ชื่อหน่วย : ครองไว้ซ่ึงวรรณคดี หนว่ ยท่ี : 5 เวลา : 9 ชั่วโมง
ชื่อแผน : ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกา แผนท่ี : 1 เวลา : 1 ชั่วโมง
ชอ่ื วิชา : ภาษาไทย รหสั ท33101 ชั้น ม.6
ชอื่ ผู้สอน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง
เหน็ คุณค่า และนำมาประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ จริง
ตัวช้ีวัด
ท 5.1 ม. 4-6/1 วิเคราะหแ์ ละวจิ ารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์เบอื้ งตน้
ท 5.1 ม. 4-6/5 รวบรวมวรรณกรรมพ้ืนบ้านและอธิบายภูมปิ ัญญาทางภาษา
ท 5.1 ม. 4-6/6 ท่องจำและบอกคุณค่าบทอาขยานตามท่ีกำหนด และบทร้อยกรองท่ีมีคณุ ค่าตาม
ความสนใจและนำไปใช้อา้ งอิง
จดุ ประสงค์การเรยี นรสู้ ู่ตัวชี้วดั
1. บอกความหมายของคำศัพทแ์ ละรูปแบบคำประพนั ธข์ องบทเสภาเรอ่ื ง ขนุ ช้างขนุ แผน ตอน
ขนุ ช้างถวายฎกี าได้ (K)
2. ท่องจำร้อยกรองจากบทเสภาเร่ือง ขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี าได้ (P)
3. ตระหนกั ถึงคณุ ค่าของวรรณคดไี ทย (A)
สาระสำคญั
บทเสภาเรื่อง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ได้รับยกย่องจากวรรณคดสี โมสรว่าเป็นยอดกลอนเสภาทด่ี ีเลศิ ท้ังใน
ด้านกระบวนกลอนและดา้ นเนื้อเรื่อง ซ่ึงไดร้ บั ความนิยมอย่างแพรห่ ลาย
สาระการเรียนรู้
1. เนอื้ เร่ืองย่อบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา
2. คำศัพทจ์ ากบทเสภาเรอ่ื ง ขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา
3. ลกั ษณะคำประพันธ์ของบทเสภาเร่อื ง ขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า
สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
- ทกั ษะการอา่ น
- ทักษะการฟัง การดู และการพดู
2. ความสามารถในการคิด
- การจำแนก
- การสังเคราะห์
- การสรปุ ความรู้
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
รกั ความเปน็ ไทย
ตัวชว้ี ดั ที่ 7.3 อนุรกั ษ์และสบื ทอดภมู ปิ ัญญาไทย
ช้ินงานหรอื ภาระงาน
การท่องจำบทร้อยกรองจากบทเสภาเรือ่ ง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎกี า
การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ข้นั นำ
1. ครซู ักถามนักเรียนว่ารู้จกั วรรณกรรมพ้ืนบ้านเร่ืองใดบา้ ง แล้วกล่าวถงึ วรรณคดีไทยเร่ือง ขนุ ชา้ งขุนแผน ว่ามี
ต้นตอจากนิทานพ้ืนบ้าน ครซู ักถามถงึ ตอนทน่ี ักเรยี นรูจ้ กั หรือประทับใจ ใหน้ ักเรียนเล่าเรื่องย่อของตอนนั้น ๆ และ
เหตุผลทป่ี ระทบั ใจสั้น ๆ
2. นักเรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เรื่อง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอนขนุ ชา้ งถวายฎกี า
ขัน้ สอน
2. ให้นักเรยี นศกึ ษาบทนำของบทเสภาเร่อื ง ขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา และเนื้อเรอ่ื งย่อ
เพือ่ ใหน้ ักเรยี นเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ที่จะศกึ ษาเบื้องต้น ครูซักถามความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยสมุ่ ถามเปน็
รายบคุ คล
3. ใหน้ ักเรียนศกึ ษาคำศพั ทท์ ่ีปรากฏในบทเสภาเรอ่ื ง ขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎกี า แล้วให้
นักเรียนแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน แข่งขันทายความหมายคำศัพท์ โดยให้ครูแสดงบตั รคำแล้วให้นกั เรยี น
แตล่ ะกลุม่ ยกมือตอบ กล่มุ ใดตอบได้เรว็ และถูกต้องจะได้รับคะแนน คำละ 1 คะแนน ครูอาจมรี างวัลให้กลุ่ม
ที่ทำคะแนนได้สงู ทสี่ ุด เพือ่ สร้างบรรยากาศกระตอื รือรน้
4. ครยู กตัวอยา่ งคำประพนั ธ์บางสว่ นจากบทเสภาเร่อื ง ขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า ซกั ถาม
นักเรียนวา่ ทราบหรอื ไมว่ ่าเป็นคำประพนั ธ์ประเภทใด และมีลักษณะของคำประพันธอ์ ย่างไร ครูขออาสาสมคั ร
นักเรียนหรือสมุ่ เรยี กเป็นรายบคุ คลใหอ้ อกมาเขียนแผนผังคำประพันธ์และโยงสัมผัส ให้นักเรียนและครรู ว่ มกนั
ตรวจสอบความถูกตอ้ ง
5. ให้นกั เรียนอ่านบทเสภาเร่อื ง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า แลว้ ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลมุ่
กลมุ่ ละ 5 คน เลือกบทเสภาท่ีประทับใจ 5 บท อ่านออกเสียงและท่องจำเป็นรายกลุ่มนอกชว่ั โมงเรยี น
6. ให้นักเรียนและครูรว่ มกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี
- บทเสภาเร่ือง ขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา เป็น 1 ใน 8 ตอนที่ได้รบั ยกย่องจากสมาคมวณี คดี
พ.ศ. 2474 วา่ เป็นยอดกลอนเสภาทด่ี ีเลศิ ทัง้ ในด้านกระบวนกลอนและด้านเนื้อเรื่อง เป็นตอนที่พลายงามลอบข้ึน
เรือนขนุ ชา้ งพานางวนั ทองหนี ขุนช้างโกรธจึงถวายฎีกาตอ่ พระพนั วษากลา่ วโทษพลายงาม พระพนั วษารับสั่งให้นางวัน
ทองเลือกวา่ จะอยู่กับผูใ้ ด นางไม่กล้าตดั สนิ ใจเลือก จึงมรี ับส่ังให้ประหารชวี ิต
ข้ันสรุป
7. ให้นักเรยี นรว่ มกันแสดงความคดิ เห็น โดยครูใช้คำถามท้าทาย ดงั นี้
- กลอนเสภาเหมอื นหรือแตกตา่ งจากกลอนสภุ าพอย่างไร
การจดั บรรยากาศเชงิ บวก
ใหน้ กั เรยี นแข่งขันทายคำศัพท์เพ่ือสร้างบรรยากาศกระตือรือร้น และไดท้ ำงานรว่ มกนั เปน็ กลุม่
สอ่ื การเรยี นรู้
1. บัตรคำ
2. ตวั อย่างคำประพนั ธ์
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
1. วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล
1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในการเข้าร่วมกิจกรรม
1.2 สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
1.3 ตรวจผลงานของนักเรยี น
2. เครื่องมอื
2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรม
2.2 แบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม
3. เกณฑ์การประเมนิ
3.1 การประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม
ผา่ นตัง้ แต่ 2 รายการ ถือว่า ผ่าน
ผ่าน 1 รายการ ถือว่า ไมผ่ า่ น
3.2 การประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม
คะแนน 9 - 10 ระดับ ดีมาก
คะแนน 7 - 8 ระดับ ดี
คะแนน 5 - 6 ระดบั พอใช้
คะแนน 0 - 4 ระดบั ควรปรบั ปรงุ
การประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Rubrics
การประเมนิ กิจกรรมน้ีใหผ้ สู้ อนพิจารณาจากเกณฑ์การประเมินผลตามสภาพจรงิ (Rubrics)
เรอ่ื ง การท่องจำบทรอ้ ยกรองจากบทเสภาเรื่อง ขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา
เกณฑ์การประเมนิ 4 ระดบั คะแนน 1
32
การท่องจำบทร้อยกรอง ทอ่ งจำบทร้อยกรอง ท่องจำบทรอ้ ยกรอง ท่องจำบทร้อยกรอง ท่องจำบทอาขยาน
จากบทเสภาเรอ่ื ง ไดถ้ ูกตอ้ งทกุ คำ ไดถ้ ูกต้องทกุ คำ ได้ถูกตอ้ งทกุ คำ ได้ถูกต้องทุกคำ
ขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขุน ไม่มีติดขัด ตกหล่น ไม่มตี ดิ ขดั ตกหล่น ไม่มตี ิดขัด ตกหล่น แตม่ ตี ิดขัดบา้ ง
ชา้ งถวายฎกี า ออกเสยี งคำถูกต้อง ออกเสยี งคำถกู ต้อง ออกเสียงคำถูกต้อง ออกเสยี งคำบางคำ
ชัดเจนทกุ คำ เว้น ชัดเจนทุกคำ เว้น ชดั เจนทกุ คำ เว้น ยังไมช่ ัดเจน เว้น
จงั หวะวรรคตอน จงั หวะวรรคตอน จังหวะวรรคตอน จังหวะวรรคตอน
ถูกต้องทุกวรรค ถกู ต้องทุกวรรค ถูกต้องทุกวรรค ถกู ต้องเป็นบางวรรค
ใชร้ ะดบั เสียงแสดง ใช้ระดับเสยี งแสดง ใชร้ ะดบั เสียงแสดง ระดบั เสยี งราบเรียบ
อารมณ์ตาม อารมณ์ตาม อารมณ์ตาม ไมแ่ สดงอารมณ์
บทประพนั ธไ์ ดด้ ีมาก บทประพันธ์ไดด้ ี บทประพนั ธไ์ ด้พอใช้
ชื่อหน่วย : ครองไวซ้ ึ่งวรรณคดี หน่วยที่ : 5 เวลา : 9 ชั่วโมง
ชอื่ แผน : ขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า (2) แผนที่ : 2 เวลา : 1 ช่วั โมง
ชอื่ วิชา : ภาษาไทย รหัส ท33101 ชั้น ม.6
ชอ่ื ผู้สอน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอยา่ ง
เห็นคณุ ค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชวี ิตจรงิ
ตัวชี้วดั
ท 5.1 ม. 4-6/1 วิเคราะหแ์ ละวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวจิ ารณ์เบือ้ งต้น
ท 5.1 ม. 4-6/2 วเิ คราะหล์ กั ษณะเด่นของวรรณคดีเชอื่ มโยงกับการเรยี นร้ทู างประวัตศิ าสตร์
และวิถชี วี ิตของสงั คมในอดตี
ท 5.1 ม. 4-6/3 วิเคราะห์และประเมินคุณคา่ ด้านวรรณศลิ ปข์ องวรรณคดแี ละวรรณกรรม
ในฐานะท่เี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
ท 5.1 ม. 4-6/4 สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อนำไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตจริง
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรสู้ ่ตู ัวช้ีวัด
1. บอกสภาพสงั คมและวฒั นธรรมที่ปรากฏในบทเสภาเรอื่ ง ขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี าได้ (K)
2. วิเคราะห์ลกั ษณะของตวั ละครจากบทเสภาเร่อื ง ขุนช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกาได้ (P)
3. ตระหนักถงึ คณุ ธรรมและข้อคิดสอนใจที่ปรากฏในบทเสภาเรื่อง ขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา
ได้ (A)
สาระสำคัญ
บทเสภาเรื่อง ขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎกี า สะท้อนสภาพสังคมและวฒั นธรรมในสมัยอยธุ ยาใน
ด้านต่าง ๆ ลักษณะนิสัยและความรสู้ ึกนกึ คิดของตวั ละครจึงเป็นไปตามสภาพสังคมในสมัยนน้ั แตถ่ ึงแมเ้ ร่ืองราวจะ
เกิดขนึ้ ในสมยั อยธุ ยา แต่กม็ ขี ้อคดิ ทีส่ ามารถสอนใจคนได้ทุกยคุ ทุกสมยั
สาระการเรยี นรู้
1. สภาพสังคมและวัฒนธรรมทป่ี รากฏในบทเสภาเรื่อง ขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา
2. ลักษณะของตัวละครจากบทเสภาเร่อื ง ขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า
3. ขอ้ คิดและคตสิ อนใจจากบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
- ทกั ษะการอ่าน
- ทกั ษะการเขยี น
- ทกั ษะการฟัง การดู และการพูด
2. ความสามารถในการคิด
- การจำแนก
- การสังเคราะห์
- การประยกุ ต์/การปรับปรุง
- การสรปุ ความรู้
- การประเมนิ ค่า
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ประสงค์
ใฝเ่ รยี นรู้
ตวั ชว้ี ดั ท่ี 4.2 แสวงหาความรู้จากแหลง่ เรียนร้ตู ่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรยี น ดว้ ยการ
เลอื กใชส้ อื่ อย่างเหมาะสม บันทกึ ความรู้ วเิ คราะห์ สรปุ เป็นองค์ความรู้
สามารถนำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ได้
ช้ินงานหรือภาระงาน
ใบงานท่ี 33 เร่ือง ข้อคดิ จากบทเสภาเรื่อง ขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา
การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
ขน้ั นำ
1. ครูนำนักเรยี นสนทนาเกย่ี วกับวิถชี ีวิตของชาวไทยสมยั ก่อนว่าเร่ืองใดท่เี ลอื นหายไปจากสังคมไทย
ปัจจุบนั แล้ว และเรื่องใดท่ียงั พบเห็นได้ในสังคมไทย เชน่ การปกครองแบบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์ ค่านิยมทีผ่ ู้หญิง
ไม่มีสิทธิด์ ำเนินชีวติ ด้วยตนเองเลย ความเช่ือเก่ียวกับเวทย์มนตรค์ าถาของขลงั สถาปตั ยกรรมไทย
ข้นั สอน
2. ให้นกั เรียนแบ่งกลุ่ม กลุม่ ละ 3-4 คน วิเคราะห์สภาพสงั คมและวัฒนธรรมจากบทเสภาเรื่อง
ขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า โดยยกตวั อยา่ งคำประพันธ์ให้เห็นชัดเจน แล้วนำเสนอหนา้ ชัน้ เรียน
ใหน้ ักเรยี นและครรู ่วมกนั ตรวจสอบความถูกต้อง
3. ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุม่ เลอื กตวั ละครทช่ี อบ ดงั นี้
3.1 พลายงาม
3.2 ขุนแผน
3.3 ขุนช้าง
3.4 นางวนั ทอง
กลุม่ ละ 2 ตัวละคร วเิ คราะห์ลักษณะนิสัยและบอกเหตุผลท่ชี อบ โดยยกตวั อย่างคำประพันธใ์ ห้เหน็ ชดั เจน แล้ว
นำเสนอหนา้ ช้ันเรียน ใหน้ ักเรียนและครรู ่วมกนั ตรวจสอบความถกู ต้อง
4. ครูนำนกั เรยี นสนทนาว่า แม้บทเสภาเรอื่ ง ขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา จะเปน็ เรื่องราวท่ี
เกิดขึ้นในสมยั อยุธยา แต่ข้อคิดตา่ ง ๆ ทีไ่ ด้จากในบทเสภา นักเรยี นสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในสงั คมปัจจบุ ันได้
แล้วให้นักเรยี นร่วมกนั ค้นหาว่าบทเสภาเร่ือง ขนุ ช้างขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา มีข้อคดิ และคติสอนใจ
อะไรบา้ ง
5. ให้นกั เรยี นทำใบงานท่ี 33 เรอ่ื ง ข้อคดิ จากบทเสภาเรอ่ื ง ขุนช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า
แลว้ รว่ มกนั ตรวจสอบความถูกต้อง
ขัน้ สรปุ
6. ใหน้ ักเรียนและครรู ่วมกันสรปุ ความรู้ ดังนี้
- บทเสภาเรอื่ ง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า สะท้อนสภาพสังคมและวัฒนธรรมใน
สมยั อยธุ ยาในด้านตา่ ง ๆ ลกั ษณะนสิ ัยและความรูส้ ึกนกึ คิดของตวั ละครจึงเปน็ ไปตามสภาพสงั คมในสมัยนัน้
แตถ่ งึ แม้เรอ่ื งราวจะเกดิ ขน้ึ ในสมัยอยธุ ยา แตก่ ็มขี ้อคดิ ทสี่ ามารถสอนใจคนไดท้ กุ ยุคทุกสมัย
7. ใหน้ ักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็น โดยครูใชค้ ำถามท้าทาย ดังนี้
- นกั เรียนคิดว่า นางวันทองเป็นหญงิ สองใจตามท่ีถกู กล่าวหาหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกเหตุผล
ประกอบให้ชดั เจน
สือ่ การเรียนรู้
ใบงานที่ 33 เรื่อง ข้อคิดจากบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า
การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
1. วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล
1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในการเข้าร่วมกจิ กรรม
1.2 สงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่
1.3 ตรวจใบงานท่ี 33
2. เครื่องมือ
2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรม
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม
3. เกณฑก์ ารประเมนิ
3.1 การประเมินพฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรม
ผา่ นต้ังแต่ 2 รายการ ถือว่า ผ่าน
ผา่ น 1 รายการ ถอื ว่า ไมผ่ ่าน
3.2 การประเมนิ พฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุม่
คะแนน 9 - 10 ระดบั ดมี าก
คะแนน 7 - 8 ระดบั ดี
คะแนน 5 - 6 ระดับ พอใช้
คะแนน 0 - 4 ระดับ ควรปรับปรุง
การประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Rubrics)
การประเมนิ ใบงานท่ี 33 ให้ผู้สอนพิจารณาจากเกณฑ์การประเมินผลตามสภาพจรงิ (Rubrics)
เรอ่ื ง ข้อคดิ จากบทเสภาเร่ือง ขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา
เกณฑ์การประเมนิ 4 ระดบั คะแนน 1
32
บอกข้อคดิ ที่ได้รับ
ข้อคิดจากบทเสภา บอกขอ้ คิดที่ได้รบั บอกข้อคดิ ที่ได้รบั บอกข้อคดิ ท่ีไดร้ ับ จากบทเสภาเร่ือง
ขนุ ชา้ งขุนแผน
เรือ่ ง ขุนช้างขนุ แผน จากบทเสภาเรือ่ ง จากบทเสภาเรือ่ ง จากบทเสภาเรื่อง ตอน ขนุ ช้างถวาย
ฎีกา
ตอน ขุนช้างถวายฎกี า ขุนช้างขุนแผน ตอน ขนุ ช้างขุนแผน ขนุ ชา้ งขุนแผน ไดถ้ ูกต้อง แต่ขาด
ประเด็นท่ีสำคัญ
ขนุ ชา้ งถวายฎีกา ตอน ขนุ ช้างถวาย ตอน ขนุ ช้างถวาย ยกตวั อย่าง
คำประพันธ์ที่
ได้ถูกต้องครบถว้ น ฎีกา ฎีกา ไม่สอดคล้อง
เป็นเหตเุ ป็นผลกนั
ยกตวั อยา่ ง ไดถ้ ูกต้อง แตย่ ัง ไดถ้ ูกตอ้ ง แตข่ าด
คำประพันธ์ได้ ขาดรายละเอยี ด ประเด็นทสี่ ำคัญ
สอดคล้องเปน็ เหตุ เลก็ น้อย ยกตัวอยา่ ง
เป็นผลกนั ยกตวั อย่าง คำประพนั ธ์ได้
คำประพนั ธ์ได้ สอดคลอ้ งเป็นเหตุ
สอดคลอ้ งเป็นเหตุ เปน็ ผลกัน
เป็นผลกนั
ชอ่ื หน่วย : ครองไวซ้ ่ึงวรรณคดี หนว่ ยที่ : 5 เวลา : 9 ชั่วโมง
ชอื่ แผน : ขนุ ช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า (3) แผนท่ี : 3 เวลา : 1 ชั่วโมง
ชอ่ื วิชา : ภาษาไทย รหัส ท33101 ชั้น ม.6
ชื่อผสู้ อน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคดิ เห็น วิจารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอย่างเหน็ คุณค่า และ
นำมาประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตจริง
ตัวชี้วัด
ท 5.1 ม. 4-6/1 วเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลักการวจิ ารณ์เบือ้ งตน้
ท 5.1 ม. 4-6/2 วเิ คราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดเี ชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทางประวตั ิศาสตร์
และวิถชี ีวติ ของสงั คมในอดตี
ท 5.1 ม. 4-6/3 วิเคราะห์และประเมนิ คุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดแี ละวรรณกรรม
ในฐานะทเี่ ป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
ท 5.1 ม. 4-6/4 สงั เคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือนำไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ จรงิ
จุดประสงคก์ ารเรียนร้สู ตู่ วั ชี้วัด
1. บอกคุณคา่ ด้านวรรณศลิ ป์ทป่ี รากฏในบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกาได้ (K)
2. ประเมินคุณคา่ ด้านวรรณศิลปท์ ่ีปรากฏในบทเสภาเรือ่ ง ขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกาได้ (P)
3. ตระหนกั ถงึ คุณคา่ ของวรรณคดไี ทย (A)
สาระสำคญั
บทเสภาเรือ่ ง ขนุ ช้างขนุ แผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา มีศลิ ปะการประพนั ธ์และรสวรรณคดีท่ีหลากหลาย
ซึ่งกวีสอดแทรกอารมณ์ความรสู้ ึกอันเกิดมาจากมนษุ ย์ได้อยา่ งกลมกลืน ทำใหบ้ ทประพันธม์ ีความนา่ สนใจรวมท้งั
สร้างความติดตาตรงึ ใจกับคนอา่ น
สาระการเรยี นรู้
1. ศลิ ปะการประพนั ธท์ ีป่ รากฏในบทเสภาเรอ่ื ง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎีกา
2. รสวรรณคดที ปี่ รากฏในบทเสภาเร่อื ง ขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า
สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
- ทักษะการอ่าน
- ทกั ษะการเขยี น
- ทกั ษะการฟัง การดู และการพูด
2. ความสามารถในการคิด
- การจำแนก
- การสังเคราะห์
- การประยกุ ต์/การปรบั ปรงุ
- การสรปุ ความรู้
- การประเมินคา่
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์รกั ความเป็นไทย
ตัวช้วี ดั ที่ 7.3 อนุรกั ษ์และสืบทอดภมู ิปัญญาไทย
ชน้ิ งานหรือภาระงาน
ใบงานท่ี 34 เรื่อง การประเมินคุณค่าด้านวรรณศลิ ป์ท่ีปรากฏในบทเสภาเรื่อง ขนุ ชา้ งขนุ แผน
ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา
การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ขน้ั นำ
1. ครนู ำนกั เรียนสนทนาเกย่ี วกับอารมณ์และความรู้สกึ ต่าง ๆ ของตัวละครทีน่ ักเรียนพบในบทเสภาเรือ่ ง
ขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎีกา วา่ มอี ะไรบา้ ง แลว้ ซักถามนักเรียนว่าสามารถยกตัวอย่างคำประพันธ์ได้
หรือไม่
ขน้ั สอน
2. ให้นกั เรียนศึกษาความรเู้ ร่ือง รสวรรณคดที ี่ปรากฏในบทเสภาเรื่อง ขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวาย
ฎกี า ครูอธิบายเพม่ิ เตมิ และยกตัวอยา่ งคำประพนั ธเ์ พ่ือใหน้ ักเรยี นเข้าใจได้อย่างชัดเจน
3. ใหน้ กั เรียนแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ชว่ ยกันคน้ หารสของวรรณคดีทปี่ รากฏในบทเสภาเรอ่ื ง
ขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกา และยกตวั อย่างคำประพนั ธ์รสละ 1 ตวั อยา่ ง นำเสนอหน้าช้ันเรียน
ให้นักเรยี นและครรู ่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง
4. ครูนำนกั เรียนสนทนาเกี่ยวกับความสามารถในการประพันธข์ องกวีไทยทีส่ ามารถใชค้ ำเปรียบเทียบด้วย
กลวิธตี ่าง ๆ ทำใหผ้ ้อู า่ นสามารถเห็นภาพได้ชดั เจน หรือการใช้สัมผสั นอกและสัมผัสในเพ่ือให้คำประพนั ธ์มีความ
ไพเราะ แล้วซกั ถามนกั เรยี นว่าทราบหรือไม่ว่าส่ิงเหลา่ น้ีเรียกวา่ อะไร และนักเรยี นสามารถยกตัวอยา่ ง
คำประพันธ์จากบทเสภาเร่ือง ขุนชา้ งขนุ แผน ตอน ขุนช้างถวายฎกี า ได้หรอื ไม่
5. ใหน้ กั เรยี นศึกษาความรู้เร่ือง ศลิ ปะการประพันธท์ ่ีปรากฏในบทเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอน
ขุนชา้ งถวายฎีกา ครูอธบิ ายเพ่ิมเตมิ และยกตวั อย่างคำประพนั ธเ์ พื่อใหน้ กั เรียนเขา้ ใจได้อยา่ งชดั เจน
6. ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มช่วยกนั คน้ หาศลิ ปะการประพันธท์ ่ปี รากฏในบทเสภาเร่ือง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน
ขนุ ช้างถวายฎกี า และยกตัวอย่างใหช้ ดั เจน นำเสนอหน้าชั้นเรยี น ใหน้ กั เรยี นและครูร่วมกนั ตรวจสอบความถูกต้อง
7. ใหน้ กั เรียนทำใบงานที่ 34 เรอื่ ง การประเมนิ คณุ ค่าด้านวรรณศลิ ปท์ ปี่ รากฏในบทเสภาเรือ่ ง
ขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า แลว้ ร่วมกันตรวจสอบความถกู ต้อง
8. ครสู ่ังงานให้นักเรียนอา่ นนวนิยายเรอื่ ง มิติมหัศจรรย์ นวนยิ ายแฟนตาซีไทยทแี่ ต่งโดย จุฑารตั น์
เพอื่ เตรียมตวั ก่อนศึกษาชั่วโมงถัดไป
ขนั้ สรปุ
9. ใหน้ ักเรยี นและครรู ่วมกันสรุปความรู้ ดงั นี้
- บทเสภาเร่อื ง ขุนชา้ งขุนแผน ตอน ขนุ ช้างถวายฎกี า มีศิลปะการประพนั ธ์และรสวรรณคดีที่
หลากหลาย ซ่งึ กวีสอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกอนั เกดิ มาจากมนุษย์ได้อย่างกลมกลนื ทำใหบ้ ทประพันธ์
มคี วามน่าสนใจรวมท้ังสรา้ งความติดตาตรงึ ใจกบั คนอา่ น
10. ใหน้ กั เรยี นรว่ มกันแสดงความคิดเห็น โดยครใู ช้คำถามท้าทาย ดังนี้
- ถ้าหากวา่ กวไี ทยไม่ใช้โวหาร ภาพพจน์ หรือรสวรรณคดีต่าง ๆ ในคำประพนั ธ์จะเปน็ อย่างไร
11. นักเรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรยี น เรอื่ ง ขุนช้างขนุ แผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎกี า
การจัดบรรยากาศเชิงบวก
ใหน้ ักเรียนทำงานร่วมกันเปน็ กลมุ่ เพื่อนำเสนอหน้าช้นั เรียน
สอ่ื การเรยี นรู้
ใบงานที่ 34 เรื่อง การประเมินคุณคา่ ด้านวรรณศิลปท์ ่ปี รากฏในบทเสภาเร่ือง ขนุ ช้างขุนแผน
ตอน ขนุ ชา้ งถวายฎกี า
การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
1. วธิ ีการวดั และประเมินผล
1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในการเขา้ รว่ มกิจกรรม
1.2 สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในการเข้ารว่ มกิจกรรมกลมุ่
1.3 ตรวจใบงานที่ 34
2. เครอื่ งมอื
2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรม
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
3. เกณฑ์การประเมนิ
3.1 การประเมินพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรม
ผา่ นต้ังแต่ 2 รายการ ถือว่า ผ่าน
ผ่าน 1 รายการ ถอื ว่า ไม่ผา่ น
3.2 การประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม
คะแนน 9 - 10 ระดบั ดมี าก
คะแนน 7 - 8 ระดับ ดี
คะแนน 5 - 6 ระดบั พอใช้
คะแนน 0 - 4 ระดับ ควรปรับปรงุ
การประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Rubrics)
การประเมนิ ใบงานที่ 34 ให้ผู้สอนพจิ ารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจรงิ (Rubrics)
เร่ือง การประเมินคณุ ค่าด้านวรรณศิลป์ท่ีปรากฏในบทเสภาเรื่อง ขนุ ชา้ งขนุ แผน ตอน ขุนชา้ งถวายฎีกา
เกณฑ์การประเมิน 4 ระดับคะแนน 1
32
การประเมินคณุ ค่า ประเมนิ คุณคา่ ด้าน ประเมินคุณคา่ ด้าน ประเมนิ คุณค่าด้าน ประเมนิ คุณค่าด้าน
ด้านวรรณศลิ ปท์ ่ี วรรณศิลป์ที่ปรากฏ วรรณศลิ ป์ที่ปรากฏ วรรณศลิ ปท์ ปี่ รากฏ วรรณศิลปท์ ่ีปรากฏ
ปรากฏในบทเสภา ในบทเสภาเร่ือง ในบทเสภาเรอ่ื ง ในบทเสภาเรอ่ื ง ในบทเสภาเรื่อง
เรือ่ ง ขุนช้างขนุ แผน ขนุ ช้างขุนแผน ตอน ขนุ ชา้ งขุนแผน ขนุ ชา้ งขุนแผน ขุนชา้ งขุนแผน
ตอน ขุนชา้ งถวายฎกี า ขุนช้างถวายฎกี า ตอน ขนุ ช้างถวาย ตอน ขุนช้างถวาย ตอน ขุนชา้ งถวาย
ได้ถูกตอ้ ง ครบถว้ น ฎีกาได้ถูกต้อง แต่ ฎกี าได้ถูกต้อง แต่ ฎีกาไดถ้ ูกต้อง แต่
และรอบด้าน ขาดรายละเอียด ขาดประเดน็ ท่ี ขาดประเดน็ ท่ี
ยกตัวอย่าง เล็กน้อย สำคญั ยกตวั อย่าง สำคญั ยกตัวอย่าง
คำประพนั ธ์ได้ ยกตัวอย่าง คำประพนั ธไ์ ด้ คำประพนั ธท์ ่ยี งั
สอดคล้องเปน็ เหตุ คำประพนั ธไ์ ด้ สอดคลอ้ งเปน็ เหตุ ไมต่ รงประเดน็
เป็นผล เรียบเรยี ง สอดคลอ้ งเปน็ เหตุ เปน็ ผล เรยี บเรียง เรยี บเรียงถอ้ ยคำ
ถอ้ ยคำได้ดี เปน็ ผล เรียบเรียง ถ้อยคำไดด้ ี อา่ น สบั สน
อา่ นเขา้ ใจง่าย ถ้อยคำได้ดี เข้าใจง่าย
อ่านเข้าใจง่าย
ช่ือหน่วย : ครองไว้ซ่ึงวรรณคดี หน่วยท่ี : 5 เวลา : 9 ชวั่ โมง
ชื่อแผน : ไตรภมู พิ ระร่วง ตอน มนสุ สภมู ิ (1) แผนท่ี : 5 เวลา : 1 ช่ัวโมง
ชอ่ื วิชา : ภาษาไทย รหัส ท33101 ช้นั ม.6
ชือ่ ผู้สอน : นางสาวพริ าวรรณ โฉลกดี
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคดิ เหน็ วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง
เห็นคุณคา่ และนำมาประยุกตใ์ ช้ในชีวติ จริง
ตวั ช้ีวัด
ท 5.1 ม. 4-6/3 วิเคราะห์และประเมินคณุ คา่ ด้านวรรณศลิ ปข์ องวรรณคดแี ละวรรณกรรม
ในฐานะท่เี ป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
ท 5.1 ม. 4-6/4 สงั เคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดแี ละวรรณกรรมเพอื่ นำไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ จรงิ
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. บอกความหมายของคำศัพทข์ องไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภมู ไิ ด้ (K)
2. วิเคราะหแ์ ละประเมนิ คุณค่าด้านตา่ ง ๆ ของไตรภมู ิพระร่วง ตอน มนุสสภูมไิ ด้ (P)
3. ตระหนกั ถึงคณุ คา่ และความสำคัญของวรรณคดีไทย (A)
สาระสำคญั
ไตรภมู ิพระรว่ ง ตอน มนสุ สภูมิ กลา่ วถึง การเกิดของมนุษย์ ม่งุ เน้นสอนศีลธรรม ใหม้ นุษย์กระทำ
ความดี จะไดไ้ ปเกดิ ในภพภมู ิทีด่ กี วา่ น้ี และยงั กล่าวถงึ โลกนไี้ มเ่ ทยี่ งแทแ้ น่นอน ปรวนแปรไปตามสง่ิ ต่าง ๆ
แตท่ แ่ี น่นอนคือ การกระทำความดีสะสมบญุ ทำสมาธิ เพื่อจะให้บรรลุนพิ พาน
สาระการเรียนรู้
1. คำศพั ทจ์ ากไตรภูมพิ ระร่วง ตอน มนสุ สภมู ิ
2. ลกั ษณะการแต่งของไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
3. คุณคา่ ด้านเน้ือหาของไตรภมู ิพระรว่ ง ตอน มนสุ สภูมิ
4. คุณค่าด้านวรรณศลิ ปข์ องไตรภมู พิ ระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
5. คุณคา่ ดา้ นสงั คมและวัฒนธรรมของไตรภูมพิ ระรว่ ง ตอน มนุสสภมู ิ
6. ขอ้ คดิ จากไตรภูมิพระร่วง ตอน มนสุ สภมู ิ
สมรรถนะสำคญั ของ
1. ความสามารถในการส่ือสาร
- ทักษะการอา่ น
- ทักษะการเขยี น
- ทกั ษะการฟงั การดู และการพดู
2. ความสามารถในการคิด
- การจำแนก
- การวิเคราะห์
- การสงั เคราะห์
- การประยุกต/์ การปรบั ปรงุ
- การสรุปความรู้
- การประเมนิ คา่
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
ใฝ่เรยี นรู้ ตัวชวี้ ดั ท่ี 4.2 แสวงหาความร้จู ากแหล่งเรยี นรู้ต่าง ๆ ท้ังภายในและภายนอกโรงเรียน ด้วย
การเลือกใชส้ ื่ออย่างเหมาะสม บนั ทกึ ความรู้ วิเคราะห์ สรปุ เป็นองค์ความรู้ สามารถนำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้
ชนิ้ งานหรอื ภาระงาน
ใบงานท่ี 1 เรอื่ ง ข้อคิดจากไตรภูมพิ ระร่วง ตอน มนุสสภูมิ
การจดั กิจกรรมการเรียนรู้
ข้นั นำ
1. ครนู ำนกั เรียนสนทนาเกยี่ วกับการทำความดสี ะสมบุญวา่ นักเรียนคิดเหน็ อย่างไรเก่ียวกบั การท่ี
ทำความดีแล้วจะทำให้ชีวติ ดีขนึ้ ใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นเหตเุ ป็นผลและสร้างสรรค์
2. ใหน้ กั เรียนหาคำศัพท์ที่ปรากฏในไตรภมู ิพระรว่ ง ตอน มนุสสภมู ิ แลว้ ให้นักเรียนแบ่งกลุม่ กลุม่ ละ
3-4 คน แขง่ ขนั ทายความหมายคำศัพท์ โดยให้ครูแสดงบัตรคำแล้วใหน้ กั เรยี นแต่ละกลมุ่ ยกมือตอบ กลุ่มใดตอบได้
เร็วและถกู ต้องจะไดร้ ับคะแนน คำละ 1 คะแนน ครูอาจมรี างวัลใหก้ ลุ่มทท่ี ำคะแนนไดส้ งู ที่สุด เพ่อื สร้าง
บรรยากาศกระตือรือร้น
ข้นั สอน
3. ใหน้ ักเรยี นศกึ ษาความร้เู ร่ือง ไตรภูมิพระรว่ ง ตอน มนสุ สภมู ิ ครูอธิบายเพ่มิ เตมิ เก่ียวกบั ลกั ษณะ
การแต่งและการใช้ศัพทแ์ ละสำนวนแบบโบราณ เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นเข้าใจได้อย่างชดั เจน
4. ให้นกั เรียนแบ่งเปน็ 6 กลุ่ม แข่งขนั กนั วิเคราะห์คณุ ค่าดา้ นตา่ ง ๆ ดงั นี้
4.1 คณุ ค่าด้านเนอื้ หา
4.2 คุณค่าด้านวรรณศิลป์
4.3 คุณคา่ ด้านสังคมและวัฒนธรรม
โดยใหจ้ ับคแู่ ข่งขนั กันประเภทละ 2 กลุ่ม นำเสนอหน้าชน้ั เรยี น ให้นักเรยี นและครูรว่ มกันตรวจสอบความ
ถกู ต้อง กลมุ่ ใดที่วิเคราะหไ์ ด้ถูกตอ้ งและรอบดา้ นมากกว่าเป็นผชู้ นะ
5. ครนู ำนักเรยี นสนทนาเก่ียวกับการฏสิ นธิของมนุษย์ที่เป็นความรทู้ างวิทยาศาสตร์ โดยชใ้ี ห้เหน็ ว่า
สอดคล้องกับ ไตรภูมพิ ระรว่ ง ตอน มนสุ สภมู ิ
6. ให้นกั เรยี นทำใบงานที่ 44 เรอื่ ง ข้อคดิ จากไตรภูมิพระร่วง ตอน มนสุ สภมู ิ แลว้ รว่ มกนั ตรวจสอบ
ความถูกตอ้ ง
7. ครูสัง่ งานใหน้ ักเรยี นอา่ นงานเขียนประเภทสารคดีเรอื่ ง เราเกดิ มาจากไหน ท่ีแตง่ โดย วิรยิ ะ สริ สิ ิงห
เพอ่ื เตรยี มตัวศกึ ษาชวั่ โมงถัดไป
ขน้ั สรุป
8. ใหน้ กั เรียนและครูร่วมกันสรุปความรู้ ดังน้ี
- ไตรภูมิพระรว่ ง ตอน มนุสสภมู ิ กลา่ วถงึ การเกดิ ของมนุษย์ มงุ่ เน้นสอนศีลธรรม ให้มนุษยก์ ระทำ
ความดี จะไดไ้ ปเกิดในภพภูมิทด่ี กี ว่านี้ และยงั กลา่ วถึง โลกน้ีไม่เทีย่ งแท้แนน่ อน ปรวนแปรไปตามสงิ่ ต่าง ๆ แต่ที่
แนน่ อนคือ การกระทำความดีสะสมบญุ ทำสมาธิ เพื่อจะใหบ้ รรลุนพิ พาน
9. ให้นกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็น โดยครใู ช้คำถามทา้ ทาย ดังนี้
- นักเรียนจะสามารถอธบิ ายขอ้ คิดจาก ไตรภมู ิพระร่วง ตอน มนสุ สภมู ิ ให้เป็นเหตุเป็นผลและ
สร้างสรรคไ์ ด้อย่างไร
การจดั บรรยากาศเชงิ บวก
ใหน้ กั เรยี นแข่งขนั ทายคำศัพท์เพื่อสร้างบรรยากาศกระตือรือร้น และได้ทำงานร่วมกนั เปน็ กลมุ่
ส่อื การเรียนรู้
1. บตั รคำ
2. ใบงานท่ี 1 เรือ่ ง ขอ้ คดิ จากไตรภูมิพระรว่ ง ตอน มนุสสภมู ิ
การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
1. วธิ ีการวัดและประเมินผล
1.1 สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในการเข้าร่วมกจิ กรรม
1.2 สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในการเข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่
1.3 ตรวจใบงานที่ 1
2. เคร่อื งมอื
2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรม
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม
3. เกณฑ์การประเมิน
3.1 การประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรม
ผา่ นตัง้ แต่ 2 รายการ ถือว่า ผา่ น
ผา่ น 1 รายการ ถอื ว่า ไมผ่ ่าน
3.2 การประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม
คะแนน 9 - 10 ระดับ ดีมาก
คะแนน 7 - 8 ระดับ ดี
คะแนน 5 - 6 ระดบั พอใช้
คะแนน 0 - 4 ระดับ ควรปรับปรงุ
การประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics
การประเมนิ ใบงานที่ 1 ใหผ้ สู้ อนพิจารณาจากเกณฑก์ ารประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Rubrics)
เร่อื ง ข้อคดิ จากไตรภมู ิพระรว่ ง ตอน มนุสสภูมิ
เกณฑก์ ารประเมนิ 4 ระดับคะแนน 1
32
ข้อคิดจากไตรภูมิ บอกขอ้ คดิ ที่ได้รบั บอกข้อคดิ ท่ีได้รบั บอกขอ้ คิดที่ได้รบั บอกข้อคิดท่ีได้รับ
พระรว่ ง ตอน จากไตรภูมิพระร่วง จากไตรภมู ิพระรว่ ง จากไตรภูมิพระรว่ ง จากไตรภูมิพระรว่ ง
มนุสสภมู ิ ตอน มนุสสภมู ิ ตอน มนสุ สภมู ิ ตอน มนสุ สภมู ิ ตอน มนุสสภูมิ
ได้ถูกต้องครบถว้ น ไดถ้ ูกต้อง แตย่ งั ขาด ไดถ้ ูกต้อง แตข่ าด ไดถ้ ูกต้อง แต่ขาด
ยกตวั อยา่ งได้ รายละเอยี ดเล็กนอ้ ย ประเดน็ ท่สี ำคัญ ประเด็นทสี่ ำคัญ
สอดคลอ้ งเป็นเหตุ ยกตวั อยา่ งได้ ยกตัวอย่างได้ ยกตวั อย่างไม่
เปน็ ผลกัน สอดคลอ้ งเป็นเหตุ สอดคลอ้ งเปน็ เหตุ สอดคล้องเป็นเหตุ
เป็นผลกนั เปน็ ผลกัน เปน็ ผลกัน
ความรูเ้ พม่ิ เติม
เรอื่ ง ไตรภูมิพระรว่ ง ตอน มนุสสภมู ิ
ไตรภูมพิ ระรว่ ง เดิมเรียกว่า เตภมู กิ ถา หรอื ไตรภูมกิ ถา สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรง
ราชานุภาพ ทรงเปล่ียนช่ือหนังสอื เล่มน้เี ป็น ไตรภมู ิพระรว่ ง เพือ่ เฉลิมพระเกียรติพระร่วงเจา้ แห่งกรงุ สุโขทยั
ใหค้ กู่ บั หนังสือสุภาษติ พระรว่ ง
หอพระสมดุ วชิรญาณได้ต้นฉบบั ไตรภมู พิ ระร่วงมาจากจังหวดั เพชรบุรี เป็นใบลาน 10 ผูก จารด้วยอกั ษร
ขอมในสมัยสมเดจ็ พระเจา้ กรุงธนบรุ พี ระมหาชว่ ยวัดปากน้ำ (วดั กลางจงั หวดั สมทุ รปราการในปัจจุบัน) เปน็ ผู้จาร
หอพระสมดุ วชิรญาณได้ถอดความออกเป็นอกั ษรไทยโดยมิได้แก้ไขถ้อยคำไปจากตน้ ฉบบั เดิม
หนงั สอื ไตรภมู ิพระร่วง เปน็ วรรณคดีทางศาสนาที่สำคญั เล่มหนง่ึ ในสมยั สโุ ขทัย ซงึ่ มีอิทธิพลตอ่ คนไทยมาก
พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลไิ ทย) ไดท้ รงพระราชนิพนธ์ข้ึนหลังจากท่ีทรงผนวชแล้ว และขน้ึ ครองราชย์ได้
6 ปี ประมาณ พ.ศ. 1896
หนังสอื ไตรภูมิพระรว่ ง เปน็ วรรณคดพี ุทธศาสนา ที่พญาลไิ ทยทรงรวบรวมเน้ือหาสาระจากคัมภีรต์ ่าง ๆ
ในพทุ ธศาสนา ท้ังพระไตรปฏิ ก อรรถกถา และอืน่ ๆ ไมน่ ้อยกว่า 30 คัมภีร์ จึงจัดได้ว่าเป็นพระราชนพิ นธ์
ประเภทค้นคว้ารวบรวมทด่ี ีเล่มหน่ึง เน้อื เร่ืองเริ่มตน้ ด้วยคาถานมัสการเปน็ ภาษาบาลี มบี านแพนกบอกชื่อผแู้ ต่ง
วนั เดอื นปที แ่ี ตง่ ชื่อคมั ภรี ์ต่าง ๆ บอกจดุ มุ่งหมายในการแต่ง แลว้ จึงกลา่ วถึงภูมิทั้ง 3 คำว่า เดภมู ิ หรือ ไตรภูมิ
แปลกวา่ สามแดน คือ กามภูมิ รูปภมู ิ อรปู ภูมิ ทั้ง 3 ภูมิ แบ่งออกเปน็ 8 กัณฑ์ กัณฑ์ = เรอื่ ง, หมวด, ตอน) แสดง
ให้เหน็ ความเปลยี่ นแปลงของสรรพสงิ่ ความไม่แนน่ อนทง้ั มนษุ ย์และสัตวร์ วมทั้งส่งิ ไม่มีชีวิต เช่น ภูเขา แมน่ ำ้
แผน่ ดนิ ดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ ความเปล่ยี นแปลงน้กี วไี ทยเรยี กวา่ “อนจิ จลักษณะ” ไตรภูมิพระรว่ ง เดิมเรยี กวา่
ไตรภมู ิกถา/เตภมู กิ ถา หมายถงึ เร่อื งราวของโลกทั้ง 3 ได้แก่ กามภูมิ รปู ภูมิ อรปู ภมู ิ กามภมู ิ คือ โลกของผู้ท่ยี ังตดิ
อยู่ในกามกเิ ลส แบ่งออกเปน็ 2 ฝา่ ย ไดแ้ ก่ 1. สคุ ติภูมิ 2. อบายภูมิ
การเกดิ มนษุ ย์
ปฏิสนธิ -> กัลละ (ขนาด เศษ 1 สว่ น 256 ของเส้นผม)
7 วนั -> อัมพุทะ (นำ้ ล้างเนื้อ)
14 วนั -> เปสิ (ชน้ิ เน้ือ)
21 วนั -> ฆนะ (ก้อนเนื้อ, แท่งเน้ือ ขนาดเทา่ ไขไ่ ก)่
28 วัน -> เบญจสาขาหูด (มีหัว แขน 2 ขา 2 ) ครบ 1 เดือน
35 วนั -> มีฝา่ มอื น้วิ มือ ลายนิ้วมอื
42 วนั -> มีขน เลบ็ มือ เลบ็ เท้า (เปน็ มนุษย์ครบสมบูรณ์)
50 วนั -> ท่องล่างสมบูรณ์
84 วัน -> ท่อนบนสมบรู ณ์
184 วัน -> เป็นเดก็ สมบรู ณ์ นั่งกลางทอ้ งแม่ (6 เดือน)
การคลอด
ทอ้ ง 6 เดือนคลอด -> ไมร่ อด (บห่ อ่ นไดส้ ักคาบ)
ทอ้ ง 7 เดือนคลอด -> ไมแ่ ขง็ แรง (บม่ ไิ ด้กล้าแขง็ )
การเกดิ
มาจากสวรรค์ -> ตวั เย็น ออกมาแล้วหวั เราะ
มาจากนรก -> ตัวร้อน ออกมาแล้วรอ้ งไห้
(ท่ีมา : เว็บไซต์เก่ียวกับการเรียนการสอนภาษาไทย)
การปฏิสนธิในคน
นำ้ อสจุ ขิ องเพศชายจะประกอบดว้ ยอสจุ ิเป็นจำนวนมากถึง 4-5 ร้อยลา้ นตวั บรรดาอสจุ ิเหล่านี้มที ั้ง
แขง็ แรงและไมแ่ ข็งแรง พวกที่แข็งแรงก็สามารถแหวกวา่ ยเข้าไปในมดลูก และเลยเข้าไปยังปีกมดลูกเพื่อจะได้ผสม
พันธุ์กับไข่ ตามปกตอิ สุจิตัวท่ีแขง็ แรงท่ีสดุ ตัวเดียวเท่านัน้ จะไปพบกับไข่ได้ก่อน และเนอื่ งจากอสจุ ิจะมีสารซงึ่
สามารถละลายผนงั ที่ห่อหมุ้ ปกปอ้ งไข่ออกได้ อสุจิจงึ เจาะผ่านเปลือกของไข่ เพอ่ื เขา้ ไปรวมตัวกบั นิวเคลยี สภายใน
ไข่ได้ หลังจากนั้นอสจุ ติ วั อืน่ ๆ ก็จะไมส่ ามารถเขา้ ไปไดอ้ ีก สว่ นอสุจติ วั ท่ีเขา้ ไปในไข่แลว้
จะสลดั หางทิง้ และสว่ นหัวท่เี ข้าไปในไขจ่ ะเรมิ่ พองขน้ึ และหลอมรวมกนั กบั ไขเ่ ป็นเซลลเ์ ดียวกันในท่สี ดุ
การแบ่งตวั ของเซลล์หลังการปฏิสนธนิ น้ั แทบจะเกดิ ขนึ้ ในทนั ทีหลงั จากการปฏิสนธิเกิดขึ้น โดยเซลล์จะเริ่มแบ่งตัว
เพ่ิมจำนวนมากขนึ้ เร่ือย ๆ และเคลื่อนตวั ผ่านท่อนำไขม่ าสโู่ พรงมดลกู ในระยะเวลาประมาณ 4 วัน หลงั จากเกิด
การปฏิสนธิ ไขท่ ีไ่ ดร้ ับการผสมแลว้ (Fertilized ovum) ในช่วงนี้ไขจ่ ะมลี ักษณะเป็นลกู กลม ประกอบด้วยเซลล์
ประมาณ 100 เซลล์ ภายในลกู กลมนจี้ ะเป็นโพรงที่บรรจุของเหลว ซงึ่ ขนาดของไข่นี้จะ
ไมส่ ามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า ไข่จะใช้เวลาอกี ประมาณ 2-3 วนั ลอยอยใู่ นโพรงมดลูกน้ี
หลังจากทไ่ี ข่ลอยอยู่ในโพรงมดลูกช่ัวระยะเวลาหน่งึ ก็จะเข้าส่รู ะยะการฝงั ตัว โดยประมาณปลายสัปดาห์
ท่ี 3 ไข่ทผ่ี สมแลว้ จะเคล่ือนตัวลงมาตามปีกมดลกู เม่ือมาถึงมดลกู แลว้ ไขก่ จ็ ะเกาะตดิ และฝังตัวลงในเยอ่ื บุมดลกู ท่ี
มีลักษณะหนาและนมุ่ ซง่ึ มีโลหติ มาคั่งเพ่ือเตรยี มพรอ้ มอยกู่ ่อนแลว้ เม่อื เกาะยึดกันมนั่ คงดแี ล้ว
กอ็ าจถอื ไดว้ ่า การปฏสิ นธไิ ด้ดำเนนิ ไปอย่างเรียบร้อยและสมบรู ณ์ ไข่ทีผ่ สมแลว้ ในระยะนี้เรียกวา่ เอ็มบรโิ อ
(Embryo) ซ่งึ เอ็มบรโิ อนี้จะยื่นสว่ นออ่ นนมุ่ ลกั ษณะคล้ายน้ิวมือแทรกลึกลงไปในผนังมดลูกเพ่ือสรา้ งทางติดตอ่ กบั
เลือดของแม่ ต่อมาสว่ นน้ีจะเจริญเตบิ โตข้นึ กลายเป็น “รก” และจะมกี ารสร้างสายสะดือและถงุ นำ้ ครำ่ ห่อหุ้มต่อไป
ตวั เอ็มบรโิ อเองก็จะมีเน้ือเยื่อพิเศษสามช้ัน ซ่ึงต่อไปในแตล่ ะช้นั ก็จะสร้างเป็นอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทารกต่อไป
นนั่ เอง
ทม่ี า : “การปฏสิ นธิ” วกิ ิพีเดีย
ช่อื หน่วย : ครองไว้ซึ่งวรรณคดี หน่วยที่ : 5 เวลา : 9 ชัว่ โมง
ชอื่ แผน : ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนสุ สภูมิ (2) แผนท่ี : 6 เวลา : 1 ชั่วโมง
ชื่อวิชา : ภาษาไทย รหัส ท33101 ชั้น ม.6
ช่อื ผูส้ อน : นางสาวพริ าวรรณ โฉลกดี
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคดิ เห็น วิจารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอยา่ ง
เห็นคุณคา่ และนำมาประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตจรงิ
ตวั ชวี้ ดั
ท 5.1 ม. 4-6/3 วเิ คราะห์และประเมนิ คุณค่าดา้ นวรรณศิลปข์ องวรรณคดแี ละวรรณกรรม
ในฐานะทีเ่ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
ท 5.1 ม. 4-6/4 สงั เคราะห์ข้อคดิ จากวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อนำไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตจริง
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. บอกคุณค่าดา้ นตา่ ง ๆ ทปี่ รากฏในวรรณกรรมได้ (K)
2. วิเคราะหค์ ุณค่าดา้ นตา่ ง ๆ ที่ปรากฏในวรรณกรรมได้ (P)
3. ตระหนกั ถงึ ข้อคดิ ที่ได้จากวรรณกรรมและนำไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจรงิ (A)
สาระสำคัญ
การอา่ นวรรณกรรมทีด่ ีนัน้ ผู้อ่านควรวเิ คราะหเ์ น้ือหาและคุณคา่ ในดา้ นตา่ ง ๆ จึงจะค้นหาขอ้ คดิ ท่ีไดจ้ าก
วรรณกรรมเร่อื งน้ัน ๆ และนำไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ จรงิ ได้
สาระการเรยี นรู้
คณุ คา่ ด้านเน้อื หาของวรรณกรรม
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
- ทักษะการอ่าน
- ทักษะการฟัง การดู และการพดู
2. ความสามารถในการคิด
- การจำแนก
- การวิเคราะห์
- การสรปุ ความรู้
- การประเมนิ ค่า
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
ใฝ่เรยี นรู้ ตัวชีว้ ดั ที่ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ทงั้ ภายในและภายนอกโรงเรยี น ด้วย
การเลือกใชส้ อื่ อย่างเหมาะสม บันทกึ ความรู้ วิเคราะห์ สรปุ เป็นองค์ความรู้ สามารถนำไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันได้
ชน้ิ งานหรอื ภาระงาน
-
การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
ขัน้ นำ
1. ครนู ำนกั เรยี นสนทนาเกย่ี วกบั การเกิดของมนุษย์ ซักถามนักเรียนว่าทราบหรือไม่วา่ ทำไมบางคน
จงึ เกดิ เปน็ ผูห้ ญิง ทำไมบางคนจงึ เกิดเปน็ ผู้ชาย บางคนเป็นฝาแฝด บางคนมผี ิวสีขาว บางคนมีผมสแี ดง
ให้นกั เรยี นตอบดว้ ยเหตุผลทีส่ ามารถอธิบายเปน็ วิทยาศาสตร์ได้
ข้ันสอน
2. ครูนำนักเรียนสนทนาเกี่ยวกบั เนือ้ หาจากหนงั สอื เรื่อง เราเกิดมาจากไหน ใหน้ ักเรยี นร่วมกัน
สรุปสาระสำคญั ของหนังสือเล่มน้ี ครูซกั ถามนกั เรยี นเกยี่ วกับเน้ือหาโดยสุม่ ถามเปน็ รายบุคคล
3. ให้นกั เรยี นแบ่งกลุ่มเป็น 8 กลุ่ม วิเคราะหแ์ ละสรปุ เนื้อหากล่มุ ละ 1 บท แลว้ นำเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น ให้
นกั เรยี นและครูรว่ มกันตรวจสอบความถกู ต้อง
ขน้ั สรปุ
4. ใหน้ กั เรยี นและครรู ว่ มกันสรุปการนำเสนอ แลว้ ครูซักถามความเขา้ ใจของนกั เรียนอกี ครงั้ โดยสมุ่ ถาม
เปน็ รายบคุ คล
5. ใหน้ ักเรยี นและครูรว่ มกนั สรุปความรู้ ดงั นี้
- การอา่ นวรรณกรรมทด่ี ีน้ันผ้อู ่านควรวิเคราะหเ์ น้ือหาและคุณคา่ ในด้านตา่ ง ๆ จงึ จะค้นหาข้อคิดที่ได้
จากวรรณกรรมเร่ืองนนั้ ๆ และนำไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตจรงิ ได้
6. ใหน้ กั เรยี นรว่ มกันแสดงความคิดเห็น โดยครูใชค้ ำถามทา้ ทาย ดังน้ี
- นกั เรยี นคิดวา่ ชีวิตของมนุษย์ สตั ว์ และพชื มคี ุณค่าเท่ากันหรอื ไม่ อยา่ งไร
ใหน้ ักเรียนทำงานรว่ มกันเปน็ กลุ่มเพื่อนำเสนอหน้าช้ันเรียน
สื่อการเรียนรู้
หนงั สอื เรื่อง เราเกิดมาจากไหน แต่งโดย วิริยะ สิริสงิ ห
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
1. วิธีการวัดและประเมินผล
1.1 สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรม
1.2 สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
2. เคร่อื งมือ
2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรม
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม
3. เกณฑก์ ารประเมิน
3.1 การประเมินพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกจิ กรรม
ผา่ นต้งั แต่ 2 รายการ ถือว่า ผ่าน
ผ่าน 1 รายการ ถอื วา่ ไม่ผา่ น
3.2 การประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุม่
คะแนน 9 - 10 ระดับ ดมี าก
คะแนน 7 - 8 ระดบั ดี
คะแนน 5 - 6 ระดบั พอใช้
คะแนน 0 - 4 ระดบั ควรปรบั ปรงุ