38
กรมการศึกษานอกโรงเรียน (2545)ได้ให้ความหมายของศูนย์การเรียนชุมชนว่า เป็น
ศูนย์กลางการจัดกิจกรรมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชนได้มี โอกาสเรียนรู้และแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ อกี ทัง้ ยงั เปน็ แหล่งบรกิ ารชุมชนในการจดั กิจกรรมตา่ งๆตามความต้องการของชมุ ชน
บุญส่ง บุญทศ( 2543) กล่าวว่า ศูนย์การเรียน คือ สถานที่ที่มีบรรยากาศแห่งการ
เรยี นรู้ มีบรกิ ารสื่อการเรียนการสอนตามความต้องการของผู้เรยี น มีการจัดกระบวนการเรียนการสอน
และมีบุคคลากรอำนวยความสะดวก มีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเน่ือง ทำให้ประชาชนสามารถเรยี นรู้ได้
ตลอดชีวิต เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาแก่ประชาชนให้กว้างขวางทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่
โดยกิจกรรมต่างๆจะสอดคล้องกับความต้องการของประชาชน กลมกลืนกับวิถีชีวิตของชุมชนและทนั
ต่อความเปลย่ี นแปลงในยุค โลกาภิวตั นเ์ พอ่ื ให้เกดิ สงั คมแห่งการเรยี นรู้
UNESCO (2535) กล่าวว่าศูนย์การเรียน คือ สถานที่ใดๆ ที่จัดอย่างง่ายๆ เพื่อให้
ประชาชนได้มี โอกาสเข้าไปศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองฉะนั้นโรงเรียน วิทยาลัย ห้องสมุด สถาน
ประกอบการ ศูนยว์ ัฒนธรรม ที่อ่านหนงั สือ สโมสรฯลฯตา่ งใชเ้ ป็นศนู ยก์ ารเรยี นได้
สุกฤตตา จันทรวิมล (2545)ได้ระบุว่าศูนย์การเรียนชุมชน หมายถึง แหล่งการจัด
กิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องประชาชนสามารถใช้บริการค้นคว้าหาความรู้และยังเปน็
สถานท่ที ี่ประชาชนได้มโี อกาสจัดกจิ กรรมตา่ งๆ ของชุมชนตามความตอ้ งการ
ดังนั้นตามแนวคิดศูนย์การเรียนรู้ เป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน
และตามความตอ้ งของประชาชนในชุมชน เพื่อให้สอดคล้องกับวถิ ีชวี ติ และสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตาม
กระแสโลกาภิวัตน์
2.2.2.2 พัฒนาการของศนู ยก์ ารเรียนรู้
ชลทิตย์ เอ่ยี มสำอางค์ (2528) กลา่ วถึง ศูนย์การเรยี นรเู้ ป็นแนวทางการศึกษาแนวใหม่
ทเ่ี นน้ การเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามอัธยาศยั และเรยี นรู้อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ซ่ึงข้อนอดตี ของการศึกษาไทยพบว่า
การศกึ ษานอกโรงเรียน (Non-Formal Education) ถอื ว่ามมี าก่อนการศกึ ษาในระบบหรือการศึกษาใน
โรงเรียนเชน่ ปจั จุบนั ในสมัยอยุธยาการศึกษากเ็ กดิ ข้ึนในวัดในการเรียนการอ่าน การเขยี น และคำบาลี
รวมทัง้ ศิลปวิทยาการต่างๆ โดยเร่ิมจากการบวชเป็นสามเณร ไปจะกระทัง่ อายุครบเกณฑ์บวช เป็นการ
เรียนที่สอดคล้องกับบริบท สภาพปัญหาและสังคมในยุคสมัยนั้น การเรียนดงั กล่าวไมม่ ีการบังคับ ไม่มี
ช้นั เรยี น ไม่มีกำหนดเวลา ไมม่ ีการกำหนดอายแุ ละไมม่ ีหลกั สูตร ในสมัยตอนตน้ กรงุ รัตนโกสินทร์เริ่มมี
การติดต่อกบั ต่างชาติมากขนึ้ และเกิดการพมิ พห์ นังสอื ขนึ้ ทำใหก้ ารศึกษามกี ารเปลี่ยนแปลง มีแบบเรียน
จินดามณี ประถม ก กา ประถม มาลา เป็นต้น แต่กระนั้นระบบการศึกษาก็ยงั คงเป็นการศกึ ษาที่ไมม่ ี
แบบแผน โดยเฉพาะเด็กหญิงมโี อกาสไดเ้ รียนน้อยกว่าเด็กชาย จวบจนในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเปีนยุคท่ี
เริ่มมีการศึกษาในระบบ (Formal Education) ขึ้น มีการจัดตั้งโรงเรียน โดยเริ่มจากในวัด มีการทำ
39
หนังสือเรียน เช่น มูลบทบรรพกิจ วาหนิดิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน ไวพจน์พิจารณ์และพิศาล
การันต์ โดยพระยาศรสี ุนทรโวหาร นอกจากน้นั เร่ิมมีการกำหนดหลักสูตรและกำหนดระยะเวลาในการ
เรียน ใน พ.ศ.2414 มกี ารจัดต้งั โรงเรยี นพระตำหนกั สวนกหุ ลาบและโรงเรียนวัดมหรรณพารามข้ึน พ.ศ.
2430 มีการจดั ต้งั กรมศกึ ษาธิการขึ้น พ.ศ. 2435ยกฐานะกรมข้ึนเปน็ กระทรวงธรรมการพ.ศ. 2459 ยก
ฐานะโรงเรียนขา้ ราชการพลเรือนขึ้นเป็นจุพาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย พ.ศ. 2483 มีการจัดต้งั กองการศกึ ษา
ผู้ใหญ่ขึ้นและให้ส่วนราชการทุกกระทรวงร่วมกันดูแลเพื่อตอบสนองแนวนโยบายการพัฒนาประเทศ
ของคณะราษฎร์เนื่องจากเห็นว่าประชาชนคนไทยจำนวนมากไม่รู้หนังสือ ซึ่งแนวทางการศึกษานอก
โรงเรียนก็ตอบสนองแนวนโยบายนั้นมาโดยตลอด โดยสามารถจำแนกตามลักษณะของศูนย์การเรียน
ออกได้เป็น 3 ประเภทคือ 1) ใช้สถานศึกษาเป็นฐาน (Institution-Based) 2 ใช้ชุมชนเป็นฐาน
(Community-Based) และ3) รปู แบบผสมผสาน (Integrated-Based)
คณะกรรมการที่ปรึกษาคณะปฏิวัติฝ่ายการศึกษานอกโรงเรียน (2515) ได้กล่าวถึง
การพฒั นาศนู ยก์ ารเรยี นร้วู ่า แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตฉิ บับท่ี 4 (พ.ศ. 2520-พ.ศ. 2524)
มีจุดมุ่งหมายให้การศึกษาเปน็ กระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต มุ่งส่งเสริมคุณภาพของพลเมือง ซึ่งตรง
กับลักษณะของศูนยก์ ารเรยี นแบบผสมผสานที่เป็นการจัดการศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษา
ตามอัธยาศัยรวมเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การศึกษานอกโรงเรียน จึงหมาขถึง
ประสบการณ์และกิจกรรมที่จัดขึ้นนอกระบบการศึกษาในโรงเรียนภาคปกติ เพื่อส่งสริมความรู้และ
ความสามารถทั้งในด้านความรู้ทั่วไปและวิชาชีพให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ ประกอบอาชีพและทำ
หน้าที่พลเมืองให้ดี ด้วยเหตุนี้ในปีพ.ศ. 2522 มีการจัดตั้งกรมการศึกษานอกโรงเรียนขึ้นและยุบรวม
ห้องสมุดประชาชนเป็นกิจกรรมหน่งึ ของศนู ย์การศึกษานอกโรงเรยี น โดยกำหนดใหศ้ นู ย์การศึกษานอก
โรงเรยี นมหี นา้ ทด่ี ูแลรบั ผิดชอบ ส่งเสริม สนบั สนุนและชว่ ยเหลอื การดำเนนิ งานของหอ้ งสมุดให้คล่องตัว
มปี ระสทิ ธิภาพในการบรกิ ารให้ความรขู้ อ้ มูลข่าวสารและจดั กจิ กรรมแกป่ ระชาชน
กรมการศกึ ษานอกโรงเรียน (2538)ไดม้ กี ารจำแนกการศกึ ษานอกโรงเรยี นออกเปน็ 3
ประเภทคั่วยกัน คือ 1 การศึกยาขั้นพื้นฐานและต่อเนื่อง 2 การพัฒนาความรู้และอาชีพ 3 การให้
ขา่ วสารขอ้ มลู
ดงั นนั้ การพฒั นาของศูนยก์ ารเรยี นรูท้ ำให้เกดิ การพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ของชุมชน
อย่างยั่งยืนเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนพัฒนาศูนย์การเรียนรู้และ
ขับเคลอ่ื นสเู่ ป้าหมาย
40
2.2.3 แนวคิดเกย่ี วกับการขับเคลอื่ นศูนยก์ ารเรียนรู้
สาหรับการขับเคลอื่ นศนู ย์การเรียนรนู้ น้ั มแี นวคดิ ทสี่ ามารถนำมาปรับบใช้ได้ ดังนี้
2.2.3.1 กระบวนการขับเคล่ือนในระดบั ปฏิบัติการ
กระบวนการพัฒนาในระดับปฏิบัตกิ ารมนี ักวชิ าการกลา่ วไว้ ดังนี้
สุพรรณี ไชยอำพร (2549) กล่าวว่าในการ ขับเคลื่อนชุมชนนั้นจะต้องมี
กระบวนการพัฒนาในระดบั ปฏิบัติการและตอ้ งผ่านมิติวฒั นธรรมใน 3 มติ ดิ ว้ ย คอื 1) ระบบความเชื่อ/
ความคิด 2) ระบบคุณค่/ค่านิยม รวมถึงคุณธรรมและจริยธรรม และ 3) แบบแผนของคนส่วนใหญ่ที่
กระทำและมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน หรือเป็นกึ่งอัตโนมัติ โดยสำนึกว่าต้องทำอะไร เมื่อไรอย่างไร
(Pattern of Action Behavior) ในการขับเคล่อื นงานพัฒนาหรือการขบั เกล่อื นชุมชนใดๆ จะมีขั้นตอน
ท่ีนน้ั มิตขิ องชาวบ้านเปน็ หลัก แตย่ ังตอ้ งเตรียมคน หรือผู้นำชุมชนใหม้ ีความสนใจและเข้ามาร่วม ฉะน้ัน
การขับเคลอื่ นจึงจำเป็นต้องมกี ารเตรียมความพร้อมของผู้คน ซง่ึ ประกอบดว้ ยผูน้ ำและประชาชนไว้ดังน้ี
1) ข้นั การตระหนกั ในชอ่ งวา่ ง (Consciousness Gap) ซ่งึ การตระหนักในชอ่ งว่างน้ีมกั
บ่งชี้ด้วยการรับรู้ปัญหาการมีความต้องการ โดยมองเห็น/ รับรู้ถึงช่องว่างหรือช่วงห่างของสภาพที่
เปน็ อย่กู ับส่ิงทีพ่ งึ ปรารถนา (Problem/Need)
2) ขั้นมีความต้องการเปลีย่ นแปลงอย่างมขี อบเขต (Aspiration Frontier) เมื่อบุคคล
ตระหนักในช่องว่างแต่ยอมรับได้ปลง ได้ การขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนแปลงย่อมไม่เกิดขึ้นดังนั้นหาก
ต้องการให้มีการขับเคลื่อน จำเป็นต้องเสริมสร้างให้เกิดการถูงใจในการเปลี่ยนแปลงหรือต้องการการ
เปลี่ยนแปลง การนำสิ่งที่ดีงามน่ากาภูมิใจทั้งในอดีตและปัจจุบันของชุมชนมาเป็นสื่อชักนำให้มีความ
ตอ้ งการให้มสี ่งิ ทดี่ งี ามนา่ ภาคกมู ิใจเปน็ ตน้
3) ขั้นให้เกียรติไม่สร้างความรู้สึกแปลกแยก (De-Alienation) กล่าวคือ ในการ
ขับเคล่ือนงาน เพอ่ื จะให้บุคคลตดั สนิ ใจเขา้ มามีสว่ นร่วม จำเปน็ ตอ้ งให้เกยี รติ หรอื สร้างความรู้สึกว่าทุก
คนมีความสำคญั ตอ่ งานการขบั เคลอื่ น
4) ขั้น การมีส่วนร่วม (Participation) เนื่องจากการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดภาวะการ
เปลยี่ นแปลงท่ีย่ังยืน ผคู้ นไนชมุ ชนจำเปน็ ตอ้ งเช้ามามีสว่ นร่วม ไมว่ ่าจะเป็นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
(Genuine Participation) อันหมายถึง การมีส่วนร่วมตัดสินใจ หรือการมีส่วนร่วมแบบต่อเนื่อง
(Continuous Participation) คือ การมีส่วนร่วมในรูปแบบใครูปแบบหนึ่งตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดการ
ขบั เคลื่อน
5) ข้นั สามารถพ่ึงตนเอง (Self-Reliance) ทัง้ การพึง่ ตนเองทางวัตถุ การพ่ึงตนเองทาง
จิตใจ และการพง่ึ ตนเองทางสติปัญญา
6) ขั้นผู้คนในสังคมคำนึงถึงส่วนรวมร่วมกัน (Collective Personality Society)
คิดถึงผ้อู ่ืน คิดถึงผลประโยชน์สาธารณะ ตลอดจนการมจี ิตอาสา
41
2.2.3.2 การบริหารจดั การศูนย์การเรียนรู้
ความหมายการบรหิ ารจดั การ
บุญทัน ดอกไธสง (2537) ให้ความหมายว่า การบริหาร คือ การจัดการทรพั ยากรที่มี
อยู่ให้มีประสิทธภิ าพมากท่ีสุดเพ่ือตอบสนองความต้องการของบุคคล องคก์ าร ประเทศ หรอื การจัดการ
เพ่ือผลกำไรของทุกคนในองค์การ
ติน ปรัชญพฤทธิ์ (2535) มองการบริหารในลักษณะที่เป็นกระบวนการโดยหมายถึง
กระบวนการนำเอาการตดั สินใจ และนโยบายไปปฏิบัติ ส่วนการบริหารรฐั กจิ หมายถึงเกีย่ วข้องกับการ
นำเอาน โยบายสาธารณะไปปฏบิ ัติ
ไพบูลย์ ช่างเรียน (2532) ให้ความหมายการบริหารว่า หมายถึง ระบบที่ประกอบไป
ด้วยกระบวนการในการนำทรัพยากรทางการบริหารทั้งทางวัตถุและกนมาดำเนินการเพื่อบรรลุ
วตั ถุประสงคท์ กี่ ำหนดไวอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพและประสิทธิผลการบริหารจดั การหมายถึง การดำเนินงาน
หรือการปฏิบัติงานใดๆ ของหน่วยงานของรัฐหรือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับคน สิ่งของและ
หน่วยงาน โดยครอบคลุมและนำกระบวนการบริหาร หรือ ปัจจัยที่สำคัญต่อการบริหาร ที่เรียกว่า
แพ็มส์-โพสคอรับ (PAMS-POSDCORB) มาเปน็ แนวทางในการให้ความหมายได้แก่ การบรหิ ารนโยบาย
(Policy) การบริหารอำนาจหน้าที่ (Authority) การบริหารคุณธรรม (Morality) การบริหารท่ี เก่ียวขอ้ ง
กบั สังคม(Society) การวางแผน (Planning) การจดั องค์การ (Organizing การบรหิ ารทรัพยากรมนุษย์
(Staffing) การอำนวยการ(Directing) การประสานงาน (Coordinating) การรายงาน (Reporting) และ
การงประมาณ (Budgeting)เช่น กระบวนการบริหาร POSDCORB ของLuther Gulick และ Lyndall
Urvick ประกอบด้วยขั้นตอนการบริหาร 7 ประการ ได้แก่ 1) การวางแผน (Planning) 2) การจัด
องค์การ (Organizing) 3)การบริหารงานบุคคล (Staffing) 4) การอำนวยการ (Directing)5) การ
ประสานงาน (Coordinating) 6) การรายงาน (Reporting) และ 7) การงบประมาณ (Budgeting)
การบริหารจัตการของศูนย์การเรียนรู้เป็นการให้บริการความรู้แก่ประชาชนและ
เปรยี บเสมอื นสถานศกึ ษา จึงตอ้ งนำหลักการวา่ ด้วยการบริหารกิจการบา้ นเมืองและสงั คมท่ีดี ที่เรียกว่า
“ธรรมาภบิ าล” มาบูรณาการในการบรหิ ารและจดั การศกึ ษาเพอื่ เสรมิ สร้างความเขม้ แข็งใหก้ ับศูนย์การ
เรยี นร้ใู นฐานะท่ีเปน็ ส่วนหนง่ึ ของสังคมดว้ ย หลกั การดงั กล่าว ไดแ้ ก่
1) หลักนิตธิ รรม
2) หลักคณุ ธรรม
3) หลกั ความโปร่งใส
4) หลกั การมีสว่ นร่วม
5) หลักความรับผดิ ชอบ
6) หลกั ความคมุ้ ค่า
42
หลกั ประสทิ ธิผลขององคก์ าร
พฒั นามาจากแนวความคดิ ของ Gibson, Ivancevich แล: Donnelly (1997) ที่มกี าร
นำมิตเิ วลาเข้ามาเกี่ยวข้องและใชห้ ลกั เกณฑ์การวดั ประสทิ ธิผลแบบพหเุ กณฑ์ ไดแ้ ก่ เกณฑ์ในระยะสน้ั
(Short run) ประกอบดว้ ย ความสามารถในการผลติ ประสทิ ธภิ าพและความพงึ พอใจ เกณฑใ์ นระยะ
กลาง (Intermediate) ประกอบไปดว้ ย ความสามารถในการปรับตัว และการพัฒนา และเกณฑ์ใน
ระยะยาว (Long-un) คอื การอยู่รอดขององค์การ ดังนี้
1. ความสามารถในการผลิต ประเมินได้จากปริมาณผลผลิตและบริการที่บุคลากรใน
องค์การสามารถให้ได้เพยี งพอกบั ความตอ้ งการของผรู้ ับบรกิ าร
2. ประสทิ ธิภาพ หมายถึง ความมากนอ้ ยของการที่องค์การสามารถบรรลุเป้าหมายได้
โดยใชท้ รพั ยากรที่น้อยทส่ี ุด
3. ความพึงพอใจ หมายถึง การที่องค์การสามารถตอบสนองความต้องการของ
พนักงานไดม้ ากน้อยเพยี งใด
4. ความสามารถในการปรับตัว หมายถึง ความสามารถขององค์การที่ต้องตอบสนอง
ตอ่ การเปลยี่ นแปลงสง่ิ แวดล้อมภายนอกและภายในองคก์ าร
5. การพัฒนา หมายถึง การที่องค์การจะต้องลงทุนให้กับตนเองเพื่อเพิ่มสมรรถนะ
การพัฒนาเป็นกลยุทธท์ จ่ี ะสร้างศกั ยภาพในการตอบสนองต่อการเปล่ยี นแปลงขององค์กร
6. การอยู่รอด หมายถึง การที่องค์การสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ในสภาพแวดล้อมที่มี
อย่รู อบองค์การ
แนวคดิ นการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้
พัฒนามาจากแนวความคดิ ของ Peter M. Senge (1990) ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ
1. การคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ เปน็ การทบี่ คุ ลากรมองเหน็ ภาพรวมของงาน ทำให้สามารถ
วางแผนการทำงานในส่วนยอ่ ย ๆได้ มคี วามคดิ ทท่ี ันต่อสถานการณ์ และไม่ยอ่ ท้อต่ออุปสรรค
2. ความรอบรู้แห่งตน เป็นการที่บุคลากรในองค์การฝึกฝนตนเองให้ไฝ่รู้ไฝเรียน
ตลอดเวลา เพอ่ื เพม่ิ ความสามารถในการสรา้ งสรรค์ผลงาน
3. รปู แบบทางความคิด คอื การทีบ่ ุคลากรไมย่ ดึ ตดิ กับความเช่ือเก่า ๆ ทล่ี า้ สมัย แต่มี
รปู แบบทางความคดิ ท่ีมองโลกตามความเปน็ จริง
4. การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน การมีวิสัยทัศน์ร่วมกันจะส่งผลให้เกิดดวามเป็นเจ้าของ
ร่วมกัน และทำให้สมาชิกไนองคก์ ารเชือ่ ใจกัน และทำงานรว่ มกันได้ง่ายย่ิงข้นึ
5. การเรียนรรู้ ว่ มกันเปน็ ทมี เปน็ การเรียนรู้รว่ มกันของสมาชิกในลกั ษณะกลมุ่ เพ่ือให้
มกี ารแลกเปลี่ยนและถา่ ยทอดความรแู้ ละประสบการณร์ ะหวา่ งบคุ ลากรอยา่ งสม่ำเสมอ
43
หลกั การมีสว่ นรว่ ม
โคเฮน และอฟั ฮอฟ (Cohen & Uphoff, 1977) ได้อธิบายและวเิ คราะหร์ ปู แบบการมี
ส่วนรว่ มโดยสามารถแบง่ ออกเป็น 4 รูปแบบ คอื
1. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
รเิ รม่ิ ตัดสินใจ คำเนินการตัดสนิ ใจ และตัดสินใจลงมือปฏบิ ัตกิ าร
2. การมสี ว่ นร่วมในการปฏิบตั กิ าร (Implementation) ประกอบไปดว้ ยการสนบั สนุน
ทางคา้ นทรพั ยากร การเขา้ รว่ มในการบริหาร และการประสานขอความร่วมมือ
3. การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ (Benefit) ทางด้านต่าง ๆ ประกอบไปด้วยผล
ประโชชนท์ างด้านวัสดุ ผลประโชชนท์ างสังคมและผลประ ไซชนส์ ว่ นบุคคล
4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation) เกี่ยวกับการควบคุมและการ
ตรวจสอบการดำเนินกจิ กรรมทง้ั หมด และเปน็ การแสดงถึงการปรับตวั ในการมสี ว่ นร่วมตอ่ ไป
ในดา้ นการบริหารศนู ยก์ ารเรยี นรสู้ ามารถแบง่ ได้เปน็ เป็น 4 ค้าน ประกอบด้วย
1) ในด้านการบริหารวิชาการ ประกอบด้วย งานค้านการพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผล การพัฒนาสื่อ นวัตกรรม และ
เทคโนโลยี การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ การแนะแนวการศกึ ษา และการส่งสริมความรดู้ ้นวิชาการแกช่ มุ ชน
2) ด้านการบริหารงบประมาณ ประกอบด้วย ภาระกิจค้าน การจัดทำและ
เสนอของบประมาณ การจดั สรรงบประมาณ การตรวจสอบติดตามประเมนิ ผลและรายงานผลการใช้เงิน
และผลการดำเนินงานการระดมทรพั ยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา การบริหารการเงินการบริหาร
บัญชี และการบรหิ ารพสั ดแุ ละสินทรพั ย์
3) การบรหิ ารงานบุคคล ประกอบด้วย ภาระกจิ ด้าน การวางแผนอัตรากำลัง
และทำหนดตำแหน่ง การสรรหาและการบรรจุ การเสรมิ สร้างประสทิ ธภิ าพในการปฏิบตั งิ าน วินัยและ
การรกั ษาวินยั
4) การบริหารทั่วไป ประกอบด้วย ภาระกิจค้าน การดำเนินงานธุรการการ
ประสานและพัฒนาเครือขา่ ย การจัดระบบการบริหารและพัฒนาองคก์ ร งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ การ
ดูแลอาคารารสถานที่และสภาพแวดล้อม การส่งเสริมและประสานงานการศึกษาในระบบ นอกระบบ
และตามอธั ยาศัย การประชาสมั พนั ธ์ การส่งเสรมิ สนบั สนนุ และประสานงานการศึกษาของบุคคลชุมชน
องค์กร หน่วยงานและสถาบนั งานประสานราชการ และงานบริการสาธารณะ
วิชยั รปู ขำดี และสงั คม คุณคุณากรสกลุ (2550) ได้กล่าวถึงการบรหิ ารศูนย์การเรียนรู้
มีจุดเริ่มตน้ ของศูนยก์ ารเรียนรมู้ าจากการจัดใหม้ ีท่อี ่านหนังสือประจำหมบู่ ้านท่รี เิ ร่ิมจากกรมการศึกษา
นอกโรงเรียน และพัฒนาขึ้นเป็นห้องสมุดและกลายเป็นศูนย์การเรียน โดยห้องสมุดสำหรับประชาชน
44
เริม่ แรกตง้ั ใน พ.ศ.2459 และยตุ บิ ทบาทใน พ.ศ.2471 ห้องสมดุ สำหรบั ประชาชนได้ฟื้นตวั ขึน้ มาใหม่ใน
พ.ศ. 2483โดยมสี ถานภาพเป็นสถานศึกษาหรอื สาขาของสถานศึกษาสังกดั กรมสามญั ศึกษา
สมพันธ์ เตชะอธิก (2539) กล่าวว่ากระบวนการเรียนรู้ก็เป็นหัวใจของการพัฒนา
ชุมชนโดยใช้ศูนย์การเรียนท่ีเสริมสร้างให้สมาชิกของชุมชนมีความสามารถในการตัดสนิ ใจและกำหนด
ตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ความเข้มแข็งและสุขภาวะของชุมชน กิจกรรมและกระบวนการในการจัดการความรู้
การขุดคั่นและรวบรวมความรู้ การจัดหมวดหมูค่ วามรู้ การจัดเกบ็ ความรู้ การสื่อสารเพื่อการถา่ ยทอด
ความรู้กายในศูนย์การเรียนของชุมชน มีกิจกรรมเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การวิเคราะห์
สงั เคราะหเ์ พอ่ื ยกระดบั ความรู้ การสรา้ งความรูใ้ หม่ การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้
ชลทิตย์ เอี่ยมสำอาง (2528) ได้กล่าวถึงศูนย์การเรียนรู้ควรมีสื่อและเอกสารต่างๆไว้
ให้บริการ นอกจากนัน้ ยังควรจัดให้มีนิทรรศการเผยแพร่ความรูใ้ นโอกาสต่างๆ มีการจัดกิจกรรมเสรมิ
การเรียนรตู้ ่างๆ มีหลักสูตรทง้ั สายสามัญและสายอาชีพตามความตอ้ งการของชุมชน หรือมกี ารจดั พาไป
ทัศนศึกษานอกสถานที่ ยิ่งไปกว่านั้นควรจัดให้มีบริการการศึกษาผ่านสื่อทางไกลเช่นดาวเทียมหรือ
อินเตอร์เน็ต ในส่วนของศูนยข์ ้อมูลชุมชนนัน้ ควรจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศของชุมชนไว้โคยจัดได้เป็น 9
ประเภท ประกอบดว้ ย
1) ขอ้ มลู สภาพทวั่ ไปของชุมชน
2) ข้อมูลทางสังคมของชุมชน
3) ขอ้ มูลการเมือง การปกครองทอ้ งถนิ่
4) ข้อมูลการศกึ ษาของประชากรในชุมชน
5) ข้อมลู ศลิ ปวัฒนธรรมชมุ ชนและภูมิปญั ญาท้องถน่ิ
6) ขอ้ มูลวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที อ้ งถ่นิ
7) ข้อมูลดา้ นเกษตรกรรม
8) ขอ้ มลู ด้านอตุ สาหกรรม
9) ข้อมลู พน้ื ฐานเศรษฐกจิ
การบรหิ ารในกระบวนการพฒั นาหลักสตู รตามแนวทางการศึกษานอกโรงเรียนสำหรับ
ศูนย์การเรยี นร้มู ีดงั น้ี
1) สำรวจปัญหาและความต้องการของประชาชน
2) วิเคราะห์ปัญหา จัดหมวดหม่แู ละจดั ลำดบั ของปัญหา
3) ศกึ ษาวเิ คราะหป์ รัชญาแนวคดิ จิตวิทยาและความตอ้ งการของ
4) กำหนดจุดมุง่ หมายของหลกั สตู ร
5) แปลงจดุ มงุ่ หมายเปน็ เนือ้ หาและรายวิชาย่อย
6) ทบทวนตรวจสอบเน้อื หาสาระ
45
7) จัดทำแบบเรียนและคมู่ ือ
8) ทดลองใช้หลกั สูตร
9) เผยแพร่และอบรมการใช้หลักสตู ร
10) ประเมนิ ผลของการใช้หลักสูตร
Luther Gulick และ Lyndall Urwick ไดก้ ลา่ วถึงปจั จัยการบรหิ ารงานของห้องสมุด
ที่เรียกว่า POSDCORB ได้แก่ การวางแผน (Planning) การจัดองค์กร (Organizing) การบริหารงาน
บคุ คล (Staling) การส่งั การ (Directing) การประสานงาน (Coordinating) การทำรายงาน (Reporting)
และการจดั ทำงบประมาณ (Budgeting) รายละเอียดดงั น้ี
การวางแผน (Planning) มีการวางแผนการจัดตั้งสังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนา
องค์ความรู้ (องคก์ ารมหาชน) เปน็ หนว่ ยงานหลักในการจัดการทนุ ทางปญั ญาใหก้ ับสังคมไทยเพื่อให้คน
ในสงั คมไทยมี โอกาสเขา้ ถึงแหลง่ ทุนทางปัญญาท่ีเท่าเทยี มกนั อุทยานการเรียนรู้เปน็ หน่วยงานหนึ่งใน
สังกดั ของสำนกั งานบริหารและพฒั นาองคค์ วามรู้ (องคก์ ารมหาชน)
การจัดองค์กร (Organizing) สำนักงานบริหารและ พัฒนาองค์ความรู้ (องค์การ
มหาชน)มีการแบ่งแยกองค์กรออกเป็นหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ทีซีดีซี)
สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์
คุณธรรม) ศนู ยค์ วามเป็นเลิศคา้ นชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (ทีเซลล)์ และอทุ ยานการเรียนรู้(TK
park)
การบริหารงานบุคคล (Staffing) อุทยานการเรียนรู้มีการจัดโครงสร้างการบริหาร
ประกอบด้วยกณะกรรมการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะที่ปรึกษาคณะกรรมการ และกณะผู้บริหาร
สำนักงานอุทยานการเรยี นรู้
การสั่งการ (Directing) เป็นไปตามสายงานจากผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และ
ฝ่ายต่างๆอีก 10 ฝ่าย อาทิ ฝ่ายอุทยานฯ ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายการตลาด เป็นต้นการ
ประสานงาน
(Coordinating) เป็น ไปตามสายงานและมีสำนักผู้อำนวยการเป็นหน่วยงาน
ประสานงานกบั ฝา่ ยตา่ งๆ
การทำรายงาน (Reporting มีการ จัดทำรายงานประจำปี
การจดั ทำงบประมาณ (Budgeting) ในปพี .ศ. 2549 ไดร้ ับงบประมาณ 457,523,334
บาท ในปี พ.ศ.2550 ไดร้ ับงบประมาณ 295,981,250 บาท (อุทยานการเรยี นรู้, 2550: 144)
46
2.2.4 แนวคิดเกี่ยวกบั ความเปน็ ไปไดใ้ นการจดั ตัง้ ศูนยก์ ารเรยี นรู้
2.2.4.1 ความหมายของการศึกษาความเปน็ ไปได้
มนี ักวิชาการไดใ้ หค้ วามหมายของความเป็นไปได้ ดงั น้ี
สุวิมล ติรกานันท์ (2550) กล่าวว่าความเปน็ ไปได้ (Feasibility Study) หมายถึง การ
ประเมินเพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของทางเลือก เพื่อนำมาจัดทำเป็นน โยบาย แผนงาน หรือโกรง
การใดๆ ทั้งนี้มกั นิยมประเมนิ กนั ใน คา้ นดว้ ยกันคอื
1) ด้านเศรษฐกิจ เปน็ การพจิ ารณาคา่ ใชจ้ ่ายท่ีเกิดขนึ้ เมอ่ื เทยี บกบั ผลตอบแทนทไี่ ดร้ บั
2) ค้านสังคม เป็นการพิจารณาว่าแผนงาน หรอื โครงการไม่ขัดตอ่ วฒั นธรรมประเพณี
และการคำรงชีวติ ตลอดจนเป็นทข่ี อมรบั ของสังคม
3) ค้านการเมือง เป็นการพิจารณาว่าการดำเนินงานจะมีข้อขัดแย้งกับทางการเมือง
เกิดข้นึ หรอื ไม่ ตลอดจนได้รบั ขอ้ สนับสนนุ ทางการเมอื ง
4) ด้านการบริหาร เป็นการพิจารณาถึงขีดความสามารถขององค์กรที่เกี่ยวข้องว่ามี
ความสามารถทจี่ ะดำเนนิ การตามแผนหรือไม่
5) ด้านเทคนิค เป็นการพิจารณาถึงความเหมาะสมและความเปน็ ไปได้เกยี่ วกับเทคนิค
วิธกี ารทน่ี ำมาใชใ้ นการดำเนนิ งาน
6) ด้านสิ่งแวดล้อม เป็นการพิจารณาโครงการ หรือแผนงานที่จัดทำขึ้นมีผลต่อการ
ทำลายส่งิ แวดล้อมหรือไม่
นอกจากนี้ สามารถพิจารณาถึงความเหมาะสม และการประเมินผลประ โยชน์ของ
ความเป็นไปได้ (Feasibility) ของโครงการโดยการเปรียบเทียบกับค่าใชจ้ ่ายที่ใชไ้ ปในการพัฒนาระบบ
ขององคก์ ร โครงการส่งเสริมการผลติ เอกสารชุดวชิ าและส่อื ประกอบการเรยี นการสอน โดยมีปัจจัยท่ีใช้
เป็นหลกั เกณฑ์ในการพิจารณาดว้ ยกนั 4 ประการ คอื
1) ความเป็นไปได้ดา้ นเศรษฐศาสตร์ (Economic Feasibility) การ ศึกษาความเป็นไป
ได้ทางเศรษฐศาสตร์หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "การวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทน (Cost-Benefit
Analysis)" เปน็ การศึกษาถึงผลตอบแทนทางการเงนิ และตนั ทนุ ที่เกิดขึน้ จากโครงการพฒั นาระบบ โคย
มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญของการศึกษาความเป็นไปได้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ คือการจำแนกผลตอบแทน
ตน้ ทนุ ท่จี ะใชใ้ นโคร งการพัฒนาระบบ ในการวเิ คราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนจะใช้ฟงั ก์ชันทางการเงิบ
เพื่อคำบวณหาดบั ทุนและกำไร ตลอดจบผลตอบแทบที่คาคว่าจะไดร้ บั
2) ความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค (Technical Feasibility) เป็นการศึกษาถึงความ
เป็นไปได้ทางด้านเทดนิคมีวัตถุประสงค์ เพื่อทำให้เข้าใจถึงความสามารถในการพัฒนาระบบใหม่ของ
องค์กร และเป็นการประเมินเทคนคิ ของระบบใหม่ทีใ่ ชใ้ นการแก้ปัญหา โดยอาจจะอาศยั คำถามเพื่อเป็น
แนวทางในการประเมิน ดงั นี้
47
(1) เทคโนโลยีท่จี ะนำมาใช้น้นั สามารถรองรับปริมาณลกู ค้kที่อาจเพิ่มจำนวน
มากข้นึ และสามารถปรบั เขา้ กับปญั หาที่จะเกิดข้นึ ไดห้ รอื ไม่
(2) เทคโนโลยีที่มอี ยูเ่ ดิมนั้นสามารถปรับใช้กับระบบใหม่ได้หรอื ไม่ ถ้ำาไมไ่ ด้
องค์กรสามารถซือ้ มาไดโ้ ดยมคี า่ ใช้จา่ ยทีผ่ ้บู ริหารพึงพอใจหรอื ไม่
(3) บุคลากรขององค์กรมีความเชี่ยวชาญกับเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้มากพอ
หรือไม่
ทั้งนี้ หากมกี ารนำเทคโนโลยที ่ีมีมาตรฐานมาใชใ้ นการทำงานหรือดำเนินการย่อมถือได้
วา่ เปน็ สง่ิ ทดี่ ีตอ่ การถา่ ยทอดขอ้ มูลข่าวสารความรูต้ ่าง ๆ แต่ในขณะเดียวกนั ก็อาจมีความเสี่ยงต่อความ
เข้าใจของกลุ่มผู้ใชง้ าน/ ชุมชน สืบเนอ่ื งจากเทคโนโลยีทีน่ ำมาใชน้ น้ั มีความล้ำยุคเกนิ ไปดว้ ยเหตุนี้ การ
สร้างความคนุ้ เคยของผู้ใชง้ านกับการพัฒนาระบบสารสนเทศ ย่อมมคี วามจำเปน็ ต่อการนำเทคโนโลยีท่ี
ทันสมัยลำ้ ยุคมาปรบั ใชใ้ นองค์กรเชน่ กนั
3) ความเป็นไปได้ทางค้านการปฏิบัติงาน (Operational Feasibility) เป็นการ
ประเมินถึงระบบใหม่เม่อื มีการใช้งาน วา่ จะสามารถแก้ไขปญั หาของระบบเดมิ ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใดรวมถึง
ความรู้สึกของผ้ใู ชร้ ะบบที่มีต่อการทำงานของระบบใหม่ดว้ ยการจะประเมนิ ว่าระบบใหม่นั้นจะสามารถ
แกไ้ ขปัญหาของระบบเดมิ ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดงั นี้
(1) ประสิทธิภาพ (Performance) ระบบใหม่น้ันมีความเรว็ ในการทำงานมาก
น้อยเพียงใด
(2) สารสนเทศ (Information) สารสนเทศที่จะได้จากระบบใหม่นั้น มี
ความถกู ต้อง ตรงประเดน็ และสามารถใช้รว่ มกนั ได้หรือไม่
(3) เศรษฐศาสตร์ (Economy) ระบบใหม่นัน้ สามารถชว่ ยลดต้นทุนหรอื เพม่ิ
กำไรให้กับองคก์ รได้อยา่ งไร
(4) การควบคุม (Control)มีความสามารถในการควบคุมระบบเพื่อป้องกัน
การ โกงและการ ยกั ยอก และมคี วามถูกต้องปลอดภัย ของข้อมลู มากน้อยเพียงใด
(5) ประสิทธิผล (Efficiency) ระบบใหม่จะต้องมีการใช้แหล่งทรัพยากรมาก
ทส่ี ดุ เพียงใด เชน่ ทรพั ยากรบุคคล เวลา ข้อมูล เปน็ ต้น
(6) การบริการ (Services)ระบบใหมม่ กี ารเตรยี มการบริการเม่ือเกดิ ปัญหาแก่
ผใู้ ชง้ าน และมคี วามยดื หยนุ่ หรอื ไม่
ไพโรจน์ ภัทรนรากุล (2551) ไดก้ ล่าววา่ ถึงความเป็นไปได้ของการประเมนิ โครงการ
ที่มขี นาดเล็กว่า สามารถทำการตัดสนิ ใจ ไดท้ ันทเี ม่อื ดูจากขอ้ มูลต่าง ๆ ทีเ่ สนอมาแต่หากเป็นโครงการ
ขนาดใหญ่ท่ีมีความสลบั ซับซ้อน ใช้เวลายาว (Long Term Project) จะตอ้ งทำการประเมนิ ความเป็นไป
ได้ (Feasibility Study: FS หรือ Feasibility Analysis: FA) ที่มีความครอบคลุมในทุกด้าน ทั้งด้าน
48
เศรษฐกิจ สังม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีขอบเขตการศึกษาความเป็นไปได้ใน 6 ค้านด้วยกัน คือ 1) ด้น
เทคนิค 2) ด้านการเงิน 3) ด้านการจัดการ 4) ด้านสังคมและการเมือง 5) ด้านการตลาด และ ) ด้าน
ส่ิงแวดล้อม ทง้ั นี้หากเปน็ ภาคธรุ กิจจะเนน้ ค้านเศรษฐกจิ และค้านการตลาดเปน็ หลัก แต่หากเปน็ ภาครัฐ
มกั จะมุ่งเน้นให้ความสำกญั กับด้านสงั คมการเมอื ง และด้านส่งิ แวดลอ้ ม
ดังนั้น การวิเคราะห์ความเป็นได้ของโครงการ เป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ความ
เป็นไปไดข้ องการจัดทำศนู ย์การเรียนรู้
จันทนา จันทโร และศิริ จันทร์ ทองประเสริฐ (2534) ให้ความหมายของการศึกษา
ความเปน็ ไปได้ของโครงการว่า หมายถึง การศึกษาเพื่อตอ้ งการทราบผลที่จะเกิดข้นึ จากการดำเนินการ
ตามโครงการนัน้ โดยพิจารณาจากการศกึ ษาดา้ นการตลาด วิศวกรรม และการเงนิ ของโกรงการเในหลัก
ทงั้ น้เี พ่อื ชว่ ยประกกาการตัดสนิ ใจขกงผู้ทค่ี ิดจะลงทุนในโครงการน้ันๆ
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (2536) ได้กล่าวไว้ว่า การศึกบาความ
เป็นไปได้ของโครงการ เป็นข้ันตอนทสี่ ำคัญในการลงทุนตามโครงการลงทุน เพราะเป็นขน้ั ตอนท่ีจะต้อง
วิเคราะหไ์ ห้ได้คำตอบว่า ควรจะลงทุนตามโครงการน้ัน ๆ หรอื ไม่ โดยความเป็นไปได้ เป็นองค์ประกอบ
หนึ่งของแผนธุรกิจ ผู้ประกอบการที่จะขอรับการลงทุนจากสถาบันการเงินจะต้องเสนอแผนธุรกิจและ
ผลการศึกษาความเป็นไปได้ต่อสถาบนั การเงินเสมอ
ชัยยศ สันติวงษ์ (2539) ได้กล่าวไว้ว่า การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
อุตสาหกรรมโดยทวั่ ไป จะมีกิจกรรมหลกั หรอื หนา้ ทหี่ ลกั 3 กิจกรรม คอื กิจกรรมดา้ นตลาดดา้ นเทคนิค
และด้านการเงิน ผลของกิจกรรมดังกล่าวจะสรุป หรือสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปของงบการเงิน
ล่วงหน้า (Performa Financial Statement) ซึ่งเป็นหัวใจสำกัญเพือ่ นำมาประเมินผลและตัดสินใจว่า
จะลงทนุ ในโครงการหรอื ไม่ โดยพจิ ารณาทีผ่ ลตอบแทนจากการลงทุน และความสยี่ งว่าค้มุ กบั เงินลงทุน
และความเสี่ยงทีค่ าดวา่ จะเกิดขึน้ หรือไม่การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จะเป็นการพิจารณาจาก
การศึกษาวเิ คราะห์ โครงการ ใน 4 ด้าน คอื ดา้ นการตลาด ดา้ นเทดนคิ ด้านการจัดการ และค้นการเงิน
ซง่ึ ผลของกจิ กรรมดังกลา่ ว จะสรปุ หรอื สะท้อนออกมาให้เหน็ ในรปู ของการประมาณการกำไรสุทธิ ของ
โครงการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการนำมาประเมินผลและตัดสินใจในการลงทุนหรือไม่ โดยพิจารณา
ผลตอบแทนจากการลงทนุ วา่ ค้มุ ค่าในการลงทุน
หรือไม่
สรุปได้ว่า การศึกยาความเป็นไปได้ในการ จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ ต้องนำหลักการเกณฑ์
ความเป็นไปได้ทง้ั ในคา้ นเศรษฐกจิ สงั คม การเมือง การบริการ เทคนคิ ส่ิงแวดล้อม เพ่อื เป็นแนวทางใบ
การจดั ทำศนู ย์การเรยี บรทู้ ่ีเหมาะสมกนั ชุมชน
2.2.4.2 แนวคิดการวิเคราะห์โครงการ
ชยั ยศ สนั ติวงษ์ (2539) ไดท้ ำการวเิ คราะห์ โครงการแบ่งได้ 4 ดา้ น ดังนี้
49
การวิเคราะห์ด้านการตลาดการวิเคราะห์ด้านการตลาด (Market Analysis) เป็น
การศึกษารายละเอียดของขอ้ มูลท่ีนำไปใชก้ ำหนดเป้าหมายของตลาดคุณลักษณะ และ ภาวะของตลาด
ตลอดจนระบถุ งึ ขนาค
ตลาดโดยทั่วไป การวเิ คราะหด์ า้ นการตลาดท่ีนำมาใชใ้ นการศึกษากับโรงเรียนกวดวิชา ประกอบไปด้วย
1) บรรยายภาวะตลาดโดยสรุป รวมถึงขอบเขตของตลาด ชอ่ งทางระบบการ
จดั จำหน่ายและวธิ ปี ฏิบตั ิในทางการคำเนนิ ธุรกิจไรงเรียนกวดวิชาโดยท่ัวไป
2) วเิ คราะห์อปุ สงค์ทัง้ ในอดตี ปัจจบุ ัน และอนากต
3) วิเคราะห์ช่องทางระบบการจัดจำหน่าย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เก็บ
รวบรวมขา่ วสารเกีย่ วกบั สถานการณแ์ ขง่ ขนั ของโรงเรียนกวดวชิ า เชน่ คา่ เลา่ เรียน คุณภาพ กลยุทธ์ทาง
การตลาดของกู่แขง่ ขัน
4) คาดคะเนส่วนแบ่งตลาดของโครงการนั้น โดยคำนึงถึงอุปสงค์ การจัด
จำหนา่ ยสถานการณแ์ ขง่ ขนั และกลยทุ ธ์ทางการตลาดของโกรงการนั้น
ศิริวรรณ เสรีรตั น์ และคณะ(2541) ไดก้ ล่าววา่ การวเิ คราะห์ด้านการตลาดจะใช้ทฤษฎี
สว่ นประสมการตลาดสำหรับธุรกิจใหบ้ รกิ ารหรือ 7 P's มาประกอบในการวิเคราะหแ์ ตล่ ะส่วนดงั น้ี
1) ผลิตภัณฑ์ (Product) หมายถึง สิ่งท่ธี ุรกจิ เสนอเพื่อตอบสนองความจำเป็น
และความตอ้ งการของบุคคลให้พึงพอใจ
2) ราคา (Price) หมายถงึ มลู ค่าผลิตภณั ฑใ์ นรูปตัวเงิน
3) สถานที่ (Place) หมายถึง สถานที่ให้บริการ ทำเล ที่ตั้ง หรือช่องทางจัด
จำหน่าย
4) การส่งเสรมิ การตลาด (Promotion) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมต่างๆที่
จูงใจให้ถกู คำเขา้ มาใช้บรกิ าร เชน่ สื่อสง่ิ พมิ พ์ การลดราคา การโฆษณา เปน็ ตัน
5) บุคลากร (People) หมายถงึ บคุ ลากรในองคก์ รที่คอยให้บริการ ตัง้ แต่ต้น
จนจบกระบวนการในธุรกิจบริการส่วนใหญ่ลูกค้าที่ใช้บริการจะเกี่ยวช้อง โดยตรงกับพนักงานและ
ประเมินผลความพอใจจากบริการที่ได้รับ ดังนั้นบุกลากรจึงเป็นองค์ประกอบที่สำกัญสำหรับตลาด
บริการ
6) ขั้นตอนการให้บริการ (Process) หมายถึง ขั้นตอนต่าง ๆ ของการใช้
บริการ ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ เนื่องจากในธุรกิจบริการลกู ก้าจะสัมผัสกับกระบวนการใหบ้ ริการ
โดยตรงดงั นนั้ องค์ประกอบด้านนี้จึงมคี วามสำคัญเปน็ อยา่ งมาก
7) ภาพลกั ษณ์ตา่ งๆ ขององคก์ ร (Physical Evidence) หมายถึงส่วนประกอบ
ขององคก์ รที่ลกู คา้ สามารถสมั ผสั ไดแ้ ละเปน็ สว่ นทเี่ พิม่ ความมนั่ ใจให้แก่ลกู ค้ำให้เขา้ มาใช้บรกิ าร
50
การวเิ คราะหด์ ้านการเทคนิค
การวิเคราะห์ด้านเทคนิค (Technical Analysis) จะบ่งบอกความเป็นไปได้ทางด้าน
เทคนคิ และเป็นพื้นฐานในการคาดคะเนตน้ ทุนของโครงการเพือ่ จัดหาแหล่งเงินทุนต่อไป
การวเิ คราะห์ด้านเทคนคิ จะพิจารณาในเรอ่ื งตอ่ ไปนี้
1) ในการกำหนดทำเลสถานทีต่ ั้ง พร้อมทั้งประเมินความเหมาะสมของทำเล
สถานท่ี
2) คุณลักษณะของผลติ ภัณฑ์ รวมถึงรายละเอียดคุณสมบัตทิ างด้านกายภาพ
3) การกำหนดขนาด และวิธีการก่อสรา้ ง
4) การออกแบบผงั อาคาร และการปรบั ปรุงทด่ี ินในการกอ่ สรา้ ง
การวิเคราะห์ดน้ การจดั การ
การวิเคราะห์ด้านการจัดการ (Management Analysis) เป็นการศึกษาก่อนการ
จัดการก่อนการดำเนินงาน เช่นการ ขออนุญาตการจัดตั้งโรงเรียนกวดวิชา ยังคงต้องรวมถึงการศึกษา
เพื่อกำหนดรูปแบบในการคำเนินงานของโรงเรียนกวดวชิ าการจัดโครงสรา้ งการบริหารงาน การกำหนด
คุณสมบตั ิ หน้าที่และความรับผิดชอบในแต่ละตำแหนง่ การสรรหาและการรักษาครู อาจารย์ พนักงาน
รวมทัง้ การกำหนดคา่ ตอบแทนในแต่ละตำแหน่ง และการดำเนินการต่างๆ ก่อนการเปดิ กจิ การ
การวิเคราะหด์ า้ นการเงนิ
การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน (Financial Analysis)นำมาใช้ประกอบการตัดสินใจ
ลงทุนนี้จะเน้นหนักการตระเตรียมงบการเงินล่วงหน้า โดยการนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ทางด้าน
การตลาด ด้านเทคนิค และด้านการจัดการมาใช้ประกอบการประมาณการทางด้านต้นทุนและรายได้
ของโกรงการ เคร่อื งมอื สำคญั ท่ใี ช้ในการวิเคราะหท์ างคา้ นการเงิน ไดแ้ ก่
1) ระยะเวลาคืนทนุ (Payback Period หรอื PB) คือวธิ ที ่ดี ิดระยะเวลาคนื ทุน
โดยหากำไรที่ได้รบั จากโครงการว่าใช้ระยะเวลานานเท่าไร จึงจะคุ้มกับรายจ่ายลงทุนเริ่มแรกพอดี ซึ่ง
กำไรในท่นี ห้ี มายถงึ กำไรสุทธิหลงั หักภาษี รวมกบั ต้นทนุ ทางการเงิน (ดอกเบี้ย) และคา่ เส่ือมราคาและ
การคำนวณจะไม่ได้มีการคำนึงถึงมูลค่าของเงินตามกาลเวลา ของกระแสเงินสดตลอดช่วงอายุของ
โครงการ จะเปน็ ลักษณะผลตอบแทนโดยสรปุ มุ่งสภาพคล่องทางการเงิน
มากกว่าจะมุ่งถึงความสามารถทำกำไร แตส่ ำหรับ โครงการท่มี ีขนาดเลก็ ซงึ่ มูลค่าเงนิ ตามกาลเวลาไม่มี
ผลกระทบมากนกั กส็ ามารถนำมาประเมนิ ได้
2) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value หรือ NPV) คือการประเมินหา
ผลรวมสุทธิของมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดทั้งรบั และจ่ายที่เกิดขึ้นตลอดช่วงอายุโครงการลดค่า
ดว้ ยอตั ราลดคา่ ซงึ่ แสดงออกมาในรปู ของสมการ คอื อตั ราคอกเบีย้ ท่ีแทจ้ รงิ ของเงนิ กู้ระยะยาวในตลาด
51
เงินทุน หรืออาจเป็นต้นทุนของทุนกไ็ ด้ ซึ่งอัตราดังกล่าว เป็นอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำสุด (Minimum
Rate of Return) ท่นี ักลงทุนตอ้ งการ
3) อัตราผลตอบแทนภายในโครงการ (Internal Rate of Return หรือ IRR)
คือ อัตราท่นี ำไปลดค่าแล้วทำใหก้ ระแสเงินสดรับเท่ากับกระแสเงนิ สดจ่ายพอดีนนั่ เอง คือวธิ ีการคำนวณ
กเ็ หมือนกับวธิ กี ารของ NPV เพียงแตเ่ ปล่ยี นการใชอ้ ัตราผลตอบแทนขนั้ ตำ่ มาเปน็ การลดกำหลายๆ ค่ำ
จนกระทั่งไดม้ ูลคา่ ปจั จุบนั สุทธริ วมเท่ากบั ศนู ย์ อตั ราลดค่าทไ่ี ด้นน้ั คอื อตั ราผลตอบแทนซ้ือลดท่ีแสดง
ถึงความสามารถในการทำกำไร ที่แท้จรงิ ของโครงการนั่นเองซง่ึ วิธีการคำนวณเร่ิมด้วยการเตรียมตาราง
กระแสเงินสุด แล้วนำอตั ราลดูคา่ ทป่ี ระมาณการ ไว้มาลดคา่ กระแสเงินสดสทุ ธอิ อกมาเปน็ มูลค่าปัจจุบัน
หากผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นบวก แสดงว่า อัตราลดค่าที่ประมาณการไว้ต่ำเกินไป ควรเปลี่ยนมาลอง
อัตราลดค่าที่สูงขึ้นหากผลลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นลบแสดงว่าอัตราลดค่าที่ประมาณการไว้สู งเกิน ไป
อตั ราลคคา่ ที่แท้จรงิ จะอยรู่ ะหวา่ งชว่ งคังกล่าว ซึง่ ไมส่ ามารถหาได้จากตาราง กอ็ าจทำได้โดยการเทียบ
บัญญัติไตรยางค์ และ โดยหลักการควรเลือกโครงการที่ให้อัตราผลตอบแทนภายใน โครงการที่สูงกวา่
อัตราผลตอบแทนขั้นต่ำหรืออัตราจุดตัดซ่ึงแสดงวา่ โครงการนัน้ มีความสามารถในการทำกำไรแสดงวา่
โครงการนเี้ ป็นท่ยี อมรับได้ ดังน้นั การวิเคราะห์ โดรงการการจดั การและแบ่งออกเปน็ การตลาด เทคนิค
การจัดการและการเงนิ
2.2.5 แนวคิดเก่ียวกบั การเตรยี มความพรอ้ มในการขับเคล่อื นการบรหิ ารศูนยก์ ารเรียนรู้
การเตรียมความพร้อมเปน็ การตอบสนองซึ่งข้ึนกับองค์ประกอบที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถ
ขบั เคลอื่ นการบริการศูนย์การเรยี นร้ใู หเ้ กิดประ โยชน์กับประชาชน ชุมชน สังคม มากทส่ี ดุ
2.2.5.1 ความหมายของการเตรยี มความพร้อม
Mckechnic (1996) ได้ให้ความหมายของการเตรียมความพร้อมว่า เป็นลักษณะท่ี
ผู้กระทำมีความคล่องตัว กระตือรือร้น ตั้งใจการทำพฤติกรรมต่างๆเพื่อให้กิจกรรมที่กระทำบรรลุถึง
ผลสำเรจ็
Carter (1973) ได้ให้ความหมายของการเตรียมความพร้อมว่า คือความสนใจ
ความสามารถที่เข้าร่วมกิจกรรมของส่วนรวม วุฒิภาวะ ประสบการณ์ และอารมณ์ ซึ่งเป็นการพัฒนา
บคุ คล
เคโช สวนานนท์ (2512) ได้ให้ความหมายว่า การเตรียมความพรอ้ มเปน็ สภาพของการ
เตรียมตัวเพื่อการตอบสนอง หรือกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง และสภาพความพร้อมของบุคคลนั้นๆ
ยอ่ มข้ึนอยู่กับองคป์ ระกอบหลายประการ เช่น ภาวะความสมบรู ณข์ องรา่ งกายเละจิตใจ การเร้า การจูง
ใจ และการฝึกอบรม
52
พิไลลกั ษณ์ สุขเทพ (2543)ไดก้ ล่าวถึงความหมายของการเตรียมความพรอ้ มวา่ ได้แก่
ความพร้อมของระบบองค์กร ความพร้อมของบุคคล ความพร้อมด้านทรัพยากร และความพร้อมของ
ชมุ ชน ดงั น้ี
1) ความพร้อมของระบบองค์กร คือ สภาพบุคคลหรือองค์กรที่มภี าวะสมบูรณ์ท้งั ทาง
กายภาพและกระบวนการ สามารถที่จะก่อให้เกิดการเรียน ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างบรรจุ
วัตถุประสงค์ ซึ่งกล่าวได้ว่าความพร้อมของระบบองค์กร มีองค์ประกอบ คือ นโยบาย (Policy) เป็น
แนวทางทศิ ทาง และกระบวนการทนี่ ำไปสูเ่ ปา้ หมาย เพ่ือ ให้เกิดความเหมาะสมไดแ้ ก่ การวางแผน การ
เตรียมองค์กรหรือเตรียมแผนการปฏิบัติงาน การมีแผนงานหรือระเบียบปฏิบัติงาน การประสานงาน
และการประเมนิ ผล
2) การเตรียมความพร้อมของบุคคล เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อความ
เจริญก้าวหน้าในตัวบุคคล ท้ังด้าน สภาพบคุ คล ความกระตอื รอื ร้นต้ังใจในการร่วมกิจกรรมรวมถึงการ
พฒั นาทรัพยากรมนุษย์ โดยใชก้ จิ กรรมอนั ได้แก่ การฝึกอบรม การศกึ ยา การพัฒนา
3) การเตรียมความพร้อมด้านทรพั ยากร หมายถึงการเตรียมความพร้อม การเงินและ
อปุ กรณ์ ซง่ึ เปน็ ปัจจัยพน้ื ฐานในการขับเคลอื่ นให้บรรลเุ ปา้ หมาย
4) การเตรียมความพร้อมของชุมชน เป็นการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น เพื่อสร้าง
ความเข้มแข็ง เป็นการแก้ปญั หาอย่างบูรณาการ และ ใช้กระบวนการมีสว่ นร่วมในการดำเนินกจิ กรรม
อันไดแ้ ก่ การมสี ว่ นร่วมในการตดั สนิ ใจ การปฏบิ ตั ิ การรบั ผลประ โยชน์ การติดตามและประเมินผล
2.2.5.2 องค์ประกอบของการเตรยี มความพรอ้ ม
การเตรยี มความพร้อมเปน็ ส่งิ สำคญั อย่างยงิ่ ในการจัดต้ังศูนย์การเรียนรู้ มีนักวิชาการ
ไดก้ ล่าวถึง การเตรียมความพรอ้ ม ดงั น้ี
พรรณี ช.เจนจิต (2538) ได้กลา่ วถึงองคป์ ระกอบของความพรอ้ มมี 3 ประการ ดังนี้
1) วฒุ ิภาวะ
2) การได้รับการอบรมและเตรียมตัว
3) ความสนใจหรือแรงจงู ใจ
Down and Thackrey (1971) ไดแ้ บง่ องค์ประกอบการเตรียมความพรอ้ ม ดงั น้ี
1) องค์ประกอบทางกายภาพ ไต้แก่ การบรรลุวุฒิภาวะทางด้านร่างกายทว่ั ไป
2) องค์ประกอบทางสติปัญญา ได้แก่ ความพร้อมทางสติปัญญาโดยทั่วไป
ความสามารถในการรบั รู้ และความสามารถในการคิดอย่างมีเหตผุ ล
3) องคป์ ระกอบด้านสง่ิ แวดล้อม ได้แก่ ประสบการณ์ดา้ นสงั คม
4) องคป์ ระกอบทางค้านอารมณ์ แรงจูงใจ และบคุ ลิกภาพ ได้แก่ ความมัน่ คงทางค้ำน
อารมณ์และความต้องการที่จะเรยี นรู้
53
Rowden (2001) กล่าวว่าความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงถือเป็นส่วนหนึ่งใน
คุณลักษณะสำคัญของการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมปัจจุบันมี
ลักษณะเป็นพลวัต (Dynamic) และมีความไม่แน่นอนในระดับสูง องค์กรต่างๆ จำต้องแสวงหา
ยทุ ธศาสตรแ์ ละวิธกี ารรับมือกับการเปลย่ี นแปลงดังกล่าวผ่านการไวต่อการเรียนร้ตู ่อคู่แขง่ พร้อมกับการ
แสวงหาองค์ความรู้ต่างๆ เพ่ือสร้างความได้เปรยี บในการแขง่ ขันในอนากตให้แก่องค์การ มี 2 ประเภท
ดังนี้
1) ความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงระดบั บุคคล เริ่มจาก ความปารถนา แรงจูงใจและ
จุดมงุ่ หมายทีส่ มาชิกใบองคก์ รมตี อ่ การเปล่ยี นแปลง
2) ความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์การ หมายถึงความสามารถของ
องค์การทั้งในเชิงสังคม เทคโนโลยี หรือความคิดเชิงระบบในความพยายามนำเอาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาใน
องคก์ รและเปลี่ยนแปลงองคก์ รในรูปแบตา่ งๆ
Maurer (2001) ได้เสนอเครื่องมือในการวัคความพร้อมไนการรับมือต่อการ
เปลย่ี นแปลงซง่ึ ครอบคลมุ 6 ประเด็นดังน้ี
1) การตรวจสอบความเป็นมาของความเปลี่ยนแปลงโดยพิจารณาว่า ความ
เปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ นน้ั มีความเปน็ มาอย่างไร ในอคตี เคยมเี หตุการณ์ลักษณะเดยี วกนั หรือไม่
2) การชี้นำ (Direction) หมายถึงองค์การจะต้องสร้างความเข้าใจต่อสมาชิกใน
องค์การและทำให้สมาชิกในองค์การยอมรับต่อการตัดสินใจดำเนินการ ใจๆ เพื่อรับมือกับการ
เปลีย่ นแปลงท่จี ะเกิดขึ้น
3) การสร้างความร่วมมือและความไว้เนื้อเชื่อใจ (Cooperation and Trust) ในหมู่
พนักงาน ทั้งนี้องค์กรจะต้องพิจารณาว่า ข้อมูลต่างๆภายในองค์กร ได้ถูกแพร่กระจายไปอย่างทั่วถึง
รวมถงึ สร้างบรรยากาศแห่งความไว้เนอื้ เชอื่ ใจกันเพื่อรับมอื กบั ความเปล่ยี นแปลงทจ่ี ะเกดิ ข้ึน
4) การสร้างวัฒนธรรมองค์การ โดยเฉพาะวัฒนธรรมท่ีสง่ เสริมในเรื่องการสร้างความ
กลา้ ไดก้ ลำ้ าเสียและกล้ำาเผชิญกับความเสีย่ งทเี่ กิดขึ้น
5) การสรา้ งกระบวนการที่มีความยืดหย่นุ ในการดำเนนิ การ ใดๆ เพ่ือรองรับกับความ
เปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ กระบวนการยืดหยุ่นถูกคาดหวังว่าจะทำให้ระดับการต่อต้านการ
เปลี่ยนแปลงของสมาชิกในองค์การลดนอ้ ยลง
6) การใช้รางวัลและกลวิธตี า่ งๆ เพอื่ จงู ใจใหเ้ กิดการยอมรับการเปล่ยี นแปลง
Sudharatna (2004) กลา่ วถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จในการสร้างความพร้อมรับมือต่อ
ความเปลี่ยนแปลงขององค์การไว้ 8 ประการได้แก่
1) การคำนึงถึงสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ คือสมาชิกองค์การต้องมีความรู้
เกีย่ วกบั สถานะขององค์กร
54
2) ภาวะผู้นำ ในการสร้างความพร้อมในการเปลี่ยนแปลง จะต้องสนับสนุนให้
เป้าหมายและพันธกิจขององค์การบรรลุผลสำเร็จ มีการกระตุ้นให้พนักงานทำงานร่วมกันสร้างความ
ไว้วางใจภายใตก้ รอบจรยิ ธรรมและยงั ต้องสือ่ สารเกี่ยวกบั ความเปล่ียนแปลงทีเ่ กิดขนึ้ รวมถงึ ผลกระทบที่
มีต่อตัวพนักงานรวมถึงการสนบั สนุนให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรค์ที่เป็นประโยชนต์ ่อการเปลย่ี นแปลง
3) วฒั นธรรมองคก์ าร องค์การท่ีมีความพร้อมทีจ่ ะเปลีย่ นแปลงจะมีวัฒนธรรมองค์การ
ที่เนัน้ การใหอ้ ำนาจพนกั งานในการปฏิบตั งิ าน ส่งเสริมให้พนกั งานกล้เส่ียงและพรอ้ มเปล่ยี นแปลง
4) แนวปฏบิ ัตใิ นการบรหิ ารจัดการ มีความพร้อมในการรับมือตอ่ ความเปล่ียนแปลงที่
เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ โดยมุ่งเน้นการกระตุ้นให้สมาชิกกล้ำตัดสนิ ใจ มีความจริงใจ เปิดกว้าง
รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการความหลากหลายของสมาชิกในองค์การได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
5) การสื่อสารภายในองค์การ มีการสร้างช่องทางในการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล
ข่าวสารระหวา่ งสมาชิกในองค์การ ได้สะดวก
6) ทักษะและความเหมาะสมกับของงาน กล่าวคือ องค์การต้องแนใ่ จว่า สมาชิกส่วน
ใหญ่ขององค์การมีความตอ้ งการท่ีจะเปลีย่ นแปลงและความท้าทาย ขณะเดียวกันแน่ใจว่า ผู้นำในการ
เปลี่ยนแปลงขององค์การมีความรู้และ ทักษะ ที่เหมาะสม ทั้งความสามารถในการประสานผลประ
โยชนท์ ห่ี ลากหลายของสมาชิกให้สอดคลอ้ งตอ้ งกนั ความสามารถในการรบั ฟงั ผู้อนื่ ความสามารถในการ
ทำงานร่วมกับผอู้ นื่ ความสามารถในการสื่อสารกบั ผู้คน และความสามารถในการจัดการการต่อต้านการ
เปล่ยี นแปลงทีเ่ หมาะสม
7) การให้รางวัลและคำชื่นชม เป็นการจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อาจทำได้ตั้งแต่
การโน้มนา้ วให้สมาชกิ ขององคก์ ารเชือ่ วา่ ตนจะได้รบั ประ ใยชน์จากความเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้น การให้
รางวลั หรือผลตอบแทนทเี่ ช่ือมโยงต่อความสำเรจ็ ขององคก์ าร การรบั ประกนั ความม่นั ใจ ทงั้ ความม่ันคง
ในการทำงาน และคณุ ค่าของพนักงาน เป็นด้น
8) โครงสร้างองค์การ โดยมีองค์การโครงสร้างที่เหมาะสมมปี ระสิทธภิ าพสมาชกิ ของ
องคก์ ารตอ้ งเข้าใจถึงเป้าหมายและบทบาทของตนอย่างชัดเจน
2.3 แนวคิดเกยี่ วกบั คุณภาพชีวติ
ความหมายของคุณภาพชีวิตแนวคิดที่ว่าด้วยการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมได้กลายเป็น
แนวคดิ เชิงสากลและเหน็ ว่าคณุ ภาพชีวติ ท่ีดเี ปน็ สิง่ ทที่ ุกคนต้องการคณุ ภาพชวี ติ (quality of life) มีผ้ใู ห้
คำนิยามความหมายของคณุ ภาพชวี ิตไวใ้ นหลายมิติ ดังน้ี
55
ชาร์มา (Shama 1988 )ไดใ้ ห้ความหมายของคณุ ภาพชวี ติ คอื ความพงึ พอใจอนั เกดิ มาจากการ
ได้รับการตอบสนองความตอ้ งการทางจิตใจและสังคม ทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค และเป็นเรื่องท่ี
เกีย่ วกบั ความสามารถของสงั คมในการตอบสนองความตอ้ งการ
เกษม จันทร์แก้ว (2540) กล่าวว่า คุณภาพชีวิตในแง่ของสิ่งแวดล้อมนั้นหมายถึง การศึกษา
ความเป็นอย่ขู องมนุษยท์ เ่ี ก่ยี วข้องกับสถานภาพทางการศึกษา อนามยั และเศรษฐกิจ ตามลกั ษณะของ
ส่ิงแวดลอ้ มทางชวี กายภาพ เช้อื ชาติ วฒั นธรรม และวธิ ีการเล้ยี งดูโดยทค่ี ณุ ภาพชวี ติ นัน้ ขึ้นอยู่กับสภาพ
ทั่วไปของสิ่งแวดล้อมทางชีวกายภาพ บุคคลอยู่ในที่ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ ย่อมจะมี
คุณภาพชวี ิตทีด่ กี วา่ บคุ คลที่อย่ใู นที่ขาดแคลนทรพั ยากรสง่ิ แวดลอ้ ม คณุ ภาพชีวิตต้องขึ้นอย่กู บั ความพึง
พอใจ ซ่งึ มีความแตกตา่ งกันไปตามแตล่ ะบคุ คลอกี ดว้ ย
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต 2549) ได้จำแนกคุณภาพชวี ิต โดยเน้นที่การใช้ชีวติ ร่วมกนั ใน
สังคม แบ่งออกเป็น 3 ระดบั
1. คณุ ภาพชีวิตระดับพน้ื ฐาน คือ ระดับทฏิ ธัมมิกตั ถะ มีดงั นี้
1.1 สขุ ภาพดี มพี ลานามัย และมปี จั จัยเคร่ืองรกั ษาส่งเสริมสุขภาพ
1.2 พึ่งตนเองไดท้ างเศรษฐกจิ เช่น มีอาชีพ มคี วามประหยดั ขยนั สุจริต มีเงินใช้
1.3 ผผู้ ลติ และบรโิ ภคเปน็
1.4 มีอาหารทม่ี คี ณุ คา่ มีกินและกินเป็น
1.5 มีที่อยูอ่ าศัยและที่ทำงานที่เหมาะสม ไม่แออัด สะอาด สะดวก และสบายต่อการ
ดำเนินชวี ิตการทำงานและการดำเนิน
1.6 มีครอบครวั ซงึ่ มกี ำลังพอบำรุงเลยี้ งได้ อยกู่ ันดว้ ยความสุข ทัง้ อบอ่นุ และร่มเย็นอยู่
ร่วมและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี รบั ผดิ ชอบ เอ้ือเฟอ้ื มนี ้ำใจเก้ือการุณย์ ผูกมติ ร และขวนขวายทำกิจท่ี
เป็นประโยชน์
1.7 มีเวลาว่างเป็นของตนเอง และรู้จักใชเ้ วลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการเสนอความ
รนื่ รมย์บันเทงิ ท่ีไร้โทษ ชน่ื ชมชาบซ้ึงในสุนทรีย์ และในการท่จี ะพฒั นาตนยิ่งขน้ึ ไปในดา้ นต่าง ๆ
2. คณุ ภาพชีวิตระดับพัฒนาการ หรือ ระดบั สัมปรายิกตั ถะ
2.1 มีการศึกษา รู้เข้าใจ เท่าทันเหตุการณ์ มีประสบการณ์ที่เป็นฐานของการดำเนนิ
ชีวติ และตดั สนิ ใจอย่างฉลาด
2.2 มีวจิ ารณญาณ พจิ ารณาเหตปุ ัจจยั รจู้ กั คิด รจู้ กั แก้ปัญหา ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา
มกี ุศลวิธีท่ีจะแกไ้ ขคลายทกุ ข์ได้
2.3 มีจิตใจที่พัฒนา กอปรด้วยคุณธรรมและจริยธรรม เชื่อมั่นในการทำความดี
ประพฤตดิ งี าม สจุ รติ ทง้ั กาย วาจา ใจ ม่ันใจในคณุ ค่าของชวี ิตตน
56
2.4 สขุ ภาพจิตดี มีความมัน่ คงทางจิตใจ มเี จตคติดงี าม จติ ใจปลอดโปร่ง เบิกบานผ่อง
ใส เป็นสขุ มองโลกและชีวติ ตามความเปน็ จรงิ คุณภาพชีวิตระดับเอ้อื โอกาส หรอื ระดบั อภุ อตตถะ
2.5 มีความปลอดภยั ทั้งกายใจ เช่น ปราศจากโจรผ้รู ้าย ละอบายมขุ
2.6 อยู่ในสังคมที่มีสวัสดิการและบริการดี อำนวยสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคและ
ไมตรสี งเคราะห์
2.7 อยใู่ นสงั คมที่อำนวยโอกาสในการทำงานทตี่ นถนดั โอกาสในการเรียนรู้และเข้าถึง
วิทยาการต่าง ๆ โอกาสในการมีส่วนร่วมในสังคม ในชุมชน ในทางการเมือง และโอกาสในการได้รับ
ความเปน็ ธรรมทางเศรษฐกจิ
2.8 อยู่ในสังคมทีม่ รี ะเบยี บ มีขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และกฎหมายที่เป็น
ธรรม และเอือ้ ตอ่ การพฒั นาชวี ติ และสงั คม
2.9 มธี รรมชาติแวดล้อมทเี่ ก้ือกลู รืน่ รมย์ สวยงาม ผนื นำ้ อากาศบรสิ ทุ ธิ์ ไรม้ ลพษิ
อนุชาติ พวงสำลี และคนอ่นื ๆ (2541) ไดก้ ลา่ ววา่ คนท่มี คี ุณภาพชวี ติ นัน้ จะต้องเป็นบุคคลท่ีมี
ความสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ดำเนินชีวิตในทางชอบธรรม มีความพอใจในความเป็นอยู่
ของตวั ตนเอง และสามารถปรบั ตัวใหเ้ ขา้ กับสภาพแวดลอ้ มในสังคมได้
ศิริ ฮามสุโพธิ์ (2543) กล่าวว่า คุณภาพชีวิต หมายถึง ชีวิตของบุคคลที่สามารถดำรงชีวิตอยู่
ร่วมกับสังคมได้อย่างเหมาะสม ไม่เป็นภาระ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคม เป็นชีวิตที่สมบูรณ์ท้ัง
ร่างกาย จิตใจ และสามารถดำรงชีวิตที่ชอบธรรม สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและค่านิยมสังคม
ตลอดจนแสวงหาสิ่งที่ตนปรารถนาให้มาอย่างถูกต้อง ภายใต้เครื่องมือและทรัพยากรที่มีอยู่ คุณภาพ
ชวี ิตแบง่ ออกเป็น 3 ประการ คอื
1. ทางด้านร่างกาย คือ บุคคลจะต้องมีสุขภาพร่างกายที่สบบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้
เจ็บ อนั เปน็ ผลตอบสนองมาจากปจั จัยพื้นฐาน
2. ทางด้านจิตใจ คือ บุคคลจะต้องมีสภาวะจิตใจที่สมบูรณ์ ร่เริง แจ่มใส ไม่วิตกกังวลมี
ความรสู้ ึกพงึ พอใจในชีวติ ตนเอง ครอบครวั และสังคมสง่ิ แวดลอ้ ม มคี วามปลอดภัยในชวี ิต
3. ทางดา้ นสงั คม คอื บุคคลสามารถดำรงชีวิตภายใต้บรรทดั ฐานและคา่ นยิ มของสังคมในฐานะ
เปน็ สมาชิกของสงั คมไดอ้ ย่างปกติสุข
ราชบัณฑิตยสถาน (2546) ให้ความหมาย "คุณภาพ" หมายถึง ลักษณะดีลักษณะประจำตัว
บุคคล หรือสิ่งของนั้นๆ และ "ชีวิต" หมายถึง ความเป็นอยู่ ดังนั้น "คุณภาพชีวิต"จึงหมายถึง ลักษณะ
ความเปน็ อยู่ทด่ี ีของบุคคล
สทิ ธิเดช นิลสัมฤทธิ์ และคณะ (2548 ) ไดก้ ล่าวว่า คุณภาพชีวิต หมายถึง ระดับการมีสุขภาพ
ร่างกายและจิตใจที่ปกติ มีความพึงพอใจในองค์ประกอบตา่ ง ๆ ของการดำรงชีวิต เช่นครอบครัว การ
ทำงาน สขุ ภาพ รวมถงึ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาได้
57
จากความหมายของคุณภาพชวี ิตท่ีกล่าวมา สรปุ ไดว้ า่ คุณภาพชีวติ หมายถึง ระดับการมีชีวิตท่ี
ดี มีความสุข และมีความพึงพอใจในชีวิต ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ที่เกี่ยวข้องกับสภาพ
ความเป็นอยู่ ในการดำเนินชีวิตของบุคคล ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม
การเมือง และค่านิยมทส่ี ังคมยอมรบั
2.3.1 องค์ประกอบของคุณภาพชวี ิต
การที่มนุษย์จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีนั้น ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เป็นองค์ประกอบและแต่ละ
องคป์ ระกอบนัน้ ก็มีความสำคญั มากน้อยแตกต่างกันไปตามทศั นะคติของแต่ละบุคคล หรือแต่ละสังคม
คุณภาพชีวิตเป็นแนวคิดที่มีความหลากหลายและซับซ้อน ซึ่งได้มีการศึกษากันอย่างแพร่หลาย โดยมี
องคป์ ระกอบทแี่ ตกต่างกนั ออกไป ดังนี้
จำรสั ดว้ งสวุ รรณ (2545) ไดแ้ บ่งองค์ประกอบของคณุ ภาพชีวิตไว้ลกั ษณะ ดงั น้ี ทำให้ร่างกาย
แข็งแรง รู้จักการออกกำลังกาย นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
หลีกเลี้ยงสารคาเฟอีน นิโคติน แอลกอฮอล์ หรือ ยาต่าง ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อภูมิคุ้มกัน และการทำ
หน้าที่ของร่างกายตามปกติ เรียนรู้วิธีการพักผ่อน การควบคุมความเครียด โดยการเล่นกีฬา หรือ หา
งานอดเิ รกทำในยามว่าง เรียนรู้ในการทำสมาธิ โยคะ การหายใจ เพอ่ื นำไปสคู่ วามสงบ และการพกั ผอ่ น
ที่แท้จริงขจัดอารมณ์เสียออกไป เนื่องจากความโกรธความเศร้า ความหมดหวัง ความสิ้นหวังจะไป
กระตุ้นสารทเี่ ปน็ อันตรายตอ่ ระบบภูมิคมุ้ กนั ในร่างกายจำต้องหาทางขจัดความรสู้ กึ ท่ไี มด่ อี อกไปโดยเร็ว
สร้างจินตนาการในสิ่งที่ต้องการและมีความฝันทุกวันความคิดที่ดีจะส่งผลต่อประสบการณ์และการ
กระทำ จงคดิ ในแง่ดีต่อส่งิ ต่าง ๆ ทเ่ี ป็นสว่ นหน่งึ ของชวี ิต หาเวลาอยู่คนเดียวในแต่ละวัน มีความร่ืนรมย์
ในความสงบ เพราะสงิ่ ทงั้ หลายจะมีคณุ ค่า
เพยี งเล็กนอ้ ย หากไม่สามารถแสวงหาความสุขได้จากภายใน และมีความสมดุลกลมกลนื ในส่ิงต่าง ๆได้
ทำชวี ติ ให้งา่ ยขึ้น ไมจ่ ำเป็นต้องรีบเรง่ หรอื ผลักดนั ตนเองอย่างมากเหมือน คนอ่ืน ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็น
เหยื่อสภาพแวดล้อมเสมอไป ทำทุกอย่างให้ช้าลง มีอารมณ์ขัน ขจัดอารมณ์ไม่ดีออกไป และหัวเราะ
อย่างเต็มที่ในทุกวัน เพราะความขบขันเป็นตัวกระตุ้นระบบคุ้มกันได้เป็นอย่างดี ไม่ควรมองโลกอย่าง
เครง่ เครียด เพราะเสยี งหวั เราะชว่ ยใหช้ ีวติ รนื่ รมย์และสมบรู ณไ์ ด้ สทุ ธิพร
องค์การยูเนสโก (UNESCO) (2556) ได้กำหนดองค์ประกอบของคุณภาพชีวิตไว้ 5 ด้าน คือ
มาตรฐานการครองชีพ การเปล่ยี นแปลงประชากรระบบสังคมและวัฒนธรรม กระบวนการพฒั นา และ
ทรพั ยากร เป็นองคป์ ระกอบท่สี ำคัญอย่างยิง่ ต่อการพฒั นาคณุ ภาพชีวิต
สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) (2537) ได้กำหนดดัชนีวัดความมั่นคง
ของชีวติ มนุษย์ระดับโลก (global human security) ซ่ึงไดก้ ำหนดสาระของความมน่ั คงในชีวิตมนุษยไ์ ว้
7 ด้าน ได้แก่
58
1. ความมัน่ คงทางด้านเศรษฐกจิ
2. ความมน่ั คงทางด้านอาหาร
3. ความมน่ั คงทางด้านสขุ ภาพ
4. ความมน่ั คงทางดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม
5. ความมน่ั คงทางด้านบุคคล
6. ความม่นั คงทางดา้ นชมุ ชน
7. ความมน่ั คงทางด้านการเมอื ง
กล่าวโดยสรุป องค์ประกอบของคุณภาพชีวิตที่สำคัญนั้น ประกอบไปด้วยมิติด้านต่าง ๆ เช่น
มาตรฐานการครองชีพ อาหารและโภชนาการที่เหมาะสม เศรษฐกิจ สุขภาพ ระบอบสังคมและ
วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม บุคคล ชุมชน การเมือง ฯลฯ ทุกด้านย่อมมีความสำคัญตอ่ การพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตของประชาชน
2.4 แนวพระราชดำริทฤษฎใี หม่ และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2.4.1 ทฤษฎีใหม่
"ทฤษฎีใหม่" เป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ชี้ให้เห็นถึงการจัดการทรัพยากร
สำหรับทำมาหากิน คือที่ดินและแหล่งน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบของการทำเกษตรกรรมรูปแบบหนึ่งท่ี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้กับประชาชนคนไทยนำไปใช้ นำไปปฏิบัติเพื่อการ
ดำรงชีพ ทฤษฎใี หม่มพี นื้ ฐานแนวคิดทางด้านการเกษตรแบบผสมผสาน โดยมุ่งเน้นระบบเศรษฐกิจแบบ
การผลิตเพื่อยังชีพ เพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตพอมีพอกนิ ตลอดปี หลังจากนั้นผลผลิตที่เหลืออาจนำมา
แปรรูปหรือนำมาจำหน่าย เพื่อเพิม่ พูนรายได้ให้กับเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งทฤษฎีใหม่นี้เปน็ การบรู
ณาการศาสตร์แขนงต่าง ๆ เข้าด้วยกัน อาทิ การเกษตร การอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี การบริหาร
จัดการ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งเป็นการพัฒนาแนวใหม่ สำหรับ
ประชาชนและชุมชนทั่วประเทศ ในอันที่จะก้าวไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี พอมีพอกิน สามารถพึ่งตนเองได้
ขณะเดยี วกันก็จะนำพาสงั คมและประเทศชาติไปสกู่ ารพัฒนาท่มี ีความยงั่ ยืนได้ในทส่ี ุดในบทนี้เป็นการกล่าวถึง
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ แนวคดิ พ้ืนฐานของทฤษฎีใหม่ ประโยชนข์ องทฤษฎใี หม่ ปัญหาและอุปสรรค
ของทฤษฎีใหม่ ข้อควรระมดั ระวงั สำหรับทฤษฎีใหม่ ความสำคญั และความสำเรจ็ ของทฤษฎีใหม่ รวมถึงการนำ
ทฤษฎีใหม่ไปใช้ในการพฒั นาชุมชน
2.4.1.1 ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ
พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรได้พระราชทาน
แนวทางการแก้ไขปัญหาการพัฒนาประเทศและการพัฒนาชุมชนไว้หลายแนวทาง แนวพระราชดำริซ่ึง
59
เปน็ ทยี่ อมรบั อยา่ งกวา้ งขวาง คอื แนวพระราชดำริเร่ือง การเกษตรทฤษฎใี หมแ่ ละเศรษฐกิจพอเพยี ง ซ่ึง
เป็นทีร่ ู้จักกันท่วั ไปว่า "ทฤษฎีใหม่ของในหลวง"
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ คือการพัฒนาด้านการเกษตร โดยทำการเพาะปลูกพืชหลาย
อย่างในที่เดียวกัน หรือปลูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน โดยได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้มูลนิธิชัย
พัฒนาทดลองทำการเกษตรทฤษฎีใหม่เมื่อปีพ.ศ.2532 ในที่ดินประมาณ 15-16 ไร่ ที่มีสภาพแห้งแล้ง
ขาดธาตุอาหาร ซึ่งอยู่ติดกับวัดมงคลชัยพัฒนา จังหวัดสระบุรี โดยใช้หลักการประสานงานระหว่าง"
ชาวบ้าน" "วัด" และ "ราชการ" เรียกย่อ ๆ ว่า "บวร" ทรงให้วัดเป็นศูนยก์ ลางความรว่ มมือเพราะทรงมี
วัตถุประสงค์ให้ชาวบ้าน วัดและราชการได้รูจ้ ักสามัคคีช่วยเหลือกันพัฒนาท้องถิ่นหลังจากทดลองจน
ประสบผลสำเรจ็ ในปี 2535 จงึ ขยายผลไปดำเนนิ การที่บ้ากุดตอแก่น ตำบลคุ้มเก่าอำเภอเขาวง จังหวัด
กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นถิ่นทุรกันดาร แห้งแล้งมาก อาศัยเพียงน้ำค้างหล่อเลี้ยงเมล็ดข้าวเท่านั้น นา ไร่ ได้
ผลผลติ เพยี ง 2-3 ถังตอ่ ไร่ เมือ่ นำหลักการพัฒนาทฤษฎีใหม่ไปใชก้ ็ประสบผลสำเรจ็ โดยไดผ้ ลผลิตไร่ละ
กว่า 20 ถัง ทำให้ชาวบ้านมีความสุข บุตรหลานที่จากไปต่างถิ่นก็กลับมาอยู่บ้านกับครอบครัวอย่าง
อบอ่นุ (ววิ ัฒน์ ศลั ยกำธร, 2540 : 47)
ทฤษฎีใหม่ (New theory) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โครงการพัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝนอัน
เนอื่ งมาจากพระราชดำริ แทจ้ รงิ แล้วพระเจา้ อยหู่ ัวได้ทรงทำมานานแล้ว โดยให้เกษตรกรทำการปลูกพืช
หมนุ เวยี นและหรอื ปลูกพชื ไวใ้ หห้ ลายหลากชนิดบนพืน้ ทเ่ี ดียวกันอย่างท่เี รยี กว่า "ไร่นาผสมผสานหรือไร่
นาสวนผสม" ด้วยวิธีการจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสมด้วยการใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยให้มีการ
จัดสรา้ งแหล่งนำ้ ในทีด่ นิ สำหรับการทำการเกษตรแบบผสมผสาน เพอื่ ใหเ้ กษตรกรสามารถเล้ียงตวั เองได้
ให้มีรายได้ไว้ใช้จ่ายและมีอาหารไว้สำหรับบริโภคตลอดปี เพื่อเป็นการเฉลี่ยความเสี่ยงไม่ให้เกดิ ความ
เสียหายเมื่อตลาดหรือสภาพแวดล้อมเกิดความแปรปรวนหรือเกิดวิกฤติขึ้น (กรมวิชาการ,2539 : 34-
38)
2.4.1.2 แนวคดิ พื้นฐานของทฤษฎีใหม่
พระบาทสมเด็จพระชนกาธเิ บศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรทรงพระราชทาน
แนวทางในการดำเนินงานพัฒนาคุณภาพชีวิต และอาชีพตามแนวทางทฤษฎีใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 3
ขนั้ ดังน้ี (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2541)
- ข้ันที่ 1 ทฤษฎีใหมข่ นั้ ตน้ (การผลติ )
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่หนึ่ง หรือที่รู้จักกันดีในอีกชื่อหนึ่งว่า เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นขั้นเริ่มต้นที่มี
ความสำคญั เพราะวา่ เป็นเร่ืองท่เี กีย่ วข้องกับการผลิตหลกั พน้ื ฐานทสี่ ำคัญที่จะปฏบิ ัตติ ามทฤษฎีใหม่ข้ันที่
หนึ่งนี้ คือเกษตรกรหรือเจา้ ของที่ดินตอ้ งมีพื้นที่ทำมาหากินแปลงเล็ก ๆ หรือค่อนข้างจำกัดไมเ่ กนิ 15
ไร่ ทั้งนี้สถานะพื้นฐานของเกษตรกร คือมีพื้นที่น้อย ค่อนข้างยากจน อยู่ในเขตเกษตรน้ำฝนเป็นหลัก
60
โดยในชน้ั ท่ี 1 นี้มีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อสรา้ งเสถียรภาพของการผลติ เสถียรภาพด้านอาหารประจำวนั ความ
มั่นคงของรายได้ ความมั่นคงของชวี ิตและความม่ันคงของชมุ ชนชนบท เป็นเศรษฐกิจพึ่งตนเองมากขนึ้
ซึ่งในระยะเร่ิมแรกเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ประหยัด มีความพอเพียงและสามารถเลี้ยงตัวเองได้
ก่อน ทั้งนี้ต้องอาศัยความขยันมานะ อดทน รวมถึงต้องรู้ รัก สามัคคี ในท้องถิ่นของตนเอง มีการ
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นจึงกำหนดเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายของการผลิตว่า ต้องการผลิต
ขา้ วสำหรบั การบริโภคไดเ้ พยี งพอตลอดปี โดยครอบครัวหนึง่ ทำนา 5 ไร่ ก็จะมขี ้าวพอกิน
สำหรับหลักปฏิบัติในการดำเนินงาน จะต้องมีหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรดินและน้ำ
เป็นสำคญั รว่ มกันกบั การบรหิ ารจัดการเวลา เงินทุนและกำลังคน (มูลนิธชิ ยั พฒั นา. 2537)
การจัดสรรพนื้ ทที่ ำกินและทอ่ี ยู่อาศัยตามแนวทางทฤษฎใี หม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระองค์ทรงคิดคำนวณเปน็ สตู รไวอ้ ยา่ งครา่ ว 1 ว่า ในพ้ืนทแ่ี ตล่ ะแปลงควรประกอบไปด้วยนาข้าว 5 ไร่
พืชไร่และพืชสวน 5 ไร่ สระน้ำ 3 ไร่ ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ อีก 2 ไร่ รวมทั้งหมด 15 ไร่หรือคิดเป็น
สดั สว่ นรอ้ ยละ 30 : 30 : 30 : 10 ซึง่ สดั ส่วนนี้อาจมีการปรบั เปลีย่ นหรือยืดหยนุ่ ได้ตามความเหมาะสม
ของพื้นที่
พ้นื ทีส่ ่วนที่หนึ่ง : สระกกั เกบ็ นำ้
พนื้ ท่ีประมาณร้อยละ 30 ส่วนแรกใหข้ ุดสระเก็บกักน้ำเพ่ือใช้สำหรบั เก็บน้ำฝนในฤดูฝนและใช้
เสริมการปลูกพชื ในฤดูแล้ง ตลอดจนการเล้ียงสตั วน์ ้ำและพืชนำ้ ต่าง ๆ เชน่ เลย้ี งปลา ปลกู ผักบ้งุ ปลกู ผัก
กะเฉด และอ่ืน ๆ เป็นตน้
การขดุ สระน้ำจำเป็นต้องคำนึงถงึ ลกั ษณะของดนิ ว่า มคี วามสามารถเก็บน้ำได้หรอื ไม่ ดังนั้นจึง
ควรมีการตรวจสอบสภาพดนิ กอ่ นดำเนนิ การขุดสระและอีกประการหนงึ่ คอื ตำแหนง่ ของ การขุดสระนำ้
เน่อื งจากสระน้ำตอ้ งอาศยั นำ้ ฝนจากธรรมชาติ จึงควรอยู่ในพื้นท่ีท่ีสามารถรับน้ำได้มากท่ีสุดส่วนพื้นที่ที่
อย่ใู กล้กบั แหล่งน้ำ ควรขดุ สระอย่ใู กล้และต้องสะดวกต่อการนำน้ำไปใช้ประโยชนด์ ้วย
ขนาดของสระน้ำที่ขุดต้องมีความสอดคล้องกบั สภาพภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมกล่าวคอื
ถ้าเป็นพื้นท่ีทำการเกษตรอาศยั น้ำฝนธรรมชาติอยา่ งน้อยต้องมีน้ำ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ (การทำ
นา 5 ไร่ ปลกู พืชไรไม้ผล 5 ไร่ รวมพน้ื ท่ี 10 ไร่ รวมพื้นที่ 10 ไร่ ต้องใชน้ ำ้ 10,000ลูกบาศก์เมตร ท้ังน้ี
ต้องคำนึงถึงการระเหยของน้ำในอ่างเก็บน้ำหรือสระน้ำ เพราะโดยเฉลี่ยแล้วในแต่ละวันน้ำจะระเหย
ออกไปประมาณวันละ 1 เซนติเมตร ถ้าฝนไม่ตกนานวันก็ต้องคำนวณปริมาณน้ำและใช้น้ำอย่าง
ประหยดั และเกดิ ประสิทธิภาพมากท่สี ดุ ขณะเดียวกันกต็ อ้ งหาแหล่งน้ำเพ่ิมเติมไว้ดว้ ย
สว่ นพน้ื ที่ทำการเกษตรท่ีอยใู่ กลก้ ับแหล่งน้ำหรือเขตชลประทาน สระนำ้ อาจมีขนาดเลก็ หรือตื้น
แคหรือกวา้ งตามความเหมาะสม เพราะมีนำ้ เข้ามาเติมอยู่เรอื่ ย ๆ อยา่ งไรก็ดี การขดุ สระหรอื อา่ งเกบ็ น้ำ
เกษตรกรจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอก เช่น หน่วยงานราชการหน่วยงาน
เอกชนหรอื องค์กรมลู นิธิต่าง ๆ
61
สำหรับการจัดการดิน ในระหว่างการขุดสระน้ำจะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก หน้าดิน
ควรแยกกองไวต้ า่ งหาก เพื่อนำดนิ ไม่ดีมาถมทำขอบสระหรือยกรอ่ งเพอื่ ปลูกไม้ผลการดูแลรักษาสระน้ำ
ควรปลูกหญ้าแฝกล้อมรอบบริเวณขอบสระเพือ่ เป็นการป้องกันการพังทลายของดินและสามารถป้องกัน
การระเหยของนำ้ ได้อกี ด้วย
พน้ื ทส่ี ่วนทส่ี อง : ปลูกขา้ ว
พื้นที่สว่ นที่สองร้อยละ 30 นี้ให้ปลูกข้าวเพื่อใช้บริโภคสำหรับครอบครัวให้พอเพียงตลอดทัง้ ปี
ไม่ต้องไปซอ้ื หาในราคาทแ่ี พง ทุกครัวเรือนสามารถอยรู่ อดและพึง่ ตนเองได้
นอกจากนก้ี ารปลกู ขา้ วจะตอ้ งพจิ ารณาถงึ การคดั เลือกพันธแ์ุ ละเทคโนโลยีในการผลิตที่มีความ
เหมาะสมกับสภาพพืน้ ที่ ตลอดจนลักษณะสงั คมของเกษตรกร ควรปลกู ขา้ วสำหรบั การบริโภคก่อนแล้ว
จงึ ใช้พน้ื ที่นาทเ่ี หลอื ปลูกข้าวพันธอุ์ ืน่ ที่ตลาดตอ้ งการเปน็ ลำดับรองลงมา
พน้ื ที่ส่วนที่สาม : ปลูกไม้ผล พืชไร่ พชื ผัก
พืน้ ทสี่ ว่ นท่ีสามร้อยละ 30 ของพนื้ ที่ ให้ปลูกไม้ผล พชื ไร่ พชื สวน พืชสมนุ ไพร ฯลฯ เพื่อใช้ใน
การบริโภค ถ้าเหลือจากการบริโภคก็นำไปจำหน่ายเพื่อเป็นการเสริมรายได้ การปลูกพืชหลากหลาย
ชนิดจะเป็นการช่วยกระจายเงินทุน แรงงาน น้ำและปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ตลอดจนช่วยลดความเสี่ยง
ของความแปรปรวนอันเกิดจากธรรมชาติ เศรษฐกิจและความเสียหายที่เกิดจากโรคพืชหรือแมลง
ศตั รูพชื ด้วย
แนวทางในการเลือกปลูกพืชผสม พืชหลายชนิดทำประโยชน์ได้มากกว่าหนึ่งอย่างหรือ
อเนกประสงค์ การเลอื กปลกู พืชผสมผสานหลายอย่างในพ้ืนทเ่ี ดียวกนั ตอ้ งอาศัยคำแนะนำทางวิชาการ
และประสบการณ์หรือภูมิปัญญาชาวบา้ น เพราะพืชพรรณบางชนิดอยูร่ ว่ มกันได้ บางชนิดปลูกร่วมกนั
ไมไ่ ด้
พื้นที่สว่ นทีส่ ่ี : ท่อี ยู่อาศยั และโรงเรอื นรวมถึงอ่ืน ๆ
พื้นที่สว่ นที่สื่ คือร้อยละ 10 สำหรับไว้ใช้เป็นท่ีอยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนน คันดิน โรงเรือนเรอื น
เพาะชำและอืน่ ๆ
การเลี้ยงสัตว์และเลี้ยงปลาควรคำนงึ ถึงแรงงาน เงินทุนและพ้ืนที่ท่ีเหลอื เพื่อเป็นรายได้เสรมิ
และอาหารประจำวันสำหรับครอบครัว เช่น หมู่ ไก่ ปลา เป็ด กบ เป็นต้น สำหรับเทคนิคในการเลี้ยง
สัตว์ตามแนวทางทฤษฎีใหม่สามารถขอคำแนะนำและคำปรึกษาจากนกั วิชาการ เช่นเดียวกับการปลกู
พืช การสร้างโรงเรอื น คอกสัตว์หรือเล้าสัตว์คร่อมบอ่ ปลาหรือการขุดบ่อปลาใหม้ ีระดับความลึกต่าง ๆ
กนั เป็นตน้
62
- ข้ันที่ 2 ทฤษฎใี หมข่ ้ันกลาง (การรวมพลัง)
เม่ือเกษตรกรเข้าใจในหลกั การและไดป้ ฏิบัติในท่ดี ินของตนจนได้ผลผลิตแลว้ ก็ตอ้ งเร่ิมกา้ วไปสู่
ขน้ั ท่ีสอง คือให้เกษตรกรรวมพลงั กันในรปู กลมุ่ หรอื สหกรณ์ในการที่เข้ามาร่วมแรง ร่วมใจกันดำเนินการ
ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. การผลิต เกษตรกรจะตอ้ งร่วมมือในการผลิตโดยเร่ิมต้ังแต่ ข้ันเตรียมดนิ การหาพันธุ์พืชปุ้ย
การหานำ้ และอนื่ ๆ เพอื่ การเพาะปลูก
2. การตลาด เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่าง ๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์
สงู สดุ เชน่ การเตรียมลานตากขา้ วรว่ มกนั การจัดหายุง้ รวบรวมขา้ ว เตรยี มหาเคร่ืองสขี า้ ว ตลอดจนการ
รวมตวั กันขายผลผลติ ให้ไดร้ าคาดีและเป็นการลดคา่ ใช้จา่ ยลงด้วย
3. ความเป็นอยู่ เกษตรกรจะต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการ
ดำรงชวี ิต เช่น อาหารการกนิ ตา่ ง ๆ กะปิ นำ้ ปลา เส้อื ผ้าท่พี อเพียง
4. สวัสดิการ ในแต่ละชุมชนควรมีสวัสดิการและบริการที่จำเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยาม
ปว่ ยไข้หรอื มีกองทุนไว้ใหก้ ยู้ ืมเพอ่ื ประโยชนใ์ นกจิ กรรมตา่ ง ๆ
5. การศึกษา มีโรงเรียนและชุมชนมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพ่ือ
การศกึ ษาเล่าเรยี นใหแ้ กเ่ ยาวชนของชุมชนเอง
6. สังคมและศาสนา ชมุ ชนควรเป็นศนู ยก์ ลางในการพฒั นาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นท่ี
ยึดเหน่ยี วจิตใจของคนในชมุ ชน
กิจกรรมทั้ง 6 กิจกรรมดังกล่าวข้างตัน จะต้องได้รับความรว่ มมือจากทกุ ฝ่ายที่เกีย่ วข้อง อาทิ
ส่วนราชการ องคก์ รเอกชน มลู นธิ ิต่าง ๆ ตลอดจนสมาชกิ ในชุมชนดว้ ย
- ขั้นท่ี 3 ทฤษฎใี หมข่ ้ันกา้ วหนา้ (การร่วมมือกับแหลง่ ทนุ )
เมื่อดำเนินการผ่านพ้นขั้นที่สองแล้ว เกษตรกรจะมีรายได้ดีขึ้นฐานะมั่นคงขึ้น เกษตรกรหรือ
กลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สามต่อไป คือการติดต่อประสานงานเพื่อจัดหาทุนหรือ
แหล่งเงนิ ทุน เช่น ธนาคารพาณิชย์ องคก์ รการเงิน รวมถึงบริษทั ห้างรา้ นเอกชน เชน่ ปัม๊ นำ้ มัน ร้านขาย
ปุ๋ย เป็นต้น เข้ามาช่วยในการทำธุรกิจ การลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ฝ่ายเกษตรกรและฝ่าย
ธนาคารกบั บริษัทจะได้รับประโยชนร์ ่วมกนั กลา่ วคอื
1. เกษตรกรขายขา้ วไดใ้ นราคาสงู ไมถ่ ูกกดราคา
2. ธนาคารกับบรษิ ัทสามารถซื้อขา้ วบริโภคในราคาตำ่ ซือ้ ข้าวเปลือกโดยตรงจากเกษตรกรและ
นำมาสเี อง
3. เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาตำ่ เพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก (เป็นร้าน
สหกรณ์ ซื้อในราคาขายส่ง)
63
4. ธนาคารกับบรษิ ทั จะสามารถกระจายบคุ ลากร เพือ่ ไปดำเนินการในกจิ กรรมต่าง ๆ ให้เกิดผล
ดยี ่ิงขึ้น
เปรม ตณิ สลู านนท์ (2541 มีความเหน็ วา่ ทฤษฎีใหม่มคี วามลึกซึ้งและเป็นแกน่ แห่งการพัฒนา
อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเกษตรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับชุมชน
เกีย่ วเน่ืองกบั ชนบท เกย่ี วเนอื่ งกบั การผลิต เกี่ยวเน่อื งกบั วิทยาศาสตร์ เกย่ี วเนอ่ื งกับธรรมชาตเิ กี่ยวเนอื่ ง
กบั การปกครอง เกยี่ วเน่ืองกับการรวมตัวของสมาชิกครอบครวั และท่สี ำคัญท่ีสุด คือเก่ียวเนื่องกบั วิธีคิด
และจิตสำนึกของคน ทั้งนี้เพราะปรัชญาแห่งทฤษฎีใหม่เป็นปรัชญาที่ว่าด้วยการพัฒนาอย่างสมบูรณ์
ทส่ี ดุ เป็นการมองสังคมอย่างองคร์ วมไมแ่ ยกการพฒั นาออกจากกัน
สรุปได้ว่า แนวคิดทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับ
บรรเทาความยากจนให้แก่ครัวเรือนเกษตรกรให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตน เองและเพื่อให้เกษตรกร
สามารถพึ่งพาตนเองได้ด้วยวิธีการง่าย ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไปตามศักยภาพ ตามกำลังความรู้
ความสามารถและภูมิปัญญาของตนเอง เพื่อให้พอมีพอกินไม่อดอยากในเบื้องตัน ต่อจากนั้นจึงค่อย
ยกระดับไปส่ขู ัน้ ก้าวหน้า เพ่ือพัฒนาคุณภาพชวี ิตและความเป็นอยขู่ องประชาชน ชุมชนและสังคมให้ดี
ข้นึ ตามลำดับ โดยอาศัยการรวมพลังในรูปของกล่มุ หรือสหกรณ์และการรว่ มมือกับองคก์ รนอกชุมชนไม่
ว่าจะเป็นส่วนราชการ มูลนิธิและองค์กรเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุน ช่วยเหลือด้านการติดต่อการ
ประสานงาน การจดั หาทุนหรอื แหลง่ เงนิ รวมทั้งรว่ มมอื กันในการลงทนุ เพอ่ื การผลิต การแปรรูปการณ์
จำหนา่ ยและการยกระดบั พัฒนาคุณภาพชีวติ
2.4.1.3 ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่
จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2537 เกี่ยวกบั
ทฤษฎีใหม่ สามารถสรุปประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ได้ ดงั น้ี
1. ทำใหป้ ระชาชนมพี ออยู่พอกนิ ตามอัตภาพ คอื พออยู่พอกนิ ไมอ่ ดอยากลำบากและสามารถ
เลย้ี งตนเองไดต้ ามหลักของเศรษฐกจิ พอเพียง
2. ในปีทฝ่ี นตกถูกต้องตามฤดกู าล น้ำดีตลอดปีสามารถทำใหม้ ีรายได้เพิ่มมากขึน้ ได้
3. ทฤษฎีใหม่มไี วป้ ้องกันการขาดแคลนนำ้ ถ้าในหน้าแลง้ มนี ้ำน้อยก็สามารถเอาน้ำที่กักเก็บไว้
มาใชไ้ ด้โดยไม่ตอ้ งอาศัยชลประทานระบบใหญ่
4. ในกรณีท่ีเกิดอุทกภัยก็สามารถฟื้นตัวได้และชว่ ยเหลือตัวเองได้ในระดบั หนึ่ง โดยทางราชการ
ไม่ต้องช่วยเหลือมาก อันเปน็ การประหยัดงบประมาณด้วย
2.4.1.4 ปญั หาและอปุ สรรคของทฤษฎใี หม่
การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น สนธยา พลศรี
(2547) กล่าวว่าการเกษตรทฤษฎีใหมจ่ ะมปี ญั หาและอุปสรรคที่สำคัญ ดังนี้
64
1. สระน้ำจะรับน้ำได้เต็มในฤดูฝน แต่จะมีการระเหยของน้ำโดยเฉลี่ยวันละ 1 เชนติเมตรใน
วันที่ไม่มีฝนตกเลย 300 วัน ระดับน้ำจะลดลง 3 เมตร (ในกรณี 3 ใน 4 ของ 19,000 ลูกบาศก์เมตร
ดงั น้นั นำ้ จะเหลอื ใชไ้ ด้ 4,750 ลูกบาศกเ์ มตร) จึงตอ้ งมีการเตมิ นำ้ ใหเ้ พยี งพอ
2. การที่จะต้องจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงยกกรณีตัวอย่าง
โครงการพัฒนาพื้นทีบ่ ริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาว่า มีอ่างเก็บนำ้ ความจุ 8,000 ลกู บาศกเ์ มตร เมอ่ื หักการ
ระเหยของน้ำออกแล้วจะเหลือน้ำสำหรบั ทำการเกษตร 800 ไร่ ในขณะที่มีพืน้ ที่ทั้งหมด 3,000 ไร่แบง่
ออกเป็น 200 แปลง อา่ งนำ้ ท่เี ก็บน้ำไว้จะเล้ียงได้ 4 ไรต่ อ่ แปลง ลำพังสระในแปลงเล้ียงได้ 4.75 ไร่ จึง
นับว่ามาก (4.75 ไร่ + 4.00 ไร่ = 8.75 ไร่) เพราะจะทำการเกษตรได้อย่างสมบรู ณเ์ พียง 8.75 ไรเ่ ท่านนั้
อีก 6.25 ไร่ ตอ้ งอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ (ทรงใชค้ ำว่าเทวดาเลย้ี ง) แต่วา่ ในรอบปจี ะมีระยะที่มีความ
จำเป็นต้องใช้น้ำและจะมีฝนตกทำให้เก็บเป็นน้ำสำรองได้ อ่างและสระจะทำหน้าที่เฉลี่ยน้ำฝน
(Regulator) จงึ นา่ จะมีน้ำใช้เพียงพอ
3. การลงทุนค่อนขา้ งสูง ดงั นนั้ เกษตรกรจงึ ตอ้ งได้รับการสนบั สนุนช่วยเหลือจากภายนอก เช่น
หน่วยงานของราชการ องค์กร มูลนิธิต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชน โดยไม่ต้องให้เกษตรกรสิ้นเปลืองค่า
ดำเนนิ การ
2.4.1.5 ข้อควรระมัดระวังสำหรบั ทฤษฎีใหม่
นันทนีย์ กมลศริ พิ ิชัยพร (2549) ได้สรุปขอ้ พงึ ระมัดระวังในการดำเนินการตามแนวทางทฤษฎี
ใหม่ ดงั น้ี
1. ทฤษฎใี หม่เปน็ การแกป้ ญั หาที่ปลายเหตุ ซ่ึงยังล่อแหลมและมอี ัตราเสี่ยงอยู่เพราะยังไม่มีผล
ท่ชี ัดเจน ฉะน้นั เกษตรกรควรขอรับคำปรกึ ษาแนะนำจากเจา้ หน้าทีด่ ้วย
2. ทฤษฎีใหมไ่ มไ่ ด้เป็นการแจกจ่ายทีด่ นิ แตเ่ ปน็ การดำเนินการในท่ีดินของเกษตรกรเอง
3. ก่อนจะขุดสระนำ้ ตอ้ งพจิ ารณาลกั ษณะดินดว้ ย วา่ สามารถเก็บกกั นำ้ ได้หรือไม่
4. การขดุ สระนำ้ ควรทจี่ ะรกั ษาผิวหน้าดินท่มี คี วามอดุ มสมบรู ณเ์ อาไว้ให้ไดม้ ากทส่ี ุด
5. การขุดสระน้ำมีค่าใช้จ่ายสูง เกษตรกรอาจจะไม่สามารถแบกรับภาระในส่วนนี้ได้ ฉะนั้น
มลู นิธิและหน่วยงานราชการตอ้ งช่วยเหลอื เกษตรกร
6. ควรจะต้องมแี หลง่ นำ้ ขนาดใหญ่ที่สามารถจดั ทำระบบสง่ น้ำเพื่อเช่อื มตอ่ มายังสระน้ำท่ีขุดไว้
ในแปลงเพอ่ื เปน็ การสำรองเอาไวใ้ ช้ในช่วงฤดูแลง้
7. ควรน้นกับเกษตรกรที่ทำนา ทำไร่เป็นหลักอยู่เดิม เกษตรกรที่อยู่ในเขตทำสวน ไม้ยืนต้น
และสวนผลไม้อยแู่ ลว้ ไมจ่ ำเป็นต้องเปล่ยี นมาทำเกษตรทฤษฎีใหม่
8. เจ้าหน้าท่ีจะตอ้ งมีความเข้าใจในเร่อื งทฤษฎีใหม่อย่างถ่องแท้ สำหรับการเผยแพรน่ ั้นจะต้อง
มรี ปู แบบ วิธีการอยใู่ นแนวทางเดียวกนั
65
นอกจากนีม้ ลู นธิ ิบรู ณชนบทแห่งประเทศไทย (2555) ยงั ได้กลา่ วถงึ ข้อสำคัญท่ีควรพิจารณาใน
การดำเนนิ การทฤษฎใี หม่ นอกเหนือจากทกี่ ลา่ วมาแล้ว ดงั น้ี
1. ขนาดของพื้นที่ไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่ตายตัว หากพื้นที่การถือครองของเกษตรกรมีน้อยหรือ
มากกวา่ 15 ไร่ กส็ ามารถนำอตั ราสว่ น 30 : 30 : 30 : 10 ไปปรบั ใชไ้ ด้
2. ควรปลูกพืชหลากหลายชนิด เช่น ข้าวเป็นพชื หลัก ไม้ผล ผัก พืชไร่และพืชสมุนไพร อีกทัง้
ยังมีการเลี้ยงปลาหรือสัตว์อื่น ๆ ซึ่งเกษตรกรสามารถนำมาบริโภคได้ตล อดปีเป็นการลดค่าใช้จ่ายใน
สว่ นของอาหารสำหรับครอบครัวและส่วนทีเ่ หลอื สามารถจำหน่ายเปน็ รายไดแ้ กค่ รอบครัวอกี ดว้ ย
3. ความร่วมมือร่วมใจของชุมชนจะเป็นกำลงั สำคัญในการปฏบิ ัติตามหลักทฤษฎใี หม่ เช่นการ
ลงแรงชว่ ยเหลอื กันหรือท่ีเรียกว่า "ลงแขก" นอกจากจะทำให้เกดิ ความรักความสามัคคีในชุมชนแล้วยัง
เปน็ การลดคา่ ใช้จา่ ยในการจา้ งแรงงานได้อกี ดว้ ย
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ทฤษฎีใหม่เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการบริหารจัดการที่ดินและน้ำให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นการพัฒนาตามบริบทของสังคมไทยที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีวิถีการ
ดำเนินชีวิตทางด้านเกษตรกรรม เมื่อจะทำการพัฒนาด้วยทฤษฎีใหม่จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ให้เกิด
ความรอบคอบ เพราะผลที่ได้รบั สำหรับราษฎร ก็คือเป็นการลดค่าใชจ้ ่ายและค่าอาหารบางส่วนเพราะ
ตา่ งคนกต็ า่ งมอี าหารสว่ นตัวหลงั บ้าน มีทงั้ พืชผักสวนครัว ผลไม้ ปลา ไก่ เป็ด แม้กระทั่งไข่ไก่ ไข่เป็ด ที่
สามารถนำเก็บมากินได้ตลอดเวลาและยงั อาจนำผลผลิตทม่ี อี ย่างหลากหลายแตกต่างกนั มาแลกเปลี่ยน
ระหว่างกนั ไดอ้ ีกดว้ ย ดังน้ันจงึ เป็นความประหยัดท่ีแฝงด้วยความเอือ้ อาทรระหวา่ งกัน ซ่ึงทฤษฎีใหม่นี้
จะต้องปรับประยุกต์ให้เกดิ ความเหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมของพ้ืนที่กับทัง้ ยังตอ้ ง
ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรต่าง ๆ ด้วยจึงจะประสบ
ความสำเรจ็ และเกิดประโยชนส์ งู สุด
2.4.1.6 ความสำคัญและความสำเร็จของทฤษฎีใหม่
ภูษณ ปรีย์ปราโมทย์ (2542) ได้ทำการศึกษาแนวทางของทฤษฎีใหม่อย่างลึกซึ้งพบว่า ทฤษฎี
ใหม่เป็นทฤษฎีการพัฒนาที่ทรงด้วยพลานุภาพยิ่ง ทั้งในแง่ของกระบวนการในการสร้างทฤษฎี การ
อธิบาย การทำนายและการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ กล่าวคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัสทรงใช้
แนวทางแห่งประสบการณ์นิยมทั้งแบบนิรนัย (Deduction) และอุปนัย (Induction) มาจัดระเบียบ
เรียบเรียงเปน็ ทฤษฎขี ึ้น โดยอาศัยตรรกวิทยาหรือหลักเหตผุ ลและขอ้ เท็จจริงที่พระองค์ทรงประสบมา
ดว้ ยตนเอง จากการที่ไดท้ รงปฏิบัตภิ ารกิจในการเย่ียมเยยี นและแก้ไขปัญหาให้แก่ราษฎรและเกษตรกร
ในเขตชนบททั่วทุกแห่งหน จนกระทั่งพระองค์ได้ทอดพระเนตรและเล็งเห็นว่าการทำการเกษตรแบบ
ผสมผสานโดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ในอัตราส่วน 30 : 30 : 30 : 10 ใช้สำหรับขุดสระน้ำ ทำนา
ปลูกพชื ไร่ พชื สวน ท่ีอยอู่ าศัยและอืน่ ๆ ตามลำดับ จะทำใหเ้ กษตรกรสามารถผลติ ขา้ วพอกนิ ตลอดท้ังปี
66
และยังมีนำ้ เพียงพอท่ีจะปลกู พืชไร่และพชื สวนได้ ในสระน้ำใช้เปน็ ทเี่ ลี้ยงปลาเพื่อใชบ้ ริโภคในครัวเรือน
และเพื่อจำหน่าย จะช่วยให้เกษตรกรมีความพอเพียงและพึง่ ตนเองได้ ในการจัดแบ่งพื้นที่นี้ พระองค์
ทรงดำริและคำนวณตามหลักวิชา เพื่อให้การใชท้ รพั ยากรเกิดประโยชน์สูงสุด คำอธิบายในทฤษฎีใหม่
เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้โดยง่าย สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างไม่ลำบากนักแต่การจะให้ผลบังเกิดขึ้นได้
จะตอ้ งมขี ้อสมมติเบ้อื งต้นเกย่ี วกบั ครัวเรือนของเกษตรกร ซ่งึ เปน็ ทยี่ อมรับหรือตกลงบางประการ ดังน้ี
(กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2541)
1. เกษตรกรมีพ้ืนทีน่ ้อย ประมาณ 15 ไร่ (น้อยกว่าอตั ราการถอื ครองเฉลี่ย 25 ไร่)
2. อยู่ในเขตเกษตรใชน้ ้ำฝน ฝนตกไมช่ ุกนัก (ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ)
3. สภาพของดนิ สามารถขุดบอ่ กักเกบ็ นำ้ เพ่ือใช้อปุ โภคบริโภคได้
4. เกษตรกรมฐี านะคอ่ นข้างยากจน มสี มาชิกครอบครัวปานกลาง (5-6 คน)
5. ไม่มีอาชีพหรอื แหล่งรายได้อืน่ ทด่ี ีกว่าบริเวณใกล้เคียงทัง้ นี้จะเหน็ ไดว้ ่า ข้อสมมติของทฤษฎี
ใหม่ดังกล่าวมคี วามสอดคลอ้ งกบั สภาพความเปน็ จริงของเกษตรกรไทย
ทั้งน้ีจะเหน็ ได้ว่า ข้อสมมตขิ องทฤษฎใี หม่ดงั กลา่ วมีความสอดคลอ้ งกับสภาพความเป็นจริงของ
เกษตรกรไทย
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตั้งชื่อแนวพระราชดำริว่า ทฤษฎีใหม่และ
พระราชทานอนญุ าตใหน้ ำออกเผยแพรน่ ้ัน พระองคท์ รงได้ทำการทดลองในหลายพื้นท่ี ทรงมอบหมาย
ให้หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งทำการทดลองเพ่ิมอีกหลายแห่ง และศึกษาข้อมลู ติดต่อกันอีกเป็นเวลาหลายปี
เพื่อพิสูจน์หรือยืนยันทฤษฎีนี้ หากได้รับความสำเร็จก็ขยายผลต่อไป หากไม่ได้รับความสำเร็จก็ต้อง
ปรบั ปรุงวิธกี ารให้เหมาะสม นบั วา่ วิธกี ารดงั กลา่ วน้เี ปน็ ข้นั ตอนของการสรา้ งทฤษฎีโดยแทจ้ รงิ
ด้วยเหตุผลดงั กลา่ วมาข้างต้น ทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว จงึ เปน็ ทฤษฎีท่ีเป็น
ที่ยอมรับและได้รับการกล่าวถึงอย่างแพร่หลาย จนบรรดานกั คดิ และนกั วิชาการชั้นนำของประเทศไทย
หลายแขนงต่างเรียกร้องและเสนอแนะให้รัฐบาลนำทฤษฎีใหม่มาใช้ผสมผสานกบั ระบบเศรษฐกิจแบบ
พึ่งพาการส่งออก โดยให้บรรจุลงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพร้อมกับการเผยแพร่
แนวคดิ ทฤษฎีใหม่ รวมทงั้ ผลของการนำทฤษฎีใหม่ไปใช้ในพ้ืนที่ตา่ ง ๆ ท่ปี ระสบผลสำเร็จและส่งผลให้
เกษตรกรมีความเปน็ อยูท่ ่ีดี มรี ายได้สามารถพ่งึ พาตนเองไดอ้ ย่างไม่ขัดสน
กรมการปกครอง (2551) ไดเ้ สนอตัวอย่างของเกษตรกรผู้ประสบความสำเรจ็ พออยู่พอกินจาก
การนำทฤษฎีใหม่ไปใช้ เช่น
นายแส่ เทพเนาว์ (ลุงแส่) เป็นเกษตรกรชาวจังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ที่อำเภอโนนสุวรรณ ที่ได้นำ
แนวคิดเศรษฐกิจชุมชนพง่ึ ตนเอง โดยทำการเกษตรตามแนวทางทฤษฎีใหมห่ รือเกษตรผสมผสานไปลง
มอื ปฏบิ ตั ิจริง ซ่ึงแตเ่ ดิมลุงแสไดป้ ระสบกบั ปญั หาตา่ ง ๆ จากการทำอาชพี การเกษตรมานับสิบปีแต่ด้วย
ความสชู้ วี ติ และความอดทนไม่ย่อท้อตอ่ ความยากลำบาก ลุงแสจ่ งึ ไดแ้ บ่งพืน้ ทีส่ ว่ นหนง่ึ เขา้ รว่ มโครงการ
67
ทฤษฎีใหม่ โดยแบง่ พื้นทจ่ี ำนวน 15 ไร่ เพ่อื ปลกู ขา้ วเปน็ หลัก พนื้ ท่ี 7 ไร่ ขุดเป็นสระสำหรับกักเก็บน้ำ
เพื่อเอาไว้ใช้ตลอดปี พื้นที่ 20 ไร่ เป็นสวนผลไม้ต่าง ๆ ที่ให้ผลผลิตสามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี และ
พื้นที่ 1 ไร่ ไว้ใช้สำหรับเป็นทีอ่ ยู่อาศัยและปลกู พืชสมุนไพร เลี้ยงเป็ด ไก่และหมูหลุมสว่ นในสระน้ำลุง
แสน่ ำพันธุป์ ลาตา่ ง ๆ มาปล่อย โดยเฉพาะปลากนิ พืช เช่น ปลานิล ปลาสวาย สว่ นปลาอน่ื ๆ จะมาเอง
ตามธรรมชาติในฤดูน้ำหลาก เป็นต้น สามารถนำไปบริโภคในครัวเรือนและนำไปแจกจ่ายเพื่อนบ้าน
บางส่วนก็นำไปขาย นอกจากนี้บริเวณรอบ 1 บ่อและในบ่อยังปลูกพืชสวนครัวและพืชน้ำที่สามารถ
นำมาเกบ็ กนิ เผอื่ แผ่แกค่ นอน่ื ไดอ้ ย่างสม่ำเสมอ จงึ ทำใหค้ รอบครวั ลุงแสมีความพออยูพ่ อกนิ อย่างไม่ขัด
สน
นายขวัญใจ แกว้ หาวงษ์ หรอื ลงุ ขวัญใจ ซง่ึ เปน็ หัวหนา้ ศนู ยเ์ กษตรพอเพยี งตามแนวพระราชดำริ
อา่ งเกบ็ น้ำห้วยปุ บ้านเหลา่ นกยูง ตำบลดงมะไฟ อำเภอเมอื ง จังหวัดสกลนคร จบการศึกษาแค่ช้ัน ป.6
แต่ลุงขวัญใจก็ไม่เคยย่อท้อในการศึกษาหาความรู้เรื่องราวดี ๆ ด้านการเกษตรภายในศูนย์การศึกษา
พัฒนาภพู านอันเน่อื งมาจากพระราชดำริ มาปรับใช้ให้เกิดประโยชนใ์ นสวนเกษตรใกล้บ้าน ซึง่ ต้ังอยู่บน
เนอื้ ที่ 20 ไรเ่ ศษ ท่ีปจั จุบนั ถกู แปลงเปน็ สวนเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ ประกอบด้วยพื้นท่ี
นา 14 ไร่ สระน้ำ 2 ไร่ ไม้ผลและกล้วย 2 ไร่ ปลูกพืชผักต่าง ๆหลังฤดูทำนา อาทิ แตงกวา ฟักทอง
ถั่วฝักยาว 2 ไร่ ปลูกอ้อย 2 ไร่ เลี้ยงกบแม่พันธุ์ 200 ตัว เลี้ยงผึ้งชันโรงและเลี้ยงไกพ่ ื้นเมือง เป็ดเทศ
และไกด่ ำอกี 35 ตวั ลุงขวัญใจเลา่ วา่ ..แตก่ ่อนพื้นท่ตี รงน้กี ันดารมากไมม่ ีน้ำปลูกอะไรกไ็ ม่ข้ึน พอดีช่วง
น้ันศูนยภ์ พู านเขาเปดี อบรมงานดา้ นการเกษตรก็เลยไปลองดู กร็ สู้ กึ ดมี าก ๆ มตี วั อยา่ งใหเ้ ห็นชัดเจนเลย
นำมาทดลองทำที่บ้าน เริ่มจากการฟื้นฟูดิน นำพืชผักมาปลูกโดยยึดรูปแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ตาม
พระองค์ท่าน เมื่อสงสัยหรอื ปัญหาอะไรก็สอบถามไปยงั เจา้ หน้าท่ีของศนู ยถ์ ้ามีเวลาก็เข้าไปดูของจริงที่
ศนู ยเ์ ลย...
ลงุ ขวญั ใจเผยท่ีมากว่าจะถงึ วันนี้ ปัจจบุ ันสวนเกษตรแห่งนท้ี ำรายไดใ้ หเ้ จ้าของสวนไม่ตำ่ กว่าวัน
ละ 400-500 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 25,000-30,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและฤดูกาลให้
ผลผลติ ของพืชผักชนิดนั้น ๆ ด้วย จึงนับเปน็ เกษตรกรต้นแบบแหง่ เทอื กเขาภูพานในการนำความรู้ตาม
แนวพระราชดำริเกษตรทฤษฎีใหม่จากศูนย์ภูพานมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในผืนที่ดินทำกินของตัวเอง
จนกระทั่งในวันนส้ี วนเกษตรของลงุ ขวัญใจได้กลายเปน็ ศูนย์เรยี นร้เู กษตรทฤษฎีใหม่ เพือ่ ให้คนในชุมชน
และพื้นที่ใกล้เคียงได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้เพื่อนำไปป ระยุกต์ใช้ในที่ดินทำกินของตัวเองต่อไป(เกษตร
พอเพียง, 2557)
68
2.4.1.7 การนำทฤษฎีใหม่ไปใช่ในการพัฒนาชุมชน
สนธยา พลศรี (2547) ได้อธิบายไว้ว่า ทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสามารถ
นำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชมุ ชนได้ ดังน้ี
1. ทฤษฎีใหม่ เป็นทฤษฎีที่เกิดจากพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มี
ลักษณะบูรณาการ ผ่านการทดลองโดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่พระองค์ทรงมีแนวทางการ
พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่านโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
โครงการหลวง ซงึ่ เป็นแนวทางปฏิบัตทิ ส่ี ามารถใหผ้ ลได้จรงิ และสามารถนำไปใชอ้ ยา่ งไดผ้ ล
2. ทฤษฎใี หม่ มุ่งเน้นการแกไ้ ขปัญหาและการพฒั นาประเทศไทยและชุมชนไทยบนพ้นื ฐานของ
ภูมิปัญญาของคนไทยที่มีความสืบเนื่อง ถ่ายทอดต่อกันมายาวนาน จึงมีความเหมาะสมกับการพัฒนา
ประเทศไทยและชุมชนไทย เพียงแตต่ อ้ งปรับปรงุ ให้เหมาะสมกบั พ้ืนฐานและบริบทของชุมชนแต่ละแหง่
3. ประเทศไทยดำเนินการพัฒนาประเทศโดยใช้แนวทางการพัฒนาตามแนวคิดทุนนิยม
ตะวันตกมากว่า 50 ปี การพัฒนาในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้เกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะ
วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังประสบปัญหาในปัจจุบัน สาเหตุสำคัญเป็นเพราะคนไทยไม่สามารถ
พึ่งพาตนเองในทางเศรษฐกิจได้ มีการใช้จ่ายพุ่มเฟือยเกินตัว ไม่สามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจกับ
ประเทศทุนนิยมที่ร่ำรวยกว่าได้ จึงสามารถกล่าวได้วา่ การพัฒนาประเทศตามแนวคิดของประเทศทนุ
นยิ มตะวนั ตกนน้ั ไมเ่ หมาะสมกบั ประเทศไทยอีกแลว้ ในขณะท่ีพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวทรงทดลอง
แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยและก่อเกิดผลความสำเรจ็ เป็นอย่างดี มีความเหมาะสมกับ
คนไทยและประเทศไทย จึงสมควรอย่างย่ิงทคี่ นไทยโดยเฉพาะรัฐบาลไทย นกั วชิ าการนกั พัฒนาจะได้นำ
ทฤษฎใี หม่มาใช้ในการแกป้ ญั หาและพัฒนาประเทศท้งั ในระยะสั้นและระยะยาวอย่างจรงิ จงั
4. ทฤษฎใี หม่มุ่งเนน้ ไปที่การพฒั นาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรรายยอ่ ยซึง่ เปน็ คนส่วนใหญ่ของ
ประเทศ เพื่อให้มีฐานะความเป็นอยู่และคุณภาพชวี ิตที่ดีขึน้ ตามลำดับ กระทั่งมีเศรษฐกิจพอเพียงรวม
พลังกันจนชุมชนมีความเข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ อันจะนำไปสู่การทำธุรกิจขนาดใหญ่ได้ นับเป็นการ
ผสมผสานหรอื การบูรณาการแนวทางในการพฒั นาชมุ ชนท่ีถูกต้องและเหมาะสม ทั้งนไี้ ด้ผา่ นการพิสูจน์
ทดลองมาแลว้ จนประสบความสำเรจ็
5. ในปัจจุบันหนว่ ยงานราชการ ภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนไดห้ นั มาใหค้ วามสนใจต่อ
ทฤษฎีใหม่และนำมาใช้เปน็ นโยบาย แนวทางสำหรบั การพัฒนาเปน็ อย่างมาก จงึ สมควรที่จะต้องศึกษา
และทำความเข้าใจในทฤษฎีใหม่ให้เป็นไปตามพระราชดำริ พระราชประสงค์อย่างจริงจังและถูกต้อง
เพื่อการดำเนินงานพฒั นาให้ประสบความสำเร็จตามที่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ไดท้ รงตั้งพระราช
หฤหัยไว้
จากทั้งหมดทีก่ ล่าวมาแลว้ อาจกลา่ วได้วา่ ทฤษฎีใหมเ่ ปน็ องค์ความร้ทู ่ีย่ิงใหญ่ทางความคิดของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวทีท่ รงพระราชทานให้แกพ่ สกนิกรปวงชนชาวไทยสามารถนำไปประยุกต์ใช้
69
ในด้านต่าง ๆ ที่หลากหลาย ความสำเร็จของการนำแนวคิดทฤษฎีใหม่ไปสู่การปฏิบัติจะเป็นจริงมาก
น้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความสามัคคีและความร่วมมือของภาคส่วนในชุมชนทั้งที่เป็นภาครัฐและ
ภาคเอกชน
สรปุ
ทฤษฎีใหม่เป็นแนวพระราชดำรทิ ีเ่ ป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งที่ช้ีให้เห็นถงึ การ
บริหารจัดการทรพั ยากรทดี่ ินและทรัพยากรนำ้ ให้เกิดประโยชน์สงู สดุ ในการผลติ เพอื่ ยังชพี ของเกษตรกร
และเพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี พอมีพอกิน สามารถพึ่งพาตนเองได้พระบาทสมเด็จพ ระ
เจา้ อยู่หวั ได้ทรงทดลองครง้ั แรกท่ีตำบลห้วยบง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรบี ริเวณใกล้วัดมงคลชัยพัฒนา
ซึ่งเป็นผลสำเร็จและสามารถใช้เป็นแหล่งเรยี นรู้ด้านเกษตรทฤษฎีใหม่ไดส้ ังคมไทยส่วนใหญ่เป็นสังคม
เกษตรกรรม มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติผู้คนเรียนรู้ที่จะอยู่
ร่วมกันอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ มวี ิถขี องการดำรงชีวติ การผลิต ประเพณีวฒั นธรรมและภมู ิปญั ญาท่ี
หลากหลาย ทีเ่ กิดกระบวนการเรยี นรู้จากปัญหาในสภาพแวดลอ้ มที่แตกต่างกันของแต่ละทอ้ งถิ่น ผู้คน
ดำรงชวี ิตอยู่บนฐานของเกษตรกรรมเพอื่ ยังชพี เป็นหลกั ชมุ ชนมีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ ช่วยเหลือ
ค้ำจุนซึ่งกันและกัน มีระบบเศรษฐกิจพื้นฐานที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันกันด้วยน้ำใจเอ้อื
อารี สามารถสรา้ งความพอเพียงใหก้ บั ครอบครัวและชุมชนได้ สงั คมจึงมีความสงบสขุ
แนวปฏิบัติพื้นฐานของทฤษฎีใหม่ประกอบไปด้วยสามขั้นตอน คือขั้นที่หนึ่ง ทำการแบ่งพื้นท่ี
ออกเป็น 4 ส่วน ด้วยอัตราส่วน 30 : 30 : 30 : 10 (นาข้าว พืชสวนพืชไร่ สระน้ำ ที่อยู่อาศยั ) เป็นการ
ดำเนินการใหม้ ีความพอเพียงท่จี ะเลี้ยงตวั เองได้ ขน้ั ตอนที่สอง คือเมอ่ื เกษตรกรสามารถผลติ ได้แล้วก็ทำ
การรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เป็นสหกรณ์เพ่ือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผสิต การตลาดความ
เป็นอยู่ การศกึ ษา เพ่อื กอ่ ให้เกิดความเขม้ แขง็ ของชุมชน ครัวเรอื นอยู่ดกี นิ ดี หลังจากนนั้ เข้าสู่ขั้นตอนที่
สาม ซึ่งเป็นการดำเนินการธุรกจิ ชุมชน มีการติดต่อประสานงานกับหนว่ ยงานภายนอกชมุ ชน เพื่อการ
สนับสนุนเงินทุนและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน โดยทุกฝ่ายต่างก็สร้าง
ประโยชนเ์ กื้อกลู ซง่ึ กันและกนั
จะเห็นได้ว่า ทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นไปตามหลักการพัฒนาชุมชน
อย่างแท้จรงิ กล่าวคือทรงมุ่งชว่ ยเหลือพฒั นาประชาชนให้เกิดการพง่ึ ตนเองได้ ด้วยเหตุท่ีสังคมไทยยังมี
คนจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนชนบท ดังนั้นการพัฒนาชุมชนตามแนวทางทฤษฎีใหม่จึงมี
ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะชุมชนชนบทที่ถือเป็นรากฐานที่มั่นคงและเป็นตัวกำหนดความมี
เสถียรภาพของประเทศชาติ
70
2.4.2 หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
หลกั แนวคิดเก่ียวกบั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
จากการศึกษาตำรา และเอกสารที่เกี่ยวข้องพบว่า มีนักวิชาการและหน่วยงานต่าง ๆให้หลัก
แนวคิดเกี่ยวกบั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มากมาย ผู้วิจัยขอนำเสนอหลักแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่
รวบรวม ไดด้ ังนี้
ประเวศ วะสี (2542) ได้กล่าวในหนังสือเศรษฐกิจพอเพียง และประชาสังคมแนวทางพลิกฟื้น
เศรษฐกิจและสังคม ว่าเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้แปลว่าไม่เกี่ยวข้องกับใคร ไม่ค้าขายไม่ส่งออก ไม่ผลิต
เพื่อคนอื่น ไม่ทำเศรษฐกิจมหภาค และให้ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงได้ว่าคำว่า เศรษฐกิจ
พอเพียงนัน้ หมายถึง พอเพยี งในอย่างน้อย 7 ประการ ดังนี้
1. พอเพียงสำหรบั ทกุ คน ทกุ ครอบครัว ไมใ่ ช่เศรษฐกจิ แบบทอดทิ้งกัน
2. จิตใจพอเพียง ทำให้รกั เอ้ืออาทรคนอนื่ ได้ คนทไ่ี ม่พอ จะรักคนอนื่ ไมเ่ ปน็
3. สิ่งแวดล้อมพอเพียง การอนรุ กั ษ์และเพิม่ พูนสง่ิ แวดลอ้ ม ทำใหย้ งั ชีพและทำมาหากนิ ได้ เช่น
การทำเกษตรผสมผสาน ซึง่ ได้ท้งั อาหาร ได้ท้ังสิง่ แวดล้อม และไดท้ ัง้ เงนิ
4. ชุมชนเข้มแข็งพอเพียง ทำให้สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ เช่น ปัญหาสังคม ปัญหาคน
ยากจน ปญั หาส่ิงแวดลอ้ ม ฯลฯ
5. ปัญญาพอเพียง มีการเรียนรรู้ ่วมกันในการปฏริ ูป และปรบั ตัวไดอ้ ยา่ งต่อเนอ่ื ง
6. อยู่บนพื้นฐานวฒั นธรรมพอเพียง วัฒนธรรม หมายถึง วิถีชีวิตของกลุ่มชนที่สัมพันธ์อยูก่ ับ
สง่ิ แวดลอ้ มทห่ี ลากหลาย ดงั น้ัน เศรษฐกจิ ทีด่ ีจึงควรสมั พันธ์และเติบโตขึ้นมาจากฐานทางวัฒนธรรมจึง
จะมนั่ คง
7. มีความมน่ั คงพอเพยี ง ไม่วูบวาบ เดีย๋ วจนเดี๋ยวรวยแบบกะทันหัน เด๋ยี วตกงานไม่มกี ินไม่มีใช้
ซึ่งประสาทมนุษย์คงทนไม่ไหว จึงสุขภาพจิตเสีย เครียด เพี้ยน รุนแรง ฆ่าตัวตาย ติดยาเสพติดแต่
เศรษฐกิจพอเพยี งทมี่ น่ั คง จะทำใหส้ ุขภาพจติ ดี
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพอเพียงย่อมเกดิ ความสมดุล และความสมดุลนั้นจะนำไปสู่ความปกติและ
ยั่งยืน ซึ่งเราอาจเรียกเศรษฐกิจพอเพียงในชื่ออื่น ๆ เช่น เศรษฐกิจพื้นฐาน เศรษฐกิจสมดุลเศรษฐกิจ
บูรณาการ เศรษฐกิจศีลธรรม และนี่คือเศรษฐกิจทางสายกลาง หรือเศรษฐกิจแบบมัชฌิมาปฏิปทา
เพราะเป็นการเชือ่ มโยงกนั ทุกเร่ืองเข้าดว้ ยกนั ทงั้ เศรษฐกิจ สงั คมจติ ใจ สิ่งแวดลอ้ ม และวัฒนธรรม
เกษม วฒั นชัย (2549) กลา่ วถึงแนวคดิ หลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง คอื แนวทางการดำรงอยู่
และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพฒั นา
และบริหารประเทศให้ดำเนินไปในสายทางกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศษฐกิจเพื่อให้ก้าวหน้าทันต่อ
โลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพ อประมาณความมีเหตุมีผล รวมถึงความจำเป็นที่
จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงท้ัง
71
ภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรูค้ วามรอบคอบและความระมดั ระวังอย่างยิ่งในการ
นำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผน และการดำเนินการทุกขั้นตอนและขณะเดียวกันจะต้อง
เสริมสร้างพืน้ ฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจา้ หนา้ ทีข่ องรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทกุ ระดับ
ให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบคอบที่เหมาะสม ดำเนินชีวิต ด้วยความ
อดทน ความเพียร มีสติปัญญาและรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลง
อยา่ งรวดเร็วและกวา้ งขวางท้งั ดา้ นวตั ถุ สังคม สงิ่ แวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่าง
ดี มีเง่อื นไขอยู่ 3 ประการ คอื
1. จะต้องเสรมิ สร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหนา้ ท่ีของรัฐ นักทฤษฎีและนัก
ธรุ กจิ ใหม้ สี ำนึกในคณุ ธรรม ความซ่ือสตั ย์ สุจรติ และใหม้ คี วามรอบรู้ที่เหมาะสม
2. ดำเนินชีวติ ด้วยความอดทน มีความเพยี ร มสี ติและความรอบคอบ
3. จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวชิ าการต่าง
ๆ มาใช้ในการวางแผน และการดำเนนิ การทุกขั้นตอน
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแหง่ ชาติ (2556) มแี นวคดิ เกย่ี วกับนยั สำคญั ของแนวคดิ ระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ดังนี้
1. เป็นระบบเศรษฐกจิ ที่ยึดถอื หลกั การท่วี ่า "ตนเป็นทพี่ ึง่ แหง่ ตน" โดยมุ่งเนน้ การผสิตพืชผลให้
เพยี งพอ กบั ความตอ้ งการบริโภคในครวั เรอื นเปน็ อันดับแรก เมื่อเหลอื พอจากการบริโภคแล้วจงึ คำนึงถงึ
การผลิตเพื่อการค้าเป็นอันดับรองลงมา ผลผลิตส่วนเกินที่ออกสู่ตลาดก็จะเป็นกำไรของเกษตรกร ใน
สภาพการณ์เช่นนี้ เกษตรกรจะกลายสถานะเปน็ ผู้กำหนดหรือเป็นผู้กระทำต่อตลาดแทนทีว่ ่าตลาดจะ
เป็นตวั กระทำ หรอื เป็นตัวกำหนดเกษตรกรดังเชน่ ทเี่ ป็นอยใู่ นขณะนี้ และหลกั ใหญ่สำคญั ยิ่ง คือ การลด
คา่ ใช้จา่ ย โดยการสร้างส่งิ อุปโภคบริโภคในทีด่ ินของตนเอง เช่น ขา้ วนำ้ ปลา ไก่ ไม้ผล พชื ผัก ฯลฯ
2. เศรษฐกิจแบบพอเพียงให้ความสำคญั กับการรวมกลุ่มของชาวบ้าน ทั้งนี้ กลุ่มชาวบ้านหรอื
องค์กรชาวบ้านจะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้หลากหลาย ครอบคลุมท้ัง
การเกษตรแบบผสมผสานหัตถกรรมการแปรรูปอาหาร การทำธุรกิจค้าขาย และการท่องเที่ยวระดับ
ชุมชน ฯลฯ เมื่อองค์กรชาวบ้านเหล่านี้ได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็ง และมีเครือขา่ ยท่ีกว้างขวางมากขึ้น
แล้ว เกษตรกรทั้งหมดในชุมชนกจ็ ะได้รับการดูแลให้มีรายได้เพิ่มข้ึนรวมทัง้ ไดร้ ับการแก้ไขปัญหาในทกุ
ๆ ด้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศก็จะสามารถเติบโตไปได้อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่ง
หมายความว่าเศรษฐกจิ สามารถขยายตัวไปพรอ้ ม ๆ กับสภาวการณด์ า้ นการกระจายรายไดท้ ่ีดีขนึ้
3. เศรษฐกิจแบบพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมีความเมตตา ความเอื้ออาทร และความ
สามัคคขี องสมาชิกในชุมชนในการรว่ มแรงร่วมใจ เพอ่ื ประกอบอาชพี ต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเรจ็ ประโยชน์
ท่ีเกิดขึ้นจงึ มไิ ดห้ มายถงึ รายได้แต่เพียงมิตเิ ดยี ว หากแตย่ ังรวมถึงประโยชน์ในมิติอ่ืน ๆ ดว้ ย ได้แก่ การ
สร้างความมน่ั คงให้กับสถาบนั ครอบครัว สถาบนั ชุมชน ความสามารถในการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ
72
และสิ่งแวดล้อม การพัฒนากระบวนการเรียนรูข้ องชมุ ชนบนพ้ืนฐานของภูมิปญั ญาทอ้ งถิน่ รวมทั้งการ
รกั ษาไว้ ซง่ึ ขนบธรรมเนยี มประเพณีท่ีดงี ามของไทยใหค้ งอยูต่ ลอดไป
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2546, หน้า 36-45)ได้
วิเคราะห์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยวิธีการจำแนกวิเคราะห์ (parsing) ได้สรุปว่า ปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพยี งมีองคป์ ระกอบดา้ นต่าง ๆ อยา่ งสมบรู ณ์ ท่สี ามารถใช้เปน็ พ้นื ฐานในการพัฒนากรอบทฤษฎีทาง
เศรษฐศาสตร์ โดยจำแนกออกเปน็ 5 ส่วน ประกอบด้วย กรอบแนวคิด คุณลักษณะ คำนิยาม เงื่อนไข
และผลทีค่ าดวา่ จะได้รับ รายละเอยี ดดงั นี้
1. กรอบแนวคิด (framework เศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว
ทรงมีพระราชดำรสั ชแี้ นะแนวทางการดำเนนิ ชีวติ ให้แกพ่ สกนิกรชาวไทย ตง้ั แตก่ อ่ นเกดิ วกิ ฤตการณ์ทาง
เศรษฐกิจ เมื่อ พ.ศ.2540 และเมื่อภายหลังการเกดิ วกิ ฤตการณ์ทางเศรษฐกิจพระองค์ได้ทรงเนน้ ย้ำให้
พวกเราใชเ้ ปน็ แนวทางการแกไ้ ข เพ่ือใหร้ อดพ้นจากวกิ ฤติ โดยใช้หลักเศรษฐกจิ พอเพยี งในการดำรงชีวิต
การปฏิบัติและการพัฒนาเพอ่ื ให้สามารถอยู่ได้อย่างมน่ั คงและยง่ั ยืนภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงต่าง
" ท้ังภายในและภายนอกประเทศ เปน็ ปรัชญาทชี่ แี้ นะแนวทางการดำรงอยแู่ ละปฏบิ ัติตนในทางที่ควรจะ
เป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ตลอดเวลาทั้งในอดีต
ปจั จุบัน และอนาคต (timeless)
2. คุณลักษณะ (characteristics) เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่
และปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการ
พฒั นาและบริหารประเทศให้ดำเนนิ ไปในทางสายกลาง ซึ่งสามารถจำแนกลกั ษณะของปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพยี งออกเปน็ 3 ลักษณะ ดังน้ี
2.1 เป็นแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบตั ิตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพืน้ ฐานมาจาก
วถิ ชี วี ติ ดง้ั เดมิ ของสังคมไทย
2.2 เปน็ ปรชั ญาทสี่ ามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ
ท้งั ระดับบุคคล ระดบั ครอบครวั ระดับชมุ ชน และระดับรฐั
2.3 ยืดแนวคิดทางสายกลาง (middle path) หมายถึง การกระทำที่พอประมาณบน
พื้นฐานของความมีเหตุผลและมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่นำมาใช้กับการบริหารและพัฒนา
เศรษฐกิจในยุคโลกาภวิ ตั น์ กล่าวคือ ไมใช่การปิดประเทศอย่างสิ้นเชิง แต่ไมใช่การเปดิ เสรีอย่างเตม็ ท่ี
โดยไม่มีการเตรียมความพร้อมของคนและสังคม ไม่ใช่การอยู่อย่างโดดเดี่ยว (independence)หรือ
พึ่งพิงภายนอกทั้งหมด (dependence) แต่เน้นความคิดและการกระทำพึ่งตนเองเป็นหลัก(self-
reliance) กอ่ นท่ีจะไปพง่ึ คนอื่น
3. คำนิยาม (working definition) ความพอเพียง (sufficiency) หมายถึง ความพอประมาณ
ความมีเหตุผล รวมถึง ความมีระบบภมู คิ ุม้ กันในตัวทีด่ ีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจาก
73
การเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก กล่าวคือ ความพอเพียงจะต้องประกอบไปด้วยคุณลักษณะ
พรอ้ ม ๆ กัน 3 ประการ คอื
3.1 ความพอประมาณ (moderation)หมายถึง ความพอดี ไม่มากเกินไปและไมน่ ้อย
จนเกินไป เช่น การผลติ และบริโภคท่ีอยใู่ นระดับพอประมาณ เปน็ ตน้
3.2 ความมีเหตุผล (reasonableness) หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความ
พอประมาณ เป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัย ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และผลที่คาดว่าจะ
เกดิ ข้นึ จากการกระทำอยา่ งรอบคอบ
3.3 การมีภมู ิคมุ้ กันในตัวทด่ี ี (self-immunity) หมายถึง การเตรียมความพรอ้ มเพอ่ื รบั
ผลกระทบท่ีคาดว่าจะเกิดขนึ้ จากการเปลีย่ นแปลงดา้ นต่าง ๆ ทั้งจากภายนอกและภายใน
4. เงื่อนไข (condition of sufficiency actions) หมายถึง การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพยี งไปใชใ้ นการดำรงชวี ิตและปฏบิ ัติ นอกจากจะยึดแนวทางปฏิบัติตามหลกั ความพอเพยี ง คอื ความ
พอประมาณ ความมีเหตผุ ล และความมรี ะบบภมู คิ มุ้ กนั ในตัวท่ีดีแลว้ ยังจะต้องต้ังม่นั อยใู่ นเงื่อนไขอกี 2
ประการ คือ ความรู้และคุณธรรม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจเนื่องจากการ
กระทำของกลมุ่ บคุ คลดงั กลา่ วนี้สามารถก่อให้เกดิ ผลกระทบในสงั คมในวงกวา้ งได้
4.1 เงื่อนไขความรู้ (set of knowledge) ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจในการประกอบ
กิจกรรมเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับพอเพียง ต้องอาศยั ความรอบรู้ คอื มีความรใู้ นหลักวิชาการตา่ ง ๆอย่าง
รอบด้าน เพื่อประโยชนใ์ นการนำไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ นอกจากน้ันจะต้องมีความรอบคอบ คอื สามารถ
ที่จะนำความรู้ตามหลักวิชาการต่าง ๆ มาเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ประกอบการวางแผนก่อนที่จะนำไป
ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติ และจะต้องมีความระมัดระวัง คือ ความมีสติในการนำแผนไปสู่การปฏิบัติ
เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การนำความรู้และความรอบคอบไปใช้จะต้องอาศัย
ความระมัดระวังให้รเู้ ทา่ ทันเหตุการณ์ทเี่ ปลย่ี นแปลงไปดว้ ย
4.2 เงื่อนไขคุณธรรม (ethical qualifications) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ด้าน
จิตใจ/ปัญญา คือ จะต้องตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต กล่าวคือ มีความรู้คู่คุณธรรมและ
ด้านการกระทำ หรือแนวทางการดำเนินชีวิต โดยเน้นความอดทน ความเพียร สติปัญญาและความ
รอบคอบ
5. ผลที่คาดว่าจะได้รับ การนำปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ จะทำให้เกิดท้ังวิถกี าร
พฒั นา และผลของการพัฒนาท่ีสมดุลและพร้อมรับต่อการเปลยี่ นแปลง กล่าวคอื ความพอเพียงเป็นทั้ง
วธิ กี ารท่คี ำนงึ ถึงความสมดุล ความพอประมาณอย่างมีเหตุผล และการสรา้ งภูมิค้มุ กันทีเ่ หมาะสม และ
นำไปสู่ผลของการกระทำทีก่ อ่ ให้เกิดความสมดุล และพรอ้ มรับต่อการรองรบั การเปล่ยี นแปลง กล่าวคือ
เกิดความสมดุลในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีและความรู้ ในขณะเดียวกันก็
74
นำไปสผู่ ลการพัฒนาที่เกิดความยั่งยืน หรอื ดำรงอยูอ่ ย่างต่อเน่ืองของทุนในด้านต่าง ๆ ทั้งทุนเศรษฐกิจ
ทนุ ทางสงั คม ภูมปิ ญั ญา และทนุ ทางส่ิงแวดล้อม
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
รัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญ และคำนึงถึงคุณค่าปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ในการที่จะ ทำให้
ประเทศรอดพ้นจากวิกฤตต่าง ๆ จึงนำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาบรรจุไว้ในแผน พัฒนา
เศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ดงั นี้
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี 8 (พ.ศ. 2540-2544) (สำนักงานคณะกรรมการ
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2540) ได้กล่าวถึง หลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอย่หู ัวทเี่ กี่ยวกบั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งวา่ การทรงงานของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว เป็นการ
ดำเนินงานในลักษณะทางสายกลางทส่ี อดคลอ้ ง กับสง่ิ ท่อี ยู่รอบตวั และสามารถปฏบิ ตั ไิ ด้จริง โดยทรงยึด
หลกั การในการพฒั นาตามโครงการอันเนอ่ื ง มาจาก
พระราชดำริตลอดเวลาหกทศวรรษท่ผี า่ นมา สรปุ ไดด้ งั น้ี
ประการแรก การพัฒนาต้องเอา "คน" เป็นตัวตั้ง และยึดหลัก "ผลประโยชน์ของประชาชน"
และ "การมสี ่วนรว่ มตดั สินใจของประชาชน " โดยในการดำเนนิ โครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริทุก
โครงการ ทรงใหย้ ดึ หลักประชาชนทกุ คนต้องไดร้ บั ประโยชน์จากโครงการ และคนสว่ นใหญต่ อ้ งเสียสละ
ดูแลช่วยเหลือคนส่วนน้อย ยึดหลักคุ้มค่ามากกว่าคุ้มทุน หรือ "ขาดทุน คือกำไร" คือ การให้และการ
เสยี สละ อนั มผี ลเปน็ กำไร คือ "ความอยูด่ ีมสี ขุ " ของประชาชน และตอ้ งให้ประชาชนผมู้ ีส่วนได้ส่วนเสีย
ได้มีส่วนร่วมตัดสินใจในโครงการ ตั้งแต่ขั้นตอน "การทำประชาพิจารณ์" ก่อนเริ่มโครงการ เพื่อเปิด
โอกาสใหป้ ระชาชนตัดสินใจเลอื กหาทางออกของตนเอง แล้วจึงใหผ้ ้นู ำท้องถ่ินและข้าราชการที่เก่ียวข้อ
ดำเนนิ การรว่ มกนั ตอ่ ไป
ประการที่สอง ยึดหลัก "ภูมิสังคม" ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคและท้องถิน่ โดยการ
พัฒนาตามแนวพระราชดำริ จะต้องมีกระบวนการศึกษาและวางแผนที่สอดคล้องกับภูมิสังคมหรือ
ลักษณะภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์ คือ สภาพธรรมชาติแวดล้อมรอบ ๆ ตัวคน และต้องอยู่บนพ้ืนฐาน
เดิมของสังคม หรือภูมิประเทศทางสังคมวิทยา ที่คำนึงถึงการดำเนินวิถีชีวติ ของ "คน" ในสังคมหนึ่ง ๆ
ซึ่งมลี กั ษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม คา่ นยิ ม ความเช่อื และศาสนา ประเพณี เศรษฐกจิ และสภาพแวดล้อม
ในสงั คมนนั้ 1 ทรงให้ความสำคญั ต่อการใช้หลกั วิชาในการ "ศึกษาขอ้ มลู อย่างเป็นระบบ" และ "พัฒนา
คน" โดยสร้างความรู้ความเข้าใจของคนในพื้นที่ต่อหลักการและประโยชน์ของการพัฒนา รวมทั้ง
ข้าราชการก็ยึดหลกั "เข้าใจ เขา้ ถึง และพฒั นา" คือ ต้องมคี วามร้คู วามเข้าใจในสภาพภูมิสงั คมของคนใน
พื้นที่นั้น ๆ ว่ามีปัญหาเช่นไร และมีความต้องการอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อให้การวางแผนและการดำเนิน
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สามารถแก้ปัญหาและสอดรับกับความต้องการของประชาชนใน
พน้ื ท่ีมากทสี่ ุด
75
ประการทสี่ าม การพฒั นาต้องเร่ิมต้นจาก "การพึง่ ตนเอง " ใหไ้ ดก้ ่อน โดยรูจ้ กั ประมาณตนและ
ดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และ "ทำตามลำดับชั้น" ต้องสร้างพื้นฐานความเป็นอยู่ของ
ประชาชนและครอบครัวใหพ้ อมี พอกนิ พอใช้กอ่ น โดยใชว้ ธิ ีการที่ประหยัดและถูกต้องตามหลกั วชิ าการ
เมื่อพัฒนาตนเองให้เข้มแข็งและเป็นอิสระแล้ว จึงค่อยพัฒนาขึ้นมาเป็นการแลกเปลี่ยน การรวมกลุ่ม
ชว่ ยเหลือพง่ึ พากนั และร่วมกนั พฒั นาชมุ ชนใหเ้ ขม้ แขง็ เม่ือสามารถพง่ึ ตนเองไดแ้ ล้ว จึงพัฒนาเครือข่าย
เชอ่ื มสู่สงั คมภายนอก เพื่อความเจริญก้าวหน้าในลำดบั ต่อไป ดงั ทที่ รงใช้คำวา่ "ระเบิดจากข้างใน"
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) (สำนักงานคณะ
กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2544, หน้า 7-8) เป็นแผนที่ได้อัญเชิญแนวปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำรสั ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว มาเปน็ ปรัชญานำในการพัฒนา
และบริหารประเทศ โดยยึดหลกั ทางสายกลาง เพอ่ื ใหป้ ระเทศรอดพ้นจากวิกฤตสามารถดำรงอยูไ่ ดอ้ ยา่ ง
มั่นคง และนำไปสู่การพัฒนาที่สมดุล มีคุณภาพ และยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตนแ์ ละสถานการณ์
เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ดงั นี้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เปน็ ปรชั ญาชถี้ ึงแนวการดำรงอยู่และปฏบิ ัติตนของประชาชนในทุก
ระดับ ตง้ั แต่ระดบั ครอบครวั ระดับชมุ ชน จนถึงระดับรฐั ท้งั ในการพฒั นาและบรหิ ารประเทศ ใหด้ ำเนิน
ไปในทงสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง
หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
พอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการตา่ ง ๆ
มาใช้ ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจ
ของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรฐั นักทฤษฎี และนักธุรกจิ ในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม
ความซอื่ สัตยส์ จุ รติ และใหม้ คี วามรอบร้ทู ีเ่ หมาะสม ดำเนนิ ชีวิตดว้ ยความอดทนความเพียร มสี ติปัญญา
และความรอบคอบ เพื่อให้สมดลุ และพร้อมต่อการรองรับการเปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเร็วและกวา้ งขวาง
ทั้งด้านวตั ถุ สังคม สิง่ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรม จากโลกภายนอกได้เปน็ อย่างดี แผนพฒั นาเศรษฐกิจและ
สงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 9 จึงเป็นแผนยทุ ธศาสตร์ทชี่ ก้ี รอบทิศทางการพฒั นาประเทศในระยะปานกลาง ที่
สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ะยะยาว และมีการดำเนินการต่อเนื่องจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ ฉบับที่ 8 ในด้านแนวคิดที่ยึด "คน" เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาในทุกมิติอย่างเป็นองค์รวม
และให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่สมดุล ทั้งด้านตัวคน สังคมเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง การสร้างระบบบริหารจัดการภายในที่ดี ให้เกิดขึ้นในทุกระดับ อันจะทำให้เกิดการพัฒนาท่ี
ยงั่ ยืน ที่มี "คน" เปน็ ศูนย์กลางไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) (สำนักงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ, 2549) ได้กลา่ วถงึ แนวคิดและทิศทางการพัฒนา
76
ประเทศอยา่ งยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการสร้าง "ภูมิคุ้มกันใหแ้ ก่ครอบครัว ชุมชน
สงั คม และประเทศชาติ" โดยการพฒั นาแบบองค์รวม ทยี่ ึด "คนเป็นศนู ยก์ ลางการพัฒนา " และวิถีการ
พัฒนาอยู่บนพื้นฐานของ "ดุลยภาพเชิงพลวัต" ที่เชื่อมโยงทุกมิติอย่างบูรณาการ ทั้งมิติ ตัวคน สังคม
และวฒั นธรรม เศรษฐกจิ สง่ิ แวดลอ้ ม และการเมือง รวมท้งั ความสมดุลระหวา่ งมติ ิทางวัตถุกบั จติ ใจของ
คนในชาติ ขณะเดียวกันมีดุลยภาพการพัฒนาระหว่างภายใน คือ "ความเข้มแข็งในการพึ่งตนเองของ
ฐานรากของสงั คม และความสมดุลในประโยชน์ของทุกภาคสว่ นเศรษฐกจิ และสังคมอย่างเปน็ ธรรม" กบั
ภายนอก คือ "ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและสร้างพันธมิตรการพัฒนาในโลกาภิวัตน์"
โดยให้ความสำคัญกับการนำทนุ ของประเทศที่มีศักยภาพและความได้เปรียบด้านอัตลักษณแ์ ละคุณค่า
ของชาติ ทั้ง "ทุนสังคม""ทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม" และ "ทุนเศรษฐกิจ" มาใช้ประโยชน์
อย่างบูรณาการและเกื้อกูลกัน พร้อมทั้งเสริมสร้างให้แข็งแกร่งเป็นเสมือนเสาเข็มหลักในการพัฒนา
ประเทศให้มั่นคงและสมดุล ควบคู่ไปพร้อมกับการเสริมสร้างระบบและวัฒนธรรม ธรรมาภิบาลและ
ประชาธิปไตยในทุกภาคส่วนและทุกระดับ โดยใช้ความรอบรู้ คุณธรรม และความเพียร ใน
กระบวนการพัฒนาที่อยู่บนหลักความพอประมาณ ความมีเหตุผล มีระบบภูมิคุม้ กันทางเศรษฐกิจและ
สงั คม ซง่ึ กระบวนทรรศน์การพัฒนาดงั กลา่ วนี้ จะเป็นภูมิคุ้มกนั ประเทศ ใหส้ ามารถปรับตัวพร้อมรับต่อ
การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบจากความผันผวนของกระแสโลกาภิวัตน์ทั้งด้านวัตถุ สังคม วัฒนธรรม
ส่ิงแวดลอ้ ม และเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี อนั จะนำไปสู่ "ความอยูด่ ีมสี ุข" ของคนไทยทง้ั ชาติเป็น "สังคม
อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน" และประเทศไทยสามารถ "ดำรงอยู่" ในประชาคมโลกได้อย่างมีเอกราชและ
อธปิ ไตยที่มัน่ คง มีศกั ดศ์ิ รแี ละเกียรติภมู ิ สงบสขุ และสนั ติกบั โลกในทส่ี ุด
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) (สำนักงาน
คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ, 2554) ไดย้ ดึ หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง เพ่ือ
วางยุทธศาสตร์การพฒั นาคนส่สู ังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชวี ิตอย่างย่งั ยืน มุ่งเตรยี มคนให้พร้อมรับการ
เปลี่ยนแปลง โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพคนไทยทุกชว่ งวัยให้มีภมู ิคุ้มกัน เพื่อเข้าสู่สังคม
แห่งการเรียนรู้ตลอดชวี ิตอย่างยั่งยืน ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจมาเสริมสรา้ งศักยภาพของคนในทกุ
มิติ ให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีสติปัญญาที่รอบรู้ และมีจิตใจที่สำนึกใน
คุณธรรม จริยธรรม มีความเพียร และรู้คุณค่าความเป็นไทย มีโอกาสและสามารถเรียนรู้ตลอ ดชีวิต
ควบคู่กบั การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมในสังคม และสถาบนั ทางสังคมให้เข้มแข็งและเอ้ือต่อการพัฒนา
คน รวมทงั้ สง่ เสรมิ การพัฒนาชุมชนท้องถน่ิ ให้เขม้ แข็ง และสามารถสร้างภมู ิคุ้มกันให้คนในชุมชน และ
เปน็ พลงั ทางสงั คมในการพฒั นาประเทศ
77
สรุปได้ว่า หลักแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง คือ แนวทางการดำรงชีวิตของประชาชนใน
ทกุ ระดับ ต้ังแตร่ ะดบั ครอบครัว ชมุ ชน จนถึงระดับรัฐ ยึดหลกั การใหค้ วามสำคัญกับการพงึ่ ตนเองต้องมี
ระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงเสริมสร้าง
พ้ืนฐานจติ ใจ ดำเนนิ ชวี ิตด้วยความอดทน อาศยั ความรอบรู้ รอบคอบ ร้จู ักวางแผนการดำเนนิ งานอย่าง
เป็นขัน้ ตอน
หลักการพึ่งตนเองตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
แนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวคิดที่ลึกซึ้ง มีนักวิชาการและหน่วยงานต่าง ๆ
ตีความกำหนดเปน็ หลักการเพอ่ื ให้ประชาชน หน่วยงานตา่ งๆ ได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การ
ปฏิบัติ ผ้วู จิ ัยขอเสนอหลักการพึ่งตนเองตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ดังนี้
ปวัน มีนรักษ์เรื่องเดช (2549) ได้กล่าวถึง นัยสำคัญของแนวคิดระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง
ว่ามีองค์ประกอบหลักการพ่งึ ตนเองตามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงอยู่ 3 ประการ ไดแ้ ก่
ประการแรก เป็นระบบเศรษฐกิจที่ยดึ ถือหลักการที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแหง่ ตน " โดยมุ่งเน้นการ
ผลิตพืชผลให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือนเป็นอันดับแรกเมื่อเหลือพอจากการบริโภค
แล้วจึงคำนึงถงึ การผลิตเพื่อการค้าเป็นอันดบั รองลงมาผลผลิตสว่ นเกินท่ีออกสู่ตลาดกจ็ ะเป็นกำไรของ
เกษตรกร ในสภาพการณ์เช่นนี้เกษตรกรจะกลายสถานะเป็นผู้กำหนดหรือเป็นผู้กระทำต่อตลาดแทน
ทว่ี า่ ตลาดจะเปน็ ตัวกระทำหรอื เป็นตวั กำหนดเกษตรกรดงั เช่นที่เปน็ อยใู่ นขณะน้ี และหลักใหญ่สำคัญยิ่ง
คือ การลดค่าใช้จ่าย โดยการสร้างสิ่งอุปโภคบริโภคในที่ดินของตนเอง เช่น ข้าว น้ำ ปลา ไก่ ผลไม้
พืชผัก ฯลฯ
ประการที่สอง เศรษฐกิจแบบพอเพียงให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มของชาวบ้าน ทั้งนี้กลุ่ม
ชาวบ้านหรือองค์กรชาวบ้านจะทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้หลากหลาย
ครอบคลุมทั้งการเกษตรแบบผสมผสานหัตถกรรมการแปรรูปอาหาร การทำธุรกิจค้าขาย และการ
ท่องเที่ยวระดับชุมชน ฯลฯ เมื่อองค์กรชาวบ้านเหล่านี้ได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็งและมีเครือข่ายที่
กว้างขวางมากขึ้นแล้วเกษตรกรทั้งหมดในชุมชนก็จะได้รับการดูแลให้มีรายได้เพิ่มขึ้นรวมทั้งได้รับการ
แก้ไขปญั หาในทุก ๆ ด้าน เมอ่ื เป็นเช่นนี้ เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศก็จะสามารถเติบโตไปได้อย่างมี
เสถียรภาพ ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจสามารถขยายตัวไปพร้อม ๆ กับสภาวการณ์ด้านการกระจาย
รายไดท้ ด่ี ีขึน้
ประการทีส่ าม เศรษฐกิจแบบพอเพียงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมีความเมตตา ความเอื้ออาทร
และความสามัคคีของสมาชิกในชุมชนในการร่วมแรงร่วมใจเพือ่ ประกอบอาชีพตา่ ง ๆ ใหบ้ รรลุผลสำเร็จ
ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจึงมิได้หมายถึงรายได้แต่เพียงมิติเดียว หากแต่ยังรวมถึงประโยชน์ในมิติอื่น ๆ ด้วย
ได้แก่ การสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันครอบครัว สถาบันชุมชนความสามารถในการอนุรักษ์
78
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของชุมชนบนพน้ื ฐานของภูมิปัญญา
ทอ้ งถิน่ รวมทงั้ การรกั ษาไว้ซง่ึ ขนบธรรมเนียมประเพณีทดี่ ีงามของไทยใหค้ งอยู่ตลอดไป
ปรียานุช พิบูลสราวุธ (2551) กล่าวว่า ในการนำหลักเศรษฐกิจพอเพยี งไปใช้ให้เกิดผลต่อการ
พฒั นาน้ัน ต้องเขา้ ใจ "กรอบแนวคดิ " ว่าเปน็ ปรัชญาที่ชแ้ี นะแนวทางการดำรงอยู่และปฏบิ ัติตนในทางที่
ควรจะเป็น โดยมีพืน้ ฐานมาจากวิถีชวี ติ ดัง้ เดมิ ของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลาและ
เป็นการมองโลกเชิงระบบท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัยและวิกฤต เพื่อ
ความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา ขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจคุณลักษณะวา่ เศรษฐกิจพอเพียง
สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลางและการ
พัฒนาอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอน
กลุ่มพัฒนากรอบแนวคิดทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (2546) กำหนด
หลักพิจารณาปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง มี 5 สว่ น ดังนี้
1. กรอบแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน
ในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชงิ ระบบท่ีมกี ารเปล่ยี นแปลงอยู่ตลอดเวลา มงุ่ เน้นการรอดพ้นจากภัย
และวกิ ฤตเพือ่ ความมนั่ คงและความยัง่ ยืนของการพัฒนา
2. คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของ
ประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหาร
ประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวหน้าทันต่อโลกยุค
โลกาภวิ ัฒน์
3. คำนิยาม ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นท่ี
จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงท้ัง
ภายนอกและภายใน จะเห็นได้ว่า ความพอเพียงต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ พร้อม ๆ กันได้แก่
ความพอประมาณ ความมีเหตุผลและภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี กล่าวคือ กิจกรรมใด ๆที่ขาดคุณลักษณะใด
คณุ ลกั ษณะหน่ึงไปกจ็ ะไมส่ ามารถเรยี กได้ว่าเปน็ ความพอเพียง คณุ ลักษณะทัง้ 3 ประกอบด้วย
3.1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกนิ ไปและไม่มากเกินไป โดยไม่
เบียดเบียนตนเองและผู้อ่นื เช่น การผลิตและการบรโิ ภคท่ีอย่ใู นระดับพอประมาณ
3.2 ความมเี หตุผล หมายถึง การตดั สนิ ใจเกยี่ วกับระดับของความพอเพยี งนนั้ จะต้อง
เปน็ ไปอย่างมเี หตผุ ลโดยพจิ ารณาจากเหตปุ ัจจยั ท่ีเก่ียวข้อง ตลอดจนคำถงึ ผลที่คาดวา่ จะเกิดขนึ้ จากการ
กระทำน้ัน ๆ อยา่ งรอบคอบ
79
3.3 การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบการ
เปลีย่ นแปลงด้านการต่าง ๆ ท่ีจะเกดิ ขึน้ โดยคำนึงถึงความเปน็ ไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีคาดว่าจะ
เกิดข้นึ ในอนาคตทง้ั ใกล้และไกล
4. เงอื่ นไข การตัดสินใจและการดำเนนิ กิจกรรมต่าง ๆ ใหอ้ ยใู่ นระดบั พอเพียงนั้นต้องอาศัยท้ัง
ความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ ต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวัง
อย่างยิ่งในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนนิ การทุกข้ันตอนขณะเดียวกันต้อง
เสริมสรา้ งพืน้ ฐานจิตใจของคนในชาติ ใหม้ จี ิตใจสำนึกคณุ ธรรม ความซือ่ สตั ย์ สุจริตและใหม้ ีความรอบรู้
ที่เหมาะสม ดำเนนิ ชวี ิตดว้ ยความอดทน ความเพียร มสี ติปญั ญาและความรอบคอบ
4.1 เงือ่ นไขความรู้ การท่จี ะนำไปสู่การตัดสินใจในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ที่อยูใ่ นระดับพอเพยี ง ต้องอาศยั
4.1.1 ความรอบรู้ คือ ความรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ อย่างรอบด้าน โดย
ครอบคลุมเนื้อหาของเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง เพื่อใช้เป็นพืน้ ฐานสำหรับการนำไปใช้ในโอกาสและเวลา
ต่าง ๆ
4.1.2 ความรอบคอบ คือ ความสามารถที่จะนำความรู้และหลักวชิ าการต่าง
ๆเหล่านั้น มาพิจารณาให้เชื่อมโยงสมั พันธ์กัน เพื่อประกอบการวางแผน ก่อนที่จะนำไปประยุกต์ใช้ใน
การปฏบิ ัติทุกขนั้ ตอน
4.1.3 ความระมัดระวัง คือ ความมีสติในการนำแผนปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนหลัก
วิชาต่าง ๆเหล่านั้นไปใช้ในทางปฏิบัติ เพราะในความเป็นจริงแล้วสถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ดังนั้นการนำความรู้และความรอบคอบมาใช้จึงต้องอาศัยความระมัดระวังให้รู้ เท่าทันเหตุการณ์ท่ี
เปลย่ี นแปลงไปดว้ ย
4.2 เงื่อนไขคุณธรรม ทจ่ี ะต้องเสรมิ สร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มี
ความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต โดยจะต้อง
เสรมิ สร้าง ใน 2 ด้าน ไดแ้ ก่
4.2.1 ด้านจิตใจและปัญญา โดยเน้นความรู้ คุณธรรม กล่าวคือ ตระหนักใน
คุณธรรมมีความซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ และมคี วามรอบร้ทู เี่ หมาะสม
4.2.2 ด้านการกระทำ หรือแนวทางการดำเนินชีวิต โดยเน้นความอดทน
ความเพียรสตปิ ญั ญา และความรอบคอบ
5. แนวทางปฏบิ ตั /ิ ผลท่ีคาดว่าจะได้รับจากการนำปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ
การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม
สง่ิ แวดลอ้ ม ความรู้และเทคโนโลยี
80
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ (2556) กำหนดหลกั การพ่ึงตนเองเปน็ 5 ด้าน ดังนี้
1. ด้านจิตใจ ทำตนให้เป็นที่พึ่งตนเอง มีจิตสำนึกที่ดี สร้างสรรค์ให้ตนเองและชาติโดยรวมมี
จติ ใจเออื้ อาทร ประนปี ระนอม เห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นท่ตี ั้ง
2. ด้านสงั คม แตล่ ะชุมชนต้องชว่ ยเหลือเก้ือกูลกนั เชอื่ มโยงกนั เป็นเครือข่ายชุมชนที่แข็งแรง
เปน็ อิสระ
3. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ใช้และจัดการอย่างฉลาด พร้อมทั้งหาทางเพมิ่
มูลค่า โดยใหย้ ดึ อย่บู นหลกั การของความยั่งยนื
4. ด้านเทคโนโลยี จากสภาพแวดล้อมทีเ่ ปลีย่ นแปลงรวดเร็วเทคโนโลยีท่ีเข้ามาใหมม่ ีท้งั ดีและ
ไม่ดี จึงตอ้ งแยกแยะบนพืน้ ฐานของภูมิปญั ญาชาวบ้านและ เลือกใช้เฉพาะท่ีสอดคล้องกับความต้องการ
และสภาพแวดล้อม และควรพัฒนาเทคโนโลยีจากภูมปิ ญั ญาของเราเอง
5. ด้านเศรษฐกิจ แต่เดิมนักพัฒนามักมุ่งที่การเพิม่ รายได้ และไม่มีการมุ่งที่การลดรายจ่ายใน
เวลาเชน่ นจี้ ะตอ้ งปรับทิศทางใหม่ คอื จะต้องมุง่ ลดรายจ่ายกอ่ น เป็นสำคญั และยดึ หลกั พออยู่ พอกิน
พอใช้
สุเมธ ตันติเวชกุล (2549) กล่าวว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กบั
สังคมทกุ ระดับ ดงั น้ี
1. ระดับบุคคลและครอบครัว คือ การที่สมาชิกในครอบครัวใช้ชีวิตบนพื้นฐานของการรู้จัก
ตนเอง สามารถพึ่งตนเองได้และดำเนินชีวติ อย่างพอกิน พอใช้ โดยไม่เบยี ดเบยี นผู้อน่ื เมอื่ เหลอื กินเหลือ
ใช้ก็แบ่งปันเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ ทำให้เกิดความสุขและความพอใจในการดำเนินชีวิตอยา่ งพอเพียงพยายาม
พัฒนาตนเองอย่างต่อเนือ่ ง เพื่อให้สามารถอยู่อย่างพอเพียงได้ในทุกสถานการณ์ สร้างความสมดุลให้
เกดิ ขนึ้ ในชีวิตและครอบครวั และสามารถทำตนให้เป็นประโยชนก์ ับสงั คมได้
2. ระดับชุมชน รวมกลุ่มทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมโดยอาศัยภูมิปัญญาและความสามารถของ
ตนและชมุ ชน มคี วามเอื้ออาทรระหว่างสมาชิกชุมชนให้เกิดพลังทางสังคม พัฒนาไปสู่เครอื ข่ายระหว่าง
ชุมชนต่าง ๆ
3. ระดับรัฐหรือระดับประเทศ ชุมชนและสังคมหลาย ๆ แหล่งร่วมมือกันพัฒนาตามแนว
เศรษฐกิจพอเพียง วางรากฐานของประเทศใหม้ คี วามพอเพยี งและพรอ้ มกนั จึงค่อย ๆ ดำเนนิ การพฒั นา
เศรษฐกจิ และสังคมของประเทศใหเ้ จรญิ ขึ้นเปน็ ลำดับ ๆ
81
แนวคิดเก่ยี วกับการประยกุ ต์ใชป้ รชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง
การประยกุ ตใ์ ชป้ รชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงในด้านต่าง ๆ มีดงั น้ี (สำนกั งานคณะกรรมการพัฒนา
เศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ, 2549)
1. ด้านเศรษฐกิจ ไม่ใชจ้ ่ายเกินตัว ไม่ลงทนุ เกนิ ขนาด คดิ และวางแผนอยา่ งรอบคอบมภี มู ิคุ้มกัน
ไมเ่ ส่ียงเกนิ ไป
2. ด้านจิตใจ มีจิตใจเข้มแข็ง มีจิตสำนึกที่ดี เอื้ออาทร เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า
ประโยชนส์ ่วนตัว
3. ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม ช่วยเหลือเกอื้ กูลกัน รู้รักสามคั คี สรา้ งความเข้มแข็งให้ครอบครัว
และชุมชน รกั ษาเอกลกั ษณ์ ภาษา ภูมปิ ัญญาและวัฒนธรรมไทย
4. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รู้จักใช้และจัดการอย่างชาญฉลาด และรอบคอบ
ฟื้นฟทู รัพยากรเพ่ือให้เกิดความย่ังยนื และคงอย่ชู ั่วลกู หลาน
5. ด้านเทคโนโลยี ร้จู กั ใช้เทคโนโลยีทีเ่ หมาะสม สอดคลอ้ งกับความต้องการและสภาพแวดล้อม
พฒั นาเทคโนโลยจี ากภูมปิ ญั ญาชาวบ้าน
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน เศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ
และสังคมแหง่ ชาติ (2556) ไดก้ ล่าวถงึ การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั เศรษฐกิจพอเพียงในระดับตา่ ง ๆ ดงั น้ี
1. การประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคลและครอบครัว โดยเริ่มต้นจากการ
เสริมสรา้ งคนให้มีการเรียนรูว้ ชิ าการ และทักษะตา่ ง ๆ ทจี่ ำเป็นเพ่อื ให้สามารถรเู้ ท่าทนั การเปลย่ี นแปลง
ในด้านต่าง ๆ พร้อมทั้งเสริมสร้างคุณธรรม จนมีความเข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน
ของคนในสังคม และอยู่ร่วมกับระบบนิเวศอย่างสมดุล เพื่อจะได้ละเว้การประพฤติมิชอบ ไม่ตระหน่ี
เป็นผู้ให้ เกื้อกูลแบ่งปัน มีสติยั้งคิดพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ หรือกระทำการใด ๆ
จนกระทั่งเกิดเป็นภูมิคุม้ กันท่ีดีในการดำรงชีวิต โดยสามารถคิดและกระทำบนพ้ืนฐานของความมีเหตุผล
พอเหมาะ พอประมาณกบั สถานภาพ บทบาทและหน้าทข่ี องแต่ละบุคคลในแต่ละสถานการณ์แล้วเพียร
ฝึกปฏิบตั ิเช่นนี้ จนสามารถทำตนให้เป็นท่พี ง่ึ ของตนเองไดแ้ ละเปน็ ทพี่ งึ่ ของผู้อ่นื ไดใ้ นท่ีสุด
2. การประยุกตใ์ ชห้ ลักเศรษฐกจิ พอเพียงระดับชุมชน ชมุ ชนพอเพียง ประกอบด้วย บคุ คลและ
ครอบครัวต่าง ๆ ที่ใฝ่หาความก้าวหน้า บนพื้นฐานของปรัชญาของความพอเพียง คือ มีความรู้และ
คุณธรรมเป็นกรอบในการดำเนินชีวิต จนสามารถพึ่งตนเองได้ บุคคลเหล่านี้มารวมกลุ่มกันทำกิจกรรม
ต่าง ๆ ทสี่ อดคลอ้ งเหมาะสมกับสถานภาพ ภูมสิ งั คมของแตล่ ะชุมชน โดยพยายามใชท้ รพั ยากรต่าง ๆที่
มีอยูใ่ นชมุ ชนให้เกิดประโยชนส์ ูงสดุ ผา่ นการรว่ มแรง รว่ มใจ รว่ มคิด รว่ มทำแลกเปลย่ี นเรยี นร้กู ับบุคคล
หลายสถานภาพในสง่ิ ที่จะสร้างประโยชนส์ ุขของคนสว่ นรวมและความก้าวหน้าของชุมชนอย่างมีเหตุผล
โดยอาศัยสตปิ ญั ญา ความสามารถของทุกฝ่ายที่เกยี่ วขอ้ งและบนพ้ืนฐานของความซอ่ื สัตยส์ ุจริต อดกล้นั
ต่อการกระทบกระทัง่ ขยันหมั่นเพียร และมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือแบ่งปันกันระหว่างสมาชิก
82
ชุมชน จนนำไปสู่การพัฒนาของชุมชนที่สมดุลและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จนกระทั่ง
สามารถพฒั นาไปส่เู ครอื ขา่ ยระหวา่ งชุมชนตา่ ง ๆ
3. การประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกจิ พอเพยี งระดับประเทศ แผนการบริหารจัดการประเทศส่งเสริม
ให้บุคคล/ชุมชนต่าง ๆ มีวิถีปฏิบัติ มีความร่วมมือ และการพัฒนาในสาขาต่าง ๆ ตามแนวทางของ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และดำเนินการตามแผนดังกล่าวอย่างรอบคอบ เป็นขั้นตอน เริ่มจากการ
วางรากฐานของประเทศที่มีความพอเพียง โดยส่งเสริมให้ประชาชนส่วนใหญ่สามารถอยู่อย่าง
พอมีพอกินและพึ่งตนเองได้ด้วย มีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการดำรงชีวิตอย่างเท่าทันต่อการ
เปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆ และมีคุณธรรม ชื่อสัตย์สุจริต ขยันหม่ันเพียร เอื้อเฟื้อแบ่งปัน และใช้สติปัญญาใน
การตัดสินใจและดำเนินชีวิต พร้อมทั้งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆจาก
หลากหลายภมู ิสังคม หลากหลายอาชีพ หลากหลายความคิด ประสบการณ์ เพ่อื สรา้ งความเข้าใจและรู้
ความเป็นจริงระหว่างกันของคนในประเทศ จนนำไปสู่ความสามัคคีและมีจติ สำนึกที่จะร่วมแรงร่วมใจ
กันพัฒนาประเทศ ให้เจริญก้าวหน้าไปอย่างสอดคล้อง สมดุลกับสถาน ภาพความเป็นจริงของคนใน
ประเทศ อย่างเป็นขน้ั เป็นตอน เป็นลำดบั ๆ ต่อไป
หลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นหลักที่มีการนำ เอามา
ใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในระดับประเทศที่บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ท้ัง
หน่วยงานภาครัฐและเอกชนก็ได้น้อมนำหลักปรัชญาไปปฏิบัติ และกรมการพัฒนาชุมชนได้น้อมนำ
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางการพัฒนาชุมชน ด้วยการนำปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงไป
ปฏิบัติอย่างเป็นรปู ธรรม โดยการสง่ เสรมิ ให้ประชาชนนำไปปฏบิ ตั ใิ นชีวติ ประจำวนั และประสบผลสำเร็จ
ตลอดมา จะเห็นไดว้ า่ ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและนำไปปฏิบัติอย่าง
แพรห่ ลาย
การปฏิบตั ติ นตามแนวทางปรชั ญาเศรษฐกจิ แบบพอเพยี งอนั เน่ืองมาจากพระราชดำริ
จากการศึกษาตำรา และเอกสารที่เกี่ยวข้องพบว่า มีนักวิชาการและหน่วยงานต่าง ๆ เสนอ
แนวทางการปฏบิ ัตนิ ตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง ผวู้ จิ ัยได้รวบรวมและนำเสนอ ดงั น้ี
สุเมธ ตันติเวชกุล (2543) ได้เรียบเรียงแนวทางปฏิบัติตนตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
อนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ ดงั นี้
1. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีพอย่าง
จริงจงั ดงั พระราชดำรสั ว่า ความเปน็ อยู่ท่ตี อ้ งไมฟ่ งุ้ เฟ้อ ต้องประหยัดไปในทางทถ่ี ูกตอ้ ง
2. ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกตอ้ ง สุจริต แม้จะตกอยใู่ นภาวะขาดแคลนในการดำรง
ชีพก็ตาม ดังพระราชดำรัสที่ว่า ความเจริญของคนทั้งหลาย ย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบและการ
หาเลีย้ งชีพ ชอบเป็นหลักสำคญั
83
3. ละเลิกการแก่งแยง่ ผลประโยชน์ และแข่งขันกันในทางการค้าขาย ประกอบอาชพี แบบต่อสู้
กนั อยา่ งรุนแรงดังอดีต ซ่งึ มีพระราชดำรัสเรอ่ื งนวี้ ่า ความสุขความเจริญอนั แท้จรงิ นนั้ หมายถึง ความสุข
ความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรมทั้งในเจตนา และการกระทำไม่ใช่ได้มาดว้ ยความ
บังเอิญ หรือดว้ ยการแก่งแย่งเบียดบังมาจากผ้อู น่ื
4. ไม่หยดุ นง่ิ ทีจ่ ะหาทางให้ชีวติ หลุดพ้นจากความทุกข์ยากครงั้ นี้ โดยต้องขวนขวายใฝ่หาความรู้
ให้เกิดมีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ พระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ให้ความ
ชัดเจนว่า การที่ต้องการให้ทุกคนพยายามที่จะหาความรู้ และสร้างตนเองให้มั่นคงนี้เพื่อตนเอง
เพอื่ ท่ีจะให้ตัวเองมีความเปน็ อยู่ทก่ี ้าวหน้า ท่ีมคี วามสุข พอมีพอกนิ เป็นขนั้ หนึ่งและขน้ั ต่อไป ก็คือให้มี
เกยี รติวา่ ยืนไดด้ ว้ ยตนเอง
5. ปฏิบัติตนในแนวทางทีด่ ีลดละสิ่งชัว่ ใหห้ มดสิ้นไป ทั้งนี้ด้วยสังคมไทยท่ีล่มสลายลงในครั้งนี้
เพราะยังมีบุคคลจำนวนมิใช่น้อยที่ดำเนินการโดยปราศจากละอายต่อแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราโชวาท ว่า พยายามไม่ก่อความชั่วให้เป็นเคร่ืองทำลายตัว ทำลายผู้อน่ื
พยายามลดพยายามละความชั่วที่ตัวเองมีอยู่ พยายามก่อความดีให้แก่ตัวอยู่เสมอ พยายามรักษาและ
เพิ่มพูนความดีทมี่ ีอยู่น้ัน ให้งอกงามสมบูรณ์ขนึ้
คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ
และสังคมแห่งชาติ (2556) กำหนดหลักการปฏิบัติตนตามแนวทางเศรษฐกิจแบบพอเพียงอัน
เนอื่ งมาจากพระราชดำริ ไว้ 5 ประการ ดังน้ี
1. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีพอย่าง
จริงจงั ดงั พระราชดำรัสว่า "ความเปน็ อยทู่ ่ตี อ้ งไมฟ่ ุ้งเอ ต้องประหยัดไปในทางทถี่ กู ต้อง"
2. ยึดถอื การประกอบอาชีพดว้ ยความถูกต้อง สุจรติ แม้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนในการดำรง
ชีพก็ตาม ดังพระราชดำรัสที่ว่า "...ความเจริญของคนทั้งหลาย ย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบและ
การหาเลย้ี งชีพ ชอบเปน็ หลักสำคัญ..."
3. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์ และแข่งขันกันในทางการคา้ ขาย ประกอบอาชีพแบบต่อสู้
กันอย่างรุนแรงดังอดีต ซึ่งมีพระราชดำรัสเรื่องนี้ว่า "...ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้นหมายถึง
ความสุขความเจรญิ ทีบ่ คุ คลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรมท้ังในเจตนา และการกระทำไมใ่ ช่ไดม้ าด้วย
ความบังเอญิ หรอื ด้วยการแก่งแย่งเบยี ดบงั มาจากผอู้ ่ืน... "
4. ไมห่ ยุดน่งิ ทีจ่ ะหาทางใหช้ ีวติ หลดุ พ้นจากความทกุ ขย์ ากครง้ั นี้ โดยตอ้ งขวนขวายใฝ่หาความรู้
ให้เกิดมีรายได้เพิ่มพูนขึ้น จนถึงขั้นพอเพียงเป็นเป้าหมายสำคัญ พระราชดำรัสตอนหนึ่งที่ให้ความ
ชัดเจนว่า "...กรที่ต้องการให้ทุกคนพยายามที่จะหาความรู้ และสร้างตนเองให้มั่นคงนี้เพื่อตนเอง
เพื่อทจี่ ะใหต้ ัวเองมีความเปน็ อยู่ทีก่ ้าวหน้า ท่ีมคี วามสุข พอมพี อกนิ เป็นข้ันหน่ึงและขั้นต่อไปก็คือให้มี
เกยี รติวา่ ยืนได้ด้วยตนเอง..."
84
5. ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีลดละสิ่งชั่วให้หมดส้ินไป ทั้งนี้ด้วยสังคมไทยท่ีล่มสลายลงในครั้งนี้
เพราะยังมีบุคคลจำนวนมิใช่น้อยที่ดำเนินการโดยปราศจากละอายต่อแผ่นดินพระบาทสมเด็ จพระ
เจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทานพระราโชวาท ว่า "...พยายามไมก่ อ่ ความชั่วให้เป็นเครือ่ งทำลายตัว ทำลายผู้อ่ืน
พยายามลดพยายามละความชั่วที่ตัวเองมีอยู่ พยายามก่อความดีให้แก่ตัวอยูเ่ สมอ พยายามรักษาและ
เพ่มิ พูนความดีทม่ี อี ยู่นน้ั ให้งอกงามสมบูรณข์ ึ้น...”
สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาปทมุ ธานี เขต 1 (2548) กำหนดแนวทางการดำเนินการขับเคลอ่ื น
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาไว้เป็นหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั้งผู้บริหาร
สถานศึกษา ครู ศึกษานิเทศก์ และบุคลากรทางการศึกษา ที่จะต้องดำเนินการขับเคลื่อนโดยเฉพาะ
ระดับโรงเรยี น ซงึ่ เป็นหนว่ ยงานระดบั ปฏิบัตกิ ารท่ีสำคัญท่ีสุด เพราะผลการจัดการศึกษาขึ้นอยู่กับการ
ปฏิบัติงานของโรงเรียน ภารกิจหลักของโรงเรียน คือ การจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนบรรลุ
จุดมงุ่ หมายท่ีกำหนดไว้ในหลักสตู ร คอื คณุ ภาพท่ีพึงประสงค์ทางด้านผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น การที่จะ
พฒั นาคณุ ภาพการศึกษาเพ่อื มงุ่ สู่คุณภาพ และมาตรฐานการศึกษาท่ีพึงประสงคต์ ้องอาศยั กระบวนการ
สำคัญ ประกอบด้วย กระบวนการบริหาร กระบวนการเรียนการสอนและกระบวนการนิเทศการศึกษา
ซง่ึ ท้งั สามกระบวนการมีความสำคญั ทดั เทียมกนั โดยเฉพาะกระบวนการนิเทศการสอน เป็นส่วนหนึ่งท่ี
สำคัญของกระบวนการบรหิ ารการศึกษา เพราะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพ
ด้านการเรียนการสอน โดยคำนึงถึงการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารและครูด้านการจัดการเรียนรู้ตาม
แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ด้านความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง และด้านการ
นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ และการจัดการเรียนการสอนใน
สถานศึกษาอยา่ งมีประสิทธภิ าพสงู สุด
การปฏิบัติตนตามแนวทางเศรษฐกิจแบบพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ คือ การนำ
องค์ประกอบและเงื่อนไขของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน สามารถ
ประยุกต์ใช้เศรษฐกจิ พอเพียงภายใต้องค์ประกอบ ดา้ นความพอประมาณ ด้านความมเี หตุผล ดา้ นการมี
ภูมิคมุ้ กนั ทีด่ ีในตวั ด้านเงือ่ นไขความรู้ และด้านเงอ่ื นไขคณุ ธรรม
85
2.5 แนวคิดการจัดการนำ้ โคก หนอง นา โมเดล
โคกหนองนาโมเดล เป็นโครงการที่ถกู เลอื กเพื่อมาพัฒนาต่อยอดการเรียนรู้การเกษตร เพราะ
เป็นโครงการที่เป็นต้นแบบของการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ด้านการบริหารจัดการน้ำและพื้นที่เกษตร โคกหนองนา
เป็นโมเดลต้นแบบที่สถาบันเศรษฐกิจพอเพียงและมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติน้อมนำพระราชดำรัส มา
ผสมผสานกับภูมิปัญญาพืน้ บ้าน โดยแบ่งพืน้ ที่ เป็นสัดส่วน 30:30:30:10 ดังนี้ ร้อยละ 30 แรกสำหรับ
แหล่งน้ำ โดยการขุดบ่อทำหนอง และคลองไส้ไก่ พื้นที่ร้อยละ 30 ที่สองสำหรับทำนา ปลูกข้าว พื้นท่ี
ร้อยละ 30 ท่ีสามสำหรับทำโคกหรือป่า ปลกู ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง คอื ปลูกไมใ้ ช้สอย ไม้กินได้
และไมเ้ ศรษฐกิจ เพื่อให้ได้ประโยชน์ พื้นทร่ี อ้ ยละ 10 สดุ ทา้ ย สำหรบั ที่อยอู่ าศยั และเล้ยี งสตั ว์ เช่น ไก่
ปลา โค กระบอื เป็นต้น(เนคเทค, 2559)
โคกหนองนาโมเดล เป็นพ้ืนทีเ่ กษตรกรรมทมี่ ตี ัวแปรหลกั ที่สำคญั 5 อยา่ ง ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ
และคน ซึ่งตัวแปรที่แตกตา่ งกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้การออกแบบพืน้ ที่การเกษตรท่ีมคี วามแตกตา่ งกนั
ดนิ ทแ่ี ตกตา่ งกนั มีผลตอ่ การออกแบบพ้นื ที่ เพราะการขดุ หนองนำ้ ตอ้ งมีการวางแผน ส่งิ ทส่ี ำคัญ คอื การ
ปรับปรุงดินให้เหมาะสม โดยใช้การฟื้นฟูรักษาความสมบูรณ์ของหน้าดินด้วยการนำฟาง ใบไม้ หรือ
หญา้ คลมุ หนา้ ดิน เตมิ ปุย้ อินทรีย์แบบน้ำและแห้ง จะช่วยแก้ปญั หาของดนิ ได้ ในสว่ นของน้ำ ทิศทางการ
ไหลของนำ้ เข้า และออกพนื้ ทีเ่ ป็นส่วนสำคญั สว่ นหนง่ึ ในการวางตำแหนง่ ของหนองน้ำในทศิ ทางท่ีให้ลม
ร้อนพัดผ่านซึ่งช่วยในการประหยัดพลังงาน และทำให้อุณหภูมิบริเวณบ้านเย็นลง การขุดหนองน้ำที่มี
ความค ดเคี้ยวเพื่อเพิม่ พื้นท่ีในการปลูกพืชบริเวณริมหนองนำ้ ท้าตะพัก หรือการลดลั่นระดับความสงู
ของหนองนำ้ โดยชน้ั แรกควรมคี วามลึกที่แสงแดดส่องถึง ควรปลกู พชื น้ำไวเ้ พ่ือเป็นแหลง่ อาหาร แหล่ง
วางไข่ และเป็นทีอ่ ยู่อาศัยของสัตวน์ ้ำ นอกจากนย้ี ังเปน็ แหล่งอนุบาลสัตวน์ ้ำ แซนดว์ ชิ ปลา คือ การนำ
หญ้า หรือฟาง และปุยหมักวางกองสลับกันที่บริเวณต้นน้ำ เพื่อสร้างแพลงก์ตอนพชี และแพลงก์ตอน
สตั ว์ เป็นอาหารให้กับสัตว์น้ำในพืน้ ที่ทิศทางของลมที่มีความแตกต่างกัน เป็นส่วนหน่ึงในการเลือกการ
วางตำแหนง่ บ้าน และลานตากข้าว จึงควรวางตามแนวของลมหนาว นอกจากน้นั บ้านควรออกแบบให้
มชี ่องลมรบั กับทศิ ทางของลมในแต่ละฤดกู าล เพื่อทำใหบ้ ้านเย็น ลดการใชพ้ ลงั งาน ในสว่ นของไฟ หรือ
ทศิ ทางของแสงแดดจากดวงอาทติ ย์ท่ีส่องลงมา ทำใหเ้ กดิ ความรอ้ นเช่นกัน ดงั นั้น การออกแบบพื้นท่ีจึง
ตอ้ งสำรวจทศิ ทางการข้ึนและตกของดวงอาทิตย์ในแต่ละฤดเู พราะในแต่ละฤดู ทิศทาง และช่วงเวลาจะ
แตกต่างกนั และความต้องการของผู้อยู่อาศัยเป็นสิง่ สำคัญการคำนึงถึงประโยชน์การใชส้ อย วฒั นธรรม
และอาชีพท่ีต้องเหมาะสมกบั การดำรงชีวิตของผู้อาศยั ตัวแปรสำคัญทัง้ 5 ส่วนนี้ หากนำไปปรบั ใช้กับ
พนื้ ท่กี ารเกษตรของตนเองใหใ้ ชส้ อยท่ีเหมาะสม และมีประโยชนส์ ูงสุด (ววิ ฒั น์ ศลั ยกำธร. 2558)
86
โมเดลหลมุ ขนมครกตามแนวพระราชดำริ "ศาสตรข์ องพระราชา”1
หลุมขนมครกตามแนวพระราชดำริ คือการเก็บกักน้ำในทุกรูปแบบ โดยมีหลักการสำคัญ คือ
พ้นื ทีต่ ันน้ำตอ้ งอนุรักษฟ์ นื้ ฟพู ้นื ท่ีกลางนำ้ จดั การกกั เก็บนำ้ และพ้ืนทป่ี ลายน้ำตอ้ งบำบัดและป้องกนั เพ่ือ
จัดพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเกษตร ด้วยการผสมผสานทฤษฎีแนวใหม่เข้ากับภูมิปัญญาพ้ืนบ้านที่ทำได้
ง่ายและกักเก็บน้ำได้จริงผู้วิจัยได้ศึกษาพบว่า จากวิกฤติการณ์ขาดแคลนน้ำซึ่งขยายวงกว้างในหลาย
พื้นที่ของไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเพียรปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่างถึงแนว
ทาง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบมานานแล้วโดยระดับหน่ วยงาน ราชการได้มี
พระราชดำริใหส้ ร้างเขอ่ื นขนาดใหญ่ คือ เขือ่ นปาสักชลสิทธิ์ ซ่งึ สามารถกักเก็บนำ้ ไวไ้ ด้สูงสุด 850 ล้าน
ลูกบาศก์เมตร และเขื่อนขนาดกลาง เป็นอ่างเก็บน้ำ"ห้วยหินขาว" สามารถเก็บน้ำได้ประมาณ 1 ล้าน
ลกู บาศกเ์ มตร และระดบั ประชาชน มีโมเดลตน้ แบบตามแนวพระราชดำรเิ ร่ือง"หลุมขนมครก"มีตัวอย่าง
ให้ผทู้ สี่ นใจได้ทำการศกึ ษาที่ "ชุมชนมงคลชยั พฒั นา" จงั หวัดสระบรุ ี ซ่งึ การดำเนินการทุกขนาดมีความ
เชื่อมโยงสัมพนั ธก์ ัน เน้นการบริหารจัดการอย่างเปน็ ระบบ กล่าวคอื กรณีหากบอ่ น้ำชาวบ้านแห้งก็ผัน
นำ้ จากเขอ่ื นหว้ ยหินขาวมาเติม หากเขอ่ื นขนาดกลางแห้งกผ็ นั น้ำจากเข่อื นป่าสักชลสิทธ์ิมาเติม
หลักเกษตรทฤษฎีใหม่ที่พระองค์ท่านทรงสอนเอาไว้ คือ เน้นบริหารจัดการน้ำ 3 ระดับ
ประกอบดว้ ย 1. ระดับใหญ่ 2. ระดับกลางทีห่ น่วยงานราชการเปน็ คนทำและ 3. ระดับล่างที่ประชาชน
ทุกบ้านทำได้ภายใต้หลักการสำคัญคือเมือ่ มีฝนตกลงมาต้องเกบ็ น้ำให้ได้มากที่สุดเก็บให้หมดเป็นแนว
ทางการแกป้ ญั หาภัยแลง้ ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึง่ พาภาครัฐสำหรับหลักการสำคัญของ "หลุมขนมครก"
คือ การเก็บกักน้ำในทุกรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ 1. หลุมขนมครกแบบพื้นที่สูงบนเขา 2. หลุม
ขนมครกแบบพ้นื ทขี่ นาดจำกัด เล็กกว่า 10 ไร่ และ 3. หลมุ ขนมครกแบบพ้นื ท่ลี ุ่ม โคก หนอง นา โมเดล
2.5.1 ตวั อยา่ งหลมุ ขนมครกแบบพ้นื ทล่ี ุ่ม โคก-หนอง-นา โมเดล
คือ การจัดการพนื้ ท่ซี ง่ึ เหมาะกบั พ้นื ที่เกษตรกรรมในลักษณะผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้า
กบั ภูมิปญั ญาพื้นบ้านที่อยูอ่ ยา่ งสอดคลอ้ งกับธรรมชาติในพน้ื ท่ีนน้ั ๆ เป็นการท่ีให้ธรรมชาตจิ ัดการตัวมัน
เองโดยมีมนุษย์เป็นส่วนส่งเสริมใหม้ ันสำเร็จเร็วขึ้นอย่างเป็นระบบทัง้ นี้ หลักการของหลุมขนมครกจะ
แตกต่างกนั ไปตามสภาพพ้ืนที่ กล่าวคือหากเป็นพื้นที่ลุ่มจะใช้รูปแบบ "โคก-หนอง-นา โมเดล" แต่หาก
เป็นพื้นที่สูงจะเปลี่ยนจาก "เขาหัวโล้น" เป็น "เขาหัวจุก" วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี โดย
การขดุ หลมุ เก็บนำ้ ไว้ใชใ้ นชว่ งทฝี่ นไมต่ กต้องตามฤดูกาลหรือฝนทิ้งชว่ ง ซ่ึงผู้วจิ ัยขออธิบาย ดงั น้ี
.
87
2.5.1.1. พืน้ ทีล่ ุ่ม : โคก-หนอง-นา โมเดล คือ รูปธรรมของหลุมขนมครก
โคก : การนำดินที่ได้จากการขุดหนอง นำมาถมเป็นโคกเพื่อสร้างที่อยู่อาศยั
ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ รวมทั้งปลูกต้นไม้ตามแนวทางศาสตร์พระราชา คือ "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4อย่าง"
ได้แก่ ป่าไม้เพื่อบริโภค (พอกิน ป่าไม้เพื่อใช้สอยในครัวเรือน (พอใช้) และป่าไม้เพื่อสร้างที่อยู่อาศัย
รวมถึงจำหน่าย (พออยู่) ป่าทั้ง 3 อย่าง ให้ประโยชน์อย่างที่ 4 คือ 1.ป่าไม้กินได้ นำมาเป็นอาหาร ทั้ง
พืชกินใบ กินผล กินหัวและเป็นยาสมนุ ไพร 2.ป่าไม้ใช้สอยนำมาสร้างบ้าน ทำเล้าเป็ดเล้าไก่ ด้ามจอบ
เสียม ทำหัตถกรรม หรือกระทั่งใชเ้ ป็นเชื้อเพลิง (ฟื้น) ในการหุงต้ม 3.ป่าไม้เศรษฐกิจเป็นแหล่งรายได้
ของครวั เรอื น เป็นพชื ท่สี ามารถนำมาจำหนา่ ยได้ ซง่ึ ควรปลูกพืชหลากหลายชนิดเพ่ือลดความเส่ียงเรื่อง
ราคาตกต่ำและไม่แน่นอน 4.ประโยชนใ์ นการชว่ ยอนุรักษ์ดินและน้ำการปลกู พืชที่หลากหลายอย่างเป็น
ระบบ จะช่วยสร้างสมดุลของระบบนิเวศในสวน ช่วยปกป้องผิวดินให้ชุ่มชื้น ดูดซับน้ำฝน และค่อยๆ
ปลดปล่อยความซื้อ สู่สวนเกษตรกรรมช่วยสรา้ งสมดุลระบบนเิ วศ(พอร่มเยน็ )ปลูกเป็นปา่ 5 ระดับ คือ
สูง กลาง เตยี้ เรีย่ ดิน และพืชหวั ใบไม้ที่รว่ งหลน่ ชว่ ยปกคลมุ หนา้ ดินเพม่ิ ความช่มุ ชน้ื
น้ำใต้ดินที่สะสมไวใ้ ต้โคก เมื่อฝนตกลงมาบนโคกที่มตี ้นไม้จำนวนมาก น้ำจะ
ค่อยๆ ไหลซมึ ลงมาเกบ็ ไว้ใต้โคก รากต้นไมซ้ ึง่ ตา่ งระดับกนั จะช่วยรักษาหน้าดิน และกกั เก็บน้ำไว้ใต้ดิน
กลายเปน็ แหล่งกกั เก็บน้ำใต้ดิน ช่วยสร้างความชุม่ ช้ืน เพ่มิ ความอดุ มสมบูรณใ์ ห้กบั พน้ื ดนิ
หนอง : ขุดหนองใหข้ อบมีความคดโคง้ เพื่อให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของ
ปลา ปรับพน้ื หนองให้มคี วามลกึ หลายระดบั สว่ นทแ่ี สงแดดส่องถึง ปลาจะสามารถวางไข่ได้ดีคูคลองไส้
ไก่ ชว่ ยกระจายนำ้ รอบพนื้ ท่ี ขุดให้มีลกั ษณะคดเคี้ยว เพ่อื ใหน้ ้ำไหลผา่ นท่ัวพน้ื ท่ี เพ่ิมความชุ่มชื้นให้กับ
ผนื ดิน สง่ ผลดตี อ่ การทำเกษตรและการปลกู พืชผล
ฝ่ายชะลอน้ำ รับและชะลอน้ำทีไ่ หลมาจากแม่นำ้ หรือพ้ืนที่ข้างเคียง ช่วยดักตะกอนดินไม่ใหไ้ หลลงมา
สะสมในหนอง คลอง บึง และเขอ่ื น นอกจากน้นั ยงั เปน็ การเพิ่มแหลง่ กกั เก็บนำ้ ในพ้ืนที่
นา : ยกหัวคันนา เพื่อเพิ่มพ้ืนที่กักเก็บนำ้ ไวใ้ นนา โดยให้มีความสูงประมาณ
1 เมตร และปั้นหัวคันนาให้มีความกว้างเพื่อปลูก "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" และปลูกหญ้าแฝก
เพือ่ ป้องกนั การพังทลายของคันนา คันนาจะใชเ้ ปน็ เครือ่ งมือในการปรบั ระดับนำ้ เขา้ นาตามความสูงของ
ต้นขา้ ว เกิดเป็นนานำ้ ลึก ใชน้ ำ้ ในการควบคุมวัชพืชและแมลงตามภูมปิ ัญญาท้องถิ่น
โดยสรุป โคก-หนอง-นา โมเดล เป็นแนวทางทำเกษตรอินทรีย์และการสร้างชีวิตที่
ยง่ั ยืน เป็นหนึ่งในศาสตรพ์ ระราชาท่ีเปน็ การจัดการออกแบบพ้ืนท่เี พ่ือทำการเกษตรอย่างยั่งยนื โดยเนน้
ที่แหล่งน้ำเพอื่ ใช้ในการเกษตร มกี ารจัดการเพ่อื ให้เกิดสมดุลระบบนิเวศในภาพรวมตลอดจนใช้พ้ืนท่ีให้
เกิดประสิทธิภาพสูงสุดลดความรุนแรงหากเกิดภัยธรรมชาติขึ้น เมื่อนำศาสตร์นีม้ าเช่ือมโยงผสมผสาน
เขา้ กับภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่นจึงเกิดเป็นลักษณะของการออกแบบพน้ื ท่ี ซ่ึงเป็นทเ่ี รียกกนั ในแวดวงเกษตรกร
ว่า "โคก หนอง นา" ซ่ึงฝ่ายปกครองจำเป็นตอ้ งเรียนรดู้ ้วย