The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ท33101 ชั้น ม.6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pueng Chalokdee, 2022-09-21 11:18:24

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ท33101 ชั้น ม.6

แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ท33101 ชั้น ม.6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

ชอื่ หน่วย : พากเพยี รสื่อสารการอา่ น หนว่ ยท่ี : 3 เวลา : 6 ชัว่ โมง
ชื่อแผน : การอ่านจับใจความเรือ่ งสัน้ แผนท่ี : 2 เวลา : 1 ชั่วโมง
ชอ่ื วิชา : ภาษาไทย รหสั ท 33101 ชนั้ ม.6
ชอื่ ครูผ้สู อน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี

สาระสำคญั
เรือ่ งสัน้ มีลกั ษณะเป็นวรรณกรรมประเภทบันเทิงคดี ท่ีใหค้ วามเพลดิ เพลนิ สนุกสนานเช่นเดยี วกับเรอ่ื ง

เลา่ ทเ่ี ปน็ นิยาย นิทาน เช่น นิทานสุภาษิต นิทานชาดก แตเ่ ร่ืองสัน้ มีลักษณะพเิ ศษท่ีแปลกไป เพราะเป็นการเลา่
เรื่องที่เกิดจากการดำเนินชีวิตจรองของบุคคลในสงั คมเช่นเดียวกับนวนิยาย แต่มขี ้อแตกตา่ งออกไปเล็กน้อย คือ
เรื่องสั้นตอ้ งเป็นเรื่องทม่ี ีจดุ มุ่งหมายเดียว มีเหตกุ ารณ์ตอ่ เนื่องเป็นปมขัดแยง้ และจบลงด้วยการคลี่คลายข้อ
ขดั แย้ง เป็นผลจบทเ่ี ปน็ คติให้ผอู้ ่านได้คิด การอา่ นจบั ใจความเรือ่ งสนั้ จงึ ต้องเขา้ ใจจดุ มุ่งหมายของผูเ้ ขียนวา่
ต้องการสือ่ อะไร

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความร้แู ละความคดิ เพื่อนำไปใชต้ ัดสินใจแกป้ ญั หา
ในการดำเนนิ ชวี ติ และมนี สิ ัยรักการอา่ น

ตวั ชีว้ ดั
ท 1.1 ม. 4-6/3 วเิ คราะหแ์ ละวจิ ารณ์เรอื่ งที่อ่านในทุก ๆ ดา้ นอยา่ งมเี หตผุ ล
ท 1.1 ม. 4-6/4 คาดคะเนเหตกุ ารณ์จากเร่ืองทอ่ี ่านและประเมนิ คา่ เพ่ือนำความรคู้ วามคดิ
ไปใชต้ ดั สินใจแก้ปัญหาในการดำเนนิ ชวี ติ
ท 1.1 ม. 4-6/5 วิเคราะห์ วจิ ารณ์แสดงความคิดเหน็ โตแ้ ย้งเกย่ี วกับเร่อื งท่ีอ่าน และเสนอ
ความคิดใหม่อย่างมีเหตผุ ล
ท 1.1 ม. 4-6/8 สังเคราะหค์ วามรู้จากการอา่ นส่ือสง่ิ พิมพ์ สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ และแหลง่ การเรยี นรู้
ต่าง ๆ มาพฒั นาตน พฒั นาการเขียน และพฒั นาความรู้ทางอาชีพ

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายลักษณะการอา่ นจับใจความเรอื่ งส้นั (K)
2. อ่านจบั ใจความเร่ืองสั้น (P)
3. เหน็ ความสำคญั และตระหนกั ถงึ ความสำคัญของการอ่านจบั ใจความ (A)
4. มมี ารยาทในการอา่ น (A)

สาระการเรียนรู้
การอา่ นจบั ใจความเร่ืองสน้ั

สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
- ทกั ษะการอา่ น
- ทักษะการเขยี น
- ทกั ษะการฟัง การดู และการพูด
2. ความสามารถในการคดิ
- การจำแนก
- การใหเ้ หตุผล
- การวิเคราะห์
- การสังเคราะห์
- การสรุปความรู้
- การประเมนิ คา่

คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ใฝเ่ รียนรู้
ตวั ชวี้ ัดท่ี 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรยี นรูต้ ่าง ๆ ท้ังภายในและภายนอกโรงเรยี น ด้วยการ

เลือกใช้สอ่ื อย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ สามารถนำไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันได้

ชิน้ งานหรอื ภาระงาน
1. ฝึกทกั ษะการอ่านจับใจความเร่อื งสัน้
2. ใบงานท่ี 1.2 เรือ่ ง การอา่ นจับใจความเร่อื งสน้ั

การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
ขน้ั นำ
1. ใหน้ กั เรยี นศึกษาความรเู้ ร่ือง “การอ่านจับใจความเร่ืองสนั้ ” พรอ้ มการอธบิ ายเพ่ิมเตมิ จาก

ครูผูส้ อนโดยนำเสนอตวั อย่างเร่อื งสั้นและใจความสำคัญจากเรอื่ งส้นั เพือ่ ใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจอยา่ งชดั เจน
ขั้นสอน
2. ให้นักเรียนจบั ใจความสำคัญจากเร่ืองสน้ั ที่ครูมอบหมายให้ไปอา่ นเม่ือช่ัวโมงทีแ่ ล้วโดยกำหนด

ประเดน็ สำคญั ว่า “ใคร ทำอะไร ท่ีไหน อย่างไร เมื่อไร และทำไม” เพื่อใหน้ ักเรยี นเข้าใจหลกั การอ่านจบั ใจความเร่ือง
ส้นั เบอื้ งต้น แลว้ เรยี บเรยี งถ้อยคำและเน้ือความใหส้ มบูรณ์ เพอ่ื เตรยี มตัวนำเสนอหน้าช้นั เรียน

3. ครูผ้สู อนสุ่มเลอื กนักเรยี น 3 คน จากเรื่องส้ัน 1 เรือ่ ง รวมเป็น 6 คน มานำเสนอใจความสำคัญ
จากเรื่องสั้นท่ีตนเองอา่ น แล้วให้นกั เรียนและครรู ่วมกันประเมินวา่ คนใดจับใจความสำคญั จากเรื่องสน้ั ได้ดีทส่ี ุด
โดยใชค้ วามรูท้ ศี่ กึ ษาเป็นตัวประเมิน จากนนั้ ครูจงึ เฉลยใจความสำคัญของเร่ืองทีถ่ ูกต้อง เพ่ือใหน้ ักเรียนแลก
กนั ตรวจผลงานกบั เพื่อน

4. ให้นกั เรยี นจดบนั ทึกข้อมลู จากการประเมนิ เพี่อหาจดุ บกพรอ่ งของตนเองและเพ่ือนท่ีออกมา
นำเสนอผลงานหน้าช้นั เรยี น แลว้ นำมาปรบั แก้ผลงานของตนเอง

5. ให้นกั เรียนทำใบงานที่ 1.2 เร่ือง การอา่ นจับใจความเรือ่ งสั้น แล้วรว่ มกนั ตรวจสอบความถูกต้อง
ข้ันสรปุ
6. ให้นักเรยี นและครรู ่วมกันสรุปความรู้ ดงั นี้

๏ การอา่ นจับใจความเรอ่ื งสัน้ ต้องเข้าใจจุดมุง่ หมายของผู้เขียนวา่ ตอ้ งการสื่ออะไร
7. ใหน้ ักเรยี นร่วมกันแสดงความคดิ เหน็ โดยครูใชค้ ำถามทา้ ทาย ดังนี้

๏ เพราะเหตุใดเราจงึ ควรอ่านวรรณกรรมประเภทเร่ืองสนั้
8. ครผู ู้สอนสัง่ งานให้นักเรยี นอา่ นวรรณกรรมพื้นบา้ น เร่ือง สังข์ทอง หรือเร่ืองอืน่ ที่ครูเห็นสมควร
เพ่อื ทำความเข้าใจก่อนศึกษาเรอื่ ง การอา่ นจับใจความวรรณกรรมพ้นื บ้านในชว่ั โมงต่อไป

การจัดบรรยากาศเชิงบวก
ใหน้ กั เรยี นนำเสนอผลงานหน้าชัน้ เรยี นแล้วชว่ ยกนั ประเมนิ ผลงานโดยเพ่อื นนกั เรียนและครูผสู้ อนช่วย

สร้างบรรยากาศกระตือรอื ร้น

ส่ือการเรียนรู้
1. เรื่องสัน้ 2 เรอ่ื งท่ีครกู ำหนดให้อา่ น
2. ตัวอย่างเรือ่ งส้นั เรอ่ื งสั้นเรือ่ ง มอม
3. ใบงานที่ 1.2 เรือ่ ง การอา่ นจับใจความเร่อื งสั้น

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ วธิ กี ารวัด เครือ่ งมือวดั เกณฑ์ผา่ น
ส่งิ ที่วดั ตรวจใบงานท่ี 1.2 ใบงานที่ 1.2 ระดบั 2 ขนึ้ ไป

1. อธบิ ายลักษณะการอา่ นจับใจความ ตรวจใบงานที่ 1.2 ใบงานท่ี 1.2 ระดบั 2 ขึ้นไป
เร่อื งส้ัน (K) ตรวจใบงานที่ 1.2 ใบงานที่ 1.2 ระดับ 2 ขน้ึ ไป
2. อา่ นจบั ใจความเรื่องสั้น (P)
4. เห็นความสำคญั และตระหนักถึง ตรวจใบงานท่ี 1.2 ใบงานที่ 1.2 ระดบั 2 ขึ้นไป
ความสำคัญของการอ่านจับใจความ (A)
5. มีมารยาทในการอ่าน (A)

การประเมนิ ใบงานที่ 1.2 ให้ผู้สอนพจิ ารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจรงิ (Rubrics)
เรื่อง การอ่านจบั ใจความเรื่องส้นั

เกณฑ์การประเมนิ 4 ระดับคะแนน 1
32

การอ่านจับใจความ เขียนแนวคดิ สำคัญของ เขียนแนวคิดสำคัญ เขียนแนวคิดสำคัญ เขยี นแนวคดิ สำคัญ
เร่อื งส้นั
เรอ่ื งได้ถูกต้อง ตรง ของเร่ืองได้ถูกตอ้ ง ของเร่ืองได้ถูกตอ้ ง ของเร่ืองไดบ้ ้าง

ประเดน็ ทุกข้อและได้ ตรงประเดน็ ทุกข้อและ ตรงประเดน็ ใชภ้ าษาไม่ถูกต้อง

ใจความตอ่ เนื่อง ไดใ้ จความต่อเน่ือง แต่ใจความวกวน สะกดคำและใช้

ใช้ภาษาถูกต้อง ใชภ้ าษาถกู ต้อง ใช้ภาษาถกู ต้อง เครื่องหมายวรรคตอน

สือ่ ความหมายชดั เจน สอื่ ความหมายชดั เจน ส่ือความหมายชดั เจน ผดิ 5-6 แหง่ ตวั อักษร

ลำดบั ความไม่วกวน ลำดบั ความไมว่ กวน สะกดคำและใช้ อา่ นยาก

สะกดคำและใช้ สะกดคำและใช้ เครื่องหมายวรรคตอน ไมส่ ะอาด ไมเ่ ป็น

เครื่องหมายวรรคตอน เครื่องหมายวรรคตอน ผดิ 3-4 แห่ง ระเบียบ

ถกู ต้อง ตัวอกั ษร ผิด 1-2 แห่ง ตวั อักษรอา่ นงา่ ย

อ่านง่าย สะอาด ตัวอักษรอา่ นงา่ ย สะอาด ขาดความ

เป็นระเบียบ สะอาด เป็นระเบยี บ เปน็ ระเบยี บ

กิจกรรมเสนอแนะ
ใหน้ ักเรียนฝึกอา่ นจับใจความจากเรื่องส้นั ตา่ ง ๆ ทส่ี นใจ แล้วร่วมกันอภิปรายเกีย่ วกับเนื้อเรอื่ งและ

สำนวนโวหารทใ่ี ช้

ความรเู้ พิ่มเติมสาหรบั ครู
การอ่านเพ่ือจบั ใจความสาคญั
การอ่านเพื่อจับใจความสำคญั คอื การอา่ นอย่างครา่ ว ๆ (Skimming) เป็นวิธีการอา่ นทผ่ี ู้อ่านมงุ่ หวงั
ท่ีจะทราบรายละเอียดของเน้ือเร่อื งหรือข้อความทีอ่ ่าน โดยการกวาดสายตาหาหวั เร่อื งทีเ่ ราสนใจและจะคน้ หา
เฉพาะแนวความคิดหลกั เท่านั้น การอ่านแบบนี้ จะอ่านข้ามเปน็ ตอน ๆ และอาจข้ามบางประโยคหรือบางบรรทดั ไป
คอื ไม่อ่านทกุ คำแต่มองหาประเดน็ หรอื ใจความสำคัญ (main idea) หรอื หาคำสำคญั ของเรอ่ื ง (key words)
โดยผูเ้ ช่ียวชาญบางทา่ นไดก้ ล่าวไว้วา่ เป็นการอ่านดว้ ยนิว้ (reading with fingers) การอ่านประเภทน้ีมักจะใช้
กบั การอา่ นบทความ หนงั สอื พมิ พ์ นิตยสาร นวนยิ าย สำหรบั จุดมุง่ หมายของการอ่าน เพ่ือหาประเด็นหรือ
ใจความสำคัญโดยทั่วไป เพ่ือเกบ็ รายละเอียดท่สี ำคัญบางอยา่ งเทา่ น้ัน
การอา่ นวธิ ีนี้จะไม่อ่านทุกคำหรอื ทุกประโยค แตจ่ ะจบั เฉพาะคำสำคัญ (key word) ท่บี อกวา่ เน้ือเรอื่ ง
ท้งั หมดน้ันเก่ยี วกบั เร่ืองอะไรเท่านั้น ซ่งึ หลักปฏบิ ัตใิ นการอ่าน สรปุ ได้ดงั นี้

1. อ่านสองหรือสามคำแรกและ/หรอื สองหรือสามคำสดุ ท้ายในแต่ละประโยคคือการอา่ นขา้ มสง่ิ ที่คดิ
วา่ ไมม่ ีความสำคญั ในประโยค จะเข้าใจประโยคนั้นหรือไม่ขึ้นอยกู่ บั ความสลับซับซอ้ นและโครงสร้างของประโยค
เปน็ สำคัญ

2. การพรีวิว (Preview) คือความสามารถที่จะคดิ และคาดการณ์เหน็ แนวคิดบางอย่างได้ลว่ งหน้ากอ่ น
การอ่านจรงิ การพรวี ิวชว่ ยให้จบั ประเดน็ ได้เร็วขน้ึ และชว่ ยใหอ้ ่านข้ามข้อความโดยไมเ่ สียอรรถรส วธิ ีอา่ นคือ
อา่ นประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแตล่ ะย่อหนา้ อย่างเร็วก่อนแลว้ จึงไปอา่ นซ้ำอีกครั้งเพื่อเกบ็ ใจความ
สำคญั ตอ่ ไป ซึง่ อ่านเฉพาะคำหรอื วลที สี่ ำคญั ในแตล่ ะย่อหนา้ เท่าน้ัน

3. อ่านส่วนแรกของประโยคเร็ว ๆ วธิ ีน้ี จะไม่อ่านจนจบประโยค แตจ่ ะกวาดสายตามองผ่าน ๆ แลว้
เริ่มต้นอ่านประโยคใหม่ ทำเรื่อย ๆ จนจบประโยคทต่ี ้องการจะอ่าน ขณะอา่ นสายตาจะจับอยู่ทีท่ างดา้ นซา้ ยมือ
ของประโยคตลอดเวลา คอื อา่ นข้อความแคห่ น่ึงในสามของประโยคเท่าน้ัน

4. อา่ นเฉพาะสว่ นกลางของหน้าหนงั สอื สายตาจะจบั เฉพาะตอนกลางของหนังสือเท่านั้น และอ่าน
เกอื บทุกประโยคดว้ ย

5. อ่านแตเ่ ฉพาะคำหรือวลที ส่ี ำคญั โดยท่สี ำคญั อาจเปน็ ตัวเอน หรือมตี ัวเลขกำกบั อย่ใู นเครื่องหมาย
คำพูดก็ได้ บางคร้ังอาจขึ้นต้นดว้ ยอกั ษรตวั พิมพ์ใหญ่ หรอื ขีดเสน้ ใต้ไว้ก็ไดอ้ าจเปน็ อย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดา
ท่กี ลา่ วมาทงั้ หมดก็ได้

6. อ่าน Topic Sentence ซึ่งก็คือ ประโยคท่ีบรรจุหัวเร่ืองและใจความสำคัญไว้ โดย Topic
Sentence มกั จะวางอยู่ที่ประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายของข้อความ และสว่ นน้อยที่อย่ตู อนกลางของเร่ือง
และบางข้อความไม่มี Topic Sentence ผูอ้ ่านตอ้ งสรุปเอาเองจากเน้ือเร่ืองในบทความนั้น

จากทก่ี ล่าวมาท้ังหมด 5 ข้อ ยังมีสิง่ สำคญั อีกสง่ิ หนงึ่ น่ันคือ Topic Sentence ซงึ่ กค็ ือ ประโยคท่ีบรรจุ
หวั เรื่องและใจความสำคญั ไว้โดย Topic Sentence มกั จะวางอยู่ท่ปี ระโยคแรกหรือประโยคสุดทา้ ยของ
ข้อความ และส่วนนอ้ ยที่อยู่ตอนกลางของเรื่อง และบางข้อความไม่มี Topic Sentence ผ้อู า่ นต้องสรุปเอาเอง
จากเนอื้ เรื่องในบทความนั้น

ใบงานที่ 1.2 เรอ่ื ง การอา่ นจับใจความเร่ืองสั้น

ใหน้ ักเรียนอ่านเร่ืองสน้ั เร่อื ง มอม และบอกแนวคิดสำคญั ของเรอ่ื ง
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
___________________________

เฉลยใบงานท่ี 1.2 เรื่อง การอา่ นจบั ใจความเรื่องส้ัน
แนวคิดสำคญั ของเรอื่ ง

1. ความรักและความผกู พันระหวา่ งมนุษย์และสตั วเ์ ป็นส่งิ ที่เกิดข้นึ ได้ เชน่ ความผูกพนั ระหว่างมอม
กบั นายของมันเมื่อจะต้องพลัดพรากจากกันก็โศกเศรา้ และเสียใจ

2. สัตว์ยอ่ มไม่สามารถละทิ้งสัญชาตญาณได้ เช่น ตอนที่มอมหนนี ายหายไปเพราะมีความรักตอ่
นางนวลสุนัขด้วยกนั

3. สงครามนำมาซึ่งการพลดั พราก ความเสยี หายในชวี ิตและทรัพย์สิน เชน่ เมื่อนายออกจากบ้านไป
นายหญงิ กโ็ ศกเศรา้ เปล่ยี นไปเป็นคนละคน

ช่อื หน่วย : พากเพียรส่ือสารการอา่ น หนว่ ยท่ี : 3 เวลา : 6 ช่ัวโมง
ชอ่ื แผน : การอา่ นจบั ใจความวรรณกรรมพ้ืนบา้ น แผนท่ี : 3 เวลา : 1 ช่ัวโมง
ชื่อวิชา : ภาษาไทย รหสั ท 33101 ชน้ั ม.6
ช่ือครผู ู้สอน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี

สาระสำคัญ
วรรณกรรมพื้นบา้ น คอื วรรณกรรมบันเทิงคดีทเี่ ก่าแก่ เป็นเรอ่ื งราวที่กลน่ั กรองมาจากสภาพชวี ิต ความ

เป็นอยขู่ องบคุ คลในสมัยนัน้ บางครัง้ เป็นเรื่องราวที่ไม่ใชค่ วามจริง อาจเปน็ อภนิ หิ ารหรือจนิ ตนาการทปี่ ระดิษฐ์
ขนึ้ ตวั อย่างนิทานพนื้ บา้ นของไทย เชน่ เรอ่ื งพระลอ ขนุ ช้าง ขนุ แผน แต่งเปน็ คำประพันธ์ประเภทรอ้ ยแกว้ ขึ้น
กอ่ น แลว้ จงึ มีผนู้ ำไปเขียนเป็นบทรอ้ ยกรองต่างๆ เชน่ ลลิ ิตพระลอ และเสภาเรื่องขนุ ชา้ งขุนแผน การอา่ นจบั
ใจความวรรณกรรมพ้ืนบ้านทำให้เราได้รแู้ ละเข้าใจถึงสภาพชีวติ ของคนสมัยก่อน แลว้ นำแง่คดิ มาเป็นตัวอยา่ งใน
การดำเนินชีวติ ท่ดี ไี ด้

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอ่านสรา้ งความรู้และความคดิ เพ่ือนำไปใช้ตัดสินใจแกป้ ัญหา
ในการดำเนินชวี ิต และมีนิสยั รกั การอ่าน

ตวั ชวี้ ดั
ท 1.1 ม. 4-6/3 วเิ คราะห์และวจิ ารณ์เรอ่ื งท่ีอ่านในทุก ๆ ด้านอยา่ งมีเหตผุ ล
ท 1.1 ม. 4-6/4 คาดคะเนเหตกุ ารณ์จากเรื่องทีอ่ ่านและประเมินคา่ เพื่อนำความรู้ความคดิ
ไปใช้ตดั สนิ ใจแกป้ ญั หาในการดำเนินชวี ติ
ท 1.1 ม. 4-6/5 วเิ คราะห์ วิจารณ์แสดงความคดิ เหน็ โตแ้ ยง้ เกย่ี วกับเร่อื งทอ่ี ่าน และเสนอ
ความคดิ ใหมอ่ ยา่ งมีเหตุผล
ท 1.1 ม. 4-6/6 ตอบคำถามจากการอ่านงานเขียนประเภทต่าง ๆ ภายในเวลาทกี่ ำหนด
ท 1.1 ม. 4-6/8 สังเคราะห์ความร้จู ากการอา่ นส่อื ส่ิงพิมพ์ สือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ และแหลง่ การเรยี นรู้
ตา่ ง ๆ มาพัฒนาตน พัฒนาการเขยี น และพัฒนาความรู้ทางอาชพี

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายลกั ษณะการอา่ นจับใจความวรรณกรรมพื้นบ้าน (K)
2. อา่ นจบั ใจความวรรณกรรมพ้ืนบ้าน (P)
3. เห็นความสำคญั และตระหนกั ถงึ ความสำคัญของการอ่านจับใจความ (A)
4. มมี ารยาทในการอ่าน (A)

สาระการเรียนรู้
การอา่ นจบั ใจความวรรณกรรมพื้นบ้าน

สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
1. ความสามารถในการส่ือสาร
- ทักษะการอ่าน
- ทักษะการเขียน
- ทกั ษะการฟัง การดู และการพูด
2. ความสามารถในการคิด
- การจำแนก
- การใหเ้ หตผุ ล
- การวิเคราะห์
- การสังเคราะห์
- การประยกุ ต/์ การปรบั ปรุง
- การสรุปความรู้
- การประเมนิ คา่

คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ใฝ่เรยี นรู้
ตัวช้วี ัดท่ี 4.2 แสวงหาความร้จู ากแหลง่ เรยี นรูต้ ่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
ดว้ ยการเลือกใชส้ ื่ออยา่ งเหมาะสม บนั ทกึ ความรู้ วเิ คราะห์ สรปุ เป็น
องค์ความรู้ สามารถนำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันได้

ชน้ิ งานหรือภาระงาน
1. ฝึกทกั ษะการอา่ นจับใจความวรรณกรรมพนื้ บ้าน
2. ใบงานที่ 1.3 เร่อื ง การอ่านจับใจความวรรณกรรมพนื้ บา้ น

การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้นั นำ
1. ใหน้ ักเรยี นรว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ โดยครูใชค้ ำถามท้าทาย ดงั น้ี
๏ วรรณกรรมพ้ืนบ้านแตกตา่ งจากนวนิยายอยา่ งไร
2. ใหน้ กั เรียนศึกษาความรูเ้ รอ่ื ง “การอ่านจับใจความวรรณกรรมพื้นบ้าน” พรอ้ มการอธิบายเพม่ิ เติม

จากครผู สู้ อน โดยนำเสนอตัวอยา่ งวรรณกรรมพนื้ บ้านและใจความสำคัญจากวรรณกรรมพื้นบ้านเพื่อให้นักเรียน
เข้าใจอย่างชดั เจน

ขั้นสอน
3. ให้นักเรียนจัดกลุ่มตามท่ีได้แบง่ ไว้ตัง้ แต่ชว่ั โมงที่แลว้ จบั ใจความสำคญั และสรุปแนวความคดิ ท่ี
ได้จากวรรณกรรมพื้นบา้ นทีก่ ลมุ่ ของตนไดร้ บั จากครผู สู้ อนหรอื เร่ืองท่ีนกั เรยี นเลือกเอง นำเสนอหน้าชัน้ เรยี น

โดยเล่าเรอ่ื งย่อ บอกใจความสำคญั และแนวความคดิ ท่ีไดร้ ับ แล้วสรปุ ว่าจะนำแนวความคดิ ไปใช้ใน
ชวี ิตประจำวันอย่างไร

4. ใหน้ ักเรียนท้งั ห้องจดบันทึกขณะเพ่ือนนักเรียนนำเสนอหน้าชน้ั ว่า การนำเสนอเป็นอยา่ งไร ใจความสำคัญ
และแนวความคิดสมั พนั ธ์กบั เรื่องย่อหรือไม่ แลว้ ให้ท้ังห้องตั้งคำถามจากเน้ือหาทีน่ ำเสนอ 1-2 คำถาม โดยให้
ผนู้ ำเสนอเป็นผู้ตอบคำถาม

5. ครูผู้สอนแจกใบความรู้เรื่อง วรรณกรรมพนื้ บา้ นเรอื่ ง สังข์ทอง ให้นักเรียนอา่ น
6. ให้นกั เรียนทำใบงานท่ี 1.3 เร่ือง การอา่ นจับใจความวรรณกรรมพน้ื บา้ น แล้วรว่ มกนั ตรวจสอบ
ความถกู ตอ้ ง
ขน้ั สรปุ
7. ให้นกั เรยี นและครูรว่ มกันสรปุ ความรู้ ดังนี้

๏ การอา่ นจบั ใจความวรรณกรรมพน้ื บ้านทำให้เราไดร้ แู้ ละเขา้ ใจถึงสภาพชวี ิตของคนสมัยกอ่ น
แลว้ นำแงค่ ิดมาเป็นตวั อย่างในการดำเนนิ ชวี ิตท่ดี ไี ด้

8. ครูผ้สู อนสั่งใหน้ ักเรียนหาบทโฆษณาจากหนังสอื พมิ พ์ นิตยสาร หรืออนิ เทอรเ์ นต็ เพ่ืออา่ นและ
ทำความเข้าใจก่อนศึกษาเรื่องการอ่านจับใจความโฆษณา ในชั่วโมงต่อไป

การจดั บรรยากาศเชงิ บวก
ให้นกั เรยี นนำเสนอผลงานหน้าช้นั เรียนแล้วตอบคำถามทีเ่ พื่อนนักเรยี นตงั้ คำถามจากเน้ือหาทีน่ ำเสนอ

ชว่ ยใหน้ ักเรยี นท้ังหอ้ งตน่ื ตัว และได้ทำงานร่วมกันเป็นกล่มุ

สื่อการเรยี นรู้
1. วรรณกรรมพื้นบ้านเรอ่ื งต่าง ๆ ทีค่ รูกำหนดให้อ่าน
2. ตัวอย่างวรรณกรรมพื้นบา้ น
3. ใบความรู้ เร่อื ง สงั ขท์ อง
4. ใบงานที่ 1.3 เรอ่ื ง การอ่านจับใจความวรรณกรรมพ้นื บา้ น

การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ วิธีการวดั เคร่อื งมือวดั เกณฑผ์ ่าน
ส่ิงท่ีวดั ตรวจใบงานท่ี 1.3 ใบงานท่ี 1.3 ระดบั 2 ข้ึนไป

1. อธบิ ายลกั ษณะการอา่ นจับใจความ ตรวจใบงานท่ี 1.3 ใบงานท่ี 1.3 ระดบั 2 ข้ึนไป
วรรณกรรมพน้ื บา้ น (K)
2.อ่านจับใจความวรรณกรรมพืน้ บ้าน ตรวจใบงานที่ 1.3 ใบงานที่ 1.3 ระดบั 2 ขึน้ ไป
(P)
4. เหน็ ความสำคญั และตระหนกั ถึง ตรวจใบงานท่ี 1.3 ใบงานท่ี 1.3 ระดับ 2 ข้นึ ไป
ความสำคัญของการอ่านจับใจความ (A)
5. มมี ารยาทในการอา่ น (A)

การประเมินผลตามสภาพจริง

การประเมนิ ใบงานท่ี 1.3 ใหผ้ สู้ อนพจิ ารณาจากเกณฑก์ ารประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Rubrics)

เรื่อง การอ่านจับใจความวรรณกรรมพืน้ บ้าน

เกณฑก์ ารประเมิน 4 ระดับคะแนน 1
32

การอา่ นจบั ใจความ เขยี นเนือ้ หาสาระได้ เขยี นเนอ้ื หาสาระได้ เขยี นเน้ือหาสาระได้ เขยี นเนือ้ หาสาระได้

วรรณกรรมพ้นื บา้ น ถกู ต้อง ตรงประเด็น ถกู ต้อง ตรงประเด็น ถูกต้อง ตรงประเด็น บา้ ง ใชภ้ าษาไม่ถูกตอ้ ง
และไดใ้ จความต่อเน่อื ง และไดใ้ จความต่อเนอ่ื ง แต่ใจความวกวน สะกดคำและใช้

ใชภ้ าษาถกู ต้อง ใชภ้ าษาถกู ต้อง ใชภ้ าษาถกู ต้อง เคร่ืองหมายวรรคตอน

สอื่ ความหมายชัดเจน สอ่ื ความหมายชัดเจน สื่อความหมายชดั เจน ผิด 5-6 แหง่ ตวั อกั ษร

ลำดับความไม่วกวน ลำดบั ความไมว่ กวน สะกดคำและใช้ อา่ นยาก

สะกดคำและใช้ สะกดคำและใช้ เครื่องหมายวรรคตอน ไม่สะอาด ไมเ่ ป็น

เครื่องหมายวรรคตอน เคร่ืองหมายวรรคตอน ผิด 3-4 แหง่ ระเบยี บ

ถกู ต้อง ตัวอกั ษร ผิด 1-2 แหง่ ตัวอักษรอ่านงา่ ย

อา่ นง่าย สะอาด ตัวอักษรอา่ นง่าย สะอาด ขาดความ

เป็นระเบยี บ สะอาด เปน็ ระเบียบ เป็นระเบียบ

ความรเู้ พิ่มเติมสาหรบั ครู

สงั ขท์ อง ในพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีลกั ษณะของละครนอก มตี ัวละครทเี่ ปน็ ร้จู ัก
กนั เป็นอยา่ งดี คือ เจ้าเงาะซง่ึ คอื พระสังข์ กับนางรจนา เนื้อเร่ืองมีความสนกุ สนานและเป็นนยิ ม จึงมกี ารนำ
เนอื้ เรือ่ งบางบทที่นิยม ได้แก่ บทพระสังข์ไดน้ างรจนา เพื่อนำมาประยุกตเ์ ปน็ การแสดงชุด รจนาเส่ยี ง
พวงมาลัย

สังข์ทองเป็นเรื่องท่ีได้มาจากสุวณั สงั ขชาดก เป็นหนึ่งในชาดกพุทธประวัติ เป็นนิทานพน้ื บ้านในภาคเหนือ
และภาคใต้โดยท่ีสถานท่ที ี่กล่าวถงึ เนือ้ เร่ืองในสังข์ทอง กลา่ วคอื เลา่ กันวา่

• เมอื งทงุ่ ย้ังเป็นเมืองท้าวสามล อยูใ่ นบริเวณใกลว้ ดั มหาธาตุเนอ่ื งจากมีลานหนิ เปน็ สนามตคี ลีของ
พระสังข์

• ส่วนในภาคใต้ เชอื่ ว่าเมืองตะกัว่ ปา่ เป็นเมืองทา้ วสามล มีภเู ขาลูกหนง่ึ ชื่อว่า “เขาขมังม้า” เนอื่ งจาก
เม่อื พระสังขต์ ีคลชี นะไดข้ ี่มา้ ข้ามภเู ขานนั้ ไป

เนอ้ื เร่อื งย่อ
ท้าวยศวมิ ลมมี เหสชี ่อื นางจนั ท์เทวี มีสนมเอกชื่อนางจันทาเทวี ไม่มโี อรสธดิ า จึงบวงสรวงและรักษาศีล
ห้าเพ่ือขอบุตร และประกาศแกพ่ ระมเหสีและนางสนมวา่ ถา้ ใครมโี อรสก็จะมอบเมืองให้ครอง อยมู่ านางจันท์
เทวีทรงครรภ์ เทวบุตรจตุ ิมาเป็นพระโอรสของนาง แตป่ ระสตู มิ าเปน็ หอยสังข์ นางจันทาเทวเี กิดความริษยาจงึ
ตดิ สนิ บนโหรหลวงให้ทำนายวา่ หอยสงั ขจ์ ะทำใหบ้ ้านเมอื งเกดิ ความหายนะ ท้าวยศวิมลหลงเชอ่ื นางจันทาเทวี

จึงจำใจต้องเนรเทศนางจนั ทเ์ ทวีและหอยสังข์ไปจากเมือง นางจนั ท์เทวพี าหอยสังข์ไปอาศัยตายายชาวไร่
ชว่ ยงานตายายเป็นเวลา 5 ปี พระโอรสในหอยสงั ข์แอบออกมาช่วยทำงาน เชน่ หงุ หาอาหาร ไลไ่ ก่ไมใ่ ห้จิกขา้ ว
เมื่อนางจนั ท์เทวีทราบก็ทุบหอยสังข์เสีย

ในเวลาต่อมา นางจนั ทาเทวไี ด้ไปว่าจา้ งแม่เฒ่าสเุ มธาใหช้ ่วยทำเสนห่ ์เพ่ือทท่ี ้าวยศวมิ ลจะไดห้ ลงอยู่
ในมนตร์สะกด และได้ยุยงให้ท้าวยศวิมลไปจบั ตวั พระสงั ข์มาประหาร ทา้ วยศวิมลจงึ มบี ัญชาให้จบั ตัวพระสงั ข์
มาถ่วงนำ้ แต่ท้าวภชุ งค์ (พญานาค) ราชาแห่งเมอื งบาดาลกม็ าชว่ ยไว้ และนำไปเล้ียงเป็นบตุ รบญุ ธรรม กอ่ นจะ
ส่งให้นางพันธรุ ตั เลยี้ งดูต่อไปจนพระสงั ข์มอี ายไุ ด้ 15 ปี

วนั หนงึ่ นางพันธุรตั ได้ไปหาอาหาร พระสงั ข์ไดแ้ อบไปเทยี่ วเล่นทห่ี ลงั วงั และได้พบกบั บ่อเงิน บ่อทอง
รูปเงาะ เกือกทอง ไม้พลอง และพระสังข์กร็ ู้ความจริงว่านางพันธรุ ตั เป็นยกั ษ์ เม่ือพระสังขพ์ บเข้ากับโครง
กระดูก จึงได้เตรียมแผนการหนีด้วยการกระโดดลงไปชุบตัวในบ่อทอง สวมรูปเงาะ กับเกือกทอง และขโมย
ไมพ้ ลองเหาะหนไี ป

เม่อื นางพันธรุ ตั ทราบวา่ พระสังขห์ นไี ป ก็ออกตามหาจนพบพระสงั ข์อย่บู นเขาลูกหน่งึ จึงขอร้องให้
พระสังขล์ งมา แต่พระสังข์ก็ไมย่ อม นางพนั ธรุ ตั จงึ เขยี นมหาจินดามนตรท์ ใ่ี ช้เรียกเนื้อ เรียกปลาได้ไว้ท่กี ้อนหนิ
กอ่ นทีน่ างจะอกแตกตาย ซง่ึ พระสงั ขไ์ ด้ลงมาท่องมหาจนิ ดามนตร์จนจำได้ และไดส้ วมรูปเงาะออกเดินทาง
ตอ่ ไป

พระสังข์เดินทางมาถึงเมืองสามล ซึง่ มที า้ วสามลและพระนางมณฑาปกครองเมือง ซ่ึงท้าวสามลและ
พระนางมณฑามีธดิ าล้วนถึง 7 พระองค์ โดยเฉพาะพระธิดาองคส์ ุดทอ้ งท่ชี อื่ รจนา มีสิริโฉมเลศิ ล้ำกว่าธิดาทุก
องค์ จนวนั หน่ึง ท้าวสามลได้จดั ให้มีพธิ เี ส่ียงมาลัยเลือกคูใ่ หธ้ ิดาทง้ั 7 ซง่ึ ธิดาท้งั 6 ตา่ งเสย่ี งมาลัยไดค้ ู่ครอง
ทงั้ สิน้ เวน้ แตน่ างรจนาที่มิได้เลือกเจา้ ชายองคใ์ ดเปน็ คู่ครอง ทา้ วสามลจงึ ไดใ้ ห้ทหารไปนำตัวพระสงั ข์ในรา่ ง
เจ้าเงาะซ่ึงเปน็ ชายเพยี งคนเดียวทเี่ หลือในเมืองสามล ซง่ึ นางรจนาเห็นรปู ทองภายในของเจ้าเงาะ จงึ ไดเ้ สย่ี ง
พวงมาลัยใหเ้ จา้ เงาะ ทำให้ทา้ วสามลโกรธมาก เนรเทศนางรจนาไปอยู่ทกี่ ระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะ

ทา้ วสามลคดิ จะกำจดั เจ้าเงาะทกุ วิถที าง จงึ ได้ใหเ้ ขยทงั้ หมดไปจับปลามาให้ไดค้ นละรอ้ ยตัว พระสงั ข์
จึงไดถ้ อดรูปเงาะออก และท่องมหาจินดามนตร์จนได้ปลามานบั ร้อย ส่วนหกเขยจบั ปลาไม่ไดเ้ ลยสกั ตัว จงึ เขา้
มาขอพระสังข์เพราะคิดวา่ เป็นเทวดา พระสังข์กย็ ินดีให้ แตต่ ้องแลกกับปลายจมูกของหกเขยดว้ ย ต่อมา ท้าวสามล
ได้ให้เขยทัง้ หมดไปหาเน้ือมาให้ไดค้ นละร้อยตวั พระสงั ข์ก็ใชม้ หาจนิ ดามนตร์จนไดเ้ น้ือมานบั รอ้ ย ส่วนหกเขยก็
หาไม่ได้อีกตามเคย และไดเ้ ข้ามาขอพระสังข์ พระสังขก์ ็ยนิ ดใี ห้ แต่ต้องแลกกับปลายหูของหกเขยดว้ ย

ณ สวรรคช์ ้ันดาวดึงส์ของพระอนิ ทร์ อาสน์ทีป่ ระทบั ของพระอินทรเ์ กิดแข็งกระดา้ ง อันเป็นสญั ญาณ
ว่ามีผ้มู บี ญุ กำลงั เดือดร้อน จงึ ส่องทิพยเนตรลงไปพบเหตุการณ์ในเมืองสามล จึงได้แปลงกายเป็นกษตั ริย์เมอื ง
ยกทัพไปล้อมเมืองสามล ทา้ ให้ท้าวสามลออกมาแขง่ ตีคลีกับพระองค์ หากทา้ วสามลแพ้ พระองค์จะยึดเมือง
สามลเสีย

ท้าวสามลสง่ หกเขยไปแข่งตคี ลีกบั พระอนิ ทร์ แต่กแ็ พไ้ มเ่ ป็นทา่ จึงจำต้องเรยี กเจา้ เงาะให้มาช่วยตคี ลี
ซงึ่ นางรจนาได้ขอร้องใหส้ ามีช่วยถอดรปู เงาะมาช่วยตีคลี เจ้าเงาะถูกขอรอ้ งจนใจอ่อน และยอมถอดรูปเงาะมา
ช่วยเมืองสามลตีคลีจนชนะในทีส่ ดุ หลังจากเสร็จภารกิจทเ่ี มืองสามลแลว้ พระอินทรไ์ ด้ไปเขา้ ฝนั ท้าวยศวมิ ล
และเปิดโปงความชัว่ ของนางจนั ทาเทวี พรอ้ มกับสงั่ ใหท้ ้าวยศวิมลไปรับนางจันท์เทวกี ับพระสังข์มาอย่ดู ว้ ยกัน

ดงั เดมิ ทา้ วยศวิมลจงึ ยกขบวนเสดจ็ ไปรับนางจันท์เทวกี ลับมา และพากันเดินทางไปยังเมืองสามลเม่ือตามหา
พระสงั ข์

ทา้ วยศวมิ ลและนางจนั ท์เทวีปลอมตัวเป็นสามญั ชนเข้าไปอย่ใู นวงั โดยทา้ วยศวิมลเขา้ ไปสมัครเปน็
ช่างสานกระบงุ ตะกรา้ สว่ นนางจันทเ์ ทวีเข้าไปสมัครเปน็ แม่ครัว และในวันหนง่ึ นางจันท์เทวีก็ปรุงแกงฟักถวาย
พระสงั ข์ โดยนางจนั ทเ์ ทวไี ด้แกะสลักช้ินฟักเจ็ดชิ้นเปน็ เรื่องราวของพระสงั ข์ตง้ั แต่เยาวว์ ัย ทำให้พระสังขร์ ู้ว่า
พระมารดาตามมาแลว้ จึงมาท่หี อ้ งครัวและได้พบกบั พระมารดาท่ีพลดั พรากจากกันไปนานอีกครั้ง หลงั จากน้นั
ท้าวยศวมิ ล นางจนั ท์เทวี พระสงั ข์กับนางรจนาได้เดินทางกลบั เมืองยศวิมล ทา้ วยศวิมลไดส้ งั่ ประหารนางจันทา
เทวี และสละราชสมบัตใิ หพ้ ระสงั ข์ได้ครองราชย์สืบตอ่ มา

บทละคร
มีทั้งหมด 9 ตอนดังน้ี
1. กำเนดิ พระสงั ข์
2. ถ่วงพระสังข์
3. นางพนั ธุรตั เลย้ี งพระสังข์
4. พระสังข์หนนี างพนั ธรุ ัต
5. ทา้ วสามลให้นางท้ังเจด็ เลือกคู่
6. ทา้ วสามลให้ลูกเขยหาปลาหาเนอ้ื
7. พระสังขต์ คี ลี
8. ทา้ วยศวมิ ลตามพระสงั ข์

ใบงานที่ 1.3 เรอ่ื ง การอ่านจบั ใจความวรรณกรรมพ้นื บา้ น

ใหน้ ักเรียนบอกใจความสำคัญจากวรรณกรรมพนื้ บ้านเรือ่ ง สังข์ทอง
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________
______________________________________________________________________________

เฉลยใบงานที่ 1.3 เร่อื ง การอ่านจับใจความวรรณกรรมพน้ื บา้ น
ให้นักเรียนบอกใจความสำคัญจากวรรณกรรมพืน้ บ้านเรือ่ ง สังขท์ อง

ใจความสำคัญของเรือ่ งสังข์ทอง คือ ความดแี ละความช่ัว โดยตวั เอกเป็นตัวแทนของฝ่ายดี ตวั โกงเป็น
ตัวแทนของฝา่ ยช่ัว ในท่สี ุดฝา่ ยดีกจ็ ะได้รบั ชยั ชนะ คือ พระสงั ข์ชนะใจท้าวสามล ได้ครอบครองเมือง
สามล ทา้ วยศวมิ ลเหน็ คณุ งามความดีของนางจนั ทเ์ ทวี นางจันทาเทวีถูกลงโทษหกเขยต้องอบั อายขายหน้าไป
ตลอดชวี ิต เรอ่ื งจบลงดว้ ยความสขุ เม่อื ตัวละครผ่านอุปสรรคและเหตุการณ์รา้ ย ๆ จนหมดสิน้ แล้ว

ช่อื หน่วย : พากเพยี รสื่อสารการอ่าน หน่วยที่ : 3 เวลา : 6 ช่วั โมง
ชื่อแผน : การอา่ นจับใจความบทโฆษณา แผนท่ี : 4 เวลา : 1 ช่ัวโมง
ชอ่ื วิชา : ภาษาไทย รหัส ท 33101 ชน้ั ม.6
ชอื่ ครผู ้สู อน : นางสาวพริ าวรรณ โฉลกดี

สาระสำคญั
โฆษณา เป็นการประกาศสินค้าหรอื บริการให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบ เป็นเครื่องมือสื่อสารทางการตลาด

เพ่ือบอกกล่าวให้ผู้บริโภครู้สึกถึงคุณค่าและความแตกต่าง รู้จักและก่อให้เกิดพฤติกรรมการซ้ือสินค้าหรือใช้
บรกิ ารน้ัน การอ่านจับใจความบทโฆษณาทำให้ทราบและเขา้ ใจข้อมลู เก่ยี วกับโฆษณาได้ถูกต้องและครบถ้วน
ตรงประเด็น อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์ความน่าเช่อื ถือของโฆษณานนั้ ๆ ไดอ้ ีกดว้ ย

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความรูแ้ ละความคิดเพอ่ื นำไปใชต้ ัดสินใจแกป้ ัญหา
ในการดำเนินชีวติ และมนี สิ ัยรกั การอ่าน

ตัวชว้ี ัด
ท 1.1 ม. 4-6/3 วเิ คราะห์และวิจารณเ์ ร่ืองท่ีอ่านในทุก ๆ ดา้ นอยา่ งมเี หตผุ ล
ท 1.1 ม. 4-6/5 วเิ คราะห์ วิจารณแ์ สดงความคดิ เหน็ โตแ้ ย้งเกย่ี วกับเร่อื งท่อี ่าน และเสนอ
ความคดิ ใหมอ่ ยา่ งมีเหตุผล
ท 1.1 ม. 4-6/8 สงั เคราะห์ความรจู้ ากการอ่านสื่อสง่ิ พมิ พ์ สื่ออิเล็กทรอนกิ ส์ และแหลง่ การเรยี นรู้
ตา่ ง ๆ มาพฒั นาตน พฒั นาการเขียน และพฒั นาความรู้ทางอาชพี

จุดประสงค์การเรยี นรูส้ ู่ตวั ชี้วดั
1. อธบิ ายลกั ษณะการอ่านจับใจความบทโฆษณา (K)
2. อา่ นจบั ใจความบทโฆษณา (P)
3. เห็นความสำคัญและตระหนักถึงความสำคญั ของการอา่ นจบั ใจความ (A)
4. มีมารยาทในการอ่าน (A)

สาระการเรียนรู้
การอ่านจับใจความบทโฆษณา

สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น
1. ความสามารถในการสื่อสาร
- ทกั ษะการอ่าน
- ทักษะการฟัง การดู และการพูด

2. ความสามารถในการคดิ
- การจำแนก
- การใหเ้ หตุผล
- การวิเคราะห์
- การสังเคราะห์
- การสรุปความรู้
- การประเมินค่า

3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ใฝเ่ รียนรู้
ตวั ชวี้ ัดท่ี 4.2 แสวงหาความรจู้ ากแหลง่ เรยี นร้ตู า่ ง ๆ ทัง้ ภายในและภายนอกโรงเรยี น
ด้วยการเลอื กใชส้ อื่ อย่างเหมาะสม บนั ทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็น
องค์ความรู้ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวนั ได้

ชน้ิ งานหรอื ภาระงาน
ฝกึ ทกั ษะการอา่ นจบั ใจความบทโฆษณา

การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ข้นั นำ
1. ให้นักเรยี นร่วมกันแสดงความคดิ เห็น โดยครใู ชค้ ำถามท้าทาย ดังน้ี
๏ การอา่ นจับใจความบทโฆษณามีความจำเป็นอยา่ งไร
ขน้ั สอน
2. ให้นกั เรียนศึกษาความรู้เรื่อง “การอ่านจบั ใจความบทโฆษณา” พร้อมการอธบิ ายเพ่มิ เติมจากครผู ู้สอน

โดยนำเสนอตัวอยา่ งบทโฆษณาและใจความสำคัญจากบทโฆษณา เพื่อใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจอยา่ งชัดเจน
3. ให้นักเรียนจับใจความสำคัญจากบทโฆษณาท่ีครูส่ังให้ไปหาเมื่อช่ัวโมงที่แล้ว แล้ววิเคราะห์

ความน่าเช่อื ถือของบทโฆษณาโดยระบุ ช่อื และประเภทของสินคา้ หรอื บริการ รายละเอียดของสินคา้ หรือ
บริการ และความนา่ เชือ่ ถือของสินค้าหรือบรกิ าร เพ่อื เตรยี มนำเสนอหน้าช้นั เรยี น

4. ครูผสู้ อนสุ่มเลือกนักเรียน 5-10 คน มานำเสนอใจความสำคัญและความน่าเชื่อถอื ของบทโฆษณา
ที่ตนเองอ่าน แลว้ ใหน้ ักเรียนและครรู ว่ มกนั ประเมินวา่ คนใดจับใจความสำคญั และวิเคราะห์บทโฆษณาได้ดี
ทีส่ ุด โดยใช้ความรูท้ ศี่ กึ ษาเป็นตวั ประเมนิ ครใู ห้ความรูเ้ พ่ิมเติมเก่ยี วกบั การวิเคราะหค์ วามนา่ เชอื่ ถือของบท
โฆษณา เพ่ือเปน็ เกณฑ์ให้นักเรียนแลกกันตรวจผลงาน

5. ให้นักเรียนร่วมกนั เสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ ในหวั ข้อ “บทความโฆษณาท่ดี ีควรมีองค์ประกอบ
ใดบ้าง” แลว้ ใหน้ กั เรียนและครรู ว่ มกนั สรุปผลการเสวนา

ข้ันสรุป
6. ให้นกั เรียนและครูรว่ มกนั สรปุ ความรู้ ดังน้ี

๏ การอ่านจับใจความบทโฆษณาทำให้ทราบและเข้าใจข้อมูลเก่ยี วกับโฆษณาได้ถูกต้องและครบถ้วน
ตรงประเด็นอกี ทั้งยงั สามารถวเิ คราะห์ความนา่ เชอื่ ถือของโฆษณาน้นั ๆ ไดอ้ ีกด้วย

7. ครูผู้สอนส่งั งานใหน้ ักเรียนอา่ นปาฐกถาพิเศษของพลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ เรื่อง ความเป็นคนไทย
ด้วยจติ วิญญาณ เพ่ือทำความเขา้ ใจก่อนศึกษาเร่ือง การอ่านจบั ใจความจากปาฐกถา ในช่ัวโมงต่อไป
การจดั บรรยากาศเชิงบวก

ใหน้ กั เรยี นได้นำเสนอผลงานหน้าชัน้ เรยี นแลว้ ช่วยกันประเมนิ ผลงานโดยเพือ่ นนักเรียนและครผู สู้ อน
ชว่ ยสร้างบรรยากาศกระตือรือร้น

สอื่ การเรยี นรู้
ตัวอยา่ งบทโฆษณาจากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรืออนิ เทอร์เนต็

การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้

1. วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล
สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในการเขา้ รว่ มกจิ กรรม

2. เครื่องมอื
แบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกจิ กรรม

3. เกณฑก์ ารประเมนิ
การประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรม
ผา่ นตั้งแต่ 2 รายการ ถือว่า ผา่ น
ผา่ น 1 รายการ ถือวา่ ไมผ่ า่ น

การโฆษณา
โฆษณา เป็นการประกาศสนิ ค้าหรือบริการให้ประชาชนโดยทวั่ ไปทราบ เป็นเคร่ืองมือสื่อสารทางการตลาด
เพื่อบอกกล่าวให้ผู้บริโภครู้สึกถึงคุณค่าและความแตกต่าง รู้จักและก่อให้เกิดพฤติกรรมการซ้ือสินค้าหรือใช้
บรกิ ารนัน้ ในอดีตการเริ่มตน้ ของการโฆษณาจะเปน็ ลักษณะของการร้องป่าวประกาศเชิญชวน ปจั จบุ ันการ
โฆษณาทำได้ตามส่ือต่างๆ เช่น สอื่ สง่ิ พิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อวทิ ยุ โดยเจ้าของกิจการจะวา่ จ้างบริษัทรับทำโฆษณา
เพื่อทำการโฆษณาสินค้าและบรกิ ารในส่ือต่าง ๆ เชน่ ป้ายโฆษณากลางแจ้งตามถนนสายหลกั ซง่ึ เปน็ ส่อื ทชี่ ว่ ย
ประหยดั งบประมาณไดแ้ ละสามารถตอกย้ำตราสนิ คา้ ไดอ้ ีกทางหน่ึง
รปู แบบการโฆษณา
สอ่ื
สถานทีใ่ ดก็ตามทม่ี ีสปอนเซอรจ์ า่ ยเงินเพื่อจะไดแ้ สดงโฆษณาของตนถือได้วา่ เป็นส่อื โฆษณาอย่างหนงึ่
สื่อโฆษณาอาจรวมถึง การเขียนกำแพง, ป้ายโฆษณา, ใบปลิว, แผ่นพับ, วิทยุ, โฆษณาในโทรทศั น์และโรงภาพยนตร์,
ปา้ ยโฆษณาบนเว็บ, การโฆษณาบนท้องฟ้า, ทน่ี งั่ ตามปา้ ยรถเมล์, คนถือป้าย, นิตยสาร, หนงั สือพมิ พ์, ดา้ นข้าง
ของรถหรือเคร่ืองบิน, ประตูรถแท็กซ่ี, เวทีคอนเสริ ์ต, สถานีรถไฟใตด้ นิ , สตกิ เกอร์บนแอปเปลิ , โปสเตอร์,
ดา้ นหลังของต๋วั การแสดง, ด้านหลังของใบเสรจ็ และอน่ื ๆ อีกมากมาย
การโฆษณาย่อย classified
การโฆษณาย่อย คือการโฆษณาที่เข้าถึงกลุม่ เป้าหมายที่ค่อนข้างเฉพาะตวั ตอบสนองต่อสงิ่ ที่
กลุ่มเป้าหมายต้องการ กล่มุ เป้าหมายต้องมลี ักษณะเฉพาะที่รวมกลุ่มกันได้ เช่น กลุม่ ผูร้ กั รถยนต์,กลมุ่ ชมรม
พระเคร่อื ง, ชมุ ชนคนใชง้ าน cms joomla ขอ้ ความที่โฆษณาเป็นสิ่งทก่ี ลุ่มผู้เป้าหมาย ค้นหาหรือสนใจอยู่ใน
ปัจจบุ นั ในลกั ษณะของการเอ้ือหรอื สอดคล้องเป็นทำนองเดียวกนั กบั เนอื้ หา ไมเ่ ป็นการขัดจงั หวะผรู้ ับข่าวสาร
และตรงขา้ มกับ การโฆษณาแบบมหาชน mass media
การโฆษณาแบบแอบแฝง
การโฆษณาแบบแอบแฝง คือ การที่สอื่ บันเทงิ หรอื ส่ือใด ๆ กต็ ามกล่าวถึงหรอื ใชผ้ ลติ ภัณฑ์ใดผลติ ภณั ฑ์
หนง่ึ โดยไม่ได้บอกชัดแจง้ วา่ เป็นการโฆษณา ตัวอย่างเชน่ ในภาพยนตร์เรอื่ งหน่งึ ตวั เอกของเรื่องได้ใชส้ นิ คา้ ยี่ห้อ
หนง่ึ ท่มี ีแบรนด์บอกสินค้าชดั เจน เชน่ ในภาพยนตรเ์ รือ่ ง หนว่ ยสกดั อาชญากรรมลา่ อนาคต (Minority Report)
ทอม ครูซ ผูร้ ับบทเปน็ จอห์น แอนเดอรส์ นั ใช้โทรศัพท์เคล่อื นทีย่ ห่ี ้อโนเกยี ที่แสดงยหี่ ้อไวช้ ดั เจน และใชน้ าฬกิ า
ย่ีหอ้ Bulgari ตัวอยา่ งอื่นเชน่ ในภาพยนตร์เรื่อง ไอ โรบอท พิฆาตแผนจักรกลเขมอื บโลก พระเอกของเร่ือง
กล่าวถงึ รองเทา้ ยี่ห้อคอนเวิร์สของเขาอยูห่ ลายครั้ง บรษิ ัทผู้ผลิตรถย่หี ้อคาดิลแลคไดเ้ ลือกโฆษณากบั ภาพยนตร์
เรื่อง เดอะ เมทริกซ์ รโี หลดเดด ทำใหใ้ นหนงั เร่ืองนมี้ ีรถคาดิลแลคปรากฏอยู่ในหลายฉาก
การโฆษณาทางโทรทัศน์
การโฆษณาทางโทรทัศนเ์ ปน็ วิธโี ฆษณาแบบ broadcast ท่มี ีผู้รบั ชมเปน็ จำนวนมาก สงั เกตไดจ้ ากคา่
โฆษณาตามทวี ีในช่วงรายการดัง ๆ ทม่ี รี าคาสงู มาก ในสหรัฐอเมรกิ า ค่าโฆษณาในชว่ งซเู ปอร์โบวล์มีราคาสงู
ถึง 2.7 ล้านดอลลารส์ หรัฐต่อสามสิบวินาที และเคยเชื่อว่ามีประสทิ ธิภาพที่สุดจนกระทัง่ เกิดสอื่ ใหมท่ ่ีเรียกวา่
new media ซง่ึ new media สามารถตอบสนองต่อความตอ้ งการของผู้บริโภคในวงกวา้ งได้ เช่นเดยี วกบั การ

โฆษณาทางโทรทศั น์ แตส่ ามารถตรวจนบั ได้ เป็นการส่ือสารสองทาง และปรบั เปลีย่ นให้เหมาะสมกับผชู้ ม
แตล่ ะรายได้

การโฆษณาและการเข้าถงึ ผู้ชมรปู แบบใหม่
สื่อต่าง ๆ เริ่มเข้ามามีอทิ ธิพลเหนอื โทรทัศน์มากขนึ้ เร่ือย ๆ ทกุ วนั เป็นเพราะผบู้ ริโภคเร่ิมมีเวลาอยู่
หน้าจอคอมพวิ เตอร์ มากกว่าการอย่หู นา้ จอโทรทศั น์ หรือฟงั วทิ ยุ การโฆษณาบนอินเทอรเ์ น็ตถือเปน็
ปรากฏการณเ์ มื่อไมน่ านมาน้ี ราคาค่าโฆษณาบนเว็บขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เขา้ ชมเว็บนนั้
การโฆษณาทางอเี มลก็เปน็ อีกปรากฏการณห์ นงึ่ อีเมลทผ่ี ้รู ับไม่พงึ ประสงคจ์ ะรบั ถกู เรยี กว่า สแปม
บริษทั บางบริษัทติดโลโกข้ องตนไวท้ ี่ข้างจรวดและสถานีอวกาศนานาชาติมขี ้อถกเถยี งกันถงึ ประสทิ ธภิ าพอนั
รุนแรงของการโฆษณาในระดับฝงั ใต้จิตใตส้ ำนึก (การควบคุมจิตใจ) และการโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณาชวนเชื่อคือ
การส่ือสารกับบุคคลหนึ่งเพื่อต้องการมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่น โน้มน้าวใหเ้ ห็นด้วยกับทางเลือกท่ีเราเสนอ
จนเกดิ การตัดสินใจตามเป้าหมายท่เี ราตง้ั ไว้ ซ่ึงอาจไม่สนใจในความถูกต้องหรอื ข้อเทจ็ จริง นำเสนอเพยี งดา้ น
ใดด้านหนงึ่ เพ่ือให้การโน้มน้าวประสบผลสำเรจ็
การโฆษณาแบบปากต่อปากเปน็ การโฆษณาทไ่ี มต่ ้องอาศัยเงนิ กล่าวคือ ผบู้ รโิ ภคจะแนะนำใหผ้ ้อู นื่ ใช้
กันต่อไปเรือ่ ย ๆ จนกระท่ังยี่ห้อสนิ ค้านัน้ อาจกลายเป็นชอื่ เรียกของสินค้าไปเลย เช่น ซีร็อกซ์ = เครื่องถา่ ย-
เอกสาร, มาม่า = บะหมกี่ ึ่งสำเรจ็ รูป, แฟ้บ = ผงซกั ฟอก ปรากฏการณ์เหล่านี้ถอื เปน็ ความสำเรจ็ สูงสดุ ของผู้
โฆษณา อย่างไรก็ตาม บางบรษิ ัทก็ไม่ต้องการให้ชือ่ ย่ีห้อของตนกลายเปน็ คำใช้เรียกสินค้าเพราะอาจทำให้
เครือ่ งหมายการค้าของตนกลายเปน็ “คำตลาด” และทำให้สูญเสยี สิทธิใ์ นการใชเ้ คร่ืองหมายการค้านน้ั ไป
การโฆษณาผา่ น SMS เป็นท่ีนิยมมากในยโุ รปและอเมรกิ า ข้อดขี องการโฆษณาดว้ ยวธิ ีนีก้ ็คือผูร้ ับ
ข้อความสามารถตอบโต้ได้ทันทไี มว่ า่ จะติดอยู่ในการจราจรท่ีตดิ ขัดหรือจะนัง่ อยใู่ นรถไฟฟา้ การใช้ SMS
ยังทำให้เกิดการโฆษณาแบบปากต่อปากไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
1. การพิจารณาบทความในวารสารหนงั สือพมิ พ์ มดี ังนี้

บทความในวารสารและหนงั สอื พิมพ์ ส่วนใหญ่เกยี่ วข้องกบั คนหมมู่ ากและแสดงความคิดเห็น
ของผ้เู ขยี นอย่างเตม็ ที่ บทความทด่ี ีควรมลี ักษณะดงั น้ี

1.1 ผู้เขยี นบทความต้องเปน็ ผู้ทีร่ เู้ รื่องทีเ่ ขียนอยา่ งถ่องแท้ มีขอ้ มลู สามารถอา้ งองิ ได้
1.2 ผู้เขียนบทความต้องแสดงความคิดเห็นโดยอาศยั ขอ้ เท็จจรงิ และเหตุผลอ่นื ๆ ประกอบอย่าง
กวา้ งขวาง การแสดงความคิดเห็นเป็นไปอยา่ งบริสทุ ธิใ์ จ ไม่ใช้ความรู้สกึ ของตนเองเปน็ ตัวกำหนดเพยี งอยา่ ง
เดียว การแสดงความคิดเห็นนน้ั ควรเปน็ ไปในทางสร้างสรรค์ และไมอ่ คติลำเอยี ง
1.3 การวิจารณ์ของผ้เู ขยี นบทความ ต้องตงั้ อย่บู นหลกั การการตำหนิ ไม่ควรเน้นทต่ี ัวบคุ คล แต่
เนน้ ทวี่ ิธีการหรอื หลักการ ควรชี้ใหเ้ หน็ ปญั หา และเสนอแนวทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง นอกจากนี้รูปแบบการ
เขยี นและการใช้ภาษา ควรมีความถูกตอ้ งเข้าใจง่าย ไมใ่ ช้ถ้อยคำที่ส่อเสยี ดหยาบคาย

ปาฐกถาพิเศษ
“ความเป็นคนไทยดว้ ยจติ วิญญาณ”
เนื่องในวาระครบรอบ 70 ปี วนั สถาปนาราชบัณฑิตยสถาน
ณ หอ้ งประชุมกระทรวงการตา่ งประเทศ

31 มนี าคม 2547

เรยี น ศาสตราจารย์ นายแพทยอ์ รรถสิทธ์ิ เวชชาชีวะ นายกราชบัณฑิตยสถาน และผมู้ ีเกียรติ
ผมยนิ ดีและภมู ิใจอยา่ งยิ่ง ท่ีได้รบั เชิญใหม้ ารว่ มงานในวาระครบรอบ 70 ปี วันสถาปนา

ราชบณั ฑิตยสถานในวนั น้ี นอกเหนือจาก ความยินดแี ละความภมู ใิ จ ผมยงั มีความวิตกกังวลรวมอย่ดู ้วย เพราะ
ผมไดร้ ับเกียรติและจำต้องมาพูดทา่ มกลางนักวิชาการแนวหน้าของประเทศ ท่ไี ดร้ บั สมญาว่า เป็น “ปราชญ์
ของแผ่นดิน” รวมทง้ั ผรู้ อบรู้ทัง้ หลาย ณ ท่นี ้ี

ผมมั่นใจวา่ “ปราชญข์ องแผ่นดนิ ” และผู้มเี กียรติท่ีอยใู่ นท่ีประชุมนี้ หลายทา่ นเคยไปเฝ้าฯ ในงาน
พระราชพิธีตา่ ง ๆ ในพระบรมมหาราชวงั ในงานพระราชพิธเี หล่านนั้ บางพระราชพธิ จี ะมีพระเถระชั้นผูใ้ หญ่
ถวายพระธรรมเทศนาแด่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว กอ่ นถวาย พระจะกลา่ วขน้ึ ตน้ วา่ “บัดน้ี อาตมาภาพ
จะรบั พระราชทานถวายวิสัชนาพระธรรมเทศนา ใน................คถาฉลองพระเดชพระคุณ ประดับพระปญั ญา
บารมี ถ้ารับพระราชทานถวายวสิ ชั นาไป มิไดต้ ้องตามโวหาร อรรถาธบิ ายในพระธรรมเทศนา ณ บทใดบทหนงึ่
กด็ ี ขอเดชะพระเมตตาคุณ พระกรุณาคุณ และพระขันติคุณ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานอภัยแก่อาตมะผู้
มีสตปิ ญั ญาน้อย ขอถวายพระพร”

ผมเองอยู่ในฐานะเดียวกับพระทเ่ี ทศน์ถวาย คือ เป็นผ้มู สี ติปัญญานอ้ ย ฉะนั้น การพูดของผมในวันน้ี
จะผิดจะถูกอย่างไร จะได้ประโยชน์หรอื ไดเ้ น้ือหาสาระมากน้อยเพียงใด หวงั วา่ “ปราชญ์ของแผน่ ดนิ ” และผู้มี
เกียรติท้ังหลายจะกรณุ าให้อภัย

กอ่ นที่จะบรรยายตามหวั ข้อ ขอทำความเข้าใจกบั นยิ ามศัพทด์ งั ต่อไปนี้
ความเปน็ คนไทย หมายถงึ ภาวะที่เกิดเป็นคนไทย มีประเทศไทยเปน็ ท่ีอยู่อาศัย (ไม่ต้องเรร่ ่อน)
มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีภาษาไทยและตัวเลขใช้เป็นของตวั เอง มีวัฒนธรรมไทยทีส่ ืบทอดมา
บรรพบรุ ุษ เปน็ วัฒนธรรมทีแ่ สดงถงึ ความเป็นอารยะชน มีความเจรญิ ในการดำเนนิ ชวี ติ ทีม่ แี บบแผน ทั้งใน
ดา้ นความเป็นอยู่ การทำมาหากนิ ขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชอ่ื ความเปน็ คนไทยเป็นคณุ สมบัติ
พน้ื ฐานของคนไทยซึ่งมีท้ังดีและไม่ดี สว่ นดี เชน่ ความมใี จกว้าง ชอบช่วยเหลือผอู้ ื่น เห็นอกเห็นใจคนทุกขย์ าก
อภยั ใหก้ ันง่าย มีความเกรงใจ มศี ิลปะ รกั สวยรกั งาม รักความสะอาด สว่ นไมด่ ี เช่น มกั จะเกยี จคร้าน เชื่อผูอ้ ่ืน
ง่าย ไม่ค่อยอดทน อดกล้ัน ฟุ้งเฟ้อ เปน็ ตน้
จติ วญิ ญาณ เป็นคำไทยทเี่ กิดใหมใ่ นชว่ งไมก่ ปี่ ีมาน้ี ราชบัณฑิตยสถานยังไม่ไดเ้ ก็บคำเป็นทางการ แต่
ได้นำไปใช้กนั แล้ว จติ วิญญาณ หมายถงึ พลงั จติ อันเป็นวิสัยจำเพาะของปจั เจกบุคคลท่ชี ่วยผลักดนั ให้
ประกอบกิจกรรมหรอื การแสดงออกทโ่ี ดดเดน่ เกนิ วสิ ยั ของคนท่วั ไป เข้าใจวา่ มคี วามหมายตรงกับคำ
ภาษาองั กฤษวา่ spiritual หรือ spirituality ในส่วนท่หี มายถงึ สติปัญญาที่แฝงอยู่ในจติ ใจ ระดบั ทลี่ กึ ล้ำ
ละเอยี ดออ่ นกว่าความรสู้ ึกนึกคดิ ทัว่ ไป ซึ่งก่อพลังจติ มุ่งมนั่ กระทำการใด ๆ เพ่ือใหบ้ รรลุผลสำเรจ็ (the

philosophical intellect concerned with the better or higher part of mind, showing much
refinement of thought and feeling, characterized by the ascendancy of spirit.)

เพราะฉะน้ัน การบรรยายของผมในวันนี้ จะมุง่ ไปสแู่ นวทางทจี่ ะตอบคำถามวา่ ทำอยา่ งไรคนไทย
ทกุ เชอ้ื ชาติ ศาสนาจะมีความเปน็ คนไทยดว้ ยจิตวิญญาณ

ถา้ มองย้อนอดตี จะเหน็ ชดั เจนว่า วฒั นธรรมไทยและภมู ปิ ัญญาไทยดง้ั เดมิ ไดเ้ ป็นตวั กำหนดพฤติกรรม
ในสงั คมไทยในสมัยนัน้ ๆ ไว้ไดด้ ีมาก แมจ้ ะไมเ่ ลอเลิศดงั ในปัจจุบนั ทเ่ี รียกกันวา่ ยุคโลกาภิวัตน์ ก็ตาม ทกุ วันนี้
กระแสโลกาภิวัตนไ์ ด้นำวฒั นธรรมท่ัวโลกเข้าสู่สงั คมไทยก่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงและการเลยี นแบบทัง้ ด้าน
เศรษฐกจิ สงั คม และวัฒนธรรมอยา่ งมากและรวดเรว็ ปรากฏการณเ์ หล่านัน้ เหน็ ไดช้ ัดเจนในคนรนุ่ ใหม่ (นยิ าม
: คนรนุ่ ใหม่ คนรนุ่ เก่า วดั ดว้ ย อะไร อายุ ความฉลาด พฤติกรรม จิตวญิ ญาณ) อนึง่ การเลยี นแบบโดยมไิ ด้คิด
ไตรต่ รองทีจ่ ะประยกุ ต์เชิงสร้างสรรคก์ ่อนจะนำไปใช้ เปน็ อันตรายอยา่ งยง่ิ

ผ้มู เี กยี รติครับ
สง่ิ หนง่ึ ในประเทศของเราท่ีกระแสโลกาภิวัตน์ไมส่ ามารถเปลยี่ นแปลงได้และไม่มีวนั จะเปลยี่ นแปลงได้
คอื การยดึ ม่นั ในสถาบนั พระมหากษัตริย์ คนไทยเคารพ บชู า เทดิ ทูน และจงรักภักดี ต่อสถาบนั นี้อยา่ งแนบแนน่
ม่ันคง และย่ังยืน ไม่มเี สื่อมคลาย พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ผู้ทรงพระคุณอนั
ประเสริฐ ทรงเป็นศนู ย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทย สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนทีส่ ุดวา่ คนไทยมีความเป็นคนไทย
ด้วยจติ วญิ ญาณ
ส่ิงดีงามต่าง ๆ ของชาติเรา ที่เราพึงอนุรักษ์ และพึงพัฒนาให้เหมาะกับวิถีชีวิตของคนไทยด้วย
จติ วิญญาณน้ัน มหี ลายส่งิ หลายประการ แต่ ณ โอกาสนี้ ผมจะขอนำมากล่าวเพยี ง 4 ประการ คือ
1. การแตง่ กาย เปน็ เอกลกั ษณ์ของคนไทย เปน็ ลกั ษณะเด่น ลักษณะเฉพาะของเราแตโ่ บราณ และได้
ประยุกต์และพฒั นาเรื่อยมาจนถึงปจั จุบัน แตก่ ระแสโลกาภิวตั นม์ ีบทบาทสำคัญที่ก่อใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงใน
การแตง่ กายของทั้งสุภาพบรุ ุษและสุภาพสตรี ส่อื ต่าง ๆ เชน่ โทรทัศน์และภาพยนตร์ต่างประเทศมีอทิ ธิพลต่อ
การแตง่ กายของคนไทยมากพอท่ีจะโน้มน้าวใหค้ นไทยแต่งกายแบบตะวนั ตกมากข้นึ การเลียนแบบการแตง่ กาย
แบบตะวนั ตก อาจจะไมเ่ หมาะกับคนไทย อาจจะไม่เหมาะกับภมู ิอากาศของประเทศของเรา ทแี่ น่ ๆ คือ สิ้นเปลือง
มาก และที่แปลกแตจ่ รงิ คอื เสือ้ ผ้าเก่า ๆ รองเท้าเกา่ ๆ โทรม ๆ กลับมรี าคาแพงและเป็นท่ีปรารถนาของคนรุ่น
ใหม่
(อกี แล้ว) และทีน่ า่ เปน็ หว่ งอย่างยง่ิ คอื การแตง่ กาย ของวยั รุ่นโดยเฉพาะผู้หญิงทล่ี อ่ แหลมและกระตนุ้ อารมณ์
ทางเพศ ทำให้อาชญากรรมทางเพศเพิม่ ขน้ึ
เรอื่ งการแตง่ กายน้ี พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวได้พระราชทานชดุ ไทยสำหรบั สุภาพบุรุษทน่ี ยิ มกนั
เรยี กกันว่า ชดุ พระราชทาน ผมรับแบบชุดไทยจากพระหัตถ์ของพระองคท์ ่านเอง แต่ก่อนน้นี ิยมใช้กันมาก น่าเสยี ดาย
ทป่ี ัจจุบนั นี้เลือนหายไป พอจะเห็นไดบ้ ้างนาน ๆ คร้ัง เร่ืองชุดพระราชทานนี้ น่าจะเก่ียวข้องกับจิตวิญญาณด้วย
ที่กลา่ วถงึ เร่ืองการแตง่ กายแบบตะวันตก มิได้หมายความวา่ ไม่ควรแต่งกายแบบตะวันตกมไิ ด้
หมายความวา่ คนแต่งกายแบบตะวนั ตกเปน็ คนไม่ดี มไิ ดห้ มายความวา่ ตอ่ ต้านการแตง่ กายแบบตะวันตก ในทาง
ตรงกนั ข้ามผมเห็นว่า เราตอ้ งเรียนรู้การแต่งกายแบบตะวันตก อยา่ งถกู ต้องเพอ่ื เราจะได้แต่งกายแบบตะวนั ตก
ไดง้ ดงามตามโอกาสอนั ควร ขออย่างเดียว โปรดอยา่ ลืม การแตง่ กายแบบไทยของเรา

2. บุคลกิ ภาพ และ กริ ิยามารยาท เปน็ เอกลักษณอ์ ย่างหนึง่ ของคนไทยทร่ี ูจ้ กั กนั ดี คือ บุคลิกภาพและ
กริ ยิ ามารยาททีส่ ภุ าพอ่อนโยน การเคลอ่ื นไหวท่ีนุม่ นวล การมสี ัมมาคารวะ ให้ความเคารพผู้ใหญ่ รจู้ ักเกรงใจ
มคี วามอ่อนน้อมถ่อมตน กตัญญูรู้คุณ และรกั นวลสงวนตัว ผทู้ ่ไี ด้เหน็ พฤติกรรมการแสดงออกเหล่าน้ี จะวินจิ ฉัยได้
ทนั ทวี า่ เป็นคนไทย ลักษณะการกราบ การไหว้ การสำรวมกิริยา ค้อมตัวเมื่อผา่ นผู้ใหญ่ ไม่มีชนชาติอื่นเลยี นแบบได้
เหมอื น กิริยามารยาทของคนไทยเยีย่ งน้เี ป็นเอกลักษณข์ องคนไทยอย่างแทจ้ ริง อนั เกดิ จากจิตวญิ ญาณของ
ความเป็นคนไทยท่ีสืบทอดในสายเลอื ดมาแต่โบราณกาล

การไหวข้ องคนไทยมิได้เป็นการแสดงคารวะต่อผมู้ วี ัยวฒุ สิ ูงกวา่ หรือมีศักด์ิสงู กว่าเท่านั้นแตย่ งั ใช้เม่ือ
พบปะทกั ทายกันเหมือนการสัมผัสมือของคนตะวันตก

แต่ในปัจจบุ นั ขนบธรรมเนยี มประเพณีและวัฒนธรรมอนั ดีงามของเราได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะ
อทิ ธิพลจากคา่ นยิ มและวฒั นธรรมต่างประเทศท่ีหลงั่ ไหลเข้ามา ก่อผลกระทบต่อการปลูกผงั นสิ ยั และบคุ ลิกภาพ
ของคนไทย ทัง้ ดา้ นทัศนคติ ค่านิยม ประเพณี และความคิดอ่าน ให้เปล่ยี นแปรไป ตามรูปแบบอารยะชนตะวันตก
ท่เี หน็ ได้ชัด คือ การรักนวลสงวนตวั ท่ีลดน้อยลงมาก เราพบเหน็ การแสดงออกทางเพศท่ีประเจดิ ประเจ้อในท่สี าธารณะ
และมคี วามรนุ แรงเกิดขน้ึ เปน็ ประจำในกลุ่มนักเรียนและวัยรุน่

3. อาหารไทย คนไทยได้อนรุ ักษแ์ ละพฒั นาอาหารไทยสืบทอดกันมาหลายชว่ั อายคุ นแลว้ อาหารไทย
มรี สอร่อย ถูกสุขลักษณะ และมีสารอาหารครบท้ัง 5 หมู่ เปน็ ประโยชนต์ ่อร่างกายอย่างย่ิง แมแ้ ตช่ าวต่างประเทศ
โดยเฉพาะฝรง่ั นยิ มรับประทานอาหารไทยกันมากทั้งในประเทศของเราและต่างประเทศ แต่ขณะนีอ้ าหารไทย
ด้งั เดิมหลายชนิดได้หายไปจากวงการบริโภคของคนไทยรุ่นใหม่ (อีกแลว้ ) และท่ีหลงเหลืออยู่บา้ งก็กำลังจะหายไป
อาหารต่างชาตโิ ดยเฉพาะอาหารของชาตติ ะวันตก ได้เขา้ มาแทนที่อาหารไทยแทบทกุ มื้อ การบริโภคอาหารฝร่ัง
เป็นปจั จัยเส่ยี งต่อการเกิดโรคสำคัญหลายโรค เชน่ โรคอ้วน โรคความดันเลอื ดสงู โรคหวั ใจและหลอดเลือด เป็นต้น
อบุ ัตกิ ารณ์ของโรคเหลา่ น้ี เราพบน้อยมากในคนไทยทบี่ ริโภคอาหารไทย สมดังคำมงคลท่ีว่า “กินอาหารไทย
ไกลโรค”

เปน็ ทีน่ ่าสงั เกตวา่ คนไทยในสังคมช้นั สูง มคี ่านยิ มในการรบั ประทานอาหารฝร่ัง ถา้ ใครไม่เคยไป
รับประทานอาหารฝร่ังในโรงแรมหรูและภัตตาคารมีช่ือเสียง ถือว่า ไมท่ ันสมัย ไม่มีรสนยิ ม ตกอันดับ ความโก้เก๋
คนหน่มุ คนสาว ถ้าไมไ่ ปน่ังรับประทานอาหารฝร่ังตามรา้ นท่ีมีช่ือเป็นภาษาต่างประเทศ ถือวา่ เขา้ ไมถ่ ึงอารย
ธรรมตะวนั ตก ภาษาตลาดเรียกว่า เชย เรือ่ งรสนยิ มในการรบั ประทานอาหารฝรั่งน้ี นา่ วิตกกังวลและฝา่ ยที่
เกยี่ วข้องควรจะพจิ ารณาแกไ้ ขไม่ควรปล่อยไป

4. ภาษาไทย ผมนำหัวข้อ “ภาษาไทย” มาไว้ข้อสดุ ท้าย เพราะเหน็ วา่ ภาษาไทยเป็นวฒั นธรรมท่ี
ย่ิงใหญ่ที่สดุ ของชาตเิ รา ณ ท่ีใดก็ตาม เม่อื ผมได้รับเชิญให้ไปพูดเก่ยี วกับภาษาไทยผมจะพูดเสมอทุกคร้งั วา่
“ภาษาไทยเปน็ ภาษาประจำชาตขิ องเราท่ีมีคุณคา่ และมีความสำคญั ยิ่ง เปน็ หน้าท่ขี องคนไทย (แม้จะ
ไมไ่ ด้บัญญตไิ ว้ในรัฐธรรมนูญ) ทุกคนตอ้ งหวงแหนและรกั ษาไว”้ วนั นี้ ผมขอกลา่ วอีกครง้ั หนึง่

ภาษาพดู ของคนไทย คงมีมานานนบั พันปมี าแล้ว ก่อนอพยพมาตง้ั ถิน่ ฐานในประเทศไทยกอ่ นที่พ่อ
ขุน-รามคำแหงมหาราชแห่งกรงุ สุโขทยั ทรงให้กำเนิดอักษรไทยและตัวเลขไทย ดงั หลกั ฐานจากทไี่ ด้พบเหน็
ผูค้ น ประชาชนบรเิ วณตอนใต้ของประเทศจีน พูดภาษาทีค่ ล้ายคลงึ กับภาษาไทยท่ีส่ือความหมายกับคนไทยได้
ดี ผคู้ นเหล่านน้ั น่าจะเป็นคนไทยทอ่ี พยพลงมาหยดุ อยเู่ พียงบริเวณน้นั

ภาษาพูดของคนไทยในปัจจุบันได้ววิ ฒั นแ์ ละพฒั นาไปมาก บ้างก็ว่า พดู สละสลวยไพเราะขึน้ บ้างกว็ า่
ทำให้ภาษาไทยเพี้ยนและกร่อน บางคนชอบพดู ภาษาไทยปนภาษาอังกฤษ ผู้พูดมเี หตผุ ลอย่างไรก็เหลือเดา แต่
มขี ้อเสียอยขู่ ้อหน่ึงคือ ถา้ ผู้ฟงั ไมส่ นั ทดั ภาษาองั กฤษ ยอ่ มไม่เข้าใจรับข้อความท่สี ื่อกันไม่ได้ ก็เสยี หาย

ภาษาไทยของเราเป็นภาษาที่มคี วามไพเราะอย่างย่งิ และแปลกแตกตา่ งจากภาษาอน่ื นักภาษาศาสตร์
ประมาณวา่ ในโลกน้ีมภี าษาพูดท่ใี ช้กนั ประมาณ 300 ภาษา แตม่ ไี ม่ถงึ 100 ภาษาทมี่ ีภาษาเขยี นของตนเอง
ภาษาไทยนับเปน็ หนึ่งในไมถ่ ึง 100 ภาษาพ้ืน ตวั อกั ษรไทยมอี ายุกวา่ 700 ปี มีพยญั ชนะ มีสระ มีวรรณยุกต์
ผนั ได้ถงึ 5 เสียง แยกเสยี งได้ชัดเจน คนไทยทุกคนต้องภูมิใจในภาษาไทย และต้องพยายามใช้ภาษาไทยอย่าง
ถกู ต้อง ทัง้ ในการพดู และการเขยี น เพอ่ื รักษาความบรสิ ุทธผิ์ ุดผ่องของภาษาไทยของเราไว้ใหไ้ ดต้ ลอดไป

ทกุ วนั นมี้ กี ารใชภ้ าษาไทยไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์อยูบ่ ่อย ๆ มักพบเสมอทง้ั ในสว่ นราชการ
องค์กรเอกชน และส่ือมวลชน ทจี่ ริง การใช้ภาษาไทยไม่ถกู ต้อง ย่อมเกิดขนึ้ ได้เสมอ แต่มีขอ้ พงึ พิจารณาวา่
ท่ไี ม่ถกู ต้องนน้ั เพราะอะไร ถา้ เพราะไม่ทราบ กค็ วรอภยั แต่ถา้ เพราะไม่สนใจไมเ่ หน็ ความสำคัญ พูดเขยี นไป
ตามใจชอบ กน็ ่าตำหนิ ทเ่ี หน็ คอ่ นข้างชดั เจน คือ การใช้สรรพนาม ท่ี ซึ่ง อนั กันอยา่ งพร่ำเพร่อื จนทำให้
ภาษารมุ่ ร่าม อีกคำหน่ึง คอื คำวา่ “ท่าน” ถ้าเรียก หมออรรถสทิ ธ์ิ วา่ ท่านนายกราชบัณฑติ ยสถาน ผู้รูท้ า่ นวา่
ใชไ้ ด้ไม่ผิด เพราะเป็นการยกยอ่ ง แต่ถ้าเรยี กวา่ ท่านอรรถสทิ ธ์ิ ผู้ร้ทู ่านว่าใช้ไม่ได้ ผิด โปรดสังเกตว่า คำท่ใี ช้
ผดิ พอใชไ้ ปนาน ๆ ใช้กันมาก ๆ ก็กลายเปน็ ถูก

เรอ่ื งคำย่อกน็ ่าสนใจ สือ่ ตา่ ง ๆ เช่น หนังสือพมิ พ์ ใชค้ ำย่อกนั ไม่น้อยทีเดยี ว บางคำก็พอเข้าใจ พอเดา
ได้ แตบ่ างคำไม่เขา้ ใจเลย ทางราชการไม่ไดก้ ำหนดและไม่มพี จนานุกรมอักษรย่อ ผมพอจำได้วา่ ภาคเอกชน ได้
เคยทำพจนานกุ รมอักษรย่อไว้ครงั้ หน่งึ นานมาแล้ว แต่ก็มีเพียงแค่นั้นและนำไปบังคบั ใช้ไม่ได้
กระทรวงกลาโหมเปน็ กระทรวงเดียวท่ีกำหนดคำย่อสำหรับใชใ้ นราชการทหาร ทุกเหลา่ ทัพใช้อย่างเดียวกนั
ทำใหม้ ีความสะดวกและรวดเรว็ มีระบบ และมีมาตรฐาน

คำภาษาอังกฤษบางคำ เราไม่ได้แปลเปน็ ภาษาไทย แต่ใชท้ ับศัพท์ เช่น คอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยี
เปน็ ตน้ ผมขอเรยี นด้วยความเคารพวา่ ผมเหน็ ตา่ งกับราชบัณฑิตยสถาน ผมเห็นวา่ ไมค่ วรใชท้ บั ศัพท์แต่อยาก
ใหพ้ ยายามแปลเปน็ ภาษาไทย แมเ้ ราจะไมม่ ีกรมหม่นื นราธปิ ฯแลว้ แต่เรายังมี “ปราชญข์ องแผน่ ดนิ ” อยู่อีก
จำนวนมาก เราเขียน คอมพวิ เตอร์ แต่เราอา่ นว่า คอมพวิ เตอร์ ญป่ี นุ่ เคา้ ก็ทับศัพท์เหมือนกัน แต่เขาทำใหเ้ ปน็
ภาษาญปี่ นุ่ เชน่ คม-พิว-ตา (Computer) บ-ี หรุ (Beer) รา-จ-ิ โอะ (Radio) เป็นต้น

ภาษาถิน่ กน็ ่าสนใจมาก การเรียนรภู้ าษาท้องถิน่ เปน็ การเรียนรูป้ ระวัติศาสตรส์ ่วนหนึ่งของภาค
เทา่ นั้น ภาษาถิ่นจะบง่ บอกกำเนิด ลักษณะนสิ ัย ประเพณีของภาคนั้น ๆ และของคนภาคน้ัน ๆ คนไทยจึงควร
เขา้ ใจความสำคญั ของภาษาถ่ิน และชว่ ยกันอนรุ กั ษ์และสบื สานภาษาถิ่นไว้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทยั และทรงหว่ งใยภาษาไทยมาก ในการ
พระราชทานพระบรมราโชวาทหรอื ทรงมีพระราชดำรสั จะทรงออกเสียงชัดเจนและถูกต้องทีส่ ุด
พระบาทสมเด็จพระ-เจ้าอยูห่ ัวทรงมีพระราชดำรัสเก่ยี วกับความสำคญั ในการส่ือความหมายกนั มีความตอน
หนงึ่ วา่ “วธิ ที จี่ ะนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตอ้ งอาศัยสง่ิ สำคัญอย่างหนง่ึ คือ ภาษา การได้มาซึ่งความรู้กต็ ้องใช้
ภาษา การนำความรู้ไปใช้ก็ต้องใชภ้ าษาอีก เช่น เมื่อจะปฏิบตั ิการใดก็ต้องออกคำสง่ั เป็นต้น ในปัจจุบัน
ปรากฏว่า ได้มกี ารใช้ภาษาฟุ่มเฟือยและไมต่ รงตามความหมายแทจ้ รงิ อยูเ่ นือง ๆ ทั้งการออกเสียงไมถ่ ูกต้อง

ตามอักขรวิธี ถ้าปล่อยให้เปน็ ดงั น้ี ภาษาของเรามแี ต่ทรุดโทรม ชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เอง เป็นสง่ิ อัน
ประเสริฐสุดอยูแ่ ลว้ เป็นมรดกอันมีคา่ ตกทอดมาถึงเรา ทุกคนจงึ มีหนา้ ทีร่ ักษาเอาไว้” ผมขออัญเชิญพระราช
ดำรสั มามอบแด่คนไทยทุกคน

ผู้มเี กียรติ ครับ
ถ้าคนไทยส่วนใหญใ่ นประเทศของเราเขา้ ใจและเชือ่ มน่ั โดยไม่มขี ้อสงสัยว่า จติ วิญญาณ เป็นพลัง
สำคัญทีจ่ ะชว่ ยจรรโลง เชดิ ชู ความเป็นคนไทย คนไทยจะแก้ปัญหาใหญ่น้อยทัง้ หลายไมว่ ่า ปญั หาการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ได้ง่าย สะดวก และหวงั ผลสำเรจ็ ไดจ้ ริง
เพอ่ื ใหค้ นไทยมคี วามเปน็ คนไทยดว้ ยจิตวิญญาณกันใหม้ ากที่สุด ผมใคร่ขอเสนอแนะดังต่อไปน้ี
1. จติ วญิ ญาณซงึ่ ตดิ กบั ตัวเรามาตั้งแต่เกดิ มากบ้าง น้อยบ้าง สามารถสรา้ งเพม่ิ เติมให้มากข้นึ ได้
โดยการใฝ่หา การเรยี นรู้ และความสำนึกในการเปน็ คนไทย
2. ยกยอ่ งคนไทยที่มคี วามเป็นคนไทยดว้ ยจติ วิญญาณให้เป็นท่ปี ระจกั ษ์เพื่อคนอื่นจะได้ถือเปน็
แบบอยา่ งและประพฤตปิ ฏบิ ัตติ าม
3. ใชค้ วามรกั ความภมู ิใจที่เกิดมาเปน็ คนไทย ความแนว่ แน่ทจ่ี ะทำความดีเพ่อื ตอบแทนบุญคุณ
แผ่นดิน เปน็ สื่อสรา้ งจิตวญิ ญาณ อยา่ งจริงจงั และต่อเนื่อง
ผมู้ ีเกียรตคิ รับ
ผมขอจบการบรรยายดว้ ยประโยคที่ว่า “การรักษาวฒั นธรรมอันเป็นสมบัตลิ ำ้ คา่ ของเรา คอื การ
รกั ษาชาติ”
หวังวา่ การบรรยายคร้งั นีจ้ ะยังประโยชน์ต่อผู้มีเกียรติทั้งหลายบา้ ง
ขอขอบคุณท่านนายกราชบณั ฑิตยสถานอีกคร้ังหน่ึง

ชื่อหน่วย : พากเพียรส่ือสารการอา่ น หนว่ ยที่ : 3 เวลา : 6 ช่วั โมง

ช่อื แผน : การอา่ นจบั ใจความบทเพลง แผนที่ : 5 เวลา : 1 ช่ัวโมง

ช่อื วิชา : ภาษาไทย รหัส ท 33101 ช้นั ม.6

ช่อื ครูผู้สอน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี

สาระสำคญั

บทเพลงเปน็ วรรณคดีประเภทหนง่ึ ทเ่ี รียบเรยี งด้วยข้อความประเภทพรรณนาโวหาร ประกอบด้วย

ถอ้ ยคำท่สี ละสลวยลึกซ้งึ ทำใหเ้ กดิ จนิ ตภาพไดเ้ ป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีทำนองท่ไี พเราะจากดนตรีประเภท

ต่างๆ การอา่ นจับใจความบทเพลงทำให้ทราบความหมายลึกซึ้งและคติสอนใจทแี่ ฝงอยใู่ นเนือ้ เพลง

มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรแู้ ละความคิดเพื่อนำไปใชต้ ัดสินใจแก้ปญั หา
ในการดำเนนิ ชวี ิต และมีนสิ ัยรักการอา่ น

ตวั ช้วี ัด
ท 1.1 ม. 4-6/4 คาดคะเนเหตกุ ารณจ์ ากเร่ืองที่อ่านและประเมนิ คา่ เพื่อนำความรู้ความคดิ
ไปใชต้ ัดสินใจแกป้ ญั หาในการดำเนนิ ชีวติ
ท 1.1 ม. 4-6/5 วเิ คราะห์ วจิ ารณ์แสดงความคดิ เห็นโตแ้ ยง้ เกี่ยวกับเรือ่ งท่อี ่าน และเสนอ
ความคิดใหมอ่ ยา่ งมเี หตผุ ล
ท 1.1 ม. 4-6/8 สงั เคราะหค์ วามรจู้ ากการอา่ นสือ่ สงิ่ พิมพ์ สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์ และแหลง่ การเรียนรู้
ตา่ ง ๆ มาพัฒนาตน พฒั นาการเขียน และพฒั นาความรู้ทางอาชีพ

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธบิ ายลักษณะการอ่านจับใจความบทเพลง (K)
2. อ่านจบั ใจความบทเพลง (P)
3. เหน็ ความสำคญั และตระหนกั ถึงความสำคญั ของการอา่ นจับใจความ (A)
4. มมี ารยาทในการอา่ น (A)

สาระการเรียนรู้
การอา่ นจับใจความบทเพลง

สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
- ทักษะการอ่าน
- ทักษะการเขียน
- ทกั ษะการฟงั การดู และการพดู
2. ความสามารถในการคิด

- การจำแนก
- การให้เหตผุ ล
- การวเิ คราะห์
- การสงั เคราะห์
- การสรุปความรู้
- การประเมนิ คา่
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ใฝ่เรยี นรู้
ตวั ชว้ี ดั ท่ี 4.2 แสวงหาความรูจ้ ากแหล่งเรยี นร้ตู ่าง ๆ ท้งั ภายในและภายนอกโรงเรียน ดว้ ยการ
เลือกใชส้ ื่ออย่างเหมาะสม บันทกึ ความรู้ วเิ คราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวนั ได้

ชิ้นงานหรือภาระงาน
1. ฝกึ ทักษะการอา่ นจบั ใจความบทเพลง
2. ใบงานที่ 1.4 เรอื่ ง การอา่ นจับใจความบทเพลง

การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นนำ
1. ใหน้ กั เรยี นร่วมกันแสดงความคิดเห็น โดยครูใช้คำถามทา้ ทาย ดงั น้ี
๏ บทเพลงและบทร้อยกรองมีความแตกต่างกันอยา่ งไร
ข้ันสอน
2. ใหน้ กั เรียนศึกษาความรูเ้ รอื่ ง “การอ่านจับใจความบทเพลง” พร้อมการอธิบายเพ่ิมเตมิ จาก

ครผู สู้ อน โดยนำเสนอตัวอย่างบทเพลงและใจความสำคญั จากบทเพลง เพ่ือใหน้ กั เรียนเข้าใจอยา่ งชัดเจน
3. ใหน้ กั เรยี นจบั ใจความสำคัญจากบทเพลงทคี่ รสู ่งั ใหไ้ ปหามาเม่ือชว่ั โมงท่แี ล้ว โดยวเิ คราะหว์ ่า

บทเพลงกลา่ วถึงอะไร บอกจุดเดน่ และจุดด้อยของบทเพลง เชน่ ใชถ้ ้อยคำกะทดั รดั เขา้ ใจงา่ ย ใช้ภาษาวิบตั ิ
ภาษาสแลง หรือศัพทเ์ ฉพาะกลุ่ม และสรุปข้อคิดหรอื คตสิ อนใจทไ่ี ด้จากบทเพลง เพื่อเตรียมตวั นำเสนอ
หนา้ ชนั้ เรยี น

4. ครูผู้สอนสุ่มเลือกนกั เรียน 5-6 คน มานำเสนอบทเพลงและเนื้อหาทีไ่ ด้จากการวิเคราะห์บทเพลง
แลว้ ใหน้ กั เรยี นและครรู ว่ มกนั ประเมนิ วา่ การนำเสนอเป็นอยา่ งไร เน้ือหาท่วี เิ คราะหส์ อดคลอ้ งกับบทเพลงหรอื ไม่
ครูชว่ ยแก้ไขในจดุ ท่ียังไม่ถกู ต้อง และใหค้ วามรู้เพิม่ เติมเก่ียวกับการวิเคราะห์คุณค่าของบทเพลง เพ่ือเป็นเกณฑ์
ให้นกั เรยี นแลกกันตรวจผลงาน

ขัน้ สรปุ
5. ให้นักเรยี นรว่ มกันเสวนาแลกเปล่ียนความคดิ เห็นในหัวข้อ “บทเพลงสำหรับวัยรนุ่ ในปัจจุบนั มี
เนือ้ หาทีเ่ หมาะสมหรือไม่ อย่างไร” แล้วให้นักเรียนและครูรว่ มกันสรปุ ผลการเสวนา
6. ใหน้ กั เรยี นทำใบงานท่ี 1.4 เร่ือง การอา่ นจบั ใจความบทเพลง แล้วร่วมกนั ตรวจสอบความถกู ต้อง

7. ให้นกั เรยี นและครรู ่วมกันสรปุ ความรู้ ดังนี้
๏ การอา่ นจบั ใจความบทเพลงทำให้ทราบความหมายลึกซึ้งและคติสอนใจทีแ่ ฝงอย่ใู นเน้ือเพลง

การจดั บรรยากาศเชิงบวก

ให้นักเรยี นได้นำเสนอผลงานหนา้ ชนั้ เรียนแล้วชว่ ยกันประเมนิ ผลงานโดยเพอ่ื นนักเรียน ช่วยสรา้ ง

บรรยากาศกระตือรอื ร้น

ส่อื การเรยี นรู้

1. ตัวอยา่ งบทเพลง

2. ใบงานท่ี 1.4 เรือ่ ง การอา่ นจับใจความบทเพลง

การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้

สิ่งที่วัด วธิ ีการวัด เคร่อื งมือวดั เกณฑผ์ า่ น

1. อธบิ ายลักษณะการอา่ นจับใจความ ตรวจใบงานท่ี 1.4 ใบงานที่ 1.4 ตรวจใบงานที่ 1.4

บทเพลง (K)

2. อ่านจบั ใจความบทเพลง (P) ตรวจใบงานที่ 1.4 ใบงานที่ 1.4 ตรวจใบงานท่ี 1.4

4. เห็นความสำคัญและตระหนกั ถึง ตรวจใบงานที่ 1.4 ใบงานที่ 1.4 ตรวจใบงานท่ี 1.4

ความสำคญั ของการอ่านจบั ใจความ (A)

5. มมี ารยาทในการอา่ น (A) ตรวจใบงานที่ 1.4 ใบงานท่ี 1.4 ตรวจใบงานที่ 1.4

การประเมนิ ใบงานท่ี 1.4 ให้ผู้สอนพิจารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจรงิ (Rubrics)

เรอื่ ง การอ่านจับใจความบทเพลง

เกณฑก์ ารประเมนิ 4 ระดับคะแนน 1
32

การอา่ นจับใจความ วิเคราะหบ์ ทเพลง วเิ คราะหบ์ ทเพลง วเิ คราะห์บทเพลง วิเคราะห์บทเพลง

บทเพลง และจบั ใจความสำคัญ และจับใจความสำคญั และจบั ใจความสำคัญ และจบั ใจความสำคัญ

ได้ถูกต้อง ตรงประเด็น ได้ถกู ต้อง ตรงประเดน็ ไดถ้ กู ต้อง ตรงประเด็น ไดบ้ ้าง ใช้ภาษา

ทุกข้อและไดใ้ จความ ทุกข้อและได้ใจความ แต่ใจความวกวน ไมถ่ ูกตอ้ ง สะกดคำ

ต่อเนื่อง ใช้ภาษาถูกต้อง ต่อเน่ือง ใชภ้ าษาถกู ตอ้ ง ใช้ภาษาถูกต้อง และใช้เคร่ืองหมาย

สื่อความหมายชัดเจน ส่ือความหมายชดั เจน สอื่ ความหมายชัดเจน วรรคตอน ผิด 5-6

ลำดับความไม่วกวน ลำดบั ความไมว่ กวน สะกดคำและใช้ แหง่ ตัวอักษร

สะกดคำและใช้ สะกดคำและใช้ เคร่ืองหมายวรรคตอน อา่ นยาก ไม่สะอาด ไม่

เครื่องหมายวรรคตอน เคร่ืองหมายวรรคตอน ผิด 3-4 แหง่ เปน็ ระเบียบ

ถกู ต้อง ตวั อกั ษร ผิด 1-2 แหง่ ตวั อักษรอ่านงา่ ย

อา่ นงา่ ย สะอาด ตัวอักษรอ่านง่าย สะอาด ขาดความ

เปน็ ระเบียบ สะอาด เป็นระเบยี บ เป็นระเบยี บ

วเิ คราะหบ์ ทเพลง “ชมทงุ่ ”

1. รปู แบบ
กลอนสภุ าพ เปน็ กลอนประเภทหนง่ึ ซึง่ ลักษณะคำประพันธ์ของภาษาไทย ที่เรยี บเรียงเขา้ เปน็

คณะ ใช้ถ้อยคำและทำนองเรียบ ๆ ซึง่ นับได้ว่ากลอนสุภาพเปน็ กลอนหลกั ของกลอนท้งั หมด เพราะเป็น
พืน้ ฐานของกลอนหลายชนิด หากเข้าใจกลอนสภุ าพ ก็สามารถเข้าใจกลอนอนื่ ๆ ได้ง่ายขึน้

คณะของกลอนสุภาพมีแบบแผนอยู่ คอื หน่ึงบทมี 2 บาท บาทท่ี 1 จะเรียกว่า บาทเอก ในบาท
เอก มี 2 วรรค คือ วรรคสลบั และ วรรครับ บาทที่ 2 จะเรียกวา่ บาทโท ในบาทโท มี 2 วรรค คอื วรรครอง
และ วรรคส่งพยางค์ คือ คำในแต่ละวรรคของกลอน เช่น กลอนแปด มี 8 คำ ใน 1 บท มี 4 วรรค รวม ควรมี
คำท้ังหมด 32 คำ

กลอน 8
กลอนแปด มลี ักษณะ คือ

แผนผงั กลอนสุภาพ

บาทเอก วรรคสดบั วรรครับ
๑ บท วรรครอง วรรคส่ง
วรรคสดบั วรรครับ
บาทโท วรรครอง วรรคส่ง

บาทเอก
๑ บท

บาทโท

2. เร่อื งย่อ (ถอดคำประพนั ธ์)
ฝงู นกบนิ มองพระอาทติ ยใ์ นตอนเช้า ขบั รอ้ งเสยี งของมนั จากบนทอ้ งฟ้ามายังปา่ แสงพระอาทิตย์

น้ันทำใหท้ ้องฟ้าสวยงาม และทำให้สายนำ้ อบอุ่น นกกระยางกำลังจบั ปลามา เป็นอาหารความงดงามของทุง่ นา
ในยามเชา้ เป็นสง่ิ ที่นา่ ชมจรงิ ๆ

3. แก่นของเร่ือง หรอื แนวคดิ ของเร่อื ง
เชญิ ชวนใหม้ าชมความงดงามของธรรมชาติท่ีถูกจดั สรรให้พึ่งพาอาศยั กนั อย่างงดงามและลงตวั

4. ฉันทลักษณ์ การใชภ้ าษา

4.1 ฉนั ทลกั ษณ์ รปู แบบการบังคับในการแต่งบทร้อยกรอง ซ่งึ มกี ารคิดขน้ึ มากมาย โดยอาศยั
โครงสร้าง ของคำและจงั หวะในการออกเสียงใหเ้ ปน็ กลุ่มของคำในรปู แบบท่ีต่างกัน ทำให้เกดิ เป็นฉันทลักษณ์
ทีแ่ ตกต่างกนั ในเรื่องน้ีได้ใช้รูปแบบการแต่งกลอนสุภาพ (ภาพฉันทลักษณ์ดูจากภาพแผนผงั ในหวั ข้อ
รูปแบบ)

4.1.1 การแตง่ คำประพนั ธถ์ ูกต้องตามฉันทลกั ษณ์ กลอนสภุ าพทกุ บท

- การสัมผัสนอก ของบทประพนั ธถ์ ูกต้องครบถว้ นทกุ บท จากคำประพนั ธท์ ี่กลา่ วว่า

“ปกั ษาชมทิวากรตอนรุ่งสาง รว่ มรอ้ งสร้างเสยี งศลิ ป์ดังถิ่นสรวง

จากนิวาสวนานภาทรวง สแู่ หล่งหว้ งแผ่นพนื้ ผนื พงไพร

แสงสุริย์สแี ดงสอ่ งแหล่งหล้า ผนื นภาพนาลสี สี ดใส

ดังรงั สรรค์สฤษฏ์สูจ่ ติ ใจ แสงอรณุ อุน่ ไออุ่นธารา

เห็นกระยางย่างย่องจ้องอาหาร อ้าปากควานคว้านดูหมมู่ จั ฉา

ชำเลืองเหลือบแลหาแหล่งนาวา ดูหมู่ปลาวา่ ยเวียนมาวนตัว

ท้องทุ่งพราวแพรวพันธธุ์ ัญญาหาร อยู่นอกชานชำเลืองเบื้องสลวั

พนธาราพนาไพรใกลก้ ับตัว แผง่ ามท่ัวธรรมชาตอิ ยากชวนชม”

การสมั ผัสนอกนั้น เปน็ การสัมผัสบงั คบั ของบทประพันธป์ ระเภทกลอนสุภาพ และถา้ ขาดการ

สัมผสั นอกออกไปแลว้ บทประพนั ธ์น้ันกจ็ ะขาดความไพเราะไปอยา่ งสน้ิ เชงิ คือ คำสดุ ท้ายของบาทที่ 1 สัมผสั

กบั คำท่ี 3 ของบาทที่ 3 และคำสดุ ท้ายของบาทที่ 2 สมั ผัสกับคำสดุ ท้ายของบาทที่ 3 และคำท่ีสามของบาท

ที่ 4 น้ันเอง คือ คำว่า สาง สัมผัสกับคำวา่ สร้าง และคำวา่ สรวง สมั ผัสกับคำว่า ทรวง และคำวา่ ห้วง เป็น

ต้น และถกู ต้องเหมอื นกนั ในบทท่ี 2, 3, 4 เช่นกนั

- การสัมผสั ระหวา่ งบท ถกู ต้องครบถว้ นทุกบท จากคำประพันธท์ ่ีกลา่ ววา่

“ปักษาชมทิวากรตอนรงุ่ สาง ร่วมร้องสร้างเสยี งศิลป์ดังถ่ินสรวง

จากนิวาสวนานภาทรวง สู่แหลง่ ห้วงแผน่ พนื้ ผนื พงไพร

แสงสุริย์สแี ดงส่องแหลง่ หลา้ ผนื นภาพนาลีสีสดใส

ดงั รงั สรรค์สฤษฏ์สู่จิตใจ แสงอรุณอุ่นไออนุ่ ธารา

เห็นกระยางย่างย่องจอ้ งอาหาร อ้าปากควานควา้ นดูหมู่มจั ฉา

ชำเลอื งเหลอื บแลหาแหลง่ นาวา ดูหมปู่ ลาว่ายเวียนมาวนตัว

ท้องทุ่งพราวแพรวพันธธ์ุ ัญญาหาร อยนู่ อกชานชำเลืองเบื้องสลวั

พนธาราพนาไพรใกล้กับตัว แผ่งามท่ัวธรรมชาตอิ ยากชวนชม”

การสัมผัสระหว่างบทนัน้ เปน็ การสมั ผสั บงั คับของบทประพันธ์ ประเภทกลอนสุภาพ คือ

คำสดุ ทา้ ยของบาทที่ 4 ในบทท่ี 1 ต้องไปสัมผสั กบั คำสุดท้ายของบาทท่ี 2 ในบทที่ 2 นน้ั เอง คือคำวา่ ไพร

สมั ผสั กบั คำว่า ใส คำวา่ รา สัมผสั กับคำว่า ฉา และคำว่า ตัว สัมผสั กบั คำวา่ ลัว น้นั เอง

4.1.2 การสัมผสั ภายในวรรค สามารถสรา้ งความไพเราะใหเ้ กดิ กับบทประพันธไ์ ด้อยา่ ง

ชัดเจนมากยงิ่ ข้ึน ได้แก่

- สมั ผัสพยัญชนะ จากบทประพนั ธท์ ่ีกล่าววา่

“ปกั ษาชมทิวากรตอนรงุ่ สาง ร่วมรอ้ งสร้างเสียงศลิ ป์ดังถ่ินสรวง

จากนิวาสวนานภาทรวง สู่แหล่งห้วงแผ่นพ้นื ผนื พงไพร”

คำวา่ ร่วม กับ ร้อง เป็นการสัมผสั พยัญชนะเสยี ง ร

คำวา่ สรา้ ง กับ เสยี ง กบั ศลิ ป์ กบั สรวง เป็นการสัมผสั พยัญชนะเสียง ส

คำวา่ แหล่ง กบั ห้วง เปน็ การสัมผสั พยญั ชนะเสยี ง ห

คำวา่ แผน่ กับ พื้น กับ ผนื กับ พง กบั ไพร เป็นการสมั ผัสพยญั ชนะเสียง ผ

- สมั ผสั สระ จากคำประพันธ์ทก่ี ล่าวว่า

“แสงสรุ ิย์สีแดงส่องแหล่งหล้า ผืนนภาพนาลสี ีสดใส

ดังรงั สรรค์สฤษฏ์ส่จู ิตใจ แสงอรุณอนุ่ ไออุ่นธารา”

คำวา่ แดง กบั แหล่ง เปน็ การสัมผัสสระ แอ และตัวสะกด ง

คำวา่ นภา กับ พนา เปน็ การสมั ผสั สระ อะ และสระ อา

คำว่า ลี กบั สี เป็นการสัมผสั สระ อี

คำว่า ดงั กับ รัง เปน็ การสมั ผัสสระ อะ และตวั สะกด ง

คำวา่ อรุณ กบั อุ่น เป็นการสมั ผัสสระ อุ และตัวสะกด น

คำวา่ ธา กบั รา เป็นการสมั ผัสสระ อา

- สมั ผสั วรรณยุกต์ จากบทประพันธท์ ่ีกล่าวว่า

“เหน็ กระยางย่างยอ่ งจ้องอาหาร อ้าปากควานคว้านดูหม่มู ัจฉา

ชำเลอื งเหลอื บแลหาแหล่งนาวา ดหู มูป่ ลาวา่ ยเวียนมาวนตัว”

คำว่า ยาง มเี สยี งวรรณยกุ ต์ สามัญ กับคำวา่ ย่าง มเี สียงวรรณยกุ ต์ โท เป็นการเลน่ สัมผสั

วรรณยุกต์

คำวา่ ควาน มีเสียงวรรณยุกต์ สามัญ กบั คำวา่ คว้าน มเี สยี งวรรณยุกต์ ตรี เป็นการเล่นสมั ผัส

วรรณยุกต์

การสัมผัสของคำเหลา่ นี้ทำให้บทประพนั ธม์ ีความไพเราะและคลอ้ งจองกนั มากขนึ้

4.1.3 การสัมผสั ทไี่ ม่ตรงกับตำแหนง่ ตามฉนั ทลักษณ์ จากบทประพนั ธท์ ี่กลา่ วว่า

“แสงสรุ ิย์สแี ดงส่องแหลง่ หลา้ ผนื นภาพนาลีสสี ดใส

ดงั รงั สรรคส์ ฤษฏส์ ู่จิตใจ แสงอรณุ อุน่ ไออุน่ ธารา

ตามแผนผงั ฉันทลักษณ์ คำสุดทา้ ยของบาทท่ี 3 ตอ้ งไปสมั ผัสกับคำท่สี ามของบาทที่ 4 คือ

คำว่า ใจ ในบาทท่ี 3 ตอ้ งไปสัมผสั กบั คำท่ีอย่ตู ำแหน่งท่สี ามของบาทที่ 4 คือคำว่า รุณ แตก่ ลบั ไปสัมผสั กับคำ

ที่สี่ คอื คำวา่ ไอ (แต่การสัมผัสระหวา่ งบทสามารถผ่อนผันได้ โดยคำสุดท้ายของบาทที่ 3 อาจจะไปสมั ผสั กับ

คำที่ ส่ี ถึง หก ของบาทที่ 4 เชน่ กันในบาทที่ 1 และ 2)

4.2 การใช้ภาษา

4.2.1 ใชภ้ าษาที่เขา้ ใจไดง้ ่าย แต่ต้องรู้ความหมายของคำไวพจนท์ ่ีปรากฏ

ภาษาทีใ่ ชเ้ ขียนในคำประพนั ธ์ “ชมท่งุ ” มีการใช้ภาษาระดับกนั เองท่ีสามารถเข้าใจงา่ ยก็จริง

อยู่ แตใ่ นบางบทปรากฏการใช้คำไวพจนห์ รือคำพอ้ งความหมาย ทีจ่ ำเป็นต้องอาศยั การแปลความ ทำให้ไม่

สามารถเขา้ ใจในคำประพนั ธ์และอารมณ์ไดอ้ ย่างสะดวก จากคำประพนั ธ์ที่กล่าววา่

“เหน็ กระยางย่างย่องจ้องอาหาร อ้าปากควานคว้านดหู มู่มจั ฉา

ชำเลืองเหลือบแลหาแหล่งนาวา ดูหมูป่ ลาวา่ ยเวียนมาวนตัว”

ถอดความวา่

เห็นกระยางยา่ งย่องจ้องอาหาร เห็นนกกระยางกำลังเดนิ หาอาหาร

อ้าปากควานควา้ นดหู มู่มจั ฉา มนั เอาปากของมนั ควานหาหม่ปู ลา

ชำเลอื งเหลือบแลหาแหลง่ นาวา มนั ใชต้ าของมนั จ่องลงไปในนำ้

ดหู มปู่ ลาว่ายเวียนมาวนตัว และหมู่ปลากว็ ่ายมาวนรอบตวั ของมัน

- บทประพันธบ์ ทนี้มีความหมายวา่ นกกระยางตวั หนึ่งกำลังเดินหาอาหาร ในการหาอาหารนั้น

มันเอาปากของมันน้ันควานไปในนำ้ เพ่ือหาปลา และใช้สายตาของมนั มองหาปลาในนำ้ ที่กำลังว่ายอยรู่ อบตวั

ของมนั

- ใช้คำว่า ย่าง ในความหมายของคำว่า เดนิ

- ใชค้ ำวา่ มจั ฉา ที่เป็นคำไวพจน์ที่แปลว่า ปลา

- ใช้คำวา่ นาวา ทเี่ ป็นคำไวพจน์ ที่แปลว่า นำ้

เพราะฉะนนั้ เมือ่ อา่ นบทประพันธ์บททแ่ี ล้ว จำเป็นท่จี ะต้องแปลคำท่ีเป็นคำไวพจน์ เช่นคำวา่

มจั ฉา และคำว่า นาวา ในคำบางคำท่ีเปน็ คำกริ ิยาทไี่ มใ่ ช้กันมากนนั้ ในสังคม เช่นคำวา่ ย่าง

4.2.2 การใชค้ ำศัพท์

- มกี ารใชค้ ำพอ้ งความหมาย (คำไวพจน)์ เช่น

คำวา่ ปักษา พ้องกับคำวา่ นก

คำวา่ ทวิ ากร พอ้ งกับคำวา่ พระอาทิตย์

คำว่า สรวง พอ้ งกับคำว่า สวรรค์

คำวา่ นวิ าส พ้องกบั คำวา่ ท่พี ัก

คำว่า นภา พอ้ งกบั คำว่า ท้องฟา้

คำวา่ พงไพร พอ้ งกับคำว่า ป่า

คำว่า สุรยี ์ พ้องกับคำวา่ พระอาทติ ย์

คำวา่ สฤษฏ์ พ้องกบั คำวา่ การทำ การสรา้ ง

คำวา่ ธารา พ้องกบั คำว่า สายนำ้

คำว่า มัจฉา พอ้ งกับคำวา่ ปลา

คำว่า นาวา พอ้ งกบั คำวา่ สายน้ำ

- มีการใชค้ ำท่ีมคี วามหมายแฝง จากคำประพันธท์ ี่กลา่ วว่า

ปักษาชมทวิ ากรตอนรงุ่ สาง รว่ มร้องสรา้ งเสยี งศิลปด์ งั ถ่ินสรวง

นิวาสวนานภาทรวง สูแ่ หล่งห้วงแผน่ พ้นื ผนื พงไพร

คำวา่ ตอนรุ่งสาง หมายความว่า ตอนเชา้

คำว่า ถ่ินสรวง หมายความวา่ สถานท่ีที่งดงามมาก

คำว่า เสยี งศิลป์ หมายความว่า เสียงอนั ไพเราะและมีศิลปะ

“ท้องท่งุ พราวแพรวพนั ธุธ์ ญั ญาหาร อยนู่ อกชานชำเลืองเบื้องสลัว

พนธาราพนาไพรใกลก้ บั ตวั แผ่งามท่วั ธรรมชาตอิ ยากชวนชม

คำวา่ ท้องทงุ่ พราวแพรวพนั ธ์ธุ ัญญาหาร หมายความว่า ทุง่ นา และในบทอน่ื เชน่

คำวา่ อรุณ หมายความวา่ เวลาทีพ่ ระอาทิตย์ข้นึ

- มีการใช้คำศัพท์เฉพาะ ท่ีมีความหมายเปน็ ความหมายเฉพาะเท่านน้ั ไม่สามารถแปล

ความหมายเปน็ อย่างอ่นื ได้ จากคำประพันธ์ท่ีกล่าววา่

“ทอ้ งทุ่งพราวแพรวพันธ์ุธญั ญาหาร อย่นู อกชานชำเลอื งเบ้ืองสลัว

พนธาราพนาไพรใกล้กับตัว แผง่ ามท่ัวธรรมชาตอิ ยากชวนชม

คำวา่ “ธัญญาหาร” น้นั มีความหมายวา่ พืชจำพวกหญา้ ท่ีมนุษย์เพาะปลูกเพื่อเกบ็ เกย่ี วเมล็ด

นน่ั คอื ข้าวประเภทตา่ ง ๆ มกี ารเพาะปลกู ธญั พืชท่ัวโลกมากกว่าผลผลิตทางเกษตรชนิดใด ๆ และเป็นแหล่ง

อาหารทใี่ ห้พลังงานแกม่ นุษย์มากทีส่ ดุ ในประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ ธญั พืชจะเป็นอาหารหลกั ของ

ประชากรทงั้ ประเทศ ขณะท่ีในประเทศพฒั นาแลว้ การบรโิ ภคธญั พืชจะน้อยลง

4.3 นำ้ เสียง

ในบทประพันธ์ไดป้ รากฏการแสดงความรู้สึกของกวีโดยผ่านทางนำ้ เสยี งในการอ่านไว้หลายจดุ

เพอื่ จะทำให้สามารถเขา้ ใจ เข้าถงึ อารมณ์ ในบทประพันธ์ได้ชดั เจนมากยงิ่ ขนึ้

4.3.1 ความประทบั ใจ เป็นความประทบั ใจทีไ่ ด้บรรยาย ถึงความงดงามของธรรมชาตทิ ่ี

สวยงามอยา่ งวจิ ติ ร และน่าท่ึงที่ธรรมชาตสิ ามารถเสกสรรสิ่งทลี่ งตัวแบบน้ไี ด้อย่างชดั เจน จากบทประพันธท์ ี่

กลา่ ววา่

“ปักษาชมทิวากรตอนร่งุ สาง ร่วมร้องสรา้ งเสยี งศิลป์ดงั ถิน่ สรวง

จากนวิ าสวนานภาทรวง ส่แู หล่งห้วงแผน่ พน้ื ผนื พงไพร

แสงสรุ ยิ ์สีแดงสอ่ งแหล่งหลา้ ผืนนภาพนาลสี สี ดใส

ดังรังสรรค์สฤษฏ์สูจ่ ติ ใจ แสงอรุณอุ่นไออนุ่ ธารา

เห็นกระยางย่างยอ่ งจอ้ งอาหาร อ้าปากควานควา้ นดหู มู่มัจฉา

ชำเลืองเหลือบแลหาแหล่งนาวา ดหู มู่ปลาวา่ ยเวยี นมาวนตัว”

ความประทับใจทเี่ กดิ จากการได้สัมผัสธรรมชาติที่สวยงาม เชน่ ความงดงามของพรรณไม้

และนานาสตั ว์ และวิถีชีวิตของธรรมชาติทอ่ี ยู่อย่างพ่งึ พาอาศัยกนั เชน่ เรือ่ ง นกกระยาง กนิ ปลา นั้นเอง

4.3.2 ชักชวน เป็นการเชญิ ชวนให้ผูอ้ ่านได้มโี อกาสมาสมั ผสั ธรรมชาตทิ ีบ่ ริสุทธอ์ ยา่ งแท้จริง

จากคำประพนั ธท์ ี่กล่าววา่

“ทอ้ งทุ่งพราวแพรวพนั ธ์ธุ ญั ญาหาร อยูน่ อกชานชำเลืองเบ้ืองสลัว

พนธาราพนาไพรใกลก้ บั ตวั แผ่งามทว่ั ธรรมชาติอยากชวนชม”

เปน็ การเชิญชวนใหผ้ ู้ท่ีไม่เคยหรอื ยงั ไมไ่ ด้มาสัมผัสธรรมชาตทิ ่งี ดงามบ้าง และชีวติ กจ็ ะมีความสขุ

4.4 กวโี วหาร มีเพ่อื สรา้ ง “ภาพในจิต” หรอื “จินตภาพ” (ภาพทปี่ รากฏในจินตนาการ) ซ่งึ อาจจะ

กล่าวอยา่ งตรงไปตรงมาหรือเป็นการกล่าวมากกวา่ ความเป็นจริงใหไ้ ด้เหน็ ภาพใหช้ ัดเจนมากข้นึ

4.4.1 บคุ ลาธษิ ฐาน

บุคลาธษิ ฐาน หรือ บุคคลวตั คือ การกล่าวถึงส่ิงต่าง ๆ ที่ไมม่ ชี ีวติ ไมม่ ีความคดิ ไม่มวี ญิ ญาณ

เชน่ โต๊ะ เก้าอ้ี อิฐ ปูน หรอื สิง่ มชี วี ิตท่ีไมใ่ ช่มนุษย์ เช่น ตน้ ไม้ สัตว์ โดยใหส้ ง่ิ ตา่ ง ๆ เหลา่ นีแ้ สดงกริ ยิ าอาการ

และความรู้สึกไดเ้ หมือนมนุษย์

(บุคลาธิษฐาน มาจากคำวา่ บคุ คล + อธษิ ฐาน หมายถงึ อธษิ ฐานใหก้ ลายเปน็ บุคคล)

จากบทประพันธท์ ี่กล่าวว่า

“ปกั ษาชมทิวากรตอนรงุ่ สาง ร่วมร้องสร้างเสียงศลิ ปด์ งั ถิ่นสรวง

จากนวิ าสวนานภาทรวง ส่แู หล่งหว้ งแผน่ พ้นื ผืนพงไพร”

คอื การที่ ปักษา ทแี่ ปลวา่ นก ทำกิริยาเหมือนมนุษย์ ท่เี ปน็ กิริยาของมนุษย์คือ ชมและร้องสรา้ ง

เสียง แตถ่ า้ มองใหล้ กึ ลงไปอกี คือ การชม หรือ การร้องสร้างเสียง คอื กริ ิยาของคนก็จริง แต่นกนนั้ เราไมส่ ามารถรู้

ไดว้ ่ามันจะสามารถชมหรือรอ้ งบ้างหรอื ไม่ แต่ถ้านกสามารถท่จี ะชมหรือร้องได้ มันกเ็ ป็นกิริยาคาบเก่ียวของคน

และนก จงึ ไม่ถือวา่ บทประพันธ์นเ้ี ปน็ บคุ ลาธษิ ฐาน

“เห็นกระยางยา่ งยอ่ งจอ้ งอาหาร อา้ ปากควานคว้านดหู มู่มัจฉา

ชำเลอื งเหลือบแลหาแหล่งนาวา ดหู มูป่ ลาว่ายเวยี นมาวนตวั ”

คือการท่ี นกกระยาง ทำกิริยาเหมอื นมนุษย์ ท่ีเปน็ กริ ิยาของมนุษยค์ ือ ย่างหรอื เดิน และ ชำเลือง

เหลือบหรอื มอง แต่ถ้ามองให้ลกึ ลงไปอีกคือ เดิน หรอื การมอง คือกริ ยิ าของคนกจ็ ริง แตน่ กกระยางนัน้ เรา

ไมส่ ามารถรไู้ ดว้ ่ามันจะสามารถเดินหรือมองบา้ งหรือไม่ แต่ถา้ นกกระยางสามารถที่จะเดินหรอื มองได้ มนั ก็

เปน็ กริ ยิ าคาบเก่ยี วของคนและนกกระยาง จงึ ไม่ถือว่าบทประพันธน์ ีเ้ ปน็ บุคลาธิษฐาน

4.4.2 การเปรียบเทียบแบบเกนิ ความจรงิ (โวหารอธิพจน)์

เป็นการพรรณนาทีเ่ กนิ ขอบเขตของความจริง อาจจะเป็นไปไม่ได้หรอื ไม่มีทางจะเปน็ ไปได้

แต่แม้กระนนั้ ก็น่าฟังเพราะทำใหเ้ กดิ ความซาบซึง้ ประทบั ใจและสามารถสรา้ งภาพใหเ้ กิดจินตนาการไดเ้ ป็นอย่างดี

ท้ัง ๆ ทร่ี ูว้ ่าไมเ่ ป็นจรงิ จากคำประพนั ธ์ท่ีกลา่ ววา่

“ปกั ษาชมทิวากรตอนรุ่งสาง รว่ มรอ้ งสรา้ งเสียงศิลปด์ ังถ่นิ สรวง

จากนวิ าสวนานภาทรวง สู่แหลง่ หว้ งแผ่นพืน้ ผืนพงไพร”

การกล่าวเกินจรงิ ในบทประพันธน์ น้ั คอื การท่ฝี งู นกมากมายขนั ขบั ร้องเสียงที่ไพเราะของนก

และความไพเราะนั้นไพเราะมาก เหมือนเสียงที่ไพเราะบนแดนสวรรค์ ความเปน็ จรงิ แล้วไม่วา่ นกจะร้องไพเราะมาก

เท่าไรก็ตามก็ไม่มีทางทีจ่ ะสามารถมีความไพเราะได้เทา่ เสียงทมี่ าจากสวรรค์ เป็นจินตนาการที่สรา้ งขึ้นใหเ้ กนิ กวา่

ความเปน็ จริงและให้รวู้ า่ เสียงนกรอ้ งน้ันมีความไพเราะมากเทา่ น้ันเอง

5. ขอ้ คดิ ทไี่ ด้จากเรือ่ ง

5.1 ธรรมชาติน้นั มคี วามงดงามที่บริสทุ ธ์ิ

5.2 ถา้ เราตน่ื นอนตอนเช้าเราจะสามารถได้รบั ความงดงามของธรรมชาติได้อยา่ งเต็มที่

5.3 ธรรมชาติมคี วามงดงามที่น่าสนใจและสมควรท่จี ะดแู ลรักษา

5.4 ธรรมชาตสิ ร้างทกุ ส่ิงอยา่ งมานั้น เพ่ือให้สามารถพึ่งพาอาศยั กันอยา่ งลงตัว

6. ช่อื เพลง “ชมทุ่ง”

ช่ือเรือ่ งคำประพันธ์ “ชมทงุ่ ” น้ันมีความสอดคลอ้ งกบั เนื้อเรื่องอย่างชดั เจน เพราะในเร่ืองเรอื่ งน้นั ได้

บรรยายความงดงามที่ธรรมชาตสิ ร้างสรรคข์ ้ึนมาอย่างมากมายและการพึ่งพาอาศัยกันของสรรพส่งิ อยา่ งลงตัว

จากคำประพนั ธท์ ี่กล่าวว่า

“ปักษาชมทวิ ากรตอนรุ่งสาง รว่ มร้องสรา้ งเสยี งศิลปด์ งั ถิน่ สรวง

จากนิวาสวนานภาทรวง สูแ่ หล่งห้วงแผ่นพืน้ ผนื พงไพร

แสงสรุ ิย์สแี ดงส่องแหลง่ หล้า ผืนนภาพนาลีสีสดใส

ดังรังสรรค์สฤษฏ์สู่จิตใจ แสงอรุณอนุ่ ไออนุ่ ธารา

เหน็ กระยางย่างยอ่ งจ้องอาหาร อ้าปากควานคว้านดูหมู่มจั ฉา

ชำเลอื งเหลือบแลหาแหล่งนาวา ดูหมู่ปลาวา่ ยเวยี นมาวนตัว”

คอื นกต้องพ่งึ พาพระอาทติ ย์ใหส้ อ่ งแสงสวา่ ง นกจะได้ออกไปหากินได้และนกกร็ อ้ งเพลงอันไพเราะ

เป็นการตอนแทน ท้องฟ้ามีสีสวยเพราะแสงจากพระอาทิตยแ์ ละแสงพระอาทติ ยย์ ังให้ความอบอ่นุ กบั สายนำ้

แมแ้ ตน่ กกระยางยงั พง่ึ หมปู่ ลาเป็นอาหารให้ตัวเองมชี วี ิตอยรู่ อดต่อไป น้นั เองเป็นความงดงามท่ธี รรมชาติสร้างให้

เกิดการพง่ึ พาอาศัยกนั ของธรรมชาติ เปน็ ความงดงามทีน่ ่าเชญิ มาชม จากคำประพันธ์ที่กล่าววา่

“ท้องทุ่งพราวแพรวพันธธ์ุ ัญญาหาร อยูน่ อกชานชำเลอื งเบ้ืองสลวั

พนธาราพนาไพรใกล้กับตวั แผง่ ามท่ัวธรรมชาติอยากชวนชม”

จากช่ือเรือ่ ง “ชมทุ่ง” คอื การท่ีชมความงดงามของทุ่งนาน้ันเอง เพราะเหตุการณท์ ่ีเกดิ ท้ังหมดน้ัน

เกิดขึ้นในบรเิ วณแถวทุ่งนา คือ ท้องทุ่งพราวแพรวพนั ธุ์ธัญญาหาร ทบี่ รรดาสรรพสงิ่ พ่ึงพาอาศยั กัน ชื่อเร่อื งจึง

เหมาะกับเน้อื เรื่องอยา่ งตรงตามวตั ถุประสงค์ชดั เจน

ใบงานที่ 1.4 เรือ่ ง การอ่านจบั ใจความบทเพลง
ให้นักเรียนเลือกบทเพลงที่ประทับใจแล้วถอดความ บอกใจความสำคัญ และบอกข้อคิดทไี่ ด้

เนื้อความท่ีถอดจากบทเพลง
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
ใจความสำคัญของบทเพลง
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________

ขอ้ คดิ ท่ีได้จากบทเพลง
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________
________________________________________________________________________________

ชือ่ หน่วย : ฟัง ดู พดู ตามครรลอง หน่วยท่ี : 4 เวลา : 4 ชั่วโมง
ชอ่ื แผน : การพูดแสดงทรรศนะ (1) แผนที่ : 1 เวลา : 1 ชว่ั โมง
ชอื่ วิชา : ภาษาไทย รหสั ท33101 ชนั้ ม.6
ช่อื ผู้สอน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี

สาระสำคัญ
การพดู แสดงทรรศนะเปน็ การพูดเพื่อแสดงความคิดเห็น โดยมจี ุดประสงค์เพื่อประเมนิ ค่า ใหข้ ้อเสนอแนะ

ใหข้ ้อสงั เกต ใหข้ ้อตัดสนิ ใจ หรอื เพื่อแสดงความรู้สึกใหผ้ ู้ฟังได้รับรู้ ซง่ึ ผู้พดู ต้องมีมารยาทในการพูด พดู อยา่ ง
สรา้ งสรรค์ นา่ สนใจ เปน็ กันเองกบั ผู้ฟัง และพูดในสิง่ ที่ทำใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อส่วนรวม

มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้ีวัด
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลอื กฟังและดูอยา่ งมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคดิ
และความรูส้ กึ ในโอกาสตา่ ง ๆ อย่างมีวิจารณญาณ
ตวั ช้ีวดั
ท 3.1 ม. 4-6/5 พดู ในโอกาสต่าง ๆ พูดแสดงทรรศนะ โตแ้ ย้ง โน้มนา้ วใจ และเสนอแนวคิดใหม่
ด้วยภาษาทถี่ ูกต้องเหมาะสม
ท 3.1 ม. 4-6/6 มีมารยาทในการฟงั การดู และการพูด

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธิบายเกย่ี วกับการพูดแสดงทรรศนะได้ (K)
2. พูดแสดงทรรศนะได้ (P)
3. ตระหนกั ถึงมารยาทในการพูด (A)

สาระการเรียนรู้
การพูดแสดงทรรศนะ

สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
- ทักษะการอ่าน
- ทักษะการฟงั การดู และการพูด
2. ความสามารถในการคิด
- การจำแนก
- การใหเ้ หตผุ ล
- การวเิ คราะห์

- การสงั เคราะห์
- การประยกุ ต์/การปรบั ปรงุ
- การสรปุ ความรู้
- การประเมนิ ค่า
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ใฝเ่ รยี นรู้
ตวั ช้ีวัดที่ 4.1 ต้งั ใจ เพียรพยายามในการเรียนและเข้ารว่ มกิจกรรมการเรียนรู้

ชิน้ งานหรือภาระงาน
-

การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
ขั้นนำ
1. ครนู ำนักเรยี นสนทนาเกีย่ วกบั เรื่องท่ัว ๆ ไป โดยตั้งคำถามให้นกั เรยี นเลือก เช่น ชอบฤดูร้อนหรอื

ฤดูหนาวมากกว่ากนั ชอบรับประทานข้าวหรอื กว๋ ยเต๋ียวมากกวา่ กนั ให้นักเรียนบอกเหตุผลสนบั สนนุ คำตอบ
ของตนเอง ครูชีใ้ ห้เห็นวา่ การบอกเหตผุ ลของนักเรยี นเป็นการแสดงทรรศนะอย่างหน่ึง

2. ครูต้งั ประเดน็ คำถามอกี โดยให้นักเรยี นแสดงความคดิ เห็นจากเรอื่ งที่เป็นประเดน็ สนใจอยู่ใน
ขณะนน้ั ครูอาจจะขออาสาสมัครหรือสุ่มเรยี กนกั เรยี นเปน็ รายบคุ คลเพื่อให้ไดค้ วามเหน็ ท่ีหลากหลาย ให้
นักเรียนรว่ มกนั สังเกตภาษาและท่าทางทีใ่ ช้แสดงความคดิ เห็น

ขั้นสอน
3. ใหน้ ักเรยี นศึกษาความรเู้ รอ่ื ง การพูดแสดงทรรศนะ ครูอธิบายเพ่ิมเติมแลว้ ยกตัวอย่างจากการแสดง
ความคิดเห็นของนักเรยี นโดยเปรยี บเทยี บกับความรทู้ ่ีศึกษา ให้นักเรียนประเมินวา่ คนใดพดู แสดงทรรศนะได้ดี
คนใดมีจดุ บกพร่องที่ต้องแก้ไข
4. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน นำจดุ บกพร่องทไ่ี ด้จากการประเมินมาวเิ คราะหห์ าวธิ หี รอื
แนวทางในการแก้ไข และยกตวั อย่างประกอบ นำเสนอหน้าช้ันเรยี น ใหน้ ักเรียนและครูร่วมกนั ตรวจสอบ
ความถกู ตอ้ ง และประเมินว่าการนำเสนอเร่ืองใดของกลุ่มใดดีท่ีสดุ สรุปและจดบันทึกความรู้
5. ใหน้ กั เรียนนำความรู้ที่ได้จากการนำเสนอไปจัดเปน็ ป้ายนิเทศหัวข้อ “การพูดแสดงทรรศนะท่ดี ี”
นอกชวั่ โมงเรยี น เพ่ือเผยแพร่ความรูแ้ กเ่ พอ่ื นนักเรยี นและบุคคลทั่วไป
6. ให้นักเรียนแต่ละกลุม่ ส่งตัวแทนมาจบั ฉลากหวั ข้อท่ีครูกำหนด ดงั นี้ (ครูอาจกำหนดหวั ข้อเองตาม
ความเหมาะสม)

6.1 การพดู แสดงทรรศนะเก่ียวกบั การแตง่ เคร่อื งแบบนกั เรียน
6.2 การพูดแสดงทรรศนะเกี่ยวกบั ความคลง่ั ไคล้กระแสวัฒนธรรมเกาหลี
6.3 การพดู แสดงทรรศนะเกย่ี วกบั การใช้ภาษาวบิ ตั ิในการส่ือสารของเยาวชนไทย
6.4 การพูดแสดงทรรศนะเกี่ยวกบั การใช้โทรศัพทเ์ คลื่อนทใี่ นชั่วโมงเรยี น

6.5 การพดู แสดงทรรศนะเกีย่ วกบั การสง่ ข้อความลงคะแนนใหผ้ ้เู ข้าแขง่ ขันในรายการโทรทศั น์
7. ครสู ่ังงานให้นกั เรียนเตรยี มตัวพูดแสดงทรรศนะในชั่วโมงถดั ไป โดยกำหนดให้เวลาพดู กลุ่มละ
5-7 นาที และต้องได้พดู ครบทกุ คน
ขนั้ สรปุ
8. ให้นกั เรียนและครรู ่วมกนั สรปุ ความรู้ ดงั น้ี

๏ การพูดแสดงทรรศนะเป็นการพูดเพ่ือแสดงความคิดเหน็ โดยมีจดุ ประสงค์เพอื่ ประเมินค่า ให้
ข้อเสนอแนะ ให้ข้อสงั เกต ให้ขอ้ ตดั สินใจ หรือเพ่ือแสดงความรู้สกึ ให้ผู้ฟงั ได้รับรู้ ซึง่ ผู้พดู ตอ้ งมีมารยาทใน
การพูด พดู อย่างสร้างสรรค์ น่าสนใจ เป็นกนั เองกับผู้ฟัง และพดู ในส่ิงที่ทำใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อสว่ นรวม

9. ให้นักเรียนรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ โดยครใู ชค้ ำถามท้าทาย ดังน้ี
๏ การพูดแสดงทรรศนะสามารถช่วยสร้างสรรค์และพฒั นาสังคมได้อยา่ งไร

การจัดบรรยากาศเชงิ บวก
เปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นได้แสดงความคิดเห็น และทำงานรว่ มกันเปน็ กลุ่ม

ส่อื การเรียนรู้
ฉลาก

การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

1. วิธีการวดั และประเมินผล
1.1 สงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี นในการเข้ารว่ มกิจกรรม
1.2 สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุม่

2. เครื่องมือ
2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรม
2.2 แบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม

3. เกณฑ์การประเมิน
3.1 การประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรม
ผา่ นตงั้ แต่ 2 รายการ ถือวา่ ผา่ น
ผา่ น 1 รายการ ถือวา่ ไม่ผา่ น
3.2 การประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม
คะแนน 9-10 ระดับ ดีมาก
คะแนน 7-8 ระดับ ดี
คะแนน 5-6 ระดบั พอใช้
คะแนน 0-4 ระดบั ควรปรบั ปรุง

กจิ กรรมเสนอแนะ
พานกั เรยี นไปฟังการประกวดสนุ ทรพจน์ หรอื การโต้วาที หรอื จดั ใหม้ ีการประกวดพูดต่าง ๆ ในระดบั ช้นั

การแสดงทรรศนะ

ความหมายของคำว่าทรรศนะ
ทรรศนะ คือ ความคิดเหน็ ทป่ี ระกอบด้วยเหตผุ ล
ทรรศนะ เขยี นไดส้ องแบบ คือ ทรรศนะ หรอื ทศั นะ
โครงสร้างของการแสดงทรรศนะ
การแสดงทรรศนะ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๓ ส่วน ดงั น้ี
๑. ที่มา คือสว่ นทเี่ ป็นเรือ่ งราวต่าง ๆ อันทำให้เกิดการแสดงทรรศนะหรือสิ่งท่ีจะชใี้ หเ้ หน็ ถึงความ
จำเป็นทีจ่ ะต้องแสดงทรรศนะนนั้ ทีม่ าจะช่วยให้ผ้รู ับสารเกิดความเข้าใจและพร้อมท่ีจะรับฟงั ทรรศนะน้ัน
๒. ข้อสนบั สนุน คือข้อเทจ็ จริง หลักการ รวมถึงทรรศนะหรือมติของผู้อืน่ ทีแ่ สดงทรรศนะนำมาใช้
ประกอบกนั เพื่อใหเ้ ป็นเหตุผลสนบั สนนุ ข้อสรปุ ของตน
๓. ข้อสรปุ คือสาระที่สำคัญท่ีสุดของทรรศนะ อาจเปน็ ข้อเสนอแนะ ข้อวจิ ัย ข้อสนั นษิ ฐาน หรอื
การประเมนิ ค่า ซ่งึ เจา้ ของทรรศนะนำเสนอเพ่ือให้ผอู้ ่นื พิจารณายอมรับหรือนำไปปฏบิ ตั ิ
ความแตกตา่ งระหวา่ งทรรศนะของบคุ คล
ความแตกตา่ งระหว่างทรรศนะของบคุ คล ขึ้นอยู่กับอิทธิพลสำคญั ๒ ประการ คือ

๓.๑ คุณสมบัติตามธรรมชาติของมนุษย์ หมายถงึ คุณสมบัติท่ีมีตดิ ตวั มาต้ังแต่เกดิ เช่น ความมีไหว
พริบ เชาวน์ปฏิภาณ ความถนัดหรอื พรสวรรค์

๓.๒ ส่งิ แวดล้อม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างทัง้ ท่เี ปน็ ธรรมชาติและสง่ิ ทีม่ นุษย์สร้างหรือกระทำข้ึนซ่ึง
สิ่งแวดลอ้ มรอบตวั มนุษยแ์ ตล่ ะคน

ประเภทของทรรศนะ
ทรรศนะทม่ี นุษย์แสดงกนั อยู่เป็นปกตใิ นสังคม ออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ
๑. ทรรศนะเชิงขอ้ เท็จจรงิ

ส่วนใหญจ่ ะเป็นทรรศนะที่กลา่ วถงึ เรือ่ งท่เี กิดขึ้นแล้ว แต่ยังเปน็ เรื่องท่ีคนในสังคมถกเถียงกัน
อยู่ว่า ข้อเท็จจริงท่ถี ูกต้องเป็นอยา่ งไรกันแน่ การแสดงทรรศนะเชิงข้อเทจ็ จริงจึงเป็นเพียงการสันนิษฐาน
เท่าน้นั จะน่าเช่ือถือมากน้อยเพียงใด แลว้ แตเ่ หตุผลทผ่ี ้แู สดงทรรศนะนำมาสนับสนุนเปน็ สำคัญ

๒. ทรรศนะเชงิ คณุ ค่า
ทรรศนะประเภทนี้ เปน็ ทรรศนะทปี่ ระเมินว่า สง่ิ ใดดี ส่งิ ใดดอ้ ย ส่ิงใดเปน็ ประโยชนห์ รือเป็นโทษ

ส่งิ ใดเหมาะสมหรอื ไม่เหมาะสม สิง่ เหลา่ น้ันอาจเปน็ วัตถุ บุคคล กจิ กรรม โครงการ วิธกี าร นโยบาย หรือแม้แต่
ทรรศนะก็ได้ ผูแ้ สดงทรรศนะอาจประเมนิ ค่าส่งิ นนั้ โดยลำพังตวั ของมนั เอง หรือประเมนิ โดยเปรียบเทียบกบั
ส่งิ ทีอ่ ยใู่ นประเภทเดียวกนั หรอื มีลักษณะเป็นไปในทำนองเดยี วกันตามเกณฑ์ท่กี ำหนดข้ึน

๓. ทรรศนะเชิงนโยบาย
ทรรศนะเชิงนโยบายเปน็ ทรรศนะทบี่ ่งชว้ี า่ ควรทำอะไร อย่างไรต่อไปในอนาคต หรือควรจะปรบั ปรงุ
แก้ไขส่ิงใดไปในทางใด อย่างไร นโยบายมีหลายระดับ ตัง้ แตบ่ ุคคล องค์การ สถาบนั ตลอดไปจนถึงระดับประเทศชาติ
ทรรศนะเชงิ นโยบายมักจะต้องบ่งชี้ให้แจม่ ชดั ดว้ ยว่า สงิ่ ท่จี ะเสนอให้ทำนัน้ มขี ัน้ ตอนอย่างไร มีเป้าหมายอะไร
เปน็ ประโยชนอ์ ย่างไร และหากมีอุปสรรคจะแก้ไขอย่างไร อาจรวมไปถึงวิธีปฏิบัตวิ า่ นา่ จะกระทำอย่างไรดว้ ย

ลักษณะของภาษาท่ีใชแ้ สดงทรรศนะ มีดังน้ี
๑. การใชค้ ำหรือกลุม่ คำเพ่ือบง่ ชีว้ ่า เปน็ การแสดงทรรศนะ เชน่ คง ควร คงจะ นา่ จะ ควรจะ เหน็ ว่า
คิดวา่ เช่ือวา่ ฯลฯ เชน่

คง, คงจะ : เขาคงไม่ประพฤติเชน่ นั้น
วันนี้เพอ่ื นผมคงจะหายป่วย
ควร, ควรจะ : เราควรมองในคณุ งามความดีของเขา
เราควรจะยกโทษใหเ้ ขา
น่า,นา่ จะ : เธอพูดจาสภุ าพและนสิ ยั น่ายกย่อง
น่าจะเอาตัวอยา่ งที่ดจี ากเขามาปฏิบัติ
เหน็ วา่ : ผมเห็นวา่ คำพดู ของนักการเมืองบางคนไมน่ ่าเชื่อถือ
คิดวา่ : ขา้ พเจ้าคิดวา่ ผู้ท่ีจะมาเป็นผ้นู ำจะต้องมีความซอื่ สัตย์สุจริต
เชอ่ื ว่า : ดิฉันเชอ่ื วา่ คนท่มี คี วามม่งุ มน่ั อย่างเธอจะทำส่ิงใดกต็ อ้ งประสบความสำเรจ็ อยา่ งแน่นอน
๒. เป็นข้อความที่มที ้ังขอ้ สรุปและข้อสนับสนนุ เชน่
- ผมเหน็ วา่ การออกกำลงั กายเปน็ ประจำจะช่วยให้มสี ขุ ภาพดี เราจึงควรออกกำลังกายทุกวนั
- ดฉิ ันคิดวา่ รายการตา่ ง ๆ ในโทรทัศนม์ ีอทิ ธพิ ลมากต่อความคดิ ของเยาวชน ดงั นั้น ผผู้ ลิตรายการ
ท่สี รา้ งสรรค์เพ่ือเยาวชนท้ังหลายควรไดร้ ับการสนบั สนนุ จากรฐั บาลและเอกชนให้มากขน้ึ
ปัจจยั ทีส่ ่งเสริมการแสดงทรรศนะ
เม่อื บุคคลมโี อกาสแสดงทรรศนะแลว้ ยังมีปจั จัยอ่ืนอกี หลายขอ้ ทชี่ ่วยสง่ เสริมการแสดงทรรศนะนนั้ ๆ
อาจสรุปปจั จยั เหล่านี้ได้เป็น ๒ ประการ คือปจั จัยภายนอกและปจั จยั ภายใน
ปัจจัยภายนอก มีอาทิ สื่อ ผู้รับสาร บรรยากาศแวดล้อม เวลา สถานที่ บคุ คลอื่น
ปจั จยั ภายใน มีอาทิ ความสามารถในการใชภ้ าษาทัง้ วัจนภาษา และอวจั นภาษา ความเช่ือมั่นใน
ตนเอง ความรู้และประสบการณ์ ทัศนคติ สตปิ ัญญาและความพรอ้ มทางกาย
การประเมินค่าทรรศนะ
แนวทางในการประเมนิ คา่ ทรรศนะควรเปน็ ดงั น้ี
๑. ประโยชน์และลกั ษณะสร้างสรรค์
๒. ความนา่ เช่อื ถือและความสมเหตุสมผล
๓. ความเหมาะสมกบั ผรู้ ับสารและกาลเทศะ

ทีม่ า : มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์. การโนม้ นา้ ว โต้แยง้ ทรรศนะ. เอกสารประกอบการเรียนการสอน
โครงการตน้ แบบศูนย์ทางไกลเพื่อการศึกษาและพัฒนาในพื้นท่เี สี่ยงภยั จังหวัดชายแดนภาคใต.้ เขา้ ถึงจาก
http://south2.psu.ac.th/vidyo/document/thai/การโน้มนา้ ว.pdf

_____/_____/_____

ชือ่ หน่วย : ฟัง ดู พูด ตามครรลอง หนว่ ยที่ : 4 เวลา : 4 ชัว่ โมง
ชอื่ แผน : การพดู แสดงทรรศนะ (2) แผนท่ี : 2 เวลา : 1 ชว่ั โมง
ชื่อวิชา : ภาษาไทย รหัส ท33101 ชั้น ม.6
ชอื่ ผูส้ อน : นางสาวพริ าวรรณ โฉลกดี

สาระสำคัญ
การพูดแสดงทรรศนะเปน็ การพดู เพื่อแสดงความคิดเห็น โดยมจี ดุ ประสงค์เพ่ือประเมนิ ค่า ใหข้ ้อเสนอแนะ

ใหข้ ้อสงั เกต ให้ข้อตัดสินใจ หรอื เพื่อแสดงความรสู้ กึ ให้ผู้ฟังได้รบั รู้ ซ่ึงผู้พูดต้องมีมารยาทในการพูด พูดอยา่ ง
สร้างสรรค์ นา่ สนใจ เปน็ กนั เองกบั ผู้ฟัง และพดู ในส่ิงทที่ ำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม

มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลอื กฟงั และดูอย่างมีวจิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด
และความรสู้ ึกในโอกาสต่าง ๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณ
ตวั ชว้ี ัด
ท 3.1 ม. 4-6/5 พูดในโอกาสตา่ ง ๆ พูดแสดงทรรศนะ โต้แยง้ โนม้ น้าวใจ และเสนอแนวคิดใหม่
ดว้ ยภาษาทถี่ ูกต้องเหมาะสม
ท 3.1 ม. 4-6/6 มีมารยาทในการฟัง การดู และการพดู

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรูส้ ู่ตัวชี้วัด
1. อธิบายเกีย่ วกบั การพดู แสดงทรรศนะได้ (K)
2. พูดแสดงทรรศนะได้ (P)
3. ตระหนักถงึ มารยาทในการพูด (A)

สาระการเรียนรู้
การพดู แสดงทรรศนะ

สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
- ทักษะการอ่าน
- ทักษะการฟงั การดู และการพูด
2. ความสามารถในการคดิ
- การใหเ้ หตุผล
- การวเิ คราะห์

- การสังเคราะห์
- การประยุกต/์ การปรับปรุง
- การสรุปความรู้
- การประเมนิ ค่า
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา

คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
ใฝเ่ รียนรู้
ตวั ชว้ี ดั ที่ 4.1 ต้งั ใจ เพียรพยายามในการเรยี นและเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรียนรู้

ช้ินงานหรือภาระงาน
การพูดแสดงทรรศนะ

การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ขั้นนำ
1. ให้นักเรียนและครรู ว่ มกนั ทบทวนความรจู้ ากชว่ั โมงท่ีแลว้
ขนั้ สอน
2. ใหน้ ักเรยี นพูดแสดงทรรศนะตามหวั ข้อทจี่ บั ฉลากได้ ใชเ้ วลากลุม่ ละ 5-7 นาที และต้องพดู ทุกคน
3. ให้นกั เรียนและครรู ่วมกันสังเกตและจดบนั ทกึ และใหน้ ักเรียนซกั ถามและแสดงความคิดเหน็

ส้นั ๆ เม่ือแตล่ ะกลมุ่ พูดจบ
4. เม่อื ทุกกลมุ่ พูดจบแล้ว ใหน้ ักเรยี นร่วมกันแสดงความคดิ เห็นเกยี่ วกับภาพรวมของการพูดแสดง

ทรรศนะของทกุ กลุ่มว่าสามารถปฏิบตั ไิ ด้ตามความรู้ศึกษาหรือไม่ แล้วสรุปข้อดีและข้อเสยี ทีค่ วรปรับปรุงเพ่ือ
นำไปปรับใช้ในการพดู แสดงทรรศนะในโอกาสต่อไป

ข้นั สรุป
5. ใหน้ ักเรียนและครรู ว่ มกนั สรปุ ความรู้ ดังนี้

๏ การพูดแสดงทรรศนะเปน็ การพดู เพื่อแสดงความคิดเห็น โดยมีจุดประสงคเ์ พ่อื ประเมนิ ค่า
ใหข้ ้อเสนอแนะ ใหข้ ้อสังเกต ใหข้ ้อตัดสนิ ใจ หรือเพื่อแสดงความรสู้ กึ ให้ผู้ฟังไดร้ ับรู้ ซึ่งผู้พูดตอ้ งมมี ารยาทใน
การพดู พดู อย่างสรา้ งสรรค์ น่าสนใจ เปน็ กนั เองกบั ผฟู้ ัง และพูดในส่ิงท่ีทำใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ สว่ นรวม

6. ใหน้ กั เรยี นร่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ โดยครูใช้คำถามท้าทาย ดังนี้
๏ ลกั ษณะทา่ ทางประกอบการพดู สำคัญต่อการพูดแสดงทรรศนะอยา่ งไร

สือ่ การเรยี นรู้
-

การวดั และประเมินผลการเรียนรู้

ส่งิ ที่ต้องการวัด วธิ กี ารวดั เครอื่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวัด เกณฑผ์ า่ น
1. อธิบายเกีย่ วกบั การพดู แสดง พูดแสดงทรรศนะ การพดู แสดงทรรศนะ ผ่านเกณฑ์ระดบั
ทรรศนะได้ (K) คณุ ภาพ 2
2. พูดแสดงทรรศนะได้ (P) พูดแสดงทรรศนะ การพูดแสดงทรรศนะ ผา่ นเกณฑร์ ะดบั
คณุ ภาพ 2
3. ตระหนกั ถงึ มารยาทในการพูด สังเกตพฤตกิ รรมระหวา่ งเรียน แบบประเมินพฤตกิ รรม ผา่ นเกณฑร์ ะดบั
(A) ระหวา่ งเรยี น คณุ ภาพ 2

การประเมนิ ช้ินงานน้ีให้ผู้สอนพจิ ารณาจากเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจริง (Rubrics)
เรอ่ื ง การพดู แสดงทรรศนะ

เกณฑก์ าร 4 ระดับคะแนน 1
ประเมิน 32

การพดู แสดง พดู แสดงทรรศนะ พดู แสดงทรรศนะ พูดแสดงทรรศนะ พูดแสดงทรรศนะ
ทรรศนะ ได้อย่างมีเหตุผล ได้อยา่ งมเี หตุผล ได้อยา่ งมเี หตผุ ล ได้อยา่ งมเี หตุผล
และสรา้ งสรรค์ และสรา้ งสรรค์ นำเสนอประเดน็ แต่ไมช่ ดั เจนเทา่ ท่คี วร
ครอบคลุมหัวข้อท่ีพดู นำเสนอประเด็น ทีต่ นเองสนใจได้ เรยี งลำดบั เนอื้ หาสับสน มี
รอบด้าน เรยี งลำดบั ทีต่ นเองสนใจอย่าง แต่ไมล่ ะเอียดนัก ลักษณะท่าทางในการพูด
เน้อื หาได้ดี พดู ได้ ละเอียด เรยี งลำดับ เรียงลำดับเนอื้ หาไดด้ ี และมารยาทในการพูด
น่าสนใจ มลี ักษณะ เนอื้ หาได้ดี พดู ได้ มลี กั ษณะทา่ ทางใน บกพร่องบางจดุ
ทา่ ทางในการพูดทดี่ ี น่าสนใจ มีลกั ษณะ การพูดท่ีดี และมี
และมีมารยาทใน ทา่ ทางในการพดู ท่ีดี มารยาทในการพดู
การพูดเหมาะสม และมมี ารยาทในการ เหมาะสม
พูดเหมาะสม

ชอ่ื หน่วย : ฟัง ดู พดู ตามครรลอง หนว่ ยที่ : 4 เวลา : 4 ชั่วโมง
ชื่อแผน : การพดู โนม้ น้าวใจ (1) แผนที่ : 3 เวลา : 1 ช่วั โมง
ชือ่ วิชา : ภาษาไทย รหัส ท33101 ชนั้ ม.6
ชือ่ ผู้สอน : นางสาวพิราวรรณ โฉลกดี

สาระสำคญั
การพูดโน้มนา้ วใจเปน็ การพูดทใี่ ชศ้ ลิ ปะและกลวิธกี ารพูดท่ีกระทบใจคนฟงั เพ่ือให้เกิดการเปลีย่ นแปลง

ทัศนคติหรือพฤติกรรมให้เปน็ ไปตามท่ผี ู้พูดต้องการ การโน้มนา้ วใจทดี่ คี วรเป็นการโนม้ นา้ วใจทเ่ี ปน็ ประโยชน์
ไม่ขัดตอ่ คณุ ธรรมจริยธรรมหรือการยอมรบั ของสังคม

มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชีว้ ัด
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลอื กฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด
และความร้สู กึ ในโอกาสตา่ ง ๆ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ
ตัวชว้ี ัด
ท 3.1 ม. 4-6/5 พูดในโอกาสต่าง ๆ พูดแสดงทรรศนะ โตแ้ ยง้ โน้มน้าวใจ และเสนอแนวคิดใหม่
ดว้ ยภาษาท่ถี ูกต้องเหมาะสม
ท 3.1 ม. 4-6/6 มีมารยาทในการฟัง การดู และการพดู

จุดประสงค์การเรียนรู้สู่ตวั ช้ีวัด
1. อธบิ ายเกยี่ วกับการพูดโน้มน้าวใจได้ (K)
2. พูดโน้มน้าวใจได้ (P)
3. ตระหนักถึงมารยาทในการพูด (A)

สาระการเรียนรู้
การพดู โน้มน้าวใจ

สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น
1. ความสามารถในการส่ือสาร
- ทกั ษะการอ่าน
- ทกั ษะการฟงั การดู และการพดู
2. ความสามารถในการคิด
- การให้เหตผุ ล
- การวิเคราะห์
- การสงั เคราะห์
- การประยุกต์/การปรับปรุง

- การสรปุ ความรู้
- การประเมนิ ค่า
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ

คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ใฝ่เรยี นรู้
ตัวชีว้ ดั ท่ี 4.1 ต้ังใจ เพียรพยายามในการเรียนและเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรยี นรู้

ช้นิ งานหรอื ภาระงาน
-

การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

ขน้ั นำ
1. ครตู ้งั คำถามนักเรยี นว่า หากต้องการรณรงค์ให้เพื่อนนกั เรียนและบุคคลทวั่ ไปแยกประเภทขยะ
กอ่ นท้ิง นกั เรียนจะพูดวา่ อย่างไรเพ่ือให้บุคคลเหล่าน้ันปฏิบัตติ าม ให้นกั เรียนตอบคำถามและอธบิ าย
รายละเอยี ดหรือให้เหตุผลประกอบด้วย
ขน้ั สอน
2. ให้นักเรยี นศึกษาความรเู้ รื่อง การพูดโน้มน้าวใจ ครูอธิบายเพม่ิ เติมแล้วให้นกั เรยี นเปรยี บเทยี บ
การพูดโนม้ นา้ วใจท่ีนักเรยี นตอบคำถามตอนต้นชวั่ โมงกบั ความรู้ทศ่ี กึ ษา เพื่อหาวิธีการพูดโนม้ น้าวใจทีด่ ีและ
การพูดโน้มน้าวใจทย่ี ังมีขอ้ บกพร่อง
3. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ กลุ่มละ 3-4 คน นำขอ้ บกพร่องมาวเิ คราะห์หาวิธีหรอื แนวทางแก้ไข กลุม่ ละ
1-2 เร่อื ง และยกตวั อย่างประกอบ นำเสนอหน้าชั้นเรียน ใหน้ กั เรียนและครรู ่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง
4. ครกู ำหนดหัวข้อ ดงั น้ี

4.1 เชิญชวนใหป้ ลูกต้นไม้ในโรงเรยี น
4.2 รณรงคแ์ ตง่ กายให้ถกู ระเบยี บ
4.3 รณรงค์ไม่ใชโ้ ทรศัพท์เคลื่อนท่ใี นช่วั โมงเรียน
4.4 รณรงคใ์ ห้เข้าเรียนใหต้ รงเวลา
4.5 เชญิ ชวนใหเ้ ข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน
หรือหัวขอ้ อนื่ ๆ ที่ครเู ห็นว่าเหมาะสม
5. ครูกำหนดหวั ข้อ แลว้ ให้นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ จับฉลากเลือกหัวขอ้ แลว้ ช่วยกนั คิดข้อความพูดโน้มนา้ วใจ
กำหนดเวลากลมุ่ ละ 1-2 นาที ส่งตวั แทนกลมุ่ นำเสนอหน้าชน้ั เรยี น
6. ให้นักเรียนและครรู ่วมกันประเมินการพดู โน้มน้าวใจของแต่ละกล่มุ วา่ กล่มุ ใดพดู ไดด้ ีท่ีสดุ
และกล่มุ ใดทีย่ งั มีข้อบกพร่องต้องแกไ้ ข แลว้ ให้ช่วยกันแก้ไขให้สมบรู ณ์

7. ใหน้ ักเรยี นนำความรู้ที่ไดจ้ ากการนำเสนอทั้ง 2 กิจกรรมไปจัดเปน็ ปา้ ยนิเทศหวั ข้อ “การพูด
โนม้ นา้ วใจที่ดี” นอกชว่ั โมงเรยี น เพอื่ เผยแพรค่ วามรู้แกเ่ พื่อนนักเรยี นและบุคคลทว่ั ไป

8. ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกล่มุ เสนอหัวขอ้ การพดู โน้มนา้ วใจ ครูพิจารณาความเหมาะสม และเมื่อเปน็
ทตี่ กลงแลว้ ครสู ั่งงานใหน้ ักเรียนเตรียมตวั พดู โนม้ นา้ วใจในชัว่ โมงถดั ไป โดยกำหนดให้เวลาพดู กลมุ่ ละ
5-7 นาที และต้องไดพ้ ูดครบทกุ คน

ข้ันสรปุ
9. ให้นกั เรียนและครรู ่วมกันสรุปความรู้ ดงั นี้

๏ การพดู โนม้ น้าวใจเปน็ การพดู ทีใ่ ชศ้ ิลปะและกลวธิ ีการพูดทก่ี ระทบใจคนฟัง เพอ่ื ใหเ้ กิดการ
เปล่ยี นแปลงทศั นคตหิ รอื พฤติกรรมให้เปน็ ไปตามที่ผู้พูดต้องการ การโนม้ น้าวใจที่ดีควรเปน็ การโนม้ นา้ วใจท่ี
เป็นประโยชน์ ไมข่ ัดต่อคุณธรรมจรยิ ธรรมหรอื การยอมรับของสังคม

10. ใหน้ กั เรียนรว่ มกันแสดงความคิดเหน็ โดยครูใช้คำถามทา้ ทาย ดังน้ี
๏ นักเรียนใช้การพูดโน้มนา้ วใจในชวี ิตประจำวันอยา่ งไรบ้าง

ส่ือการเรียนรู้
ฉลาก

การโนม้ น้าวใจ

การโนม้ น้าวใจ คอื การใชค้ วามพยายามที่จะเปลย่ี นความเชอ่ื ทัศนคติ คา่ นยิ ม และการกระทำของ
บุคคลอ่ืนด้วยกลวิธีท่เี หมาะสมให้มีผลกระทบใจบุคคลน้นั จนเกดิ การยอมรับและยอมเปล่ยี นตามทผ่ี ้โู น้มน้าวใจ
ต้องการ

กลวธิ ใี นการโนม้ นา้ วใจ
1. แสดงใหป้ ระจกั ษถ์ งึ ความน่าเชื่อถอื ของบคุ คลผูโ้ นม้ น้าวใจ ซ่ึงมคี ุณลกั ษณะ 3 ประการ คอื รจู้ รงิ
มีคณุ ธรรม และมีความปรารถนาดีต่อผู้อ่นื
2. แสดงใหป้ ระจักษต์ ามกระบวนการของเหตุผล
3. แสดงใหป้ ระจักษถ์ งึ ความรู้สกึ หรือว่าอารมณร์ ว่ มกัน
4. แสดงให้เห็นทางเลือกทง้ั ด้านดแี ละด้านเสยี
5. สร้างความหรรษาแก่ผ้รู ับสาร
6. เรา้ ใหเ้ กิดอารมณ์อย่างแรงกลา้
ลักษณะของการโน้มน้าวใจ
1. การโน้มน้าวใจมใิ ช่การทำให้เกดิ การเปลีย่ นความรู้สกึ นึกคดิ และพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ด้วยวธิ ีขู่
เขญ็ หรอื คุกคาม
2. การโนม้ นา้ วใจเปน็ การกระทำท่ไี ม่อาจบอกไดว้ ่าเปน็ การกระทำที่ดีหรอื เลว
3. การโนม้ นา้ วใจเปน็ การกระทำทมี่ ีจุดมงุ่ หมายอยา่ งใดอย่างหน่ึงเสมอ
4. การเรียนรูก้ ลวิธีการโนม้ นา้ วใจ โดยขาดคณุ ธรรมและจริยธรรมเปน็ สง่ิ ทีอ่ ันตราย
การพจิ ารณาสารโน้มนา้ วใจในลกั ษณะต่าง ๆ
ลกั ษณะสำคญั ของการโน้มน้าวใจมี 3 ชนดิ คอื
1. คำเชิญชวน คำประกาศเชญิ ชวนมกั บ่งบอกจุดประสงคอ์ ย่างชดั เจน เชน่ บรจิ าคโลหติ ชว่ ยชีวิต
เพือ่ นมนุษย์
2. โฆษณาสินคา้ หรือโฆษณาบรกิ าร การโฆษณาสินค้าหรือโฆษณาบริการ เปน็ การส่งสารโน้มนา้ วใจ
ต่อสาธารณชนเพ่ือปะโยชนใ์ นการขายสินคา้ หรือบรกิ ารต่าง ๆ แกส่ าธารณชนเหลา่ น้ัน
การโนม้ นา้ วใจในสารประเภทโฆษณา หรือโฆษณาบริการ มีลกั ษณะทีน่ า่ สงั เกตดังน้ี

• บทโฆษณาส่วนมากจะมีส่วนนำท่สี ะดดุ หู สะดุดตา ทำให้สะดุดใจสาธารณชน
• ตวั สารไมใ่ ชค้ ำยืดยาว มกั ใช้รปู ประโยคหรือวลสี น้ั ๆ
• เนือ้ หาจะชี้ใหเ้ ห็นถึงแต่ความวเิ ศษของคุณภาพสินคา้ หรอื บริการทน่ี ำเสนอ ส่วนมากแล้ว
จะเกนิ ความเปน็ จรงิ เช่น “อัญมณีลำ้ คา่ หาใดเทียบมไิ ด้”
• ผโู้ ฆษณามกั จะพยายามจบั จุดอ่อนของมนุษย์ ซ่ึงส่วนมากมักจะยอมคล้อยตามการโน้มนา้ วใจ
ที่มุง่ สนองความต้องการขนั้ พ้ืนฐานของมนุษย์
• เนอ้ื หาของสารโฆษณามกั ขาดเหตุผลที่หนกั แนน่ และรัดกุม
• สารโฆษณาจะปรากฏทางสื่อชนิดตา่ ง ๆ ซำ้ ๆ กันหลายครัง้ หลายหน เพื่อเรยี กร้องความสนใจ
จากสาธารณชน

3. การโฆษณาชวนเช่ือ เป็นการพยายามโดยจงใจ เจตนาทจี่ ะเปล่ยี นความเชื่อ และการกระทำของ
บุคคลจำนวนมากใหเ้ ป็นไปในทางท่ฝี า่ ยตนต้องการด้วยวธิ ีตา่ ง ๆ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องตามเหตผุ ล
และข้อเทจ็ จริง

กลวธิ ขี องการโฆษณาชวนเชอ่ื มีดังนี้
• การตราชื่อ เช่น พวกหัวรุนแรง ผู้คลง่ั ทฤษฎี ฝา่ ยขวาจัด คนแก่ คนหนุ่มสาว เดก็ ปากยังไมส่ ้นิ

กลิน่ น้ำนม
• การกลา่ วรวม ๆ หรอื ถอ้ ยคำหรูหรา
• การอา้ งบุคคลหรือสถาบนั เช่น เพอ่ื ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
• การทำเหมือนชาวบ้านธรรมดา ๆ เพื่อแสดงว่าตนเปน็ พวกเดียวกบั ชนเหลา่ นั้น
• การกลา่ วแตส่ ิ่งที่เปน็ ประโยชน์แก่ฝ่ายตน
• การอ้างคนส่วนใหญ่ เชน่ ใคร ๆ พวกเรา

ท่มี า : มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร.์ การโนม้ นา้ ว โต้แยง้ ทรรศนะ. เอกสารประกอบการเรียนการสอน
โครงการต้นแบบศนู ย์ทางไกลเพอ่ื การศกึ ษาและพัฒนาในพนื้ ทีเ่ สีย่ งภัยจังหวดั ชายแดนภาคใต.้ เขา้ ถงึ จาก
http://south2.psu.ac.th/vidyo/document/thai/การโน้มน้าว.pdf

ช่ือหน่วย : ฟัง ดู พูด ตามครรลอง หน่วยที่ : 4 เวลา : 4 ชั่วโมง
ช่อื แผน : การพูดโนม้ นา้ วใจ (2) แผนที่ : 4 เวลา : 1 ชวั่ โมง
ช่อื วิชา : ภาษาไทย รหัส ท33101 ชนั้ ม.6
ชือ่ ผสู้ อน : นางสาวพริ าวรรณ โฉลกดี

สาระสำคญั
การพูดโน้มนา้ วใจเป็นการพูดที่ใชศ้ ิลปะและกลวิธีการพดู ที่กระทบใจคนฟัง เพื่อให้เกิดการเปลย่ี นแปลง

ทัศนคติหรือพฤติกรรมใหเ้ ป็นไปตามที่ผพู้ ูดต้องการ การโน้มนา้ วใจที่ดคี วรเป็นการโน้มน้าวใจทเ่ี ป็นประโยชน์
ไม่ขดั ตอ่ คุณธรรมจรยิ ธรรมหรือการยอมรบั ของสังคม

มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้วี ดั
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลอื กฟงั และดูอย่างมีวิจารณญาณ และพดู แสดงความรู้ ความคดิ
และความรสู้ ึกในโอกาสตา่ ง ๆ อยา่ งมวี ิจารณญาณ
ตวั ชี้วดั
ท 3.1 ม. 4-6/5 พดู ในโอกาสต่าง ๆ พดู แสดงทรรศนะ โต้แย้ง โน้มนา้ วใจ และเสนอแนวคิดใหม่
ด้วยภาษาที่ถูกต้องเหมาะสม
ท 3.1 ม. 4-6/6 มีมารยาทในการฟงั การดู และการพดู

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายเก่ยี วกบั การพูดโน้มนา้ วใจได้ (K)
2. พูดโนม้ นา้ วใจได้ (P)
3. ตระหนักถึงมารยาทในการพูด (A)

สาระการเรียนรู้
การพดู โน้มน้าวใจ

สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
1. ความสามารถในการส่ือสาร
- ทกั ษะการอ่าน
- ทกั ษะการฟงั การดู และการพูด
2. ความสามารถในการคิด
- การให้เหตผุ ล
- การวเิ คราะห์
- การสังเคราะห์
- การประยุกต/์ การปรับปรุง
- การสรุปความรู้

- การประเมินคา่
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ใฝเ่ รยี นรู้
ตวั ชว้ี ัดที่ 4.1 ต้ังใจ เพยี รพยายามในการเรียนและเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรยี นรู้
ช้ินงานหรอื ภาระงาน
การพูดโนม้ นา้ วใจ
การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

ขั้นนำ
1. ให้นกั เรยี นและครรู ่วมกันทบทวนความรู้จากชั่วโมงที่แลว้
ขน้ั สอน
2. ใหน้ กั เรยี นพูดโน้มน้าวใจตามหัวข้อที่ตกลง ใช้เวลากลมุ่ ละ 5-7 นาที และต้องพดู ทุกคน
3. ใหน้ กั เรียนและครรู ว่ มกนั สงั เกตและจดบนั ทึก และใหน้ ักเรียนซกั ถามและแสดงความคิดเห็น
ส้นั ๆ เม่ือแต่ละกลมุ่ พูดจบ
4. เม่ือทุกกลุ่มพดู จบแล้ว ให้นักเรียนรว่ มกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพรวมของการพูดโน้มนา้ วใจ
ของทุกกลุ่มวา่ สามารถปฏิบัติได้ตามความรทู้ ีศ่ ึกษาหรอื ไม่ สามารถโน้มนา้ วใจได้ตามจดุ ประสงค์หรือไม่
แล้วสรุปขอ้ ดแี ละข้อเสยี ท่คี วรปรับปรงุ เพอ่ื นำไปปรบั ใชใ้ นการพูดโน้มนา้ วใจในโอกาสต่อไป
5. ใหน้ ักเรียนและครูร่วมกนั สรุปความรู้ ดังน้ี

๏ การพดู โนม้ น้าวใจเปน็ การพดู ท่ใี ช้ศิลปะและกลวธิ กี ารพูดทก่ี ระทบใจคนฟงั เพ่อื ใหเ้ กิดการ
เปลี่ยนแปลงทัศนคตหิ รอื พฤติกรรมใหเ้ ป็นไปตามทผ่ี พู้ ูดต้องการ การโน้มนา้ วใจที่ดีควรเป็นการโน้มน้าวใจ
ท่ีเป็นประโยชน์ ไมข่ ัดตอ่ คุณธรรมจริยธรรมหรอื การยอมรับของสงั คม

ขั้นสรปุ
6. ใหน้ ักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหน็ โดยครูใชค้ ำถามทา้ ทาย ดงั น้ี

๏ เหตุใดการพูดโนม้ น้าวใจจงึ ต้องใชค้ ุณธรรมและจรยิ ธรรมประกอบการพูด

การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

สิ่งทีต่ ้องการวดั วธิ ีการวัด เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการวดั เกณฑ์ผ่าน
การพดู โน้มน้าวใจ ผา่ นเกณฑร์ ะดับ
1. อธิบายเกย่ี วกบั การพดู พูดโน้มน้าวใจ คณุ ภาพ 2
การพดู โนม้ น้าวใจ ผา่ นเกณฑร์ ะดบั
โนม้ นา้ วใจได้ (K) คณุ ภาพ 2
ผา่ นเกณฑร์ ะดบั
2. พดู โนม้ นา้ วใจได้ (P) พดู โน้มนา้ วใจ คุณภาพ 2

3. ตระหนักถงึ มารยาทในการพูด สังเกตพฤติกรรมระหว่างเรยี น แบบประเมนิ พฤตกิ รรม
(A) ระหว่างเรียน

การประเมนิ ผลตามสภาพจริง
การประเมนิ ช้นิ งานน้ใี หผ้ ้สู อนพิจารณาจากเกณฑ์การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ (Rubrics)

เร่อื ง การพูดโนม้ น้าวใจ

เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั คะแนน
การพูดโนม้ น้าวใจ
4321

เตรียมการพูดมาเป็น เตรียมการพดู มาเป็น เตรยี มการพูดไมด่ ี เตรียมการพูดนอ้ ย

อย่างดี ลำดบั การพูด อยา่ งดี ลำดบั การพดู เท่าทค่ี วร ลำดบั จึงพดู ตดิ ๆ ขดั

ตอ่ เนอื่ ง ใช้ภาษาและ ต่อเน่ือง ใชภ้ าษาและ การพดู ติดขดั เลก็ น้อย ขาดความม่นั ใจ

น้ำเสียงดึงดดู นำ้ เสียงดึงดดู ต้องปรบั ปรงุ การ แตพ่ ยายามพูดจนจบ

ความสนใจผ้ฟู ังได้ดี ความสนใจผฟู้ ังได้ดี ใช้ภาษาและน้ำเสยี ง

พูดเป็นธรรมชาติ การพูดไม่คอ่ ย ให้ดึงดดู ความสนใจ

และมีบคุ ลิกภาพท่ีดี เป็นธรรมชาติ มากข้ึน การพูดไม่เปน็

ตอ้ งปรับปรงุ ธรรมชาติ

บุคลกิ ภาพเล็กน้อย


Click to View FlipBook Version