The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สารานุกรมนาฏศิลป์ เนื้อหาภาคกลาง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Teekapat Sontinuch, 2023-06-30 01:22:11

สารานุกรมนาฏศิลป์ เนื้อหาภาคกลาง

สารานุกรมนาฏศิลป์ เนื้อหาภาคกลาง

น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 150 อาจารย์ธนิต อยู่โพธิ์ ได้มีโอกาสสอบถามนักโบราณคดีชาวพม่าผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้นำชมพิพิธภัณฑ์สถาน แห่งชาติและโบราณสถานต่าง ๆ ถึงเรื่องกลองยาว หรือ “โอสิ” ว่า มีกำเนิดเป็นมาอย่างไร นักโบราณคดีพม่า ตอบว่า กลองยาวพม่าได้มาจากไทยใหญ่อีกต่อหนึ่ง (คงเป็นกลองปู่เจ่หรือกลองก้นยาว : ผู้เขียน) กลองยาวแบบของพม่า ที่เรียกว่า “โอสิ” นี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลองของชาวไทยอาหมในแคว้น อัสสัม เว้นแต่ของกลองชาวไทยอาหม มีรูปร่างคล้ายตะโพน คือ หัวท้ายเล็ก กลางป่อง ใบเล็กกว่าตะโพน ขึ้น หนังทั้งสองข้าง ผูกสายสะพายตีได้ ตามที่เห็นวิธีเล่น ทั้งกลองยาวของพม่าและกลองของชาวไทยอาหม ดู วิธีการเล่นเป็นแบบเดียวกัน อาจเลียนแบบการเล่นไปจากกันก็ได้ เมื่อกลองยาวแพร่หลายเข้ามาในกรุงเทพมหานคร ปรากฎว่านักดนตรีที่บรรเลงอยู่ในวงปี่พาทย์ ประกอบการแสดงละครของคณะเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง (เพ็ง เพ็ญกุล) ได้นำเอาวิธีการเล่นกลองยาวมา ใช้ประกอบการแสดงละครพันทางเรื่อง ราชาธิราช ตอน ยกทัพพม่า และเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน พลายเพชร พลายบัวออกศึก ในราวปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ มีเนื้อร้องใน “เพลงกราวรำพม่า” ว่า มัดคบ ครบมือ ถือชุดไฟ พอดึกได้ เวลา คนนอนหลับ ดาวเดือน เกลื่อนเมฆ มัวพะยับ โห่สำทับ อึงมี่ ตีกลองยาว ทั้งเถิดเทิง เปิงมาง ฉ่างแฉ่ง คบแดง ดาดดง ส่งเสียงฉาว พลหุ่น หนุนแน่น เป็นระนาว เสียงเกรียวกราว เคลื่อนทัพ ไปฉับพลัน นอกจากละครพันทางแล้ว ในการแสดงละครอิงประวัติศาสตร์ของหลวงวิจิตรวาทการ เรื่อง เจ้าหญิง แสนหวี ที่แสดง ณ โรงละครกรมศิลปากร ในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้นำเอาลีลาการเล่นกลองยาว ประกอบเป็นระบำไว้ในละครเรื่องนี้ด้วย เรียกว่าชุด “กลองยาวเขมรัฐ” การเล่นกลองยาวไม่ได้มีเพียงในการ แสดงละครเท่านั้น ในงานนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ก็ถือเป็นประเพณีนิยมที่จัดการเล่นกลองยาวไว้สืบมาจนทุกวันนี้ องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี การเล่น “รำเถิดเทิง” ของกรมศิลปากรนี้ มีมาตรฐานตายตัว ผู้เล่นทั้งหมดต้องได้รับการฝึกฝนมา ก่อน คนดูจะได้เห็นความงามและความสนุกสนาน แม้จะไม่ได้ร่วมเล่นด้วยก็ตาม จำนวนผู้แสดงแบบนี้จะมีเป็น ชุด คือ พวกตีเครื่องประกอบจังหวะ คนตีกลองยืน คนตีกลองรำ และผู้หญิงที่รำล่อ พวกตีประกอบจังหวะ จะ ร้องเพลงประกอบ เพื่อเร่งเร้าอารมณ์ให้สนุกสนานในขณะที่ตีด้วย บางคำก็เป็นคำสองแง่สองง่ามคล้ายเพลง พื้นบ้าน เช่น ๑. มาละโหวย มาละวา มาแต่ของเขา ของเราไม่มา ตะละลา หุย ฮา


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 151 ๒. มาละโหวย มาละวา (รับ) มาแต่ของเขา ของเราไม่มา อยู่เดียวเปลี่ยวเอกา เมื่อไหร่จะมาซักทีเอย เอ๋ย โอละหน่าย โอละหน่าย หน่อยเอย เอ้อ เอ่อ เฮ้อ เอย...... ๓. ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว (รับ) ใครมีลูกสาว มาแลกลูกเขย (รับ) เอาวะ เอาเหวย ลูกเขยกลองยาว ตะละลา หุย ฮา ๔. ต้อนไว้ ต้อนไว้ เอาไปบ้านเรา (รับ) พ่อก็แก่ แม่ก็เฒ่า (รับ) เอาไปหุงข้าว ให้พ่อเรากิน พ่อไม่อยู่ ให้ปู่เรากิน ปู่ไม่กิน เรากินเอง ตะละลา ๕. เจ๊กตาย ลอยน้ำมา (รับ) ไม่นุ่งผ้า ชะฎาแหลมเปี๊ยบ ตะละลา ๖. น่าดู อีหนูเสื้อแดง (รับ) อีหนูเสื้อแดง หน้าแดงน่าดู ตะละลา ๗. เธอจ้ะเธอจ๋า เธอเกาอะไร (รับ) เกาโน่นเกานี่ เกา...หวี...ทำไม ตะละลา ๘. กอ ขอ กอ กี (รับ) แม่ม่ายนอนหลับ ขยับทุกที ตะละลา ๙. ทิงโนงโท้งโนง นกกิ้งโครงมาจับหลังคา จับแมวแจวเรือ จับเอาเสือไถนา จับเป็ดจับไก่ มาจับเอาไข่พ่อตา จับโน่นจับจับนี่ มาจับเอา..หวี..แม่ยาย ตะละลา ๑๐. ใครมีดอกจิก มาแลกดอกจอก (รับ) ใครมีดอกจอก มาแลกดอกจาก (รับ) แม่ค้าขายหมาก นมยานโตงเตง ตะละลา ๑๑. เอ้า โห่โห้โห่ (รับ) เอ้า เห่เฮ้เห่ (รับ) โห่น่า เห่น่า โห่น่า เห่น่า ตะละลา ๑๒. ลอยหน้า ลอยตา เชิ้บ เชิ้บ.... ลอยหน้า ลอยตา เชิ้บ เชิ้บ ๑๓. (ต้นเสียง) ไอ้ลูกกลมๆ (ลูกคู่) เขาเรียกมะนาว (ต้นเสียง) ไอ้ลูกยาวๆ (ลูกคู่) เขาเรียกมะดัน (ต้นเสียง) สองอันติดกัน (ลูกคู่) ไม่บอกๆ ตะลาลา หุย ฮา ๑๔. (ต้นเสียง) ไอ้ลูกกลมๆ (ลูกคู่) เขาเรียกมะนาว (ต้นเสียง) ไอ้ลูกยาวๆ (ลูกคู่) เขาเรียกมะดัน (ต้นเสียง) ไอ้ลูกสั้นๆ (ลูกคู่) เขาเรียกพุทรา ตะลาลา หุย ฮา


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 152 ๑๕. (ต้นเสียง) ไอ้ลูกกลมๆ (ลูกคู่) เขาเรียกมะนาว (ต้นเสียง) ไอ้ลูกยาวๆ (ลูกคู่) เขาเรียกมะเขือ (ต้นเสียง) เอาไปบ้านเหนือ (ลูกคู่) เอาไปฝากเนื้อเย็น ตะลาลา หุย ฮา ๑๖. (ต้นเสียง) แบะแบ แบะแบ (ลูกคู่) แบะแบ แบะแบ (ต้นเสียง) ลูกควายหลงแม่ (ลูกคู่) ไปกินนมใคร (ต้นเสียง) กินนมตั๊กแตน (ลูกคู่) ท้องแบนท้องควาย ตะละลา ๑๗. ทิงโนง โน้งโนง นกกิ้งโครงมาเกาะหลังคา จับแมวแจวเรือ จับเสือไถนา จับเป็ดจับไก่ ไปจับเอาไข่พ่อตา จับโน่นจับนี่ ไปจับเอา..หวี..แม่ยาย ตะละลา ๑๘. แดงแจ้ด แดงแจ้ด แดงแจ๋ แดงแจ้ดแจ๋ แดงแจ๋ แดงแจ๊ด ตะละลา ๑๙. ดำปิ้ด ดำปิ้ด ดำปี๋ ดำปิ้ดปี๋ ดำปี๋ดำปิ้ด ตะละลา (สมภพ เพ็ญจันทร์, ออนไลน์) ดนตรี ดนตรีในการประกอบการแสดงประกอบด้วย กลองยาว ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง หากเป็นการแสดงที่ มีเวทีหรือในโรงละครจะมีการใช้ระนาด เพื่อเพิ่มอรรถรสความน่าสนใจในการรับฟัง ผู้แสดง การแสดงรำกลองยาวมีรูปแบบในการแบ่งนักแสดงออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.นักแสดงชายและหญิง 2.นักแสดงหญิงล้วน อุปกรณ์การแสดง อุปกรณ์ประกอบการแสดง คือ กลองยาว ที่ชายชายจะต้องเป็นคนแบกไว้และต้องตีตามจังหวะให้ ถูกต้องตามนักดนตรีที่บรรเลงไป การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) การเล่น “รำเถิดเทิง” ที่กรมศิลปากรปรับปรุงใหม่ ได้กำหนดให้มีแบบแผนลีลาท่ารำ โดยกำหนดให้มี “กลองรำ” และ “กลองยืน” ด้วย - กลองรำ หมายถึง ผู้ที่แสดงที่สะพายกลองและมีลวดลายลีลาในการร่ายรำด้วย - กลองยืน หมายถึง ผู้สะพายกลอง มีหน้าที่ตียืนให้จังหวะในการรำ เสาวรักษ์ ยมะคุปต์(สัมภาษณ์, 20 ตุลาคม 2565) ได้กล่าวว่า “รูปแบบการแสดงมีบ้างที่ปรับเพื่อให้เหมาะกับการแสดง ในครั้งหนึ่งที่นำไปทำการแสดง


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 153 ในท่าที่ผู้หญิงตีกลองอยู่กับที่ คุณครูศิริวัฒน์ท่านให้เดินตีกลองตามรอบเป็นวงกลม ให้มีความสวยงาม พิศดารขึ้นเป็นต้น แต่กระบวนท่ารำยังคงเดิม” ดังนั้น จึงทำให้ทราบได้ว่าการแสดงพื้นบ้านรำกลองยาวยังคงมีอยู่ในปัจจุบันและได้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบให้เหมาะสมกับยุคสมัย เพิ่มเติมลูกเล่นในกระบวนท่ารำและเครื่องแต่งกายให้สวยงามขึ้น เครื่องแต่งกาย การแต่งกายในอดีตแต่งกายเลียนแบบอย่างพม่า หรือจะให้สวยงามตามความพอใจก็ได้ใส่เสื้อแขน กว้างและยาวถึงข้อมือ นุ่งโสร่งตา มีผ้า โพกศีรษะ ในปัจจุบันมีการแต่งกายคล้ายคลึงแบบเดิมแต่มีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยมากขึ้น คือ ชาย - สวมเสื้อคอกลมแขนสั้น กางเกงคลุมเข่า ผ้าโพกศีรษะ ผ้าคาดเอว หญิง - สวมเสื้อแขนยาว ห่มสไบทับ นุ่งผ้าถุงยาว สวมเครื่องประดับ สร้อยคอ ต่างหู กำไลข้อมือ เข็มขัด ทรงผมรวมครึ่งศีรษะทัดดอกไม้ฝั่งขวา โรงละคร การแสดงรำกลองยาวในอดีตนิยมแสดงหรือเล่นลานกลางแจ้งทั่วไป แต่ในปัจจุบันนิยมแสดงในงาน รื่นเริง แสดงงานเลี้ยงต้อนรับ งานตรุษ งานสงกรานต์ งานแห่กฐิน แห่พระ หรืองานที่ต้องแห่ขบวนและ เคลื่อนแถวไปพร้อมกับขบวน เป็นต้น รำวงพื้นบ้าน รำวงพื้นบ้านดอนคา ตำบลดอนคา อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์มีมาตั้งแต่สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยมีครูทอง ไม่ทราบนามสกุล เป็นผู้ฝึกสอนเพลงรำวงพื้นบ้านดอนคาให้กับนายสมบูรณ์ ศรีบรรเทา นางเมี้ยน ศรมาก นางมา รอดรักษา นายปลูก เสือน้อย นายใบ ศรีบรรเทาและเพื่อนๆ ได้รวมตัวกันเล่น รำวงพื้นบ้าน ตระเวนเล่นตามหมู่บ้านต่าง ๆ ทั้งในอำเภอและต่างอำเภอเรียกชื่อกลุ่มของตัวเองว่า รำวงบ้าน ดอนคา ตำบลดอนคาถือได้ว่าเป็นตำบลที่มีการส่งเสริมการเล่นรำวงพื้นบ้าน เนื่องจากมีศิลปิน พื้นบ้านรวมทั้ง พ่อเพลงแม่เพลงอยู่หลายท่าน นับได้ว่าเป็นตำบลที่รักษาศิลปวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นชนิดนี้ไว้เป็นอย่างดี องค์ประกอบของการแสดง บทละครและวรรณคดี


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 154 เพลงที่ใช้ร้องในเพลงร าวงพื้นบ้านนิยมร้องโดยก าหนดเนื้อเพลงตามเทศกาลต่าง ๆ เป็นท านองเดียวกันหมด คุณตาสมบูรณ์ ศรีบรรเทา คุณยายมา รอดรักษา กล่าวว่า จะต้องจ าเนื้อเพลง ให้ได้ จึงจะคิดท่าร าตามความหมายของ เนื้อเพลง ท่าร าประกอบเพลง ผู้เล่นจะร้องและร าตาม ความหมายของเนื้อเพลงเน้นความสนุกสนาน บางคนคิดท่าร าตาม แบบของตน เพลงประเภทที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีประจ าท้องถิ่น ได้แก่เพลงชักชวนสาวงาม มีเนื้อร้องดังนี้ ชักชวนสาวงามมาเล่นฟ้อนร าถวายหลวงพ่อ อนิจจารูปหล่อคิ้วต่อยักคิ้วข้างเดียว ขาไปเอาเรือยนต์ไปรับกลับสิอะไรน ้าเชี่ยว โอ้แม่ทองเฟื้อเดี๋ยวไปเที่ยวที่บ้านดอนคา(ซ ้า) ไปไหมเล่าจ๊ะหรือจะไม่แน่นอน ไปไหมจ๊ะหล่อนดอนคาที่เราคอยไป (ซ ้า) เพลงชักชวนสาวงาม มีลักษณะค าประพันธ์เป็นกลอนเพลงปฏิพากย์มีจ านวนค าในแต่ละวรรคประมาณ 9-14 ค า มีค าสัมผัสกับค าที่ 5 ของวรรคที่ 2 และค าสุดท้ายในวรรคที่ 3 จะสัมผัสกับ ค าสุดท้ายในวรรคที่ 2 และ ค าที่ 5 ของ วรรคที่ 4 เพลงประเภทที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้าน ที่แสดงถึงความรัก การเกี้ยว พาราสี ระหว่างหนุ่มสาว ได้แก่ เพลงเจ้าแก้วสาลิกา และเพลงบ้านอยู่เหนือเมืองแมน เพลง เจ้าแก้วสาริกา โอ้เจ้าแก้วสาลิกาโผมาจะไปไหนแน่ สองตาคอยแล (ซ ้า) จะระล้า ระลัง ถ้ามีคู่ยังกับนกกอดกกมิให้เหินห่าง ความรักกับแม่ร้อยชั่ง (ซ ้า) แทบจะขาดใจเอย โน่นแน่ะโพธิ์เฉลงคัดค้าวตาเคี่ยน เตงลังยืนเรียง (ซ ้า) โน่นแน่ะแคชายเอ๋ย (ซ ้า) โอ้เจ้าดอกดอกเอยเอาฮาไฮ้ (ซ ้า) เจ้าดอกดาวเรือง ฉันรักแม่คนเสื้อเหลืองหัวใจจะขาดรอนเอย เพลงเจ้าแก้วสาริกา เป็นเพลงพื้นบ้านที่จักอยู่ในประเภทกลอนเพลงปฏิพากย์มีจ านวนตัวอักษรแต่ละวรรค ประมาณ 9-12 ค า มีสัมผัสระหว่างวรรค โดยค าร้องค าสุดท้าย ในวรรคที่ 1 จะสัมผัสกับค าที่ 4 หรือ 6 ของวรรคที่ 2 และ ค าสุดท้ายในวรรคที่ 3 จะสัมผัสกับที่ 4 หรือ 6 ของวรรคที่ 4 ดนตรี เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงเพลงร าวงพื้นบ้าน ได้แก ร ามะนาล าตัด มีขนาดใหญ่ หน้ากว้างประมาณ 48 ซม. ตัวร ามะนายาวประมาณ 13 ซม. ขึ้นหนังหน้าเดียว ใช้เส้นหวายผ่าซีก โยงระหว่างขอบหน้ากับวงเหล็กซึ่งรองก้น ใช้เป็น ขอบของตัวร ามะนาและใช้ไม้ลิ่มหลายๆ อัน ตอกเร่งเสียงระหว่างวงเหล็กกับก้นร ามะนา ร ามะนาชนิดนี้แต่เดิมใช้ ประกอบการร้องเพลง “บันตน” ซึ่งเข้าใจว่าได้แบบอย่างมาจากชวาและเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยเมื่อในรัชกาลที่5 ในตอนหลังนี้ยังใช้ประกอบการเล่น “ล าตัด” และ “ลิเกล าตัด” หรือ “ลิเกร ามะนา” และเดี๋ยวนี้รู้จักกันแพร่หลาย ใน


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 155 การใช้ประกอบการเล่นล าตัดวงหนึ่งๆ จะมีร ามะนาสักกี่ลูกก็ได้ คนนั่งล้อมวงและร้องเป็นลูกคู่ไปด้วย ซึ่งในเขตของต าบล ดอนคานั้นใช้ ร านาล าตัด เป็นเครื่องดนตรีประกอบการร าส าหรับเครื่องดนตรีของเพลงพื้นบ้านร าวงพื้นบ้าน ต าบลดอนคา นั้นมีร ามะนาใช้เครื่องดนตรีประกอบจังหวะอื่น ได้แก่ ฉิ่ง ผู้แสดง ผู้แสดงการรำวงพื้นบ้านใช้ชายจริง หญิงแท้ ในการแสดง ที่มา https://ir.swu.ac.th/jspui/bitstream/123456789/3885/2/Lerpong_K.pdf การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง) เลอพงศ์ กัณหา, (2554) กล่าวว่า เพลงรำวงพื้นบ้านดอนคา ตำบลดอนคา อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนมากจะเป็นบทเพลงที่แสดงถึงความรัก การเกี้ยวพาราสี มีการใช้ภาษาง่ายๆ กระชับ เรื่องราวใกล้ตัว ซึ่งทำให้ง่ายต่อการจำ ซึ่งแบ่งประเภทได้ดังนี้ 1.เพลงประเภทเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา 2.เพลงประเภทสะท้อนสภาพบ้านเมือง 3.เพลงประเภทเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณี 4.เพลงที่แสดงถึงความรัก การเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว 5.เพลงประเภทอำลาการแสดง รูปแบบของเพลงรำวงพื้นบ้านดอนคา ฉันทลักษณ์ของเพลงจะเป็นแบบกลอนสดและ ผสมผสานกัน ของกลอน 4 กลอน 6 และกลอน 8 เพลงรำวงพื้นบ้านดอนคานี้จะให้ความสำคัญกับ เนื้อเพลงมากกว่า ฉันท ลักษณ์ เพลงรำวงพื้นบ้านดอนคาส่วนมากจะมี 2-4 ท่อนสั้นๆ มีการร้องซ้ำ วนไปมา มาตราเสียงของเพลง พื้นบ้านดอนคาจะใช้บันไดเสียงแบบ 5 เสียง (Pentatonic Scale) คือ มีเสียงหลัก 5 เสียง รูปแบบจังหวะ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 156 รำมะนาหน้าทับมีความยาว 2 หน้าทับเพลงตีวนซํ้าไปตลอดเพลง การจบของเพลงพื้นบ้านดอนคาไม่ จำเป็นต้องจบแบบสมบูรณ์ เพราะเพลงพื้นบ้านดอนคาเป็นเพลงที่ต้องร้องซ้ำละมีการร้องส่งต่อกันไปตลอด เพลงที่นำมาศึกษาในครั้งนี้มีด้วยกันทั้งหมด 6 เพลง ได้แก่ เพลงมาลาพวงดอกไม้ เพลงนครสวรรค์ของเรา เพลงเจ้าแก้วสาลิกา เพลงชักชวนสาวงาม เพลงบ้านอยู่เหนือเมืองแมน และเพลงลาที ซึ่งมีช่วงทำนองเพลง เนื้อหาสาระและลักษณะของเพลง บ่งบอกถึงความเป็นเพลงรำวงพื้นบ้านของไทย ท่าประกอบเพลงรำวงพื้นบ้าน การเล่นเพลงรำวงพื้นบ้านนั้นต้องร้องพร้อมกับรำโดยท่าประกอบใน แต่ละเพลงยึดความหมายของเพลงเป็นหลัก คือ ใช้ความหมายที่แสดงความหมายของเนื้อเพลง การถ่ายทอด เพลงรำวงพื้นบ้านผู้รับไม่นิยมดัดแปลง แต่เมื่อผ่านมาหลายยุคหลายสมัยหรือแพร่ไปต่างถิ่นก็ต้องมีความ แตกต่างไปจากเดิมบ้าง บางครั้งก็เปลี่ยนแปลงบางครั้งก็ขาดหายไปหรือบางครั้งก็เพิ่มเติมเนื้อร้องและท่ารำ นอกจากได้รับการถ่ายทอดแล้วผู้เล่นคนใดมีความสามารถก็แต่งขึ้นในขณะที่เล่นและรําประกอบได้เลย เพลงรําวงพื้นบ้านจึงเกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลาแต่ละท้องถิ่นก็มีเพลงไม่เหมือนกันและในขณะเดียวกัน เพลงที่ไม่ได้รับความนิยมก็ถูกลืมไปด้วย ท่ารำของรำวงพื้นบ้านเป็นท่าธรรมชาติที่ตีบทตามความหมายของ เนื้อเพลงดังนี้ 1. ท่าไหว้ เมื่อกล่าวถึงพุทธศาสนา หรือผู้มีพระคุณ ทำท่าพนมมือไว้ข้าง หรือบนศีรษะข้างใดข้าง หนึ่ง 2. ท่าเคารพธงชาติ เมื่อกล่าวการทำความเคารพธงชาติ ชาย-ทำท่าคำนับ หญิง-ทำท่าถอนสายบัว 3. ท่าไว้มือ เมื่อกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ หรือผู้สูงศักดิ์ ทำท่าไว้มือคือยกมือข้างใดข้างหนึ่งขึ้นเหนือ ศีรษะตะแคงมือ ปลายนิ้วชี้ไปด้านหน้า 4. ท่าปฏิเสธ เมื่อกล่าวว่าไม่เคย ไม่รำ ไม่เห็น ทำท่าตั้งมือทั้งสองข้างขึ้นข้างลำตัวข้างใดข้างหนึ่ง ระดับอกหันหน้าไปคนละทางกับมือที่ตั้งขึ้นแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย 5. ท่ารัก เมื่อกล่าวถึงความรัก ทำท่าประสานมือไว้บนอก 6. ท่าเท้าสะเอว ในการรำวงพื้นบ้านฝ่ายหญิงเมื่อมีมือข้างใดข้างหนึ่งจะทำท่าสะเอวโดยใช้นิ้วชี้แตะ ที่สะโพก ส่วนชายทำท่าเท้าสะเอวตามปกติ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 157 ที่มา https://ir.swu.ac.th/jspui/bitstream/123456789/3885/2/Lerpong_K.pdf เครื่องแต่งกาย การแต่งกายของผู้แสดงเพลงรำวงพื้นบ้าน วัฒนธรรมการแต่งกายของผู้แสดง เพลงรําวงพื้นบ้าน ดอนคา พ่อเพลงแม่เพลงจะสวมเสื้อลายดอก และนุ่งโจงกระเบน ผู้ชายจะมีผ้าขาวม้าพาดไหล่ โรงละคร โอกาสที่แสดงเพลงรําวงพื้นบ้าน เพลงรําวงพื้นบ้านดอนคาใช้แสดงได้ทุกโอกาส เช่น งานแก้บน งาน บวช งานวันสงกรานต์ งานวันลอยกระทงตามหมู่บ้าน แต่งานที่ไม่นิยมแสดงเลยคือ งานอวมงคลหรืองานศพ สถานที่ในการแสดงคือพื้นที่โล่ง กลางแจ้งหรือในร่มก็ได้ สถาบันการศึกษา/การฝึกหัด-ถ่ายทอด การสืบทอดเพลงรำวงพื้นบ้าน การสืบทอดเพลงรำวงพื้นบ้านดอนคา มีการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ด้วยวิธีการเรียนรู้แบบธรรมชาติ คือการเล่นเพลงร่วมกัน การได้ดูได้ฟังแล้วจำมาร้องมาเล่นโดยไม่มีการสอนกัน เรียกว่าเป็นการฝึกแบบครูพักลักจำในช่วงแรกๆ จะมีพ่อเพลงแม่เพลงช่วยกันคิดแต่งขึ้นมาร้องเล่น เมื่อเห็นว่า สนุกสนานดีจึงกลายเป็นที่ชื่นชอบและจดจํากันต่อมา และมีการเพิ่มเติมการรำไปตามบทร้องจนเป็นเอกลักษณ์ ของเพลงแต่ละเพลง เพลงรำวงพื้นบ้านดอนคาที่ใช้ร้องเล่นกันอยู่เป็นเพลงประจำถิ่นที่มีการร้องมาตั้งแต่ดั้งเดิม มีลักษณะเฉพาะตรงตัวที่ใช้ภาษาเดิมเป็นส่วนใหญ่ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงภาษา อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง สำนวนในเนื้อร้องให้ทันสมัยเหมือนในบางท้องถิ่น บางส่วนก็นํามาจากถิ่นอื่นบ้าง เนื่องจากมีการสื่อสารมาก ขึ้นมีการอพยพย้ายถิ่นฐานที่อยู่ทำให้มีการละเล่นต่าง ๆ เข้ามาในท้องถิ่นมีวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมครั้ง ยิ่งใหญ่เกิดจากความคิดของผู้นำประเทศ ส่งผลให้วัฒนธรรมท้องถิ่นโดยทั่วไปด้านการแต่งกาย ความเป็นอยู่ ภาษา รวมทั้งการละเล่นพื้นบ้านเปลี่ยนแปลงไป เพลงรำวงพื้นบ้านดอนคาค่อย ๆ หายไปพร้อมกับการ เปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การดำรงชีวิตที่ต้องเร่งรีบ การแทรกแซงของวัฒนธรรมตะวันตกที่มาพร้อมกับสื่อ


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 158 ต่าง ๆ ทำให้บทเพลง บางเพลงสูญหายไป เพราะไม่มีการสืบทอดให้กับลูกหลาน เช่น เพลงแปดนาฬิกา เพลง ไตรรงค์ธงไทย แต่นับว่ายังมีผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่เคยได้ยินได้ฟังดังกล่าวสามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ สามารถร้องให้ฟังได้ จารีต ขนบประเพณี ความเชื่อ ด้านค่านิยมในเพลงรําวงพื้นบ้านดอนคาในการร้องเพลง รำวงพื้นบ้านดอนคาได้แสดงให้เห็นถึง ค่านิยมในการให้ความเคารพ นับถือ ครูบาอาจารย์ การปฏิบัติตนตามจารีตประเพณี การนับถือ สิ่งศักดิสิทธิ์ การเกี้ยวพาราสี ที่มักเอ่ยถึงในบทเพลงรําวงพื้นบ้านดอนคา เรื่องราวของความรักในเพลงรําวงพื้นบ้านดอน คาเป็นเรื่องหนึ่งที่นิยมนำมาใช้เป็นบทขับร้อง โดยส่วนใหญ่จะมีการพูดถึงความรักในแบบหนุ่มสาวมิใช่บทชิง รักหักสวาท เป็นเพียงแค่การเกี้ยวพาราสีเป็นบทผูกรักเท่านั้น ส่วนการว่ากล่าวกันในเรื่องบทร้องโต้ตอบกัน ของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็เป็นเรื่องที่นิยมทำกัน เพราะในกลุ่มผู้ร้องมักจะไม่มีการถือสาหาความกัน เพราะ ถือว่าเป็นการเล่นเป็นการแสดงชิงไหว ชิงพริบกัน ความสำคัญที่การใช้กลอนที่มีความสัมผัสคล้องจองกันดี ก็ จะทำให้เกิดความสนุกสนาน ไม่น่าเบื่อเพลงประเภทนี้จะได้พบในเพลงโลมที่มีการต่อว่าต่อกันของฝายหญิง และฝ่ายชาย หุ่น ประเทศไทยมีหลักฐานเป็นเอกสารแสดงว่า มีการเล่นหุ่น เป็นเครื่องบันเทิง หรือมหรสพมาตั้งแต่สมัย อยุธยาตอนกลางซึ่งหลักฐานที่แสดงว่า มีการเล่นหุ่น ปรากฏอยู่ในบันทึก ทั้งที่เป็นหมายรับสั่ง สมุดไทย วรรณกรรม และวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่แผ่นดิน สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เรื่อยมาจนถึงแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ในสมัยอยุธยาตอนปลายและต่อมาจนถึงสมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ โดย ระบุไว้ว่า มีการแสดงหุ่นในงานฉลอง และสมโภชทั้งในพิธีหลวง เช่น งานออกพระเมรุและในพิธีราษฎร์ต่าง ๆ แต่การแสดงหุ่น ดังที่ปรากฏในบันทึกต่าง ๆ เหล่านั้น สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นการเล่นหุ่นหลวง มิใช่การเล่น หุ่นกระบอกซึ่งมีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดขึ้นและนิยมกันอย่างแพร่หลาย ในสมัยรัชกาลที่ 5 (สารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน เล่มที่ 32, ออนไลน์) นายจักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ ได้ให้คำจำกัดความของหุ่นหลวง ในสารานุกรม วัฒนธรรมไทยภาคกลาง ไว้ว่า "หุ่นหลวง เป็นศิลปะการแสดงชนิดหนึ่ง ที่ใช้วัสดุมาประดิษฐ์ ให้มีรูปร่างท่าทางเหมือนคน มีขนาด ใหญ่ สูงถึง 1 เมตร มีคนเชิดและชัก ให้เคลื่อนไหว หุ่นหลวงเป็นมหรสพของหลวง ที่มีมาแต่สมัยอยุธยา"


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 159 ส่วนลักษณะและเครื่องแต่งกายของหุ่นหลวงก็ได้อธิบายไว้ว่า ตัวหุ่นทำด้วยไม้ คว้านให้บางเบา เฉพาะที่ส่วน เอวของตัวหุ่น ใช้เส้นหวายขดซ้อนกัน เพื่อให้เคลื่อนไหวได้ นอกจากนี้ มีเชือกร้อยจากนิ้วมือ ผ่านตามลำแขน เข้าสู่ลำตัวของหุ่น เพื่อให้มือและแขนขยับได้ ส่วนเท้านั้นติดไว้กับแข้งและขา กระดิกไม่ได้เหมือนมือ จากข้าง ในของลำตัวมีแกนไม้ยาว สำหรับคนเชิดจับ ยื่นออกมาจากส่วนก้นของหุ่น "...ตัว หุ่นหลวงเหล่านี้ ถึงจะมี ขนาดเขื่องกว่าตัวหุ่นกระบอก แต่ก็มีน้ำหนักเบากว่ามาก ฝีมือการประดิษฐ์ก็ล้วนวิจิตร ประณีต สมกับที่ได้ชื่อ ว่า ‘หุ่น หลวง’ โดยแท้... ส่วนเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับหุ่นหลวง มีลักษณะคล้ายกับ เครื่องแต่งกาย ของโขน ละคร..." วิธีเชิดเล่นหุ่นหลวงนั้น นายจักรพันธุ์ โปษยกฤต ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า ผู้เชิดคงจะเชิดหุ่นให้อยู่เหนือ ระดับศีรษะ โดยผู้เชิดยืนจับแกนไม้ที่บังคับตัวหุ่น ยกชูขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างหนึ่ง คอยบังคับ สายชัก ที่ร้อยจากอวัยวะต่าง ๆ ของหุ่นให้ออกมาทางก้น โดยห้อยลงมารวมกันที่แป้นไม้ ที่ตรึงติดอยู่กับแกน ไม้ชิ้นที่สำหรับจับเชิด นอกจากหุ่นหลวงซึ่งเป็นมหรสพที่เล่นในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่มีมาแต่เดิมแล้ว ในรัช สมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมีการประดิษฐ์หุ่น ที่มีขนาดความสูงประมาณ 50 เซนติเมตร เรียกกันว่า หุ่นเล็ก ด้วยเหตุนี้ ต่อมาจึงมีผู้เรียกหุ่นหลวงว่า "หุ่น ใหญ่" ตามขนาดของหุ่น ผู้ ประดิษฐ์หุ่นเล็ก คือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ โดยทรงประดิษฐ์ขึ้น 2 แบบ คือ หุ่นจีน เป็นลักษณะหุ่นมือ ใช้นิ้วเชิดบังคับให้เคลื่อนไหว หัว และหน้า เขียนสีต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องแต่งกายเหมือนอย่างงิ้ว หุ่นจีนใช้เล่น เรื่องของจีน เช่น ซวยงัก สามก๊ก ส่วน หุ่นไทย ซึ่งมีขนาดเท่าหุ่นจีน เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ มี ลักษณะเช่นเดียวกับหุ่นหลวง ใช้เล่นเรื่องรามเกียรติ์ หุ่นไทยเป็นหุ่นชักอย่างหุ่นหลวง หุ่นจีน และหุ่นไทย ของ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญสร้างขึ้นอย่างวิจิตรประณีต ทั้งหุ่นจีน และหุ่นไทยนี้ ยังเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน โดย ตั้งแสดงไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร อนึ่ง ยังมีการเล่นแสดงหุ่นอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า ละครเล็ก ซึ่งสันนิษฐานว่า เริ่มมีการเล่นเป็นมหรสพ ราว พ.ศ. 2444 โดยนายแกร ศัพทวนิช เป็นผู้ริเริ่มสร้างขึ้น ตัวหุ่นมีขนาดสูงประมาณ 1 เมตร สร้างขึ้น เลียนแบบหุ่นหลวง และหุ่นเล็ก แต่ต่างกันที่การบังคับหุ่น และลีลาการเชิด ซึ่งเป็นศิลปะ ที่คิดสร้างสรรค์ขึ้น ใหม่ ต่อมา เมื่อนายแกรถึงแก่กรรม นายทองอยู่ ศัพทวนิช ลูกชาย และนางทองหยิบ ลูกสะใภ้ ได้รับการสืบ ทอดต่อมาจนถึงวัยชรา จึงได้มอบตัวหุ่นละครเล็กที่ยังเหลืออยู่บ้างให้แก่ นายสาคร ยังเขียวสด (ปัจจุบันเป็นที่ รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ในนามของโจหลุยส์) ซึ่งเป็นลูกของคนเชิดในคณะละครเล็ก ของนายแกร ตัวหุ่นละคร เล็กที่นายแกรสร้างไว้ ซึ่งยังเหลืออยู่เพียง 30 ตัว ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เมืองโบราณ จังหวัดสมุทรปรากา แต่เดิมตัวหุ่นละครเล็กที่สำคัญและเป็นตัวนายโรงจะใช้ผู้เชิด 3 คน ส่วนตัวนาง และตัวตลกอื่น ๆ จะ ใช้ผู้เชิด 2 คนบ้าง หรือ 1 คนบ้าง เรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นละคร เช่น พระอภัยมณี แก้วหน้าม้า จนกระทั่ง นายสาคร ยังเขียวสด ได้สร้างหุ่นละครเล็กขึ้นมาใหม่ และมีการพัฒนารูปแบบในการเชิด ให้ออกมาเชิดอยู่


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 160 ด้านนอก เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นลีลาของผู้เชิดไปพร้อม ๆ กับหุ่น โดยหุ่น 1 ตัว ใช้ผู้เชิด 3 คน และมีการถ่ายทอดสู่ บุตรชายหญิง โดยจัดตั้งคณะหุ่นขึ้นครั้งแรก ใช้ชื่อว่า คณะสาครนาฏศิลป์ละครเล็กหลานครูแกร และได้ก่อตั้ง โรงละคร สำหรับจัดแสดงหุ่นละครเล็กขึ้นเป็นครั้งแรก ในประเทศไทย ซึ่งรู้จักกันในนาม นาฏยศาลา หุ่นละคร เล็ก (โจหลุยส์) การแสดงละครหุ่นของไทยมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น และได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงมาตลอด แบ่งได้เป็น 4 ประเภท 1. หุ่นหลวง 2. หุ่นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ 3. หุ่นกระบอก 4. หุ่นละครเล็ก ประวัติความเป็นมา ที่มา https://mgronline.com/qol/detail/9600000105350 1.หุ่นหลวง เป็นการแสดงละครหุ่นของไทยประเภทหนึ่ง ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และ เลิกเล่นเมื่อปลายรัชกาลที่ 5 ลักษณะของหุ่นหลวงมีความสูงประมาณ 1 เมตร เครื่องแต่งกายของหุ่นหลวง คล้ายกับเครื่องแต่งกายของโขนหรือละคร การเชิดหุ่นหลวงยืนเชิดด้วยคนคนเดียว ที่มา https://chakrabhand.org/chakrabhand_foundation/index01_4.asp


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 161 2.หุ่นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นหุ่นที่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ใน สมัยรัชกาลที่ 5 สร้างขึ้น มี 2 ชนิด คือ หุ่นจีนและหุ่นไทย หุ่นทั้งสองชนิดเป็นหุ่นขนาดเล็กสูงประมาณ 1 ฟุต 1. หุ่นจีน มีลักษณะเป็นหุ่นมือตระกูลฮกเกี้ยนเครื่องแต่งกายของหุ่นเลียนแบบเครื่อง แต่งกายของงิ้ว แต่ เป็นถุงผ้าสำหรับคลุมมือ มีขาและเท้า ใช้นิ้วเชิดบังคับให้เคลื่อนไหว 2. หุ่นไทย มีลักษณะผสมระหว่างหุ่นจีนและหุ่นหลวง คือ มีขนาดเท่าหุ่นจีน แต่ใช้เครื่องแต่งกายและ กลไลบังคับแบบหุ่นหลวง ที่มา https://chakrabhand.org/puppetry/index03.asp 2. หุ่นกระบอก เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดย ม.ร.ว. เถาะ ได้ประดิษฐ์ขึ้นมาเลียนแบบหุ่นของนายเหน่ง ที่อยู่หัวเมืองเหนือ แล้วตั้งคณะหุ่นกระบอกเพื่อออกเล่นทั่วไปจนได้รับความนิยม ลักษณะของหุ่น ประกอบด้วยไม้กระบอกยาวประมาณ 9 นิ้ว หัวหุ่นทุกหัวจะต้องมีแกนไม้ต่อจากคอหุ่นลงมาสำหรับ เสียบกับไม้กระบอกซึ่ง เป็นลำตัวของหุ่น เครื่องแต่งกายของหุ่นคล้ายกับโขนและละคร ที่มา https://saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=32&chap=2&page=t32-2- detail.html


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 162 3. หุ่นกระบอกเล็ก เป็นการแสดงละครหุ่นที่เกิดขึ้นหลังหุ่นกระบอกลักษณะของหุ่นมีความสูงประมาณ 1 เมตร มีลำตัวแขนขา และแต่งตัวเหมือนละครจริง การเชิดหุ่นในลักษณะเดียวกับหุ่นกระบอกใช้ผู้เชิดเพียง คนเดียว บทละครและวรรณคดี เรื่องที่ใช้แสดงหุ่นหลวง เรื่องที่ใช้แสดงหุ่นหลวง พบว่า ตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ได้แก่ เรื่องไชยทัด โสวัด สังศิลป์ชัย สุวรรณสังข์ (สังข์ทอง) ลินทอง พระรถ(เมรี)รามเกียรติ์ และต่อมาในสมัยรัชกาล ที่ 4 มีการนำเรื่องพระอภัยมณีของสุนทร (ภู่) มาเล่นเป็น การแสดงหุ่นหลวงด้วย แต่ภายหลังหุ่นหลวงในยุค ปัจจุบันมักนิยมนำเรื่องรามเกียรติ์มาแสดงมากกว่าทำให้เรื่องที่เล่นหุ่นหลวงที่สืบทอดมา ตั้งแต่สมัยอยุธยา เช่น ไชยทัด โสวัด ลินทอง พระรถ สังศิลป์ชัย ไม่นิยมน ามาแสดงและบทละครเหล่านี้ได้หายไปในที่สุด (สุรัตน์ จงดา,2556) ตัวละคร ตัวละครของหุ่นนั้นสร้างขึ้นมาตามบทละครหรือวรรณคดีที่มีอยู่ เช่น พระราม นางสีดา หนุมาน เป็นต้น ดนตรี วงดนตรีที่ใช้แสดงหุ่นหลวง เป็นเช่นเดียวกับวงดนตรีที่แสดงโขนละคร คือ การใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า แบบโบราณ และมีกล่าวถึงการใช้วงดนตรี 2 วง เช่นเดียวกับการแสดงโขน แต่มีเครื่องดนตรีพิเศษที่ประกอบ จังหวะอีกอย่างหนึ่งคือ “ส้าว” ไม้ไผ่ที่กระทุ้งให้เกิด จังหวะ แต่ในสมัยต่อมาไม่ปรากฏการใช้ส้าว อาจ เปลี่ยนเป็นโกร่งหรือกรับไม้ไผ่แทน(สุรัตน์ จงดา,2556) ผู้แสดง ผู้แสดงหรือผู้เชิดหุ่นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ แต่จะต้องเป็นผู้มีความรู้และพื้นฐานของการแสดง นาฏศิลป์ไทย รู้หลักภาษาท่านาฏศิลป์ นาฏยศัพท์ ซอยเท้า ยกเท้า หรือท่วงท่าลีลาการยกเท้าแบบโขน อุปกรณ์การแสดง อุปกรณ์ประกอบการแสดงคือองค์ประกอบที่มากับตัวหุ่นเช่น การช่วยจับมือ การแสดง(กระบวนการรำ/ขั้นตอนการแสดง)


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 163 วิธีการแสดงหุ่นหลวง เป็นการเชิดหุ่นที่ชูหุ่นให้สูงเหนือศีรษะคนเชิด โดยมีแผงหน้ากั้นคนเชิดไว้ คน เชิดใช้นิ้ว ชักสายกลไกให้หุ่นร่ายรำทำท่าตามที่ต้องการ ซึ่งอาจเชิดคนเดียว หรือมีคนช่วยอีกคนก็เป็นได้ ลักษณะวิธีการแสดงใช้การแสดงแบบละครนอกที่ใช้ท่ารำน้อย ใช้การเคลื่อนไหวของหุ่นน้อยกว่า การร่ายรำ ของคน ไม่แสดงเรื่องที่มาจากละครในที่ต้องใช้ท่ารำมากกว่าและบทการแสดงหุ่นหลวงมัก เป็นเรื่องละครนอก ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา บทกลอนจึงไม่วิจิตรแบบบทละครสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และอีกประการหนึ่งหุ่นหลวง นิยมแสดง เรื่องรามเกียรติ์ด้วย วิธีการแสดงหุ่นหลวงเรื่องรามเกียรติ์คงเป็นการแสดงที่เลียนแบบการแสดงโขน คือไม่มีบทร้อง เน้นบทพากย์และเจรจาเป็นหลัก เครื่องแต่งกาย เครื่องแต่งกายหุ่นหลวง พบว่า เครื่องแต่งกายหุ่นหลวงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่เก่าแก่ที่สุด คือ เครื่องแต่งกายแบบ ปักหักทองขวางที่ปรากฏมีหลักฐานร่วมสมัยกับวรรณกรรมการแสดงในสมัยรัชกาลที่ 2 ทั้งปรากฏในวรรณกรรม เครื่องแต่งกายโขนละครและ เครื่องใช้เครื่องราชอิสริยศเครื่องสูงใน ราชสำนัก เครื่อง แต่งกายหุ่นแบบการปักนมสาวเลื่อมปรากฏหลักฐานที่สัมพันธ์กันระหว่างเครื่องแต่งกายโขนละคร ในสมัย รัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 ที่หุ่นหลวงนำวิธีการปักสร้างเครื่องแต่งกายหุ่นหลวงเลียนแบบเครื่องแต่งกายโขน ละครร่วมสมัยในยุคเดียวกัน ส่วนเครื่องแต่งกายหุ่นหลวงที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในปัจจุบัน เป็นหุ่นหลวงที่นายจักรพันธุ์ โปษยกฤต และคณะ ซ่อมสร้างขึ้นใหม่ โดยหุ่นตัวพระตัวนาง ใช้วิธีการสร้าง เครื่องแต่งกายแบบปักนมสาวและเลื่อมแบบโบราณ แต่หุ่นหลวงตัวพระพิราพ และพาลีเป็นการ ออกแบบสร้างเครื่องแต่งกายใหม่ โดยใช้วิธีการปักที่ได้รับวิธีการและเทคนิคการปักเครื่องแต่งกายมาจากครู เยื้อน ภานุทัต และได้ออกแบบลวดลาย สีของเครื่องแต่งกายใหม่ตามแนวคิดของผู้สร้างเป็นสกุลช่างแบบจักร พันธุ์ ภายหลังจึงไม่พบการปักหักทองขวางในเครื่องแต่งกายโขนละครอีกเลย เครื่องประดับ เครื่องประดับหุ่นจะประกอบด้วย ทับทรวง สังวาล ตาบทิศ เข็มขัดและหัวเข็มขัด กำไล ข้อมือ พบว่า เครื่องประดับที่เป็นทับทรวงตาบทิศ หัวเข็มขัดมักทำด้วยหนังกระแหนะลายด้วยรักแล้วปิด ทองคำเปลวประดับกระจก สังวาล สายเข็มขัด กำไลข้อมือทำด้วยผ้าเย็บเป็นเส้นประดับตัวหุ่น ลักษณะพิเศษ ต่างจากโขนละครคือหุ่นไม่ใส่กำไลข้อเท้า(สุรัตน์ จงดา,2556) โรงละคร โอกาสที่แสดงหุ่นหลวง โอกาสที่แสดงหุ่นหลวง สามารถแสดงในงานเฉลิมฉลองได้ทุกโอกาสทั้งงาน มงคล และงาน อวมงคล เช่น งานบรมราชาภิเษก งานสมโภชวัด พระอาราม งานสมโภชช้างเผือก งานอวมงคล เช่นงานพระเมรุมาศ งานศพ งานฉลองพระอัฐิ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันมีงานในการส่งเสริมและเผยแพร่ ศิลปวัฒนธรรมเข้ามาอีกประเภทหนึ่ง


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 164 ลักษณะโรงและฉากหุ่นหลวง ลักษณะโรงและฉากหุ่นหลวง พบว่า โรงและฉากเป็นลักษณะโรงแบบ โบราณที่ผูกหลังค่าจั่ว ทรงสูงและมีขนาดใหญ่ มีช่อฟ้า ใบระกา และมีปีกนกหรือผ้ายืนมาบังแดดหน้าโรง มีส่วน สำคัญในภาพจิตรกรรม คือ ร้านที่วางปี่พาทย์ที่อยู่ใน ระดับสูงเท่าตัวหุ่น แต่คนเชิดน่าจะยืนเชิดบนพื้นดิน ส่วนประกอบสำคัญของโรงหุ่นหลวง ได้แก่ ฉากหลัง เป็นการกั้นระหว่างหน้าโรงและ หลังโรง คงไม่มีการ เปลี่ยนฉากอย่างมหรสพใน ยุคหลัง ยืนฉากเดียวเป็นจิตนาการ โดยมีลักษณะการเขียนจิตกรรมเป็นโขดเขา วิมาน และตึกศาลายื่นมาจากเขา แผงกั้นหน้าเป็นที่กั้นบังคนเชิดหุ่น แผงกั้นหน้านี้จะเชื่อมต่อกับพลับพลาและ ปราสาท ที่ตั้งไว้บนแผงบังคนเชิด ซึ่งพลับพลา และปราสาท ด้านข้างของฉากจะมี ด้านขวาท าเป็นพลับพลา (สมมุติเป็นฝั่งพระรามในเรื่องรามเกียรติ์) และด้านซ้ายทำเป็น ปราสาท (สมมุติเป็นฝั่งเมืองลงกา) ซึ่งถ้าเป็นการ แสดงในหุ่นเรื่องอื่น ๆ อาจหมายถึง เมืองและกลางป่า เพราะวรรณคดีไทยที่ใช้ในการ มักมีบทสำหรับเดินป่า พักพลับพลาด้วย การเขียนพลับพลาและปราสาทยังคงเป็นประเพณีเขียนฉากโขนหน้าจอมาจนถึงปัจจุบันนี้ซุ้ม ประตู ทางเข้าออก มี 2 ข้าง เป็นทางเข้าออกของตัวหุ่นจากหลังเวทีมาหน้าเวที เป็นซุ้มประตูที่เขียนเป็น ลักษณะทรงโตรณหรือประตูหูช้าง (สุรัตน์ จงดา,2556) ที่มา http://cul.hcu.ac.th หุ่นคน ศิลปะการแสดงหุ่นคนมีต้นกำเนิดจากหุ่นหลวง หุ่นกระบอก หุ่นละครเล็ก การแสดงหุ่นของภาคต่างๆ หนังตะลุง โขน ละคร และระบำรำฟ้อนมาผสมผสานกันระหว่างศิลปะการเชิดหุ่นและหนังใหญ่ต่างๆ ตลอดจน การแสดงศิลปะแบบสากล ประกอบกับลีลาท่าทางของผู้แสดงให้ออกมาเป็นเรื่องราว โดยนำเอาเหตุการณ์ ต่างๆ ในวรรณกรรมและวรรณคดี ตลอดจนวิถีชีวิตของสังคมไทยมาดัดแปลงแต่งเติมให้เป็นบทแสดง แล้ว ประยุกต์ในเชิงเปรียบเทียบระหว่างคนกับหุ่น หรือคนเลียนแบบหุ่น โดยได้นำวิธีการเชิดหุ่น รูปแบบการแสดง


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 165 การดำเนินเรื่อง ตลอดจนการแต่งกายของหุ่น เพื่อให้เข้ากับปัจจุบัน เป็นการแสดงร่วมสมัยได้อย่างน่าสนใจ อีก ทั้งยังเป็นแนวทางในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะที่กำลังจะถูกลืม นอกจากนี้ได้นำการแสดงมาปรับปรุงใหม่ โดยใช้คนแทนหุ่นหลวง และยังคงรักษารูปแบบเดิมของการแสดงหุ่นแต่ละประเภทไว้ เพียงแต่เปลี่ยนจากหุ่น มาเป็นคนเท่านั้น เมื่อปี พ.ศ.2537 ซึ่งการแสดงหุ่นคนดังกล่าวในตอนนั้นยังไม่มีแบบฉบับที่แน่ชัดและไม่ สวยงามมากนัก หลังจากนั้นจึงได้พัฒนารูปแบบต่อมาเรื่อยๆกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2543 จึงได้รับความนิยมเป็น อย่างดีจากกระแสสังคมที่เริ่มยอมรับศิลปะการแสดงหุ่นคน ด้วยเป็นเพราะว่าความแปลกนั่นเองประวัติของผู้ คิดค้นการแสดง”หุ่นคน” (มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ, ออนไลน์) ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=V9bieRWchKU&t=660s หุ่นกระบอกอัมพวา ศิลปะการแสดงพื้นบ้านเก่าแก่ที่ยังคงมีอยู่มาจนทุกวันนี้ที่จังหวัดสมุทรสงคราม คือ การแสดงหุ่น กระบอก หุ่นกระบอกที่นี้มี 2 คณะ ซึ่งมีพ่อครูวงษ์ รวมสุข เป็นผู้ก่อตั้งทั้ง 2 คณะ โดยคณะแรกตั้งอยู่ที่อำเภอ อัมพวา ตัวหุ่นมีลักษณะพื้นบ้านขนาดใหญ่ใช้ไม้แคป่านำมาแกะสลักเป็นตัวหุ่น ภายในมีแกนทำด้วยไม้ ทองหลาง และไม้ไผ่ มีตะเกียบบังคับการเคลื่อนไหวของมือหุ่นทำด้วยไม้ไผ่เช่นกัน นิยมแสดงเรื่องพระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผนและระกาแก้ว อีกวงหนึ่งอยู่ที่อำเภอบางคนที พ่อครูวงษ์ ตั้งใจจะให้เป็นหุ่นกระบอกพัฒนาจากหุ่นพื้นบ้านสวยงาม แบบในเมืองหลวง การทำหุ่นเป็นวิธีเดียวกับทำหัวโขน มีการฝึกหัดให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้หัดแสดง นิยมเล่น เรื่อง รามเกียรติ์ สังข์ทอง อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 166 หุ่นกระบอกทั้งสองคณะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการนำภูมิปัญญาของบรรพชนมาถ่ายทอดไว้แก่ผู้คน ในปัจจุบันเพื่อให้เพื่อคุณค่าความเป็นไทยที่มีมาช้านาน (หุ่นกระบอกคณะบ้านดนตรี, ออนไลน์) อ้างอิง กรมศิลปากร.(2530). บทละครนอก พระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ ๒, 2530 กรมศิลปากร.(2528). บทละครดึกดำบรรพ์ ฉบับบริบูรณ์ พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์, 2528 กรมศิลปากร. (2545). รวมงานนิพนธ์ของ นายอาคม สายาคม ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์กรมศิลปากร. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ. กรมศิลปากร. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2559) กลุ่มสงวนรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สถาบันวัฒนธรรมศึกษา. ศิลปะการแสดง. กชกร เทศถมยา. (2561). การพัฒนากิจกรรมโขนเพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำ สำหรับผู้เรียนอายุ 13-15 ปี. [วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษา] บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กุหลาบ ไม้เรียง. (2486-2488). วิจารณ์เรื่องมัทนะพาธา หรือ ตำนานแห่งดอกกุหลาบ บทพระราชนิพนธ์ ของพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว วิทยานิพนธ์ (อ.ม.) คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. จิราภรณ์ บุญจันทร์. (2559). ละครพูดตามรูปแบบพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, Veridian EJournal, Silpakorn University, ดวงเดือน สดแสงจันทร์. (2544). การศึกษาเพลงพื้นบ้านของคณะขวัญจิต ศรีประจันต์. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สวภา เวชสุรักษ์. (2561). [ผลงานวิจัยการสร้างสรรค์ละครชาตรีเครื่องใหญ่เรื่อง กากี ตอนพญาครุฑลักนางกากี] ธนสิน ชุตินธรานนท์ จิรยุทธ์ สินธุพันธ์. (2559). สาวิตรี เดอะ มิวสิเคิล : การสื่อสารความรักเชิงอุดมคติ ผ่านละครเพลง ,Volume 21 Issue 29. ธนิต อยู่โพธิ์.(2531). ศิลปะละคอนรำหรือคู่มือนาฏศิลป์ไทย. กรมศิลปากรจัดพิมพ์ครั้งที่ ๒.


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 167 กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย นฤทธิ์ วัฒนภู. (2557). ศีรษะโขน (ศิลปะจากวรรณกรรมรามเกียรติ์และภูมิปัญญาของช่างไทย). โอเดียนสโตร์. นันทา ขุนภักดี. (2550). วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 29 ฉบับพิเศษ. ประเทือง ทินรัตน์. (2526). การศึกษาเปรียบเทียบสาวิตรยุปาขยานัมกับบทละครเรื่องสาวิตรีพระราชนิพนธ์ ในรัชกาลที่ 6. พิมพ์ตะวัน ศรีสาคร. (2564). กลวิธีกระบวนรำเกี้ยวลักษณะพิเศษในละครรำ: ละครพันทาง เรื่อง พระลอ, สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. (2521). บทละครพูด เรื่องหัวใจนักรบ, ชิงนาง.พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา. พรเทพ บุญจันทร์เพ็ชร์. (2558). ประวัตินาฏศิลป์ไทย : ภาคกลาง. โอเดียนสโตร์. ไพฑรูย์ เข้มแข็ง. (2537). จารีตการฝึกหัดและการแสดงโขนของตัวพระราม. [วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญา ศิลปกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขานาฏศิลป์ไทย ภาควิชานาฏศิลป์]. บัณฑิตวิทยาลัย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วราพงศ์ ชิดปรางค์. (2560). วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร,กลวิธีการร้องเพลงอีแซว :กรณีศึกษาศิลปินแห่งชาติ ขวัญจิต ศรีประจันต์ วณิชชา ภราดรสุธรรม. (2560). กระบวนการสร้างสรรค์การแสดงชุด “Meta Selfie ออก ฉุยฉาย”. นิเทศสยามปริทัศน์, 16 (21), 90-96 วสะ ภูวงศ์. (2561) วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พัฒนาการเครื่องแต่งกายตัวละคร พม่าในละครพันทางเรื่องราชาธิราช ของกรมศิลปากร วรรณวิภา มัธยมนันท์. (2553). รำเหย่ย : การละเล่นพื้นบ้านสู่นาฏศิลป์ กรมศิลปากร. [วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต] สาขานาฏยศิลป์ไทย ภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 168 วันทนีย์ ม่วงบุญและคณะ. (2556). โขน:อัจฉริยนาฏกรรมสยาม. กรมศิลปากร. วิมลศรี อุปรมัย. (2553). นาฏกรรมและการละคร. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สมชัย อักษรารักษ์. (2565, 12 สิงหาคม). รำลึกถึง “โขนพระราชทาน” กว่าทศวรรษแห่งการฟื้นศาสตร์และ ศิลป์ของแผ่นดิน. https://www.thestorythailand.com/12/08/2022/73123/ สมหมาย จันทร์เรือง. (2562, 24 พฤศจิกายน). โขนพระราชทาน ‘สืบมรรคา’. https://www.matichon.co.th/columnists/news_1764227 สิรวุฒิ รวีไชยวัฒน์และปิยะนันท์ ขุนทอง. (2559, 8 พฤศจิกายน). เรียน “โขน” ประโยชน์คูณสอง “ออกกำลัง กาย-ได้สืบสานวัฒนธรรม”. MGR Online. https://m.mgronline.com/qol/detail/9590000111637 สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์. (2543). การละครไทย. บริษัท โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด สุพิชฌาย์ นพวงศ์ ณ อยุธยา. (2546). การวิเคราะห์บทละครพันทางเรื่องผู้ชนะสิบทิศ ของเสรี หวังในธรรม. มหาวิทยาลัยศิลปากร. สุรัตน์ จงดา. (2556). หุ่นหลวง Thai Royal Puppets. หม่อมหลวงบุญเหลือ เทพยสุวรรณ. (2522) “ข้อสังเกตเกี่ยวกับความเป็นมาของละครไทยและปรับปรุง” ใน นาฏศิลป์และดนตรีไทย. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เลอพงศ์ กัณหา. (2554). เพลงพื้นบ้าน : กรณีศึกษาเพลงรำวงพื้นบ้านดอนคา ตำบลดอนคา อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์. [วิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชามานุษย ดุริยางควิทยา] การสัมภาษณ์ ชินกฤต ศรีสุข. ครูนาฏศิลป์ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการสุวรรณภูมิ. (4 ตุลาคม 2565). สัมภาษณ์. บวรนรรฏ อัญญะโพธิ์. รองคณบดีคณะศิลปศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์. (2 ตุลาคม 2565). สัมภาษณ์. พิชญ์ ยอดเนรแก้ว. นักวิชาการศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์. (1 ตุลาคม 2565). สัมภาษณ์. พิชญา บวรอิทธิกร. อาจารย์นาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป. (2 ตุลาคม 2565). สัมภาษณ์.


น า ฏ ศิ ล ป์ ไ ท ย ภ า ค ก ล า ง | 169 ธรรมจักร พรหมพ้วย. อาจารย์ประจำคณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง. (17 ตุลาคม 2565). สัมภาษณ์. เสาวรักษ์ ยมะคุปต์. นาฏศิลปินอาวุโส สำนักการสังคีต กรมศิลปากร. (20 ตุลาคม 2565). สัมภาษณ์.


Click to View FlipBook Version