น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 50 หรือผู้หาละครนํามาผูกติดกับเสากลางโรงเป็น 3 เปลาะ เป็นสัญลักษณ์ว่า ได้มีการปลูกโรงสำหรับการแสดง ละครขึ้นแล้ว ที่มา ละครชาตรี คณะวีรชัย พรนารายณ์ บทบาทของละครชาตรีในปัจจุบันจาก วีรชัย แจ่มจำรัส (สัมภาษณ์, 23 มิถุนายน 2565) กล่าวว่า นักแสดงละครชาตรีคณะวีรชัย พรนารายณ์ จากอำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ทางคณะละครของคุณ วีรชัยเป็นแบบผู้ชายล้วนแบบโบราณในสมัยก่อนจะเป็นบทละครเน้นเอื้อนเอ่ยทำนองเพลงไทยเดิม ในยุค ปัจจุบันการแสดงละครชาตรีได้เปลี่ยนรูปแบบจากเดิมไปมากได้มีการเพิ่มเพลงลูกทุ่งให้สอดสร้อยอยู่ บทพูด ของตัวละครมีการปรับใช้คำให้เข้าใจง่ายและสนุกสนานมากยิ่งขึ้นทำให้คนดูไม่เบื่อ บทละครที่นิยมแสดง เช่น เรื่องแก้วหน้าม้า พิกุลทอง พระอภัยมณี เป็นต้น มีการผสมผสานรูปแบบการแสดงไปทางลิเก ในรูปแบบการ แสดงใหม่นี้มีการปรับเพื่อความบันเทิงของผู้อื่น หมายถึง ผู้ว่าจ้าง(เจ้าภาพ)ในการไปแสดงในงานต่าง ๆ อาทิ รำ แก้บน รำหน้าไฟ รำงานศพ รำงานบวช เป็นต้น ทั้งนี้ทางคณะละครต้องพูดคุยถึงความต้องการของผู้ว่าจ้าง ว่าต้องการแบบใด เช่น การแสดงเริ่มในช่วงเช้า 10.00-12.00 น. หลังจากนั้นจะพักช่วงกลางวัน และเริ่มการ แสดงอีกครั้ง 13.00-14.00 น. และจบการแสดง หรืออีกรูปแบบคือแสดงรวดเดียวและจบการแสดง บางงาน เจ้าภาพไม่ชอบคำพูดหยาบในการแสดงก็จะไม่ใช้ บางงานเจ้าภาพชอบความสนุกให้เล่นเต็มที่ คณะละครก็จะ จัดเพลงเพิ่มมุขตลกในการแสดง การแต่งกายในสมัยก่อนใส่แบบเหลื่อมข้าวเหนียว ปัจจุบันเรียกว่าเหลื่อมดิส โก้ ให้ความแวววาวมากขึ้น เพื่อปรับให้สะดวกกับการแต่งกายให้ง่ายขึ้นและดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น ในทาง การศึกษารูปแบบการแสดงของคณะละครชาตรีวีรชัยการแสดงในทางการไหว้ครูเป็นการทำเพลงสาธุการ โหม โรงก่อนแสดง และเริ่มแสดงเข้าตามบทละคร การสืบทอดการแสดงมาจากบ้านดนตรี-ละคร พ่อครูแม่ครูใน ครอบครัวเป็นผู้สอนให้ลูกหลานเป็นทอด คุณวีรชัยกล่าวว่า “ละครมาดูเดียวก็เป็น อยู่ไปก็จะฟังได้ร้องได้เอง” ซึ่งในละแวกถิ่นที่อยู่อาศัยมีกลุ่มคณะละครอยู่กว่า 10-20 คณะ บางงานหากเจ้าภาพไม่เคร่งก็สามารถนำ ผู้หญิงร่วมแสดงได้”
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 51 ในปัจจุบันปัญหาที่พบคือการว่าจ้างในรูปแบบของการแสดงมีน้อยลง และราคาว่าจ้างก็ถูกกดราคาลง รวมถึงคณะละครที่มีเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการแข่งขันใน ขั้นตอนการแสดง 1.ดนตรีทำเพลงโหมโรง สาธุการ 2.แสดงตามเรื่องที่กำหนดมา รอบที่ 1 พักกลางวัน รอบที่ 2 และจบการแสดง (บางงานเจ้าภาพไม่ สะดวกอยู่ชมก็ให้แสดงรวดเดียวจบ) บทบาทละครชาตรีในปัจจุบันจาก จารุวรรณ สุขสาคร (สัมภาษณ์, 25 มิถุนายน 2565) ผู้จัดการแสดง ละครประจำที่ศาลพระพรหมเอราวัณ กรุงเทพฯ ตัวแทนจากคณะละครชาตรี จงกล โปร่งน้ำใจ กล่าวว่า “ละคร ชาตรีในกรุงเทพฯ มีการเปลี่ยนแปลงมาก แต่ต่างจังหวัดอย่างจังหวัดเพชรบุรียังคงเปลี่ยนแปลงน้อยกว่า เพราะยังคงเล่นแบบโบราณอยู่ คำว่าโบราณคือ ตัวนายโรง ยังคงใช้ผู้ชาย แต่ในกรุงเทพ นิยมใช้ผู้หญิง เพลง หรือดนตรีที่ใช้คือเพลงชาตรีแต่จะต่างกันออกไปในแต่ละสำเนียงท้องถิ่นจะร้องไม่เหมือนกัน แต่เรียก เหมือนกัน ที่ร้องไม่เหมือนเดิมคือลูกคู่รับ การเปลี่ยนแปลงของดนตรีคือ ชาตรีโบราณจะไม่มี “ระนาด” จะร้อง รับกับปี่และโทน ในกรุงเทพฯจะเรียกการแสดงลักษณะนี้ว่า “ละครชาตรีเครื่องใหญ่” หรือ “ละครชาตรีเข้า เครื่อง” ก็คือนำเครื่องพิณพาทย์ หรือ เครื่องระนาด เครื่องดนตรีของละครนอกผสมกับเครื่องดนตรีของชาตรี เพื่อเวลาร้อง จังหวะสองชั้น-ชั้นเดียว ของละครนอกมาร้องได้ ในการร่ายรำก็จะมีหน้าพาทย์ได้รำเยอะขึ้น เช่น เพลงเร็ว เพลงเสมอ ซึ่งละครชาตรีจริง ๆ จะไม่มีเพลงพวกนี้ แต่ชาวบ้านจะเรียกเพียงละครชาตรี ซึ่งที่ ถูกต้องจะเรียกว่าละครชาตรีเครื่องใหญ่ ละครชาตรีในกรุงเทพฯ ถือว่าเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เพราะโอกาสที่ จะแสดงมันน้อย สมัยก่อนคนนิยมแก้บนด้วยละครชาตรีหรือละครนอก หรือละครนอกละครชาตรีผสมกัน แต่ สมัยนี้การเล่นทั้งวันแบบเช้าแสดงลาโรงเที่ยงยกเครื่องสังเวยบ่ายแสดงต่อถึงสี่โมงเย็นไม่มีคนนิยมว่าจ้างแบบ นั้นแล้ว เพราะด้วยเวลา สถานที่ ส่วนมากคนจะตัดทอนเอาแค่การรำถวายมือเพราะเจ้าภาพประสงค์เพียง เท่านั้นเพื่อถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือกระทั่งในศาลพระพรหมเอราวัณ สมัยก่อนคณะละครจงกลมาแสดง ในปี พ.ศ. 2519 ยังมีการแสดงละครชาตรีอยู่ เจ้าภาพจะว่าจ้างรำเสร็จแล้วจับเรื่อง 1 ชั่วโมง รำสี่หน้าให้ครบ ร้อง พูดเจรจาให้ครบเวลา แต่ปัจจุบันตัดทอนออกตามสภาพความเป็นธุรกิจ จึงเหลือเจ้าภาพ 1 ท่านที่มาว่าจ้าง เพียง 2-3 นาทีเท่านั้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะชาวเอเชียที่เคารพในองค์ท้าว พระพรหมหลั่งไหลมาเป็นจำนวนมาก เช่น ชาวจีน ชาวฮ่องกง ไต้หวัน อินเดีย และยุโรป เป็นต้น ในการ แสดงโบราณการรำถวายมือการรำเพลงช้าเพลงเร็วไม่มีการร้อง แต่เมื่อมารำที่พระพรหมรำสี่หน้าก็เริ่มมีการ ผสมผสานเอาท่ารำ เอาชุดการรำของกรมศิลปากรมาใส่ เช่น ฟ้อนมาลัย ระบำนกยูง ไกรลาสสำเริง จับมา เป็นตอนๆ เมื่อเจ้าภาพได้ยินก็ชื่นชอบเพราะมีการร้องและคนละครชาตรีต้องร้องเพลงได้ไม่ต้องพึ่งนักร้อง ร้อง เองรำเองได้ ต่อมาก็เพิ่มการถืออุปกรณ์ เช่น การรำฟ้อนมาลัยก็นำพวงมาลัยที่ผู้คนมาถวายนำมาใช้เป็น
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 52 อุปกรณ์ประกอบการแสดง ถ้ารำเชิญพระขวัญก็จะเตรียมแว่นเทียนมา ถ้ารำจีนรำพัดก็จะนำพัดมา เดี๋ยวนี้จึง กลายเป็นรูปแบบเดียวกันหมดหารำแก้บนไม่ว่าคณะไหน หรือทุกจังหวัดจะรำเป็นรูปแบบนี้หมด ขั้นตอนการแสดงในปัจจุบัน 1.เริ่มจากรำเพลงช้า 2.เพลงเทพบันเทิง 3.เพลงรำนพรัตน์ก็ตัดรำเพียงสามเม็ด 4.ไกรลาสสำเริง 5.จีนรำพัด 6.ฟ้อนมาลัย ให้ครบเวลาครึ่งชั่วโมง 7.จบสุดท้ายด้วยเพลงกฤษดาภินิหาร ถือพานโปรยข้าวตอกดอกไม้ 8.รำพุทธานุภาพ 9.เพลงเร็ว-ลา จบการแสดง แต่ผู้ที่ไม่ทราบในข้อมูลเดิมจะคิดว่านี้คือ ละครแก้บน และมักจะเรียกว่าละครแก้บน แต่จริง ๆ ไม่ใช่ ละครแก้บน ยังคงเป็นละครชาตรี เป็นองค์ประกอบหนึ่งในละครชาตรีก็คือก่อนที่จะแสดงจะมีการโหมโรง ร้องกราบครูหรือร้องประกาศหน้าบท มีรำซัดชาตรีไหว้ครู รำถวายมือ จับเรื่อง ลาโรง โหมโรง จับเรื่องอีก และสุดท้ายถ้าเป็นโบราณจะรำซัดชาตรีอีกรอบหนึ่ง รำซัดโบราณจะรำ 2 รอบ รำแบบชักไยแมงมุมและคลาย ยันต์ แต่ปัจจุบันตัดทอนไปเรื่อย จนกระทั่งในปัจจุบันก็หาละครไปเล่นแก้บนถ้าเจ้าภาพดูไม่เป็นหรือไม่เอา การแสดงช้า ๆ ก็จะเล่นเป็นละครนอกซะส่วนใหญ่ เพราะจะมีการร้องเพลงสากล มีหลายอย่างเข้ามา แต่ถ้า เป็นละครชาตรีจะช้ากว่าเจ้าภาพจะฟังไม่ออก พอโหมโรงแล้วก็รำถวายมือเลยไม่มีรำซัด พอถวายมือก็จับ เรื่อง ถึงเวลาจบก็เลิก เพราะฉะนั้นการเรียกละครแก้บนคือคนเรียกกันเอง ซึ่งจริง ๆไม่ใช่ศัพท์ที่ถูกต้อง แต่ อาจจะเรียกเป็นชื่อเล่นได้ว่า “รำแก้บน” ขั้นตอนของการแสดง ณ ศาลพระพรหม 1.ร้องเชิญ ด้วยเพลงเชื้อ ประกาศหน้าบท เอ่ยชื่อเจ้าภาพ เชิญพระพรหมให้มารับสินบน การร้องใน อดีตมาคำร้องที่ยาว 10-20 คำ แต่ที่พระพรหมเหลือ 2-3 คำเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น “สิบนิ้วลูกหนอ ยอประนม ยกขึ้นตั้งบังคมเหนือเกศาเอย
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 53 พระพรหมศักดิ์สิทธิ์ เรืองฤทธาได้เป็นที่พึ่งพากับมานุษย์เอย” การเอ่ยชื่อเจ้าภาพ “คุณอาจารีย์มีละคร มารำถวายทั้งพระหัตถ์เบื้องซ้ายและเบื้องขวาเอย” 2.พอร้องจบก็จะเข้าเพลงช้า 3.ลุกขึ้นยืนก็จะออกเพลง แล้วแต่ว่าจะเป็นเพลงอะไร แต่เป็นเพลงสั้น ๆ 4.ออกเพลงเร็ว ลงลา ก็ถือว่าจบขั้นตอน ศาลพระพรหมเอราวัณ จะแสดงเป็นฉบับย่อ ๆ แต่องค์รวมครบในการรำถวายมือ 1 ครั้ง เจ้าภาพใน ปัจจุบันไม่เคร่งครัดในการแสดงเพียง 2 นาที เขาขอเพียงได้ยินชื่อเขาว่าถวายให้ท่านแล้ว หากมีการว่าจ้างให้ ไปแสดงภายนอกการแสดงจะอยู่ที่ 30 นาที รำเพลงช้า รำเพลงเบ็ดเตล็ด อกเพลงเร็วและลงลา ในตอนรำ เพลงเร็วหากมีที่ให้เดินวนรอบศาลได้ก็จะเดินวนรอบศาล 3 รอบ เป็นธรรมเนียมในการแก้บนเพื่อโปรย ข้าวตอกดอกไม้ แต่ในปัจจุบันข้าวตอกหาซื้อยากขึ้นก็จะใช้เพียงดอกดาวเรือง เพราะชื่อรุ่งเรืองโปรย บาง เจ้าภาพก็จะมีเหรียญเงิน-ทอง ใส่เพิ่มเป็นการโปรยเงินโปรยทองตามความเชื่อเงินต่อเงิน และจบด้วยเพลงลง ลาก็ถือว่าจบ ดนตรีทำเพลงมหาฤกษ์-มหาชัย ใช้เพลงเชิดในการลาเครื่องสังเวย บางที่ให้นำเครื่องสังเวยไป เซ่นตีนโรง ตีนศาลให้พวกบริวารของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางคณะละครก็จัดการให้ถือว่าเป็นอันจบพิธีของการไปรำแก้ บน การแต่งกาย ในอดีต ละครชาตรีไม่มีเครื่องแต่งกายอะไรมาก มีเพียงการนุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อผ้าไทย ตัวผู้ชาย ผ้าขาวม้าคาดเอว ตัวนาง ผ้าขาวพาดห่ม บทละครก็ไม่มี เป็นการด้นสด แต่งเรื่องแสดงเอง แต่เมื่อละครชาตรีผสมผสานละครนอกเอาบทของ ละครมาเล่นเอาเครื่องแต่งกายละครนอกมาผสมผสานกับโนราที่มาจากภาคใต้ ตัวนายโรงสวมเทริดเป็น สัญลักษณ์ของโนรา ตัวพระนิยมใส่ชุดยืนเครื่องที่เป็นเสื้อแขนยาว ตัวนางสวมผ้าห่มนางปกติ มีตัวละครเพียง 3 ตัว ตัวตลก นุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อลายดอก ถ้าเป็นฤษีก็สวมศีรษะฤษี เป็นม้าก็สวมหัวม้า เครื่องโบราณจะแตกต่างจากเครื่องราชสำนักคือลวดลายบนชุด ถ้าเป็นชุดหลวงจะเป็นลายกนกยก นูน มีช่างสิบหมู่ในการผลิตชุดต่าง ๆ มีความวิจิตรงดงามมากกว่า เรียกว่า “เครื่องดิ้น” แต่เครื่องชาตรีโบราณ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 54 ใช้ช่างชาวบ้านคิดลายเอง ลายจะมีลักษณะเป็นเถาวัลย์ ลายมะลิเลื้อย เรียกว่า “ลายป่า” คือ ลายดอกไม้ใบ หญ้า ปักไปตามความสามารถของชาวบ้านในท้องถิ่น ปี พ.ศ.2520 เครื่องแต่งกายได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยได้รับอิทธิพลมาจากวงดนตรีลูกทุ่งในชุดของ แดนเซอร์ที่มีความวิบวับ โดยใช้เลื่อมและลูกแก้วในการทำชุด เรียกว่า “เครื่องเลื่อม” ประโยชน์ของเครื่อง เลื่อมคือ รักษาง่าย น้ำหนักเบา ราคาถูก ใช้เวลาในการทำเร็วกว่าแบบเดิม หากเกิดชำรุดสามารถซ่อมแซม ได้ง่ายกว่าจัดหาวัสดุได้สะดวกกว่า นิยมใช้ทั่วประเทศ ผู้แสดงคณะจงกล โปร่งน้ำใจ ที่มา อาจารีย์ พูนเกษม ปัจจุบันเป็นผ้าที่นำเข้าจากอินเดียที่มีลวดลายเป็นผืนผ้ามาแบบสำเร็จรูปแล้ว แต่ขั้นตอนการตัด ขนาดของผ้า รูปแบบการตัดเย็บยังคงเดิม มีการเลียนแบบคล้ายคลึงกับชุด “โขนสมเด็จฯ” แต่วัสดุคนละ ประเภท ไม่แวววาวเท่าเครื่องเลื่อมแต่ในส่วนของหน้านางช่องกระจกต้องมาปักเพิ่ม ห้อยหน้า-ห้อยข้าง ช่อง กระจกสี่เหลี่ยมต้องมาปักเพิ่มให้เกิดความแวววาวขึ้น มีน้ำหนักเบา แต่การบำรุงรักษายังไม่มาตรฐาน ใช้ไป ทำไป-ใช้ไปซ่อมไป เริ่มใช้เครื่องรูปแบบใหม่นี้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2564 ซึ่งตรงกับวันเกิดพระพรหม งานเดียวกันนี้เอง สมาคมผู้ทำการค้าของราชประสงค์ได้เชิญคุณแพนเค้ก เขมนิจ จามิกร พรีเซนเตอร์มารำ ถวายมือร่วมกับคณะละครจงกล โดยผ่านการฝึกสอนท่ารำโดยครูจารุวรรณ มีการแต่งกายในรูปแบบ คล้ายคลึงกัน และชุดการแต่งกายดังกล่าวนี้ก็ยังคงใช้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 55 ที่มา:ข่าวสด ออนไลน์ พิธีสักการะท้าวมหาพรหมประจำปี 2564 การศึกษา คณะละครชาตรีจงกลมีการสอนในรูปแบบของการเข้ามาอยู่ในคณะละครเพราะผู้สอนไม่ได้มีวุฒิครูที่ จะสอนจริงจัง เป็นละครชาวบ้านที่นำเด็กที่มีความสนใจมาฝึกหัดตามความถนัด เมื่อปี 2559 เป็นช่วง วัฒนธรรมได้เฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง คณะจงกลก็มีโอกาสได้ไปเผยแพร่การแสดงละครชาตรี ณ สังคีตศาลา กรุงเทพฯ และวังสราญรมย์ สร้างชื่อเสียงให้กับคณะละครอีกครั้งจนมีผู้สนใจติดต่อให้ไปเป็นวิทยากรมอบ ความรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษา ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ การบันเทิงเพื่อคนอื่น ละครชาตรีในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบการนำเสนอในส่วนของบทละครไปมาก เช่น การนำคำพูดอย่าง สมัยใหม่ หรือคำศัพท์เฉพาะในยุคนั้น ๆ มาร่วมในบทของผู้แสดงให้ได้พูดตอบโต้กัน อาทิ คณะละครชาตรี คณะอนัตตา ที่จัดทำการแสดงละครชาตรีร่วมสมัย เรื่อง ฉิ่งฉับสลับร่าง ที่มีเนื้อหาของบทละครเกี่ยวข้องกับ การสลับร่างชายหญิง มีการใช้คำพูดด้นสดและมุขตลกสอดแทรกรวมถึงการลงไปเล่นกับผู้ชมให้พูดบทละคร ตามก็สร้างความสนุกสนานและเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมทั้งโรง ผู้แสดงทั้งหมดเป็นชายล้วน การแต่งกายตัว ละครหลัก ตัวนาง ตัวพระ ตัวตลก แต่งแบบละครชาตรีโบราณและตัวละครตัวรองเสริมบทบาทบางตัวแต่งตาม ยุคสมัยใหม่ ทั้งนี้ในบทละครมีการสอดแทรกประเด็นทางการเมือง การขัดแย้งของวัยรุ่นและผู้สูงอายุ เรื่อง การเคารพสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมทางเพศที่เป็นกระแสรณรงค์อยู่ในขณะนี้ การแสดงละครชาตรี ร่วมสมัยจัดขึ้นในงานเทศกาลละคร “ Bangkok Theatre Festival 2020” และงาน “สามย่านละลายใจ” ดนตรียังคงใช้ดนตรีรูปแบบละครชาตรีผู้แสดงร้องรับกับปี่ แต่บทร้องมีการประพันธ์ขึ้นใหม่ ยกตัวอย่างเรื่อง ย่อ “... เริ่มเรื่องในเมืองมโหรีพาราของคุณหญิงย่าพระพันปี มีหลานสุดหล่อคือคุณชายฉิ่งที่ทำหยิ่งใส่กัน เพราะ ความเป็นนักจัดสรรของศูนย์กลางจักรวาล ที่ต้องการให้หลานเสกสมรสกับธิดาท้าวมู่ทู่พญายักษ์ผู้ปกปักเขา เว่อวังปังปุริเย่ แต่ชายฉิ่งเซย์โนอย่างมาดมั่น สวรรค์จึงหมั่นไส้บันดาลให้ฟ้าผ่าพสุธาสะเทือน จนวิญญาณ เคลื่อนสลับร่างระหว่างย่ากับหลาน เหตุวิปลาสประหลาดเว่อมีสาวเซอร์นังข้าหลวงคืออีค่อมเป็นตัวกล่อม
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 56 สาธกให้เกิดกระจกสองด้าน ส่องประสานความเข้าใจให้สองฝ่ายสลายอัตตา เกิดปัญญาตาสว่างเห็นว่า อะไรบ้างคือตัวที่สร้างปัญหา ...” ทั้งนี้ ทางกลุ่มของคณะละครอนัตตาได้กล่าวว่า”กลุ่มผู้ชมหน้าใหม่ใน ปัจจุบันคือนักเรียน นักศึกษา วัยรุ่น ดังนั้น การสอดแทรกมุขตลกหรือทำให้เนื้อเรื่องชวนติดตามสามารถ ดึงดูดผู้ชมได้มากกว่าการแสดงรูปแบบเดิม แต่เราไม่ได้ตัดทอนความเป็นละครชาตรีออกไปเราแค่สอดความ ร่วมสมัยน่าชมน่าติดตามเพิ่มขึ้นเท่านั้น” (ญาณวุฒิ ไตรสุวรร, ออนไลน์) องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี บทละครชาตรีที่นิยมนำมาแสดงนั้น ได้แก่ 1.บทพระราชนิพนธ์ละครนอก ได้แก่เรื่องไชยเชษฐ์ ตอนขับสุวิญชา ตอนนางแมวเย้ยซุ้ม สังข์ทอง ตอนเสี่ยงพวงมาลัย ตอนนางมณฑาลงกระท่อม สังข์ศิลป์ชัย ตอนตกเหว ตอนเสนากุฎเข้าเมือง คาวีตอน สันนุราชชุบตัว ตอนคันธมาลีขึ้นหึง ไกรทองตอนวิมาลาขึ้นเมืองมนุษย์ มณีพิชัย ตอนมณีพิชัยเป็นข้าเจ้า พราหมณ์ ขุนช้างขุนแผน ตอนแต่งพระไวย 2.บทละครชาตรีซึ่งนำบทละครนอก(สำนวนชาวบ้าน) ได้แก่เรื่อง ลักษณวงศ์ ตอนถวายพราหมณ์ถึง ฆ่าพราหมณ์เกสร แก้วหน้าม้า ตะเพียนทอง ตอนกำเนิดพระสังข์ วงษ์สวรรค์ จันทวาท ตอนตรีสุริยพบ จินดาสมุทร โม่งป่า พระพิมฑ์สวรรค์ สุวรรณหงส์ ตอนกุมพลถวายม้า พระรถเสน โกมินทร์ พิกุลทอง พระทิณวงศ์ กายเพชร กาสุวรรณ อุณรุท พระประจงเลขา จำปาสี่ต้น ฯลฯ (สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์, 2543) ละครชาตรีมีบทละครที่สามารถนำมาแสดงได้มากมายหลากหลายเรื่อง เช่น การแสดง เรื่อง พระสุธน มโนห์รา และ รถเสน ที่มีชื่อเสียงและถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนรู้จักการแสดงละครชาตรี ดังนั้นจะขอ ยกตัวอย่างรูปแบบการแสดงละครชาตรีเรื่อง มโนห์รา เป็นลำดับแรก บทละคร เรื่อง มโนห์รา ฉากที่ 1 สระโบกขรณี กลางป่า สมมติเป็นเวลาบ่าย -ณ เบื้องหลังเห็นทิวทัศน์เขาไกรลาสไกลลิบ มีเมฆผ่าน- -กลางเวทีเป็นสระโบกขรณี มีน้ำใสสะอาดและพรรณไม้ดอก ขอบสระมีโขดหิน- -ตั้งอยู่ในป่าโปร่งดูร่มรื่นปี่พาทย์ทำเพลง “รัวชาตรี” แล้ว “คางคกปากบ่อ” เปิดม่าน -สัตว์ป่าบางชนิดผ่านไปมา-
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 57 -ปี่เป่าเพลงบ้องตัน- -พรานบุณค่อย ๆเดินออกมา สัตว์ป่าค่อยหลบหายไปร้องเพลงบ้องตัน กล่าวถึงพรานป่า ชื่อว่าพรานบุณ เคยได้ทำบุญ แก้ท้าวนาคา มีบ่วงนาคราช อำนาจแรงกล้า พรานไปได้มา จากแดนบาดาล หมายจับกินรี สาวศรีโสภา เคยโบยบิน โนสรจสรงสนาน ณ โบกขรณี เป็นที่สำราญ ทุกทุกเพ็ญวาร ตามประเพณี พรานไพรหมายปอง ค่อยย่องค่อยย่าง ตามแนวทาง ในหว่าง ไพรศรี มือกำกระชับ จับบ่วงวาสุกรี หมายคล้องกินรี สาวสวยสำอาง ชะแง้แลจ้อง มือป้องพักตรา ดูบน เวหา ทางมาของนาง เห็นแต่วิหค โผนผกบินพลาง ยังไม่เห็นทาง ว่าเธอจะมา -เจรจาพรานบุญ - อือ ทำปรือยังไม่มาซักที นี่ก็บ่ายโข่แล้ว พระฤษีก็บอกว่านางกินนรพวกนี้จะต้องมาเล่น น้ำเริงราญกันที่สระโบกขรณีนี้ทุก ๆ วันปุณณมี นี่ก็ถึงวันจันทร์เพ็ญแล้ว ทำปรือจึงไม่มาหนอ ก่อน ๆ เราก็ เคยแลมาแล้วไม่เคยพลาดซักที คราวนี้เราก็ได้บ่วงนาคของท้าวชมพูจิต ราชาแห่งบาดาลมาแล้ว แต่นาง กินนรไม่มา หรือว่าจะรู้ตัวเสียละมัง ฮิ เป็นไปไม่ได้นะประเดี๋ยวคงมาน่ะ ใจเย็น ๆ ไว้ก่อนเถอะ แอบไปนั่ง ซ่อนตามละเมาะให้ลับ ๆ ตาสักหน่อยเห็นจะดี ขืนยืนเก้กังอยู่ยังงี้นางกินนรแลเห็นเราเข้า ก็คงตกใจไม่ลงมา เป็นแน่ ร้องเพลงร่ายนอก พรานบุณเลือกหาพฤกษาซุ้ม เพื่อแอบซุ่มซ่อนกายอยู่ในป่า เห็นโคนไม้มีละเมาะดูเหมาะตา จึงไคลคลาเหยาะเหย่าเข้าแฝงกาย -ปี่พาทย์ทำเพลงต้นตลุง- -พรานบุณเข้าไปปัดกวาดจัดที่ทางไปพลางบ่นพึมพำไปพลาง- -แล้วนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อย่างสบาย- (บทละคร เรื่อง มโนห์รา กรมศิลปากรสร้างบทใหม่, 2498) ตัวละคร
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 58 การแสดงละครชาตรีในอดีตไม่มีอุปกรณ์ มีเพียงตัวละครเท่านั้น หลังจากได้มีการผสมผสานละคร นอกเข้ามาจึงได้มีการเลียนแบบอุปกรณ์อย่างละครนอก อาทิเช่น ตั่ง หรือเตียงที่นั่ง เป็นต้น ดนตรี การแสดงละครชาตรี เพลง นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินเรื่อง หรือบอกเล่า เหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในการแสดง ตลอดทั้งการแสดงท่าทาง กิริยาอาการ ที่ผู้แสดงใช้ประกอบสื่อสาร ให้ผู้ชมได้รับรู้ รวมทั้ง เป็นวัฒนธรรมด้านการบรรเลงดนตรีไทย ที่ใช้ประกอบการแสดง ด้วย จากการศึกษา พบว่า เพลงที่ใช้ ประกอบการแสดงละครชาตรีในจังหวัดอ่างทอง แบ่งออก ได้เป็น 4 ลักษณะดังนี้ 1.เพลงโหมโรงและลาโรง ก่อนการแสดงวงดนตรีปี่พาทย์จะเริ่มบรรเลงเพลงชุด “โหมโรง” เพื่อประกาศให้ผู้ชมทราบว่าการ แสดงกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้แสดง ผู้แสดงละครชาตรี ในอดีตใช้ผู้ชายแสดงล้วน ในปัจจุบันผู้หญิงสามารถร่วมแสดงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่บท ละครและรูปแบบของการนำเสนอละคร การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง การแสดงละครชาตรี เป็นการแสดงที่ดำเนินเรื่องแบบรวบรัด ไม่พิถีพิถันในการแสดงมากนัก เรื่องที่ นิยมแสดงคือ รถเสน มโนห์รา ตัวละครที่สำคัญมีเพียง 3 ตัว เช่น เรื่องมโนห์รา มีพระสุธนเป็นตัวพระ นาง มโนห์ราเป็นตัวนาง พรานบุญเป็นตัวตลก ส่วนเรื่องรถเสน พระรถเสนเป็นตัวพระ นางเมรีเป็นตัวนาง และ ม้าเป็นตัวตลก สำหรับตัวตลกในละครชาตรี แสดงเป็นตัวเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ อีกด้วย เช่น เป็นยักษ์ ฤๅษี ยาย ตา สัตว์ต่าง ๆ ก่อนเริ่มแสดงมีการโหมโรงก่อนเพื่อเรียกผู้ชม ปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงโหมโรงหลายเพลง ใช้กลองตุ๊กเป็น สัญญาณให้ทราบว่าที่นี่จะมีละคร ในขณะที่โหมโรงผู้แสดงจะแต่งตัวอยู่ข้างวงปี่พาทย์ ในสมัยก่อนการโหมโรง ละครชาตรี มีม้าล่อตีเพื่อเรียกคน ปี่พาทย์สมัยนี้ใช้รัวแบบละครนอก เช่น รัวสามลา ฯลฯ พอลงวา ตัวพระ หรือตัวพระ-นาง คู่หนึ่ง จะสวมชฎาขึ้นนั่งเตียง เริ่มซัดไหว้ครู การแสดงละครชาตรีทุกครั้งต้องไหว้ครู การรำซัดไหว้ครู ผู้แสดงร้องเอง เมื่อร้องนำ 1 วรรค แล้วลูกคู่ก็รับวรรคที่สองซ้ำกันสามครั้ง แล้วตัวละครจึง ร้องวรรคที่สามต่อไป เวียนลำดับจนครบตอน การรำก็ซัดแบบชาตรี ขณะที่ร้องมีการตีกรับให้จังหวะมีทับ และฉิ่งประกอบ บทไหว้ครูละครชาตรีนั้นมีมากมายหลายบท ผู้เรียบเรียงจึงขอนำมากล่าวไว้แต่เพียงบางบท
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 59 หลังจากไหว้ครูเสร็จแล้วดำเนินเรื่อง ตัวละครที่จะออกแสดงก็สวมเครื่องสวมศีรษะตามบทของตนแล้วขึ้นนั่ง เตียง ในตอนดำเนินเรื่องนี้มีคนบอกบทนำให้กับผู้แสดง ผู้แสดงจะร้องเอง 1 วรรค แล้วมีลูกคู่รับเช่นนี้ ตลอดไป ผู้บอกบทจะบอกทั้งเนื้อเรื่องและเพลงที่ใช้ประกอบ การบอกบทนี้มีประโยชน์มาก เพราะผู้แสดงจะทราบว่าจะรำบทใดท่าใด เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อเพลง เป็น การบอกให้เตรียมตัวเป็นอย่างดี และยังมีประโยชน์สำหรับปี่พาทย์ที่จะทำเพลงรับได้ถูกต้องตัวละครก็จะ ทราบว่าจะต้องรำบทหรือรำหน้าพาทย์อย่างไรอีกด้วย เมื่อผู้แสดงร้องและรำไปจบตอนหนึ่งแล้วจะมีการหยุดให้เจรจา ในครั้งแรกจะมีการแนะนำตัวว่าเป็นใคร ชื่อ อะไร จะไปพบใครที่ไหน หรือจะทำอะไรต่อไป เมื่อเรื่องดำเนินแล้วก็จะมีการพบตัวละครอื่นตอนนี้จะมีการ โต้ตอบ เมื่อตัวแสดงบทบาทของตนจบ ก็นั่งลงข้างเตียงแล้วถอดเครื่องสวมศีรษะออกแสดงว่าพัก ผู้แสดงตัว อื่นก็แสดงบทบาทของตนต่อไป ละครชาตรีบางทีก็ใช้บทละครเรื่องอื่นนำมาแทรกให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เป็นบทตลก เช่น เรื่อง สังข์ทอง ตอนมณฑาลงกระท่อม การดำเนินเรื่องของละครชาตรี มีวิธีดำเนินเรื่องเป็น 2 แบบคือ 1.แบบละครซ้อนละคร คือซัดไหว้ครูแล้วเริ่มด้วยพระสังข์ชนะคลี ท้าวสามลให้สมโภชพระสังข์เรียบเมืองแล้ว มีมหรสพฉลอง มหรสพอย่างหนึ่งที่นำมาฉลองในงานก็คือ ละครชาตรี ซึ่งละครชาตรีก็จะดำเนินเรื่องต่อไป จะเป็นเรื่องสังข์ทองหรือเรื่องอะไรก็ได้ 2.ดำเนินเรื่องโดยตรง คือซัดไหว้ครูแล้วดำเนินเรื่องเลย เบิกโรงด้วยตัวพระเอกของเรื่อง เมื่อจบบท ร้องตอนแรกก็มีการแนะนำตัว กล่าวเท้าความเนื้อเรื่องอย่างย่อ ทั้งนี้คงเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องติดต่อกัน (สุมน มาลย์นิ่มเนติพันธ์, 2543) เครื่องแต่งกาย การแต่งกายละครชาตรีสันนิษฐานกันว่า เดิมคงแต่งแบบพื้นเมืองแต่แต่งให้ทะมัดทะแมงเพื่อสะดวก ในการรำและผู้แสดงเป็นชายล้วน สำหรับตัวยืนเครื่อง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุ ภาพ ทรงกล่าวว่า “นุ่งสนับเพลาเชิงกรอมข้อเท้า นุ่งผ่าหยักรั้งจีบโยงไว้หางหงส์ สวมเครื่องอาภรณ์กับตัวเปล่าไม่ใส่เสื้อ และที่ศีรษะสวมเทริดเป็นแบบเครื่องต้น แต่งตัวท้าวพระยาแต่ดึกดำบรรพ์เหมือนรูปภาพครั้งกรุงเก่า มีรูป
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 60 เทวดาที่จำหลักบานซุ้มพระเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ ซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ และรูปเทวดาที่เขียนไว้หลัง บานประตูพระอุโบสถ วัดใหญ่เมืองเพชรบุรี เป็นต้น” “สำหรับตัวนางใช้ผ้าพาดหลัง เพื่อบอกให้ผู้ชมทราบ เนื่องจากละครชาตรีไม่มีผู้แสดง ดังได้กล่าว มาแล้ว ส่วนตัวตลกก็แต่งอย่างธรรมดา ถ้าจะแสดงเป็นตัวเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ก็ใช้ผาขาวม้ายักย้ายไปได้หลาย อย่าง เช่น เมื่อจะแสดงเป็นยักษ์ ก็สวมหัววยักษ์หรือใช้ผ้าโพกหัว เป็นนก ตัวละครนั้นก็ใช้ผ้าขาวม้ายี่โป้คลุม ต่างปีกเป็นช้าง ก็ใช้ผ้าฟั่นเป็นงวงผูกศีรษะ เป็นม้า ก็ใช้ผ้าขาวม้าคาบปาก ทำมืออย่างม้า” ปัจจุบันแต่งเครื่องละครอย่างสวยงาม เรียกว่า “เข้าเครื่องหรือยืนเครื่อง” และเริ่มมีตัวละครผู้หญิง แสดงตัวสำคัญ ส่วนผู้ชายแสดงเป็นตัวตลกและตัวประกอบ ละครเรื่องหนึ่ง ๆ มีตัวสำคัญอย่างน้อย 3 ตัว คือ พระเอก นางเอก ยักษ์หรือตัวตลก ส่วนตัวพ่อแม่ แม้จะเป็นกษัตริย์ก็ไม่เข้าเครื่องครบเหมือนละครนอก เพราะ ตัวละครเหล่านี้จะเป็นกึ่งตลกไปด้วย ตัวละครทั้งหมดมีอย่างน้อย 6-7 ตัว ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่อง บางทีก็มีผู้ แสดงมากกว่านี้ (สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์, 2543) โรงละคร การจัดสร้างโรงละครแล้วแต่สถานที่ที่แสดง จะเป็นที่บ้าน ที่กลางแจ้ง หรือที่ศาลเจ้า ถ้าเป็นที่ กลางแจ้ง โรงละครชาตรีก็ปลูกสร้างแบบง่าย ๆ โดยปักเสา 4 ต้น ขึงผ้า 4 มุม ยึดผ้าเป็นที่บังแดดบังฝนใน สมัยโบราณ ตรงกลางมีเสาสำหรับค้ำให้ผ้าสูงขึ้นไม่อับลม แล้วนำซองอาวุธที่จะใช้ในการแสดงไว้ที่เสากลาง ปัจจุบันการสร้างโรงละครชาตรีมักจะต่อจากตัวอาคาร โดยใช้ด้านหนึ่งของอาคารเป็นหลักยืนแล้วขึงผ้า ออกมา เช่น ที่ศาลพระกาฬ ลพบุรี วัดมหาธาตุ เพชรบุรี บางทีก็อาศัยช่วงหนึ่งของอาคารนั้นเป็นโรงแสดง เช่น ที่หลักเมือง กรุงเทพฯ หรือวัดโสธร ฉะเชิงเทรา ถ้าเป็นที่บ้านส่วนมากใช้โรงรถเป็นที่แสดงตามวัดใช้ ศาลา เป็นต้น โรงละครชาตรีเป็นโรงโล่ง ๆ ไม่มีม่านกั้น มีเสื่อปูด้านหนึ่ง ตั้งเตียงสำหรับตัวละครนั่ง แต่เว้น ระยะห่างจากด้านริมพอให้ตัวละครนั่งพัก และวางเครื่องสวมศีรษะและพระฤๅษี จะมีเตียงใหญ่เตียงเดียว หรือจะตั้งสองเตียงก็ได้ ตัวละครจะไม่สวมศีรษะถ้ายังไม่ถึงเวลาแสดง ด้านขวาตั้งเครื่องดนตรี มีผู้เล่นดนตรี และลูกคู่ด้านซ้ายสำหรับผู้แสดงที่ยังไม่ได้ออกแสดงนั่งพัก และในเวลาเดียวกัน พวกตัวแสดงที่ยังไม่ได้ออก แสดงจะเป็นลูกคู่ ผู้ชมจะดูละครได้ทั้งสี่ด้าน จะเรียกว่าเป็นเป็นโรงเปิดก็ได้ ตัวละครจะผลัดเปลี่ยนเครื่อง แต่งตัว แต่งหน้า ไม่มีหลังฉากละคร เวลาจะออกแสดงก็สวมชฎาแล้วเดินออกมาทางด้านขวาของเตียง ถ้า จะเข้าโรงก็นั่งลงด้านซ้ายของเตียง เมื่อตั้งวงดนตรีแล้ว ผู้ชมละครจะล้ำเข้ามาไม่ได้ ต้องมีที่ให้ผู้แสดงเดินหรือ ร่ายรำอย่างน้อยประมาณ 20 ตารางเมตร
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 61 การเรียนการสอน ละครชาตรีมีการเรียนการสอนในกระบวนการการร่ายรำตามแบบโบราณและแบบร่วมสมัย เพราะใน ปัจจุบันการศึกษาละครชาตรีนั้น จารุวรรณ สุขสาคร(สัมภาษณ์, 25 มิถุนายน 2565) ครูผู้ฝึกหัดละครชาตรี คณะจงกล โปร่งน้ำใจ กล่าวว่า “การเรียนในคณะละครหรือการเปิดสอนไม่มีเป็นเรื่องเป็นราว แต่จะไปเป็น วิทยากรในการสอนเด็ก ๆ ตามโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร และเชิญชวนให้มาฝึกหัดในคณะละครจงกล และพามาออกงานที่ศาลพระพรหมเอราวัณ” สอดคล้องกับ วีรชัย แจ่มจำรัส (สัมภาษณ์, 23 มิถุนายน 2565) ศิลปินคณะละครชาตรีในจังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า “ที่คณะละครของเราไม่มีเปิดสอน แต่หากเด็ก ๆ ลูกหลาน อยากแสดง มาดูมาฝึกก็สามารถแสดงละครได้ โดยจะให้บทง่าย ๆ เดินออกตามบท หรือพูดบทสั้น ๆ ไปก่อน เพื่อให้คุ้นชินกับการแสดงและฟังเพลง รวมถึงสังเกตบทต่าง ๆ จากผู้ใหญ่ที่กำลังแสดงอยู่” ดังนั้น ในปัจจุบันหากต้องการฝึกหัดการแสดงละครชาตรีต้องเข้าไปที่คณะละครโดยตรงและขอ อนุญาตเจ้าของคณะในการฝึกหัด การร้อง การรำ และเรียนรู้ขั้นตอนกระบวนการแสดง 1.2 ละครเสภา คำว่า “เสภา” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ในตำนาน เสภาว่า เสภานั้นมาจากคำว่า “เสภา” เป็นภาษาสันตกฤษ หมายถึง การบูชาอย่างหนึ่ง และมีคำประกอบ ว่า “เสภากากุ” ก็หมายถึง การสวดบูชาเปลี่ยนเป็นทำนองต่างๆ ละครเสภา คือ ละครที่แสดงในลักษณะการขับเสภาประกอบ เพื่อทราบเรื่องราวนิทานหรือเนื้อหา จากวรรณคดีเรื่องนั้น ๆ ที่มา : สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ประวัติความเป็นมา
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 62 เสภามีกำเนิดมาจากการเล่านิทาน เมื่อการเล่านิทานเป็นที่นิยมกันแพร่หลาย ทำให้เกิดมีการ ปรับปรุงแข่งขันกันขึ้น ผู้เล่าบางท่านจึงคิดแต่งเป็นกลอน ใส่ทำนอง มีเครื่องประกอบจังหวะ คือ “กรับ” ก็ กลายเป็นขับเสภาขึ้น เสภามีมาแต่โบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการสันนิษฐานว่าตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลสมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ ราว พ.ศ.2011 ในกฎมนเทียรบาล ตอนที่ว่าด้วยกำหนดเวลา อันเป็นพระราชานุกิจ ของพระเจ้าแผ่นดินก็กล่าวไว้ว่า “หกทุ่มเบิกเสภา ดนตรี” แสดงว่านิยมเล่านิทานด้วยวิธีการขับเสภาใน พระราชฐาน ถึงแต่งตั้งกฎไว้เป็นพระราชกิจประจำวัน เสภาในสมัยโบราณไม่มีดนตรีประกอบ จนถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดเกล้าฯ ให้มีปี่พาทย์บรรเลงประกอบ สมัยรัชกาลที่ 3 นิยมเพลงอัตรา 3 ชั้น เพลงที่ร้องและบรรเลงในการขับเสภาซึ่งเคยใช้เพลง 2 ชั้น ก็เปลี่ยนเป็น 3 ชั้นบ้าง และใช้กันมาจนปัจจุบันนี้ สมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีผู้คิดเอาตัวละครเข้าแสดงการรำและทำบทบาทตามคำขับเสภาและร้องเพลง เรียกว่า “เสภารำ” เสภารำมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบสุภาพ และแบบตลก สมัยนี้โปรดเกล้า ฯ ให้กวีช่วยกันแต่งเสภาเรื่องนิทราชาคริต เพื่อใช้ขับในเวลาทรงเครื่องใหญ่มีเหตุการณ์ เปลี่ยนแปลง คือ พวกขับเสภาสำนวนแบบนอก คือ ใช้ภาษาพื้นบ้านมาสนใจสำนวนหลวง สมัยรัชกาลที่ 6 สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับพระราชวรวงศ์เธอกรม หมื่นกวีพจน์สุปรีชา ช่วยกันชำระเสภาขุนช้างขุนแผน แก้ไขกลอนให้เชื่อมติดต่อกัน และพิมพ์เป็นฉบับ หอสมุดแห่งชาติเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2460 ซึ่งเป็นแบบแผนของการแสดงขับเสภา ซึ่งต่อมากลายเป็นละคร เสภา (สำนักการสังคีต, ออนไลน์) กล่าวว่า ละครเสภามีวิวัฒนาการมาจากการขับเสภา ที่นิยมนำเรื่องราว ของวรรณคดีต่างๆ มาขับเสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่เดิมการขับเสภาไม่มีดนตรีประกอบ ผู้ ขับเป็นผู้ขยับกรับสอดแทรกในทำนองขับเสภาของตนเท่านั้น ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย ทรงโปรดการขับเสภาเป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีวงปี่พาทย์บรรเลงประกอบ มีการ แทรกเพลงสำหรับร้องส่งให้ปี่พาทย์รับในบทที่สมควรแก่การขับร้อง ส่วนบทที่เห็นว่าเป็นการดำเนินเรื่องก็ให้ใช้ ขับเสภา ส่วนตอนใดเป็นบทสู้รบและอื่นๆ ปี่พาทย์ก็จะบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบบทนั้น ๆ เมื่อการขับ เสภามีทั้งเพลงร้องและการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์เช่นนี้ จึงมีวิวัฒนาการโดยให้ตัวละครมาแสดงตามบท เหมือนกับการแสดงละครนอก เรียกการแสดงเช่นนี้ว่า “ละครเสภา” เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นวรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ร่วมกับกวีแห่งราชสำนัก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราช นิพนธ์ เนื่องด้วยความงดงามในการใช้ถ้อยคำของกวีเอกในครั้งนั้น วรรณคดีสโมสรในรัชกาลพระบาทสมเด็จ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 63 พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ยกย่องวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนว่าเป็นยอดแห่งกลอนเสภา เค้าเรื่องขุนช้าง ขุนแผนนี้สันนิษฐานว่าเคยเกิดขึ้นจริงในสมัยกรุงศรีอยุธยา แล้วมีผู้จดจำเล่าสืบต่อกันมา เนื่องจากเรื่องราวของ ขุนช้างขุนแผนมีปรากฏในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า แต่มีการดัดแปลงเพิ่มเติมจนมีลักษณะคล้ายนิทาน เพื่อให้เนื้อเรื่องสนุกสนานชวนติดตามยิ่งขึ้น รายละเอียดในการดำเนินเรื่องยังสะท้อนภาพการดำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมในครั้งอดีตได้อย่างชัดเจนยิ่ง (หอพระสมุดวชิรญาณ, ออนไลน์) บทละครและวรรณคดี ละครเสภามีรูปแบบเฉพาะตัวและมีเอกลักษณ์โดดเด่นอีกชุดหนึ่งของการแสดงละครไทย โดยจะขอ ยกตัวอย่างรูปแบบการแสดงเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ดังนี้ ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/social/97772/ ตอนที่ 40 พระไวยแตกทัพ จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงศักดิ ปิ่นปักนัคเรศเขตขัณฑ์ สถิตเหนือแท่นแก้วแพรวพรรณ พระกำนัลแน่นหน้าสนมใน ขับกล่อมซ้อมเสียงประสานซอ ล้วนลออนวลละอองผ่องใส เบิกบานสำราญราชหฤทัย ครั้นพระสุริใสสว่างฟ้า สระสรงทรงเครื่องเรืองบวร เสด็จออกพระบัญชรข้างฝ่ายหน้า ข้าเฝ้าเจ้าพระยาและพระยา หมอบกลาดดาษดาอยู่พร้อมกัน ฯ ครานั้นท่านเจ้าคุณมหาดไทย บังคมทูลคดีขมีขมัน ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงธรรม์ ชีวันอยู่ใต้พระบาทา
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 64 บัดนี้มีบอกพระสุพรรณ กรมการพร้อมกันถ้วนหน้า ว่ายังมีโจรบกยกมา โยธาประมาณสักพันปลาย ตีไล่ไพร่บ้านพลเมือง แตกวุ่นขุ่นเคืองมากหลาย ให้ไปสืบดูรู้แยบคาย ว่าตั้งค่ายเดิมบางอยู่กลางไพร ผู้รั้งตั้งรับอยู่พารา แต่หายกเข้ามาประชิดไม่ พระสุพรรณครั้นจะออกไปชิงชัย เห็นยังไม่ได้ทราบพระบาทา ถ้าฉวยเสียนายไพร่ในสงคราม ก็เกรงความคิดผิดชอบเป็นหนักหนา ใคร่ครวญดูกระบวนที่ยกมา จะว่าเป็นกองทัพก็ผิดไป ด้วยยกมาแต่ตัวหัวเดียว จะรบรับขับเคี่ยวก็มิใช่ ครั้นจะว่าเหล่าโลนพวกโจรไพร เห็นพลไพร่มากอยู่ดูไม่ควร ฯ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ดำริเหตุพระองค์ทรงพระสรวล ใบบอกอึ้งอ้ำเป็นสำนวน เดิมบางทางก็จวนถึงพระสุพรรณ ถ้าทัพศึกอื่นไกลหาไหนมา ทำไมตั้งรั้งราอยู่ที่นั่น ได้ทีก็จะตีเข้าติดพัน ตั้งค่ายรายมั่นเอาพารา นี่อ้ายพระสุพรรณไม่ออกรบ ก็นิ่งหลบซ่อนตัวอยู่แต่ป่า ครั้งจะว่าโจรไพรไพล่เข้ามา กล้านักเห็นผิดจริตไป อ้ายผู้รั้งเมืองสุพรรณมันขี้ขลาด จึงหาอาจจะออกไปรบไม่ ทำบอกแก้ตัวด้วยกลัวภัย กูเข้าใจอยู่สิ้นอ้ายลิ้นทอง จึงสั่งให้อ้ายแผนออกไปดู ครู่เดียวก็จะจับเอาคล่องคล่อง อ้ายสุพรรณนั้นให้เป็นลูกกอง สั่งสรรพหับห้องพระแกลชัย ฯ กล่าวโดยสังเขปเรื่องย่อของบทละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ คือ จมื่นไวยวร นาถซึ่งเป็นลูกของขุนแผนที่เกิดกับนางวันทอง ได้รับพระราชโองการจากสมเด็จพระพันวษา ให้ยกทัพไปปราบ ศึกจึงได้ออกมาจัดเตรียมไพร่พลแล้วยกไป วิญญาณของนางวันทอง ที่อยู่เมืองผีทราบว่าจมื่นไวยวรนาถจะยก
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 65 ทัพไปทำศึกสงครามในครั้งนี้ ด้วยความเป็นห่วงจึงได้แปลงร่างเป็นสาวงามมาคอยดักทางที่จมื่นไวยจะเดินทัพ ผ่าน เมื่อกองทัพของจมื่นไวยมาถึงป่าในเวลาใกล้ค่ำ แว่วเสียงโหยหวนวังเวงของภูติผีปีศาจ จมื่นไวยวน นาถจึงสั่งให้ไพร่พลหยุดพัก และช่วยกันออกตามหาที่มาของเสียง ขณะที่แยกย้ายเดินหากันอยู่นั้น จมื่นไวยวร นาถได้พบกับสาวงามนางหนึ่ง ซึ่งนั่งไกวชิงช้าเล่นอยู่ลำพังแต่เพียงผู้เดียว จึงได้ถือโอกาสเข้าไปเกี้ยวพาราสี นางแปลงเมื่อถูกลวนลามหนักเข้าในที่สุดนางจึงบอกความจริงว่าตนนั้นคือนางวันทองซึ่งเป็นมารดาของจมื่น ไวยวรนาถที่ติดตามมาก็เพราะความเป็นห่วงใยและเตือนให้ระมัดระวังตัวในการไปทำสงคราม ครั้งนี้ จากนั้น ก็กลับกลายร่างเป็นเปรตอสูรกายให้เห็น ทำให้จมื่นไวยตกใจกลัวและสงสารมารดายิ่งนัก แต่ในที่สุดก็ตัดใจได้ เมื่อนึกถึงหน้าที่แล้วก็เดินทัพต่อไป จนกระทั่งมาพบกับพลายชุมพล ลูกของขุนแผนอีกคนที่เกิดจากนางแก้ว กิริยา ซึ่งปลอมตนเป็นแม่ทัพมอญตามอุบายของขุนแผน ทั้งสองแม่ทัพต่างก็ใช้คาถาอาคมที่ได้ร่ำเรียนมา ออก ต่อสู้ให้เห็นอิทธิฤทธิ์ซึ่งกันและกัน พลายชุมพลซึ่งเป็นน้องถึงแม้จะมีวิทยาอาคมอยู่พอตัวหากแต่อ่อนในชั้นเชิง หลังจากเสกคาถาสู้กันมาหลายยก ก็สู้จมื่นไวยผู้เป็นพี่ไม่ได้จึงร้องเรียกให้พ่อขุนแผนมาให้ช่วย ขณะที่ เหตุการณ์กำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่นั้น ขุนแผนผู้เป็นต้นอุบายในการคิดแก้แค้นความโอหังของลูกชายคนโตที่ได้ เคยล่วงเกินมาแต่ครั้งก่อนก็ควงดาบฟ้าฟื้นเข้ามาด้วยอาการโกรธแค้นของขุนแผนผู้เป็นบิดาทำให้จมื่นไวยวร นาถรู้ได้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้นแก่ตนก็หลบหลีกคมอาวุธของขุนแผนเป็นพัลวัน ในที่สุดก็พากองทัพแตกหนีไม่ เป็นขบวนกลับไป ลักษณะของบทละครเสภาเป็นการแต่งคำกลอนเป็นเรื่องราว ผู้แสดงจะแสดงภาษาท่าตามหลัก นาฏศิลป์ไทยตามบท เรียกว่า “การตีบท” ตามบทกลอนดังกล่าว ตัวละคร การแสดงละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ มีตัวละครประกอบ ดังนี้ พระพันวษา พระไวย ขุนแผน พลายชุมพล (ไทย) พลายชุมพล (มอญ) พระยากลาโหม เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 66 ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/social/97772/ ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/social/97772/ การคัดเลือกตัวละครหรือนักแสดงจำเป็นที่จะต้องเลือกผู้ที่มีฝีมือทางด้านการแสดงเป็นเลิศ เพราะ การแสดงละครจำเป็นที่ปผู้แสดงจะต้องแสดงกระบวนการร่ายรำ รวมถึงการแสดงสีหน้าแววตาอารมณ์ร่วมกัน ระหว่างผู้แสดง เพื่อทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปกับการแสดง ทางสำนักการสังคีตได้มีการจัดแสดงและมีการ ลำดับผู้แสดงไว้ ดนตรี ดนตรีที่ใช้ในการแสดงของละครเสภาคือวงปี่พาทย์เครื่องห้า และมีการขยับกรับตามการขับเสภาของ นักร้อง ผู้แสดง ผู้แสดงของละครเสภาใช้ผู้แสดงชายจริงหญิงแท้ อุปกรณ์การแสดง อุปกรณ์ประกอบการแสดงสำหรับละครเสภานั้นขึ้นที่อยู่ที่เรื่องหรือบทละครที่เล่น เช่น เตียง ตั่ง หมอน ชิงช้า ต้นไม้ เป็นต้น
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 67 การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) ขั้นตอนการแสดงในการแสดงละครเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนพระไวยแตกทัพ มีรายละเอียดใน การแสดง ดังนี้ 1.นักแสดงทำการแสดงเบิกโรงชุด “ฉุยฉายวันทอง” 2.ปี่พาทย์ทำเพลง พระไวยยกทัพออกมา นักแสดงตัวตลกเจรจาในสถานการณ์รอบตัวได้ 3.นักร้องพากย์เจรจานักแสดงร่ายรำตามบทละครในกระบวนท่ารำ การขับเสภาบทละครจะมีการ ขยับกรับตามคำร้อง เครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายของการแสดงละครเสภามีรูปแบบคล้ายคลึงกับละครพันทางคือแต่งกายตามเชื้อชาติ และตามอย่างตัวละครนั้น ๆ เช่น ที่มา : การแสดงละครเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพระไวยแตกทัพ วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2565 ตัวละคร รายละเอียดการแต่งกาย พระไวย เสื้อแขนยาวสีดำปักลาย นุ่งผ้ายก (คล้ายการแต่งชุดยืนเครื่องพระ) ผ้าคาดเอว เครื่องประดับ สร้อยคอ สังวาล เข็มขัด กรองคอ สวมหมวก นางวันทอง ห่มสไบปักลาย นุ่งผ้ายก (คล้ายการแต่งชุดยืนเครื่องนาง) เครื่องประดับ สร้อยคอ สังวาล เข็มขัด กำไร กระบังหน้า ทหาร เสื้อแขนยาว นุ่งโจงกระเบน สวมหมวกปิดหู โรงละคร
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 68 การแสดงละครเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนพระไวยแตกทัพ จัดแสดงในโรงละครแห่งชาติ เพื่อ สะดวกในการเปลี่ยนฉากและสร้างสรรค์เนรมิตฉากต่าง ๆ ได้อย่างสวยงาม สถาบันการศึกษา/การฝึกหัด-ถ่ายทอด ในปัจจุบันสถาบันการศึกษาที่มีรูปแบบการเรียนการสอนและถ่ายทอดความรู้ในเรื่องของละครเสภา เป็นหลักคือสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ที่ยังคงอนุรักษ์ สืบทอดรูปแบบ วิธีการแสดง การกำหนดผู้แสดง และกระบวนท่ารำของตัวละครในการแสดงละครเสภา การสร้างสรรค์การแสดง ปัจจุบันสำนักการสังคีต กรมศิลปากร ได้พัฒนาสร้างสรรค์ต่อยอดทางด้านองค์ประกอบการแสดงด้วย ระบบฉาก แสง เสียง ที่ทันสมัยก่อให้เกิดอรรถรสในการชมการแสดงมากยิ่งขึ้น อาทิเช่น ตัวละครผีของนางวัน ทองได้สร้างสรรค์ให้มีความน่ากลัวและมีไฟสีแดงที่ดวงตาทำให้ดูมีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปร่วม การแสดงยิ่ง ดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น 1.3 ละครนอก “ละครนอก” สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ว่า “ละครนอก” เข้าใจว่าคงจะเรียกละครเฉยๆ แต่เมื่อละครในมีกำเนิดขึ้น จึงคิดเรียกละครพื้นเมืองตามที่มีมาแต่เดิมว่า “ละครนอก” เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างละครสองประเภทนี้ ที่มา : ละครนอกเรื่องแก้วหน้าม้า แสดงในงานสังคีตศาลา ปี 2554 ประวัติความเป็นมา
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 69 ละครนอก เป็นละครพื้นบ้านดั้งเดิม ใช้ผู้ชายแสดงแต่งกายอย่างสามัญ ใช้เนื้อร้องจากนิทานพื้นบ้าน และวรรณกรรมทั่วไป ต่อมารัชกาลที่2 นำละครนอกแบบชาวบ้านมาแสดงแบบหลวง คือ ใช้ละครผู้หญิงแสดง มีฝีมือการรำอย่างราชสำนัก อารมณ์ในการถ่ายทอดท่ารำนุ่มนวลกว่าชาวบ้าน แต่ก็กระฉับกระเฉงกว่าละคร ใน แต่ก็ไม่ถึงกับรุกรัน แต่งกายเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ ส่วนการดำเนินเรื่องยังคงมุ่งความ สนุกสนานและรวดเร็วเช่นเดิม ปัจจุบันละครนอกแบบหลวงมีกรมศิลปากรเป็นผู้สืบทอด ลักษณะการแสดง ยังคงเดิม แต่มีการพัฒนาด้านเทคนิคการสร้างฉาก แสง สี เสียง ตลอดจนสอดแทรกมุขตลกที่เกี่ยวกับเหตุบ้าน การณ์เมืองเข้าไปด้วย องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี เรื่องที่แสดง สำหรับละครนอกนั้น บทละครนอกที่แสดงในสมัยโบราณ มีบทละครนอกอยู่ 14 เรื่อง คือ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 70 1.การะเกด 2.คาวี 3.ไชยทัต 4.พิกุลทอง 5.พิมพ์สวรรค์ 6.พิณสุริยวงศ์ 7.มโนห์รา 8.โม่งป่า 9.มณีพิชัย 10.สังข์ทอง 11.สังข์ศิลป์ชัย 12.สุวรรณศิลป์ 13.สุวรรณหงส์ 14.โสวัต สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีบทพระราชนิพนธ์ละครนอกในรัชกาลที่ 2 อีก 6 เรื่อง คือ 1.สังข์ทอง 2.มณีพิชัย 3.ไชยเชษฐ์ 4.คาวี 5.ไกรทอง 6.สังข์ศิลป์ชัย สำหรับเรื่องสังศิลป์ชัยนั้น เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎา บดินทร์ บทละครนอกทั้ง 6 เรื่องนี้ พระราชนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้ละครผู้หญิงของหลวงแสดง (สุมนมาลย์ นิ่มเนติ พันธุ์, 2543) ในรายละเอียดของบทละครขอยกตัวอย่างเรื่อง สังข์ทอง ตอนรจนาเลือกคู่ โดยมีรายละเอียดบท ละคร ดังนี้ เมื่อนั้น ท่านท้าวสามลจนจิต กอดเข่าเข้าตะลึงรำพึงคิด อกกูดูผิดประหลาดใจ บุรุษในแผ่นดินนี้ก็สิ้นแล้ว ควรหรือลูกแก้วไม่เลือกได้ คิดพลางทางเสด็จคลาไคล ออกบัญชรชัยมิได้ช้า ฯ ๔ ฯ คำเสมอ จึงตรัสแก่เสนาข้าเฝ้า คนในเมืองเราถึงแสนกว่า ที่อยู่บ้านนอกขอกนา ขับมาหมดสิ้นแล้วหรือยัง ฯ ๒ ฯ เจรจา
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 71 บัดนั้น เสนาทูลไปดังใจหวัง ไพร่ฟ้ามาประชุมอยู่ในวัง ทั่วทั้งแผ่นดินสิ้นชาย เหลือแต่เงาะป่าทรพล หน้าตาผิดคนทั้งหงาย หัวพริกยุ่งหยาบคาย ตัวลายคล้ายกันกับเสือปลา ใครจะบอกจะเล่าไม่เข้าใจ พูดจาไม่ได้เหมือนใบบ้า เล่นอยู่กับเด็กที่กลางนา จงทราบบาทาภูวไนย ฯ ๖ คำ ฯ เมื่อนั้น ท้าวสามนต์ฟังแจ้งแถลงไข ด้วยเดชะเทพเจ้าเข้าดลใจ เผอิญให้กริ้วโกรธบุตรี จึงตรัสแก่องค์อัครชายา น้อยหรือรจนาลูกสาวศรี เลือกคู่ดูใครไม่ไยดี จนสิ้นชายไม่มีทั้งพารา เหลือแต่เงาะป่าเป็นบ้าใบ้ เอามาให้มันเลือกสมน้ำหน้า ว่าพลางทางสั่งเสนา จะไปพาอ้ายเงาะมาในวัง ตัวละคร ตัวละครในการแสดงละครนอกแบ่งแยกตาม ตัวพระ ตัวนาง และบทบาทต่าง ๆ ที่ได้ในบทละคร ดังกล่าว เช่น พระสังข์ ท้าวทศรถ นางรจนา เป็นต้น ดนตรี ดนตรีและเพลงร้อง เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงละครนอกใน ช่วงแรก สันนิษฐานว่าคงจะใช้ ดนตรีไม่มากชนิด เนื่องจากต้องเดินทางไปแสดงตามที่ต่าง ๆ ตามแต่จะมีผู้ว่าจ้าง ต่อมาได้มีการพัฒนาเป็นวง ปี่พาทย์เครื่องห้าซึ่งประกอบไปด้วย ปี่ ระนาดเอก ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด และฉิ่ง ก่อนการแสดงละครปี่พาทย์ จะบรรเลงเพลงโหมโรงเย็นเพื่อเป็นการเรียกคนดู และ ในการบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบการแสดงนั้นมี ไม่มากและไม่ได้ใช้เพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงอย่าง ละครใน เพลงหน้าพาทย์ที่ใช้มักจะเป็นเพลงประกอบกิริยา อาการทั่ว ๆ ไป เช่น เชิด รัว เสมอ โอด เป็นต้น เพลงร้องที่ใช้มักเป็นเพลงชั้นเดียวหรือเพลงสองชั้นที่มีจังหวะ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 72 ค่อนข้างเร็ว รวบรัด กระฉับกระเฉง เพื่อเป็นการเอื้อต่อการแสดงที่เน้นการแสดงที่รวดเร็วประกอบกับละคร นอกมีผู้ชายแสดงล้วน ดังนั้น เพลงที่บรรเลงจึงต้องมีลักษณะเหมาะสมกับผู้แสดง มนตรี ตราโมท, (2540) ได้กล่าวไว้ใน หนังสือการละเล่นของไทยว่า “ในสมัยโบราณละคอนนอกนี้มีแต่ ผู้ชายเท่านั้นเป็นผู้แสดง เพลงปี่ พาทย์ที่บรรเลงในสมัยนั้นจะต้องบรรเลงด้วยเสียงที่เรียกว่า “ทางกรวด” หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า“ทางนอก” (เทียบบันไดโดเมเยอร์ของสากล) อันเป็นเสียงที่ผู้ชายร้องได้สะดวก ต่อมาเมื่อ มีผู้หญิง แสดงละคอนนอกกันมากเข้า จนท่วมสถิติละคอนผู้ชาย ปี่พาทย์จึงได้เปลี่ยนเสียงสำหรับบรรเลงเพลง ประกอบละคอนนอกลดลงมาบรรเลงในเสียงที่เรียกว่า “ทางใน” (เทียบบันไดเสียงซอลเมเยอร์ของ สากล) ซึ่ง เป็นเสียงของละคอนใน สืบมาจนบัดนี้” นอกจากนี้เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงมักมีคำว่า นอกติดกับชื่อเพลง เช่น เพลงช้าปี่นอก เพลงร่ายนอก เพลงชมดงนอก เพลงปีนตลิ่งนอก เพลงโอ้โลม นอก เป็นต้น ผู้แสดง ผู้แสดงละครนอก จะต้องมีความคล่องแคล่วในการรำและร้อง มีความสามารถที่หาคำพูดมาใช้ในการ แสดงได้อย่างทันท่วงทีกับเหตุการณ์ เพราะขณะแสดงต้องเจรจาเอง และบางบทต้องร้องเอง ละครนอกแต่ เดิมใช้ผู้แสดงเป็นชายล้วน ตัวละครมีเพียง 3 ตัว อย่างละครชาตรี ต่อมาภายหลังมีการเพิ่มจำนวนผู้แสดงแบบ ไม่จำกัดจำนวน เพราะต้องขึ้นอยู่กับ 15 เรื่องและตอนที่นำมาแสดง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงโปรดให้ มีละครนอก ของหลวงโดยใช้นางในราชสำนักเป็นผู้แสดง จนถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เมื่อมีประกาศว่าด้วยเรื่องอนุญาตให้มีละครผู้หญิงได้ จึง ส่งผลให้มีผู้แสดงทั้ง หญิงและชายเล่นประสมโรงกันซึ่งปรากฏว่าผู้ชมนิยมละครที่ใช้ผู้หญิงแสดงมากกว่า ผู้ แสดงที่เป็นชาย จึงค่อย ๆ ลดน้อยลง นอกจากนี้สิ่งสำคัญของผู้แสดงก็คือ ความคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง มี ความสามารถในการร้อง การรำ รวมถึงยังต้องมีความสามารถในการที่จะหาคำพูดมาใช้ในการแสดง ได้อย่าง ทันท่วงทีทันเหตุการณ์ ตลอดจนผู้แสดงต้องมีปฏิภาณไหวพริบในการเจรจาอย่างชัดเจน เพราะผู้แสดงต้อง ร้อง เองเจรจาเองในขณะที่แสดง ทั้งนี้ปฏิภาณไหวพริบของผู้แสดงถือเป็นหัวใจหลัก ของละครนอกมาแต่เดิม ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้ร้องผู้บอกบทให้กับผู้แสดงก็ตามแต่ผู้แสดงก็ยังต้อง ใช้ความสามารถของตนในการ เจรจาแบบด้นสดเพื่อให้เรื่องได้ดำเนินไปได้อย่างสนุกสนาน
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 73 ที่มา : https://board.postjung.com/971824 อุปกรณ์ประกอบการแสดง ละครนอกมีบทละครมากมาย อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงส่วนใหญ่ก็ต้องดูบทบาทที่ได้รับ หรืออุปกรณ์ ประจำตัวของตัวละคร อาทิเช่น พัด ตั่ง กระจก กระบอง หมอนอิง เป็นต้น การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) การแสดงละครนอก มีความมุ่งหมายในการแสดงเรื่องมากกว่าความประณีตในการร่ายรำ เพราะมุ่ง ดำเนินเนื้อเรื่องให้รวดเร็วโลดโผน ตลกขบขัน เป็นเรื่องสนุก ตอนใดมีช่องทางที่จะเล่นตลกได้ ก็จะเล่นตลก อยู่ตรงนั้นทีเดียว โดยหยุดดำเนินเรื่องต่อไป ตัวแสดงที่เป็นตัวท้าว พระยา พระมหากษัตริย์และนางพระยา อาจจะเล่นตลกคลุกคลีกับพวกเสนาข้าราชบริพารได้ ไม่เคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนจารีตประเพณี ดังนั้น บทประพันธุ์ที่แต่งขึ้นสำหรับเล่นละครนอกต้องแต่งให้รวบรัด ใช้ถ้อยคำตลาด เปิดช่องไว้ให้ เล่นตลกได้มาก แม้แต่อิริยาบถของตัวละครที่แสดงเป็นกษัตริย์ ก็คล้ายกับอิริยาบถของชาวบ้านธรรมดาสามัญ ไม่ใช้คำราชาศัพท์ตามฐานะตัวละคร แต่ใช้ถ้อยคำตลาด ศิลปะในการร่าบรำก็ต้องให้กระฉับกระเฉง ว่องไว เหมือนกิริยาของชาวบ้าน อิริยาบถต่าง ๆ ต้องเน้นให้กระปรี๊กระเปร้า เป็นละครที่ชาวบ้านเรียกกันเป็นภาษา ธรรมดาว่าละครตลาด เมื่อบรรเลงเพลงโหมโรงจบก็จะเริ่มการแสดงเนื้อเรื่องทันที โดยละครนอกมี การมุ่งเน้นความ สนุกสนานเป็นหลัก ดำเนินเรื่องรวดเร็วและแสดงออกไปทางตลกขบขัน หากตอนใด หรือช่วงใดที่มีช่องทางที่ จะเล่นตลกได้ ผู้แสดงก็จะเล่นตลกอยู่อย่างนั้นนาน ๆ โดยไม่คำนึงถึงการ ดำเนินเรื่องและเวลาของการแสดง อีกทั้งไม่เคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผน จารีตประเพณีมากนัก ผู้แสดงร้องเอง รำเอง จึงจะต้องคล่องแคล่ว ว่องไวทั้งในการรำ การร้อง และมีปฏิภาณไหวพริบในการ เจรจาโต้ตอบบทซึ่งกันและกัน รวมทั้งมีอิสระในการ ดำเนินเรื่องและบทเจรจาซึ่งในบางครั้งก็ใช้ท่าทาง และคำพูดที่มีความหยาบโลนผสมอยู่ ตัวแสดงที่รับบทเป็น ท้าวพระยามหากษัตริย์ นางพญา เสนา อำมาตย์ ก็สามารถเล่นมุขตลกคลุกคลีปะปนกันอย่างไม่ถือตัว เพื่อ สร้างความสนุกสนานแก่ผู้ชม ศิลปะในการร่ายรำเน้นความว่องไว กระฉับกระเฉง รวดเร็ว ไม่พิถีพิถันกับ กระบวนการร่ายรำอย่าง ละครใน แต่จะเน้นความรู้สึกให้เด่นชัดแสดงอย่างสมบทบาทเป็นจริงเป็นจัง กล่าวได้ ว่ารูปแบบและ วิธีการแสดงละครนอก ลดขั้นตอนต่าง ๆ ไปมากด้วยเน้นตามความต้องการของผู้ชมเป็นหลักที่ นิยม ความสนุกสนาน ตลกขบขัน และรวดเร็ว (พิมพ์ตะวัน ศรีสาคร, 2564)
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 74 ที่มา : https://th.m.wikipedia.org/wiki เครื่องแต่งกาย การแต่งกายของละครนอกในชั้นแรกตัวละครแต่งตัวอย่างคนธรรมดา สามัญ เช่นเดียวกับละครชาตรี ดังที่ทรงศักดิ์ ปรางวัฒนากุล (ม.ป.ป.) ได้กล่าวไว้ว่า แต่เดิม ผู้แสดงละครนอกคงจะแต่งตัวอย่างคนสามัญ เช่นเดียวกับละครชาตรีในยุคแรกต่อมาก็มีเพียง ตัวนายโรงที่แต่งยืนเครื่อง ในยุคหลังเมื่อเกิดมีละครในขึ้นใน ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ละครนอกจึง 16 เลียนแบบแต่งเครื่องละครเต็มที่ตามอย่างละครใน ซึ่งสอดคล้องกับ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, (2546) ที่ได้กล่าวไว้ว่า “ละครนอกที่เล่นกันชั้นแรกในประเทศนี้เห็นจะ แต่งตัวอย่างคนสามัญ เป็นแต่แต่งให้รัดกุมแน่นแฟ้นทำบทบาทได้สะดวก ถ้าหากว่าจะทำบทเป็นตัวต่างเพศก็ เป็นแต่เอา เครื่องประดับประกอบเข้าพอให้คนดูรู้ว่าทำบทเป็นตัวใด ดังเช่นเอาผ้าขาวม้าห่มสไบเฉียงให้รู้ว่าทำ บทเป็นหญิง และใส่หน้ากากหรือเขียนหน้าให้รู้ว่าทำบทเป็นยักษ์มารเป็นต้น อันเครื่องแต่ง ตัวอย่างเช่นละคร แต่งเป็นยืนเครื่องก็ดี เป็นนางก็ดี เข้าใจว่าเป็นของคิดประดิษฐ์ขึ้นต่อภายหลังในชั้น เมื่อเล่นละครกันแพร่หลาย แล้ว” ต่อมาเมื่อละครนอกได้แพร่หลายจนมีผู้นิยมมากขึ้น จึงทำให้มีผู้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องแต่งกายให้มีความ งดงาม วิจิตรตระการตามากขึ้น เนื่องจากได้แบบอย่าง มาจากเครื่องแต่งกายของละครในแต่ไม่ประณีตและ งดงามเท่า เมื่อเกิดละครผู้หญิงเล่นใน พระราชฐาน ละครนอกจึงได้รับเอาการแต่งตัวของละครในมาใช้ ตัว ละครเกือบทุกตัวไม่ว่าจะเป็น ตัวเอก ตัวรอง ก็จะแต่งยืนเครื่องทั้งนั้น ต่างกันเพียงเครื่องประดับศีรษะ ทั้งนี้ก็ ยังมีตัวละครที่ไม่ต้อง แต่งกายยืนเครื่องก็คือพวกตัวประกอบ เช่น ฤๅษีเสนา ตัวตลก เป็นต้น โรงละคร การแสดงละครนอก ตามจดหมายลาลูแบร์ กล่าวว่า ละครนอกใช้แสดงในงานพิธีต่าง ๆ ที่ไม่ใช่งาน พระราชพิธีของกษัตริย์ เช่น แสดงในงานมงคลนักขัตฤกษ์ งานมหกรรมรื่นเริงต่าง ๆ เช่น ฉลองโบสถ์วิหารที่ สร้างใหม่ เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปที่สร้างใหม่มาประดิษฐานในนั้น แต่ก็มีการกล่าวว่าสถานที่ที่ใช้แสดงละคร นอกมีลักษณะสร้างเป็นโรงละครชั่วคราวรูปสี่เหลี่ยมคนดูสามารถดูได้ 3 ด้าน คือด้านหน้า ด้ายซ้ายและ ด้านขวา ภายในโรงละครมีการกั้นฉากผืนเดียว ด้านหน้าฉากเป็นที่แสดง ด้านหลังฉากเป็นที่แต่งกายและที่พัก
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 75 ของนักแสดง มีประตูทางเข้าออก2 ข้าง มีการตั้งเตียงตรงกลางด้านหน้าไว้สำหรับให้ตัวละครนั่ง ต่อมาได้มีการ พัฒนาให้มีการเปลี่ยน ฉากตามท้องเรื่อง ดังเช่น ทรงศักดิ์ ปรางค์วัฒนากุล (ม.ป.ป.) ได้กล่าวไว้ว่า “โรงละคร นอก... เริ่มมีการสร้างฉากประกอบตามท้องเรื่องตามอย่างละครชนิดอื่น ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5” การเรียน/การสอน การเรียนละครนอก ในอดีตเรียนรู้กระบวนท่ารำและฝึกหัดตามคณะละครต่าง ๆ ที่อยู่นอกเขต พระราชฐาน ในปัจจุบันการเรียนรู้จัดอยู่ในระบบการศึกษาของวิทยาลัยนาฏศิลป สำนักการสังคีต กรม ศิลปากร สถาบันการศึกษา/การฝึกหัด-การถ่ายทอด ในอดีต - ฝึกหัดกับคณะละครของกลุ่มต่าง ๆ ที่อยู่นอกเขตพระราชฐาน เช่น ละครของพระองค์เจ้า ลักขณานุคุณ ละครกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ เป็นต้น ในปัจจุบัน - วิทยาลัยนาฏศิลปเป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งผลิตครูและบุคลากรสายอาชีพ ในด้าน นาฏศิลป์ ดนตรีมีการจัดการเรียนการสอนอันประกอบด้วยการศึกษาวิชาสามัญและศิลปะตามหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการโดยจัดการศึกษาเป็น 3 ระดับคือ • ระดับนาฏศิลป์ชั้นต้น รับผู้สำเร็จการศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นต้น • ระดับนาฏศิลป์ชั้นกลาง รับนักเรียนต่อเนื่องจากระดับนาฏศิลป์ชั้นต้นปีที่ 3 และนักเรียนที่สำเร็จ การศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) เข้าศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้น กลาง • ระดับนาฏศิลป์ชั้นสูง รับนักเรียนต่อเนื่องจากระดับนาฏศิลป์ชั้นกลางเข้าศึกษาต่อ 2 ปี ได้รับ ประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นสูง หรือเทียบเท่าอนุปริญญา (สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์, ออนไลน์) จารีตขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อ ระเบียบธรรมเนียมในราชสำนักอย่างเคร่งครัด ในเรื่องของการรักษาความสำคัญของตัวละครที่มีฐานะ พระมหากษัตริย์ที่สามารถพูดจาเล่นกับตลกได้แต่ไม่มาก เหมือนกับละครนอก ส่วนตัวละครเอกในละครนอก แบบหลวงสามารถแสดงอารมณ์และความรู้สึกได้อย่างเปิดเผยมากกว่าละครใน (ไชยอนันต์ สันติพงษ์, 2558) นาฏยศัพท์
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 76 ลีลาการร่ายรำแบบละครนอก ประกอบไปด้วยท่ารำแบบมาตรฐานตามพื้นฐานของนาฏศิลป์ไทย ท่า รำที่เลียนแบบธรรมชาติของมนุษย์และท่ารำที่เรียกกันว่า “รำกำแบ” คือ เป็นท่ารำง่าย ๆ เช่น การชี้มือ ไว้มือ การตบเข้าอก ตบมือ เป็นต้น ไม่เน้นลีลาการร่ายรำที่สวยงามตามแบบนาฏศิลป์ไทย ลักษณะการรำแบบละครนอก 1.การเคลื่อนไหว ขึ้นอยู่กับเรื่องที่แสดงโดยทั่วไปตัวนางสามารถเคลื่อนไหวตามจังหวะอย่างนุ่มนวลบ้าง รวดเร็วกระฉับกระเฉงลุกล้นได้บ้างตามบทบาท และมีทั้งเป็นระเบียบแบบแผนและไม่เป็นระเบียบแบบแผน 2.การแสดงอารมณ์ สามารถทำอารมณ์ได้ตามบทบาทอย่างชัดเจนทางกิริยาท่าทาง สีหน้า ดวงตา คิ้วและ ปาก และที่สำคัญลีลาการร่ายรำจะต้องถ่ายทอดความรู้สึกและอุปนิสัยของตัวละครในขณะนั้นได้อย่าง ครบถ้วน (พาณี สีสวย, 2527) องค์กร(สำนัก)/คณะ/กลุ่ม สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดให้ยกเลิกละครหลวงพวกเจ้าขุนมูลนายที่ มีฐานะหรือบางคนก็มีคณะละครของตนอยู่แล้วก็รับเลี้ยงเหล่าครูที่มีฝีมือและตัวละคร ของหลวงไว้และให้ ฝึกหัดละครในบ้านของตน จึงเกิดการแสดงของเอกชนขึ้นหลายคณะ ศิลปินที่มีความสามารถได้สืบทอดการ แสดงนาฏศิลป์ไทยที่เป็นแบบแผนกันต่อมาทำให้ในสมัยรัชกาลที่ 3 เกิด คณะละครขึ้นหลายคณะ ได้แก่ 1. ละครของพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ มีนายเกษ พระราม ข้าหลวงเดิมเป็นผู้ฝึกหัด 2. ละครกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ทรงมีละครตัวอิเหนาฝีมือดีชื่อครูบัว ได้มาเป็นครูอิเหนา ให้แก่เจ้า จอมมารดาเขียนในรัชกาลที่ 4 3. ละครกรมหลวงรักษ์รณเรศ ละครคณะนี้แสดงละครเรื่องอิเหนาตามบทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 1 ไม่ได้เล่นตามบทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 2 อย่างละครคณะอื่น 4. ละครกรมพระพิทักษ์เทเวศร์ทรงมีคณะละครตั้งแต่ครั้งยังเป็นกรมหมื่น และเลื่อนขั้นเป็น กรมพระ พิทักษ์เทเวศร์ในรัชกาลที่ 4 5. กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ทรงมีคณะละครฝึกหัดไว้ตั้งแต่ยังทรงเป็นพระองค์เจ้า ทินกร หัดตัว ละครหลวงแต่โปรดทรงเรื่องละครนอก ทรงนําเอาบทละครนอกของเก่ามาปรับปรุงและ แต่งขึ้นใหม่หลายเรื่อง แต่มีอยู่ เรื่องที่นิยมแสดงคือสุวรรณหงส์แก้วหน้าม้า และนางกุลา 6. ละครเจ้าพระยาบดินทรเดชา ท่านมีโขนอยู่ก่อนแล้วต่อมาจึงหัดละครผู้หญิงขึ้น 7. ละครของเจ้าจอมมารดาอัมพา แสดงละครนอกครั้งรัชกาลที่ 3 มีตัวนายโรงชื่อนายแสง
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 77 8. ละครเจ้ากรับ แสดงละครนอก เป็นตัวแทนรักษาแบบแผนละครนอกคณะนายบุญยัง การสร้างสรรค์การแสดง ในยุคปัจจุบันผู้แสดงได้นำมุขตลกที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เหตุบ้านการเมือง หรือการเอ่ยนามของ คนดังในกระแสทำให้การแสดงเกิดความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น 2. ละครราชสำนักดั้งเดิม 2.1 ละครใน คำว่า “ละครใน” สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระราชดำริว่า คงมาจากคำว่า “นางใน” หรือละครข้างใน ซึ่งใช้เรียกกันในชั้นแรก แต่ต่อมาเรียกให้สั้นเข้าคำกลางหายไปจึงเหลือแต่ “ละคร ใน” เมื่อละครในเกิดขึ้น และใช้ผู้หญิงในวังเป็นผู้แสดง ละครที่ผู้ชายแสดงอยู่ภายนอกพระราชวังแต่เดิมจึง เรียกว่า “ละครนอก” เป็นคำคู่กัน ละครในมีแบบแผนเฉพาะของตนอย่างหนึ่งซึ่งไม่เหมือนการแสดงอย่างอื่นที่สำคัญก็คือ จุดประสงค์ ของการแสดงละครใน มุ่งดูความงดงามประณีตบรรจงของท่ารำและฟังความไพเราะของดนตรี และที่สำคัญ อีกประการหนึ่งคือ เรื่องที่นำมาแสดงละครในแสดงแต่เฉพาะ 3 เรื่อง คือ อุณรุท รามเกียรติ์อิเหนา ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=_WV0mCgStmA ประวัติความเป็นมา ละครใน พบครั้งแรกในหนังสือบุณโณวาทคำฉันท์ ซึ่งพรรณนาว่าแสดงเรื่องอิเหนา ตอนลักบุษบาหนี เข้าถ้ำ แสดงว่าละครในแสดงแพร่หลายในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีแสดงในงานสมโภช การแสดงละคร ในผู้แสดงละครเป็นนางใน ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีกิริยางดงาม ละครในจึงมีความมุ่งหมายออยู่ที่ศิลปะ ของการร่ายรำ ต้องให้แช่มช้อยมีสง่า ไม่นิยมแสดงตลกขบขัน โลดโผน
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 78 คำที่เรียกว่า “ละครใน” เข้าใจว่าจะมาแต่เรียกกันในชั้นแรกว่า ละครนางใน หรือ ละครข้างใน แล้วจึง เลยเรียกแต่โดยย่อว่า “ละครใน” (ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2546) คำว่า “ละครใน” อาจมาจากคำว่าละครนางใน หรือละครข้างใน ซึ่งหมายถึงละคร ผู้หญิงที่แสดงกันในราชสำนัก ทรงศักดิ์ ปรางค์วัฒนากุล, (ม.ป.ป.) จากข้อความที่กล่าวมาสรุปได้ว่าละครในนั้นอาจมาจากคำว่า ละครนางใน หรือละครข้างใน ในระยะต่อมามีการเรียกชื่อให้สั้นลงจึงทำให้เหลือเพียงคำว่า “ละครใน” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, (2507) ทรงกล่าวถึงความเป็นมาของ ละครในไว้ในตำนาน ละครอิเหนาดังนี้ “อันมูลเหตุที่จะมีละครผู้หญิงขึ้นในสยามประเทศนี้ ยังไม่พบ เรื่องราวกล่าวไว้ ณ ที่ใด จึงได้ แต่พิเคราะห์ดูโดยเค้าเงื่อนอันมีในเรื่องตำนานของโขนละคร สันนิษฐาน ว่าชั้นเดิมเห็นจะเป็นด้วยพระเจ้า แผ่นดินพระองค์ใดพระองค์หนึ่งซึ่งครองกรุงศรีอยุธยา (บางทีจะใช้ชั้นในก่อนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์) ทรง พระราชดำริให้นางรำเล่นระบำเข้ากับเรื่องไสยศาสตร์ เช่นให้แต่งเป็นเทพบุตรเทพธิดาจับระบำเข้ากับเรื่อง รามสูร เป็นต้น เห็นจะเล่นระบำเช่นกล่าวนี้ใน พระราชพิธีอันใดอันหนึ่งในราชนิเวศน์ เป็นทำนองเช่นเล่นดึกดำ บรรพ์ที่กล่าวมาเป็นเดิมก่อน บางที จะเป็นระบำเรื่องนี้เองที่เป็นต้นตำรับละครในจึงได้เล่นระบำเรื่องรามสูร เบิกโรงละครในมาจนใน กรุงรัตนโกสินทร์นี้ ทำนองเมื่อเล่นระบำเป็นเรื่องขึ้นแล้ว จะเลยเป็นแบบแผนสำหรับ เล่นในการ พระราชพิธีภายในพระราชนิเวศน์ เหมือนอย่างที่โขนหลวงเคยเล่นการพระราชพิธีข้างภายนอก ต้น เดิมของละครผู้หญิงน่าจะเป็นเช่นว่ามานี้” เห็นได้ว่าต้นกำเนิดของละครในมาจากการเล่นระบำ เรื่องในสมัย โบราณและเกิดวิวัฒนาการจนกลายเป็นละครผู้หญิงของหลวงหรือที่เรียกว่าละครใน ที่มา : ละครใน เรื่องอิเหนา ตอน ฤทธิ์เทวาปะตาระกาหลา ณ โรงละครแห่งชาติ องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 79 เรื่องที่ใช้ในการแสดง แต่เดิมละครในแสดงเพียงเรื่องอุณรุท และ รามเกียรติ์ ซึ่งคงจะคัดเลือกแต่ตอน ที่เหมาะสมแก่การรำนำมาแสดงซึ่งเรื่องอุณรุทและรามเกียรติ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระนารายณ์อวตารลงมา ปราบทุกข์เข็ญ ทั้งสองเรื่องนี้เป็นพงศาวดารที่เกิดจาก ความเชื่อของชนชาติอินเดียโดยถือว่าการเล่นแสดง ตำนานทั้งสองเรื่องนี้ทำให้เกิดสวัสดิมงคลแก่ ผู้แสดงและผู้ชม อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่เหมาะแก่การเฉลิมพระ เกียรติพระเจ้าแผ่นดินซึ่งยกย่องกันว่า เสมือนสมมติเทพ เปรียบเสมือนพระนารายณ์อวตารลงมาเพื่อปราบ ทุกข์เข็ญและปกป้องราษฎร ให้ร่มเย็นสงบสุข และเนื่องจากประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลทางศาสนามาจาก ประเทศอินเดียจึงได้ นิยมนำเอาการแสดงละครของอินเดียมาด้วย ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมโกศ เจ้าฟ้า กุณฑลและ เจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งเป็นพระราชธิดาได้ทรงพระนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนาใหญ่และอิเหนาเล็กขึ้น ละครในจึงมีแสดงเรื่องอิเหนาใหญ่และอิเหนาเล็กเพิ่มขึ้น แต่อิเหนาใหญ่นั้นมีเนื้อเรื่องและชื่อตัวละคร ที่ ซับซ้อนและไม่สนุกสนาน จึงทำให้อิเหนาเล็กเป็นที่นิยมมากกว่า ด้วยเหตุที่อิเหนาใหญ่ไม่ได้รับความ นิยมใน การนำไปเล่นละครในจึงทำให้ละครข้างนอกนำไปเล่นกันทำให้อิเหนาใหญ่หรือดาหลังไม่นับว่า เป็นละครใน เหมือนเรื่องอิเหนา จึงสรุปได้ว่าเรื่องที่ใช้แสดงละครในมีเพียง 3 เรื่องคือ รามเกียรติ์อุณรุท และอิเหนา ดังนั้น จะขอยกตัวอย่างบทละครในเรื่องอิเหนา -เพลงช้ามาจะกล่าวบทไป ถึงสี่องค์ทรงธรรม์นาถา เป็นหน่อเนื้อเชื้อวงศ์เทวา บิตุเรศมารดาเดียวกัน รุ่งเรืองฤทธาศักดาเดช ได้ดำรงนคเรศเขตขัณฑ์ พระเชษฐาครองกรุงกุเรปัน ถัดนั้นครองดาหาธานี องค์หนึ่งครองกาหลังบุรีรัตน์ องค์หนึ่งครองสิงหัดส่าหรี เฉลิมโลกโลกาธาตรี ไม่มีผู้รอต่อฤทธิ์ ระบือลือทั่วทุกประเทศ ย่อมเกรงเดชเดชาอาญาสิทธิ์ บำรุงราษฎร์ดับเข็ญอยู่เป็นนิจ โดยทางทศพิธราชธรรม์ ฯ ฯ ๘ ฯ -เพลงชมตลาด- ๏ มีพระมเหสีห้าองค์ ดั่งอนงค์นางฟ้ากระยาหงัน เลือกล้วนสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ กษัตริย์ครองเขตขัณฑ์สวรรยา
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 80 ตั้งแต่งตามตำแหน่งครบที่ คือประไหมสุหรีเสน่หา มะเดหวีที่สองรองลงมา แล้วมะโตโสภานารี ที่สี่ลิกูนงเยาว์ ที่ห้านั้นเหมาหลาหงี อันอัครชายาทั้งห้านี้ ตั้งได้แต่สี่พารา ประดับด้วยสุรางค์นางสนม ล้วนอุดมรูปทรงวงศา ถ้วนหมื่นหกพันกัลยา วิลาสเลิศลักขณาทุกนางใน สำหรับขับรำบำเรอราช พิณพาทย์จำเรียงเสียงใส ผลัดกันปันโมงมาคอยใช้ พนักงานของใครระไวระวัง มีเหล่าเถ้าแก่ท้าวนาง งานเครื่องงานกลางผู้รับสั่ง โขลนจ่าหลวงแม่เจ้าชาวคลัง จัดแจงแต่งตั้งครบครัน ฯ ฯ ๑๒ ฯ ตัวละคร ในทางการแสดงละครในมีการแบ่งตัวละครออกเป็น ตัวพระ ตัวนาง และตัวละครในบทบาทอื่นแต่ง กายแตกต่างกันออกไป เช่น อิเหนา นางบุษบา ทหาร เป็นต้น ดนตรี ดนตรีและเพลงร้องที่ใช้ประกอบการแสดงละครในคือวงปี่พาทย์ เครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ ขึ้นอยู่กับสถานที่และโอกาสที่ใช้แสดง แต่เปลี่ยนใช้ปี่ในแทนปี่นอก และมีการ เทียบเสียงที่ต่างจากละครนอก กล่าวคือ ต้องเทียบเสียงที่บรรเลงให้เหมาะสมกับเสียงของผู้หญิง ที่เรียกว่า “ทางใน” และด้วยเหตุที่ละครใน เป็นละครที่มุ่งเน้นศิลปะการร่ายรำ ความไพเราะของ เพลงร้องและดนตรี รวมทั้งมีการรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีอย่างเคร่งครัด จึงทำให้การดำเนิน เรื่องเป็นไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งไม่ว่าจะเสียเวลาไปมากเท่าใดไม่เป็น เรื่องสำคัญเพราะฉะนั้นการบรรเลง ปี่พาทย์ประกอบการแสดงละครในจึงต้องดำเนินจังหวะค่อนข้างช้าแต่ก็ไม่ ควรยืดยาวจนเกินไป เพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบการแสดงละครในใช้เพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงมากกว่าการ แสดงละครนอก 19 เช่น เพลงคุกพาทย์ เพลงบาทสกุณี เพลงตระนิมิต เป็นต้น เพลงร้องอัตราของเพลงที่ใช้ใน การบรรเลง และการขับร้องละครในมักใช้อัตราจังหวะสองชั้นและชั้นเดียวเพราะเป็นจังหวะปานกลาง การขับ ร้อง เป็นทางในคือ มีการเทียบเสียงให้เหมาะสมกับผู้หญิง คนร้องต้องมีความพิถีพิถันในการร้อง ไม่มีบท ตลก
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 81 คนร้องมีทั้งต้นเสียงและลูกคู่เช่นเดียวกับละครนอก ซึ่งเพลงที่ใช้ในการแสดงละครในส่วนใหญ่ จะมีคำว่า “ใน” ลงท้าย เช่น ช้าปี่ใน โอ้ชาตรีใน ร่ายใน เป็นต้น มนตรี ตราโม, (2531) ได้กล่าวถึงการร้องของละครในไว้ว่า“การร้องประกอบการแสดงละครในก็มี วิธีการเหมือน ๆ กับการ ร้องประกอบละคอนนอกที่กล่าวมาแล้วเพียงแต่ร้องให้ถูกประเภทของละคอนคือเลือก เพลงที่มีลักษณะเฉพาะของละคอนใน เช่น เพลงช้าปี่ใน เพลงร่ายใน โอ้ปี่ใน โอ้ชาตรีใน และโอ้โลมใน เป็นต้น คนร้องก็จะต้องมีพิถีพิถันในการร้องให้นุ่มนวล ดำเนินจังหวะค่อนข้างช้าเพื่อให้ตัวละคอนรำได้งดงาม คนร้อง ต้องมีทั้งต้นเสียงและลูกคู่เช่นเดียวกับประกอบละคอนนอก โดยเฉพาะต้นเสียงนอกจากได้ เพลงดังกล่าว มาแล้วจะต้องได้เพลงที่ใช้แสดงละคอนในเป็นประจำทุก ๆ เพลง เช่น เพลงระบำสี่บท (พระทอง เบ้าหลุด สระ บุหร่ง บะหลิ่ม) เพลงชมโฉม เพลงลงสรงโทน ฯลฯ จะต้องรู้จักพิจารณาว่าบท ที่จะร้องนั้นเป็นบทประกอบกรณี ใด เพราะในบทละคอนโบราณนั้นบางทีก็เขียนบอกชื่อเพลงไว้เพียง ย่อ ๆ ซึ่งหมายความไปได้หลายเพลง เช่น เขียนบอกไว้หน้าบทร้องเพียงว่าโทนเท่านั้น ผู้ร้องจะต้องดู ใจความในบทร้องนั้นเอาเองว่าหมายถึงเพลงอะไร ถ้าเป็นบทลงสรงแต่งตัว เช่น “ต่างองค์ชำระ สระสนาน สุคนธ์ธารปนทองผ่องใส” ก็ต้องร้องเพลงลงสรงโทน ถ้าเป็นบททรงม้าหรือชมม้าพระที่นั่ง เช่น บทร้องขึ้นต้นว่า “ม้าเอยม้าต้น ผ่านดำขำขนสลับสี” ก็ต้องร้องเพลง โทนม้า เพลงโทนม้าหรือโทน รถนี้มีทำนองเหมือนกันแล้วแต่บทชมรถหรือบทชมม้าก็เรียกชื่อตามพาหนะนั้น การร้องเพลงร่ายของ ละคอนในโบราณก็ร้อง 2 เที่ยว (ต้นเสียงเที่ยวหนึ่ง ลูกคู่เที่ยวหนึ่ง) เหมือนละคอนนอก และปัจจุบันก็มักจะร้องเที่ยวเดียวเช่นเดียวกัน แต่การร้องร่ายของละคอนในมีเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือการ ร้อง ที่เรียกว่ารื้อหรือรื้อร่าย การร้องรื้อหรือรื้อร่ายนี้เป็นการร้องทอดจังหวะให้ช้าและแทรกเอื้อน พอสมควร เฉพาะคำเดียวซึ่งเป็นคำขึ้นต้นบท และร้องทำนองรื้อเฉพาะต้นเสียงเท่านั้น เมื่อลูกคู่ร้องรับ ซ้ำคำนั้นก็ร้อง อย่างร่ายในธรรมดา คำต่อ ๆ ไปก็ร้องอย่างร่ายธรรมดาตลอดไป การร้องรื้อหรือรื้อร่าย ใช้เฉพาะบทที่เริ่ม เปลี่ยนอิริยาบถที่สำคัญ ๆ ของตัวละคอน และไม่ใช้พร่ำเพรื่อนาน ๆ จึงจะมีร้องครั้ง หนึ่ง” ผู้แสดง นักแสดงของละครในเป็น ผู้หญิงล้วน ในระยะแรกเป็นละครผู้มีบรรดาศักดิ์ฝึกหัดไว้สำหรับประดับ เกียรติยศ แสดงให้ดูกันเอง หรือ แสดงในงานบพเพ็ญกุศล ต่อมาผู้แสดงละครในเริ่มแรกใช้ผู้แสดงเป็นหญิงใน พระราชสำนัก หรือที่เรียกว่า นางใน เพราะเชื่อกันว่าที่ใช้ผู้หญิงล้วนเป็นผู้แสดงนั้นเป็นเครื่องราชูปโภคอย่าง หนึ่ง มีได้เฉพาะของ หลวงเท่านั้น จึงทำให้พวกเจ้านายและขุนนางต่าง ๆ ที่อยากมีละครในไว้ครอบครอง จำเป็นต้องใช้ผู้ชายแสดงโดยที่กระบวนการร้อง การรำ และแบบแผนการแสดงต่าง ๆ เป็นไปตามแบบละครใน ดังเช่น ละครของเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ซึ่งมีนายทองอยู่ กับนายรุ่งเป็นตัวเอก ได้เป็นครูละคร หลวงใน สมัยรัชกาลที่ 2 เป็นต้น จนถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงยกเลิกข้อห้ามในเรื่องละครของหลวงจึงสั่งให้มีการแสดงผสม
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 82 ระหว่างชายหญิง แต่ผู้หญิงจะแสดง เป็นตัวหลักหรือตัวสำคัญ ผู้ชายจะแสดงเป็นเพียงตัวประกอบ เช่น เสนา ตัวตลก เป็นต้น (ทรงศักดิ์ ปรางค์วัฒนากุล, ม.ป.ป.) อุปกรณ์ประกอบการแสดง การแสดงละครในแสดงภายในพระราชฐาน อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้จึงเป็นสิ่งที่อยู่ภายในวัง เช่น ตั่ง เครื่องราชูปโภค พัด แซ่ ราชรถ ฉากวัด ฉากป่า เป็นต้น การแสดง (กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) การแสดงละครในผู้แสดงละครเป็นนางใน ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีกิริยางดงาม ละครในจึงมี ความมุ่งหมายอยู่ที่ศิลปะของการร่ายรำ ต้องให้แช่มช้อยมีสง่า ไม่นิยมแสดงตลกขบขัน โลดโผน ผู้ประพันธ์ ละครในต้องพิถีพิถันในการใช้ถ้อยคำให้สละสลวย ระมัดระวังไม่ให้มีคำตลาดมาปะปน ดนตรีที่บรรเลง นุ่มนวลเพื่อให้นักแสดงได้แสดงศิลปะการร่ายรำได้งดงาม ละครในเป็นละครของหลวงที่เล่นกันอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในซึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงจัดให้มีขึ้น โดยให้พวกข้าราชการฝ่ายในตั้งแต่พระสนมลงมาเป็นผู้แสดง ซึ่งการ แสดงละครในนี้จะเริ่มด้วยการโหมโรงตาม จารีตก่อนการแสดง จากนั้นเป็นการแสดงเบิกโรง อาจเป็น ชุดจับระบำรำฟ้อน หรือจับระบำเรื่องสั้น ๆ เช่นชุด ดอกไม้เงินดอกไม้ทอง นารายณ์ปราบนนทก รามสูรเมขลา เป็นต้น แล้วจึงเข้าเรื่องที่จะแสดง เนื่องจากการ แสดงละครในนั้นผู้แสดงจะเป็นนางใน ซึ่งมีความงดงามทั้งรูปร่างหน้าตาและท่วงท่ากิริยาอาการ ดังนั้นการ แสดงจึงมุ่งเน้นศิลปะในการ ร่ายรำที่ประณีต งดงาม ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่รวดเร็วอย่าง ละครนอก รวมถึงยังต้องรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด ไม่นิยมแสดงบทตลก ขบขัน โลดโผน ผู้แสดงไม่ต้อง ร้องเองเพราะมีต้นเสียงและลูกคู่เป็นผู้ร้อง ผู้แสดงมีหน้าที่รำไปตามบทร้อง และ เพลงหน้าพาทย์เท่านั้น ที่มา : ละครใน เรื่องอิเหนา ตอน "ฤทธิ์เทวาปะตาระกาหลา" ณ โรงละครแห่งชาติ เครื่องแต่งกาย
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 83 การแต่งกายของละครใน แต่งกายแบบยืนเครื่องเช่นเดียวกับละครนอก ต่างกันตรงที่ละครในจะมี ความพิถีพิถันและประณีตงดงามมากกว่า รวมทั้งละครในเป็นละคร ของหลวงที่ใช้ผู้หญิงแสดงจึงจำเป็นต้องให้ ผู้แสดงสวมเสื้อ ซึ่งการแต่งกายยืนเครื่องที่วิจิตรงดงาม ของละครในนี้ต่อมาละครนอกและละครชาตรีก็ได้รับ อิทธิพลด้วย โดยมีการปรับปรุงเครื่องแต่งกาย ตามอย่างให้งดงามขึ้น อย่างการแสดงเรื่องอิเหนาผู้แสดงก็ จะต้องสวมใส่ปันจุเหร็จบนศีรษะที่ถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของการแสดง โรงละคร สถานที่ที่ใช้แสดง แต่เดิมละครในจัดแสดงเฉพาะในเขตพระราชฐาน หรือ อาจแสดงในงานพระราชพิธี ที่สำคัญของบ้านเมือง เช่นในงานสมโภชช้างเผือก งานสมโภชพระพุทธ บาท เป็นต้น โดยเมื่อต้องแสดงนอกเขต พระราชฐานก็จะมีการสร้างโรงละครชั่วคราว ซึ่งต่อมาในสมัย ปัจจุบันไม่ได้จำกัดสถานที่ในการแสดงแต่ต้องมี เวทียกพื้นเท่านั้น การเรียน/การสอน การเรียนละครใน ในอดีตเรียนรู้กระบวนท่ารำและฝึกหัดในพระราชฐาน และเหล่าบรรดาลูกหลานขุน นาง ผู้มีบรรดาศักดิ์ รวมถึงนางใน ในปัจจุบันการเรียนรู้จัดอยู่ในระบบการศึกษาของวิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สำนักการสังคีต กรมศิลปากร สถาบันการศึกษา/การฝึกหัด-การถ่ายทอด ในอดีต-พระราชฐาน ละครของเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ละครผู้หญิงในราชสำนัก ในปัจจุบัน-วิทยาลัยนาฏศิลปเป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งผลิตครูและบุคลากรสายอาชีพ ในด้าน นาฏศิลป์ ดนตรี มีการจัดการเรียนการสอนอันประกอบด้วยการศึกษาวิชาสามัญและศิลปะตามหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการโดยจัดการศึกษาเป็น 3 ระดับคือ • ระดับนาฏศิลป์ชั้นต้น รับผู้สำเร็จการศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นต้น • ระดับนาฏศิลป์ชั้นกลาง รับนักเรียนต่อเนื่องจากระดับนาฏศิลป์ชั้นต้นปีที่ 3 และนักเรียนที่สำเร็จ การศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) เข้าศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี ได้รับประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้น กลาง • ระดับนาฏศิลป์ชั้นสูง รับนักเรียนต่อเนื่องจากระดับนาฏศิลป์ชั้นกลางเข้าศึกษาต่อ 2 ปี ได้รับ ประกาศนียบัตรนาฏศิลป์ชั้นสูง หรือเทียบเท่าอนุปริญญา (สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์, ออนไลน์) จารีตขนบธรรมเนียมประเพณี/ความเชื่อ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 84 รูปแบบการแสดงเบิกโรงละครรํา เป็นจารีตที่สืบเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ในสมัยรัชกาลที่ 9 ไม่ พบว่ามีการแสดงเบิกโรงด้วยการละเล่น ที่พบว่ามีหลักฐานว่ามีการแสดงมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีการสืบ ทอด ความเชื่อเรื่องชื่อชุดการแสดงที่มีชื่อเป็นมงคลเป็นชุดแรกในการแสดงเสมอ การแสดงเบิกโรงด้วยการ แสดงโขน ละครเป็นเรื่องสั้นๆ มีรูปแบบและลักษณะการแสดงที่ดำเนินตามแบบ แผนของการแสดงโขน ละคร ใน การศึกษาการรำดรสาแบหลา ความเชื่อเรื่องโชคลางส่งผลกระทบต่องานแสดง เช่นอาจทำให้ดรสา แบหลาสูญหายเพราะ คิดว่าไม่เป็นสิริมงคลเมื่อมีตัวละครตายกลางโรง (ปิยวดี มากพา, 2555) นาฏยศัพท์ กระบวนท่ารำ นาฏยศัพท์ และภาษาท่า ของการแสดงละครในยึดตามแบบแผนดั้งเดิม เช่น ดรสา แบหลา เป็นการแสดงที่มุ่งอวดศิลปะการร่ายรําและศิลปะการใช้อาวุธของตัวนาง ด้วยการ แสดงออกที่ คล่องแคล่วแต่แฝงความนุ่มนวลงดงามตามแบบแผนละครไทย การศึกษาการรําจากกลุ่มตัวอย่าง มีความ เหมือนกันคือลักษณะการรําที่กระฉับกระเฉง คล่องแคล่วเพียงแต่มีความต่างในลีลาท่าทางและสื่ออารมณ์ทาง สีหน้าและ แววตา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการได้รับการถ่ายทอดและฝีมือประสบการณ์บุคลิกของศิลปินเอง (ปิยวดี มาก พา, 2555) ที่มา : ละครใน เรื่องอิเหนา ตอน ฤทธิ์เทวาปะตาระกาหลา ณ โรงละครแห่งชาติ การสร้างสรรค์การแสดง ในรูปแบบการแสดงของละครในปัจจุบันกระบวนท่ารำและรูปแบบการแสดงยังคงอนุรักษ์ธรรมเนียม ปฏิบัติไว้ แต่ในการนำเสนอการแสดงและพัฒนาฉากรวมถึงนำเทคโนโลยีเข้ามาผลสมผสานนั้นทำให้การแสดง ดูมีความอลังการและน่าทึ่งมากยิ่งขึ้น เช่น การนำสลิงมายึดเกาะราชรถและดึงขึ้นทำให้เสมือนลอยไปใน อากาศได้จริง และการนำไดร์ไอซ์มาพ่นทำควันทำให้ตัวละครทรงอำนาจและดูมีอิทธิฤทธิ์มากขึ้น
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 85 2.2 ละครพันทาง ละครพันทาง คำว่า “พันทาง” นายมนตรี ตราโมท สันนิษฐานว่า น่าจะมาจากชื่อไก่พันธุ์หนึ่ง คือ ไก่พันธ์ทาง เพราะไม่ปรากฏที่ใช้ของคำว่า “พันทาง” ในที่ใดเลย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานอธิบายคำว่า “พันทาง” ว่า เรียกไก่ที่มีพันธุ์ข้างพ่อเป็นไก่อูและแม่ เป็นไก่แจ้ โดยปริยาย ให้เรียกลูกสัตว์ที่พ่อกับแม่ต่างพันธุ์กันว่า “พันทาง” ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ อธิบายละครพันทางว่า ละครที่ใช้กระบวนรำแบบไทย แต่ไม่ยึดถือแบบ แผนเคร่งครัดนัก อาศัยการดำเนินเรื่อง โดยการเจรจาเป็นส่วนใหญ่ มีการร้องบ้าง คำนึงถึงความง่ายในการ ฝึกหัด ดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วทันใจ ฯลฯ ละครพันทางจึงอาจเป็นละครที่ใช้ศิลปะการรำอย่างประณีต หรือ ใช้ศิลปะการร่ายรำอย่างง่ายๆก็ได้ ที่มา : ละครพันทางเรื่องราชาธิราช ตอนพระยาน้อยชมตลาด ประวัติความเป็นมา ประวัติความเป็นมาของละครพันทาง เป็นละครรำที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์ พงศ์ทางดัดแปลงจากการแสดงละครพงศาวดารชาติต่าง ๆ อาทิ จีน มอญ พม่า และหนังสือกลอนต่าง ๆ ของ เจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง โดยปรับปรุงเพลงและวิธีการแสดงเสียใหม่ ด้วยวิธีนำศิลปะทางเพลง ดนตรี และขับร้องกับฟ้อนรำประเภทต่าง ๆ ที่สามารถแทรกผสมได้ใส่เข้าไว้ด้วย เพื่อให้น่าชม น่าฟัง และออกรส ทันตา ทันหูยิ่งขึ้น ละครประเภทนี้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มี การแสดงอย่างละครนอก แต่ปรับปรุงใหม่จากละครรำของเดิม พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์ พงศ์ ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดโดยตรง และได้ปรับปรุงจากละครของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง ซึ่งมีแบบแผนใน การแสดงละครแตกต่างจากคณะละครอื่น ๆ กล่าวคือ ร้องเป็นเพลงภาษา เพลงภาษา หมายถึง เพลงประเภท หนึ่งที่คณาจารย์ดุริยางคศิลป์ได้ประดิษฐ์ขึ้นจากการสังเกต ศึกษาเพลงชาตินั้น ๆ ว่ามีสำเนียงเพลงอย่างไร
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 86 แล้วจึงแต่งเพลงขึ้นโดยใช้ทำนองอย่างไทย ๆ และดัดแปลงให้มีสำเนียงภาษาชาตินั้น หรือนำสำนวนของภาษา มาแทรกไว้เพื่อให้ผู้ฟังทราบว่าเป็นสำเนียงอะไร และการตั้งชื่อเพลงก็จะระบุภาษา เช่น มอญดูดาว จีนเก็บบุป ผา ลาวชมดง ลาวรำดาบ แขกลพบุรี เป็นต้น (สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์, 2543) ลักษณะละครพันทางของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงแสดงเรื่องตามเชื้อชาติหรือภาษา โดยให้ดนตรี นาฏศิลป์ การแต่งกาย ตามเรื่องของชาติที่นำมาเล่นจึงนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแสดงที่สำคัญ ดังนั้นจะขอยกตัวอย่างละครพันทางเรื่องผู้ชนะสิบทิศ ในการกล่าวรายละเอียดในลำดับถัดไป ผู้ชนะสิบทิศ บทประพันธ์ของ เสรี หวังในธรรม มีการแต่งบทในลักษณะที่เป็นการถอดความหรือ สรุปความจากวรรณกรรมร้อยแก้ว เรื่องผู้ชนะสิบทิศของยาขอบหรือโชติ แพร่พันธุ์ ซึ่งวรรณกรรมเรื่องนี้เป็น ประเภท “ปลอมพงศาวดาร” ซึ่งแต่งขึ้นโดยอาศัยข้อความที่ปรากฎในพงศาวดารฉบับของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เพียง 8 บรรทัด ดังความในบันทึกว่า“ราชกุมารกุมารีและจะเด็ดทั้ง 3 ก็เล่น หัวสนิทสนมเจริญวัยด้วยกัน ในพระราชวังเมืองตองอู จนรุ่งขึ้นอยู่มาวันหนึ่งพระราชเทวีทรงสังเกตเห็น อาการสนิทสนมกันอย่างไม่ชอบกล เหลือจะอภัยโทษได้ ระหว่างพระราชบุตรีกับของจะเด็ดบุตรพระนมของ พระราชกุมารมังตราอันเป็นอนุชาต่างพระมารดาของพระราชธิดาองค์นั้นจึงกราบทูลฟ้องพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงกริ้ว พระมหาเถรขัติยาจารย์ขอพระราชทานโทษจึงโปรดอภัยให้ แล้วตรัสให้ไปรับ ราชการเป็นเจ้าพนักงานผู้น้อยในกรมวัง จะเด็ดพากเพียรพยายามเอาใจใส่ในราชการโดยจงรักภักดีอย่าง แข็งแรงที่สุด จึงได้เลื่อนยศบรรดาศักดิ์ขึ้นโดยลำดับจนได้เป็นนายทหารมีตำแหน่งและยศสูง” จากข้อความ เพียง 8 บรรทัด ดังกล่าว ยาขอบได้นำมาแต่งนวนิยายเรื่องผู้ชนะสิบทิศจนมีความยาวถึง 8 เล่มและยาขอบได้ กล่าวถึงการเขียนเรื่องผู้ชนะสิบทิศนี้ไว้ว่าการเขียนเชิงดังกล่าวถือเป็น “การปลอมพงศาวดาร” ดังข้อความ กล่าวว่า “ในที่นี้และโดยหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าชี้แจงต่อท่านผู้อ่านด้วยความคารวะว่า ไม่มีอะไรที่ข้าพเจ้า กล่าวรับรองว่าเป็นพงศาวดารที่ถูกต้องในผู้ชนะสิบทิศ ข้าพเจ้าเขียนขึ้นด้วยอารมณ์ฝันผู้ชนะสิบทิศถูกปลอม ขึ้นจนประหนึ่งเป็นพงศาวดารด้วยอารมณ์ฝันเท่านั้น” ยาขอบได้เขียนผู้ชนะสิบทิศซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ โดยเขียนต่อจากเรื่องยอดขุนพล ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สุริยารายวัน เมื่อ พ.ศ.2473 วรรณกรรมเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก สงัด เปล่งวานิช กล่าวถึงความนิยมเรื่องผู้ชนะสิบทิศว่ามีคนติด ขนาดนั่งรถยนต์มาคอยอยู่หน้าสำนักงาน เพื่อที่จะได้รับหนังสือประชาชาติที่พิมพ์ออกสด ๆ จากแท่นพิมพ์ การเขียนนวนิยายเรื่องผู้ชนะสิบทิศของยาขอบนั้น ยาขอบสามารถถ่ายทอดถ้อยคำได้ดีทำให้ตัวละครมีชีวิต มี ความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง มีสำนวนภาษาที่แปลกกว่าวิธีการใช้ถ้อยคำของคนทั่วไป และเป็นสำนวนที่ ละเมียดละไม ไพเราะรื่นหู ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ กล่าวถึงนวนิยายเรื่องผู้ชนะสิบทิศว่า “ความเยี่ยมของผู้ชนะสิบทิศอยู่ที่ ลักษณะทุกลักษณะอันประกอบกันขึ้นเป็นนิยาย ยาขอบใช้วิธีการของนวนิยายดั้งเดิม คือ ใช้กลวิธีบรรยาย
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 87 เรื่องตามเหตุการณ์ ผู้แต่งอยู่ในฐานะสัพพัญญูเกี่ยวกับตัวละครในเรื่อง คือ รู้และชี้แจงความคิด ความรู้สึก อารมณ์ในขณะต่าง ๆ ของตัวละคร ในบทสนทนาตัวละครใช้สำนวนเดียวกันหมด เช่นเดียวกับนิยายชั้นดีของ โบราณลักษณะนิสัยของตัวละครแต่ละตัวเป็นบุคคลที่กำใจคนอ่านได้” องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี ละครพันทางมีหลากหลายเรื่องและตอนที่แสดงมากมายซึ่งขอยกตัวอย่างละครพันทางเรื่องผู้ชนะสิบ ทิศ ตอน "มังตราต้องทวน" จัดแสดงในรายการดนตรีไทยไร้รส หรือ ชุด "คิดถึงพ่อเสรี 11 ปีที่จากไป" วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 ณ โรงละครแห่งชาติพระนคร เรื่องที่ใช้ในการแสดงส่วนใหญ่นิยมนำเรื่องในพงศาวดาร ของต่างชาติมา แสดงหรือบทละครที่มีหลายเชื้อชาติหลายภาษา เช่นเรื่องราชาธิราช เรื่องพระลอ เรื่องห้องสิน เรื่องตั้งฮั่น เรื่องสามก๊ก เรื่องหงอไต้ เรื่องซุยกัง เรื่องบ้วยฮวยเหลา นอกจากนี้มีการนำเรื่องหนังสือ กลอนอ่าน มาแต่งเป็นบทละครเป็นตอน ๆ อีกหลายเรื่อง คือ เรื่องจันทโครพ เรื่องทิณวงศ์ เรื่องมณีสุริยวงศ์พรหมเมศร์ เรื่องสามฤดู "มังตราต้องทวน" มังตรา โกรธจันทรามากที่สึก จะเด็ด จากพระ ถือว่าทำเรื่องน่าอับอายเสื่อมเสียถึงราชตระกูลทำให้ จันทราเสียใจร้องให้โฮบอกว่า เรื่องนี้มังตราก็มีส่วนผิดเพราะเป็นผู้ไหว้วานให้ไปทำ และที่ทำก็เพราะเห็นแก่ บ้านเมือง จำเป็นต้องมีจะเด็ด จึงจะป้องกันตองอูและสู้ศึกหงสาได้ ยิ่งทำให้มังตราโกรธมากขึ้น ถึงกับสั่งให้ขุน วังเอาตัวจะเด็ดมาสอบสวน มังรายบอกว่า พระมหาเถรมารับตัวไปแล้ว มังตราจึงตามไปวัดกุโสดอ ฝ่ายเมือง มอญ ไขลูได้แจ้งข่าวการสึกของจะเด็ด โดยอ่านประกาศของท่านมหาเถรกุโสดอ ว่าจะเด็ดจะมาเป็นแม่ทัพ ป้องกันตองอูจากหงสา ซึ่งมังตราได้เห็นชอบแล้ว ก็รู้สึกกังวลใจ ไขลู บอกไม่ต้องกลัวเพราะวางแผนที่จะให้ จิ สะแบง ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับจะเด็ด แต่มาเข้ากับหงสา จะเด็ดคุมกองทัพเมืองตองอูมาปะทะกับ กองทัพโมนยินโดยแมงกะยอกะแง แมงกะยอกะแงเห็นผู้นำทัพมิใช่มังตราจึงร้องถามว่าเจ้าเป็นใคร จะเด็ดจึง ตอบไปว่าคือบุเรงนองหรือจะเด็ด ผู้ประหารน้องชายท่าน ทำให้แมงกะยอกะแงโกรธแค้น ท้าให้มาสู้กันตัวต่อ ตัว โดยยอมสาบานว่า ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมและการรุม จะเด็ดจึงรับคำท้า ทันใดนั้น โสพันวา ผู้ซึ่งแค้นจะเด็ด ก็คุม กองทัพมาด้านหลัง บอกว่าสำหรับเขาไม่ต้องมีสัจจะกับคนชื่อจะเด็ด เจอที่ไหนก็ฆ่าได้ทันที แมงกะยอกะแงจึง ไม่ร่วมด้วย ว่าแล้วก็ล่าถอยไป ปล่อยให้โสพันวาสู้กับจะเด็ด โสพันวาพลาดท่าถูกแทงล้มลง แต่จิสะแบงออกมา ช่วยไว้ได้ทันเมื่อจิสะแบงกับจะเด็ดต่อสู้กันก็ไม่ใช้ทวนของอาจารย์ ต่างก็ใช้ดาบแทน จิสะแบงพลาดท่าถูกจะ เด็ดฟันล้ม ขณะจะเด็ดจะซ้ำเมืองรายก็ออกมาห้าม บอกมหาเถรให้ยกทัพกลับ เพราะต้องเตรียมรับศึกหงสาที่ ค่ายโมนยิน ในขณะที่โสพันวากำลังถกเถียงแมงกะยอกะแงอยู่นั้น สอพินญาและไขลูก็เข้ามา เมื่อถามได้ความ ว่า อีกสิบวัน จะเด็ดจะมาต่อสู้กับแมงกะยอกะแง ตัวต่อตัว ไขลูก็ว่าช่างเป็นความคิดที่วิเศษแท้ ฆ่าจะเด็ดได้คน เดียว ตองอูก็เสียขวัญ ชนะโดยไม่ต้องเสียไพร่พล ในที่สุดวันทำศึกใหญ่ก็มาถึง ต่างฝ่ายต่างยกกองทัพใหญ่มา จะเด็ดสู้กับแมงกะยอกะแง จะเด็ดแทงแมงกะยอกะแงล้มลง แต่ไม่ฆ่า ปล่อยไปแต่สอพินญา ไขลู โสพันวา ถือ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 88 โอกาสเข้ามารุมจะเด็ดทันใดนั้น มังตรา ขุนวัง และเมืองราย ต่างก็ออกมาช่วย ทั้งหมดต่อสู้กันเป็นการใหญ่ ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ ในที่สุดแมงกะยอกะแงแทงทวนเข้าที่สะบักของมังตราจนล้มลง มังตราร้องเรียกให้จะ เด็ดช่วยจะเด็ดรีบเข้าไปประคองทันที บอกให้ทำใจดี ๆ ไว้... (สำนักการสังคีต กรมศิลปากร, ออนไลน์) ตัวละคร ตัวละครของการแสดงละครพันทาง เรื่อง “ผู้ชนะสิบทิศ” จะมีชื่อเฉพาะไปทางภาษาของชนชาตินั้นๆ อาทิ เช่น บุเรงนอง(พม่า) มังตรา(พม่า) เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ประพันธ์ยังคงลักษณะของการนำเสนอตัวละครอย่าง แยบยล โดยภาษาในบทละครเป็นภาษาที่เข้าใจและทำให้มองภาพการแสดง จินตนาการออกถึงรูปแบบการ แสดงหรือการปะทะกันของตัวละคร ดนตรี ดนตรีและเพลงร้อง วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงละครพันทางใช้ วงปี่พาทย์อาจเป็นเครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ก็ได้ และมักใช้เป็นปี่พาทย์ไม้นวม ใช้ขลุ่ยแทนปี่ เรื่องใดที่มีท่ารำหรือเพลงร้อง และ ทำนองเพลงดนตรีของต่างชาติผสมอยู่ก็จะเพิ่มเครื่องดนตรีอันเป็น สัญลักษณ์เพื่อสื่อถึงชนชาตินั้น ๆ เรียกว่า “เครื่องภาษา” เข้าไปด้วย เช่น พม่าใช้กลองยาว เปิงบางคอก มอญใช้ตะโพนปี่มอญ เขมรใช้โทน จีนใช้กลอง จีนต๊อกแต๋วล่อโก๊ะ เป็นต้น เพลงร้องที่ใช้จะเป็นเพลงภาษา สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์, (2539) ได้ให้ความหมายของคำว่า เพลงภาษาหมายถึง เพลงประเภทหนึ่งที่ คณาจารย์ดุริยางคศิลป์ได้ประดิษฐ์ขึ้น จากการสังเกตและ การศึกษาเพลงของชาติต่าง ๆ ว่ามีสำเนียงเช่นใด แล้วจึงแต่งเพลงภาษาขึ้นโดยใช้ทำนองอย่างไทย ๆ แต่ดัดแปลงให้มีสำเนียงภาษาของชาตินั้น ๆ หรืออาจจะนำ สำนวนของภาษานั้น ๆ มาแทรกไว้บ้าง เพื่อนำทางให้ผู้ฟังทราบว่าเป็นเพลงสำเนียงอะไร และได้ตั้งชื่อเพลง บอกภาษานั้น ๆ เช่น มอญดูดาว จีนเก็บบุปผา ลาวชมดง แขกลพบุรี เป็นต้น ดนตรีประกอบการแสดงละคร พันทางจะใช้วงดนตรีปี่พาทย์และผสมผสานเครื่องดนตรีที่สะท้อนวัฒนธรรมประจำชาตินั้น ๆ ลงมาด้วย เพื่อ เสริมสร้างอรรถรสในการรับฟังและทำให้ผู้ชมได้เข้าถึงการแสดงที่สะท้อนความเป็นชนชาติดังกล่าวได้อีกด้วย มีการบรรเลงเพลงที่แสดงความเป็นชาติ ผู้แสดง เสรี หวังในธรรม คัดเลือกนักแสดงที่สามารถเล่นและถ่ายทอดอารมณ์ของตัวแสดงได้เป็นอย่างดี โดย ระบุว่าจะต้องมีความรู้ความสามารถด้านกระบวนท่ารำปฏิภาณไหวพริบในการแสดง การตีสีหน้าอารมณ์ การ แสดงความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ การเข้าถึงตัวละคร สำเนียงการพูด การจำบทแม่นยำ มีประสบการณ์การ แสดงสูง การออกแบบท่าทางบุคลิกลักษณะที่เหมาะสมกับตัวละคร ซึ่งการคัดเลือกตัวแสดง จะให้นักแสดง อ่านบท และคอยอธิบายอารมณ์ความรู้สึกของแต่ละตัวแสดงว่าเป็นอย่างไร พร้อมทั้งอธิบายอารมณ์ ความรู้สึกของแต่ละตัวแสดงว่าเป็นอย่างไร พร้อมอธิบายบทบาทจึงซ้อมการพูด ลีลาการเดิน การกำหนดจุด บนเวที (ฤทธิ เถาว์หิรัญ, 2556)
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 89 ผู้แสดง ใช้ผู้แสดงผสมระหว่างชายจริงหญิงแท้ ผู้แสดงละครพันทางนับว่า เป็นส่วนสำคัญมาก เพราะ ต้องสวมบทบาทสมมติเป็นคนชนชาติต่าง ๆ ตามเนื้อเรื่อง โดยในยุคละคร ของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรงมัก ใช้ผู้หญิงแสดง เนื่องจากผู้แสดงต้องมีฝีมือในการร่ายรำให้เข้ากับ บทร้องบทเพลงและเนื้อเรื่อง ซึ่งผู้หญิงมีฝีมือ ในการรำที่อ่อนช้อยกว่าผู้ชาย อุปกรณ์ประกอบการแสดง การแสดงละครพันทางมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงตามลักษณะของตัวละครและบทบาทที่ได้รับ หรือ อุปกรณ์ประกอบฉาก เช่น ต้นไม้ ตั่ง โต๊ะ เตียง หมอน เป็นต้น การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) กระบวนการแสดงของละครพันทางมีรูปแบบการร่ายรำใช้นาฏศัพท์ ภาษาท่า ตีบทด้วยท่ารำและมี การพูดบทแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร เช่น รัก ดีใจ โกรธ ฉุนเฉียว เป็นต้น การแสดงละครพันทาง เริ่มต้นด้วยการโหมโรง จากนั้นก็เข้าเรื่องการแสดงมีการแบ่งเป็นฉากตามท้องเรื่อง ดำเนินเรื่องด้วยคำร้องและ บทเจรจา ดำเนินเรื่องรวดเร็ว ลีลาท่ารำใช้ท่ารำของไทยและชาติที่เกี่ยวข้องรวมทั้งท่าทางของสามัญชน การ แสดงละครพันทาง เรื่องผู้ชนะสิบทิศ เรื่อง มังตราต้องทวน ขั้นตอนการแสดง 1. นักดนตรีบรรเลงเพลงโหมโรงท่วงทำนองเพลงแสดงถึงชนชาติ 2. ตัวละครออก มีผู้พากย์เจรจากล่าวบทละครแทน 3. ตัวละครสนทนาโต้ตอบด้วยการพูดเจรจากัน มีการบรรเลงเพลงประกอบการแสดง 4. นักแสดงร่ายรำตามบทร้อง แสดงสีหน้าแววตา อารมณ์ตามบท กระบวนท่ารำใช้ท่านาฏยศัพท์และ ภาษาท่านาฏศิลป์ เครื่องแต่งกาย การแต่งกายของละครพันทางจะเป็นการแต่งกายชุดยืนเครื่องผสมการแต่งกายด้วยชุดประจำชาติต่าง ๆ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 90 ที่มา : การแสดงละครพันทางเรื่องผู้ชนะสิบทิศ ตอน มังตราต้องทวน ณ โรงละครแห่งชาติ วสะ ภูวงศ์, (2561) กล่าวว่าลักษณะเครื่องแต่งกาย ในละครพันทาง ถูกออกแบบโดยมีการอ้างอิงจาก การแต่งกายของประชาชนตามเชื้อชาติที่ปรากฏอยู่ในเนื้อเรื่องที่ใช้ในการแสดง เช่น การแต่งกายของหญิงสาว ชาวพม่า การนุ่งผ้าถุงป้ายข้างยาวคลุมเท้าและมีชายผ้า ยาวต่อจากข้อเท้า เมื่อนำมาเป็นเครื่องแต่งกายของ ละครพันทาง จึงให้ตัวละคร ผู้หญิงที่มีเชื้อชาติพม่า นุ่งผ้าถุงป้ายยาวถึงข้อเท้า แต่มีการต่อผ้าบางจากน่องลงมา ถึงข้อเท้าแทนการต่อผ้ายาวจากข้อเท้า เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับการร่ายรำของไทย นอกจากนี้ยังมีการ ปรับเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการทำเครื่องแต่งกายเพื่อให้เกิดคุณภาพคงทนมากยิ่งขึ้นเครื่องแต่งกายจึงแต่งกาย เลียนแบบชนชาติต่าง ๆ เหล่านั้น ส่วนการแต่งกายของชนชาติจีนนั้น ก็แต่งกายอย่างงิ้ว เครื่องแต่งกายละคร พันทางที่กรมศิลปากรจัดแสดงอยู่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยจากอดีตสู่ปัจจุบันมีการ คิดออกแบบสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายให้มีความวิจิตรงดงามตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การแต่งกายแบบละครพันทางไม่แต่งกายตามแบบละครรำโดยทั่วไป กล่าวคือเป็นการแต่งกายตาม เชื้อชาติของผู้แสดงที่ปรากฏในเรื่องนั้น ๆ เช่น เรื่องราชาธิราช ตัวละคร จะแต่งตามเชื้อชาติแบบมอญกับพม่า เป็นต้น การแต่งกายแบบพันทางนี้ บางครั้งเรียกการแต่งกายแบบเครื่องน้อยหมายถึงไม่แต่งยืนเครื่องเต็ม รูปแบบ อาจจะผสมหรือนำเครื่องแต่งกายของ ชาวต่างชาติมาดัดแปลง (สุวรรณี อุดมผล, ม.ป.ป.) โรงละคร สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพล, (2507) ทรงกล่าวถึงโรงละครของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง ไว้ว่า “เจ้าพระยามหินทร์ฯ เป็นผู้คิดให้ละครไทยเล่นประจำโรงเก็บเงินคนดูเป็นที่แรกเรียกโรงละครของท่าน ว่าปรินสธิเอเตอ หมายความว่า เป็นละครของพระองค์เจ้าที่เป็นหลานของท่านมีกำหนดเล่นเวลาเดือนหงายแต่ แรกเล่นเดือนละ สัปดาห์1 แต่เรียกตามภาษาอังกฤษว่า วิก 1 ภายหลังเล่นเป็นเดือนละ 2 สัปดาห์ตั้งแต่ขึ้น 8 ค่ำ ไปจนแรม 7 ค่ำ คนก็ยังเรียกคราวที่เล่นละครคราว 1 ว่า “วิก” อยู่อย่างเดิมจึงเป็นต้นตำราที่ละคร โรงอื่น ตลอดจนลิเกเอาเป็นกำหนดเล่นต่อมา” ในปัจจุบันมีการปลูกโรงเล่นประจำที่และแสดงบนเวที ในปัจจุบัน สถานที่แสดงของละครพันทางโดยมากแสดงที่โรงละครแห่งชาติ และมีการจัดแสดงบนเวทีกลางแจ้ง ลานหน้า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 2.3 ละครดึกดำบรรพ์ คำว่า “ดึกดำบรรพ์” ธนิต อยู่โพธิ์ ได้ให้ข้อสันนิษฐานว่า “ดึกดำ” นั้น ถ้าจะพิจารณาตามทฤษฎีแห่ง การกลายเสียงก็น่าจะเป็นความเดียวกับคำว่า “ลึกล้ำ” ส่วนคำว่า “บรรพ์” น่าจะมาจากรูปศัพท์บาลี สันสกฤต ปพฺพ-ปุพฺพ หรือ ปูรฺว ซึ่งแปลว่า ระยะ หรือกาลเวลาที่กำหนด แปลว่า กาลก่อน เบื้องต้น ที
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 91 แรก เมื่อรวมคำเข้าด้วยกันเป็น “ดึกดำบรรพ์” ก็น่าจะแปลได้ว่า เรื่องเก่าแก่ที่มีมาแต่กาลก่อนลึกลับ หรือ บางทีกล่าวไว้ในเบื้องต้น ที่มา : https://www.baanjomyut.com/library_2/extension3/opera_oriented_dance_drama/index.html ประวัติความหมาย ละครดึกดำบรรพ์มีประวัติความเป็นมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.2442 มีกำเนิดละครดึกดำบรรพ์ขึ้น ณ บ้านเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ซึ่งได้เริ่มแสดงละครดึกดำบรรพ์เป็นครั้งแรก และโรงละครได้สร้างขึ้นในบ้าน ของท่านมีชื่อว่า “โรงละครดึกดำบรรพ์” ชื่อเรียกนี้เป็นความประสงค์ของท่านในการใช้ชื่อ “ดึกดำบรรพ์” ให้ เป็นชื่อละครของท่านเพราะในสมัยนั้นมีละครอยู่หลายคณะ ละครดึกดำบรรพ์นี้เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงร่วมกันปรับปรุงวิธีเล่นวิธีแสดงให้ผิด ไปจากละครรำอย่างเก่า แต่ยังยึดหลักและแบบแผนของละครใน และผู้แสดงจะต้องขับร้องด้วยตนเอง มีลูกคู่ ร้องรับ การแต่งกายชุดยืนเครื่อง สาเหตุที่เกิดละครดึกดำบรรพ์ขึ้น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงอธิบายว่า เป็นผล มาจากการร้องคอนเสิร์ตต้อนรับแขกเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 และนำบทร้องที่ตัดตอนมาจากวรรณคดีมาร้อง ต่อเนื่องกันเป็นเรื่องราว เช่น เรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางลอย นาคบาศ และพรหมมาสตร์ เป็นต้น เพลงที่ ทรงคัดเลือกมาร้องและเล่นดนตรีนั้นเป็นเพลงที่มีความไพเราะ โดยที่เป็นเพลงเข้ากับบทร้อง ต่อมา เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ คิดปรับปรุงคอนเสิร์ตโดยจัดให้มีตัวละครนอกมารำเข้ากับเพลงคอนเสิร์ต เรื่องที่ แสดงคือนารายณ์ปราบนนทุกข ซึ่งแสดงถวายให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร อาจนับได้ว่าการแสดงครั้งนั้นเป็นต้นเค้าของละครดึกดำบรรพ์ แต่ก็ไม่ใคร่ได้แสดงบ่อยนัก เพราะหาผู้แสดง ยาก และต้องมีประสานเสียงกับคนร้องและปี่พาทย์ให้เข้ากันได้อย่างไพเราะ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 92 ในพุทธศักราช 2434 เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ เดินทางไปยุโรป และมีโอกาสได้ชมโอเปร่า (Opera) ซึ่งท่านชื่นชมในการแสดงมาก เมื่อกลับมาจึงทูลเชิญสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ร่วมกันปรับปรุงละครคอนเสิร์ตให้เป็นแบบโอเปร่าอย่างไทย ๆ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงอธิบายประทานพระยาอนุมานราชธนไว้ว่า “เจ้าพระยาเทเวศร์ฯ ท่านมีความสามารถในทางเถ้าแก่ คือ รู้จักควบคุมดูแลและจัดคนใช้ในการจัดเล่นมหรสพ ท่านจึงเลือกจัดคนที่ท่านเห็นว่ามีความรู้ดีเข้าช่วยฉัน การ ระทำจึงเป็นไปในทางว่าเป็นบริษัทหันหน้าช่วยท่าน ดังนี้ 1.ฉันมีหน้าที่ในทางปรุงการเล่นและจัดบท 2.หม่อมเข็ม กุญชร มีหน้าที่คิดการรำและหัด 3.พระเสนาะดุริยางค์ (ทองดี) มีหน้าที่คิดและจัดเพลงร้อง ทั้งหัดด้วย 4.หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ตาด) มีหน้าที่คิดและคัดเพลงปี่พาทย์ ทั้งหัดและซ้อมด้วย 5.ตัวท่านเองรับหน้าที่เป็นผู้จัดคนเข้าเล่น ดูแลการฝึกซ้อมและเล่นงาน สำหรับผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกให้แสดงละครดึกดำบรรพ์ จะต้องมีความสามารถพิเศษ อย่างน้อย จะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดี ขับร้องเพลงไทยได้ไพเราะอย่างหนึ่ง และจะต้องเป็น ผู้ที่มีรูปร่างงาม รำสวย ยิ่งผู้ที่จะแสดงเป็นตัวเอกในเรื่องด้วย ต้องใช้ความพินิจพิเคราะห์เป็นอย่างมาก งาน ดนตรีปี่พาทย์ก็ปรับปรุงจังหวะทำนองเพลงให้เหมาะแก่บทบาทบางตอน บางเรื่อง ตอนไหนขาดเสียงที่ควรมี เพื่อความไพเราะครึกครื้น ก็เปลี่ยนเครื่องดนตรี หรือเพิ่มเครื่องดนตรี ทำเสียงประกอบเข้าช่วย เช่น รัว ระฆัง เป่าสังข์ เป็นต้น วงดุริยางค์ที่ประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์จึงต้องปรับขึ้นประกอบการแสดง ละครดึกดำบรรพ์ จึงเป็นศิลปะแบบฉบับทางดุริยางค์ศิลป์อย่างหนึ่ง ซึ่งใช้ผสมวงเรียกว่า “ปี่พาทย์ดึกดำ บรรพ์” (สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์, 2543) การนำของตะวันตกมาปรับปรุงและผสมผสานให้เข้ากับละครรำของไทย มีวิวัฒนาการ 4 ระยะจน กลายเป็น “ละครดึกดำบรรพ์” จนถึงปัจจุบันโดยมีรายละเอียดดังนี้ ระยะที่ 1 คอนเสิร์ต สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงร่วมกับ เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์จัดการแสดงดนตรีเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ในรูปแบบ การบรรเลงดนตรี ไทยแบบผสมวง ทั้งวงมโหรีวงเครื่องสายผสมไวโอลิน และวงโยธวาทิต ขับร้อง ประสานเสียงเข้ากับปี่พาทย์ เรื่องของการบรรเลงแบบใหม่นี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียกว่าคอนเสิร์ต ดังที่ได้อธิบายไว้ ว่า “สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์รับทรงช่วย เลือกบท และเพลงดนตรีตลอดจนอำนวยการ ซักซ้อม ส่วนเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ เป็นผู้เลือกหา คนขับร้องกับดนตรี จึงมีการขับร้องเรียกว่า “คอน เสิต” Concert ตามภาษาฝรั่งเกิดขึ้นก่อนและเป็น เริ่มแรกที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์กับ
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 93 เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ จะช่วยกัน คิดแก้ไขปรับปรุงกระบวนเล่นขยายจากคอนเสิตให้วิตถารยิ่งขึ้นเป็น ลำดับมา” (ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2528 อ้างถึงใน สุรพล วิรุฬห์รักษ์, 2554) ระยะที่ 2 คอนเสิร์ตเรื่องหรือละครมืด สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงแก้ไขการบรรเลงคอนเสิร์ต ให้เป็นบทขับร้องเรื่องเดียวต่อกัน ในลักษณะการ เล่าเรื่อง โดยการนำเอาบท ละครรำของเก่ามาบรรจุเพลงขับร้องและเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ในการแสดง โขน ละคร กำหนดความยาวของการ แสดงให้มีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เรียกตามดุริยางคศัพท์ว่า“เพลงตับ” แต่ผู้ที่ได้รับฟังกลับเรียกว่า “ละครมืด” ดังที่หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร จิตรพงศ์ อธิบายไว้ว่า “ผู้ที่ได้ฟังเรียกกันเพลงตับอันบรรเลงเป็นเรื่องราว ซึ่งทรง ประดิษฐ์ขึ้นใหม่นี้ว่า ละครมืด เพราะฟัง แล้วบังเกิดจินตนาการนึกเห็นภาพโขน ละคร ตอนนั้น ๆ” (นริศรานุ วัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา, 2506) บทคอนเสิร์ตเรื่องพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ มี ทั้งสิ้น 4 ชุด ดังนี้22 1) ชุดนางลอย บรรเลงครั้งแรกเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2441 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในโอกาส ต้อนรับเคานต์ออฟตุริน แห่งอิตาลี บทคอนเสิร์ตเรื่องชุดนี้ภายหลังได้ทรง พระนิพนธ์เพิ่มเติมในช่วงต้นให้ พอเหมาะกับการแสดงสำหรับผู้ชมไทย 2) ชุดพรหมาสตร์ บรรเลงครั้งแรกเมื่อ 17 เมษายน พ.ศ. 2442 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ใน โอกาสต้อนรับ มองสิเออร์ดูแมร์ ผู้สำเร็จราชการอินโดจีน 3) ชุดนาคบาศ ปรับปรุงแก้ไขขึ้น เพื่อเตรียมบรรเลงในงานต้อนรับเจ้าชายเฮนรี่ แห่งปรัสเซียแต่มิได้ แสดง ขณะนี้ยังไม่สามารถสืบค้นปี และโอกาสที่บรรเลงครั้งแรกได้ 4) ชุดบวงสรวงวิลิศมาหรา บรรเลงครั้งแรกเมื่อ เดือนธันวาคม พ.ศ.2442 ในการรับ เสด็จเจ้าชายเฮน รี่ แห่งปรัสเซีย (สุรพล วิรุฬห์รักษ์, 2554) จากบทคอนเสิร์ตพระนิพนธ์เบื้องต้น 3ชุดแรก ได้แก่ชุด ชุดนางลอย ชุดพรหมาสตร์ และชุดนาคบาศ เป็นบทขับร้องที่ตัดตอนมา จากบทพระราชนิพนธ์ เรื่องรามเกียรติ์ ส่วนชุด บวงสรวงวิลิศมาหรา เป็นบทขับร้องที่ตัดตอนมาจาก บทพระราชนิพนธ์ เรื่องอิเหนา ซึ่งเห็นได้ว่าบทละครของ เก่าที่นำมาตัดต่อ ปรับปรุงให้เป็นบท คอนเสิร์ตเรื่องนั้นเป็นบทละครที่มีไว้สำหรับเล่นละครในทั้งสิ้น ระยะที่ 3 คอนเสิร์ตประกอบภาพคนนิ่ง(Tableaux Vivantes) สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรม พระยานริศรานุวัดติวงศ์จัดให้ผู้แสดงแต่งตัวตามท้องเรื่อง แล้วทำท่านิ่ง ประกอบการแสดงคอนเสิร์ตเรื่อง ซึ่งมี ลักษณะคล้ายภาพเขียนในหนังสือ เพื่อเป็นการสนองพระราช ประสงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้า
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 94 มหาวชิรุณหิศสยามมงกุฎราชกุมาร ที่โปรดให้พระอนุชา และพระราชวงศ์ที่ยังทรงพระเยาว์แต่งพระองค์ต่าง ๆ แสดงตามท้องเรื่องในท่าหยุดนิ่งประกอบการ บรรเลงดนตรีและการขับร้อง ระยะที่ 4 ละครดึกดำบรรพ์ ในปี พ.ศ.2434 เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ได้ตามเสด็จ สมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไปราชการที่ยุโรปได้มีโอกาสชมการแสดง อุปรากรจึงได้นำแนวคิดมา ปรับปรุงกระบวนการแสดงละครรำของไทยจึงทูลปรึกษาสมเด็จพระเจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา นุวัดติวงศ์ เพื่อพัฒนากระบวนการเล่นคอนเสิร์ตเรื่องให้แปลก ออกไปอีก โดยการปรับปรุงละครรำอันเป็น จุดเริ่มต้นของละครดึกดำบรรพ์ มีบุคคลสำคัญที่ร่วม ดำเนินการได้แก่ 1) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรง นิพนธ์บท ปรับปรุง วิธีการแสดง ตลอดจนการฝึกซ้อมกำกับการแสดง 2) เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร ณ อยุธยา) เป็นกำลังด้าน สถานที่ ผู้แสดง นักร้อง นักดนตรี และอุปกรณ์ในการแสดง 3) หม่อมเข็ม กุญชร ณ อยุธยา เป็นผู้ประดิษฐ์และฝึกซ้อมท่ารำ 4) หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ตาด ตาตะนันท์) ปรับปรุงทำนองดนตรี23 5) หลวงเสนาะดุริยางค์ (ทองดี ทองพิรุฬห์) ปรับปรุงเพลงร้อง (วีระศิลป์ ช้างขนุน, 2556) ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=ANxXJwoX9X4 องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี เรื่องที่ใช้ในการแสดงละครดึกดำบรรพ์ส่วนมากเป็นเรื่องที่นำมาจากการ แสดงละครนอก ได้แก่ 1) บทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์เท่าที่มีต้นฉบับ ปรากฏ ได้แก่ เรื่องสังข์ทอง มี 3 ตอน คือ ทิ้งพวงมาลัย ตีคลี ถอดรูป เรื่องคาวี มี 3 ตอน คือ เผาพระขรรค์ ชุบตัว หึง เรื่องอิเหนา มี 3 ตอน คือ ตัดดอกไม้ฉายกริช ไหว้พระ บวงสรวง เรื่องสังข์ศิลป์ชัย ภาคต้น มี 3
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 95 ตอน คือ ตกเหว ตามหา เห็นนิมิต และ ภาคปลาย มี3 ตอน คือ คืนลำเนา เข้าเมือง ต้อนรับ เรื่องกรุงพาณ ชมทวีป มี 2 ตอน คือ กำเริบฤทธิ์ อวตาร เรื่องรามเกียรติ์ มี 1 ตอน คือ ศูรปนขาตีสีดา เรื่องอุณรุท เรื่องมณี พิชัย 2) พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระ ราชนิพนธ์บทละครดึกดำ บรรพ์ 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องศกุนตลา เรื่องท้าวแสนปม เรื่องพระเกียรติรถ 3) พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ทรงพระนิพนธ์บท ละครดึกดำบรรพ์ 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องพระยศเกตุ เรื่องสองกรวรวิก เรื่องจันทกินรี 4) พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) แต่งบทละครดึกดำบรรพ์เพียง เรื่องเดียว ได้แก่ เรื่องสิทธิธนู ดังนั้น จึงขอยกตัวอย่างบทละครเรื่อง คาวี ตอนเผาพระขรรค์ ให้ได้ทราบรายละเอียดต่อไป บทละครดึกดำบรรพ์ เรื่อง คาวี 3 ตอน 7 ฉาก ตอนที่ 1 เผาพระขรรค์ โหมโรงแรก ปี่พาทย์ตั้งเพลงบาทสกุณี – แผละ - โอด - เพลงเร็ว – ลา - โลม – เสมอ (เปิดฉากเมื่อจวนสุดรัวปลายเสมอ) ฉากตำหนักร้าง ที่ ๑ (พระคาวีกับนางจันทสุดานั่งอยู่บนเตียง) ปี่พาทย์ทำเพลงช้าปี่ ร้องทำนองสรภัญญะรับปี่พาทย์ จันท์ - พระเอยพระทรงชัย เคราะห์อะไรกระทำเข็ญ เข็ญใจก็ยังเย็น เพราะพระโปรดพระปราณี คาวี - น้องเอยวิสัยสัตว์ อุบัติในโลกีย์ สุขทุกข์ก็จำมี ตะละอย่างบวางวาย (เฒ่าทัศประสาทออก แอบลับแลมอง)
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 96 จันท์ - พระเอยพระตรัสต้อง ขณะน้องอยู่เดียวดาย แสนทุกข์สิขุกหาย ขณะเห็นพระทรงธรรม์ คาวี - บุญหลังนะน้องเอย สิจะเคยได้สร้างสรรค์ โดยปองจะครองกัน ก็ประสบประสงค์สมฯ ตัวละคร สำหรับผู้แสดงในการแสดงละครดึกดำบรรพ์ในปัจจุบันนั้นมีทั้งชายจริงและหญิงแท้ หรือบางเรื่องก็ใช้ หญิงล้วนในการแสดงได้ อาทิ เรื่องสังข์ศิลป์ชัย ตอนตกเหว ที่จัดแสดงในงานสัปดาห์อนุรักษ์มรดกไทย ปี 2561 วันที่ 2-8 เมษายน 2561 ณ ลานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ครานั้นใช้ผู้หญิงในการแสดงล้วนในทุกตัว ละคร หรืออย่างการแสดงละครเรื่องคาวี ตอนหึง ตัวละครนางจันทร์สุดาจะร้องเพลงด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นุ่มนวล ประกอบการรำที่เชื่องช้า สง่างามอย่างนางเอก นางคันธมาลีจะร้องด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั่นตาม จังหวะเพลงที่กระชับรวดเร็วใช้การผสมเท้า การยืดยุบเท้า ชี้หน้าที่เป็นกิริยาไม่เรียบร้อยเพื่อสื่อ บุคลิกลักษณะอย่างตัวร้ายในบทบาทการหึงหวง ดนตรี ดนตรีและเพลงร้อง วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์เป็นการผสมวงดนตรีขึ้นใหม่ โดยใช้วงปี่พาทย์แต่เลือก เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้ม นุ่มนวล เหมาะแก่การบรรเลงและการขับร้องของตัวละครที่จะต้องร้องเอง ซึ่งวงปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี 11 ชนิด ได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวง ใหญ่ ขลุ่ยเพียงออ และ/หรือขลุ่ยอู้(ขลุ่ยอู้เกิดขึ้นปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ขลุ่ยขนาดใหญ่ มีเสียงต่ำทุ้ม จึงนำมาผสมในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์) กลองตะโพน 2 ลูก ฆ้องหุ่ย 7 ลูก(เดิมมี 8 ลูกเทียบเสียงระดับสูงสุด และต่ำสุดเป็นคู่ แปด มีระดับสูงต่ำต่างกัน 7 เสียง ใบที่ 1 และใบที่ 8 เป็นเสียง เดียวกันแต่ต่างระดับ จึงสันนิษฐานว่า อาจมีการตัดใบที่ 8 ทิ้งในภายหลัง) ตะโพน กลองแขก ฉิ่ง และซออู้ (เฉพาะซออู้นี้มีเพิ่มเข้ามา ภายหลังเมื่อจัดแสดงละครดึกดำบรรพ์เรื่องคาวีและสังข์ศิลป์ชัย เพื่อใช้สีเคล้าเพลง หุ่นกระบอกใน ลักษณะการสีผสมวงไม่ใช่สีคลอกับการขับร้อง ทำให้ซออู้กลายเป็นเครื่องดนตรีอีกชิ้นหนึ่งใน วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ด้วย) (สุรพล วิรุฬห์รักษ์, 2554) ในส่วนของเพลงร้องสมเด็จพระเจ้าบรม วงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นผู้ที่มี ความสามารถทางด้านการประพันธ์เพลง และบทร้อง จึงทรงนิพนธ์เพลงและบทร้องสำหรับเล่นละครดึกดำ บรรพ์ไว้หลายเพลง ใช้เพลงที่ คัดเลือกมาให้เหมาะกับบทร้อง ซึ่งในบทขับร้องของละครดึกดำบรรพ์นั้นไม่นิยม
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 97 กล่าวหรือขึ้นต้นให้รู้ว่าตัวละครกำลังมีกิริยาอาการหรืออารมณ์ความรู้สึกอย่างไรเพราะตัวละครแสดงให้เห็น อยู่แล้ว ผู้แสดง ผู้แสดง แต่เดิมผู้แสดงละครรำแบบละครใน ละครนอกแบบหลวง และ ละครพันทางจะมีหน้าที่รำใช้ บทเพียงอย่างเดียว ส่วนการขับร้องเป็นหน้าที่ของต้นเสียงและลูกคู่ เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรม พระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงพระนิพนธ์บทละคร 24 ดึกดำบรรพ์ให้บทร้องมีลักษณะเป็นคำพูดของตัวละคร โดยตลอด ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ตัวละคร จะต้องทั้งร้องและพูดบทเองไปพร้อม ๆ กับการร่ายรำสอดคล้อง กับ ธนิต อยู่โพธิ์, (2531) ได้อธิบายเกี่ยวกับผู้แสดงละครดึกดำบรรพ์ไว้ว่า “ผู้แสดงต้องมีความสามารถรำ ทำบทเข้ากับจังหวะ เพลงและสามารถเจราจากับขับร้องบทของตนได้ด้วยตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้ที่จะได้รับ เลือกให้เป็น ตัวละครเล่นละครดึกดำบรรพ์ จะต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ ต้องเป็นผู้มีเสียงดี ขับร้อง เพราะ และจะต้องเป็นผู้ที่มีรูปร่างงาม รำสวย ยิ่งตัวเอกในเรื่องด้วยแล้ว ต้องคัดเลือกด้วย ความพินิจ พิเคราะห์เป็นอย่างมาก” กล่าวได้ว่าผู้แสดงละครดึกดำบรรพ์ใช้ผู้หญิงแสดงล้วน ผู้ชายเป็นเพียง ตัวประกอบเท่านั้น และผู้แสดงต้องมีความสามารถในด้านการรำที่งดงาม และการขับร้องที่มีความไพเราะ (ซึ่ง ผู้แสดงละครดึกดำบรรพ์นี้เองที่เป็นคนสร้างความน่าสนใจแก่ผู้ชม แต่ก็จะสามารถหาชมได้ยากเช่นกัน) อุปกรณ์การแสดง อุปกรณ์ประกอบการแสดงในการแสดงละครดึกดำบรรพ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละเรื่องที่แสดง เช่น พระขรรค์ ตั่ง เตียง หมอน ต้นไม้ปลอม ก้อนหินปลอม เป็นต้น ที่มา : การแสดงเรื่องคาวี ตอนเผาพระขรรค์ เมื่อ 26 พฤศจิกายน 2557 การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง)
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 98 การแสดงละครดึกดำบรรพ์มีขั้นตอนในการแสดง ดังนี้ เริ่มต้นด้วยการโหมโรง จากนั้นก็เข้าเรื่องการ แสดง ซึ่งผู้แสดงจะต้องร้องและเจรจาเองรวมทั้งรำด้วยลีลาท่ารำที่งดงามแบบอย่างละครในแต่อาจจะไม่ ประณีตเท่า ในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้นเหมือนกับละครนอกกล่าวคือ ดำเนินเรื่องรวดเร็ว กระชับรัดกุม บท ขับร้องมีอยู่ไม่มากนักบางตอนมีการแทรกบทเจรจาเป็นร้อยแก้ว มีแต่บทที่เป็นคำพูดไม่มีบทที่เป็นกิริยา อาการ จึงทำให้ผู้แสดงต้องแสดงบทให้เห็นชัด สมจริง ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจผ่านลีลาท่าทางได้ การแสดงมีการ แบ่งเป็นฉากเป็นตอน การฟ้อนรำนั้นมีน้อยเนื่องจากมีการดำเนินเรื่องที่รวดเร็วจึงมี เพียงการรำใช้บท เป็นพื้นเท่านั้น แต่ถ้าหากจำเป็นต้องอวดกระบวนท่ารำ หรือระบำรำฟ้อนก็นิยมใช้ผู้แสดง เป็นหมู่จำนวนมาก โดยเฉพาะในฉากสุดท้ายตอนจบจะเน้นการฟ้อนรำงาม ๆ ผู้แสดงจำนวนมาก ๆ เพื่อให้ เกิด ความอลังการในฉากจบเช่นเดียวกับละครโอเปร่า เครื่องแต่งกาย การแต่งกายของละครดึกดำบรรพ์แต่งแบบยืนเครื่องเหมือนละครนอก แบบหลวงกับละครใน นอกจากนี้ยังสามารถแต่งกายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในเรื่อง จึงไม่ จำเป็นต้องแต่งกายยืนเครื่อง ตลอดเวลาอย่างละครรำแบบเดิม เช่นละครดึกดำบรรพ์ เรื่องจันทกินรีเป็นต้น รวมทั้งได้มีการเพิ่มศิลปะการ แต่งหน้าตัวละครขึ้นมาให้มีความงดงามด้วยการแก้ไข ข้อบกพร่องในหน้าตาของแต่ละบุคคล มีการเขียนคิ้วทา ปากลงสีพื้นให้เป็นธรรมชาติ สำหรับบท 25 เจ้าเงาะใช้วิธีการเขียนหน้า และม้วนผมเป็นหลอดรอบศีรษะแทน การสวมหัวเงาะอย่างแต่ก่อน เป็นต้น โรงละคร สถานที่ที่ใช้แสดง มีการปลูกโรงเล่นประจำที่และแสดงบนเวที ดังที่ ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (สัมภาษณ์, 4 มิถุนายน 2522 อ้างถึงใน สุจิตรา จรจิตร, 2522) กล่าวถึงโรงละครดึกดำบรรพ์ไว้ว่า “มีลักษณะ โรงละครเลียนแบบโรงละครของอังกฤษ คือมีขนาดเล็ก จุคนได้ประมาณ 500 - 600 คน มีที่นั่งแบบธรรมดา และแบบเป็นบล็อก ๆ ไว้สำหรับผู้ชมที่มากันเป็น ครอบครัว” นอกจากนี้ละครดึกดำบรรพ์ยังมีการใช้ฉาก ประกอบการแสดง และแบ่งเป็นตอนเปลี่ยน ฉากไปตามท้องเรื่องจึงมีม่านกั้นเพื่อช่วยในการเปิด - ปิดเมื่อการ แสดงจบแต่ละฉาก รวมทั้งมีการใช้เครื่องกลไกและเครื่องประกอบฉากต่าง ๆ ให้สมจริง เช่น ใช้ไฟฟ้าช่วยให้ ผู้ชมรู้สึกว่าเป็นเวลากลางวัน เป็นต้น การสร้างสรรค์ ในทางการแสดงละครดึกดำบรรพ์ถือเป็นมิติใหม่ของการแสดงละครรำ อันเนื่องจากรูปแบบการแสดง ที่ดัดแปลงไปเพื่อสร้างตัวตนทางการแสดงของตนเองให้มีรูปแบบที่ชัดเจน และไม่ให้กลุ่มคณะละครใด เลียนแบบได้ อาทิ การร้อง การรำ ตัวละครที่จะต้องมีลักษณะโดดเด่นทั้งรูปร่าง หน้าตา ฝีมือทางการร่าย
น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 99 รำ การอวดเสียงร้องที่ไพเราะ และทักษะทางด้านการจำเนื้อร้อง ทำให้การแสดงชุด “ละครดึกดำบรรพ์” มี ลักษณะพิเศษและสามารถสร้างสรรค์การแสดงได้ 2.4 ละครร้อง ละครร้อง หมายถึง ละครประเภทหนึ่งที่ใช้ศิลปะในการร้องดำเนินเรื่อง นับเป็นละครแบบใหม่ที่ ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ละครร้องแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.ละครร้องล้วน ๆ 2.ละครร้องสลับพูด 1.ละครร้องล้วน ๆ ละครร้องล้วน ๆ เป็นละครที่ดำเนินเรื่องด้วยการร้อง ไม่มีคำพูดแทรก ประวัติความเป็นมา ประวัติความเป็นมาของละครร้องล้วน ๆ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ให้ กำเนิดละครประเภทนี้ โดยทรงเลียนแบบจากละครอุปรากรที่เรียกว่า โอเปอร์เรติก ลิเบรตโต (Operatic Libretto) ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=lUqBs7T9f1A บทละครและวรรณคดี การแสดงละครร้องล้วน ๆ มีบทละครและวรรณคดีในทางการแสดง ดังนี้ เรื่องสาวิตรี พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องสาวิตรีนี้ทรงตั้งพระทัย จะให้มีการแสดงเรื่องนี้ขึ้น พระองค์ได้บรรจุทำนองเพลงไว้หลายตอน และยังได้กำหนดผู้แสดงไว้ด้วย อีกทั้ง ยังโปรดให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ออกแบบภาพเครื่องแต่งตัวละคร