The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิเคราะห์มาตรฐานแลตัวชีวัด วิทยาศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by jittanan.25, 2022-09-06 10:37:14

วิเคราะห์มาตรฐานแลตัวชีวัด วิทยาศาสตร์

วิเคราะห์มาตรฐานแลตัวชีวัด วิทยาศาสตร์

รหสั ตวั ช้ีวดั ตัวช้วี ดั สำระกำร

- ลาไสใ้ หญท่ าหน้าท
บริเวณท่ีมอี าหารที่ย
เป็นกากอาหาร ซ่งึ จ
หนัก
- อวัยวะต่าง ๆ ในระ
ความสาคัญ จงึ ควรป
ให้ทางานเป็นปกติ

รเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ ้องถิ่น
ทด่ี ูดน้าและเกลือแร่ เปน็
ย่อยไม่ได้ หรอื ยอ่ ยไมห่ มด
จะถูกกาจัดออกทางทวาร

ะบบย่อยอาหาร มี
ปฏิบตั ติ น ดูแลรักษาอวยั วะ

หลกั สตู รสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

สำระท่ี 1 วิทยำศำสตรช์ ีวภำพ
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่าย

พนั ธกุ รรมท่ีมผี ลต่อสงิ่ มชี วี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการขอ

รหัสตวั ชี้วดั ตวั ชวี้ ดั สำระกำร
- -

สำระท่ี 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ

มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพ
หลักและธรรมชาตขิ องการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการ

รหัสตวั ชี้วัด ตวั ชว้ี ดั สำระกำ
ว 2.1 ป 6/1
1. อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสาร - สารผสมประกอบ
ผสม โดยการหยบิ ออก การร่อน การใช้ ผสมกนั เชน่ นา้ มัน
แม่เหลก็ ดึงดูด การรินออก การกรอง และ ทราย วิธกี าร ท่ีเหม
การตกตะกอน โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ขึ้นอยูก่ ับลักษณะแ
รวมทง้ั ระบวุ ธิ ีแก้ปัญหาในชวี ิตประจาวัน องคป์ ระกอบของส
เกี่ยวกบั การแยกสาร ของแข็งที่มีขนาดแ
วิธีการหยบิ ออกหร
สารใดสารหนงึ่ เป็น
แมเ่ หลก็ ดึงดดู ถา้ อ
ท่ีไม่ละลายในของเห
การกรอง หรือการต
สามารถนาไปใชป้ ร

ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทาง
องส่ิงมชี ีวิต รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์

รเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่ิน
- -

พันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค
รเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี

ำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ ้องถิน่

บดว้ ยสารตั้งแต่ 2 ชนดิ ขน้ึ ไป
นผสมนา้ ข้าวสารปนกรวด
มาะสมในการแยกสารผสม
และสมบตั ิของสารทีผ่ สมกันถา้
สารผสมเปน็ ของแขง็ กับ
แตกต่างกนั อยา่ งชัดเจน อาจใช้
รอื การรอ่ นผา่ นวสั ดุ ทมี่ รี ู ถ้ามี
นสารแมเ่ หล็กอาจใช้วิธี การใช้
องค์ประกอบเป็นของแข็ง
หลว อาจใชว้ ิธกี ารรินออก
ตกตะกอน ซงึ่ วธิ ีการแยกสาร
ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวนั ได้

หลักสตู รสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

สำระที่ 2 วทิ ยำศำสตร์กำยภำพ
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระ

ประโยชน์

รหสั ตัวชี้วดั ตวั ชี้วัด สำระกำร
ว 2.2 ป 6/1
1. อธิบายการเกดิ และผลของแรงไฟฟ้าซ่ึง - วัตถุ ๒ ชนิดที่ผ่าน
เกิดจากวตั ถุทผี่ า่ นการขดั ถูโดยใช้หลักฐาน ใกล้กนั อาจดงึ ดูดห
เชิงประจกั ษ์ เปน็ แรงไฟฟ้า ซึ่งเป
ระหวา่ งวัตถุทีม่ ีประ
2 ชนิด คือ ประจไุ ฟ
ลบ วตั ถุท่มี ปี ระจุไฟ
ชนดิ ตรงขา้ มกันดึงด

สำระที่ 2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ

มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและก
ชวี ิตประจาวัน ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณท์ ี่เกีย่ วข้องกบั เสียง แสง และคลน่ื แม่เ

รหัสตัวช้ีวดั ตัวชวี้ ัด สำระกำ

ว 2.3 ป 6/1 1. ระบสุ ว่ นประกอบและบรรยายหน้าท่ี ของ - วงจรไฟฟ้าอยา่ งง

แต่ละสว่ นประกอบของวงจรไฟฟ้า อย่างง่าย ไฟฟ้า สายไฟฟา้ แ

จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ อุปกรณ์ไฟฟ้า แหล

ว 2.3 ป 6/2 2. เขยี นแผนภาพและต่อวงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย ถา่ นไฟฉาย หรือแบ

ไฟฟา้ สายไฟฟ้าเป

เชอื่ มต่อระหวา่ งแห

ะทาต่อวตั ถุ ลักษณะการเคลอ่ื นท่ีแบบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทัง้ นาความรูไ้ ปใช้

รเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ อ้ งถน่ิ
-
นการขดั ถูแลว้ เม่ือนาเขา้
หรือผลกั กัน แรงที่เกดิ ขึน้ น้ี
ป็นแรงไมส่ ัมผัส เกิดขึ้น
ะจุไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้ามี
ฟฟ้าบวกและประจุไฟฟา้
ฟฟา้ ชนิดเดียวกันผลักกนั
ดูดกัน

การถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานใน
เหลก็ ไฟฟา้ รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์

ำรเรยี นร้แู กนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู ้องถ่นิ

ง่ายประกอบด้วยแหล่งกาเนดิ -
และเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าหรือ
ล่งกาเนิดไฟฟ้า เชน่
บตเตอรี่ ทาหน้าที่ให้พลงั งาน
ปน็ ตัวนาไฟฟ้าทาหน้าท่ี
หล่งกาเนิดไฟฟา้ และ

หลักสตู รสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา

รหสั ตวั ชี้วดั ตวั ช้ีวดั สำระกำ

ว 2.3 ป 6/3 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวธิ ี เครอื่ งใช้ไฟฟ้าเข้าด
ทเี่ หมาะสมในการอธบิ ายวิธกี ารและผลของ หนา้ ทีเ่ ปลี่ยนพลงั ง
การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรม
- เม่อื นาเซลลไ์ ฟฟ้า
ว 2.3 ป 6/4 4. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องความรู้ของการ โดยใหข้ วั้ บวกของเ
ตอ่ ข้ัวลบของอีกเซลล์ห
เซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรมโดยบอกประโยชน์ ทาให้มีพลงั งานไฟฟ
และการประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาวัน เคร่อื งใช้ไฟฟา้ ซึง่ ก
อนุกรมสามารถนา
ว 2.3 ป 6/5 5. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวธิ ี ชีวิตประจาวนั เช่น
ทเ่ี หมาะสมในการอธิบายการตอ่ หลอดไฟฟ้า
แบบอนกุ รมและแบบขนาน - การตอ่ หลอดไฟฟ
ไฟฟ้าดวงใดดวงหน
ว 2.3 ป 6/6 6. ตระหนักถึงประโยชนข์ องความรู้ของการ เหลือดบั ทัง้ หมด ส
ตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน ขนาน เมอื่ ถอดลอด
โดยบอกประโยชน์ ข้อจากดั และการ หลอดไฟฟ้าทเ่ี หลือ
ประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ ประจาวัน กย็ ังสว่างได้ การต่อ
สามารถนาไปใชป้ ร
ไฟฟา้ หลายดวงในบ
แบบขนานเพื่อเลือ
หนง่ึ ได้ตามต้องการ

ว 2.3 ป 6/7 7. อธบิ ายการเกดิ เงามืดเงามัวจากหลักฐาน - เมื่อนาวตั ถทุ บึ แส

เชิงประจกั ษ์ ฉากรับแสงท่ีอยู่ดา้

ำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถิ่น
ด้วยกัน เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้ามี
งานไฟฟ้าเป็นพลังงานอ่ืน
าหลายเซลล์มาตอ่ เรียงกนั
เซลลไ์ ฟฟ้าเซลล์หนง่ึ ต่อกับ
หน่งึ เป็นการต่อแบบอนกุ รม
ฟา้ เหมาะสมกับ
การต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบ
าไปใช้ประโยชนใ์ น
น การต่อเซลลไ์ ฟฟ้าในไฟฉาย
ฟา้ แบบอนุกรมเม่ือถอดหลอด
นง่ึ ออกทาให้หลอดไฟฟ้าท่ี
สว่ นการตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบ
ดไฟฟา้ ดวงใดดวงหนง่ึ ออก

อหลอดไฟฟ้าแตล่ ะแบบ
ระโยชน์ได้ เช่น การตอ่ หลอด
บ้านจงึ ตอ้ งตอ่ หลอดไฟฟา้
อกใช้หลอดไฟฟา้ ดวงใดดวง


สงมาก้ันแสงจะเกิดเงาบน
านหลงั วตั ถุ โดยเงามีรูปรา่ ง

หลกั สตู รสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา

รหัสตวั ช้ีวดั ตวั ชี้วัด สำระกำ

ว 2.3 ป 6/8 8. เขยี นแผนภาพรังสขี องแสงแสดงการเกดิ คล้ายวัตถุท่ีทาให้เก
แสงบางสว่ นตกลงบ
เงามืดเงามัว บริเวณทไ่ี ม่มแี สงต
บนฉากเลย

สำระท่ี 3 วิทยำศำสตร์โลก และอวกำศ

มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และววิ ฒั นาก
ระบบสุรยิ ะทส่ี ่งผลตอ่ สงิ่ มีชวี ิตและการประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ

รหัสตวั ชี้วดั ตวั ชวี้ ดั สำระกำร
ว 3.1 ป 6/1
1. สรา้ งแบบจาลองทอ่ี ธิบายการเกิด และ - เมือ่ โลกและดวงจ
เปรียบเทยี บปรากฏการณ์สรุ ิยปุ ราคา และ เส้นตรงเดียวกนั กบั
จันทรปุ ราคา เหมาะสม ทาให้ดว
ของดวงจนั ทร์ทอด
บริเวณเงาจะมองเห
ปรากฏการณส์ ุริยปุ
เตม็ ดวง สุรยิ ุปราคา
วงแหวน
หากดวงจันทรแ์ ละ
เสน้ ตรงเดยี วกันกับ
จันทร์เคลื่อนทผี่ า่ น
ดวงจนั ทรม์ ดื ไป เก

ำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ อ้ งถิน่

กิดเงา เงามัวเปน็ บริเวณท่มี ี
บนฉาก ส่วนเงามดื เป็น
ตกลง

การของเอกภพ กาแลก็ ซีดาวฤกษ์ และระบบสรุ ยิ ะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายใน

รเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู ้องถ่ิน
จนั ทร์ โคจรมาอยูใ่ นแนว -
บดวงอาทิตย์ในระยะทางท่ี
วงจนั ทรบ์ ังดวงอาทติ ย์ เงา
ดมายังโลก ผสู้ งั เกตทอี่ ยู่
หน็ ดวงอาทิตย์มืดไป เกดิ
ปราคา ซ่ึงมีทง้ั สุริยปุ ราคา
าบางสว่ น และสุริยปุ ราคา

ะโลกโคจรมาอยู่ในแนว
บดวงอาทิตย์ แล้วดวง
นเงาของโลก จะมองเห็น
กดิ ปรากฏการณ์

หลกั สตู รสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา

รหัสตวั ช้ีวัด ตัวชี้วัด สำระกำร
ว 3.1 ป 6/2
2. อธิบายพฒั นาการของเทคโนโลยอี วกาศ จนั ทรุปราคา ซ่ึงมีท
และยกตัวอยา่ งการนาเทคโนโลยีอวกาศมา และจันทรปุ ราคาบ
ใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจาวนั จากข้อมูลที่
รวบรวมได้ - เทคโนโลยอี วกาศ
มนุษยใ์ นการสารวจ
กลอ้ ง-โทรทรรศน์ แ
ขนส่งเพื่อสารวจอว
ขนส่งอวกาศ และย
ปัจจุบันมกี ารนาเทค
ประเภทมาประยกุ ต
การใช้ดาวเทียมเพอื่
อากาศ หรอื การสา
การใชอ้ ปุ กรณ์วดั ช
หมวกนริ ภยั ชดุ กีฬ

สำระท่ี 3 วทิ ยำศำสตร์โลก และอวกำศ

มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระ
เปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภมู อิ ากาศโลกรวมท้ังผลต่อสง่ิ มชี วี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม

รหัสตวั ช้ีวัด ตัวช้ีวัด สำระกำร
ว 3.2 ป 6/1
1. เปรียบเทยี บกระบวนการเกดิ หินอัคนี - หนิ เปน็ วสั ดุแขง็ เก
หนิ ตะกอน และหินแปรและอธบิ ายวัฏจักร ประกอบ ด้วยแรต่ ง้ั
หนิ จากแบบจาลอง สามารถจาแนกหิน

รเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ อ้ งถิน่
-
ทัง้ จันทรปุ ราคาเตม็ ดวง
บางส่วน

ศเรมิ่ จากความต้องการของ
จวัตถุทอ้ งฟ้าโดยใชต้ าเปล่า
และได้พัฒนาไปสกู่ าร
วกาศดว้ ยจรวดและยาน
ยงั คงพัฒนาอยา่ งต่อเน่อื ง
คโนโลยอี วกาศบาง
ต์ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั เช่น
อการสื่อสาร การพยากรณ์
ารวจทรัพยากรธรรมชาติ
ชีพจรและการเตน้ ของหัวใจ
ฬา

ะบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการ

รเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ ้องถิน่

กิดข้ึนเองตามธรรมชาติ -สงั เกต เปรยี บเทียบ หินที่พบบริเวณชายหาด
งแตห่ นงึ่ ชนิดขึ้นไป และหนิ ที่พบทั่วไป
นตามกระบวนการเกิดได้

หลกั สตู รสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา

รหสั ตัวช้ีวัด ตวั ชี้วดั สำระกำร

เป็น 3 ประเภท ได
และหนิ แปร
- หินอคั นีเกดิ จากก
หิน มีลักษณะเปน็ ผ
ขนาดเล็ก บางชนดิ
พรนุ
- หินตะกอน เกิดจา
เม่อื ถูกแรงกดทับแล
เกดิ เปน็ หนิ เนอ้ื หิน
เป็นเมด็ ตะกอน มที
ละเอียด บางชนดิ เป
เกิดจากการตกผลกึ
โดยเฉพาะน้าทะเล
ๆ จึงเรียกอีกชื่อวา่ ห
- หินแปร เกดิ จากก
ซึ่งอาจเปน็ หินอคั น
โดยการกระทาของ
ปฏิกิรยิ าเคมี เนื้อห
ผลึกของแร่เรยี งตวั
ชนิดแซะออกเป็นแ
ผลึกท่มี ีความแข็งม
- หนิ ในธรรมชาติท
เปลย่ี นแปลงจากปร

รเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถนิ่
ด้แก่ หินอัคนี หินตะกอน

การเย็นตัวของแมกมา เน้ือ
ผลกึ ทง้ั ผลึกขนาดใหญ่และ
ดอาจเปน็ เน้ือแก้ว หรอื มรี ู

ากการทบั ถมของตะกอน
ละมีสารเชื่อมประสานจึง
นกล่มุ นสี้ ่วนใหญ่มลี ักษณะ
ทัง้ เนื้อหยาบและเนือ้
ป็นเน้ือผลึกทยี่ ดึ เกาะกัน
กหรือตกตะกอนจากนา้
บางชนดิ มีลักษณะเป็นชั้น
หนิ ช้นั
การแปรสภาพของหินเดมิ
นี หนิ ตะกอน หรอื หนิ แปร
งความรอ้ น ความดัน และ
หนิ ของหนิ แปรบางชนดิ
วขนานกนั เป็นแถบ บาง
แผ่นได้ บางชนิด เป็นเนือ้
มาก
ทงั้ ประเภท มกี าร
ระเภทหนง่ึ ไปเปน็ อีก

หลกั สตู รสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา

รหัสตัวชี้วัด ตัวช้ีวดั สำระกำร
ว 3.2 ป 6/2
ประเภทหนงึ่ หรือป
ว 3.2 ป 6/3
รูปการเปลี่ยนแปลง

จกั ร

2. บรรยายและยกตวั อย่างการใช้ประโยชน์ หนิ และแร่แตล่ ะชน

ของหินและแร่ในชวี ิตประจาวันจากข้อมูล แตกตา่ งกัน มนุษย์

ที่รวบรวมได้ ชวี ติ ประจาวนั ในล

มาทาเครื่องสาอาง

อุปกรณ์ทางการแพ

งานกอ่ สร้างต่าง ๆ

3. สรา้ งแบบจาลองท่อี ธิบายการเกิด ซาก - ซากดึกดาบรรพเ์ ก

ดกึ ดาบรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดล้อมใน ประทบั รอยของสิง่ ม

อดตี ของซากดึกดาบรรพ์ โครงสรา้ งของซากห

ปรากฏอยใู่ นหิน ใน

บรรพ์ ที่หลากหลาย

ปลา เตา่ ไดโนเสาร

- ซากดกึ ดาบรรพ์ส

หนึง่ ทชี่ ่วยอธบิ ายส

อดตี ขณะเกิดส่ิงมชี

ดึกดาบรรพ์ของ หอ

บริเวณนน้ั อาจเคยเ

และหากพบซากดึก

สภาพแวดล้อมบรเิ ว

กอ่ น นอกจากน้ีซาก

รเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ท้องถ่นิ
ประเภทเดิมได้ โดยมแี บบ -
งคงทแี่ ละต่อเนอ่ื งเป็นวัฏ
-
นิดมลี ักษณะและสมบัติ
ใชป้ ระโยชนจ์ ากแรใ่ น
ลกั ษณะต่าง ๆ เช่น นาแร่
ยาสฟี ัน เครือ่ งประดับ
พทย์ และนาหินมาใชใ้ น
เปน็ ต้น
กิดจากการทบั ถม หรือการ
มีชีวติ ในอดตี จนเกดิ เปน็
หรือร่องรอยของส่ิงมชี วี ติ ที่
นประเทศไทยพบซากดึกดา
ย เช่น พืช ปะการัง หอย
ร์ และรอยตีนสตั ว์
สามารถใช้เป็นหลักฐาน
สภาพแวดล้อมของพืน้ ที่ใน
ชีวิตนัน้ เชน่ หากพบซาก
อยน้าจืด สภาพแวดลอ้ ม
เปน็ แหลง่ น้าจดื มาก่อน
กดาบรรพ์ของพืช
วณนัน้ อาจเคยเปน็ ป่ามา
กดึกดาบรรพย์ ังสามารถใช้

หลักสตู รสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา

รหสั ตัวช้ีวัด ตวั ช้วี ดั สำระกำร
ว 3.2 ป 6/4 4. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล
และมรสุม รวมทงั้ อธบิ ายผลท่ีมีตอ่ สิ่งมชี ีวิต ระบุอายุของหนิ แล
ว 3.2 ป 6/5 และสง่ิ แวดลอ้ ม จากแบบจาลอง วิวฒั นาการของสง่ิ ม

5. อธบิ ายผลของมรสุมต่อการเกดิ ฤดูของ - ลมบก ลมทะเล แ
ประเทศไทย จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ และ พืน้ น้าร้อนแล
อุณหภมู ิอากาศเหน
แตกต่างกัน จึงเกดิ
จากบรเิ วณท่ีมีอุณห
อุณหภมู สิ งู
- ลมบกและลมทะ
บริเวณชายฝ่งั โดยล
ทาใหม้ ลี มพดั จากช
ทะเลเกดิ ในเวลากล
ทะเลเขา้ สชู่ ายฝั่ง

- มรสุมเป็นลมประ
ของโลก ซึง่ เป็นบริเ
ประเทศไทยได้รบั ผ
ตะวันออกเฉยี งเหน
กลางเดือนตลุ าคมจ
เกิด ฤดูหนาว และไ
ตะวันตกเฉียงใต้ใน
พฤษภาคมจนถึงกล
ฤดูฝน สว่ นชว่ งประ
กุมภาพนั ธ์จนถงึ กล

รเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรูท้ อ้ งถ่ิน
ละเปน็ ขอ้ มูลในการศึกษา -
มชี วี ติ
และมรสุม เกดิ จากพืน้ ดนิ -
ละเยน็ ไมเ่ ท่ากนั ทาให้
นอื พน้ื ดินและพน้ื น้า
ด การเคล่ือนท่ขี องอากาศ
หภมู ิต่า ไปยงั บริเวณที่มี

ะเลเปน็ ลมประจาถน่ิ ท่ีพบ
ลมบกเกิดในเวลากลางคืน
ชายฝ่ังไปสู่ทะเล สว่ นลม
ลางวนั ทาใหม้ ลี มพดั จาก

ะจาฤดูเกิดบรเิ วณเขตร้อน
เวณกวา้ งระดับภูมิภาค
ผลจากมรสุม
นอื ในชว่ งประมาณ
จนถึงเดือนกุมภาพนั ธท์ าให้
ไดร้ บั ผลจากมรสมุ
นชว่ งประมาณกลางเดือน
ลางเดือนตุลาคมทาให้เกดิ
ะมาณกลางเดอื น
ลางเดือนพฤษภาคมเปน็

หลักสตู รสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

รหสั ตวั ชี้วัด ตัวชี้วัด สำระกำร

ว 3.2 ป 6/6 6. บรรยายลักษณะและผลกระทบของ นา้ ชว่ งเปลีย่ นมรสุมแล
ว 3.2 ป 6/7 ทว่ ม การกดั เซาะชายฝ่ัง ดนิ ถลม่ ศูนยส์ ูตร แสงอาทิต
แผน่ ดนิ ไหว สนึ ามิ ประเทศไทย ในเวล
ว 3.2 ป 6/8 7. ตระหนักถงึ ผลกระทบของภัยธรรมชาติ ร้อนจากดวงอาทิตย
ว 3.2 ป 6/9 และธรณีพบิ ตั ิภยั โดยนาเสนอแนวทางใน อบอ้าวทาใหเ้ กิดฤด
การเฝ้าระวงั และปฏิบตั ิตนให้ปลอดภยั จาก
ภยั ธรรมชาติและธรณีพิบัติภยั ทอี่ าจเกิดใน - น้าทว่ ม การกัดเซ
ทอ้ งถิน่ แผน่ ดนิ ไหว และ ส
และส่ิงแวดลอ้ มแต
8. สรา้ งแบบจาลองท่อี ธิบายการเกดิ - มนษุ ยค์ วรเรียนร้วู
ปรากฏการณ์เรือนกระจกและผลของ เชน่ ตดิ ตามข่าวสา
ปรากฏการณ์เรือนกระจกต่อส่ิงมชี วี ติ ยังชีพ ให้พร้อมใชต้
9. ตระหนักถึงผลกระทบของปรากฏการณ์ คาส่ังของผู้ปกครอง
เรือนกระจกโดยนาเสนอแนวทางการ เครง่ ครัดเม่ือเกดิ ภัย
ปฏบิ ตั ิตนเพ่ือลดกิจกรรมทกี่ ่อให้เกดิ แกส๊ พบิ ัติภัย
เรอื นกระจก
- ปรากฏการณ์เรอื น
กระจกในชน้ั บรรยา
ร้อนแล้ว คายความ
ทาให้อากาศ บนโล
การดารงชีวิต
- หากปรากฏการณ
ข้นึ จะมผี ลต่อการเ
มนษุ ย์ จงึ ควรร่วมก
แกส๊ เรือนกระจก

รเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรูท้ อ้ งถ่ิน
ละประเทศไทยอยู่ใกล้เสน้ -
ตยเ์ กือบตงั้ ตรงและตัง้ ตรง
ลาเทีย่ งวันทาให้ไดร้ บั ความ -
ย์อยา่ งเต็มทอี่ ากาศจึงร้อน
ดูร้อน
ซาะชายฝง่ั ดนิ ถลม่
สึนามิ มีผลกระทบต่อชีวิต
ตกตา่ งกนั
วิธีปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภยั
ารอย่างสม่าเสมอ เตรยี มถุง
ตลอดเวลา และปฏิบตั ติ าม
งและเจ้าหน้าที่อย่าง
ยทางธรรมชาติและธรณี

นกระจกเกิดจากแกส๊ เรือน
ากาศของโลก กักเกบ็ ความ
มร้อนบางส่วนกลับสู่ผวิ โลก
ลกมอี ุณหภูมเิ หมะสมต่อ

ณ์เรือนกระจกรุนแรงมาก
เปลย่ี นแปลงภมู ิอากาศโลก
กันลดกิจกรรมทีก่ ่อใหเ้ กิด

หลักสตู รสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

สำระที่ 4 เทคโนโลยี

มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวติ ในสังคม
คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ ื่น ๆ เพอื่ แก้ปัญหา หรือพฒั นางานอย่างมีความคิดสร้างสรร
โดยคานงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวติ สงั คม และส่งิ แวดล้อม

รหัสตัวชี้วัด ตวั ชวี้ ัด สำระกำร
- -

สำระท่ี 4 เทคโนโลยี

มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชงิ คานวณในการแก้ปัญหาท่พี บในชีวติ
ในการเรียนรู้ การทางาน และการแกป้ ญั หาได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจรยิ

รหสั ตวั ชี้วัด ตัวชว้ี ดั สำระกำร
ว 4.2 ป 6/1
1. ใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะในการอธบิ ายและ - การแก้ปญั หาอย่า
ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาท่ีพบใน แกป้ ัญหาไดอ้ ย่างม
ชีวติ ประจาวัน - การใชเ้ หตุผลเชงิ ต
กฎเกณฑ์ หรือเงื่อน
ใชพ้ ิจารณา ในการ
- แนวคดิ ของการท
เงอื่ นไข
- การพจิ ารณากระ
ทางานแบบวนซ้า ห
ชว่ ยให้การออกแบบ
อย่างมีประสทิ ธภิ าพ

มท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเรว็ ใชค้ วามรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์
รค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสม

รเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถนิ่
- -

ตจริงอย่างเปน็ ขั้นตอนและเปน็ ระบบใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ยธรรม

รเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ท้องถิ่น
-
างเป็นข้นั ตอนจะชว่ ยให้
มีประสิทธภิ าพ
ตรรกะเป็นการนา
นไขที่ครอบคลมุ ทุกกรณีมา
รแก้ปญั หา
ทางานแบบวนซ้า และ

ะบวนการทางานท่มี ีการ
หรือเง่อื นไขเปน็ วิธีการทีจ่ ะ
บวธิ กี ารแก้ปญั หาเป็นไป


หลกั สตู รสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

รหสั ตัวช้ีวดั ตวั ช้วี ัด สำระกำร

ว 4.2 ป 6/2 2. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย - ตวั อย่างปัญหา เ
เพ่ือแกป้ ัญหาในชวี ติ ประจาวัน ตรวจหา ต้องการให้เรว็ ที่สุด
ข้อผดิ พลาดของโปรแกรมและแก้ไข 1 – 1,000,000
คาถาม, การคานวณ
คานงึ ถงึ ระยะทาง เ

- การออกแบบโปร
เขยี น เป็นข้อความ
- การออกแบบแล
ตัวแปร การวนซา้ ก
หากมีข้อผดิ พลาดใ
ละคาสงั่ เมื่อพบจุด
ใหท้ าการแก้ไขจนก
- การฝกึ ตรวจหาข้อ
ของผู้อ่นื จะชว่ ยพฒั
ของปญั หาได้ดีย่ิงข
- ตัวอยา่ งปญั หา เช
โปรแกรมหาค่า ค.ร
- ซอฟตแ์ วร์ท่ีใชใ้ นก
Scratch, logo

ว 4.2 ป 6/3 3. ใช้อินเทอรเ์ น็ตในการค้นหาขอ้ มูลอย่าง - การคน้ หาอย่างมีป

มปี ระสิทธภิ าพ คน้ หาข้อมูลท่ไี ด้ตร

เวลาท่ีรวดเร็วจากแ

รเรยี นร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ อ้ งถน่ิ

เช่น การค้นหาเลขหนา้ ที่
ด, การทายเลข
0 โดยตอบให้ถูกภายใน 20
ณเวลาในการเดนิ ทาง โดย
เวลา จดุ หยุดพกั

รแกรมสามารถทาได้โดย
ม หรือผงั งาน
ละเขียนโปรแกรมท่ีมกี ารใช้
การตรวจสอบเง่ือนไข –
ให้ตรวจสอบการทางาน ที
ดทที่ าให้ผลลพั ธ์ไมถ่ ูกต้อง
กวา่ จะไดผ้ ลลพั ธ์ทีถ่ กู ต้อง
อผดิ พลาดจากโปรแกรม
ฒนาทักษะการหาสาเหตุ
ขึ้น
ช่น โปรแกรมเกม
ร.น เกมฝึกพิมพ์
การเขยี นโปรแกรม เช่น

ประสทิ ธิภาพ เปน็ การ
รงตามความต้องการใน
แหลง่ ข้อมูลท่นี า่ เชอ่ื ถือ

หลักสตู รสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

รหัสตัวช้ีวัด ตวั ชว้ี ดั สำระกำร
ว 4.2 ป 6/4
4. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศทางานรว่ มกัน หลายแหลง่ และข้อ
อย่างปลอดภัย เข้าใจสทิ ธแิ ละหน้าที่ของ – การใช้เทคนิคการ
ตน เคารพในสิทธิของผู้อนื่ แจง้ ผู้เกย่ี วข้อง ตวั ดาเนินการ การร
เม่ือพบข้อมลู หรอื บุคคลท่ีไมเ่ หมาะสม หรือชนดิ ของไฟล์
- การจัดลาดับผลล
โปรแกรมค้นหา
- การเรียบเรียง สร
กบั วชิ าภาษาไทย)

- อันตรายจากการใ
ทางอินเทอร์เน็ต แน
- วธิ ีกาหนดรหัสผา่
- การกาหนดสทิ ธกิ์
เข้าถึง)
- แนวทางการตรวจ
อันตรายจากการติด
อินเทอร์เน็ต

รเรยี นร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นรูท้ ้องถิ่น
อมลู มีความสอดคล้องกนั
รคน้ หาขน้ั สูง เชน่ การใช้
ระบุรปู แบบของขอ้ มูล

ลัพธ์จากกาค้นหาของ

รปุ สาระสาคัญ (บูรณาการ

ใช้งานและอาชญากรรม
นวทางในการปอ้ งกนั
าน
การใชง้ าน (สทิ ธิ์ในการ

จสอบและปอ้ งกนั มลั แวร์ –
ดต้ังซอฟต์แวรท์ ีอ่ ยูบ่ น

หลกั สตู รสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา

คำอธบิ ำยรำยวชิ ำ

กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยีและเทคโนโลยี

รำยวชิ ำ วิทยำศำสตร์ 1 ชัน้ ประถมศกึ ษำปีท่ี 1

รหสั วชิ ำ ว11101 เวลำ 40 ชว่ั โมง / ปี

............................................................................................................................. ................................

ศึกษา วิเคราะห์ พืชและสัตว์ท่ีอาศัยอยู่บริเวณต่าง ๆ สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมกับการ
ดารงชีวิตของสัตว์ในบริเวณที่อาศัยอยู่ หน้าท่ีของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์และพืช การทา
หน้าท่ีร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ การจัดกลุ่มวัสดุตามสมบตั ิ การเกิดเสียงและทิศทาง
การเคล่อื นที่ของเสยี ง ปรากฏการณบ์ นท้องฟ้าในเวลากลางวันและกลางคืน ลักษณะภายนอกของหิน
การแก้ปัญหาโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์หรือข้อความ การเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ส่ือซอฟต์แวร์
การใช้เทคโนโลยใี นการสร้าง จัดเก็บ เรียกใชข้ ้อมลู การใช้คอมพิวเตอรแ์ ละการดแู ลรักษาอปุ กรณ์

โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจ ตรวจสอบ การ
สืบค้นข้อมูล การเปรียบเทียบข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์และการอภิปราย เพ่ือให้เกิดความรู้
ความคิด ความเข้าใจ สามารถส่ือสารส่ิงที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณค่าของการ
นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมท่ี
เหมาะสม

รหสั ตวั ช้ีวดั ป.1/1 , ป.1/2
มาตรฐาน ว 1.1 ป.1/1 , ป.1/2
มาตรฐาน ว 1.2 ป.1/1 , ป.1/2
มาตรฐาน ว 2.1 ป.1/1
มาตรฐาน ว 2.3 ป.1/1 , ป.1/2
มาตรฐาน ว 3.1 ป.1/1
มาตรฐาน ว 3.1 ป.1/1 , ป.1/2 , ป.1/3 , ป.1/4 , ป.1/5
มาตรฐาน ว 4.2

รวม 15 ตัวช้ีวดั

คำอธบิ ำยรำยวิชำ

กลุ่มสำระกำรเรยี นร้วู ทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

รำยวชิ ำ วทิ ยำศำสตร์ 2 ชน้ั ประถมศกึ ษำปที ่ี 2

รหัสวิชำ ว12101 เวลำ 40 ช่วั โมง / ปี

................................................................................................. ............................................................

ศึกษา วิเคราะห์ ความต้องการแสงและน้าเพื่อการเจริญเติบโตของพืช วัฏจักรชีวิตของพืชดอก
ลักษณะของส่ิงมีชีวิตและส่ิงไม่มีชีวิต สมบัติของวัสดุ การนาสมบัติของวัสดุไปประยุกต์ใช้ในการทาวัตถุใน
ชีวิตประจาวนั ประโยชนข์ องการนาวัสดทุ ี่ใชแ้ ล้วกลับมาใช้ใหม่ การเคล่ือนท่ีของแสงจากแหลง่ กาเนิดแสง การ
มองเห็นวัตถุโดยเสนอแนะแนวทางการป้องกันอันตราย ส่วนประกอบของดิน การจาแนกชนิดของดินโดยใช้
ลักษณะเนื้อดินและการจับตัวเป็นเกณฑ์ การใช้ประโยชน์จากดิน การแก้ปัญหาโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์หรือ
ข้อความ การเขียนโปรแกรมอยา่ งง่าย โดยใชส้ ่อื ซอฟตแ์ วร์ การใช้เทคโนโลยีในการสร้าง จัดเก็บ เรยี กใช้ข้อมูล
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั

โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจ ตรวจสอบ การสบื ค้นขอ้ มูล
การเปรียบเทียบข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์และการอภิปราย เพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ
สามารถสื่อสารสิ่งท่ีเรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณค่าของการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ใน
ชีวิตประจาวัน มจี ิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรม และค่านยิ มท่ีเหมาะสม

รหัสตวั ช้ีวัด
มาตรฐาน ว 1.2 ป.2/1, ป.2/2 , ป.2/3
มาตรฐาน ว 1.3 ป.2/1
มาตรฐาน ว 2.1 ป.2/1, ป.2/2 , ป.2/3 , ป.2/4
มาตรฐาน ว 2.3 ป.2/1 , ป.2/2
มาตรฐาน ว 3.2 ป.2/1 , ป.2/2
มาตรฐาน ว 4.2 ป.2/1 , ป.2/2 , ป.2/3 , ป.2/4

รวม 16 ตวั ชว้ี ัด

คำอธิบำยรำยวิชำ

กลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี

รำยวชิ ำ วทิ ยำศำสตร์ 3 ชน้ั ประถมศกึ ษำปีที่ 3

รหสั วชิ ำ ว13101 เวลำ 40 ชวั่ โมง / ปี

............................................................................................................................. ................................

ศึกษา วิเคราะห์ สิ่งท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวิต และการเจริญเติบโตของมนุษย์และสัตว์ ประโยชน์ของ
อาหาร น้า และอากาศ การดูแลตนเองและสัตว์ให้ได้รับสิ่งเหล่าน้ีอย่างเหมาะสม วัฏจักรชีวิตของสัตว์
ส่วนประกอบของวัตถุ และการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อทาให้ร้อนข้ึนหรือทาให้เย็นลง แรงที่มีต่ อการ
เปลยี่ นแปลงการเคลอ่ื นท่ขี องวตั ถุ แรงสมั ผัสและแรงไมส่ ัมผสั ท่ีมีผลตอ่ การเคล่ือนท่ขี องวตั ถุ การดงึ ดดู ระหวา่ ง
แม่เหล็กกับวัตถุ ข้ัวแม่เหล็ก การเปลี่ยนพลังงาน การทางานของเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า และแหล่งพลังงานในการ
ผลิตไฟฟ้า ประโยชน์และโทษของไฟฟ้า วิธีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด และปลอดภัย เส้นทางการขึ้นและตก
ของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน และการกาหนดทิศ ความสาคัญของดวงอาทิตย์ต่อส่ิงมีชีวิต
ส่วนประกอบของอากาศ ความสาคัญของอากาศ และผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อสิ่งมีชีวิต การปฏิบัติ
ตนในการลดการเกิดมลพิษทางอากาศ การเกดิ ลม ประโยชน์และโทษของลม

โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจ ตรวจสอบ การสืบค้นข้อมูล
การเปรียบเทียบข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ
สามารถสื่อสารสิ่งท่ีเรยี นรู้ มีความสามารถในการตดั สินใจ นาความรู้ไปใช้ ในชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์
จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม

รหสั ตวั ชี้วดั ป.3/1 , ป.3/2 , ป.3/3 , ป.3/4
มาตรฐาน ว 1.2 ป.3/1 , ป.3/2
มาตรฐาน ว 2.1 ป.3/1 , ป.3/2 , ป.3/3, ป.3/4
มาตรฐาน ว 2.2 ป.3/1 , ป.3/2 , ป.3/3
มาตรฐาน ว 2.3 ป.3/1 , ป.3/2 , ป.3/3
มาตรฐาน ว 3.1 ป.3/1 , ป.3/2, ป.3/3 , ป.3/4
มาตรฐาน ว 3.2 ป.3/1 , ป.3/2, ป.3/3 , ป.3/4, ป3/5
มาตรฐาน ว 4.2

รวม 25 ตัวช้ีวดั

หลักสตู รสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

คำอธบิ ำยรำยวชิ ำ

กล่มุ สำระกำรเรียนร้วู ทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

รำยวิชำ วิทยำศำสตร์ 4 ชน้ั ประถมศกึ ษำปีที่ 4

รหัสวชิ ำ ว14101 เวลำ 120 ช่วั โมง / ปี

............................................................................................................................. ................................

ศึกษา วิเคราะห์ หน้าที่ของราก ลาต้น ใบ และดอกของพืชดอก ส่วนประกอบของพืชดอก ความ
แตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิตออกเป็น กลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ และกลุ่มท่ีไม่ใช่พืชและสัตว์ จาแนกพืชออกเป็น
พืชดอกและพืชไม่มีดอก จาแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ลักษณะเฉพาะ
ของสตั ว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลมุ่ สตั ว์สะเทนิ นา้ สะเทนิ บก กลุม่ สตั ว์เล้อื ยคลาน กลมุ่ นก และกลุ่มสัตว์
เล้ียงลูกด้วยนม ตัวอย่างของสัตว์ในแต่ละกลุ่ม สมบัติทางกายภาพของวัสดุจากการทดลองและระบุการนา
สมบัติของวัสดุไปใช้ในชีวิตประจาวันโดยผ่านกระบวนการออกแบบช้ินงาน แลกเปล่ียนความคิดกับผู้อ่ืนโดย
การอภิปรายเก่ียวกับสมบัติทางกายภาพของวัสดุอย่างด้านความแข็ง สภาพความยืดหยุ่น การนาความร้อน
การนาไฟฟ้า ของวัสดุ สมบัติของสสารท้ัง 3 สถานะ การสังเกต มวล การต้องการท่ีอยู่ รูปร่างและปริมาตร
ของสสาร เครื่องมือที่ใช้วัดมวล และปริมาตรของสสาร ทั้ง 3 สถานะ ผลของแรงโน้มถ่วงท่ีมีต่อวัตถุ การใช้
เครื่องช่ังสปริงในการวัดน้าหนักของวัตถุ มวลของวัตถุที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีของวัตถุ วัตถุที่
เป็นตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง ลักษณะการมองเห็นผ่านวัตถุ แบบรูปเส้นทางการขึ้น
และตกของดวงจันทร์ แบบจาลองอธิบายแบบรูปการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ และพยากรณ์
รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ แบบจาลองแสดงองค์ประกอบของระบบสุริยะ และเปรียบเทียบคาบ การโคจร
ของดาวเคราะห์ตา่ ง ๆ จากแบบจาลอง

ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธิบายการทางาน การคาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหาอย่าง
ง่าย ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์ หรือสื่อ และตรวจหาข้อผิดพลาดและแก้ไขใช้
อนิ เทอร์เน็ตคน้ หาความรู้ รวบรวม ประเมนิ นาเสนอข้อมลู และสารสนเทศ โดยใช้ซอฟตแ์ วรท์ ่ีหลากหลาย เพอ่ื
แกป้ ัญหาในชวี ิตประจาวัน ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เขา้ ใจสิทธิและหน้าทีข่ องตน เคารพในสิทธิ
ของผ้อู ่นื

โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสืบค้นข้อมูล
การเปรียบเทียบข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และการอภิปรายเพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ
สามารถส่อื สารสงิ่ ที่เรยี นรู้ มคี วามสามารถในการตดั สนิ ใจ นาความรไู้ ปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั มจี ติ วิทยาศาสตร์
มจี รยิ ธรรม คุณธรรมและค่านิยมท่ีเหมาะสม

หลักสตู รสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา

รหัสตวั ชี้วดั ป.4/1
มาตรฐาน ว 1.2 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป.4/4
มาตรฐาน ว 1.3 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป.4/4
มาตรฐาน ว 2.1 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3
มาตรฐาน ว 2.2 ป.4/1
มาตรฐาน ว 2.3 ป.4/1 , ป.4/2, ป.4/3
มาตรฐาน ว 3.1 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป.4/4, ป.4/5
มาตรฐาน ว 4.2

รวม 21 ตัวช้ีวดั

หลักสตู รสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

คำอธบิ ำยรำยวิชำ

กลมุ่ สำระกำรเรยี นรูว้ ทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

รำยวชิ ำ วทิ ยำศำสตร์ 5 ชัน้ ประถมศกึ ษำปที ี่ 5

รหสั วชิ ำ ว 15101 เวลำ 120 ช่ัวโมง / ปี

............................................................................................................................. ................................

ศกึ ษา วิเคราะห์ โครงสรา้ งและลักษณะของสงิ่ มีชีวิตที่เหมาะสมกับการดารงชีวิต ซึง่ เปน็ ผลมาจากการ
ปรับ และความสัมพนั ธข์ องสิ่งมชี ีวติ ทเ่ี หมาะสมกบั การดารงชวี ิตซึง่ เปน็ ผลมาจากการปรับตัวของสง่ิ มีชีวิตในแต่
ละแหล่งทอี่ ยู่ ความสัมพันธ์ระหวา่ งสง่ิ มชี ีวิตกับส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหวา่ งส่ิงมชี ีวิตกบั สง่ิ ไมม่ ชี ีวิต เพ่ือ
ประโยชน์ต่อการดารงชีวิต โซ่อาหารและบทบาทหน้าท่ีของสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคในโซ่อาหาร
คุณค่าของสิ่งแวดล้อมท่ีมีต่อการดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต โดยมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ลักษณะ
ทางพันธุกรรมที่มีการถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกของพืช สัตว์ และมนุษย์ ลักษณะท่ีคล้ายคลึงกันของตนเองกับ
พ่อแม่ การเปลี่ยนสถานะของสสารเมื่อทาให้สสารร้อนข้ึนหรือเย็นลง การละลายของสารในน้า การ
เปลี่ยนแปลงของสารเม่ือเกิดการเปล่ียนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงท่ีผันกลับได้และการเปลี่ยนแปลงทผ่ี นั
กลับไม่ได้ วิธีการหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดียวกันที่กระทาต่อวัตถุอยู่น่ิง แผนภาพแสดงแรงท่ี
กระทาต่อวัตถุท่ีอยู่ในแนวเดียวกนั และแรงลัพธ์ท่กี ระทาต่อวัตถุ การใชเ้ คร่ืองชัง่ สปรงิ ในการวัดแรงท่ีกระทาต่อ
วัตถุ ผลของแรงเสียดทานที่มีต่อการเปลยี่ นแปลงการเคลอื่ นท่ีของวตั ถุ การเขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทาน
และแรงทีอ่ ยใู่ นแนวเดียวกันทีก่ ระทาต่อวตั ถุ การได้ยนิ เสียงผา่ นตัวกลาง ลักษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงตา่
ออกแบบการทดลองและอธิบายลักษณะและการเกิดเสียงดัง เสียงค่อย การวัดระดับเสียงโดยใช้เคร่ืองมือวัด
ระดับเสียง แนวทางในการหลีกเลี่ยงและลดมลพิษทางเสียง ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์จาก
แบบจาลอง การใช้แผนที่ดาวระบุตาแหน่งและเส้นทางการข้ึนและตกของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟ้า แบบรูป
เส้นทางการขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟ้าในรอบปี ปริมาณน้าในแต่ละแหล่ง ปริมาณน้าท่ีมนุษย์
สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ แนวทางการใช้นน้าอย่างประหยัดและการอนุรักษ์น้า แบบจาลองการหมุนเวียน
ของน้าในวฏั จักรนา้ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก นา้ ค้าง และน้าคา้ งแขง็ จากแบบจาลอง และกระบวนการเกิด
ฝน หิมะ และลูกเห็บ ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธิบายการทางาน การคาดการณ์ผลลัพธ์จาก
ปัญหาอย่างง่าย ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์ หรือสื่อ และตรวจหาข้อผิดพลาด
และแก้ไข ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล ติดต่อส่ือสารและทางานร่วมกันประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล
รวบรวม ประเมิน นาเสนอข้อมูลและสารสนเทศตามวตั ถุประสงค์โดยใช้ซอฟต์แวร์หรอื บริการบนอินเตอร์เน็ต
ที่หลากหลาย เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย มีมารยาท เข้าใจสิทธิ
และหนา้ ทข่ี องตน เคารพในสิทธขิ องผ้อู น่ื แจง้ ผเู้ กย่ี วขอ้ งเมือ่ พบขอ้ มูลหรือบุคคลท่ไี ม่เหมาะสม

โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสืบค้นข้อมูล
การเปรียบเทียบข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ
สามารถส่ือสารส่ิงท่ีเรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ นาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์
จรยิ ธรรม คุณธรรม และคา่ นิยมทเ่ี หมาะสม

หลักสตู รสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

รหัสตัวช้ีวัด ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4
มาตรฐาน ว 1.1 ป5/1, ป5/2
มาตรฐาน ว 1.3 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4
มาตรฐาน ว 2.1 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4, ป5/5
มาตรฐาน ว 2.2 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4
มาตรฐาน ว 2.3 ป5/1, ป5/2
มาตรฐาน ว 3.1 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4, ป5/5
มาตรฐาน ว 3.2 ป5/1, ป5/2, ป5/3, ป5/4, ป5/5
มาตรฐาน ว 4.2

รวม 31 ตัวชี้วดั

หลกั สตู รสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา

คำอธบิ ำยรำยวิชำ

กลุ่มสำระกำรเรยี นรวู้ ทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี

รำยวชิ ำ วทิ ยำศำสตร์ 6 ช้ันประถมศกึ ษำปที ่ี 6

รหสั วชิ ำ ว16101 เวลำ 120 ช่ัวโมง / ปี

............................................................................................................................. ................................

ศึกษา วิเคราะห์ สารอาหารประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารที่ตนเองรับประทาน
การเลือกรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้ังความ
ปลอดภัยต่อสขุ ภาพ แบบจาลอง ระบบย่อยอาหาร หน้าท่ีของอวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร การย่อยอาหารและ
การดูดซึมสารอาหาร ความสาคัญของระบบย่อยอาหาร การดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ทางาน
เป็นปกติ การแยกสารผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินออก การกรอง และการ
ตกตะกอน วิธีการแกป้ ญั หาในชวี ติ ประจาวนั เก่ียวกับการแยกสาร การเกิดและผลของแรงไฟฟ้าซ่ึงเกิดจากวัตถุ
ที่ผ่านการขัดถู ส่วนประกอบ หน้าที่ ของวงจรไฟฟ้าแต่ละส่วนอย่างง่าย แผนภาพการต่อวงจรไฟฟ้าอนุกรม
และแบบขนาน การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและขนานด้วยวิธีการท่ีเหมาะสม ประโยชน์ ขอ้ จากัด การเกิด
เงามืด เงามัว แผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดเงามัว แบบจาลองปรากฏการณ์สุริยุปราคา และ
จันทรุปราคา พัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศและการใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวัน กระบวนการเกิดหินอัคนี
หนิ ตะกอน และหินแปร แบบจาลองวฏั จักรหนิ การใช้ประโยชนข์ องหินและแร่ในชีวิตประจาวนั แบบจาลอง
การเกิด ซากดึกดาบรรพ์สภาพแวดล้อมในอดีต การเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม จากแบบจาลอง ผลของ
มรสุมต่อการเกิดฤดูของประเทศไทย ลักษณะและผลกระทบของ น้าท่วม การกัดเซาะชายฝ่ัง ดินถล่ม
แผ่นดินไหว สึนามิ ผลกระทบของภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย แนวทางการเฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้
ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ แบบจาลองอธิบายการเกิดและผลของปรากฏการณ์เรือนกระจก กิจกรรมที่
กอ่ ให้เกิดแก๊สเรอื นกระจก ผลกระทบของปรากฏการณ์เรอื นกระจกลูกเห็บ

ใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแกป้ ัญหา การทางาน การคาดการณผ์ ลลพั ธ์ จากปัญหาอยา่ งงา่ ย ออกแบบ
และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์ หรือส่ือ และตรวจหาข้อผิดพลาดและแก้ไขใช้อินเทอร์เน็ต
ค้นหาความรู้ รวบรวม ประเมิน นาเสนอข้อมูลและสารสนเทศ โดยใช้ซอฟต์แวรท์ ่ีหลากหลาย เพอ่ื แก้ปญั หาใน
ชีวิตประจาวัน ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภยั เขา้ ใจสิทธิและหนา้ ทข่ี องตน เคารพในสิทธิของผอู้ ่ืน

โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสบื คน้ ข้อมูล
การเปรียบเทียบข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และการอภิปรายเพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ
สามารถสื่อสารส่งิ ทีเ่ รียนรู้ มคี วามสามารถในการตัดสินใจ นาความรไู้ ปใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน มจี ติ วิทยาศาสตร์
มจี ริยธรรม คณุ ธรรมและคา่ นิยมท่ีเหมาะสม

หลกั สตู รสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา

รหัสตวั ช้ีวัด ป.6/1, ป.6/2, ป.6/3, ป.6/4, ป.6/5
มาตรฐาน ว 1.2 ป.6/1
มาตรฐาน ว 2.1 ป.6/1
มาตรฐาน ว 2.2 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3 , ป.6/4 , ป.6/5 , ป.6/6 , ป.6/7 , ป.6/8
มาตรฐาน ว 2.3

มาตรฐาน ว 3.1 ป.6/1 , ป.6/2
มาตรฐาน ว 3.2 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3 , ป.6/4 , ป’6/5 , ป.6/6 , ป.6/7 , ป.6/8 ,
ป.6/9
มาตรฐาน ว 4.2 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3, ป.6/4

รวม 30 ตัวช้ีวัด

หลักสตู รสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา

โครงสรำ้ งรำยวิชำ

รำยวชิ ำ วิทยำศำสตร์ 1 ชน้ั ประถมศกึ ษำปีที่ 1
รหัสวชิ ำ ว11101 เวลำ 40 ช่วั โมง / ปี

ช่ือหน่วยกำรเรียนรู้ ตวั ชีว้ ดั จำนวน นำ้ หนกั คะแนน
(ช่ัวโมง) 100
ตวั เรา พืชและสัตว์ ว 1.1 ป1/1, ป1/2
พชื และสตั วใ์ นท้องถน่ิ ว 1.2 ป1/1, ป1/2 40
วสั ดแุ ละการเกิดเสยี ง ว 2.1 ป1/1, ป1/2
ว 2.3 ป1/1
หนิ และท้องฟา้ ว 3.1 ป1/1, ป1/2
ว 3.2 ป1/1
วิทยาการคานวณ ว 4.2 ป1/1, ป1/2, ป1/3, ป1/4,
ป1/5
รวม
15

หลกั สตู รสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา

โครงสร้ำงรำยวชิ ำ

รำยวชิ ำ วิทยำศำสตร์ 2 ชั้นประถมศกึ ษำปีที่ 2
รหัสวิชำ ว12101 เวลำ 40 ชัว่ โมง / ปี

ชอ่ื หน่วยกำรเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด จำนวน(ชว่ั โมง) นำ้ หนกั คะแนน
วฏั จกั รชีวติ ของพชื ดอก ว 1.2 ป2/1, ป2/2, ป2/3 40 100
สิ่งมีชวี ติ และสิง่ ไม่มีชีวิต ว 1.3 ป2/1
ธรรมชาติของสสาร ว 2.1 ป2/1, ป2/2, ป2/3,
ป2/4
แสงและการเคล่ือนที่ ว 2.3 ป2/1, ป2/2
ดนิ ว 3.2 ป2/1, ป2/2
วทิ ยาการคานวณ ว 4.2 ป2/1 ,ป2/2, ป2/3,
ป2/4
รวม
16

หลักสตู รสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา

โครงสรำ้ งรำยวิชำ

รำยวชิ ำ วทิ ยำศำสตร์ 3 ช้ันประถมศึกษำปีที่ 3
รหสั วชิ ำ ว13101 เวลำ 40 ชัว่ โมง / ปี

ชอื่ หน่วยกำรเรยี นรู้ ตวั ชี้วัด จำนวน(ชั่วโมง) น้ำหนักคะแนน
วฏั จักรชวี ิตของสัตว์ ว 1.2 ป3/1, ป3/2, ป3/3, ป 40 100
3/4
วัสดุรอบตวั ว 2.1 ป3/1, ป3/2
ธรรมชาตขิ องแรง
ว 2.2 ป3/1, ป3/2, ป3/3, ป
พลงั งานและไฟฟ้า 3/4
ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ว 2.3 ป3/1, ป3/2, ป3/3
อากาศ ว 3.1 ป3/1, ป3/2, ป3/3
ว 3.2 ป3/1, ป3/2, ป3/3, ป
วทิ ยาการคานวณ 3/4
ว 4.2 ป3/1, ป3/2, ป3/3, ป
รวม 3/4, ป3/5

25

หลกั สตู รสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา

โครงสร้ำงรำยวชิ ำ

รำยวิชำ วทิ ยำศำสตร์ 4 ชน้ั ประถมศึกษำปที ่ี 4
รหสั วิชำ ว14101 เวลำ 120 ชั่วโมง / ปี

ชื่อหน่วยกำรเรยี นรู้ ตวั ชว้ี ัด จำนวน(ชัว่ โมง) นำ้ หนักคะแนน
ส่วนตา่ ง ๆของพืช ว.1.2 ป.4/1 120 100
พชื และสตั ว์ ว.1.3 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป
4/4
สมบตั ทิ างกายภาพ ว.2.1 ป.4/1, ป.4/2, ป.4/3, ป
4/4
แรงโนม้ ถว่ งของโลก ว.2.2 ป.4/1, ป.4/2, ป4/3
ตัวกลางของแสง
ดวงจันทรแ์ ละระบบสุรยิ ะ ว.2.3 ป.4/1
วทิ ยาการคานวณ ว 3.1 ป4/1, ป4/2, ป4/3

รวม ว 4.2 ป4/1, ป4/2, ป4/3, ป
4/4, ป4/5

21

หลกั สตู รสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา

รำยวชิ ำ วิทยำศำสตร์ 5 โครงสร้ำงรำยวชิ ำ ช้ันประถมศึกษำปีท่ี 5
รหัสวิชำ ว15101 เวลำ 120 ชว่ั โมง / ปี
ตัวชี้วดั
ชอื่ หน่วยกำรเรียนรู้ จำนวน(ชว่ั โมง) น้ำหนกั คะแนน

สง่ิ มชี วี ิตและสิง่ ไม่มชี วี ติ ว 1.1 ป 5/1, ป 5/2, ป 5/3, ป 5/4 120 100
พนั ธุกรรมของพืชและสตั ว์ ว 1.3 ป 5/1, ป 5/2
สถานะของสาร ว 2.1 ป 5/1, ป 5/2, ป 5/3, ป 5/4
แรง ว 2.2 ป 5/1, ป 5/2, ป 5/3, ป 5/4, ป5/5
เสยี ง ว 2.3 ป 5/1, ป 5/2, ป 5/3, ป 5/4

ดาว ว 3.1 ป 5/1, ป 5/2
นา้ และการเปลี่ยนแปลง ว 3.2 ป 5/1, ป 5/2, ป 5/3, ป 5/4, ป5/5

วิทยาการคานวณ ว 4.2 ป4/1, ป4/2, ป4/3, ป4/4, ป4/5

รวม 31

หลกั สตู รสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา

รำยวิชำ วทิ ยำศำสตร์ 6 โครงสร้ำงรำยวิชำ ช้ันประถมศกึ ษำปีท่ี 6
รหัสวชิ ำ ว16101 เวลำ 120 ชั่วโมง / ปี
ตัวชวี้ ดั
ช่อื หน่วยกำรเรียนรู้ จำนวน(ชว่ั โมง) นำ้ หนกั คะแนน

สารอาหารและระบบย่อยอาหาร ว 1.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4, ป6/5
การแยกสาร ว 2.1 ป6/1
แรงไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้า ว 2.2 ป6/1
ว 2.3 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4, ป6/5, ป
สุรยิ ุปราคา จันทรปุ ราคาและ 6/6, ป6/7, ป6/8
เทคโนโลยีอวกาศ ว 3.1 ป6/1, ป6/2
โลกและการเปลี่ยนแปลง
ว 3.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4, ป6/5, ป
วทิ ยาการคานวณ 6/6, ป6/7, ป6/8, ป6/9
ว 4.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4

รวม 30 120 100

อภิธำนศพั ท์

กำหนดปญั หำ (Define problem)
ระบคุ าถาม ประเดน็ หรือสถานการณ์ ท่ีเปน็ ข้อสงสัยเพือ่ นาไปสู่การแก้ปญั หา หรืออภปิ ราย ร่วมกนั

แกป้ ัญหำ (Solve problem)
หาคาตอบของปัญหาทย่ี ังไม่รู้วธิ กี ารมากอ่ น ทง้ั ปญั หาทเี่ กี่ยวขอ้ งกับวทิ ยาศาสตรโ์ ดยตรง และ ปัญหา

ในชวี ิตประจาวนั โดยใช้เทคนคิ และ
วิธกี ารตา่ ง ๆ

เขยี นแผนผงั / วำดภำพ (Construct diagram/ illustrate)
นาเสนอข้อมลู หรือผลการสารวจตรวจสอบดว้ ย แผนผงั กราฟ หรือภาพวาด

คำดคะเน (Predict)
คาดการณ์ผลที่จะเกดิ ข้ึนในอนาคต โดยอาศัย ข้อมูลทีส่ งั เกตได้ และประสบการณ์ท่มี ี

คำนวณ (Calculate)
หาผลลพั ธจ์ ากขอ้ มูลโดยใช้หลักการ ทฤษฎี หรอื วิธกี ารทางคณติ ศาสตร์

จำแนก (Classify)
จัดกลมุ่ ของสงิ่ ต่าง ๆ โดยอาศัยลกั ษณะท่ี เหมือนกันเป็นเกณฑ์

ตง้ั คำถำม (Ask question)
พดู หรือเขยี นประโยค หรือวลเี พ่อื ใหไ้ ด้มาซึ่ง การค้นหาคาตอบท่ตี ้องการ

ทดลอง (Conduct/ experiment)
ปฏิบัติการเพื่อหาคาตอบของคาถาม หรือปญั หา ในการทดลอง โดยตง้ั สมมติฐานเพื่อเป็นแนวทาง ใน

การกาหนดตัวแปรและวางแผนดาเนินการ เพ่ือตรวจสอบสมมติฐาน
นำเสนอ (Present)

แสดงขอ้ มูล เรื่องราว หรือ ความคิด เพ่ือให้ผู้อนื่ รบั รู้หรือพจิ ารณา
บรรยำย (Describe)

ให้รายละเอยี ดของเหตกุ ารณ์หรือปรากฏการณ์ที่ เกิดข้นึ ให้ผู้อืน่ ไดร้ บั รู้ด้วยการบอกหรอื เขยี น
บอก (Tell)

ให้ขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จริง แก่ผู้อ่ืนดว้ ยการพูด หรือเขยี น
บนั ทกึ (Record)

เขยี นข้อมลู ที่ได้จากการสังเกต เพอ่ื ชว่ ยจา หรอื เพื่อเป็นหลักฐาน
เปรียบเทยี บ (Compare)

บอกความเหมือน และ/หรือ ความแตกต่างของ ส่ิงท่ีเทยี บเคียงกนั
แปลควำมหมำย (Interpret)

แสดงความหมายของข้อมูลจากหลกั ฐานท่ีปรากฎ เพ่อื ลงข้อสรปุ
ยกตัวอยำ่ ง (Give examples)

ให้ข้อมลู เหตุการณ์ หรือสถานการณ์ เพื่อแสดง ความเขา้ ใจในสิ่งท่ไี ด้เรยี นรู้
ระบุ (Identify) ชบี้ อกส่งิ ต่าง ๆ โดยใช้ข้อมูลประกอบอย่างเพียงพอ

เลอื กใช้ (Select)
พิจารณาและตัดสินใจนาวสั ดุ ส่ิงของ อุปกรณ์ หรือวิธกี ารมาใชไ้ ด้อย่างเหมาะสม

วดั (Measure)
หาขนดหรือปรมิ าณของส่งิ ตา่ ง ๆ โดยใชเ้ ครอ่ื งมือ ที่เหมาะสม

วิเครำะห์ (Analyze)
แยกแยะ จัดระบบ เปรียบเทียบ จัดลาดบั จัดจาแนก หรือเชือ่ มโยงข้อมลู

สร้ำงแบบจำลอง (Construct model)
นาเสนอแนวคิดหรือเหตุการณ์ในรปู ของ แผนภาพ ช้ินงาน สมการ ขอ้ ความ คาพูด และ/หรอื ใช้

แบบจาลองเพ่อื อธิบายความคิด วตั ถุ หรอื เหตุการณต์ า่ ง ๆ
สังเกต (Observe)

หาข้อมลู ด้วยการใชป้ ระสาทสัมผัสท้งั ห้า ทเี่ หมาะสม ตามข้อเท็จจรงิ ที่ปรากฏ โดยไมใ่ ช้ ประสบการณ์
เดิมของผู้สังเกต
สำรวจ (Explore)

หาขอ้ มลู เกี่ยวกบั สง่ิ ตา่ ง ๆ โดยใชว้ ธี กี ารและ เทคนิคทีเ่ หมาะสมเพื่อนาข้อมลู มาใชต้ าม วัตถปุ ระสงค์ท่ี
กาหนดไว้
สืบค้นข้อมูล (Search)

หาขอ้ มูล หรอื ข้อสนเทศท่ีมีผู้รวบรวมไว้แล้วจาก แหลง่ ต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์
สือ่ สำร (Communicate)

นาเสนอและแลกเปลย่ี นความคดิ ขอ้ มลู หรอื ผล จากการสารวจตรวจสอบด้วยวธิ ีทเ่ี หมาะสม
อธบิ ำย (Explain)

กลา่ วถงึ เรอ่ื งราวต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล และมี ข้อมูล หรอื ประจักษ์พยานอ้างองิ
อภิปรำย (Discuss)

แสดงความคดิ เหน็ ต่อประเด็น หรอื คาถามอย่าง มีเหตุผลโดยอาศยั ความร้แู ละประสบการณ์ของ ผู้
อภิปรายและข้อมลู ประกอบ
ออกแบบกำรทดลอง (Design experiment)

กาหนดและวางแผนวธิ ีการทดลองให้สอดคลอ้ งกับ สมมติฐานและตวั แปรต่าง ๆ รวมทง้ั การบนั ทกึ
ข้อมูล

ศัพทท์ ่เี กยี่ วข้องกับตัวชีว้ ดั สำระเทคโนโลยี

กำรใช้ลขิ สทิ ธ์ขิ องผู้อ่นื โดยชอบธรรม (Fair use)
การนาสอ่ื หรือข้อมูลท่เี ปน็ ลขิ สิทธข์ิ องผอู้ นื่ ไปใชโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมาย ภายใต้เง่ือนไขบางประการ

เช่น
1) นาไปใช้ในการศึกษา หรือการคา้
2) งานนน้ั เปน็ งานวิชาการ หรอื บนั เทงิ
3) คดั ลอกเพยี งสว่ นน้อย หรือคัดลอกจานวนมาก
4) ทาให้เจา้ ของเสียผลประโยชน์ทางการเงิน มากน้อยเพยี งใด

กำรตรวจและแก้ไขขอ้ ผดิ พลำด (Debugging)
กระบวนการในการค้นหาข้อผดิ พลาดของโปรแกรม เพื่อแก้ไขให้ทางานได้ถูกต้อง

กำรประมวลผลข้อมูล (Data processing)
การดาเนนิ การตา่ ง ๆ กบั ขอ้ มูลเพือ่ ให้ได้ผลลพั ธท์ ีม่ ีความหมาย และมปี ระโยชนต์ ่อการนาไปใชง้ าน

มากยิง่ ขน้ึ
กำรวบรวมข้อมูล (Data collection)

กระบวนกรในการรวบรวมข้อมูลท่เี กีย่ วข้องจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
ขอ้ มูลปฐมภูมิ (Primary data)

ขอ้ มูลที่รวบรวมโดยตรงจากแหล่งขอ้ มลู ขน้ั ต้น โดยอาจใช้วธิ ีการสังเกต การทดลอง การสารวจ การ
สัมภาษณ์
เทคโนโลยี (Technology)

สิ่งท่มี นุษยส์ รา้ ง หรือพัฒนาขึ้น ซ่งึ อาจเป็นไดท้ ัง้ ช้ินงาน หรือวธิ กี าร เพื่อใชแ้ กป้ ัญหา สนองความ
ต้องการ หรือเพ่ิมความสามารถในการทางานของมนุษย์
แนวคดิ เชงิ คำนวณ (Computational thinking)

กระบวนการในการแกป้ ัญหา การคดิ วิเคราะหอ์ ย่างมีเหตุผลเป็นข้ันตอน เพื่อหาวธิ กี ารแก้ปญั หาใน
รูปแบบทีส่ ามารถนาไปประมวลผลได้
แนวคิดเชงิ นำมธรรม (Abstraction)

การพจิ ารณารายละเอียดทสี่ าคัญของปญั หา แยกแยะสาระสาคัญออกจากส่วนท่ไี ม่สาคัญ
ระบบทำงเทคโนโลยี (Technological system)

กลมุ่ ของส่วนต่าง ๆ ตั้งแตส่ องส่วนขนึ้ ไปประกอบเข้าด้วยกันและทางานรว่ มกันเพื่อให้บรรลุ
วตั ถุประสงค์ โดยในการทางานของระบบทางเทคโนโลยจี ะประกอบไปด้วย ตวั ป้อน (input) กระบวนการ
(process) และผลผลิต (output) ทสี่ มั พันธ์กัน นอกจากน้ีระบบทางเทคโนโลยีอาจมีข้อมูลยอ้ นกลบั
(feedback) เพ่ือใช้ปรับปรงุ การทางานไดต้ ามวตั ถปุ ระสงค์
เหตผุ ลเชิงตรรกะ (Logical reasoning)

การใชเ้ หตุผล กฎ กฎเกณฑ์ หรอื เงือ่ นไข ท่ีเก่ียวข้อง เพื่อแกป้ ัญหาได้ครอบคลมุ ทกุ กรณี
เหตผุ ลวบิ ตั ิ (Logical fallacy)

การใช้เหตผุ ลทีผ่ ิดพลาด ไม่อยบู่ นพ้ืนฐานของความจริง ไม่มีน้าหนกั สมเหตุสมผล มาสนับสนนุ หรือ
ชี้นาข้อสรปุ ที่ผิดใหด้ ูนา่ เชื่อถือ

อตั ลักษณ์ (Identity)
ลกั ษณะเฉพาะ หรือข้อมลู สาคัญท่ีบ่งบอกถึงความเปน็ ตวั ตนของบุคคลหรอื ส่งิ ใดส่ิงหนึ่ง เช่น ช่อื บญั ชี

ผู้ใช้ ใบหนา้ ลายนิว้ มือ
อลั กอริทมึ (Algorithm)

ขน้ั ตอนในการแก้ปัญหา หรอื การทางาน โดยมีลาดับของคาสั่งหรือวธิ กี ารทีช่ ัดเจน ทคี่ อมพวิ เตอร์
สามารถปฏิบัตติ ามได้
แอพพลิเคชนั (Software application)

ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ทที่ างานบนคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แทบ็ เล็ต หรืออปุ กรณ์เทคโนโลยีอื่น ๆ

อภธิ ำนศัพท์
ศัพทท์ เ่ี กย่ี วข้องกบั ตัวช้ีวัดกลมุ่ สำระกำรเรียนร้วู ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ท่ี ภำษำไทย ภำษำองั กฤษ วำมหมำย

๑ กาหนดปัญหา define problem ระบุคาถาม ประเด็นหรือ สถานการณ์ที่เป็น

ข้อสงสัย เพ่ือนาไปสู่การแก้ปัญหาหรือ

อภิปรายรว่ มกนั

๒ แกป้ ัญหา solve problem หาคาตอบของปัญหาท่ียังไม่รู้ วิธีการมาก่อน

ทั้งปัญหาท่ี เก่ียวข้องกับวิทยาศาสตร์

โดยตรงและปัญหาในชีวิต ประจาวันโดยใช้

เทคนิคและ วธิ กี ารตา่ ง ๆ

๓ เขียนแผนผงั /วาดภาพ construct diagram/ นาเสนอข้อมูลหรือผลการสารวจ ตรวจสอบ

illustrate ดว้ ยแผนผงั กราฟ หรอื ภาพวาด

๔ คาดคะเน predict คาดการณ์ผลที่จะเกิดข้ึนในอนาคต โดย

อาศัยขอ้ มูลทีส่ งั เกตได้ และประสบการณ์ท่มี ี

๕ คานวณ calculate หาผลลัพธ์จากข้อมูล โดยใช้ หลักการ ทฤษฎี

หรอื วิธีการทาง คณติ ศาสตร์

๖ จาแนก classify จัดกลุ่มของส่ิงต่าง ๆ โดยอาศัย ลักษณะที่

เหมอื นกันเป็นเกณฑ์

๗ ต้งั คาถาม ask question พูดหรอื เขียนประโยค หรือวลี เพอื่ ให้ได้มาซึ่ง

การค้นหา คาตอบทตี่ อ้ งการ

๘ ทดลอง conduct/experiment ปฏิบัติการเพ่ือหาคาตอบ ของคาถาม หรือ

ปัญหาในการ ทดลอง โดยตั้งสมมติฐานเพื่อ

เป็นแนวทางในการกาหนด ตัวแปรและ

วางแผนดาเนินการ เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน

๙ นาเสนอ present แสดงข้อมูล เร่ืองราว หรือ ความคิด เพื่อให้

ผู้อ่นื รับรู้ หรือพิจารณา

๑๐ บรรยาย describe ใ ห้ ร า ย ล ะ เ อี ย ด ข อ ง เ ห ตุ ก า ร ณ์ ห รื อ

ปรากฏการณท์ ่เี กิดข้ึนให้ ผู้อืน่ ไดร้ ับรูด้ ้วยการ

บอก หรือเขียน

ท่ี ภำษำไทย ภำษำองั กฤษ วำมหมำย
๑๑ บอก Tell
๑๒ บันทึก Record ให้ขอ้ มูล ขอ้ เทจ็ จรงิ แก่ผู้อน่ื ด้วยการพูด
๑๓ เปรียบเทยี บ Compare หรอื เขยี น
๑๔ แปลความหมาย Interpret
๑๕ ยกตัวอย่าง give examples เขยี นข้อมลู ที่ไดจ้ ากการสังเกต เพอ่ื ช่วยจา
๑๖ ระบุ identify หรือเพ่ือเป็นหลักฐำน
๑๗ เลอื กใช้ select
๑๘ วดั measure บอกความเหมือน และ/หรือ ความแตกต่าง
๑๙ วเิ คราะห์ analyze ของส่งิ ท่ี เทียบเคยี งกัน
๒๐ สรา้ งแบบจาลอง construct model
แสดงความหมายของข้อมลู จากหลักฐานที่
๒๑ สังเกต Observe ปรากฏ เพื่อลงข้อสรปุ

๒๒ สารวจ explore ให้ขอ้ มูลเหตุการณ์หรือสถานการณ์ เพ่ือแสดง
ความเขา้ ใจในส่งิ ท่ีได้ เรียนรู้

ชบี้ อกสง่ิ ต่าง ๆ โดยใช้ข้อมลู ประกอบอย่าง
เพยี งพอ

พิจารณา และตัดสินใจนาวัสดุ สิ่งของ
อปุ กรณห์ รือวิธกี าร มาใช้ได้อยา่ งเหมาะสม

หาขนาด หรือปริมาณ ของ สิ่งต่าง ๆ โดยใช้
เครอื่ งมือ ทเ่ี หมาะสม

แยกแยะ จัดระบบ เปรียบเทียบ จัดลาดับ
จัดจาแนก หรือ เชอ่ื มโยงขอ้ มูล

นาเสนอแนวคิด หรือเหตุการณ์ ในรูปของ
แผนภาพ ช้ินงาน สมการ ข้อความ คาพูด
และ/ หรือใช้แบบจาลองเพื่ออธิบาย ความคิด
วัตถุ หรือเหตกุ ารณ์ ตา่ ง ๆ

หาข้อมูลด้วยการใช้ประสาท สัมผัสทั้งห้า
ท่ีเหมาะสมตาม ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ โดยไม่
ใช้ ประสบการณเ์ ดิมของผูส้ ังเกต

หาข้อมูลเก่ียวกับสิ่งต่าง ๆ โดยใช้วีธีการและ
เทคนิคที่ เหมาะสม เพ่ือนาข้อมูลมาใช้ ตาม
วัตถุประสงค์ทีก่ าหนดไว้

ท่ี ภำษำไทย ภำษำอังกฤษ วำมหมำย
๒๓ สบื คน้ ขอ้ มูล search
๒๔ สอ่ื สาร communicate หาข้อมูล หรือข้อสนเทศท่ีมี ผู้รวบรวมไว้แล้ว
จากแหลง่ ต่าง ๆ มาใชป้ ระโยชน์
๒๕ อธิบาย explain
๒๖ อภิปราย discuss นาเสนอ และแลกเปลีย่ น ความคดิ ข้อมูล
หรอื ผลจากการ สารวจตรวจสอบ ดว้ ยวธิ ี
๒๗ ออกแบบการทดลอง design experiment ท่ีเหมาะสม

กลา่ วถึงเร่อื งราวต่าง ๆ อยา่ งมี เหตุผล และมี
ข้อมลู หรือ ประจกั ษ์พยานอ้างองิ

แสดงความคดิ เหน็ ตอ่ ประเด็น หรือคาถาม
อยา่ งมเี หตผุ ล โดยอาศัยความรู้และ
ประสบการณ์ ของผู้อภิปรายและข้อมูล
ประกอบ

กาหนด และวางแผนวธิ ีการ ทดลองให้
สอดคล้องกบั สมมติฐานและตัวแปรตา่ ง ๆ
รวมทงั้ การบันทึกข้อมูล

ศัพทท์ เ่ี กี่ยวขอ้ งกับตัวชีว้ ดั สำระเทคโนโลยี

ที่ ภำษำไทย ภำษำองั กฤษ วำมหมำย

๑ การใชล้ ขิ สิทธขิ์ อง fair use การนาสอ่ื หรอื ข้อมูลที่เป็น ลขิ สทิ ธิข์ อง
ผู้อืน่ ไปใชโ้ ดยชอบ ด้วยกฎหมาย ภายใต้
ผู้อ่นื โดยชอบธรรม เง่อื นไข บางประการ เชน่ ๑) นาไปใช้ใน
การศกึ ษา หรอื การค้า ๒) งานนนั้ เปน็
๒ การตรวจและแก้ไข debugging งานวิชาการ หรือ บันเทงิ ๓) คดั ลอก
ขอ้ ผิดพลาด เพียงส่วนนอ้ ย หรอื คัดลอกจานวนมาก
๔) ทาให้เจ้าของเสยี ผลประโยชน์ ทาง
การเงิน มากนอ้ ยเพียงใด

กระบวนการในการค้นหา ข้อผดิ พลาดของ
โปรแกรม เพื่อแก้ไขให้ทางานได้ถูกตอ้ ง

ศพั ท์ทเี่ ก่ียวข้องกับตวั ช้วี ัดสำระเทคโนโลยี

ท่ี ภำษำไทย ภำษำอังกฤษ ควำมหมำย

๓ การประมวลผลข้อมลู data processing การดาเนินการต่าง ๆ กับขอ้ มูล เพ่อื ให้ได้
ผลลพั ธ์ทีม่ ีความหมาย และมีประโยชนต์ อ่ การ
๔ การรวบรวมข้อมลู data collection นา ไปใช้งานมากยิ่งขึ้น
๕ ขอ้ มูลปฐมภมู ิ primary data
กระบวนการในการรวบรวม ขอ้ มลู ท่ีเกีย่ วข้อง
๖ เทคโนโลยี technology จากแหล่ง ข้อมูลต่าง ๆ

๗ แนวคิดเชิงคานวณ computational ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมโดยตรง จากแหล่งข้อมูลขั้นตน้
thinking โดยอาจ ใช้วิธีการสังเกต การทดลอง การ
สารวจ การสัมภาษณ์
๘ แนวคิดเชิงนามธรรม abstraction การ
สิ่งท่มี นษุ ยส์ รา้ งหรือพัฒนาขึ้น ซง่ึ อาจเป็นได้ทง้ั
๙ ระบบทางเทคโนโลยี technological ชิน้ งาน หรือ วิธีการ เพือ่ ใชแ้ ก้ปญั หาสนอง
system ความตอ้ งการ หรอื เพ่ิม ความสามารถในการ
ทางาน ของมนุษย์
๑๐ เหตุผลเชิงตรรกะ logical reasoning
กระบวนการในการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์
๑๑ เหตผุ ลวบิ ัติ logical fallacy อยา่ งมเี หตุผล เป็นขนั้ ตอน เพือ่ หาวธิ ีการ
แกป้ ญั หาในรปู แบบที่สามารถ นาไป
ประมวลผลได้

พจิ ารณารายละเอียดท่ีสาคญั ของปัญหา
แยกแยะสาระสาคัญ ออกจากส่วนท่ีไม่สาคัญ

กลมุ่ ของสว่ นตา่ ง ๆ ตง้ั แต่ สองสว่ นขน้ึ ไป
ประกอบเขา้ ดว้ ยกนั และทางานรว่ มกนั
เพือ่ ให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ โดยในการทางาน
ของระบบ ทางเทคโนโลยจี ะประกอบไปดว้ ย
ตวั ปอ้ น (input) กระบวนการ (process) และ
ผลผลิต (output) ท่ีสมั พนั ธ์กัน นอกจากน้ี
ระบบทางเทคโนโลยี อาจมขี ้อมลู ยอ้ นกลบั
(feedback) เพื่อใชป้ รบั ปรุง การทางานไดต้ าม
วัตถปุ ระสงค์

กำรใช้เหตุผล กฎ กฎเกณฑ์ หรอื เงื่อนไขท่ี
เกยี่ วข้อง เพ่ือ แก้ปัญหำไดค้ รอบคลุมทกุ กรณี

การใชเ้ หตุผลทผ่ี ิดพลาดไม่อยู่บน พน้ื ฐานของ
ความจริง ไม่มีน้าหนกั สมเหตุสมผลมา
สนับสนนุ หรือ ชน้ี าข้อสรปุ ท่ีผิดให้ดูนา่ เช่อื ถือ

ท่ี ภำษำไทย ภำษำองั กฤษ ควำมหมำย
๑๒ อัตลักษณ์ Identity
ลักษณะเฉพาะหรือข้อมลู สาคัญ ทบี่ ่งบอกถงึ
๑๓ อลั กอริทมึ algorithm ความเปน็ ตวั ตนของ บคุ คลหรอื ส่ิงใดสงิ่ หนึ่ง
เชน่ ชอื่ บัญชีผูใ้ ช้ใบหน้า ลายน้ิวมอื
๑๔ แอปพลิเคชนั software
application ขน้ั ตอนในการแกป้ ญั หาหรือ การทางาน โดยมี
ลาดบั ของ คาสง่ั หรือวธิ กี ารท่ีชดั เจน ที่
คอมพิวเตอรส์ ามารถปฏิบัติ ตามได้

ซอฟตแ์ วร์ประยุกต์ที่ทางาน บนคอมพวิ เตอร์
สมาร์ตโฟน แทบ็ เล็ต หรอื อปุ กรณ์เทคโนโลยี
อน่ื ๆ


Click to View FlipBook Version