 ระดับคุณภาพ ดี (2)
คะแนน 1.4 – 1.0 ระดับคุณภาพ ผ่าน (1)
คะแนน 0.9 – 0 ระดับคุณภาพ ไม่ผา่ น (0)

กลุ่ม...........

วิชา ภาษาไทย ใบกิจกรรมท่ี 1 พิจารณา ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่6
รหสั ท33101 นานาทรรศนะ

คำชแี้ จง ให้นกั เรยี นพจิ ารณาขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แล้วตอบคำถามให้ถูกต้อง

1. ข้อความต่อไปนเ้ี ปน็ การแสดงทรรศนะประเภทใด

"การจะทำใหพ้ ่อแมผ่ ูป้ กครองยอมรับและเลิกค่านยิ มการนำบุตรหลานเขา้ เรยี นโรงเรยี นที่มีชื่อเสยี งเปน็

เร่อื งทด่ี ี แตร่ ฐั บาลต้องเร่งขยายและพฒั นาโรงเรยี นทกุ แห่งให้มีคุณภาพเท่าเทียมกนั "

1. เชงิ คณุ ค่า 2. เชิงข้อเทจ็ จริง

3. เชิงคุณคา่ และนโยบาย 4. เชิงขอ้ เทจ็ จริงและเชงิ คณุ ค่า

เพราะเหตุใด ............................................................................................................................. .................................

2. ข้อความต่อไปนเ้ี ป็นทรรศนะประเภทใด

"สตั ว์ในสวนสตั ว์ไรช้ ีวติ จิตใจท่เี ป็นธรรมชาติของมัน นง่ั ๆ เดิน ๆ เพือ่ รอวันตายให้พ้นทุกขพ์ ้นร้อนไป

เทา่ นัน้ สวนสัตวแ์ บบเดิมนี้ จงึ เปน็ การรังแกสตั ว์อย่างเปิดเผยอย่างหนึง่ นัน่ เอง"

1. ทรรศนะเชิงข้อเท็จจริง 2. ทรรศนะเชงิ คุณคา่

3. ทรรศนะเชงิ นโยบาย 4. ทรรศนะเชิงค่านิยม

เพราะเหตุใด ..............................................................................................................................................................

3. “การเกดิ วาตภัยและอุทกภยั อย่างร้ายแรงขนึ้ ทางภาคใต้ในคร้งั นี้ สาเหตุสำคัญเหน็ จะมาจากการตดั ไม้

ทำลายปา่ ” ข้อความขา้ งตน้ นี้เปน็ การแสดงทรรศนะประเภทใด

1. ทรรศนะเกย่ี วกับข้อเท็จจริง 2. ทรรศนะเกยี่ วกับคุณค่า

3. ทรรศนะเกี่ยวกบั นโยบาย 4. ทรรศนะเกย่ี วกับคา่ นยิ ม

เพราะเหตุใด ............................................................................................................................. .................................

4. "งวงชา้ ง คือ จมกู แต่มนั ก็เหมือนมือของเราดว้ ย ชา้ งสามารถมว้ นงวงของมันได้อยา่ งสบาย เพราะงวงไม่มี

กระดูก จงึ ใชง้ วงเหมือนคนอื่นใชม้ อื จะถอนหญ้า เด็ดใบไมอ้ อกจากตน้ และหยิบของได้สารพัด แม้กระท่งั อุ้มลูก

จะใชง้ วงเป่าเป็นเสียงแหลมแสบหูกไ็ ด้ และยังใช้จบั ลูกบอล หรอื เอางวงดูดน้ำแลว้ พน่ เข้าปากหรอื เอาฉีดล้างเน้อื

ลา้ งตวั ก็ได้ โดยท่ีงวงสำคัญเช่นน้ี ช้างจึงคอยดแู ลงวงของมันไวอ้ ย่างดีมิใหต้ ้องบาดเจบ็ อันเป็นเหตุหน่งึ ทีช่ ้างไม่ใช้

งวงสูก้ ัน" ข้อความข้างต้นน้เี ป็นทรรศนะประเภทใด

1. ทรรศนะเกี่ยวกบั นโยบาย 2. ทรรศนะเกยี่ วกับคา่ นยิ ม

3. ทรรศนะเกยี่ วกับข้อเท็จจริง 4. ทรรศนะเกี่ยวกบั ข้อเท็จจริงและคุณค่า

เพราะเหตุใด ..............................................................................................................................................................

5.“ การทแี่ ม่ปูจะสงั่ สอนลูกปูใหเ้ ดนิ ตรง ๆ นนั้ ยากที่จะสำเร็จ เพราะแบบอยา่ งการเดินของแมป่ นู นั้ มันก็คดไปคด

มาอย่แู ล้ว” กลมุ่ ...........

1. ทรรศนะเชงิ คุณคา่ 2. ทรรศนะเชงิ ข้อเท็จจริง

3. ทรรศนะเชงิ ข้อเท็จจริงและคุณค่า 4. ทรรศนะเชิงข้อเทจ็ จรงิ และนโยบาย

วชิ า ภาษาไทย ใบกิจกรรมที่ 2 ทรรศนะของฉัน กล่มุ ...........
รหสั ท33101 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่6

1. ให้นักเรยี นกำหนดประเด็นเพื่อเขยี นแสดงทรรศนะตามที่กำหนด ความยาว 4 – 5 บรรทัด

เขียนแสดงทรรศนะเก่ียวกับ..........................................................................................................

............................................................................................................................ .................................................

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

............................................................................................................................. ................................................

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

เปน็ ทรรศนะเกย่ี วกับ...................................................................................................................................

2. ให้นักเรยี นเขยี นแสดงทรรศนะเกย่ี วกบั “นโยบายด้านระเบียบวินยั ของโรงเรยี น” ความยาว 4 - 5 บรรทดั
............................................................................................................................. ................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
................................................................................................................................................. ............................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

วชิ า ภาษาไทย แบบทดสอบ เร่อื ง การเขียนแสดง ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี6
รหสั ท33101 ทรรศนะและการเขยี นโตแ้ ย้ง

คำชี้แจง ใหน้ ักเรยี นทำเครือ่ งหมาย x ทับตัวเลอื กทถี่ ูกต้องทีส่ ุด

1. ขอ้ ใดเป็นทรรศนะเชิงคณุ ค่า
1. ภาวะโลกร้อนเป็นปญั หาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบันซงึ่ เกดิ จากการสะสมของกา๊ ซทีท่ ำใหเ้ กิดปฏิกิรยิ า

เรอื นกระจก ถงึ เวลาแลว้ ท่ีเราควรสร้างมาตรการเพอ่ื การชว่ ยลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง
2. ขอ้ ดีของไฟฟ้าพลังงานนิวเคลยี ร์คือเช้อื เพลงิ มีราคาถกู และผลิตพลังงานไฟฟา้ ไดป้ รมิ าณมาก และมี

ของเสียจากการผลิตน้อย ซ่งึ นา่ จะเหมาะกับประเทศทจ่ี ะก้าวไปสกู่ ารพฒั นาอย่างประเทศของเรา
3. การจดั การสอนเสริมสำหรับนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ ก่อนการสอบเข้ามหาวทิ ยาลยั นอกจากช่วย

ใหน้ กั เรียนได้ทบทวนความรู้แล้ว ยังทำให้นักเรียนมโี อกาสทดลองทำข้อสอบกอ่ นการสอบจริง จึงควรจัดการสอน
เสริมข้ึนในโรงเรยี นของเรา

4. การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนนา่ จะชว่ ยให้การจดั กจิ กรรมการเรียนรมู้ ี
ประสทิ ธิภาพมากข้นึ เพราะนักเรยี นจะไดเ้ รียนรู้จากส่ือท่ีหลากหลายและไดเ้ ห็นตัวอยา่ งขอ้ มูลตา่ ง ๆ มากกว่าใน
หนงั สือเรียน

2. ข้อใดเปน็ กระบวนการในการโตแ้ ย้ง 2. ใชภ้ าษาท่ีเดด็ ขาดในการโต้แยง้
1. มองหาความผดิ พลาดของฝ่ายตรงขา้ ม 4. ยนื ยนั ความคิดของตนเองอยา่ งม่นั คง
3. ค้นหาและเรียบเรยี งข้อสนับสนนุ ของตน

3. “ผมไม่สนวา่ คุณคดิ อยา่ งไร แตค่ วามคดิ ของผมคือ...” ประโยคนีส้ ามารถเขียนในรูปการเขียนโต้แยง้ ทีเ่ หมาะสม
ไดอ้ ยา่ งไร

1. ไม่วา่ ใครจะคดิ อยา่ งไร ก็ไมจ่ ำเปน็ ต้องสนใจ นอกจากความคดิ ของข้าพเจ้าท่ีวา่ ...
2. มีผูก้ ล่าวถึงประเดน็ นี้ไวม้ ากมายหลายทรรศนะ แต่ในทรรศนะของข้าพเจา้ นัน้ เห็นวา่ ...
3. ไมม่ คี วามคดิ ของใครจะสำคัญไปกว่าความเช่อื มั่นในความคดิ ของตัวเอง ซง่ึ ข้าพเจ้าคิดว่า...
4. อย่าใหค้ วามคิดของคนอน่ื มาสัน่ คลอนความเช่ือม่นั ของเรา ขอให้เชอ่ื ในความคิดของข้าพเจา้ ที่ว่า...

4. ขอ้ ใดเป็นการใช้ภาษาในการเขยี นโต้แย้งที่เหมาะสมท่สี ดุ
1. แมจ้ ะมีผ้กู ลา่ วถึงข้อดีของการสร้างโรงไฟฟ้าพลงั งานนิวเคลียร์มากเพียงไร แตเ่ ราก็ปฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่

ข้อเสยี นนั้ กย็ ังคงมีอยู่
2. การกนิ อาหารประเภทแป้งและน้ำตาลไมเ่ ป็นผลดีต่อสุขภาพกจ็ ริง แตใ่ นเมือ่ ยังมีผลติ ภณั ฑ์เหลา่ นั้น

วางขายอยู่ทว่ั ไปแล้ว จะบอกว่าเป็นอันตรายคงไม่ได้

3. อาจมีคนจำนวนมากเห็นด้วยกบั ความคดิ ทว่ี า่ การใชน้ วัตกรรมในการสอนเป็นสงิ่ ท่ีดี แตจ่ รงิ ๆ แลว้ มัน
กลบั เปน็ เรอื่ งเสยี เวลาโดยเปล่าประโยชน์

4. ในเม่ือผู้ที่ออกมากล่าวอา้ งทฤษฎีกำเนิดจักรวาลไม่มผี ้ใู ดเคยเหน็ การเกิดของจกั รวาล
ทีแ่ ทจ้ รงิ ส่งิ ต่าง ๆ จึงเปน็ เพยี งการคาดเดาทีเ่ ชอ่ื ถือไม่ได้ทั้งน้ัน

5. แมก้ ารจดั การเรียนการสอนแบบ E – Learning จะอำนวยความสะดวกใหผ้ เู้ รียนและผสู้ อนให้พ้นข้อจำกดั เรอ่ื ง

เวลา และสถานทีใ่ นการเรยี นรู้ แตก่ ารจัดการเรียนการสอนแบบนก้ี ท็ ำใหข้ าดการมีปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างผูเ้ รยี นกบั

ผูส้ อนซง่ึ ถือเป็นส่งิ สำคญั ประการหน่ึงในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน

การโตแ้ ย้งน้ใี ชก้ ระบวนการโต้แย้งในข้อใด

1. การชใี้ ห้เหน็ ขอ้ ดีและข้อเสีย 2. การต้ังประเดน็ ในการโตแ้ ย้ง

3. การหาขอ้ สนับสนุนการโตแ้ ยง้ 4. การนิยามคำสำคญั ในการโตแ้ ย้ง

6. ข้อใดคือความหมายของทรรศนะ
1. การแสดงความคิดเหน็ ทป่ี ระกอบด้วยเหตแุ ละผล
2. การแสดงความคิดเห็นตามความเช่ือของตน
3. การมุง่ ใชค้ วามเห็นของตนหักลา้ งความคิดของผูอ้ ื่น
4. การสง่ สารเพอ่ื ปรับเปลย่ี นพฤติกรรมหรือความคดิ ของผู้อ่ืน

7. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ลักษณะของการเขียนแสดงทรรศนะ 2. มีข้อมลู ประกอบชดั เจนและน่าเช่อื ถือ
1. แสดงความคดิ เหน็ บนพนื้ ฐานของเหตผุ ล 4. ไม่ขดั แย้งกบั ทัศนคติของผ้อู ื่น
3. แสดงความคดิ เหน็ อยา่ งสร้างสรรค์

8. ส่วนใดของทรรศนะทีร่ ะบุข้อเทจ็ จรงิ และหลักการ 2. ขอ้ สรปุ ของทรรศนะ
1. ที่มาของการแสดงทรรศนะ 4. เหตุผลในการแสดงทรรศนะ
3. ข้อสนับสนุนของทรรศนะ

9.ข้อใดเปน็ การแสดงทรรศนะท่ีเหมาะสมสำหรับคำถาม
“ทา่ นคดิ อยา่ งไรกับการคุยโทรศพั ทใ์ นช้ันเรียน”
1. ไม่เหมาะสม เพราะเสยี งดงั สร้างความรำคาญให้คนอนื่ ดูไม่มีมารยาทและเป็นสิง่ ท่ีไม่ควรทำอย่างย่ิง
2. การคยุ โทรศัพทใ์ นชน้ั เรยี นเปน็ พฤติกรรมที่ไมเ่ หมาะสม เพราะแสดงถงึ การไมใ่ หเ้ กยี รติอาจารย์ผู้สอน

และอาจรบกวนสมาธขิ องเพ่ือนในชัน้ เรยี น
3. การคุยโทรศัพท์ในชัน้ เรยี นอาจทำได้ถ้ามเี หตผุ ลดีพอ ไม่ควรห้ามไม่ใหค้ ยุ โทรศัพท์ เพราะคนที่โทรมา

อาจมปี ัญหาจริง ๆ ก็ได้

4. การคุยโทรศพั ท์ในช้ันเรียนใชเ้ วลาแค่ส้นั ๆ ไมน่ ่าจะรบกวนการเรยี นจนถึงข้ันหา้ มโทรศพั ท์ และคนท่ี
คุยกไ็ มไ่ ด้คยุ เสยี งดังมาก

10. ขอ้ ความใดเปน็ การแสดงทรรศนะ
1. ปจั จบุ ันนีป้ า่ ชายเลนของไทยลดลงไปมาก
2. ซึ่งเกิดจากการรกุ ลำ้ พืน้ ท่ีป่าเพอ่ื ทำนากุ้ง
3. และการปลอ่ ยน้ำเสียจากโรงงานอตุ สาหกรรม
4. เราควรคิดหาวธิ ีการอนรุ ักษ์และเพมิ่ พื้นท่ปี า่ ชายเลนให้มากข้ึน

******************

ชอื่ หน่วย : พัฒนาทักษะส่ือสารการเขยี น หนว่ ยท่ี : 2 เวลา : 9 ช่วั โมง
ช่อื แผน : การเขยี นโนม้ น้าวใจ แผนท่ี : 2 เวลา : 1 ชั่วโมง
ชื่อวิชา : ภาษาไทย รหสั ท33101 ช้นั ม.6
ชอ่ื ผูส้ อน : นางสาวพริ าวรรณ โฉลกดี

สาระสำคัญ
การเขียนโนม้ นา้ วใจเปน็ การพยายามทำใหผ้ ู้อ่นื เปลีย่ นแปลงพฤติกรรม ทศั นคติ ความเชื่อ หรือคา่ นิยม

โดยใช้ข้อความทส่ี ร้างสรรค์ มีเจตนาดี มจี ุดประสงค์ มคี ุณธรรมจริยธรรม และใช้ภาษาไปในทางเสนอแนะ ออ้ น
วอน ขอร้อง ไม่ขูเ่ ข็ญ คุกคาม บงั คบั หรอื หลอกลวง

มาตรฐาน/ตัวช้ีวัด
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 2.1 ใชก้ ระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขยี นเรยี งความ ย่อความ และเขียนเร่อื งราว
ในรปู แบบต่าง ๆ เขยี นรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอยา่ งมี
ประสิทธภิ าพ
ตัวชวี้ ัด
ท 2.1 ม. 4-6/1 เขียนส่ือสารในรปู แบบตา่ ง ๆ ได้ตรงตามวตั ถุประสงค์ โดยใช้ภาษาเรียบเรียง
ถกู ต้อง มีข้อมูล และสาระสำคญั ชัดเจน
ท 2.1 ม. 4-6/4 ผลิตงานเขียนของตัวเองในรปู แบบต่าง ๆ
ท 2.1 ม. 4-6/8 มีมารยาทในการเขียน

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ (แสดงใหเ้ ห็นถงึ ภาระงาน/ชิ้นงาน)
ดา้ นความรู้ (K) :
1. อธิบายเกีย่ วกับการเขียนโนม้ นา้ วใจได้ (K)
ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) :
1. เขียนโนม้ น้าวใจได้ (P)
ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) :
1. ใฝ่เรียนรู้ (A)

สมรรถนะทีส่ ำคัญของผเู้ รยี น
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
- ทกั ษะการอา่ น
- ทักษะการเขียน
- ทกั ษะการฟงั การดู และการพูด

2. ความสามารถในการคิด
- การจำแนก
- การใหเ้ หตผุ ล
- การวิเคราะห์
- การสงั เคราะห์
- การประยุกต์/การปรบั ปรุง
- การสรุปความรู้
- การประเมนิ คา่

3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา

การอ่าน คดิ วิเคราะห์และเขียน
ตวั ชวี้ ดั ที่ 1 สามารถคัดสรรสอ่ื ที่ต้องการอา่ นเพือ่ หาข้อมลู สารสนเทศไดต้ ามวตั ถปุ ระสงค์ สามารถสร้าง
ความเขา้ ใจและประยุกต์ใชค้ วามรู้จากการอา่ น
ตัวชว้ี ดั ที่ 2 สามารถจบั ประเด็นสำคญั และประเด็นสนับสนุนโต้แย้ง
ตัวช้วี ัดที 4 สามารถสรปุ คณุ ค่า แนวคิด แงค่ ิดท่ไี ด้จากการอ่าน
ตวั ชี้วดั ท่ี 5 สามารถสรปุ อธิบาย ขยายความ แสดงความเห็นโต้แย้ง สนับสนนุ โนม้ นา้ ว โดยการเขียน
สือ่ สารในรูปแบบตา่ งๆ เชน่ ผงั ความคิด เป็นตน้

คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

ข้อท่ี 4 ใฝเ่ รยี นรู้

ตัวช้ีวัดและพฤติกรรมบ่งช้ี

ตัวชี้วัด พฤติกรรมบง่ ชี้

4.1 ต้งั ใจ เพยี รพยายามในการ 4.1.1 ตง้ั ใจเรยี น

เรยี นและการเขา้ ร่วมกิจกรรม 4.1.2 เอาใจใส่และมคี วามเพียรพยายามในการเรียนรู้

การเรยี นรู้ 4.1.3 สนใจเข้ารว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ตา่ งๆ

สาระการเรยี นรู้ (เนื้อหา-เขยี นเป็นรายข้อ)
1. การเขยี นโน้มน้าวใจ

กจิ กรรมการเรยี นรู้ (มีข้ันทแ่ี สดงให้เห็นถงึ ภาระงาน/ชน้ิ งาน)
ช่ัวโมงท่ี 1
นกั เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เรอ่ื ง การเขยี นโนม้ นา้ วใจและการเขียนเชิญชวน
1.ข้นั นำ
1. ครูให้นักเรียนดปู า้ ยโฆษณาท่ีครเู ตรยี มไว้ ใหน้ กั เรยี นเลือกวา่ ชอบป้ายโฆษณาช้ินใด โดยตัง้ คำถามวา่

“เพราะเหตใุ ดนักเรยี นจงึ ชอบโฆษณาน”ี้ และ “โฆษณาท่นี ักเรยี นชอบมีการใช้ภาษาทีน่ ่าสนใจอย่างไร”
2. ขนั้ สอน

1. ให้นักเรียนศึกษาความรเู้ ร่ือง การเขียนโน้มนา้ วใจ ครอู ธบิ ายเพมิ่ เตมิ และยกตวั อย่างข้อความ
โนม้ น้าวใจ แล้วใหน้ กั เรียนวเิ คราะหก์ ารใช้ภาษาในการโนม้ นา้ วใจ

ตัวอย่างข้อความ

- ทุกวันน้ศี ึกไกลยังไม่หว่ ง แต่หวั่นทรวงศกึ ใกลไ้ ลข่ ่มเหง

ถา้ คนไทยหนั มาฆ่ากันเอง จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟงั

- ยาเสพตดิ เป็นพิษแก่ตน กลายเป็นคนสิน้ คิด ชวี ิตต้องอบั ปาง

- รถราจะไม่ตดิ ขดั ถ้าเราปฏบิ ัติตามกฎจราจร

( ตวั อย่างคำตอบ การใช้ภาษาโน้มน้าวใจจะเปน็ การใช้ภาษาในเชิงเสนอแนะ ขอรอ้ ง วิงวอน หรือเร้าใจ
ซ่ึงในการใช้ถอ้ ยคำให้เกิดน้ำเสยี งดงั กลา่ ว จะต้องเลือกใชค้ ำท่ีสอ่ื ความหมายตามทต่ี ้องการ โดยคำนึงถึง จงั หวะ
และความน่นุ นวลในนำ้ เสียงที่สรา้ งความรสู้ กึ ให้เกิดความคลอ้ ยตาม ไม่กลา่ วเดด็ ขาด ไม่เป็นคำสัง่ หรือแสดง
อำนาจ )

2. ใหน้ กั เรยี นแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ 3 - 4 คน เขยี นข้อความโน้มน้าวใจใหท้ ุกคนเสยี สละเพื่อโรงเรยี น แลว้
สง่ ตวั แทนออกมานำเสนอหน้าช้นั เรียน

3. ให้นกั เรียนและครูรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั ข้อความทแ่ี ต่ละกลุ่มนำเสนอว่าเหมาะสมหรือไม่
และมีสว่ นใดที่ควรปรบั ปรุงแก้ไขหรือไม่ แลว้ ใหน้ ักเรียนช่วยกนั เลอื กข้อความที่ช่นื ชอบมากทสี่ ุด 1 ข้อความ แลว้
นำข้อความทง้ั หมดไปจัดเปน็ ป้ายนิเทศหัวข้อ “เรารักโรงเรยี น” นอกชวั่ โมงเรียน โดยใหข้ ้อความท่ถี ูกเลอื กจัดอยู่
ในตำแหน่งสะดุดตาทส่ี ุดของปา้ ยนิเทศ

ข้ันสรปุ
1. ใหน้ กั เรียนรว่ มกันแสดงความคิดเหน็ โดยครใู ช้คำถามทา้ ทาย ดงั นี้

- นกั เรยี นคิดวา่ การโน้มนา้ วใจมบี ทบาทในสงั คมปัจจุบันอย่างไร
2. ให้นักเรยี นและครูร่วมกันสรุปความรู้ ดังนี้
การเขยี นโน้มน้าวใจเป็นการพยายามทำให้บุคคลอื่นเปลยี่ นพฤติกรรม ทัศนคติ ความเช่ือ หรือค่านิยม
โดยใช้ขอ้ ความที่สร้างสรรค์ มีเจตนาดี มีจุดประสงค์ มีคุณธรรมจรยิ ธรรม และใชภ้ าษาไปในทางเสนอแนะ
ออ้ นวอน ขอร้อง ไมข่ เู่ ข็ญ คุกคาม บงั คบั หรือหลอกลวง

สื่อ และ แหล่งการเรียนรู้
1. ตัวอย่างข้อความโนม้ นา้ วใจ
2. ตัวอยา่ งโฆษณา
3. แบบทดสอบ เรือ่ ง การเขยี นโน้มนา้ วใจและการเขียนเชิญชวน
4. หนังสอื เรียนวชิ าภาษาไทย หลักภาษาและการใชภ้ าษา
5. Internet
6. หอ้ งสมุด


Click to View FlipBook Version