0
แผนการจดั การเรียนรู้มุ่งเน้นสมรรถนะอาชีพ
ช่ือวชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ
รหสั วชิ า 30001-2001 ทฤษฎี 2 ปฏบิ ัติ 2 หน่วยกติ 3
หลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพ หลกั สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชีพช้ันสูง
ประเภทวชิ าช่างอตุ สาหกรรม สาขาวชิ าไฟฟ้า
สาขางานไฟฟ้ากาลงั
จัดทาโดย
ว่าท่ี ร.ต.ประจวบ แสงวงค์
วทิ ยาลยั เทคนิคสว่างแดนดนิ
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ
1
คานา
แผนการสอนวิชา “เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจดั การอาชีพ” รหสั วิชา 30001 - 2001 จดั ทาข้ึนเพื่อใช้
เป็ นแนวทางในการจัดการเรี ยนการสอน เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ ตามหลักสูตร
ประกาศนียบตั รวิชาชีพช้นั สูง (ปวส.) พุทธศกั ราช 2563 ของสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดย
จดั การเรียนการสอนท้งั หมด 18 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 ชวั่ โมง เน้ือหาภายในแบ่งออกเป็ น 5 บท ประกอบดว้ ย
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายและสารสนเทศ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ การ
ประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูป และการนาเสนอและการส่ือสารขอ้ มลู สารสนเทศ
สาหรับแผนการสอนรายวิชาน้ี ผูจ้ ดั ทาไดท้ ุ่มเทกาลงั กาย กาลงั ใจและเวลาในการศึกษาคน้ ควา้ ทดลอง
เพอ่ื ใหเ้ กิดประสิทธิภาพตอ่ การเรียนการสอน และการจดั การเรียนการสอนตามแนวทางหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจ
แบบพอเพยี ง
ทา้ ยท่ีสุดน้ี ผจู้ ดั ทาขอขอบคุณผทู้ ่ีสร้างแหลง่ ความรู้ และผทู้ ่ีมีส่วนเก่ียวขอ้ งต่าง ๆ ซ่ึงเป็นส่วนสาคญั ที่ทา
ให้แผนการสอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชีพเล่มน้ีเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย และหากผใู้ ช้
พบขอ้ บกพร่องหรือมีขอ้ เสนอแนะประการใด ขอไดโ้ ปรดแจง้ ผจู้ ดั ทาทราบดว้ ย จกั ขอบคณุ ยง่ิ
ประจวบ แสงวงค์
ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564
สารบญั 2
เร่ือง หน้า
แผนการเรียนรู้รายวชิ า 3
รายการหน่วย ช่ือหน่วย และสมรรถนะประจาหน่วย 4
รายชื่อหน่วยการสอน/การเรียนรู้ 9
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎีหน่วยที่ 1 10
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎีหน่วยที่ 2 47
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎีหน่วยที่ 3 86
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎีหน่วยที่ 4 119
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎีหน่วยท่ี 5 171
บรรณานุกรม 208
3
แผนการเรียนรู้รายวิชา
ช่ือรายวชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชีพ
รหสั วิชา 30001 – 2001 (ท-ป-น) 2-2-3
ระดบั ช้นั ปวส. สาขาวิชา/กลุ่มวชิ า/แผนกวิชา ช่างไฟฟ้ากาลงั
หน่วยกิต 3 จานวนคาบรวม 72 คาบ
ทฤษฎี 2 คาบ/สปั ดาห์ ปฏิบตั ิ 2 คาบ/สปั ดาห์
ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564
จดุ ประสงค์รายวิชา เพอ่ื ให้
1. เขา้ ใจเก่ียวกบั คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์และสารสนเทศการ
สืบคน้ และส่ือสารขอ้ มลู สารสนเทศในงานอาชีพ
2. สามารถสืบคน้ จดั เก็บ คน้ คืน ส่งผ่าน จดั ดาเนินการขอ้ มูลสารสนเทศนาเสนอและส่ือสารขอ้ มูล
สารสนเทศในงานอาชีพโดยใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม และโปรแกรมสาเร็จรูปท่ี
เก่ียวขอ้ ง
3. มีคณุ ธรรม จริยธรรมและความรับผิดชอบในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การจดั การอาชีพ
สมรรถนะรายวชิ า
1. แสดงความรู้เก่ียวกบั หลกั การและกระบวนการสืบคน้ จดั ดาเนินการและส่ือสารขอ้ มูลสารสนเทศใน
งานอาชีพ โดยใช้คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ
และโปรแกรมสาเร็จรูปท่ีเก่ียวขอ้ ง
2. ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคมในการสืบคน้ และสื่อสารขอ้ มูลสารสนเทศผ่านระบบ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ
3. จดั เก็บ คน้ คนื ส่งผา่ นและจดั ดาเนินการขอ้ มลู สารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชีพ
4. นาเสนอและส่ือสารขอ้ มลู สารสนเทศในงานอาชีพโดยประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูป
คาอธบิ ายรายวชิ า
ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และ
สารสนเทศ การสืบคน้ ขอ้ มูลสารสนเทศ การจดั เก็บ คน้ คืน ส่งผ่านและจดั ดาเนินการขอ้ มูลสารสนเทศ การ
ประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูปในการนาเสนอและส่ือสารขอ้ มลู สารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชีพ
4
รายการหน่วย ชื่อหน่วย และสมรรถนะประจาหน่วย
ช่ือเรื่อง สมรรถนะและจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
หน่วยที่ 1 คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์ สมรรถนะ
- ใชง้ านอปุ กรณ์โทรคมนาคมในระบบตา่ งๆ
โทรคมนาคม
จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
ด้านพทุ ธพิ สิ ัย
1. บอกความหมายของคอมพวิ เตอร์และโทรคมนาคม
ได้
2. อธิบายองคป์ ระกอบหลกั ของระบบคอมพิวเตอร์และ
องคป์ ระกอบข้นั พ้นื ฐานของการสื่อสารขอ้ มลู ได้
3. บรรยายหลกั การทางานของคอมพิวเตอร์ได้
4. จาแนกประเภทของคอมพวิ เตอร์ได้
5. วิเคราะหช์ นิดของการเช่ือมต่อได้
ด้านทกั ษะพสิ ัย
6. ใชง้ านอปุ กรณ์โทรคมนาคมกบั ระบบส่ือสาร
โทรคมนาคมและระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ได้
ด้านจติ พสิ ัย
7. ประยกุ ตใ์ ชห้ นา้ ท่ีของระบบโทรคมนาคมกบั
ชีวติ ประจาวนั ได้
8. นาประโยชน์ของคอมพวิ เตอร์ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ น
ชีวติ ประจาวนั ได้
ช่ือเร่ือง 5
หน่วยท่ี 2 ระบบเครือข่ายและ สมรรถนะและจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
สารสนเทศ
สมรรถนะ
- เชื่อมต่อระบบเครือข่ายและใชง้ านระบบสารสนเทศ
ท่ีใชค้ อมพวิ เตอร์
จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
ด้านพทุ ธิพสิ ัย
1. อธิบายระบบเครือข่ายและระบบเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตได้
2. บอกความเป็นของอินเทอร์เน็ตได้
3. บอกบทบาทของระบบสารสนเทศได้
4. จาแนกประเภทของระบบเครือข่ายได้
5. วเิ คราะห์ผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศได้
ด้านทักษะพสิ ัย
6. เช่ือมต่อระบบเครือขา่ ยไดท้ ุกรูปแบบ
7. ใชง้ านระบบสารสนเทศท่ีใชค้ อมพวิ เตอร์ได้
ด้านจติ พสิ ัย
8. ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศได้
9. ประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบเครือข่ายในหน่วยงานรัฐได้
6
ช่ือเรื่อง สมรรถนะและจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
หน่วยท่ี 3 การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ สมรรถนะ
- สืบคน้ ขอ้ มูลสารสนเทศ
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
ด้านพุทธพิ สิ ัย
1. อธิบายความหมายของการจดั เกบ็ และคน้ คนื
สารสนเทศได้
2. ใหค้ าจากดั ความสาคญั ของการจดั เก็บและคน้ คืน
สารสนเทศได้
3. แยกส่วนประกอบของเครื่องมือในการสืบคน้ ขอ้ มลู
สารสนเทศได้
4. วเิ คราะห์เทคโนโลยสี ารสนเทศและมาตรฐานในการ
จดั เก็บและคน้ คน้ สารสนเทศได้
5. เลือกทฤษฎีพ้ืนฐานและการประเมินระบบจดั เก็บ
และการคน้ คนื สารสนเทศได้
ด้านทักษะพสิ ัย
6. สืบคน้ ขอ้ มูลสารสนเทศได้
7. สืบคน้ ขอ้ มลู สารสนเทศจากอินเทอร์เน็ตได้
ด้านจติ พสิ ัย
8. ประยกุ ตใ์ ชเ้ ครื่องมือการสืบคน้ ขอ้ มูลสารสนเทศได้
9. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องอินเทอร์เนต็ และนาไป
ปรับใชใ้ นการทางานได้
ช่ือเรื่อง 7
หน่วยท่ี 4 การประยุกต์ใช้โปรแกรม สมรรถนะและจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
สาเร็จรูป
สมรรถนะ
- ใชง้ านโปรแกรมสาเร็จรูปและโปรแกรมประยกุ ต์
จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
ด้านพุทธิพสิ ัย
1. อธิบายความหมายของโปรแกรมสาเร็จรูปได้
2. จาแนกประเภทของซอฟตแ์ วร์ประยกุ ตไ์ ด้
3. วเิ คราะห์ลกั ษณะสาคญั ของซอฟตแ์ วร์ประยกุ ตไ์ ด้
ด้านทกั ษะพสิ ัย
4. ใชง้ านโปรแกรมสาเร็จรูปและโปรแกรมประยกุ ตไ์ ด้
ด้านจิตพสิ ัย
5. ประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูปในการทางานได้
8
ช่ือเร่ือง สมรรถนะและจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
หน่วยท่ี 5 การนาเสนอและการสื่อสาร สมรรถนะ
- สร้างงานนาเสนอเพื่อการนาเสนอ
ข้อมูลสารสนเทศ
จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
ด้านพุทธิพสิ ัย
1. บอกความหมายของโปรแกรมนาเสนอได้
2. อธิบายข้นั ตอนการสร้างงานพรีเซนเตชน่ั ได้
3. จาแนกประเภทของงานนาเสนอได้
ด้านทักษะพสิ ัย
4. สร้างงานนาเสนอได้
5. นาเสนอขอ้ มลู ได้
ด้านจติ พสิ ัย
6. ประยกุ ตใ์ ชก้ ารนาเสนอดว้ ยวาจาได้
9
รายชื่อหน่วยการสอน/การเรียนรู้
หน่วยการสอน/การเรียนรู้
วชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ
รหสั ... 30001 - 2001......คาบ/สัปดาห์.......4......คาบ
รวม......72…… คาบ
หน่วยท่ี ช่ือหน่วย ทฤษฎี จานวนคาบ
ทฤษฎี ปฏบิ ตั ิ
1 คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม 88
2 ระบบเครือขา่ ยและสารสนเทศ 88
3 การสืบคน้ ขอ้ มลู สารสนเทศ 88
4 การประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูป 66
5 การนาเสนอและการส่ือสารขอ้ มลู สารสนเทศ 66
รวม 72
10
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี
แผนการสอน/การเรียนรู้ภาคทฤษฎี หน่วยที่ 1
ช่ือวชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจดั การอาชีพ สอนสัปดาห์ที่ 1-4
ชื่อหน่วย คอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม คาบรวม 16
ชื่อเร่ือง คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม จานวนคาบ 16
สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย
ใชง้ านอปุ กรณ์โทรคมนาคมในระบบต่างๆ
สาระสาคญั
เทคโนโลยีโทรคมนาคมมีแนวโน้มว่าจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วย่ิงข้ึนเร่ือย ๆ โดยเฉพาะการนา
อุปกรณ์ระบบดิจิตอลมาใช้งาน ระบบโทรคมนาคมมีแนวโน้มว่าจะรวมกับระบบคอมพิวเตอร์ในท่ีสุด
พฒั นาการโทรคมนาคมกาลงั ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งข้ึนองค์กรระหว่างประเทศที่มีหน้าท่ีกาหนด
มาตรฐานอุปกรณ์ ในระบบโทรคมนาคมประสบปัญหาเป็ นอย่างมากในการติดตามความก้าวหน้าทาง
เทคโนโลยี
เรื่องทจ่ี ะศึกษา
1. ความหมายของคอมพิวเตอร์
2. ระบบคอมพิวเตอร์
3. องคป์ ระกอบของคอมพิวเตอร์
4. ประเภทของคอมพวิ เตอร์
5. หลกั การทางานของคอมพิวเตอร์
6. ประโยชนข์ องคอมพวิ เตอร์
7. ความหมายของโทรคมนาคม
8. อุปกรณ์โทรคมนาคม
9. ส่วนประกอบของโทรคมนาคม
10.ชนิดของการเช่ือมต่อ
11.เทคโนโลยกี ารโทรคมนาคม
12.หนา้ ที่ของระบบโทรคมนาคม
11
จุดประสงค์ทวั่ ไป
1. เพอ่ื ใหม้ ีความรู้และความเขา้ ใจเกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม (ดา้ นพุทธิพสิ ยั )
2. เพอ่ื ใหม้ ีทกั ษะในการใชอ้ ปุ กรณ์โทรคมนาคมกบั ระบบต่างๆ (ดา้ นทกั ษะพสิ ัย)
3. เพอ่ื ใหเ้ ห็นประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ และระบบโทรคมนาคม (ดา้ นจิตพิสัย)
จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
9. บอกความหมายของคอมพวิ เตอร์และโทรคมนาคมได้ (ดา้ นความรู้)
10.อธิบายองคป์ ระกอบหลกั ของระบบคอมพิวเตอร์และองคป์ ระกอบข้นั พ้นื ฐานของการส่ือสารขอ้ มูล
ได้ (ดา้ นความเขา้ ใจ)
11.บรรยายหลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์ได้ (ดา้ นความเขา้ ใจ)
12.จาแนกประเภทของคอมพวิ เตอร์ได้ (ดา้ นการวิเคราะห์)
13.วเิ คราะหช์ นิดของการเช่ือมต่อได้ (ดา้ นการวิเคราะห์)
14.ใชง้ านอุปกรณ์โทรคมนาคมกบั ระบบสื่อสารโทรคมนาคมและระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ได้ (ดา้ น
ทกั ษะ)
15.ประยกุ ตใ์ ชห้ นา้ ที่ของระบบโทรคมนาคมกบั ชีวติ ประจาวนั ได้ (ดา้ นจิตพสิ ยั )
16.นาประโยชน์ของคอมพวิ เตอร์ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ (ดา้ นจิตพิสยั )
12
เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้
ความหมายของคอมพวิ เตอร์
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องจกั รอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างข้ึนเพื่อใช้ทางานแทนมนุษย์ ในดา้ นการคิด
คานวณและสามารถจาขอ้ มูลท้งั ตวั เลข และตวั อกั ษรไดเ้ พ่ือการเรียกใชง้ านใน คร้ังต่อไป นอกจากน้ียงั สามารถ
จดั การกบั สญั ลกั ษณ์ไดด้ ว้ ยความเร็วสูงโดยปฏิบตั ิตามข้นั ตอน ของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยงั มีความสามารถใน
ด้านต่าง ๆ อีกมาก เช่น การเปรียบเทียบทาง ตรรกศาสตร์ การรับส่งขอ้ มูล การจดั เก็บขอ้ มูลในตวั เคร่ืองและ
สามารถประมวลผลจากขอ้ มูล ต่าง ๆ ได้
ระบบคอมพวิ เตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ คือ องคป์ ระกอบหลกั ท่ีจะทาให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทางาน ไดอ้ ย่างสมบูรณ์
ถา้ ขาดองคป์ ระกอบส่วนใดส่วนหน่ึงคอมพวิ เตอร์ก็ไม่สามารถที่จะทางานได้ ระบบของคอมพิวเตอร์น้ีประกอบ
ไปดว้ ยองคป์ ระกอบหลกั ท่ีสาคญั 3 ส่วน คือ
1) ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของคอมพิวเตอร์ ที่มีวงจรไฟฟ้า อยภู่ ายในเป็นส่วน
ใหญ่ สามารถจบั ตอ้ งได้ เช่น กล่องซีพยี ู (Case) จอภาพ (Monitor) แป้นพมิ พ(์ Keyboard) เมาส์ (Mouse)
เคร่ืองพมิ พ์ (Printer) เครื่องสแกนภาพ (Scanner) เป็นตน้
2) ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมหรื อชุดคาส่ังทาหน้าที่ควบคุมให้ฮาร์ดแวร์ และเครื่ อง
คอมพิวเตอร์ทางานตามผูใ้ ช้ต้องการ ซอฟต์แวร์จะถูกบรรจุอยู่ในส่ือหรือวสั ดุที่ใช้ใน การเก็บข้อมูล เช่น
ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดีรอม แฮนด้ีไดร์ฟ เป็นตน้
3) พีเพิลแวร์ (People ware) คือ บุคคลที่มีส่วนเก่ียวขอ้ งกับการทางานของเครื่อง คอมพิวเตอร์ เช่น
ผูจ้ ดั การระบบ (System Manager) นักวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ผูเ้ ขียนโปรแกรม (Programmer) ผูใ้ ช้
โปรแกรม(User) เป็นตน้
องค์ประกอบคอมพวิ เตอร์
องคป์ ระกอบคอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ท่ีนามาประกอบกนั แลว้ จะได้ คอมพวิ เตอร์ที่สมบูรณ์
1 เคร่ือง ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบท่ีสาคญั หลายส่วนดงั น้ี
1. กล่องซีพยี ู (Case) เป็นองคป์ ระกอบคอมพวิ เตอร์ท่ีสาคญั มาก ภายในบรรจุแผง เมนบอร์ดแหลง่ จ่ายไฟ
และหน่วยความจาต่างๆ เช่น รอม แรม ฮาร์ดดิสก์ ดิสก์ไดร์ฟ และ ซีดีรอม เป็ นตน้ ที่เรียกว่ากล่องซีพียูเพราะ
ภายในเครื่อง บริเวณแผงเมนบอร์ดเป็นที่ติดต้งั ซีพยี ู (CPU) ซ่ึงถือวา่ เป็นมนั สมองของเครื่องคอมพวิ เตอร์
2. แป้นพิมพ์ (Keyboard) คืออุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการพิมพข์ อ้ มูลเขา้ สู่เครื่องคอมพิวเตอร์ เพ่ือส่งให้หน่วย
ประมวลผลขอ้ มูลกลาง (CPU) ทาการประมวลผล แป้นพิมพจ์ ดั เป็นอุปกรณ์ ดา้ นหน่วยป้อนขอ้ มูล (Input Unit)
ท่ีทาหนา้ ท่ีในการป้อนขอ้ มูลเขา้ สู่เครื่องคอมพวิ เตอร์
3. เมาส์ (Mouse) คืออุปกรณ์ที่ใชใ้ นการคลิก ดบั เบิ้ลคลิก และเลื่อนตาแหน่งเพื่อ สั่งงานใหค้ อมพิวเตอร์
ทางาน ในกรณีท่ีไม่สามารถสั่งงานทางแป้นพิมพไ์ ด้ เมาส์จดั เป็ นอุปกรณ์ ด้านหน่วยป้อนข้อมูลเช่นเดียวกบั
แป้นพมิ พแ์ ตใ่ ชง้ านในลกั ษณะที่แตกตา่ งกนั
13
4. จอภาพ (Monitor) คืออุปกรณ์ท่ีใช้ในการแสดงผลขอ้ มูลท่ีผ่านการประมวลผล ของซีพียูเพื่อทาให้
ผูใ้ ช้มองเห็นผลลพั ธ์และสามารถติดต่อกบั เคร่ืองคอมพิวเตอร์ได้ จอภาพจดั เป็ นอุปกรณ์ดา้ นหน่วยแสดงผล
(Output Unit) ทาหนา้ ท่ีในการแสดงผลขอ้ มลู
5. ลาโพง (Speaker) คืออุปกรณ์ที่ใชใ้ นการแปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็ นสัญญาณเสียง และแสดงเสียงออก
ทางลาโพงทาใหผ้ ใู้ ชไ้ ดย้ ินสัญญาณเสียงในแบบต่างๆ เช่น เสียงเพลง และ เสียงพูดต่างๆ ลาโพงจดั เป็นอุปกรณ์
ดา้ นหน่วยแสดงผล (Output Unit) ทาหนา้ ท่ีในการแสดง ผลขอ้ มลู
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) และหน่วยความจา (Memory Unit)
เป็ นส่วนท่ีสาคญั ที่สุดของเครื่องคอมพิวเตอร์ ควบคุมการทางานของระบบท้งั หมดเป็ น ส่วนท่ีเรียก
โปรแกรมต่างๆ เพื่อส่ังการให้หน่วยประมวลผลกลางทางานตามลาดับ ปัจจุบนั หน่วย ประมวลผลกลางถูก
ออกแบบใหม้ ีมากกวา่ 1 core หรือเรียกวา่ Multi core นงั่ เอง ส่วนหน่วย ความจาจะทาหนา้ ท่ีเก็บคาส่ังที่ตอ้ งใชใ้ น
การประมวลผล หน่วยความจามี 2 ชนิดคอื
หน่วยความจาอ่านอย่างเดยี ว ROM (Read Only Memory)
เป็ นหน่วยความจาลักษณะหน่ึงทาหน้าท่ีอ่านข้อมูลเพียงอ่านเดียว ถูกกาหนดไว้อย่าง ถาวรใน
หน่วยความจาคงอยใู่ นเครื่องตลอดถึงแมป้ ิ ดเคร่ืองไป
หน่วยความจาเข้าถึงโดยการสุ่ม (Random Access Memory)
เป็ นหน่วยความจาประเภทหน่ึงท่ีสามารถเขา้ ถึงโดยการสุ่ม แรม (Ram) เป็ นหน่วย ความจาท่ีอยู่ใน
คอมพิวเตอร์ วดั ขนาดเป็ นกิโลไบตห์ รือ เมกะไบต์ ทางานไดเ้ ร็วมาก แต่เมื่อ ปิ ดเครื่องไปแลว้ ขอ้ มูลในแรมจะ
หายไปหมด
การ์ดแสดงผล (Graphic Card)
เป็ นอุปกรณ์ที่ประมวลผลสัญญาณดิจิตอล ให้เป็ นสัญญาณท่ีตอ้ งการแสดงผล เช่น การใช้ โปรแกรม
สร้างงาน 3 มิติ หรือเลน่ เกม 3 มิติ ที่ ตอ้ งการความละเอียดท่ีใชใ้ นการแสดงผลสูง
การ์ดเสียง (Sound Card)
เป็นอปุ กรณ์ท่ีประมวลผลทางดา้ นเสียง เพอื่ เสียงท่ีไดอ้ อกมาน้นั มีความไพเราะมากข้ึน กวา่ เดิม
การ์ดแลน (LAN Card)
เป็นอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นระบบเครือข่าย (Network) ทาใหเ้ ครื่องแต่ละเคร่ืองสามารถส่ือสาร และแลกเปล่ียน
ขอ้ มลู กนั ได้
ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk)
ฮาร์ดดิสก์เป็นสื่อบนั ทึกขอ้ มูลท่ีใช้จานแม่เหลก็ ในการเก็บขอ้ มูล สามารถจุขอ้ มูลไดส้ ูง ท่ีสุดในบรรดา
ส่ือบนั ทึกขอ้ มูล ใชเ้ ป็นหน่วยขอ้ มูลหลกั ของเคร่ืองคอมพวิ เตอร์เลยกไ็ ด้ เพราะ จะตอ้ งติดต้งั ระบบปฏิบตั ิการลง
ในฮาร์ดดิสก์ ที่สาคญั คอื สามารถเขา้ ถึงขอ้ มลู ดว้ ยความเร็วสูง
ประเภทของคอมพวิ เตอร์
แบ่งตามความสามารถของระบบ
14
1. ซุปเปอร์คอมพวิ เตอร์ (Super Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผล ขอ้ มลู ที่มีความสามารถในการ
ประมวลผล สูงท่ีสุดโดยทวั่ ไปสร้างข้ึนเป็ นการเฉพาะ เพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ท่ีต้องการ การประมวลผล
ซับซ้อนและตอ้ งการ ความเร็วสูง เช่น งานวิจยั ขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐฯ (NASA) งานส่ือสาร
ดาวเทียม หรืองานพยากรณ์ อากาศ เป็นตน้
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผล ขอ้ มูลท่ีมีส่วนความจา
และความเร็วน้อยลงสามารถใช้ขอ้ มูลและคาสั่งของเคร่ืองรุ่นอ่ืนในตระกูล (Family) เดียวกนั ไดโ้ ดยไม่ตอ้ ง
ดดั แปลงแกไ้ ขใดๆ นอกจากน้นั ยงั สามารถทางานในระบบเครือข่าย (Network) ไดเ้ ป็นอยา่ งดี โดยสามารถเช่ือม
ต่อไปยงั อุปกรณ์ท่ีเรียกว่า เคร่ืองปลายทาง (Terminal) จานวนมากได้ สามารถทางานได้พร้อมกันหลายงาน
(Multi Tasking) และใช้งานไดพ้ ร้อมกนั หลายคน (Multi User) ปกติเครื่องชนิดน้ี นิยมใชใ้ นธุรกิจขนาดใหญ่มี
ราคาต้ ังแต่สิ บล้านบาทไปจนถึ งหลายร้ อยล้านบาทตัวอย่างของเคร่ื องเมนเฟรมท่ี ใช้กันแพร่ หลายก็คื อ
คอมพวิ เตอร์ของธนาคารท่ีเชื่อมต่อไปยงั ตู้ ATM และสาขาของธนาคารทว่ั ประเทศ
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) ธุรกิจและหน่วยงานท่ีมีขนาดเล็กไม่จาเป็ นตอ้ งใช้คอมพิวเตอร์
ขนาดเมนเฟรมซ่ึงมีราคาแพง ผูผ้ ลิตคอมพิวเตอร์จึงพฒั นาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า
เคร่ืองมินิคอมพวิ เตอร์โดยมีลกั ษณะพเิ ศษในการทางานร่วมกบั อุปกรณ์ประกอบรอบขา้ งท่ีมีความเร็วสูงไดม้ ีการ
ใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูลสามารถอ่านเขียนขอ้ มูลได้อย่าง
รวดเร็ว หน่วยงานและบริษทั ที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดน้ี ไดแ้ ก่ กรม กอง มหาวิทยาลยั ห้างสรรพสินคา้ โรงแรม
โรงพยาบาล และโรงงานอตุ สาหกรรมต่างๆ
4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer) หมายถึง เคร่ืองประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของ
หน่วยความจาและความเร็วในการประมวลผลน้อยท่ีสุดสามารถใช้งานได้ด้วย คนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า
คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าใน
สมยั ก่อนมากอาจเท่ากบั หรือมากกว่าเคร่ือง เมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากน้ันยงั ราคาถูกลงมากดงั น้ันจึงเป็ นท่ี
นิยมใชม้ าก ท้งั ตามหน่วย งานและบริษทั ห้างร้าน ตลอดจนตามโรงเรียนสถานศึกษา และบา้ นเรือนบริษทั ท่ีผลิต
ไมโครคอมพิวเตอร์ออกจาหน่ายจนประสบความสาเร็จเป็ นบริษทั แรก คือบริษทั แอปเปิ ลคอมพิวเตอร์ เครื่อง
ไมโครคอมพิวเตอร์ จาแนกออกไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบติดต้งั ใชง้ านอยกู่ บั ที่ บนโต๊ะทางาน (Desktop
Computer) และแบบเคลื่อนยา้ ยได้ (Portable Computer) สามารถ พกพาติดตวั อาศยั พลงั งานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่
จากภายนอก ส่วนใหญ่มกั เรียกตามลกั ษณะของ การใชง้ านวา่ Laptop Computer หรือ Notebook Computer
แบ่งตามหลกั การประมวลผล
1. คอมพิวเตอร์ แบบอนาล็อก (Analog Computer) หมายถึง เคร่ืองมือประมวล ผลข้อมูลที่อาศัย
หลกั การวดั (Measuring Principle) ทางานโดยใช้ขอ้ มูลที่มีการเปล่ียนแปลง แบบต่อเนื่อง (Continuous Data)
แสดงออกมาในลกั ษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เคร่ืองคอมพิวเตอร์ประเภทน้ีมกั แสดงผลด้วยสเกล
หนา้ ปัทม์ และเข็มช้ี เช่น การวดั ค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกบั สเกลบนไมบ้ รรทดั การวดั ค่าความร้อนจากการ
ขยายตวั ของปรอทเปรียบ เทียบกบั สเกลขา้ งหลอดแก้ว นอกจากน้ียงั มีตวั อย่างของ Analog Computer ท่ีใช้การ
15
ประมวล ผลแบบเป็ นข้นั ตอน เช่น เคร่ืองวดั ปริมาณการใชน้ ้าดว้ ยมาตรวดั น้าท่ี เปลี่ยนการไหลของน้าให้เป็น
ตวั เลข แสดงปริมาณ อุปกรณ์วดั ความเร็ว ของรถยนต์ในลกั ษณะเข็มช้ี หรือ เครื่องตรวจคล่ืนสมองที่แสดงผล
เป็นรูปกราฟ เป็นตน้
2. คอมพวิ เตอร์แบบดจิ ทิ ลั (Digital Computer) ซ่ึงก็คือคอมพิวเตอร์ท่ีใชใ้ นการ ทางานทวั่ ๆ ไปนน่ั เอง
เป็นเครื่องมือประมวลผลขอ้ มูลที่อาศยั หลกั การนบั ทางานกบั ขอ้ มลู ท่ีมี ลกั ษณะการเปล่ียนแปลงแบบไมต่ ่อเนื่อง
(Discrete Data) ในลกั ษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital Signal อาศยั การนบั สัญญาณขอ้ มูลที่เป็นจงั หวะดว้ ย
ตวั นบั (Counter) ภายใตร้ ะบบ ฐานเวลามาตรฐาน ทาใหผ้ ลลพั ธเ์ ป็นท่ีน่าเชื่อถือ ท้งั สามารถนบั ขอ้ มลู ให้ค่าความ
ละเอียดสูง เช่นแสดงผลลพั ธเ์ ป็นทศนิยมไดห้ ลายตาแหน่ง เป็นตน้ เน่ืองจาก Digital Computer ตอ้ งอาศยั ขอ้ มูล
ที่เป็ นสัญญาณไฟฟ้า (มนุษยส์ ัมผสั ไม่ได้) ทาให้ไม่สามารถรับขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มูล ตน้ ทางได้โดยตรง จึง
จาเป็ นตอ้ งเปล่ียนข้อมูล ต้นทางท่ีรับเข้า (Analog Signal) เป็ นสัญญาณ ไฟฟ้า (Digital Signal) เสียก่อน เมื่อ
ประมวลผล เรียบร้อยแลว้ จึงเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้ากลบั ไปเป็ น Analog Signal เพอ่ื สื่อความหมายกบั มนุษยต์ ่อไป
โดยส่วนประกอบสาคญั ท่ีเรียกวา่ ตวั เปลี่ยน สัญญาณขอ้ มลู (Converter) คอยทาหนา้ ที่ในการ เปล่ียนรูปแบบของ
สัญญาณขอ้ มลู ระหวา่ ง Digital Signal กบั Analog Signal
3. คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer) เคร่ืองประมวลผลขอ้ มูลท่ีอาศยั เทคนิคการทางาน
แบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยทั่วไปมักใช้ใน งานเฉพาะกิจ โดย
เฉพาะงานดา้ น วทิ ยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพวิ เตอร์ ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Computer ควบคุมการหมุนของ
ตวั ยาน และใช้ Digital Computer ในการ คานวณระยะทาง เป็นตน้ การทางาน แบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์
ชนิดน้ี ยงั คงจาเป็นตอ้ งอาศยั ตวั เปลี่ยน สญั ญาณ (Converter) เช่นเดิม
แบ่งตามวัตถปุ ระสงค์ของการใช้งาน
a. เคร่ืองคอมพิวเตอร์เพ่ืองานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer) หมายถึงเครื่องประมวลผล
ขอ้ มูลท่ีถูกออกแบบตวั เครื่องและโปรแกรมควบคุมให้ทางานอย่าง ใดอย่างหน่ึงเป็ นการเฉพาะ (Inflexible)
โดยทวั่ ไปมกั ใชใ้ นงานควบคุมหรืองานอุตสาหกรรม ที่เนน้ การประมวลผลแบบรวดเร็วเช่นเครื่องคอมพิวเตอร์
ควบคุมสญั ญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ ควบคุมลิฟทห์ รือคอมพวิ เตอร์ควบคมุ ระบบอตั โนมตั ิในรถยนต์ เป็นตน้
b. เคร่ืองคอมพวิ เตอร์เพื่องานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer) หมายถึงเคร่ืองประมวลผล
ขอ้ มูลท่ีมีความยืดหยุ่นในการทางาน (Flexible) โดยไดร้ ับการ ออกแบบให้สามารถประยุกตใ์ ช้ในงานประเภท
ต่างๆ ได้โดยสะดวกโดยระบบจะทางานตาม คาส่ังในโปรแกรมท่ีเขียนข้ึนมาและเม่ือผูใ้ ช้ตอ้ งการให้เคร่ือง
คอมพิวเตอร์ทางานอะไรก็เพียงแต่ ออกคาสั่งเรียกโปรแกรมท่ีเหมาะสมเขา้ มาใช้งานโดยเราสามารถเก็บ
โปรแกรมไวห้ ลาย โปรแกรมในเครื่องเดียวกนั ได้ เช่นในขณะหน่ึงเราอาจใชเ้ คร่ืองน้ีในงานประมวลผลเก่ียวกบั
ระบบบญั ชีและในขณะหน่ึงก็สามารถใชใ้ นการออกเชค็ เงินเดือนได้ เป็นตน้
หลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์
การทางานของคอมพิวเตอร์ เริ่มจากการป้อนขอ้ มูลเขา้ ทางหน่วยป้อนข้อมูล (Input Unit) ผ่านไปยงั
หน่วยประมวลผลขอ้ มูล (CPU: Central Processing Unit) โดยหน่วยประมวล ผลขอ้ มูลกลางจะทางานร่วมกบั
หน่วยความจา(Memory Unit) เม่ือไดผ้ ลลพั ธ์ท่ีตอ้ งการ จะส่งขอ้ มลู ไปยงั หน่วยแสดงผล (Output Unit)
16
ประโยชน์ของคอมพวิ เตอร์
คอมพิวเตอร์ถกู นามาใชป้ ระโยชน์ต่อการดาเนินชีวิตประจาวนั ในสังคมเป็นอยา่ งมาก ที่พบเห็นไดบ้ ่อย
ที่สุดกค็ อื การใชใ้ นการพมิ พเ์ อกสารตา่ งๆ เช่น พิมพจ์ ดหมาย รายงาน เอกสาร ต่างๆ ซ่ึงเรียกวา่ งานประมวลผล
(word processing) นอกจากน้ียงั มีการประยกุ ตใ์ ช้ คอมพิวเตอร์ในดา้ นตา่ งๆ อีกหลายดา้ น ดงั ต่อไปน้ี
1. งานธุรกจิ เช่น บริษทั ร้านคา้ หา้ งสรรพสินคา้ ตลอดจนโรงงานตา่ ง ๆ ใชค้ อมพิวเตอร์ในการทาบญั ชี
งานประมวลคาและติดตอ่ กบั หน่วยงานภายนอกผา่ นระบบ โทรคมนาคม นอกจากน้ีงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็
ใชค้ อมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคมุ การผลิต และการประกอบชิ้นส่วนของอปุ กรณ์ต่าง ๆ เช่น โรงงานประกอบ
รถยนต์ ซ่ึงทาให้ การผลิตมีคุณภาพดีข้ึน หรืองานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตูฝ้ ากถอนเงินอตั โนมัติ
(ATM) และใชค้ อมพิวเตอร์คิดดอกเบ้ียให้กบั ผูฝ้ ากเงิน และการโอนเงินระหว่างบญั ชี เชื่อม โยงกนั เป็ นระบบ
เครือขา่ ย
2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนาคอมพิวเตอร์มาใช้ ในส่วนของการ
คานวณท่ีค่อนขา้ งซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการ ส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองาน
ทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สาหรับการตรวจรักษา โรคได้ ซ่ึงจะให้ผลท่ีแม่นยากวา่ การตรวจดว้ ยวธิ ี
เคมีแบบเดิม และใหก้ ารรักษาไดร้ วดเร็วข้นึ
3. งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนท่ีเกี่ยวกบั การเดินทาง จะใชค้ อมพิวเตอร์ในการ จองวนั เวลา ที่นง่ั
ซ่ึงมีการเชื่อมโยงไปยงั ทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทาใหส้ ะดวกต่อ ผเู้ ดินทางท่ีไม่ตอ้ งเสียเวลารอ อีกท้งั ยงั
ใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณ จราจร และการจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสารก็ใช้
ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพ่ือให้ อยู่ในวงโคจร ซ่ึงจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการส่ือสารมี
ความชดั เจน
4. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวศิ วกรสามารถใชค้ อมพิวเตอร์ใน การออกแบบ หรือ
จาลองสภาวการณ์ต่างๆ เช่น การรับแรงส่ันสะเทือนของอาคารเมื่อเกิด แผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคานวณ
และแสดงภาพสถานการณ์ใกลเ้ คียงความจริง รวมท้งั การใชค้ วบคมุ และติดตามความกา้ วหนา้ ของโครงการต่างๆ
เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการ ทางาน
5. งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใชค้ อมพิวเตอร์มากท่ีสุด โดยมีการใชห้ ลายรูป แบบ ท้งั น้ีข้นึ อยกู่ บั
บทบาทและหน้าท่ีของหน่วยงานน้ันๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการมีการใช้ ระบบประชุมทางไกลผ่าน
คอมพวิ เตอร์, กระทรวงวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไดจ้ ดั ระบบ เครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตเพื่อเช่ือมโยงไปยงั สถาบนั
ต่าง ๆ,กรมสรรพากร ใชจ้ ดั ในการจดั เกบ็ ภาษี บนั ทึกการเสียภาษี เป็นตน้
6. การศึกษาไดแ้ ก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางดา้ นการเรียนการสอน ซ่ึงมีการนาคอมพิวเตอร์มาช่วยการ
สอนในลกั ษณะบทเรียน CAI หรืองานดา้ นทะเบียน ซ่ึงทาใหส้ ะดวก ต่อการคน้ หาขอ้ มูลนกั เรียน การเก็บขอ้ มูล
ยมื และการส่งคนื หนงั สือหอ้ งสมุด
ความหมายของโทรคมนาคม
โทรคมนาคม (Telecommunications) เป็นการส่งสารสนเทศในรูปแบบของตวั อกั ษร ภาพและเสียงโดย
ใชค้ ลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือการติดต่อสารจากท่ีหน่ึงไปยงั อีก ที่หน่ึงไปยงั อีกท่ี หน่ึงโดยใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าใหไ้ หล
17
ไปตามสายเคเบิลทองแดง เคเบิลเส้นใยแกว้ นาแสง หรือโดย อาศยั คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งสัญญาณไปใน
บรรยากาศ เช่น การส่งวิทยุ โทรทศั น์ การส่งคลื่นไมโครเวฟ และการส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม โดยจุดที่ส่ง
ข่าวสารกบั จุดรับจะอยู่ ห่างไกลกนั และข่าวสารท่ีส่งจะเฉพาะเจาะจงผูร้ ับคนใดคนหน่ึงหรือส่งให้ผูร้ ับทว่ั ไปก็
ได้
โทรคมนาคมเป็นการใชส้ ่ืออุปกรณ์รับไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น วทิ ยุ โทรทศั น์ โทรศพั ท์ โทรสาร และโทรพิมพ์
เพ่ือการสื่อสารในระยะไกล โดยอุปกรณ์เหล่าน้ีจะแปลงข้อมูลรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น เสียงและภาพไปเป็ น
สัญญาณไฟฟ้า สัญญาณเหล่าน้ีจะถูกส่งไปโดยสื่อ เช่น สาย โทรศพั ท์ หรือคล่ืนวิทยุเม่ือสัญญาณไปถึงจุด
ปลายทาง อุปกรณ์ดา้ นผรู้ ับจะรับและแปลงกลบั สัญญาณไฟฟ้าเหล่าน้ีให้เป็นขอ้ มูลท่ีสามารถเขา้ ใจได้ เช่น เป็น
เสียงทางโทรศพั ท์ หรือภาพบน จอโทรทศั น์ หรือขอ้ ความและภาพบนจอคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมจะช่วยให้
บคุ คลสามารถ ติดต่อสารกนั ไดไ้ ม่วา่ จะอยทู่ ี่ใด ๆ ในโลกในรูปแบบของขา่ วสาร ความรู้ และความบนั เทิง
การติดต่อเพ่ือการส่ือความหมายระหวา่ งผสู้ ่งข่าวสาร และผรู้ ับขา่ วสาร แตผ่ สู้ ่งข่าวสาร และผรู้ ับข่าวสาร
อาจจะอยู่ในสถานที่เดียวกนั หรืออยู่ต่างสถานท่ีกนั ก็ได้ หากอยู่ต่างสถานที่กนั อาจจะตอ้ งใช้ระบบการส่ือสาร
เช่น โทรเลข โทรศพั ท์ หรือโทรสาร เพอื่ การติดตอ่ สื่อสาร ระหวา่ งผสู้ ่งข่าวสารและผรู้ ับขา่ วสาร
คาว่ า“Tele” เป็ นรากศัพท์ ที่มาจากภาษากรีก หมายความว่ า“ไกล” หรื อ “อยู่ไกลออกไป”
Telecommunications สามารถให้ความหมายอย่างกวา้ ง ๆ ตามรูปศพั ท์ได้ ว่าหมายถึง “การส่ือสารไปยงั ผูร้ ับ
ปลายทางที่อยไู่ กลออกไป”
สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunications Union:ITU) ไดใ้ หค้ าจากดั
ความวา่ “Telecommunications” หมายถึง “การส่งข่าวสารทุก รูปแบบไม่วา่ จะเป็ นเสียงพูด ตวั อกั ษร สัญลกั ษณ์
ภาพถ่าย graphics ภาพเคล่ือนไหว (Video) ฯลฯ ไปยังปลายทาง โดยอาศัยสัญญาณไฟฟ้าหรื อสัญญาณ
แม่เหล็กไฟฟ้าไม่ว่ารูปแบบใดและ ไม่จากดั ว่าจะไปใชส้ ่ือชนิดใด (เช่น ระบบวิทยุ คู่สายทองแดง หรือ optical
fiber ฯลฯ)”
อปุ กรณ์โทรคมนาคม (Telecommunication Device)
อุปกรณ์โทรคมนาคม (Telecommunication Device) จะหมายถึง อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ท่ีทาให้เกิดการ
ส่ือสารแบบอิเลก็ ทรอนิกส์เกิดข้นึ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
หน่วยความเร็วในการรับส่งขา่ วสารของอุปกรณ์โทรคมนาคม มีการวดั ท่ีใชห้ น่วยท่ีเรียกวา่
bit per second (bps) คือ ขา่ วสาร 1 bit ตอ่ การส่งใน 1 วนิ าที
thousand of bits per second (Kbps) คือ ข่าวสาร 1,000 bits ต่อการส่งใน 1 วินาที
million of bits per second (Mbps) คือ ข่าวสาร 1,000,000 bits ต่อการส่งใน 1 วนิ าที
giga of bits per second (Gbps) คือ ขา่ วสาร 1,000,000,000 bits ตอ่ การส่งใน 1 วินาที
อุปกรณ์โทรคมนาคม ประกอบด้วย
ปัจจุบนั มีระบบสื่อสารโทรคมนาคมหลายประเภท ต้งั แตโ่ ทรเลข โทรศพั ท์ โทรสาร วิทยุ โทรทศั น์ และ
เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ที่มีรูปแบบของสื่อหลายอยา่ ง เช่น สายโทรศพั ท์ เส้นใยแกว้ นาแสง เคเบิลใตน้ ้าคล่ืนวิทยุ
ไมโครเวฟ และดาวเทียม
18
อปุ กรณ์โทรคมนาคมระบบส่ือสารโทรคมนาคม
1. โทรศัพท์มือถือ หรือ โทรศัพท์เคลื่อนท่ี (และมีการเรียก วิทยโุ ทรศพั ท)์ คือ อปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ที่ใช้
ในการส่ือสารสองทางผา่ น โทรศพั ทม์ ือถือใชค้ ลื่นวทิ ยใุ นการติดต่อ กบั เครือขา่ ยโทรศพั ทม์ ือถือโดยผา่ นสถานี
ฐาน โดยเครือข่ายของโทรศพั ทม์ ือถือแต่ละผใู้ ห้ บริการจะเชื่อมต่อกบั เครือข่ายของ โทรศพั ทบ์ า้ นและเครือขา่ ย
โทรศพั ทม์ ือถือของผใู้ หบ้ ริการ อื่น โทรศพั ทม์ ือถือที่มีความสามารถเพม่ิ ข้ึนในลกั ษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูก
กลา่ ว ถึงในชื่อ สมาร์ตโฟน
โทรศพั ทม์ ือถือในปัจจุบนั นอกจากจากความสามารถพ้ืนฐานของโทรศพั ทแ์ ลว้ ยงั มี คุณสมบตั ิพ้ืนฐาน
ของโทรศัพท์มือถือท่ีเพิ่มข้ึนมา เช่น การส่งข้อความ ปฏิทิน นาฬิกาปลุก ตารางนัดหมาย เกม การใช้งาน
อินเทอร์เนต็ บลูทูธ อินฟราเรด กลอ้ งถ่ายภาพ SMS วทิ ยุ เคร่ืองเล่นเพลง และ GPS
2. โทรสาร หรือแฟกซ์ (Fax) เป็นสื่อคมนาคมประเภทหน่ึง ราชบณั ฑิตยสถาน บญั ญตั ิศพั ทใ์ ชค้ าวา่ โทร
ภาพ เพราะเดิมหมายถึงภาพหรือรูปท่ีส่งมาโดยทางไกล ตลอดจนหมาย ถึงกรรมวิธีในการถอดแบบเอกสาร
ตีพมิ พห์ รือรูปภาพ โดยทางคลื่นวิทยหุ รือทางสาย เช่นสาย โทรศพั ท์ ในสังคมสารนิเทศปัจจุบนั นิยมใชค้ าวา่
โทรสาร แทนโทรภาพ เพราะครอบคลมุ ประเภทของการส่งสารสนเทศไดม้ ากกวา่ ภาพ
เคร่ืองโทรสารมาจากคาในภาษาองั กฤษวา่ Facsimile หรือท่ีนิยมเรียกกนั ส้นั ๆวา่ Fax (แฟกซ์) หมายถึง
อุปกรณ์การถา่ ยเอกสาร ภาพ และวสั ดุกราฟิ กดว้ ยคล่ืนอากาศความถี่สูง ผา่ นระบบโทรศพั ทท์ าใหผ้ สู้ ่งและผรู้ ับท่ี
แมอ้ ยหู่ ่างกนั แค่ไหนกต็ าม เป็นการส่งสัญญาณดว้ ย แสงท่ีมาแปลงเป็นเสียงแลว้ ยอ้ นกลบั ไปเป็นกระแสไฟฟ้า
แลว้ แปลงกลบั มาเป็นเสียงและแสง อีกคร้ังหน่ึง
การส่งเอกสารผา่ นทางโทรสารตอ้ งมีหมายเลขของเคร่ืองรับ (เบอร์โทรศพั ท)์ และ ตน้ ฉบบั ที่เป็นเอกสาร
และการส่งแฟกซแ์ ตล่ ะคร้ัง คดิ คา่ บริการตามอตั ราคา่ ใชโ้ ทรศพั ท์ ถา้ ใน พ้นื ท่ีเดียวกนั กค็ ร้ังละ 3 บาท ตา่ งจงั หวดั
คดิ ตามอตั ราค่าบริการโทรศพั ทท์ างไกล แต่ในความ จริงสถานท่ีรับบริการส่งแฟกซ์จะคดิ ค่าบริการแพงกวา่
คา่ ใชจ้ ่ายจริงหลายเท่าตวั
ปัจจุบนั เคร่ืองโทรสารไดร้ ับความนิยมใชใ้ นสานกั งานกนั อยา่ งแพร่หลาย เน่ืองจากให้ ความสะดวก
รวดเร็ว และใหค้ วามแม่นยาในการส่งขอ้ มลู ข่าวสารดว้ ยสีที่เหมือนกบั ตน้ ฉบบั ใชถ้ า่ ยเอกสารนาไปพว่ งต่อกบั
เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ เพ่ือใชเ้ ป็นพรินเตอร์ (Printer) ช่วยลดปัญหา การสื่อสารขอ้ ความผดิ พลาด และช่วยใหก้ าร
ติดต่อส่ือสารระหวา่ งกนั สะดวกและรวดเร็วยง่ิ ข้ึน
3. วิทยุ–โทรทัศน์
วทิ ยุ-โทรทศั น์ ดจิ ิตอล (Digital Broadcasting) หมายถึง การส่งผา่ นภาพและเสียง โดยสญั ญาณดิจิตอลท่ี
มีประสิทธิภาพสูง ภาพและเสียงคมชดั สามารถส่งขอ้ มูลไดม้ ากกวา่ แบบ อนาลอ็ กในหน่ึงช่องสญั ญาณ และทา
ใหไ้ ดค้ ณุ ภาพของภาพและเสียงดีกวา่
การเปล่ียนระบบจากอนาลอ็ กเป็นดิจิตอล เป็นกระแสของโลก ท้งั ในกิจการวิทย-ุ โทรทศั นต์ า่ งๆ ดงั น้ี
1. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลผ่านดาวเทียม (The Digital Video Broadcasting - Satel lite System) หรื อ
DVB-S
19
2. ระบบแพร่ ภาพดิจิตอลผ่านสายเคเบิ้ล (The Digital Video Broadcasting - Cable System) หรื อ
DVB-C
3. ระบบแพร่ภาพดิจิตอลภาคพ้นื ดิน (The Digital Video Broadcasting - Terres trial System) หรือ DVB-
T
จุดใหญท่ ่ีจะทาใหด้ ิจิตอลทีวีต่างจากอนาลอ็ กทีวมี ากคือเทคนิคในดา้ นน้ี ซ่ึงกจ็ ะเริ่มเห็น จากตวั อยา่ งของ
ระบบโทรศพั ทท์ ี่เปล่ียนจากอนาล็อกมา เป็ นดิจิตอล ในทานองคลา้ ยกนั โทรทศั น์ดิจิตอลจะกลายเป็ นสื่อผสม
ชนิดหน่ึง (Multimedia) โดยเป็ นส่ือผสมท่ีมีความเร็วสูงสุด สื่อผสมในที่น้ีจะประกอบด้วยภาพ เสียงและ
ขอ้ มูลภาพจะเห็นได้จาก ดิจิตอลทีวีก็จะข้ึนเป็ น ระดบั ความคมชดั สูง (HDTV) ภาพท่ีรับชมก็สามารถโตต้ อบ
(Interactive) ได้
4. จีพเี อส (GPS) Global Positioning System หมายถึง ระบบกาหนดตาแหน่ง บนโลก โดยใชว้ ิธีการ
คานวณตาแหน่งพกิ ดั ภูมิศาสตร์ของอปุ กรณ์รับสัญญาณ จากค่าตาแหน่ง พกิ ดั จากดาวเทียมที่โคจรอยรู่ อบโลก ท่ี
ส่งผา่ นสัญญาณนาฬิกามายงั โลก
จพี ี เอส เป็นระบบนาร่องโดยอาศยั คลื่นวิทยุ และรหสั ที่ส่งมาจากดาวเทียม NAVSTAR (NAVigation
Satellite Timing and Ranging) จานวน 24 ดวงท่ีโคจรอยเู่ หนือพ้นื โลก สามารถ ใชใ้ นการหาตาแหน่งบนพ้ืนโลก
ไดต้ ลอด 24 ชวั่ โมงทกุ ๆ จุดบนผวิ โลก
GPS (Global Positioning System) เป็นระบบดาวเทียม NAVSTAR ที่ออกแบบและ จดั สร้างโดยกองทพั
สหรัฐอเมริกา เพ่ือใชใ้ นการนาทาง (Navigation) มีวตั ถปุ ระสงคใ์ นการ ออกแบบคอื
1) เพ่ือใหม้ ีผใู้ ชป้ ระโยชน์ท้งั ฝ่ายทหารและพลเรือนไดเ้ ป็นจานวนมาก
2) เพ่ือเคร่ืองรับและอปุ กรณ์ใชง้ านไดง้ า่ ยและมีราคาต่า
3) เพื่อใชไ้ ดส้ ะดวกไมม่ ีขอ้ จากดั นนั่ คือ ใชไ้ ดต้ ลอด 24 ชวั่ โมง โดยไม่ข้นึ กบั สภาพ ภมู ิอากาศและ
สถานท่ี
4) ให้ความถูกต้องทางตาแหน่งตามเงื่อนไขที่ฝ่ ายทหารกาหนด GPS เป็ นเพียงระบบหน่ึงของ
สหรัฐอเมริกา ที่เรียกระบบน้ีว่า GNSS หรือ Global Navigation Satellite System ซ่ึงยงั มีอีกหลายระบบท่ีอยู่ใน
กลุ่มน้ี เช่น
GPS เป็นเพียงระบบหน่ึงของสหรัฐอเมริกา ที่เรียกระบบน้ีวา่ GNSS หรือ Global Navigation Satellite
System ซ่ึงยงั มีอีกหลายระบบท่ีอยใู่ นกลุ่มน้ี เช่น
NAVSTAR - USA นิยมเรียกว่าGPS
GLONASS - Russia
Galileo - European Union
Beidou - China
QZSS - Japanese
IRNSS - Indian Regional Navigational Satellite System – India
20
องค์ประกอบของ GPS
จีพีเอส (GPS) มีหลกั การทางานโดยอาศยั คล่ืนวิทยุ และรหสั ท่ีส่งมาจากดาวเทียม NAVSTAR จานวน 24
ดวง ท่ีโคจรอยรู่ อบโลกวนั ละ 2 รอบและมีตาแหน่งอยเู่ หนือพ้นื โลกที่ ความสูง 20,200 กิโลเมตร สามารถใชใ้ น
การหาตาแหน่งบนพ้ืนโลกไดต้ ลอด 24 ชวั่ โมง ทกุ ๆ จุดบนผิวโลก ใชน้ าร่องจากที่หน่ึงไปที่อื่นตามตอ้ งการ ใช้
ติดตามการเคล่ือนที่ของคนและ สิ่งของต่างๆ การทาแผนท่ี การทางานรังวดั (Surveying) ตลอดจนใชอ้ า้ งอิงการ
วดั เวลาที่เที่ยง ตรงท่ีสุดในโลก
องคป์ ระกอบของระบบกาหนดตาแหน่งบนโลก (GPS) ประกอบดว้ ย 3 ส่วนหลกั คือ
1. ส่วนอวกาศ (Space segment )
2. ส่วนสถานีควบคมุ (Control segment)
3. ส่วนผใู้ ช้ (User segment)
อปุ กรณ์โทรคมนาคมเครือข่ายคอมพวิ เตอร์
1. สายโทรศัพท์ ทาหนา้ ท่ีเช่ือมผเู้ ช่าเขา้ กบั ชุมสายเป็นตวั นาสัญญาณเสียงของคูส่ นทนา ใหถ้ ึงกนั สาย
เคเบิลท่ีจะนามาใชง้ านในกิจการโทรศพั ท์ ตอ้ งคานึงถึงคุณสมบตั ิหลายประการ เช่น ขนาดลวดทองแดง ความ
ตา้ นทานของฉนวน คา่ คาปาซิเตอร์ในคูส่ าย การทนความร้อน ของฉนวน คา่ ความตา้ นทานและการลดทอนของ
ลวดตวั นาเหล่าน้ีตอ้ งคานึงถึง ซ่ึงจะมีคา่ ท่ี กาหนดไว้ ให้ พิจารณาก่อนการนาไปใช้ งาน นอกจากน้นั เคเบิลท่ี จะ
นาไปใชง้ านตอ้ งมีการฟอร์มเพอื่ ลดค่า CROSS TALK และทาใหแ้ ยกค่ไู ดช้ ดั เจน
สายโทรศพั ทแ์ บ่งไดส้ องประเภท คือวางในอากาศและวางใตด้ ิน ชนิดท่ีวางในอากาศ ยงั แบง่ ออกไดเ้ ป็น
วางในอาคารและวางนอก อาคาร ส่วนวางใตด้ ินน้นั กแ็ บง่ ออกเป็นวาง ใตด้ ินและวางใตน้ ้าซ่ึงเคเบิลแตล่ ะชนิดจะ
ทาโครงสร้างแตกต่างกนั และราคาก็แตกตา่ งกนั ดว้ ยนอกจากน้นั เพอื่ ความสะดวกในการใช้ งานของเคเบิล
โทรศพั ทย์ งั เคลือบสีหุม้ คสู่ าย ไวอ้ ีก เรียกวา่ รหสั สีของคสู่ ายโทรศพั ท์ ซ่ึง สะดวกในการแยกคสู่ ายใชง้ านมาก
ยง่ิ ข้นึ
2. สายใยแก้วนาแสง หรือ ออปติกไฟเบอร์ หรือ ไฟเบอร์ออปติก เป็นแกว้ หรือ พลาสติกคุณภาพสูง
ยดื หยนุ่ โคง้ งอได้ เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางเพยี ง 8-10 ไมครอน (10 ไมครอน = 10 ในลา้ นส่วนของเมตร =10x10^-
6=0.00001 เมตร = 0.01 มม.) เลก็ กวา่ เส้นผมที่มีขนาด 40-120 ไมครอน, กระดาษ 100 ไมครอน ใยแกว้ นาแสงทา
หนา้ ท่ีเป็นตวั กลางในการส่งแสง จากดา้ นหน่ึงไปอีกดา้ นหน่ึง ดว้ ยความเร็วเกือบเท่า แสง เมื่อนามาใชใ้ นการ
สื่อสารโทรคมนาคม ทาให้ สามารถส่ง-รับขอ้ มลู ไดเ้ ร็วมาก ไดร้ ะยะทางเกิน 100 กม.ในหน่ึงช่วง และเน่ืองจาก
แสงเป็นตวั นาส่ง ขอ้ มลู ทาใหส้ ัญญาณแม่เหลก็ ไฟฟ้าภายนอก ไม่ สามารถรบกวนความชดั เจนของขอ้ มลู ได้ ใย
แกว้ นาแสงจึงถกู นามาใชแ้ ทนตวั กลางอื่นๆในการส่งขอ้ มูล
3. เคเบิลใต้น้า (submarine communications cable) เป็ นส่ืออีกอย่างหน่ึงท่ีมี การใช้ในการสื่อสาร
โทรคมนาคมระหว่างประเทศ มีการรับส่งสัญญาณทุกชนิดไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพ ไดม้ ีการพฒั นาเทคโนโลยี
เรื่อยๆ มาเป็ นลาดบั ต้งั แต่ยุคของเคเบิลใตน้ ้าชนิดแกน (coaxial cable) มาจนถึง สายเคเบิลชนิดใยแกว้ (optical
fiber cable) ซ่ึงมีใช้แพร่หลายทวั่ โลกเพราะเหมาะกบั สภาวการณ์ปัจจุบนั และมีการพฒั นาความสามารถให้
ทนั สมยั โครงข่าย เคเบิลใตน้ ้า(submarine cable networks) มีประวตั ิที่น่าสนใจ นบั ต้งั แต่ พ.ศ. 2393 มีการ วาง
21
สายเคเบิลใตน้ ้าที่ช่องแคบองั กฤษ ในขณะที่สายเคเบิลโทรเลขทางทรานสแอตแลนติค เส้น แรกวางใน พ.ศ.
2410 ปัจจุบนั สายเคเบิลใตน้ ้าสามารถวางไดเ้ ร็วกว่าในอดีตเน่ืองจาก ความ กา้ วหนา้ ของเทคโนโลยี ทาใหม้ ีการ
วางสายเคเบิลใต้ น้าในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิ ก นานกว่า 10 ปี แล้ว และมีปริมาณทราฟฟิ กโทรศพั ท์ระหว่าง
ประเทศเพ่ิม ข้ึนถึง 10 เท่าตวั ทว่ั โลกจะมีการลงทุนทางด้าน เคเบิลใตน้ ้าใยแก้วมากกว่า 15 พนั ลา้ นดอลลาร์
สหรัฐ ใน จานวนหน่ึงกวา่ คร่ึงเป็นของภมู ิภาค เอเชีย-แปซิฟิ กเน่ืองจากมีความเจริญเติบโตทางดา้ น เศรษฐกิจ ทา
ใหค้ วามตอ้ งการเพิ่มข้ึนอยา่ งรวดเร็ว
4. คลื่นวิทยุ เป็ นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง ซ่ึงมีคุณสมบตั ิกระจายไปได้เป็ นระยะ ทางไกล ดว้ ย
ความเร็วเทา่ กบั แสงคือ 300 ลา้ นเมตรตอ่ วนิ าที เคร่ืองส่งวิทยจุ ะทาหนา้ ที่สร้าง คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าความถี่สูงหรือ
คล่ืนวิทยุ (RF) ผสมกบั คล่ืนเสียง (Audio Frequency -AF) แลว้ ส่งกระจายออกไป ลาพงั คล่ืนเสียงซ่ึงมีความถี่ต่า
ไม่สามารถส่งไปไกลๆ ได้ ตอ้ งอาศยั คล่ืนวิทยเุ ป็นพาหะจึงเรียกคล่ืนวิทยวุ า่ คลื่นพาหะ (Carier Wave) เครื่องรับ
วิทยุ จะทาหนา้ ที่ รับคล่ืนวทิ ยแุ ละแยกคลื่นเสียงออกจากคลื่นวิทยใุ หร้ ับฟังเป็นเสียงปกติได้
ความถี่ของคล่ืน หมายถึง จานวนรอบของการเปล่ียนแปลงของคลื่น ในเวลา 1 นาที คล่ืนเสียงมีความถี่
ช่วงท่ีหูของคนรับฟังได้ คือ ต้ังแต่ 20 เฮิรตซ์ถึง 20 กิโลเฮิรตซ์ (1 KHz =1,000 Hz) ส่วนคล่ืนวิทยุเป็ นคล่ืน
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าความถ่ีสูง อาจมีต้งั แต่ 3 KHz ไปจนถึง 300 GHz( 1 GHz = พนั ลา้ น Hz) คลื่นวทิ ยแุ ตล่ ะช่วงความถี่
จะถูกกาหนดใหใ้ ชง้ านดา้ นต่างๆ ตาม ความเหมาะสม
5. คล่ืนไมโครเวฟ เป็นคลื่นความถี่วิทยชุ นิดหน่ึงท่ีมีความถ่ีอยู่ระหว่าง 0.3 GHz - 300 GHz การใชง้ าน
น้ันส่วนมากนิยมใชค้ วามถี่ระหว่าง 1 GHz - 60 GHz เพราะเป็ น ย่านความถี่ท่ีสามารถผลิตข้ึนไดด้ ว้ ยอุปกรณ์
อิเลก็ ทรอนิกส์
6. ดาวเทียม คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษยค์ ิดคน้ ข้ึน ท่ีสามารถโคจรรอบโลก โดยอาศยั แรงดึงดูดของโลก
ส่งผลให้สามารถโคจรรอบโลกไดใ้ นลกั ษณะเดียวกนั กับท่ีดวงจนั ทร์โคจรรอบ โลก และโลกโคจรรอบดวง
อาทิตย์ วตั ถุประสงคข์ องสิ่งประดิษฐ์น้ีเพื่อใชท้ างการทหาร การ สื่อสาร การรายงานสภาพอากาศ การวิจยั ทาง
วิทยาศาสตร์ เช่น การสารวจทางธรณีวิทยา สังเกตการณ์สภาพของอวกาศ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดาว
อื่นๆ รวมถึงการสงั เกต วตั ถุ และดวงดาว กาแลก็ ซีต่างๆ
ส่วนประกอบของโทรคมนาคม
Transmission Media หมายถึง ตวั กลางในการส่งสัญญาณ มีลกั ษณะขอ้ ดีและขอ้ เสีย แตกต่างกนั ไป ใน
การพฒั นาระบบโทรคมนาคม การเลือกใช้ตัวกลาง ควรเลือกให้เหมาะกับ จุดประสงค์ของการสร้างระบบ
สารสนเทศขององค์กร และจุดประสงค์โดยรวมของการดาเนิน ธุรกรรมขององค์กร ดว้ ยตน้ ทุนท่ีต่าท่ีสุด แต่
สามารถปรับเปลี่ยนระบบดงั กล่าวใหท้ นั สมยั ได้ เป็นระยะๆ ดว้ ย
22
ชนิดของตวั กลาง คาอธิบาย ขอ้ ดี ขอ้ เสีย
Twisted-pair wire cable เส้นทองแดง 2 เส้นมาบิด ใ ช้ ใ น ก า ร ใ ห้ บ ริ ก า ร ความเร็วและระยะทางใน
(สายทองแดงบิดคู่) เป็นเกลียวๆ มีท้งั แบบหุม้ โ ท ร ศั พ ท์ มี อ ยู่ ม า ก การส่งมีจากดั
ฉนวนและแบบไม่หุ้ม (เพราะราคาไมแ่ พง)
ฉนวน
Coaxial Cable (สาย สายไฟที่มีการหุม้ ฉนวน การส่งสัญญาณชัดเกว่า ราคาแพงกว่า Twisted-
เคเบิลหุม้ ฉนวน) และเร็วกว่า Twisted-pair pair wire cable.
wire cable
Fiber-optic cable (สายใย เส้นใย แก้วขนาดเล็ก ขนาดเล็กกว่า ส่งข้อมูล มีราคาแพงในการซ้ือและ
แกว้ นาแสง) มากๆ นามามดั รวมกนั ไ ด้ ดี ก ว่ า มี สั ญ ญ า ณ ติดต้งั
ร บ ก ว น ไ ด้ น้ อ ย ก ว่ า
Coaxial Cable
Microwave สัญญาณของคล่ืนวิทยุ ไม่ตอ้ งเสียตน้ ทุนในการ ต้องไม่มีสิ่งกีดขวางใน
Transmission (สัญญาณ ค ว า ม ถี่ สู ง ส่ ง ผ่ า น ใ น วางสายไฟใหย้ งุ่ ยาก และ การส่งสัญญาณระหวา่ งผู้
ไมโครเวฟ) บรรยากาศและอวกาศ ส า ม า ร ถ ส่ ง สั ญ ญ า ณ ส่งและผรู้ ับ
ความเร็วสูงได้
Cellular Transmission มีการแบ่งอาณาเขตใน ใช้ในโทรศัพท์มือถือ สัญญาณสามารถมีคล่ืน
(สัญญาณเซลลลู า่ ร์) การส่ง แต่ละอาณาเขต ราคาต่าลงเร่ือยๆ รบกวนได้
ข้ึนอยใู่ นความรับผิดชอบ
ของแต่ละบริษทั เจ้าของ
มือถือ
Infrared Transmission สัญญาณส่งผ่านอากาศ ส า ม า ร ถ เ ค ล่ื อ น ย้า ย ต้อ ง ไ ม่ มี สิ่ ง กี ด ข ว า ง
(สญั ญาณอินฟาเรด) เป็นลาแสง อุปกรณ์ท่ีใช้ได้ง่าย ไม่ ระหว่างอุปกรณ์ส่งและ
ต้องมีการต่อสายไฟให้ อุปกรณ์รับเลย
ยงุ่ ยาก
ตารางแสดงรายละเอียดชนิดของตวั กลาง
ประเภทของข้อมูล
ขอ้ มูลในการส่ือสารโทรคมนาคมสามารถแยกไดเ้ ป็น 4 ประเภท คือ
1. ประเภทเสียง เช่น เสียงพดู เสียงดนตรี
2. ประเภทตวั อกั ษร เช่น อกั ษร ตวั เลข สญั ลกั ษณ์
3. ประเภทภาพ ท้งั ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว
4. ประเภทรวม เป็นการส่ือสารท้งั ตวั อกั ขระ ภาพและเสียง
องค์ประกอบของการส่ือสารในระบบโทรคมนาคม
23
องคป์ ระกอบของการส่ือสารในระบบโทรคมนาคม แบ่งได้ 2 ส่วน ซ่ึงทาหนา้ ท่ีดงั น้ี
1. สื่อ หรือพาหะ เพ่ือนาข่าวสารน้ันไปถึงกันโดยใช้เคลื่อนวิทยุที่มีความถี่สูงเป็ น คล่ืนพาห์ ช่วยนา
สัญญาณทางไฟฟ้าที่ส่งมาน้นั แพร่กระจายไปในบรรยากาศไปยงั เคร่ืองรับไดโ้ ดยสะดวก
2. เคร่ืองส่งและเคร่ืองรับ จุดส่งและจุดแต่ละจุดจะตอ้ งมีเคร่ืองเขา้ รหสั เพื่อเปล่ียน ข่าวสารน้นั ให้เป็ น
สัญญาณทางไฟฟ้าเสียก่อน เพอ่ื ฝากสญั ญาณไปกบั คล่ืนพาห์ ดว้ ยการกล้าสัญญาณ โดยเคร่ืองมือที่เรียกวา่ มอดูเล
เตอร์ เมื่อสัญญาณน้นั เสมือนเคร่ืองถ่ายสาเนาเอกสาร เพียงแต่ตน้ ฉบบั ท่ีส่งมาน้นั อยู่ห่างไกลจากผูร้ ับโทรสาร
เป็ นอุปกรณ์ท่ีนามา ใชแ้ ทนเครื่อง โทรสาร (photo telegraph) ที่เคยใช้ในการส่งภาพน่ิงมาแต่เดิม ซ่ึงลา้ สมยั ไป
แลว้
อุปกรณ์โทรคมนาคมโดยทั่วไป
อุปกรณ์ หน้าท่กี ารใช้งาน
Model (โมเด็ม) เปลี่ยนขอ้ มูลจากรูปแบบดิจิตอลใหเ้ ป็นรูปแบบ
อนาลอ็ ก ข้นั น้ีเรียกวา่ Mudulation (โมดูเรชน่ั ) แลว้
ส่งผา่ น สายโทรศพั ท์ จากน้นั เม่ือถึงจุดหมายกแ็ ปลง
ขอ้ มลู ในรูป แบบอนาลอ็ กใหก้ ลบั เป็นรูปแบบดิจิตอล
ข้นั น้ีเรียกวา่ Demulation (ดีโมดูเรชน่ั )
Fax Modem (แฟกซ์ โมเดม็ ) สามารถส่งเอกสาร รูปภาพ แผนภูมิต่างๆ ผา่ น
สายโทรศพั ทไ์ ด้
Multiplexer สามารถใหส้ ัญญาณโทรคมนาคมรูปแบบตา่ งๆ
ส่งผา่ น ช่องทางการส่ือสารช่องทางเดียวกนั ในเวลา
เดียวกนั ได้
PBX เป็นระบบสื่อสารท่ีจดั การการส่งขอ้ มูลและเสียง
ภายใน อาคารขององคก์ ร และการส่งขอ้ มลู และเสียง
จากองคก์ ร ไปยงั สถานที่อื่นๆ ภายนอกองคก์ ร
ตารางแสดงอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยทวั่ ไป
Dedicated Line (สายเช่ือมต่อทางกายภาพ) หรือบางคร้ังเรียกวา่ leased line (สายใหเ้ ช่า) คือ การเช่ือมต่อ
สญั ญาณระหวา่ ง 2 สถานท่ีทางกายภาพ โดยไมต่ อ้ งมีการใช้ โทรศพั ทใ์ นการหมุนเขา้ เพือ่ ต่อเหมือนการใชโ้ มเด็ม
เลย อปุ กรณ์ ณ 2 สถานท่ีจะเชื่อมต่อกนั เสมอ ส่วนใหญ่มกั ใชก้ บั การเช่ือมต่อระหวา่ งสานกั งานใหญข่ ององคก์ ร
ใดองคก์ รหน่ึง
Digital Subscriber Line (DSL) (ผู้เช่าสายสัญญาณแบบดจิ ิตอล) เช่ือมต่อโดย การใชส้ ายโทรศพั ทท์ ่ีมีอยู่
ในปัจจุบนั ใหค้ วามเร็วในการส่งสัญญาณถึง 500 Kbps ในราคา ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐฯ
24
Computer Network หมายถึง การเชื่อมต่อโดยใช้ ตวั กลาง อุปกรณ์ และโปรแกรม คอมพิวเตอร์ ในการ
เชื่อมต่อเคร่ืองคอมพิวเตอร์มากกวา่ 2 เครื่องเขา้ ดว้ ยกนั เมื่อเคร่ือง คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกนั แลว้ แต่ละเครื่อง
สามารถแบง่ ปันการใชง้ านต่างๆ ได้ เช่น การแบง่ ปันการใชข้ อ้ มูลระหวา่ งกนั และกนั ได้
องค์ประกอบข้นั พื้นฐานของการส่ือสารข้อมูล
1. ผ้สู ่งสาร (Transmitter) คือ ส่ิงที่ทาหนา้ ที่ส่งขอ้ มลู ในการส่ือสาร เช่น ผพู้ ูด คอมพวิ เตอร์ เคร่ืองส่ง
รหสั มอส เป็นตน้
2. ผ้รู ับสาร (Receiver) คือ ส่ิงที่ทาหนา้ ที่รับขอ้ มูลที่ถกู ส่งมา เช่น ผฟู้ ัง เคร่ืองรับ วิทยุ เป็นตน้
3. ข้อมูล (Message) คือ ส่ิงท่ีผสู้ ่งสารตอ้ งการส่งใหผ้ รู้ ับสาร รับทราบ เช่น ขอ้ ความ ประกาศ รหสั ลบั
เป็ นตน้
4. สัญญาณรบกวน (Noise) คือ ส่ิงท่ีทาใหเ้ กิดการรบกวน ต่อระบบและข่าวสาร
5. สื่อ (Medium) คือ ตวั กลางท่ีใชใ้ นการส่งขอ้ มลู ระหว่างผสู้ ่งสารและผรู้ ับสาร เช่น อากาศ สายไฟฟ้า
สายโทรศพั ท์ เป็นตน้
6. โปรโตคอล (Protocol) คือ กระบวนการ วิธีการ ประเภท หรือขอ้ กาหนดตา่ งๆ ที่ตกลงกนั ระหวา่ งผสู้ ่ง
และผรู้ ับสารเพ่ือใชใ้ นการ ส่ือสารขอ้ มลู เช่น การเขียนจ่าหนา้ ซองจดหมาย การเขา้ รหัสและการถอดรหสั ขอ้ มลู
การใชภ้ าษา เดียวกนั ในที่ทางานร่วมกนั เช่น โทรสาร วิทยุ ติดตามตวั โทรศพั ทเ์ คล่ือนท่ี อินเทอร์เน็ต วทิ ยุ
กระจายและโทรทศั น์ Remote Control เป็นตน้
กลยทุ ธ์พืน้ ฐานในการประมวลผลมี 3 กลยุทธ์หลกั ๆ ดงั นี้
1. Centralized Processing (การประมวลผลแบบมีศูนย์กลาง) หมายถึง อปุ กรณ์ ท่ีใชใ้ นการประมวลผล
มีอยู่ ณ สถานท่ีเพยี งแห่งเดียว เพื่อใหม้ ีลกั ษณะการควบคมุ ไดด้ ีท่ีสุด เช่น สถาบนั การเงินต่างๆ มกั จะใชก้ าร
ประมวลผลวธิ ีน้ีเพราะสามารถรักษาความปลอดภยั ณ สถานท่ีเดียวได้
2. Decentralized Processing (การประมวลผลแบบกระจาย) หมายถึง อุปกรณ์ ท่ีใชใ้ นการประมวลผลมี
อยหู่ ลายสถานที่ และระบบคอมพวิ เตอร์แตล่ ะท่ีไม่มีการเช่ือมต่อเพือ่ ติดต่อส่ือสารกนั เช่น ร้านวดิ ีโอซึทายา่
3. Distributed Processing (การประมวลแบบแบ่งปัน) อุปกรณ์ที่ใชใ้ นการประมวล ผลมีอยหู่ ลาย
สถานท่ี แตร่ ะบบคอมพิวเตอร์แต่ละท่ีมีการเชื่อมตอ่ เพื่อติดตอ่ ส่ือสารกนั เช่น ศูนยโ์ ทรศพั ทม์ ือถือ AIS
ชนดิ ของการเช่ือมต่อ (Network Types)
1. LAN (Local Area Network) หมายถึง การเช่ือมต่อคอมพวิ เตอร์ภายใน สานกั งานหรือโรงงาน การ
เชื่อมตอ่ แบบน้ีมกั ใชส้ ายไฟแบบสายทองแดงบิดคู่แบบไม่มีฉนวน (Unshielded twisted-pair – UTP) เป็นส่วนมาก
แตก่ ารเชื่อมตอ่ ดว้ ยสายใยแกว้ นาแสง ก็มีการนามาใชด้ ว้ ย การเช่ือมตอ่ แบบน้ีตอ้ งใชอ้ ปุ กรณ์ที่เรียกวา่ Network
Interface Card (NIC)
2. Wide Area Network (WAN) เป็นการเชื่อมต่อในพ้ืนที่ท่ีกวา้ งกวา่ LAN มกั ครอบคลมุ ประเทศใด
ประเทศหน่ึง สามารถเชื่อมต่อโดยใชส้ ัญญาณไมโครเวฟ ดาวเทียม หรือสายโทรศพั ทก์ ็ได้
3. International Networks เป็นการเช่ือมต่อระหวา่ งประเทศต่างๆ ซ่ึงตอ้ งใช้ อุปกรณ์ และโปรแกรมท่ีมี
ความสลบั ซบั ซอ้ นเพ่ือใหถ้ ูกตอ้ งตามกฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บงั คบั ของแต่ละประเทศที่ตอ้ งการเชื่อมต่อกนั ถา้
25
ประเทศใดประเทศหน่ึงมีกฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บงั คบั ของประเทศตนเก่ียวกบั การใชอ้ ุปกรณ์ โทรคมนาคม และ
ฐานขอ้ มลู แบบเขม้ งวดจะ เรียกการเช่ือมต่อวา่ มีอุปสรรค คือ Trans border Data Flow แต่ถา้ ไมเ่ ขม้ งวดจะเรียกวา่
ประเทศ น้นั เป็น Data Havens หรือสวรรคข์ องขอ้ มูล ขา่ วสาร
เทคโนโลยีโทรคมนาคม
ใช้เพ่ือติดต่อสื่อสารรับ/ส่งขอ้ มูลจากท่ีไกลออกไป เป็ นการส่งของขอ้ มูลระหว่าง คอมพิวเตอร์ หรือ
อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยหู่ ่างไกลกนั ซ่ึงจะช่วยใหก้ ารเผยแพร่ขอ้ มลู หรือ สารสนเทศไปยงั ผใู้ ชใ้ นแหลง่ ต่าง ๆ เป็นไป
อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกตอ้ ง ครบถว้ นและทนั เหตุการณ์ (Up-to-Date) ซ่ึงรูปแบบของขอ้ มูลท่ีรับ/ส่งอาจเป็ น
ตวั เลข (Numeric Data) ตวั อกั ษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice) ตวั อยา่ งเช่น การส่งขอ้ มลู ต่าง ๆ ของยาน
อวกาศที่อยู่นอกโลกมายังเครื่องคอมพิวเตอร์บนโลก เพ่ือทาการคานวณ และ ประมวลผล ทาให้ทราบ
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว
หน้าท่ีของระบบโทรคมนาคม
ทาหน้าท่ีในการส่งและรับข้อมูลระหว่างจุดสองจุด ได้แก่ ผูส้ ่งข่าวสาร (Sender) และ ผูร้ ับข่าวสาร
(Receiver) จะดาเนินการจดั การลาเลียงขอ้ มูลผ่านเส้นทางที่มีประสิทธิภาพท่ีสุด จดั การตรวจสอบความถูกตอ้ ง
ของขอ้ มูลท่ีจะส่งและรับเขา้ มา สามารถปรับเปล่ียนรูปแบบขอ้ มูล ใหท้ ้งั สองฝ่ ายสามารถเขา้ ใจไดต้ รงกนั ส่วน
ใหญ่ใชค้ อมพิวเตอร์เป็ นตวั จดั การ ในระบบ โทรคมนาคมส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์ในการรับส่งขอ้ มูลข่าวสารต่าง
ชนิด ต่างย่ีห้อกนั แต่สามารถ แลกเปล่ียนขอ้ มูลระหว่างกนั ไดเ้ พราะใชช้ ุดคาส่ังมาตรฐานชุดเดียวกนั กฎเกณฑ์
มาตรฐานใน การส่ือสารน้ีเรียกว่า “โปรโตคอล (Protocol)” อุปกรณ์แต่ละชนิดในเครือข่ายเดียวกันต้องใช้
โปรโตคอลอยา่ งเดียวกนั จึงจะสามารถส่ือสารถึงกนั และกนั ได้ หนา้ ที่พ้ืนฐานของโปรโตคอล คือ การทาความ
รู้จกั กบั อุปกรณ์ตวั อื่นที่อยู่ในเส้นทางการถ่ายทอดขอ้ มูล การตกลงเงื่อนไขใน การรับส่งขอ้ มูล การตรวจสอบ
ความถูกตอ้ งของขอ้ มูล การแก้ไขปัญหาขอ้ มูลท่ีเกิดการผิดพลาด ในขณะที่ส่งออกไปและการแก้ปัญหาการ
ส่ือสารขดั ขอ้ งที่อาจเกิดข้ึนโปรโตคอลท่ีรู้จักกนั มาก ไดแ้ ก่ โปรโตคอลในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น
Internet Protocol ; TCP/IP, IP Address ท่ีใชก้ นั อยู่
องค์ประกอบและหน้าท่ีของระบบโทรคมนาคม ดงั ต่อไปนี้
ต้นกาเนิดข่าวสาร (Source of Information)
ส่วนน้ีเป็นส่วนแรกในระบบการส่ือสารโทรคมนาคม เป็นแหล่งที่มาของข่าวสารต่างๆ ท่ีผสู้ ่งตอ้ งการท่ี
จะส่งไปยงั ผรู้ ับที่ปลายทาง ตวั อยา่ งในระบบโทรศพั ทห์ รือระบบวทิ ยกุ ระจาย เสียง ส่วนน้ีก็คือเสียงพูดของผพู้ ูด
ท่ีตน้ ทาง ซ่ึงจะถูกไมโครโฟนเปลี่ยนให้เป็ นสัญญาณไฟฟ้าที่ เหมาะสม และส่งเขา้ ไปในระบบ หรือในกรณี
ระบบการส่ือสารขอ้ มลู (Data Communication) ส่วนน้ีอาจจะเป็นเครื่องคอมพวิ เตอร์หรือ Data Terminal ประเภท
ต่างๆ
เคร่ืองส่ง (Transmitter)
เคร่ืองส่งหรือตวั ส่งน้ีทาหนา้ ท่ีในการแปลงหรือเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสาร จากตน้ กาเนิด
ขา่ วสาร ใหเ้ ป็นสญั ญาณหรือคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าที่เหมาะสมในการส่งต่อไปยงั ปลายทาง เช่น ระบบโทรศพั ทต์ วั
เคร่ืองโทรศพั ทจ์ ะแปลงสญั ญาณไฟฟ้าที่ใชแ้ ทนเสียงพูด ให้ เป็นสัญญาณแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าท่ีเหมาะสมและส่งตอ่ ไป
26
ยงั ปลายทาง หรือในระบบวิทยกุ ระจายเสียง ส่วนน้ี ไดแ้ ก่ เคร่ืองส่งวิทยุ สาหรับในระบบการสื่อสารขอ้ มูล ส่วน
น้ีจะเป็ น MODEM หรือ อุปกรณ์อื่นท่ีเหมาะสมในการเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้าที่มาจากคอมพิวเตอร์หรื อ Data
Terminal เพื่อให้เป็ นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมในการผ่านระบบส่ือสัญญาณ (Transmissions) ไปยงั
ปลายทาง
ระบบการส่งผ่านสัญญาณ (Transmissions)
เมื่อเครื่องส่งได้เปล่ียนหรือแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารต่างๆ ให้เป็ นสัญญาณ หรือคล่ืน
แม่เหลก็ ไฟฟ้าที่เหมาะสมแลว้ สัญญาณก็จะถกู ส่งผา่ นระบบระบบการส่งผา่ นสัญญาณ เพื่อส่งต่อไปยงั เครื่องรับ
และผูร้ ับที่ปลายทาง ดงั น้ันระบบการส่งผ่านสัญญาณจึงถือไดว้ ่านบั เป็ นส่วนท่ีสาคญั และจาเป็ นมากในระบบ
การส่ือสารโทรคมนาคม เนื่องจากหากปราศจากระบบ การส่งผ่านสัญญาณหรือมีระบบการส่งผ่านสัญญาณท่ี
คณุ ภาพไม่ดีแลว้ ระบบการสื่อสาร โทรคมนาคมที่มีประสิทธิภาพกไ็ ม่สามารถจะเกิดข้ึนได้
เคร่ืองรับ (Receiver)
ส่วนน้ีเป็ นส่วนที่ทาการแปลงหรือเปลี่ยนสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ถูกส่งผ่าน ระบบการ
ส่งผา่ นสญั ญาณจากตน้ ทาง เพื่อใหก้ ลบั มาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใชแ้ ทนข่าวสารที่ถกู ส่งมาจากตน้ ทางท้งั น้ีเพ่ือส่ง
ให้อุปกรณ์ปลายทางทาการแปลงหรือเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้าน้ัน ให้ กลบั มาเป็ นข่าวสารท่ีผูร้ ับสามารถเขา้ ใจ
ความหมายได้ ในระบบโทรศัพท์ส่วนน้ีก็คือตัวเครื่ อง รับเครื่ องโทรศัพท์ ที่จะทาการเปล่ียนสัญญาณ
แม่เหล็กไฟฟ้าที่รับได้น้ัน ให้เป็ นสัญญาณไฟฟ้า ที่เหมาะสมสาหรับการส่งต่อให้หูฟัง หรื อในระบบ
วิทยุกระจายเสียงส่วนน้ีก็คือเครื่องรับวิทยุท่ี จะแยกสัญญาณเสียงออกจากคลื่นวิทยเุ พ่ือส่งต่อให้ลาโพงสาหรับ
ระบบการส่ือสารขอ้ มูล ส่วนน้ีจะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการเปล่ียนสัญญาณแม่เหลก็ ไฟฟ้าที่
รับมาน้ัน ให้เป็ นสัญญาณไฟฟ้าท่ีใช้ข้อมูลในรูปแบบท่ีถูกต้อง และเหมาะสมสาหรับการส่งต่อให้เคร่ือง
คอมพิวเตอร์หรือ Data Terminal
อปุ กรณ์ปลายทางและผู้รับที่ปลายทาง (Destination)
ระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เช่นในระบบโทรศพั ท์ ก็คือหูฟังท่ีจะเปล่ียนสัญญาณ ไฟฟ้าให้เป็ น
เสียงพดู ท่ีเหมือนตน้ ทาง และผรู้ ับท่ีปลายทางกค็ ือผใู้ ชโ้ ทรศพั ทท์ ่ีปลายทาง ใน ระบบวทิ ยกุ ระจายเสียงส่วนน้ี คือ
ลาโพงและผูร้ ับฟังการรายการวิทยุกระจายเสียงน้ัน ส่วน ระบบการส่ือสารขอ้ มูลน้ัน ในส่วนน้ีไดแ้ ก่เครื่อง
คอมพิวเตอร์ หรือ Data terminal ประเภท ตา่ งๆ
27
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้
ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้ันตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนกั เรียน
1. ข้นั นาเข้าสู่บทเรียน (30 นาที ) 1. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน (30 นาที )
1. ผูส้ อนจดั เตรียมเอกสาร พร้อมกบั แนะนา 1. ผูเ้ รียนเตรียมหนังสือและฟังผูส้ อนแนะนา
รายวิชา วิธีการให้คะแนนและการประเมินผลที่ใช้ รายวิชา วิธีการให้คะแนนและการประเมินผลที่ใชก้ บั
กบั วชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศเพือ่ การจดั การอาชีพ วชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การจดั การอาชีพ
2. ผสู้ อนช้ีแจงเร่ืองที่จะศึกษาและจุดประสงค์ 2. ผู้เรี ยนฟังผู้สอนช้ีแจงเรื่องท่ีจะศึกษาและ
เชิงพฤติกรรมประจาหน่วยท่ี 1 เร่ืองคอมพวิ เตอร์และ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมประจาหน่วยที่ 1 เรื่ อง
อปุ กรณ์โทรคมนาคม คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม
3. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน 3. ผเู้ รียนทาแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยท่ี 1
หน่วยท่ี 1
2. ข้ันให้ความรู้ (450 นาที) 2. ข้นั ให้ความรู้ (450 นาที )
1. ผู้สอนเปิ ด PowerPoint หน่วยที่ 1 เร่ื อง 1. ผู้เรี ยนศึกษา PowerPoint หน่วยท่ี 1 เรื่ อง
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม คอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม
2. ผู้สอนอธิบายเน้ือหาในหน่วยเรี ยนที่ 1 2. ผเู้ รียนฟังผสู้ อนอธิบายเน้ือหาในหน่วยเรียน
เร่ือง คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม ที่ 1 เร่ือง คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม
28
กจิ กรรมการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้
ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้ันตอนการเรียนรู้หรือกจิ กรรมของนักเรียน
3. ข้ันประยกุ ต์ใช้ ( 450 นาที ) 3. ข้นั ประยกุ ต์ใช้ ( 450 นาที )
1. ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนทาแบบฝึกหดั หน่วยที่ 1 1. ผเู้ รียนทาแบบฝึกหดั หน่วยท่ี 1
2. ผู้สอนให้ผู้เรียนทากิจกรรมนาสู่อาเซียน 2. ผเู้ รียนทากิจกรรมนาสู่อาเซียน หน่วยท่ี 1
หน่วยท่ี 1
3. ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนทากิจกรรมเสนอแนะ 3. ผเู้ รียนทากิจกรรมเสนอแนะ
4. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทากิจกรรมบูรณาการจิต 4. ผูเ้ รียนทากิจกรรมบูรณาการจิตอาสา หน่วยที่
อาสา หน่วยท่ี 1 1
4. ข้ันสรุปและประเมินผล ( 30 นาที ) 4. ข้นั สรุปและประเมินผล ( 30 นาที )
1. ผูส้ อนและผูเ้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือในหน่วย 1. ผู้เรี ยนและผู้สอนร่ วมกันสรุ ปเน้ือหาใน
เรียนที่ 1 เร่ือง คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม หน่วยเรี ยนท่ี 1 เร่ื อง คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์
2. ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนทาแบบทดสอบหลงั เรียน โทรคมนาคม
หน่วยท่ี 1 2. ผเู้ รียนทาแบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยท่ี 1
(บรรลจุ ุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อที่ 1-8) (บรรลจุ ุดประสงค์เชิงพฤติกรรมข้อท่ี 1-8)
(รวม 960 นาที หรือ 16 คาบเรียน)
29
งานท่ีมอบหมายหรือกจิ กรรมการวดั ผลและประเมนิ ผล
ก่อนเรียน
1. เอกสารหน่วยที่ 1 คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม
2. แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยท่ี 1
ขณะเรียน
1. แบบฝึกหดั หน่วยที่ 1
2. กิจกรรมนาสู่อาเซียน หน่วยท่ี 1
3. กิจกรรมเสนอแนะ
4. กิจกรรมบรู ณาการจิตอาสา หน่วยท่ี 1
หลงั เรียน
1. แบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยที่ 1
ผลงาน/ชิ้นงาน/ความสาเร็จของผ้เู รียน
1. แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 1
2. แบบฝึกหดั หน่วยที่ 1
3. กิจกรรมนาสู่อาเซียน หน่วยท่ี 1
4. กิจกรรมเสนอแนะ
5. กิจกรรมบูรณาการจิตอาสา หน่วยท่ี 1
6. แบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยท่ี 1
30
สื่อการเรียนการสอน/การเรียนรู้
ส่ือส่ิงพมิ พ์
1. เอกสารประกอบการสอนวชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชีพ (ใชป้ ระกอบการเรียน
การสอนจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมขอ้ ท่ี 1-8)
2. แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 1 ใชข้ ้นั นาเขา้ สู่บทเรียนขอ้ 3
3. แบบฝึกหดั หน่วยท่ี 1 ใชข้ ้นั ประยกุ ตใ์ ชข้ อ้ 1
4. กิจกรรมนาสู่อาเซียน หน่วยท่ี 1 ใชข้ ้นั ประยกุ ตใ์ ชข้ อ้ 2
5. กิจกรรมเสนอแนะ ใชข้ ้นั ประยกุ ตใ์ ชข้ อ้ 3
6. กิจกรรมบูรณาการจิตอาสา หน่วยท่ี 1ใชข้ ้นั ประยกุ ตใ์ ชข้ อ้ 4
7. แบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยที่ 1 ใชข้ ้นั สรุปผลและประเมินผลขอ้ 2
ส่ือโสตทัศน์ (ถ้ามี)
1. เคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์
2. งานนาเสนอ
สื่อของจริง
31
แหล่งการเรียนรู้
ในสถานศึกษา
1. หอ้ งสมดุ
2. หอ้ งปฏิบตั ิการคอมพิวเตอร์
นอกสถานศึกษา
ผปู้ ระกอบการ สถานประกอบการ ในทอ้ งถ่ิน
การบูรณาการ/ความสัมพนั ธ์กบั วชิ าอื่น
1. บรู ณาการกบั วิชาภาษาไทย เร่ือง การบอกความหมายของคอมพิวเตอร์และโทรคมนาม การ
อธิบายองคป์ ระกอบหลกั ของระบบคอมพวิ เตอร์และองคป์ ระกอบข้นั พ้ืนฐานของการสื่อสาร
ขอ้ มูล การบรรยายหลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์ได้
2. บรู ณาการกบั วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรื่อง การจาแนกประเภทของคอมพวิ เตอร์ และการวเิ คราะห์ชนิด
ของการเชื่อมต่อ
3. บรู ณาการกบั วชิ าความรู้เก่ียวกบั งานอาชีพ เรื่อง การใชง้ านอปุ กรณ์โทรคมนาคมกบั ระบบสื่อสาร
โทรคมนาคมและรบบะเครือข่ายคอมพิวเตอร์
32
การประเมินผลการเรียนรู้
• หลกั การประเมนิ ผลการเรียนรู้
ก่อนเรียน
1. เอกสารหน่วยที่ 1 คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม
2. แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 1
ขณะเรียน
1. แบบฝึกหดั หน่วยท่ี 1
2. กิจกรรมนาสู่อาเซียน หน่วยที่ 1
3. กิจกรรมเสนอแนะ
4. กิจกรรมบูรณาการจิตอาสา หน่วยที่ 1
หลงั เรียน
1. แบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยที่ 1
ผลงาน/ชิ้นงาน/ผลสาเร็จของผู้เรียน
1. แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยท่ี 1
2. แบบฝึกหดั หน่วยท่ี 1
3. กิจกรรมนาสู่อาเซียน หน่วยที่ 1
4. กิจกรรมเสนอแนะ
5. กิจกรรมบูรณาการจิตอาสา หน่วยที่ 1
6. แบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยท่ี 1
33
สมรรถนะท่พี งึ ประสงค์
ผเู้ รียนสร้างความเขา้ ใจเก่ียวกบั คอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม
1. วเิ คราะห์และตีความหมาย
2. สาธิตพร้อมแสดงทา่ ทางประกอบ
3. อภิปรายแสดงความคดิ เห็น
4. ประยกุ ตค์ วามรู้สู่งานอาชีพ
สมรรถนะการปฏิบัติงานอาชีพ
ใชง้ านอปุ กรณ์โทรคมนาคมในระบบต่างๆ
สมรรถนะการขยายผล
ความสอดคล้อง
จากการเรียนสปั ดาห์ท่ี 1-4 เร่ือง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ทาให้ผเู้ รียนมีความรู้เกี่ยวกบั
ความหมายของคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ ประเภทของคอมพิวเตอร์
หลักการทางานของคอมพิวเตอร์ ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ ความหมายของโทรคมนาคม อุปกรณ์
โทรคมนาคม ส่วนประกอบของโทรคมนาคม ชนิดของการเช่ือมต่อ เทคโนโลยีการโทรคมนาคม และหนา้ ท่ี
ของระบบโทรคมนาคม ผูเ้ รียนสามารถนาความรู้ท่ีไดร้ ับไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ สามารถใชง้ าน
อปุ กรณ์โทรคมนาคมกบั ระบบตา่ งๆ ได้
34
รายละเอียดการประเมนิ ผลการเรียนรู้
• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 1 บอกความหมายของคอมพวิ เตอร์และโทรคมนาคมได้
1. วิธีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บอกความหมายของคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมได้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 2 อธิบายองคป์ ระกอบหลกั ของระบบคอมพิวเตอร์และองคป์ ระกอบ
ข้นั พ้นื ฐานของการสื่อสารขอ้ มูลได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑ์การให้คะแนน : อธิบายองค์ประกอบหลกั ของระบบคอมพิวเตอร์และองค์ประกอบข้นั
พ้นื ฐานของการสื่อสารขอ้ มลู ได้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 3 บรรยายหลกั การทางานของคอมพิวเตอร์ได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : บรรยายหลกั การทางานของคอมพิวเตอร์ได้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 4 จาแนกประเภทของคอมพวิ เตอร์ได้
1. วิธีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : จาแนกประเภทของคอมพวิ เตอร์ได้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 5 วเิ คราะห์ชนิดของการเช่ือมต่อได้
1. วิธีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : วิเคราะห์ชนิดของการเชื่อมต่อได้ จะได้ 1 คะแนน
35
• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 6 ใชง้ านอปุ กรณ์โทรคมนาคมกบั ระบบส่ือสารโทรคมนาคมและระบบ
เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ได้
1. วิธีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ใชง้ านอุปกรณ์โทรคมนาคมกบั ระบบส่ือสารโทรคมนาคมและระบบ
เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ได้ จะได้ 3 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ที่ 7 ประยกุ ตใ์ ชห้ นา้ ท่ีของระบบโทรคมนาคมกบั ชีวิตประจาวนั ได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เครื่องมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : ใชง้ านอปุ กรณ์โทรคมนาคมกบั ระบบสื่อสารโทรคมนาคมและระบบ
เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ได้ จะได้ 1 คะแนน
• จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ขอ้ ท่ี 8 นาประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้
1. วธิ ีการประเมิน : ทดสอบ
2. เคร่ืองมือ : แบบทดสอบ
3. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน : นาประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ จะได้
1 คะแนน
36
แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยท่ี 1
คาสั่ง จงเลือกคาตอบที่ถกู ตอ้ งเพียงขอ้ เดียว
1.ขอ้ ใดแสดงความหมายของคอมพวิ เตอร์ดีท่ีสุด
ก. เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์
ข. ควบคุมการทางานดว้ ยซอฟตแ์ วร์
ค. เป็นอุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์
ง. สามารถใชง้ านกบั อินเทอร์เนต็
จ. มีความเช่ือมน่ั สูง
2.ขอ้ ใดไม่จดั อยใู่ นระบบคอมพวิ เตอร์
ก. Input Unit
ข. Output Unit
ค. Process Unit
ง. CPU
จ. หน่วยประมวลผล
3.ขอ้ ใดไม่ใช่ปัจจยั ในการใชง้ านคอมพวิ เตอร์
ก. ฮาร์ดแวร์
ข. ซอฟตแ์ วร์
ค. พีเพลิ แวร์
ง. อินเทอร์เน็ต
จ. บุคลากรคอมพิวเตอร์
4.ขอ้ ใดคอื ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์
ก. โปรแกรมต่างๆที่ใชง้ านกบั คอมพิวเตอร์
ข. ผลสรุปของคอมพวิ เตอร์
ค. เอกสารที่สร้างจากคอมพวิ เตอร์
ง. กระดาษพมิ พ์
จ. อุปกรณ์ต่างๆท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั คอมพวิ เตอร์
5.ขอ้ ใดคอื ซอฟตแ์ วร์คอมพิวเตอร์
ก. โปรแกรมตา่ งๆท่ีใชง้ านกบั คอมพิวเตอร์
ข. อปุ กรณ์ต่างๆที่เกี่ยวขอ้ งกบั คอมพิวเตอร์
ค. เอกสารที่สร้างจากคอมพิวเตอร์
ง. กระดาษพมิ พ์
จ. อปุ กรณ์ต่างๆที่เก่ียวขอ้ งกบั คอมพิวเตอร์
37
6. ขอ้ ใดคือความหมายของการสื่อสารขอ้ มูล
ก. กระบวนการถา่ ยโอนหรือแลกเปลี่ยนขอ้ มูลกนั ระหวา่ งผสู้ ่งและผรู้ ับ
ข. หรือ พาหะ เพอ่ื นาขา่ วสารน้นั ไปถึงกนั โดยใชเ้ คล่ือนวิทยทุ ่ีมีความถี่สูงเป็น คล่ืนพาห์ ช่วยนาสัญญาณ
ทาง
ค. เป็นการส่งสารสนเทศในรูปแบบของตวั อกั ษร
ง. อปุ กรณ์เช่ือมต่อท่ีใชเ้ ป็นจุดรวม และ แยกสายสญั ญาณ
จ. การเชื่อมโยงระหวา่ งเคร่ืองเทอร์มินอล หรือ คอมพิวเตอร์เพียง 2 เครื่อง โดยผา่ นทางสายสื่อสารเพียง
สายเดียว
7. องคป์ ระกอบของการสื่อสารในระบบโทรคมนาคม แบ่งไดก้ ่ีส่วน
ก. 1 ส่วน ข. 2 ส่วน
ค. 3 ส่วน ง. 4 ส่วน
จ. 5 ส่วน
8. แหล่งกาเนิดของขา่ วสาร หมายถึง ส่วนประกอบใดขององคป์ ระกอบพ้ืนฐานของการสื่อสารขอ้ มูล
ก. การเขา้ รหสั ข. ช่องสัญญาณ
ค.ผรู้ ับข่าวสาร ง. ผสู้ ่งข่าวสาร
จ.ถูกทุกขอ้ ที่กลา่ วมา
9. การนาเครื่องคอมพิวเตอร์ มาเช่ือมต่อเขา้ ดว้ ยกนั โดยอาศยั ช่องทางการส่ือสารขอ้ มลู เพอื่ แลกเปลี่ยนขอ้ มลู
ขา่ วสารระหวา่ งเคร่ืองคอมพิวเตอร์ คือความหมายของขอ้ ใด
ก. ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
ข. การเช่ือมตอ่ แบบรวมกลุ่ม
ค. ช่องทางการส่ือสาร
ง. อุปกรณ์ในเครือขา่ ย
จ. สายแลนในการเชื่อมต่อ
10.ประเทศเป็นคนคน้ พบการการส่ือสารโทรคมนาคมเป็นประเทศแรก
ก. สหรัฐอเมริกา
ข. ลาว
ค อินโดนีเซีย
ง. ฮ่องกง
จ. จีน
38
แบบฝึ กหัด หน่วยที่ 1
คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนตอบคาถามดงั ต่อไปน้ี
1.คอมพวิ เตอร์มีความมายอยา่ งไร จงอธิบาย
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………..…..……………
2. จงบอกประโยชน์ของคอมพวิ เตอร์มาอยา่ งนอ้ ย 2 ขอ้
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
3. จงอธิบายความหมายของโทรคมนาคม
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………
4. อุปกรณ์โทรคมนาคมใดบา้ งที่นกั ศึกษารู้จกั อยา่ งนอ้ ยคนละ 3 อยา่ ง
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………….………
ตอนที่ 2 ใหน้ กั ศึกษาเขียนอธิบายวา่ รูปทางดา้ นขวาคือรูปของอุปกรณ์ชนิดใด มีหนา้ ที่อยา่ งไรใหถ้ ูกตอ้ งและ
สมบรู ณ์ท่ีสุด
39
.......................................................
.......................................................
.......................................................
.......................................................
.......................................................
.......................................................
.......................................................
.......................................................
.......................................................
.......................................................
.......................................................
.......................................................
40
กจิ กรรมนาสู่อาเซียน หน่วยท่ี 1
คาส่ัง ใหน้ กั ศึกษาจบั คู่ขอ้ ความ ท่ีกาหนดใหใ้ หถ้ กู ตอ้ ง
System Analysis
Speaker
Programmer
Monitor
CPU
Telecommunications
41
กจิ กรรมเสนอแนะ
กจิ กรรม : คิดคน้ ควา้ อนาคตไกล
จดุ ประสงค์ : เพอ่ื ให้นกั เรียนรู้ถึงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม
ภาระงาน
1. ใหน้ กั เรียนจบั คู่ ใหแ้ ต่ละกลุ่มรวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกบั ส่ิงตา่ ง ๆ ที่ช่วยเกิดความรู้คอมพวิ เตอร์และ
อปุ กรณ์โทรคมนาคม
2. จดั ทาป้ายนิเทศ แผน่ พบั เพอ่ื เผยแพร่ความรู้ และเพื่อเป็นการประหยดั คา่ ใชจ้ ่าย
3. สรุปการดาเนินงานเพ่อื รายงานครูผสู้ อน
กจิ กรรม กจิ กรรมบูรณาการจิตอาสา หน่วยท่ี 1
จุดประสงค์ เร่ือง คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม
ภาระงาน จด และจา คาศพั ท์
เพ่อื ใหน้ กั ศึกษาไดน้ าความรู้จากบทที่ไดเ้ รียนเกี่ยวกบั คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ
1. ใหน้ กั ศึกษาจบั กลุ่ม ๆ ละ เท่าๆ กนั จดั ทาป้ายคาศพั ท์ ความหมาย คาอ่าน คาแปล
ที่ไดจ้ ากบทเรียนน้ี
2. ถา่ ยรูปภาพ ขณะนาเสนอหนา้ ช้นั เรียน
3. นาขอ้ มลู และความรู้ที่ไดม้ าทาบอร์ด
4. รวบรวมผลสรุปการดาเนินงานส่งครูผสู้ อนในรูปแบบรายงาน
42
แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยที่ 1
คาสั่ง จงเลือกคาตอบท่ีถกู ตอ้ งเพยี งขอ้ เดียว
1.ระบบของคอมพิวเตอร์มีกี่ส่วนท่ีสาคญั
ก. 2 ส่วน ข. 3 ส่วน
ค. 4 ส่วน ง. 5 ส่วน
จ. 6 ส่วน
2.ขอ้ ใดต่อไปน้ีไมใ่ ช่ประเภทของคอมพิวเตอร์ท่ีแบ่งตามความสามารถของระบบ
ก. Super Computer
ข. Mainframe Computer
ค. Multi Tasking Computer
ง. Mini Computer
จ. Micro Computer
3. ขอ้ ใดต่อไปน้ีไมม่ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั หลกั การทางานคอมพวิ เตอร์
ก. Input Unit
ข. Central Processing Unit
ค. Memory Unit
ง. Output Unit
จ. Micro Unit
4.อุปกรณ์ใดใชเ้ กบ็ โปรแกรมและขอ้ มูลระหวา่ งการประมวลผล
ก.CPU
ข.RAM
ค.Hard disk
ง.Flash Drive
จ.DVD ROM
5.การ์ดเชื่อมต่อเครือข่ายมกั เรียกส้นั ๆ วา่
ก.Sound Card
ข.Modem Card
ค.VGA Card
ง.LAN Card
จ.NETWORK Card
43
6. ขอ้ ใดคอื ความหมายของโทรคมนาคม
ก. การส่งสารสนเทศในรูปแบบของตวั อกั ษร ภาพและเสียงโดยใชค้ ล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้าหรือการติดต่อ
สารจากที่หน่ึงไปยงั อีก ท่ีหน่ึงไปยงั อกท่ีหน่ึงโดยใชพ้ ลงั งานไฟฟ้า
ข. วธิ ีการท่ีใชใ้ นการสร้างระบบสารสนเทศข้ึนมาใหม่ในธุรกิจใดธุรกิจหน่ึง หรือระบบยอ่ ยของธุรกิจ
ค. การโอนถ่าย ขอ้ มูลหรือการแลกเปล่ียนขอ้ มูลระหวา่ งตน้ ทางกบั ปลายทาง โดยใชอ้ ุปกรณ์ทาง
อิเลก็ ทรอนิกส์หรือเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ ซ่ึงมีตวั กลาง
ง. กฎระเบียบ หรือวธิ ีการใชเ้ ป็นขอ้ กาหนดสาหรับการส่ือสาร เพ่ือใหผ้ รู้ ับและผสู้ ่งเขา้ ใจกนั ได้ ซ่ึงมี
หลายชนิดใหเ้ ลือกใช้
จ. เป็นการเช่ือมโยงคอมพวิ เตอร์ตน้ ทางเขา้ กบั คอมพวิ เตอร์ปลายทาง โดยใชต้ วั กลางหรือส่ือกลาง
สาหรับเชื่อมต่อ
7. ขอ้ ใดคอื ชื่อยอ่ ของ สหภาพโทรคมนาคมระหวา่ งประเทศ
ก. ITU ข. TUI
ค. UIT ง. IUT
จ. TIU
8. ขอ้ ใดไม่ใช่หน่วยวดั ความเร็วในการรับส่งข่าวสารของอุปกรณ์โทรคมนาคม
ก. bps ข. Kbps
ค. Mbps ง. Tbps
จ. Gbps
9. ขอ้ มูลในการส่ือสารโทรคมนาคมสามารถแยกไดก้ ี่ปะเภท
ก. 3 ประเภท ข. 4 ประเภท
ค. 5 ประเภท ง. 6 ประเภท
จ. 7 ประเภท
10. ขอ้ ใดคอื ความหมายของ Transmitter
ก. ผรู้ ับสาร ข. ผสู้ ่งสาร
ค. ขอ้ มูล ง. สัญญาณรบกวน
จ. โปรโตคอล
44
แบบประเมินผลการนาเสนอผลงาน
ช่ือกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................
รายชื่อสมาชิก
1……………………………………เลขท่ี……. 2……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขท่ี……. 4……………………………………เลขท่ี…….
ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เหน็
32 1
1 เน้ือหาสาระครอบคลมุ ชดั เจน (ความรู้เกี่ยวกบั เน้ือหา ความถูกตอ้ ง
ปฏิภาณในการตอบ และการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ )
2 รูปแบบการนาเสนอ
3 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม
4 บุคลิกลกั ษณะ กิริยา ท่าทางในการพดู น้าเสียง ซ่ึงทาใหผ้ ฟู้ ังมีความ
สนใจ
รวม
ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
เกณฑ์การให้ คะแนน
1. เน้ือหาสาระครอบคลุมชดั เจนถกู ตอ้ ง
3 คะแนน = มีสาระสาคญั ครบถว้ นถูกตอ้ ง ตรงตามจุดประสงค์
2 คะแนน = สาระสาคญั ไมค่ รบถว้ น แตต่ รงตามจดุ ประสงค์
1 คะแนน = สาระสาคญั ไมถ่ ูกตอ้ ง ไม่ตรงตามจุดประสงค์
2. รูปแบบการนาเสนอ
3 คะแนน = มีรูปแบบการนาเสนอที่เหมาะสม มีการใชเ้ ทคนิคท่ีแปลกใหม่ ใชส้ ื่อและเทคโนโลยี
ประกอบการ นาเสนอที่น่าสนใจ นาวสั ดุในทอ้ งถ่ินมาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งคุม้ ค่าและประหยดั
2 คะแนน = มีเทคนิคการนาเสนอท่ีแปลกใหม่ ใชส้ ่ือและเทคโนโลยปี ระกอบการนาเสนอที่น่าสน ใจ
แตข่ าดการประยกุ ตใ์ ช้ วสั ดุในทอ้ งถ่ิน
1 คะแนน = เทคนิคการนาเสนอไม่เหมาะสม และไมน่ ่าสนใจ
3. การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลมุ่
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนมีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลมุ่
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญม่ ีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีบทบาทและมีส่วนร่วมกิจกรรมกลุ่ม
4. ความสนใจของผฟู้ ัง
3 คะแนน = ผฟู้ ังมากกว่าร้อยละ 90 สนใจ และให้ความร่วมมือ
2 คะแนน = ผฟู้ ังร้อยละ 70-90 สนใจ และให้ความร่วมมือ
1 คะแนน = ผฟู้ ังนอ้ ยกว่าร้อยละ 70 สนใจ และให้ความร่วมมือ
45
แบบประเมินกระบวนการทางานกล่มุ
ชื่อกลุ่ม……………………………………………ช้นั ………………………หอ้ ง...........................
รายช่ือสมาชิก
1……………………………………เลขที่……. 2……………………………………เลขท่ี…….
3……………………………………เลขท่ี……. 4……………………………………เลขท่ี…….
ท่ี รายการประเมิน คะแนน ขอ้ คดิ เหน็
1 การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั
321
2 การแบง่ หนา้ ท่ีรับผดิ ชอบและการเตรียมความพร้อม
3 การปฏิบตั ิหนา้ ทที่ ่ีไดร้ บั มอบหมาย
4 การประเมินผลและปรบั ปรุงงาน
รวม
ผปู้ ระเมิน…………………………………………………
วนั ที่…………เดือน……………………..พ.ศ…………..
เกณฑ์ การให้ คะแนน
1. การกาหนดเป้าหมายร่วมกนั
3 คะแนน = สมาชิกทกุ คนมสี ่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายการทางานอยา่ งชดั เจน
2 คะแนน = สมาชิกส่วนใหญม่ สี ่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
1 คะแนน = สมาชิกส่วนนอ้ ยมีส่วนร่วมในการกาหนดเป้าหมายในการทางาน
2. การมอบหมายหนา้ ที่รับผิดชอบและการเตรียมความพร้อม
3 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถงึ และตรงตามความสามารถของสมาชิกทุกคน มกี ารจดั เตรียมสถานท่ี สื่อ /
อุปกรณ์ไวอ้ ยา่ งพร้อมเพรียง
2 คะแนน = กระจายงานไดท้ ว่ั ถึง แตไ่ มต่ รงตามความสามารถ และมีสื่อ / อุปกรณ์ไวอ้ ย่างพร้อมเพรียง แต่ขาด
การจดั เตรียมสถานท่ี
1 คะแนน = กระจายงานไมท่ วั่ ถึงและมีสื่อ / อุปกรณไ์ ม่เพียงพอ
3. การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีที่ไดร้ ับมอบหมาย
3 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย และตามเวลาท่ีกาหนด
2 คะแนน = ทางานไดส้ าเร็จตามเป้าหมาย แต่ชา้ กว่าเวลาที่กาหนด
1 คะแนน = ทางานไม่สาเร็จตามเป้าหมาย
4. การประเมนิ ผลและปรับปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนร่วมปรึกษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็นระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมปรึกษาหารือ แตไ่ มป่ รับปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมสี ่วนร่วมไม่มสี ่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรุงงาน
3 คะแนน = สมาชิกทุกคนร่วมปรึกษาหารือ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุงงานเป็นระยะ
2 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมสี ่วนร่วมปรึกษาหารือ แต่ไมป่ รับปรุงงาน
1 คะแนน = สมาชิกบางส่วนมีส่วนร่วมไมม่ สี ่วนร่วมปรึกษาหารือ และปรับปรุงงาน
46
บันทกึ หลงั การสอน
หน่วยท่ี 1 เร่ือง คอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม
ผลการใช้แผนการเรียนรู้
....................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................
ผลการเรียนของนกั เรียน
..................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................
ผลการสอนของครู
...................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................
47
แผนการสอน/แผนการเรียนรู้ภาคทฤษฎี
แผนการสอน/การเรียนรู้ภาคทฤษฎี หน่วยที่ 2
ช่ือวชิ า เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การจดั การอาชีพ สอนสัปดาห์ที่ 5-8
ช่ือหน่วย ระบบเครือข่ายและสารสนเทศ คาบรวม 32
ช่ือเรื่อง ระบบเครือขา่ ยและสารสนเทศ จานวนคาบ 16
สมรรถนะอาชีพประจาหน่วย
เชื่อมต่อระบบเครือขา่ ยและใชง้ านระบบสารสนเทศท่ีใชค้ อมพวิ เตอร์
สาระสาคญั
เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลถูกนามาใชง้ าน ซอฟตแ์ วร์ตา่ งๆ ถกู ออกแบบมาสาหรับผใู้ ชง้ าน และ
มีโปรแกรมส่วนนอ้ ยที่ใชใ้ นการเช่ือมต่อเคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหลายๆเคร่ือง ประกอบกบั เทคโนโลยีมี
ในขณะน้ันไม่สนับสนุนการเช่ือมต่อ เมื่อคอมพิวเตอร์มีการใช้งานมากข้ึนและนักพฒั นาโปรแกรมไดพ้ ฒั นา
ซอฟตแ์ วร์ที่มีความซับซ้อนมากข้ึนและรองรับการทางานแบบผูใ้ ชห้ ลายคน จึงเป็นสาเหตุให้บริษทั ต่างๆ เห็น
ความสาคญั ในการเช่ือมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องเขา้ ด้วยกนั เป็ นระบบเครือข่าย การติดต่อส่ือสาร
ขอ้ มูลหรือการรับส่งสารสนเทศระหวา่ งเครื่องคอมพิวเตอร์จึงกลายมาเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ตอ้ ง
ให้ความสาคัญ เทคโนโลยีระบบเครือข่ายจึงเป็ นเทคโนโลยีท่ีมีการเจริญเติบโตมากท่ีสุดในอุตสาหกรรม
คอมพิวเตอร์ จึงเกิดความตอ้ งการระบบเครือข่ายที่ใหญ่ข้ึน เร็วข้ึน มีความปลอดภยั มากข้นึ และมีประสิทธิภาพ
มากข้ึน
เรื่องทีจ่ ะศึกษา
13.ระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต็
14. ความเป็ นมาของอินเทอร์เนต็
15.ความหมายของระบบเครือข่าย
16.ลกั ษณะของการเชื่อมต่อของระบบเครือขา่ ย
17.ประเภทของระบบเครือข่าย
18.การประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบเครือข่ายในหน่วยงานรัฐ
19.ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
20.บทบาทของระบบสารสนเทศ
21.ระบบสารสนเทศที่ใชค้ อมพิวเตอร์
22. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
23.ผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
48
จุดประสงค์ทั่วไป
4. เพ่ือใหม้ ีความรู้และความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ระบบเครือข่ายและสารสนเทศ (ดา้ นพทุ ธิพิสยั )
5. เพ่อื ใหม้ ีทกั ษะในการเช่ือมต่อเครือข่ายและใชง้ านระบบสารสนเทศที่ใชค้ อมพวิ เตอร์ (ดา้ นทกั ษะ
พสิ ยั )
6. เพ่อื ใหม้ ีเจตคติที่ดีในการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศและระบบเครือขา่ ยไปประยกุ ตใ์ ช้ (ดา้ นจิตพิสัย)
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
10.อธิบายระบบเครือขา่ ยและระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต็ ได้ (ดา้ นความเขา้ ใจ)
11.บอกความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตได้ (ดา้ นความรู้)
12.บอกบทบาทของระบบสารสนเทศได้ (ดา้ นความรู้)
13.จาแนกประเภทของระบบเครือข่ายได้ (ดา้ นการวเิ คราะห)์
14.วเิ คราะห์ผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศได้ (ดา้ นการวิเคราะห์)
15.เช่ือมต่อระบบเครือข่ายไดท้ ุกรูปแบบ (ดา้ นทกั ษะ)
16.ใชง้ านระบบสารสนเทศที่ใชค้ อมพวิ เตอร์ได้ (ดา้ นทกั ษะ)
17.ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศได้ (ดา้ นจิตพิสัย)
18.ประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบเครือข่ายในหน่วยงานรัฐได้ (ดา้ นจิตพิสัย)
49
เนื้อหาสาระการสอน/การเรียนรู้
ระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่ายอนิ เทอร์เนต็
อินเทอร์เน็ต เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดใหญ่สามารถทาการเช่ือมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์
หลาย ๆเคร่ืองเขา้ ดว้ ยกนั จนไดช้ ื่อว่า อินเทอร์เน็ต ซ่ึงในการเช่ือมต่อเขา้ กนั ภายในมาตรฐานการส่ือสารของ
(Protocol) เดียวกนั ซ่ึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เขา้ สู่ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถรับส่งขอ้ มูลถึงกนั ไดท้ วั่
โลก เช่น ขอ้ ความ รูปแบบภาพ รูปแบบเสียง ส่งท้งั ภาพและเสียง ฯลฯ ท้งั น้ียงั สามารถคน้ หาขอ้ มูลผา่ นระบบ
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตไดด้ ว้ ยความรวดเร็ว เพียงไม่ก่ีนาทีก็สามารถทาการคน้ หาขอ้ มูลท่ีตอ้ งการได้
ความเป็ นมาของอนิ เทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตเร่ิมตน้ มาจากผลทางสงครามทางการเมืองในยุคสงครามเยน็ เมื่อ พ.ศ. 2510 โดยมีฝ่ าย
คอมมิวนิสตแ์ ละฝ่ ายเสรีประชาธิปไตย ซ่ึงมีสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศผนู้ า กลุ่มเสรีประชาธิปไตย และรัสเซีย
เป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ ท้งั สองประเทศต่างคิดกลวั ในเรื่องของขปี นาวธุ นิวเคลียร์ท่ีเขา้ มาถลม่ จุดยทุ ธศาสตร์ของท้งั
สองประเทศ ซ่ึงจะส่งผลให้ระบบคอมพิวเตอร์ท่ีเช่ือมต่อกันน้ันเกิดความเสียหาย กระทรวงกลาโหมของ
สหรัฐอเมริกาจึงไดเ้ ร่ิมโครงการวิจบั และพฒั นาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ข้ึนเม่ือเดือนมกราคม 2512 โดยให้ชื่อ
โครงการว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายในการวิจยั และ
พฒั นาให้เกิดระบบเครือข่ายข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ซ่ึงจะทาให้ไดร้ ับความเสียหายน้อยท่ีสุดจากสงคราม
นิวเคลียร์ในระหว่างการติดต่อส่ือสาร โดยระบบเครือข่ายน้ีแตกต่างจากระบบทว่ั ไป ในดา้ นการส่ือสารน้ัน
สามารถรับส่งขอ้ มูลระหวา่ งคอมพิวเตอร์ไดโ้ ดยมีขอ้ ผิดพลาดนอ้ ยท่ีสุด ถึงแมว้ า่ คอมพิวเตอร์ หรือสัญญาณใน
การส่ง ในแต่ละจุดจะเกิดความเสียหายหรือถูกทาลายไปบางส่วน ซ่ึงในโครงการน้ีเคร่ืองคอมพิวเตอร์ในแตล่ ะ
เครื่องน้นั จะเช่ือมโยงกนั ดว้ ยสายส่งขอ้ มูลที่แยกออกเป็ นหลาย ๆ เส้น เปรียบเสมือนกบั การประสานกนั ของ
ร่างแห และเม่ือคอมพวิ เตอร์เครื่องหน่ึงตอ้ งส่งสัญญาณไปยงั เครื่องคอมพิวเตอร์อีกเคร่ืองหน่ึง ขอ้ มลู ที่ส่งไปน้นั
จะถูกแบ่งออกเป็นส่วนยอ่ ย ๆ ท่ีเรียกว่า Packet แลว้ ขอ้ มูลจะถูกทยอยส่งไปให้ปลายทางตามท่ีกาหนด โดยแต่
ละชิ้นส่วนของขอ้ มูลน้นั อาจจะไปคนละเส้นทางแต่จะไปรวมกนั ท่ีปลายทางตามลาดบั ที่ถูกตอ้ ง แต่หากเกิด
ขอ้ ผิดพลาดระหว่างการเดินทางของขอ้ มูล ส่วนใดส่วนหน่ึง ซ่ึงอาจเกิดจากขอ้ ผิดพลาดทางด้านสัญญาณ
รบกวน สายส่งสัญญาณเกิดความเสียหาย หรือแมก้ ระท้งั เคร่ืองคอมพิวเตอร์ถูกทาสายระหว่างการส่งข้อมูล
เคร่ืองคอมพิวเตอร์ปลายทางจะส่งสัญญาณกลบั มาแจง้ เครื่องคอมพิวเตอร์ตน้ ทางให้รับรู้ และจดั การส่งขอ้ มูล
เฉพาะส่วนท่ีขาดไปไดใ้ หม่โดยใชเ้ สน้ ทางอื่นแทน ทาใหม้ น่ั ใจไดว้ า่ ขอ้ มลู น้นั ไปถึงปลายทางอยา่ งแน่นอน
เม่ือวนั ท่ี 2 กนั ยายน พ.ศ. 2512 ไดม้ ีการทดลองเชื่อมโยง IMP (Interface Message Process) ซ่ึงเป็น
การต่อเช่ือมถึงกนั ทางสายโทรศพั ท์ เพื่อทาการสื่อสารกนั โดยเฉพาะระหว่างมหาวิทยาลยั 4 แห่ง โดยมีโฮลต์
ต่างชนิดกนั ที่ใชใ้ นระบบปฏิบตั ิการต่างกนั คือ
1. มหาวทิ ยาลยั ยทู าห์ ท่ีซอลตเ์ ลคซิต้ี ใชเ้ ครื่อง DEC PDP-10 ภายใตร้ ะบบปฏิบตั ิการ Tenex
2. สถาบนั วิจยั สแตนฟอร์ด ใชเ้ คร่ือง SDS 940 และระบบปฏิบตั ิการ Genie