The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยประเด็นเชิงพื้นที 2564 ศพช.นครศรีธรรมรา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วิจัยประเด็นเชิงพื้นที 2564 ศพช.นครศรีธรรมรา

วิจัยประเด็นเชิงพื้นที 2564 ศพช.นครศรีธรรมรา

รายงานการวิจยั ฉบับสมบูรณ์
“การพัฒนาตน้ แบบศูนยก์ ารเรียนรู้การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตตามหลกั ทฤษฎีใหม่
ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชมุ ชน ศูนยศ์ ึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรธี รรมราช”

ชยั วฒุ ิ ครุฑมาศ
ไววิทย์ หนูเอก
สมโชค จักร์หรดั

ศูนยศ์ กึ ษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช สถาบนั การพฒั นาชมุ ชน
กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
ปงี บประมาณ พ.ศ. 2564

รายงานการวิจยั ฉบับสมบูรณ์
“การพัฒนาตน้ แบบศูนยก์ ารเรียนรู้การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตตามหลกั ทฤษฎีใหม่
ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชมุ ชน ศูนยศ์ ึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรธี รรมราช”

ชยั วฒุ ิ ครุฑมาศ
ไววิทย์ หนูเอก
สมโชค จักร์หรดั

ศูนยศ์ กึ ษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช สถาบนั การพฒั นาชมุ ชน
กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
ปงี บประมาณ พ.ศ. 2564



บทคดั ย่อ

ชื่อรายงานการศึกษา การพัฒนาตน้ แบบศนู ย์การเรียนรูก้ ารพัฒนาคุณภาพชวี ิตตามหลักทฤษฎีใหม่
ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน
คณะทำงาน นครศรีธรรมราช
ชัยวุฒิ ครฑุ มาศ
ปงี บประมาณ ไววิทย์ หนูเอก
ระยะเวลาดำเนินการ สมโชค จักรห์ รัด
2564
พฤษภาคม - กนั ยายน 2564

งานวิจัยนี้ทำการศึกษาการพฒั นาต้นแบบศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตตาม
หลกั ทฤษฎใี หม่ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พฒั นาชุมชน ศูนย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราช มี
วัตถปุ ระสงค์ (1) เพ่อื ศึกษาระดบั การดำเนนิ งานของศนู ยฯ์ (2) เพื่อวเิ คราะห์ปัจจยั แหง่ ความสำเร็จของ
ศูนย์ฯ และ (3) เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาต้นแบบศูนย์การเรยี นรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตาม หลัก
ทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรธี รรมราช การ
วิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยผสมผสาน ( Mixed Methods Research) ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการ
วิจัยเชิงคุณภาพ ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) แบบสัมภาษณ์เชิง
ลึก และแบบบันทึกประเด็นการสนทนากลุ่ม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลงานวิจัย กลุ่ม
ตวั อยา่ งในการวจิ ยั ได้แก่ ผูบ้ ริหาร เจา้ หน้าทีศ่ นู ยศ์ ึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช เจา้ ของพน้ื ที่
เรียนรชู้ มุ ชนต้นแบบการพฒั นาคณุ ภาพชีวิต CLM ระดบั ตำบล นกั พฒั นาพนื้ ท่ตี ้นแบบ จำนวน 30 คน
และผผู้ ่านการอบรมหลักสูตรพัฒนาผ้นู ำหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงประจำปงี บประมาณ พ.ศ.2564 ใช้
วิธีการหากลุ่มตัวอย่างด้วยสูตรของยามาเน่ (Yamane) ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 271 คนและทำการ
สัมภาษณเ์ ชิงลกึ โดยเลอื กแบบเจาะจง จำนวน 10 คน และการสนทนากลุ่ม จำนวน 20 คน

ผลการวิจยั พบว่า (1) ระดับการดำเนินงานของศูนย์ฯ อยูใ่ นระดับมาก/สูง (2) ปัจจัย
ด้านการเป็นองคก์ ารแห่งการเรยี นรู้ มีความสัมพันธ์กบั การดำเนินงานของศูนย์ฯ ตามหลักประสิทธิผล
ขององค์การมากที่สุด โดยมีระดับความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั
0.001 รองลงมา คือ ปัจจัยการมีส่วนร่วมขององค์การ มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานของศูนย์การ
เรียนรู้ ตามหลักประสิทธิผลขององคก์ าร มีระดับความสัมพันธใ์ นระดับค่อนข้างสงู อยา่ งมนี ัยนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ 0.001 และ (3) รูปแบบการพัฒนาศูนย์การเรยี นรู้ เป็นรูปแบบท่ีมีการน้อมนำศาสตร์
พระราชาและหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาเปน็ หลักในการพฒั นา โดยนำหลกั การเป็นองคก์ าร



แห่งการเรียนรู้ และหลักการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิผล ภายใต้การยกระดับ
องค์ประกอบ 4 ด้าน คือ ชุมชน การพัฒนา การเรียนรู้ และการเป็นศูนย์กลางทางความร่วมมือ
(CDLC) เพื่อนำไปสูก่ ารบรรลุวัตถุประสงค์ อันสอดคล้องตามวิสัยทัศน์แห่งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ว่า
“ประเทศไทยมีความม่ันคง มัง่ ค่ัง ย่ังยนื เปน็ ประเทศทพ่ี ฒั นาแล้ว ดว้ ยการพฒั นาตามหลกั ปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง” ในรูปแบบ 3S คือ มคี วามมัน่ คง (Stability) ห่างไกลจากความยากจน (Stay away
poverty) และมคี วามยงั่ ยืน (Sustainability)

คำสำคัญ: ศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิต / หลักทฤษฎีใหม่ / โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน /
ความม่ันคง / ความยงั่ ยืน



Abstract

Research Title The Development of a Prototype Learning Center for quality of life
development according to The New Theory applied to Kok Nong Na
Committee Community Development for The Education and Community
Year Development Center, Nakhon Si Thammarat
Processing Time Chaiwut Krutmas
Waiwit Noo-Ake
Somchoke Jakrad
2021
May – September 2021

This research studies The Development of a Prototype Learning Center for
quality of life development according to The New Theory applied to Kok Nong Na
Community Development for The Education and Community Development Center,
Nakhon Si Thammarat, the objectives were (1) to study the operational level of the
Center, (2) to analyze the success factors of the Center, and (3) to propose a model for
developing a model of a learning center for improving the quality of life according to
The New Theory applied to Kok Nong Na Community Development for The Education
and Community Development Center. This research used Mixed Methods Research both
quantitative research and qualitative research. Data collection was done using
questionnaires, In-depth interview form and group discussion issues was a tool for
collecting research data. The research sample consisted of executives, staff of The
Education and Community Development Center, Nakhon Si Thammarat, the owners of
the model community learning area for improving the quality of life of CLM at the sub-
district level, 30 model area developers, and those who have passed the Sufficiency
Economy Village Leadership Development Program for the fiscal year 2021 were used
to find samples using the Yama formula. Yamane took a sample of 271 people and



conducted an In-depth Interview with 10 people selected and a group discussion of 20
people.

The results of the research found that (1) the operational level of the
center At a high level. (2) a factors of being a learning organization is related to the
operations of the center according to the principle of effectiveness of the organization
as much as possible with a relatively high level of relationship the statistical significance
at the 0.001 level was followed by the organizational participation factor. It is related to
the operation of the learning center according to the effectiveness of the
organization There is a relatively high level of relationship. with a statistically significant
level of 0.001 and (3) model of learning Center Development is a model in which the
King's science and philosophy of sufficiency economy have been introduced as the main
development by applying the principle as a learning organization and principles of
participation in the operation to be effective Under the upgrading of the four elements,
namely community, development, learning, and the center for Cooperation (CDLC) to
lead to the achievement of the objectives. This is in line with the vision of the 20-year
national strategy that “Thailand is stable, prosperous, sustainable, is a developed
country. with the development according to the Sufficiency Economy Philosophy”
in the 3S model, which is Stability, Stay away from poverty and sustainability. (Sustainability)

Keyword : Center for quality of life development / The New Theory / Kok Nong Na Community
Development / Security / Sustainability



กติ ติกรรมประกาศ

รายงานการวิจยั เร่ือง การพัฒนาตน้ แบบศนู ยก์ ารเรยี นร้กู ารพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลัก
ทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พฒั นาชมุ ชน ศูนย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรีธรรมราช ได้รับ
การสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ
อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และนายธนวัฒน์ ปิ่นแก้ว ผู้อำนวยการสถาบันการพัฒนาชุมชน
ผศ.ดร.ประทีป พชื ทองหลาง อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย สถาบนั การพัฒนาชุมชน กรมการพฒั นาชุมชน
ตลอดจนคณะกรรมการอำนวยการวิจัยทกุ ท่าน ทีก่ รุณาใหค้ ำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษาในการปรับปรุง
ประเดน็ ต่าง ๆ ในการวิจยั ใหม้ ีความถกู ต้องสมบรู ณ์ย่งิ ขนึ้ คณะผู้วจิ ัยขอขอบพระคณุ เป็นอย่างสูง ไว้ ณทีน่ ้ี

ขอขอบพระคณุ ภาคีการพฒั นาชุมชนทุกภาคสว่ นที่มีสว่ นรว่ มในการทำการศึกษานำไปสู่
การพฒั นาศูนย์การเรยี นรู้การพัฒนาคุณภาพชีวติ ตามหลักทฤษฎใี หม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา พฒั นา
ชุมชน ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ ขอขอบคุณ ผู้ให้ข้อมูลตอบ
แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ในพื้นที่ที่ทำการศึกษา และผู้ร่วมนักวิจัยทุกท่านทีช่ ่วยเหลือและให้
การสนบั สนุนจนทำให้โครงการวิจยั นค้ี วามสำเรจ็ ลลุ ว่ งไปดว้ ยดี

คณะทำงานวิจยั ศนู ยศ์ กึ ษาและพฒั นาชุมชนนครศรธี รรมราช



สารบญั

หน้า
บทคัดยอ่ ......................................................................................................................................ก
กติ ติกรรมประกาศ ........................................................................................................................ข
สารบญั ........................................................................................................................................ค
สารบญั ตาราง .............................................................................................................................. ง
สารบญั ภาพ ....................................................................................................... ………………………จ
บทที่ 1 บทนำ ............................................................................................................................. 1

1.1 ทม่ี าและความสำคัญของปัญหา................................................................................................... 1
1.2 วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย ................................................................................................................... 4
1.3 ปัญหาการวิจยั ............................................................................................................................. 4
1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั .................................................................................................................... 4
1.5 นยิ ามศพั ท์ในการวจิ ยั .................................................................................................................. 5
1.6 สมมติฐานการวิจยั ....................................................................................................................... 7
1.7 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั .................................................................................................................. 7
1.8 ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะไดร้ ับ ........................................................................................................ 10
บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง..........................................................................11
2.1 แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั การพัฒนา .............................................................................................. 11
2.2 แนวคิดทฤษฎีเกยี่ วกับกระบวนการเรียนรแู้ ละศูนย์การเรยี นรู้ .................................................. 22
2.3 แนวคดิ เก่ยี วกับคุณภาพชวี ิต...................................................................................................... 54
2.4 แนวพระราชดำรทิ ฤษฎใี หม่ และปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง................................................ 58
2.5 แนวคิดการจดั การนำ้ โคก หนอง นา โมเดล............................................................................... 85
2.6 งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง .................................................................................................................... 89



สารบญั (ตอ่ )

หน้า
2.7 กรอบแนวคดิ การวิจัย ................................................................................................................ 97
บทที่ 3 วิธกี ารดำเนินงานวจิ ยั ....................................................................................................98
3.1 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง........................................................................................................ 98
3.2 วธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมลู .........................................................................................................100
3.3 เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ....................................................................................101
3.4 ขั้นตอนการวจิ ยั .......................................................................................................................104
3.5 การวเิ คราะห์ข้อมลู ..................................................................................................................105
3.6 จรยิ ธรรมการวจิ ยั ....................................................................................................................105
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ..................................................................................................106
บทท่ี 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ..........................................................................140
สรปุ ผลการวิจัย...............................................................................................................................141
อภปิ รายผลการวจิ ยั ........................................................................................................................149
ข้อเสนอแนะการวิจยั ......................................................................................................................155
บรรณานุกรม............................................................................................................................156
ภาคผนวก ................................................................................................................................158
ภาคผนวก ก แบบสอบถาม ............................................................................................................159
ภาคผนวก ข แบบสมั ภาษณ์...........................................................................................................169
ภาคผนวก ค ประมวลภาพ.............................................................................................................173



สารบญั ตาราง

ตารางท่ี หนา้

ตารางที่ 4.1 จำนวนร้อยละ ของผผู้ ่านการอบรมหลกั สูตรพฒั นาผนู้ ำหมู่บ้านเศรษฐกิจ
พอเพียงประจำปงี บประมาณ พ.ศ.2564 ณ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรีธรรมราช
แยกตามเพศ……………………………………………………………………………………………………………………….107
ตารางท่ี 4.2 จำนวนรอ้ ยละ ของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรพัฒนาผนู้ ำหมบู่ ้านเศรษฐกิจ
พอเพยี งประจำปงี บประมาณ พ.ศ.2564 ณ ศนู ยศ์ ึกษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราช
แยกตามอายุ……………………………………………………………………………………………………………………….107
ตารางที่ 4.3 จำนวนร้อยละ ของผูผ้ า่ นการอบรมหลกั สูตรพัฒนาผู้นำหมู่บ้านเศรษฐกิจ
พอเพียงประจำปงี บประมาณ พ.ศ.2564 ณ ศูนยศ์ ึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช
แยกตามระดบั การศึกษา...................................................................................................................108
ตารางที่ 4.4 จำนวนรอ้ ยละ ของผผู้ า่ นการอบรมหลักสตู รพัฒนาผูน้ ำหมูบ่ า้ นเศรษฐกิจ
พอเพียงประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ณ ศนู ย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราช
แยกตามระดบั สถานภาพ..................................................................................................................108
ตารางท่ี 4.5 จำนวนรอ้ ยละ ของผู้ผา่ นการอบรมหลักสูตรพัฒนาผู้นำหมบู่ ้านเศรษฐกิจ
พอเพยี งประจำปงี บประมาณ พ.ศ.2564 ณ ศูนยศ์ กึ ษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช
แยกตามระดบั อาชีพ…………………………………………………………………………………………………………...109
ตารางที่ 4.6 จำนวนรอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเกย่ี วกบั ระดับการดำเนินงาน

ของศูนยก์ ารเรยี นรู้การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตตามหลกั ทฤษฎีใหม่ ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา

พัฒนาชมุ ชน ศนู ย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราช ตามหลักประสทิ ธผิ ลขององค์การ

ด้านความสามารถในการผลิตบุคลากร……………………………………………………………………………….…110

ตารางท่ี 4.7 จำนวนรอ้ ยละ คา่ เฉล่ยี และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเก่ยี วกับระดบั การดำเนินงาน
ของศนู ย์การเรียนรู้การพฒั นาคุณภาพชวี ิตตามหลักทฤษฎใี หม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา
พฒั นาชุมชน ศูนย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราช ตามหลักประสิทธผิ ลขององคก์ าร
ด้านประสทิ ธิภาพในด้านการบรหิ ารจดั การทรพั ยากร……………………………………………………………111
ตารางท่ี 4.8 จำนวนรอ้ ยละ ค่าเฉล่ยี และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานเก่ยี วกับระดับการดำเนนิ งาน
ของศูนยก์ ารเรียนรกู้ ารพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา
พัฒนาชมุ ชน ศนู ย์ศกึ ษาและพฒั นาชมุ ชนนครศรธี รรมราช ตามหลกั ประสทิ ธผิ ลขององค์การ
ด้านความพึงพอใจ..........................................................................................................................113



สารบญั ตาราง

ตารางท่ี หน้า

ตารางท่ี 4.9 จำนวนรอ้ ยละ ค่าเฉลี่ยและสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเกีย่ วกบั ระดบั การดำเนนิ งาน
ของศูนยก์ ารเรียนรกู้ ารพัฒนาคณุ ภาพชีวิตตามหลักทฤษฎใี หม่ ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา
พฒั นาชมุ ชน ศูนยศ์ ึกษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราช ตามหลักประสทิ ธผิ ลขององคก์ าร
ดา้ นประสทิ ธภิ าพในดา้ นดา้ นความสามารถในการปรบั ตวั ………………………………………………………115
ตารางที่ 4.10 จำนวนรอ้ ยละ ค่าเฉล่ียและส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเก่ียวกบั ระดับการดำเนินงาน

ของศูนย์การเรียนรู้การพฒั นาคุณภาพชวี ติ ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา

พัฒนาชมุ ชน ศูนยศ์ กึ ษาและพฒั นาชมุ ชนนครศรธี รรมราช ตามหลกั ประสทิ ธิผลขององคก์ าร

ด้านการพัฒนา.................................................................................................................................118

ตารางท่ี 4.11 จำนวนรอ้ ยละ ค่าเฉลย่ี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานเกย่ี วกบั ระดับการดำเนินงาน

ของศูนย์การเรียนร้กู ารพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลกั ทฤษฎใี หม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา

พัฒนาชุมชน ศนู ย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราช ตามหลกั ประสทิ ธิผลขององค์การ

ดา้ นความย่ังยนื …………………………………………………………………………………………………………………119

ตารางที่ 4.12 จำนวนร้อยละ คา่ เฉลยี่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานเกย่ี วกับการวเิ คราะห์ปัจจัย
แหง่ ความสำเร็จของการดำเนนิ งานศูนยก์ ารเรยี นรู้การพัฒนาคุณภาพชีวติ ตามหลกั ทฤษฎใี หม่
ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา พฒั นาชมุ ชน ศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชมุ ชนนครศรธี รรมราช
ในปจั จัยด้านการเปน็ องค์การแห่งการเรียนรู้………………………………………………………………………..120
ตารางท่ี 4.13 จำนวนร้อยละ ค่าเฉล่ยี และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเกีย่ วกบั การวิเคราะหป์ จั จัย
แห่งความสำเรจ็ ของการดำเนินงานศนู ย์การเรียนรู้การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ตามหลกั ทฤษฎใี หม่
ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พฒั นาชมุ ชน ศนู ยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนนครศรธี รรมราช
ในปัจจยั การมีส่วนร่วมขององค์กร……………………………………………………………………………………..122
ตาราง 4.14 ผลการวเิ คราะห์เปรยี บเทยี บปัจจัยท่ีสง่ ผลต่อการพัฒนาองค์กร กับระดบั การ
ดำเนินงานของศนู ย์การเรียนรกู้ ารพฒั นาคุณภาพชีวิตตามหลกั ทฤษฎใี หม่ ประยกุ ต์สู่
โคก หนอง นา พัฒนาชมุ ชน ศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนนครศรีธรรมราช
ตามหลักประสทิ ธผิ ลขององค์การ……………………………………………………………………………………..…125



สารบญั ตาราง

ตารางที่ หนา้

ตารางท่ี 4.15 สรุปประเด็นในการสนทนากลุ่มด้านความสามารถในการผลติ ของการพฒั นา
ตน้ แบบศูนย์การเรยี นรู้การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา
พฒั นาชุมชน ศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนนครศรธี รรมราช..............................................................127
ตารางที่ 4.16 สรุปประเด็นในการสนทนากลมุ่ ดา้ นประสทิ ธิภาพของศูนย์การเรียนรู้
การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ตามหลักทฤษฎใี หม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา พฒั นาชมุ ชน
ศูนยศ์ กึ ษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช....................................................................................128
ตารางที่ 4.17 สรุปประเด็นในการสนทนากลมุ่ ด้านความพึงพอใจตอ่ การบรหิ ารจดั การศูนย์
การเรยี นร้กู ารพฒั นาคุณภาพชวี ติ ตามหลกั ทฤษฎีใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน
ศนู ยศ์ ึกษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราช………………………………………………………………………….129
ตารางที่ 4.18 สรุปประเด็นในการสนทนากลมุ่ ดา้ นความสามารถในการปรับตัวของการบริหาร
จดั การศนู ย์การเรยี นรกู้ ารพัฒนาคุณภาพชวี ติ ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา
พฒั นาชมุ ชน ศนู ย์ศกึ ษาและพฒั นาชุมชนนครศรีธรรมราช……………………………………………………...130
ตารางที่ 4.19 สรปุ ประเด็นในการสนทนากลุ่มด้านการพัฒนาของศูนย์การเรียนรกู้ ารพฒั นา
คณุ ภาพชวี ติ ตามหลักทฤษฎใี หม่ ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา พฒั นาชุมชน ศนู ย์ศึกษาและ
พัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช……………………………………………………………………………………………...132
ตารางที่ 4.20 สรปุ ประเดน็ ในการสนทนากลมุ่ ด้านความยง่ั ยืนในการดำเนินงานศนู ย์การเรียนรู้
การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ตามหลักทฤษฎใี หม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พฒั นาชุมชน
ศนู ยศ์ กึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราช…………………………………………………………………….……133
ตารางที่ 4.21 สรปุ ประเด็นในการสนทนากล่มุ รปู แบบการดำเนินงานศนู ยก์ ารเรยี นรกู้ ารพัฒนา
คุณภาพชวี ติ ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พฒั นาชุมชน ศนู ย์ศึกษาและ
พัฒนาชมุ ชนนครศรีธรรมราชโดยการน้อมนำหลกั ทฤษฎีใหม่ และหลักปรชั ญา
ของเศรษฐกิจพอเพยี ง………………………………………………………………………………………………………….138



สารบญั ภาพ

ภาพท่ี หนา้
ภาพท่ี 2.1 กรอบแนวคิดการวิจยั ………………………………………………………………………………………….97
ภาพท่ี 5.1 รูปแบบการพฒั นาและบริหารจัดการศูนย์การเรยี นร้ฯู ..................................................153
ภาพที่ 5.2 การใชร้ ปู แบบการบริหารจัดการศูนย์เรยี นรฯู้ ................................................................154

บทท่ี 1

บทนำ

1.1 ท่มี าและความสำคญั ของปัญหา
การพัฒนาสังคมในปัจจุบนั มุ่งเน้นความเจริญกา้ วหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งทำให้

เกดิ ความเจรญิ มง่ั ค่งั ทางวัตถุอย่างมาก แต่ความเจริญมัง่ ค่งั จิตใจกลับเสอื่ มถอยลดน้อยลง ไม่ได้รับการ
พัฒนาให้ก้าวหนา้ เทาเทียมทนั กนั แม่เศรษฐกิจจะดีขน้ึ มีส่งิ เอือ้ อำนวยความสุขและความสะดวกสบาย
อย่างมากมาย แตจ่ ิตใจคนกลับ เหน็ แก่ตัวมากขน้ึ เห็นแก่ผ้อู น่ื และสว่ นรวมน้อยลง การท่สี งั คมโลกไม่ได้
พัฒนาโดยยึดหลักทางสายกลาง มุ่งแต่สร้างความเจริญทางด่านวตั ถุโดยไม่ใหค้ วามสนใจในการพัฒนา
ดานจิตใจเทาที่ควร จึงทำให้ต้องประสบภาวะวิกฤตในด้านต่างๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม
ทรพั ยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อมการกอ่ การ ร้ายสงั คมขาดสันติสุข" การเกษตรของไทยในอดีตเป็น
การทำการเกษตรเพื่อยังชีพโดยอาศัยความอุดมสมบูรณ์จากธรรมชาติ จึงไม่ค่อยจะพบปัญหามากนกั
แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวน
ประชากร และมีการใช้เทคโนโลยีการเกษตรแผนใหม่ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอแก่การบริโภคของ
ประชากร และเพื่อการส่งออกเป็นรายได้เข้าสู่ประเทศจึงทำให้การทำการเกษตรในปัจจุบันประสบ
ปัญหามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการขาดความสมดุลทางธรรมชาติการระบาดของโรคและแมลง
ศตั รูพืชรวมท้งั ดา้ นการตลาดซงึ่ นบั วนั จะแปรปรวนมากข้นึ เรื่อย ๆ การทำไรน่ าสวนผสมจึงเป็นทางเลอื ก
หนึ่งของเกษตรกรที่จะลดความสี่ยงที่เกิดจากภัยธรรมชาติ และความไม่แน่นอนของราคาผลผลิตโดย
การทำการเกษตรหลายๆ อย่าง เพ่ือเพ่มิ ระดบั รายได้ สามารถหมนุ เวียนการใช้ทรพั ยากรในไรน่ าได้มาก
ขึ้น สรา้ งความสมดุลใหก้ ับธรรมชาติทำใหร้ ะบบนิเวศเกษตรของชมุ ชนดีขึน้

ปัจจุบันโลกต้องเผชิญกับวิกฤตต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคมหรือ
แม้กระทงั่ ชีวิตความเปน็ อยู่ท่ีไมอ่ าจจะปฏิเสธความวุ่นวายของสังคมโลกได้ทุกประเทศต่างต้องการที่จะ
พฒั นาประเทศใหเ้ ปน็ ประเทศทพ่ี ฒั นาแล้วซ่ึงการพัฒนาประเทศมีทั้งผลดีและผลเสียประเทศไทยก็เป็น
อีกประเทศหนงึ่ ท่กี ำลังก้าวไปส่ปู ระเทศพฒั นาทำใหค้ นในประเทศเริ่มที่จะละทง้ิ ความเป็นไทยของเราไป
หนั ไปเนน้ ภาคอตุ สาหกรรมตดิ วัตถุนิยมชอบความฟงุ้ เฟ้อก่อใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงในแทบจะทกุ ด้านไม่
วา่ จะเป็นด้านเศรษฐกิจการเมอื งวัฒนธรรมสังคมและสงิ่ แวดลอ้ มการเปล่ียนแปลงดงั กลา่ วมีท้ังทางบวก
และทางลบ ทางบวกทำให้มีการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น การศึกษาสาธารณสุขสาธารณูปโภคและ
สภาวะดังกล่าวที่มีการประสานสัมพันธ์กับกระบวนการเปลี่ยนแปลงน้ันยังได้ ส่งผลทางด้านลบตามมา
ด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบทส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้านทั้งการต้อง

2

พึง่ พิงตลาดความเสื่อมโทรมของทรพั ยากรธรรมชาตภิ ูมปิ ญั ญาความรทู้ ี่เคยใชแ้ ก้ปัญหาและสั่งสมกันมา
ถูกปรับเปลี่ยนถูกลืมเลือนหายไปซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สดุ คอื ความพอเพียงในการดำเนินชีวติ ซึง่ เปน็ เงื่อนไข
พื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเองและดำเนินชีวติ ไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมี
อสิ ระในการกำหนดชะตาชวี ิตของตนเองความสามารถในการควบคุมและจดั การเพอื่ ให้ตนเองได้รับการ
สนองตอบต่อความต้องการต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆได้ด้วยตนเองซ่ึง
ทั้งหมดนี้ถือวา่ เปน็ ศักยภาพพื้นฐานทีค่ นไทยและสังคมไทยเคยมอี ยูแ่ ต่เดิมต้องถูกกระทบกระเทือนซีง่
วิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาในอดีตรวมทั้งปัญหาอื่นๆที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยัน
ปรากฎการณน์ ้ไี ดเ้ ป็นอยา่ งดี

"ทฤษฎีใหม่" เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช
มหาราชบรมนาถบพิตร ที่ทรงพระราชทานไว้เป็นแนวคิดและแนวทางในการดำรงชีวิตที่นำไปสู่
ความสามารถในการพึง่ ตนเองในระดับต่างๆ อย่างเป็นขัน้ เปน็ ตอน บนพืน้ ฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
เพอ่ื ลดความเสี่ยงในการเปล่ียนแปลงของปัจจัยตา่ งๆ ตลอดจนความผันแปรของธรรมชาติ

ทฤษฎีใหม่เป็นระบบการพัฒนาที่มีมากกว่า 40 ทฤษฎี ผ่านหลักการทรงงาน จนนำไปสู่การ
ปฏิบัติได้จริงนั้น เช่น ทฤษฎีการทำฝนเทียมเพือ่ แก้ปัญหาความแห้งแลง้ ทฤษฎีการสร้างฝ่ายชะลอน้ำ
ทฤษฎีการจัดการน้ำท่วมด้วยแก้มลิงเพื่อกักเก็บน้ำ ฯลฯ เหล่านี้สามารถนำมาใช้ร่วมกันเพื่อนำไปสู่
เป้าหมายในการพึ่งตนเองได้ ให้เกษตรกรสามารถมีความพออยู่ พอกิน พอใช้ และก้าวไปสูก่ ารรว่ มกนั
จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นระบบ และการสร้างความร่วมมือระหว่างเครือข่าย จนสามารถ
พัฒนาสู่ขั้นก้าวหน้าได้ พระองค์ทรงวางระบบทฤษฎีใหม่อย่างเปน็ ขน้ั ตอน ผา่ นการวางแผน ทดลองวิจัย
จนกลายเป็นโครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ 4,741 โครงการ (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพ่ือ
ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : สำนักงาน กปร., 2560) และที่เป็นโครงการ
พระราชดำริที่สำคัญในด้านโครงการทฤษฎีใหม่ด้านการจัดการน้ำ ตั้งอยู่ ณ วัดมงคลชัยพัฒนา ตำบล
ห้วยบง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมที่เป็นต้นแบบการทำ
เกษตรทฤษฎีใหม่ท่ัวประเทศ

ทฤษฎีใหม่ คือ พระราชดำรขิ องพระบาทสมเดจ็ พระชนกาธเิ บศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร เป็นแนวทางหรือหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและนำ้ เพ่ือการเกษตรในที่ดิน
ขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สงู สุด โดยมี 3 ข้ันตอน ดงั น้ี

ทฤษฎใี หม่ข้นั ต้น ให้แบง่ พน้ื ทอ่ี อกเปน็ 4 สว่ น ตามอตั ราสว่ น 30:30:30:10 ซง่ึ หมายถึง พื้นที่
สว่ นที่หน่ึง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเกบ็ กักนำ้ เพอื่ ใช้เกบ็ กักน้ำฝนในฤดูฝน และใชเ้ สรมิ การปลูกพืชใน
ฤดแู ล้งตลอดจนการเลยี้ งสตั ว์และพืชนำ้ ต่างๆ พืน้ ทส่ี ว่ นทสี่ อง ประมาณ 30% ให้ปลกู ข้าวในฤดูฝนเพ่ือ
ใชเ้ ปน็ อาหารประจำวันสำหรับครอบครวั ให้เพยี งพอตลอดปี เพื่อตัดคา่ ใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้

3

พ้ืนท่สี ่วนทสี่ าม ประมา30% ใหป้ ลกู ไมผ้ ล ไมย้ ืนตน้ พืชผัก พชื ไร่ พชื สมุนไพร ฯลฯ เพ่ือใช้เป็นอาหาร
ประจำวัน หากเหลือบริโภคก็นำไปจำหน่าย พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ 10% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์
ถนนหนทาง และโรงเรือนอ่ืนๆ

ทฤษฎใี หม่ขั้นทส่ี อง เมอื่ เกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบตั ใิ นที่ดนิ ของตนจนได้ผลแลว้ ก็
ตอ้ งเรม่ิ ขั้นท่สี อง คอื ใหเ้ กษตรกรรวมพลงั กนั ในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงรว่ มใจกนั ดำเนนิ การ

ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม เมื่อดำเนินการผ่านพันขั้นที่สองแล้วเกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกรก็ควร
พัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร
หรือบริษัทห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทนุ และพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝา้ ย
ธนาคาร หรือบริษัทเอกชนจะได้รบั ประโยชน์รว่ มกัน (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงาน
โครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชดาํ ริ (กปร.), 2555)

โคก หนอง นา โมเดล คือการจัดการพื้นที่ในรูปแบบต่าง ๆ ตามภูมิสังคม ประยุกต์จาก
พระราชดำรเิ กษตรทฤษฎใี หม่ ทเี่ หมาะสมกบั พื้นที่ประเทศไทย ซง่ึ เปน็ ผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ตาม
แนวพระราชดำริ เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่อยู่อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติในพื้นที่ ต่อยอดด้วย
เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับพื้นที่ เพิ่มพื้นที่ป่า สร้างความมั่นคงทางอาหาร เป็นการที่ให้
ธรรมชาตจิ ัดการตวั มันเองโดยมีมนษุ ย์เป็นส่วนสง่ เสรมิ ใหม้ ันสำเรจ็ เรว็ ข้ึนซึ่งในข้ันพ้ืนฐาน เนน้ การพ่งึ พา
ตนเอง ด้าน น้ำ อาหาร และพลังงานอย่างเป็นระบบ สามารถนำผลผลิตที่ได้มาต่อยอด แปรรูปในข้นั
ก้าวหน้าเพ่ือยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สรา้ งความสามัคคี
ในชมุ ชน (กรมการพฒั นาชุมชน, 2562)

ทั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชนมีภารกิจหลักในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ การมีส่วนรว่ มของ
ประชาชน โดยมีประชาชนเปน็ ศนู ย์กลาง ด้วยการน้อมนำหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและหลกั
ทฤษฎีใหม่มาใช้ในวิถีชีวิตและการพัฒนาหมู่บ้านหรือชุมชน โดยได้ดำเนินโครงการนำร่องร่วมกับ
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และภาคีเครือข่าย
ภาคส่วนต่างๆ ทั้ง ๗ ภาคีได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาค
ประชาสังคม และภาคส่อื มวลชนในการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ตน้ แบบการพฒั นาคุณภาพชีวิต
ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ "โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน" และได้ขยายผลความสำเร็จ เพื่อสร้าง
เศรษฐกิจฐานรากของประเทศใหเ้ ข้มแข็งขึ้น

ศนู ย์ศึกษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรธี รรมราชเปน็ หน่วยงานภายใตส้ ังกัดกรมการพฒั นาชุมชนที่
เปน็ หนว่ ยงานฝึกอบรมและให้บรกิ ารทางวิชาการ ตลอดจนถึงการเป็นศนู ย์เรียนร้ทู นี่ ้อมนำหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนาศูนย์เรยี นรู้ภายในองคก์ ร ใช้พนื้ ที่ท้งั หมดประมาณ 65 ไร่ศูนย์
ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรีธรรมราช โดยนำความร้ใู นทางทฤษฎีและปฏิบัติมาพัฒนาฐานการเรียนรู้

4

ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราชจงึ ได้ดำเนินการโครงการวิจัย เรื่อง “การพัฒนาต้นแบบ
ศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน
ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช” เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และเพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนา
ต้นแบบศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนา
ชมุ ชน ศูนย์ศกึ ษาและพัฒนาชุมชนนครศรธี รรมราชในโอกาสตอ่ ไป
1.2 วตั ถุประสงค์การวจิ ยั

1. เพื่อศึกษาระดับการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎี
ใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน ศูนย์ศกึ ษาและพฒั นาชมุ ชนนครศรีธรรมราช

2. เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสำเร็จของศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลัก
ทฤษฎีใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา พฒั นาชุมชน ศูนย์ศึกษาและพฒั นาชุมชนนครศรธี รรมราช

3. เพื่อเสนอรูปแบบการพฒั นาต้นแบบศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎี
ใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา พฒั นาชุมชน ศูนยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนนครศรธี รรมราช

1.3 ปญั หาการวจิ ัย
1. ระดับการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่

ประยุกตส์ ู่ โคก หนอง นา พฒั นาชุมชน ศนู ยศ์ ึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราชอยใู่ นระดับใด
2. ปัจจยั ใดบ้างเปน็ ปัจจยั ท่ีส่งผลตอ่ ความสำเรจ็ ของศนู ยก์ ารเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตาม

หลักทฤษฎีใหม่ ประยุกตส์ ู่ โคก หนอง นา พฒั นาชุมชน ศนู ย์ศกึ ษาและพัฒนาชุมชนนครศรธี รรมราช

1.4 ขอบเขตของการวิจยั
1.4.1 ขอบเขตดา้ นเนื้อหา
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบผสม ( Mixed methods research) กล่าวคือ เป็น

การวิจัย เชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ในหัวข้อวิจัยเรื่อง “การพัฒนาต้นแบบศูนย์เรียนรู้การ
พฒั นาคุณภาพชวี ิตตามหลกั ทฤษฎีใหม่ ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชมุ ชน ศูนย์ศึกษาและพัฒนา
ชมุ ชนนครศรธี รรมราช” เนอ้ื หาท่ใี ชใ้ นการวจิ ัยครั้งน้ี ได้แก่

1.4.1.1 แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เรื่อง
เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อใช้ในการศึกษาการพัฒนาต้นแบบศูนย์เรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลกั
ทฤษฎใี หม่ ประยุกตส์ ู่ โคก หนอง นา พัฒนาชมุ ชน ไปใช้ในการพัฒนาในดา้ นต่าง ๆ

1.4.1.2 หลักทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เพื่อการ
วิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการดำเนินการศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลัก
ทฤษฎีใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา พัฒนาชมุ ชน ศูนย์ศึกษาและพฒั นาชุมชนนครศรีธรรมราช

5

1.4.2 ขอบเขตดา้ นประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
กลุ่มประชากรในครั้งนี้คือผู้บริหารละเจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน

นครศรีธรรมราช เจา้ ของพนื้ ทเ่ี รยี นรู้ชุมชนตน้ แบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต CLM ระดับตำบล จำนวน 5
คน และผ้ผู า่ นการอบรมหลักสูตรพฒั นาผู้นำหมู่บ้านเสรษฐกิจพอเพียงประจำปงี บประมาณ พ.ศ.2564
จำนวน 271 คน

1.4.3 ขอบเขตด้านพน้ื ท่ี
การวิจัยครั้งนี้ขอบเขตด้านพื้นที่ที่ใช้ทำการศึกษา คือ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน

นครศรีธรรมราช

1.5 นิยามศัพท์ในการวจิ ยั
การพัฒนา ที่เข้าใจโดยทั่วไป มีความหมายใกล้เคียงกับความหมายจากรูปศัพท์ คือหมายถึง

การทำให้เกิดการเปลยี่ นแปลงจากสภาพหนง่ึ ไปสู่อีกสภาพหนงึ่ ที่ดีกว่าเดิมอย่างเปน็ ระบบ หรือการทำ
ใหด้ ีข้ึนกวา่ สภาพเดิมทีเ่ ป็นอยู่อย่างเป็นระบบ (ยวุ ฒั น์ วุฒิเมธี, 2526)

ศูนย์การเรียนรู้ หมายถึง แหล่งรวมของสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยประสบการณ์ หรือแหล่งรวมของ
ความรแู้ หล่งรวมของการฝึกอบรมเพือ่ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจ หรือความชาํ นาญ (ราชบัณฑติ ยสถาน, 2556)

ทฤษฎีใหม่ คือ พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช
มหาราชบรมนาถบพติ ร เปน็ แนวทางหรือหลกั การในการบริหารการจัดการท่ีดินและน้ำเพ่ือการเกษตร
ในที่ดินขนาดเลก็ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ โดยมี 3 ขั้นตอน ดงั น้ี

1. ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ตามอัตราส่วน 30:30:30:10 ซ่ึง
หมายถงึ พนื้ ท่ีส่วนทห่ี นง่ึ ประมาณ 30% ใหข้ ุดสระเกบ็ กกั น้ำเพ่ือใชเ้ ก็บกกั น้ำฝนในฤดฝู น และใช้เสริม
การปลูกพืชในฤดูแล้งตลอดจนการเลี้ยงสัตว์และพืชน้ำต่างๆ พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ 30% ให้ปลูก
ข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและ
สามารถพึ่งตนเองได้ พื้นที่ส่วนที่สาม ประมา30% ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร
ฯลฯ เพอื่ ใชเ้ ปน็ อาหารประจำวัน หากเหลือบรโิ ภคก็นำไปจำหน่าย พื้นทส่ี ่วนท่ีสี่ ประมาณ 10% เป็นท่ี
อยอู่ าศัย เล้ยี งสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรอื นอน่ื ๆ

2. ทฤษฎใี หมข่ ้ันท่สี อง เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและไดป้ ฏิบัติในท่ีดนิ ของตนจน
ได้ผลแล้ว ก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูป กลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรงร่วมใจกัน
ดำเนินการ

3. ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม เมื่อดำเนินการผ่านพันขั้นที่สองแล้วเกษตรกร หรือกลุ่ม
เกษตรกรก็ควรพฒั นาก้าวหน้าไปสูข่ ั้นที่สามต่อไป คือติดต่อประสานงาน เพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน

6

เช่น ธนาคาร หรือบริษัทห้างร้านเอกชน มาช่วยในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ ทั้งฝ่าย
เกษตรกรและฝา้ ยธนาคาร หรอื บริษัทเอกชนจะได้รับประโยชนร์ ่วมกัน (สำนกั งานคณะกรรมการพิเศษ
เพ่ือประสานงานโครงการอันเนอื่ งมาจากพระราชดาํ ริ (กปร.), 2555)

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง การดำเนินชีวิตการมีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน
สามารถเลี้ยงดูอุ้มชูตนเองโดยให้มีความเหมาะสม เพียงพอกับความต้องการของตนเองได้ทั้งนี้ไม่ได้
หมายความถึงว่าทุกครอบครัวจะต้องทำการผลิตอาหาร ถักทอเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายด้วยตนเอง แต่
หมายถงึ ในหมู่บา้ นจะต้องมีความพอเพยี งในระดับหนึ่ง (มลู นิธชิ ยั พัฒนา ออนไลน์, 2548) ไดอ้ ธิบายถึง
แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงว่า เป็นที่มาของนิยาม 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ที่คณะอนุกรรมการ
ขบั เคลอ่ื นเศรษฐกจิ พอเพยี ง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาตนิ ำมาใช้ใน
การรณรงค์เผยแพรป่ รชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งผ่านชอ่ งทางต่าง ๆ ในปัจจบุ ัน ซ่ึงประกอบด้วย ความ
พอประมาณ มเี หตผุ ล มภี มู ิคมุ้ กนั บนเงอื่ นไข ความรู้ และ คณุ ธรรม

โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน คือ การจัดการพื้นที่ซึ่งเหมาะกับพื้นที่การเกษตร ซึ่งเป็น
ผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้านที่อยู่อยา่ งสอดคล้องกับธรรมชาติในพื้นที่นั้น ๆ
โคก-หนอง-นา โมเดล เปน็ การทใ่ี หธ้ รรมชาตจิ ัดการตัวมนั เองโดยมี มนษุ ยเ์ ปน็ ส่วนสง่ เสริมให้มันสำเร็จ
เร็วขึ้น อย่างเป็นระบบ ซึ่งโคก-หนอง-นา โมเดล ซึ่งเป็นแนวทางทำเกษตรอินทรีย์และการสร้างชีวติ ท่ี
ยัง่ ยืน โดยมอี งคป์ ระกอบดงั น้ี

1. โคก: พื้นที่สูง ดินที่ขุดทำหนองน้ำนั้นให้นำมาทำโคก บนโคกปลูก “ป่า 3 อย่าง
ประโยชน์ 4 อยา่ ง” ตามแนวทางพระราชดำริ / ปลกู พชื ผกั สวนครัว เลีย้ งหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ทำให้
พออยู่ พอกิน พอใช้ พอรม่ เยน็ เป็นเศรษฐกิจพอเพียงขัน้ พ้ืนฐาน ก่อนเข้าสูข่ ั้นกา้ วหน้า คือ ทำบุญ ทำ
ทาน เกบ็ รกั ษา คา้ ขาย และเชื่อมโยงเปน็ เครือข่าย / ปลูกทีอ่ ย่อู าศัยให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ
และภูมอิ ากาศ

2. หนอง: หนองน้ำหรอื แหล่งน้ำ ขดุ หนองเพอ่ื กักเก็บนำ้ ไว้ใช้ยามหน้าแล้งหรือจำเป็น
และเปน็ ทร่ี บั นำ้ ยามน้ำท่วม (หลมุ ขนมครก) / ขุด “คลองไส้ไก่” หรือคลองระบายน้ำรอบพ้ืนท่ีตามภูมิ
ปัญญาชาวบ้าน โดยขุดให้คดเคี้ยวไปตามพื้นที่เพือ่ ให้น้ำกระจายเต็มพืน้ ที่เพิ่มความชุ่มชื้น ลดพลังงาน
ในการรดนำ้ ตน้ ไม้ / ทำ ฝายทดน้ำ เพ่อื เก็บนำ้ เขา้ ไวใ้ นพื้นที่ให้มากทีส่ ุด โดยเฉพาะเมือ่ พ้นื ทโี่ ดยรอบไม่
มีการกักเก็บน้ำ น้ำจะหลากลงมายังหนองน้ำ และคลองไส้ไก่ ให้ทำฝายทดน้ำเก็บไวใ้ ช้ยามหน้าแล้ง /
พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ ทั้งการขุดลอก หนอง คู คลอง เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง และเพิ่มการ
ระบายนำ้ ยามน้ำหลาก

3. นา: พื้นที่นานั้นให้ปลูกข้าวอินทรีย์พื้นบ้าน โดยเริ่มจากการฟื้นฟูดิน ด้วยการทำ
เกษตรอนิ ทรยี ์ยัง่ ยืน คนื ชีวิตเล็ก ๆ หรือจุลินทรียก์ ลับคนื แผน่ ดนิ ใช้การควบคุมปริมาณน้ำในนาเพื่อคุม

7

หญา้ ทำให้ปลอดสารเคมีได้ ปลอดภยั ทง้ั คนปลูก คนกิน / ยกคันนาให้มีความสูงและกว้าง เพือ่ ใช้เป็นที่
รบั น้ำยามนำ้ ท่วม ปลกู พืชอาหารตามคนั นา (กรมการพฒั นาชุมชน, 2562)

1.6 สมมติฐานการวิจัย
1. การดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่

โคก หนอง นา พฒั นาชุมชน ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรธี รรมราชเกดิ ประสทิ ธิผลในระดบั มาก
2. ปัจจัยด้านการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ และปัจจัยการมีส่วนร่วมขององค์กร มี

ความสัมพันธก์ ับการดำเนนิ งานของศูนยฯ์ ตามหลักประสิทธิผลขององค์การ

1.7 กรอบแนวคิดการวจิ ัย
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบผสม ( Mixed methods research) กล่าวคือ เป็น การวิจัย

เชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ในหัวข้อวิจัยเรือ่ ง “การพัฒนาต้นแบบศูนย์การเรียนรู้การพฒั นา
คุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชมุ ชน
นครศรธี รรมราช” ในครงั้ นี้ โดย

1.7.1 ศึกษาระดับการดำเนนิ งานของศนู ยก์ ารเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลัก
ทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน ศูนยศ์ กึ ษาและพัฒนาชุมชนนครศรธี รรมราชโดยใช้
แบบสอบถาม (Questionnaire)

1.7.2 วิเคราะหป์ ัจจยั แห่งความสำเรจ็ ของศนู ยก์ ารเรียนรู้การพฒั นาคุณภาพชีวิตตาม
หลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช
โดยใชแ้ บบสอบถาม (Questionnaire)

1.7.3 เสนอรปู แบบการพัฒนาต้นแบบศูนยก์ ารเรียนรู้การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตตามหลัก
ทฤษฎีใหม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา พัฒนาชมุ ชน ศนู ย์ศกึ ษาและพัฒนาชมุ ชนนครศรีธรรมราช ใช้ใช้
การสมั ภาษณ์เชิงลกึ ( In-depth interview) และการวิจัยเอกสาร (Documentary research)

8

ซ่ึงในการวิจัยคร้งั นอี้ าศัยกรอบแนวคิดทฤษฎีใน 2 ส่วน คือ ตัวแปรอิสระ และตวั แปรตาม ดังน้ี
ตวั แปรตน้ /ตัวแปรอสิ ระ

- หลักประสทิ ธิผลขององคก์ าร
พัฒนามาจากแนวความคดิ ของ Gibson, Ivancevich แล: Donnelly (1997) ทีม่ ีการ

นำมติ ิเวลาเข้ามาเก่ียวข้องและใช้หลักเกณฑ์การวัดประสทิ ธิผลแบบพหุเกณฑ์ ไดแ้ ก่ เกณฑ์ในระยะสนั้
(Short run) ประกอบดว้ ย ความสามารถในการผลิต ประสทิ ธภิ าพและความพงึ พอใจ เกณฑใ์ นระยะ
กลาง (Intermediate) ประกอบไปด้วย ความสามารถในการปรบั ตัว และการพฒั นา และเกณฑ์ใน
ระยะยาว (Long-un) คอื การอยรู่ อดขององค์การ ดงั นี้

1. ความสามารถในการผลิต ประเมินได้จากปริมาณผลผลิตและบริการที่บุคลากรใน
องคก์ ารสามารถให้ได้เพยี งพอกบั ความตอ้ งการของผรู้ ับบรกิ าร

2. ประสิทธิภาพ หมายถึง ความมากน้อยของการท่อี งค์การสามารถบรรลุเป้าหมายได้
โดยใช้ทรพั ยากรที่นอ้ ยทส่ี ดุ

3. ความพึงพอใจ หมายถึง การที่องค์การสามารถตอบสนองความต้องการของ
พนกั งานได้มากนอ้ ยเพยี งใด

4. ความสามารถในการปรับตัว หมายถึง ความสามารถขององค์การที่ต้องตอบสนอง
ต่อการเปลีย่ นแปลงสิ่งแวดล้อมภายนอกและภายในองค์การ

5. การพัฒนา หมายถึง การที่องค์การจะต้องลงทุนให้กับตนเองเพื่อเพิ่มสมรรถนะ
การพัฒนาเปน็ กลยุทธ์ท่ีจะสรา้ งศักยภาพในการตอบสนองต่อการเปลยี่ นแปลงขององค์กร

6. การอยู่รอด หมายถึง การที่องค์การสามารถดำรงอยู่ต่อไปไดใ้ นสภาพแวดล้อมที่มี
อยรู่ อบองคก์ าร

- แนวคดิ เกีย่ วกับหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานคำจำกัดความของคำว่า เศรษฐกิจ

พอเพยี งว่า หมายถงึ การดำเนินชวี ติ การมเี ศรษฐกิจแบบพอมพี อกิน สามารถเลีย้ งดอู มุ้ ชูตนเองโดยให้มี
ความเหมาะสม เพียงพอกบั ความต้องการของตนเองได้ ทัง้ นี้ไมไ่ ด้หมายความถงึ วา่ ทุกครอบครัวจะต้อง
ทำการผลติ อาหาร ถกั ทอเสือ้ ผ้า เครอื่ งแต่งกายดว้ ยตนเอง แต่หมายถึงในหมบู่ า้ นจะต้องมีความพอเพยี ง
ในระดับหนึ่ง (มูลนิธิชัยพัฒนา ออนไลน์, 2548) ได้อธิบายถึงแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงวา่
เป็นที่มาของนิยาม 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงผ่านช่องทางต่าง ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วย ความพอประมาณ มีเหตุผล มี
ภมู ิคมุ้ กัน บนเงอื่ นไข ความรู้ และ คณุ ธรรม

9

ตวั แปรตาม
- ปจั จยั ด้านการเป็นองค์การแห่งการเรยี นรู้

พฒั นามาจากแนวความคิดของ Peter M. Senge (1990) ประกอบดว้ ย 5 ดา้ น คอื
1. การคิดอย่างเปน็ ระบบ เป็นการท่บี ุคลากรมองเหน็ ภาพรวมของงาน ทำให้สามารถ
วางแผนการทำงานในสว่ นย่อย ๆได้ มีความคิดทท่ี ันตอ่ สถานการณ์ และไม่ยอ่ ท้อตอ่ อุปสรรค
2. ความรอบรู้แห่งตน เป็นการที่บุคลากรในองค์การฝึกฝนตนเองให้ไฝ่รู้ไฝเรียน
ตลอดเวลา เพือ่ เพม่ิ ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน
3. รูปแบบทางความคิด คอื การทบ่ี ุคลากรไมย่ ดึ ตดิ กับความเชื่อเก่า ๆ ทล่ี า้ สมัย แต่มี
รปู แบบทางความคดิ ท่มี องโลกตามความเป็นจรงิ
4. การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน การมีวิสัยทัศน์ร่วมกันจะส่งผลให้เกิดดวามเป็นเจ้าของ
รว่ มกนั และทำให้สมาชกิ ไนองค์การเช่อื ใจกนั และทำงานรว่ มกนั ไดง้ ่ายยิ่งขน้ึ
5. การเรยี นรูร้ ่วมกนั เปน็ ทีม เปน็ การเรียนรู้รว่ มกันของสมาชิกในลกั ษณะกลมุ่ เพื่อให้
มกี ารแลกเปลีย่ นและถา่ ยทอดความร้แู ละประสบการณร์ ะหว่างบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ
- ปจั จยั หลักการมสี ว่ นรว่ ม
โคเฮน และอฟั ฮอฟ (Cohen & Uphoff, 1977 อา้ งถงึ ใน ธนวฒั น์ คำภลี านนท์, 2550
หน้า 21 - 22) ได้อธบิ ายและวิเคราะห์รูปแบบการมีสว่ นรว่ มโดยสามารถแบ่งออกเปน็ 4 รปู แบบ คือ
1. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
รเิ ริม่ ตดั สนิ ใจ คำเนนิ การตัดสินใจ และตดั สนิ ใจลงมอื ปฏบิ ตั กิ าร
2. การมสี ่วนร่วมในการปฏิบตั กิ าร (Implementation) ประกอบไปด้วยการสนับสนุน
ทางค้านทรัพยากร การเขา้ รว่ มในการบริหาร และการประสานขอความรว่ มมอื
3. การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ (Benefit) ทางด้านต่าง ๆ ประกอบไปด้วยผล
ประโชชน์ทางด้านวัสดุ ผลประโชชนท์ างสังคมและผลประ ไซชน์ส่วนบคุ คล
4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation) เกี่ยวกับการควบคุมและการ
ตรวจสอบการดำเนินกิจกรรมทง้ั หมด และเปน็ การแสดงถึงการปรับตัวในการมสี ว่ นร่วมต่อไป

10

1.8 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รับ
1. เพื่อพัฒนาระบบการดำเนินงานของศูนยก์ ารเรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎี

ใหม่ ประยกุ ต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชมุ ชน ศนู ยศ์ กึ ษาและพฒั นาชุมชนนครศรีธรรมราช
2. เพื่อสร้างองค์ความรู้ปัจจยั แห่งความสำเรจ็ ของศูนย์การเรยี นรู้การพฒั นาคุณภาพชีวิตตาม

หลักทฤษฎใี หม่ ประยกุ ตส์ ู่ โคก หนอง นา พฒั นาชมุ ชน ศนู ยศ์ ึกษาและพฒั นาชุมชนนครศรีธรรมราช
3. เพ่อื เปน็ แนวทางในการพัฒนารปู แบบการพัฒนาต้นแบบศนู ย์การเรยี นรู้การพัฒนาคุณภาพ

ชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน
นครศรีธรรมราช

11

บทที่ 2

แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ที่เกยี่ วขอ้ ง

การวิจัยเรื่อง “การพัฒนาต้นแบบศูนย์การเรยี นรู้การพฒั นาคุณภาพชีวติ ตามหลักทฤษฎีใหม่
ประยุกต์สู่ โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช”คร้ังนี้ ผู้วิจัยได้
ศึกษาค้นคว้าเกีย่ วกับหลกั การ แนวคิด และทฤษฎีจากเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง โดยมีขอบข่าย
การศึกษาตามลำดบั ดังนี้

1. แนวคิดทฤษฎีเกยี่ วกบั การพฒั นา
2. แนวคดิ ทฤษฎีเกย่ี วกบั กระบวนการเรยี นรู้และศนู ย์การเรยี นรู้
3. แนวคิดเก่ยี วกับคณุ ภาพชวี ติ
4. แนวพระราชดำรทิ ฤษฎีใหม่ และปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
5. แนวคดิ การจัดการน้ำโคก หนอง นา โมเดล
6. งานวิจยั ท่ีเกีย่ วข้อง
7. กรอบแนวคิดการวจิ ยั

2.1 แนวคิดทฤษฎเี กี่ยวกับการพฒั นา

แนวคิดการพฒั นา ในทน่ี ้หี มายถงึ แนวทางในการก่อให้เกิดการเปลย่ี นแปลงความร้ทู ัศนคติและ
พฤติกรรมของสมาชิกในสังคม ตั้งแต่ระดับบุคคล สถาบันไปจนถึงระดับสังคม จากลักษณะท่ีสงั คมเคย
เป็นอยใู่ หก้ ้าวไปสกู่ ารเปน็ สงั คมตามแบบอย่างท่ีควรจะเปน็ หรือเปลี่ยนแปลงไปในทางทดี่ ีขนึ้ กวา่ เดมิ ซงึ่
อาจเรียกว่า สังคมที่ได้รับการพัฒนานั้นเอง คำว่า พัฒนา ถูกกำหนดขึ้นโดยนักวิชาการด้านต่าง ๆ
แตกต่างกันออกไป ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาต่างมีรากฐานพัฒนาการทางความคิดที่
แตกต่างกันด้านความเชื่อ พื้นฐานของนักคิดแต่ละยุคสมัยและความเหมาะสมของสถานการณ์ภายใต้
บริบทการพัฒนาที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มทฤษฎี ทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ ทฤษฎีความทันสมัย ทฤษฎี
การพัฒนาแบบพ่ึงพาและทฤษฎีทางเลือกอื่น ๆ ได้แก่ทฤษฎกี ารพัฒนาทีเ่ น้นความต้องการข้นั พื้นฐาน
และทฤษฎีการพฒั นาแบบยงั่ ยนื
ความหมายของการพฒั นา

คำว่า การพัฒนา ใชใ้ นภาษาอังกฤษว่า Development นำมาใชเ้ ปน็ คำเฉพาะและใช้ประกอบ
คำอื่นก็ได้ เช่น การพัฒนาประเทศ การพัฒนาชนบท การพัฒนาเมือง และการพัฒนาข้าราชการ เป็น
ต้น การพัฒนาจึงถูกนำไปใช้กันโดยทั่วไปและมีความหมายแตกต่างกันออกไปดังกล่าวแล้ว เกี่ยวกับ

12

ความหมายของการพฒั นานนั้ ไดม้ ผี ใู้ ห้ความหมายไวห้ ลายความหมายทัง้ ความหมายทีค่ ล้ายคลงึ กัน และ
แตกตา่ งกัน ซง่ึ อาจจำแนกออกได้ดงั นี้

ความหมายจากรปู ศพั ท์
โดยรูปศัพท์ การพัฒนา มาจากคำภาษาอังกฤษวา่ Development แปลว่าการเปลี่ยนแปลงที่
ละเลก็ ละน้อย โดยผา่ นลำดับขน้ั ตอนตา่ งๆ ไปสู่ระดับท่ีสามารถขยายตวั ขน้ึ เตบิ โตขึน้ มกี ารปรบั ปรุงให้
ดีขึ้น และเหมาะสมกว่าเดิมหรืออาจก้าวหน้าไปถึงขั้นที่อดุ มสมบูรณ์เป็นที่น่าพอใจ (ปกรณ์ ปรียากร.
2538) ส่วนความหมายจากรูปศัพท์ในภาษาไทยนั้น หมายถึง การทำความเจริญ การเปลี่ยนแปลง
ในทางท่ีเจริญข้ึน การคลีค่ ลายไปในทางทีด่ ี ถา้ เป็นกรยิ า ใช้คำวา่ พฒั นา หมายความว่า ทำให้เจรญิ คือ
ทำให้เติบโตได้ งอกงาม ทำให้งอกงามและมากขึ้น เช่น เจริญทางไมตรี (พจนานุกรม ฉบับ
ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2538)
การพัฒนา โดยความหมายจากรูปศัพท์จงึ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสิง่ ใดสิ่งหนึง่ ให้เกิดความ
เจริญเติบโตงอกงามและดีขึ้นจนเป็นที่พึงพอใจ ความหมายดังกล่าวนี้ เป็นที่มาของความหมายใน
ภาษาไทยและเปน็ แนวทางในการกำหนดความหมายอ่ืนๆ (สนธยา พลศร.ี 2547)
ความหมายโดยท่วั ไป
การพัฒนา ที่เข้าใจโดยทั่วไป มีความหมายใกล้เคียงกับความหมายจากรูปศัพท์คือ หมายถึง
การทำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงจากสภาพหนึง่ ไปสู่อกี สภาพหนึง่ ท่ีดกี ว่าเดิมอย่างเป็นระบบ หรือการทำ
ใหด้ ขี ึน้ กวา่ สภาพเดมิ ทเ่ี ป็นอยอู่ ย่างเปน็ ระบบ (ยวุ ฒั น์ วุฒิเมธี. 2526) ซ่ึงเป็นการเปรียบเทียบทางด้าน
คุณภาพระหวา่ งสภาพการณ์ของสิง่ ใดสิ่งหนึ่งในช่วงเวลาที่ต่างกัน กล่าวคือ ถ้าในปัจจุบันสภาพการณ์
ของสิ่งนั้นดีกว่า สมบูรณ์กว่าก็แสดงว่าเป็นการพัฒนา (ปกรณ์ ปรียากร. 2538) การพัฒนา ใน
ความหมายโดยทว่ั ไปจงึ หมายถึงการเปล่ียนแปลงสง่ิ ใดสิ่งหนงึ่ ให้เกดิ คุณภาพดขี นึ้ กว่าเดิม ความหมายนี้
นับว่าเป็นความหมายที่รู้จักกันโดยทั่วไป เพราะนำมาใช้มากกว่าความหมายอื่นๆ แม้ว่าจะไม่เป็นที่
ยอมรับของนักวิชาการกต็ าม (สนธยา พลศรี.2547)
ความหมายทางเศรษฐศาสตร์
นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ความหมายของ การพฒั นา ว่า หมายถงึ ความเจริญเตบิ โต โดยเนน้ ความ
เจรญิ เตบิ โตทางด้านเศรษฐกจิ เป็นสำคัญ เชน่ ผลผลิตรวมของประเทศเพ่ิมขึน้ รายได้ประชาชาตเิ พิ่มข้ึน
รายไดเ้ ฉลยี่ ตอ่ หวั ต่อคนของประชากรเพม่ิ ข้ึน (ณฐั พล ขันธไชย. 2527) มีการขยายตวั ทางเศรษฐกิจมาก
ขน้ึ ประชากรมีรายได้เพยี งพอที่สามารถตอบสนองความต้องการพืน้ ฐานของตนได้ (เสถียร เชยประทับ.
2528) ซง่ึ อาจสรุปได้ว่า การพฒั นาเป็กระบวนการทางสังคม ทีผ่ ลผลิตออกมาในรปู ซงึ่ สามารถวดั ไดด้ ้วย
เกณฑท์ างเศรษฐศาสตร์ (สนุ ทรี โคมนิ . 2522) จะเหน็ ได้ว่า นกั เศรษฐศาสตรไ์ ด้กำหนดความหมายของ
การพัฒนา โดยใช้ความหมายจากรูปศัพท์และความหมายโดยทั่วไป คือ หมายถึง ความเจริญเติบโต แต่

13

เป็นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตามเนื้อหาของวิชาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นการเน้นความหมายเชงิ
ปริมาณ คือ การเพมิ่ ขนึ้ หรือการขยายตวั ทางเศรษฐกจิ มากกว่าดา้ นอนื่ ๆ (สนธยา พลศรี, 2547)

ความหมายทางพัฒนบริหารศาสตร์
นักพัฒนบริหารศาสตร์ได้ให้ความหมายของ การพัฒนา เป็น 2 ระดับ คือ ความหมายอย่าง
แคบและความหมายอย่างกวา้ ง ความหมายอยา่ งแคบ การพัฒนา หมายถึง การเปล่ยี นแปลงในตัวระบบ
การกระทำการให้ดีขึ้นอันเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านคุณภาพเพียงด้านเดียว ส่วนความหมายอย่าง
กว้างนั้น การพัฒนา เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงในตัวระบบการกระทำทั้งด้านคุณภาพ
ปริมาณและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวการพัฒนา ใน
ความหมายของนกั พฒั นบริหารศาสตร์จะมขี อบข่ายกว้างขวางกว่าความหมายจากรูปศัพท์ ความหมาย
โดยทั่วไป และความหมายทางเศรษฐศาสตร์ที่กล่าวมาแล้ว เพราะหมายถึง การเปลี่ยนแปลงของส่งิ ใด
สิ่งหนึ่ง ทั้งในด้านคุณภาพ (ดีขึ้น) ปริมาณ (มากขึ้น) และสิ่งแวดล้อม (มีความเหมาะสม) ไม่ใช่การ
เปล่ยี นแปลงด้านใดดา้ นหน่ึงเพียงด้านเดยี ว (สนธยา พลศร.ี 2547)
ความหมายทางเทคโนโลยี
ในทางเทคโนโลยี การพัฒนา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระบบอุตสาหกรรม และการผลิตด้วย
เทคโนโลยีท่ีทนั สมัย ด้วยนักวทิ ยาศาสตร์และนกั ประดิษฐ์ ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงจากสังคมประเพณี
นิยม เป็นสังคมสมัยใหม่ที่ทันสมัย (นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์. 2534) หรือการพัฒนา คือ การเปลี่ยนแปลง
สภาพแวดล้อมของมนุษยด์ ้วยเทคโนโลยนี ่ันเอง (นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ และพูนศิริ วัจนะภูมิ. 2534) จะ
เห็นได้ว่า ความหมายของการพัฒนาในทางเทคโนโลยีแตกต่างออกไปจากความหมายที่กล่าวมาแล้ว
ข้างต้นโดยหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ทันสมัยด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ซึง่ เป็นความหมายอกี แนวทางหน่งึ (สนธยา พลศร.ี 2547)
ความหมายทางการวางแผน
ในทางการวางแผน การพัฒนา เป็นเรื่องเกี่ยวกับการชักชวน การกระตุ้นเพื่อให้เกิดการ
เปล่ยี นแปลง ดว้ ยการปฏบิ ัติตามแผนและโครงการอย่างจริงจงั เป็นไปตามลำดับข้ันตอนต่อเน่ืองกนั เป็น
วงจร โดยไมม่ กี ารสิน้ สุด (นิรนั ดร์ จงวฒุ เิ วศย.์ 2534) ซึง่ องคก์ ารศกึ ษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง
ส ห ป ร ะ ช า ช า ต ิ ( The United National Educational Scientific and cultural Organization :
NESCO. 1982) สรุปได้ว่า การพัฒนาเปน็ หนา้ ที่ (Function) ของการวางแผนและการจัดการดังนี้

D= f(P+M)
เมื่อ D = Development คือ การพฒั นา

P = Planning คือ การวางแผน
M = Management คอื การบรหิ ารงานหรือการจัดการ

14

ดังนั้น การพัฒนา จะเกิดขึ้นได้ด้วยการวางแผนที่ดี มีการบริหารงานและการจัดการอย่างเป็น
ระบบ ทำให้การดำเนินการเป็นไปอยา่ งต่อเนื่องและมปี ระสิทธิภาพ

การพัฒนา ในความหมายของนักวางแผ่น จะเป็นไปอีกแนวทางหนึ่ง โดยอาจสรุปได้ว่า
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการของมนุษย์ไว้ล่วงหน้า ในลักษณะของแผนและ
โครงการ แล้วบรหิ ารหรือจัดการใหเ้ ปน็ ไปตามแผนและโครงการจนประสบความสำเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์
และเป้าหมายที่วางไว้ จะเหน็ ได้ว่าความหมายของการพัฒนาทางการวางแผนกำหนดให้การพัฒนาเป็น
กิจกรรมของมนษุ ย์และเกิดขึ้นจากการเตรยี มการไว้ล่วงหน้าเท่านน้ั การเปล่ยี นแปลงทีไ่ ม่ไดเ้ กดิ จากการ
วางแผนโดยมนุษย์ ไมใ่ ชก่ ารพัฒนาในความหมายน้ี (สนธยา พลศรี. 2547)

ความหมายเกย่ี วกบั การปฏบิ ัติ
ในขั้นของการปฏิบัติการพัฒนา หมายถึง การชักชวนหรือการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
โดยการปฏิบัติตามแผนและโครงการอย่างจริงจังและเป็นลำดับขั้นตอนต่อเนื่องกันในลักษณะที่เป็น
วงจร ไม่มีการสิ้นสุด (นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์ และพูนศิริ วัจนะภูมิ. 2534)การพัฒนา ในความหมายของ
การปฏิบัตกิ ารนี้เป็นความหมายต่อเนื่องจากความหมายทางการวางแผนโดยมุ่งเน้นถึงการนำแผนและ
โครงการไปดำเนินการอยา่ งจริงจงั และอยา่ งต่อเนือ่ ง เพราะถงึ จะมแี ผนและโครงการแล้วแตถ่ ้าหากไม่มี
การนำไปปฏบิ ตั กิ ารพัฒนาก็ไมส่ ามารถเกิดข้ึนได้ (สนธยา พลศรี. 2547)
ความหมายทางพระพทุ ธศาสนา
พระราชวรมุนี (ประยทุ ธ์ ปยตุ โฺ ต, 2530) ได้ใหค้ วามหมายและอธิบายไวว้ ่า ในทางพุทธศาสนา
การพัฒนา มาจากคำภาษาบาลีว่า วัฒนะ แปลว่า เจริญ แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ การพัฒนาคน
เรยี กวา่ ภาวนา กบั การพัฒนาส่ิงอืน่ ๆ ที่ไมใ่ ช่คน เชน่ วัตถุสงิ่ แวดลอ้ มต่างๆ เรยี กวา่ พัฒนา หรอื วฒั นา
เช่น การสร้างถนน บ่อน้ำ อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องของการเพิ่มพูนขยาย ทำให้มากหรือทำให้
เตบิ โตขึน้ ทางวตั ถแุ ละไดเ้ สนอขอ้ คดิ ไวว้ ่า คำว่า การพัฒนา หรือ คำวา่ เจริญ น้นั ไม่ได้แปลวา่ ทำให้มาก
ขึ้น เพิ่มพูนขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีความหมายว่า ตัดหรือทิ้ง เช่น เจริญพระเกศา คือตัดผม มี
ความหมายว่า รก เช่น นุสิยา โลกวฑฺฒโน แปลว่า อย่าเป็นคนรกโลกอีกดว้ ย ดังนั้น การพัฒนาจึงเปน็
สงิ่ ทที่ ำแล้วมคี วามเจรญิ จรงิ ๆ คือ ตอ้ งไมเ่ กดิ ปญั หาตดิ ตามมาหรือไม่เส่อื มลงกวา่ เดมิ ถ้าเกดิ ปัญหาหรือ
เส่อื มลง ไม่ใชเ่ ป็นการพฒั นา แต่เป็นหายนะ ซงึ่ ตรงกันข้ามกับการพัฒนา
กล่าวได้ว่า การพัฒนา ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง การพัฒนาคนให้มีความสุขมี
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การพัฒนาในความหมายนี้ มีลักษณะเดียวกันกับการพัฒนาในความหมาย
ทางด้านการวางแผน คือ เป็นเรื่องของมนุษย์เท่านั้น แตกต่างกันเพียงการวางแผนให้ความสำคัญท่ี
วิธีการดำเนินงาน ส่วนพุทธศาสนามุ่งเนน้ ผลที่เกดิ ขึ้น คือ ความสุขของมนุษย์เท่านั้น (สนธยา พลศรี.
2547)

15

ความหมายทางสังคมวิทยา
นักสังคมวิทยาได้ให้ความหมายของ การพัฒนา ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม
ซึ่งไดแ้ ก่ คน กลุ่มคน การจัดระเบยี บความสัมพนั ธ์ทางสังคม ด้วยการจดั สรรทรัพยากรของสังคมอย่าง
ยุติธรรมและมีประสิทธิภาพ (ฑิตยา สุวรรณชฎ. 2527) การพัฒนาเป็นท้ังเปา้ หมายและกระบวนการท่ี
ครอบคลมุ ถงึ การเปลี่ยนแปลงทศั นคติของคนตอ่ ชวี ิตและการทำงาน การเปลยี่ นแปลงสถาบันต่างๆ ทาง
สังคม วัฒนธรรมและการเมอื งอีกดว้ ย (Streeten.1972)
นักสังคมวิทยาได้ใหค้ วามหมายของ การพัฒนา โดยเน้นการเปล่ียนแปลงโครงสร้างของสังคม
คือ มนุษย์ กลุ่มทางสังคม การจัดระเบียบทางสังคม ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับความหมายในทางพุทธ
ศาสนา คือ การเปล่ยี นแปลงมนษุ ยแ์ ละส่งิ แวดลอ้ มให้มีความสุข และมลี ักษณะเช่นเดยี วกับความหมาย
ทางการวางแผน คือ ด้วยวิธีการจัดสรรทรัพยากรของสังคมอย่างยุติธรรมและมีประสิทธิภาพ ซ่ึงนัก
วางแผน เรียกว่า การบริหารและการจัดการนั่นเอง (สนธยา พลศรี. 2547)
ความหมายทางดา้ นการพฒั นาชมุ ชน
นักพัฒนาชมุ ชนได้ใหค้ วามหมายของ การพัฒนา ไว้ว่า หมายถึง การที่คนในชุมชนและสังคม
โดยส่วนรวมได้ร่วมกันดำเนินกิจกรรมเพื่อปรับปรุงความรู้ความสามารถของตนเอง และร่วมกัน
เปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของตนเองชุมชนสังคมให้ดีขึ้น (สมศักดิ์ ศรีสันติสุข. 2525) การพัฒนาเป็น
เสมือนกลวิธีหรอื มรรควิธี (Mean) ท่ที ำให้เกิดผล (Ends) ที่ตอ้ งการ คอื คณุ ภาพชีวิต ชุมชน และสังคม
ดขี ้ึน (ยวุ ฒั น์ วฒุ ิเมธี. 2534)
นกั พัฒนาชมุ ชนไดใ้ หค้ วามหมายของ การพัฒนา ไว้ใกล้เคยี งกบั นักสงั คมวิทยา คอื เปน็ วิธีการ
เปลี่ยนแปลงมนุษย์และสังคมมนุษย์ให้ดีขึ้น แต่นักพัฒนาชุมชนมุ่งเน้นที่มนุษย์ในชุมชนต้องร่วมกัน
ดำเนินงานและได้รบั ผลจากการพัฒนารว่ มกัน
จากความหมายในด้านต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า การพัฒนา มีความหมายท่ี
คล้ายคลึงกันและแตกตา่ งกรออกไปบ้าง ซึ่งถ้าหากพิจารณาจากความหมายเหล่านีอ้ าจสรุปได้ว่า การ
พัฒนา หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ดีขึน้ ทั้งทางด้านคณุ ภาพ ปริมาณ และ
ส่ิงแวดล้อม ดว้ ยการวางแผนโครงการและดำเนินงานโดยมนษุ ย์ เพื่อประโยชน์แกต่ ัวของมนุษย์เอง
แนวคดิ ทฤษฎขี องการพัฒนาสามารถแบ่งได้ ดังน้ี
2.1.1 ทฤษฎคี วามทนั สมยั
แนวทางการพฒั นาโดยอาศยั ทฤษฎคี วามทนั สมัย (Modernization Theory) นับว่าไดร้ ับความ
นยิ มอยา่ งสูงในประเทศตะวันตกในช่วงปลายสงครามโลกครั้งท่ีสอง เนื่องจากเม่ือใชว้ ิธีการวิเคราะห์ทาง
ประวัติศาสตร์การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ แล้วเห็นว่า ประเทศแถบยุโรปและประเทศ
สหรัฐอเมริกาซง่ึ พฒั นาแล้วได้ใช้แนวทางในการพฒั นาฟ้ืนฟูประเทศของตนเป็นผลสำเร็จ ดังนั้นแนวคิด
การพัฒนาตามแบบจำลองดังกล่าวจึงได้แพร่กระจายได้รับการนำไปใช้เป็นกระแสหลักในการพัฒนา

16

ประเทศด้อยพัฒนาต่างๆ ผลงานด้านวิชาการทีเ่ กี่ยวกับการพัฒนาในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ส่วนใหญ่
เน้นการนำเอาแบบจำลองความทันสมัยเป็นองค์ความรู้สำคัญในการประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาด้าน
ต่างๆ ของประเทศ

แนวคิดการพัฒนาตามแบบจำลองความทนั สมัยนีเ้ น้นการพฒั นาที่ต้องดำเนนิ ไปพร้อมๆกันใน
มิติตา่ งๆ ทัง้ ด้านเศรษฐกจิ สงั คมและระบบการเมอื ง กลา่ วคือ

- ดา้ นเศรษฐกจิ
จะเนน้ ท่ีการพฒั นาประเทศให้กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม สง่ เสรมิ การลงทุนสนับสนุนด้าน
การสร้างความพร้อมในเรื่องสาธารณูปโภคและกิจกรรมเพื่อการผลิตในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ให้
ความสำคัญกับการลงทุนจากต่างประเทศโดยเชื่อว่าการสะสมทุนจะทำให้เกิดการลงทุนสูงขึ้น การ
ยกระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศและผลักดนั ให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ (growth) จะส่งผล
ดใี หป้ ระเทศชาตสิ ามารถยกระดบั การพัฒนาประเทศไปสภู่ าวะประเทศทีม่ ัน่ คงได้ต่อไป
นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ รอสโทว์ (Walt W. Rostow : 1960) ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อ
แนวคิดการพัฒนาโดยการอธิบายให้เห็นวิวัฒนาการของสังคมตามลำดับขั้นของความเจริญทาง
เศรษฐกิจ โดยอาศัยการวิเคราะห์ในแง่ประวัติศาสตร์และทฤษฎีทางเศรษฐกิจเป็นกรอบความคิดเขา
เสนอว่าประเทศต่างๆ ต้องผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของสังคม 5 ขั้นตอน กล่าวคือ (วิภาวี พิจิต
บันดาล, 2535)
ขั้นแรกเรียกว่าสงั คมโบราณ (The traditional society) ลักษณะการดำรงของผู้คนมลี ักษณะ
เป็นสังคมดั้งเดิม กล่าวคือ ความเป็นอยู่มีลักษณะการพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งเป็นผลผลิตท่ี
พึ่งพาสภาพธรรมชาติความเป็นอยู่ของผู้คนอาศัยแรงงานในครัวเรือน การซื้อขายแลกเปลี่ยนมีอยู่ใน
ขอบเขตที่จำกัด ในสังคมโบราณชีวิตความเป็นอยู่มีความผันผวนขึ้นอยู่กับสภาพความแปรปรวนทาง
ธรรมชาติ โรคระบาดและการสงครามที่มอี ย่างตอ่ เน่ือง ชีวิตของผคู้ นจงึ เชอื่ ในเร่ืองชะตาเป็นสำคัญ ผู้ท่ี
มีอำนาจการปกครองมกั เปน็ เจ้าของท่ีดิน และมีอิทธพิ ลในการกำหนดภาวะเศรษฐกจิ ของประเทศ
ขั้นที่สองเรียกว่าการเตรียมเพื่อทะยานขึ้น (The pre-conditions for take-off society)
ลักษณะของเศรษฐกิจในสังคมที่อยู่ในขั้นตอนนี้จะพบว่า ประชาชนเริ่มตระหนักในความต้องการของ
ตนเองท่ีจะเปลยี่ นแปลงชีวิตไปสูวถิ ีชวี ิตที่เชือ่ วา่ ดกี วา่ เริม่ มีการเตรยี มการเพื่อใหส้ งั คมมกี ารพฒั นา การ
ขยายตัวด้านโครงสรา้ งขั้นพ้ืนฐานทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ เกิดการผลิตผลผลติ ทางการเกษตรอย่างรวดเรว็ มี
การขยายตัวด้านการศึกษา ในสังคมเกิดนักคิดและกลุ่มผู้อุทิศตัวในสังคมที่พยายามผลักดันให้มีการ
เปลย่ี นแปลงท่ดี ขี ึ้นในประเทศ
ขนั้ ทส่ี ามเรียกว่าการทะยานข้นึ (Take-off) ในขั้นน้ีเปน็ ขน้ั ทีม่ คี วามสำคัญทส่ี ดุ ต่อการพัฒนาใน
ระยะต่อไปและในบางประเทศข้ันตอนนี้นับเปน็ ขัน้ ตอนท่กี นิ เวลามากท่ีสุด คุณลกั ษณะสำคัญท่ีแสดงให้
เห็นว่าสงั คมไดก้ ้าวเขา้ สขู่ ้นั ตอนนค้ี ือการพิจารณาจากการลงทุนและการออมของชาตซิ งึ่ จะเพิ่มจากร้อย

17

ละ 5 ไปสู้ร้อยละ 10 หรือมากกว่า อันเป็นผลจากความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรม ธุรกิจภาคที่ใช้
เทคโนโลยีสมัยใหม่นับเป็นส่วนสร้างรายได้สำคัญให้กับประเทศ ตามแนวคิดของรอสโทว์แล้ว การค้า
และความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศนบั เปน็ องคป์ ระกอบสำคัญที่ชว่ ยเรง่ ให้อตั ราการเตบิ โตใหก้ ับประเทศ
กำลังพัฒนา แต่ไมม่ ผี ลมากนกั สำหรบั ประเทศด้อยพฒั นา ในช่วงเวลานีจ้ ะเกิดสถาบนั ทางการเมืองและ
สังคมเพ่ือสนับสนุนและรองรับการขยายตัวของธุรกิจภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่จะเกิดขึ้น
สบื เนื่องจากการผลติ อยา่ งมาก

ข้นั ท่ีส่ีเรยี กว่าการเรง่ รัดเข้าสู่ภาวะเศรษฐกจิ ท่เี ติบโตเต็มท่ี (The drive to maturity stage)ใน
ขนั้ ตอนนร้ี ะบบเศรษฐกิจจะประสบความสำเร็จมกี ารนำความรู้ทางวชิ าการและเทคโนโลยีเครอ่ื งจักรกล
ต่าง ๆ มาใช้ในกระบวนการผลิตและการบริการต่าง ๆ มีการผลิตสินค้าทดแทนสินค้าที่เคยนำเข้า
นอกจากนั้นความสามารถในการผลติ ท่ีสงู ข้นึ ทำให้ผลผลิตเพม่ิ ขนึ้ ในอัตราท่ีสูงกวา่ อัตราการเติบโตของ
ประชากร

ขั้นที่ห้าการบริโภคขนานใหญ่หรือนักเศรษศาสตร์บางท่านเรียกขั้นนี้ว่าขั้นอุดมโภคา (The
mass-consumption society ในขั้นตอนนก้ี ารผลิตม่งุ เนน้ ที่สินค้าและบรกิ ารประเภทคงทนและถาวร
(durable consumers' goods),เปน็ ตน้ ว่า รถยนต์ วิทยุ โทรทศั น์ อปุ กรณอ์ ำนวยความสะดวกประเภท
ตา่ งๆ เช่นเครื่องซกั ผ้า, เคร่อื งดูดฝุ่น, เครื่องปรับอากาศแนวคดิ นีไ้ ดร้ บั การตอบสนองนำไปใช้เป็นกรอบ
ในกระบวนการสร้างความทันสมัยให้เกิดกับประเทศด้อยพัฒนาต่างๆ และในประเทศไทยเราก็รับเอา
การสรา้ งความเตบิ โตทางเศรษฐกจิ เป็นเปา้ หมายของการพัฒนานับตง้ั แต่เริ่มมีแผนพฒั นาเศรษฐกิจและ
สงั คมแหง่ ชาติฉบบั แรกในปี 2504

- ดา้ นสังคม
แนวคิดการพัฒนาตามแบบจำลองความทันสมัยจะแบ่งแยกสังคมออกเป็นสองประเภทคือ
สังคมดั้งเดิม (tradition societies) และสังคมทันสมัย (modernized societies) หรืออีกนยั หนึ่งก็คอื
สังคมประเทศด้อยพัฒนา (underdeveloped societies) กับสังคมประเทศพัฒนาแล้ว(developed
societies) นนั่ เอง การพัฒนาคือการเปลีย่ นแปลงจากสงั คมด้ังเดิมไปส่สู ังคมทนั สมัยซ่งึ การเปลย่ี นแปลง
ดังกล่าวต้องอาศัยการเปลี่ยนค่านิยม ท่าที่ความคาดหวังในชีวิตของผู้คนในสังคมให้เป็นไปตามแบบ
สงั คมสมัยใหม่
เลนิ เนอร์ (Lerner. 1958) นักสังคมวิทยาผูส้ นใจศึกษาในกระบวนการสรา้ งความทนั สมัยเสนอ
ว่าบุคลิกภาพและกระบวนการคิดของคนในสังคมที่สำคญั ทีเ่ อื้อต่อการเปล่ียนไปสู่ความทันสมัยมอี ยู่ 3
ประการ ไดแ้ ก่
การเอาใจเขามาใสใ่ จเรา (empathy) เลนิ เนอร์ อธบิ ายความหมายว่าคนแตล่ ะคนจะมีปฏกิ ิริยา
ตอบสนองต่อเหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ ตามลักษณะการรับรู้ทางสังคมของตนสำหรับสังคม

18

ทันสมัยสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคมจำเป็นต้องมีคุณลักษณะความสามารถในการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
นน่ั เองคือความเข้าใจผอู้ ืน่ ความสามารถที่จะรับรูเ้ หตุการณส์ ถานการณต์ า่ งๆ ได้ราวกับทีผ่ อู้ นื่ คิด

การเคลอื่ นไหว (mobility) สำหรับความคิดของเลนิ เนอร์ mobility นีไ้ ม่ไดจ้ ำกดั อย่เู ฉพาะการ
ย้ายถิ่นหรือการเปลี่ยนแปลงทางลักษณะภูมิศาสตร์ แต่หมายถึงภาวะทางจิตใจตลอดจนบุคลิกภาพที่
กระตือรืร้น การเปิดกวา้ งยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ไม่ยึดติดกับบทบาทหน้าที่หรือสถานภาพ
เดิมของตนเอง ความสามารถในการปรบั ตวั และการเปล่ียนแปลงจงึ เปน็ ปัจจัยสำคญั ของสมาชิกในสังคม
ทพี่ ร้อมท่จี ะเปลีย่ นแปลงไปสสู่ งั คมทันสมยั

การมีส่วนร่วมอย่างสูง (high participation) สำหรับความคิดของเลินเนอร์ การเปลี่ยนแปลง
ไปสู่สังคมแห่งความทันสมัยจำเป็นต้องอาศัยสมาชิกในสังคมซึ่งมีลักษณะการไม่วางเฉยหรือเป็น
ผู้ถูกกระทำ (passive) คือการยอมให้ผู้อื่นมามีอิทธิพลต่อความคิดชี้นำให้ทำตามในเรื่องต่างๆ แต่
ต้องการสมาชิกในสังคมที่มีลักษณะเป็นผู้กระทำ (active) มีส่วนร่วมและมีอิสระในการตัดสินใจด้วย
มมุ มองของตนเอง

- ดา้ นการเมอื ง
แนวคิดด้านการเมืองตามทฤษฎีความทันสมัยที่มีอิทธิพลอย่างสูงได้แก่แนวคิดและงานเขียน
ของ อลั มอนด์ (Gabrial A. AImond) และ เพาเวลล์ (C.B. Powell) ในปี ค.ศ.1965 ทงั้ สองระบวุ ่าการ
พฒั นาทางการเมืองที่จะนำไปสู่ความทนั สมัยเนน้ ทเี่ กณฑ์สำคัญ 3 ประการ คือ มีการแยกแยะโครงสร้าง
ตา่ งๆ ทางสังคม (structural differentiation)การมีระบบยอ่ ยทมี่ ีอสิ ระ(subsystem autonomy) และ
มีการรวมกลุ่มคนวัฒนธรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน (cultural secularization) ดังนั้นลักษณะการเมืองท่ี
เหมาะสมกบั การผลักดนั ประเทศเข้าสู่ภาวะความทนั สมยั คอื การปกครองอย่างมเี หตผุ ล เปดิ โอกาสให้มี
การวิพากษ์วจิ ารณ์ในประเดน็ ต่างๆ ในสงั คม
2.1.2 ทฤษฎกี ารพฒั นาแบบพงึ่ พา
ในเวลาเดียวกันกลับกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกาได้มีการใช้แนวคิดการพัฒนาในด้านการ
สร้างความทนั สมยั เปน็ กระแสหลักในการกำหนดแนวทางการพัฒนาประเทศและได้รับความสำเร็จเป็น
ที่นิยมอย่างกว้างขวางนั้น นักวิชาการกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกากลับมี
แนวคิดคัดคา้ นการพัฒนาดว้ ยการสร้างภาวะความทนั สมัยดังกล่าว ทั้งนี้เป็นผลจากความล้มเหลวและ
วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้เผชิญนั่นเอง ความล้มเหลวที่เกิดในประเทศบราชิล
อาร์เจนตินา และหลายประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกานับเป็นปรากฏการณ์สำคัญอันเป็นที่มาของการ
เสนอทฤษฎีการพึ่งพา (dependency theory) ในเวลาต่อมา แนวทางท่ีใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของ
ประเทศที่พัฒนาแล้วไมน่ ่าจะมีความเหมาะสมและใช้ไดก้ ับประเทศด้อยพฒั นา ทั้งนี้เพราะผลของการ
พฒั นาที่เกิดจากแนวคิดของการพฒั นากระแสหลักเช่นแนวคดิ หลกั ขั้นตอนการเติบโตทางเศรษฐกิจของ
รอสโทว์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ความเติบโตที่เกิดขึ้นกับประเทศด้อยพัฒนาส่วนใหญ่มีน้อยมาก

19

ยิ่งกว่าน้นั ความเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ทำใหเ้ กดิ ความร่ำรวยกบั คนเพียงบางกล่มุ เกดิ ปญั หาตามมาทั้งด้าน
ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมการพัฒนาทำใหป้ ระเทศด้อยพัฒนากลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบทนุ นิยม
โลกอยา่ งไมม่ ที างหลีกเลยี่ ง

ซานโทส (T. Dos Santos) (อ้างถงึ ใน บัวพันธ์ พรหมพกั พงิ , 2549) นกั วิชาการซึง่ มีแนวคิดจัด
อยู่ในกลุ่มทฤษฎีการพึ่งพา กล่าวว่า สาเหตุที่แท้จริงของความด้อยพัฒนาหรือการต้องพึ่งพาในกลุ่ม
ประเทศลาตินอเมริกนั้นมิได้เกิดจากเพียงแค่ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ทาง
เศรษฐกิจและการเมอื งระหวา่ งประเทศศนู ยก์ ลางและประเทศบรวิ าร แตเ่ กิดจากการที่โครงสร้างภายใน
ของประเทศเหลา่ นถี้ กู กำหนดโดยความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศท่ตี อ้ งพง่ึ พากนั ในทางเศรษฐกจิ โลก การ
พึ่งพาเป็นสถานการณ์เงื่อนไขเมื่อเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศหนึ่งจะเติบโตหรือไม่ ต้องขึ้นกับการ
ขยายตวั และการพฒั นาผ่านระบบการคา้ หรอื ระบบเศรษฐกจิ โลกของประเทศผู้ท่มี อี ทิ ธิพลอน่ื ๆ

แนวทางการแก้ปัญหาความด้อยพัฒนาตามความคิด มีเพียงทางเลือกเดียวคือ การหยุด
ความสัมพันธ์เชิงพึง่ พากับประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศผู้มีอิทธิพลต่อการกำหนดชะตากรรมของ
ประเทศดอ้ ยพัฒนานัน้ ๆ เสียน่ันเอง

2.1.3 ทฤษฎีการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
(Redistribution with Growth)

เป็นแนวคิดสำหรับประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศล้าหลังทีม่ ุ่งให้กลุ่มประชากรที่เสียเปรยี บ
ในทางเศรษฐกิจ ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และ
สังคมทีเ่ ป็นอยู่ โดยไม่จำเปน็ ต้องมกี ารปฏริ ูปโครงสร้างเศรษฐกิจและสงั คมแต่อยา่ งใด แนวคิดน้ีเร่ิมมา
จากการตั้งคำถามต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและรุดหน้าแบบที่ไม่เคย
เป็นมาก่อนนั้น ใครคือผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง บุคคลเหล่านั้นจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มที่ควบคุม
ทรัพยากรทางเศรษฐกิจและมีอำนาจทางการเมืองเท่านั้นหรือไม่ทั้งนี้ในระยะแรกของการพัฒนา
ประเทศนน้ั เปน็ ท่ีเขา้ ใจและยอมรับไดว้ ่าจะมีการกระจกุ ตวั ของรายไดก้ ล่าวคอื การลงทุนเพ่อื การพฒั นา
ประเทสจะเป็นไปอย่างเป็นกระจุกตัว ด้วยการทุ่มเทไปในภาคเศรษฐกิจที่ทันสมัยซึ่งมีขนาดเล็ก และ
ผลิตสินค้าขั้นปฐมและอุตสาหกรรมรายได้ทีเ่ กิดขึน้ จึงกระจุกตัวอยู่ในภาคดังกล่าว โดยปัจจัยสำคัญที่
สง่ เสรมิ สภาพการกระจกุ ตวั ไดแ้ ก่ ความจำกัดในการเข้าถึงสินเชอ่ื โอกาสทางการศกึ ษา และโอกาสการ
ทำงานในภาคเศรษฐกิจที่ทันสมัย ส่วนนโยบายของรัฐบาลทั้งด้านการคลัง การค้าและการกระจาย
งบประมาณกม็ คี วามโน้มเอียงทจ่ี ะสนับสนนุ ไปในทางทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ การเติบโตทางเศรษฐกจิ ทกี่ ระจุกตัว ซ่งึ
โดยทางทฤษฎเี ศรษฐศาสตร์แล้ว เมือ่ เศรษฐกจิ เติบโตต่อไป รายได้และผลประโยชนก์ จ็ ะกระจายออกไป
ด้วย หากในทางปฏิบตั ิกลับพบว่าคนจนไม่ไดม้ สี ่วนร่วมในผลประโยชน์อยา่ งเท่าเทียมแนวคิดเรื่องการ
กระจายรายได้ที่ควบคไู่ ปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ จงึ เสนอวา่ การพฒั นาประเทศจะต้องมงุ่ ไปทก่ี ารแก้ไข
ปัญหาความยากจนให้แก่คนกลุ่มต่างๆ ด้วย เช่น ชาวนารายย่อยผู้ใช้แรงงานที่ไม่มีที่ดินทำกิน คน

20

ว่างงาน และแรงงานไร้ฝีมือ ฯลฯ โดยหามาตรการต่างๆ เช่น การปฏิรูปที่ดินเพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้มี
โอกาสเข้าถงึ ทรัพยากรและการบรกิ ารขน้ั พน้ื ฐาน เป็นตนั

2.1.4 ทฤษฎีการพัฒนาที่เน้นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ( Basic minimum Need
Approach)

เป็นแนวคิดที่สร้างความชัดเจนมากขึ้นว่า การพัฒนาจะต้องมุ่งไปที่คนมิใช่การเติบโตทาง
เศรษฐกิจ เพราะคนและคณุ ภาพชวี ติ ของคน คือสง่ิ สำคญั ทีส่ ดุ ท่จี ะต้องไดร้ ับการพฒั นา

ในการพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของคนน้จี ำเปน็ ทีจ่ ะต้องใช้ยุทธวิธีการพฒั นาหลายด้านประกอบกัน
ทั้งการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ การเปลยี่ นแปลงเชิงโครงสร้าง การปฏิรปู สถาบนั ทั้งในระดับประเทศ
และระหว่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดความยากจนและการว่างงาน และมุ่งให้เกิดความเสมอ
ภาคในการกระจายการบริการขั้นพื้นฐานเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่ได้
แกป้ ญั หาความยากจน ทั้งน้อี งค์ประกอบท่ัวไปของความจำเป็นขน้ั พื้นฐานได้แก่ 1) สขุ ภาพและเงื่อนไข
ทางประชากรต่างๆ 2) อาหารและสารอาหาร 3)การศึกษา รวมทั้งการรู้หนังสือและความเชี่ยวชาญ
ตา่ งๆ 4) เงือ่ นไขการทำงานและสภาพการจ้างงาน 5) การบรโิ ภคและการออม 6) การคมนาคม 7 ท่ีอยู่
อาศยั รวมทัง้ ส่ิงอำนวยความสะดวกภายในบ้าน 8) เส้ือผา้ เครื่องนุง่ หม่ 9) การพักผ่อนหยอ่ นใจ และ 10)
สวสั ดิการทางสังคม

2.1.5 ทฤษฎีการพัฒนาท่ีเน้นความยง่ั ยนื (Sustainable Development)
เป็นแนวคิดที่เกิดจากการประชุม Brundthland commission เมื่อปี 1987 ซึ่งมุ่งที่จะ
แก้ปัญหาการพัฒนาที่ถูกครอบงำด้วยกระบวนทัศน์ที่เน้นเศรษฐกิจเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
เนอ่ื งจากการขยายตัวของเศรษฐกจิ ไทยในช่วงทผี่ ่านมา เกิดจากการขยายตัวทางการผลติ อย่างรวดร็ว มี
การใชท้ รัพยากรธรรมชาติ เป็นปจั จัยหลกั ของการผลิตโดยปราศจากการวางแผนการใช้ประโยชน์อย่าง
รอบคอบและการป้องกันความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดการสะสมของปัญหาความเสื่อมโทรม
และความร่อยหรอของทรัพยากรธรรมชาติตามระดับของการผลิตโดยรวมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งได้นำไปสู่
ความขัดแย้งทางสังคมอันเกิดจากการแย่งชิงทรัพยากรและเชื่อมโยงไปถึงความไม่เท่าเทียมกันในการ
ครอบครองทรัพยากรระหว่างคนกลุ่มต่างๆในสังคม โดยพฤติกรรมการผลิตและการบริโภคที่เป็นการ
ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสร้างปัญหามลพิษของคนในสังคมทำให้วิถีการดำเนินชีวิตขาดความ
กลมกลนื กบั สภาพแวดลอ้ มทีม่ คี ุณค่า ทัง้ ทางธรรมชาตศิ ิลปกรรมและวัฒนธรรม และท่ีมากไปกว่าน้ัน ก็
คอื ภาวะตกตำ่ และเส่ือมโทรมของธรรมชาติ ทำให้คนจนและผู้ยากไร้ มคี วามจำเปน็ ท่จี ะต้องบุกรุกเข้า
ใช้ทรัพยากรธรรมชาตมิ ากข้ึน เพียงเพ่ือที่จะมีชีวติ อยู่รอดไปเพียงวนั หนึ่ง ๆ เป็นผลให้สภาพธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมอยู่ในภาวะเสื่อมโทรมอย่างหนัก ในขณะเดียวกันความเสื่อมโทรมของธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อม กย็ ่ิงเร่งใหค้ นจนและผยู้ ากไร้มีความยากลำบากมากข้นึ ในการดำรงชีวิต ผลสุดท้ายพวกเขา
กย็ ง่ิ ยากจนลงกวา่ เดมิ

21

แนวคิดการพัฒนาที่เน้นความยั่งยืนจึงเกิดขึ้นเพื่อที่จะพิทักษ์และคุ้มครองธรรมชาติและ
ส่งิ แวดลอ้ มในปัจจุบนั ให้ดำรงอยู่อย่างย่ังยนื ยาวนานไปจนถึงอนาคต เพ่ือสนองตอบต่อความจำเป็นใน
ความอย่รู อดของคนรุ่นหลงั หากก็ไม่ละเลยตอ่ ชีวติ ความเปน็ อยู่ในคนในรนุ่ ปัจจบุ นั ซงึ่ หลักการพื้นฐาน
ที่สำคัญของการพัฒนาที่เน้นความยั่งยืน มี 3 ประการ คือ 1) การให้ความสำคัญสูงสุดแก่คุณค่ของ
ส่งิ แวดลอ้ ม อนั เป็นมิตแิ หง่ ความย่งั ยืนของระบบนิเวศ 2) การขยายมติ ิเวลาไปสู่อนาคต ซ่ึงเป็นมิติแห่ง
การมวี ิสัยทศั นท์ ี่ยาวไกล และ 3) ความยตุ ธิ รรม อันเป็นมิติแห่งความย่ังยนื ทางเศรษฐกิจและสงั คม โดย
ในการประชุมสุดยอดเพื่อการพัฒนาสังคม (The world summit for social development) เมื่อ
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2538 ที่กรุงโคเปนเฮกนได้สรุปว่า การพัฒนาสังคมจะต้องการขจัดความยากจนท่ี
แทจ้ รงิ การกระจายความยตุ ิธรรมและการสร้างการมีสว่ นรว่ มของประชาชน ทง้ั น้เี ร่ืองทีต่ ้องดำเนินการ
โดยเร่งดว่ นไดแ้ ก่ ประชากร สขุ ภาพอนามยั การศกึ ษา การจา้ งงาน ที่อยู่อาศัย ส่งิ แวดลอ้ ม ภัยพบิ ัตติ า่ ง
ๆ อาชญากรรมและความมั่นคงของชาติ ยึดคนเป็นศูนย์กลางจุดมุ่งหมายของการพัฒนา (สุภางค์ จัน
ทวานชิ และวศิ นี ศลิ ตระกลู , 2539)

แนวทางการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนนี้ได้ปรากฎอยู่ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ หลายยุทธศาสตร์
ด้วยกันได้แกย่ ุทธศาสตร์การบริหารจดั การทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยุทธศาสตร์การบริหาร
เศรษฐกิจส่วนรวม ยุทธศาสตร์การเพิ่มสมรรถนะและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพคนและการคุ้มครองทางสังคม และยุทธศาสตร์การปรับโครงเรื่องการ
พฒั นาชนบทและเมืองอย่างยั่งยืน ซงึ่ โดยภาพรวมมุ่งท่จี ะให้เกดิ การดำเนนิ งานต่างๆ ทง้ั ในด้าน 1) การ
เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2) การอนุรักษ์ฟื้นฟู
ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศให้มีความอุดมสมบูรณ์เพ่ือความสมดุลของระบบนเิ วศ 3) การอนรุ กั ษ์
ฟื้นฟูและรักษาสภาพแวดล้อมชุมชน ศิลปวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยว และ 4) การรักษาคุณภาพ
สิ่งแวดล้อมโดยให้ความสำคัญกับการลดมลพิษทั้งนี้สิ่งที่ดำเนินการไปบ้างแล้ว ได้แก่ การจัดต้ัง
คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยังยืน การจัดตั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การ
ปรับปรุงกฎหมายทีเ่ ก่ียวข้องกบั การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดทำแผน
แม่บท/แผนเฉพาะเรอื่ ง เช่น แผนการใช้ท่ีดินแหง่ ชาติ แผนรวมการบรหิ ารจัดการทรพั ยากรน้ำในพื้นท่ี
ล่มุ นำ้ ต่างๆ เปน็ ต้น

ทฤษฎีการพัฒนาแบบยั่งยืน เป็นทฤษฎีท่ีให้ความสำคัญตอ่ การพัฒนาทพี่ ยายามคงภาวะความ
สมดุลระหว่างมิติด้านเศรษฐกจิ กบั สังคมและสิ่งแวดล้อมในระบบเปดิ โดยพยายามคงระดับการเติบโต
ของระบบเศรษฐกิจให้สัมพนั ธก์ ับความพยายามในการคงสภาพใหเ้ กิดความเท่าเทียมกันทางสังคมโดย
คงไวซ้ ึง่ ระบบนเิ วศน์ท่ีเหมาะสม

22

2.2 แนวคดิ ทฤษฎเี กี่ยวกับกระบวนการเรยี นรูแ้ ละศูนย์การเรยี นรู้
2.2.1 แนวคิดทฤษฎีเกีย่ วกบั กระบวนการเรยี นรู้

การเรียนรู้เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น โดยเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและ
การตอบสนอง จนเกิดเปน็ พฤตกิ รรมอย่างถาวร

2.2.1.1 การเรยี นรู้
การเรยี นรู้ของมนษุ ยเ์ ปน็ สงิ่ ที่เกดิ ขนึ้ จากภายในที่เรยี กว่าสญั ชาตญาณ เป็นการเรียนรู้
ที่ไม่มีขีดจำกัด และต่อเนื่อง คุณสมบัตินี้มีอยู่ในตัวมนษุ ย์ทุกคน ซึ่งการเรียนรู้เกิดขึ้นมานานแล้ว โดย
ระยะแรกเปน็ การเรยี นรรู้ ะหว่างมนุษยก์ ับธรรมชาตแิ ละมนุษยก์ ับมนษุ ย์ มนษุ ยน์ ำความรู้ท่ีได้มาใช้เพ่ือ
ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ให้สามารถดำรงชวี ิตอยู่ได้กับธรรมชาติและมนษุ ย์ด้วยกนั เอง เป็น
ลกั ษณะความรู้เชิงปฏิบัติทีพ่ ฒั นาจากประสบการณ์ทางตรงและทางอ้อม ลองผิดลองการศึกษา สังเกต
คิด วเิ คราะห์ และตกผลกึ เป็นความรู้ นำมาถ่ายทอดกลายเปน็ วัฒนธรรมและธรรมเนียมปฏบิ ัติ ดว้ ยเหตุ
นี้การเรียนรู้จงึ เปน็ กระบวนการผลติ ซำ้ เพ่ือรักษาส่ิงเดิมและสร้างสรรค์ส่ิงใหม่เนือ่ งจากสภาพแวดล้อม
ในการดำรงชีวิตมกี ารเปลี่ยนแปลงและมกี ารพัฒนามาโดยตลอด โดยทส่ี ักยภาพในการเรียนร้ขู องมนุษย์
ก็มีการพฒั นาควบคู่ตามมาด้วยทงั้ ทางดา้ น กาย จติ สังคม และปัญญา
ความหมายการเรียนรู้
การเรียนรนู้ กั วชิ าการให้ความหมายไวม้ ากมาย ดงั น้ี
สมพันธ์ เตชะอธกิ (2549) ใหค้ วามหมายการเรยี นรู้ คอื เป็นกระบวนการทางความคิด
และการกระทำที่ทำให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระของความรู้ และการปฏิบัติที่นำไปสู่การ
เปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรม ซึ่งเป็นผล เนื่องมาจากประสบการณ์ที่บุคคลมืปฏิสัมพันธ์กับ
สิง่ แวดล้อม หรือจากการฝกึ หดั รวมทัง้ การเปลีย่ นแปลงปริมาณความรขู้ องบุคคลทีม่ ีความเก่ียวข้องกับ
การนกึ คดิ การวิเคราะห์และการแก้ปญั หา
บุษบา แดงวิจิตร (2550) ให้ความหมายการเรียนรู้ หมายถึง การปรับเปล่ียนทศั นคติ
แนวคิด และพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการได้รับประสบการณ์ ซึ่งควรเปน็ การปรับเปลี่ยนไปในทางทีด่ ี
ขนึ้
เชียรศรี วิวิธสิริ (2527) กล่าวว่า การเรียนรู้คือการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมทีค่ ่อนข้าง
ถาวรท่ี ไดม้ าจากประสบการณ์ การฝึกหดั และการปฏิบตั กิ าร เปน็ การกระทำที่เกิดข้ึนจริง ทง้ั จากความ
ตัง้ ใจและไมต่ ัง้ ใจ

23

ทิศนา แขมมณี (2544) กล่าวว่า การเรียนรู้หรือวิธีการเรียนรู้มีขั้นตอนอยู่ในรูปแบบ
ต่างๆ ที่มาจากการฟัง การอ่าน การ โด้ตอบกับผู้อื่นการซักถาม การเขียน การสังเกต การจำ การ
เลียนแบบ การดตู วั อยา่ ง การคดิ การลงมอื ปฏิบตั ิในกระบวนการเรยี นรู้น้ี ผู้เรียนรอู้ าจเกิดความเข้าใจ
และไม่เขา้ ใจในเรอ่ื งนนั้ ๆ ก็ได้

Hilgard and Bower (1975 ) กล่าวว่า การเรียนรู้เปน็ กระบวนการทท่ี ำให้พฤติกรรม
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเปีนผลจากการฝึกฝนและประสบการณ์ แต่มิใช่ผลจากการตอบสนองที่
เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น สัญชาตญาณ หรือวุฒิภาวะหรือจากการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวของร่างกาย
เชน่ ความเมื่อยล้ำ ความเครียด เปน็ ต้น

สรุปว่า การเรียนรู้ เป็น กระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด
ทัศนคติต่างๆ ซงึ่ ทำใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงทางดา้ นพฤติกรรมอยา่ งถาวร

ปจั จยั ท่ที ำให้เกดิ การเรียบรู้
ปัจจยั ทท่ี ำให้เกดิ การเรียนร้มู ีหลายปจั จยั มนี กั วิชาการกล่าวถึง ดงั นี้
วจิ ติ ร อาวะกุล (2537 ]) ได้สรปุ ปัจจัยทท่ี ำให้เกิดการเรียนรูว้ ่ามดี ังตอ่ ไปน้ี

1) ความสนใจ (Interest) เป็นภาวะที่บุคคลมีความปรารถนาจะรู้ในสิ่งใดส่ิง
หน่งึ เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการทางด้านจติ ใจ

2) ความต้องการ (Need) เป็นภาวะที่แสดงถึงการขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และ
ตอ้ งการทจ่ี ะมหี รอื นำมาซึง่ ส่งิ นั้น

3) ความพร้อมในการเรียนรู้ (Readiness) เป็นภาวะที่บุคคลอยู่ในสภาพที่
เหมาะสมกับการเรียนรู้ กล่าวคือ เป็นความพร้อมทางด้านร่างกายรวมถึงความเหมาะสมของ
สภาพแวดล้อมตอ่ การเรยี นรู้

4) การจดจำสิ่งที่เรียน (Retention) ความสามารถในการจดจำบันทึกสิ่ง
ต่างๆ ไวใ้ นสมอง อาจจะเป็นการเกบ็ ไวใ้ นรูปแบบของคำพูดหรือรูปภาพกไ็ ด้

5) การกระตุ้นเตือน (Motivation) การเรียนรู้เกิดจากแรงจูงใจ ในการที่
มนษุ ย์จะมกี ารเรยี นรู้จะตอ้ งมีสงิ่ จงู ใจหรอื สง่ิ มากระตนุ้ เพื่อให้เกิดการอยากเรียนรู้ แรงจงู ใจมีทั้งภายใน
และภายนอกทที่ ำหนา้ กระตนุ้ เพ่ือให้การเรียนรู้หรอื การประกอบกิจการงานต่างๆ มปี ระสิทธภิ าพ

6) การจูงใจ (Persuasion) การเรยี นรู้จะมมี ากหรอื น้อยขนึ้ อยกู่ ับการจูงใจถ้า
การจูงใจมีมากการเรียนรู้ก็จะมมี ากขึ้นตาม ท้งั นีแ้ รงจงู ใจจากภายในจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่า
แรงจงู ใจจากภายนอก

ธนัตถ์ พรมด้วง (2550) กล่าวถึง ลักษณะธรรมชาติของการเรียนรู้ว่าขึ้นอยู่กบั ปัจจัย
หลัก 3 ปัจจัยดังตอ่ ไปน้ี

24

1) ระดบั ความสามารถของบุคคลในการเรียนรู้ การเรยี นรู้ของมนุษยส์ ว่ นหนึ่ง
เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับปัญหา เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมนุษย์จะเกิดการรับรู้และนำไปสู่การเรียนรู้ปัญหานั้นๆ
ความสามารถในการแก้ปัญหาต่างๆ ได้นั้น ขึ้นอยู่กับระดับของปัญหา ลักษณะของปัญหาและ
ความสามารถของแตล่ ะบุคคลในการเรยี นรู้ การรบั รปู้ ัญหาและขอ้ มลู ข่าวสาร

2) ระดับการรับรู้ปัญหาและ ข้อมูลข่าวสารส่งผลต่อการเรียนรู้ เนื่องจาก
ขอ้ มลู ที่ได้รับน้นั เปน็ ตัวจำกัดขอบเขตของการเรียนรู้ ถ้าหากระดับการรับรู้ข้อมูลมีมากก็จะทำให้ระดับ
การเรียนรู้จะมีมากขนึ้ เช่นกนั

3) ระดับความสามารถในการทำความเข้าใจปัญหา เป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อ
การเรียนร้นู อกเหนือจากระดับการเรยี นรู้ และระดับขอ้ มูลทไี่ ดร้ บั เพราะความสามารถในการทำความ
เขา้ ใจปญั หาจะทำให้มีความเข้าใจถึกซ้ึงต่อปัญหาที่เกดิ ขึ้นไดอ้ ย่างครอบคลุม สามารถเชอื่ มโขงส่ิงต่างๆ
เข้าคั่วยกัน เมื่อมีความเข้าใจท่ีถูกต้องแท้จริงเกิดขึน้ การแก้ไขปัญหาตา่ งๆ ก็จะทำได้ดีขึ้นและจัดการ
กบั ปัญหาน้นั ๆ ไดอ้ ย่างถูกวิธี

ดังนั้น สรุปได้ว่าการเรียนรู้เป็นผลท่ีได้จากกระบวนการเรียนรู้ และผลของการเรียนรู้
นั้น ไมใ่ ช่ได้มาจากการอ่าน การเขยี น หรอื แคก่ ารเขา้ ใจเท่านั้นการเข้าใจภาพรวม ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ
สำหรับมนุษย์เพราะทำให้มนุษย์เกิดการพัฒนาศักยภาพในตนเอง มนุษย์นำการเรียนรู้ที่ได้มานี้เพื่อ
ปรับเปลย่ี นให้สอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมทีเ่ ปลี่ยนแปลงไปเพ่อื ให้สามารถดำรงชวี ติ อยไู่ ด้และพึ่งตวั เองได้

เปา้ หมายของการเรยี นรู้
สำหรบั เปา้ หมาขของการเรียนรู้มีนักวชิ าการได้กลา่ วไว้ ดงั น้ี
ธนัตถ์ พรมด้วง (2550) ได้สรุปเป้าหมายการเรียนรู้ทางการศึกษาตลอดชีวิตมี 4
ประการ ดังนี้

1) การเรียนรู้เพื่อรู้ เน้นการเรียนรู้หลาย ๆ อย่างแบบกว้างๆ ร่วมกับการ
เรียนรู้ในสิง่ หนึ่งอย่างลึกซึง้ การเรียนรู้ลักษณะนี้เป็นการเรียนรูเ้ พื่อให้ได้ประโยชน์ในการศึกษาตลอด
ชพี

2) การเรียนรู้เพื่อประกอบอาชีพ มีการพัฒนาความสามารถในความรู้นั้นๆ
กล่าวคือ เมื่อนำความรู้ที่ได้มาประกอบอาชีพแล้ว จะมีการเรียนรู้การทำงานเป็นทีม เรียนรู้วิธีการ
แก้ปญั หาตา่ งๆ ที่เกิดขึน้ ขณะนำความร้วู ชิ าชีพมาใช้

3) การเรยี นรู้เพื่อเป็นประสบการณ์ เม่ือเรียนรแู้ ละนำสง่ิ ที่รมู้ าประกอบอาชีพ
แล้ว การเรียนรูน้ ้นั จะมอี ิสระมากข้ึน มีการตดั สินใจท่ถี ูกต้องและมคี วามรับผิดชอบตอ่ การทำงาน

4) การเรียนรู้เพือ่ อยรู่ ่วมกันเปน็ การเรยี นรู้ผอู้ น่ื เข้าใจจิตใจผู้อื่น เข้าใจธรรม
เนียมประเพณี โครงสร้างของสงั คมทไ่ี ดอ้ าศยั อยู่

25

Bloom (1956) กล่าวว่า เป้าหมายของการเรียนรู้ หมายถึง การกำหนดจุดมุ่งหมาย
ปลายทางของผู้เรียนว่าจะต้องบรรลุถึงจุดหมายปลายทางอะไรบา้ งภายหลังการเรียนรู้ ในการบริการ
การศกึ ษามกี ารกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ ซ่ึงแบง่ เป้าหมายของการเรียนรอู้ อกเปน็ 3 ด้าน คอื

1) ดา้ นพทุ ธิพสิ ยั (Cognitive Domain) หมายถงึ พฤตกิ รรมที่เกีย่ วกับทักษะ
ทางปัญญาสามารถจำแนกทักษะทางปัญญาออกเป็น 6 ระดับ คือ 1) ทักษะทางด้านความรู้ความจำ
(Knowledge) 2) ความเข้าใจ (Comprehension) 3) การนำไปใช้ (Application) 4) การวิเคราะห์
(Analysis) 5) การสงั เคราะห์ (Synthesis) 6) การประเมินค่า (Evaluation)

2) ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) หมายถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับการ
แสดงออกของสภาพจิตใจค้านอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งเกี่ยวข้องกับค่นิยม คุณธรรม จริยธรรมความ
สนใจและความซาบซึ้ง ซึ่งเข้าหมายด้านจิตพิสัยสามารถแบ่งออกเป็น ร ระดับ คือ 1) การรับรู้
(Receiving Attention) 2) การตอบสนอง (Responding) 3) การสร้างคุณค่า (Valuing) 4) การ
จดั ระบบคณุ คา่ (Organization) 5) การสร้างลกั ษณะนิสยั (Characterization by a Value)

3) ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) หมายถึง ทักษะทางกาย ซ่ึง
เปน็ พฤติกรรมเกย่ี วกับความสามารถในการบงั คบั ระบบกล้ามเนอื้ ระบบประสาท และสมองให้สัมพันธ์
กันจนกระทั่งเกิดเป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายในการปฏิบัติงานต่างๆ มีการจำแนกพฤติกรรมทาง
ทกั ษะพสิ ยั ออกเป็น 7 ระดบั คือ 1) ด้านการรับรู้ (Perception) 2) การเตรยี ม (Set) 3) การตอบสนอง
การชี้แนะ (Guided Response) 4) การสร้างกลไก (Mechanism) 5) การตอบสนองที่ซับซ้อน
(Complex Overt Response ) 6) การดัดแปลงให้เหมาะสม (Adaptation) 7) การริเริ่มใหม่
(Organization)

ดังนั้นเป้าหมายการเรียนสามารถดำเนินการ ได้โดยเน้นการเรียน การถ่ายทอดหรือ
ผู้สอนดำเนนิ การจัดทำแผนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเรียนรู้ในแต่ละทกั ษะ เน้น
ถ่ายทอดการเรียนรู้ที่มีการวัดประเมินผลการเรียนรู้ตลอดเวลา และเน้นการสังเกต และพิจารณา
พฤติกรรมการแสดงออก เช่น พฤตกิ รรมคณุ ธรรม การยอมรับทางสังคม ลักษณะนสิ ยั การฝึกปฏิบัติและ
ทักษะตา่ งๆ ในสงั คมหรอื ช้นั เรียน

2.2.1.2 กระบวนการเรียนรู้
กระบวนการเรียนรู้ทีท่ ำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม ความคิด คนสามารถเรียนร้ไู ด้
จากการได้ยิน การสัมผัส การอ่าน กระบวนการเรียนรู้ของ "คน" หรือ "ทรัพยากรบุคคล" นั้น เป็น
ภารกจิ สำคญั ทเี่ ป็นแนวทางเพ่อื ใหเ้ กิดการเรยี นร้ใู นแต่ละบุคคล
ความหมายของกระบวนการเรียนรู้
สำหรับความหมายของกระบวนการเรียนรู้มีนักวิชาการที่ให้ความหมายโดยสรุป
ดงั นคี้ อื

26

ธรรมศาสตร์ โสตถิพันธุ์ (2548) กล่าวถึง กระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การแสวงหา
ความรู้อย่างเป็นระบบและมีขั้นตอน นับตั้งแต่การมีขอ้ มูล การจำแนกขอ้ มูล การสรุปองค์ความรู้ การ
จัดการการเรียนรู้ ดว้ ยการปฏบิ ัติจรงิ กับผู้อนื่ องค์กรอ่ืน และการสรปุ บทเรยี น จนนำไปสู่การจัดระบบ
เป็นชุดความรู้ในภาพรวม จึงอาจกล่าวได้ว่า กระบวนการเรียนรู้คือสิ่งที่ได้มาจากประสบการณ์ท้ัง
ทางตรงและทงอ้อม ทง้ั ต้งั ใจและไมต่ งั้ ใจ เช่น การลงมือทำ การคดิ การสังเกต การอา่ น ดูตัวอยา่ ง และ
การจำ แล้วนำมาทำซ้ำ หรอื นำมาปรบั ปรุง เปล่ียนแปลงเพอื่ สร้างสง่ิ ใหม่ เป็นกลไกสำคัญท่ีมนุษย์ใช้ใน
การปรับตัวเพื่อสามารถดำรงชีวิตอยูไ่ ด้ในสิ่งแวดล้อมที่มกี ารเปลี่ยนแปลงไป ตลอดทั้งในระดับบุคคล
ครอบครวั กลมุ่ ชุมชน องค์กร และระดับประเทศ

ประเวศ วะสี (2542) ได้กล่าวไว้ว่า กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์มีวัตถุประสงค์3
ประการ คือ การเรียนรู้เพื่อตัวเอง การเรียนรู้เพื่อสิ่งนอกตัวที่สัมพันธ์กับตัวเองทั้งใกล้และไกลและ
กระบวนการเรียนรู้เพื่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนกับสิ่งเกื้อกูลกันและกันเพื่อการดำรงชีวิตกระบวนการ
เรียนรู้เกดิ ขนึ้ ได้ขนึ้ อยู่กบั ประสบการณ์ของชีวิต ย่ิงมีประสบการณ์ในเรื่องน้ันๆมากอ่ นยงิ่ เป็นเร่อื งทดี่ ีกับ
บคุ คลคนนน้ั อยา่ งย่ิง

ชาตชิ าย ณ เชยี งใหม่ (2533) ได้กล่าวถึงกระบวนการเรยี นรู้ มี 2 ระดบั ดงั น้ี
1) การพัฒนาคนในระดับปัจเจกชน หมายถึงการให้การศึกษาแก่ประชาชน

เพื่อให้ความรแู้ ละทกั ษะการใช้เหตุผลการตัดสนิ ใจในชวี ิต การมคี วามเชื่อและค่านิยมท่ียึดถือความเป็น
ไทย และการประหขัดพื้นฐาน รวมถงึ การพฒั นาจิตสำนึก และกระบวนการเรียนรอู้ ย่างต่อเน่ืองเพื่อให้
ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกชุมชน และสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ให้
สอดคลอ้ งกับวัฒนธรรมและทรพั ยากรธรรมชาติ และการบรหิ ารชุมชน

2) การพัฒนาคนในระดับกลุ่ม หมายถึง การกำหนดเงื่อนไขและเปิดโอกาส
ทางการเมือง การบริหาร ให้คนในชุมชนรวมกลุ่ม และพัฒนาอำนาจเพื่อต่อรองของชุมชนเพื่อให้
สามารถต้านทานพลังการเอาเปรียบจากภายนอก ปรับปรุงคัดแปลงเพื่อให้เกิดประ โยชน์ต่อคุณภาพ
ชีวิตของคนในชุมชน

องคป์ ระกอบของกระบวนการเรียนรู้
ภัทรธิรา ผลงาม (2542) ได้กล่าวว่า การเรียนรู้ของบุคคลนั้นมีองค์ประกอบที่สำคัญ
เรยี กวา่ "KUSA" ดังน้ี

1) K = Knowledge คือความรู้ หมายถึงให้บุคคลมีความรู้เกี่ยวกับหลักการ
แนวคิดหรอื มโนทัศน์ (Concept) ในเน้อื หาสาระที่ต้องการใหบ้ ุคคลอน่ื ได้เรียนรู้

2) U = Understanding คอื ความเข้าใจ หมายถึง การใหบ้ คุ คลมคี วามเข้าใจ
หลังจากที่ได้เรียนรูแ้ ล้ว ได้รับความรูใ้ นหลักการ แนวคิดและมโนทศั น์ต่างๆแล้วบุคคลเกิดความเข้าใจ
จนสามารถตคี วาม แปลความ ขยายความในหลักการแนวคิดน้ันๆ ได้

27

3) S = skill คือ ทักษะ หมายถึง ความสามารถในการทำงานของบุคคลใน
องคก์ ารนน้ั ๆทักษะในการทำงานจำแนกได้ 3 ระดับดงั น้ี

ขัน้ แรก ทกั ษะเบือ้ งตน้ เป็นความสามารถในการทำงานทดี่ ูได้จากตัวอย่างคำ
ชแ้ี นะหรอื การกำกบั อย่างใกล้ชดิ ผูบ้ งั คับบัญชา

ขั้นที่สอง ทักษะระดับกลาง เป็นความสามารถในการทำงานที่ทำได้โดยการ
กำกบั ชี้แนะหา่ งๆ จากผบู้ ังคบั บญั ชา

ขั้นสุดท้าย ทักษะระดับสูง เป็นความสามารถในการทำงานที่ทำได้เองโคย
อตั โนมัติ ไมต่ อ้ งมีคนกำกับหรือช้ีแนะ ผบู้ ังกบั บัญชาเพยี งแตก่ ำหนดเปา้ หมายท่ตี อ้ งการเทา่ นนั้

4) A = Attitude คือ เจตคติ หมายถึง ผลจากการเรียนรู้ จะต้องมีการ
ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม หรอื แบบแผนการทำงาน โดยเร่มิ จากการปรับเปล่ียนเจตคติของบุคคลให้เป็นคน
มีเหตุผล มีความเข้าใจถึงความรู้สึกของผู้อื่น ขณะเดียวกันก็เปิดใจพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นจาก
ผูอ้ ่นื ด้วย

ดังนั้นองค์ประกอบของกระบวนการเรียนรู้ประกอบด้วย ความรู้ ความเข้าใจทักษะ
และเจตคติ เพ่อื ให้กระบวนการเรยี นรู้บรรลเุ ปา้ หมาย

ผลของกระบวนการเรียนรู้
วกิ พิ เี ดีย สารานุกรมเสรี (2555) กลา่ วถงึ กระบวนการเรียนรู้ คอื กระบวนการทท่ี ำให้
คนเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรม ความคิด คนสามารถเรยี นไดจ้ ากการ ได้ยนิ การสัมผัส การอ่าน
สวุ รี ศิวะแพทย์ (2549) กลา่ ววา่ พฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษยเ์ กิดจากการเรียนรู้ ไม่
ว่าจะเป็นการเรียนแบบวางเงื่อนไข การเรียนรู้แบบความรู้ ความเข้าใจ การเรียนรู้โดยการเลียนแบบ
หรือการเรียนรู้ที่มกี ารตอบสนองหลายๆอย่าง การเรียนรู้นี้ จะช่วยให้คนเราสามารถปรับตวั ให้เข้ากับ
สงั คมและส่งิ แวดล้อม บุคคลจะมวี ธิ กี ารดำเนนิ ชีวติ หรอื แบบแผนการแสดงออกอยา่ งไรก็ขึ้นอยู่กับการ
เรยี นรู้ นอกจากนก้ี ารเรยี นรู้ยังเป็นปจั จัยสำคัญท่จี ะช่วยให้คนเขา้ ใจพฤตกิ รรมของตนเองและพฤตกิ รรม
ของคนอื่นด้วย หากกระบวนการนั้นได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้คนมีการเปลี่ยนแปลง
พฤตกิ รรมที่คอ่ นขา้ งถาวร (Long-Lasting Changes) อันเปน็ ผลมาจากสภาพแวดลอ้ ม
ภัทรธิรา ผลงาม (2542) กระบวนการเรียนรู้ของคนหรือทรัพยากรบุคคลนั้นเป็น
ภารกจิ สำคญั ทีห่ นว่ ยงานจะตอ้ งหาแนวทางเพ่ือใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ในแต่ละบุคคล
สิ่งเหล่านี้นับเป็นประโยชน์ของกระบวนการเรียนรู้ในการนำไปพัฒนารูปแบบการ
ประยุกต์โดยใชแ้ นวคดิ เศรษฐกิจพอเพยี งในสถานศึกษาในประเทศไทยต่อไป

28

ทฤษฎีการเรียนรู้
ผ้วู ิจัยไดศ้ กึ ษาเอกสาร แนวคิด และทฤษฎตี า่ งๆ เก่ยี วกบั ทฤษฎีการเรียนรู้ ดงั น้ี
ทิศนา แขมมณี (2551) กล่าวว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory) หมายถึง
ขอ้ ความร้ทู ่พี รรณนา อธิบาย ทำนายปรากฎการณต์ ่าง ๆ เกี่ยวกบั การเรียนรู้ ซง่ึ ไดร้ บั การพิสจู นท์ ดสอบ
ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และได้รับการยอมรับว่าเชื่อถอื ได้ และสามารถนำไปเป็นหลักหรือกฎ
การเรียนรู้ย่อย ๆ หรือนำไปใช้เปน็ หลกั ในการจัดกระบวนการเรียนรใู้ ห้แกผ่ ู้เรียนได้ ทฤษฎีโดยทั่วไปมัก
ประกอบดว้ ยหลักการยอ่ ย ๆ หลายหลักการ โดยมนี ักวิชาการได้กล่าวไวด้ งั น้ี
Bloom (2009) ได้แบ่งการเรยี นรอู้ อกเป็น 6 ระดบั ดงั น้ี

1) ความรทู้ ีเ่ กดิ จากความจำ (Knowledge) ซ่ึงเปน็ ระดบั ล่างสดุ
2) ความเข้าใจ (Comprehend)
3) การประยุกต์ (Application)
4) การวเิ คราะห์ (Analysis) สามารถแกป้ ัญหา ตรวจสอบได้
5) การสังเคราะห์ (Synthesis)สามารถนำสว่ นตา่ งๆ มาประกอบเป็นรูปแบบ
ใหม่ไดโ้ ดยแตกต่างจากรูปเดมิ และเน้นโครงสร้างใหม่
6) การประเมินค่า (Evaluation) วัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด
ประกอบการตัดสนิ ใจบนพน้ื ฐานของเหตผุ ลและเกณฑ์ท่ีแน่ชัด
Gagne (2009) ได้เสนอแนวคดิ เกีย่ วกบั ทฤษฎีการเรยี นรู้ 8 ข้ันไว้ดงั นี้

1) การจูงใจ (Motivation Phase) การคาดหวังของผู้เรียนเป็นแรงจูงใจใน
การเรยี นรู้

2) การรบั รู้ตามเปา้ หมายทตี่ ัง้ ไว้ (Apprehending Phase) ผ้เู รียนจะรบั รสู้ ิ่งที่
สอดคลอ้ งกบั ความตงั้ ใจ

3) การปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ไว้เป็นความจำ (Acquisition Phase) เพื่อให้เกิด
ความจำระยะส้นั และระยะยาว

4) ความสามารถในการจำ
5) ความสามารถในการ ระลกึ ถึงสิ่งที่ได้เรียนรูไ้ ปแล้ว (Recall Phase)
6) การนำไปประยุกต์ใชก้ บั ส่งิ ทเ่ี รียนรไู้ ปแลว้ (Generalization Phase)
7) การแสดงออกพฤตกิ รรมทีเ่ รยี นรู้ (Performance Phase)
8) การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน (Feedback Phase) ผู้เรียนได้
รบั ทราบผลเรว็ จะทำใหม้ ผี ลดแี ละประสิทธิภาพสงู
Gagne (2009) องคป์ ระกอบสำคญั ทท่ี ำใหเ้ กดิ การเรียนรมู้ ี ดงั น้ี
1) เรียน (Learner) มีระบบสมั ผสั และระบบประสาทในการรับรูเ้ รยี นรู้

29

2) ส่ิงเร้า (Stimulus) คือ สถานการณต์ ่างๆที่เป็นส่ิงเร้าให้ผเู้ รยี นเกดิ การ
3) การตอบสนอง (Response) คือ พฤตกิ รรมที่เกดิ ขึ้นจากการเรียนรู้
ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ อง Gagne ได้สรา้ งทฤษฎกี ารเรียนรู้ เรยี กวา่ ทฤษฎีการรับรู้ข้อมูล
(Information Processing Theory) กล่าวถงึ ความรู้จากภายนอกเขา้ มาสู่ตวั เราไดอ้ ย่างไรการรับรู้ของ
สมองแล้วบันทึกไว้เป็นความจำชั่วคราวกับความจำระยะยาวเป็นอย่างไร รวมทั้งการระลึกได้เมื่อถูก
เรยี กและแสดงออกเปน็ พฤติกรรม เพอ่ื ให้เกดิ กระบวนการดงั กล่าว Gagne ได้จัดลำดบั ขน้ั ของการสอน
ไว้ 9 ข้ัน ดงั น้ี
ข้ันท่ี 1 เรา้ ความสนใจเพือ่ นำเข้าสบู่ ทเรียน มโี ปรแกรมทกี่ ระตนุ้ ความสนใจของผู้เรียน
เช่นใช้การ์ตูน หรือ กราฟฟิกที่ดึงดูดสายตา ความอยากรู้อยากเห็นจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจใน
บทเรยี น การตั้งคำถามก่เี ปน็ อีกสง่ิ หนึง่
ขั้นที่ 2 บอกวัตถุประสงค์ ให้ผู้เรียนทราบ ให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียนเพ่ือให้ทราบว่า
เป็นบทเรยี นเก่ียวกบั เรอ่ื งอะไร
ขั้นที่ 3 กระตุ้นความจำของผู้เรียน สร้างความสมั พันธ์ในการ โยงข้อมลู กบั ความรู้ท่มี ี
อยู่กอ่ นด้วยการทบทวนความรู้เดมิ ทเ่ี กยี่ วข้อง เพราะสิ่งนีท้ ำให้เกดิ ความทรงจำในระยะยาวไดเ้ มอ่ื ได้โยง
ถึงประสบการณผ์ ้เู รียน โดยการตงั้ คำถาม เก่ยี วกับแนวคิดหรือเนือ้ หาน้ันๆ
ขั้นท่ี 4 เสนอเนือ้ หา เป็นการอธิบายเนือ้ หาใหก้ บั ผู้เรียน โดขแนะนำส่ือวัสดุอุปกรณ์ท่ี
ใช้ชนดิ ตา่ งๆในรปู กราฟฟิก หรอื เสียงวดิ ีโอ
ขั้นที่ 5 การยกตัวอย่าง ทำได้โดยยกกรณีศึกษา การเปรียบเทียบ เป็นการแนะ
แนวทางในการเรยี นรู้ เพอ่ื ใหผ้ ูร้ ีขนเขา้ ใจ
ขั้นที่ 6 การฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดทักษะหรือพฤติกรรม เป็นการวัดความเข้าใจว่า
ผเู้ รียนไดเ้ รยี นถูกต้อง เพ่อื ให้เกดิ การอธบิ ายซำ้ เมื่อรบั สิ่งที่ผดิ
ข้ันที่ 7 การใหค้ ำแนะนำเพิ่มเตมิ เช่นการทำแบบฝึกหัด โดยมีคำแนะนำหรือให้ข้อมูล
ย้อนกลับเก่ยี วกับการปฏบิ ตั ิ
ขั้นที่ 8 ประเมนิ ผลการเรียนรู้ดว้ ยการสอบ เพือ่ วัดระดบั ความเขา้ ใจ
ขั้นที่ 9 การนำไปใช้กับงานที่ทำในการทำสื่อควรมเี น้ือหาเพิ่มเดิม หรือหัวข้อต่างๆที่
ควรร้เู พ่มิ เติม โดยสง่ เสริมความเข้าใจและการถ่ายโอนการเรียนรู้
จากทฤษฎีการเรียนรู้ของ Gagne ได้สร้างทฤษฎีการเรียนรู้ เรียกว่า ทฤษฎีการรับรู้
ข้อมูล (Information Processing Theory) กล่าวถึงความรู้จากภายนอกเข้ามาสู่ตัวผู้เรยี น ด้วยความ
คาดหวงั ทำใหเ้ กดิ แรงจูงใจในการเรยี นรู้ ผู้เรียนจะรบั รสู้ ง่ิ ท่สี อดคล้องกับความตัง้ ใจ เมือ่ สมองมกี ารรับรู้
แล้วบันทึกไว้เป็นความจำชั่วคราวกับความจำระยะยาว รวมทั้งการระลึกได้เมื่อถูกเรียกและแสดง
ออกเปน็ พฤตกิ รรม และมกี ารนำไปประยกุ ต์ใชก้ ับสง่ิ ทีเ่ รยี นร้ไู ป

30

ทฤษฎีการเรียนรทู้ างสงั คม
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) ที่อธิบายกระบวนการเกิด
พฤติกรรมได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายและนิยมนำมาประยุกต์ใช้ในการปรับ
พฤติกรรม
Bandura (1977) มีความเชื่อว่า การเรียนรู้ทำให้มนุษย์เกิดพฤติกรรมต่างๆ มนุษย์
สามารถรียนรู้พฤติกรรมใหมไ่ ด้จากประสบการณ์ตรงหรอื ไม่โดยการสงั เกต องค์ประกอบในตัวบุคคลมี
บทบาทสำคัญในการเรียนรูพ้ ฤตกิ รรม และการอธบิ ายกระบวนการเกิดพฤติกรรมของมนษุ ย์ Bandura
ได้อธิบายถึงการมปี ฏิสมั พนั ธ์ซง่ึ กันและกันอย่างตอ่ เนอื่ งระหวา่ งพฤตกิ รรม องค์ประกอบส่วนบุคคลและ
องคป์ ระกอบทางสงิ่ แวดลอ้ มซึ่งล้วนมอี ทิ ธิพลตอ่ กัน
Banduraได้กล่าวว่า ตัวกำหนดพฤติกรรมมี 2 ประการ คือ ประการแรกตัวกำหนด
พฤตกิ รรมทเี่ ปน็ สง่ิ เร้า ซง่ึ ไดแ้ ก่เหตกุ ารณต์ ่างๆท่ีเกิดขน้ึ ในสิง่ แวดล้อมท่ีซ้ำๆกัน ทำให้มนุษย์คาดการณ์
ว่า ถ้ามีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น จะมีเหตุการณ์ใดตามมา ประการที่สอง ตัวกำหนดพฤติกรรมที่เป็นผล
ได้แก่ผลของการกระทำ มนุษย์มักจะเลือกกระทำพฤติกรรมที่ได้รับผลทางบวกและจะหลีกเลี่ยง
พฤตกิ รรมท่ีไดร้ ับผลทางลบ
วิธีการเรยี นรู้พฤติกรรมของมนษุ ย์ในทัศนะของ Bandura มี 2 วธิ ี คอื การเรียนรู้จาก
ผลของการกระทำ และวธิ ีการเรยี นรูจ้ ากการเลยี นแบบ การเรยี นรู้จากผลของการกระทำเป็นการเรียนรู้
จากประสบการณต์ รง กระบวนการเรียนรู้จากผลของการกระทำจะทำหน้าท่ี 3 ประการ คือทำหน้าที่ให้
ข้อมูล ทำหน้าที่จูงใจ และทำหน้ำที่เสริมแรง ส่วนวิธีการเรียนรู้จากการ เลียนแบบ เป็นการเรยี นรู้การ
สังเกตตัวแบบกระทำพฤติกรรม เป็นการเรยี นร้จู ากประสบการณ์ทางออ้ ม การเรยี นรูจ้ ากตัวแบบอาศัย
กระบวนการเรียนรูจ้ ากการ สงั เกตเป็นสำคญั กระบวนการเรียนรจู้ ากการสังเกตตอ้ งอาศยั องค์ประกอบ
ทส่ี ำคญั 4 ประการ คือ กระบวนการใสใ่ จ กระบวนการเกบ็ จำ กระบวนการทางกายและกระบวนการจงู
ใจ
นอกจากน้ี ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสงั คมของBandura กล่าววา่ การเรยี นรู้ความสัมพันธ์
ระหว่างพฤติกรรมและผลของการกระทำจะอยู่ในรูปของความเชื่อและความคาดหวั งซึ่งเป็น
กระบวนการทางปัญญา ความเชื่อและความดาดหวังนี้จะทำหน้าที่ควบคุมหรือการกำกับการกระทำ
หรือพฤติกรรมของมนุษย์ในเวลาต่อมา การควบคุมพฤติกรรมด้วยปัญญาที่สำคัญเกี่ยวข้องกับ 3
ประการ คอื ความเชอ่ื เก่ียวกบั กฎเกณฑเ์ งือ่ นไข การคาดหวังเก่ยี วกับความสามารถของตนเองและผลที่
จะเกดิ ขึ้นและสิ่งจงู ใจ

31

รูปแบบกระบวนการเรียนรู้
รูปแบบและกระบวนการเรียนรู้มีนักวิชาการได้กล่าวไว้ ดังนี้ รูปแบบกระบวนการ
เรยี นรูต้ ามธรรมชาติของมนุษย์
เอกวิทย์ ณ ถลาง (2540) ได้อธบิ ายกระบวนการเรยี นรู้ตามธรรมชาติของมนุษย์ ดงั นี้
1) การลองผิดลองถกู การดำรงชีวติ ของมนษุ ยใ์ นอดีต ใช้วธิ ีการลองผิดลองถูกเพื่ออยู่
กับธรรมชาตแิ ละมนุษยด์ ว้ ยกนั วธิ ีการนีเ้ ป็นไปเพ่อื การหาอาหาร การสร้างทีพ่ ัก การรักษาพยาบาลเมื่อ
เจ็บป่วย การต่อสู้ป้องกันตัวระหว่างมนุษย์กับสัตว์ และกับมนุษย์ด้วยกันเองในชว่ งต้นน้ีการเรียนรู้มา
จากการบม่ เพาะประสบการณ์ เกิดความรู้ ความเขา้ ใจในสง่ิ ต่างๆ รอบตวั ว่าควรปฏิบัติอยา่ งไร อะไรไม่
ควรปฏิบัติ และจะได้รับผลจากการปฏิบัติเช่นไรแล้วนำสิ่งเหล่านี้มาถ่ายทอดให้ลูกหลานเพื่อเป็น
แนวทางในการดำรงชีวิตต่อ ไป สิ่งที่ได้รับถ่ายทอดและปฏิบัติต่อๆ กันมาน้ี เมื่อผ่านกาลเวลาเน่นิ นาน
ทำให้ภูมปิ ญั ญาเหลา่ นไี้ ด้กลายเป็นวฒั นธรรม ขอ้ ห้าม จารตี ประเพณีของคนกลมุ่ นนั้ ๆ การรับมาปฏิบัติ
ในยุคต่อ มาอาจไม่เกดิ ความร้คู วามเข้าใจหรอื สาเหตุของแนวคิด วิธีการเหลา่ น้ี นษุ ยจ์ ะรู้แตเ่ พียงว่าเมื่อ
เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้จะต้องปฏิบัติตนอย่างไรหรือไม่ควรปฏิบัติอย่างไร และมีบ่อยครั้งที่ภูมิปัญญา
เหล่านี้ไม่สามารถนำมาใชไ้ ด้อีกต่อไปเนื่องจากสังคมมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาตลอดเวลา ทำให้
มนุษย์ต้องคิดหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหา เม่ือสามารถหาวิธีแก้ไขปัญหานั้นได้แล้วก็จะเกิดการ
จดจำ และนำวิธกี ารนัน้ มาปฏิบตั สิ บื ต่อไป
2) การลงมือทำจริง (Learning by Doing) มนุษย์เรียนรูผ้ ่านการลงมอื ทำการปฏบิ ัติ
จริงด้วยตนเองกับสถานการณ์ต่างๆ รอบตัว เช่น การสร้างบ้าน การเดินทาง การสร้างเครื่องใช้สอย
ตา่ งๆ เพอ่ื การดำรง ชวี ติ การเรียนรตู้ ามวธิ ีนีม้ นษุ ยไ์ ดส้ ร้างความรู้ ความสามารถทกั ษะความคิด ทัศนติ
และคน่ ิยมขึ้นเช่นชาวบา้ นที่อาศยั อยู่ในแต่ละพน้ื ที่ของประเทศมวี ิธีการปลูกพืชผกั วิถชี วี ิตท่แี ตกต่างกัน
ตามสภาพของภูมิประเทศ พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยประกอบไปด้วยเทือกเขาเป็นสันอยู่ทาง
ตอนกลางของภาค ด้านล่างของภาคจะมีเทือกเขาอยู่ในแนวตะวนั ออกจนสุดพ้นื ที่ประเทศ สภาพพื้นที่
จะลาดลงสู่ทะเลท้ังสองด้าน พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของภาคจะเป็นพ้ืนที่ราบกวา้ ง มีสภาพอากาศร้อน
ชื้น ทำให้สภาพดินในแต่ละพืน้ ที่ของภาคใต้ไม่เหมือนกัน ชาวบ้านที่อาศัยอยูก่ าคใต้จึงเรียนรู้การปลูก
พชื ท่ีแตกต่างกัน เพราะลักษณะพ้นื ที่แบง่ ออกเปน็ 3 กลมุ่ คอื กลุ่มทร่ี าบท่มี ีลักษณะดนิ คอ่ นข้างเหนียว
เหมาะแก่การปลกู ขา้ ว กลุ่มพื้นทีท่ ี่ดนิ มคี วามหยาบมากขึน้ มีการระบายน้ำดี เหมาะแก่การปลกู ไม้ยืน
ต้น ไม้ผล และกลุ่มพื้นที่ที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก เนื่องจากพ้ืนทีม่ ีความลาดชนั มาก ดินเปรี้ยว ดิน
ทราย ดินพรุ
3) การสาธิต การสั่งสอนด้วยการบอกเล่า และการสร้างองค์ความรู้เป็นลายลักษณ์
อกั ษร ความรู้ท่ีไดจ้ ากประสบการณ์และการลองผดิ ลองถกู ถ่ายทอดสู่คนยุคต่อๆ มา โดยวธิ ที ่นี ยิ มใช้คือ

32

การสาธิต (Demonstration Tradition) การบอกเล่า (Oral Tradition) ซึ่งจะพบได้ในลักษณะของคำ
สุภาษิต กำพังเพย เพลงกล่อมเด็ก สำหรับการสร้างความรู้เป็นลายลักษณ์อักษร(Literary Tradition)
นั้นจะทำการจดบันทึกความรู้และ ภูมิปัญญาออกมาเป็นตำรา วิธีนี้จะถูกนำมาใช้เมื่อสิ่งที่ต้องการ
ถา่ ยทอดน้นั มีความซบั ซอ้ น ลึกซงึ้ เช่น ตำราโหราศาสตร์ ตำรายาสมนุ ไพรตำราการปลกู บ้าน เปน็ ตน้

4) พิธีกรรม (Ritual) การประกอบพิธกี รรมต่างๆ เปนี เรื่องของความเชื่อความศรัทธา
ในอำนาจเหนือธรรมชาติที่เน้นให้เกิดผลด้านจิตใจ ทำให้เกิดความสบายใจ และมีกำลังใจในการ
ดำรงชีวิตต่อไป กลา่ วคอื พีธีกรรมเป็นการขอมรับว่าส่งิ ต่างๆ นนั้ เป็นจรงิ โดยทส่ี ง่ิ นั้นจะพิสจู น์ได้หรอื ไม่ก็
ตามด้วยเหตุผล หรือปร าศจากเหตุผล การประกอบพธิ กี รรมเปน็ การแสดงออกถงึ สัญลักษณ์ของค่นิยม
พธิ ีกรรมมีความเกี่ยวพันกบั มนุษย์มาเปน็ เวลานาน และเปน็
แหล่งกำเนิดของประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ในสังคมซึ่งเปน็ ที่ยอมรับของชุมชน เป็นตัวบม่ เพาะปลกู ฝงั
คณุ คา่ ความเชือ่ แนวทางความประพฤติทพ่ี ึงประสงคใ์ นสงั คมน้นั ๆ โดยเฉพาะในสังคมชนบท โดขความ
ขลงั ความศักด์ิสิทธเิ์ ป็นตัวประสานความเปน็ หนึง่ เดียวของชมุ ชนหรอื ผู้เข้าร่วมพิธีหรืออาจจะกล่าวได้ว่า
พธิ กี รรมเนน้ ทผ่ี ลทางด้านจิตใจ จติ สำนกึ ของผ้เู ขา้ ร่วมเปน็ สำคญั มากกว่าภูมิปญั ญาหรอื ความรอบรทู้ ี่อยู่
เบอื้ งหลังพธิ ีกรรมน้ัน แม้ในสงั คมยุคปจั จบุ นั ทม่ี ีความเจรญิ ทางวิทยาการมากข้นึ เน้นความเปน็ เหตุเป็น
ผลที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นจริงทีว่ ิทยาศาสตร์ก็ยังให้คำตอบ
ไม่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสอนของศาสนาที่ให้ความสำคัญเรื่องจิตวิญญาณ จึงจะเห็นได้ว่า
พธิ กี รรมมคี วามสัมพันธใ์ กลช้ ิดกบั ศาสนามาช้านาน

5) ศาสนา (Religions) ศาสนากับชุมชนมีความสัมพันธก์ ันมาช้านานเน่ืองจากศาสนา
คือกรอบคำสั่งสอน ความประพฤติของคนในสังคม ให้บรรทัดฐานในการดำรงชีวิตด้วยหลักธรรม คำ
สอน ศีล วัตรปฏิบัติ และพิธีกรรมตา่ งๆ ศาสนาคือศูนย์รวมทางจิตใจของคนในสังคมมีส่วนตอกยำ้ ภูมิ
ปัญญา ความรทู้ ่ีเปน็ อุคมการณ์ของชีวิต และเป็นศนู ย์กลางการเรียนรขู้ องชมุ ชน

6) การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างคนในครอบครัวชุมชน และกลุ่ม
ต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันทำให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มเติม การแลกเปลี่ยนความรู้และ
ประสบการณ์ในลักษณะต่างๆ นี้ ทำให้กระบวนการเรียนรู้มีการขยายตวั กว้างออกไปมากยิ่งขึน้ ในแง่
ของความคิด ทัศนคติ วิธีการ นวัตกรรม มีการผสมผสานความรู้ และเกิดความรู้ใหม่ๆ อย่างไม่มี
ขอบเขต และไมม่ ีท่ีส้ินสุด

7) การผลติ ซ้ำทางวัฒนธรรม (Cultural Reproduction) การนำความเชอื่ ประเพณีที่
ปฏิบัติสืบทอดกันมาในอดีตมาผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมเพื่อเผยแพร่ ตอกย้ำ สืบสานความเชื่อ เป็นการ
สะสมความสำเรจ็ และส่ิงมีค่าของบรรพบุรุษ ดงั นน้ั การผลติ ซำ้ ทางวัฒนธรรมก็เปน็ อกี หน่ึงลักษณะของ
กระบวนการเรยี นรูข้ องมนุษย์ซง่ึ มเี กดิ ขึ้นตลอดเวลา

33

8) ครูพักลักจำ เป็นอีกหนึ่งลกั ษณะของการเรียนรู้ท่ีใช้การสังเกตและการจำจากสิ่งที่
ได้เห็นได้ยิน ซึ่งไม่ใช่การเรยี นรู้โดยตรง แล้วนำมาฝึกปฏิบัติจนได้ผลสำเร็จ ในบางกรณีวธิ ีครูพกั ลักจำ
เมื่อนำมาปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ควรจะเป็นหรือกาดหวัง แต่อาจได้ผลลัพธ์แบบใหม่ๆ เป็นการ
สรา้ งสรรคส์ ิ่งใหมๆ่ ขึ้นมากไ็ ด้

มนษุ ย์เราเม่อื ถอื กำเนิดมา จะเกดิ การเรียนรขู้ นึ้ อย่ตู ลอดเวลา ทัง้ ท่รี ู้ตัวและไม่รตู้ ัวเป็น
การเรยี นรจู้ ากสภาพแวดลอ้ มตา่ งๆ ร อบตวั จากสภาพเดมิ ๆ ที่เป็นอยู่ หรืออาจมกี ารนำมาประยุกต์ให้
สอดคลอ้ งกับตนเองและบริบทตา่ งๆ ทมี่ กี ารเปลีย่ นแปลงตลอดเวลาเปน็ การเรียนร้ทู ง้ั ทางด้านกายภาพ
และจิตใจ แหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของสังคมในยุคก่อนก็คือครอบครัว บุคคลจะเรียนรู้จาก
ความสมั พันธ์ของแตล่ ะบคุ คลในครอบครวั เรียนรู้เรือ่ งหนา้ ที่ ระบบชีวิต (เกิด แก่ เจบ็ ตาย) เม่ือเติบโต
ขึ้นเริ่มรู้จักสังคมนอกบ้าน ก็จะมีการเรียนรู้ในด้านประเพณี กฎระเบียบ ค่านิยมปทัสฐาน ธรรมเนียม
ปฏิบัติ ในทุกๆ ชุมชนจะมีผู้รู้เฉพาะค้าน เช่น การทอผ้า การปั้น การละคร การสร้างบ้านไปจนถึง
โหราศาสตร์ ท่ีเปน็ ภูมปิ ัญญาเฉพาะท้องถนิ่ ที่ชุมชน ไดส้ ะสมและพัฒนาความรู้เหล่าน้ันไว้และมีการสืบ
สานมรดกทางความรู้ให้แก่คนในท้องถิ่น โรงเรียนและวัดหรือสถาบันทางศาสนาอื่นๆ ก็เป็นอีกแหล่ง
เรียนรู้คู่กับชุมชน โคยพระสงฆ์แต่ละรูปหรือผู้รู้ในศาสนาอื่นจะเป็นผู้ทำหน้าที่สอนความรู้ต่างๆ ตาม
ความสามารถ ความถนดั ใหก้ ับบตุ รหลานในชมุ ชน จึงนบั ไดว้ ่าแหล่งความรูม้ อี ยูร่ อบตัว

ปฐม นิคมานนท์ (2535) กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้ตามธรรมชาติของมนุษย์ใน
ชมุ ชนชนบทไทย สามารถจำแนกได้ 5 รปู แบบทสี่ ำคัญ ดังน้ี

1) การสบื ทอดในลกั ษณะอาชีพของหมู่บา้ น
2) การสืบทอดอาชีพหรือความถนัดเฉพาะอย่างภายในครอบครัว มีการสืบ
ทอดภายในสายตระกลู
3) การเรียนรู้จากผู้รูใ้ นลักษณะของการฝึกงาน ไปอยู่อาศยั หรือบวชเรียนใน
วดั หรืออาจเป็นการเรยี นโดยจ่ายค่าเรยี น เป็นการทำงานร ะบบกล่มุ หรอื อาจมเี จ้าหนา้ ท่ีมาจัดสอนให้
4) การฝึกฝนด้วยตนเอง เกิดจากความรู้สึกชอบสิ่งนั้นๆมาตั้งแต่เด็ก การได้
เห็นตัวอยา่ งแล้วทำตาม และการมผี ขู้ ้ีแนะในข้นั ต้น
5) เกิดจากความบังเอิญ เช่น การฝันหรือมีอำนาจลึกลับมาสิงสู่ทำให้มี
ความสามารถในการรักษาโรคบางอยา่ ง และทำนายทายทักสิ่งต่างๆ ได้
ดงั น้ันกระบวนการเรยี นร้ตู ามธรรมชาติ ต้องมีการสบื ทอดตามความถนัด มีการเรียนรู้
จากผรู้ ู้ ร่วมทำ ร่วมฝกึ ฝนตนเอง เพ่อื ให้เกดิ การเรียนรู้
รูปแบบกระบวนการเรยี นรู้แบบมีสว่ นร่วม
วราลักษณ์ ไชยทัพ, บัณฑูร อ่อนดำ และสามารถ ศรีจำนง ( 2544) ได้กล่าว่าการ
พัฒนาสังคมไทยท่ีผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันผ่านกระบวนการเรียนร้มู ากมาย ได้สรุปไว้ว่านับตั้งแต่

34

ประเทศมีการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางธนาคาร โลก ได้มกี ารนำความคิดการพฒั นาแบบทุนนิยมมา
ใช้ เนื่องจากมองวา่ ประเทศยงั เป็นประเทศด้อยพัฒนาและต้องการเร่งรัดการเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกิจ
การพัฒนาในสมัยนั้นจึงมุ่งเน้นแต่การพัฒนาทางด้านวัตถุเพื่อต้องการความทันสมัย นำเทคโนโลยี
เครื่องจักรกลมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ วิธีการพัฒนาเป็นไปในแบบมองสังคมเป็นสังคมด้อย
พฒั นา ขาดความรู้ ความชำนาญการ การพัฒนาจึงเป็นไปในแบบรวมศนู ย์อำนาจของระบบอุปถมั ภแ์ ละ
ราชการเนน้ การเปน็ ผู้ให้ โดยละเลยองค์ความรู้ และภูมิปัญญาในระดับท้องถ่ินการพฒั นาในสมัชน้ันจึง
เป็นการพัฒนาแบบด้านเดียวขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน ผลจากการพัฒนาตามแนวทางนี้ทำให้
เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำเกิดข้นึ หลายดน้ รัฐบาลจึงกลับมาให้ความสำคญั กับการมีส่วนร่วมของชุมชน
ต่อมาการพัฒนาจึงเปลี่ยนเป็นลักษณะแบบผสมผสานเน้นการจัดตั้งกลุ่มอาชีพต่างๆ โดยจัดให้มี
นักพัฒนาซึ่งเป็นคนนอกนำความรูแ้ ละเทคโนโลยตี ่างๆ เข้ามาพัฒนาสังคม เป็นผู้นำชุมชนโดยไมไ่ ด้ให้
ความสำคัญกับศักยภาพของคนในชุมชน ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหา หาแนวทาง
แก้ไข ความขัดแยั้งภายในกลุ่มระหว่างชาวบ้านกับนักพัฒนาจึงเกิดขึ้น เนื่องจากชาวบ้านไม่ให้ความ
ร่วมมือ จากปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดการเรียนรู้หาแนวทางในการพัฒนาร่วมกันระหว่างองค์กรของรฐั
กับชุมชน การพฒั นาในชว่ งต่อมาจงึ หนั มาให้ความสำคญั กับการศึกษาชุมชน องค์ความรู้ และภมู ปิ ัญญา
ท้องถิ่น การทำงานมีลักษณะเชื่อมโยงทั้งระดับชุมชนและแก้ไขปัญหาโครงสร้างและนโยบาย เกิดการ
รวมกลุ่มขององค์กรประชาชนหลายระดับ ให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมกับนักพัฒนาในการวิเคราะห์
ปัญหา มีกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกันเกิดขึ้น ซึ่งองค์กรพัฒนาจะใช้คำว่า "องค์กรชุมชน
เข้มแข็ง" จะเห็นได้ว่ากระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning: PL มีความสำคัญ
และเป็นแนวทางในการพัฒนาทย่ี ั่งยนื แก้ไขปญั หาความเหล่อื มลำ้ ความขัดแย้งในชมุ ชน

ประวิทย์ อ้อยเธียรชัย (2544) กล่าวว่า รูปแบบการมีส่วนร่วมนั้นเกิดข้ึนที่จิตใจ การ
เรียนการสอนที่ไม่เข้าถึงจิตใจของผู้เรียน จึงไม่สามารถทำให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ได้ ไม่ว่าผู้สอนจะ
สอนดีเพียงใดกต็ ามหลกั ของการเรยี นรู้ให้รู้จึงมีเพียงประการเดียวเท่านั้น คือ ต้องให้ผู้เรียนมีสว่ นร่วม
ดว้ ยจิตใจ ทำให้ตัวเองเกดิ การเรียนรใู้ นสิ่งทคี่ รอู ยากจะให้รู้ไม่ทางตรงก็ทางออ้ ม มีหลกั การสำคญั ดังน้ี

1) หลักการเรยี นเชิงประสบการณ์เปน็ การเรยี นรู้ที่แสดงถงึ ความสัมพันธ์ของ
3 มิติได้แก่ ค้านความคิด ด้านแรงจูงใจ และด้านบริบททางสังคม ซึ่งทั้ง 3 มิติส่งผลต่อการเรียนร้ขู อง
นกั เรียนภายใต้พฤติกรรมดา้ นการสนบั สนุนและสง่ เสรมิ ของครู

2) หลักการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Learning) มีหลักสำคญั 3 ข้อ
ได้แก่ 1) จะต้องให้เด็กได้สร้างความรู้เอง 2) ต้องเป็นกระบวนการ คือ มีขั้นตอนหรือองค์ประกอบ
ชดั เจน 3) จะต้องสามารถโยงเข้ากับชวี ติ ประจำวนั ได้

35

กรมสุขภาพจิต (2544: 13-17) กล่าวว่า การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมประกอบด้วย
หลักการเรยี นร้พู ืน้ ฐาน 2 แบบ คือ

1) การเรียนรเู้ ชงิ ประสบการณ์
2) การเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่ม สำหรับการเรียนรู้เชิงประสบการณ์มี
ลกั ษณะ ดังนี้

(1) เปน็ การสอนท่ีมุ่งนั้นให้ผเู้ รยี นสร้างความรจู้ ากประสบการณเ์ ดมิ
(2) การเรียนรู้ที่อาศัยประสบการณ์ของผู้เรียนทำให้เกิดการเรียนรู้
ใหม่ ๆ ท่ีทา้ ทายอยา่ งต่อเนอ่ื ง และเปน็ การเรียนรู้เชงิ รุก (Active Learning) คอื ผู้เรยี นต้องทำกิจกรรม
ตลอดเวลาไมไ่ ดน้ ั่งฟงั บรรยายอย่างเดยี ว
(3) การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเอง และระหว่างผู้เรียน
กับผู้สอน
(4) ปฏิสัมพนั ธ์ท่ีมที ำให้เกดิ การขยายตัวของเครือขา่ ยความรู้ที่ทุกคน
มอี ยอู่ อกไปอย่างกวา้ งขวาง
(5) อาศัยการสื่อสารทุกรูปแบบ เช่น การพูดหรือการเขียน การวาด
รูป การแสดงบทบาทสมมติ ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดการแลกเปลีย่ นการวิเคราะห์ และการสังเคราะห์การ
เรยี นรู้ ส่วนองค์ประกอบของการเรียนรู้เชงิ ประสบการณ์ ประกอบดว้ ย ประสบการณ์ การสะท้อนและ
การอภิปราย ความคดิ รวบยอด การทดลองและการประยกุ ต์แนวคดิ คือ ประสบการณ์ผสู้ อนกระตุ้นให้
ผู้เรียนนำประสบการณ์เดิมของตนเองมาพัฒนาเป็นองค์ความรู้อย่างต่อเนื่องการสะท้ อนและการ
อภปิ ราย (Reflection/Discussion) ผ้สู อนชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นได้แสดงออกเพ่ือแลกเปล่ยี นความคิดเห็น และ
การเรียนรซู้ ่งึ กันและกัน ความคิดรวบยอด (Concept) ผ้เู รยี นเกดิ ความเข้าใจ และนำไปสู่ความคิดรวบ
ยอด อาจเกิด โดยผู้สอนเป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สานต่อหรือผู้เรียนเป็นฝ่ายริเริ่มแล้วผู้สอนช่วย
เพิ่มเติมให้สมบูร ณ์จนเกิดเป็นความคิดรวบยอด ารทดลองและประยุกต์แนวคิด (Experimentation/
Application) ผู้เรียนนำเอาการเรียนรู้ที่ได้ไปประยุกด์ใช้ในสถานการณ์จรงิ จนเกิดเป็นแนวปฏิบตั ิของ
ผู้เรียนเอง และในการจัดการเรียนการสอน จำเป็นต้องจัดกิจกรรมให้ครบทั้ง 4 องค์ประกอบ ซึ่งมี
ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องมีผลถึงกัน ผู้ถ่ายทอดจะเริ่มจากจุดใดก่อนก็ได้กำหนดระยะเวลาของแต่ละ
องค์ประกอบ และดูความเหมาะสมของแต่ละกิจกรรม หลักการเรียนรูพ้ ื้นฐานแบบที่ 2 คือ การเรียนรู้
ด้วยกระบวนการกลุม่ (Group Process) เป็นการเรียนรู้พื้นฐานทีส่ ำคัญ ซึ่งเมื่อนำมาประกอบกับการ
เรียนรู้เชิงประสบการณ์แล้ว กระบวนการกลุ่มจะช่วยทำให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมสูงสุด และทำให้บรรลุ
งานสงู สดุ

36

พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ และคณะ (2544) ไดก้ ลา่ วถงึ แนวคิดพ้นื ฐานท่ีสำคัญสำหรับการ
เรียนร้แู บบมีสว่ นร่วมนั้น มี 7 ประการ ดงั น้ี

1) ผู้เรียนเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญ ในการมีส่วนร่วมนั้น แต่ละบุคคลมี
ความสำคัญเท่ากัน ไมว่ า่ จะมีความร้รู ะดบั ใด มภี มู ิหลงั อย่างไร หรอื มปี ระสบการณ์อะไร ทั้งน้ีเนื่องจาก
แต่ละบุคคลมีลักษณะเฉพาะตน และมีความหลากหลาย ทั้งความรู้ แนวคิด และประสบการณ์ การมา
เรยี นร้รู ่วมกนั ทำใหแ้ นวความคดิ ความรู้และประสบการณน์ ้นั มีการขยายกวา้ งขวางออกไปมากยง่ิ ข้ึน

2) ทกุ คนเป็นผ้สู อน ทุกคนเป็นผเู้ รยี น แต่ละคนมศี ักยภาพทแี่ ตกตา่ งกนั ทั้งใน
เรื่องของความสามารถในการเรียนรู้ ทักษะ ทัศนคติ ค่านิยม การมาเรียนรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนความรู้
และประสบการณ์ต่อกัน ทำให้มีทัศนคติท่ีกว้างขน้ึ ดังนั้นทุกคนจะมีความสำคญั และมบี ทบาทเท่าเทียม
กนั โดยอาศยั พ้นื ฐานของความสมั พันธ์ ท่ีดี มีการสอื่ สาร ท่ีแทจ้ ริง มคี วามเคารพซ่งึ กันและกัน ยอมรับ
ผอู้ ่ืน และรบั ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

3) การมีส่วนร่วมและการเป็นหุ้นส่วนในกระบวนการเรียนรู้ แต่ละบุคคล
จะต้องมสี ่วนร่วมในกระบวนการเรยี นรู้ และมีบทบาทในกระบวนการเรยี นรู้ตา่ งๆ รว่ มกนั เช่น กำหนด
วัตถุประสงค์ มกี ารสนับสนุนใหท้ กุ คนได้แสดงออก แสดงความคิดเห็น

4) การเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจรงิ และเชื่อมโยงสัมพันธ์กับชุมชนทุกระดบั
การเรียนร้เู ร่ิมจากแนวคิด ปัญหาที่สนใจ หรอื ปัญหาท่มี ีความเกย่ี วข้องกับตนเอง โดยใหแ้ ต่ละคนแสดง
ความคิดเห็นในประเด็นน้ันๆ และทำการเชื่อมโยงประสบการณ์ของแต่ละบคุ คลสถานการณ์ต่างๆ เข้า
ด้วยกัน ทำให้มองเห็นภาพรวมของปัญหามากขึน้ เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ปัญหา กำหนดแนวทางใน
การแกไ้ ขปญั หา

5) การเรียนรู้โดยการปฏิบัติ การเรยี นรู้แบบมสี ่วนรว่ ม คอื การนำกิจกรรมใน
เร่อื งท่เี กี่ยวข้องเข้ามาเพือ่ ให้ทกุ คนมสี ว่ นรว่ มในการปฏบิ ัติ

6) พลังการเรียนรู้ร่วมกัน การเรียนรู้จากผู้อื่นเป็นการสร้างความเข้าใจใน
ปัญหาตามสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น โดขแต่ละคนมีเป้าหมายเดียวกัน ร่วมกันกำหนดแนวทางในการ
แก้ปญั หา รับผิดชอบรว่ มกัน ทำใหเ้ กิดพลงั ของการเรยี นรู้ มคี วามสามคั คใี นกลมุ่ เพือ่ รว่ มกนั แก้ไขปัญหา

7) การพัฒนาความจริงเชิงวิพากษ์ การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนอกจากจะทำ
ใหเ้ กิดพลังในการเรยี นรูแ้ ลว้ ยงั เป็นการสร้างเสริมลกั ษณะนสิ ัยการวเิ คราะหส์ ถานการณต์ ่างๆตามความ
เป็นจริงท่เี กดิ ขนึ้ ไมส่ รุปสถานการณใ์ ดๆ ง่ายเกนิ ไป เปน็ การพฒั นาทกั ษะความคดิ เชิงวิพากษ์

สรุปไดว้ ่าผู้เรยี นเป็นแหลง่ การเรยี นรู้ทสี่ ำคัญ ในขณะเดยี วกันเปน็ ทั้งผู้สอนและผู้เรียน
มีส่วนร่วมเป็นหุ้นส่วนในกระบวนการเรียนรู้นั้นโดยมีความสัมพันธ์กับชีวิตจริง เชื่อมโยงกับชุมชนทุก
ระดับ ส่งผลให้เกิดการเรียนรแู้ บบมีสว่ นรว่ มในการปฏบิ ัติเกดิ พลังในการเรียนรู้และขับเคล่อื น

37

ประเวศ วะสี (2537) กลา่ ววา่ การเรียนร้ขู องชุมชนตอ้ งเป็นแบบมปี ฏสิ มั พันธ์จากการ
กระทำร่วมกัน (Interactive Learning Through Action)หรือ การเรียนรู้โดยลงมือกระทำจริง
(Learning by Doing การเรียนรูล้ ักษณะนี้จะกอ่ ใหเ้ กดิ ปัญญาทีม่ คี ุณภาพเพียงพอสำหรับการเอาชนะ
ความยากจนในการพัฒนาสังคมได้ นั่นก็คือกระบวนการเรียนรู้ท่ีควบคู่ไปกับการปฏิบัติหรือการทำ
กจิ กรรมน่นั เอง สอดคล้องกบั สภุ ณิดา ปสุ ุรินทรค์ ำ(2551) ซึ่งสรปุ หลกั การสำคัญของการเรียนรู้แบบมี
ส่วนร่วมว่าจะต้องใช้การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) ร่วมกับ การเรียนรู้ด้วย
กระบวนการกล่มุ (Group Process) ซงึ่ มีลักษณะสำคัญ 5 ประการ คือ

1) การเรยี นรู้ต้องอาศยั ประสบการณ์ของผู้เรียน
2) การเรยี นรู้เกิดจากการทำกจิ กรรมต่างๆ อยา่ งตอ่ เนือ่ ง (Active Learning)
3) การมีปฏสิ มั พันธร์ ่วมกนั ของทกุ คนทอ่ี ย่ใู นกลุ่ม
4) การมีปฏิสมั พนั ธต์ ่อกันทำใหอ้ งค์ความร้เู กิดการขยายตัวอย่างกว้างขวาง
5) การเรยี นรู้อาศยั การสอ่ื สารทุกรูปแบบ เช่น การพูด การอ่าน การฟังทำให้
เกดิ การวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์การเรยี นรู้
วราลักษณ์ ไชยทัพ (2544) กล่าวถึง กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมมี 8 ขั้นตอน
คือ 1) ประเมินปัญหาความต้องการของผูเ้ ข้าร่วม 2) กำหนดวัตถุประสงค์ 3) เลือกกำหนดเนือ้ หาและ
จัดลำดับเนื้อหา 4) เลือกวิธีการในการจัดการเรียนรู้ 5) จัดทำโกรงการจัดการเรียนรู้ 6) การออกแบบ
จัดทำหลักสูตรกระบวนการจัดการเรยี นรู้ 7) จัดกระบวนการเรียนรู้ 8) ประเมนิ ผลและติดตามสนบั สนุน
2.2.2 แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกบั ศนู ยก์ ารเรียนรู้
ศูนย์การเรียนรู้ถือว่าเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน จัดกิจกรรม ซึ่งมีความสำคัญกับการ
ขับเคลื่อนชุมชนเปีนอย่างมากเพื่อให้เกิดการพัฒนาซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แหง่ ชาติฉบับที่ 11 เกย่ี วกบั การให้คนเป็นศูนย์กลางเพือ่ จัดกระบวนการเรียนร้สู ูช่ มุ ชน
2.2.2.1 ความหมายของศูนยก์ ารเรียนรู้
สำหรับศูนยก์ ารเรียนรนู้ ัน้ มีนักวชิ าการใหค้ วามหมายดงั นี้
กรมการศึกษานอกโรงเรียน (2546: 1) ได้กล่าวถึง ศูนย์การเรียนรูเ้ ป็นศูนยก์ ลางการ
จัดการศึกษาเพ่ือการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับประชาชนในชุมชน และเป็นสถานที่สร้างโอกาสในการ
เรยี นรู้ ถา่ ยทอดและแลกเปลย่ี นประสบการณ์ วทิ ยาการ ตลอดจน ภูมิปญั ญาของชุมชน รวมทั้งยังเป็น
แหล่งบริการ ชุมชนในการจัดกิจกรรมต่างๆที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน โดยเน้นการ
เรียนรูบ้ นวิถีชีวติ กับการเปลีย่ นแปลงในยคุ โลกภิวตั น์ และก่อให้เกิดสงั คมแห่งการเรยี นรู้มงุ่ พึง่ พาตนเอง


Click to View FlipBook Version