136
2. ความคิดวพิ ากษว์ จิ ารณ์ คอื ความคดิ เห็นต่อเร่ืองใดเร่ืองหนึง่ ทงั้ ในด้านบวกหรือ
ลบอย่างมีเหตุผล โดยการใช้ข้อมูลที่มีอยู่อย่างเพียงพอ เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็น
ประเด็นที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ คือเรื่อง GMOs ผลการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวมีผลให้สิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือ
สตั ว์ มคี ณุ สมบตั ิเปลี่ยนแปลงไปจากพันธุเ์ ดิมและการเปลยี่ นแปลงดังกลา่ วยอ่ มมีผลต่อมนุษยแ์ ละสิ่งแวดล้อม
3. ความคิดสร้างสรรค์ คือความคิดท่แี ปลกใหม่ ยืดหยุ่นและแตกตา่ งจากผู้อ่นื
เช่นให้นักเรียนทำกิจกรรมคิดออกแบบประดิษฐ์อุปกรณ์กำเนิดเสียงแทนการใช้กระดิ่งไฟฟ้าหรือออดไฟฟ้า
หรอื ออกแบบวงจรเตือนภยั โดยใช้เซนเซอรค์ วามรอ้ น
4. ความคิดอย่างมีเหตุมีผล คอื ความสามรถทจ่ี ะคิดในเชงิ เหตุผลของเรื่องราว
ต่าง ๆ เช่น กิจกรรมการเรียนเรื่องการสร้างเขื่อน หรือการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นประเด็น
โต้แย้งทางสังคมที่ไม่อยู่บนข้อมูลหรือประจักษ์พยานที่เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จึงควรให้นักเรียนได้ใช้
ความรทู้ างวิทยาศาสตร์มาเป็นเหตผุ ลในการโตแ้ ย้งหรือสนับสนุน ไมใ่ ชใ่ ชค้ วามรสู้ ึกหรอื ใช้อารมณ์ในการตัดสิน
ว่าควรดำเนินการพัฒนาหรือไม่ อย่างไร
5. ความคดิ เชิงวิทยาศาสตร์ คือความคิดท่ีใช้ในการพิสจู นแ์ ละสำรวจตรวจสอบ
หาข้อเท็จจริง เช่น ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นเทคโนโลยีชาวบ้าน การดองผักด้วยน้ำซาวข้าวหรือน้ำมะพร้าว
หรือการใสพ่ ริกสดลงในน้ำกะทเิ พ่อื กนั บูดได้
โดยท่ัวไปแล้วความคิดขั้นสูงด้านต่าง ๆ เหลา่ นจ้ี ะไมส่ ามารถแยกออกจากกนั ไดช้ ัดเจน ต้องพัฒนาไป
พร้อม ๆ กันและอาจรวมทั้งพัฒนาไปพร้อมกับความสามารถด้านอื่น ๆ ด้วยโดยไม่จำเป็นต้องเน้นว่าจะต้อง
พัฒนาเรื่องใดก่อนหรือหลัง การพัฒนาความคิดขั้นสูงนี้จะทำได้มากในกิจกรรมการเรียนการสอนแบบสืบ
เสาะหาความรู้และกระบวนการแกป้ ญั หา
การพฒั นาทกั ษะการสอ่ื สาร (Communication Skills)
กระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ทักษะในการสื่อสาร หมายถึงการแสดความคิดหรื อ
แลกเปลี่ยนความรู้ และแนวความคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการทำกิจกรรมหลากหลาย การสังเกต
การทดลอง การอา่ นหรืออ่นื ๆ ซึง่ แสดงออกในรูปแบบท่ชี ัดเจนและมเี หตผุ ลดว้ ยการพูดหรอื การเขียน
การพัฒนาให้นักเรียนมีความสามารถในการสื่อสารความรู้และแนวความคิดทางวิทยาศา สตร์เป็น
เป้าหมายสำคญั ประการหน่ึงของการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ทุกระดบั ความสามารถในการ
สอ่ื สารเปน็ คณุ ลกั ษณะท่ตี อ้ งฝึกซ้ำ เพ่อื ให้เกดิ ทักษะ
การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ สามารถฝกึ ทักษะการส่ือสารได้ ดงั ต่อไปน้ี
1. การเลา่ หรือการเขียนสรุปเรือ่ งราวทางวิทยาศาสตรท์ อ่ี า่ นจากหนังสอื พมิ พ์
วารสาร หนังสือต่าง ๆ จากการดูโทรทัศน์หรือการสบื ค้นข้อมูลทางอินเทอรเ์ น็ต โดยมอบหมายให้นักเรียนไป
ศึกษาค้นคว้า แลว้ นำมาเลา่ หรือเขียนให้ผู้อ่ืนรับรู้ เปน็ การฝึกทักษะในการสื่อสารท่ีดวี ิธีหน่ึง กิจกรรมน้ีอาจใช้
เวลาคร้งั ละ 10 นาที กอ่ นทจี่ ะมีการสอนตามปกตกิ ไ็ ด้
2. การเขยี นบันทึกสรปุ การไปทัศนศกึ ษา หรือการศกึ ษาภาคสนาม ในโอกาสที่
นักเรียนกลับมาจากทศั นศกึ ษาหรอื การศึกษาภาคสนามแล้วใหเ้ ขยี นรายงานสรุปถึงความรู้ ความคิดในบางเรื่อง
ทีไ่ ดร้ ับจากการไปทศั นศึกษาแตล่ ะคร้ัง
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรยี นแกว้ อินทร์สุธาอทุ ิศ
137
3. การจดั แสดงผลงาน ในกรณที ่ีนกั เรยี นทำโครงงานวทิ ยาศาสตรห์ รอื โครงการ
อ่ืน ๆ ควรกำหนดให้มีวนั ที่แน่นอนเพื่อจัดแสดงผลงานให้เพ่ือน ๆ ในชัน้ หรือทัง้ โรงเรียนได้ชมและถ้าเป็นไปได้
ควรเชิญบคุ คลในชุมชนมาชมด้วย
4. การส่อื สารด้วยเทคโนโลยสี ารสนเทศ คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ท่จี ะช่วยมนุษย์
ในการทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ วิทยาการคอมพิวเตอร์จึงเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่เป็นรากฐาน
สำคัญต่อการพัฒนาความคดิ และจิตนาการ อันจะนำไปสู่การแปลงรูปจากจนิ ตนาการมาเป็นชิ้นงานสร้างสรรค์
ที่มีประโยชน์ปัจจุบันสิ่งประดิษฐ์มากมายล้วนแล้วแต่มีส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์เข้าไปร่วมด้วย ทำให้
ระบบการทำงานตา่ ง ๆ ไดร้ บั การพฒั นาเข้าสคู่ วามเปน็ อัตโนมัตมิ ากขึ้น
ปจั จยั ความสำเรจ็ ในการจดั การเรยี นรู้
1. ผู้บริหาร เป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดในการสนับสนุนให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนบรรลุ
เป้าหมาย ผู้บริหารต้องมีความรู้ความเข้าใจในปรัชญา กระบวนการเรียนรู้และธรรมชาติของการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพือ่ จะได้สนบั สนนุ
- งบประมาณในการจัดซื้อส่ือตา่ ง ๆ
- อำนวยความสะดวกในการจดั กิจกรรมท่ีตอ้ งใช้แหลง่ เรียนรใู้ นทอ้ งถนิ่ ภายนอกโรงเรยี น
- ช่วยเสนอแนะแหล่งวิทยาการและแหล่งเรียนรู้
- นิเทศ ตดิ ตามผลการจัดการเรยี นรู้อยา่ งสมำ่ เสมอ
- ให้กำลงั ใจท้ังครูและนักเรยี น
2. ครูผู้สอน เป็นผู้ที่มีความสำคัญในการที่จะแปลมาตรฐานการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้ที่เป็น
ตัวหนังสือให้เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสม น่าสนใจ และมีกระบวนการเรียนรู้หลากหลายวิธีอย่างอิสระ
ครผู สู้ อนจำเป็นต้อง
- มีความรู้ความเขา้ ใจเกีย่ วกับเป้าหมายของการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
- มคี วามเข้าใจเกย่ี วกบั ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- มีความรูค้ วามเขา้ ใจในเน้ือหาสาระวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างดี รวมถึงรู้วิธีการ
เรียนรู้ มคี วามสามรถในการสบื เสาะหาความรูแ้ ละแกป้ ัญหา
- มีความเข้าใจเกยี่ วกับตวั นกั เรยี น พร้อมทีจ่ ะเรียนรู้เรือ่ งราวใหม่ ๆ พรอ้ ม ๆ กบั นกั เรยี น
- เป็นผู้ที่มีความสนใจใฝ่หาความรู้อยา่ งสมำ่ เสมอและตอ่ เนอ่ื ง เพอ่ื นำมาปรับปรุง
พฒั นาตนเอง
- มีความสามารถในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ มีการใช้สื่อการ
เรียนการสอนหลากหลายและสามารถใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศได้
- มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและค่านยิ มในอาชพี ครูในฐานะครวู ิชาชีพ
- มีมนษุ ยสมั พันธท์ ่ีดที งั้ กบั เพอ่ื นครใู นโรงเรียนและชมุ ชน เพ่อื จะหาความรว่ มมือ
ในการจดั การเรยี นการสอน
หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ปีพุทธศกั ราช 2564 โรงเรยี นแกว้ อินทร์สธุ าอทุ ศิ
138
3. ผู้เรียน เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการเรียนการสอน ผู้เรียนแต่ละคนมีความ
แตกต่างกันทั้งบุคลิกภาพ สติปัญญา ความถนัด ความสนใจและความสมบูรณ์ของร่างกาย ผู้เรียนควรมี
โอกาสร่วมคิด ร่วมวางแผนในการจัดการเรียนการสอน และมีโอกาสเลือกวิธีเรียนได้อย่างหลากหลาย ตาม
ความเหมาะสมภายใต้การแนะนำของครูผสู้ อน
4. สภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนการสอน ครูผู้สอนต้องมีวิธีการท่ีจะจัดสภาพแวดล้อมและ
บรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาทางวิชาการ เช่น จัดห้องชวนคิด ห้องกิจกรรมวิทยาศาสตร์ จัดระบบ
นิเวศจำลอง จัดบริเวณโรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ทางชีววิทยา ธรณีวิทยา ฯลฯ มีการดัดแปลงห้องเรียนให้
นักเรียนทำกิจกรรมการเรยี นรูท้ ี่สามารถมีปฏสิ ัมพันธ์กนั ได้ดี และจัดกิจกรรมที่เอื้อให้ผู้ปกครองและชุมชนเขา้
มามีสว่ นร่วมในการเรียนการสอนด้วย
การวดั ผลและประเมินผลการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์
เพื่อที่จะทราบว่าการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่เพี ยงใด
จำเป็นตอ้ งมกี ารวัดและประเมินผลการเรียนรูข้ องผูเ้ รียน ในอดีตการวดั และประเมนิ ผลส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ
กับการใช้ข้อสอบซึ่งไม่สามารถสนองเจตนารมณ์การเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนคิด ลงมือปฏิบัติด้วย
กระบวนการหลากหลาย เพื่อสร้างองค์ความรู้ ดังนั้น ผู้สอนต้องตระหนักว่าการเรียนการสอนและการวัดผล
ประเมนิ ผลเปน็ กระบวนการเดียวกัน และจะตอ้ งวางแผนไปพรอ้ ม ๆ กนั
แนวทางการวัดผลและประเมนิ ผล
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้จะบรรลุผลตามเป้าหมายของการเรียนการสอนที่วางไว้ได้ ควรมี
แนวดังต่อไปนี้
1. ต้องวัดและประเมินผลทั้งความร้คู วามคิด ความสามรถ ทกั ษะและกระบวนการ เจตคติ
คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมในวทิ ยาศาสตร์ รวมทง้ั โอกาสในการเรยี นของผเู้ รียน
2. วธิ ีการวัดและประเมินผลต้องสอดคล้องกับมาตรฐานการเรยี นร้ทู กี่ ำหนดไว้
3. ตอ้ งเก็บข้อมูลท่ีไดจ้ ากการวดั และประเมินผลอยา่ งตรงไปตรงมา และตอ้ งประเมนิ ผลภายใต้ข้อมูลท่ี
มอี ยู่
4. ผลการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของผเู้ รยี นต้องนำไปสู่การแปลผลและลงข้อสรปุ ที่สมเหตุสมผล
5. การวัดและประเมินผลต้องมีความเที่ยงตรงและเป็นธรรม ทั้งในด้านของวิธีการวัดโอกาสของการ
ประเมิน
จดุ มุง่ หมายของการวัดผลและประเมนิ ผล
1. เพอื่ วนิ ิจฉัยความรคู้ วามสามารถ ทักษะและกระบวนการ เจตคติ คณุ ธรรม จริยธรรมและค่านิยม
ของผู้เรยี น และเพือ่ ซ่อมเสรมิ ผเู้ รยี นให้พฒั นาความรูค้ วามสามารถและทักษะได้เตม็ ตามศกั ยภาพ
2. เพ่ือใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลป้อนกลบั ใหแ้ กต่ วั ผเู้ รียนเองวา่ บรรลตุ ามมาตรฐานการเรยี นร้เู พยี งใด
3. เพอ่ื ใช้ขอ้ มลู ในการสรปุ ผลการเรยี นร้แู ละเปรียบเทียบถึงระดบั พัฒนาการของการเรียนรู้
หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ปีพทุ ธศักราช 2564 โรงเรยี นแกว้ อินทร์สธุ าอทุ ศิ
139
การวัดและประเมินผลจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อกระบวนการเรียนการสอน วิธีการวัดและ
ประเมินผลที่สามารถสะท้อนผลการเรียนรู้อย่างแท้จริงของผู้เรียนและครอบคลุมกระบวนการเรียนรู้และผล
การเรียนรู้ทงั้ 3 ด้านตามทก่ี ลา่ วมาแล้วจึงต้องวดั และประเมินผลจากสภาพจรงิ (Authentic assessment)
การวัดและประเมนิ ผลจากสภาพจริง
กิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนมีหลากหลาย เช่น กิจกรรมสำรวจภาคสนาม กิจกรรมการสำรวจ
ตรวจสอบ การทดลอง กิจกรรมศึกษาค้นคว้า กิจกรรมศึกษาปัญหาพิเศษหรือโครงงานวิทยาศาสตร์ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ในการทำกิจกรรมเหล่านี้ต้องคำนึงว่าผู้เรยี นแต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน ผู้เรียนแต่ละคนจงึ
อาจทำงานชิ้นเดียวกันได้เสร็จในเวลาที่แตกต่างกัน และผลงานที่ได้ก็อาจแตกต่างกัน เมื่อผู้เรียนทำกิจกรรม
เหล่าน้แี ลว้ กจ็ ะตอ้ งเก็บรวบรวมผลงาน เชน่ รายงาน ชิน้ งาน บนั ทึกและรวบถงึ ทักษะปฏบิ ัติต่าง ๆ เจตคติทาง
วิทยาศาสตร์ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ความรัก ความซาบซึ้ง กิจกรรมทีผ่ ู้เรียนได้ทำและผลงานเหล่านี้ต้องใช้วิธี
ประเมินทีม่ ีความเหมาะสมและแตกต่างกนั เพื่อช่วยให้สามารถประเมินความรู้ความสามารถและความรู้สึกนกึ
คิดที่แท้จริงของผู้เรียนได้ การวัดและประเมินผลจากสภาพจริงจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีการประเมินหลาย
ๆ ด้าน หลากหลายวิธี ในสถานการณต์ ่าง ๆ ที่สอดคล้องกับชวี ติ จรงิ และต้องประเมินอยา่ งต่อเนื่อง เพื่อจะได้
ขอ้ มลู ท่มี ากพอทจ่ี ะสะท้อนความสามารถที่แทจ้ ริงของผู้เรียนได้
ลักษณะสำคัญของการวัดและประเมนิ ผลจากสภาพจรงิ
1. การวัดและประเมนิ ผลจากสภาพจรงิ มีลกั ษณะท่ีสำคัญคอื ใช้วิธีการประเมินกระบวนการท่ีซับซ้อน
ความสามารถในการปฏบิ ัติงาน ศักยภาพของเรียนในดา้ นของผู้ผลติ และกระบวนการท่ีได้ผลผลติ มากกว่าที่จะ
ประเมนิ วา่ ผู้เรยี นสามารถจดจำความรอู้ ะไรไดบ้ า้ ง
2. เป็นการประเมินความสามารถของผู้เรยี น เพ่ือวนิ จิ ฉยั ผ้เู รียนในส่วนทีค่ วรส่งเสริมและส่วนท่ีควรจะ
แก้ไขปรบั ปรุง เพือ่ ให้ผู้เรยี นไดพ้ ัฒนาอย่างเต็มศักยภาพตามความสามารถ ความสนใจและความต้องการของ
แตล่ ะบคุ คล
3. เปน็ การประเมินทเ่ี ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มสี ว่ นร่วมประเมินผลงานของทั้งตนเองและของเพื่อนร่วม
ห้อง เพือ่ สง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนร้จู กั ตัวเอง เชอื่ มัน่ ในตนเอง สามารถพัฒนาตนเองได้
4. ขอ้ มูลที่ได้จากการประเมินจะสะท้อนให้เหน็ ถึงกระบวนการเรียนการสอนและการวางแผนการสอน
ของผู้สอนวา่ สามารถตอบสนองความสามารถ ความสนใจและความตอ้ งการของผเู้ รยี นแตล่ ะบุคคลไดห้ รือไม่
5. ประเมินความสามารถของผู้เรยี นในการถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่ชีวิตจรงิ ได้
6. ประเมินด้านตา่ ง ๆ ดว้ ยวิธที หี่ ลากหลายในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างตอ่ เน่ือง
วิธีการและแหล่งข้อมูลท่ใี ช้
เพ่ือใหก้ ารวัดและประเมินผลได้สะทอ้ นความสามารถท่ีแทจ้ รงิ ของผเู้ รียน ผลการประเมนิ อาจจะได้มา
จากแหล่งขอ้ มูลและวะการตา่ ง ๆ ดังต่อไปนี้
1. สงั เกตการแสดงออกเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม
2. ชิ้นงาน ผลงาน รายงาน
3. การสัมภาษณ์
หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ปีพทุ ธศักราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทร์สธุ าอทุ ิศ
140
4. บนั ทึกของผู้เรยี น
5. การประชุมปรึกษาหารือร่วมกันระหวา่ งผูเ้ รยี นและครู
6. การวัดและประเมินผลภาคปฏบิ ตั ิ
7. การวัดและประเมินผลดา้ นความสามารถ
8. การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้โดยแฟ้มผลงาน
การวัดและประเมินผลดา้ นความสามารถ (Performance Assessment)
ความสามารถของผู้เรียนประเมนิ ไดจ้ ากการแสดงออกโดยตรงจากการทำงานต่าง ๆ เป็นสถานการณ์ท่ี
กำหนดให้ ซง่ึ เปน็ ของจริงหรือใกล้เคียงกับสภาพจริง และเปิดโอกาสให้ผ้เู รยี นได้แกป้ ัญหาหรอื ปฏิบตั ิงานได้จริง
โดยประเมนิ จากกระบวนการทำงาน กระบวนการคิดโดยเฉพาะความคดิ ขนั้ สงู และผลงานที่ได้
ลักษณะสำคัญของการประเมินความสามารถ คือ กำหนดวัตถุประสงค์ของงาน วิธีการทำงาน
ผลสำเร็จของงาน มีคำสั่งควบคุมสถานการณ์ในการปฏิบัติงาน และมีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน การ
ประเมินความสามารถที่แสดงออกของผู้เรียนทำได้หลายแนวทางต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
สภาวการณ์ และความสนใจของผเู้ รยี น ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี
1. มอบหมายงานให้ทำ งานทมี่ อบใหท้ ำตอ้ งมีความหมาย มีความสำคัญ มคี วามสัมพันธก์ ับหลกั สูตร
เนื้อหาวิชา และชีวิตจริงของผู้เรียน ผู้เรียนต้องใช้ความรูห้ ลายด้านในการปฏบิ ัติงานทีส่ ามารถสะท้อนให้เหน็
ถึงกระบวนการทำงาน และการใชค้ วามคิดอย่างลกึ ซงึ้
2. การกำหนดช้ินงาน หรืออุปกรณ์ หรือสิ่งประดิษฐ์ให้ผู้เรยี นวิเคราะห์องค์ประกอบและกระบวนการ
ทำงาน และเสนอแนวทางเพอื่ พัฒนาใหม้ ีประสทิ ธิภาพดขี นึ้
3. กำหนดตัวอย่างชิ้นงานให้ แล้วให้ผู้เรียนศึกษาชิ้นงานนั้น และสร้างชิ้นงานที่มีลักษณะของการ
ทำงานได้เหมอื นหรือดกี วา่ เดิม
4. สร้างสถานการณ์จำลองที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้เรียน โดยกำหนดสถานการณ์แล้วให้ผู้เรียนลง
มอื ปฏบิ ตั ิเพ่ือแก้ปัญหา
การประเมินผลการเรยี นรโู้ ดยใช้แฟม้ ผลงาน (Portfolio Assessment)
แฟ้มผลงาน คืออะไร
เมื่อผู้เรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ทั้งในห้องเรียนหรือนอก
ห้องเรียนก็ตาม ก็จะมีผลงานที่ได้จากการทำกิจกรรมเหล่านั้นปรากฏอยู่เสมอ ซึ่งสามารถจำแนกผลงานออก
ตามกิจกรรมตา่ ง ๆ ดังน้ี
1. การฟังบรรยาย เมื่อผู้เรียนฟังการบรรยายก็จะมีสมุดจดคำบรรยาย ซึ่งอาจอยู่ในรูปของบันทึก
อย่างละเอียดหรือบันทึกแบบย่อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของความชอบและความเคยชินของผู้เรียนในการ
บนั ทกึ คำบรรยาย
2. การทำการทดลอง ผลงานของผูเ้ รียนที่เกีย่ วขอ้ งกับการทดลอง อาจประกอบด้วยการวางแผนการ
ทดลองทั้งในรูปของบันทึกอย่างเป็นระบบหรือบันทึกอย่างย่อ การบันทึกวิธีการทดลอง ผลการทดลองและ
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ปพี ุทธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อินทรส์ ธุ าอทุ ิศ
141
ปัญหาที่พบขณะทำการทดลอง การแปรผล สรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง และผลงานสุดท้ายท่ี
เกย่ี วข้องกบั การทดลอง คอื การรายงานผลการทดลองทผ่ี ูเ้ รียนอาจทำเป็นกลมุ่ หรือเดี่ยวก็ได้
3. การอภิปราย ผลงานของผเู้ รยี นทเี่ กย่ี วข้องกับการอภิปราย คอื วางหวั ขอ้ และข้อมูลที่จะนำมาใช้
ในการอภิปราย ผลทีไ่ ดจ้ ากการอภิปรายรวมท้ังขอ้ สรปุ ต่าง ๆ
4. การศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม จัดเป็นผลงานที่สำคัญประการหนึ่งของผู้เรียนที่เกิดจากการได้รับ
มอบหมายจากครูผู้สอนให้ไปค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือประเด็นที่กำลังศึกษา
ผลงานที่ได้จากการค้นคว้าเพิ่มเติมอาจอยูใ่ นรูปของรายงาน การทำวิจัยเชิงเอกสารหรือบันทึกประเด็นสำคัญ
ซง่ึ อาจนำมาใช้ประกอบการอภิปรายในชวั่ โมงเรียนก็ได้
5. การศึกษานอกสถานท่ี การศึกษานอกสถานทจี่ ัดเป็นวิธกี ารที่เปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นได้มี
ประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่กำลังศึกษา ผลงานที่ได้อาจประกอบด้วยการบันทึกการสังเกต การตอบคำถาม
หรือปญั หาจากใบงาน การเขียนรายงานสิง่ ทีค่ ้นพบ
6. การบนั ทกึ รายวนั เปน็ ผลงานประการหน่ึงของผเู้ รียนทอ่ี ย่นู อกเหนอื จากผลงานท่แี สดง
ถึงการเรียนรู้โดยตรง แต่จะช่วยให้ผู้เรยี นหรือผู้ประเมินได้เข้าใจในประเด็นหรือส่ิงทีผ่ ู้เรียนนึกคิดเกี่ยวกับการ
เรียนการสอนวิทยาศาสตร์ดว้ ย
นอกจากกจิ กรรมที่ได้กล่าวมาแลว้ ยังอาจมกี ิจกรรมอน่ื ๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกบั การเรียนการสอน ซ่ึงผู้เรียน
สามารถแสดงออกถงึ ความสามรถอน่ื ๆ อีกด้วย เช่น การส่อื สาร ผลงานเหลา่ นถ้ี ้าไดร้ บั การเก็บรวบรวมอย่าง
มีระบบด้วยตัวผู้เรียนเองตามช่วงเวลา ทั้งก่อนและหลังทำกิจกรรมเหล่านี้ โดยได้รับคำแนะนำจากครูผู้สอน
และผู้เรียนฝึกทำจนเคยชินแล้ว จะถือเป็นผลงานที่สำคัญยิ่งที่ใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ในกลุ่ม
วิทยาศาสตร์ของผูเ้ รยี นต่อไป
ส่ือการเรยี นรู้
1. บทบาทสำคญั ของส่ือต่อการเรียนรู้
การจัดการเรียนการสอนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เน้นให้เกิดการเรียนรู้ได้
ทุกเวลา ทุกสถานที่และต้องจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนตลอดเวลา สื่อการเรียนการสอนจึงมีบทบาท
สำคญั ย่ิงอีกประการหน่ึงต่อการจัดการเรียนการสอนให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้โดยเน้นให้ใช้จากสื่อใกล้ตัวท่ีมีอยู่
ในท้องถิ่นเป็นสำคัญ และสังคมโลกปัจจุบันเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่โลกไร้พรมแดน การใช้สื่อประเภท
เทคโนโลยสี ารสนเทศจึงมีบทบาทขนึ้ ดว้ ย
2. ประเภทของส่ือการเรยี นการสอน
สื่อการเรียนการสอนมีความหลากหลายประเภท ทั้งที่เป็นสื่อของจริง สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์
และสื่อมัลติมีเดีย สื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพจะช่วยส่งเสริมกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ติดตาม
บทเรียนและสร้างความรู้ความเข้าใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีทส่ี ำคญั ประกอบดว้ ย
1. อปุ กรณก์ ารทดลอง ซึง่ มที ง้ั อุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์พ้ืนฐาน เช่น กลอ้ งจุลทรรศน์
เครื่องช่งั มัลตมิ ิเตอร์ เครอ่ื งแกว้ และอุปกรณ์เฉพาะท่ีใช้ประกอบการทดลองบางการทดลอง
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ปพี ุทธศักราช 2564 โรงเรยี นแกว้ อนิ ทร์สธุ าอทุ ศิ
142
2. สื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือเรียน หนังสืออ่านประกอบ แผ่นภาพ แผนภาพ โปสเตอร์ วารสาร
จุลสาร นิตยสาร หนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ สิ่งเหล่านี้จะมีเรื่องราวที่น่าสนใจทั้งที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีทั้งทางตรงและทางออ้ ม
3. สอื่ โสตทศั นปู กรณ์ ได้แก่ แผน่ ภาพโปร่งใส วีดีทัศน์ สไลด์ เทป
4. สอ่ื อเิ ล็กทรอนิกส์ ไดแ้ ก่ สอื่ ประเภท CAI CD- ROM โครงขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ รวมทง้ั อุปกรณท์ ดลอง
ที่ใชร้ ว่ มกบั เคร่ืองคอมพวิ เตอร์
5. สารเคมีและวัสดสุ ิน้ เปลอื ง
6. อุปกรณข์ องจริง ได้แก่ ตัวอยา่ งส่ิงมีชวี ติ ตัวอยา่ งหนิ แร่และสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ
เนอื่ งจากมสี ือ่ อยู่หลากหลายดังได้กลา่ วแลว้ ครูผู้สอนจำเป็นตอ้ งมีความรู้และสามารถในการวเิ คราะห์
วินจิ ฉยั และตัดสินใจเลอื กใช้สอ่ื ได้อย่างเหมาะสม คุ้มคา่ และประหยดั ทง้ั น้คี รูผ้สู อนอาจจัดทำหรือจัดหาวัสดุ
ทดแทนในท้องถิ่นเพื่อใช้แทนสื่อราคาแพง หรือใช้สื่อเพื่อช่วยประหยัดเวลาในการศึกษา หรือใช้สื่อแทน
กจิ กรรมการเรียนการสอนท่อี าจเกิดอันตราย เช่น การทดลองทมี่ กี ารระเบดิ อยา่ งรนุ แรง
3. การพฒั นาสอื่ การเรียนรู้
หน้าที่หลักประการหนึ่งของครูผู้สอน คือ การพัฒนาและการใช้สื่อการเรียนการสอน ซึ่งจะต้อง
วางแผนจัดทำและจัดหาสื่อพร้อม ๆ กับการเตรียมแผนการเรียนรู้ แนวทางในการพัฒนาสื่อควรคำนึงถึงสิ่ ง
ตอ่ ไปน้ี
1. วเิ คราะห์เน้อื หาและกิจกรรมภายใต้กรอบมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละสาระการเรียนรู้
2. วเิ คราะห์กจิ กรรมการเรียนร้วู ่าแต่ละกจิ กรรมควรใช้สื่อประกอบหรอื ไม่ และ
ควรเป็นสอ่ื ประเภทใด ถ้าเปน็ ไปได้ต้องใหใ้ ชส้ อ่ื ทเี่ ป็นของจรงิ หรือมีอย่ตู ามธรรมชาตใิ ห้มากที่สดุ
3. เมื่อเลือกชนิดของสื่อที่จะใช้แล้ว ก็พิจารณาคุณภาพของสื่อที่จะนำมาใช้เพื่อให้สื่อนั้นทำหน้าที่ได้
อย่างคุ้มค่า กล่าวคือ เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนักเรียน สอนให้เข้าในเนื้อหาที่จะเรียนได้อย่างถูกต้อง
และรวดเรว็ ถา้ เปน็ อุปกรณ์การทดลองก็ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณด์ ังกลา่ วทำงานได้ตรงตามวตั ถุประสงค์
4. ในกรณีของส่อื ประเภทเอกสาร อาจพฒั นาในรูปของชุดกิจกรรม โดย
- กำหนดวตั ถุประสงคข์ องการเรยี นรใู้ ห้ครอบคลมุ ทง้ั ด้านความรู้ ทกั ษะ
กระบวนการเจตคติ คา่ นิยมและคณุ ธรรม ทง้ั น้ีภายใต้กรอบมาตรฐานทีก่ ำหนดไว้
- ออกแบบกิจกรรม โดยศึกษาค้นควา้ จากแหลง่ ต่าง ๆ ท้งั เอกสารภายในประเทศ
และต่างประเทศ ( ถ้ามี) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนากิจกรรม โดยต้องคำนึงสิ่งสำคัญ คือ นักเรียนต้องเป็น
ผลู้ งมอื ปฏบิ ัตเิ อง หรือเปน็ กิจกรรมท่ีสะทอ้ นให้เห็นวา่ ผู้เรียนสำคญั ท่สี ุด
- การสอนที่เป็นเนือ้ หาสาระ ครูจะตอ้ งศกึ ษาคน้ ควา้ จากสอ่ื อ่ืน ๆ โดยไม่ยดึ ตำรา
หรือหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งเพียงเล่มเดียว แล้วแนะนำให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้าบันทึกสรุป หรือในกรณีท่ี
นักเรยี นมีความพร้อมก็อาจแนะนำให้คน้ หาทางอินเทอร์เน็ต
- กิจกรรมตา่ ง ๆ ทนี่ กั เรียนตอ้ งปฏิบตั ิ ควรออกแบบเปน็ กจิ กรรมทีเ่ ปิดโอกาสให้
นักเรียนมีอสิ ระในการคิดแกป้ ัญหา หรอื คิดพฒั นาชน้ิ งานหรือผลิตภัณฑต์ า่ ง ๆ ดว้ ยความคิดของนักเรยี นเอง
- การออกแบบกิจกรรม ต้องคำนึงถงึ การให้นักเรียนทำงานร่วมกนั เปน็ กล่มุ แบบ
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ปีพุทธศักราช 2564 โรงเรียนแกว้ อินทร์สุธาอทุ ศิ
143
Cooperative อย่างแท้จริง กล่าวคือ ทุกคนมีบทบาทสำคญั เท่าเทยี มกนั ในกลุ่มและต้องเปน็ กิจกรรมท่ีนักเรียน
ทุกคนในกลุ่มได้แสดงออกถึงความสามารถตนเองอย่างเต็มที่ ไม่ให้คนใดคนหนึ่งมีอิทธิพลต่อกลุ่มหรือไม่
ร่วมมือกับกลุ่ม
- กิจกรรมการเรียน ควรบูรณาการวิชาอ่นื ๆ ดว้ ย เช่น ภาษา ศิลปะ สงั คม และอน่ื ๆ
5. ในกรณขี องอุปกรณ์ต่าง ๆ ทใ่ี ช้ประกอบการทำกจิ กรรมซง่ึ ไมใ่ ช่เป็นอปุ กรณ์
สำเร็จรูป แต่จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นใช้เอง ก็ควรขอความร่วมมือกับครูฝ่ายอื่น ๆ โดยเฉพาะครูช่าง เพื่อช่วยใน
การพัฒนาอุปกรณ์ได้สำเร็จตามต้องการ หรืออาจให้นักเรียนได้มีส่วนช่วยกันสร้างอุปกรณ์ด้วยก็จะเป็นการ
ดีมาก ท้ังนค้ี วรเลือกใชว้ สั ดุท่ีหางา่ ยในทอ้ งถิน่ ราคาไม่แพง
6. ควรมกี ารร่วมมอื กันเป็นเครือข่ายระหว่างครใู นท้องถ่ิน เพ่อื แลกเปลี่ยนสื่อการ
เรยี นการสอนกนั กจ็ ะเป็นการประหยดั เวลาและใชท้ รัพยากรอยา่ งคมุ้ ค่า
7. ควรสำรวจแหล่งสื่อในท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นแหล่งอุปกรณ์วิทยาศาสตร์
อาจเป็นร้านของเล่นในตลาดหรือในห้างสรรพสินค้าก็ได้ ถ้าครูสามารถพิจารณา วิเคราะห์และเลือกใช้อย่าง
เหมาะสม กจ็ ะเกดิ คณุ ค่าต่อการเรียนรู้ได้
8. การพฒั นาหรือการใช้สื่อการเรยี นรู้ จะตอ้ งวเิ คราะห์ไปกับการประเมินผลการใชง้ าน เพอื่ นำมาเป็น
ขอ้ มูลในการแกไ้ ขปรับปรงุ หรือเปลี่ยนไปใช้สอื่ ประเภทอื่นแทน
แหลง่ การเรียนรู้
การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ต้องส่งเสริมและสนับสนุนผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลา
ทุกสถานที่ และเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชวี ิตจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย แหล่งเรียนรูส้ ำหรับวิชาวิทยาศาสตร์
ไม่ไดจ้ ำกัดอยู่เฉพาะในห้องเรยี น ห้องปฏิบัตกิ ารวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน หรือจากหนังสือเรียนเท่าน้ัน แต่จะ
รวมถงึ แหล่งเรียนรูห้ ลากหลาย ทง้ั ในโรงเรียนและนอกโรงเรยี น ดงั นี้
- สือ่ ส่งิ พมิ พ์ เช่น หนงั สือเรียน หนังสืออา้ งอิง หนังสืออา่ นประกอบ หนังสอื พิมพ์ วารสาร ฯลฯ
- สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ มัลติมีเดีย CAI วีดิทัศน์ และรายการวิทยาศาสตร์ที่ผ่านสื่อวิทยุโทรทัศน์
CD- ROM อนิ เทอรเ์ นต็
- แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน เช่น ห้องกิจกรรมวิทยาศาสตร์ สวนพฤกษศาสตร์ สวนธรณีในโรงเรียน
ห้องสมุด
- แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น เช่น อุทยานแห่งชาติ สวนพฤกษศาสตร์ สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์
โรงงานอุตสาหกรรม หนว่ ยงานวจิ ัยในท้องถ่ิน
- แหล่งเรยี นรทู้ เ่ี ปน็ บุคคล เช่น ปราชญท์ อ้ งถ่นิ ผนู้ ำชมุ ชน ครู อาจารย์นกั วิทยาศาสตร์ นกั วจิ ยั
ทั้งนี้ ในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ครูผู้สอนควรจะพิจารณาใช้แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ให้
สอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาทั้งด้าน
ความรู้ ความคิด ทักษะ กระบวนการ เจตคติ คุณธรรมและค่านิยม จากแหล่งเรียนรู้เหล่านั้น อันจะส่งผลให้
ผเู้ รยี นได้รับการพัฒนาเตม็ ตามศักยภาพ
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ปีพทุ ธศักราช 2564 โรงเรียนแกว้ อินทร์สธุ าอทุ ศิ
144
เกณฑ์การจบการศึกษา
หลักสตู รโรงเรยี นแกว้ อินทร์สุธาอุทิศ กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดเกณฑ์สำหรับการจบ
การศกึ ษา ดงั น้ี
เกณฑก์ ารจบระดับประถมศึกษา
1. ผเู้ รยี นเรยี นรายวชิ าพื้นฐาน จำนวน 840 ชว่ั โมง และรายวิชาเพมิ่ เติมจำนวน 40 ชั่วโมง และมี
ผลการประเมนิ รายวชิ าพืน้ ฐานผา่ นทกุ รายวิชา
2. ผเู้ รยี นต้องมผี ลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขยี น ระดับ “ผ่าน” ข้ึนไป
3. ผูเ้ รียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ระดับ “ผ่าน” ข้ึนไป
4. ผูเ้ รียนตอ้ งเขา้ ร่วมกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนและได้รับการตดั สนิ ผลการเรียน “ผา่ น” ทุกกจิ กรรม
การจดั การเรียนรู้
การจดั การเรยี นรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน
เปน็ เปา้ หมายสำหรบั พัฒนาเดก็ และเยาวชน
ในการพัฒนาผู้เรียนใหม้ ีคุณสมบัตติ ามเป้าหมายหลกั สูตร ผู้สอนพยายามคัดสรร กระบวนการเรียนรู้
จดั การเรยี นรโู้ ดยช่วยใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้ผา่ นสาระที่กำหนดไวใ้ นหลักสูตร 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมท้ังปลูกฝัง
เสริมสร้างคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะต่างๆ อนั เป็นสมรรถนะสำคญั ใหผ้ เู้ รยี นบรรลตุ ามเปา้ หมาย
1. หลกั การจัดการเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผูเ้ รียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญ และ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียนมี
ความสำคัญที่สุด เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน
กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คำนึงถึง
ความแตกต่างระหว่างบคุ คลและพัฒนาการทางสมองเน้นใหค้ วามสำคญั ทั้งความรู้ และคุณธรรม
2. กระบวนการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย
เป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน อาทิ
กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม
กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ
ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง
กระบวนการพฒั นาลกั ษณะนิสัย
หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ปพี ุทธศักราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทร์สุธาอทุ ศิ
145
กระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝน พัฒนา เพราะจะ
สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังนั้น ผู้สอน จึงจำเป็นต้องศึกษาทำ
ความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่าง มี
ประสทิ ธภิ าพ
3. การออกแบบการจัดการเรียนรู้
ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะสำคัญของ
ผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน แล้วจึงพิจารณาออกแบบการ
จัดการเรียนรู้โดยเลอื กใชว้ ิธสี อนและเทคนิคการสอน ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมนิ ผล เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนได้
พัฒนาเตม็ ตามศักยภาพและบรรลตุ ามเปา้ หมายท่ีกำหนด
4. บทบาทของผ้สู อนและผ้เู รยี น
การจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผเู้ รยี นมีคณุ ภาพตามเปา้ หมายของหลกั สูตร ทงั้ ผู้สอนและผเู้ รียนควรมบี ทบาท
ดงั นี้
4.1 บทบาทของผู้สอน
1) ศึกษาวเิ คราะห์ผู้เรียนเปน็ รายบคุ คล แลว้ นำข้อมลู มาใชใ้ นการวางแผนการจัดการเรียนรู้
ที่ท้าทความสามารถของผู้เรยี น
2) กำหนดเปา้ หมายที่ต้องการใหเ้ กิดขึ้นกับผเู้ รยี น ดา้ นความรแู้ ละทกั ษะกระบวนการ ที่เป็น
ความคดิ รวบยอด หลักการ และความสัมพันธ์ รวมทง้ั คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
3) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลและ
พัฒนาการทางสมอง เพื่อนำผเู้ รยี นไปส่เู ปา้ หมาย
4) จัดบรรยากาศทเ่ี อือ้ ตอ่ การเรียนรู้ และดแู ลชว่ ยเหลือผเู้ รยี นให้เกดิ การเรยี นรู้
5) จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีท่ี
เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน
6) ประเมินความกา้ วหนา้ ของผ้เู รยี นดว้ ยวิธกี ารท่หี ลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาตขิ องวิชา
และระดบั พฒั นาการของผู้เรยี น
7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งปรับปรุงการ
จดั การเรยี นการสอนของตนเอง
4.2 บทบาทของผเู้ รยี น
1) กำหนดเปา้ หมาย วางแผน และรับผดิ ชอบการเรยี นรขู้ องตนเอง
2) เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ ตั้งคำถาม คิดหา
คำตอบหรอื หาแนวทางแกป้ ัญหาด้วยวธิ กี ารตา่ งๆ
3) ลงมือปฏิบตั จิ รงิ สรุปสง่ิ ทีไ่ ด้เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง และนำความรูไ้ ปประยุกต์ใชใ้ นสถานการณ์ต่างๆ
4) มีปฏสิ ัมพนั ธ์ ทำงาน ทำกิจกรรมร่วมกับกล่มุ และครู
5) ประเมนิ และพฒั นากระบวนการเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเน่อื ง
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปีพทุ ธศักราช 2564 โรงเรยี นแกว้ อนิ ทรส์ ุธาอุทิศ
146
สือ่ การเรยี นรู้
สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้
ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สื่อการเรียนรู้มี
หลากหลายประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และเครือข่าย การเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถ่ิน
การเลือกใช้สือ่ ควรเลอื กให้มีความเหมาะสมกบั ระดบั พฒั นาการ และลีลาการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลายของผูเ้ รียน
การจัดหาส่อื การเรยี นรู้ ผู้เรยี นและผสู้ อนสามารถจัดทำและพัฒนาข้ึนเอง หรอื ปรบั ปรงุ เลอื กใช้อย่างมี
คุณภาพจากสื่อต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนำมาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมและสื่อสารให้
ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ โดยสถานศกึ ษาควรจัดให้มอี ย่างพอเพียง เพอ่ื พฒั นาใหผ้ ้เู รยี น เกิดการเรียนรอู้ ยา่ งแทจ้ ริง
สถานศึกษา เขตพืน้ ท่ีการศกึ ษา หน่วยงานทีเ่ กย่ี วข้องและผมู้ หี น้าทจ่ี ัดการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน ควรดำเนนิ การดังนี้
1. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่าย
การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปลี่ยน
ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ ระหว่างสถานศึกษา ท้องถน่ิ ชุมชน สังคมโลก
2. จัดทำและจัดหาสื่อการเรียนรู้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอน รวมท้ัง
จัดหาส่ิงทีม่ อี ยู่ในท้องถิน่ มาประยุกตใ์ ชเ้ ปน็ สื่อการเรียนรู้
3. เลือกและใช้สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้อง กับวิธีการ
เรียนรู้ ธรรมชาตขิ องสาระการเรยี นรู้ และความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลของผูเ้ รยี น
4. ประเมนิ คณุ ภาพของสือ่ การเรียนรู้ท่ีเลอื กใช้อย่างเป็นระบบ
5. ศกึ ษาค้นควา้ วิจัย เพอ่ื พัฒนาสือ่ การเรยี นรใู้ หส้ อดคล้องกับกระบวนการเรยี นร้ขู องผ้เู รียน
6. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเกี่ยวกับสื่อและการใช้สื่อ
การเรยี นรู้เปน็ ระยะๆ และสม่ำเสมอ
ในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ที่ใช้ในสถานศึกษา ควรคำนึงถึง
หลักการสำคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบ
กิจกรรมการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เนื้อหามีความถูกต้องและทันสมัย ไม่กระทบความมั่นคง
ของชาติ ไม่ขัดตอ่ ศลี ธรรม มีการใช้ภาษาทถ่ี กู ตอ้ ง รปู แบบการนำเสนอท่เี ข้าใจงา่ ย และน่าสนใจ
การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตอ้ งอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการ คือ การประเมิน
เพื่อพัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ประสบผลสำเร็จ
นั้น ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อน
สมรรถนะสำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรยี นซ่ึงเป็นเป้าหมายหลักในการวดั และประเมินผลการ
เรียนรู้ในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับชัน้ เรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ การ
วัดและประเมินผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลและ
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ุทธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อินทร์สุธาอทุ ิศ
147
สารสนเทศที่แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสำเร็จทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็น
ประโยชน์ต่อการสง่ เสริมให้ผเู้ รียนเกดิ การพฒั นาและเรยี นรอู้ ย่างเต็มตามศกั ยภาพ
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบง่ ออกเป็น 4 ระดบั ไดแ้ ก่ ระดับชัน้ เรียน ระดบั สถานศกึ ษา ระดับ
เขตพืน้ ท่ีการศกึ ษา และระดบั ชาติ มรี ายละเอียด ดงั น้ี
1. การประเมินระดับช้ันเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอน
ดำเนินการเป็นปกติและสม่ำเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น
การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/ ภาระงาน แฟ้มสะสม
งาน การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อน
ประเมนิ เพ่ือน ผปู้ กครองร่วมประเมนิ ในกรณที ่ไี ม่ผา่ นตวั ช้ีวดั ใหม้ ีการสอนซอ่ มเสรมิ
การประเมินระดับชั้นเรียนเป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้
อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรอื ไม่ และมากน้อยเพียงใด มีสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนา
ปรับปรุงและส่งเสริมในด้านใด นอกจากนี้ยังเป็นขอ้ มูลให้ผู้สอนใช้ปรับปรงุ การเรียนการสอนของตนดว้ ย ทั้งน้ี
โดยสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด
2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินที่สถานศึกษาดำเนินการเพ่ือตัดสนิ ผล การเรียน
ของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์
และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ของสถานศึกษา ว่าส่งผลต่อ
การเรียนรู้ของผู้เรียนตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนำผลการเรียนของ
ผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ ผลการประเมินระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและ
สารสนเทศเพื่อการปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพื่อการ
จัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและการ
รายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงาน
คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ผ้ปู กครองและชมุ ชน
3. การประเมินระดับเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรยี นในระดบั เขตพ้ืนที่การศึกษา
ตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนา
คุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดำเนินการโดยประเมินคุณภาพ
ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานที่จัดทำและดำเนินการโดยเขตพื้นที่การศึกษา หรือด้วยความ
ร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัด ในการดำเนินการจัดสอบ นอกจากนี้ยังได้จากการตรวจสอบทบทวนข้อมูลจาก
การประเมนิ ระดบั สถานศึกษาในเขตพน้ื ท่กี ารศึกษา
4. การประเมนิ ระดับชาติ เป็นการประเมินคณุ ภาพผู้เรยี นในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนร้ตู าม
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สถานศึกษาตอ้ งจัดให้ผู้เรียนทกุ คนทเ่ี รียน ในช้นั ประถมศึกษาปีที่ 3
ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 6 เข้ารับการประเมิน ผลจากการประเมินใช้เปน็ ข้อมูลในการเทียบเคยี งคุณภาพการศกึ ษา
ในระดับตา่ ง ๆ เพ่ือนำไปใชใ้ นการวางแผนยกระดบั คุณภาพการจดั การศึกษา ตลอดจนเป็นขอ้ มลู สนับสนุน
การตดั สนิ ใจในระดับนโยบายของประเทศ
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปีพุทธศักราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ุธาอทุ ิศ
148
ข้อมลู การประเมินในระดบั ต่างๆ ข้างต้น เปน็ ประโยชนต์ ่อสถานศกึ ษาในการตรวจสอบทบทวนพัฒนา
คุณภาพผู้เรียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข
ส่งเสรมิ สนบั สนุนเพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นไดพ้ ัฒนาเตม็ ตามศักยภาพบนพ้นื ฐานความแตกต่างระหว่างบุคคลทจ่ี ำแนกตาม
สภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนที่ปฏิเสธโรงเรียน กลุ่ม
ผเู้ รยี นที่มปี ญั หาทางเศรษฐกิจและสงั คม กลุม่ พิการทางร่างกายและสตปิ ัญญา เป็นต้น ขอ้ มลู จากการประเมิน
จงึ เปน็ หวั ใจของสถานศึกษาในการดำเนนิ การชว่ ยเหลือผูเ้ รียนไดท้ นั ทว่ งที ปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นไดร้ ับการพัฒนา
และประสบความสำเร็จในการเรียน
สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการ
เรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็นข้อกำหนดของหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน เพ่อื ให้บุคลากรท่ีเกีย่ วขอ้ งทกุ ฝา่ ยถือปฏบิ ัติร่วมกนั
เกณฑก์ ารวัดและประเมินผลการเรยี น
1. การตัดสนิ การให้ระดบั และการรายงานผลการเรยี น
1.1 การตัดสินผลการเรยี น
ในการตัดสินผลการเรยี นของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ การอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียน
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี นน้ัน ผูส้ อนต้องคำนึงถึงการพฒั นาผูเ้ รียนแต่ละคนเปน็
หลกั และต้องเก็บข้อมลู ของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเน่ืองในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งสอนซ่อมเสริม
ผู้เรยี นให้พัฒนาจนเตม็ ตามศักยภาพ
ระดบั ประถมศึกษา
(1) ผ้เู รียนตอ้ งมเี วลาเรียนไม่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 80 ของเวลาเรียนทงั้ หมด
(2) ผเู้ รยี นตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ ทุกตัวชว้ี ดั และผ่านตามเกณฑท์ ่ีสถานศึกษากำหนด
(3) ผูเ้ รียนต้องไดร้ ับการตดั สินผลการเรยี นทกุ รายวิชา
(4) ผูเ้ รียนต้องได้รบั การประเมิน และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑท์ ส่ี ถานศึกษากำหนด
ในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียน คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น
การพิจารณาเลื่อนชั้น ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย และสถานศึกษาพิจารณาเห็นว่า
สามารถพฒั นาและสอนซ่อมเสริมได้ ใหอ้ ยูใ่ นดุลพินิจของสถานศึกษาทจี่ ะผ่อนผนั ให้เล่ือนชนั้ ได้ แต่หากผู้เรียน
ไม่ผ่านรายวิชาจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปญั หาต่อการเรียนในระดับชั้นที่สงู ขึ้น สถานศึกษาอาจตั้ง
คณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้ำชั้นได้ ทั้งนี้ให้คำนึงถึงวุฒิภาวะและความรู้ความสามารถของผู้เรียนเป็น
สำคัญ
1.2 การใหร้ ะดบั ผลการเรยี น
ระดับประถมศกึ ษา ในการตดั สนิ เพอ่ื ให้ระดับผลการเรยี นรายวชิ า สถานศกึ ษาสามารถให้ระดับ
ผลการเรียนหรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียน เป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบร้อยละ และ
ระบบทใี่ ช้คำสำคัญสะทอ้ นมาตรฐาน
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ปีพทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรยี นแกว้ อินทร์สธุ าอทุ ิศ
149
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้ระดับผล
การประเมนิ เปน็ ดีเยย่ี ม ดี และผ่าน
การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติ
กิจกรรมและผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผ่าน และ
ไมผ่ ่าน
1.3 การรายงานผลการเรยี น
การรายงานผลการเรียนเปน็ การส่ือสารให้ผูป้ กครองและผ้เู รียนทราบความกา้ วหน้าในการเรียนรู้
ของผู้เรียน ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินและจัดทำเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ
หรืออยา่ งนอ้ ยภาคเรยี นละ 1 ครั้ง
การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการปฏิบตั ขิ องผู้เรียนทีส่ ะท้อน
มาตรฐานการเรยี นรูก้ ลุ่มสาระการเรียนรู้
2. เกณฑก์ ารจบการศกึ ษา
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน กำหนดเกณฑ์กลางสำหรบั การจบการศึกษาเปน็ 1 ระดับ คือ
ระดับประถมศึกษา
2.1 เกณฑ์การจบระดับประถมศกึ ษา
(1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐาน และรายวิชา/กิจกรรมเพิ่มเติมตามโครงสร้างเวลาเรียนที่
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานกำหนด
(2) ผู้เรียนต้องมีผลการประเมินรายวิชาพื้นฐาน ผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษา
กำหนด
(3) ผู้เรียนมผี ลการประเมนิ การอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขยี นในระดับผ่านเกณฑ์การประเมนิ
ตามที่สถานศกึ ษากำหนด
(4) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ี
สถานศึกษากำหนด
(5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ี
สถานศกึ ษากำหนด
สำหรับการจบการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น การศึกษาเฉพาะทาง การศึกษาสำหรับผู้มี
ความสามารถพิเศษ การศึกษาทางเลือก การศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส การศึกษาตามอัธยาศัย
ให้คณะกรรมการของสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการวัดและประเมินผล
การเรียนรู้ตามหลักเกณฑ์ในแนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐานสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ุทธศักราช 2564 โรงเรยี นแกว้ อินทรส์ ุธาอทุ ิศ
150
เอกสารหลักฐานการศึกษา
เอกสารหลักฐานการศึกษา เป็นเอกสารสำคัญที่บันทึกผลการเรียน ข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง
กบั พัฒนาการของผู้เรยี นในดา้ นตา่ ง ๆ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ดังน้ี
1. เอกสารหลกั ฐานการศึกษาทก่ี ระทรวงศึกษาธิการกำหนด
1.1 ระเบียนแสดงผลการเรียน เป็นเอกสารแสดงผลการเรียนและรับรองผลการเรียนของ
ผู้เรียนตามรายวิชา ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ผลการประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
ของสถานศึกษา และผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สถานศึกษาจะต้องบันทึกข้อมูลและออกเอกสารนี้
ให้ผูเ้ รยี นเป็นรายบุคคล เมอ่ื ผ้เู รยี นจบการศกึ ษาระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 6)
1.2 แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา เปน็ เอกสารอนมุ ตั กิ ารจบหลักสตู รโดยบันทึกรายชื่อและ
ข้อมลู ของผ้จู บการศึกษาระดับประถมศกึ ษา (ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6)
2. เอกสารหลักฐานการศกึ ษาที่สถานศกึ ษากำหนด
เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทำขึ้นเพื่อบันทึกพัฒนาการ ผลการเรียนรู้ และข้อมูลสำคัญ เกี่ยวกับ
ผู้เรียน เช่น แบบรายงานประจำตัวนักเรียน แบบบันทึกผลการเรียนประจำรายวิชา ระเบียนสะสม ใบรับรอง
ผลการเรยี น และ เอกสารอ่ืนๆ ตามวัตถุประสงค์ของการนำเอกสารไปใช้
การเทียบโอนผลการเรยี น
สถานศึกษาสามารถเทียบโอนผลการเรียนของผู้เรียนในกรณีต่างๆได้แก่ การย้ายสถานศึกษา การ
เปลี่ยนรูปแบบการศึกษา การย้ายหลักสูตร การออกกลางคันและขอกลับเข้ารับการศึกษาต่อ การศึกษาจาก
ต่างประเทศและขอเข้าศึกษาต่อในประเทศ นอกจากนี้ ยังสามารถเทียบโอนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์จาก
แหล่งการเรียนรู้อื่นๆ เชน่ สถานประกอบการ สถาบนั ศาสนา สถาบันการฝกึ อบรมอาชีพ การจัดการศึกษาโดย
ครอบครวั
การเทียบโอนผลการเรียนควรดำเนนิ การในชว่ งก่อนเปิดภาคเรยี นแรก หรอื ต้นภาคเรียนแรก ท่ี
สถานศกึ ษารับผู้ขอเทียบโอนเปน็ ผเู้ รยี น ทัง้ น้ี ผเู้ รียนที่ได้รับการเทยี บโอนผลการเรยี นต้องศึกษาตอ่ เนื่องใน
สถานศกึ ษาท่รี บั เทยี บโอนอย่างนอ้ ย 1 ภาคเรยี น โดยสถานศกึ ษาท่รี ับผ้เู รียนจาก
การเทียบโอนควรกำหนดรายวชิ า/จำนวนหน่วยกิตทจ่ี ะรับเทยี บโอนตามความเหมาะสม
การพจิ ารณาการเทยี บโอน สามารถดำเนนิ การได้ ดงั น้ี
1. พิจารณาจากหลักฐานการศึกษา และเอกสารอื่นๆ ที่ให้ข้อมูลแสดงความรู้ ความสามารถของ
ผูเ้ รยี น
2. พจิ ารณาจากความรู้ ความสามารถของผ้เู รียนโดยการทดสอบด้วยวธิ กี ารต่างๆ ทั้งภาคความรู้และ
ภาคปฏิบตั ิ
3. พจิ ารณาจากความสามารถและการปฏิบตั ใิ นสภาพจรงิ
การเทยี บโอนผลการเรียนให้เป็นไปตาม ประกาศ หรือ แนวปฏบิ ัติ ของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศักราช 2564 โรงเรียนแกว้ อินทร์สธุ าอุทิศ
151
การบรหิ ารจัดการหลกั สูตร
ในระบบการศึกษาที่มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและสถานศึกษามีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตร
นั้น หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับชาติ ระดับท้องถิ่น จนถึงระดับสถานศึกษา
มีบทบาทหน้าที่ และความรับผิดชอบในการพัฒนา สนับสนุน ส่งเสริม การใช้และพัฒนาหลักสูตรให้เป็นไป
อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและการจัดการเรียนการสอนของ
สถานศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุด อันจะส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่
กำหนดไวใ้ นระดับชาติ
ระดบั ท้องถน่ิ ได้แก่ สำนกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษา หน่วยงานต้นสงั กัดอ่นื ๆ เปน็ หน่วยงานที่มีบทบาท
ในการขบั เคลื่อนคุณภาพการจดั การศึกษา เป็นตวั กลางทจี่ ะเชอ่ื มโยงหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐานที่
กำหนดในระดับชาติให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การจัดทำหลักสูตรของ
สถานศึกษา สง่ เสริมการใช้และพัฒนาหลักสตู รในระดับสถานศึกษา ใหป้ ระสบความสำเรจ็ โดยมีภารกจิ สำคัญ
คือ กำหนดเปา้ หมายและจุดเน้นการพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รียน ในระดบั ทอ้ งถิ่นโดยพิจารณาใหส้ อดคล้องกับส่ิงที่
เป็นความต้องการในระดับชาติ พัฒนาสาระ การเรียนรู้ท้องถิ่น ประเมินคุณภาพการศึกษาในระดับท้องถิ่น
รวมทั้งเพิม่ พูนคุณภาพการใช้หลักสูตรดว้ ยการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากร สนับสนุน ส่งเสริม ติดตาม
ผล ประเมนิ ผล วิเคราะห์ และรายงานผลคุณภาพของผู้เรียน
สถานศึกษามีหน้าที่สำคัญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การวางแผนและดำเนินการใช้หลักสูตร
การเพิ่มพนู คุณภาพการใช้หลกั สตู รดว้ ยการวจิ ยั และพัฒนา การปรบั ปรุงและพฒั นาหลักสูตรจัดทำระเบียบการ
วัดและประเมินผล ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาต้องพิจารณาให้สอดคล้อง กับหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน และรายละเอียดที่เขตพื้นที่การศึกษา หรือหน่วยงาน สังกัดอื่นๆ ในระดับท้องถิ่นได้
จัดทำเพ่มิ เติม รวมท้ัง สถานศึกษาสามารถเพ่ิมเติมในสว่ นทเี่ ก่ียวกบั สภาพปัญหาในชุมชนและสงั คม ภูมิปัญญา
ท้องถ่ิน และความตอ้ งการของผ้เู รียน โดยทกุ ภาคสว่ นเขา้ มามีส่วนร่วมในการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา
หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อินทร์สธุ าอุทิศ
152
อภธิ านศพั ท์
ศัพท์ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับตัวช้วี ดั กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ที่ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย
1 กำหนดปญั หา define problem ระบุคำถาม ประเด็นหรือ สถานการณท์ ่เี ปน็ ข้อสงสัย
เพือ่ นำไปสูก่ ารแกป้ ัญหาหรอื อภิปรายร่วมกัน
2 แกป้ ญั หา solve problem หาคำตอบของปัญหาที่ยังไม่รู้ วิธีการมาก่อน
ทั้งปัญหาที่ เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ โดยตรงและ
ปัญหาในชีวิต ประจำวันโดยใช้เทคนิคและ วิธีการ
ตา่ งๆ
3 เขียนแผนผัง/วาด construct diagram/ นำเสนอข้อมูลหรือผลการสำรวจ ตรวจสอบด้วย
ภาพ illustrate แผนผัง กราฟ หรือภาพวาด
4 คาดคะเน predict คาดการณ์ผลท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต โดยอาศัยข้อมูล
ที่สังเกตได้ และประสบการณท์ ม่ี ี
5 คำนวณ calculate หาผลลัพธ์จากข้อมูล โดยใช้ หลักการ ทฤษฎีหรือ
วธิ ีการทาง คณิตศาสตร์
6 จำแนก classify จัดกลุ่มของสิ่งต่างๆ โดยอาศัย ลักษณะที่เหมือนกนั
เป็นเกณฑ์
7 ต้ังคำถาม ask question พูดหรือเขียนประโยค หรือวลี เพื่อให้ได้มาซึ่งการ
คน้ หา คำตอบทตี่ ้องการ
8 ทดลอง conduct/experiment ปฏิบัติการเพื่อหาคำตอบ ของคำถาม หรือปัญหาใน
การ ทดลอง โดยตั้งสมมติฐานเพื่อ เป็นแนวทางใน
การกำหนด ตัวแปรและวางแผนดำเนินการ เพ่ือ
ตรวจสอบสมมติฐาน
9 นำเสนอ present แสดงข้อมลู เรอื่ งราว หรือ ความคิด เพอ่ื ใหผ้ ู้อนื่ รบั รู้
หรือพจิ ารณา
10 บรรยาย describe ให้รายละเอียดของเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์ท่ี
เกดิ ขึ้นให้ ผู้อ่ืนไดร้ บั ร้ดู ้วยการบอก หรือเขยี น
11 บอก Tell ใหข้ อ้ มลู ขอ้ เท็จจรงิ แก่ผู้อน่ื ดว้ ยการพูด หรอื เขียน
12 บันทกึ Record เขียนข้อมูลท่ีไดจ้ ากการสังเกต เพ่ือชว่ ยจำ หรอื เพอื่
เปน็ หลกั ฐาน
หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศักราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทร์สธุ าอทุ ิศ
153
ที่ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ ความหมาย
13 เปรียบเทยี บ
14 แปลความหมาย Compare บอกความเหมือน และ/หรือ ความแตกตา่ ง ของสิง่ ที่
15 ยกตัวอย่าง
16 ระบุ เทียบเคยี งกัน
17 เลือกใช้
18 วัด Interpret แสดงความหมายของข้อมูล จากหลกั ฐานที่ปรากฏ เพื่อลง
19 วิเคราะห์
20 สรา้ งแบบจำลอง ขอ้ สรุป
21 สงั เกต give examples ใหข้ ้อมูลเหตุการณ์หรือสถานการณ์ เพื่อแสดงความเข้าใจใน
22 สำรวจ
23 สืบค้นขอ้ มลู สิ่งทไี่ ด้ เรยี นรู้
24 ส่ือสาร
25 อธบิ าย identify ชี้บอกส่ิงต่างๆ โดยใชข้ ้อมูล ประกอบอย่างเพยี งพอ
26 อภิปราย
select พิจารณา และตดั สนิ ใจนำวัสดุ ส่งิ ของ อปุ กรณห์ รือวิธีการ มา
27 ออกแบบการ
ทดลอง ใช้ไดอ้ ย่างเหมาะสม
measure หาขนาด หรือปริมาณของสิ่งต่างๆ โดยใช้เครื่องมือ ท่ี
เหมาะสม
analyze แยกแยะ จัดระบบ เปรียบเทียบ จัดลำดับ จัดจำแนก หรือ
เชอ่ื มโยงข้อมูล
construct model นำเสนอแนวคิด หรือเหตุการณ์ ในรูปของแผนภาพ ชิ้นงาน
สมการ ข้อความ คำพูดและ/หรือใช้แบบจำลองเพื่ออธิบาย
ความคดิ วัตถุ หรอื เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ
Observe หาข้อมูลด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เหมาะสมตาม
ขอ้ เทจ็ จรงิ ทีป่ รากฏ โดยไมใ่ ช้ ประสบการณ์เดิมของผู้สังเกต
explore หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ โดยใช้วีธีการและเทคนิคที่
เหมาะสม เพ่ือนำข้อมลู มาใช้ตามวัตถปุ ระสงคท์ ่ีกำหนดไว้
search หาขอ้ มูล หรือขอ้ สนเทศท่ีมี ผู้รวบรวมไวแ้ ล้วจากแหล่งต่างๆ
มาใช้ประโยชน์
communicate นำเสนอ และแลกเปลี่ยน ความคดิ ข้อมลู หรือผลจากการ
สำรวจตรวจสอบ ด้วยวธิ ที เ่ี หมาะสม
explain กลา่ วถึงเรอื่ งราวตา่ งๆ อย่างมีเหตุผล และมีข้อมลู หรอื
ประจกั ษ์พยานอ้างองิ
discuss แสดงความคิดเห็นต่อประเด็น หรอื คำถามอยา่ งมเี หตุผล โดย
อาศยั ความรู้และประสบการณ์ของผ้อู ภิปรายและข้อมลู
ประกอบ
design กำหนด และวางแผนวธิ ีการ ทดลองใหส้ อดคล้องกับ
experiment สมมตฐิ านและตวั แปรต่างๆ รวมทั้งการบนั ทึกข้อมลู
หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปีพทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอทุ ศิ
ศัพท์ที่เกย่ี วขอ้ งกบั ตัวชีว้ ัดสาระเทคโนโลยี 154
ท่ี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย
1 การใช้ลิขสทิ ธิ์ของผู้อื่น fair use การนำส่ือ หรอื ข้อมลู ทเี่ ปน็ ลิขสิทธิข์ องผู้อ่นื ไปใช้
โดยชอบ ดว้ ยกฎหมาย ภายใตเ้ งอ่ื นไข บางประการ
โดยชอบธรรม เช่น 1) นำไปใชใ้ นการศกึ ษา หรอื การค้า 2) งานนนั้
เป็นงานวิชาการ หรือ บันเทิง 3) คัดลอกเพยี งส่วน
2 การตรวจและแก้ไข debugging นอ้ ย หรือ คัดลอกจำนวนมาก 4) ทำให้เจ้าของเสยี
ขอ้ ผิดพลาด ผลประโยชน์ทางการเงนิ มากนอ้ ยเพยี งใด
กระบวนการในการคน้ หา ข้อผดิ พลาดของโปรแกรม
3 การประมวลผลข้อมูล data processing เพ่ือแก้ไขให้ทำงานไดถ้ ูกตอ้ ง
การดำเนนิ การตา่ งๆ กบั ขอ้ มูล เพอื่ ให้ได้ผลลัพธท์ ี่มี
4 การรวบรวมข้อมลู data collection ความหมาย และมปี ระโยชน์ต่อการนำ ไปใช้งานมาก
ยง่ิ ข้นึ
5 ข้อมูลปฐมภมู ิ primary data กระบวนการในการรวบรวม ขอ้ มูลที่เกย่ี วข้องจาก
แหล่งขอ้ มลู ต่างๆ
6 เทคโนโลยี technology ขอ้ มลู ทีร่ วบรวมโดยตรง จากแหลง่ ขอ้ มูลขั้นตน้ โดย
อาจใช้วธิ กี ารสงั เกต การทดลอง การสำรวจ การ
7 แนวคิดเชงิ คำนวณ computational สมั ภาษณ์
thinking สิ่งทมี่ นุษยส์ รา้ งหรือพฒั นาขึ้น ซง่ึ อาจเป็นได้ท้ัง
ชน้ิ งาน หรือวธิ กี าร เพอื่ ใชแ้ ก้ปญั หาสนองความ
8 แนวคิดเชิงนามธรรม abstraction การ ตอ้ งการ หรือเพ่ิมความสามารถในการทำงานของ
มนุษย์
กระบวนการในการแก้ปญั หา การคิดวิเคราะห์อย่าง
มีเหตุผล เป็นข้นั ตอน เพื่อหาวธิ ีการ แก้ปัญหาใน
รปู แบบท่สี ามารถนำไปประมวลผลได้
พิจารณารายละเอียดทส่ี ำคัญ ของปญั หา แยกแยะ
สาระสำคญั ออกจากส่วนท่ีไม่สำคัญ
หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ุทธศักราช 2564 โรงเรยี นแกว้ อินทรส์ ุธาอุทิศ
155
ท่ี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ความหมาย
9 ระบบทางเทคโนโลยี technological กลุม่ ของสว่ นตา่ ง ๆ ต้งั แต่ สองสว่ นขนึ้ ไป ประกอบ
system เข้า ด้วยกัน และทำงานรว่ มกัน เพ่อื ใหบ้ รรลุ
10 เหตุผลเชิงตรรกะ วตั ถุประสงค์ โดยในการทำงานของระบบ ทาง
11 เหตุผลวิบัติ logical reasoning เทคโนโลยีจะประกอบไปด้วย ตัวปอ้ น (input)
12 อตั ลกั ษณ์ logical fallacy กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ที่
13 อลั กอริทึม สมั พันธก์ ัน นอกจากน้ีระบบทางเทคโนโลยี อาจมี
14 แอปพลิเคชนั Identity ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เพอื่ ใชป้ รบั ปรงุ การ
ทำงานได้ตามวัตถปุ ระสงค์
algorithm การใชเ้ หตผุ ล กฎ กฎเกณฑ์ หรอื เงือ่ นไขทเ่ี กย่ี วข้อง
เพ่ือ แก้ปัญหาไดค้ รอบคลุมทุกกรณี
software การใช้เหตุผลทีผ่ ดิ พลาดไม่อยู่บน พืน้ ฐานของความ
application จริง ไมม่ นี ำ้ หนัก สมเหตุสมผลมาสนับสนุน หรือ ช้นี ำ
ขอ้ สรปุ ที่ผิดใหด้ นู ่าเชื่อถือ
ลกั ษณะเฉพาะหรือข้อมลู สำคัญ ทีบ่ ง่ บอกถึงความเปน็
ตวั ตนของ บุคคลหรือส่งิ ใดสงิ่ หน่ึง เชน่ ชอื่ บัญชผี ใู้ ช้
ใบหน้า ลายน้วิ มือ
ขน้ั ตอนในการแกป้ ัญหาหรือ การทำงาน โดยมีลำดับ
ของ คำส่งั หรือวธิ กี ารทชี่ ัดเจน ที่คอมพิวเตอรส์ ามารถ
ปฏบิ ัติ ตามได้
ซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์ที่ทำงาน บนคอมพิวเตอรส์ มาร์ต
โฟน แท็บเล็ต หรอื อปุ กรณ์เทคโนโลยี อ่นื ๆ
หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ปีพทุ ธศักราช 2564 โรงเรยี นแกว้ อนิ ทร์สธุ าอทุ ศิ
156
บรรณานกุ รม
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพรา้ ว.
สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2560). ตัวชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระ
การเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551.
สภาพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ. (2549). แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 10.
สำนกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. (2547). ข้อเสนอยุทธศาสตรก์ ารปฏิรปู การศกึ ษา. กรุงเทพฯ: เซน็ จรู ี่.
สำนักนายกรฐั มนตร,ี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาต.ิ (2542). พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษา
แหง่ ชาติ พ.ศ. 2542. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์องคก์ ารรบั ส่งสินคา้ และพัสดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.).
สำนกั ผ้ตู รวจราชการและตดิ ตามประเมนิ ผล. (2548). การติดตามปัญหาอปุ สรรคการใช้หลกั สตู รการศึกษา
ขั้นพ้นื ฐาน พ.ศ. 2544. บันทกึ ท่ี ศธ 0207/ 2692 ลงวนั ที่ 19 กนั ยายน 2548.
สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. (2560). เอกสารประกอบการประชุมปฏบิ ัติการ พฒั นาบุคลากรหลกั เพือ่ สรา้ ง
ความเขา้ ใจ. 27-28 ตุลาคม 2546 โรงแรมตรัง กรงุ เทพฯ. (เอกสารอดั สำเนา).
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2546 ก.). สรปุ ผลการประชุมวเิ คราะห์หลกั สตู รการศึกษาข้ันพื้นฐาน.
27-28 ตลุ าคม 2546 เร่ือง การนำมาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชีว้ ัดกล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และสาระภูมศิ าสตร์ ฯ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั
พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ไปสกู่ ารปฏิบตั ิ 14-16 มนี าคม 2561 ณ โรงแรมจอมเทียนปาล์มบชี พทั ยา
จังหวดั ชลบุรี.
สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. (2546 ข.). สรุปความเห็นจากการประชุมเสวนาหลักสูตรการศึกษา
ขนั้ พ้ืนฐาน 5 จดุ . พฤศจิกายน 2546 (เอกสารอดั สำเนา). สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา.
(2548 ก). รายงานการวิจัยการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตามทัศนะของผู้สอน. กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั สง่ สินคา้ และพสั ดภุ ณั ฑ์
สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. (2548 ข.). รายงานการวิจยั โครงการวจิ ัยเชงิ ทดลองกระบวนการ
สรา้ งหลักสูตรสถานศึกษาแบบอิงมาตรฐาน. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรบั ส่งสนิ ค้าและพัสดภุ ณั ฑ์
(ร.ส.พ.).
สุวมิ ล วอ่ งวาณิช และ นงลักษณ์ วิรัชชัย. (2547). การประเมินผลการปฏิรูปการเรียนรู้ ตาม
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 พหกุ รณีศึกษา. เอกสารการประชุมทาง
วชิ าการการวิจัยเกีย่ วกบั การปฏริ ปู การเรียนรู้ โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวง
ศกึ ษาธิการ วนั ท่ี 19- 20 กรกฎาคม 2547.
หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ุทธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อินทร์สธุ าอุทิศ
157
ภาคผนวก
หลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทร์สธุ าอทุ ิศ
158
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
159
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
160
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
161
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
162
คณะทำงาน
ทีป่ รึกษา
1. นายสุนทร ประชารุง ผอู้ ำนวยการโรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ุธาอทุ ศิ
2. นายวิวัฒน์ บุญเกษม ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
3. นางจารนุ าฏ รัตนปรชี าชัย ศึกษานเิ ทศก์ สพป.นนทบุรี เขต 2
4. นางสาวชตุ มิ า จติ รังษี ครโู รงเรียนแก้วอนิ ทรส์ ธุ าอทุ ิศ
คณะผจู้ ดั ทำหลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
1. นางสาวปริศนา อาจหาญ ครูโรงเรียนแกว้ อินทรส์ ุธาอทุ ิศ ประธานกรรมการ
รองประธาน
2. นายสุเมธ วงั ธนะรุ่งโรจน์ ครโู รงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ุธาอุทิศ กรรมการ
กรรมการ
3. นางสาวจนั ทรเ์ พญ็ สงั ข์อิม่ ครูโรงเรยี นแก้วอนิ ทร์สุธาอทุ ิศ กรรมการ
กรรมการ
4. นางสาวพมิ พ์ลตา ธนพงษไ์ พศาล ครโู รงเรยี นแก้วอนิ ทรส์ ธุ าอทุ ิศ กรรมการ
5. นางสาววรรณประภา หงษ์ประไพ ครโู รงเรียนแก้วอินทรส์ ธุ าอุทิศ กรรมการและเลขานุการ
6. นางสาวอรอนงค์ จุมรมั ย์ ครโู รงเรียนแก้วอินทร์สุธาอทุ ิศ
7. นายเธยี รสิทธิ์ เอ่ียมแย้ม ครโู รงเรียนแกว้ อนิ ทร์สธุ าอุทิศ
8. นางสาวอินทริ า จงจติ ร ครูโรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอทุ ิศ
หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศักราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอทุ ิศ
163
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
164
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
165
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
166
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
167
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
168
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
169
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
170
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ
171
หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ปพี ทุ ธศกั ราช 2564 โรงเรียนแกว้ อนิ ทรส์ ธุ าอุทศิ