The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สารานุกรมนาฏศิลป์ เนื้อหาภาคกลาง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Teekapat Sontinuch, 2023-06-30 01:22:11

สารานุกรมนาฏศิลป์ เนื้อหาภาคกลาง

สารานุกรมนาฏศิลป์ เนื้อหาภาคกลาง

น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 100 ไว้แล้ว แต่บังเอิญเป็นช่วงเวลาที่ทรงประชวร และเสด็จสวรรคตในที่สุด เรื่องนี้จึงไม่ได้นำออกแสดงตามพระ ราชประสงค์ ต่อมาในปี พ.ศ.2490 กรมศิลปากรได้จัดให้มีการแสดงละครร้องเรื่องสาวิตรีขึ้นเพื่อเป็นการ เฉลิมพระเกียรติ และสนองพระราชประสงค์ในพระองค์ท่าน วรรณคดีการละครเรื่องสาวิตรี แพร่หลายอยู่ ในกลุ่มชนชั้นปัญญาชนผ่านการเสพอ่านจากตัวบทวรรณคดี จากนั้นจึงแพร่หลายสู่ประชาชน เรื่องสาวิตรี หรือ สาวิตรยุปขยานับเริ่มจากเหตุการณ์ในมหาภารตะตอนที่กษัตริย์ปาณฑพ 5 องค์ คือยุธิษฐิระ ภีมะ อรชุน นกุลและสหเทพ แพ้สกาเพราะถูกกษัตริย์เการพโกงต้องออกไปพำนักอยู่ในป่าเป็น เวลา 12 ปีตามเงื่อนไข ขณะที่พำนักอยู่ในป่าชื่อ กามยกะ เป็นปีที่ 11 นั้น วันหนึ่งกษัตริย์ทั้ง 5 องค์ ออกไปล่าสัตว์และให้มเหสีของพวกตนคือ นางเทราปที อยู่ที่อาศรมกับพราหมณ์ธามยะ ขณะนั้นกษัตริย์ช ยัทรถ ราชาแห่งแควันสินธุผ่านมาทางอาศรมพบความงามของนางเทราปทีมีจิตปฏิพัทธ์จึงฉุดนางขึ้นรถไป เมื่อสวามีทั้งห้าองค์กลับมาได้ทราบเรื่องจึงออกติดตามนางกลับมาได้ และได้ลงโทษกษัตริย์ชยัทรถด้วย ต่อมาวันหนึ่งด้วยเหตุการณ์นั้น ฤษีมารกัณฑยะแวะมาเยี่ยมกษัตริย์ปาณฑพที่ป่ากามยกะได้เห็นพระราชา ยุธิษฐิระมีความเศร้าโศกเพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาจึงเล่าเรื่องปลอบพระทัย เรื่องที่เล่าคือ ราโมปาขยานัม (นิทานเรื่องพระราม) และสาวิตรยุปขยานัม (เรื่องของเจ้าหญิงสาวิตรี) เรื่องย่อของสาวิตรียุปาขยานัมมีว่า พระราชาอัศวบดีแห่งแคว้นมัทธะไม่มีโอรสจึงบำเพ็ญตบะอดอาหารวันละหกชั่วโมงบูชาพระอัคนี (เทพแห่งไฟ) ด้วยเครื่องสังเวยนับแสน และสวดบทสวดสรรเสริญด้วยฉันท์ชื่อสาวิตรีต่อมา พระเทวีสาวิตรี มเหสีของพระพรหมปรากฎองค์และตรัสกับพระราชาว่าพระพรหมพอพระทัยกับการบวงสรวงและการบำเพ็ญ ตบะจะประมานพระราชธิดาผู้ทรงเดชให้ เมื่อพระมเหสีของพระราชาอัศวบดีให้กำเนิดพระธิดา พระบิดา และพราหมณาจารย์จึงขนานนามเจ้าหญิงว่า “สาวิตรี” ครั้งเจ้าหญิงถึงวัยจะมีคู่ครองไม่มีผู้มาสู่ขอเพราะ อำนาจแห่งเดชของนาง พระบิดาจึงตรัสให้สยุมพรโดยให้ออกเดินทางหาคู่ครองที่นางเห็นว่าเหมาะสม เจ้า หญิงออกเดินทางพร้อมด้วยคณะพราหมณ์และมนตรีไปยังบุณยสถานต่างๆ ได้พบเจ้าชายสัตยวานโอรสของ พระราชาทยุมัตเสนแห่งแคว้นศาลวะผู้มีพระเนตรบอดและถูกชิงราชสมบัติจึงออกมาใช้ชีวิตเป็นราชฤษีอยู่ใน ป่า นางจึงเลือกเจ้าชายนั้นเป็นคู่ครอง เมื่อกลับมากราบทูลเรื่องนั้นแค่พระบิดา ฤษีนารทะซึ่งแวะมาเยี่ยม พระราชาอัศวบดีได้ทำนายดวงชะตาของเจ้าชายสัตยวานว่าจะสิ้นชีวิตภายใน 1 ปี พระบิดาขอให้เจ้าหญิง เลือกชายอื่นเป็นคู่ครอง แต่เจ้าหญิงมีจิตมั่นคงจึงไม่ยอมเลือกใครอื่น ฤษีนารทะเห็นความเด็ดเดี่ยวของนาง จึงได้ให้พรแล้วก็จากไป พระราชาอัศวบดีจัดเตรียมพิธีอาวาหมงคลแล้วนำพระธิดาไปมอบแก่เจ้าชายและมอบหมายแด่ พระราชาทยุมัตเสน ฝ่ายเจ้าหญิงก็เก็บคำทำนายของฤษีปารทะไว้เป็นความลับ ก่อนจะครบกำหนดการ สิ้นชีวิตขิงเจ้าชายสัตยวานเจ้าหญิงได้บำเพ็ญพรตชื่อ “ตริราพรต” เมื่อถึงวันกำหนดที่สวามีจะสิ้นชีวิต เจ้า หญิงก็ขอติดตามไปเก็บฟืนและผลาผลในป่า ขณะที่กำลังตัดฟืนอยู่เจ้าชายก็หมดกำลังเจ้าหญิงสาวิตรีเข้า


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 101 ประคอง และเจ้าชายก็สิ้นชีวิตบนตักของนาง เจ้าหญิงมองเห็นพระยมเทพใช้บ่วงบาศคล้องเอาวิญญาณของ เจ้าชาย ฝ่ายเจ้าหญิงวาวิตรีเมื่อทูลถามและได้ทราบว่าเป็นพระยมเทพซึ่งเสด็จมาเอาชีวิตของเจ้าชายก็ติดตาม ไป เมื่อพระยมเทพตรัสให้กลับแต่เจ้าหญิงได้ทูลตอบด้วยปัญญาอันหลักแหลมของนาง พระยมเทพพอ พระทัยจึงประทานพรให้ยกเว้นชีวิตของเจ้าชาย เจ้าหญิงขอพรประการแรกคือขอให้พระสัสสุระ (พระบิดา ของสวามี) มีพระเนตรกลับดีดังเดิม เมื่อติดตามพระยมเทพต่อไปอีกและได้ทูลโต้ตอบด้วยปัญญาอันหลัก แหลมอีกถึงสามครั้งก็ได้รับพรถึงสามครั้งดังนี้ คือขอให้พระสัสสุระได้ราชสมบัติกลับคืน ขอให้พระบิดาของ นางคือพระราชาอัศวบดีมีโอรสสืบราชสมบัติ และขอให้นางเองมีโอรสที่เกิดกับเจ้าชายสัตยวานจำนวน 100 องค์ พรปรพการหลังนี่เองเป็นเหตุให้ได้รับพรประการสุดท้ายซึ่งเป็นพรสูงสุดคือได้ชีวิตของเจ้าชายสัตยวานผู้ สวามีซึ่งพระยมเทพประทานคืนให้ด้วยความพอพระทัย พระราชนิพนธ์บทละคร โอ้ว่าพระบิดาบังเกิดเกศ ทรงเดชดำรัสเช่นนั้นได้ ลูกบาศก์ตกได้เพียงหนเดียวไซร้ ทั้งบุตรียกได้ให้หนึ่งครั้ง อนึ่งลั่นวาจาว่ายกให้ ก็ได้เพียงครั้งเดียวเป็นที่ตั้ง สามอย่างนี้ทำได้เพียงหนึ่งครั้ง ขอพระองค์ทรงฟังลูกจงดี บทร้อง-สาวิตรี เชิญเสด็จบัดนี้เถิดทรงธรรม์ หม่อมฉันจะปฏิบัติยามเสวย อันหน้าที่เคยมีไม่ละเลย จะตั้งเครื่องเสวยภูวไนย ส่วนหม่อมฉันจะขอรอไว้กว่า สุริยาจะลับดับแสงใส จึ่งจะกินอาหารสำราญใจ ได้ตั้งจิตมั่นไว้แล้วเช่นนี้ บทร้อง-สัตยวาน เมื่อน้องได้ตั้งจิตอธิษฐาน พี่ก็ไม่คัดค้านมารศรี ไปเถิดโฉมเฉลาเข้ากุฎิ เพื่อพลีไฟเรือนเหมือนเคยมา บทสวด-พราหมณ์(สรภัญญะ) อ้าองค์พระทรงฤท ธิมหิหธิเดชา ส่องแสงสว่างมา อภิรักษ์นรากร


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 102 สามส่วนประมวลลง ณ พระองค์อดิศร หนึ่งอยู่ ณ อัมพร พระเสด็จประทานแสง ฯลฯ ตัวละคร การแสดงละครร้องล้วน ๆ จะใช้ตัวละครที่เป็นชายจริงหญิงแท้ในการแสดง โดยในที่นี้จะขอ ยกตัวอย่าง ตัวละครหลักในเรื่องสาวิตรี มาอธิบายต่อไป นางสาวิตรี ผู้เป็นตัวละครหลัก (protagonist) ได้รับยกย่องให้เป็นผู้หญิงในอุดมคติ สืบเนื่องจากใช้ สติปัญญาอย่างเฉลียวฉลาดเฉียบแหลมในการแสดงธรรมช่วยเหลือพระสัตยวาน ผู้เป็นสวามีให้ได้รับการฟื้น คืนชีพจากพระยม (ธนสิน ชุตินธรานนท์, 2559) ดนตรี การแสดงละครร้องใช้วงดนตรีใช้ปี่พาทย์ไม้นวม ผู้แสดง การแสดงละครร้องล้วน ๆ เรื่องสาวิตรี มีผู้แสดงเป็นชายจริงหญิงแท้ ในปัจจุบันรูปแบบการแสดงได้ แพร่หลายในกลุ่มของนักเรียนนักศึกษาที่นำเอาบทละครมาแสดงในงานกิจกรรมหรือวิทยานิพนธ์ต่าง ๆ อุปกรณ์การแสดง การแสดงละครร้องล้วน ๆ เรื่องสาวิตรี มีอุปกรณ์ประกอบการแสดง เช่น เมื่อฉากเป็นท้องพระโรง จะใช้อุปกรณ์ คือ โต๊ะ ตั่ง หมอนอิง พัดโบก เป็นต้น หากเป็นฉากในป่า จะมีโต๊ะที่นั่งแบบไม้ กองไฟ พัดขนนกยูง การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) การแสดงละครร้องล้วน ๆ นั้น กำหนดให้ตัวละครขับร้องกลอนโต้ตอบกัน และเล่าเรื่องเป็นทำนอง แทนการพูด จึงต้องดำเนินเรื่องโดยการร้อง ไม่มีคำพูดแทรก ตัวละครใช้ท่าทีอย่างสามัญชน หรืออาจมีการ รำแทรก ใช้ลูกคู่ร้องประกอบการแสดง มีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 103 ที่มา https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=13&chap=5&page=t13-5- infodetail06.html เครื่องแต่งกาย การแสดงละครร้องล้วน ๆ นั้น มีการแต่งกายอย่างละครพันทาง คือ แต่งกายตามเชื้อชาติ ไม่มีการ แต่งชุดยืนเครื่องแบบละครใน โรงละคร การแสดงละครเรื่องสาวิตรี กรมศิลปากรได้นำแสดงครั้งแรกในรูปบบละครร้องเมื่อ พ.ศ.2491 ณ โรงละครหลังเดิม จากนั้นได้มีการนำมาผลิตซ้ำพร้อมนำเสนอตีความคิดใหม่ อย่างน้อย 4 ครั้ง 1.ละครเวทีเรื่อง สาวิตรี โดยบริษัท แดส เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด จัดแสดงเมื่อ พ.ศ.2539 ณ โรงละครศาลา เฉลิมกรุง 2. ละครเวทีเรื่อง ความรักและความตาย โดยคณะการละครเสิร์ช กรุ๊ป (Search Group) จัดแสดง เมื่อ พ.ศ. 2539 ณ วังสวนผักกาด 3. ละครสั้นเรื่อง Savitri วิทยานิพนธ์ระดับมหาบัณฑิตของอรดา ลีลานุช จัดแสดงเมื่อ พ.ศ. 2550 ณ มหาวิทยาลัยไมอามี่ (Miami University) ประเทศสหรัฐอเมริกา 4. ละครเวทีเรื่อง ภาพเงาสาวิตรีโดยนิสิตรายวิชาการศึกษาเฉพาะเรื่องในศิลปะการละคร 1 ภาควิชา ศิลปการ ละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะหนังใหญ่วัดบ้านดอน จังหวัดระยอง และนิสิต สาขาวิชาดนตรีและการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จัดแสดงเมื่อ พ.ศ.2553 ณ เทศกาล ละครกรุงเทพ ครั้งที่ 8 สถาบันการศึกษา/การฝึกหัด-ถ่ายทอด


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 104 สำหรับการแสดงละครร้องนั้นผู้ที่ยังมีการฝึกหัดและถ่ายทอดกระบวนการแสดงและขั้นตอนการแสดง คือสำนักการสังคีต กรมศิลปากร วิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 2.5 ละครสังคีต สังคีต หมายถึง การรวมเอาการฟ้อนรำและการละคร พร้อมทั้งดนตรีทางขับร้องและดนตรีทางเครื่อง ด้วย ดังนั้น ละครสังคีต หมายถึง ละครที่มีทั้งบทพูดและบทร้องเป็นส่วนสำคัญเสมอกัน ไม่สามารถตัดอย่างใด อย่างหนึ่งออกได้เพราะจะทำให้เนื้อเรื่องไม่สมบูรณ์ การแสดงละครสังคีตได้รับอิทธิผลมาจากการแสดงละคร ตะวันตก เช่น ลักษณะการขับร้องได้มาจากละครโอเปร่าตะวันตกที่นำมาปรับใช้ตั้งแต่เกิดละครดึกดำบรรพ์ เป็นต้น ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=ErZY22Mzi_M ประวัติความเป็นมา ละครสังคีต ได้รับอิทธิพลมาจากการแสดงละครร้องและละครพูดในสมัยรัชกาลที่6 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดละครประเภทนี้ ละครสังคีตที่ทรงพระราชนิพนธ์มีอยู่ 4 เรื่อง - หนามยอกเอาหนามบ่ง - วิวาหพระสมุทร - มิกาโด - วั่งตี่ ละครเรื่องหงส์ทอง บทประพันธ์ของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล นิยมนำเครื่องดนตรีสากบเข้าบรรเลง ร่วมกับวงปี่พาทย์ มีกลิ่นไอของละครตะวันตกมากยิ่งขึ้น องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 105 บทละครของละครสังคีตที่นิยมแสดงมักเป็นเรื่องราวที่แปลมาจากละครตะวันตกและนำมาปรับปรุง ขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับการแสดงของไทย เช่น เรื่องหงส์ทอง เป็นบทประพันธ์ของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล กรมศิลปากรจัดการแสดงครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2546 เนื้อเรื่องกล่าวถึงความรักของเจ้าชายและนางหงส์ผู้ต้อง คำสาปให้อยู่ในร่างของหงส์จนกว่าจะพบรักแท้ และบทละครโดยส่วนใหญ่จะเป็นบทละครที่นำมาแปล ซึ่ง ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่อง Le Lac des Cygnes ซึ่งจะทำเป็นแบบไทย โดยเขียนบทละครแบบวิวา หพระสมุทร และเรียกว่าละครสังคีต ให้ตัวละครแต่งตัวแบบตะวันตกแต่ให้ร้องเพลงไทย ท่านลงมือแต่งใช้ เวลาเพียง 9 วัน ด้วยความระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงขอ พระบรมราชานุญาตใช้ชื่อดุสิตธานีเป็นชื่อเมืองในบทละคร และเริ่มต้นด้วยประโยค “พวกเราชาวบุรียินดี เหลือ” ของวิวาหพระสมุทร (ปิ่น มาลากุล, 2509 อ้างใน นันทา ขุนภักดี, 2550) ท่านตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เพลงไทย จึงได้ขอร้องให้ครูมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยกรม ศิลปากรให้ช่วยบรรจุเพลงให้ยกเว้นนางนาคซึ่งเป็นกาพย์ฉบังลาว และลาวสมเด็จกับแขกสาหร่ายซึ่งเป็นเพลง ที่มีสร้อย และท่านได้แต่งบททั้งสองนั้นให้มีสร้อยเรียบร้อย และครูมนตรี ตราโมทบรรจุเพลงหงส์ทองให้ จึง จึงใช้ชื่อหงส์ทองเป็นชื่อบทละครแทนชื่อเดิมที่คิดไว้ว่า หงส์เหิน เพราะท่านเห็นว่าเหมาะกว่า (ปิ่น มาลากุล ,2509 อ้างใน นันทา ขุนภักดี,2550) ตัวอย่างเพลงในบทละครสังคีตเรื่องหงส์ทองที่ไพเราะและเพลิดเพลินมีดังนี้ บทร้อง (โยนดาบ) พลเมือง พวกเราชาวบุรียินดีเหลือ เจ้านครเอื้อเฟื้อเรามากหลาย เฉลิมขวัญวันประสูติของเจ้าชาย จึงตั้งหน้ามาถวายพระพรชัย บทร้อง (สะสม) พลเมือง ไวโยได้เฝ้าเจ้าชีวิต ชาวดุสิตธานีน้อมถวาย พระพรให้ชื่นฉ่ำเกียรติกำจาย สรรพโศกโรคร้ายอย่าบีฑา เป็นปิ่นเกศข้าเจ้าอยู่เนานาน ทรงเกษมสำราญสุขหรรษา สร้างดุสิตอุทยานปานเมืองฟ้า ให้สมพรพวกข้าทุกข้อเอย บทร้อง (นาคราช) เจ้าชาย ฟังคำ ช่างชื่นฉ่ำชูจิตจริงมิตรเอ๋ย พรสวรรค์ชั้นใดไม่เปรียบเลย เพื่อนเฉลยพจนามาจากใจ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 106 เมื่อดุสิตนาครให้พรข้า ทวยเทวาจะขัดอย่างไรได้ แต่ตัวข้าปรารถนาสิ่งใดใด ไม่เทียมเท่าอยู่ใกล้เพื่อนหญิงชาย บทร้อง (ลาวสมเด็จ) พระชนนี แม่ไม่ตั้งใจห้ามเรื่องความรัก แม้สมัครบอกแม่แต่เนิ่นเนิ่น พระสหาย ข้าปลื้มปรีดี เจ้าชายจะมีโชคเอยฯ พระชนนี ขอเพียงอย่าอ่อนแอ้หรือแก่เกิน สาวสาวเชิญเลือกได้ไม่ทัดทาน พระสหาย ข้าร่วมดีใจ เจ้าชายจะได้คู่ พระชนนี คืนพรุ่งนี้จะมีเต้นรำด้วย แม่เชิญสาวสวยมาเต็มบ้าน พระสหาย เออน่าดีใจ เจ้าชายจะได้เลือกเอยฯ บทร้อง (หงส์ทอง) เหล่าหงส์ มารำสิเพื่อน มาลอยมาเลื่อน งานเหมือนจันทรา มาหลงมาเหลิง มาเริงมารำ เร็วเร็วอย่าช้า รีบมารำกัน ในป่าในดง ในพุ่มในพง ใครหลงมานั่น มาจับระบำมารำด้วยกัน ในแสงจันทร์ มาจับระบำฯ ตัวละคร ใช้ผู้แสดงชายจริงหญิงแท้ในการแสดง และเลือกให้เหมาะสมตามบทบาท ดนตรี นิยมนำเครื่องดนตรีสากลเข้ามาบรรเลงร่วมกับวงปี่พาทย์เพื่อให้มีกลิ่นไอของละครตะวันตกมากขึ้น ผู้แสดง การแสดงละครสังคีตจะใช้ผู้แสดงเป็นชายจริง-หญิงแท้ อุปกรณ์การแสดง การแสดงละครสังคีตมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงตามบทบาทของแต่ละตัวละครแตกต่างกันออกไป เช่น บันได ต้นไม้ ที่นั่ง และฉากเปลี่ยนตามท้องเรื่องเช่น ป่าเขา เป็นต้น


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 107 การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) ละครสังคีตเป็นละครอีกประเภทหนึ่ง ที่ไม่สามารถจัดเข้าในลักษณะของละครพูดหรือละครร้องได้ เพราะเป็นละครที่มีวิธีดำเนินเรื่องด้วยการพูดและการร้อง ซึ่งมีความสำคัญเท่าเทียมกัน จะตัดส่วนใดส่วน หนึ่งออกเสียมิได้ ต่างก็มีถ้อยคำที่เป็นเนื้อเรื่องบรรจุอยู่ ในการแสดงละครสังคีตเนื้อเรื่องสนุกสนานมีการขับ ร้องที่ไพเราะ การแสดงหมู่ที่งดงาม เครื่องแต่งกายและฉากงดงาม ในการแสดงแต่ละเรื่องจะต้องมีบทของ ตัวตลกประกอบเพลง ยกตัวอย่างการแสดงเรื่องหงส์ทอง รูปแบบการแสดงจะดำเนินโดยผู้แสดงขับร้องเพลง ไทย และเจรจาด้วยตนเอง ใช้ท่าทางธรรมชาติหรือท่ากำแบประกอบการแสดง หัวใจของการแสดงละครสังคีตคือบทร้องและบทพูดมีความสำคัญเท่ากันไม่สามารถตัดอย่างใดอย่าง หนึ่งออกได้ เพราะจะให้เนื้อเรื่องไม่สมบูรณ์ รูปแบบการแสดงละครสังคีต เรื่อง หงส์ทอง 1.ผู้แสดงขับร้องเพลงไทยและเจรจาด้วยตนเอง ใช้ท่าทางธรรมชาติ หรือท่ากำแบ ประกอบการแสดง ใน การเจรจาเป็นแบบการร้องโต้ตอบกันใช้บทประพันธ์ประเภท กาพย์ยาณี 11 เช่น ชายกล่าว “ชื่นจิตชีวิตพี่ เป็นวันดีนะทรามเชย ชื่นใจกระไรเลย ได้แนบน้องประคองขวัญ” หญิงกล่าว “ชื่นจิตเมื่อคิดว่า เสด็จป่าถึงสองวัน ชื่นใจที่ใฝ่ฝัน จะเห็นใจก็ได้เห็น” 2.การร้อง จะเป็นบทร้องประกอบทำนองเพลงไทยเดิมใช้บทประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพและกาพย์ สุรางคนางค์แบ่งเป็น 2 ลักษณะ 1.การร้องแบบรำพึงรำพันใช้กลอนสุภาพ ดังบทร้องในเพลงตะนาวแปลง ชายร้อง “โอ้ว่าหงส์ทองของพี่เอ๋ย ราวไม่เคยรักจริงทิ้งพี่ได้” 2.การร้องโต้ตอบกันของตัวละครใช้บทประพันธ์ประเภทกลอนสุภาพ ดังบทร้องในเพลงกราวรำ หญิงร้อง “แต่หงส์ทองล่องฟ้าหาไม่แล้ว” ชายร้อง “เหลือแต่เพียงดวงแก้วที่สุกใส” 3.ลักษณะกระบวนท่าตีบทตามคำร้องโดยใช้ท่าทางตามธรรมชาติหรือท่ากำแบ ดังบทร้องในเพลงดวงพระ ธาตุ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 108 หญิงร้อง การทำลายชีวิตนั่นผิดนัก ถ้ายังรักหงส์ทองต้องเชื่อข้า 4.การตีบทโดยใช้ท่านาฏศิลป์สากล ชายแสดง “บอกหน่อยนฤมลข้าดั้นดลคนเดียวมา เหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้าเกือบมอดม้วยด้วยเศร้า ใจ” 5.ลักษณะกระบวนท่าประกอบบทร้องโดยใช้ท่านาฏศิลป์สากล เช่น ท่าบารองเซ่ ปรากฏอยู่ในการจับระบำ ของเหล่าหงส์ ดังบทร้องในเพลงหงส์ทองที่ว่า “มารำสิเพื่อน มาลอยมาเลื่อน งามเหมือนดาวราย มาจับระบำ มารำมาร่าย สนุกสบายเสียจริง จริงนา (สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์, ออนไลน์) เครื่องแต่งกาย การแต่งกายงดงามตามสมัยนิยม คำนึงตามฐานะของตัวละครตามเนื้อเรื่อง มีความงดงามของเครื่อง แต่งกาย แต่งกายตามท้องร้องงดงามตามบทบาทของตัวละคร มีการสวมรองเท้าเหมือนกับการแสดงบัลเล่ต์ โรงละคร การแสดงละครสังคีตจัดแสดงในโรงละครแห่งชาติ 2.6 ละครพูด ประเทศไทยมีการแสดงในรูปแบบ“ละคร”ซึ่งทำให้ผู้ชมได้รับทั้งความบันเทิงใจและเป็นเครื่อง ประเทืองสติปัญญาอันเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบ้านเมืองมาเป็นเวลาช้านานโดยปรากฏในรูปแบบของละครอัน ได้แก่ละครชาตรีละครนอกและละครใน ต่อมาได้มีการปรับหรือพัฒนารูปแบบการละครไทยที่มีอยู่กับการ ละครของตะวันตกทำให้มีละครที่เรียกว่าละครดึกดำบรรพ์ และ ละครร้อง ตามลำดับ ซึ่งเมื่อประเทศไทยได้รับ อิทธิพล จากตะวันตกมากขึ้น โดยมีการส่งนักเรียนไปเรียนที่ประเทศตะวันตก ก็ทำให้มีการรับรูปแบบของการ ละคร ตะวันตกเข้ามาสู่วงการการละครของไทยอย่างเต็มรูปแบบมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ละครดังกล่าวคือ ละครพูด นั่นเอง เสาวณิต วิงวอน, 2554กล่าวว่า ละครพูด เป็นละครที่ใช้ศิลปะในการพูดดำเนินเรื่อง เป็นละครแบบ ใหม่ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามกุฎราชกุมาร ทรงเป็นผู้ให้กำเนิด ในสมัยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ละครพูดแบ่งได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ คือ 1. ละครพูดล้วน ๆ 2. ละครพูดสลับลำ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 109 3. ละครพูดคำฉันท์ ผลงานพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประเภทบทละครพูดมีจำนวนรวม ทั้งสิ้น 74 เรื่องด้านรูปแบบคำประพันธ์มีทั้งพระราชนิพนธ์ที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรองซึ่งร้อยกรองนั้นมีทั้งที่ เป็นคำกลอนและคำฉันท์ ด้านที่มาของเรื่องมีทั้งที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเอง ทรงแปล และทรงแปลแบบ ดัดแปลงจากผลงานนักประพันธ์ชาวต่างชาติ ในบรรดาพระราชนิพนธ์ประเภทละครพูดที่ทรงพระราชนิพนธ์ ขึ้นเองซึ่งมีทั้งหมด 39 เรื่องนั้น (ปิยวดี มากพา, 2554) โดยจะขอยกตัวอย่างละครพูดเรื่อง “หัวใจนักรบ” ให้ ทราบในรายละเอียดถัดไป ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_41565 ประวัติความเป็นมา ละครพูดเรื่อง “หัวใจนักรบ” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2456 เพื่อปลุกใจประชาชนชาวไทยให้เกิดความรักชาติ รู้จักหน้าที่ของตนที่มีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเห็นความสำคัญของกองเสือป่าซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 เพื่อฝึกหัด ข้าราชการตลอดจนพลเมืองทั่วไปที่ยังไม่เคยเป็นทหารให้มีความรู้ทางยุทธวิธีรวมทั้งกิจการลูกเสือ ซึ่งได้ทรง ให้กำเนิดขึ้นในปีเดียวกัน เพื่อฝึกอบรมเยาวชนของชาติให้มีระเบียบวินัย มีวัฒนธรรมทางจิตใจ รู้จักบำเพ็ญ ประโยชน์และปลูกฝังให้มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อเตรียมตัวที่จะเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ต่อไป บทละครพูดเรื่องหัวใจนักรบนี้ เป็นหนังสือดีซึ่งได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ 6 ให้เป็น ยอดของบทละครพูด เมื่อพุทธศักราช 2457 (องค์การค้าของคุรุสภา, 2521)


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 110 ที่มา : http://www.vajiravudh.ac.th/OVtoVC/OVtoVC_06.htm การสื่อสาร การแสดงละครพูดเรื่องหัวใจนักรบ มีรูปแบบการสื่อสารที่เป็นภาษาไทยสมัยโบราณบางคำไม่คุ้นชินกับคนไทย ในปัจจุบัน อาทิ เช่น คำว่า “กัน” แปลว่า เรา เป็นต้น ภาษาที่ใช้ในบทละครเป็นคำที่สละสลวยบางประโยค อ่านแล้วรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของตัวละครมีคำสอนและแง่คิดในบทละคร อย่างตัวละคร “สวัสดิ์” ที่อยากเป็น ลูกเสือ เพื่อช่วยรับใช้ชาติแสดงของถึงความรักอยากปกป้องชาติบ้านเมือง ในเชิงสัญลักษณ์คือการแต่งกายที่ ต้องมีหมวกลูกเสือ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ว่าการแต่งกายเช่นนั้นคือกลุ่มคนที่รักษาบ้านเมือง รวมถึงการแสดงละครพูดมีฉาก อุปกรณ์ประกอบการแสดง ที่สามารถสื่อสารได้ถึงยุคสมัยและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงและเข้าใจในวัฒนธรรมได้ องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี บทละครพูดเรื่อง “หัวใจนักรบ” จะขอยกตัวอย่างบทละครโดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ชุดที่ ๑ ฉาก : ห้องรับแขกบ้านพระภิรมย์วรากร ที่เมืองมณีบูรณ์มณฑลหัสดินบุรี เป็นห้องในเรือนตึกอย่างเก่าๆ ด้านหลังมีประตูเปิดออกไปเฉลียง ต่อเฉลียงไปมีสวน ด้านขวามีหน้าต่างด้านซ้ายมีประตูสำหรับเข้าไปภายใน เรือนเครื่องตกแต่งมีเป็นโต๊ะเก้าอี้อย่างนั้น ๆ ไม่สู้ดีปานใด โต๊ะตั้งกลาง เก้าอี้ล้อมโต๊ะและมีเก้าอี้ตั้งติด ๆ กับ ฝาบ้านมีรูปถ่ายติดฝาเป็นรูปหมู่โดยมากและมีรูปพระภิรมย์แต่งเต็มยศข้าราชการพลเรือนชั้นอำมาตย์โท สวาย (จับแขนสวัสดิ์ไว้แล้วพูด) เดี๋ยวก่อนจะรีบร้อนไปไหน สวัสดิ์ ไปเอาอะไรในห้องหน่อย (ทำท่าจะไป)


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 111 สวาย ไปอาบน้ำกันเถอะน่าเดี๋ยวบ่ายมากไปอย่าร่ำไรมาสิถอดเสื้อสิน่า (ทำท่าจะเข้าปลดกระดุมให้นาย สวัสดิ์แต่นายสวัสดิ์ไม่ยอมไม่ปลด) สวัสดิ์ พุทโธ่ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ อย่ายุ่งไปหน่อยเลย สวาย ก็ทำไมจะต้องผลักด้วยเล่า (จับแขนสวัสดิ์ไว้ สวัสดิ์สลัดแขน ทิ้งกันไปมา ห่อกระดาษตก สวัสดิ์กับ สวายก้มลงเก็บพร้อมกันแข่งกันจนกระดาษขาด แลเห็นหมวกลูกเสืออยู่ในห่อ) อ้อ อย่างนี้นี่เอง สวัสดิ์ ก็ยุ่งอย่างนี้แหละ (ฉวยหมวกได้ตั้งท่าจะวิ่งไปในเรือน) สวาย (จับแขนไว้) อ้อ นี่แกแอบไปเป็นลูกเสือแล้วหรือฃ สวัสดิ์ เป็นแล้วละ จะทำไมฉัน สวาย กันจะต้องไปทำไมแกเดี๋ยวนี้ คอยดูคุณพ่อรับงานแกดีกว่า สวัสดิ์ นี่พี่สวายจะไปปากบอนอย่างนั้นหรือ สวาย ฉันก็ต้องบอกให้คุณพ่อรู้สิ ว่าแกขัดขืนโอวาทของท่าน จำไม่ได้หรือ ท่านว่าอยู่เร็ว ๆ นี้เองว่าท่านไม่ ต้องการให้ลูกท่านไปเป็นลูกเสือลูกหมาอะไร สวัสดิ์ คุณพ่อจะว่ากระไร ๆ ก็ตามใจท่าน แต่ฉันเกิดมาเป็นลูกผู้ชายกับเขาชาติหนึ่งแล้ว ก็ไม่อยากให้เสีย ชาติ สวาย เพราะฉะนั้นจึงไปเป็นลูกหมา อย่างนั้นหรือ สวัสดิ์ (โกรธ) นี่แน่พี่สวาย พี่จะด่าตัวฉันส่วนตัวอย่างไร ๆ ก็พอจะยอมยกโทษให้ แต่ถ้าขืนพูดดูถูกลูกเสือ อีกคำเดียวละก็ จะต่อยให้ฟันหักทีเดียว สวาย ชะๆ ชะๆ เก่งจริงนะ สวัสดิ์ อย่างไร ๆ ฉันก็แข็งแรงกว่าพี่สวายเป็นแน่เพราะฉันใช้กำลังของฉันในทางที่ถูก ไม่มัวใช้แต่ในทางทำ หนุ่มเลยซุกซนเล่นสกปรก สวาย (โกรธ) ทำไม กันเล่นซุกซนสกปรกอย่างไร สวัสดิ์ เฮ้ยๆ เขารู้ดอกน่า ไม่ต้องทำไขสือ แอบไปนัวเนียอยู่ที่ห้องอีแก่นเสมอๆ แล้วจะไม่อ่อนแออย่างไร ฮะๆ ฮะๆ สวาย พูดยุ่งบ้าอะไรไม่รู้


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 112 สวัสดิ์ หรือจะฝึกหัดให้เป็นลูกผู้ชาย ฮะ ๆ มีแต่เขาหัดกันทางลูกเสือ หรือทหาร นี่พี่สวายให้อีแก่นเป็นครูหัด อะไรมิรู้ได้ หนอยแน่กำลังน้อยเอยขี้โรคเอย เล่นฟุตบอลไม่ไหว ฝึกซ้อมกำลังกาย (บทละครพูด เรื่องหัวใจ นักรบ-ชิงนาง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2521.หน้า1-4) รูปแบบของบทละครพูดเรื่อง “หัวใจนักรบ” เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของบุคคลที่มีความรักชาติ อยากปกป้อง บ้านเมือง แต่ถูกขัดขวางจากครอบครัวจึงทำให้ตัวละครหลักต้องสู้เพื่อความต้องการของตนเอง สะท้อนความ มุ่งมั่นและการนำเสนอมุมมองของตัวละครให้ผู้ชมได้รับรู้ ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v =yVBDM__oAK4&feature=youtu.be อีกหนึ่งประเภทละครพูด คือละครพูดคำฉันท์ ละครพูดคำฉันท์ คือละครพูดที่เรียกชื่อการแสดงตามลักษณะ ของบทละครที่เป็นคำประพันธ์ ซึ่งเป็นบทร้อยกรองในลักษณะคำฉันท์ จากบทพระราชนิพนธ์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเพียงเรื่องเดียว คือ เรื่อง มัทนะพาธา หรือตำนานดอกกุหลาบ ใน อดีตละครพูดมีจัดแสดงที่ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งศาลาเฉลิมกรุงในอดีตเป็นโรงภาพยนต์แต่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมา เป็นโรงละครที่นำเสนอการแสดงที่เกี่ยวกับนาฏศิลป์ไทย ละครพูดของคณะละครเฉลิมกรุงนี้ แสดงอยู่ ประมาณสองสามเรื่อง มีเพลงสากลประกอบ ซึ่งยังเป็นเพลงที่นิยมอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ได้แก่ เพลงศรอนงค์ ของกาญจนาคพันธ์ มีเนื้อเพลงว่า “มองคันศรอ่อนโค้ง โก่งตามริมปากงาม ทำให้ฉันครั่นคร้าม กว่าศรกามเทพเทวี” ฯลฯ ตัวอย่างบทละครพูด ประเภทละครพูดคำฉันท์เรื่อง “มัทนะพาธา” พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2519) มีรายละเอียดของบทละคร ดังนี้ องก์ที่ 1 ฉาก : ลานหน้ามุขเด็จแห่งวิมานของสุเทษณะเทพบุตร์ บนสวรรค์


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 113 (ก่อนเปิดม่าน ตัวละครเหล่านี้ต้องพร้อมอยู่บนเวที คือ สุเทษณะเทพบุตร์เอกเขนกอยู่บนเตียงที่บนมุขเด็จ มี นางอับสรอยู่งานพัดคน ๑ : จิตระเสนนั่งอยู่หน้ามุขเด็จ และมีบริวารของสุเทษณ์นั่งรายเปนแถวทั้ง ๒ ข้างเวที : กลางเวทีมีพวกคนธรรพสำรับ ๑ ถือช่อดอกไม้ ๒ มือทุกคน พิณพาทย์ทำเพลงโหมโรงจนถึงเวลาควรจะเปิด ม่าน จึงทำเพลงเหาะ พอเปิดม่าน พวกคนธรรพก็เริ่มร้องและรำอย่างแบบรำโคม ดนตรีเล่นคลอเสียงไปตลอด ไม่ต้อนรับ) บทร้องของคนธรรพ (ลำเหาะ) ข้าบาทผู้ภักดี ต่อธุลีพระบาทา พร้อมกันถวายอา เศียระพาทแด่เทวัน ขอจงเสวยสุข นิราศทุกข์ไร้โรดันตะรายแลภยัน- ตะรายาอย่ายายี พระองค์ทรงมีคุณ กะตะบุญบาระมี บำเพ็ญในอดี- ตะกาลดลผลไพบูลย์ ชาติก่อนเปนสุกษัตย์ เถลิงรัฐราไชสูรย์ ในวงศะประยูร สุระแมนแคว้นปัญจาล ทรงธรรมล้ำมะนุษ ฤทธิรุทมหาศาล บำเพ็ญพะลีการ ทุกอย่างงามตามวิสัย ครั้งถึงเวลาควร ภูมิศวรจากไผท เสด็จสุราลัย เสวยสุขในแดนสรวง เหล่าข้าพึ่งพระเดช ปกป้องเกศข้าทั้งปวง จึ้งพร้อมณแดดวง ภักดีหมายถวายพร สิ่งใดพระประสงค์ จงสิทธินิรันดร ใดองค์จอมอมร ไม่โปรดปรานเร่งผ่านไป ฯ สุเทษณ์ เหวยจิตระเสน มึงบังอาจเล่น ล้อกูไฉน?


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 114 จิตระเสน เทวะ ข้าบาท จะบังอาจใจ ทำเช่นนั้นไซร้ ได้บ่พึงมี สุเทษณ์ เช่นนั้นทำไม พวกมึงมาให้ พรกูบัดนี้, ว่าประสงค์ใด ให้สมฤดี? มึงรู้อยู่นี่ ว่ากูเศร้าจิต เพราะไม่ได้สม จิตที่ใฝ่ชม, อกกรมเนืองนิตย์. จิตระเสน ตูข้าภักดี ก็มีแต่คิด เพื่อให้ทรงฤทธิ์ โปรดทุกขณะ สุเทษณ์ กูไม่พอใจ! ไล่คนธรรพ์ไป บัดนี้เที่ยวละ. อย่ามัวรอรั้ง. จิตระเสน เอวํเทวะ! (หันไปสั่งคนธรรพ์ เออพอแล้วนะ, พวกเจ้าจงไป (พวกคนธรรพถวายบังคมแล้วเข้าโรง) ข้าบาทได้เตรียม อับสรเสงี่ยม สง่างามไว้ เพื่อร้องและรำ บำเรอเทพไท, แม้โปรดจะได้ เรียกมาบัดนี้. สุเทษณ์ เอาเถิดลองดู เผื่อว่าตัวกู จะค่อยสุขี. จิตระเสน (เรียก) คณาอับสร ผู้ฟ้อนรำดี, ออกมาบัดนี้ รำถวายกร. ตัวอย่างลักษณะบทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธาเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตำนานกุหลาบและ ความเจ็บปวดจากความรัก วรรณคดีไทยหลายเรื่องตัวละครจะแสดงความรักของตัวละครชายหญิง บางเรื่อง จบลงด้วยความสมหวัง และบางเรื่องจบลงด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ใจ เสียใจ บทละครของละครเรื่องนี้เป็นทั้ง คำฉันท์ คำกลอน กาพย์ยานี และบทเจรจาเป็นร้อยแก้วของตัวละครที่ไม่สำคัญ หรือต้องการดำเนินเรื่อง รวดเร็ว ตัวละคร ละครพูด “เรื่อง หัวใจนักรบ” มีลักษณะตัวละครเป็นชายจริงหญิงแท้ ผู้แสดงมีความสามารถในทักษะ ด้านการแสดงละคร เจรจาโต้ตอบกันเอง แสดงอารมณ์ความรู้สึก แสดงท่าทางตามบทของตัวละคร มีความจำ ที่เป็นเลิศเพราะต้องจำบทละครตามพระราชนิพนธ์ให้ได้ทั้งหมด จิราภรณ์ บุญจันทร์(2559) กล่าวว่าในอดีต เรื่องของการคัดเลือกนักแสดงก็คือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเป็นผู้คัดเลือกนักแสดง ด้วย พระองค์เองว่าบุคคลใดมีความเหมาะสมกับบทบาทใด ซึ่งพระองค์ย่อมเป็นผู้ที่เข้าใจในลักษณะนิสัยและ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 115 บทบาทของตัวละครมากที่สุด เนื่องจากพระองค์เป็นผู้พระราชนิพนธ์บทละครขึ้นด้วยพระองค์เอง แต่ใน ปัจจุบันผู้กำกับหรือผู้รับผิดชอบการแสดงก็จะทำหน้าที่ในการคัดเลือกนักแสดง ขอยกตัวอย่างรายละเอียด ของตัวละครพูดเรื่องหัวใจนักรบ ดังนี้ ชื่อตัวละคร รายละเอียดของตัวละคร พวกเรา พระภิรมย์วรากร นอกราชการอายุประมาณ 50 ปี นายสวิง อายุ 18 ปี(บุตรพระภิรมย์วรากร) นายสวาย อายุ 17 ปี (บุตรพระภิรมย์วรากร) นายสวัสดิ์ อายุ 16 ปี (บุตรพระภิรมย์วรากร) นายทองโท (พระยาวิสูตรสงคราม) สมุหเทศาภิบาลผู้สำเร็จราชการมณฑลหัสดินบุรี ผู้ บังคับการเสือป่าหัสดินบุรี นายหมวดโท (หลวงมณีราษฎร์บำรุง) นายอำเภอเมืองมณีบูรณ์ ผู้บังคับหมวดที่ 1 กองร้อยมณีบูรณ์ (ภายหลังเป็นผู้บังคับกอง) นายหมวดตรี (อิน) ผู้ช่วยราชการเมืองมณีบูรณ์ ผู้บังคับหมวดที่ 2 กองร้อยมณีบูรณ์ นายหมู่เอก (หลวงมนูธรรมธุราทร) ผู้พิพากษาศาลเมืองมณีบูรณ์ ประจำหมวดที่ 1 กองร้อยมณีบูรณ์(ภายหลังเป็นผู้บังคับหมวด) นายหมู่เอก (เทพ) คหบดีประจำกองร้อยมณีบูรณ์ นายหมู่โท (ขุนรัตน์แพทย์) แพทย์ประจำเมืองมณีบูรณ์ ราชบุรุษ (นายสุดใจ) ครูใหญ่โรงเรียนมัธยมมณีบูรณ์ผู้กำกับกองลูกเสือที่ 11 นายหมู่ (พร) ผู้บังคับหมู่ที่ 4 กองลูกเสือที่ 11 ลูกเสือโท (คำ) กองลูกเสือที่ 11 ร้อยเอก (หลวงเรืองฤทธิ์ระวี) ผู้บังคับกองร้อยที่ 4 กรมทหารราบที่ 29 อ้ายสี บ่าวพระภิรมย์วรากร คนกลาง นายขุ่นเข๋ง นักเรียนกฎหมาย พี่ของเน้ยภรรยาน้อยพระภิรมย์ว รากร พวกข้าศึก ผู้บังคับการทหารข้าศึก ปลัดกรมทหารข้าศึก ร้อยตรีกองทหารข้าศึก


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 116 นายทหารนักบินกองทหารข้าศึก ตัวละครในบทละครพูดเรื่องหัวใจนักรบจะมีความเกี่ยวข้องกับระบบข้าราชการของไทยในอดีต ตัว ละครต่าง ๆ มีลักษณะที่ชัดเจน บทละครพูดคำฉันท์ มีลักษณะพิเศษคือการดำเนินเรื่องด้วยบทกลอน ซึ่ง ประยูร พิศนาคะ และเกรียงไกร พิศนาคะ (2512) กล่าวถึงบทละครพูดคําฉันท์เรื่องมัทนะพาธาว่าเป็นบทพระ ราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชนิพน์ เมื่อ พ.ศ. 2466 เป็นฉันท์ตลอดทั้งเรื่อง นับเป็นพระราชนิพนธ์แบบใหม่ของพระองค์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในวรรณคดีไทย วรรณคดีสโมสรจึงน้อม เกล้าน้อมกระหม่อมถวายประกาศนียบัตร ประทับพระราชลัญจกรพระคเณศ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2467 มัทนะพาธาเป็นเรื่องของความรักระหว่างนางฟ้ากับเทพผู้อยู่บนฟ้าเดียวกันแต่เป็นรักที่เกิดขึ้นฝ่ายเดียว คือสุเทษณ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนางฟ้าชื่อมัทนา เรื่องจบลงด้วยความเศร้า ละครพูดคำฉันท์ เรื่องมัทนะพาธา เป็น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมืองสวรรค์และเมืองมนุษย์ ตัวละครในเรื่องมีทั้งชาวฟ้าและชาวดิน เหตุฉะนี้ตัวละครจึงได้ แยกออกเป็นสองพวก ชาวฟ้า (เมืองสวรรค์) มีตัวละครสำคัญ คือ ชื่อตัวละคร ลักษณะตัวละคร สุเทษณะเทพบุตร สุเทษณะเทพบุตรนี้ ในอดีตชาติเคยเป็นพระราชาแห่งแคว้นปัญจาล ครั้น สิ้นพระชนม์ในชาตินั้นแล้ว ก็มาบังเกิดในแดนสวรรค์เป็นเทพบุตร จิตระเสน หัวหน้าคนธรรพ์ของสุเทษณ์ มีหน้าที่คอยบำเรอให้สุเทษณ์ได้รับความบันเทิงด้วย การขับร้องและฟ้อนรำ จิตระรถ สาระถีของสุเทษณ์ เป็นผู้ที่สุเทษณ์ใช้ให้ท่องเที่ยวไปทั่วจักรวาล เพื่อวาดรูปนางที่ มีรูปโฉมงามมาให้สุเทษณ์เลือกเป็นมเหษี มายาวิน เป็นวิทยาธร เชี่ยวชาญในการใช้อาคมสะกดดวงจิตต์ จิตระรถไปพบวิทยาธรผู้นี้ที่ เขามันทร ในขณะที่ท่องเที่ยวไปวาดรูป และได้นำตัวมาเฝ้าสุเทษณ์ มัทนา นางเทพธิดาผู้มีรูปโฉมอันงดงาม ซึ่งสุเทษณ์หลงรักอยากได้เป็นมเหษี แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกสุเทษณ์สาปให้ลงมาเกิดเป็นต้นกุหลาบในเมืองมนุษย์ ชาวดิน (เมืองมนุษย์) มีตัวละครสำคัญ คือ ชื่อตัวละคร ลักษณะตัวละคร พระกาละทรรศิน คณาจารย์อยู่ในป่าหิมะวัน เป็นฤๅษีประพฤติพรหมจรรย์มีญาณพิเศษสามารถ เล็งเห็นเหตุการณ์ในอดีตและอนาคต โสมทัต หัวหน้าศิษย์ของพระกาละทรรศิน นาค,ศุน ศิษย์ของพระกาละทรรศิน


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 117 ท้าวชัยเสน กษัตริย์จันทรสงค์ผู้ครองราชย์ในหัสตินาปุระ ศุภางค์ นายทหารคนสนิทของชัยเสน วิทูร พราหมณ์หมอเสน่ห์ ชาวสวนหลวง ผู้เฝ้าสวนของท้าวชัยเสน มัทนา นางเทพธิดาบนสวรรค์ซึ่งได้ถูกสุเทษณะเทพบุตรสาปให้ลงมาเกอดเป็นต้นกุหลาบ แต่ให้กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ จึงได้พบกับชัยเสน และได้เป็นมเหสี ภายหลังกลับ ถูกสาปให้เป็นต้นกุหลาบเลย พระนางจัณฑี มเหสีของท้าวชัยเสน เป็นนางที่ได้ทำการอภิเษกกับท้าวชัยเสน เพื่อความสัมพันธ์ ในทางการเมืองระหว่างประเทศของชัยเสนและพระนางจัณฑี ปริยัมวทา นางกำนัลของชัยเสน อราลี นางค่อม ข้าหลวงของพระนางจัณฑี เป็นคนเจ้าเสน่ห์กล มีความทุจริตในส่วน จิตใจ เช่นเดียวกับความพิกลพิการของส่วนร่างกาย เกศินี ข้าหลวงของพระนางจัณฑี ตัวละครที่กล่าวมาข้างต้นได้ลงรายละเอียดของลักษณะตัวละครได้ชัดเจน และสังเกตได้ถึงการวางความสำคัญ ของตัวละคร ตัวหลัก ตัวรอง ตัวประกอบ แต่ทุกตัวละครมีความสอดคล้องกัน ดนตรี ดนตรีประกอบการแสดงละครพูดประกอบด้วยวงปี่พาทย์และวงดนตรีสากลผสมผสานร่วมกัน ผู้แสดง นักแสดงของละครพูด และละครพูดคำฉันท์ ใช้ผู้แสดงเป็นชายจริงหญิงแท้ อุปกรณ์การแสดง สำหรับอุปกรณ์ประกอบการแสดงในการแสดงละครพูด “เรื่องหัวใจนักรบ” มีลักษณะการจัดฉากที่อิง ตามลักษณะบ้านเรือนในยุคสมัยไทยโบราณ อีกทั้งอุปกรณ์ประกอบการแสดง โต๊ะ เก้าอี้ ผ้าม่าน พรมที่ปูพื้น ภาพที่ปรากฏบนเวทีให้ความรู้สึกของบรรยากาศในสมัยรัชกาลที่ 6 อุปกรณ์ที่เคลื่อนที่ได้และเคลื่อนที่ไม่ได้ ต้องเลือกสรรให้เหมาะสม


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 118 ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=UCQcc-xFwUM สำหรับอุปกรณ์ประกอบฉากละครพูดคำฉันท์ “เรื่องมัทนะพาธา” มีลักษณะแบ่งฉากตามสถานการณ์ ของบทละคร เช่น ฉากป่า ฉากสวน ฉากสวรรค์ เป็นต้น การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) กระบวนการแสดงของละครพูด “เรื่องหัวใจนักรบ” รูปแบบของละครพูดในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นเตรียมการแสดง ประกอบด้วยการคัดเลือกนักแสดงซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลือก จากข้าราชบริพารด้วยพระองค์เองและการซ้อมการแสดง 2. ขั้นก่อนเริ่มการแสดง ประกอบด้วยการโหมโรงด้วย ดนตรีไทย การแสดงเบิกโรง และการกระทุ้ง เวที และ 3. ขั้นการแสดง ส่วนด้านองค์ประกอบของการแสดงพบว่า ละครพูดพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวมีองค์ประกอบ 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. บทละคร 2. นักแสดง 3. การแต่งกาย 4. สถานที่แสดง 5. ฉากและ อุปกรณ์ประกอบฉาก 6. ดนตรีประกอบ อีกทั้งกระบวนการแสดงในลักษณะของละครพูดคำฉันท์ “เรื่องมัทนะพาธา” มีลักษณะการแสดงเป็น การแสดงละครพูดคำฉันท์ และบทกลอนต่าง ๆ ท่วงท่าการแสดงเป็นการตีบทตามบทพูด เน้นในเรื่องการ แสดงอารมณ์ร่วมกันของตัวละคร มีการผายมือ เชยคางฝ่ายหญิงตามบทที่เกี้ยวพาราสีกันของตัวละคร อีกทั้ง ยังมีการแสดงระบำคั่นกลางในการแสดงละคร เพิ่มอรรถรสการรับชมรับฟังให้กับผู้ชมได้ตื่นตาตื่นใจ เครื่องแต่งกาย


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 119 การแต่งกายของการแสดงละครพูด “เรื่องหัวใจนักรบ” มีรูปแบบการแต่งกายอย่างไทยสมัยโบราณ ตัวละครหลักสวมใส่เสื้อราชประแตนซึ่งเป็นเสื้อที่แสดงฐานะทางสังคมในยุคสมัยนั้น รวมถึงตำแหน่งทาง การเมืองชั้นพระยาที่ถือเป็นชนชั้นสูง บทอื่นแต่งอย่างคนไทยในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=PA11QUfz7gA รูปแบบการแต่งกายของการแสดงละครพูดคำฉันท์ “เรื่องมัทนะพาธา” มีรูปแบบคล้ายคลึงกับชุด ประจำชาติของประเทศอินเดีย “ชุดซาหรี่” อันเนื่องจากบทละครเป็นเรื่องสมมุติที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย โบราณมีทั้งหมด 5 องก์ ดังนั้นตัวแสดงหลักส่วนใหญ่จึงสวมใส่ “ชุดซาหรี่” และรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ของอินเดีย ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=yVBDM__oAK4 โรงละคร การแสดงละครพูดนิยมแสดงบนเวที หรือโรงละคร เพื่อสะดวกต่อการเปลี่ยนฉากประกอบการแสดง การเรียน/การสอน ในอดีตเป็นการฝึกฝนในพระราชฐานและได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวในการแสดงก่อนทุกครั้ง แต่ปัจจุบันมีการนำบทละครของพระองค์ท่านมาใช้ในรูปแบบของการ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 120 นำเสนอในสถานศึกษา โรงละคร และกลุ่มของผู้ที่สนใจในบทละครจะนำมาดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย โดยเฉพาะเรื่องของการแต่งกายที่จะรังสรรค์ความวิจิตรงดงามตามสมัย 3. ละครร่วมสมัย 3.1 ละครหลวงวิจิตรวาทการ ประวัติความเป็นมา ละครหลวงวิจิตรวาทการเป็นละครแนวปลุกใจให้เกิดความรักชาติบ้านเมือง ซึ่งผู้ที่ก่อตั้งการแสดง ละครรูปแบบนี้คือ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) วิมลศรี อุปรมัย(2553: 172) กล่าวว่า ละครหลวงวิจิตรวาทการ เป็นละครประเภทปลุกใจให้เกิดความรักชาติ ส่วนใหญ่ใช้เนื้อหาและจุดของเรื่องอิง ประวัติศาสตร์ของไทย ฉะนั้นละครของท่านไม่เหมือนการแสดงละครที่เป็นอยู่ก่อน ทั้งนี้หลังจากการ เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ.2475 กรมศิลปากรได้รวบรวมศิลปินโขน ละครและนักดนตรีขึ้นมารวมกัน ใหม่อีกครั้งหนึ่งและตั้งเป็นกองขึ้นในกรมศิลปากร และในช่วงนั้นหลวงวิจิตรวาทการดำรงตำแหน่งอธิบดีกรม ศิลปากร ได้มีความคิดใหม่คือ แต่งบทละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่ยังสอดแทรกไว้หลากหลาย บทบาท เช่น บทความรักของคู่รักที่มีต่อกัน ถึงแม้จะมากมายเพียงไรก็ไม่เท่ากับความรักชาติ ตัวเอกของเรื่อง สามารถเสียสละชีวิตและพลีชีพเพื่อชาติได้ ด้วยเหตุที่ละครของหลวงวิจิตรวาทการไม่เหมือนการแสดงละครที มีอยู่ในขณะนั้น คนทั้งหลายจึงเรียกละครของท่านว่า “ละครหลวงวิจิตรวาทการ” ตามชื่อของท่านอธิบดีที่ เปรียบเสมือนผู้ก่อตั้งละครรูปแบบใหม่นี้ขึ้นมาและได้รับความนิยมของคนในยุคนั้น ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_7167 บทบาทหรือประโยชน์ (อ้างอิงจาก อ.สุรพล วิรุฬห์รักษ์) การสื่อสาร


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 121 การแสดงละครหลวงวิจิตรวาทการเป็นละครที่เน้นในเรื่องปลูกฝังความรักชาติบ้านเมือง ความกตัญญู และตอบแทนบุญคุณต่อแผ่นดินเกิด ซึ่งมีวาทกรรมในการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ฟัง ผู้ชมเกิดความคล้อยตาม โดยการแสดงจะมีเพลงที่แต่งเนื้อร้อง ดนตรีกระชับ ซึ่งเพลงร้องจะเป็นเพลงสั้นๆ ที่สามารถร้องตามได้ ในมิติ ของการสื่อสารที่เกิดขึ้นจากบทละครที่มีนัยซ่อนเร้นให้ประชาชนเกิดความรักชาติบ้านเมืองผ่านวาทกรรมของ ตัวละคร องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี ละครหลวงวิจิตรวาทการ มีบทละครและวรรณคดีที่หลากหลายเรื่อง อาทิ ราชมนู พระเจ้ากรุงธน ศึกถลาง เจ้าหญิงแสนหวี พระมหาเทวี เบญจเพส น่านเจ้า อนุสาวรีย์ไทย พ่อขุนผาเมือง ดาบแสนเมือง ชนะมาร เจ้าหญิงกรรณิการ์ สีหราชเดโช ตายดาบหน้า ลานเลือดลานรัก เพชรรัตน์-พัชรา ลูกพระคเณศ ครุฑดำ โชคชีวิต อานุภาพพ่อขุนรามคำแหง อานุภาพแห่งความเสียสละ อานุภาพแห่งความรัก อานุภาพ แห่งศีลสัตย์ และเลือดสุพรรณ เป็นต้น โดยรายละเอียดการนำเสนอจะขอยกตัวอย่างลักษณะบทละครเรื่อง เลือดสุพรรณและอานุภาพพ่อขุนรามคำแหง ให้ได้ศึกษารายละเอียดเป็นลำดับถัดไป ละครหลวงวิจิตรวาทการ เรื่องเลือดสุพรรณ มีเรื่องย่อดังนี้ “เลือดสุพรรณ เป็นเรื่องของสงครามของ ความรัก โดยสมมติว่าเป็นสงครามที่กองทัพพม่าได้บุกเข้าสู่ดินแดนประเทศไทยในอดีต ได้จับตัวชาวบ้านที่อยู่ ในเขตสุพรรณบุรีมาเป็นเชลยทำงานด้านเสบียงอาหารและอื่น ๆ ซึ่งมีนายทหารพม่าคนหนึ่งเป็นผู้ที่รังแกข่ม เหงและแสวงหาทรัพย์สินของมีค่าจากเชลยไทย และกระทำการถึงระดับทารุณทางจิตใจอย่างยิ่ง เมื่อพ่อของ นางเอกที่ชื่อดวงจันทร์ ได้ขอน้ำดื่มจากลูก แต่นายทหารพม่าผู้นี้แย่งขันน้ำและดึงลากพ่อเธอ แล้วให้ดื่มน้ำที่เท ลงผ่าน “ตีน” ของเขาซึ่งพ่อเธอก็ต้องทำขณะนั้นมีนายทหารอีกคนซึ่งเป็นลูกของแม่ทัพกองนี้ชื่อมังรายได้เข้า มาช่วยเชลยให้หลุดออกจากการกระทำที่เลวร้ายของนายทหารคนนั้นถึงขั้นมีการต่อสู้กันนายทหารคนนั้นแพ้ ยอมถอยออกไปต่อมามังรายหลงรักดวงจันทร์สาวเชลยไทย ดวงจันทร์ขอให้มังรายปล่อยเชลยไทยทั้งหมดให้ หนีไป มังรายยอมช่วยเหลือในวันที่ตนเองเป็นผู้คุมเชลย แม้จะตระหนักว่าเป็นความผิดที่ต้องได้รับโทษที่สำคัญ แต่คิดว่าอาจไม่ถึงกับต้องเสียชีวิตเพราะพ่อเป็นแม่ทัพกองนี้ เมื่อดวงจันทร์พาเชลยชาวไทยไปหลบซ่อนแล้ว เธอเดินทางกลับมาหามังรายที่ค่าย เพื่อขอรับโทษร่วมกับมังราย อันแสดงถึงความรักที่เพิ่มพูนอย่างลึกซึ้ง ทั้ง สองหวังว่าเมื่อบ้านเมืองกลับสู่ความสงบ มังรายจะมาแต่งงานอยู่กินกับเธอที่สุพรรณ แต่ในที่ประชุมของ กองทัพพม่าแม่ทัพยืนยันคำตัดสินใจอย่างแสนเศร้าใจให้ประหารมังรายที่ทำผิดกฎกองทัพแม้จะเป็นลูกก็ตาม และให้ประหารนายทหารพม่าที่กระทำไม่ดีต่อเชลยคนนั้นด้วยที่หลักประหารแบบฟันคอดวงจันทร์ได้แต่กอด ศพร่ำไห้และเมื่อเธอเดินทางกลับไปหาพ่อแม่และคนไทยเธอกลับพบว่าพ่อแม่เธอถูกฆ่าตายจากลูกน้อง นายทหารพม่าที่ไม่ดีที่ตามมาแก้แค้นให้ลูกพี่เมื่อดวงจันทร์สำนึกว่าเธอและคนไทยได้สูญเสียแล้วทุกอย่างเธอ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 122 จึงลุกขึ้นยืน นำการปลุกเร้าใจคนไทยให้ลุกคว้าอาวุธที่มีอยู่ออกเดินทางไปต่อสู้กับทหารพม่าด้วยบทเพลง เลือดสุพรรณกองทัพฝ่ายพม่ามีปืนกำลังชาวบ้านไทยที่บุกเข้าไปจึงถูกยิงตายทุกคนดวงจันทร์ตาย ความรักใน เรื่องเลือดสุพรรณ เป็นความรักหลายประเภท ได้แก่ ความรักหญิงกับชายที่ต่างเชื้อชาติ ความรักระหว่างลูกกับ พ่อแม่ ทั้งของฝ่ายไทย ดวงจันทร์ และฝ่ายพม่า มังราย แต่ความรักที่ถูกยกย่องและชูเป็นเรื่องสำคัญเหนือความ รักอื่นใด คือ ความรักชาติดังนั้น ดวงจันทร์และมังรายจึงต้องตาย” (ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน, 2559) บทละครหลวงวิจิตร เรื่อง เลือดสุพรรณ ตามแบบฉบับของวิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒน ศิลป์ มีบทละคร ดังนี้ -ปี่พาทย์ทำเพลงมังตรา : เอ้า กลับมาทำไมล่ะ รีบไปซะสิดวงจันทร์” ดวงจันทร์ : ฉันวิตกว่า ท่านมองว่าฉันเป็นผู้หญิงตลบตะแลง หลอกให้ท่านต้องโทษ ที่จริงความตั้งใจของฉันก็ เพียงแต่จะช่วยพ่อแม่และก็ญาติพี่น้องให้พ้นภัยไปเท่านั้น บัดนี้เราก็ได้ไปหมดแล้ว ส่วนตัวฉันเองยอมรับภัย ทุกอย่าง ฉันจะอยู่กับท่าน อยู่รับโทษกับท่าน เพราะเชื่อแน่ว่าท่านจะต้องถูกทำโทษ มังตรา : ดวงจันทร์ อย่าอยู่ที่นี่เลย รีบไปซะเถอะ ฉันหวังว่าเทพเจ้าในเบื้องบนจะทำให้เรากลับมาพบกันอีก ดวงจันทร์ : ไปเสียด้วยกันไม่ได้หรือคะ เราไปด้วยกันไปหาอยู่ที่ไหนที่ใครจะหาเราไม่พบ มังตรา : ดวงจันทร์ ก็ที่ฉันปล่อยพวกเธอไปก็ทำผิดร้ายมากอยู่แล้ว ขออย่าให้ฉันทำผิดมากเกินไป ถึงกับต้อง หนีทัพเลย การถูกโทษทันอะไรนั้นฉันไม่กลัวเลย การที่ปล่อยให้พวกเธอไปฉันก็ยังอ้างได้ว่าเป็นความเมตตา กรุณา แต่การหนีทัพนี่ฉันทำไม่ได้ แม้จะไม่มีใครตามพบเรา แต่ก็ทำให้เสื่อมเสียกิตติศัพท์ของชายชาติทหาร ขออย่าให้ฉันต้องทำอะไรที่เสื่อมเสียกิตติศัพท์ของทหารอีกเลย ดวงจันทร์ : ท่าเช่นนั้น ฉันจะอยู่กับท่านและขอรับโทษไปด้วยกัน -ดนตรีสากลบรรเลงเพลง- (มังตราและดวงจันทร์ร้องเพลงคู่กัน) ตัวละคร ตัวละครในการแสดงละครหลวงวิจิตรวาทการเป็นลักษณะชายจริง หญิงแท้ และเลือกตัวละครให้ เหมาะสมตามบทละคร ดนตรี


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 123 ดนตรีที่ใช้ในการแสดงละครหลวงวิจิตรวาทการ จะใช้เครื่องดนตรีปี่พาทย์ในการบรรเลง หรือจะมี วงดนตรีสากลเข้ามาผสมผสานในการบรรเลงเป็นช่วง ๆ ผู้แสดง ตัวละครในการแสดงละครหลวงวิจิตรวาทการ เป็นลักษณะชายจริงหญิงแท้ ผู้แสดงจะแสดงตาม บทบาทที่ได้รับ มีตัวพระเอก นางเอก ตัวเอก ตัวสำคัญ ตัวประกอบ อุปกรณ์การแสดง อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการแสดงเพื่อให้เกิดความสมจริงและสร้างเสริมจินตนาการแก่ผู้ชม อาทิเช่น ต้นไม้ แคร่ ที่นั่ง ก้อนหินปลอม เป็นต้น การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) กระบวนการแสดงมีลักษณะท่าทางที่ใช้นาฏยศัพท์และภาษาท่าอย่างง่ายในการประกอบการแสดง รูปแบบนี้เรียกว่า “กำแบ” เป็นลักษณะการแสดงที่แสดงผ่านอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ทั้งสีหน้า แวว ตา อารมณ์ มีการโต้ตอบกันด้วยคำพูด-คำร้อง เป็นบางครา ยกตัวอย่างการแสดงเรื่อง “เลือดสุพรรณ” ขั้นตอนในการแสดง ดังนี้ 1.ดนตรีปี่พาทย์ทำเพลง ตัวละครออกมาสนทนาโต้ตอบกันด้วยบทละครร้อยแก้ว เช่น “อ้าว กลับมา ทำไมล่ะ รีบไปซะสิดวงใจ” เปิดฉากประกอบการแสดงเป็นต้นไม้ปลอมตกแต่งไว้ และมีที่นั่งเป็นแคร่อยู่อีก มุมของเวที 2.นักแสดงกล่าวบทละครโต้ตอบกัน และแสดงสีหน้าแววตาอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร โอบกอด กันตามบทที่แสดงออกถึงความรักและปรารถนาดีต่อกัน 3.บรรเลงเพลงดนตรีสากลนักแสดงร้องเพลงคู่กัน และแสดงท่าทางตามบทเพลงอย่างอ่อนหวาน เช่น บทร้องว่า “จันทร์เฉิดฉาย” นักแสดงผู้หญิงจะผายมือเปิดออกเหนือศีรษะ เครื่องแต่งกาย รูปแบบการแต่งกายของการแสดงละครหลวงวิจิตรวาทการจะแต่งกายตามบทบาทของตัวละคร เช่น ชาวบ้านผู้หญิง สวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งโจงกระเบน ชาวบ้านผู้ชาย ไม่สวมเสื้อ นุ่งโจงกระเบน ตัวละครเอก แต่งกายตามเชื้อชาติอย่างละครพันทาง


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 124 โรงละคร การแสดงนิยมแสดงในโรงละครแห่งชาติ เพื่อสะดวกต่อการเปลี่ยนฉากในแต่ละช่วง การสร้างสรรค์การแสดง การแสดงละครหลวงวิจิตรวาทการในปัจจุบันมีรูปแบบความสร้างสรรค์ในเรื่องของฉากและอุปกรณ์ ประกอบการแสดง รวมถึงการเปลี่ยนฉากในการแสดงให้มีความสมจริงมากขึ้น และดนตรีมีการผสมผสาน ดนตรีสากลคล้ายคลึงลักษณะทำนองเพลงสุนทราภรณ์ทำนองเพลงนิ่มนวลไพเราะเสนาะ อีกทั้งละครหลวงวิจิตรวาทการยังสามารถนำมาดัดแปลงโดยยึดแกนหลักในเรื่องของการปลูกฝัง ค่านิยมมาประยุกต์ใช้ในการปลูกฝังค่านิยมความพอเพียงให้กับนักเรียนนั่นคือ การพัฒนากิจกรรมละครใน รูปแบบละครหลวงวิจิตรวาทการ โดยได้นำกระบวนการละครมาศึกษารูปแบบการแสดงและการปลูกฝัง ค่านิยมของละครหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งผู้เรียนเป็นผู้ที่ศึกษาและได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และผลสัมฤทธิ์หลังจาก เข้าร่วมกิจกรรมนั้นทำให้ผู้เรียนตระหนักรู้ในเรื่องของความพอเพียงมากยิ่งขึ้น โดยการปลูกฝังค่านิยมความ พอเพียงตามหลักและรูปแบบของละครหลวงวิจิตรวาทการ (อาจารีย์,2561) โขน ในบรรดาศิลปะการแสดงของไทยอันมีอยู่มากมายหลายอย่าง “โขน” นับเป็นนาฏกรรมเก่าแก่ ที่มี แบบแผนสืบมาแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 20 และเป็นการละเล่นมหรสพที่ขึ้นชื่อลือชารักษาเอกลักษณ์เป็นที่นิยม ยกย่อง ในทุกยุคทุกสมัยได้ตลอดมา โดยหลักฐานทางวิชาการ “โขน” คือ ที่รวมของศิลปะหลายอย่าง ที่เห็น ได้ชัดเจน คือเป็นที่รวมของหนังใหญ่ การละเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ และกระบี่กระบอก เมื่อศิลปะดังกล่าว รวมตัวกันเข้าแล้ว โขนยังได้รับการวิวัฒนาการตัวเองตามความนิยมของสังคมยุคสมัยทั้งวิธีการแสดงคำพากย์ เจรจา เพลงขับร้อง รวมทั้งเพลงบรรเลงอย่างที่นิยมเรียกกันว่า “เพลงหน้าพาทย์” ตลอดจนวงปี่พาทย์ที่ใช้ บรรเลงประกอบอยู่ด้วย ประวัติความเป็นมา นายธนิต อยู่โพธิ์ สันนิษฐานว่าคงจะเล่นกันแต่กลางสนาม เช่นเดียวกันกับการละเล่นชักนาคดึกดำ บรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษก และคงจะเป็นดังที่เรียกกันในชั้นหลังว่า “โขนกลางแปลง” ครั้นในยุคสมัย ต่อมาจึงได้มีวิวัฒนาการเป็นแบบต่าง ๆ สุดแต่สถานที่และโอกาสรวมทั้งความเจริญทางเทคโนโลยีตามยุคสมัย อำนวยให้ สัญลักษณ์สำคัญและที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะของการแสดงโขน ที่คงรูปแบบและสืบทอดตลอด มาก็คือ ผู้แสดงสวมศีรษะหรือหัวโขน ปิดหน้าตามลักษณะตัวต่าง ๆ ที่ปรากฏในท้องเรื่อง จึงพูดและร้องด้วย ตนเองไม่ได้ ต้องมีผู้ทำหน้าที่แทนเรียกว่า “คนพากย์ – เจรจา” แม้เมื่อโขนได้วิวัฒนาการแล้ว ในชั้นหลังโดย


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 125 อิทธิพลของละครใน ให้ผู้แสดงโขนที่เป็นตัวพระ-นาง เช่น พระราม นางสีดา เทวดา และนางฟ้าต่าง ๆ เปิด หน้ากาก ส่วนที่ปิดหน้าออก คงสวมแต่มงกุฎและชฎาอย่างละครในแล้ว แต่โขนก็ยังสามารถรักษาแบบแผนไว้ ได้อย่างมั่นคง คือผู้แสดงไม่พูดเอง ร้องเอง ยังคงให้คนร้อง คนพากย์-เจรจา เป็นผู้ทำหน้าที่แทนจนในปัจจุบัน เว้นแต่ประเภทตัวประกอบ เช่น ตัวตลกที่มีอิสระในการแสดงสืบมาแต่ดั้งเดิม (กรมศิลปากร, 2545) กำเนิดโขน 1. โขนที่มาจาก “กระบี่กระบอง” สัญชาตญาณของการต่อสู้ย่อมมีอยู่ทุกตัวคนในโลกนี้ คนไทยเราก็เช่นกัน เลือดของการต่อสู้ของไทย เรา เข้มข้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ และชัดเจนกับการใช้อาวุธทุกชนิดเป็นพิเศษถึงแม้จะว่างศึกสงครามเราก็ยังหัด การใช้อาวุธให้แคล่วคล่องว่องไว และต่างก็ประกวดประชันกันในเชิงฝีมือและไหวพริบในการต่อสู้ ว่าใน กระบวนการหลีกหลบ ใครจะหลอกล่อ ยั่วคู่ต่อสู้ได้ดีกว่ากัน ดังนั้นจึงเกิดการประดิษฐ์ท่าต่าง ๆ เป็นต้นว่า ท่ากรายดาบเข้าหาคู่ต่อสู้ การสืบเท้าเพื่อหลีกหลบ เป็นต้น และการฝึกซ้อมหรืออวดท่าทางกันนั้นก็มีปี่ มี กลอง เป่าและตี ให้จังหวะด้วยการเหยาะย่างเท้า ก็ย่อมจะต้องให้เข้ากับจังหวะของปี่ของกลอง การกรายมือ กรายอาวุธเข้าหากันก็ต้องให้เป็นจังหวะ ดังนั้นจึงเกิดเป็นกระบวนรำที่เกี่ยวกับการศึกสงครามและฝึกหัดกัน ทั่วทุกคนที่เป็นทหารหรือชายชาตรี จนกระทั่งได้กลายเป็นมหรสพ เพื่อความบันเทิงใจของประชาชนในงาน เทศกาลต่าง ๆ ผู้เชิดหนังใหญ่ในสมัยโบราณ ก็คงจะเอากระบวนการเต้นการเยื้องกราย ร่ายรำ ในเวลาต่อสู้มา ใช้ในการเชิดหนังใหญ่เลยกลายมาถึงโขนด้วย เพราะว่าโขนก็มีการยกทัพ ตรวจพลและรบกัน ซึ่งเป็น กระบวนการรำของกระบี่กระบอง เป็นต้น 2. โขนที่มาจากการเล่นหนังใหญ่ การเล่นหนังใหญ่นั้น ประกอบไปด้วยการเชิดหนัง การเชิดหนังนั้นต้องเต้นไปตามจังหวะของดนตรีปี่ พาทย์ที่ตีประกอบการแสดง มีการพากย์-เจรจา การแสดงโขนก็เหมือนกัน คือ มีการพากย์-เจรจา การขับร้อง การเต้นและรำตามบทพากย์ และตามลักษณะของเพลงหน้าพาทย์ดังนั้นโขนจึงได้การพากย์-เจรจา และการ เต้นมาจากการเล่นหนังใหญ่ 3. โขนที่มาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ การเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ มีกล่าวไว้ในกฎมณเทียรบาล สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนพระราชพิธี อินทราภิเษกว่า ให้ตั้งภูเขาพระสุเมรุ และภูเขาอื่น ๆ กลางสนาม และใช้ตำรวจเล็กแต่งตัวเป็นอสูร มหาดเล็ก แต่งเป็นเทวดา วานร อย่างละร้อย และแต่งสุครีพ พาลี มหาชมพูอีกอย่างละตัว เข้ากระบวนแห่ทำพิธีชักนาค โดยให้อสูรชักข้างหัว ส่วนเทวดาและวานรชักข้างหางพร้อมด้วยพิธีต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้เองโขนจึงได้เอา กระบวนการแต่งตัวมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ในสมัยโบราณ วิวัฒนาการของโขน ได้กล่าวมาแล้วว่า โขนได้ศิลปะมาจากการแสดงต่าง ๆ แล้วนำมาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ด้วยกระบวน การรำ การเต้น และการแต่งกาย ให้วิจิตรงดงามขึ้นกว่าเก่า ในขั้นแรกนั้นก็คงจะเล่นกันในสนามเช่นเดียวกับ ชักนาคดึกดำบรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษกและคงจะเป็นดังที่เรียกกันในชั้นหลังว่า “โขนกลางแปลง” เมื่อ การแสดงเจริญก้าวหน้าต่อมาจึงได้มีผู้แก้ไขคิดปลูกโรงโขนให้เล่น เรียกกันว่า “โขนนั่งราวหรือโขนโรงนอก”


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 126 ซึ่งไม่มีร้องมีแต่พากย์และเจรจา และต่อจากนั้นโขนก็วิวัฒนาการ ด้วยการดัดแปลงเล่นด้วยวิธีต่าง ๆ จึงได้มีผู้ บัญญัติศัพท์ตามลักษณะที่แสดงโขนนั้น ๆ ขึ้นอีกรวมเป็น 5 ชนิด (วันทนีย์ ม่วงบุญ และคณะ, 2556) ได้แก่ 1. โขนกลางแปลง 2. โขนนั่งราว (โขนโรงนอก) 3. โขนโรงใน 4. โขนหน้าจอ 5. โขนฉาก 1. โขนกลางแปลง ได้แก่ การแสดงโขนบนพื้นดินกลางสนาม ไม่ต้องสร้างโรงให้เล่น การแสดงโขนแบบนี้มีแต่ การยกทัพและการรบกัน ดนตรีที่บรรเลงประกอบ ก็จะบรรเลงเฉพาะหน้าพาทย์ประกอบการยกทัพและรบกัน เท่านั้น โขนใช้แต่คำพากย์และคำเจรจาเท่านั้น ไม่มีบทขับร้องการแสดงโขนกลางแปลงนี้เคยมีแสดงครั้งใหญ่ เมื่อ พ.ศ. 2339 ในงานฉลองอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมชนกาธิราช โดยโขนวังหลวงเป็นกองทัพพระรามและโขน วังหน้าเป็นทัพทศกัณฐ์ ยกทัพมาบรรจบกันที่ท้องสนามหลวง ประสมโรงเล่นกันตอนสิบขุนสิบรถ ปรากฏว่า โขนวังหน้าซึ่งเป็นทัพทศกัณฐ์ไม่ยอมแพ้จึงเกิดรบกันขึ้นจริง ๆ เสร็จจากงานสมโภชพระอัฐิแล้ว ความ บาดหมางระหว่างวังหลวงกับวังหน้าก็เกิดขึ้นจนถึงกับเตรียมทำสงครามกันสมเด็จพระพี่นางเธอทั้งสอง พระองค์คือสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี และสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ต้องทรงเป็นผู้ไกล่ เกลี่ยจึงคืนดีเป็นปกติสืบมา 2. โขนนั่งราว หรือโขนโรงนอก โขนโรงนอกนี้จัดแสดงบนโรงไม่มีเตียงสำหรับนายโรงนั่งหากแต่ทำราวไม้ไผ่ พาดตามส่วนยาวของโรง ตรงหน้าฉากออกมามีช่องทางให้ผู้แสดงเดินได้รอบราว ตัวโรงมักมีหลังคา เมื่อตัวโขน แสดงบทของตัวเสร็จแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่บนราวตามเดิม โดยสมมติว่าเป็นเตียงหรือที่นั่งประจำตำแหน่ง มีแต่ พากย์กับเจรจา ไม่มีการขับร้อง ปี่พาทย์ก็บรรเลงแต่เพลงหน้าพาทย์ เช่น กราวใน กราวนอก คุกพาทย์ และ ตระนิมิต เป็นต้น เพราะเลียนแบบมาจากโขนกลางแปลง เมื่อจะต้องบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ วงดนตรีที่ บรรเลงจึงต้องมี 2 วง วงหนึ่งตั้งหัวโรงอีกวงหนึ่งตั้งท้ายโรง ปี่พาทย์ 2 วงนี้ เรียกว่า วงหัว-วงท้าย หรือวงซ้ายวงขวา การแสดงโขนนั่งราวนี้ยังมีวิธีการแสดงเพิ่มเติมออกไปเรียกว่า “โขนนอกโรง” คือในเวลาบ่ายก่อนวัน แสดงจริงหนึ่งวันใช้ปี่พาทย์ทั้งสองวงนี้โหมโรง ในเวลาโหมโรงนั้นพวกตัวโขนจะออกมากระทุ้งเส้า ตามจังหวะ เพลงที่กลางโรง จบโหมโรงแล้วก็แสดง ตอนพระพิราพออกเที่ยวป่าจับสัตว์กินเป็นอาหารพระรามหลงเข้าไปใน สวนพวาทองพระพิราพ หมดตอนนี้แล้วก็หยุดพักนอนค้างคืนเฝ้าโรงอยู่คืนหนึ่ง ตอนนี้และที่เรียกกันว่า “โขน นอนโรง” รุ่งขึ้นจึงแสดงตามเรื่องที่กำหนดไว้ 3. โขนโรงใน ได้แก่ โขนที่ได้รับการปรับปรุงตามแบบอย่างการเล่นละครในซึ่งพระมหากษัตริย์และกวีแห่ง ราชสำนัก ได้ร้อยกรองบทพากย์-เจรจา และบทร้อง ด้วยถ้อยคำอันไพเราะให้เหมาะกับการแสดง ทั้งยัง ปรับปรุงวิธีเล่นให้ประณีตบรรจง โดยปกติปลูกโรงให้เล่นด้วย 4. โขนหน้าจอ ได้แก่ การเล่นโขนหน้าจอหนังใหญ่ ตามปกติเมื่อเล่นหนังใหญ่เขาปักเสาขึงจอผ้าขาวบาง ที่ ปลายเสาทั้งสี่ต้นนั้นนิยมปักกำหางนกยูง ธงแดงหรือธงช้างและนิยมติดผ้าระบายหน้าจอแล้วแต่จะเห็นงาม ครั้นต่อมาจึงใช้ผ้าดิบทำเป็นช่องทางเข้าออกและทำรูปซุ้มประตูติด เช่น ประตูเมืองทั้งสองข้าง ด้านซ้ายของ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 127 จอเขียนเป็นรูปปราสาทราชวังสมมติว่าเป็นกรุงลงกาด้านขวาของจอเขียนเป็นรูปพลับพลาพระราม ครั้งต่อมา ภายหลังได้สร้างเวทีขึ้นที่หน้าจอหนัง และใช้เวทีเป็นที่เล่นโขนกลางแจ้งด้วย แม้ต่อมาจะไม่เล่นหนัง เล่นแต่ โขนก็คงใช้เวทีและฉากอย่างนั้น จึงเรียกว่าโขนที่เล่นหน้าจอหนังใหญ่กว่า “โขนหน้าจอ” โขนหน้าจอนี้ต่อมามี วิธีการเล่นวิธีแสดงเหมือนกับโขนโรงใน ต่างแต่เล่นบนเวทีหน้าจอ ซึ่งกรมศิลปากรได้ใช้เป็นแบบในการเล่น โขนกลางแจ้ง ในพิธีต่าง ๆ สืบมาจนทุกวันนี้ ในการเล่นโขนทั้งสี่ชนิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่แบ่งตอนและไม่แบ่งฉากไม่มีการสร้างฉากประกอบ ท้องเรื่อง การแสดงจึงดำเนินเรื่องติดต่อกันไปโดยผู้ดูนึกภาพสมมติเป็นฉากเอาเอง 5. โขนฉาก โขนฉากเข้าใจว่าเกิดขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 นี้เอง โดยมีผู้คิดสร้างฉากประกอบการแสดงโขนบน เวทีขึ้นคล้ายกับละครดึกดำบรรพ์ และผู้แรกเริ่มดำริทำนั้นเข้าใจว่าเป็นสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุ วัดติวงศ์ วิธีแสดงเป็นแบบโขนโรงใน มีการขับร้อง มีกระบวนรำ มีท่าเต้น มีหน้าพาทย์ ตามแบบละครในและ โขนโรงใน การประดิษฐ์สร้างฉากขึ้นประกอบ ก็ให้เข้ากับเหตุการณ์และท้องเรื่องด้วย เหตุนี้จึงเรียก ศิลปะการแสดงโขนชนิดนี้ว่า “โขนฉาก” เช่น โขนชุดต่าง ๆ ที่กรมศิลปากรปรับปรุงใหม่แล้วนำออกแสดงให้ ประชาชนชม ณ โรงละครศิลปากรเป็นจำ ตั้งแต่ พ.ศ. 2489 เป็นต้นมา และในปัจจุบันได้มีโขนพระราชทาน สมหมาย จันทร์เรือง (2562) ได้เขียนไว้ว่า สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงห่วงใยว่า โขนซึ่งเป็นสมบัติทางศิลปวัฒนธรรมอัน งดงามของไทยจะเสื่อมสูญไป ทั้งที่โขนเคยใช้เป็นการแสดงพระราชทานแก่พระราชอาคันตุกะของบ้านเมือง และเป็นที่ชื่นชมอย่างยิ่งเสมอมา จึงมีพระราชดำริที่จะฟื้นฟูโขนให้กลับคืนสู่ความนิยมของคนไทย โดยมีพระ ราชเสาวนีย์ให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปี หลวง จัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนขึ้นใหม่อย่างประณีต ทั้งศิราภรณ์ และพัสตราภรณ์ ให้ศึกษาวิธีการแต่งหน้า โขนที่เปิดหน้าให้สวยงามเหมาะสมแก่การแสดงบนเวทีสมัยใหม่ และให้ส่งเสริมนักเรียนนักศึกษาผู้ใฝ่ใจในการ แสดงโขนให้มีความรู้ความสามารถยิ่งขึ้น พระราชเสาวนีย์นี้จึงก่อให้เกิดช่างฝีมือรุ่นใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้ง ช่างทำหัวโขน ช่างทอผ้า ช่างปัก สดึงกรึงไหม ช่างเงินช่างทอง ช่างแกะสลัก ช่างเขียน และช่างแต่งหน้าโขน ผู้ มีความเข้าใจในศิลปะและจารีตนิยมของโขนอย่างถ่องแท้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้ดำเนินการรับสนองพระ ราชเสาวนีย์ดังกล่าวจนลุล่วง และจัดการแสดงโขนถวายเป็นปฐมทัศน์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคล ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 75 พรรษา เมื่อพุทธศักราช 2550 ในชุด พรหมาศ ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจนต้อง จัดแสดงซ้ำ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดการแสดงโขนให้ประชาชนเป็นประจำทุกปี โดย ทรงเลือกตอนต่างๆ ที่จะจัดแสดงด้วยพระองค์เอง ประชาชนจึงเรียกโขนที่มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯจัดแสดงใน ครั้งต่อๆ มาว่า โขนพระราชทาน โดยปี พ.ศ.2553 จัดแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ตอนนางลอย ปี พ.ศ.2554 ตอนศึกมัยราพณ์ ปี พ.ศ.2555 ตอนจองถนน ปี พ.ศ.2556 ตอนโมกขศักดิ์ ปี พ.ศ.2557 ตอนนาคบาศ ปี พ.ศ.


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 128 2558 ตอนพรหมาศ ทุกครั้งมีผู้สนใจเข้าชมเนืองแน่น ปี พ.ศ.2559 การแสดงตอนพิเภกสวามิภักดิ์ต้องยกเลิก เนื่องจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และปี พ.ศ.2560 มีการจัดแสดงโขนเพิเศษ 3 ตอน ได้แก่ ตอน รามาวตาร ตอนสีดาหายถวายพล และตอนพิเภกสวามิภักดิ์ เนื่องในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ ระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง ต่อมาปี พ.ศ.2561 มีการจัดแสดงเป็นวาระพิเศษฉลองครบรอบหนึ่งทศวรรษของโขนพระราชทาน ตอนพิเภกสวามิภักดิ์ และปี พ.ศ.2562 จัดแสดงชุดสืบมรรคา ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องตอนต้นของรามเกียรติ์ และเป็น การจัดแสดงครั้งสุดท้ายของโขนพระราชทานก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของโรควิด-19 ในปี พ.ศ.2563 ต่อเนื่อง มาถึงปัจจุบัน (สมชัย อักษรารักษ์, 2565) นอกจากนี้ยังมีการแสดงโขนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนในระบบการศึกษา เพื่อให้เกิดประโยชน์ กับผู้เรียนเป็นวงกว้างและให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จักการแสดงโขนสืบต่อไป โขนผู้หญิงแห่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นโขนสมัครเล่นที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2546 โดยผู้แสดงเป็นนักแสดงสมัครเล่น และจะเป็นใครก็ได้ ทั้ง นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป โดยมีวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งขึ้นมาเพื่องานทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่กำหนดจุดยืนว่าเป็น “โขนผู้หญิง” แต่กล่าวได้ว่ามีผู้แสดงโขนที่เป็นผู้หญิง (ไม่ ใช้หญิงล้วนทุกตัวแสดง) ในแง่ของความนิยม โขนรามคำแหงเป็นแห่งแรก ๆ ที่จัดแสดงสดและถ่ายทอดผ่าน สื่อโทรทัศน์ จึงเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้เป็นวงกว้าง แต่วัตถุประสงค์โดยแท้จริงนั้น โขนรามคำแหงมุ่งผลิตคนแสดง มากกว่าคนดู กล่าวคือสร้างคนให้ดูโขนเป็น มากกว่าเน้นที่ความนิยมของผู้ชม อย่างไรก็ดี เมื่อเปิดออดิชั่นแต่ ละครั้งมีผู้คนให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และสะท้อนได้ว่าจำนวนของผู้สมัครเข้ามาร่วมแสดง นั้นในอนาคตจะเป็นจำนวนของผู้ที่ดูโขนเป็นเพิ่มมากขึ้น ท่ารำ กระบวนการถ่ายทอด รูปแบบการแสดงและ องค์ประกอบอื่น ๆ เป็นไปตามรูปแบบแบบแผนเดิมของการแสดงโขน แม้ผู้แสดงจะเป็นมือสมัครเล่นแต่ครูผู้ ถ่ายทอดได้ให้การฝึกซ้อมฝึกสอนอย่างเข้มข้นจนทำให้การแสดงสำเร็จลุล่วง หากในการแสดงบางชุดตอน จัดทำขึ้นใหม่ หรือแต่งบทใหม่แทรกในการแสดง ก็จะมีการสร้างสรรค์ท่ารำขึ้นใหม่เฉพาะช่วงนั้น ๆ (ธรรมจักร พรหมพ้วย, สัมภาษณ์, 17 ตุลาคม 2565) โขนเด็กสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร จัดเป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและเป็นกิจกรรมที่ช่วยฝึกผู้เรียนให้มีทักษะต่างๆ ซึ่งมีความสอดคล้อง กับทักษะชีวิตและอาชีพในศตวรรษที่ 21 โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ไตรรัตน์ พิพัฒโภคผล เล่าให้ฟังว่า “ การ เรียนโขนของเด็กนักเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร เริ่มจากในสมัยของอดีต ผู้อำนวยการโรงเรียน ท่านมองเห็นว่า เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงเมื่อมาเรียนวิชานาฏศิลป์รวมกันแล้ว เด็กผู้ชาย จะดูเก้งก้าง และมักจะไม่ค่อยสนใจเรียนรำไทยคู่กับเด็กผู้หญิง ในขณะที่นาฏศิลป์ไทยมักจะออกแบบให้ผู้หญิง มากกว่าผู้ชาย และผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ดังนั้น ที่โรงเรียนจึงแยกเป็นนาฏศิลป์ไทยกับโขน เพื่อที่จะให้เด็กผู้ชาย สนใจการแสดงศิลปวัฒนธรรมมากขึ้น ได้จากการเรียนโขน “ ทางโรงเรียนจึงได้จัดทำเป็นหลักสูตรของ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 129 สถานศึกษา ให้อยู่ในหลักสูตรการเรียนโดยมีระดับความยากง่ายตามลำดับชั้น เช่น ชั้นประถม 4 เป็นทหาร พออยู่ประถม 5 เป็นตัวรบ พอโตหน่อยอยู่ประถม 6 เป็นตัวเอก แล้วก็เรียนในชั่วโมง แล้วทุกคนก็ฝึกหัด เหมือนกัน แล้วมีเวทีให้เด็กได้แสดงออกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่เด็กผู้ชายจะฝึกโขน ส่วนผู้หญิงเรียนรำไทย การสอนก็เริ่มตั้งแต่พื้นฐานว่าโขนมีตัวอะไรบ้าง เช่น ตัวพระ ตัวนาง ยักษ์ และลิง จากนั้นก็อธิบายว่าแต่ละตัวแสดงมีลักษณะเป็นอย่างไร แล้วค่อยมาดูว่าใครเหมาะกับบทไหน เด็กที่เป็น นักแสดงตัวพระต้องมีใบหน้ารูปไข่ มือต้องอ่อนช้อย ” ส่วนทางด้านของร่างกาย ถือว่าเป็นการฝึกวินัยที่ดี สร้างความพร้อมเพรียง และความอดทนได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นเวลาสวมใส่ชุดซึ่งค่อนข้างหนัก และใช้เวลาใน การแต่งตัวนานมาก ตัวแสดงบางตัวต้องใช้เวลาแต่งตัวถึง 2 ชั่วโมง แล้วเมื่อแต่งตัวแล้วก็ต้องอยู่ในชุดนั้นทั้งวัน รวมทั้งได้ฝึกการทำงานเป็นทีม บางคนได้รับบทเป็นนักแสดงตัวเอก แต่ถ้านักแสดงคนอื่นๆ ไม่ให้ความร่วมมือ ก็ไม่สามารถทำให้การแสดงประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้น เด็กก็จะเข้าใจว่าทุกคนต้องทำงานเป็นทีม ใครรับบท อะไรก็ต้องแสดงให้เต็มที่ “ เด็กทุกคนได้ร่วมแสดง เรียนรู้อย่างมีความหมาย เมื่อเรียนแล้วได้แสดงออก ฝึกซ้อมกับเพื่อน แล้วยังได้เล่นบนเวทีจริง มีคนพากย์จริง คนดูจริง ก็ทำให้เขาได้รับประสบการณ์ตรง เป็น ประสบการณ์บนเวทีจริง ถือเป็นการสอนภาคปฏิบัติ เมื่อพ่อแม่มาดูการแสดงของเขาถึงเขาไม่ได้แสดงเป็นตัว เอก แต่เขาก็ได้ทำอย่างเต็มที่ ในขณะที่ประโยชน์ทางด้านจิตใจ ถือเป็นการฝึกสมาธิที่ดีมากๆ ทั้งยังจะสามารถ สอนผ่านเรื่องราวตามเนื้อเรื่องของรามเกียรติ์ได้ด้วย เช่น เรื่องความรัก ความกตัญญู ยกตัวอย่าง พระรามมี ความกตัญญูต่อพ่อแม่ สัญญาไว้ว่าจะยอมออกป่า ก็ยอมออกป่าถึง 14 ปี เพื่อแสดงความกตัญญูต่อพ่อ พระรามเป็นตัวแทนของความซื่อสัตย์ รักภรรยามาก เป็นลูกที่ดี เวลาสอนเด็กก็จะสนุก หลังจากประสบ ความสำเร็จในการฝึกสอนเด็กๆ ในโรงเรียน ทางโรงเรียนก็มีนโยบายในการเผยแพร่ศิลปะการแสดงของโขน เด็กให้ไปสู่การรับรู้ในต่างจังหวัดด้วย โดยเฉพาะในชนบท เพื่อเผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเราได้จัด โครงการโขนจิ๋วสัญจร ไปยังโรงเรียนในต่างจังหวัด เมื่อปีที่แล้วเราก็ไปที่จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นการนำโขนไป เผยแพร่ให้เด็กต่างจังหวัด พร้อมกับแลกเปลี่ยนการแสดงของท้องถิ่นด้วย คือพอเด็กของเราไป ก็จะสอนโขน ให้เขาแล้วเด็กที่โน่นก็สอนรำภูไทสอนรำตั๊กแตน เด็กๆ สอนกันเอง เป็นการเรียนรู้จากเด็กสู่เด็ก โดยที่ผู้ใหญ่ เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ สิ่งที่เด็กได้ คือ การคิดอย่างเป็นระบบ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมซึ่งกันและ กัน ระหว่างเด็กในเมืองกับเด็กต่างจังหวัด เป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจมาก และเกิดประโยชน์ต่อเด็กอย่างแท้จริง ” (กชกร เทศถมยา. 2561) ชมรมโขนและศิลปะการป้องกันตัว โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม จัดเป็นโรงเรียนที่มีกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่หลากหลาย ได้แก่ กิจกรรมออกแบบ กิจกรรมผู้จัดทำ ภาพยนตร์ กิจกรรมขับร้องประสานเสียง ฯลฯ รวมถึงกิจกรรมโขน โดยจุติมาพร เผ่าจินดา อาจารย์สอน นาฏศิลป์โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม กล่าวว่า “ ผู้เรียนต้องมาฝึกซ้อมตามวันและเวลา ที่นัดหมาย ฉะนั้นผู้เรียนจะได้ฝึกความอดทน ตรงต่อเวลาและต้องมีวินัยในการเข้าฝึกซ้อม การฝึกซ้อมจะ แบ่งเป็นตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์และตัวลิง โดยจะเล่นเรื่องรามเกียรติ์และมีการกำหนดตอนที่จะใช้แสดง เพื่อ แบ่งบทกันไปฝึกซ้อมก่อนที่จะมารวมกัน ดังนั้นผู้เรียนจะได้เรื่องของการทำงานร่วมกับผู้อื่น ฝึกการทำงานเป็น ทีม และมีโครงการศิลปวัฒนธรรมและการแสดง ที่ผู้เรียนต้องมีการทำงานเป็นทีม ทั้งยังเกิดความเสียสละ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 130 ภายใต้การเกิดภาวะผู้นำในระบบบริหารจัดการโครงการฯ ที่ต้องมีประธาน รองประธาน เลขานุการ และ ตำแหน่งในทีมบริหารอีกมากมายที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ไปพร้อมกับทักษะในการปฏิบัติโขนด้วย” (กชกร เทศถม ยา, 2561) ประเภทของผู้แสดง ในการแสดงโขน ประเภทของผู้แสดงจะแบ่งออกได้ 4 ประเภท (วันทนีย์ ม่วงบุญ และคณะ, 2556) ได้แก่ 1. ตัวพระ ผู้แสดงที่เป็นมนุษย์ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเทวดา ซึ่งได้แก่ พระราม พระลักษณ์ พระ พรต พระสัตรุต พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม ในปัจจุบันนี้มักสวมเพียงชฎา ไม่ได้สวมหัวโขนปิดหน้าดัง สมัยโบราณ เพียงแต่ชฎาของเทพเจ้าต่างๆนั้นจะสามารถสังเกตได้จากลักษณะของชฎานั้นๆ เช่น พระพรหมจะ สวมชฎาที่มีพระพักตร์อยู่ 4 ด้าน พระอินทร์จะสวมชฎายอดเดินหน เป็นต้น 2. ตัวนาง ตัวละครตัวนางในเรื่องรามเกียรติ์นั้นมีทั้งที่เป็นมนุษย์ ปลา นาค แต่ละตัวจะบอก ชาติกำเนิดด้วยการสวมศีรษะ และหางเป็นสัญลักษณ์ ตัวนางในโขน และละครรำนั้นมี 2 ประเภท คือนาง กษัตริย์ ซึ่งมีลีลาและอิริยาบถแสดงถึงความนุ่มนวล แลดูเป็นผู้ดี กับนางตลาด ซึ่งจะมีบทบาทท่าทาง กระฉับกระเฉง ว่องไว สะบัดสะบิ้ง ผู้ที่จะรับบทนางตลาดได้จะต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางนาฏศิลป์ มากกว่าผู้ที่แสดงเป็นนางกษัตริย์ 3. ตัวยักษ์ ตัวยักษ์จะต้องมีลักษณะสูง วงเหลี่ยมตลอดจนการทรงตัวต้องดูแข็งแรง บึกบึน ลีลาท่าทางมีสง่า ซึ่งต้องได้รับการฝึกหัดมาอย่างดีเพราะถือกันว่าหัดยากกว่าตัวอื่นๆ 4. ตัวลิง ตัวลิงจะต้องมีท่าทางลุกลี้ลุกลน กระโดดโลดเต้นตามลักษณะธรรมชาติของลิง โดย เฉพาะตัวหนุมานทหารเอกซึ่งจะต้องได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี สิ่งที่จะแสดงออกได้ดีที่สุดในการแบ่งประเภทของตัวละครจากผู้ชม คือ หัวโขน ซึ่งเป็นเครื่องใช้สำหรับ ศีรษะและปิดบังส่วนหน้าที่คล้ายกับหน้ากาก แต่หัวโขนจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไปตรงที่สร้างหุ่นจำลอง รูปทรงใบหน้าและศีรษะทั้งหมด โดยผู้แสดงสามารถสวมครอบศีรษะจะห่อหุ้มส่วนใบหน้าและส่วนหัวมิดชิด และเจาะช่องเป็นรูกลมที่ตาของหน้ากากให้ตรงกับนัยน์ตาของผู้แสดง เพื่อให้นักแสดงมองเห็นการแสดง หัวโขนก็จะมีลักษณะ รูปทรงและสี แตกต่างกันออกไป เช่น พวกพญาวานรที่ไม่มีมงกุฎและพวกสิบแปดมงกุฎ กับพวกเตียวเพชร มักเรียกรวมๆ กันว่าลิงโล้น ต่างก็มีลักษณะหัวคล้ายๆ กัน จึงต้องบัญญัติสีกายและสีหน้า ของวานรให้แตกต่างกันด้วย เช่น วานรสีหงสบาท เป็นนิลนนท์ วานรสีสัมฤทธิ์ เป็นนิลปาสัน วานรสีทองแดง เป็นนิลเอก แม้จะบัญญัติให้แตกต่างกันด้วยสี ก็ยังมีซ้ำกันอีก เช่น วานรสีขาว ปากอ้าเป็นหนุมาน ถ้าหุบเป็น สัตพลี และหนุมานถือตรีเป็นอาวุธ สัตพลีถือพระขรรค์เป็นอาวุธ เป็นต้น (นฤทธิ์ วัฒนภู, 2557) แนวคิดและหลักในการฝึกหัดโขน ผู้ที่จะหัดโขนนั้นมักเป็นผู้ชายตามธรรมเนียมมาแต่โบราณ โดยเริ่มหัดกันตั้งแต่อายุ 8 - 12 ขวบ โดยมี หลัก “เยาว์วัย ยาวนาน” คือการเริ่มเรียนตั้งแต่อายุน้อย จะทำให้ผู้เรียนมีการจดจำลีลาท่าทางในรำได้อย่าง


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 131 แม่นยำและยาวนาน (กชกร เทศถมยา, 2561) ในชั้นต้นคุณครูผู้ใหญ่จะเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกผู้สมควรหัดเป็น ตัวแสดงต่างๆเมื่อผู้ที่หัดเป็นตัวเหล่านี้ไปแล้วครูก็จะพิจารณาท่าทีหน่วยก้านเพื่อคัดอีกชั้นหนึ่ง เช่น พวกหัดตัว พระคัดให้เป็นพระใหญ่หรือพระน้อย พวกหัดตัวนางคัดให้เป็นนางเอก หรือนางรองพวกหัดตัวยักษ์ให้เป็นยักษ์ ใหญ่ ยักษ์น้อย หรือเสนายักษ์และพวกหัดตัวลิงจะให้เป็นพญาวานร หรือเหล่าวานรสิบแปดมงกุฎ เป็นต้น หลังจากครูคัดเลือกศิษย์แล้ว เมื่อถึงวันพฤหัสบดี ซึ่งถือว่าเป็นวันครูก็จะทำพิธีไหว้ครู และรับเข้าเป็นศิษย์โดย ศิษย์ต้องมีดอกไม้ธูปเทียนเป็นเครื่องสักการะแก่ครูเมื่อครูรับ การสักการะแล้วก็จะทำความเคารพถึงครูบา อาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้วอีกทีหนึ่งแล้วจึงจับท่าให้ศิษย์เป็นปฐมฤกษ์ต่อจากนั้นจึงให้ศิษย์ไปฝึกหัดกับครูผู้ช่วย สอนแต่ละฝ่ายตามตัวโขน เมื่อผ่านการฝึกท่าพื้นฐานแล้ว พวกหัดตัวลิงตัวยักษ์จึงฝึก “แม่ท่า” พวกตัวพระตัวนางก็ฝึก “รำเพลง” แล้วหัดท่าพลิกแพลงที่เรียกว่า "สร้อยท่า” ตามแต่ตัวโขน จากนั้นจึงหัดเต้น และรำตามจังหวะดนตรีต่อไป หลักการคัดเลือกผู้เรียน นักเรียนที่จะเข้ารับการฝึกหัดโขนนั้น เป็นนักเรียนชายด้วยเป็นประเพณีมาแต่ โบราณ ว่า พวกโขนต้องเป็นชาย ผู้ที่เข้ารับการฝึกหัดโขนควรจะได้เริ่มหัดกันมาตั้งแต่เยาว์วัยราวอายุ 8-12 ขวบ จึงจะฝึกหัดได้ดีถ้าเด็กมีอายุมากเสียแล้วก็หัดได้ยาก นอกจากจะมีอุปนิสัยมาแต่เดิม เด็กชายที่จะ ฝึกหัดโขนนั้น ในชั้นต้นครูผู้ใหญ่จะต้องพิจารณาคัดเลือกออกเป็น 4 พวกคือ 1) พวกพระ 2) พวกนาง 3) พวกยักษ์ และ 4) พวกลิง ซึ่งมีรายละเอียดและลักษณะของการพิจารณาคัดเลือก ดังนี้ 1. พวกพระ คัดเลือกผู้มีลักษณะ คือ รูปหน้าสวย จมูกสัน ลำคอโปร่งระหง ช่วงแขนและช่วงขา สมส่วน รวมความว่า พวกพระนั้นคัดเลือกจากผู้ที่มีทรวดทรงสัณฐานงามสมส่วน ใบหน้ารูป ไข หน้าตาคมคายท่าทางสะโอดสะองผึ่งผาย ตามแบบของชายงามในวรรณคดีไทย 2. พวกนาง คัดเลือกผู้มีลักษณะ คือ เลือกจากผู้ที่มีรูปร่างคล้ายพวกพระ แต่ไม่สู้พิถีพิถันนัก สิ่ง สำคัญอยู่ที่เลือกคนที่มีใบหน้างามและดูที่มีกิริยาท่าทางแช่มช้อยนิ่มนวลอย่างกิริยาหญิง 3. พวกยักษ์ คัดเลือกผู้มีลักษณะ คือ เลือกจากผู้ที่มีรูปร่างคล้ายพวกพระ แต่ไม่ต้องเลือก หน้าตา เลือกเอาผู้ที่มีร่างใหญ่ ท่าทางแข็งแรง 4. พวกลิง คัดเลือกผู้มีลักษณะ คือ เลือกจากผู้ที่มีรูปร่างป้อม ๆ ท่าทางหลุกหลิกคล่องแคล่ว เมื่อครูคัดเลือกศิษย์ไว้แล้ว เมื่อถึงวันพฤหัสบดี ซึ่งนับถือกันว่าเป็นวันครู ก็ทำพิธีมอบตัวให้ครู ศิษย์ จะต้องมีดอกไม้ธูปเทียนเป็นเครื่องสักการะอย่างสังเขป แล้วพร้อมกันเข้าไปเคารพครูผู้ใหญ่ มอบดอกไม้ธูป เทียนให้ท่าน แล้วก็เริ่มจับท่ามาจับท่าให้บรรดาศิษย์เป็นปฐมฤกษ์ ต่อนั้นไปก็มอบบรรดาศิษย์แจกจ่ายให้ครู ผู้ช่วยรับไปฝึกหัดกันแต่ละฝ่าย พวกพระก็มอบให้ครูพระรับไปฝึกหัด พวกนางก็มอบให้ครูนางรับไป ฝึกหัด พวกยักษ์ก็มอบให้ครูยักษ์รับไปฝึกหัด พวกลิงก็มอบให้ครูลิงรับไปฝึกหัด ซึ่งเน้นความหนักเบาในการ ฝึกหัดแตกต่างกันออกไป แต่หลักใหญ่ในการฝึกหัดเบื้องต้นที่ตรงกัน มีอยู่ 3 ประการ ประกอบด้วย 1.ตบ เข่า ถ่องสะเอว และเต้นเสา การฝึกหัดเบื้องต้นในการแสดงโขน ตัวพระ ตัวยักษ์และตัวลิง มีกระบวนท่าที่เหมือนกันอยู่ 3 ท่า ตบ เข่า ถองสะเอว เต้นเสา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเริ่มต้นการเรียนการสอนโขน ส่วนเทคนิควิธีการสอนโขนเป็น การสอนแบบสาธิต เน้นการฝึกปฏิบัติ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทักษะการแสดงโขน นำไปสู่ทักษะแสดงโขน


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 132 จากการสังเกตการเรียนการสอนโขนจะเรียนกันเป็นกลุ่มเป็นทีม มีเพลงสำคัญที่ต้องฝึกก่อนแสดงที่เหมือนกัน ในทุกตัวละคร คือกระบวนการรบและการขึ้นลอย ซึ่งผู้ที่เรียนจะได้ทักษะการทำงานเป็นทีม อันจะช่วยสร้าง พฤติกรรมที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ได้ โดยมีครูผู้ฝึกและตัวผู้เรียนเองเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ดี 1. กระบวนการปะทะทัพและขึ้นลอย ซึ่งนายอาคม สายาคม (2545: 275) ได้เขียนว่าการปะทะทัพและการขึ้นลอยมีหลักสำคัญ 2 ประการ ดังนี้ 1. การปะทะทัพ ฝ่ายยักษ์จะอยู่ทางซ้ายของจอและฝ่ายพระและลิงจะอยู่ทางขวาของจอเสมอ 2. ท่าขึ้น ลอยระหว่างพญายักษ์และพญาลิง และ3.ลอยพิเศษ (ไม่มีคำอธิบายเนื่องจากเป็นลอยที่ถูกสร้างใหม่และใช้ใน กรณีพิเศษ) ได้แก่ ลอยมัจฉานุ ลอยบ่า ลอยเหยียบและลอยสูงใช้ผู้แสดง 4 ตัว คือ ทศกัณฐ์ หนุมาน พระราม พระลักษณ์ มีรายละเอียดของท่า ดังนี้ ภาพประกอบ 1 ท่าลอยหนึ่ง ยักษ์ – ลิง ที่มา กชกร เทศถมยา ท่าลอยหนึ่ง ยักษ์ – ลิง เป็นท่าต่อจากท่ารบ 1-2-3 และเรียกกันว่าท่า “ขึ้นลอย” ท่าขึ้นลอยนี้จะ สังเกตได้จากท่าของคนที่อยู่ข้างบน โดยจะเปลี่ยนเป็นลอย 1-2-3 อยู่ตลอดเวลาที่ขึ้นลอย วิธีปฏิบัติ ยักษ์ตั้ง เหลี่ยมทั้งสองขา มือขวาถือกระบองตั้งวงบน มือซ้ายอ้อมมาข้างหน้าลิง จับ สะเอวด้านขวา ลิงใช้เท้าซ้ายเป็น หลักยืนอยู่บนโคนขาข้างซ้ายของยักษ์ เท้าขวายกขึ้นไว้ข้างๆตัว มือซ้ายตึงแขนจับปลายกระบองของยักษ์ มือ ขวาถือพระขรรค์ งอแขนเสมอไหล่ไว้ข้างตัว ยักษ์หันหน้าออก ลิงหันหน้าเข้า ทั้งลิงและยักษ์ คงหันหน้ากันอยู่ คนละด้าน หน้ามองดูกัน


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 133 ภาพประกอบ 2 ท่าลอยสอง ยักษ์ – ลิง ที่มา กชกร เทศถมยา ท่าลอยสอง ยักษ์ – ลิง วิธีปฏิบัติ ยักษ์ตั้งเหลี่ยมทั้งสองขา มือขวาถือกระบองตั้งวงบน มือซ้ายอ้อมมา ข้างหน้าลิงจับสะเอวด้านขวา ลิงใช้เท้าขวายืนเป็นหลักอยู่บน โคนขาข้างซ้ายของยักษ์ เท้าซ้ายเหยียบอยู่บน แขนข้างขวาตรงข้อศอกของยักษ์ มือขวาถือพระขรรค์ งอแขนอยู่ตรงหน้า มือซ้ายงอแขนเอามาแตะไว้บนมือ ขวาที่กำพระขรรค์อยู่ ยักษ์หันหน้าออก ลิงหันหน้าเข้า ทั้งลิงและยักษ์คงหันหน้าอยู่คนละด้าน หน้ามองดูกัน ภาพประกอบ 3 ท่าลอยมัจฉานุ (ลอยพิเศษ) ที่มา กชกร เทศถมยา


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 134 ภาพประกอบ 4 ท่าลอยบ่า (ลอยพิเศษ) ที่มา กชกร เทศถมยา ภาพประกอบ 5 ท่าลอยเหยียบ (ลอยพิเศษ) ที่มา กชกร เทศถมยา


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 135 ภาพประกอบ 6 ท่าลอยเหยียบ (ลอยพิเศษ) ที่มา กชกร เทศถมยา ภาพประกอบ 7 ท่าลอยสูง (ลอยพิเศษ) ที่มา กชกร เทศถมยา


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 136 ภาพประกอบ 8 ท่าลอยสูง (ลอยพิเศษ) ที่มา กชกร เทศถมยา ประโยชน์ที่กิจกรรมโขน ซึ่งเจษฎา อานิล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “โขน” ไม่เพียงแต่เป็นศิลปะการแสดงประจำชาติไทย แต่ยังเป็นกิจกรรมทางกาย (Physical Activity) ที่ช่วยในการบริหารร่างกาย และกล้ามเนื้อในหลายๆ ส่วนด้วย เพราะเป็นการประยุกต์ใช้ ทักษะทั้งทางด้านร่างกาย การรับรู้ และประสาทสัมผัส เห็นได้จากใช้ร่างกายผ่านท่าทางต่างๆ ของ 4 ตัวละคร ทั้งตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์ และตัวลิง โดยแต่ละท่าจะมีความเคลื่อนไหวร่างกายแตกต่างกัน อย่างตัวลิง เป็นตัว ละครที่มีท่าทางและการเคลื่อนไหวมากพอสมควร โดยเฉพาะบริเวณขา เมื่อวัดค่าการเคลื่อนไหวของร่างกาย (PA) ออกมาจึงพบว่า สูงกว่าตัวละครอื่นๆ รวมไปถึงค่าทางสมอง (Brain Activity) ก็พบว่าสูงเช่นกัน เจษฎา กล่าว “ ทุกตัวละคร ถ้ามีการเคลื่อนไหว 1 ครั้ง มันจะทำให้สมองมีการประสานงานในหลายส่วน หลักๆ ก็จะ เป็นสมองที่ควบคุมส่วนเคลื่อนไหว ตามมาด้วยสมองที่ควบคุมการในเรื่องของการฟัง เพราะการแสดงโขนต้อง ฟัง และจับจังหวะด้วย สุดท้ายคือ สมองที่ควบคุมการทรงตัว ดังนั้น จึงพูดได้ว่า โขนดีต่อกายแล้ว ยังดีต่อการ พัฒนาระบบสมองในส่วนต่างๆ ด้วย” ขณะที่ครูโขน ครูจตุพร รัตนวราหะ อายุ 80 ปี ศิลปินแห่งชาติ สาขานาฏศิลป์ ปี 2552 หนึ่งใน ครูผู้สอนโขนให้แก่เยาวชนที่สถาบันคึกฤทธิ์ สะท้อนมุมมองว่า ปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนสนใจหันมาเรียนโขน มากขึ้น อย่างสถาบันคึกฤทธิ์เองก็มีเยาวชนสนใจมาเรียนจำนวนมาก เท่าที่เปิดการสอนมามีเด็กมาเรียนแล้ว 600 - 700 คน ซึ่งเดิมทีเราจำกัดอายุให้แค่เด็กและเยาวขน แต่ขณะนี้ไม่ได้จำกัดอายุแล้ว เพียงแต่จากเดิมที่ จัดการเรียนการสอนฟรี ก็จะมีค่าสมัครเรียนแรกเข้าคนละ 500 บาท แต่สามารถมาเรียนได้ตลอดไม่มีกำหนด


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 137 ว่าหมดคอร์สเรียนเมื่อไร เพียงแต่ต้องจัดหาผ้าแดงมานุ่งระหว่างเรียนเอง หรือจะให้สถาบันฯ จัดซื้อให้ก็ได้ ทั้งนี้ รู้สึกยินดีและดีใจที่เยาวชนคนรุ่นใหม่หันมาสนใจการแสดงโขนมากขึ้น ไม่อยากให้สูญหาย เพราะปัญหาที่ น่าห่วงคือ ครูโขนทั้งหลายล้วนเริ่มแก่เฒ่าและล้มหายตายจากกันไปมากแล้ว สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือการ ผลิตครูนาฏศิลป์หรือครูโขนเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกับปริมาณเด็กและเยาวชนที่สนใจเรียนเพิ่มขึ้น และเพื่อไม่ให้ ความรู้ทางด้านนาฏยกรรมนี้สูญหาย “การสอนโขน คนเป็นครูไม่ใช่เพียงแค่นั่งดูว่าเด็กทำท่าถูกต้องหรือไม่ แต่จะต้องลงไปจับ ลงไปจัด ท่าทาง ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จึงจะสามารถสอนท่าทางที่ถูกต้องได้ ส่วนที่ปัจจุบันมีการสนับสนุนให้คนหันมา เรียนมาเล่นโขนเพราะมีประโยชน์ต่อสุขภาพถือเป็นเรื่องจริง เพราะดีต่อสุขภาพจริงๆ” (สิรวุฒิ รวีไชยวัฒน์ และปิยะนันท์ ขุนทอง. 2559: ออนไลน์) การละเล่นพื้นเมือง การละเล่นพื้นเมืองเป็นการละเล่นประจำท้องถิ่นของประชาชนชาวไทยที่มีทั่วทุกภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ซึ่งการละเล่นในแต่ละถิ่นฐานมีเอกลักษณ์เฉพาะ มีความ แตกต่างกันทางการร่ายรำ คำร้อง รูปแบบการแสดง ดนตรี และการแต่งกาย ประวัติ/ความหมาย การละเล่นพื้นเมือง คือ การละเล่นที่แสดงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน การเล่นเพลงและการระบำรำฟ้อน เกิดขึ้นพร้อมกับสังคมเกษตรกรรมซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของ ชาวไทย ซึ่งสังคมไทยภาคกลางมักจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีน้ำใจและร่วมแรงร่วมใจในการทำงาน เช่น การ ดำนา การเกี่ยวข้าว การนวดข้าว ระหว่างช่วยกันทำนาก็จะผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยด้วยการละเล่นต่าง ๆ ทั้งการร่ายรำ การเกี้ยวพาราสีและมีการร้องโต้ตอบคารมเชิงคำกลอน ทำให้เกิดการเล่น เช่น การเล่นเพลง ได้แก่ เพลงนา เพลงเต้นกำรำเคียว เพลงพาดควาย เพลงชักกระดาน เพลงลำตัด เพลงเหย่อย เพลงอีแซว เพลง เรือ เพลงสงฟาง เป็นต้น (สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่มที่ 23,2548:70-72) ประวัติศาสตร์ไทยได้บันทึกไว้ว่า คนไทยมีการละเล่นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย จากความในศิลาจารึก สุโขทัยหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กล่าวว่า “ใครใคร่จักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครมักจักเลื่อน เลื่อน” การละเล่นมีทั้งของเด็กและของผู้ใหญ่การละเล่นของเด็กจะเริ่มตั้งแต่เป็นทารก จนกระทั่งเจริญไวมี การเล่นง่ายๆอยู่ภายในบ้านการเล่นสนุกนอกบ้านและการเล่นที่นำอุปกรณ์การเล่นมาจากวัสดุธรรมชาติเป็น การเล่นที่มุ่งเพื่อการพัฒนาร่างกายสมองและจิตใจตามวัย


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 138 ส่วนการเล่นของผู้ใหญ่มีความซับซ้อนในวิธีการเล่นตามประเภทของการแสดงมีทั้งมุ่งแสดงเพื่อ บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นพิธีกรรม การเฉลิมฉลอง เฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์การสมโภชในงานของ พระศาสนา และการสังสรรค์สนุกสนานบันเทิงของชาวบ้าน เพื่อความรื่นเริง ในการชุมนุมกันเป็นหมู่คณะ โดยเฉพาะการทำนา การเล่นเพื่อความครึกครื้น ตามประเพณีเทศกาล และยามว่างในฤดูกาล พื้นเมือง วัฒนธรรมประจำชาติทุกภาคของประเทศจะมีการเล่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะภาคหลายอย่างต่างๆกัน นับตั้งแต่ภาคกลาง ภาคเหนือ ออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้การละเล่นเกือบทุกชนิดมักจะมี อุปกรณ์ที่เกื้อกูลกัน 3 อย่างคือดนตรีเพลงและการฟ้อนรำ ซึ่งล้วนแต่มีพื้นฐานมาจากการละเล่นพื้นบ้าน ผสมผสานกับอิทธิพลของหลวงหรือส่วนกลางการละเล่นหลายอย่าง เล่นแพร่หลายกันอยู่ทั่วทุกภาคอาจผิด แปลกกันไปบ้างในส่วนปลีกย่อยของลีลาการร่ายรำสำเนียงของบทร้องขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องบังคับ การแสดงอาจไม่เหมือนกันทีเดียวแต่ในโครงสร้างหลักอันเป็นองค์ประกอบของการละเล่นจะแสดงลักษณะของ ความเป็นพื้นบ้านพื้นเมืองและวิวัฒนาการต่อเนื่องกันตามยุคสมัย จำแนกลักษณะของการละเล่นพื้นเมืองได้ เป็น 3 ประเภท 1.การเล่นเพลงและระบำรำฟ้อน 2.การเล่นเขาผี 3.การกีฬาและนันทนาการ 1.การเล่นเพลงและระบำรำฟ้อน เพลง คู่กับ ระบำรำฟ้อน การละเล่นแต่โบราณที่กล่าวไว้ในเอกสารเก่าหลายอย่างได้สูญหายไป ที่ ไม่ทราบวิธีการเล่นก็มีจำนวนไม่น้อยเนื่องจากในสมัยก่อนบ้านเมืองมีประชากรน้อยความต้องการทาง เศรษฐกิจไม่เร่งรัดขนขวายเช่นในปัจจุบัน ประชาชนมีเวลาประกอบกิจกรรมทั้งการบุญและการพบปะ สังสรรค์ช่วยเหลือเกื้อกูลในงานของกันและกันภายในท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่ ประเพณีและวัฒนธรรมในสังคมได้ สร้างมรดกทางการแสดงไว้หลายรูปแบบทั้งการร้อง การรำ การเล่นเพลง เมื่อบ้านเมืองมีความเจริญขึ้นตาม ยุคสมัยประชากรเพิ่มมากขึ้นความจำเป็นด้านการครองชีพ มีส่วนทำให้สังคมชนบทเว้นการสร้างงานด้าน วัฒนธรรมการละเล่นพื้นเมืองหลายอย่างจึงสูญหายไปโดยไม่มีการสืบทอด การเล่นเพลงส่วนใหญ่จะมี ลักษณะเป็นเพลงปฏิพากย์คือร้องเกี้ยวพาราสีโต้ตอบด้วยวาทะโวหารระหว่างชายหญิง ส่วนระบำรำฟ้อนจะ เป็นการร่ายรำตามศิลปะของแต่ละท้องถิ่น ถือว่าเป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองจึงนิยมเล่นหรือแสดงกันในท้องถิ่นใน ภาษาไทยมีคำว่า “รำบำ” หรือ “ระบำ” มักจะเป็นการร่ายรำทั่วไปส่วน “ฟ้อน” จะใช้เฉพาะในภาคเหนือ การละเล่นภาคกลางได้แก่การเล่นที่เกี่ยวเนื่องกับการทำนา เทศกาลงานบุญ ตรุษ สงกรานต์และ การเล่นในฤดูน้ำหลากเรียกการละเล่นพื้นเมืองประเภทนี้ว่าเป็น “การเล่นเพลง” การเล่นเพลงที่เกี่ยวเนื่องกับ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 139 การทำนาก็จะเป็นการเล่นตามขั้นตอนการเก็บเกี่ยวได้แก่เพลงเกี่ยวข้าวเพลงนาเพลงสงฟางหรือพานฟาง เพลงสงคอลำพวน เพลงเต้นกำรำเคียว เพลงรำเคียว เพลงชักกระดาน เพลงพาดควาย หรือเมื่อหมดฤดูทำ นาก็มักจะเล่นเพลงปฏิพากย์ ได้แก่ เพลงฉ่อยเพลงเรือ เพลงชาวไร่หรือระบำชาวไร่ เพลงพวงมาลัย เพลง อีแซว เพลงลำตัด เพลงเหย่อย เพลงยั่ว เพลงหน้าใย เพลงจาก เพลงทรงเครื่อง เพลงเทพทองเพลงไก่ ยังมีเพลงเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่ไม่ระบุว่าเล่นเวลาใดได้แก่ เพลงพิษฐาน เพลงคล้องช้าง เพลงร่อยพรรษา เพลงขอทาน เพลงโม่งเจ้ากรรม ซึ่งแตกออกเป็นเพลงย่อยอีกหลายเพลงคือเพลงรำ เพลงนกยูง เพลง นกแก้ว เพลงนกอีแซว เพลงจ่อนโบด เพลงแม่นางเอ๋ย เพลงอึ่งใส่เกลือ เพลงมะม่วงวัดเขา เพลงที่กล่าว มานี้ปัจจุบันจะล้าสมัยและสูญหายไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ อรรถพล อ่อนสุวรรณ นาฏศิลปินชำนาญงาน สำนักการสังคีต กรมศิลปากร (สัมภาษณ์, 19 ตุลาคม 2565) กล่าวว่า เพลงพื้นบ้านในปัจจุบันได้มีความเปลี่ยนแปลง ดังนี้ เพลงฉ่อย เพลงฉ่อยมีการเปลี่ยนแปลงจากโบราณ คือโบราณจะมีทำนองที่ช้า ถ้าเพลงฉ่อยสำเนียงเหนือจะไม่ เข้าดนตรีไม่มีเครื่องประกอบจังหวะ จะปรบมือทำนองจะช้า พอมาปัจจุบันก็จะปรับจังหวะให้ไวขึ้น เพราะถ้า ช้าคนฟังก็จะเบื่อ ทั้งจังหวะทำนองจะปรับให้ไวขึ้น และเรื่องคำร้อง จะเป็นคำที่ใช้สมัยใหม่ไม่ใช้คำโบราณ เพราะคำโบราณจะหยาบไปนิด คนฟังจะทนไม่ได้เพราะเป็นลักษณะคำสองแง่สองง่าม ถ้าโบราณจะร้องไป ตรงๆเลยพอมาปัจจุบันก็ลองๆหลบๆเลี่ยงเอาให้คำสุภาพมากขึ้น ฉ่อยแบ่งออกเป็น 2 สำเนียง คือ 1.สำเนียงเหนือ 2.สำเนียงใต้ ถ้าทางสำเนียงใต้จะเป็นของแม่ขวัญจิต ของแม่ขวัญจิตจังหวะจะกำกับด้วยตะโพน ตะโพน ฉิ่ง กรับ ดูไว การดำเนินการแสดงจะไวกว่าทางเหนือ เพลงอีแซว เพลงอีแซว ถิ่นกำเนิดคือจังหวัดสุพรรณบุรี โบราณจะเรียกว่าเพลงแคน ทำนองช้ารับช้า มาช่วงหลัง จะร้องไวขึ้น กระชับขึ้น ให้คนฟังสนุกสนานไม่ร้องยืดจนน่าเบื่อ คือทุกอย่างปรับไวขึ้นหมดเลยตามสังคม ปัจจุบันทั้งคำร้อง-จังหวะ จะไม่เล่นคำหยาบใช้คำสุภาพ เพลงเหย่อย เพลงเหย่อยไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงนักเท่าที่ได้เห็นคือไม่เปลี่ยนแปลงมาก


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 140 เพลงเรือ เพลงเรือกำกับด้วยฉิ่ง จะช้าจะเร็วมันมีมาแต่โบราณ เพลงเรือเล่นได้ 2 แบบ ไม่ใช่ว่าเพลงเรือจะต้อง เล่นแค่เฉพาะบนเรือ ยกตัวอย่าง ร้องเพลงฉ่อยอยู่จะตัดจบฉ่อยและร้องเพลงเรือได้ไม่จำเป็นต้องนั่งในเรือ เพราะโบราณ ก็เล่นมาเช่นนั้น ลำตัด ลำตัดก็จะมีเครื่องแต่งกายที่มีการเปลี่ยนแปลง สมัยก่อนจะแต่งกายเหมือนกัน เสื้อคอพวงมาลัย ผู้หญิงแต่งเหมือนกัน ปัจจุบันก็ปรับให้สวยงามขึ้นผู้หญิงใส่แขนตุ๊กตามีลูกไม้ และนุ่งผ้าม่วง(ผ้าม่วงไม่ใช่ สีม่วง ใส่สีอะไรก็ได้ แต่เรียกผ้าม่วง) รีดสามพับและจับจีบให้ดูสวยงาม การเล่นลำตัดเล่นได้หมดทุกภาษา เครื่องดนตรีหรือลำตัดออกทรงเครื่องก็เล่นได้หมด เป็นเรื่องเป็น ราวมีระนาดเข้ามาบวกมีตะโพนเข้ามา เพราะโดยปกติลำตัดมีแค่รำมะนา 4 ลูก แล้วแต่ว่าจะเอาเครื่องดนตรี อะไรเข้ามาถ้ามีแค่ลำตัดอย่างเดียวก็ไม่ต้องเอาเข้ามามีเพียงแค่รำมะนาฉิ่งถ้าเล่นเข้าเรื่องเป็นเรื่องเป็นราวเป็น บทละครก็จะมีดนตรีอื่นเข้ามาร่วม มีการแต่งกายเพิ่มขึ้นเหมือนอย่างแต่งเครื่องลิเกแต่เล่นลำตัดก็มีแล้วแต่ โอกาสในการแสดง เพลงปรบไก่ เพลงปรบไก่ไม่มีเปลี่ยนแปลง เพลงหน้าทับปรบไก่เดิมก่อนจะมาเป็นฉ่อย เป็นทำนองโบราณคน โบราณจะเรียกปรบไก่ เพลงพวงมาลัย เพลงพวงมาลัยมีรูปแบบการเล่นปกติ เครื่องแต่งกายแล้วคนจะแต่ง ไม่จำเป็นต้องนุ่งแค่โจงกระเบน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเกี่ยวข้าว ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอก ผู้ชายใส่เสื้อ กางเกงขาก๋วย กางเกง ม่อฮ่อม ใส่หมวก ใส่งอบแล้วแต่ความเหมาะสมเน้นอย่างชาวบ้าน การแต่งกายโบราณจริงๆ จะแต่งกายหรือ รูปแบบการแสดงคล้ายกับเพลงเรือคือไม่จำเป็นต้องร้องแค่บนเรือ เพลงเกี่ยวข้าวก็ไม่จำเป็นต้องเล่นในทุ่งนา เช่น หากเล่นเพลงฉ่อยอยู่เล่นลำตัดอยู่แล้วอยากจะร้องเพลงเกี่ยวข้าวก็สามารถนำอุปกรณ์คือเคียวเกี่ยวข้าว ขึ้นมาได้เลยเพื่อแสดงให้เห็นว่า กำลังร้องเพลงเกี่ยวข้าวและร้องเข้าทำนองเพลงเกี่ยวข้าวไปตามกระบวนคำ ร้อง ในการแสดงรูปแบบเพลงพื้นบ้านของภาคกลางสามารถปรับ ปรับไปตามยุคสมัยและวัฒนธรรมที่มีการ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 141 เปลี่ยนแปลง อยากสอบถามว่า การจะสูญหายไปของเพลงเหล่านี้หรือไม่ ไม่สามารถตอบได้เพราะช่วงเวลา หนึ่งเพลงพื้นบ้านซบเซาลงไปมากถึงมากที่สุดเหมือนจะสูญหายไปแล้ว และก็มีเด็กรุ่นใหม่ดึงกลับมามีการเล่น ร้องแพร่หลาย แต่ว่าการเล่นเพลงพื้นบ้านในยุคปัจจุบันกำหนดด้วยเวลา เพราะในสมัยโบราณหากเล่นเพลง ยาวไปเลย 3 ชั่วโมง ก็สามารถเล่นได้เรื่อย ๆ ร้องเพลงอะไรก็ได้ แต่ในปัจจุบันหากหาเพลงพื้นบ้านมาเล่นสัก ชุดหนึ่งก็จะถูกลดเวลาลง ตามกำหนดของเจ้าภาพที่ว่าจ้าง เช่น มีเวลาให้ 20-30 นาทีจะเกริ่นไหว้ครู จะ ร้องบทกลอนก็หมดเวลาแล้ว เป็นต้น ทำให้มันโดนลดเวลา โดนกลืนเวลาและลดคุณค่าลงไปเรื่อย ๆ ความ นิยมไม่ได้ลดลงแต่ถูกจำกัดขอบเขตด้วยเรื่องของเวลา หรือบางทีในการแสดงเพลงฉ่อยมีขั้นตอนมีกระบวนการ ในการร้องแต่ถูกจำกัดเวลาก็อาจจะมาร้องเพลงปรับกันเลย เช่น เจ้าภาพให้เวลาในการแสดง 30 นาที นักแสดงก็ต้องมานั่งคุยกันในรายละเอียดบางทีก็อาจจะต้องปรับในรายละเอียดของการไหว้ครูออกไป มาถึง เข้าเพลงปรับกันเลย และไม่ต้องเล่นมีเนื้อไม่ต้องเล่นอย่างเพลงโบราณ เพราะโบราณมีคำร้องตับนั้นกับนี้พอ มาในยุคปัจจุบันเราต้องเล่นกับงานนี้ก็ต้องร้องเพลงให้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับงาน กล่าวถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงาน นั้น แต่ไม่ได้เริ่มต้นจากขั้นตอนการแสดงจริง ๆ ว่าจะต้องมีไหว้ครูหรือกระบวนการแสดงอย่างไร จึงทำให้ใน ส่วนนี้การถ่ายทอดขั้นตอนการแสดงลดน้อยลง ค่านิยมของคนน้อยลงไปมากที่ คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้เห็น กล่าวถึงเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบันไม่ค่อยสนใจและไม่ได้นำมาสืบทอดต่อ ยกตัวอย่างเช่น เด็กภายนอกจะ เดินเข้ามาสอบถามว่าอยากเรียนเพลงฉ่อยจังเลย หรือจะต้องไปหาฉ่อยอยุธยาหรือที่ไหนเด็กรุ่นใหม่ก็จะไม่รู้ ซึ่งในยุคปัจจุบันเป็นพื้นบ้านสาขาเพลงพื้นบ้านเหลืออยู่แค่ 2 ท่านคือแม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ เพลงอีแซว และ แม่ศรีนวล ขำอาจ เพลงลำตัด แม่ขวัญจิตทุกคนจะรู้จักในนามของเพลงอีแซว และเพลงพื้นบ้านได้ขยับไปอยู่ ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็กลายเป็นภารกิจของทางมหาวิทยาลัยที่จะสืบทอดเพลงพื้นบ้านต่อไป กลุ่มเป็น ชมรมหรือตามโรงเรียน อย่างเช่นจังหวัดสุพรรณบุรีมีการรักษาอนุรักษ์อย่างดีบางโรงเรียนยังมีให้เรียนอยู่มี การเชิญแม่ขวัญจิตไปสอน เพราะเพลงอีแซวเกิดที่จังหวัดสุพรรณเราก็ต้องรักษาให้อยู่คู่สุพรรณ ที่อื่นไม่ร้อง ไม่เป็นไรแต่ที่สุพรรณต้องรู้ว่ามันเกิดขึ้นที่นี้ ปัจจุบันเพลงอีแซวในจังหวัดสุพรรณบุรีนิยมเล่นในงานวัด มีการนำเสนออยู่ตลอดจะเห็นการละเล่น พื้นเมืองตามต่างจังหวัดมากกว่าในกรุงเทพฯ เพราะไม่มีเวทีให้แสดง เวทีมีน้อยเพราะถ้าหากแสดงในกรุงเทพฯ คนกรุงเทพโบราณสมัยก่อนก็จะรู้จักแค่ลำตัด ชุดอื่นจะไม่ค่อยเห็น เพราะเพลงนั้นแบ่งตามภูมิภาค เช่น เพลง อีแซวของสุพรรณ เพลงฉ่อยก็จะอยู่ขึ้นไปทางสิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ ลำตัดก็จะอยู่บริเวณจังหวัด ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพฯ เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าวอยู่บริเวณจังหวัดอยุธยา จะแบ่งแต่ละส่วนภูมิภาค จังหวัดไปเลย แต่ในกลุ่มของนักแสดงที่เป็นเพลงพื้นบ้านก็สามารถร้องได้หมดสามารถร้องได้ทุกเพลง เพราะ ในยุคก่อนเจ้าภาพอยากให้แสดงได้หมดในทุกเพลง ดังนั้นนักแสดงก็จะต้องร้องให้ได้ เพื่อให้มีความ หลากหลายในการแสดง ค่านิยมในยุคปัจจุบันผู้คนสนใจน้อยลง ความสนใจต่าง ๆ ไปอยู่ที่มหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยหอการค้ามีชมรมเพลงพื้นบ้าน มหาวิทยาลัยมหิดลมีชมรมเพลงพื้นบ้าน มหาวิทยาลัย


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 142 เทคโนโลยีธัญบุรีก็มีวิทยาลัยนาฏศิลป์เองก็มีรายวิชาเพลงพื้นบ้านแต่การเรียนไม่เข้มข้นเท่าที่ควรเพราะไม่ได้ มีการเชิญวิทยากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโดยตรงการเรียนก็เลยลดลง แต่คณะเพลงพื้นบ้านที่ยังคนเห็นอยู่อย่าง ชัดเจนคือคณะหวังเต๊ะ คณะแม่ขวัญจิตมีการสืบทอดแม่ขวัญจิตมีการสืบทอดการเรียนรู้มาจากกลุ่มของครูบา อาจารย์ก็คือแม่บัวผัน จันทร์ศรี ศิลปินแห่งชาติ และแม่ศรีนวลสืบทอดมาจากพ่อหวังเต๊ะ เพราะแม่ศรีนวล เป็นภรรยา ลูกของแม่ศรีนวลก็สืบทอดการเรียนรู้มา เป็นความโชคดีที่ยังมีลำตัดแท้ๆ ยังคงอยู่ ในปัจจุบันก็ ไม่ใช่อีแซวโบราณแต่เรียกว่าเป็นเพลงอีแซวปัจจุบัน ยุคสมัยเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน คนที่รับถ่ายทอดมาก็ไม่ สามารถรับมาได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีแล้วที่นักร้องนักแสดงจะตื่นตี 4 มานั่งท่องเพลงถึง 6 โมงเช้า เพราะสิ่งนี้มันไม่ได้กลายเป็นอาชีพเหมือนในยุคก่อน แต่ปัจจุบันวิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี วิทยาลัยนาฏ ศิลปอ่างทอง ยังคงมีรายวิชาที่เรียนเกี่ยวกับเพลงพื้นบ้านในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โดยระบุลงไปใน หลักสูตรภาคบังคับว่านักเรียนจะได้เรียนเพลงพื้นบ้านภาคกลางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทุกคนต้องเรียน ก็ ยังคงถือว่ารักษาเพลงพื้นบ้านได้อยู่บ้างในวงแคบ อีกอย่างจังหวัดสุพรรณบุรีมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถอยู่ประจำก็สามารถสอนนักเรียนได้และได้มีการเชิญวิทยากรอย่างแม่ขวัญจิตเข้ามาที่ สถาบันการศึกษาเพื่อที่จะมอบองค์ความรู้ให้กับนักเรียนโดยตรง วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง แม่คนที่สอนเพลง เป็นคนที่มีความรู้ด้านเพลงพื้นบ้านแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นครูเพลงที่สิงห์บุรีเชิญมาเป็นครูประจำสอนเฉพาะ เพลงพื้นบ้านเพราะการถ่ายทอดองค์ความรู้จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ตั้งแต่ต้นจนกลายในกระบวนการและ ขั้นตอนของการแสดง ต้องมีการเรียงลำดับ สถาบันการศึกษา/การฝึกหัด-ถ่ายทอด สถาบันการศึกษาที่ทำการเรียนการสอนและมีการถ่ายทอดเพลงพื้นบ้านภาคกลางในปัจจุบัน ได้แก่ 1. ชมรมรักษ์เพลงพื้นบ้าน มหาวิทยาลัยมหิดล 2. ชมรมเพลงพื้นบ้าน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 3. วิทยาลัยนาฏศิลปสุพรรณบุรี 4. วิทยาลัยนาฏศิลปอ่างทอง ลิเก ลิเกในอดีตเรียกว่าลิเกลูกบท การแต่งกายเสื้อมีเพชรนิดหน่อยแล้วแต่ทุนทรัพย์ที่จะมี ในสมัย โบราณการแต่งกายจะนุ่งโจงกระเบนอย่างครูบุญเลิศ นาจพินิจ จะมีการแต่งกายคือใส่ถุงเท้าบ้างไม่ใส่บ้าง ปัจจุบันจะเป็นกระโปรงคล้ายพม่า ก็เปลี่ยนเพื่อให้เกิดความสวยงาม เช่น มีเครื่องเพชรเยอะขึ้น ทั้งนี้ทำ เพื่อค่านิยมให้ดูมั่งมี ให้คนดูรู้สึกคณะนี้ดูรวย คนนิยมชมชอบมีงานเยอะ สมัยโบราณการแต่งกายจะใส่ชุด ไหนชุดนั้นจนจบการแสดง แต่ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนชุดในระหว่างก่อนเข้าฉาก เช่น ใส่ชุดเพื่อฉาก หรือ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 143 เปลี่ยนสีชุดเพื่อความสวยงาม ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นชัดเจนที่สุดของการแสดงลิเกคือวิวัฒนาการของ เครื่องแต่งกายที่วิจิตรบรรจงงดงามอลังการมากขึ้น ลิเกสมัยใหม่ ลิเกโบราณ ร้องไม่เหมือนกันวิธีการร้องนั้น ขึ้นอยู่กับคณะลิเกหรือทางครูบาอาจารย์ที่สอนและความแตกต่างของภูมิภาคก็มีส่วนให้สำเนียงของลิเกมีความ แตกต่างกัน แบบโบราณเวลาร้องจะร้องตรง ๆ ไม่มีเอื้อนมีขั้นอย่างลิเกสมัยใหม่ที่มีเอื้อนเพื่อให้เกิดความ ไพเราะเสนาะหู สำหรับการเรียนการสอนที่เปิดคือ วิทยาลัยนาฏศิลปะอ่างทองมีสอนรายวิชาลิเกในรายวิชา โท บุญเลิศ นาจพินิจ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(นาฏศิลป์ไทย:ลิเก) ได้ให้สัมภาษณ์และ กล่าวว่า ถ้าพูดถึงประเภทการแสดงลิเกนั้นความจริงแล้วมีหลายชนิด ตั้งแต่ลิเกบันตน ลิเกป่า ลิเกลูกบท แต่ที่ เราเห็นในปัจจุบันและเป็นที่นิยมคือลิเกทรงเครื่อง ในยุคเก่า จะเน้นการแต่งกายทรงเครื่อง เช่นถ้าแต่งเป็น กษัตริย์ก็คล้ายกษัตริย์จริง ๆ มีท่ารำเป็นแบบแผน แต่งตัวคล้ายละครรำแสดงเป็นละครเรื่องยาว เริ่มด้วยโหม โรงและ บรรเลงเพลงภาษาต่าง ๆ แต่มีการปรับแต่งให้เข้ากับยุคสมัย บางครั้งมากจนอาจลืมพื้นฐานดั้งเดิมที่ ครูลิเกท่านได้สืบต่อกันมา แต่ครูบุญเลิศนั้นยังคงอนุรักษ์พื้นฐานดั้งเดิมของลิเกไทยไว้ตลอดเวลา ส่วนที่เราเห็นลิเกในปัจจุบันนี้เป็นประเภทที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร เพราะว่าแต่งตัวกันเกะกะไปหมด คือต่างคนต่างแต่ง ใครอยากจะแต่งให้สวยแค่ไหนก็ใส่เครื่องประดับเข้าไปจนไม่รู้ว่าใครรับบทเป็นอะไร ฉะนั้น อรรถรสจึงไม่เกิด ไม่เหมือนลิเกโบราณเวลาที่มีตัวละครเป็นเจ้า ฉากออกจะรู้เลยว่าเป็นเจ้า หรือตัวนางออกก็รู้ ทันที คนดูสามารถแยกแยะได้จากการแต่งกาย ตรงส่วนนี้เองเราจะมองออกเลยว่าลิเกคนไหนที่ไม่ได้ฝึกฝนใน รูปแบบของลิเกทรงเครื่อง เพราะพื้นฐานของเขาจะไม่แน่นพอ ลิเกทรงเครื่องจะเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับลิเก เรียนวรรณคดีพระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผน ลักษณวงศ์หรือแม้กระทั่งบทพระราชนิพนธ์อย่างอิเหนาเราก็ต้อง เอามาใช้ จากอดีตที่รุ่งเรืองเมื่อผ่านยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงของสังคม ลิเกตอนนี้ผมคิดว่าจะเหลือคณะลิเกที่ รุ่งเรืองไม่กี่คณะ เช่น ศรราม น้ำเพชร, ไชยา มิตรชัย, กุ้ง สุทธิราช ฯลฯ ช่วงที่รุ่งเรืองราคาค่าตัวของนักแสดง และคณะลิเกขึ้นไปสูงมาก แต่อีกด้านนึ่งจะมีคณะลิเกธรรมดาที่รับเล่นเพียงแค่ 3-5 หมื่นบาท โดยกลุ่มนี้จะมี มากแต่ก็อาจไม่คุ้มค่าตัวเพราะการแสดงลิเกเป็นการลงทุนที่สูงมากเฉพาะแค่อุปกรณ์ลิเกราคาก็นับล้านบาท แล้ว ตั้งแต่เรื่องของฉาก ไฟ เสื้อผ้าชุดละหลายหมื่น ลองคิดดูซิว่าคนหนึ่งใช้อย่างน้อย 5 ชุด แล้วทั้งคณะจะใช้ เงินเท่าไหร่ เครื่องแต่งกายเพชรเม็ดหนึ่งราคาแพงมาก นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งวงการลิเกเริ่มถอยลง แต่จะ ถอยลงไปหมดคงไม่เป็นอย่างนั้นก็คงจะมีอยู่เพราะคนแก่ยังนิยมดูลิเก ผมเป็นห่วงอยู่ว่าเด็กรุ่นใหม่จะขึ้นมาได้ อย่างไร จะเดินไปทางไหน ก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารที่อาชีพนี้ความนิยมลดลง ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปมีเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคม พฤติกรรมการบริโภคสื่อบันเทิงก็ เปลี่ยนแปลงไปด้วย จากที่คนนิยมออกไปแสวงหาความบันเทิง นอกบ้าน ก็เข้ามาสู่ยุคที่ทุกคนสามารถเปิดสื่อ ดูได้ที่บ้านทันที ตรงนี้เองลิเกไทยก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มคนที่ยังนิยมชมชอบอยู่ด้วย ที่ผ่านมามีบริษัท


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 144 ติดต่อมาให้ผมนำลิเกไปเล่นลงในแผ่นซีดี จากที่เราเคยเล่นสดหน้าเวทีก็ไปเล่นในสตูดิโอแทน ซึ่งการเล่นให้คน ดูบทเวทีมันคือการแสดงกลางแจ้งที่ต้องใช้ไหวพริบการแก้ไขหากเกิดความผิดพลาด แต่การเล่นในสตูดิโอ หาก แสดงพลาดก็หยุดแล้วถ่ายใหม่คนที่ได้ดู เวลาออกมาเป็นแผ่นก็คิดว่าดี แต่ความจริงแล้วอาจไม่ดีก็ได้ เพราะ ลิเกอาจไม่ได้ใช้ทักษะการแสดงที่แท้จริงออกมา การแสดงลิเกสำหรับคนรุ่นใหม่มันก็คงจะยืนระยะอยู่แบบนี้ต่อไป เพราะลิเกมันเคยขึ้นไปอยู่ใน จุดสูงสุดแล้ว มันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปให้กลับมาในจุดเดิมได้อีก ถึงอย่างไรเราก็ต้องย้อนกลับไปหาต้น ตอของลิเกดั้งเดิมว่ามีอะไร แล้วทำในสิ่งที่ถูกต้อง การแสดงลิเกจึงไม่น่าจะสูญหายไปจากสังคมไทย ลิเกไทย นั้นเกิดมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกได้ว่าเกิดก่อนเพลงลูกทุ่งด้วยซ้ำ เราจึงควรเก็บรักษาการแสดงของเราเอาไว้ สืบสานศิลปะนาฏศิลป์ไทยให้ชั่วลูกชั่วหลาน เพราะเป็นการแสดงที่ยาก กว่าที่คนคนหนึ่งจะหัดเป็นลิเกได้ต้อง ใช้เวลา เพราะฉะนั้นก็อยากจะให้ศิษย์ทั้งหลายช่วยกันรักษาศิลปะการแสดงของเราเอาไว้ ให้อยู่คู่กับบ้านเมือง ของเรา เพราะบ้านเมืองไหนไม่มีศิลปะ ศิลปิน บ้านนั้นก็ไม่ใช่บ้านเมืองที่โสภา สถาบันการศึกษา/การฝึกหัด-ถ่ายทอด สถาบันการศึกษาที่ทำการเรียนการสอนและมีการถ่ายทอดการแสดงลิเกภาคกลาง 2.การเล่นเข้าผี การเล่นเข้าผี คือ การเชิญวิญญาณสิ่งที่ประสงค์จะให้มาเข้าทรงผู้ใดผู้หนึ่ง ให้เป็นสื่อเพื่อความ สนุกสนาน รื่นเริง ในรูปแบบต่าง ๆ เล่นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หญิงและชาย มักเล่นในเทศกาลสงกรานต์ แต่ ละภาคมีการละเล่นต่าง ๆ กัน ภาคกลาง ได้แก่ การเล่นแม่ศรี ลิงลม ผีกะลา ผีนางกวัก ฯลฯ 3.กีฬาและนันทนาการ เล่นกันทั่วทุกภาค ได้แก่ มวยไทย กระบี่กระบอง ว่าว ตะกร้อ วิ่งเปี้ยว สะบ้า หมากรุก วิ่งวัว คน แข่งเรือ ชักเย่อ ชนวัว ชนิดของการเล่นละเล่นพื้นเมืองภาคกลาง มีรายละเอียดดังนี้ กระบี่กระบอง เป็นการละเล่นที่นำเอาอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ของนักรบไทยสมัยโบราณมาใช้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยากับ ประวัติศาสตร์ชาติไทยนั้น ชาวบ้านต้องเผชิญกับภัยสงครามอย่างโชกโชนถึงกับเสียบ้านเมือง ซึ่งอาวุธที่ใช้ใน การต่อสู้ประหัตประหารกัน ได้แก่ ดาบ หอก แหลน หลาว และเครื่องป้องกัน 2 อย่างคือกระบี่กระบอง ในยามสงบทหารจะฝึกซ้อมเพื่อเตรียมรับข้าศึกในยามสงคราม


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 145 ปัจจุบันกระบี่กระบองไม่ได้เป็นอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้แล้วแต่ยังฝึกซ้อมไว้สำหรับแสดงถึงเอกลักษณ์ ของชาติด้านศิลปะป้องกันตัวนิยมฝึกหัดและเล่นกันในสถานศึกษาชมรมและค่ายป้องกันตัวเพื่อแสดงให้เห็นถึง วิถีชีวิตตามประวัติศาสตร์ชาติไทยการเล่นจะมีเครื่องดนตรีประกอบจังหวะได้แก่กลองแขกฉิ่งฉาบเพื่อให้เกิด ความเร้าใจและความฮึกเหิมในบทบาทของการต่อสู้ องค์ประกอบของการแสดง ดนตรี การมีเครื่องดนตรีประกอบการแสดงกระบี่กระบองและมวยไทยนี้ เราได้รับอิทธิพลมาจากพวกแขก ชวา โดยพวกแขกชวาจะใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการเล่น กริช หอกซัด และมวย เครื่องดนตรีที่ใช้ก็ มี “ปี่ชวาและกลองแขก” เท่านั้น เมื่อไทยเราเห็นดีจึงนำมาใช้บ้างก็ได้เพิ่มฉิ่งเข้าไป ซึ่งช่วยให้ดนตรีฟัง สนุกสนานและเร้าใจขึ้น ฉะนั้นเครื่องดนตรีประกอบการเล่นกระบี่กระบองทั้งหมดจึงมี 1. ปี่ชวา 2. กลองแขกตัวผู้ (เสียงสูง) 3. กลองแขกตัวเมีย (เสียงต่ำ) 4. ฉิ่งจับจังหวะ ผู้แสดง การแสดงกระบี่กระบองใช้ผู้แสดงในการแสดงคือผู้ชายล้วน เพราะเนื่องจากเป็นการแสดงที่ใช้ พละกำลังเยอะ และเลียนแบบศิลปะการป้องกันตัว อุปกรณ์การแสดง อุปกรณ์ประกอบการแสดงหรือเครื่องกระบี่กระบอง แบ่งได้ดังนี้ 1.เครื่องไม้รำ ได้แก่ เครื่องกระบี่กระบองซึ่งจำลองจากอาวุธจริง มุ่งเน้นความงดงาม ทำขึ้นเพื่อไว้ ใช้แสดงการรำ เพื่อแสดงความงามของเครื่องอาวุธ และท่ารำ 2.เครื่องไม้ตี ได้แก่ เครื่องกระบี่กระบองซึ่งจำลองจากอาวุธจริง โดยมากทำจากหวาย เพื่อให้มี น้ำหนักพอเหมาะ มุ่งเน้นความเหนียวและแข็งแรงไม่แตกหักง่าย เพื่อใช้ในการตีหลังจากการแสดงรำไหว้ครู เครื่องกระบี่กระบอง ได้จำลองดัดแปลงมาจากอาวุธของไทยในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้ในระยะ ประชิดตัวหรือขั้นตะลุมบอน อันได้แก่ กระบี่ กาบ กั้นหยั่น หอก ทวน ง้าว โตมร แหลน หลาว ตะบอง พลอง มีด และกริช ส่วนเครื่องป้องกันอาวุธนั้นมี ดั้ง เขน โล่ และไม้สั้น แต่เครื่องกระบี่ที่ จำลองจากอาวุธจริง ๆ นั้นมีเพียง กระบี่ ดาบ ง้าว และพลองเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็เอาของจริงมาเล่น


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 146 อุปกรณ์เหล่านี้ นักกระบี่กระบองมักเรียกว่า “เครื่องไม้” ที่มา (http://old-book.ru.ac.th/ebook/p/PE281/pe281-1.pdf) การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) ในการแสดงกระบี่กระบอง มีขั้นตอนการแสดง ดังนี้ 1. การถวายบังคม 2. การขึ้นพรหม 3. การรำเพลงอาวุธ 4. การเดินแปลง 5. การต่อสู้ 6. การขอขมา (ที่มา : https://www.trueplookpanya.com/asktrueplookpanya/detail/683) เครื่องแต่งกาย ในสมัยโบราณ นักกระบี่กระบองแต่งตัวแบบนักรบ คือสวมเสื้อยันต์ ไม่มีแขนเสื้อ กางเกงขากว้างยาว ครึ่งน่อง ต่อมาในสมัยกลางเปลี่ยนจากกางเกงขากว้างมาเป็นนุ่งผ้าแบบเขมร ซึ่งไม่สะดวกแก่ผู้เล่นนัก เพราะ เวลารําจะยกแข้งยกขาได้ไม่ถนัดนัก ปัจจุบันจึงเปลี่ยนมาแต่งกาย แบบนักกีฬาทั่วไป คือใส่กางเกงขาสั้นส่วน เสื้อนั้นจะมีแขนหรือไม่มีแขนก็ได้สิ่งสำคัญที่สุดในจำนวนเครื่องแต่งกายทั้งหมด ซึ่งจะขาดเสียไม่ได้ คือ “มงคล” มงคล คือสายสิญจน์เส้นเล็ก ๆ หลายเส้น มารวมนั้นเป็นเส้นเดียว ใหญ่กว่าหัว แม่มือเล็กน้อย ยาว พอขดรอบศีรษะของผู้ใหญ่ได้แล้วรวบปลายทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน ฉะนั้น เมื่อขดเข้าแล้วจะมีรูปร่างคล้ายไข่ เพื่อความมั่นคงถาวรเขามักหุ้มด้วยผ้าตลอดอัน โดยปล่อย ปลายทั้ง 2 ยื่นออกมาพอสมควรเหมือนไส้หัวเทียน ขี้ผึ้ง มงคลนี้จะนําเข้าประกอบพิธีทางพุทธ ศาสนาก่อนที่จะสวมให้ผู้เล่น ผู้เล่นกระบี่กระบองทุกคนจะสวม มงคลไว้บนศีรษะ เพื่อเป็นสิริมงคลและสร้างกำลังใจให้แก่ตัวเอง บางคณะอาจารย์จะเป็นผู้สวมมงคลให้แก่ นักกระบี่กระบอง โรงละคร การแสดงกระบี่กระบองในอดีตนั้นมีการแสดงคือ “สนาม” สนามกระบี่กระบองเป็นพื้นราบรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวประมาณ 16 เมตร กว้างประมาณ 8 เมตร และถ้าอยู่ในร่มควรเป็นที่ว่างจากพื้นสนามขึ้นไป ไม่น้อยกว่า 4 เมตร ในปัจจุบันการแสดงกระบี่กระบองสามารถจัดแสดงได้ทั้งลานกว้าง เวทีโรงเรียน โรง


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 147 ละคร แต่ควรจะมีบริเวณกว้างพอสมควร ไม่มีสิ่งกีดขวาง เพราะการเล่นกีฬาชนิดนี้มีทั้งรุกและรับ ถ้าบริเวณ แคบจะทำให้เล่นได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง จารีต ขนบประเพณี ความเชื่อ ในทางการศึกษากระบี่บองกระบองพบคุณลักษณะทางด้านขนบธรรมเนียมในเรื่องความกตัญญู กตเวที คือ การยกครู การไหว้ครู เช่น การถวายบังคมเพื่อถวายความจงรักภักดีในพระมหากษัตริย์ เพื่อรำลึก ถึงครูบาอาจารย์ การรำไหว้ครู ความวิริยะ หมายถึง ความบากบั่นพากเพียร ความกล้าหาญ ขันติ หมายถึง ความอดทน และเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง ด้านการดำเนินชีวิตประกอบด้วยความสามัคคี และมี พรหมวิหารสี่ เถิดเทิงหรือการละเล่นเทิ้งบ้องกลองยาว ประเพณีการเล่นเถิดเทิง หรือการละเล่นเทิ้งบ้องกลองยาว สันนิษฐานว่า เป็นของพม่า เล่นมาก่อน ตั้งแต่ครั้งทำสงครามสมัยกรุงธนบุรี เครื่องประกอบการเล่นคือ กลองยาว กรับ ฉาบ และโหม่ง ผู้เล่นแต่งตัว เลียนแบบเครื่องแต่งกายพม่า หรือจะให้สวยงามตามความพอใจก็ได้ ใส่ เสื้อแขนกว้างและยาวถึงข้อมือ นุ่ง โสร่งตา มีผ้า โพกศีรษะ ผู้ตีกลองยาวบาทพวกตีหกหัวหกก้น แลบลิ้นปลิ้นตา กลอกหน้า ยักคิ้วยักคอไปพลาง ผู้ตีกลองจะต้องแสดงความสามารถในการตีกลอง ด้วยท่าต่าง ๆ เช่น ถองหน้ากลองด้วยศอก โขกด้วยคาง กระทุ้งด้วยเข่า โหม่งด้วยหัว และ ด้วยลีลาท่าทางต่าง ๆ ที่จะทำให้กลองยาวดังขึ้น ได้ บางครั้งจะขะมุกขะมอม ไปทั้งตัว เป็นที่ สนุกสนานมาก คนดูที่นึกสนุกจะเข้าร่วมวงก็ได้ ที่เรียกว่า "เทิ้งบ้อง" นั้น คงจะมาจากเสียง กลองยาว ที่เริ่มด้วยจังหวะ "เถิด-เทิง-บ้อง, บ้องเทิงบ้อง ฯลฯ" เลยเรียกว่า เถิดเทิง หรือ เทิ้งบ้องกลองยาว ควบ กันไป เพื่อให้แตกต่าง จากกลองอย่างอื่น เป็นประเพณีการเล่นในภาค กลาง นิยมเล่นในเวลาตรุษสงกรานต์ หรืองาน แห่แหน ซึ่งต้องเดินเคลื่อนขบวน พอถึงที่ใด เห็นมีลานกว้างหรือเป็นที่เหมาะก็หยุดตั้งวงเล่น และรำ กันเสียพักหนึ่ง เคลื่อนไปหยุดเล่นไปสลับกัน รำเถิดเทิง เป็นรำที่กรมศิลปากรปรับปรุงมาจากการละเล่นกลองยาวของชาวบ้าน ซึ่งการละเล่นกลอง ยาวนั้น ไม่ปรากฎหลักฐานแน่นอนชัดเจนว่าใครเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นก่อน อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ (๒๕๓๑ หน้า ๓๒๐) อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้กล่าวว่า ประเพณีการเล่นเทิงบ้องกลองยาวหรือเถิดเทิง มีผู้เล่าให้ฟังเป็นเชิง สันนิษฐานว่า เป็นของพม่านิยมเล่นกันมาก่อน เมื่อครั้งพม่ามาทำสงครามกับไทยในสมัยกรุงธนบุรี หรือสมัย ต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาพักรบ พวกทหารพม่าก็เล่นสนุกสนานด้วยการเล่นต่าง ๆ ซึ่งทหารพม่าบางพวก ก็เล่น “กลองยาว” พวกไทยเราได้เห็นก็จำมาเล่นกันบ้าง ยังมีเพลงดนตรีเพลงหนึ่งซึ่งดนตรีไทยนำมาใช้


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 148 บรรเลง มีทำนองเป็นเพลงพม่า เรียกกันมาแต่เดิมว่า “เพลงพม่ากลองยาว” ต่อมาได้มีผู้ปรับเป็นเพลง ระบำ กำหนดให้ผู้รำแต่งตัวใส่เสื้อนุ่งโสร่งตา ศีรษะโพกผ้าสีชมพู (หรือสีอื่นๆ บ้างตามแต่จะให้สี สลับกัน เห็นสวยอย่างแบบระบำ) มือถือขวานออกมาร่ายรำเข้ากับจังหวะเพลงที่กล่าวนี้ จึงเรียกเพลงนี้กัน อีกชื่อหนึ่งว่า “เพลงพม่ารำขวาน” อีกความหนึ่ง มีผู้เล่าว่า การเล่นเทิงบ้องกลองยาวนี้ เพิ่งมีเข้ามาในเมืองไทยเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๔ กรุง รัตนโกสินทร์นี้เอง กล่าวคือ มีพม่าพวกหนึ่งนำเข้ามาในรัชกาลนั้น ยังมีบทร้อง “กราวรำ” ยกทัพพม่า ใน การแสดงละครเรื่องพระอภัยมณี ตอน ศึกเก้าทัพ ซึ่งนิยมเล่นกันมาแต่ก่อน สังเกตดูก็เป็นตำนานอยู่บ้าง แล้ว คือ ร้องกันว่า ทุงเล ฯ ทีนี้จะเห่พม่าใหม่ ตกมาเมืองไทย มาเป็นผู้ใหญ่ตีกลองยาว ตีว่องตีไวตีได้จังหวะ ทีนี้จะกะเป็นเพลงกราว เลื่องชื่อลือฉาว ตีกลองยาวสลัดไดฯ ผู้รู้บางท่านกล่าวว่า คำว่า “สลัดได” เป็นชื่อของชาวพม่า ผู้เข้ามาสอนการเล่นกลองยาวให้ชาวไทย มี ชื่อว่า “หม่องสลัดได” เมื่อชาวไทยเราเห็นเป็นการละเล่นที่สนุกและเล่นได้ง่าย ก็เลยนิยมเล่นกันแพร่หลายไป แทบทุกหัวบ้านหัวเมือง สืบมาจนตราบทุกวันนี้ กลองยาวที่เล่นกันในวงหนึ่งๆ มีเล่นกันหลายลูก มีสายสะพายเฉวียงป่าของผู้ตี ลักษณะรูปร่างของ กลองยาวขึงหนังด้านเดียว อีกข้างหนึ่งเป็นหางยาวบานปลาย เหมือนกับกลองยาวของชาวเชียงใหม่ (ที่คน เชียงใหม่เรียกว่ากลองปู่เจ่ : ผู้เขียน) แต่ กลองยาวของชาวเชียงใหม่ เป็นกลองยาวจริง ๆ ยาวถึงประมาณ ๒ วา ส่วนกลองยาวภาคกลางอย่างที่เล่นกันนี้ ยาวเพียงประมาณ ๓ ศอกเท่านั้น ซึ่งสั้นกว่าของเชียงใหม่ มาก ทางภาคอีสานเรียกกลองยาวชนิดนี้ว่า “กลองหาง” ในครั้งที่อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ เป็นหัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (พ.ศ.๒๔๘๘-๒๔๙๘) นั้น ได้มี การปรับปรุงและประดิษฐ์ชุดการแสดงขึ้นใหม่หลายชุด หนึ่งในนั้นคือการละเล่นเทิ้งบ้องกลองยาว ที่ได้ถูก ปรับปรุงให้เป็นการแสดงอย่างใหม่เรียกว่า “รำเถิดเทิง” ซึ่งได้คิดประดิษฐ์ขึ้น เมื่อครั้งไปเผยแพร่นาฏศิลป์ไทย ณ สหภาพพม่า เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ ผู้คิดท่ารำ คือ คุณครูลมุล ยมะคุปต์ (หนังสือพระราชทานเพลิงศพ ๒๕๒๖ หน้า ๑๗) และท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี (หนังสือพระราชทานเพลิงศพ ๒๕๔๓ หน้า ๑๑๖) ต่อมาอีกไม่นาน ในปี พ.ศ.๒๕๐๖ อาจารย์ธนิตทราบว่า ที่หมู่บ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มีการละเล่นกลองยาว ที่สืบทอดกันมาช้านาน ประกอบการเล่นที่เรียกว่า “รำเหย่ย” หรือ “รำพาดผ้า” ซึ่งเริ่มแสดงด้วยการประโคมกลองยาวอย่างกึกก้อง เร่งเร้า สนุกสนาน จากนั้นจึงเป็นการร่ายรำ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 149 กลองยาวที่ตำบลจระเข้เผือก จังหวัดกาญจนบุรีนี้ สันนิษฐานว่าชาวบ้านจะรับถ่ายทอดหรือได้รับอิทธิพลมา จากทหารกองทัพพม่า ที่มักใช้เส้นทางนี้เดินทัพเข้าตีกรุงศรีอยุธยา โดยเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ ได้มีบัญชาให้กรมศิลปากร ส่งคณะครู ศิลปิน และนักเรียน ไปศึกษาเพื่อขอ ถ่ายทอดศิลปะการเล่นกลองยาวนี้ไว้ไม่ให้สูญหาย เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๐๖ คณะผู้ไปศึกษาครั้งนั้น ประกอบด้วย ๑. คุณครูประสิทธิ์ ถาวร ๒. นายยอแสง ภักดีเทวา ๓. นายฉลาด พลุกานนท์ ๔. นายเสรี หวังในธรรม ๕. นายราฆพ โพธิเวส ๖. นายธงไชย โพธยารมณ์ ๗. นายปฐมรัตน์ ถิ่นธรณี ๘. นางสุวรรณี ชลานุเคราะห์ ๙. นางสาวสุนันทา บุญเกตุ ๑๐. นางสาวศิริรัตน์ แสงสว่าง ๑๑. นางสาวรจนา พวงประยงค์ ต่อมาภายหลังจนถึงปัจจุบันนี้ การละเล่น “เถิดเทิงกลองยาว” และ “รำเหย่ย” ก็เป็นที่รู้จักและนิยม เล่นกันในหมู่ประชาชนและวงการศึกษา ตลอดจนหน่วยงานราชการทั่วไป การที่เรียกการละเล่นชนิดนี้ว่า “เทิงบ้อง” นั้น คงมาจากเสียงที่ตีกลองยาว เช่น มีเสียงเมื่อเริ่มแรกที่ ตีจังหวะ ได้ยินเป็นเสียงว่า “เถิด-เทิง-บ้อง, บ้องเทิงบ้อง ฯลฯ” เลยเรียกกันว่า “เถิดเทิง” หรือ “เทิงบ้องกลอง ยาว” ควบกันไป เห็นจะเพื่อให้ต่างกับกลองอย่างอื่นอย่างอื่นหรือกลองยาวที่เล่นเป็นการเล่นอย่างอื่นๆ เมื่อระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๐๙ รัฐบาลไทยมอบให้อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ (ท่าน ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๙๙-๒๕๑๑) นำคณะนาฏศิลป์ของกรมศิลปากร ไปแสดง เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี ณ นครย่างกุ้งและมัณฑเลย์ประเทศพม่า อีกครั้งหนึ่ง (หลังจากไปเมื่อปี ๒๔๙๘) ใน คณะนักแสดงดังกล่าวนี้ มีอาจารย์ปฐมรัตน์ ถิ่นธรณี นักดนตรีของกรมศิลปากรร่วมอยู่ด้วย อาจารย์ปฐมรัตน์ ได้มีโอกาสเห็นกลองชนิดหนึ่งซึ่งคล้ายคลึงกับกลองยาวมาก หากแต่ของพม่านั้นปิดทองประดับกระจกที่หุ่น กลอง สวยงามตามแบบศิลปะพม่า และพม่าเรียกกลองชนิดนี้ว่า “โอสิ”


Click to View FlipBook Version