น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 1 นาฏศิลป์ไทย ภาคกลาง ภาคกลางเป็นที่รวมของศิลปวัฒนธรรม การแสดงจึงมีการถ่ายทอดสืบต่อกันและพัฒนาดัดแปลงขึ้น เรื่อยมา จนบางอย่างกลายเป็นการแสดงนาฏศิลป์แบบฉบับไปก็มี เช่น รำวง และเนื่องจากเป็นที่รวมของ ศิลปะนี้เอง ทำให้คนภาคกลางรับการแสดงของท้องถิ่นใกล้เคียงเข้าไว้หมด แล้วปรุงแต่งตามเอกลักษณ์ของ ภาคกลาง คือการร่ายรำที่ใช้มือ แขนและลำตัว เช่นการจีบมือ ม้วนมือ ตั้งวง การอ่อนเอียง และยักตัว การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง เป็นศิลปะการรำ และการละเล่นของชาวพื้นบ้านภาคกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มี อาชีพเกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจึงมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิต และเพื่อความบันเทิง สนุกสนาน เป็นการ พักผ่อนหย่อนใจจากการทำงาน หรือเมื่อเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยว ส่วนมากเป็นการละเล่นประเภทการร้องโต้ตอบ กันระหว่าง ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงโดยใช้ปฏิภาณไหวพริบในการร้องด้นกลอนสด เช่น ลำตัด เพลงฉ่อย เพลง พวงมาลัย เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว เต้นกำรำเคียว เพลงอีแซว เพลงปรบไก่ เพลงเหย่อย รำเถิดเทิง ฯลฯ ใช้ เครื่องดนตรีพื้นบ้าน เช่น กลองยาว กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ และ โหม่ง การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง ได้แก่ รำวง รำเหย่ย เต้นกำรำเคียว เพลงเกี่ยวข้าว รำชาวนา เพลงเรือ เถิดเทิง เพลงฉ่อย รำต้นวรเชษฐ์ เพลง พวงมาลัย เพลงอีแซว เพลงปรบไก่ รำแม่ศรี โดยพื้นฐานของการฝึกหัดการแสดงนาฏศิลป์ไทยมีเพลงช้า เพลงเร็ว และเพลงแม่บท ที่จะสามารถทำ ให้ผู้สนใจนาฏศิลป์เข้าใจและรำได้งดงามยิ่งขึ้น หากได้ฝึกปฏิบัติจนชำนาญ ท่ารำเพลงช้า – เพลงเร็ว เป็นวิชาพื้นฐานในการฝึกปฏิบัติในการรำให้งดงามนั้น มีหลักฐานยืนยันว่า อย่างน้อยก็มีสืบมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา กุลบุตร กุลธิดาที่จะฝึกหัดนาฏศิลป์ไทยจะต้องหัดรำท่ารำเพลงช้า – เพลงเร็ว ให้ คล่องแคล่วแม่นยำชำนาญเสียก่อน ซึ่งจะต้องใช้เวลาฝึกหัดกันแรมปีแต่ถ้าจะให้รำดีรำงามกันจริง ๆ ก็กิน เวลานานขึ้นไปอีก ท่ารำในเพลงช้า – เพลงเร็วย่อมเป็นเสมือน “แม่ท่า” หรือพื้นภาษาของละครไทยทั่วไป ศิลปินผู้ได้รับการฝึกหัดรำเพลงช้า – เพลงเร็วมาดีแล้ว ย่อมเป็นผู้มีกิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามใน สังคมไทยอีกด้วย ฉะนั้นถ้านักเรียน ศิลปินคนใดฝึกหัดรำเพลงช้า – เพลงเร็วได้ดีได้งามเป็นพื้นมาแล้ว ก็ย่อม หมายถึงว่า นักเรียนคนนั้นจะเป็นศิลปินทางการละครฟ้อนรำของไทยได้ดีต่อไปในภายหน้าอีกด้วย ถ้าเป็น ทักษะต้องให้ความรู้พื้นฐาน นายอาคม สายาคม กล่าวไว้ว่า ถ้าจะเอารำกันดี ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะฝึกหัดรำ ตั้งแต่เพลงช้า เพลง เร็ว เพราะท่ารำในเพลงช้า เพลงเร็ว ท่านปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ได้ประดิษฐ์ร้อยกรองรวบรวมท่ารำต่าง ๆ ไว้ เป็นจำนวนมาก มีทั้งแม่ท่า สร้อยท่า และท่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย หรือเกือบจะเรียกได้ว่า เป็นหัวใจของการรำ ละครไทย
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 2 ครูทางด้านการสอนละครรำ โขน จะต้องสอนเบื้องต้นด้วยเพลงช้า เพลงเร็ว เป็นการฝึกการใช้มือ แขน ขา เอว หลัง ไหล่ ให้ขยับขับเคลื่อนไปตามจังหวะทั้งจังหวะช้าในเพลงช้า และจังหวะเร็วในเพลงเร็ว แล้ว จึงทำตามเนื้อเพลงในบทแม่ท่าหรือแม่บทเพื่อนำไปใช้แจกลูกในชุดรำอื่น ๆ ต่อไป นาฏศิลป์เป็นศิลปะ ประเภทวิจิตรศิลป์ที่ให้คุณค่าทางจิตใจแก่มวลมนุษย์ ผู้ที่จะทำให้นาฏศิลป์มีค่าประณีตงดงามเป็นที่พึงพอใจ ของผู้ดูและเป็นผู้ธำรงรักษาศิลปะไว้ให้ยั่งยืนนานคือศิลปิน หลักการของท่ารำไทยคือเพลงช้า – เพลงเร็ว ศิลปินผู้จะสืบทอดศิลปวัฒนธรรมแขนงนี้ จะต้องเรียนรู้หลักการและวิธีการ พร้อมทั้งมี ประสบการณ์อย่างกว้างขวาง จึงก่อให้เกิดวิวัฒนาการนาฏศิลป์ได้หลายรูปแบบ การเรียนรู้หลักการนั้นคือ การศึกษาทฤษฎีและรูปแบบของนาฏศิลป์แต่ละประเภท แต่ละชนิด ว่าปรมาจารย์ในอดีตได้วางหลักเกณฑ์ไว้ อย่างไร และรู้วิธีปฏิบัติเช่นไร จึงจะเป็นไปตามรูปแบบของการแสดงประเภทนั้น ๆ โดยมีประสบการณ์ แสดงออกอย่างสม่ำเสมอควบคู่กันไปทั้งนี้ การเรียนรู้จะต้องเริ่มด้วย การฝึกหัดรำแม่ท่าเพลงช้า เพลงเร็ว และ รำแม่บท มาตามลำดับ แล้วจึงจะศึกษาปฏิบัติชุดการแสดงที่ยากยิ่งขึ้นไป ตั้งแต่ท่าแรกของการรำเพลงช้าโดย การจัดวางท่า จะได้ความรู้สึก ตึงเอว ตึงไหล่ ศีรษะใบหน้าตรง และเมื่อมีการเคลื่อนไหว แต่เพียงเฉพาะมือซึ่ง ใช้เป็นท่าวงและจีบก็ใช้ข้อต่อที่ประกอบขึ้นมากมาย เริ่มตั้งแต่ไหล่ ศอก ข้อมือ และข้อนิ้ว อีก 3 ท่อน โดยเฉพาะท่าที่ทางนาฏยศัพท์ เรียกว่า จีบและวง ก็เกิดจากอิริยาบถมือทั้งคว่ำและหงายมือ ทำให้มือไม่ยึดติด เช่นเดียวกับท่ากระดกเท้า ซึ่งต้องอาศัยข้อต่อตั้งแต่ท่อนล่างของลำตัว ได้แก่ หลัง สะโพก เข่า ข้อเท้า และนิ้วเท้าทั้ง 5 นิ้ว ที่เชิดขึ้นตามหลักของท่ารำไทย นับว่าเป็นการช่วยในการบริหารเบื้องต้นของ การใช้สรีระให้คงทนปราศจากโรคอัมพาตให้ใช้การได้อย่างต่อเนื่อง ตราบที่มีการรำหรือออกท่าอิริยาบถทาง นาฏศิลป์ไทย แม้เพียงรำเพลงช้าซึ่งเป็นหลักเบื้องต้นก็ยังดี ฉะนั้น ในด้านของสถาบันที่บรรจุหลักสูตรให้มีการสอนรำไทย จึงได้ทั้งท่ารำเป็นรำได้เป็น พื้นฐานติดตัวไปตลอดชีวิต แล้วยังช่วยผดุงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมมิใช่แค่รู้และพูดกันเท่านั้น องค์ประกอบของ งานแสดงด้านศิลปะของไทย จะได้เกิดความสมดุลไม่ปล่อยให้ถูกลืมเหมือนเหตุการณ์ที่แล้ว ๆ มา จึงเป็นเรื่อง ของความเป็นอมตะที่ควรได้รับการสืบทอดเพื่อยังผลประโยชน์แก่ผู้ที่ได้รับการฝึกในสถาบันที่เกี่ยวข้องกับ นาฏยศาสตร์ ย่อมมีผลระยะยาวในการวางบุคลิก สามารถนำไปใช้ได้ทุกโอกาส ทั้งชีวิตส่วนตนและหน้าที่การ งานต่อมาในรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้เกิดละครนอกเอกขึ้นหลายสำนัก การฝึกหัดท่ารำเบื้องต้นก็ได้ แพร่หลายออกไปจากละครหลวง ทำให้ท่ารำเพลงช้า เพลงเร็วแตกต่างกันออกไปบ้าง ในรูปแบบลีลาท่ารำตาม บุคลิกของตัวละครและความสามารถของผู้ฝึกหัด สำหรับท่ารำเพลงช้าเพลงเร็ว ที่ใช้เป็นหลักสูตรในวิทยาลัย นาฏศิลป์นั้นได้รับการถ่ายทอดมาจากพระยานัฏกานุรักษ์ ปรมาจารย์ของกรมมหรสพในรัชกาลที่ 6 ต่อมาจึง ได้มีการสืบทอดท่ารำมาฝึกหัดให้กับนักเรียนนาฏศิลป์สังกัดกรมมหรสพเดิม ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกรม ศิลปากร มีองค์กรที่ปฏิบัติงานด้านวิทยาลัยนาฏศิลป์โขนและละครจนถึงปัจจุบัน เสาวรักษ์ ยมะคุปต์
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 3 (สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม 2565) กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงของกระบวนท่ารำเพลงช้าเพลงเร็ว (แบบตัด) ยังคง อยู่ในกระบวนท่าเดิม แต่มีการพัฒนาไปเรื่อย แล้วแต่ผู้กำกับที่ควบคุมการฝึกซ้อมว่าจะกำหนดจังหวะในแต่ละ ท่าเท่าใด และบางครั้งมีการเพิ่มท่าเข้าไปเนื่องจากเพลงไม่ลงท่อน เป็นต้น ประโยชน์เฉพาะของท่าเคลื่อนไหวสรีระในการรำเพลงช้า 1. จัดรูปทรง สัดส่วน สัณฐานให้ได้มาตรฐานถึงความงามตามรูปแบบนาฏศิลป์ 2. เรียนรู้ส่วนที่ต้องใช้อวัยวะให้สัมพันธ์กันโดยเริ่มตั้งท่าตึงเอว ตึงไหล่ ทรงตัว เมื่อเริ่มหัดใหม่อาจจะ มีความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยกว่าการเล่นกีฬาหรือยิมนาสติกในวิชาพลศึกษาหรือวิชาลักษณะนิสัยในชั้นเรียน ประถมศึกษา เป็นต้น 3. ได้ฝึกออกกำลังกายทุกส่วนของอวัยวะ เช่น ข้อต่อของโครงสร้างของร่างกายตั้งแต่ศีรษะตลอด จากปลายนิ้วถึงหัวไหล่ จากปลายเท้า ฝ่าเท้า ส้นเท้า จนถึงสะโพกทุกส่วนของลำตัว จนถึงศีรษะซึ่งเป็น ลักษณะเฉพาะของรำไทยที่ใช้ข้อต่อมาสร้างความงดงามในท่ารำมีนาฏยศัพท์ วง, จีบ, กระดก เป็นต้น 4. มีความอดทนในการฝึกหัดรำได้เป็นระยนาน ไม่เหนื่อยง่าย รำได้นาน 5. มีทักษะในการรำอย่างคล่องแคล่วว่องไว การปฏิบัติการรำบ่อย ๆ ทำให้กระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็น ไม่ยึดติดแล้วยังช่วยให้ประสาทตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา 6. เป็นผู้รำได้อย่างงดงาม จะมีลีลานุ่มนวล สง่าภาคภูมิใจ 7. สามารถฟังและวิเคราะห์เพลงดนตรี จังหวะหน้าทับได้ถูกต้องแม่นยำ 8. สามารถวิเคราะห์ท่ารำเพื่อนำไปพัฒนาและสร้างสรรค์ในการคิด ประดิษฐ์ท่ารำชุดอื่น ๆ ได้อย่าง กว้างขวาง 9. เมื่อยามต้องการการพักผ่อนจากอารมณ์อันหมกมุ่นต่าง ๆ การรำเพลงช้า เพลงเร็วจะช่วยให้คลาย ความตึงเครียดของอารมณ์ได้ 10. รู้จักและเข้าใจนาฏยศัพท์ นำมาใช้สื่อสารในวงการนาฏศิลป์ให้แพร่หลายได้ 11. รู้หลักการฝึกหัดรำเบื้องต้นของนาฏศิลป์ไทย และสามารถปฏิบัติท่ารำให้เป็นไปตามขั้นตอนได้ 12. รู้หลักและวิธีเชื่อมท่ารำต่าง ๆ ให้ติดต่อกันจากท่าหนึ่งไปอีกท่าได้อย่างสนิททำให้เกิดลีลาและ ความงดงามในเชิงนาฏศิลป์ รำแม่บทเล็ก รำแม่บท เป็นชื่อรวมเรียกท่ารำต่าง ๆ ในตำรานาฏศิลป์ของไทยนับถือเป็นต้นตำรับของการฟ้อนรำ สำหรับนักเรียนที่ฝึกหัดนาฏศิลป์ใช้เป็นบทฝึกหัดรำตั้งแต่ชั้นต้นไปจนถึงชั้นสูงสุดเพื่อให้คล่องแคล่วชำนิ ชำนาญ นอกจากใช้เป็นแบบฝึกหัดแล้ว มักจัดให้ละครตัวเอก เช่น ตัวนายโรงและตัวนาง คือ พระ 1 นาง 1 ของคณะ ละครโรงนั้น ๆ ออกมารำอวดให้ดูเป็นแบบฉบับ เพื่อดูว่าศิลปินคนใดในคณะใดจะแสดงท่ารำนั้นได้ถูกต้อง
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 4 สวยงาม และถูกต้องตามแบบแผน ตลอดจนสามารถเชื่อมท่ามาจากท่าหนึ่งไปสู่ท่าหนึ่งได้อย่างละเมียดละไม กลมกล่อม ตัวละครผู้ใดรำแม่บทนี้ได้ดี ก็ยกย่องกันว่าเป็นศิลปินผู้มีฝีมือเอก ท่ารำแม่บทนี้มีบทร้องบอกชื่อท่า รำอยู่ 2 อย่าง คือ บทร้องบอกชื่อท่ารำอย่างพิสดาร และอย่างย่อ บทร้องอย่างพิสดารเป็นบทที่จำสืบปากต่อ คำกันมาแต่โบราณ (ท่ารำมี 64 ท่า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงรวบรวมชำระตีพิมพ์ไว้ใน หนังสือ “ตำราฟ้อนรำ” ฉบับหอพระสมุด) ส่วนบทร้องอย่างย่อมีอยู่ในบทละครรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 1 ตอน “นารายณ์ปราบนนทุก” บทที่ใช้ร้องใช้รำอย่างย่อนั้นมีอยู่ 18 ท่า เนื้อเรื่องอยู่ในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนารายณ์ปราบนนทุก บทพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เรื่องย่อ เมื่อนนทุกได้ขอประทานนิ้วเพชรจากพระอิศวร จึงสามารถชี้ทำลายชีวิตของผู้อื่นได้ตามใจ ชอบ และชี้เทวดาล้มตายเป็นจำนวนมาก พระนารายณ์จึงคิดแก้ไขเหตุการณ์ โดยซ้อนกลแปลงองค์เป็นนางฟ้า (อวตารเป็นนางฟ้า เรียกว่า ปางอัปสรอวตาร) มาหลอกล่อให้นนทุกหลงใหล และรำตามในท่าสุดท้าย พระ นารายณ์ได้ทำท่าชี้นิ้วเข้าหาตัว “นาคาม้วนหางลง” นนทุกก็ทำตาม ชี้นิ้วถูกขาของตนเอง ก่อนตายพระ นารายณ์จึงแสดงตนและให้สัตย์สัญญากับนนทุก ว่า ในชาติหน้าจะให้นนทุกไปเกิดใหม่ ให้มีถึง 10 เศียร และ 20 กร ส่วนพระองค์เองจะไปเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา ซึ่งไม่มีอิทธิฤทธิ์แต่อย่างใด และนี่เองที่เป็นต้นเค้าเรื่อง รามเกียรติ์ พระนารายณ์อวตารเป็นพระนาม และนนทุกมาเกิดเป็นทศกัณฐ์มาเป็นศัตรูคู่แค้นกัน เสาวรักษ์ ยมะคุปต์ (สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม 2565) กล่าวว่า ปัจจุบันหากเป็นชุดการแสดงของหม่อมอาจารย์ ท่านจะ ปรับท่าให้เหมาะสมสำหรับการแสดง ให้มีวิวัฒนาการ ความสวยงามมากขึ้น ซึ่งจะแตกต่างกับรำมาตรฐานตาม หลักสูตรของวิทยาลัยนาฏศิลป การแต่งกาย ยืนเครื่องพระ-นาง บทร้องแม่บทเล็ก ปี่พาทย์ทำเพลงรัว -ร้องเพลงชมตลาดเทพนมปฐมพรหมสี่หน้า สอดสร้อยมาลาเฉิดฉิน ทั้งกวางเดินดงหงส์บิน กินรินเลียบถ้ำอำไพ -รับอีกช้านางนอนภมรเคล้า แขกเต้าผาลาเพียงไหล่ เมขลาโยนแก้วแววไว มยุเรศฟ้อนในอัมพร -รับยอดตอง ต้องลมพรหมนิมิต อีกทั้งพิสมัยเรียงหมอน
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 5 ย้ายท่ามัจฉาชมสาคร พระสี่กรขว้างจักรฤทธิรงค์ -รับปี่พาทย์ทำเพลงต้นวรเชษฐ์ เพลงเร็ว ลา หรือปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว –ลาแม่บทสลับคำ เป็นกิจกรรมเสนอแนะที่ครูผู้สอนอาจนำไปใช้ในการแสดงกิจกรรมเสริมหลักสูตรหรือวัดผลเข้าใจ และ ความจำในเนื้อหาของหัวข้อวิชารำแม่บทใหญ่ และรำแม่บทเล็ก เพื่อประเมินผลและสังเกต เชาวน์ไหวพริบ ตลอดจนทักษะของนักเรียนทุกชั้นเรียนก็ได้ บทร้องคัดเลือกตัดตอนมาจากรำแม่บทใหญ่และแม่บทเล็กมีการ เล่นคำ เช่น ช้างประสานงา เปลี่ยนเป็นกุญชรประสานงา เป็นต้น สลับวรรคตอนใหม่ แต่คงเนื้อหาตามรูปแบบ ของท่ารำแม่บทดั้งเดิมไว้ ดังตัวอย่าง บทร้องรำแม่บทสลับคำ บทร้องแม่บทสลับคำ ปี่พาทย์ทำเพลงรัว ร้องเพลงชมตลาด เทพนมปฐมพรหมสี่หน้า สอดสร้อยมาลาสารภี รำยั่วมัจฉาชมวารี ขี่ม้าตีคลีหนังหน้าไฟ ท่าจ่อเพลิงกาฬมารกลับหลัง แขกเต้าเข้ารังแทงวิสัย พรหมนิมิตเครือวัลย์พันมิ่งไม้ จีนสาวใส้บังแสงสุริยา กังหันร่อนแล้วเยื้องพายกฐิน ขัดจางนางกินรินเลียบคูหา เมขลาโยนมณีหงส์ลินลา มยุราฟ้อนหางนางกล่อมตัว -ปี่พาทย์ทำเพลงต้นวรเชษฐ์ เร็ว ลา หรือเพลงเร็ว ลา ตามความเหมาะสม1. ระบำ/รำ ระบำ เป็นการแสดงที่มีผู้แสดงมากกว่า 2 คนขึ้นไป ฉะนั้น การแสดงระบำอาจมีลักษณะในรูปแบบต่อไปนี้ คือ 1. ระบำที่เป็นแบบดั้งเดิม หรือที่เรียกว่าระบำมาตรฐานและระบำพื้นเมืองของภาคต่าง ๆ 2. ระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ 3. ระบำที่อยู่ในชุดการแสดง ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของละคร ก. ระบำที่เป็นแบบดั้งเดิมได้แก่ระบำที่ฝึกหัดกันเพื่อให้เป็นแบบมาตรฐานที่มีมาแต่ครั้งสุโขทัย ได้แก่ “ระบำสี่บท” แต่ละบทของเพลงมีการรำแตกต่างกัน ประกอบด้วย เพลงพระทอง, เบ้าหลุด, บะหลิ่ม, (หรือปวะหลิ่ม) และสระบุหร่ง รวม 4 เพลง นอกจากจะใช้เพื่อเป็นหลักในการรำชุดระบำมาตรฐานแล้ว ยัง เหมาะที่จะนำมาใช้ในโอกาสแสดงความยินดีเกี่ยวกับความสำเร็จในด้านต่าง ๆ บางทีเรียก “ระบำใหญ่” เป็น การรำที่สวยงามน่าชมมาก ซึ่งบรรพบุรุษในทางศิลปะการระบำได้ฝึกไว้ให้ การแสดงกินเวลาไม่น้อยกว่า 20- 30 นาที ผู้ไม่เคยชินต่อการรำหรือการดูละครไทย จะดูท่ารำไม่ออกว่าในแต่ละบทแตกต่างกันอย่างไร จึงทำให้
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 6 ไม่เข้าใจในคุณค่าของระบำชุดสี่บท ฉะนั้นระบำสี่บทจึงเหมาะที่จะจัดไว้เป็นระบำชุดมาตรฐาน เพื่อการ ถ่ายทอด ข. ระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เช่น ระบำชุดโบราณคดี ระบำชุดฉุยฉายแบบรำหมู่ และระบำนพรัตน์ ระบำร่ม ฯลฯ และระบำชุดที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใช้แสดงในวาระโอกาสสำคัญของบ้านเมือง เช่น - ระบำถวายพระพรในปีฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษกฯ ระบำโลหะปราสาท ระบำกุญชร เกษม ระบำศิลปาชีพ ระบำสี่ภาค ระบำอยุธยา ระบำท่ารำไทย ระบำรัตนมาลี ระบำไดโนเสาร์ ฯ - ระบำบางตอนจากวรรณคดีไทย เช่น ระบำวานรพงศ์ และระบำอสุรพงศ์ ในวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ แต่ละชุดของระบำเหล่านี้เกิดจากความร่วมมือ ซึ่งปรมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ได้ประดิษฐ์ คิดท่า รำขึ้นจากคำร้องหรือบทประพันธ์ ซึ่งคณาจารย์ฝ่ายดุริยางคศิลป์ได้บรรจุเพลงและขับร้อง ทดลองบทโดยการ ฝึกและจัดท่ารำให้งดงามตามบท ฉะนั้น ระบำที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ จึงเข้ากับสภาวะและเหตุการณ์ทั่วไป ทำให้ผู้ ดูเข้าใจได้ง่ายขึ้น จึงได้รับการตอบรับและนิยมกันแพร่หลาย ซึ่งบุคลากรที่สนใจงานแสดงก็สามารถปฏิบัติเพื่อ ช่วยเผยแพร่ระบำปรับปรุงใหม่ได้ ค. ระบำที่มาจากการแสดงในบทละคร เช่น การแสดงเรื่องพระลอ จะมีระบำไก่แทรกตอนพระ ลอตามไก่ ระบำกฤดาภินิหาร ในละครเรื่องเกียรติศักดิ์ไทย ระบำอสุรพงศ์ และระบำวานรพงศ์อยู่ในชุดการ แสดงเรื่องรามเกียรติ์ ในที่นี้จะขอยกตัวอย่าง ระบำกฤดาภินิหาร ในละครเรื่องเกียรติศักดิ์ไทย มาประกอบ ความเข้าใจ รำ คือศิลปะการร่ายรำที่แสดงเดี่ยวหรือแสดงเป็นคู่ เพื่อการพลีกรรม หรือเป็นการบูชา เป็นการแสดง ที่ มุ่งเน้นความงดงามของท่ารำ ประเภทการรำ เกี่ยวกับการรำบทเพลงหรือบทขับร้อง จำแนกตามจำนวนของผู้รำซึ่งมีดังต่อไปนี้ 1. การรำเดี่ยว (รำคนเดียว) 2. การรำคู่ (รำคู่กัน 2 คน อาจมีหลายคู่ก็ได้) 3. การรำหมู่ (รำหลายคนแต่มีความเป็นหนึ่งเดียว) 1. การรำเดี่ยว คือ การรำโชว์หรือการแสดงคนเดียว ให้มีผู้ดูมากมาย ได้ดูความงดงามในลีลาการรำต้องการ แสดงฝีมือในการรำ จุดมุ่งหมายในการรำเดี่ยว 1. ต้องการแสดงศิลปะการร่ายรำ 2. ต้องการสลับฉากเพื่อรอการจัดฉากหรือตัวละครแต่งกายยังไม่เสร็จเรียบร้อย 3. ต้องการให้เป็นชุดเบิกโรง ชุดรำเดี่ยว เนื่องจากการรำเดี่ยวมีจุดมุ่งหมายดังกล่าวข้างต้น คือ ต้องการนำเสนอหรือแสดงฝีมือผู้รำ และผลงานผู้ฝึก ฉะนั้นจึงสามารถจะนำเอาชุดต่าง ๆ มารำได้ในกรณีที่ผู้รำมีความสามารถในทางศิลปะการ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 7 ร่ายรำได้งดงาม เพราะผ่านการฝึกมาเป็นเวลานาน ได้แก่ การรำเดี่ยวในชุดฉุยฉายประเภทต่าง ๆ เช่น ฉุยฉาย พราหมณ์ ฉุยฉายทศกัณฐ์ ฉุยฉายวันทอง ฉุยฉายเบญกายแปลง ฉุยฉายฮะเนา ฯลฯ หรือการรำเดี่ยวในชุดที่ ปรับปรุงขึ้นใหม่ เช่น รำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ ฉุยฉายนาฏกรรมล้ำค่า(ประเภทรำเดี่ยว) ฉุยฉาย คือ ประเภทของการแสดงนาฏศิลป์ไทยชุดหนึ่ง ที่มีลีลาเยื้องกราย มักใช้ในการรำเดี่ยว การ ร่ายรำแสดงถึงอุปนิสัยของตัวละครโดยเน้นลักษณะบุคลิกภาพเฉพาะอย่าง ฉะนั้นบทร้องในการแสดงประเภท ฉุยฉายจึงมักพรรณนาถึงหน้าตา ท่าทาง และการแต่งองค์ทรงเครื่องที่ค่อนข้างละเมียดละไมสวยงาม ด้วยเหตุผลบางประการ คำว่าฉุยฉายในความรู้สึกของคนทั่วไปในสมัยนี้ จึงมีความหมายถึงความหยิบ หย่งของผู้คนที่ไม่สนใจที่จะทำการงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน สนใจแต่เฉพาะการแต่งกายเดินไปเดินมาเท่านั้น ฉะนั้น คำว่าฉุยฉาย เมื่อนำมาใช้กับชีวิตปกติสามัญชนจึงมักมีความรู้สึกในแง่ไม่ค่อยดีนัก แต่ความจริง แล้วการรำฉุยฉายเป็นส่วนที่มีความสมบูรณ์แบบในตัวเองอยู่ครบครัน ในข้อที่ว่าด้วยสุนทรีย์ในด้านนาฏกรรม ของไทยที่น่าดูที่สุด ผู้ที่มีความสามารถไม่ถึงในเชิงศิลปะการร่ายรำของไทย ถ้านำชุดนี้ไปร่ายรำแล้วจะมองไม่ เห็นคุณค่าของศิลปะประเภทนาฏศิลป์ซึ่งว่าด้วยความงามของชุดฉุยฉาย ดังนั้น ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่จะก้าวมาถึง การรำชุดฉุยฉายจึงต้องผ่านการฝึกฝนการรำมาแล้วหลาย ๆ ชุด โดยเฉพาะเพลงช้า เพลงเร็ว รำแม่บท ตลอดจนรำประเภทประกอบจังหวะมาแล้วเป็นอย่างดี จึงจะฝึกรำฉุยฉายได้ไม่ยาก ลีลาการรำนั้นมีท่วงทีที่ งดงาม ใส่อารมณ์และความรู้สึกด้วยใบหน้าท่าทาง และตลอดการเคลื่อนไหวทุกส่วนสัดของร่างกาย นับตั้งแต่ มือ ศีรษะ เอว ไหล่ หลัง แขน ขา ไปจรดเท้าก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้เองนาฏศิลป์ไทยจึงไม่นิยมให้สวมรองเท้า ทั้งนี้เพื่อให้เห็นถึงความงดงามของมือที่ทำวงและกิริยานาฏยศัพท์ในลักษณะการยกเท้าโดยวิธีการหักข้อเท้า และเผยอจมูกเท้าขึ้น การรำฉุยฉายที่ประกอบการแสดงโขน การรำฉุยฉายเป็นชุดซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางคีตกวีได้ศึกษาบรรจุใส่เพลงและคำร้องให้ศิลปินทางนาฏศิลป์ นำไปประดิษฐ์คิดท่ากระบวนการรำแล้วนำมาถ่ายทอดให้ศิษย์ที่มีลีลารำได้งดงามรับไว้เป็นแบบแผน การรำชุด ฉุยฉายแต่ละยุค ส่วนมากมาจากวรรณคดีไทยที่รู้จักกันดี คือ เรื่องรามเกียรติ์ นอกนั้นมีบทฉุยฉายพราหมณ์ใน บทพระราชนิพนธ์เรื่องพระคเณศเสียงาและฉุยฉายฮะเนาในพระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่า แล้วก็ยังมีฉุยฉายคน รุ่นหลังแต่งขึ้นใหม่อีกมากมาย ตามยุคสมัยเพื่อส่งเสริมลีลานาฏศิลป์อันงดงามให้แพร่หลายตามโอกาสและ ระดับของงานนั้น ๆ บทร้องและท่ารำของฉุยฉายแต่ละชุด ปรมาจารย์ทางนาฏดุริยางคศิลป์ได้คิดประดิษฐ์ทั้งคำประพันธ์ ประเภทฉันทลักษณ์ การบรรจุเพลง และเลือกเครื่องดนตรีให้เหมาะสมกับกระบวนการรำ การประดิษฐ์คิด ออกแบบท่ารำ และจัดกระบวนการรำพร้อมลีลาให้สัมพันธ์กลมกลืนกับคำร้อง การเลือกผู้รำที่เหมาะสมในการ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 8 รับมอบการฝึกลีลาท่ารำความงดงามของการรำฉุยฉายแต่ละชุด ซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี ควรแก่การบันทึกให้ คนรุ่นหลังได้รับรู้ ดังต่อไปนี้ ฉุยฉายในเรื่องรามเกียรติ์ มีชุดฉุยฉายที่แบ่งออกตามบุคลิกของตัวยักษ์, นาง, พระ, และลิง ในการ แสดงโขนซึ่งแต่ละชุดมีบทร้องที่ใช้ภาษาท่าทางในการรำงดงามยิ่งนัก ดังจะกล่าวพอเป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้ คือ 1. ฉุยฉายทศกัณฐ์ตอนลงสวน เนื้อความกล่าวถึงลีลาท่ารำของยักษ์ทศกัณฐ์แต่งกายเพื่อไปพบสาวที่ตนหลงรัก จึงเป็นบทของ ทศกัณฐ์ลดความดุร้าย มาเป็นบทเจ้าชู้ไก่แจ้ ซึ่งน่าดูมาก ความเป็นมา (ในบทรามเกียรติ์) ในชุดนี้ ทศกัณฐ์จะลงสวนเพื่อไปหานางสีดาซึ่งลักพามาไว้ในสวนขวัญ แม้ท่าทางของทศกัณฐ์จะเต็ม ไปด้วยความองอาจกล้าหาญ ผึ่งผาย มีอำนาจยิ่งใหญ่คุมทัพที่มีแสนยานุภาพเข้มแข็งเท่าไรก็ตาม แต่เมื่อแต่ง องค์ทรงเครื่องเพื่อไปพบสาวที่ตนหลงรัก ก็อดที่จะแสดงความกรีดกรายกรุ้มกริ่มก้อร่อก้อติกมิได้ บทร้องฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน 1. ฉุยฉายเอย จะไปไหนหน่อยเจ้าก็ลอยชาย เยื้องย่างเจ้าช่างกราย หล่อนมิเคยพบชายนักเลงเจ้าชู้ จะเข้าไปเกี้ยวแม่ทรามสงวน เจ้าช่างกระบวนหนักหนาอยู่ 2. ฉุยฉายเอย จะไปไหนนิดเจ้าก็กรีดกราย เยื้องย่างเจ้าช่างกราย หล่อนมิเคยพบชายนักเลงเก่งแท้ จะเข้าไปเกี้ยวแม่ทรามสงวน เจ้าช่างกระบวนเสียจริงเจียวแม่ ฯ ร้องแม่ศรี ยักษีเอย ยักษีโสภณ เจ้าช่างแต่งตน เลิศล้นหนักหนา ห้อยไหล่แดงฉาด งามบาดนัยน์ตา ช่างงามสง่า จริงยักษีเอย ฯ ยักษีเอย ยักษีทศศีร์ วางท่าจรลี ท่วงทีองอาจ มุ่งใจใฝ่หา สีดานงนาฏ แล้วรีบยุรยาตร เข้าอุทยานเอย ฯ ฯ เพลงเร็ว ฯ ความงดงามในลีลาชุดรำฉุยฉายทศกัณฐ์ลงสวน ฉุยฉายทศกัณฐ์เป็นนาฏศิลป์ที่มีคุณค่าสูงส่งในทางลีลาการร่ายรำ ทั้งนี้เพราะทศกัณฐ์เป็นตัวเอกใน เรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งตลอดเรื่องของวรรณคดีเรื่องนี้เป็นการทำศึกสงครามระหว่างฝ่ายพระรามพระลักษมณ์ซึ่งมี วานรเป็นบริวารที่สมมุติเป็นฝ่ายธรรมะ กับทศกัณฐ์เจ้ากรุงลงกาซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายอธรรม ผลัดกันแพ้ชนะจน
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 9 ทำให้วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ฉบับการละครสมบูรณ์แบบ เพราะกลเล่ห์อุบายของฝ่ายทำศึกสงคราม ที่ น่าสนใจก็คือการเรียนรู้กลยุทธ์ที่หักล้างด้วยสติปัญญาแทนแสนยานุภาพทางปรมาณูวัชรวัน ธนะพัฒน์ (สัมภาษณ์, 19 ตุลาคม 2565) กล่าวว่า กระบวนการถ่ายทอดในหลักสูตรการเรียนการสอนจะมีกระบวนรำที่ เป็นมาตรฐาน และการถ่ายทอดในรูปแบบการแสดง ซึ่งกระบวนการถ่ายทอดสู่ลูกศิษย์นั้นจะแตกต่างกันไป ตามครูที่ถ่ายทอดและศิลปินที่เป็นผู้ถ่ายทอด คือถ่ายทอดเพื่อสืบทอดและถ่ายทอดสำหรับใช้แสดง ในส่วนท่า รำ มีการปรับเปลี่ยนบ้างตามสรีระและความเหมาะสมของศิลปิน แต่ยังคงท่าหลักที่เป็นแบบแผนของการรำ ฉุยฉายไว้ เช่นคำว่า "ฉุยฉายเอย จะไปไหนหน่อยเจ้าก็ลอยชาย" กระบวนท่าในบทที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น คำ ว่า "ห้อยไหล่แดงฉาด งามบาดนัยน์ตา ช่างงามสง่า จริงยักษีเอย" จะมีสองท่ารำ คือในชั้นแรกจะเป็นการใช้มือ ขวาห่มสะบัดผ้าไปด้านหลัง ส่วนท่าในแบบที่สองจะไม่ใช้การจับผ้า แต่จะใช้มือทั้งสองไขว้กันระดับอกสื่อ ความหมายแทนผ้าที่ห่มอยู่ กระบวนท่ารำที่เปลี่ยนส่วนมากจะเป็น "ท่ารับ" ซึ่งยึดมาจากท่ารำของละครพระ และกระบวนท่ารำตอนลาเข้าโรง มีลา 2 แบบ หากเป็นรำเดี่ยวจะมีกระบวนท่าการเล่นพัดซึ่งมีเทคนิคที่ แตกต่างกันไปในแต่ละคน ถ้ารำในเรื่องจะเป็นท่าลาแบบตัวพระ เครื่องแต่งกายในชั้นแรกจะเป็นการแต่งกายแบบยืนเครื่องปักฉบับของกรมศิลปากร ในชั้นหลังจะมี เครื่องแต่งกายเพิ่มขึ้นมากมาย การห่มผ้าสีแดงมีหลายรูปแบบ เช่น ห่มผ้าไว้ใต้สังวาลย์ บ้างห่มไว้ใต้กรองคอ หรือห่มทับเครื่องประดับเลย เป็นต้น แล้วแต่ลีลาของผู้แสดง 2. ฉุยฉายทศกัณฐ์ (ตัว) ปลอม ความเป็นมา (ในบทรามเกียรติ์) เป็นตอนหนึ่งจากรามเกียรติ์เกี่ยวกับกลศึกคือ หนุมานปลอมเป็นทศกัณฐ์ เพื่อจะไปทำลายพิธีหุงน้ำ ทิพย์ เนื้อความกล่าวถึงบุคลิกลักษณะส่วนตัวของพญาลิง คือหนุมาน ซึ่งพยายามรักษามรรยาทให้ดูผึ่งผาย องอาจเพื่อให้เห็นว่าเป็นทศกัณฐ์ตัวจริง แต่ก็อดที่จะแสดงกิริยาของลิงโดยการเล่นแมลงวันและอดใจไว้ไม่เกา อันเป็นกำเนิดเดิมมิได้ การร่ายรำของหนุมานซึ่งปลอมเป็นทศกัณฐ์ในชุดนี้ สนับสนุนในคำพังเพยที่ว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาบอกสกุล” ทั้งนี้เพราะตลอดเวลาของการเคลื่อนไหวการร่ายรำของหนุมานที่ปลอมร่างกายได้เหมือน ทศกัณฐ์นั้น แม้หนุมานจะได้พยายามรักษาท่าทางให้องอาจผึ่งผายเยี่ยงทศกัณฐ์แล้วก็ตาม แต่ก็อดที่จะแสดง กิริยาท่าทางแบบลิงอันเป็นสัญชาตญาณเดิมของตนมิได้ เช่น มีการเกา ทำท่าลิง ปัดแมลงวัน ลุกลี้ลุกลน ฯลฯ เนื่องด้วยการร่ายรำในชุดฉุยฉายทศกัณฐ์ (ตัว) ปลอม ซึ่งเป็นท่าลิงผสมกับท่ายักษ์ อันเป็นนาฏศิลป์ที่ น่าดูมากชุดหนึ่ง ซึ่งผู้รำจะต้องประยุกต์ความเข้มแข็งของท่าเหลี่ยมและวงของยักษ์กับท่าลุกลี้ลุกลนของลิงให้ ผสมผสานกันให้ได้ บทร้องฉุยฉายทศกัณฐ์ (ตัว) ปลอม ฉุยฉายเอย จะไปไหนนิดก็กรีดกราย หนุมานทหารนารายณ์ เจ้าช่างแปลงกายเป็นทศกัณฐ์
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 10 งามพร้อมละม่อมเหมาะ จะหย่องจะเหยาะก็น่ารัก ฯ ฉุยฉายเอย จะไปไหนหน่อยก็ลอยชาย เยื้องย่างเจ้าช่างกราย ไปหาโฉมฉายมณโฑนงนุช กิริยาเจ้าน่าขัน ยืนเล่นแมลงวันอยู่อุตลุด ฯ ร้องแม่ศรี ทศศีร์เอย ทศศีร์วายุบุตร องอาจผาดผุด ดูดุจพระยายักษ์ วางปึ่งผึ่งผาย ให้ละม้ายทศพักตร์ น่าชมสมศักดิ์ แต่เผลอพยักขู่เอย ฯ ยักษีเอย ยักษีจำแลง ท่าทางกล้องแกล้ง กรุ้งกริ่งพริ้งเพรา แม้จะคันฉันใด ก็หักใจไม่เกา มุ่งหานงเยาว์ โฉมเจ้ามณโฑเอย ฯ ฯ เพลงเร็ว ฯ ความงดงามในลีลาชุดรำฉุยฉายทศกัณฐ์ (ตัว) ปลอม ศิลปะการร่ายรำในชุดนี้จึงได้ผนวกท่าทางผึ่งผายของทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นหัวหน้ายักษ์แห่งกรุงลงกา กับ ท่านพญาลิง คือหนุมานทหารเอกของฝ่ายพระรามเข้าด้วยกัน ท่ารำจึงมีความผึ่งผายปนกับลักษณะขบขันซึ่ง น่าดูไปอีกแบบหนึ่งในความงดงามชุดรำฉุยฉายทศกัณฐ์ปลอม 3. ฉุยฉายเบญกายแปลง ความเป็นมา (ในบทรามเกียรติ์) เบญกายเป็นลูกสาวพิเภก และเป็นหลานอาของทศกัณฐ์ พญายักษ์เจ้ากรุงลงกา ซึ่งขณะนั้นทศกัณฐ์ ทราบข่าวศึกที่พระรามเสด็จกรีธาทัพมาทำศึกเพื่อเอานางสีดาคืน จึงคิดตั้งอุบายตัดกำลังศึกโดยใช้ให้นาง เบญกายผู้เป็นหลานแปลงตัวเป็นสีดา ทำเป็นว่าตายลอยน้ำไปยังพลับพลาของพระราม เพื่อให้พระรามเข้าใจ ว่านางสีดาตายจะได้ให้เลิกทัพกลับไป ในบทนี้จึงสมมุตินางเบญกายแปลงเป็นสีดาพรรณนาถึงแต่งกาย เพื่อไปเฝ้าทศกัณฐ์ให้ดูว่านางซึ่งเป็น หลานแปลงกายเหมือนนางสีดาหรือไม่ ฉะนั้น การรำชุดนี้เป็นการรำฉุยฉายชุดสวยงามมากอีกชุดหนึ่ง บทร้องฉุยฉายเบญกายแปลง 1. ฉุยฉายเอย จะไปไหนนิดเจ้าก็กรีดกราย เยื้องย่างเจ้าช่างแปลงกาย ละเมียดละม้ายสีดานงลักษณ์ ถึงพระรามเห็นทรามวัย จะฉงนพระทัยให้อะเหลื่ออะหลัก ฯ 2. งามนักเอย ใครเห็นพิมพ์พักตร์ก็จะรักจะใคร่
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 11 หลับก็จะฝันครั้นตื่นก็จะคิด อยากเห็นอีกสักนิดหนึ่งให้ชื่นใจ งามคมดุจคมศรชัย ถูกนอกทะลุในให้เจ็บอุรา ฯ ร้องแม่ศรี แม่ศรีเอย แม่ศรีรากษสี แม่แปลงอินทรีย์ เป็นแม่ศรีสีดา ทศพักตร์มลักเห็น จะตื่นจะเต้นในวิญญาณ์ เหมือนล้อเล่นให้เป็นบ้า ระอาเจ้าแม่ศรีเอย ฯ อรชรเอย อรชรอ้อนแอ้น เอวขาแขนแมน แม้นเหมือนกินรี ระทวยนวยนาด วิลาสจรลี ขึ้นปราสาทมณี เฝ้าพระปิตุลาเอย ฯ ฯ เพลงเร็ว ฯ ความงดงามในลีลาฉุยฉายชุดเบญกายแปลง นับได้ว่าเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่ผู้รำเป็นนางสีดาตัวปลอม แต่งองค์ทรงเครื่องตามบัญชาของทศกัณฐ์ที่ คิดจะใช้กลอุบายในการทำศึกให้พระรามเข้าใจผิด ฉะนั้น บทฉุยฉายเบญกายแปลงจึงถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อให้ นางเบญกาย แปลงองค์โดยใช้กิริยาท่าทางใส่จริตพยายามให้เหมือนและเป็นสีดาให้ได้ เมื่อแปลงเสร็จก็ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าอา ดังกล่าวมาแล้ว 4. ฉุยฉายอินทรชิตแปลง ความเป็นมา (ในบทรามเกียรติ์) อินทรชิดเป็นโอรสของทศกัณฐ์ ได้แปลงตัวเป็นพระอินทร์เพื่อไปลวงพระลักษณ์และกองทัพวานร ฉะนั้น ท่ารำฉุยฉายในบทนี้จึงเป็นลักษณะการรำแบบฉุยฉายพระจากการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์อีกบทหนึ่ง ตัวแสดงเป็นยักษ์รับบทแปลงกายเป็นพระอินทร์เจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บทร้องฉุยฉายอินทรชิดแปลง 1. ฉุยฉายเอย ช่างเบือนบิดนิมิตกาย เยื้องยาตรนาดกรกราย งามเฉิดฉายเป็นหนักหนา เหมือนราวกับรูปที่ช่างแกะ งามจริงเทียวแหละเหมือนเจ้าเทวา ฯ 2. ฉุยฉายเอย ช่างบิดเบือนได้เหมือนหมาย โฉมเฉิดเลิศโฉมชาย รูปยักษ์หายไปจนหมด อรชรอ้อนแอ้นเอวกลม ดูช่างน่าชมสมเกียรติยศ ฯ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 12 ร้องแม่ศรี 1. ยักษีเอย ยักษีจำแลง รูปร่างกล้องแกล้ง ดูขำดูคม ใครเห็นถูกจิต ต้องติดอารมณ์ งวยงงหลงงม ชมยักษีเอย ฯ 2. ยักษีเอย ยักษีแสนสวย เอวอ่อนระทวย สำรวยทั่วตน ช่างเหมือนอมรินทร์ ปิ่นฟ้าเวหน ชะช่างทำกล จริงยักษีเอย ฯ เพลงเร็ว ฯ ความงดงามของชุดฉุยฉายอินทรชิตแปลง บทขับร้องเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 งานพระราช นิพนธ์ที่มีใจความพรรณนาถึงความสวยงามและท่านวยนาดกรีดกรายของตัวละคร คลอเคล้าไปกับเสียงปี่ เช่นเดียวกับฉุยฉายประเภทอื่นดังได้กล่าวมาแล้ว บทพระราชนิพนธ์นี้พรรณนาถึงความสวยงามกรีดกรายของตัวละครที่แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นพระ อินทร์ว่าทำได้เหมือนกับพระอินทร์เสียเหลือเกิน 5. ฉุยฉายพราหมณ์ ความเป็นมา (ในบทรามเกียรติ์) แม้การแสดงในชุดฉุยฉายจะแพร่หลายมาก แต่ก็มีหลายท่านที่ไม่ทราบที่มาของบทฉุยฉาย ว่าเป็นบท ประพันธ์หรือพระราชนิพนธ์ของท่านผู้ใด แต่งขึ้นด้วยจุดประสงค์อย่างไร และเนื้อหาของเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับ อะไรบ้าง ความสงสัยเหล่านี้บางครั้งก็ไม่ทำให้นาฏศิลป์ไทยได้รับความนิยมชมชอบเท่าที่ควร ฉุยฉายพราหมณ์ เป็นตอนหนึ่งในบทละครเบิกโรง เรื่องพระคเณศเสียงาพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนิพนธ์ขึ้นจากตำนานทางเทพเจ้าโดยสมมุติให้พระนารายณ์แปลง เป็นพราหมณ์ไปเฝ้าพระอิศวรและพระอุมา บทร้องฉุยฉายพราหมณ์ ฉุยฉายเอย ช่างงามขำช่างรำโยกย้าย สะเอวแสนอ่อนอรชรช่วงกาย วิจิตรยิ่งลายที่คนประดิษฐ์ สองเนตรคมขำแสงดำมันขลับ ชม้อยเนตรจับช่างสวยสุดพิศ ฯ สุดสวยเอย ยิ่งพิศยิ่งเพลินเชิญให้งงงวย งามหัตถ์งามกรช่างฟ้อนระทวย ช่างนาดช่างนวยสวยยั่วนัยนา ทั้งหัตถ์ทั้งกรก็ฟ้อนถูกแบบ ดูยลดูแยบสวยยิ่งเทวา ฯ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 13 ร้องแม่ศรี น่าชมเอย น่าชมเจ้าพราหมณ์ ดูทั่วตัวงาม ไม่ทรามจนนิด ดูผุดดูผ่อง เหมือนทองทาติด ยิ่งเพ่งยิ่งพิศ ยิ่งคิดชมเอย ฯ น่ารักเอย น่ารักดรุณ เหมือนแรกจะรุ่น จะรู้เดียงสา เจ้ายิ้มเจ้าแย้ม แก้มเหมือนมาลา จ่อจิตติดตา เสียจริงเจ้าเอย ฯ ฯ เพลงเร็ว ฯ ความงดงามในลีลาชุดฉุยฉายพราหมณ์ บทร้องมีใจความพรรณนาถึงความสวยงาม และท่าทีนวยนาดกรีดกรายของตัวละคร พระราชนิพนธ์ บทนี้ ทรงบรรจุคำไว้อย่างไพเราะซาบซึ้งด้วยรสวรรณคดีแล้ว ยังเหมาะสมเป็นบทท่ารำนาฏศิลป์ด้วย ช่วยให้ เกิดสื่อความหมายทางนาฏการได้อย่างดีที่สุด ลีลาการรำฉุยฉายจึงได้รับการยกย่องให้เป็นนาฏการชั้นสูงที่คน ส่วนมากรู้จักกันดี ทั้งในแง่ของลีลาการร่ายรำ และการแต่งกายในรูปแบบของละครไทย จนในวงการศิลปิน อาชีพได้นำมาสร้างเป็นละครและภาพยนตร์กันหลายครั้ง กระบวนท่ารำที่คุณครูส่องชาติรำของเจ้าคุณครู (ท่านพระยานัฏกานุรักษ์) ในสมัยเมื่อนานมาแล้วนั้น ท่านเล่าว่าคุณครูลมุลได้พาไปหาพระยานัฏกานุรักษ์เพื่อ ขอท่าฉุยฉายพราหมณ์เพื่อเล่นปะหน้าในโรงละคร ท่าจะเป็นลักษณะแบบโขนเมื่อผู้หญิงมารำจะดูแล้วแข็ง ไม่ มีความอ่อนช้อย คุณครูลมุล จึงกราบเรียนเจ้าคุณครูขอปรับท่าให้มาทางละคร พระยานัฏกานุรักษ์ท่าน อนุญาต ท่ารำดังกล่าวจึงเป็นในฉบับที่ใช้เรียนกันต่อมา แต่ฉบับที่เรียน ณ ปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่ฉบับของคุณครูลมุล แล้ว โดยปัจจุบันใช้ฉบับของคุณครูสะอาด แสงสว่าง (เสาวรักษ์ ยมะคุปต์, สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม 2565) เนื้อความในบทฉุยฉายพราหมณ์นั้น ได้กล่าวถึงความงดงามของตัวผู้รำตลอดจนท่าทีการร่ายรำไปตาม บทซึ่งผู้ประดิษฐ์แต่งเอาไว้ การรำได้พรรณนาชมความงามของเนตรและการชม้อยความงามของหัตถ์ที่กำลัง ฟ้อนดูอ้อนแอ้นอ่อนระทวยนวยนาด ทั้งท่ารำถูกแบบแผน ไม่มีที่ติ ความน่ารักของดรุณผู้ไร้เดียงสานั้น เมื่อ เวลาแย้มยิ้ม จึงทำให้เป็นที่ประทับจิตประทับใจเสียยิ่งนัก ตามบทพระราชนิพนธ์ดังกล่าวมาแล้ว บทฉุยฉายที่กล่าวมาแล้วทั้งห้าชุดนี้ จะเห็นความแตกต่างของตัวละครในลีลาของการแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ซึ่งมีตัวแสดงเป็น พระ นาง ยักษ์ และลิง นอกจากนั้นก็เป็นฉุยฉายพราหมณ์ ซึ่งตัวละครมิใช่อยู่ใน เรื่องรามเกียรติ์ ส่วนลีลาของฉุยฉายเรื่องรามเกียรติ์ จะขอแยกให้เห็นได้ดังนี้ พระ คือ พระอินทร์ ซึ่งผู้แปลงกายคือ อินทรชิต แปลงองค์เพื่อไปตัดกำลังทัพของพระลักษมณ์ นาง คือ สีดา ซึ่งผู้แปลงกายคือ นางเบญกาย ในชุดเบญกายแปลงเป็นสีดา ยักษ์ คือ ทศกัณฐ์ แต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อไปหานางสีดาที่ตนลักพามาไว้ในสวนขวัญ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 14 ลิง คือ ทศกัณฐ์ ผู้แปลงกายคือ หนุมาน ปลอมไปลวงนางมณโฑ นอกจากนั้นยังมีชุดรำฉุยฉายอื่น ๆ เช่น ฉุยฉายไกรทอง ฉุยฉายเพลงปี่ ฉุยฉายบุเรงนอง และฉุยฉายที่ คิดประดิษฐ์คำร้องที่ใช้รำขึ้นใหม่ ฉุยฉายเซลฟี่ และ Meta Selfie ออก ฉุยฉาย การสร้างสรรค์ลีลาท่าทางในการแสดงชุด Meta Selfie ออก ฉุยฉาย เกิดขึ้นในงานพิธีเปิดนิทรรศการ ภาพถ่าย นานาชาติ “Meta Selfie หลากหลายตัวตนคนเซลฟี่” วันที่ 4 เมษายน 2560 ณ หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร หลักพื้นฐานในการสร้างสรรค์การแสดงในพิธีเปิดจำ เป็นต้องสอดรับถ่ายภาพแบบเซลฟี่ (Selfie) ที่ได้แสดงให้เห็นถึงการ มีปฏิสัมพันธ์หรือความผูกพันระหว่างบุคคลนั้นกับบุคคลอื่นหรือกลุ่มสังคม ต่าง ๆ ที่เขาได้ร่วมสังกัดอยู่ และเผยแพร่สู่สังคมออนไลน์ ในฐานะผู้สร้างสรรค์การแสดง จึงสื่อสารมุมมอง ดังกล่าวผ่านรูปแบบของการแสดงร่วมสมัย เพื่อนำ เสนอถึงความหลากหลายของตัวตนผ่านกิจกรรมการ ถ่ายภาพแบบเซลฟี่ (Selfie) อีกหนึ่งแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์การแสดงชุดนี้คือ ผลงานชุด“ฉุยฉายเซล ฟี่” ซึ่งถือกำ เนิดขึ้นโดย อาจารย์ธรรมจักร พรหมพ้วย อาจารย์ประจำ คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัย รามคำแหง เป็นผู้ออกแบบท่ารำ และชุดการแสดง ส่วนคำ ร้อง และแนวคิด โดยอาจารย์อานันท์ นาคคง หัวหน้าวงดนตรีไทยร่วมสมัย “กอไผ่” บรรเลง และจัดแสดงโดยออกอากาศครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบี เอส (ThaiPBS) ในรายการ ดนตรี กวี ศิลป์ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2558 ในการนี้ผู้สร้างสรรค์ได้รับความ อนุเคราะห์จากอาจารย์ทั้งสองท่านในการนำ “ฉุยฉาย เซลฟี่” มาพัฒนา และทดลองการนำ เสนออีกครั้ง วณิชชา ภราดรสุธรรม (2560) ได้ศึกษาเรื่องการสร้างสรรค์การแสดงชุด “Meta Selfie ออกฉุยฉาย” นำ เสนอในรูปแบบนาฏศิลป์ร่วมสมัย โดยผสมผสานเทคโนโลยีในสังคมการสื่อสารออนไลน์เฟซบุ๊ก (Facebook LIVE) มีขั้นตอนการพัฒนาผลงานสร้างสรรค์ ดังนี้ (1) การกำหนดความคิดหลักและขอบเขต เนื้อหา (2)การกำ หนดรูปแบบของการแสดง (3) การเลือกสรรดนตรี(4) การสร้างสรรค์ลีลาท่าทาง (5) การ คัดเลือกนักแสดงและฝึกซ้อม (6) การออกแบบคัดสรรเครื่องแต่งกาย และ(7) การนำเสนอผลงานสร้างสรรค์ การแสดงแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงที่ 1 “หลากหลายตัวตน” (Meta Selfie)ดึงรูปแบบของการเต้นแจ๊ส และการเต้นบีบอย ซึ่ง แสดงออกถึงความสนุกสนานของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและสากล ช่วงที่ 2 “ออกฉุยฉาย” ดึงรูปแบบนาฏศิลป์ไทย(การรำ ไทย) การตีบท การเคลื่อนไหวท่าทาง รูปแบบการแสดงแบบตาโบล์วิวอง (Tableau vivant) หรือนาฏศิลป์จินตภาพ เนื้อเพลง ฉุยฉายเซลฟี่ (ตัด)
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 15 คำร้องโดย อาจารย์อานันท์ นาคคง ทำนอง เพลงฉุยฉาย ฉุยฉายเอย แสนจำแลงแต่งองค์ เครื่องทรงงามสง่า สมาร์ตโฟน วิไล ดีไซน์โสภา ได้ใหม่จ่ายมา แนวหน้าอิน เทรน จะเยื้อง จะย่างทางโน้น ทางนี้ เฟซบุ๊ก ไอจี ต้อง มีคนเห็น แซ่บ สวย เอย ยิ่งโพสต์ ยิ่งเพลิน เชิญชาว โลกทัศนา กดไลก์ รัวๆ แชร์ทั่วธารา สังคมก้มหน้า มวลมหาแฟนคลับ มุมโน้น ณ มุมนี้ แหนะ เซลฟี่กระ หนํ่า เสริมแอ๊ป สวยลํ้า คมขำ งามสรรพ (ตัดจบ) ความน่าสนใจของการแสดงชุดนี้ เนื้อหาของการแสดงเป็นการเสียดสีสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป มุ่งเน้นที่การใช้มือถือในปัจจุบันและการ ชื่นชมความงามของตัวเองบนโลกออนไลน์มากกว่าการรำฉุยฉายแบบเดิมที่มีมา ส่วนท่ารำของการแสดงชุดนี้ ตั้งแต่การออกแบบท่ารำในครั้งแรกไม่ได้มีการกำหนดท่าที่เฉพาะตายตัว ผู้สร้างสรรค์ให้นักแสดงแต่ละท่าน สร้างสรรค์ท่าตามบทบาทของตนเอง แล้วรำให้พร้อมกันในท่ารับต่าง ๆ อย่างไรก็ตามในการแสดงทั้ง 3 ครั้งมี การปรับเปลี่ยนท่ารำให้เหมาะสมกับโอกาสของงานและสถานที่แสดง แต่ Concept หลักและเนื้อร้องทำนอง เพลงต่างๆของชุดการแสดงนี้ยังคงเหมือนเดิม โดยมีประเด็นความเปลี่ยนแปลงของท่ารำนั้น ตั้งแต่ต้นเป็นการ สร้างงานตามสถานการณ์และผู้สร้างสรรค์ไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดการผลิตซ้ำ หากแต่มีนักเรียน นักศึกษาที่ให้ความ สนใจและนำไปทำการแสดง หรือนำไปต่อยอดในแง่ของการสร้างงานอยู่บ้าง เช่น ในครึ่งแรกของการแสดง ยังคงเป็นรูปแบบของฉุยฉายเซลฟี่ แต่ในครึ่งหลังได้ออกแบบให้เป็นงาน contemporary เป็นต้น (ธรรมจักร พรหมพ้วย, สัมภาษณ์, 17 ตุลาคม 2565) 2. การรำคู่ แบ่งตามเนื้อหาหรือลักษณะการรำ มี 2 ประเภท คือ 1. รำคู่ในเชิงศิลปะการต่อสู้ ไม่มีบทร้อง 2. รำคู่ในชุดสวยงาม จากบทประพันธ์ในวรรณคดีบางเรื่องบางตอนและชุดที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่มีบท ร้องและใส่ทำนองเพลง 1. รำคู่ในเชิงศิลปะการต่อสู้ การต่อสู้มีทั้งเชิงรับและรุก ฉะนั้นในด้านศิลปะผู้ฝึกจะต้องฝึกทั้ง 2 อย่าง ในเวลาเดียวกัน เช่น ถ้าในเพลงนั้นจะรับในท่าใด คู่รำจะต้องมีท่ารุกที่สัมพันธ์กันอย่างดี จึงจะเกิดความ สวยงามทั้งศิลปะประเภทการต่อสู้ในเชิงนาฏศิลปะและที่ตื่นเต้น หวาดเสียว ขอยกตัวอย่างรำกริช รำกริชเดิมเป็นศิลปะของอินโดนีเซีย เพราะถือว่ากริชเป็นทั้งอาวุธสำคัญและเครื่องประดับอันสว่างาม สูงส่ง เช่นเดียวกับชาวยุโรปนิยมห้อยกระบี่เมื่อศตวรรษที่ 18 และชาวมลายูเองก็ถือคติว่าผู้เป็นชายจำต้องมี
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 16 สมบัติ 3 อย่าง คือ มีบ้านดี มีเมียดี และมีกริชดี คนมลายูจึงมีวิธีและท่าทางในการฝึกเพลงกริช และเมื่อรัชกาล ที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์อิเหนา จึงมีบทบางตอนเกี่ยวกับเพลงกริชในตัวละครดังนี้ “อันเพลงกริชชวามลายู กูรู้สันทัดไม่ขัดสน คิดแล้วชักกริชฤทธิรณ ร่ายรำทำกลมารยา กรขวานั้นกุมกริชกราย พระหัตถ์ซ้ายนั้นถือเช็ดหน้า เข้าปะทะประกริชด้วยฤทธา ผัดผันไปมาไม่ครั่นคร้าม” การรำคู่ในเชิงศิลปะการต่อสู้ ได้แก่ กระบี่กระบอง ดาบสองมือ โล่ ดาบ เขน ดั้ง ทวน และรำกริช ดังกล่าวแล้ว รวมทั้งมวยไทยทั้งชั้นเชิงศิลปะและการต่อสู้ แต่ละชุดการแสดงเป็นการรำไม่มีบทร้องสามารถ นำมาใช้สลับฉากในการแสดงเพื่อความงดงามของศิลปะรำคู่เชิงต่อสู้ 2. รำคู่ในชุดสวยงาม การรำคู่ชนิดนี้มักจะได้รับความนิยมจากคนดูมากกว่าชุดอื่น ๆ ทั้งนี้ เพราะท่า รำในการรำจะต้องประดิษฐ์ให้สวยงาม ทั้งท่ารำที่มีคำร้องตลอดชุด หรือมีบางช่วง เพื่อให้เห็นความงดงามของ ลีลาท่ารำ มีบทร้องและใช้ท่าทางแสดงความหมายให้สอดคล้องกับบทในตอนนั้น ๆ รำดอกไม้เงินดอกไม้ทอง ประวัติ รำดอกไม้เงินดอกไม้ทอง เป็นระบำประเภทรำคู่ แสดงในโอกาสเบิกโรงอย่างหนึ่ง ซึ่งเข้าใจ กันว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐ์ดัดแปลง มาจากการรำ “ประเลง” เป็นการรำเบิกโรงของละครไทยมาแต่โบราณ ตรงกับการแสดงที่เรียกว่า “ปูรฺวรรค” ของละครสันสกฤต และตรงกับประวัติการละครสากลที่เรียกว่า Prelude หรือ Prolotue ของฝรั่งก็น่าจะ เป็นได้ ซึ่งมือถือกำหางนกยูง สมมุติเป็นเทพบุตร และเทพธิดารำดอกไม้เงินทอง เพื่อเป็นสิริมงคลและเชิดชู เกียรติ แต่เดิมรำบทเชิดฉิ่งเทพบุตรก่อนแล้วจึงจะรำบทฉุยฉาย ต่อมาอาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ และอาจารย์ เฉลย ศุขะวณิช ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย ของวิทยาลัยนาฏศิลปได้นำมาฝึกซ้อมนักเรียนของ วิทยาลัยเพื่อจัดทำกิจกรรมจึงได้คัดลอกจัดทำบทรำเฉพาะบทฉุยฉายและแม่ศรีให้เหมาะสมกับเวลาแสดง ผู้รำแต่งกายเป็นพระแบบละครไทยชุดใหญ่จำนวนสองคน มือถือดอกไม้เงินดอกไม้ทองข้างละมือ โดย มีพระราชประสงค์ให้เป็นสิริมงคลแก่งาน ดังบทพระราชนิพนธ์ดังต่อไปนี้ บทร้องรำดอกไม้เงินดอกไม้ทอง เมื่อนั้น ไท้ท้าวเทพบุตรบุรุษสอง สองมือถือดอกไม้เงินทอง ป้องหน้าออกมาว่าจะรำ เบิกโรงละคอนในให้ประหลาด มีวิลาสน่าชมคมขำ ท่าก็งามตามครูดูแม่นยำ เป็นแต่ทำอย่างใหม่มิใช่ฟ้อน หางนกยูงอย่างเก่าเขาเล่นมาก ไม่เห็นหลากจืดตามาแต่ก่อน คงแต่ท่าไว้ให้งามตามละคอน ที่แต่งตนก้นไม่งอนตามโบราณ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 17 รำไปให้เห็นเป็นเกียรติยศ ปรากฏทุกตำแหน่งแหล่งสถาน ว่าพวกฟ้อนฝ่ายในใช้ราชการ สำหรับพระภูบาลสำราญรมย์ ย่อมช่วงใช้ดอกไม้เงินทอง ไม่เหมือนของเขาอื่นมีดื่นถม ถึงผิดอย่างไปใครจะไม่ชม ก็ควรนิยมว่าเป็นมงคลเอย การแต่งกาย - ยืนเครื่องพระ แขนสั้น อุปกรณ์ประกอบการแสดง - กิ่งไม้เงิน-ทอง มือขวาถือกิ่งไม้ทอง มือซ้ายถือกิ่งไม้เงิน บทร้องกิ่งไม้เงินทอง (พระ) ปี่พาทย์ทำเพลง-กลม-ส่งเชิดฉิ่ง -ร้องเพลงเชิดฉิ่งเมื่อนั้น ไทท้าวเทพบุตรบุรุษสอง สองมือถือดอกไม้เงินทอง ป้องหน้าออกมาว่าจะรำ - รับ - เบิกโรงละครในให้ประหลาด มีวิลาศน่าชมคมขำ ท่าก็งามตามครูดูแม่นยำ เป็นแต่ทำอย่างใหม่มิใช่ฟ้อน - รับ - หางนกยูงอย่างเก่าเขาเล่นมาก ไม่เห็นหลากจืดตามาแต่ก่อน คงแต่ท่าไว้ให้งามตามละคร ที่แต่งตนก้นไม่งอนเหมือนโบราณ - รับ - รำไปให้เห็นเป็นเกียรติยศ ปรากฏทุกตำแหน่งแหล่งสถาน ว่าพวกฟ้อนฝ่ายในใช้ราชการ สำหรับพระภูบาลสำราญรมย์ - รับ – ย่อมช่วงใช้ดอกไม้เงินทอง ไม่เหมือนของเขาอื่นมีดื่นถม ถึงผิดอย่างไปใครเลยจะไม่ชม ควรนิยมว่าเป็นมงคลเอย -ปี่พาทย์ทำเพลงเชิดจีนตัว 3- รำฉุยฉายกิ่งไม้เงิน-ทอง (นาง) เป็นการแสดงเบิกโรง นาฏศิลป์ที่มีลีลาแตกต่างไปจากรำกิ่งไม้เงินทอง ที่วิวัฒนาการมาจากประเลง ของเก่า บทร้องที่นำมารวบรวมไว้ในครั้งนี้นายปัญญา นิตยสุวรรณ ได้จดมาจากคำบอกเล่าของอาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ และอาจารย์เฉลย ศุขะวณิช ซึ่งทั้งสองท่านนี้ได้เคยรำมาแล้วเมื่อสมัยเป็นข้าหลวงอยู่ในวังของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา การแสดงชุดนี้จะแสดงต่อจากการรำเบิกโรงกิ่งไม้เงิน – ทอง ซึ่งผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่องพระจบลง แล้ว ปี่พาทย์จะบรรเลงฉุยฉายเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นลีลาการรำของทั้งพระและนางว่ามีความสามารถไม่ยิ่ง หย่อนกว่ากัน บทเพลงเบิกโรงฉุยฉายนี้ มี 2 ฉบับ คือ บทเต็มฉบับหนึ่งและบทอย่างย่อ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 18 บทขับร้องใช้ทำนองเพลงฉุยฉาย 1 บท เพลงแม่ศรี 2 บท ไม่มีการร้องทวนบทและไม่มีปี่เป่ารับทวน บท เป็นการร้องที่เรียกกันในวงการดนตรีและนาฏศิลป์ว่า “ฉุยฉายพวง” เสาวรักษ์ ยมะคุปต์ (สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม2565) กล่าวว่า กระบวนท่ารำในด้านการเรียนและด้านการแสดงมีความแตกต่างกันเป็นบางท่า หาก เป็นการเรียนการสอนของวิทยาลัยนาฏศิลปจะเป็นท่ารำหลัก ๆ ในขณะที่ทางด้านการแสดงจะมีเทคนิค บางอย่างเพิ่มเข้ามาเพื่อให้มีความสวยงามขึ้น การแต่งกาย - ยืนเครื่องนาง ศิราภรณ์รัดเกล้ายอด ปี่พาทย์ทำเพลงรัว ร้องฉุยฉาย (พวง) ฉุยฉายเอย สองนางเนื้อเหลืองย่างเยื้องกรีดกราย ห่มผ้าหน้าปักชาย เครื่องในกายล้วนแต่ทอง งามครันเป็นขวัญตา เหมือนนางฟ้าลงมาทั้งสอง แม้ผู้ใดมีใจปอง มีหวังจะดองคนนั้นเอย ฉุยฉายเอย สองนางช่างกราย มือถือถวายกิ่งไม้ ข้างหนึ่งเงินข้างหนึ่งทอง เป็นของถวาย อย่างใหม่ เทิดพระเกียรติท่านไท้ กรุงไทยอยุธยา ให้พวกรุ่งเรือง เดชกระเดื่องทั่วเหล้า อ่าโถงโรงสภา ยิ่งกว่าโรงอื่นเอย ร้องแม่ศรี สองแม่ศรีเอย แม่งามหนักหนา เหมือนดังเทพธิดา ลงมากรายถวายกร รำเต้นเล่นดูดี ยิ่งกว่ามีมาแต่ก่อน เว้นแต่ท้ายไม่งอน ไม่เหมือนละครนอกเอย สองแม่เอย แม่งาม แม่งอน ยิ่งแมนแขนอ่อน อ้อนแอ้นประหนึ่งวาด ไหล่เหลี่ยมเสงี่ยมองค์ คิ้วเป็นวงผิวสะอาด ดังนางในไกรลาส ร่อนลงมารำเอย นอกจากนี้ ฉุยฉายกิ่งไม้เงิน-ทอง (นาง) จะมีอีกเนื้อร้องหนึ่ง ซึ่งนิยมรำกันในปัจจุบัน บทร้องรำฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง (บทย่อ) -ปี่พาทย์ทำเพลงรัวร้อยฉุยฉาย (พวง)
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 19 ฉุยฉายเอย สองนางเนื้อเหลืองย่างเยื้องกรีดกราย ห่มผ้าหน้าปักชาย ผันผายมาเบิกโรง มือถือกิ่งไม้เงินทอง เป็นของสง่าอ่าโถง ได้ฤกษ์งามยามโมง จะชักโยงคนมาดู การฟ้อนละครใน มิให้ผู้ใดมาเล่นสู้ ล้วนอร่ามงามตรู เชิดชูพระเกียรติเอย -ปี่พาทย์ รับ- -แม่ศรี- สองแม่เอย แม่งามหนักหนา เหมือนหนึ่งเทพธิดา ลงมากรายถวายกร รำเต้นเล่นดูดี ยิ่งกว่ามีมาแต่ก่อน เว้นแต่ท้ายไม่งอน ไม่เหมือนละครนอกเอย -ปี่พาทย์ รับสองแม่เอย แม่งาม แม่งอน มือแมนแขนอ่อน อ้อนแอ้นประหนึ่งวาด ไหล่เหลี่ยมเสงี่ยมองค์ คิ้วเป็นวงผิวสะอาด ดังนางในไกรลาส ร่อนลงมารำเอย -ปี่พาทย์ รำ- รำฉุยฉายกิ่งไม้เงิน-ทอง (นาง) ที่มา กชกร เทศถมยา
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 20 รำพระรามตามกวาง โขน เรื่องรามเกียรติ์ ชุดพระรามตามกวาง นี้เป็นตอนสำคัญตอนหนึ่ง ที่บรรยายถึงเหตุการณ์เมื่อ ทศกัณฐ์ใช้ให้ “มารีจ” พระยายักษ์ผู้มีฤทธิ์ตนหนึ่งแปลงกายเป็นกวางทองมาล่อลวงให้พระรามออกไปจาก ศาลาและทิ้งนางสีดาไว้ลำพัง เพื่อเปิดโอกาสให้ทศกัณฐ์เข้าไปลักตัวนางสีดาไปกรุงลงกา พระรามไม่รู้ทันใน กลอุบายจึงออกติดตามกวางทองไปในป่า ครั้นรู้สึกสงสัยจึงใช้ศรยิงกวางทองล้มลง แต่กว่าจะได้รู้ข้อเท็จจริง นางสีดาก็ถูกลักพาตัวไปเสียแล้ว ท่ารำของพระรามและกวางทองที่ใช้เป็นแบบฉบับของท่ารำมาตรฐานใน ปัจจุบันนี้ ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี เป็นผู้คิดประดิษฐ์ขึ้น ส่วนบทร้องทะเลบ้า นายเสรี หวังในธรรม เป็นผู้แต่งเพิ่มเติม ในส่วนกระบวนท่ารำยังคงเดิม แต่มีรูปแบบการนำไปใช้แสดงที่แตกต่างกัน เช่น ในเพลงเชิด ฉาน ทางของวิทยาลัยนาฏศิลป กวางทองจะเดินตามทิศ แต่ของกรมศิลปากร เชิดฉานจะมีตัว 1 ตัว 2 ที่ต้อง เข้าเล่น เดินไม้ใหม่ หรือของวิทยาลัยนาฏศิลปะจะมีเพลงลา แต่ในขณะที่ของกรมศิลปากรไม่มี(เสาวรักษ์ ยมะคุปต์, สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม 2565) การแต่งกาย พระราม - ยืนเครื่องพระสีเขียวแขนยาว ห่มสไบ สวมศีรษะชฎา ยอดบวช ถือศร สะพายกระบอกศร กวางทอง - ยืนเครื่องพระสีเหลือง แขนสั้น หรือ - ยืนเครื่องพระแขนยาวสีเหลือง - ไม่ประดับอินทรธนู - สวมศีรษะกวาง บทร้องพระรามตามกวาง - ปี่พาทย์ทำเพลงรัว ร้องเพลงแขกไทร รูปทรง กุมภัณฑ์ ก็พลันหาย กลายเป็น กวางทอง ผ่องศรี เรืองรอง ผ่องสิ้น ทั้งอินทรีย์ ทั้งมี ด่างขาว ราวหิรัญ สองเขา มุกดา ดูวิเศษ สองเนตร นิลรัตน์ จัดสรร ทำที เยื้องกราย พรายพรรณ เดินไป ทางบรรณ ศาลา - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด, เชิดฉาน - - ร้องเพลง ทะเลบ้า - ราเมศร์ ตามคิด ชิดกระชั้น กวางผัน ล่อเล่น เผ่นผยอง ธ ยั้ง กวางเยื้อง ชำเลืองมอง โลดลำพอง เหยาะย่อ ล่อรามินทร์ พระแลเล็ง เพ่งพิศ ผิดสังเกต ทรงเดช จับศรศาสตร์ พาดคันศิลป์ น้าวเหนี่ยว ด้วยพลัง ทั้งกายิน ถูกกวางดิ้น วางวาย กลายเป็นมาร - ปี่พาทย์ทำเพลงรัว -
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 21 รจนาเสี่ยงพวกมาลัย ประวัติ การรำคู่ชุดนี้เป็นตอนหนึ่งในบทละครประเภทละครนอก เรื่องสังข์ทองซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งเป็นที่ทราบกันแล้วว่า พระองค์ เป็นขัตติยกวียอดเยี่ยมในการประพันธ์บทละคร เมื่อทรงนิพนธ์เป็นบทละครนอกแล้ว ได้โปรดเกล้าฯให้เจ้าฟ้า กรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระอนุชาของพระอัครมเหสีและบรมครูทางนาฏศิลป์ในท่ารำของพระสังข์ในบทพระ ราชนิพนธ์ตอนแปลงเป็นเงาะไว้ว่า สังข์ทองของพระองค์เป็นยงยิ่ง ทั้งชายหญิงหัดระบำทำทีท่า ต้องหัดเรื่องนี้ก่อนสอนกันมา เป็นตำราครูเปิดเชิดชูกัน ด้วยบทเงาะเราะรายคล้ายลิงยักษ์ ทั้งยากนักคล้ายกับบ้าท่าลั่นถัน ทั้งเป็นใบ้ใช้บทประชดประชัน ยากไม่บันรูปมนุษย์คุดอยู่ใน ถึงอิเหนารามเกียรติ์เรื่องเสียดสี โดยวิธีท่าทางต่างวิสัย ไม่ยากยิ่งกว่าเรื่องเงาะพิเคราะห์ไป ตลกในตัวพระยาท้าวสามล ฯ คำประพันธ์ข้างต้นนี้เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงความพอใจในการฝึกหัดรำเงาะ ท่ารำในชุดรจนาเสี่ยง พวงมาลัยว่ามีความงามในกระบวนท่าทางอย่างไร ซึ่งไม่จำเป็นต้องอธิบายซ้ำอีก เรื่องสังข์ทองนี้เป็นเรื่องที่ติดอกติดใจของประชาชนมาก โดยเฉพาะตัวพระเอก ซึ่งเป็นพระสังข์ทอง แกล้งปลอมแปลงมาแล้วทำเป็นบ้าใบ้ รจนาเห็นรูปทองจึงหมายปองเป็นคู่ครอง ทำความเจ็บช้ำให้กับผู้เป็น บิดา คือท้าวสมล ซึ่งผลต่อมาก็ทำบทเข้มข้นขึ้น โดยการใช้ความสามารถในเชิงวิชาความรู้หาเนื้อหาปลาเป็น การสนับสนุนการเกษตรไทยที่แข่งกันระหว่างลูกเขยทั้งเจ็ด ผลที่สุดพระสังข์ผู้มีวิทยาคมแกล้วกล้า ได้ใช้ ความสามารถจนกระทั่งพ่อตาเห็นใจ บทร้อง บทตอนรจนาเสี่ยงพวงมาลัย (พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2) มีบทร้องดังต่อไปนี้ เมื่อนั้น เจ้าเงาะแสนกลคนขยัน พิศโฉมพระธิดาวิลาวัลย์ ผุดผาดผิวพรรณดังดวงเดือน งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ นางในธรณีไม่มีเหมือน แสร้งทำแลเลี่ยงเบี่ยงเบือน ให้ฟั่นเฟือนเตือนจิตคิดปอง พระจึงตั้งสัตย์อธิษฐาน แม้บุญญาธิการเคยสมสอง ขอให้ทรามสงวนนวลน้อง เห็นรูปพี่เป็นทองต้องใจรัก เมื่อนั้น รจนานารีมีศักดิ์ เทพไทอุปถัมภ์นำชัก นงลักษณ์ดูเงาะเจาะจง
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 22 นางเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน เอารูปเงาะสวมไว้ให้คนหลง ใครใครไม่เห็นรูปทรง พระเป็นทองทั้งองค์อร่ามตา ชะรอยบุญเราไซร้จึงได้เห็น ต่อจะเป็นคู่ครองกระมังหนา คิดพลางนางเสี่ยงมาลา แม้นว่าเคยสมภิรมย์รัก ขอให้พวงมาลัยนี้ไปต้อง เจ้าเงาะรูปทองจงประจักษ์ เสี่ยงแล้วโฉมยงนงลักษณ์ ผินพักตร์ทิ้งพวงมาลัยไป นอกจากนี้ก็เป็นชุดพระนางในวรรณคดีต่าง ๆ ซึ่งจัดไว้แสดงเป็นตอน ๆ ให้เห็นศิลปะของการรำคู่ใน ลีลาต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นความงามในแบบอื่นดังกล่าวแล้ว ยังเป็นความงามในแบบของความรักอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ลักษณะการรำคู่และรำหมู่บางครั้งก็ต้องผสมผสานกัน เช่น รำวงมาตรฐานที่ใช้ผู้แสดงมากกว่า 1 คู่ 3. การรำหมู่ โดยปกติในด้านการแสดงมากกว่า 2 คนนั้นเราเรียกว่ารำหมู่ โดยนับเอาลักษณะของจำนวนคน ส่วนระบำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการรำหมู่ ชื่อการแสดงของรำหมู่มีทั้งรู้จักกันแพร่หลาย คือ รำโคม รำกระถาง รำพัด รำวง ทั้งเป็นมาตรฐาน และทั่ว ๆ ไป นอกจากนั้นก็มีการแสดงพื้นเมืองของชาวบ้านก็ถือเป็นการรำหมู่ได้เช่นกัน เช่น เต้นกำรำเคียว รำเหย่อย หรือรำกลองยาว ซึ่งต้องใช้ผู้แสดงทั้งหญิงและชายเป็นจำนวนมาก เราเรียกการรำชนิดนี้ว่ารำหมู่ รำเถิดเทิง รำเถิดเทิง หรือเรียกอีกอย่างว่ารำกลองยาว แต่เดิมเป็นการละเล่นของพม่าที่เข้ามาเผยแพร่ในยาม สงครามราวปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาคนไทยเห็นว่าจังหวะสนุกสนานเล่นง่ายเครื่องดนตรีที่คล้ายกัน จึง นำมาปรับใช้เล่นกันเป็นแบบไทย ๆ แต่ยังไม่มีแบบแผนในการแสดงแน่นอนมักเล่นในงานรื่นเริง เช่น ขบวนแห่ นาค ขบวนแห่ผ้าป่า กฐิน งานฉลอง ขบวนขันหมาก ผู้รำจะมีทั้งชาย และหญิง แต่งกายตามสบาย บางครั้ง อาจรำไปต้อนคนดูเข้ามาร่วมวงรำ ให้เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง ต่อมากรมศิลปากร ได้จัดทำการแสดงรำเถิดเทิงให้มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานทั้งในด้านของจังหวะการ ตีกลอง การรำ ตลอดจนการบรรเลงเพลงประสาน โดยยางลมุล ยมะคุปต์ และนางผัน โมรากุล ผู้เชี่ยวชาญ การสอนนาฏศิลป์ไทย โรงเรียนนาฏศิลป์ กรมศิลปากร (ปัจจุบันวิทยาลัยนาฏศิลปะ) ออกแบบท่ารำฝ่ายหญิง ส่วนนายโชติ ดุริยประณีต นายยอแสง ภักดีเทวา นายหยัด ช้างทอง นายฉลาด พกุลานนท์ นายชม้อย ธารีเธียร และนายกรี วรศะริน ร่วมกันออกแบบจังหวะกลอง และท่ารำฝ่ายชาย มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดุริยางค์ไทย กรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ปีพุทธศักราช 2528 กำหนดเพลงบรรเลงประสานจังหวะกลอง ต่อมาท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทย กรมศิลปากร และศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแดง (นาฏศิลป์ไทย) ปีพุทธศักราช 2528 ได้ปรับปรุงการ แสดงให้มีความวิจิตรยิ่งขึ้น ทำให้การแสดงชุดนี้ได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลายมากชุดหนึ่ง
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 23 รูปแบบ และลักษณะการแสดง การแสดงรำเถิดเทิง จะเป็นการแสดงรำหยอกล้อยั่วเย้าของฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง โดยมีการ ตีกลองยาวเป็นจังหวะ มีบ้างทีปรับรูปแบบเพื่อให้เหมาะกับการแสดง เสาวรักษ์ ยมะคุปต์ (สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม 2565) กล่าวว่า ในครั้งหนึ่งที่นำไปทำการแสดง ในท่าที่ผู้หญิงตีกลองอยู่กับที่ คุณครูศิริวัฒน์ท่านให้ เดินตีกลองตามรอบเป็นวงกลม ให้มีความสวยงาม พิสดารขึ้น เป็นต้น แต่กระบวนท่ารำยังคงเดิมประกอบการ รุกเร้า และเกี้ยวพาราสีกัน ซึ่งแสดงออกถึงความสนุกสนานรื่นเริงทั้งฝ่ายผู้บรรเลง ผู้แสดง และผู้ชม ในส่วน ของนักดนตรีประกอบจังหวะจะร้องเพลงประกอบ เป็นเพลงง่าย ๆ สั้น ๆ สนุกสนาน เนื้อหาไม่เป็นสาระ เพื่อ เพิ่มความฮึกเหิมสนุกสนานเร้าใจ ให้กับการแสดงชุดนี้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันสามารถแสดงแบบหญิงล้วน และปรับท่ารำได้ตามโอกาสและความเหมาะสมของงาน (บวรนรรฏ อัญญะโพธิ์, สัมภาษณ์, 5 กันยายน 2565) การแต่งกาย ผู้แสดงชาย นุ่งกางเกงขาสามส่วน สวมเสื้อคอกลม แขนสั้นระดับศอก มีผ้าคาดเอว และผ้าโพก ศีรษะ สีเสื้อผ้าเป็นชุดเดียวกัน ผู้แสดงหญิง นุ่งซิ่นมีเชิง ป้ายข้างยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนกระบอกคอตั้ง ห่มผ้าสไบอัดจีบ และ คาดเข็มขัดทับเสื้อ สวมเครื่องประดับสร้อยคอ สร้อยตัว และต่างหู ปล่อยผมทัดดอกไม้ทางด้านซ้าย อุปกรณ์ประกอบการแสดง - กลองยาว ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงกลองยาว และวงปี่พาทย์ไม้แข็ง (ใช้ปี่ชวาแทนปี่ใน) เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงพม่ากลองยาว หรือเรียกอีกชื่อว่า เพลงเงี้ยวเร็ว บทร้อง ตัวอย่างเพลงร้องที่ใช้แสดง เช่น 1. มาแล้วโหวย มาแล้ววา เสือออกจากป่าวิ่งมาโทง ๆ ตะละล้า กุ๋ย ฮา ..... 2. ต้อนเข้าไว้ เอาไปบ้านเรา บ้านเราคนจนไม่มีคนหุงข้าว เอาไปหุงข้าวให้พ่อเรากิน พ่อไม่อยู่ให้ปู่เรากิน ตะลาล้า 3. อีแต้ อีแต๋ว อีต๊ะ ตุ้งติ้ง (ซ้ำ) ทาหน้าทำตาเหมือนหมาหลอกลิง ตะลาล้า กุ๋ย ฮา 4. แฮ้ – แฮะ, แฮ้ – แฮะ ๆ ๆ, แช้ – แช้วับ ๆ ๆ (“แช้วับ” เข้าใจว่าเป็นคำร้องเลียนเสียงตีฉาบ มักใช้ร้องสอดตามจังหวะ) 5. มาแล้วโหวย มาแล้ววา มาแต่ของเขา ของเราไม่มา – ตะลาลา (หรือ) มาแล้วโหวย มาแล้ววา มาแต่ป่า รอยตีนโต (ก็มี) 6. ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว ใครมีลูกสาว มาแลกลูเขย อาวะเอาเหวย ลูกเขยกลองยาว (บางทีก็ต่อสร้อยด้วยว่า แฮ้ – แฮะ บ้าง, ตะละล้า บ้าง, แช้ – วับ บ้าง) 7. ยักคิ้วยักค่อยเสียหน่อยเทอะ ลอยหน้าลอยตาเสียหน่อยเทอะ (ซ้ำ)
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 24 8. เจ๊กตายลอยน้ำมา ไม่ได้นุ่งผ้า ชฎาแหลมเปี๊ยบ เป็นต้น โอกาสที่ใช้แสดง มักนิยมเล่นกันในงานตรุษงานสงกรานต์ หรือในงานแห่แหน ซึ่งต้องเดินเคลื่อนที่ เคลื่อนขบวน เช่น ในงานแห่นาค แห่พระ แห่ขันหมาก และแห่กฐิน เป็นต้น เคลื่อนไปกับขบวน พอถึงที่ตรงไหน เห็นว่ามีลาน กว้าง หรือเป็นที่เหมาะก็หยุดตั้งวงเล่นและรำกันเสียพักหนึ่ง แล้วก็เคลื่อนขบวนต่อไปใหม่ แล้วก็มาหยุดตั้งวง เล่นและรำกันอีก ถ้าขบวนที่จะผ่านไปเป็นย่านทางไกล ก็หยุดตั้งวงเล่นกันหลายพักหลายครั้งหน่อย รำสี่กษัตริย์ลงสรง การแสดงชุดนี้เป็นการแสดงที่มีกระบวนท่ารำงดงาม เป็นท่ารำที่มีมาแต่โบราณสืบทอดมาจนถึง ปัจจุบัน การรำเป็นการแสดงอวดฝีมือของผู้รำ อธิบายถึงการอาบน้ำ แต่งองค์ทรงเครื่อง การแสดงชุดนี้ผู้แสดง 4 คนรำพร้อมกัน ผู้รำต้องฝึกฝนอย่างจริงจัง และมีพื้นฐานการรำไทยเป็นอย่างดี จึงจะสามารถรำได้งาม บทที่ ใช้ประกอบการแสดง เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ซึ่งได้รับ การยกย่องว่าเป็นยอดแห่งบทละครรำ ตลอดจนเพื่อเป็นการแสดงรูปแบบและองค์ประกอบของการลงสรง ซึ่ง เป็นการอนุรักษ์ไม่ให้การแสดงสูญหาย หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบอันเป็นจารีตของนาฏศิลป์ไทย ตัวละคร ประกอบด้วย 1. ท้าวกะหมังกุหนิง 2. วิหยาสะกำ 3. ระตูปาหยัง 4. ระตูประหมัน การแต่งกาย - ยืนเครื่องพระ แขนสั้น ศิราภรณ์ ชฎา บทร้องรำสี่กษัตริย์ลงสรง -ปี่พาทย์ทำเพลงต้นเข้าม่าน- -ร้องเพลงลงสรงโทนสี่องค์สรงน้ำพิธีสนาน สุคนธารประทินกลิ่นบุหงา ต่างใส่สนับเพลารจนา ทรงภูษาแย่งยกกระหนกพัน เกราะเพชรเก็จกรองฉลององค์ เจียรบาดบรรจงทรงกระสัน คาดปั้นเหน่งพรรณรายสายสุวรรณ สลับคั่นประจำยามอร่ามเรือง ใส่สังวาลสำหรับรณรงค์ ทับทรวงทรงสายสร้อยห้อยเฟื่อง ตาบทิศทับทิมแสงประเทือง ทองกรประดับเนื่องเนาวรัตน์ ทรงมหาธำมรงค์เรือนครุฑ มงกุฎกรรเจียกจรจำรัส อุบะเพชรพวงผจงทรงทัด สี่กษัตริย์ทรงกริชแล้วคลาไคล
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 25 -ปี่พาทย์ทำเพลงเสมอรำสีนวล เป็นการร่ายรำในศิลปะแบบพื้นเมืองของไทยอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงบรรยากาศที่สดชื่นของบรรดา สาว ๆ แล้วชวนกันร่ายรำให้เป็นที่รื่นเริงสนุกสนานการแสดงชุดนี้ เริ่มด้วยการขับร้องเพลงสีนวล (ใน) ดังบท ร้องที่ว่า สีนวลชวนชื่นเมื่อยามเช้า รักเจ้าสาวสีนวลหวนคิดถึง แม้ไม่แลเห็นเจ้าเฝ้าคำนึง อยากให้ถึงวันที่รำสีนวล ตามปกติเมื่อร้องเพลงสีนวลจบ มักจะนิยมรำเพลงต้นวรเชษฐ์ ต่อท้ายแล้วต่อด้วยเพลงเร็ว –ลา สีนวล ชุดนี้เป็นชุดที่นิยมแสดงในมงคลและนินมรำกันอย่างแพร่หลาย ต่อมากรมศิลปากรได้ปรับปรุงเสียใหม่ โดยนำ บทร้องในเพลงอาหนูมาขับร้องต่อจากเพลงสีนวล ทั้งนี้เพราะเห็นว่าบทร้องเพลงอาหนูนี้บรรยายถึงกิริยา ท่าทางของสาว ๆ ซึ่งเข้ากับบทร้องเพลงสีนวลได้คุณหญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี ได้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้น ตามบทร้อง เพลงอาหนู ปรากฏว่าเป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักแสดง กรมศิลปากรได้นำไปแสดง เผยแพร่ให้ชาวต่างประเทศ ชมอยู่เสมอ เรียกชุดนี้ว่า “รำสีนวลอาหนู” ในปัจจุบันกระบวนท่ารำ ยังคงเดิม แต่รูปแบบการแสดงมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างขึ้นอยู่ที่ผู้ กำกับและการนำไปใช้ว่าจะออกอาหนู ออกวรเชษฐ์ หรือออกเร็ว-ลา และมีเครื่องแต่งกาย ทรงผม เหมือนเดิม (เสาวรักษ์ ยมะคุปต์, สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม 2565) การแต่งกาย ประกอบด้วย - สไบจีบ - ผ้านุ่งโจงกระเบน เครื่องประดับ - สร้อยคอ ต่างหู กำไลมือ เข็มขัด สร้อยตัว กำไลเท้า กำไลต้นแขน ปล่อยผม ทัดดอกไม้ ดนตรี และเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงสีนวล บทร้องที่ใช้แสดงมีอยู่ด้วยกัน 4 รูปแบบ ดังนี้ บทร้องรำสีนวล
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 26 แบบที่ 1 -ปี่พาทย์ทำเพลงสีนวล- -ร้องเพลงสีนวลสีนวลชวนชื่นเมื่อยามเช้า รักเจ้าสาวสีนวลหวนคิดถึง แม้ไม่แลเห็นเจ้าเฝ้าคำนึง อยากให้ถึงวันที่รำสีนวล -ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว-ลาแบบที่ 2 -ปี่พาทย์ทำเพลงสีนวล- -ร้องเพลงสีนวลอันการรำสีนวลกระบวนนี้ เป็นแบบที่ร้องรับไม่จับเรื่อง เป็นการรำเริงรื่นของพื้นเมือง เพื่อเป็นเครื่องพักผ่อนหย่อนอารมณ์ ได้ปลดทุกข์สุขใจเมื่อไร้กิจ เข้ารำชิดเคียงคู่ดูเหมาะสม ขอเชิญชวนมวลบรรดาท่านมาชม รื่นอารมณ์ยามที่รำสีนวล -ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว-ลาแบบที่ 3 -ปี่พาทย์ทำเพลงสีนวล- -ร้องเพลงสีนวลสีนวลชวนชื่นเมื่อยามเช้า รักเจ้าสาวสีนวลหวนคิดถึง แม้ไม่แลเห็นเจ้าเฝ้าคำนึง อยากให้ถึงวันที่รำสีนวล -ร้องเพลงอาหนู- เจ้าสาว สาว สาวสะเทิ้น (ซ้ำ) เจ้าค่อยเดินค่อยเดินมาตามทาง (ซ้ำ) ล้วนอนงค์ทรงสำอาง นางสาวศรีห่มสี (ซ้ำ) ใส่กำไล แลวิไล (ซ้ำ) ทองใบอย่างดี ทองดีดี ประดับสี เพชรพลอย พลอยงาม แลงาม (ซ้ำ) ใส่ต่างหูสองหู หูทัดดอกไม้ (ซ้ำ) สตรีใดชนใดในสยาม (ซ้ำ) จะหางาม งามกว่า มาเทียบไม่เทียม (ซ้ำ) ชวนกันเดิน พากันเดิน (ซ้ำ) รีบเดินมา (ซ้ำ) ร่ายรำทำท่า น่ารักเอย (ซ้ำ) -ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว-ลาแบบที่ 4 -ปี่พาทย์ทำเพลงสีนวล- -ร้องเพลงสีนวลสีนวลชวนชื่นเมื่อยามเช้า รักเจ้าสาวสีนวลหวนคิดถึง
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 27 แม้ไม่แลเห็นเจ้าเฝ้าคำนึง อยากให้ถึงวันที่รำสีนวล -ปี่พาทย์ทำเพลงวรเชษฐ์, เร็ว-ลาระบำสวัสดิรักษา เป็นระบำที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ โดยคุณหญิงก้อน จันทรวิมล ผู้บรรจุทำนองเพลง คือ อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย กรมศิลปากร การแสดงชุดนี้เป็นการแสดงที่ชี้ให้เห็นถึงลักษณะการแต่งกาย ของคนไทยในการเลือกสีเนื้อผ้าให้เข้ากับวันต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้สวมใส่ การแต่งกาย แบบสตรีสูงศักดิ์ ในราชสำนึกในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย - ห่มสไบจีบ สีประจำวัน - นุ่งโจงกระเบน เครื่องประดับ - กำไลเท้า - เข็มขัด - สร้อยคอ - สร้อยตัว - ต่างหู - กำไลมือ - กำไลต้นแขน - ผมเกล้ามวยสูง สวมเกี้ยว รับขวัญข้าว การแสดงสร้างสรรค์ชุด “รับขวัญข้าว” ได้แนวคิดมาจากการทำนา ด้วยประเทศไทยเป็นประเทศ กสิกรรม พืชสำคัญที่ทำรายได้มาสู่ประเทศส่วนใหญ่ คือ ข้าว ซึ่งการผลิตข้าวนั้นมีกรรมวิธีมากมาย ทั้งยังแฝง ไว้ซึ่งประเพณีและวัฒนธรรม เช่น พิธีการทำขวัญข้าวอันเป็นพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มี พระคุณ ด้วยการเคารพบูชาการลงแขกเกี่ยวข้าว แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีในชุมชน ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน นอกจากนี้หลังจากเสร็จสิ้นการทำนายังมีการละเล่นรื่นเริงและร้องรำทำเพลง อย่างสนุกสนานด้วย ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้ได้เป็นที่แพร่หลายในอดีต อาจพบได้ยากในปัจจุบัน ดังนั้นผู้ สร้างสรรค์งานจึงได้นำแนวคิดจากวิถีชีวิตการทำนานี้มาสะท้อนให้เห็นในรูปแบบการแสดงนาฏศิลป์สร้างสรรค์ โดยให้ชื่อชุดการแสดงนี้ว่า “รับขวัญข้าว” ทั้งนี้เพื่อสืบสานคุณค่าของภูมิปัญญาไทยให้อนุชนรุ่นหลังได้เห็นถึง วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เป็นสัมมาอาชีพอย่างไทย รูปแบบการแสดง แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 28 ช่วงที่ 1 สื่อให้เห็นถึงความกตัญญุตาต่อคุณข้าว การเคารพบูชาต่อพระแม่โพสพ เทพเจ้าแห่งธัญพืช พิธีกรรมนี้มีชื่อว่า “พิธีทำขวัญข้าว” อันเป็นพิธีกรรม ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ช่วงที่ 2 สื่อให้เห็นถึงกรรมวิธีและขั้นตอนในการทำนา ทั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึง ความสามัคคี ความมีน้ำใจและการร่วมมือร่วมใจกันในการทำนา ช่วงที่ 3 สื่อให้เห็นถึงความสำเร็จที่ได้จากการทำนาและวิถีชีวิต หลังจากเสร็จสิ้น ภารกิจการทำ ระบำฉิ่ง ระบำฉิ่ง เป็นชุดการแสดงที่ได้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่โดยอาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ นำออกแสดงให้ชาว ต่างประเทศชมเมื่อ ประมาณ ปี พ.ศ. 2500 ตามทำนองเพลงของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ณ บ้านศิลปบรรเลง ณ ตำบลบ้านบาตร ต่อมาพลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ได้ทรงเห็น การแสดงชุดหนึ่งของชาวทิเบต ซึ่งใช้ ฉิ่ง ประกอบท่ารำ พระองค์ จึงได้ปรึกษากับอาจารย์มนตรี ตราโมท ให้ คิดประดิษฐ์ท่วงทำนองเพลง เพื่อแสดงในงาน “นาฏลีลาน้อมเกล้า” ณ โรงละครแห่งชาติซึ่งเ ป็นการเฉลิม วาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเถลิงราชสมบัติ ปีที่ 36 อาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ และอาจารย์เฉลย ศุขะ วณิช คิดประดิษฐ์ท่ารำระบำฉิ่ง จนสำเร็จเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2525 แสดงโดยนักเรียนของ วิทยาลัย นาฏศิลปจำนวน 8 คน ในการแสดงครั้งนั้น ได้ใช้ฉิ่งทิเบต ซึ่งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุ พันธ์ยุคล ได้ประทานมาประกอบการแสดง ต่อมาวิทยาลัยนาฏศิลปได้ปรับปรุงรูปแบบการแสดงของระบำฉิ่งขึ้นใหม่เพื่อแสดงในงานดนตรีไทย มัธยมศึกษาครั้งที่ 8 ณ สังคีตศาลา เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2525 โดยคงท่ารำตามรูปแบบเดิมไว้ และเปลี่ยน การแต่งกายแบบพันทางทิเบต มาเป็นแบบสตรีสูงศักดิ์ในราชสำนักไทย สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ได้ นำฉิ่งไทยซึ่งมีเสียงกังวานแหลมใสมาใช้แทนฉิ่งทิเบต ความแตกต่างระหว่างฉิ่งไทยกับฉิ่งทิเบต ฉิ่งทิเบต ลักษณะเนื้อโลหะบาง เสียงกังวานใสทุ้มกว่าฉิ่งไทย ฉิ่งไทย ลักษณะเบ้าลึกกว่าฉิ่งทิเบต เป็นโลหะแบบลงหิน เสียงกังวานแหลม จังหวะหน้าทับ ของระบำฉิ่งเป็นหน้าทับประเภทอัตราสองชั้น และชั้นเดียว ลีลาท่ารำของระบำฉิ่ง ช่วงที่เป็นทำนองเพลงอัตราจังหวะสองชั้นนั้น จะมีลีลาท่ารำค่อนข้างช้า และ ภาคภูมิ จังหวะฉิ่งที่ตีมีความสัมพันธ์กับท่วงทำนองเพลงเป็นอัตราจังหวะชั้นเดียว ท่ารำและจังหวะของการตี ฉิ่งก็เปลี่ยนตามไปด้วย แสดงออกถึงความสนุกสนานและสวยงาม การแต่งกาย 1. แบบนางใน ประกอบด้วย
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 29 - สไปจีบเปิดไหล่ขวา ยางครึ่งน่อง - สไบกรองทอง ห่มทับสไปจีบ สอดชายสไบทางชายพกด้านขวา อีกด้านพันรอบตัวแล้วพาดไป ทางไหล่ซ้าย - ผ้ายก นุ่งจีบหน้านาง ปล่อยชายพกทางซ้าย เครื่องประดับ - กำไลมือ - สร้อยคอ - ต่างหู - กำไลแขน - สร้อยตัว - เข็มขัด - กำไลเท้า - ผมเกล้ามวยสูง สวมเกี้ยว 2. แบบทิเบต ประกอบด้วย - เสื้อแขนกระบอก คอตั้งผ่าหลัง ติดซิป เดินลูกไม้แถบสีทอง รอบคอ และปลายแขนสองแถว - กระโปรง 2 ชั้น เย็บสำเร็จแบบทบซ้อนหน้า เป็นตัวเดียวกัน ชายล่างโค้งมนยาวคลุมเข่า ชายกระโปรงประดับลูกไม้แถบสีทอง 2-3 ชั้น ตัวในใช้ผ้าพื้น ตัวนอก สั้นกว่าตัวในเล็กน้อย ใช้ผ้าลูกไม้โปร่ง (ผ้าบุหงา) ตัดเย็บ - สไบสะพายแล่ง เครื่องประดับ - กำไลเท้า - สร้อยคอ - ต่างหู - เข็มขัด - ผมเกล้ามวยสูง สวมเกี้ยว อุปกรณ์ประกอบการแสดง - ฉิ่ง ประดับพู่เป็นพวงระย้า
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 30 ระบำเชิญพระขวัญ “ขวัญ” หมายถึง อำนาจและพลังอันประเสริฐ ที่จะบันดาลให้ความสุขความสงบ ความมั่นคงในจิตใจ ซึ่งมีอยู่ประจำในชีวิตมนุษย์ทุกชีวิตมาแต่กำเนิด ถ้ามีขวัญอยู่กับตัวก็นับว่าเป็นสิริมงคล ถ้ามนุษย์ผู้ใดได้รับ ความกระทบกระเทือนใจ ขวัญก็จะออกจากร่างไป เกิดความทุกข์ขึ้นแทนที่จิตใจของผู้นั้น ชาวไทยจึงนิยม ประเพณีเรียกขวัญและเชิญขวัญมาสู่ตนเพื่อเชิญขวัญที่ออกจากร่างให้กลับคืนเข้าสู่ร่าง ให้เกิดสิริมงคลเป็น พลังอำนาจ บันดาลความสุขความเจริญให้คงอยู่ตลอดไป การแสดงชุด “รำเชิญพระขวัญ” หรือ “รำแว่นเทียน” นี้ นิยมแสดงในความหมายเพื่อเชิญขวัญที่ หายไปจากร่างให้กลับคืนสู่ร่าง เพื่อบันดาลสิริมงคลแก่ชีวิตให้คงอยู่ตลอดไปโดยทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ เป็นการ แสดงประเภทเบ็ดเตล็ด หรือประเภทระบำ ซึ่งแสดงถึงลีลานาฏศิลป์ที่แช่มช้อยงดงามยิ่งชุดหนึ่ง ซึ่ง หม่อมครู ต่วน (ศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก) และ ครูลมุล ยมะคุปต์ เป็นผู้คิดประดิษฐ์ท่ารำ ประกอบในละครเรื่อง น่านเจ้า บทประพันธ์ของพลตรี หลวงวิจิตรวาทการเรื่องราวในตอนที่มีการรำเชิญพระขวัญดำเนินความว่า เจ้าชายผู้ เป็นโอรสของเจ้าฟ้าน่านเจ้าออกล่าสัตว์ป่า ได้รับอุบัติเหตุตกลงไปในน้ำพวกบริวารตามหาไม่พบบิดาของ กิ่งแก้ว (นางเอก) ช่วยชีวิตไว้เจ้าชายจึงพักอยู่กับครอบครัวของบิดากิ่งแก้วในคืนวันเพ็ญพระจันท ร์เต็มดวง เจ้าชายนั่งสนทนากันกับกิ่งแก้วถึงเรื่องที่ไม่อยากเสด็จจากไป และไม่อยากให้ชาวบ้านทราบว่าเป็นโอรสของ เจ้าฟ้าน่านเจ้า แต่กิ่งแก้วบอกว่าเขาทราบกันแล้ว และยินดีที่มีเจ้าฟ้าแผ่นดินมาพำนักที่หมู่บ้าน ชาวบ้าน เหล่านั้นจึงมารับขวัญตามประเพณี การแต่งกาย ประกอบด้วย - สไบจีน - ผ้านุ่ง โจงกระเบน เครื่องประดับ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 31 - กำไลเท้า - เข็มขัด - กำไลมือ - กำไลต้นแขน - สร้อยคอ - สร้อยตัว - ต่างหู - ผมปล่อยสยายทัดดอกไม้ อุปกรณ์ประกอบการแสดง - แว่นเทียน พร้อมเทียนไข บทร้องระบำเชิญพระขวัญ - ปี่พาทย์ทำเพลงเชิญพระขวัญ - - ร้องเพลงเชิญพระขวัญ - (สร้อย) ขวัญเจ้าเอยขวัญเอยมาสู่องค์เอย (ซ้ำ) ขอเชิญพระขวัญเมื่อวันคืนเพ็ญ ให้อยู่ร่มเย็นอย่าหนีไปไหน ขวัญเจ้าเอยขวัญเอยขวัญเจ้าอย่าเลยไปไกล อย่าเที่ยวจนเพลินอย่าระเหินระหก อย่ามัวชมนก อย่ามัวชมไม้ ขอเชิญขวัญเจ้ารีบเข้าสู่กาย อย่าลี้หนีหายเลยนะขวัญเจ้าเอย - ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว - ระบำสี่บท ระบำสี่บทเป็นระบำมาตรฐาน ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมเป็นระบำเบิกโรง เหตุที่เรียกว่า ระบำสี่บทก็เนื่องจากบทร้องและทำนองเพลง ของระบำชุดนี้ ประกอบด้วย 4 บทร้อง และ 4 ทำนองเพลง ได้แก่ เพลงพระทอง เบ้าหลุด สระบุหร่ง บลิ่มหรือบะหลิ่ม ระบำชุดนี้ยกย่องกันว่าเป็น ระบำแบบฉบับ เรียกว่า “ระบำใหญ่” มักจะนำไปประกอบการแสดงโขน เช่น ระบำเทพบุตร นางฟ้า ในตอนต้นของชุด นารายณ์ ปราบนนทุก หรือชุดเมขลา-รามสูร หรือในตอนแสดงความยินดี เมื่อผู้ทรงฤทธานุภาพปราบอสูรและยักษ์ร้าย พ่ายแพ้ไป ระบำชุดนี้มีท่าสวยงามน่าชม แต่เดิมบทร้องและทำนองเพลงนั้นค่อนข้างยืดยาวกินเวลาแสดงนาน มาก ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้ตัดตอนบทร้องให้สั้นเข้าตามบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 การแต่งกาย ยืนเครื่องพระนาง แต่เดิมในสมัยโบราณ เครื่องแต่งกายยืนเครื่องตัวพระ สวมเสื้อพระ แขนยาว ประดับอินทรธนู ในปัจจุบันนี้ดัดแปลงเป็นสวมเสื้อพระแขนสั้น ประดับกนกปลายแขน สำหรับตัว
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 32 นาง ห่มผ้าห่มนางแบบสะพักสองบ่าหรือสองชาย ศิราภรณ์รัดเกล้ายอด ปัจจุบันดัดแปลงเป็นผ้านางผืนใหญ่ ชายหลังเย็บเป็นผืนเดียวกันศิราภรณ์เป็นมงกุฎกษัตริย์ บทร้องระบำสี่บท ปี่พาทย์ทำเพลงโคมเวียน -รัวร้องเพลงพระทอง เมื่อนั้น ฝ่ายฝูงเทวทุกราศี ทั้งเทพธิดานารี สุขเกษมเปรมปรีดิ์เป็นสุดคิด เทพบุตรจับระบำทำท่า นางฟ้ารำฟ้อนอ่อนจริต รำเรียงเคียงเข้าไปให้ชิด ทอดสนิทติดพันกัลยา แล้วตีวงเวียนเปลี่ยนซ้าย ร่ายตีวงเวียนเปลี่ยนขวา ตลบหลังลดเลี้ยวลงมา เทวัญกัลยาสำราญใจ ร้องเพลงเบ้าหลุด เมื่อนั้น นางเทพอัปสรศรีไส รำล่อเทวาสุราลัย ท่วงทีหนีไล่พอได้กัน เทพบุตรฉุดฉวยชายสไบ นางปัดกรค้อนให้แล้วผินผัน หลีกหลบลดเลี้ยวเกี่ยวพัน เหียนหันมาขวาทำท่าทาง ครั้นเทพเทวัญกระชั้นไล่ นางชม้อยถอยไปเสียให้ห่าง เวียนระวันหันวงอยู่ตรงกลาง ฝูงนางนารีก็ปรีดา ร้องเพลงสระบุหร่ง เมื่อนั้น ฝ่ายฝูงเทพไท ถ้วนหน้า รำเรียงเคียงคั่นกัลยา เลี้ยวไล่ไขว่คว้าเป็นแยบคาย เทพบุตรหยุดยืนจับระบำ นางฟ้าฟ้อนรำทำถวาย ทอดกรอ่อนระทวยกรีดกราย เทพไททั้งหลายก็เปรมปรีดิ์ ร้องเพลงบลิ่ม เมื่อนั้น นางเทพธิดามารศรี กรายกรอ่อนระทวยทั้งอินทรีย์ ดังกินรีรำฟ้อนร่อนรา แล้วตีวงลดเลี้ยวเกี่ยวกล ประสานแทรกสับสนซ้ายขวา ทอดกรงอนงามกิริยา เทวาปฏิพัทธ์เปรมปรีดิ์ -ปี่พาทย์ทำเพลงช้า- เร็ว -ลา- (จากบทระบำเบิกโรง พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 ฉบับหอพระสมุด)
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 33 ระบำดาวดึงส์ ระบำดาวดึงส์เป็นระบำแบบฉบับของไทยอีกชุดหนึ่งที่ได้ผ่านการปรับปรุงมาหลายครั้งโดยในครั้งแรก กล่าวว่าท่ารำแบบนี้เจ้าฟ้าหลวงพิทักษ์มนตรี พระอนุชาสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชินีใน รัชกาลที่ 2 ทรงประดิษฐ์ขึ้นพร้อม ๆ กับการแสดงชุดรำพัด โดยการที่ทรงนำเอาลีลาท่าทางการเต้นทุบอกใน พิธีการเต้นเจ้าเซ็นของชนนับถือศาสนาอิสลามนิกายเจ้าเซ็น แล้วทรงประดิษฐ์ท่าทางให้นุ่มนวลอ่อนช้อยตาม ลีลา แบบนาฏศิลป์ไทยดังจะได้เห็นจากท่ารำตอนหนึ่ง ซึ่งผู้แสดงยกมือทั้งสองขึ้นไปประสานไขว้กันไว้ที่ทรวง อกแล้วขยับฝ่ามือท่าประหนึ่งตีลงไปเบา ๆ บนทรวงอกเป็นจังหวะพร้อมเต้นย่ำเท้าไปด้วย ส่วนทำนองดนตรีที่ ใช้ประกอบการรำมีสำเนียงแขกชื่อเพลงแขกเจ้าเซ็น ครั้งต่อมาสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงนิพนธ์บทร้องขึ้น เพื่อแสดงประกอบในบทละครดึกดำบรรพ์เรื่องสังข์ทอง ตอนตีคลี เนื้อความพรรณนาถึง ความสวยสดงดงามของเหล่าเทพบุตรนางฟ้าในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และพรรณนาถึงความมโหฬารตระการตา ของสมบัติอมรินทร์อันมีปราสาทราชวังและม้า รถ เป็นต้น อีกทั้งยังได้ปรับปรุงศิลปะทางดนตรี และระบำให้ เรียบร้อยจนเป็นชุดนาฏศิลป์ไทยประเภทระบำที่แสดงความรื่นเริงบันเทิงใจชุดหนึ่ง ซึ่งบรรดานาฏศิลป์ยังคง รักษาไว้เป็นแบบแผนและเผยแพร่สืบต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ หม่อมเข็ม กุญชร (หม่อมของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์) เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ และได้นำเอาท่ารำ ตะเขิ่งเจ้าเซ็น ซึ่งกรมหลวงพิทักษ์มนตรี ได้ทรงคิดประดิษฐ์จากท่าเต้นทุบอก ของพวกแขกเจ้าเซ็นมาเป็นท่า รำของการแสดงชุดนี้ด้วย การแต่งกาย ยืนเครื่อง พระ-นาง บทร้องระบำดาวดึงส์ -ปี่พาทย์ทำเพลงเหาะ-รัว- -ร้องเพลงลำตะเขิ่งเข้าปี่พาทย์- ดาวดึงส์เทวโลกมโหฬาร เป็นที่อยู่สำราญฤทัยหรรษ์ สารพัดงามจริงทุกสิ่งอัน สารพันอุดมสมใจปอง เทพบุตรผุดพรรณโฉมยง งามทรงอาภรณ์ไม่มีหมอง นางอัปสรงอนสงวนนวลละออง งามทรงเครื่องทองและเพชรนิล -ร้องลำแขกเจ้าเซ็นเข้าปี่พาทย์- สมเด็จพระอมรินทร์ปิ่นมงกุฎ ทรงวชิราวุธธนูศิลป์ รักษาเทวสิมาเป็นอาจิณ อสุรินทร์อรีไม่บีฑา (ซ้ำ) อันอินทรปราสาททั้งสาม (ซ้ำ) ทรงงามสูงเงื้อมกลางเวหา สี่มุขหุ้มมาศสะอาดตา ใบระกาแกมแก้วประกอบกัน ช่อฟ้าช้อยเฟื้อยเฉื่อยชด (ซ้ำ) บราลีที่ลดมุขกระสัน (ซ้ำ)
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 34 มุขเด็จทองดาดกระหนกพัน บุษบกสุวรรณชามพูนุท (ซ้ำ) ราชยานเวชยันต์รถแก้ว (ซ้ำ) เพริศแพร้วกำกงอลงกต (ซ้ำ) แอกงอนอ่อนสลวยชวยชด (ซ้ำ) เครือขดช่อตั้งบัลลังก์ลอย รายรูปสิงห์อัดหยัดยัน สุบรรณจับนาคหิ้วเศียรห้อย (ซ้ำ) ดุมพราววาววับประดับพลอย แปรกแก้วกาบช้อยสะบัดบัง เทียมด้วยสินธพเทพบุตร ทั้งสี่บริสุทธิ์ดังสีสังข์ มาตลีอาจขี่ขับประดัง (ซ้ำ) ให้รีบรุดสุดกำลังดังลมพา -ปี่พาทย์ทำเพลงรัวระบำชุมนุมเผ่าไทย ระบำชุดนี้อยู่ในละครเรื่อง “อานุภาพแห่งความเสียสละ” บทร้องประพันธ์โดยพลตรี หลวงวิจิตร วาทการ เมื่อ พ.ศ. 2498 ทำนองเพลงแต่งและเรียบเรียงโดย ผู้เชี่ยวชาญดุริยางค์ไทยของกรมศิลปากร คือ อาจารย์มนตรี ตราโมท ทำนองเพลงร้องจะแตกต่างกันไปตามสำเนียงของไทยเผ่าต่าง ๆ โดยมีเพลงไทยกลาง ซึ่งแต่งขึ้นใหม่เป็นเพลงเชื่อมให้มีความสัมพันธ์กันกล่าวคือ ไทยลานนา ใช้ทำนอง เพลงแน (ของเก่า) ไทยใหญ่ ใช้ทำนองเพลงเงี้ยว (ของเก่า) ไทยลานช้าง ใช้ทำนอง เพลงฝั่งโขง (ของเก่า) ไทยสิบสองจุไทย ใช้ทำนองเพลง สิบสองปันนา (แต่งใหม่) และไทยอาหม ใช้ทำนอง เพลงอาหม (แต่งใหม่) บทร้องระบำชุมนุมเผ่าไทยจะแสดงให้ทราบถึงชนชาวไทยครั้งโบราณที่ได้อพยพแยกย้ายกันลงมาตั้ง ถิ่นฐานอยู่ในภูมิภาคส่วนต่าง ๆ ของแหลมทอง ความแตกต่างของทำนองเพลงและการแต่งกายของไทยเผ่า ต่าง ๆ ที่มา : รวมกันในระบำชุดนี้ได้แก่ ไทยกลาง คือ ไทยในภาคกลางปัจจุบัน ไทยลานนา คือ ไทยใน ภาคเหนือ ไทยใหญ่ คือ ไทยในรัฐฉานของพม่า ไทยลานช้าง คือ ไทยที่อยู่แถบลุ่มแม่น้ำโขงเมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว ไทยสิบสองจุไทย คือ ไทยที่อยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย ประเทศเวียดนาม และไทยอาหม คือ ไทย ในแคว้นอาหมอยู่ติดกับปากีสถาน ระบำชุมนุมเผ่าไทยเหมาะสำหรับให้นักเรียนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย หรือการแสดงวิพิธทัศนา ในกิจกรรมเสริมหลักสูตร ผู้ประดิษฐ์ท่ารำคือ อาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ และครูผัน โมรากุล เครื่องแต่งกายออกแบบโดยอาจารย์ ชิ้น ศิลปะบรรเลง และต่อมาอาจารย์ทวีศักดิ์ เสนาณรงค์ ได้ออกแบบเครื่องแต่งกายใหม่เพื่อถ่ายทำปฏิทิน ของบริษัทเชลล์ บทร้องระบำชุมนุมเผ่าไทย ปี่พาทย์ทำเพลงไทยกลาง (นำ) - ร้องเพลงไทยลานนา (เพลงแน) นี่พี่น้องของเราไทยลานนา อยู่ด้วยกันนานมาแต่ก่อนเก่า
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 35 ได้ร่วมแรงร่วมใจคู่ไทยเรา เป็นพงศ์เผ่าญาติสนิทและมิตรแท้ - ร้องเพลงไทยใหญ่ (เพลงเงี้ยว) นี่ไทยใหญ่อยู่ใกล้ ใกล้ ทางทิศเหนือ เป็นชาติเชื้อพี่ชายของไทยแน่ ยังรักษาความเป็นไทยไม่ผันแปร ขยายแผ่สาขาตระกูลไทย - ร้องเพลงไทยลานช้าง (เพลงฝั่งโขง) นี่คือไทยลานช้างอยู่ข้างเคียง เคยร่วมเรียงอยู่เป็นสุขทุกสมัย แม่น้ำโขงกั้นเขตประเทศไว้ แต่ไม่กั้นดวงใจที่รักกัน - ร้องเพลงสิบสองจุไทย นี่พี่น้องชาวสิบสองจุไทย เป็นพี่ใหญ่แน่แท้ไม่แปรผัน ต้นเชื้อสายไทยน้อยแหล่งสำคัญ ครั้งสมัยดึกดำบรรพ์ขุนบรม - ร้องเพลงไทยอาหม พี่น้องพวกสุดท้ายที่เข้ามา ก็เป็นไทย ชื่อว่าไทยอาหม ล้วนเลือดเนื้อเชื้อไทยใฝ่นิยม ให้อาณาประชาคมไทยสมบูรณ์ - ปี่พาทย์ทำเพลงเชื่อม (สร้อย) - การแต่งกายชุดระบำชุมนุมเผ่าไทย 1. ไทยภาคกลาง ประกอบด้วย - สไบ ตาด เปิดไหล่ขวา - ผ้ายกจีบหน้านางมีชายพก เครื่องประดับ - กำไลเท้า - เข็มขัด - สร้อยคอ - กำไลมือ - สร้อยตัว - กำไลต้นแขน - ต่างหู - ผม ปล่อยยาวสยาย ทัดดอกไม้ทางหูซ้าย 2. ไทยลานนา (แต่งแบบชุดภาคเหนือ) ประกอบด้วย - เสื้อแขนกระบอก คอปิด ผ่าอกหน้า ติดกระดุม - ผ้าซิ่น นุ่งป้ายข้าง ยาวกรอมเท้า เชิงปัก ดิ้นหนุนลายกนก
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 36 - สไบผ้ากรองทอง เครื่องประดับ - ต่างหู - กำไลมือ - สร้อยคอ - ผมเกล้ามวยสูง ห้อยอุบะสายทัด 3. ไทยใหญ่ (แต่งแบบพม่า) ประกอบด้วย - เสื้อแขนสามส่วน คอปิด ผ่าอกหน้า ติดกระดุม เอวลอย เดินลูกไม้แถบสีทองตรงปลายแขน รอบคอ สาปและชายเสื้อ - ผ้านุ่งใช้ผ้าต่วนหลากสี เย็บต่อกันเป็นลวดลายตาหมากรุก เดินแถบสีทอง ปิดรอยต่อ นุ่งป้าย ข้าง - ผ้าโพกศีรษะ ด้านข้างทั้งสองข้าง ขลิบสีดำ เครื่องประดับ - สร้อยคอ - ต่างหู - กำไลมือ 4. ไทยลานช้าง (แต่งแบบลาว) ประกอบด้วย - เสื้อในนางแบบเสื้อในนางมโนราห์ มีสาย ปักลวดลาย ด้วยเลื่อมและลูกปัด - ผ้าซิ่นลายทาง ต่อเชิง นุ่งป้ายข้างยาวระดับข้อเท้า - ผ้าคลุมไหล่ ใช้ผ้าชนิดเดียวกับผ้านุ่งขลิบริมด้วยดิ้นชายครุย เครื่องประดับ - สร้อยคอ - ต่างหู - กำไลมือ - เข็มขัด - ผมเกล้ามวยสูง ทัดดอกไม้ 5. ไทยสิบสองจุไทย (แต่งแบบจีน) ประกอบด้วย - เสื้อคอจีน แขนกระบอก ผ่าอกหน้า ติดกระดุมจีน - กระโปรงสีดำ ยาวกรอมเท้า ผ่าข้างทั้งสองข้าง จากตาตุ่มถึงหัวเข่าหรือนุ่งกางเกงขายาวสีดำ - ผ้าคล้องคอ สีตัดกับเสื้อ - ผ้าคาดสะเอว ทับผ้าคล้องคอ สีเดียวกัน เครื่องประดับ - สร้อยคอมุก
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 37 - ต่างหูมุก - กำไลมือ - ผมเกล้ามวยสองแกละ ทัดดอกไม้ 6. ไทยอาหม (แต่งแบบอินเดีย) ประกอบด้วย - เสื้อคอกลม แขนสั้นเหนือศอก ผ่าหลังติดซิป - กระโปรงยาวกรอมเท้า - ส่าหรี เครื่องประดับ - สร้อยคอ - ต่างหู - กำไลมือ - สร้อยศีรษะ - ผมเกล้ามวยต่ำ ระดับท้ายทอย ปักปิ่นดอกไม้ไหว ที่มา : https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=rouenrarai&month=08- 2011&date=27&group=15&gblog=25 ระบำชุดไทยพระราชนิยม
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 38 ผลงานประดิษฐ์ใหม่ของวิทยาลัยนาฏศิลปกรุงเทพ เนื่องในการแสดงศิลปวัฒนธรรมของสถานศึกษา ในสังกัดกรมศิลปากร ประจำปีพุทธศักราช 2536 ณ วิทยาลัยนาฏศิลปพัทลุง มีชื่อการแสดงว่า “ระบำชุดไทย พระราชนิยม” ระบำชุดนี้สำเร็จขึ้นเป็นผลงานประดิษฐ์ที่เหมาะสมแก่วโรกาสอันเป็นมงคลยิ่งแก่ปวงชนชาว ไทยสืบเนื่องในปีที่มีการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในมหามงคลเฉลิมพระ ชนมพรรษา 5 รอบ ระบำชุดนี้เกิดจากดำริของ นายสิริชัยชาญ ฟักจำรูญ ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาการในตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลปกรุงเทพ มอบหมายให้คณาจารย์ ภาควิชานาฏศิลป์ไทย ภายใต้การอำนวยการ ของผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม ร่วมดำเนินการประดิษฐ์เป็นนาฏศิลป์ไทยประเภทระบำขึ้น ทั้งนี้เนื่องจาก เกิดแรงบันดาลใจ ความชื่นชมและต้องการเผยแพร่เอกลักษณ์เครื่องแต่งกายชุดไทยพระราชนิยมในรูปแบบ ของคีตดุริยางนาฏศิลป์ไทย ให้ปรากฏแก่ปวงชน การแต่งกายชุดไทยพระราชนิยม การแต่งกายของชาวไทยในช่วงระยะสามศตวรรษที่ผ่านมานิยมแบบสากลเป็นส่วนใหญ่ตามอิทธิพล ของชาวตะวันตก แต่ที่มีแตกต่างกันไปก็มีในชนบทที่ยังแต่งกายแบบไทย ๆ หรือแบบท้องถิ่นของตน ในช่วง เวลานี้ ได้มีวิวัฒนาการการแต่งกายแบบไทยที่สำคัญ คือ การแต่งกายแบบไทยตามแนวพระราชนิยม คือ ชุดไทยพระราชนิยมสำหรับผู้หญิง และ ชุดไทยพระราชทานสำหรับชายสองชุดนี้ได้เป็นที่ยอมรับว่า เป็นชุด ประจำชาติของไทย กำเนิดชุดไทยพระราชนิยม ใน พ.ศ. 2503 เป็นปีเกิดของเครื่องแต่งกายประจำชาติฝ่ายหญิงใช้เป็นเครื่องแต่งกายหลักแสดง เอกลักษณ์ไทยโดยตรงเรื่องการกำเนิดนี้มีปรากฏในหนังสือพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ชื่อหนังสือ “ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ” ซึ่งเป็นหนังสือที่ กล่าวถึง การตามเสด็จเยือนยุโรปและอเมริกา 14 ประเทศอย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถเมื่อ พ.ศ. 2503 รวมเป็นเวลานานถึง 6 เดือน สมเด็จฯ ทรงมีพระราชดำริว่าไทย ยังไม่มีชุดแต่งกายประจำชาติที่เป็นแบบแผนเหมือนชาติอื่น ๆ และการเสด็จครั้งนี้ก็เป็นราชการสำคัญ จึงโปรด ให้มีการค้นคว้าเกี่ยวกับแบบเครื่องแต่งกายและให้ช่างตัดฉลองพระองค์เลือกแบบต่าง ๆ มาดัดแปลงแก้ไขให้ เหมาะสมต่อมาจัดเป็นชุดไทยพระราชนิยม รวม 8 ชุด และกำหนดให้เลือกใช้วาระต่าง ๆ กัน การแต่งกาย ระบำชุดไทยพระราชนิยม ประกอบด้วย 1. ไทยเรือนต้น เป็นชุดไทยแบบลำลอง ให้ผ้าฝ้ายหรือผ้าไหมมีลายริ้วตามขวางหรือตามยาว หรือใช้ ผ้าเกลี้ยงมีเชิง ผ้านุ่ง กรอมเท้า ป้ายข้าง เสื้อใช้ผ้าสีตามริ้วหรือเชิงก็สีจะตัดกับซิ่นหรือเป็นสี เดียวกันก็ได้ เสื้อคนละท่อนกับซิ่นเป็นเสื้อคอกลม แขนสามส่วน ผ่าอกหน้าติดกระดุม 5 เม็ด เข้ารูป ชายเสื้อยาวระดับสะโพก เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู กำไลมือ ปล่อยผมสยาย หรือเกล้ามวยต่ำระดับท้ายทอยทัดดอกไม้
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 39 2. ไทยจิตรลดา คือชุดไทยพิธีกลางวัน ใช้ผ้าไหมเกลี้ยงมีเชิงหรือเป็นยกดอกทั้งตัวเสื้อคอตั้งแขนยาว ผ่าอกหน้าตลอด ติดกระดุม 5 เม็ด ผ้านุ่งป้ายข้าง ยาวกรอมเท้า เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู กำไลมือ เกล้าผมสูงกลางศีรษะ ติดเกี้ยว 3. ไทยอมรินทร์เป็นชุดเหมือนกัน กับไทยจิตรลดาแตกต่างกันตรงผ้าและโอกาสที่ใช้ เป็นเสื้อคอตั้ง แขนกระบอก ผ่าอกหน้าตลอดติดกระดุมไทย 5 เม็ด ผ้านุ่งป้ายข้างยาว กรอมเท้า เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู กำไลมือ สร้อยตัว ผมเกล้ามวยสูง ติดเกี้ยว 4. ไทยบรมพิมาน คือ ชุดไทยพิธีตอนหัวค่ำ ใช้ผ้าไหมยกดอกหรือยกทองมีเชิง หรือยกทั้งตัวก็ได้ ตัวเสื้อและซิ่นตัดแบบติดกัน ผ้านุ่งจีบหน้านาง ยาวกรอมเท้า มีชายพกใช้เข็มขัดไทยคาดทับตัวเสื้อแขน กระบอก คอตั้ง ผ่าด้านหลัง ติดซิป เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู สร้อยตัว เข็มขัด กำไลมือ ผมเกล้ามวยสูง ติดเกี้ยว 5. ไทยจักรีคือ ชุดไทยสไบเฉียง ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัว ผ้านุ่งจีบหน้านางยาวกรอมเท้า มีชาย พก ใช้เข็มขัดไทยคาด ส่วนท่อนบนเป็นสไบ จะเย็บให้ติดกับซิ่นเป็นชุดเดียวกันหรือจะมีผ้าสไบห่มต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างขวา ชายสไบคลุมไหล่ทิ้งชายด้านหลังยาวประมาณ ครึ่งน่อง หรือยาวพอสมควร เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู สร้อยตัว กำไลมือ เข็มขัด กำไลต้นแขน ผมเกล้ามวยสูง ติดเกี้ยว 6. ไทยดุสิต เป็นชุดไทยคอกลมกว้าง ไม่มีแขน ตัวเสื้อปักหรือตกแต่งด้วยมุก ลูกปัด เลื่อม ผ่าหลัง ติดซิป เข้ารูป ตัวเสื้ออาจเย็บติดหรือแยกคนละท่อนกับผ้านุ่งก็ได้ ซิ่นใช้ผ้ายกเงินหรือทอง จีบหน้านาง มีชายพก เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู เข็มขัด กำไลมือ ผมเกล้ามวยสูง ติดเกี้ยว 7. ไทยจักรพรรดิคือ ชุดไทยห่มสไบคล้ายไทยจักรี แต่ว่ามีลักษณะเป็นพิธีรีตองมากกว่า ห่มสไบ 2 ชั้น ชั้นในมีสไบจีบ เปิดไหล่ขวา ยาวครึ่งน่อง รองสไบทึบ ปักเต็มยศบนสไบชั้นนอก ผ้านุ่งจีบหน้านาง ยาวกรอมเท้า มีชายพก เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู เข็มขัด สร้อยตัว กำไลมือ ผมเกล้ามวยสูง ติดเกี้ยว 8. ไทยศิวาลัย มีลักษณะเหมือนชุดไทยบรมพิมาน ทุกประการ แต่เพิ่มห่มสไบปักทับเสื้ออีกชั้นหนึ่ง เป็นเสื้อคอตั้ง ผ่าหลังติดซิป แขนกระบอก ผ้านุ่งจีบหน้านาง ยาวกรอมเท้า มีชายพกและสไบปัก เครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู กำไลมือ สร้อยตัว เข็มขัด ผมเกล้ามวยสูง ติดเกี้ยว
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 40 เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินอังกฤษอย่างเป็นทางการ เมื่อ พ.ศ. 2503 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับชุดไทยพระราชนิยมไว้ตอนหนึ่งว่า “คืนนั้นฝ่ายเราหญิงไทยได้ นัดกันแต่งชุดไทย ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วว่าชุดไทยบรมพิมานเป็นที่ตื่นเต้นพอใจของพวกฝรั่งมาก โดยเฉพาะเครื่องประดับและเข็มขัดโบราณของเรา ซึ่งเขาเห็นว่าโก้เก๋และแปลกตาเป็นที่สุด การประดิษฐ์ระบำไทยพระราชนิยม ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นได้ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางสำหรับการประดิษฐ์เครื่องแต่งกายและ เครื่องประดับ ซึ่งต้องจัดสรรเลือกหาผ้าซึ่งใช้ผ้าไหมและผ้ายกเป็นหลัก ส่วนเครื่องประดับนั้นต้องใช้ของไทย ด้วย บางชุดต้องมีความสวยงามที่ใกล้เคียงกับของจริงให้มากที่สุด การจัดซื้อต้องทำอย่างพิถีพิถันและการสร้าง ชุดไทยทั้ง 8 ชุดนี้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่คาดว่าผลที่ตามมาคงคุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อส่งเสริมและ เผยแพร่สิ่งที่ได้กลายเป็นมรดกของไทยเช่นชุดไทยพระราชนิยมชุดนี้ การประพันธ์บทร้องได้มอบหมายให้คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทยแต่งและแก้ไขปรับปรุงโดย ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลปกรุงเทพ คือ น.ส.ปราณี สำราญวงศ์ ผู้ที่ประดิษฐ์ทำนองเพลงประกอบการร่ายรำคือ นายสิริชัยชาญ ฟักจำรูญ ผู้ประดิษฐ์ทางร้องคือ น.ส.ทัศนีย์ ขุนทอง อาจารย์สอนคีตศิลป์ไทย อาจารย์เฉลิม ม่วงแพรกศรี อาจารย์รัตรวี ยลปราโมทย์ และ อาจารย์วารี ไตรเพิ่ม ประพันธ์บทร้อง บทร้องระบำชุดไทยพระราชนิยม พัสตราภรณ์เรืองนามงามพิลาศ คือชุดพระราชนิยมสมสมัย พระราชดำรำ ราชินี ศรีชาติไทย ประทานให้ แต่งในงาน การพิธี ไทยเรือนต้น คมขำ แบบลำลอง งามผุดผ่อง ซิ่นไหม สดใสสี เสื้อคอกลม เนียนแบบ แยบยลดี กระดุมมี ห้าเม็ด เก็จตระการ ไทยจิตรลดา ผ้าไหม ยกดอกเด่น กำหนดเป็น ชุดกลางวัน อันภูมิฐาน เสื้อแขนยาว ยกขอบคอ พอประมาณ ใช้ในงาน ท่านผู้ชาย แต่งเต็มยศ ไทยอมรินทร์ แลวิไล ใช้ยามค่ำ ผ้ายกทอง แกมก่ำ ขำสวยสด เสื้อแขนยาว ดุมลอย พลอยงามงด อลงกต สร้อยพนิม ประพิมพรรณ ไทยบรมพิมาน งามเต็มยศ เกียรติปรากฏ ระบิลนาม งามสรรพ์ เสื้อแขนยาว ยกคอ พอดีกัน เฉิดฉายฉันท์ เครื่องประดับ ระยับตา ไทยจักรี ห่มสไบ เปิดไหล่ขวา งามตรึงตา พาชมชิด สิเน่หา ผ้ายกทอง จีบหน้านาง ย่างเยื้องมา ปั้นเหน่งหน้า พรายเพริด ประเสริฐดี ไทยดุสิต วิจิตร บรรจงนัก สวมเสื้อปัก เลื่อมลายพราว พรายสี ภูษาจีบ แกมประดับ ทับทรวงมี ใช้ในงาน พิธี มีสายสะพาย ไทยจักรพรรดิ ผ่องผุด พิสุทธิ์ยิ่ง สไบทิ้ง ปักรุ้งร่วง ช่วงเฉิดฉาย ห่มทับไว้ แนบเสื้อ สร้อยสะพาย ดูคมคาย ครามีงาน การพิธี ไทยศิวาลัย สวมยกทอง ทาบทับเสื้อ งามอะเคื้อ ลำยอง ผ่องฉวี
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 41 ห่มผ้าปัก ลวดลาย แยบคายดี งามสุดที่ จะพรรณนา ศิวาลัย สตรีไทย ทั้งมวล ล้วนรำลำ สำนึกพระ กรุณาธิคุณ วิบูลย์สมัย ยามนุ่งห่ม สมพักตร์ เอกลักษณ์ไผท ประกาศไกล ก้องหล้า ทั่วสากล ระบำควนคราบุรี เป็นการแสดงสร้างสรรค์ของวิทยาลัยนาฏศิลปจันทบุรี “ควนคราบุรี” หมายถึงชื่อเมืองจันทบุรี ตาม หนังสืออักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทยกล่าวว่ามองซิเออร์ เอยโมเบอร์ได้เขียนเรื่องราวไว้ในหนังสือ “แคมโบช” เมื่อ ค.ศ. 1901 มีบาทหลวงคนหนึ่งได้พบศิลาจารึกอักษรสันสกฤต ที่บริเวณเขาสระบาป (ปัจจุบันเขาสระบาป อยู่ในเขต อ.เมือง จ.จันทบุรี) มีข้อความว่าเมืองจันทบุรีได้ตั้งมาช้านาน 1,000 กว่าปีมาแล้วในเวลานั้น เรียกว่า “ควนคราบุรี” ผู้สร้างเมืองชื่อหางหรือแหง คนพื้นเมืองเป็นพวกชอง แนวคิดในการประดิษฐ์ระบำควนคราบุรี เนื่องจากจังหวัดจันทบุรี เป็นจังหวัดที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของขอม มีหลักฐานทางศิลปวัฒนธรรม ของขอมเหลืออยู่ เช่น ซากกำแพงเมืองเก่า ศิลาแกะสลักเศียรเทวรูป ศิลาจารึกภาษาขอม เป็นต้น จึงทำให้ผู้ ประดิษฐ์มีแนวคิดในการประดิษฐ์ท่ารำ การแต่งกายทำนองเพลงโดยใช้ศิลปะไทยผสมกับศิลปะขอม ความหมายของระบำควนคราบุรี ระบำควนคราบุรีนี้ จินตนาการเป็นการร่ายรำของชาย-หญิง ชาวควนคราบุรีแสดงความสนุกสนาน รื่นเริงในงานนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ โดยรวมกลุ่มกันจับระบำ รำ ฟ้อน โอกาสที่ใช้แสดง ระบำควนคราบุรี นั้นสามารถใช้แสดงได้หลายโอกาสแบ่งตามจุดประสงค์ได้ดังนี้ 1. เป็นการแสดงให้เห็นถึงศิลปของไทยผสมกับของขอม 2. เป็นการแสดงให้เห็นว่าจันทบุรี เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่หนึ่งของไทย 3. เพื่อให้แขกผู้มาเยือน หรือผู้อื่นรู้จักจังหวัดจันทบุรีดียิ่งขึ้น 4. เพื่อให้เกิดความบันเทิง การแต่งกาย การแต่งกายได้ประดิษฐ์ขึ้นโดยอาศัยศิลปะการแต่งกายของสมัยลพบุรี ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับ ศิลปะของขอมเป็นหลัก มีส่วนที่ดัดแปลงบ้างเล็กน้อย คือ 1. ผู้หญิง ใส่เสื้อรัดอก (สมมติว่าไม่สวมเสื้อ) นุ่งผ้าชายซ้อนกันด้านหน้า กรองคอ ต่างหู คาดเข็มขัด ขนาดใหญ่ มีลวดลายสวยงาม กำไลต้นแขน กำไลมือ ผมเกล้ามุ่นมวย มวยสูงตรงกลางศีรษะมีเครื่องประดับ ศีรษะ สำหรับผู้แสดงเป็นตัวเอก มีเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่วิจิตรงดงาม กว่าหมู่ระบำ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 42 2. ผู้ชาย เปลือยตัว ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าโจงกระเบนสูงสั้นเหนือเข่าทิ้งชายออกมาข้างนอกคาดเข็มขัดมี ลวดลายประดับใส่ต่างหู กรองคอ รัดต้นแขน กำไลแขน และกำไลเท้า ศีรษะสวมหัวครอบเกล้ามวยแบบขอม ท่ารำ การประดิษฐ์ลีลาท่ารำระบำควนคราบุรีนี้ ประดิษฐ์ขึ้นโดยอาศัยศิลปะการร่ายรำของนาฏศิลป์ไทย ผสมกับการเลียนแบบศิลปะขอม 1. จากศิลปะการร่ายรำของไทย - ท่ารำพื้นฐาน เช่น การจีบ การตั้งวง - ท่ารำบางท่าในแม่บท เช่น ท่าช้างหว่านหญ้า ท่าภมรเคล้า ท่าประลัยวาต เป็นต้น 2. จากศิลปะขอม - การยืนพักเท้าข้างใดข้างหนึ่ง - การยกเท้า - การยืน - การตั้งวง - การตีไหล่ ได้เลียนแบบอย่างมาจากระบำลพบุรีซึ่งเป็นศิลปะการร่ายรำโบราณคดี - การลักคอ เลียนแบบศิลปะขอม - การจีบ ได้แบบอย่างมาจากระบำศรีชัยสิงห์ซึ่งเป็นศิลปะการร่ายรำแนวโบราณคดี - การตีไหล่ เลียนแบบศิลปะขอม ทำนองเพลงและดนตรี การประดิษฐ์ทำนองเพลง ผู้แต่งได้นำสำเนียงเพลงพื้นบ้านของชาวจันทบุรี คือ เพลงที่มา : จากการ เล่น “รำสวด” โดยยึดเอาสำเนียงของการเล่นรำสวดมาดัดแปลงและใส่ลีลาให้เป็นเพลงไทยในสำเนียงเขมร เพลงมี 2 อัตรา คือ เริ่มด้วยอัตรา 2 ชิ้น และเปลี่ยนเป็นอัตราชั้นเดียวใช้โทนตีประกอบจังหวะหน้าทับ เครื่องดนตรีวิทยาลัยนาฏศิลปะจันทบุรีใช้วงปี่พาทย์เป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดง ส่วน เครื่องดนตรีพื้นบ้านสำเนียงเขมรนั้น นิยมใช้กระจับปี่ โทน และปี่ผสมในวงดนตรีที่ใช้บรรเลง
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 43 ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=5178348955544108&set=pb.100001071634484.- 2207520000..&type=3
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 44 ละคร การแสดงละครไทย หมายถึง การแสดงละครรำ อันได้แก่ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละคร ดึกดำบรรพ์ ละครพันทาง ละครร้อง ละครสังคีต ละครพูด นับว่าเป็นศิลปะละครไทยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ชีวิตมนุษย์ เพราะมนุษย์ต้องการสิ่งที่ทำให้เกิดความสุข ความเพลิดเพลิน ละครไทยได้เริ่มต้นจากการเล่า นิทานในภายหลังนำดนตรีมาประกอบการเล่านิทาน และใช้ศิลปะในการเล่าโดยวิธีขับเสภา ต่อมาใช้คนแสดง กลายเป็นเสภารำ และวิวัฒนาการมาเป็นละครไทยในปัจจุบัน (สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์, 2543) การแสดงละครมีการแบ่งผู้แสดงเป็น ตัวพระ ตัวนาง และตัวประกอบแต่งองค์ทรงเครื่องตามบทบาท การร่ายรำมีท่วงท่าที่แสดงบทตามบทร้องประสานกับทำนองดนตรีไทยที่บรรเลงจังหวะช้า-เร็ว เร้าอารมณ์ผู้ชม ให้สนุกสนานไปกับการแสดง ตัวละครสื่อความหมายแสดงอารมณ์ความรู้สึกผ่านนาฏยศัพท์และภาษาท่า โดย ใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการแสดงลีลาท่ารำประกอบอากัปกิริยา ยืน เดิน นอน การแสดงความรู้สึก เช่น รัก โกรธ อาย เป็นต้น ท่ารำเลียนแบบธรรมชาติ เช่น ลมพัดยอดตอง เครือวัลย์พันธุ์ไม้ บัวตูม บัวบาน เป็นต้น หรือท่าทางเลียนแบบการก้าวเดินของสัตว์ แต่ปรับปรุงท่าทางให้งดงาม เช่น ยูงฟ้อนหาง กวางเดินดง หงส์บิน กินนรรำ เป็นต้น (สารานุกรมไทยฉบับเยาวชน โดยพระประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่มที่ 23, 2548) ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=_WV0mCgStmA ความหมายของละคร คำว่า “ละคร” และ “ละคอน” นี้ใช้ปะปนกันมาทั้งสองอย่าง ในหนังสือคำกลอน “ไวพจน์ประพันธ์” ท่านพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้บรรยายไว้ว่า “ซึ่งว่ารำละคร นักเลงฟ้อนรู้เต้นรำ โอดครวญหวนลำลำ ระรี่เรื่อยเจื้อยจับใจ เขาเล่าว่าเดิมที ยังมีละครไทย
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 45 ชาตรีซึ่งมีใน เมืองนครก่อนเป็นครู ฝึกครอบมอบสอนให้ ละครไทยได้เฟื่องฟู เลื่องลือระบือดู เต้นรำเรื่องเมืองนคร ครั้งนานกาลกลับกลาย ตัวนะหายคลายเคลื่อนถอน เรียกว่าดูละคร สะกด “ร” พอเป็นพยาน” ดังนั้นที่เขียนว่า “ละคร” เพราะเราเข้าใจว่ารกรากมาแต่นครศรีธรรมราช แต่ภาษาชวาเขามีคำว่า “ละคร” ซึ่งเขาหมายความถึง “ เรื่อง” เช่น ละครอิเหนา ก็คือ เรื่องอิเหนา “ละคร” หมายถึง การแสดงที่ผูกเป็นเรื่องราว ซึ่งได้รับสืบทอดมาจากกรีก อียิปต์ จีน มนุษย์ทุกเชื้อ ชาติย่อมมีการแสดงละคร การแสดงละครไทยมีประวัติความเป็นมายาวนาน มีเอกลักษณ์การแสดงที่โดดเด่นในแต่ละรูปแบบ การแสดง การแต่งกายที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่ทำให้ละครประเภทนั้นเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของคนในสังคม จนสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ดังนี้ 1.ละครประเภทพื้นบ้าน 1.1 ละครชาตรี 1.2 ละครเสภา 1.3 ละครนอก 2.ละครประเภทราชสำนัก 2.1 ละครใน 2.2 ละครพันทาง 2.3 ละครดึกดำบรรพ์ 2.4 ละครร้อง 2.5 ละครสังคีต 2.6 ละครพูด 3.ละครประเภทร่วมสมัย
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 46 3.1 ละครหลวงวิจิตรวาทการ 1. ละครพื้นบ้าน 1.1 ละครชาตรี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ในสาส์นสมเด็จว่า “แต่ชื่อ เรียกว่า “ละครชาตรี” นั้น ไม่ปรากฏทางเมืองพัทลุง นครศรีธรรมราช คงเป็นชื่อเรียกกันขึ้นในกรุงเทพฯ เพราะเหตุจึงเรียกเช่นนั้น ได้แต่สันนิษฐานประกอบศัพท์ “ชาตรี” ว่าเป็นชายชาตรีตามรูปศัพท์ ดูเหมือนจะ แปลว่าผู้เกิดในตระกูลดี ซึ่งเข้าใจกันเป็นสามัญว่าเป็นพวกที่รู้เล่ห์กลต่าง ๆ ตามได้ยินกล่าวกันมาว่า พวก ละครชาตรีเป็นเช่นนั้น ธนิต อยู่โพธิ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือรวมปาฐกถางานอนุสรณ์อยุธยา 200 ปี เกี่ยวกับละครชาตรีว่า “ละครแบบนี้ คงปรับปรุงมาจากการละเล่นพื้นเมืองที่เรียกกันว่า “โนรา” จึงบางครั้งเรียกรวมกันว่า “โนรา ชาตรี” และคำว่า “ชาตรี” เองซึ่งเป็นชื่อละครแบบนี้ก็ยังหาความหมายกันไม่ได้ ว่าเหมาะสมจะหมายความว่า กระไรแต่วิธีการบางอย่างของละครชาตรีที่มีผู้แสดงเป็นหลักอยู่ 3 คน คือ ผู้แสดงเป็นผู้ชาย หมายถึงนายโรง หรือยืนเครื่อง 1 ผู้แสดงบทเป็นผู้หญิงหรือนาง 1 และตัวตลกหรือตัวแสดงบทเบ็ดเตล็ด 1 ทั้งละครประเภทนี้ เที่ยวเร่ร่อนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เป็นอย่างละครชาตรี เหมือนกับละครของอินเดียที่เรียกว่า “ยาตรา” ตาม ความหมายของคำว่า “ยาตรา” ก็หมายถึง เดินหรือเคลื่อนย้าย ถ้ากระนั้นละครโนราชาตรี อาจปรับปรุงมา ตามแบบละครยาตราของอินเดียก็ได้ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนตอบปัญหาประจำวันในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2507 มีใจความสรุปได้ว่า ละครชาตรีของไทยแท้แต่เดิมคือละครเร่ คำว่าชาตรีเพี้ยนมาจาก “ยาตรี” หรือ “ยาตรา” ซึ่ง แปลว่าเดินทางท่องเที่ยว ในปัจจุบันอินเดียก็ยังมีละครเร่ที่เรียกว่า “ชาตรี” (สุมนมาลย์ นิ่มเนติ พันธ์, 2543) ที่มา https://www.facebook.com/profile.php?id=100057442209737
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 47 ประวัติความเป็นมา ประวัติความเป็นมาของละครชาตรี มีกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีผู้สันนิษฐานว่า เกิดจาก การนำเอาการขับร้องและระบำฟ้อนรำประกอบดนตรี ซึ่งไทยเรามีอยู่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย มาผสมกับการแสดง ละคร เป็นเรื่องแบบอินเดีย (สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์, 2543) ละครชาตรีมีตัวละครเพียง 3 ตัว คือ ตัวนายโรง ตัวนาง และตัวจำอวด ผู้แสดงเดิมเป็นผู้ชายล้วน (เบ็ญจมาศ คำอุ่น, 2549) แสดงให้เห็นว่าเป็นละครประเภทเร่ร่อนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ จึงจำกัดตัวผู้แสดง เพื่อสะดวกในการเดินทาง แม้แต่เครื่องดนตรีก็ต้องมีน้อยชิ้น และคล้ายคลึงกับละครอินเดีย เครื่องดนตรีที่ เล่นมีเพียงปี่เลา 1 คู่ กล่องเล็ก 1 คู่ และฆ้อง 2 ลูก ละครชาตรีเป็นละครรำประเภทหนึ่งที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างโนราของภาคใต้กับละครนอก ของภาคกลาง เมื่อ พ.ศ. 2375ในสมัยรัชกาลที่ 3 ผู้แสดงโนราจากนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ได้อพยพ หนีความอดอยากแห้งแล้งติดตามกองทัพไทย ขึ้นมาตั้งถิ่นฐานที่ กรุงเทพฯ บริเวณถนนหลานหลวง และทำมา หากินโดยรับจ้างแสดงละคร ซึ่งถือเป็นของแปลกใหม่ และได้รับความนิยม ในการแสดงมีการใช้คาถาอาคมด้วย จึงใช้ในการแก้บน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้รับเอาวัฒนธรรมละครนอกไปใช้ในการแสดง และเปลี่ยนผู้แสดง จากผู้ชายเป็นผู้หญิง โดยรูปแบบและวิธีการแสดงค่อยๆ แปลงไปเป็นละครนอก จนปัจจุบัน มีลักษณะของ ความเป็นโนราเพียงในพิธีกรรมก่อนการแสดงละคร และการร้องเพลงชาตรีในบางแห่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้กรม ศิลปากรจึงได้ฟื้นฟูการแสดงละครชาตรีขึ้นมาเป็นละครโรงใหญ่ โดยมีการจัดแสดงเรื่อง “มโนราห์” จากสุธน ชาดก ใน พ.ศ. 2498 และเรื่อง “รถเสน” จากรถเสนชาดก ใน พ.ศ. 2500 จนเป็นที่เลื่องลือในเรื่องความ ไพเราะและความงดงามตระการตามาจนถึงในปัจจุบัน ต่อมาได้พัฒนาให้เป็นแนวละครชาตรี จากการแสดง เรื่อง “ศรีธรรมาโศกราช” ใน พ.ศ. 2513 และเรื่อง “ตามพรลิงค์” ใน พ.ศ. 2524 ตามลำดับ บทประพันธ์ของ สมภพ จันทรประภา ส่วนละครชาตรีแก้บนทั่วไปก็ได้รับความนิยมลดลง มีเจ้าภาพจัดหาไปแสดงแก้บนน้อยลง มาก โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ อย่างไรก็ตาม ละครชาตรีแบบดั้งเดิมคงมีแสดงอยู่บ้าง เช่น ที่วัด มหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีการแสดงอยู่เกือบทุกวัน ยกเว้นช่วงเข้าพรรษา การแสดงละครชาตรีใน ปัจจุบันเริ่มในเวลาประมาณ 09.00 น. แล้วพักเที่ยง จากนั้นแสดงต่อจนจบในเวลาประมาณ 16.00 น. ถ้า เจ้าภาพมีงบประมาณน้อยก็จะจ้างรำแก้บนเป็นชุดสั้นๆ ใน พ.ศ. 2375 รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เมื่อ ครั้งเป็นเจ้าพระยาพระคลัง ยกทัพลงไประงับเหตุการณ์ร้ายทางหัวเมืองภาคใต้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นได้เกิดฝนแล้ง ราษฎรอดอยาก ทำให้ชาวเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา พากันอพยพติดตามกองทัพเข้ามายัง กรุงเทพฯ และโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรเหล่านั้นเป็นไพร่หลวงเกณฑ์บุญ คือ เป็นแรงงาน เมื่อราชการมีงานบุญ และให้ตั้งบ้านเรือน ซึ่งในปัจจุบัน เป็นบริเวณถนนหลานหลวง และถนนดำรงรักษ์ นักแสดงโนราซึ่งติดตามมา
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 48 ด้วย ก็ตั้งเป็นคณะละครรับจ้างแสดงแบบเหมาทั้งคณะ จนเป็นที่นิยม เนื่องจากเป็นสิ่งแปลกใหม่และยังมีการ ใช้คาถาอาคม ต่อมาคณะโนราได้ปรับรูปแบบการแสดงของตน ให้เข้ากับรสนิยมของผู้ชมในกรุงเทพฯ โดยการ นำธรรมเนียมการแสดงของละครนอกมาผสมผสาน เช่น ดนตรี ปี่พาทย์ ทำนองเพลง การร้อง การรำ การแต่ง กาย ในระยะแรกที่มีการผสมผสานกับละครนอกนั้น นักแสดงโนราที่เป็นผู้ชายเปลี่ยนมานุ่งผ้า เหมือนอย่าง ละครนอก แต่ยังคงรักษาแบบแผนของโนราคือ สวมเทริด สวมกำไลมือข้างละหลายอัน และสวมเล็บ แต่ไม่สวม เสื้อ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 อนุญาตให้ผู้หญิงสามารถแสดงละครได้ทั่วไป ไม่หวงห้ามไว้เฉพาะละครผู้หญิง ของหลวง เหมือนอย่างแต่ก่อน นักแสดงละครชาตรีจึงเปลี่ยนจากผู้ชายเป็นผู้หญิง ทำให้ต้องสวมเสื้อแบบละคร นอก และเปลี่ยนเทริดเป็นชฎา เพราะรับกับใบหน้าของผู้หญิงทำให้ดูงดงามมากกว่า รวมทั้งนำเครื่องประดับ ของละครนอกมาใช้ จนครบเครื่องของละครนอกในที่สุด ส่วนการสวมเล็บก็ค่อยๆ หมดไป สำหรับการรำแบบ โนราที่เป็นท่ารำของผู้ชายคือ มีวงและเหลี่ยมเปิดกว้างสุด ก็ปรับลดลง เพื่อให้เหมาะสำหรับผู้หญิง โดยยังคง ท่าทางแอ่นอกตึง ก้นงอน และย่ำเท้าเข้าจังหวะไว้ ไม่ใช้การกระทบจังหวะด้วยเข่าแบบละครนอก ส่วนเครื่อง ดนตรีมีระนาดเอก ตะโพน กลองตุ๊ก โทนชาตรีคู่ ฉิ่ง ฉาบเล็ก กรับไม้ไผ่ แต่ยกเลิกปี่ เพราะคนที่สามารถเป่าปี่ ได้หายากขึ้น เรื่องราวที่เป็นหลักฐานสำคัญที่อ้างถึงละครชาตรี มีอยู่ว่า พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ปัทมราช พระราชธิดาในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 ได้กราบทูล ขอพระราชานุญาต เสด็จกลับไปพยาบาลดูแลเจ้าจอมมารดานุ้ย (เล็ก) พระมารดาซึ่งเป็นธิดาเจ้าพระยานคร (พัฒน์ ณ นคร) ทรงฝึกหัดละครผู้หญิงที่นครศรีธรรมราชขึ้นคณะหนึ่ง โดยจัดแสดงเรื่อง “อิเหนา” เมื่อเจ้า จอมมารดาถึงแก่อนิจกรรม พระองค์ก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ และทรงนำคณะละครผู้หญิงมาแสดงถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ปรับการแสดงเป็นแบบละครชาตรี ละครชาตรีของหลวงจึงเกิดขึ้นนับแต่นั้นมา ปัจจุบันมีละครแก้บนที่แสดงเป็นประจำทุกวันตามสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ศาลหลักเมือง กรุงเทพฯ ศาลพระพรหมเอราวัณ กรุงเทพฯ วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัด ฉะเชิงเทรา และวัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี ตลอดจนตามวัดสำคัญๆ ในจังหวัดภาคกลาง ตามแต่ เจ้าภาพจะจัดหาไปแสดง การแสดงแบ่งเป็นรำชุด เช่น ระบำเทพบันเทิง กฤดาภินิหาร หรือแสดงเป็นละคร ซึ่ง ประชาชนทั่วไป เรียกการแสดงแก้บนนี้ว่า “ละครชาตรี” แม้ว่าการแสดงละครชาตรีในปัจจุบัน จะเหมือน ละครนอกเกือบทั้งหมด แต่ยังคงมีการแสดงละครชาตรีแบบดั้งเดิมเหลืออยู่บ้าง เช่น คณะนายพูน เรืองนนท์ ที่ ถนนหลานหลวง กรุงเทพฯ คณะละครชาตรีที่จังหวัดเพชรบุรีที่เรียกว่า ละครชาตรีเมืองเพชร(สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 36, ออนไลน์) บทบาทหรือประโยชน์ ปัจจุบันการแสดงละครชาตรีตามแบบแผนของละครชาตรีดั้งเดิม นับวันจะมีน้อยลงเพราะผู้แสดง ส่วนใหญ่มุ่งเน้นในเรื่องของความสะดวกสบายในการจัดการแสดงมากกว่าจะคำนึงถึงแบบแผนและ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 49 ศิลปะการแสดงละครชาตรีแบบดั้งเดิม ดังนั้น ละครชาตรีจึงแสดงในแนวที่ผสมด้วย ละครพันทางหรือลิเก เพราะแสดงได้ง่ายกว่าการแสดงละครชาตรี ละครชาตรียังมีความสำคัญต่อชีวิตของคนไทยบางกลุ่มที่มีความเชื่อต่อ ๆ กันมาว่า ละครชาตรี จะ สามารถนําไปเล่นแก้บนต่อสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ชื่อการแสดงที่พบในท้องถิ่น คือ ละครชาตรี ละครแก้บน ละครรํา ละครนอก ลักษณะของการแสดงมีทั้งรูปแบบของการแสดงละครชาตรี ละคร ชาตรีผสมละครนอก ละครชาตรีผสม ละครพันทาง และละครนอก เรื่องที่แสดงเป็นเรื่องที่มาจากวรรณกรรม การละครไทย เลือกตอนเล่นที่มีความ สนุกสนาน เน้นความโดดเด่นที่สำคัญในการดำเนินเรื่อง พิธีกรรมก่อน การแสดง บางคณะยังคงรักษาพิธีกรรมก่อน การแสดงไว้อย่างครบถ้วนทุกขั้นตอน แต่มีบางคณะทำพิธีกรรมไม่ ครบขั้นตอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการสืบทอดของแต่ละคณะ ทุกคณะมีกระบวนการรํา 6 แบบ ได้แก่ รำตีบท รำประกอบ ทำนองเพลง รำหน้าพาทย์ รำอาวุธ รำตามบท เจรจา และรำตามบทบาทเฉพาะทางผู้แสดงต้องร้องและเจรจา เอง ทุกเรื่องมีผู้แสดงบทตลกสอดแทรกตามท้องเรื่อง การแต่งกาย ตัวเอกและตัวรองแต่งกายยืนเครื่องพระ และยืนเครื่องนางเป็นหลัก ตัวประกอบอื่นแต่งเรียบง่ายตาม บทบาท ไม่เคร่งครัด เรื่องจารีตการแต่งกายตาม แบบละครหลวง ดนตรีและเพลงบรรเลงตามแบบแผนการแสดงละคร ได้แก่ เพลงหน้าพาทย์ เพลงบรรเลงรับ ร้องในการดำเนินเรื่อง เพลงที่ใช้ร้องในการดำเนินเรื่องเป็นเพลงไทยเดิม จังหวะช้าปานกลางและจังหวะเร็ว เป็นหลัก บางครั้งเสริมเพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง เพลงลิเก เพื่อเน้นอารมณ์ในการแสดงการแสดงละครชาตรี พื้นบ้าน ผู้แสดงแต่ละคณะมีความสามารถในการรําและการร้องหลากหลายชั้นเชิงและความสามารถ เป็นที่น่า เสียดายว่าผู้แสดงส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยสูงอายุและวัยชราความสามารถการแสดงเหล่านี้นับวัน จะหมดไปตาม วัยและอายุของผู้แสดงจึงเป็นส่วนสำคัญ (สวภา เวชสุรักษ์, 2561) ในอดีตการแสดงละครชาตรีจะมีพิธีกรรมก่อนเริ่มการแสดง คือ พิธีกรรมก่อนการแสดง ได้แก่ การ ปลูกโรง การบูชาครู การโหมโรง การร้องประการหน้าบท การร้องเชิดครู และรําชัดหน้าบทการแสดงละคร ได้แก่ การดำเนินเรื่อง การแต่งกาย ดนตรีประกอบการ แสดงพิธีลาโรงเป็นพิธีกรรมหลังจากจบการแสดงใน ครั้งหนึ่งๆ แบบแผนของการแสดงละครชาตรีในแต่ละขั้นตอน ตามที่รวบรวม มีข้อมูลพอสรุปได้ ดังนี้คือ ละคร ชาตรีที่แสดงในสถานที่ที่กำหนดไว้ชัดเจนเรียกว่า โรง โรงละครชาตรีสมัยโบราณ มีเสา 4 ต้น ปัก 4 มุม บน พื้นดินเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีเตียงสำหรับ แสดง 1 เตียง ตั้งไว้กลางโรง มีผ้าขึงทำเป็นหลังคาสี่เสากลางอีก 1 เสา ปักค้ำหลังคาผ้าไว้เสากลางโรงนี้ถือ ว่าเป็นเสามหาชัย มีความหมายว่า แทนองค์พระวิสสุกรรม พระ วิสสุกรรมมาจะประทับคุ้มครองผู้แสดงให้พ้น จากอันตรายต่าง ๆ เสากลางนี้ จะใช้เป็นที่ผูกซองคลี (ซองใส่ไม้ รบต่าง ๆ) สำหรับใช้ในการแสดงด้วย (มนตรีตราโมท, 2526) พิธีกรรมการปลูกโรงเป็นขั้นตอนที่หัวหน้าคณะ หรือนายโรงที่มีความรู้สืบทอดทางพิธีกรรมเป็นผู้ทํา พิธีผูกกิ่งมะยมด้วยตอกไม้ไผ่ 3 เส้น ที่ขอมาจากเจ้าภาพ