The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nurul Salwa Karoh, 2023-11-26 04:31:23

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

ก คำนำ หนังสือทางวิชาการเรื่อง เทคนิคการสอนและวิธีการสอน เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาค้นคว้าความรู้ที่ เกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการสอน ซึ่งเป็นการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ เป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา โดย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่ยึดหลักให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่สำคัญ ที่สุด ซึ่งต้องอาศัยแนวการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการจัดการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางก็จำเป็นต้องอาศัยหลักการ รูปแบบการเรียนการสอน วิธีสอน และเทคนิคการสอนที่ หลากหลายเข้าไปช่วย หนังสือทางวิชาการเล่มนี้ได้ประมวลรูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นผลงานจากการวิจัย หรือเป็นนวัตกรรมทางการสอนของนักคิด นักการศึกษาไทย และต่างประเทศไว้อย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้ครู อาจารย์นิสิต นักศึกษา ได้เลือกนำไปใช้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ของตน การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการ ที่หลากหลายนอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีตามวัตถุประสงค์แล้ว ยังสามารถช่วยจูงใจให้ผู้เรียนเกิด ความกระตือรือร้นในการเรียนรู้อีกด้วย ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการสถานศึกษา คณะครู โรงเรียนคณะราษฎรบํารุง จังหวัดยะลา ที่อำนวยความ สะดวกในการทำหนังสือทางวิชาการครั้งนี้ ได้มีความช่วยเหลือและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อ นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ขอกราบพระคุณเป็นอย่างสูง ทั้งนี้ทางนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือทางวิชาการเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้มาศึกษาเป็นอย่างดี และทางนักศึกษาฝึก ประสบการณ์วิชาชีพครูขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยให้หนังสือทางวิชาการนี้สำเร็จมา ณ โอกาสนี้ด้วย นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู


ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning 1 การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน (Project-based Learning) 4 การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer-Assisted Learning) 11 การจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI ) 18 วิธีการสอนแบบสาธิต (Demonstration Method) 21 การจัดการศึกษาแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) 24 การจัดการเรียนการสอนแบบบรรยาย (Lecture Method) 29 การจัดการเรียนการสอนแบบระดมพลังสมอง ( Brainstorming ) 33 วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case Method) 36 การเรียนรู้แบบลงมือทำ(ปฏิบัติ) (Active Learning) 39 การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning : BBL) 42 การจัดการเรียนการสอนแบบบทบาทสมมติ (Role-Play Method) 52 การจัดการเรียนการสอนแบบแสดงละคร (Dramatization) 57 การจัดการเรียนการสอนแบบสถานการณ์จำลอง (Simulation Technique) 59 การจัดการเรียนการสอนแบบอภิปราย (Discussion Method) 65 การจัดการเรียนการสอนแบบใช้คำถาม (Questioning Method) 67 การจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) 70 การจัดการเรียนการสอนแบบ TAI (Team Assisted Individualization) 75 การจัดการเรียนการสอนแบบอุปนัย (Induction Method) 77 การจัดการเรียนการสอนแบบ GI (Group Investigation) 89


ค สารบัญ(ต่อ) การจัดการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Method) 91 การจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคกลุ่มแข่งขัน TGT 94 การจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์STAD 98 รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้4 MAT 104 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning) 108 การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning: PBL) 114 การเรียนการสอนรายบุคคล (Individualized Instruction) 120 วิธีสอนโดยใช้การไปทัศนศึกษา (Field Trip) 126 รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์ (Concept Attainment Model) 130 รูปแบบการเรียนการสอนแบบทฤษฎีกระบวนการกลุ่ม (Group Process) 135 การเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-Directed Learning) 140 วิธีการสอนแบบสะเต็มศึกษา (STEM Education) 143 การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย (Deductive Method) 149 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือตามรูปแบบ LT (Learning Together) 151 การจัดการเรียนรู้แบบ Storyline 155 การจัดการเรียนรู้แบบโพลยา (Polya) 159 การจัดการเรียนการสอนแบบประสบการณ์ (Experiential Learning) 163 วิธีการสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน (Co - operative Learning) 164 วิธีการสอนแบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructionism) 171 การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎี (Constructionism) 175 วิธีการสอนแบบโดยใช้เกม (Game) 178 บรรณานุกรม 180


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 1 การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ความหมาย Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ทางปัญญา(Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้น ในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กระตุ้น หรืออำนวย ความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยกระบวนการคิดขั้นสูงกล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ การประเมินค่าจากสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ใน สถานการณ์อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกุล, 2558) ลักษณะของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning (ไชยยศ เรืองสุวรรณ, 2553) กล่าวไว้ดังนี้ 1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา และการนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้ 2. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 3. ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ร่วมมือ กันมากกว่าการแข่งขัน 5.ผู้เรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน และการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ 6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะเป็นผู้จัดระบบการ เรียนรู้ด้วยตนเอง 7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นทักษะการคิดขั้นสูง 8. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสาร หรือสารสนเทศ และหลักการความคิดรวบ ยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง 10. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 2 บทบาทของอาจารย์ผู้สอน ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางของ Active Learning ดังนี้ (ณัชนัน แก้วชัยเจริญกิจ, 2550) จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อนความ ต้องการในการพัฒนาผู้เรียนและเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้เรียน 1. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอน และเพื่อนในชั้นเรียน 2. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมรวมทั้งกระตุ้นให้ ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ 3. จัดสภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน 4. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธีการสอนที่หลากหลาย 5. วางแผนเกี่ยวกับเวลาในจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของเนื้อหาและกิจกรรม 6. ครูผู้สอนต้องใจกว้าง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดเห็นของที่ผู้เรียน ตัวอย่างเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน รวมทั้ง สามารถใช้ได้กับนักเรียนทุกระดับ ทั้งการเรียนรู้เป็นรายบุคคล การเรียนรู้แบบกลุ่มเล็กและการเรียนรู้แบบกลุ่ม ใหญ่ McKinney (2008) ได้เสนอตัวอย่างรูปแบบหรือเทคนิค การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้แบบ Active Learning ได้ดี ได้แก่ 1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-pair-Share) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนคิด เกี่ยวกับประเด็นที่กำหนดแต่ละคน ประมาณ 23 นาที (Think) จากนั้นให้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทั้งหมด (Share) 2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ ทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยจัดเป็นกลุ่มๆ ละ 3-6 คน 3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sessions) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้และพิจารณาข้อสงสัยต่าง ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูจะคอย ช่วยเหลือกรณีที่มีปัญหา 4. การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนำเกมเข้าบูรณาการในการเรียน การสอน ซึ่งใช้ได้ทั้งในขั้นการนำเข้าสู่บทเรียน การสอน การมอบหมายงาน และหรือขั้นการประเมินผล


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 3 5. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์ วิดีโอ ( Analysis or reactions to video ) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียน ได้ดูวิดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ดู อาจโดยวิธีการพูดโต้ตอบกัน การเขียน หรือ การร่วมกันสรุปเป็นรายกลุ่มการประเมินผล 6. การเรียนรู้แบบโต้วาที (Student debates) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้นำเสนอข้อมูล ที่ได้จากประสบการณ์และการเรียนรู้ เพื่อยืนยันแนวคิดของตนเองหรือกลุ่ม 7. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คือการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างแบบทดสอบจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว 8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research proposals or project) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่อิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้วางแผนการเรียนเรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือ สร้างผลงาน และสะท้อนความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้ หรืออาจเรียกว่าการสอนแบบโครงงาน (project- based learning) หรือการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) 9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze case studies) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้อ่าน กรณีตัวอย่างที่ต้องการศึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือแนวทางแก้ปัญหาภายใน กลุ่ม แล้วนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทั้งหมด 10. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping journals or logs) คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจด บันทึกเรื่องราวต่าง ๆที่ได้พบเห็น หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันรวมทั้งเสนอความคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบันทึกที่ เขียน 11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คือจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่ให้ผู้เรียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อันประกอบด้วย บทความ ข้อมูลสารข่าวสาร และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้ว แจกจ่ายไปยังบุคคลอื่น ๆ 12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept mapping) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียน ออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอความคิดรวบยอด และความเชื่อมโยงกันของกรอบความคิด โดยการใช้เส้น เป็นตัวเชื่อมโยง อาจจัดทำเป็นรายบุคคลหรืองานกลุ่ม แล้วนำเสนอผลงานต่อผู้เรียนอื่น ๆ จากนั้นเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนคนอื่นได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 4 การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน (Project-based Learning) ความหมาย โครงงาน (Project) หมายถึง การศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่นักเรียนเป็นผู้ศึกษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติ ด้วยตนเอง โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ภายใต้คำแนะนำ ปรึกษา และดูแลของครู/อาจารย์ที่ปรึกษา โดย อาจใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วยในการศึกษา เพื่อให้การศึกษา ค้นคว้า นั้น บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า คิดวิเคราะห์ เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล เรียนรู้แบบบูรณาการ ผ่านกระบวนการ วางแผน ปฏิบัติตามแผน ประเมินผล นำเสนอผลงาน (วัฒนา ก้อนเชื้อรัตน์, 2547, วิชาการ, กรม, 2544 : 28-31) การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน คือ การจัดประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้เด็กเหมือนกับการ ทำงานในชีวิตจริง เพื่อให้เด็กมีประสบการณ์ตรง เด็กจะได้เรียนรู้ วิธีการแก้ปัญหารู้จัก การทำงานอย่างมีระบบ รู้จักการวางแผนในการทำงาน ฝึกการคิดวิเคราะห์ และเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง แนวคิด การสอนแบบโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียน เรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งตามความสนใจของ ผู้เรียน อย่างลุ่มลึก โดยผ่านกระบวนการหลักคือ กระบวนการแก้ปัญหา ผู้เรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ เพื่อค้นหาคำตอบ ด้วยตนเอง จึงเป็นการเรียนรู้จากการได้มีประสบการณ์ตรงจากแหล่งเรียนรู้ วัตถุประสงค์ การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนได้ดังนี้ 1. มีประสบการณ์โดยตรง 2. ได้ทำการทดลองและพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง 3. รู้จักการทำงานอย่างมีระบบ มีขั้นตอน 4. ฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี 5. ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา 6. ได้รู้จักวิธีการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหา 7. ฝึกวิเคราะห์ และประเมินตนเอง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 5 ประเภทของโครงงาน โครงงานแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ 1. โครงงานประเภทสำรวจ - ไม่มีการจัดหรือกำหนดตัวแปรอิสระที่ต้องการศึกษาเหมือนโครงงานประเภททดลอง - ผู้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูล แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่และ นำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ต้องการศึกษาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 2. โครงงานประเภทการทดลอง - เป็นโครงงานที่ออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาผลของตัวแปรหนึ่งที่มีผลต่อตัวแปรหนึ่ง โดยควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษา - ขั้นตอนการดำเนินงานของโครงงานนี้จะประกอบด้วย การกำหนดปัญหา ตั้งสมมุติฐาน การออกแบบการทดลอง การดำเนินการทดลอง การรวบรวมข้อมูล การแปลผล และสรุปผล 3. โครงงานประเภทการพัฒนาหรือประดิษฐ์คิดค้น - เป็นโครงงานที่ประยุกต์ทฤษฎีหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้ หรืออุปกรณ์เพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ 4. โครงงานประเภทการสร้างหรืออธิบายทฤษฎี - เป็นโครงงานที่เสนอทฤษฎีหลักการหรือแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคำอธิบาย อาจขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม อาจเป็นของใหม่หรือยังไม่มีใครคิดมาก่อน - ต้องมีความรู้พื้นบานเรื่องนั้นเป็นอย่างดี - มักเป็นโครงงานคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น โครงงานเรื่องการอธิบาย อวกาศแนวใหม่ โครงงานเรื่องทฤษฎีของจำนวนเฉพาะ เป็นต้น รูปแบบการจัดทำโครงงาน 1. ชื่อโครงงาน 2. คณะทำงาน 3. ที่ปรึกษา 4. แนวคิด/ ที่มา / ความสำคัญ 5. วัตถุประสงค์ / จุดมุ่งหมาย 6. ขั้นตอนการดำเนินงาน / วิธีการศึกษา 7. แหล่ง/สถานศึกษา (ถ้ามี) 8. วัสดุ อุปกรณ์


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 6 9. งบประมาณ 10. ระยะเวลาการดำเนินงาน 11. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ขั้นตอนของการทำโครงงาน ขั้นตอนของการทำโครงงาน มีดังนี้ 1. คิดและเลือกปัญหาที่จะศึกษา: นักเรียนจะต้องเป็นผู้กำหนดปัญหา แนวคิดและวิธีการที่ จะใช้แก้ปัญหา 2. วางแผนในการทำงาน ประกอบด้วย 2.1 การกำหนดปัญหาและขอบเขตของการศึกษา 2.2 การกำหนดวัตถุประสงค์ แนวคิด วิธีการที่จะนำมาใช้แก้ปัญหา สมมติฐาน และ นิยามเชิงปฏิบัติการ 2.3 การวางแผนรวบรวมข้อมูล และการค้นคว้าเพิ่มเติม 2.4 กำหนดวิธีดำเนินงาน ได้แก่ แนวทางการศึกษา ค้นคว้า วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ การออกแบบการทดลอง การควบคุมตัวแปร การสำรวจและรวบรวมข้อมูล การประดิษฐ์คิดค้น การวิเคราะห์ ข้อมูล การกำหนดระยะเวลาในการทำงาน แต่ละขั้นตอน 3. ลงมือทำโครงงาน: นักเรียนจะต้องปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้ในข้อ 2 และถ้ามีปัญหา ให้ขอ คำแนะนำ ปรึกษา ครูหรืออาจารย์ที่ปรึกษา 4. การเขียนรายงาน: นักเรียนจะต้องเสนอผลงานการศึกษา ค้นคว้า เป็นเอกสาร อธิบายให้ผู้อื่น เข้าใจ และทราบถึงปัญหา วิธีการ และผลสรุปที่ได้จากการศึกษา พร้อมอภิปรายผล และ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อเป็น แนวทางในการที่จะศึกษาค้นคว้าต่อไป การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ หรือการค้นคว้าหาคำตอบใน สิ่งที่ผู้เรียน อยากรู้หรือสงสัยด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้เลือกศึกษาตามความสนใจของ ตนเองหรือของ กลุ่มเป็นการตัดสินใจร่วมกัน จนได้ชิ้นงานที่สามารถนำผลการศึกษาไปใช้ได้ในชีวิตจริง การเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคหลากหลายรูปแบบนำมาผสมผสานกันได้แก่ กระบวนการกลุ่ม การฝึกคิด การแก้ปัญหา การเน้นกระบวนการ การสอนแบบปริศนาความคิด และการสอนแบบร่วมกันคิด เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องใดเรื่อง หนึ่งจากความสนใจ อยากรู้ อยากเรียนของผู้เรียนเอง โดยใช้กระบวนการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนจะ เป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เป็นการเรียนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 7 ประสบการณ์ตรงกับแหล่งความรู้เบื้องสามารถสรุปความรู้ได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่ เชื่อมโยงกับหลักการพัฒนาการคิดของบลูม (Bloom) ดังนี้ 1. ความรู้ความจํา 2. ความเข้าใจ 3. การนำไปใช้ 4. การวิเคราะห์ 5. การสังเคราะห์ 6. การประเมินค่า การเรียนรู้แบบโครงงาน และยังเป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในทุกขั้นตอนของ กระบวนการ เรียนรู้ ตั้งแต่การวางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การเริ่มต้นโครงงาน เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจ ให้เกิดขึ้นในตัว ผู้เรียน เลือก เรื่องที่จะศึกษาร่วมกัน ระยะที่ 2 การพัฒนาโครงงาน เป็นขั้นที่ผู้เรียนกำหนดหัวข้อคำถาม หรือประเด็นปัญหา แล้วตั้ง สมมุติฐานเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น ระยะที่ 3 ขั้นสรุป เป็นระยะที่ผู้สอน และผู้เรียนแบ่งปันประสบการณ์ การทำงานและแสดงให้เห็นถึง ความสำเร็จมีกิจกรรมที่ผู้เรียนดำเนินการ ดังนี้ 1. ผู้เรียนเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็ก ๆ 2. ผู้เรียน นำเสนอผลงาน (แสดงเป็นแผงโครงงาน) ให้ผู้ที่สนใจได้รับรู้ สรุปและนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน มี 2 แนวทาง ดังนี้ 1. การจัดกิจกรรมตามความสนใจ เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเลือกศึกษาโครงงานจากสิ่งที่สนใจอยากรู้ที่มีอยู่ใน ชีวิตประจำวัน สิ่งแวดล้อมในสังคม หรือจากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ยังต้องการคำตอบ ข้อสรุป ซึ่ง อาจจะอยู่นอกเหนือจากสาระ การเรียนรู้ในบทเรียนของหลักสูตร มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1.1 ตรวจสอบ วิเคราะห์ พิจารณา รวบรวมความสนใจแก่ผู้เรียน 1.2 กำาหนดประเด็นปัญหา/หัวข้อเรื่อง 1.3 กำหนดวัตถุประสงค์


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 8 1.4 ตั้งสมมติฐาน 1.5 กำหนดวิธีการศึกษาและแหล่งความรู้ 1.6 กำาหนดเค้าโครงของโครงงาน 1.7 ตรวจสอบสมมติฐาน 1.8 สรุปผลการศึกษาและการนำไปใช้ 1.9 เขียนรายงานเชิงวิจัยง่าย ๆ 1.10 จัดแสดงผลงาน 2. การจัดกิจกรรมตามสาระการเรียนรู้ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยยึดเนื้อหาสาระตามที่หลักสูตรกำหนด ผู้เรียนเลือกทำ โครงงานตาม สาระการเรียนรู้ จากหน่วยเนื้อหาที่เรียนในชั้นเรียน นำมาเป็นหัวข้อโครงงาน มีขั้นตอนที่ ผู้สอนดำเนินการ ดังต่อไปนี้ 2.1 เริ่มจากศึกษาเอกสารหลักสูตร คู่มือครู 2.2 วิเคราะห์หลักสูตร 2.3 วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา เพื่อแยกเนื้อหา จุดประสงค์ และกิจกรรมให้เด่นชัด 2.4 จัดทำกำหนดการสอน 2.5 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ 2.6 ผลิตสื่อ จัดหาแหล่งการเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น 2.7 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้ 2.7.1 แจ้งจุดประสงค์ เนื้อหาของหลักสูตรให้ผู้เรียนทราบ 2.7.2 กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนในขอบเขตของเนื้อหาและจุดประสงค์ในหลักสูตร 2.7.3 จัดกลุ่มผู้เรียนตามความสนใจ 2.7.4 ผู้สอนใช้คำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น - ทำไมผู้เรียนจึงสนใจอยากเรียนเรื่องนี้ (แนวคิด/แรงดลใจ) - ผู้เรียนสนใจเกี่ยวกับอะไรบ้าง (กำหนดเนื้อหา) - ผู้เรียนอยากเรียนรู้เรื่องนี้เพื่ออะไร (กำหนดจุด ประสงค์) - ผู้เรียนจะทำอย่างไรจึงจะเรียนรู้ได้ในเรื่องนี้ (กำหนดวิธีศึกษา/กิจกรรม) - ผู้เรียนจะใช้เครื่องมืออะไรบ้างในการศึกษาครั้งนี้ (กำหนดสื่ออุปกรณ์) - ผู้เรียนจะไปศึกษาที่ใดบ้าง (กำหนดแหล่งความรู้ แหล่งข้อมูล) - ผลที่ผู้เรียนคาดว่าจะได้รับคืออะไรบ้าง (สรุปความรู้ สมมติฐาน) -ผู้เรียนจะทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าผลงานของผู้เรียนดีหรือไม่ดีอย่างไร จะให้ใคร เป็นผู้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 9 ประเมิน (กำหนดการวัดและประเมินผล) - ผู้เรียนจะเผยแพร่ผลงานให้ผู้อื่นรู้ได้อย่างไร (นำเสนอผลงาน รายงาน) 2.7.5 ผู้เรียน แต่ละกลุ่มศึกษาตามที่ตกลงกันไว้ (จากคำถามที่ผู้สอนซักถาม) ภายใต้กรอบเวลาในแต่ละครั้ง ถ้า ยังไม่สำเร็จให้ศึกษาต่อในคาบต่อไป 2.7.6 ผู้เรียนทุกคนต้องสรุปองค์ความรู้ได้ด้วยการเรียนของผู้เรียนและสามารถนำเสนอความรู้ที่ ได้แก่เพื่อน ๆ และผู้สอนได้ 2.7.7 ผู้เรียนเขียนรายงานเชิงวิจัยแบบง่าย ๆ และแสดงแผงโครงงาน 2.8 ผู้สอนจัดแหล่งความรู้เพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 2.9 ผู้สอนเขียนบันทึกผลการเรียนรู้ วิธีการทำโครงงาน 1. ประชุมปรึกษาหารือ เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับหัวข้อของโครงงาน จากสิ่งต่อไปนี้ - การสังเกต หรือตามที่สงสัย - ความรู้ในวิชาต่าง ๆ - จากปัญหาใกล้ตัว หรือการเล่น - คำบอกเล่าของผู้ใหญ่ หรือผู้รู้ 2. เขียนหลักการ เหตุผล ที่มาของโครงงาน 3. ตั้งวัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน 4. กำหนดวิธีการศึกษา เช่น การสำรวจ การทดลอง เป็นต้น 5. นำผลการศึกษามาอภิปรายกลุ่ม 6. สรุปผลการศึกษา โดยการอภิปรายกลุ่ม 7. ปรับปรุงชื่อโครงงาน ให้ครอบคลุม น่าสนใจ การประเมินผลการทำโครงงาน ครูผู้สอนจะเป็นผู้ประเมินการทำโครงงานของนักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยใช้แบบประเมินแผนผัง โครงงาน พิจารณาตามรายละเอียดดังนี้ 1. ชื่อเรื่องแสดงถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 2. ชื่อเรื่องมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาคำถามมีการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิด 3. สมมติฐานมีการแสดงถึงพื้นฐานความรู้เดิม 4. วิธีการ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เหมาะสมสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและเนื้อหา


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 10 5. แหล่งศึกษาสามารถค้นคว้าคำตอบได้ 6. วิธีการนำเสนอชัดเจน เหมาะสมกับเนื้อหาและเวลา องค์ประกอบของเกณฑ์การประเมินผลงาน 1. การวางแผนการทำโครงงาน 2. วิธีการดาเนินงานโครงงาน 3. สรุปผลการดาเนินโครงงาน 4. การนำาเสนอโครงงาน แนวทางประเมินโครงงาน 1. ประเมินในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การแสดงออก ความรู้ ความคิด ความสามารถ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการทำ ผลผลิต แฟ้มสะสมงาน ผลงานการ ทดสอบ 2. ประเมินผลโดยให้ผู้สอน ผู้เรียน ผู้ปกครอง เพื่อน ฯลฯ เป็นผู้ประเมิน 3. ระยะเวลาในการประเมิน อาจประเมินเป็นระยะ ๆ เช่น ก่อนการทำโครงงาน (ขั้นเตรียมการ) ระหว่าง ทำโครงงาน หลังทำโครงงาน โดยใช้วิธีการต่าง ๆ ในประเมิน เช่น การสังเกต สัมภาษณ์ ตรวจ รายงาน ตรวจ ผลงาน ทดสอบ จัดนิทรรศการแสดงผลงาน ฯลฯ คำชี้แนะก่อนการประเมินผลการทำโครงงาน ครูเป็นผู้ประเมินการทำโครงงานนักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยใช้แบบประเมินแผนผังโครงงาน พิจารณาตาม รายละเอียดดังนี้ 1. ชื่อเรื่อง แสดงถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 2. ชื่อเรื่อง มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาคำถาม มีการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิด 3. สมมุติฐาน มีการแสดงถึงพื้นฐานความรู้เดิม 4. วิธีการ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เหมาะสมสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและเนื้อหา 5. แหล่งศึกษา สามารถค้นคว้าคำตอบได้ 6. วิธีการนำเสนอ ชัดเจน เหมาะสมกับเนื้อหาและเวลา 7. การวัดและประเมินผลโครงงาน ครูควรกำหนดเกณฑ์และตารางการวัดผลให้ครอบคลุม ทุกขั้นตอนของ การทำกิจกรรม และชัดเจนก่อนลงมือทำ เพื่อกระตุ้นการทำงาน ดังตัวอย่างแบบต่าง ๆ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 11 การเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน (Peer-Assisted Learning) “เพื่อนช่วยเพื่อน” วิธี ดีอย่างไร? คำว่า “เพื่อนช่วยเพื่อน” บางคนอาจจะเคยได้ยินคำ ๆ นี้มาแล้ว ซึ่งเราจะพบกันมากในเรื่องของ การศึกษา การสอน การแก้ปัญหาต่าง ๆ เป็นต้น แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ความหมายที่แท้จริงของคำ ๆ นี้ เราจะมาดู กันว่าแท้จริงแล้วคำว่า “เพื่อนช่วยเพื่อน” คืออะไร และการใช้วิธีการนี้มันดีอย่างไร “เพื่อนช่วยเพื่อน” หรือ “Peer Assist” เป็นการจัดการความรู้ก่อนลงมือทำกิจกรรม (Learning Before Doing) เพื่อแสวงหาผู้ช่วยที่มีความแตกต่าง มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ เพื่อขยายกรอบความคิดให้กว้าง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยอาศัย “คน” เป็นธงนำ (People Driven) เปิดมุมมองความคิดที่หลากหลาย จากการแลกเปลี่ยนระหว่างทีมที่มีทักษะ ความสามารถ และ ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่มองอะไรเพียง ด้านเดียว ความเป็นมา "เพื่อนช่วยเพื่อน" (Peer Assist) เป็นเครื่องมือที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใช้ครั้งแรกที่บริษัท BP-Amoco ซึ่ง เป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของประเทศอังกฤษ โดยการสร้างให้เกิดกลไกการเรียนรู้ ประสบการณ์ผู้อื่น ซึ่งเป็นเพื่อน ร่วมอุดมการณ์หรือร่วมวิชาชีพ (peers) ก่อนที่จะเริ่มดำเนินกิจกรรมหรือ โครงการใด ๆ ทั้งนี้ความหมายของ “เพื่อนช่วยเพื่อน” จะเกี่ยวข้องกับ - การประชุมหรือการปฏิบัติการร่วมกันโดยมีผู้ที่ได้รับเชิญจากทีมภายนอก หรือทีม อื่น (ทีม เยือน) เพื่อมาแบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ กับทีมเจ้าบ้าน (ทีมเหย้า) ที่เป็นผู้ร้องขอความ ช่วยเหลือ เครื่องมือ สำหรับแบ่งปันประสบการณ์ ความเข้าใจ ความรู้ ในเรื่องต่าง ๆ - กลไกสำหรับแลกเปลี่ยนความรู้ผ่านการเชื่อมโยงติดต่อระหว่างบุคคลสำหรับข้อดี ของการทำ Peer Assist นั้น ได้แก่ - เป็นกลไกการเรียนรู้ก่อนลงมือทำกิจกรรม (Learning Before Doing) ผ่านประสบการณ์ผู้อื่น เพื่อให้รู้ว่าใครรู้อะไร และไม่ทำผิดพลาดซ้ำในสิ่งที่เคยมีผู้ทำผิดพลาด ตลอดจนเรียนลัดวิธีการทำงานต่าง ๆ ที่เรา อาจไม่เคยรู้มาก่อนจากประสบการณ์ของทีมผู้ช่วยภายนอก - ช่วยให้ทีมเจ้าบ้านได้ความช่วยเหลือ ความคิดเห็น และมุมมองจากทีมผู้ช่วยภายนอก ซึ่งอาจ นำไปสู่แนวทางในการแก้ปัญหาหรือการทำงานใหม่ ๆ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 12 แนวคิดทฤษฎี เมื่อจะเริ่ม "ลงมือหา" เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เราไม่เคยทำ หรือไม่สันทัด หรือยังได้ผลไม่เป็นที่ พอใจ ขั้นตอน แรกของการจัดการความรู้คือหาข้อมูล (ความรู้) ว่าเรื่องนั้น ๆ มีบุคคลหรือกลุ่มคน ที่ไหน หน่วยงานใด ที่ทำได้ผลดี มาก (best practice) และถือเป็นกัลยาณมิตร (peers) ที่อาจช่วยแนะนำหรือให้ ความรู้เราได้ กัลยาณมิตรนี้อาจ เป็นเพื่อนร่วมงานในหน่วยงานเดียวกัน อาจเป็นหน่วยงานอื่นในองค์กร เดียวกัน หรือเป็นคนที่อยู่ในองค์กรอื่นก็ได้ แล้วติดต่อขอเรียนรู้วิธีทำงานจากเขา ไปเรียนรู้จากหน่วยงาน จะโดยวิธีไปดูงาน โทรศัพท์หรือ e-mail ไปถาม เชิญ มาบรรยาย หรือวิธีอื่น ๆ ก็ได้ หลักคิดในเรื่องนี้ก็คือ มีคนอื่นที่เขาทำได้ดีอยู่แล้ว ในเรื่องที่เราอยากพัฒนาหรือ ปรับปรุง ไม่ควรเสียเวลาคิดขึ้นใหม่ด้วยตนเอง ควร "เรียนลัด" โดยเอาอย่างจากผู้ที่ทำได้ดีอยู่แล้ว เอามาปรับใช้กับ งานของเรา แล้วพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ว่าการเรียนรู้จากกัลยาณมิตรนี้จะต้องไม่ใช่ไปลอกวิธีการของเขามาทั้งหมด แต่ ไปเรียนรู้แนวคิดและแนว ปฏิบัติของเขาแล้วเอามาปรับปรุงใช้งานให้เหมาะสมต่อสภาพการทำงานของเรา วิธีการแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” วิธีการแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” สามารถทำได้ ดังนี้ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าทำ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ทำไปเพื่ออะไร อะไรคือต้นตอ ของ ปัญหาที่ต้องการขอความช่วยเหลือ 2. ตรวจสอบว่าใครที่เคยแก้ปัญหาที่เราพบมาก่อนบ้างหรือไม่ โดยทำแจ้งแผนการทำ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ของทีมให้หน่วยงานอื่น ๆ ได้รับรู้ เพื่อหาผู้ที่รู้ในปัญหาดังกล่าว 3. กำหนด Facilitator (ครูอำนวย) หรือผู้สนับสนุน และอำนวยความสะดวกใน กระบวนการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างทีม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ 4. คำนึงถึงการวางตารางเวลาให้เหมาะสมและทันต่อการนำไปใช้งาน หรือการปฏิบัติจริง โดย อาจเผื่อเวลาสำหรับปัญหาที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้น 5. ควรเลือกผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้มีความหลากหลาย (Diverse) ทั้งด้านทักษะ (Skill) ความสามารถ/ความเชี่ยวชาญ (Competencies) และประสบการณ์ (Experience) สำหรับ จำนวนผู้เข้าร่วม แลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 6-8 คนก็เพียงพอ 6. มุ่งหาผลลัพธ์หรือสิ่งที่ต้องการได้รับจริง ๆ กล่าวคือ การทำ “เพื่อนช่วยเพื่อน” นั้น จะต้อง มองให้ทะลุถึงปัญหา สร้างทางเลือกหลาย ๆ ทาง มากกว่าที่จะใช้คำตอบสำเร็จรูปทางใดทางหนึ่ง 7. วางแผนเวลาสำหรับการพบปะสังสรรค์ทางสังคม หรือการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ (นอกรอบ) 8. กำหนดบทบาทของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน ตลอดจนสร้างบรรยากาศ เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อ การ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 13 9. แบ่งเวลาที่มีอยู่ออกเป็น 4 ส่วน คือ - ส่วนแรกใช้สำหรับทีมเจ้าบ้านแบ่งปันข้อมูล (Information) บริบท (Context)รวมทั้ง แผนงานในอนาคต - ส่วนที่สองใช้สนับสนุน หรือกระตุ้นให้ทีมผู้ช่วยซึ่งเป็นทีมเยือนได้ซักถามในสิ่งที่เขา จำเป็นต้องรู้ - ส่วนที่สาม ใช้เพื่อให้ทีมผู้ช่วยซึ่งเป็นทีมเยือนได้นำเสนอมุมมองความคิด เพื่อให้ทีมเจ้า บ้านนำสิ่งที่ได้ฟังไปวิเคราะห์ - ส่วนที่สี่ ใช้สำหรับการพูดคุยโต้ตอบ พิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมกัน จากความเป็นมา แนวคิดทฤษฎี และวิธีการแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” เราสามารถแบ่ง ประเภทของ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ได้ 3 ประเภท ดังนี้ 1. การสอนแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” กิจกรรมอย่างหนึ่งที่จัดให้ผู้เรียนได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่เสมอ คือ เพื่อนช่วยเพื่อนใน ลักษณะ เก่งช่วยอ่อน ซึ่งเป็นวิธีการที่ผู้เรียนให้ความสนใจมาก คนเก่งจะจัดกระบวนการเรียนการสอน เพื่อส่งเสริม ความสามารถของผู้เรียน โดยเฉพาะวิชาการด้านคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการคิดวางแผน ปฏิบัติ และประเมินผล ให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้ ได้พิจารณา และค้นพบความรู้ ความสามารถของตนเองให้ผู้เรียน มองเห็นภาพลักษณ์แห่งตน ตัวตนในอุดมคติ และการเห็นคุณค่าตนเอง ต่อความสำเร็จในการเรียนการสร้าง เว็บไซต์ ภาษา HTML สิ่งเหล่านี้จะช่วยหล่อหลอมให้ผู้เรียน รักและมี ความพร้อมที่จะเรียน มีความสุขในการ เรียนรู้ และร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง การสอนด้วยวิธีการ “เพื่อนช่วยเพื่อน” การสอนด้วยวิธีการให้เพื่อนช่วยเพื่อนเป็นวิธีการที่มุ่งให้ นักเรียนเกิดแรงจูงใจต่อการเรียนมากขึ้น เนื่องจากนักเรียนทุกคนเป็นผู้ที่มีบทบาทในกิจกรรมการเรียน การสอน การน่าวิธีการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนมาช่วยแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอน ควรจะต้อง สร้างแรงจูงใจแก่ เพื่อนนักเรียนที่ช่วยสอน ให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนทั้งรูปธรรมและนามธรรม ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกแห่ง ความสำเร็จ ด้วยการหากิจกรรมที่กระตุ้นให้นักเรียนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือครูและเพื่อนนักเรียน อย่างเต็มใจและพึงพอใจ ผู้สอนจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาทักษะความสามารถของผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ ด้วยการออกแบบกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ มีความสุข การจัดการ เรียน การสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีความสุข ทั้งกายและใจนั้น จะเริ่มจากการสร้างความศรัทธาทั้งต่อตัวผู้สอน และต่อวิชาที่ เรียน ให้เกิดในตัวผู้เรียน ให้ผู้เรียนมองเห็นถึงความจริงใจของผู้สอน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 14 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ "เพื่อนช่วยเพื่อน” ในการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอน ยอมรับ ว่าผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพ ปฏิบัติต่อผู้เรียนในลักษณะกัลยาณมิตร และเข้าใจในความเป็นตัวเขา นอกจากนั้น การสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนหรือการให้ผู้เรียนช่วยสอนกันเองนี้ เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์ ทางด้านวิชาการด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย การเรียนการสอนแบบนี้ได้มีการพัฒนาและนำมาใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ออกไปตามจุดมุ่งหมายและวิธีการได้รับการตอบสนองความต้องการ ในระดับแรกๆ ก่อนเท่านั้น เมื่อก้าวผ่านขั้น หนึ่งไป มนุษย์เราจะมีความต้องการสูงขึ้นไปทีละขั้นเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ผู้ศึกษาได้คิดค้นนวัตกรรมการจัดการเรียน การสอน การสร้างเว็บไซต์ ภาษา HTML ด้วยการ ดัดแปลงกระบวนการสอนซ่อมเสริมแบบเพื่อนช่วยเพื่อน มา บูรณาการเข้ากับวิธีการดำเนินธุรกิจเครือข่าย Direct Sales (ขายตรง)ด้วยการสร้างกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนโดยส่วนรวมสูงขึ้น และเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนต่ำ รวมถึงนักเรียนที่ไม่ บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ให้สามารถเรียนรู้ผ่านตามเกณฑ์การประเมินจุดประสงค์ 2. การให้คำปรึกษาแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน" การให้คำปรึกษาแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” หมายถึง การให้ความช่วยเหลือทางด้านจิตใจ และ เป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนผู้รับคำปรึกษาให้ดำเนินชีวิตอย่างอิสระ โดยปฏิสัมพันธ์ที่จะ “ให้” และ “รับ” ความช่วยเหลือเท่าเทียมกันอย่างเพื่อน ได้มาฟังความรู้สึกและเล่าเรื่องราวของตนเอง เพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง มีความเข้มแข็ง สามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ การให้ค้าปรึกษาแบบ "เพื่อนช่วยเพื่อน" แตกต่างจากการให้คำปรึกษาอย่างอื่นอย่างไร? ในกระบวนการให้คำปรึกษาฉันเพื่อน มีผู้รับฟังเรียกว่า “ผู้ให้คำปรึกษาแบบเพื่อน" (Peer Counselor) กับผู้เล่าเรื่อง เรียกว่า “ผู้รับคำปรึกษาแบบเพื่อน” (Client) โดยแบ่งเวลาฝ่ายละเท่า ๆ กัน และสลับ บทบาทระหว่างผู้เล่าเรื่องกับผู้รับฟังตามเวลาที่กำหนด เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และ สนับสนุนซึ่งกันและกัน จะส่งผลที่พึงพอใจแก่ผู้รับคำปรึกษาฉันเพื่อน ได้รับรู้และเข้าใจเรื่องราวของตน อย่างแท้จริง ทำให้ยอมรับและรัก ตนเอง นำมาซึ่งความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าที่จะเผชิญความเปลี่ยนแปลง ต่าง ๆ และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ได้อย่างมีความสุข แต่การปรึกษาของผู้เชี่ยวชาญ หรือหมอผู้รับ คำปรึกษาจะเป็นฝ่ายที่จะนั่งรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ เพียงฝ่ายเดียว และผู้เชี่ยวชาญหรือหมอจะเป็นคนให้ คำแนะนำเพื่อให้ปฏิบัติตามเท่านั้น ดังนั้นการให้คำปรึกษา แบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” จะสร้างความเข้าใจ ทัศนคติต่าง ๆ และก่อให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างผู้รับ และผู้ให้มากกว่าการให้คำปรึกษาแบบ เป็นผู้รับคำปรึกษาเพียงอย่างเดียว ข้อตกลง หรือข้อสัญญาในการให้คำปรึกษาแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” ข้อตกลงหรือข้อสัญญาในการให้คำปรึกษามีข้อที่ควรปฏิบัติทั้งหมด 4 ข้อ ดังนี้ 1. แบ่งเวลาโดยเท่าเทียมกัน การให้คำปรึกษาแบบเพื่อนช่วยเพื่อนให้ความสำคัญกับ การแบ่ง เวลาอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อจะได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้อย่างเต็มที่ สิ่งหนึ่งที่ต้อง เสมอภาคกันไม่ว่า จะเป็นใครก็ตาม ทั้งสองฝ่ายมีเวลาเท่าเทียมกัน โดยการที่ให้ผู้ขอรับคำปรึกษาเป็นผู้ กำหนดว่าต้องการเวลา


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 15 เท่าไหร่ แต่ต้องไม่นานเกินไป ทั้งสองฝ่ายจะต้องเป็นผู้ตกลงกันอย่างเท่าเทียม เสมอ ที่ต้องมีกฎข้อนี้ก็เพื่อป้องกัน ไม่ให้คนที่พูดเก่งแย่งเวลาไปหมด จนคนที่พูดไม่เก่งไม่ได้พูดอะไรเลย 2. รักษาความลับเป็นส่วนตัว การให้คำปรึกษาต้องรับประกันได้ว่าผู้ให้คำปรึกษาจะไม่ เปิดเผย หรือพูดเรื่องของผู้มารับคำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องเก็บเป็นความลับและต้องเคารพความเป็น ส่วนตัวของผู้ที่ รับคำปรึกษาเสมอ เพราะเป็นการทำให้เกิดการไว้วางใจและรู้สึกปลอดภัยทางด้านจิตใจแก่ ผู้มารับคำปรึกษา ที่ ต้องมีกฎข้อนี้เพราะว่า จะทำให้ผู้รับคำปรึกษากล้าที่จะพูดเรื่องส่วนตัว และสามารถ ปลดปล่อยได้อย่างเต็มที่ ไม่ เกิดความกังวล 3. ไม่ปฏิเสธ ไม่ตำหนิ เมื่อมีผู้มาขอรับคำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาต้องแสดงให้ผู้มารับคำ ปรึกษา รับรู้ว่า เรายินดีที่จะรับฟังปัญหาของเขาและเชื่อในสิ่งที่เขาพูดอย่างตั้งใจ เมื่อฟังแล้วต้องไม่ตำหนิ หรือวิจารณ์ และ ไม่ปฏิเสธในสิ่งที่เขาเล่ามา ที่ต้องมีกฎข้อนี้เพราะว่า หากผู้รับคำปรึกษาถูกปฏิเสธ หรือ ถูกตำหนิเขาจะรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีความสำคัญ ทำให้ขาดความมั่นใจในตัวเอง 4. ไม่ให้คำแนะนำ ไม่ชี้ทางแก้ไข ผู้ให้คำปรึกษาเมื่อได้รับฟังปัญหาจากผู้มาขอคำปรึกษา แล้ว จะต้องไม่แสดงความคิดเห็นหรือแนะนำวิธีการแก้ปัญหา เพราะการแนะนำอาจจะไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้อง สำหรับคนที่มาขอคำปรึกษาเสมอไป เพราะผู้ที่จะเข้าใจปัญหานั้นได้ดีและจะแก้ปัญหานั้นได้ก็ต้องเป็นตัวของผู้รับ คำปรึกษาเอง โดยเราจะต้องเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนมีพลัง มีความสามารถที่จะแก้ปัญหาของตนเอง อย่างน้อยการ ที่เขาได้มีโอกาสระบายความรู้สึกที่เก็บกดออกมา ก็จะสามารถทำให้เขาได้เรียบเรียงปัญหาและเห็นปัญหาของเขา เอง และในเมื่อเขาเห็นชัดว่า ปัญหาของเขาคืออะไร ในที่สุดเขาก็จะสามารถแก้ไขปัญหานั้นได้และจะเป็นการเรียก ความเชื่อมั่นของตัวเองกลับคืนมาด้วย 3. กลวิธีการเรียนรู้แบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” กลวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นคู่หรือกลุ่มย่อย ให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้สอนและผู้เรียน เพื่อให้ ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบทเรียน ครูผู้สอนมีบทบาทหน้าที่เป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำ และจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน รูปแบบกลวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อน นักการศึกษาหลายท่านได้ประมวลการสอนที่มีแนวคิดจากกลวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อน ช่วยเพื่อนไว้มากมาย มีรายละเอียดดังนี้ 1. การสอนโดยเพื่อนร่วมชั้น (Class wide-Peer Tutoring) เป็นการสอนที่เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนทั้งสองคนที่จับคู่กันมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน โดยให้ผู้เรียนทั้งสองสลับบทบาทเป็นทั้งนักเรียนผู้สอน ที่คอยถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักเรียนผู้เรียน และนักเรียนผู้เรียนซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการสอน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 16 2. การสอนโดยเพื่อนต่างระดับชั้น (Cross-Age Peer Tutoring) เป็นการสอนที่มีการ จับคู่ระหว่างผู้เรียนที่มีระดับอายุแตกต่างกัน โดยให้ผู้เรียนที่มีระดับอายุสูงกว่าทำหน้าที่เป็นผู้สอนและให้ ความรู้ ซึ่งผู้เรียนทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องมีความสามารถทางการเรียนที่แตกต่างกันมาก 3. การสอนโดยการจับคู่ (One-to-One Tutoring) เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนที่มี ความสามารถทางการเรียนสูงกว่าเลือกจับคู่กับผู้เรียนที่มีความสามารถทางการเรียนต่ำกว่าด้วยความสมัครใจของ ตนเอง แล้วทำหน้าที่สอนในเรื่องที่ตนมีความสนใจ มีความถนัดและมีทักษะที่ดี 4. การสอนโดยบุคคลทางบ้าน (Home-Based Tutoring) เป็นการสอนที่ให้บุคคลที่ บ้านของผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสอน ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาความรู้ความสามารถแก่บุตรหลานของตน ระหว่างที่บุตรหลานอยู่ที่บ้าน หลักการใช้กลวิธีการเรียนรู้แบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” การให้เพื่อนช่วยเพื่อนจะมีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ควรดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. เพื่อนผู้สอนจะต้องมีทักษะที่จำเป็น เช่น ความเข้าใจในจุดประสงค์ของการสอนจำแนกได้ว่า คำตอบที่ ผิดและคำตอบที่ถูกต่างกันอย่างไร รู้จักการให้แรงเสริมแก่เพื่อนผู้เรียน รู้จักบันทึกความก้าวหน้า ในการเรียนของ เพื่อนผู้เรียน และมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนผู้เรียน 2. กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้ชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลทั้งสองช่วยกันบรรลุเป้าหมายในการเรียน 3. ครูเป็นผู้กำหนดขั้นตอนในการสอนให้ชัดเจนและให้เพื่อนผู้เรียนดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านั้น 4. สอนทีละขั้นหรือทีละแนวคิดจนกว่าเพื่อนผู้เรียนเข้าใจดีแล้ว จึงสอนขั้นต่อไป 5. ฝึกให้เพื่อนผู้สอนเข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของเพื่อนผู้เรียนด้วยว่า พฤติกรรมใดแสดงว่า เพื่อน ผู้เรียนไม่เข้าใจ ทั้งนี้จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง 6. เพื่อนผู้สอนควรบันทึกความก้าวหน้าในการเรียนของเพื่อนผู้เรียนตามจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมที่ กำหนดไว้ 7. ครูผู้ดูแลรับผิดชอบจะต้องติดตามผลการสอนของเพื่อนผู้สอนและการเรียนของเพื่อนผู้เรียน ด้วยว่า ดำเนินการไปในลักษณะใด มีปัญหาหรือไม่ 8. ครูให้แรงเสริมแก่ทั้ง 2 คนอย่างสม่ำเสมอ 9. ช่วงเวลาในการให้เพื่อนช่วยเพื่อนไม่ควรใช้เวลานานเกินไป งานวิจัยระบุว่าระยะเวลาที่มี ประสิทธิภาพ ในการให้เพื่อนช่วยเพื่อนในระดับชั้นประถมศึกษาอยู่ระหว่าง 15-30 นาที 10. เพื่อนผู้สอนมีการยกตัวอย่างประกอบการสอน จึงจะช่วยให้เพื่อนผู้เรียนเรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 17 ประโยชน์ของ “เพื่อนช่วยเพื่อน” 1. เป็นการเรียนลัดวิธีการเรียน การทำงานต่าง ๆ ที่เราอาจจะเคยทราบมาก่อน สิ่งเหล่านี้จะมา จาก ประสบการณ์ เทคนิควิธีต่าง ๆ ของคู่เพื่อนช่วยเพื่อนหรือทีมเพื่อนช่วยเพื่อน 2. เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ มุมมองความคิดต่าง ๆ ร่วมกันเพื่อช่วยกันพัฒนา ความรู้เดิม ที่มีอยู่ให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 3. สร้างความสัมพันธ์และความสามัคคี เพราะกระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อนต้องเกิดจากการ ทำงานเป็นคู่ หรือเป็นทีม ดังนั้นการมีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันย่อมทำให้เกิดผลการเรียนรู้ที่ดีตามมา


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 18 การจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI ) ความหมาย คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) หรือ CAI เป็นสื่อการเรียน การสอนที่ กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากสีสันที่สวยงามแล้ว ยังมีลักษณะการทำงานใน รูปแบบของสื่อ ประสม (Multimedia) คือใช้สื่อร่วมกันมากกว่า 1 ชนิด เช่น ตัวอักษร ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว ที่สำคัญคือ สามารถ โต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับ คอมพิวเตอร์ มีการประเมินผลเพื่อ สนองตอบให้กับผู้เรียนอย่างรวดเร็ว จึงเป็น เรื่องที่ไม่น่าแปลก ที่คอมพิวเตอร์ช่วยสอน จะเป็นที่นิยมอย่าง รวดเร็วในยุคการศึกษาไร้พรมแดน การจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่อาศัย คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ โดยจัด เนื้อหาสาระหรือ ประสบการณ์สำหรับให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ อาจจัดเป็นลักษณะบทเรียนหน่วยการเรียนหรือ โปรแกรมการเรียน ฯลฯ ลักษณะของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการเรียนการสอนแบบรายบุคคลที่นำเอาหลักการของบทเรียน โปรแกรมและ เครื่องช่วยสอนมาผสมผสานกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะตอบสนองในเรื่องความแตกต่าง ระหว่างบุคคลของผู้เรียน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเป็นรายบุคคล องค์ประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 1. เสนอสิ่งเร้าให้กับผู้เรียน ได้แก่ เนื้อหา ภาพนิ่ง คำถาม ภาพเคลื่อนไหว 2. ประเมินการตอบสนองของผู้เรียน ได้แก่ การตัดสินค้าตอบ 3. ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการเสริมแรง ได้แก่ การให้รางวัล หรือ คะแนน 4. ให้ผู้เรียนเลือกสิ่งเร้าในลำดับต่อไป ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ บุญเกื้อ ควรหาเวช (2543 : 70 - 71) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ไว้ ดัง 1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นตอนนี้จะเริ่มตั้งแต่การทักทายผู้เรียน บอกวิธีการเรียนและบอกจุดประสงค์ของการเรียน เพื่อที่จะให้ ผู้เรียนได้ทราบว่าเมื่อเรียนจบบทเรียนนี้แล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง คอมพิวเตอร์ช่วย สอนสามารถเสนอ วิธีการในรูปแบบที่น่าสนใจได้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภาพเคลื่อนไหว เสียงหรือ ผสมผสานหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 19 เพื่อเร้าความสนใจของผู้เรียน ให้มุ่งความสนใจเข้าสู่บทเรียน บาง โปรแกรมอาจจะมีแบบทดสอบวัดความพร้อม ของผู้เรียนก่อนหรือมีรายการ ( Menu) เพื่อให้ผู้เรียนเลือก เรียนได้ตามความสนใจ และผู้เรียนสามารถจัดลำดับ การเรียนก่อนหลังได้ด้วยตนเอง 2. ขั้นการเสนอเนื้อหา เมื่อผู้เรียนเลือกเรียนในเรื่องใดแล้ว คอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะเสนอเนื้อหานั้นออกมาเป็น กรอบ ๆ ( Frame ) ในรูปแบบที่เป็น ตัวอักษร ภาพ เสียง ภาพกราฟฟิกและภาพเคลื่อนไหว เพื่อเร้าความสนใจในการเรียน และสร้างความเข้าใจในความคิดรวบยอดต่าง ๆ แต่ละกรอบ หรือเสนอเนื้อหา เรียงลำดับไปทีละอย่างทีละประเด็น โดยเริ่มจากง่ายไปหายาก ผู้เรียนจะควบคุมความเร็วในการเรียน ด้วยตนเอง เพื่อที่จะให้ได้เรียนรู้ได้มากที่สุด ตาม ความสามารถ และมีการชี้แนะหรือการจัดเนื้อหา สำหรับการช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรียนที่ดีขึ้น 3. ขั้นคำถามและคำตอบ หลังจากเสนอเนื้อหาของบทเรียนไปแล้ว เพื่อที่จะวัดผู้เรียนว่ามีความรู้ความเข้าใจเนื้อหาที่ เรียนผ่าน มาแล้วเพียงใดก็จะมีการทบทวนโดยการให้ทำแบบฝึกหัด และช่วยเพิ่มพูนความรู้ความชำนาญ เช่น ให้ทำ แบบฝึกหัดชนิดคำถาม แบบเลือกตอบ แบบถูกผิด แบบจับคู่และแบบเติมคำ เป็นต้น ซึ่งคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สามารถเสนอแบบฝึกหัดแก่ผู้เรียนได้น่าสนใจมากกว่าแบบทดสอบธรรมดาและ ผู้เรียนตอบคำถามผ่านทาง แป้นพิมพ์หรือเมาท์ ( Mouse) นอกจากนี้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนยังสามารถ จับเวลาในการตอบคำถามของผู้เรียน ได้ด้วย ถ้าผู้เรียนไม่สามารถตอบคำถามได้ในเวลาที่กำหนดไว้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะเสนอความช่วยเหลือให้ 4. ขั้นการตรวจคำตอบ เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้รับคำตอบจากผู้เรียนแล้ว คอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะ ตรวจคำตอบและ แจ้งผลให้ผู้เรียนได้ทราบ การแจ้งผลอาจแจ้งเป็นแบบข้อความ กราฟฟิกหรือเสียง ถ้า ผู้เรียนตอบถูกก็จะได้รับการ เสริมแรง (Reinforcement) เช่น การให้คำชมเชย เสียงเพลง หรือให้ ภาพกราฟฟิกสวย ๆ และถ้าผู้เรียนตอบผิด คอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็จะบอกใบ้ให้หรือให้การซ่อมเสริม เนื้อหาแล้วให้คำถามนั้นใหม่ เมื่อตอบได้ถูกต้อง จึงก้าว ไปสู่หัวเรื่องใหม่ต่อไป ซึ่งจะหมุนเวียนเป็นวงจร อยู่จนกว่าจะหมดบทเรียนในหน่วยนั้น ๆ 5. ขั้นการปิดบทเรียน เมื่อผู้เรียนเรียนจนจบบทเรียนแล้ว คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะทำการประเมินผล ผู้เรียนโดย การทำ แบบทดสอบ ซึ่งจุดเด่นของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คือ สามารถสุ่มข้อสอบออกมาจากคลังข้อสอบที่ได้สร้างไว้และ เสนอให้ผู้เรียนแต่ละคนโดยไม่เหมือนกัน จึงทำให้ผู้เรียนไม่สามารถจดจำคำตอบจากการที่ ทำในครั้งแรก ๆ นั้นได้ หรือแบบไม่รู้คำตอบนั้นมาก่อนเอามาใช้ประโยชน์ เมื่อทำแบบทดสอบนั้นเสร็จ แล้วผู้เรียนจะได้รับทราบคะแนน การทำแบบทดสอบของตนเองว่าผ่านตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่แรก อีกทั้งคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะบอกเวลาที่ ใช้ในการเรียนในหน่วยนั้น ๆ ได้ด้วย เป็นต้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 20 ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 1. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถของตนเอง โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 2. นักเรียนได้เรียนเป็นขั้นตอนจากง่ายไปหายากอย่างเป็นระบบ 3. มีความสะดวกในการทบทวนบทเรียน 4. ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลาเรียน นักเรียนสามารถศึกษาจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ขณะที่ อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่โรงเรียน 5. ลดเวลาในการเรียนการสอน เนื่องจากเป็นการเรียนการสอนแบบเอกัตบุคคล ซึ่งนักเรียน สามารถ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีการวัดผลและประเมินผลไปพร้อม ๆ กัน และยังช่วยนักเรียนที่มีปัญหาใน การเรียน โดยการ จัดโปรแกรมเสริมในส่วนที่เป็นปัญหาหรือใช้เสริมความรู้ให้กับนักเรียน ที่เรียนรู้ได้เร็ว โดยไม่ต้องคอยเพื่อนในชั้น เรียน 6. สร้างทัศนคติที่ดีให้แก่นักเรียน โดยนักเรียนต้องฝึกความรับผิดชอบต่อตนเอง ในการเรียนและ สร้าง ทัศนคติที่ดีในการเรียนด้วย 7. ทำในสิ่งที่สื่ออื่น ๆ ทำไม่ได้ เช่น การตัดสินใจเสนอเนื้อหาใหม่ ๆ หรือการตัดสินใจ เรียนซ้ำในเนื้อหา เดิม 8. ลดเวลาในการสอนของครู ในการเรียนวิชาที่มีการฝึกทักษะ ครูจะเสียเวลาในช่วงนี้มาก เพราะ แต่ละ คนมี ความสามารถแตกต่างกัน ครูสามารถให้นักเรียนแต่ละคนได้ฝึกทักษะจากคอมพิวเตอร์แทน 9. ทำให้ครูได้มีการพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ และมีการนำสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาใช้ใน การเรียน การสอนมากขึ้น 10. สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้เหมาะสม สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแม้จะมีประโยชน์หลาย ๆ ด้านก็ตาม แต่ในการนำเอาบทเรียน คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน มาใช้ในการ เรียนการสอนนั้น จะต้องคำนึงถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นด้วย เพราะคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไม่ สามารถ ที่จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นเพียงอุปกรณ์ชนิด หนึ่งที่ช่วยในการเรียนการสอน เท่านั้น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนให้มีประสิทธิภาพสูงนั้นจะต้องอาศัย บุคลากร ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะ ด้าน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 21 วิธีการสอนแบบสาธิต (Demonstration Method) ความหมาย การสาธิต หมายถึง การทำให้ดูเป็นตัวอย่าง หรือการแสดง หรือการกระทำสิ่งต่าง ๆ ให้ผู้เรียน วิธีการสอนแบบสาธิต หมายถึง วิธีสอนที่ครูมีหน้าที่ในการวางแผนการเรียนการสอนเป็นส่วน ใหญ่ โดยมี การแสดงหรือการกระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง นักเรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการสังเกต การฟัง การกระทำหรือการ แสดง แนวทางในการสาธิต 1.การสาธิตแบบบอกความรู้ เป็นการสาธิตที่แจ้งให้ผู้เรียนทราบก่อนการสาธิตว่าจะทำอะไรอย่างไรและจะ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วให้ผู้เรียนสังเกตการณ์สาธิต พร้อมอธิบายตามไปด้วย 2.การสาธิตแบบค้นพบความรู้ เป็นการสาธิตที่ผู้สาธิตหรือครูตั้งคำถามให้ผู้เรียนคาดคะเนคำตอบ เพื่อเป็น การเร้าความสนใจแล้วจึงให้ผู้เรียนคอยสังเกตจาการสาธิตว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อย่างไร ประเภทของการสาธิต ซันและโทรบริดจ์ (Sund and Throwbridge 1973 : 117-118) ได้แบ่งการสาธิตออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้ 1. ครูแสดงการสาธิตคนเดียว 2. ครูและนักเรียนร่วมกันสาธิต 3. กลุ่มนักเรียนเป็นผู้สาธิต 4. นักเรียนคนเดียวเป็นผู้สาธิต 5. วิทยากรเป็นผู้สาธิต 6. การสาธิตเงียบ เทคนิคการสาธิต การสาธิตในเรื่องทีแปลกใหม่ น่าสนใจ จะเน้นให้นักเรียนเห็นกระบวนการอย่างชัดเจน โดยมีส่วนร่วมใน การสาธิต ตั้งคำถาม ซึ่งช่วยในการสอนแบบสาธิตได้ผลดียิ่งขึ้นเทคนิคการสาธิตมีดังนี้ 1. เลือกสาธิตเรื่องที่สนใจและเป็นสิ่งทีแปลกใหม่สำหรับนักเรียน 2. ไม่ควรบอกผลการสาธิตให้นักเรียนทราบล่วงหน้า


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 22 3. พยายามให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการสังเกตซักถามและตอบคำถาม 4. ในระหว่างสาธิต ไม่ควรบรรยายมากเกินไป 5. ไม่ควรเร่งการสาธิต อาจทำให้นักเรียนตามไม่ทัน และไม่เข้าใจ 6. ควรให้เด็กทุกคนมองเห็นได้ทั่วถึง และครูควรเอาใจใส่ต่อผู้เรียนทุกคน 7. การสรุปผล ควรให้นักเรียนเป็นผู้สรุป 8. ต้องประเมินผลการสาธิตทุกครั้งว่าเด็กเข้าใจหรือไม่ จุดประสงค์ของวิธีการสอนแบบสาธิต 1. เพื่อกระตุ้นความสนใจให้นักเรียนมีความสนใจบทเรียนยิ่งขึ้น 2. เพื่อช่วยอธิบายเนื้อหาที่ยาก 3. เพื่อพัฒนาการฟังการสังเกตและการสรุปทำความเข้าใจ 4. เพื่อแสดงวิธีการหรือกลวิธีในการปฏิบัติงาน 5. เพื่อสรุปประเมินผลความเข้าใจฝนบทเรียน และทบทวนบทเรียน ขั้นตอนการสอนแบบสาธิต วิธีการสอนแบบสาธิตมีขั้นตอนการสอนดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการสาธิต เป็นขั้นตอนการทำการสาธิต ซึ่งครูควรเตรียมตัวดังนี้ 1.1 ศึกษาบทเรียนที่จะสาธิตให้เข้าใจแจ่มแจ้ง 1.2 เตรียมอุปกรณ์ที่จะสาธิตให้พร้อม 1.3 ทดลองการสาธิตดูก่อน 1.4 จัดชั้นเรียนให้เหมาะสมกับการสาธิตบทเรียน 1.5 เขียนแผนภูมิแสดงขั้นตอนของการสาธิตไว้ 2. ขั้นสาธิต เมื่อครูเข้าสู่ชั้นเรียนแล้ว จึงดำเนินการสอนตามลำดับดังนี้ 2.1 เร้าความสนใจของนักเรียน 2.2 ทำการสาธิตให้นักเรียนดู โดยยึดหลักในการสาธิตดังนี้ 2.2.1 สาธิตตามลำดับชั้น 2.2.2 สาธิตช้า ๆ พร้อมกับบรรยายเพื่อให้นักเรียนติดตามทัน 2.2.3 สาธิตเฉพาะเรียงบทเรียนนั้น ๆ 2.2.4 ให้นักเรียนเห็นทั่วถึง หรืออาจให้นักเรียนออกมาสังเกตสาธิตที่ละกลุ่ม 2.2.5 ครูคอยสังเกตความสนใจและความตั้งใจของนักเรียน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 23 2.2.6 ครูให้นักเรียนมาร่วมทำการสาธิตด้วยได้ 2.2.7 เน้นขั้นตอนสำคัญๆของการสาธิตและเขียนสรุปบนกระดานดำ 3. ขั้นสรุปและวัดผล 3.1 ให้นักเรียนร่วมกันเล่าสรุปเป็นตอนๆ 3.2 ให้นักเรียนทุกคนเขียนข้อสรุปส่งครูเพื่อให้คะแนน 3.3 ให้นักเรียนสาธิต เพื่อสังเกตดูว่านักเรียนทำได้และเข้าใจหรือยัง 3.4 ทดสอบ ข้อดีของการสอนแบบสาธิต 1. นักเรียนมองเห็นตัวอย่าง แบบอย่าง ขั้นตอน ของการปฏิบัติทำให้เข้าใจลึกซึ้งมีเหตุผล 2. ประหยัดเวลาของครูและนักเรียน เพราะเห็นตัวอย่างชัดเจน 3. ประหยัดวัสดุ 4. การสาธิตให้ดูแล้วปฏิบัติย่อมปลอดภัย ข้อจํากัด 1. การควบคุมชั้นเรียนอาจมีปัญหาเรื่องความสงบเรียบร้อยในชั้นเรียน 2. หากการเตรียมตัวไม่ดีพออาจเกิดอุบัติเหตุหรือผิดพลาด 3. หากการสาธิตไม่เป็นไปตามขั้นตอนอาจทำให้เสียเวลามาก


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 24 การจัดการศึกษาแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ความหมาย Flipped Classroom หรือ การเรียนแบบ “พลิกกลับ” คือ วิธีการเรียนแนวใหม่ ฉีกตำรา การสอน แบบเดิม ๆ ไปโดยสิ้นเชิงและกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกปัจจุบันที่ “การศึกษา” และ “เทคโนโลยี” แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน Flipped Classroom เป็นการเรียนแบบ “กลับหัวกลับหาง” หรือ “พลิกกลับ” โดยเปลี่ยนรูปแบบวิธีการสอนจากแบบเดิมที่เริ่มจากครูผู้สอนในห้องเรียน นักเรียนกลับไปทำ การบ้านส่ง เปลี่ยนเป็นนักเรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ผ่าน “เทคโนโลยี” ที่ ครูจัดหาให้ก่อนเข้าชั้น เรียน และมาทำกิจกรรม โดยมีครูคอยแนะนำในชั้นเรียนแทน จุดเริ่มต้น แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบกลับด้านชั้นเรียน เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2007 เมื่อครูระดับมัธยมศึกษา สอนวิชา เคมี 2 คน คือ Jonathan Bergmann และ Aron Sams พยายามหาแนวทางในการช่วยนักเรียน ซึ่งมีความ จำเป็นต้องขาดเรียนบ่อยครั้ง เนื่องจากต้องเข้าแข่งขันกีฬา หรือร่วมกิจกรรมต่าง ๆ จนทำให้ เรียนไม่ทันเพื่อน โดย แนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เกิดจากข้อสังเกต 2 ประการ ดังนี้ 1. เวลาที่นักเรียนต้องการพบครูจริง ๆ คือ เวลาที่เขาติดขัด หรือมีปัญหาต้องการความ ช่วยเหลือ เขา ไม่ได้ต้องการอยู่กับครูในชั้นเรียนตลอดเวลา เพื่อให้ครูคอยบอกเนื้อหาแก่เขา ซึ่งเขา สามารถศึกษาค้นคว้าด้วย ตนเองได้ 2. ถ้าครูบันทึกวิดีโอการสอน และให้นักเรียนดูวิดีโอเหล่านั้นเป็นการบ้าน แล้วใช้เวลาใน ชั่วโมงเรียน สำหรับชี้แนะ ช่วยเหลือนักเรียนให้เข้าใจแก่นแท้ของเนื้อหา หรือความรู้ที่สำคัญ จากข้อสังเกตและความต้องการที่จะช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหา รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าของ สื่อ เทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน รวมถึงเว็บไซต์ YouTube อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ จึงนำไปสู่แนวคิดการ ปรับการ เรียนการสอนแบบกลับด้านชั้นเรียน การจัดการเรียนการสอนแบบกลับด้านชั้นเรียน (The Flipped Classroom) ลักษณะสำคัญของการกลับด้านชั้นเรียน 1. การปรับรูปแบบการเรียนการสอน จากเต็มสิ่งที่ทำในชั้นเรียนเอาไปทำที่บ้าน และสิ่งที่ มอบหมายไป ทำที่บ้านมาทำในชั้นเรียน กล่าวคือ ในการเรียนการสอนรูปแบบเดิมนั้น ครูเป็นผู้บรรยาย เนื้อหาต่าง ๆ ในชั้นเรียน แล้วมอบหมายงานให้นักเรียนนำกลับไปทำเป็นการบ้าน ในขณะที่ทำการบ้าน นั้นนักเรียนอาจจะมีข้อสงสัย ไม่


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 25 เข้าใจ แต่ไม่มีคนตอบข้อสงสัย หรือคอยให้คำแนะนำช่วยเหลือ จึงไม่สามารถทำการบ้านได้ ในการกลับด้านชั้น เรียนนั้น การบรรยายของครูจะถูกบันทึกเป็นวิดีโอเพื่อให้ นักเรียนได้นำไปดูล่วงหน้าที่บ้านตอนกลางคืน เมื่อมาเข้า ชั้นเรียนในวันรุ่งขึ้นนักเรียนจะซักถามประเด็น ข้อสงสัยต่าง ๆ จากการดูวิดีโอ จากนั้นก็จะทำงานที่ได้รับ มอบหมายเป็นรายบุคคลหรือกลุ่ม โดยมีครูคอย ให้คำแนะนำช่วยเหลือ และตอบข้อสงสัยในระหว่างทำงานนั้น 2. การปรับจุดเน้นความสำคัญของการเรียนการสอน เป็นการกลับมุมมองจากการให้บทบาทและ ความสำคัญที่ครูผู้สอนไปให้ความสำคัญต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน การปรับรูปแบบการเรียนการสอนนี้จะ ทำให้ บทบาทและความสำคัญในชั้นเรียนเปลี่ยนไปจากครูและการบรรยายของครูเป็นการเรียนรู้ของ นักเรียน โดยมีครู เป็นผู้คอยช่วยเหลือ แนะนำให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมและการทำงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิด การเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ ที่บ้าน (กลางคืน) ในชั้นเรียน (กลางวัน) นักเรียน ดูวิดีโอ / ตั้งคำถาม นักเรียน: ถามในสิ่งที่สงสัยจากวิดีโอ : ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ ครู : คอยช่วยเหลือ แนะนำ การใช้เวลาในชั้นเรียน ตารางเปรียบเทียบเวลาที่ใช้ในชั้นเรียน ระหว่างการเรียนแบบเดิม กับ การเรียนแบบกลับด้านชั้นเรียน การเรียนกานสอนแบบเดิม กลับด้านชั้นเรียน กิจกรรม เวลา กิจกรรม เวลา การนำเข้าสู่บทเรียน (Warm-up) 5 นาที การนำเข้าสู่บทเรียน (Warm-up) 5 นาที ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการบ้านที่นักเรียน ได้รับมอบหมาย 20 นาที ถาม-ตอบ เกี่ยวกับวิดีโอที่นักเรียนไปดู 10 นาที บรรยายเนื้อหาใหม่ 30-45 นาที ช่วยเหลือนักเรียนทำงาน/กิจกรรมการ เรียนรู้ต่างๆ 75 นาที ช่วยเหลือนักเรียนทำงาน/กิจกรรมการ เรียนรู้ต่างๆ 20-35 นาที สื่อการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนที่สำคัญที่ใช้ในการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน คือ การบันทึก วิดีโอการ บรรยายของครู ซึ่งครูผู้สอนจะจัดทำเองหรือใช้วิดีโอของผู้อื่นที่ทำไว้แล้ว


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 26 โอกาสในการเข้าถึงสื่อของนักเรียน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงการเรียนการสอนแบบกลับด้านชั้นเรียน คือ ผู้เรียนต้องมีโอกาสอย่างสม่ำเสมอ และ เท่าเทียมกันในการดูวิดีโอ โจนาธานและแอรอน ได้จัดเตรียมวิดีโอไว้ในหลาย ๆ ลักษณะ เพื่อให้ นักเรียนมี ทางเลือก เช่น - ใส่ไว้บนเว็บไซต์ - Server ของโรงเรียน นักเรียนนำ Flash Drive มาบันทึกข้อมูลไปดูกับเครื่องเล่น หรือ คอมพิวเตอร์ - แผ่น VDO การตรวจสอบการดูวิดีโอของนักเรียน 1. จดโน้ต : จดบนกระดาษ โพสต์ข้อความในบล็อกหรือส่งอีเมลล์ 2. ตั้งคำถาม : เป็นคำถามที่สงสัยจากการดูวิดีโอ เพื่อมาถามครูในขั้นเรียน การกลับด้านชั้นเรียนตามศักยภาพของผู้เรียน (Flipped Mastery Classroom) การกลับด้านชั้นเรียนในระยะเริ่มแรกนั้น แม้จะมีความยืดหยุ่น และยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มากกว่าการ เรียนการสอนรูปแบบเดิม แต่ก็ยังมีลักษณะการให้ผู้เรียนทุกคนเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน ตามที่ หลักสูตรกำหนด ไม่ว่า ผู้เรียนนั้นจะมีความพร้อมหรือไม่ กล่าวคือทุกคนได้รับมอบหมายให้ดูวิดีโอเรื่อง เดียวกัน ในคืนเดียวกัน เมื่อมาถึง ชั้นเรียนในวันรุ่งขึ้น จะต้องทำกิจกรรมแบบเดียวกัน ปฏิบัติการ ทดลองเหมือนกัน เมื่อถึงเวลาสอบทุกคนเข้าสอบ วัน เวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้ผู้เรียนจำนวนไม่น้อยที่เกิด ปัญหาในการเรียนรู้ ด้วยเหตุดังกล่าว จึงได้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบกลับด้านชั้น เรียนตาม ศักยภาพของผู้เรียน ซึ่งนักเรียนสามรถดูวิดีโอเรื่องต่าง ๆ ตามช่วงเวลาหรือลำดับที่เป็นไปตาม ศักยภาพของตนเอง แต่ละคนอยู่ในจุดการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป ไม่จำเป็นต้องไปถึงสิ่งที่หลักสูตร กำหนดพร้อม ๆ กัน กิจกรรมใน ชั้นเรียนจึงไม่จัดไว้เป็นลำดับที่ตายตัว นักเรียนทำกิจกรรมที่หลากหลาย ช้าเร็วแตกต่างกันออกไป โดยใช้สื่อนานา ชนิดในการเรียนรู้ บางคนทำการทดลอง บางคนสืบค้นข้อมูล บางคนค้นคว้าออนไลน์ บางคนทำงานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ บางคนทำงานตามลำพัง ครูจะคอยดูแลช่วยเหลือแต่จะไม่เป็นผู้ควบคุมกระบวนการเรียนรู้ นักเรียนต้องรับผิดชอบ ในการเรียนรู้เป็นของตนเอง ทั้งนี้ครูผู้สอนต้องศึกษาและมีความเข้าใจองค์ประกอบของการกลับด้านชั้นเรียนตาม ศักยภาพ ดังนี้ 1. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ชัดเจน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 27 2. พิจารณาว่าจุดประสงค์ใดผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ค้นคว้าหาคำตอบ (Inquiry) ด้วยตนเองได้ และ จุดประสงค์ได้ที่ครูต้องสอนโดยตรง (Direct instruction) 3. ต้องแน่ใจว่านักเรียนเข้าถึงวิดีโอ หรือสื่อ 4. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมในชั้นเรียน 5. จัดทำแบบทดสอบหลายๆ ชุด หลายลักษณะ เพื่อประเมินผู้เรียน การวัดผลและประเมินผล การวัดผลและประเมินผลภายใต้รูปแบบกลับด้านชั้นเรียนนั้น มีทั้งการประเมินเพื่อพัฒนา (Formative assessment) เพื่อพัฒนาและสร้างความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียน และการประเมินผลรวบ ยอด (Summative assessment) เพื่อตัดสินว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถบรรลุตามจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่เป็นเป้าหมายหรือไม่ 1. วัดผลและประเมินผลด้วยวิธีการที่หลากหลาย 2. วัดผลและประเมินผลได้ 3. ใช้เทคโนโลยีช่วยในการวัดผลและประเมินผล 4. ใช้ผลการประเมินเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ข้อดีของการกลับด้านชั้นเรียน 1. เหมาะสมกับผู้เรียนยุคปัจจุบัน นักเรียนในยุคนี้เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี Internet Facebook YouTube และแหล่ง สืบค้นข้อมูล ต่าง ๆ มากมาย จึงมีความคุ้นเคยและมีทักษะในการใช้สื่อเหล่านี้อย่างดี ดังนั้นควรใช้ เทคโนโลยีนี้มาใช้เป็น เครื่องมือในการเรียนรู้ 2. ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ นักเรียนเป็นผู้รับผิดชอบในการดูวิดีโอ ตั้งประเด็นคำถาม และร่วมกันทำงานที่ได้รับมอบหมาย ครู เพียงแต่คอยแนะนำช่วยเหลือนักเรียน 3. มีความยืดหยุ่น ช่วยนักเรียนที่มีภาระงานมาก นักเรียนบางคนมีภาระที่ต้องทำหลายอย่าง บางคนเรียนหนัก บางคนเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ วิธีการกลับ ด้านชั้นเรียนมีความยืดหยุ่น โดยเนื้อหาความรู้หลักๆ จะเรียนรู้ผ่านวิดีโอ ออนไลน์ ซึ่งสามารถเรียนล่วงหน้าหรือ ย้อนหลังได้ 4. ช่วยการเรียนรู้ของเด็กที่เรียนไม่เก่ง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 28 ในการเรียนการสอนแบบเดิม ๆ นั้น ครูมักสนใจแต่เด็กเก่งและฉลาด ซึ่งมักจะยกมือถามหรือ ตอบคำถาม ในชั้นเรียน นักเรียนที่เหลือก็จะนั่งเฉยๆ แต่ในการกลับด้านชั้นเรียน ครูจะเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียน เพื่อช่วยนักเรียน ที่มีปัญหา และเด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามในชั้นเรียนมากขึ้น 5. ปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนมีมากขึ้น ครูใช้เวลาพูดคุยกับนักเรียน ตอบคำถาม ร่วมทำงานกับกลุ่มย่อยและสนใจนักเรียนเป็น รายบุคคลมากขึ้น ในขณะที่นักเรียนก็ร่วมทำงานไปด้วย หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และช่วยเหลือกัน ในการเรียนรู้มากขึ้น สรุป การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบกลับด้านชั้นเรียน คือ “เรียนเนื้อหาที่บ้าน ทำการบ้านที่โรงเรียน” ปัญหา และข้อควรคำนึงสำหรับการจัดรูปแบบการเรียนการสอนแบบนี้ 1. ครูถ่ายวิดีโอ ทำสื่อเป็นหรือยัง 2. ครูนำวิดีโอ สื่อไปแขวนไว้บน Youtube ได้หรือไม่ 3. นักเรียนสามารถเข้าถึงสื่อได้มากน้อยแค่ไหน 4. ความรับผิดชอบ ความมีวินัย และความซื่อสัตย์ของนักเรียน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 29 การจัดการเรียนการสอนแบบบรรยาย (Lecture Method) ความหมาย การบรรยาย คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ กำหนด โดยการเตรียมเนื้อหาสาระ แล้วบรรยาย คือ พูด บอก เล่า อธิบายเนื้อหาสาระหรือสิ่งที่ต้องการ สอนแก่ผู้เรียน ให้ ผู้เรียนซักถามแล้วประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการอย่างใด อย่างหนึ่ง (ทิศนา แขมมณี, 2544, หน้า 13) การบรรยายเป็นวิธีถ่ายทอดความรู้ที่ใช้กันมานานในการเรียนการสอนใน ระดับอุดมศึกษาเนื่องจากเป็นวิธีที่ สะดวก สามารถสอนหรือบรรยายให้ผู้ฟังได้ทีละมาก ๆ โดยทั่วไปจะ ใช้ในกรณีที่ต้องการนำเสนอความรู้ครั้งละ มาก ๆ โดยใช้เวลาไม่มากนักจึงจัดเป็นวิธีสอนที่ประหยัดเวลา ในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี วิธีนี้จะเหมาะสม มากหากผู้บรรยายมีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ มีความรู้ในเนื้อหานั้นเป็นพิเศษ และต้องการให้ผู้ฟังได้ คำอธิบายขยายความ หรือแนวคิดที่แปลกใหม่ เป็นข้อมูลที่หาอ่านจากเอกสารทั่วไปไม่ได้ วัตถุประสงค์ 1. เพื่อผู้เรียนที่มีจำนวนมากได้เรียนเนื้อหาสาระความรู้ที่มีจำนวนมากในเวลาที่จำกัด 2. เพื่อให้ความรู้ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้เรียนซึ่งค้นหายากหรือเป็นประสบการณ์เฉพาะของผู้สอนเอง 3. เพื่อช่วยนำทางในการศึกษาด้วยตนเอง 4. เพื่อช่วยสรุปประเด็นสำคัญ องค์ประกอบของการสอน 1. มีเนื้อหาสาระ หรือ ข้อความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ 2. มีการบรรยาย (พูด บอก เล่า อธิบาย) 3. มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดจาการบรรยาย ความมุ่งหมายของวิธีสอนแบบบรรยาย 1. เป็นการสอนที่เน้นเนื้อหาสาระที่นำเสนอโดยครูผู้สอน ผู้บรรยายจะเสนอปัญหาวิธีการต่าง ๆ ในการ แก้ปัญหา และสรุปด้วยว่าวิธีการใดเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดตามหลักการ 2. เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้หลาย ๆ แนวคิดก่อนที่จะสรุปเป็นข้อคิดหรือทางเลือกที่เหมาะสม


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 30 ขั้นตอนการสอน 1. ขั้นเตรียมการสอบ ประกอบด้วย 1.1 วินิจฉัยผู้เรียน โดยพิจารณาถึงพื้นฐานความรู้ ประสบการณ์เดิม ความสามารถของผู้เรียนอาจใช้วิธี พูดคุย ซักถาม หรือแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการเตรียมเนื้อหาและวิธีการสอน 1.2 เตรียมเนื้อหา โดยพิจารณาถึงความละเอียด ลึกซึ้ง มากน้อย และตามลำดับของเนื้อหา ให้เหมาะสม กับเวลาและลักษณะของผู้เรียน 1.3 เตรียมคำถาม เพื่อใช้ถามผู้เรียนระหว่างการบรรยาย จะช่วยให้ผู้เรียนตื่นตัวและสนใจได้ดีขึ้น 1.4 เตรียมสื่อการเรียนการสอน โดยเตรียมสื่อให้พร้อมอยู่ในสภาพใช้การได้ดี อาจเป็น สไลด์ แผ่นใส ภาพ ฯลฯ จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น 1.5 ขั้นเตรียมการวัดและประเมินผล อาจจัดทำเป็นการทดสอบหลังเรียน เพื่อวัดดูว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ หรือมากน้อยเพียงไร 2. ขั้นสอน ประกอบด้วย 2.1 ชั้นนํา อาจใช้วิธี 1) ซักถามพูดคุยกับผู้เรียน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเรียน 2) ทบทวนการบรรยายในครั้งก่อนเพื่อเชื่อมโยงกับเรื่องใหม่ 2.2 ขั้นอธิบาย เป็นขั้นสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน ผู้สอนควรได้ดำเนินการ ดังนี้ 1) บอกโครงเรื่อง เครือข่ายของเนื้อหา และแจ้งจุดประสงค์ของบทเรียน 2) อธิบายให้ชัดเจนตามลำดับเนื้อหาอย่างต่อเนื่องกัน 3) สังเกตปฏิกิริยาตลอดเวลาเพื่อการหรือหยุดทบทวนใหม่ 4) ถามคำถามในบางตอนเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน 5) ยกตัวอย่างประกอบ เพื่อเพิ่มความแจ่มแจ้งในบทเรียน 6) ใช้น้ำเสียง บุคลิกภาพ ท่าทีการพูดอธิบาย การใช้ภาษา อารมณ์ขันที่เหมาะสม 2.3 ขั้นสรุป เป็นการปิดท้ายชั่วโมงการบรรยาย อาจใช้วิธี 1) สรุปโยงเนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบ 2) ตั้งปัญหาให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ 3) ฝากปัญหาให้ผู้เรียนไปคิดต่อ 4) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนใดซักถามปัญหา 5) มอบหมายงายให้ผู้เรียนไปค้นคว้าต่อเพิ่มเติม 6) บอกล่วงหน้าถึงเนื้อหาที่จะเรียนในครั้งต่อไป


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 31 3. ขั้นติดตามผล ประกอบด้วย 3.1 วัดและประเมินผลผู้เรียน โดยอาจใช้วิธี 1) ตรวจสมุดบันทึกที่ผู้เรียนจดบรรยาย 2) ถามคําถามในเนื้อหาที่บรรยาย 3) ให้ทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัดเพิ่มเติม 3.2 วัดผล ประเมินผลผู้สอน โดยอาจใช้วิธี 1) จัดทำแบบสอบถามให้ผู้เรียนได้ทราบความคิดเห็น เกี่ยวกับวิธีการสอน การอธิบาย การใช้ น้ำเสียง บุคลิกท่าทาง 2) ให้เพื่อนครูได้เข้าสังเกตการณ์สอน แล้วให้ข้อเสนอแนะเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการสอบ 3) บันทึกการบินยายของตนแล้วนำไปพิจารณา ประเมิน ข้อดีของการสอนแบบบรรยาย 1. ประหยัดเวลา เพราะสามารถใช้กับผู้เรียนได้จำนวนมาก 2. ผู้สอนสามารถนำความรู้ที่เป็นจุดเด่นจากตำราหลาย ๆ เล่มมาประมวลบูรณาการไว้ด้วยกันใน การบรรยาย 3. สำหรับเนื้อหายุ่งยากและซับซ้อน ผู้เรียนได้ฟังบรรยายแล้วจะเข้าใจง่ายกว่าไปศึกษา ค้นคว้า ด้วยตนเอง ซึ่งต้องใช้เวลานานมากกว่า และอาจไม่เข้าใจ 4. ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็นหรือข้อชี้แนะจากผู้สอนที่มีความรู้ และประสบการณ์มากกว่า ทำให้ เกิดแรงจูงใจที่จะเรียนดีขึ้น 5. ดาเนินการสอนได้รวดเร็ว 6. ผู้เรียนไม่ต้องทำงานมาก รับรู้เรื่องราวได้โดยตรง 7. เหมาะสมกับเนื้อหาที่มีความยุ่งยาก ซับซ้อน 8. ฟังการบรรยายก็เข้าใจง่ายกว่าค้นหาเอง ข้อเสียของการสอนแบบบรรยาย 1. ถ้าใช้บ่อย ๆ โดยไม่พิจารณาความเหมาะสม อาจทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่าย เพราะผู้เรียนมีส่วน ร่วมใน กิจกรรมการเรียนการสอนด้วย 2. ไม่เอื้อต่อการคิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์ซึ่งเป็นความสามารถทางปัญญาชั้นสูง 3. ไม่ค่อยเกิดการพัฒนาด้านเจตคติและทักษะพิสัย 4. เป็นการสอนที่เน้นครูหรือผู้สอนเป็นศูนย์กลาง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 32 5. ความรู้ที่ได้รับจากการฟังเพียงอย่างเดียวอาจลืมง่าย เป็นความทรงจำที่ไม่ถาวร 6. ผู้สอนต้องรู้จักการสร้างบรรยากาศด้วยวาทศิลป์ เพื่อมิให้ผู้ฟังสูญเสียความสนใจ 7. ครูควรแสดงท่าทางประกอบการเคลื่อนไหวบ้างพอสมควรอย่าให้มากเกินไป 8. ครูควรบรรยายจากข้อมูลไปหาข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาทางด้านความคิดเป็นอย่าง มาก 9. ควรมีการซักถามเด็กบ้างระหว่างที่บรรยายเช่น ให้ช่วยออกความคิดเห็นต่าง ๆ เป็นต้น 10. เสียงดังชัดเจนมีการเน้นสูงต่ำเป็นจังหวะ 11. ใช้ภาษาและคำพูดง่าย ๆ ให้เด็กฟังแล้วเข้าใจ 12. ครูควรใช้รูปภาพหรือวัสดุอื่นประกอบคำอธิบาย 13. เป็นวิธีการสอนผู้เรียนมีบทบาทน้อยจึงทำให้ผู้เรียนขาดความสนใจในการบรรยาย 14. เป็นวิธีการสอนที่ไม่สามารถสนองตอบความต้องการและความแตกต่างระหว่างบุคคล


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 33 การจัดการเรียนการสอนแบบระดมพลังสมอง ( Brainstorming ) ความหมาย วิธีสอนที่ใช้ในการอภิปรายโดยทันที ไม่มีใครกระตุ้นกลุ่มผู้เรียนเพื่อหาคำตอบหรือทางเลือก สำหรับ ปัญหาที่กำหนดอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้นโดยในขณะนั้นจะไม่มีการตัดสินว่า คำตอบหรือ ทางเลือกได้ดีหรือไม่ อย่างไร แนวทางการระดมสมองที่ดี 1. เปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคน ได้แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ 2. รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3. เน้นให้มีปริมาณของความคิดเห็นให้ออกมายิ่งมากยิ่งดี โดยที่ยังไม่ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและเหตุผล (Free Thinking) 4. พยายามให้สมาชิกมีแนวความคิดออกมาหลากหลาย 5. ไม่ควรมีการวิพากษ์วิจารณ์ข้อดีข้อด้อยของความคิดเห็นที่ถูกเสนอขึ้นมาในระหว่างที่มีการแสดงความ คิดเห็น ลักษณะสำคัญ ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ช่วยกันคิดหาคำตอบหรือทางเลือกสำหรับปัญหาที่กำหนดให้มากที่สุด และเร็ว ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วช่วยกันพิจารณาเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งทาง การระดมพลังสมอง มี 2 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 ระดมหามากที่สุด ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูกำหนดประเด็นหรือให้นักเรียนเป็นผู้กำหนดประเด็นขึ้นมา เช่น ผ้าขาวม้า 2. ให้นักเรียนเขียนอะไรก็ได้เกี่ยวกับประเด็นที่กำหนดให้มากที่สุดในเวลา ที่กำหนด เช่น เขียนประโยชน์ของผ้าขาวม้า 3. นักเรียนนำเสนอความคิดของสิ่งที่ได้เขียนขึ้น 4. เปิดโอกาสให้มีการพิจารณาความถูกต้องหรือความเป็นไปได้ของความคิดแต่ละ อย่างที่แต่ละคน หรือกลุ่มได้นำเสนอ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 34 5. นักเรียนสรุปผลที่ได้จากการระดมความคิด รูปแบบที่ 2 ระดมหาที่สุด การระดมหาที่สุด เป็นการระดมเพื่อหาแนวทางหรือวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อการแก้ปัญหา หรือเพื่อการ ตัดสินใจกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง การระดมพลังสมองเพื่อหาที่สุดจะมี 3 ขั้นตอน คือ 1. ระดมความคิด 2. กลั่นกรองความคิด 3. สรุปความคิดที่เหมาะสม ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูกำหนดประเด็นปัญหา หรือเหตุการณ์ที่ท้าทาย หรือเป็นเหตุการณ์ที่จำเป็นเร่งด่วน “เราจะ แก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครได้อย่างไร” 2. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 6 – 8 คน 3. นักเรียนร่วมกันระดมความคิด หาวิธีการในการแก้ปัญหา หรือวิธีการที่จะนำมาใช้ในการตัดสินใจ 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันพิจารณากลั่นกรองประเด็นข้อเสนอของสมาชิก และคัดเลือก ประเด็นที่ เป็นไปได้ และมีความเหมาะสม 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายในประเด็นที่ได้คัดเลือกไว้โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมกับสภาพ 6 . นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปประเด็น หรือ วิธีการที่กลุ่มจะนำไปดำเนินการ 1-2 ประเด็น 7. กลุ่มนำวิธีการที่ได้จากข้อสรุปไปวางแผนกำหนดขั้นตอนการดำเนินการต่อไป ประโยชน์ของการระดมพลังสมอง 1. ให้โอกาสแสดงความคิดเห็นในปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ต้องคอยไตร่ตรอง ไม่มีข้อจำกัดหรือ การกีดกันใด ๆ ทั้งสิ้น ๆ 2. ได้รับความเห็นหลาย ๆ ด้าน ทำให้กลุ่มมีโอกาสในการพิจารณาเลือกหลายสิ่ง ไม่จำเพาะ เจาะจงอยู่ใน ความคิดเดียวตลอดไป 3. สร้างกลุ่มให้เกิดความคิดใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์และสามารถนำไปใช้เพื่อความก้าวหน้า ของกลุ่ม 4. เป็นวิธีที่ให้โอกาสแก่ทุกคนเสนอความคิดเห็นได้ ซึ่งจะช่วยสร้างให้กลุ่มเกิดมีคุณธรรมและ เกิดความรัก หมู่คณะขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 35 ข้อดีและข้อจำกัด ข้อดี 1. บวนการแก้ปัญหาและมีคุณค่ามากที่จะใช้เพื่อแก้ปัญหาหนึ่ง 2. ก่อให้เกิดแรงจูงใจในตัวผู้เรียนสูง และฝึกการยอมรับความเห็นที่แตกต่างกัน 3. ได้คำตอบหรือทางเลือกได้มาก ภายในเวลาอันสั้น 4. ส่งเสริมการร่วมมือกัน 5. ประหยัดค่าใช้จ่ายและการจัดหาสื่อเพิ่มเติมอื่น ข้อจํากัด 1. ประเมินผลผู้เรียนแต่ละคนได้ยาก 2. อาจมีนักเรียนส่วนน้อยเพียงไม่กี่คนครอบครองการอภิปรายส่วนใหญ่ 3. เสียงมักจะดังรบกวนห้องเรียนข้างเคียง 4. ถ้าผู้จดบันทึกทำงานได้ช้า การคิดอย่างอิสระก็จะช้าและจำกัดตามไปด้วย 5. หัวเรื่องต้องชัดเจนรัดกุม และมีประธานที่มีความสามารถในการดำเนินการ และสรุป การอภิปราย ทั้งในกลุ่มย่อย และรวมทั้งขั้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 36 วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง (Case Method) ปัจจุบันการนำเสนอกรณีตัวอย่างให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด ได้ตอบคำถามและอภิปรายร่วมกัน จัดเป็น วิธีการสอนได้ที่ผู้สอนนำมาใช้มากพอสมควร เพราะเป็นวิธีการที่ทำให้ผู้เรียนสามารถแสดงความ คิดเห็นในเรื่อง ต่าง ๆ ได้เต็มที่ เพราะคำตอบที่ได้จะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุด ผู้เรียนจึงมีโอกาสใช้ ความคิดในการวิเคราะห์ แก้ปัญหา ในเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้สอนได้กำหนด ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ความเข้าใจการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่างให้มากขึ้น ในบทนี้กล่าวถึงรายละเอียดของวิธี สอนโดยใช้ กรณีตัวอย่าง ซึ่งประกอบไปด้วย ความหมาย วัตถุประสงค์ องค์ประกอบ ขั้นตอนที่สำคัญใน การสอน เทคนิค ข้อเสนอแนะของการสอน และข้อดี ข้อจำกัดของการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง พร้อม ด้วยสรุปท้ายบท กิจกรรม และคำถามของการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่างด้วย ความหมาย ทิศนา แขมมณี (2550 : 362) อธิบายว่า วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง คือกระบวนการที่ผู้สอนใช้ ในการ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยให้ผู้เรียนศึกษาเรื่องที่สมมติขึ้นจาก ความเป็นจริงและ ตอบประเด็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น แล้วนำคำตอบและเหตุผลที่มาของคำตอบนั้นมา ใช้เป็นข้อมูลในการอภิปราย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์ของการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนฝึกฝนการเผชิญและแก้ปัญหาโดยไม่ต้อง รอให้ เกิดปัญหาจริง เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์ และเรียนรู้ความคิดของผู้อื่น ช่วยให้ ผู้เรียนมีมุมมองที่ กว้างขึ้น (ทิศนา แขมมณี, 2550 : 362) องค์ประกอบของการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง ทิศนา แขมมณี (2550 : 362) กล่าวว่า องค์ประกอบที่สำคัญของการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง มีดังนี้ 1. มีผู้สอนและผู้เรียน 2. มีกรณีเรื่องที่คล้ายกับเหตุการณ์จริง 3. มีประเด็นคำถามให้คิดพิจารณาหาค่าตอบ 4. มีคำตอบที่หลากหลาย คำตอบไม่มีถูกผิดอย่างชัดเจนหรือแน่นอน 5. มีการอภิปรายเกี่ยวกับสภาพการณ์ ปัญหา มุมมอง และวิธีการแก้ปัญหาของผู้เรียน และสรุป


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 37 การเรียนรู้ที่ได้รับ 6. มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ขั้นตอนของการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง ทิศนา แขมมณี (2550 : 362-363) กล่าวถึงขั้นตอนของการโดยใช้กรณีตัวอย่าง มีดังนี้ 1. ผู้สอน ผู้เรียนนำเสนอกรณีตัวอย่าง 2. ผู้เรียนศึกษากรณีตัวอย่าง 3. ผู้เรียนอภิปรายประเด็นคำถามเพื่อหาคำตอบ 4. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายคำตอบ 5. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาและวิธีแก้ปัญหาของผู้เรียน และสรุปการเรียนรู้ที่ ได้รับ 6. ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้กรณีตัวอย่างให้มีประสิทธิภาพ ๆ (ทิศนา แขมมณี, 2550: 363) 1. การเตรียมการ ก่อนการสอนผู้สอนจำเป็นต้องเตรียมกรณีตัวอย่างให้พร้อม กรณีตัวอย่างที่เหมาะสม จะต้องมีสาระซึ่งจะช่วยทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ มีลักษณะใกล้เคียงกับความเป็นจริง กรณีที่ นำมาใช้ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องที่มีสถานการณ์ปัญหาขัดแย้ง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความคิดของผู้เรียน หากไม่มี สถานการณ์ที่เป็นปัญหาขัดแย้ง ผู้สอนอาจใช้วิธีการตั้งประเด็นคำถามที่ท้าทายให้ ผู้เรียนคิดก็ได้ ผู้สอนอาจนำเรื่อง จริงมาเขียนเป็นกรณีตัวอย่างหรืออาจใช้เรื่องจากหนังสือพิมพ์ ข่าว และ เหตุการณ์รวมทั้งจากสื่อต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดีทัศน์ เป็นต้น เมื่อได้กรณีที่ต้องการแล้วผู้สอน จะต้องเตรียมประเด็นคำถามสำหรับการ อภิปรายเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ที่ต้องการ 2. การนำเสนอกรณีตัวอย่าง ผู้สอนอาจเป็นผู้นำเสนอกรณีตัวอย่าง หรืออาจใช้เรื่องจริงจาก ผู้เรียนเป็น กรณีตัวอย่างก็ได้ (แต่ครูต้องมีความชำนาญในการวิเคราะห์กรณีตัวอย่างนั้น และตั้งประเด็น คำถามได้เร็ว) วิธีการ นำเสนอทำได้หลายวิธี เช่น การพิมพ์เป็นข้อมูลมาให้ผู้เรียนอ่าน การเล่ากรณี ตัวอย่างให้ฟัง หรือนำเสนอโดยใช้สื่อ เช่น สไลด์ วีดิทัศน์ ภาพยนตร์ หรืออาจให้ผู้เรียนแสดงเป็นละคร หรือบทบาทสมมติก็ได้ 3. การศึกษากรณีตัวอย่างและการอภิปราย ผู้สอนควรแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยและให้เวลา อย่างเพียงพอ ในการศึกษากรณีตัวอย่าง และคิดหาคำตอบ ไม่ควรให้ผู้เรียนตอนประเด็นคำถามทันที ผู้เรียนแต่ละคนควรมี คำตอบของตนเตรียมไว้ก่อน แล้วจึงร่วมกันอภิปรายเป็นกลุ่ม และนำเสนอผลการ อภิปรายระหว่างกลุ่ม เป็นการ แลกเปลี่ยนกันผู้สอนพึงตระหนักว่าการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่างนี้ มิได้มุ่งที่ ความถูกต้องของคำตอบ คำถาม


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 38 สำหรับการอภิปรายนี้ ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิดอย่างชัดเจนแน่นอน แต่ ต้องการให้ผู้เรียนเห็นคำตอบและเหตุผลที่ หลากหลาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีความคิดที่กว้างขึ้น มองปัญหาในแง่มุมที่หลากหลายขึ้น อันจะช่วยให้การ ตัดสินใจมีความรอบคอบขึ้น ด้วยเหตุนี้การอภิปรายจึงควรมุ่ง ความสนใจไปที่เหตุผลหรือที่มาที่ผู้เรียนใช้ในการ แก้ปัญหาเป็นสำคัญ ข้อดีและข้อจํากัดของการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง ทิศนา แขมมณี (2550: 364) กล่าวถึงข้อดีและข้อจำกัดของการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่างไว้ ดังนี้ ข้อดี 1) เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ การคิดแก้ปัญหา ช่วยให้ผู้เรียนมีมุมมองที่กว้างขึ้น 2) เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียน ได้เผชิญปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริงและได้ฝึกแก้ปัญหา โดยไม่ต้องเสี่ยงกับผลที่จะเกิดขึ้น ช่วยให้เกิดความพร้อมที่จะแก้ปัญหา เมื่อเผชิญปัญหานั้น ในสถานการณ์จริง 3) เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนสูง ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและ ส่งเสริมการเรียนรู้จากกันและกัน 4) เป็นวิธีสอนที่ให้ผลดีมากสำหรับกลุ่มผู้เรียนที่มีความรู้และประสบการณ์หลากหลายสาขา ข้อจํากัด 1) หากกลุ่มผู้เรียนมีความรู้และประสบการณ์ไม่แตกต่างกัน การเรียนรู้อาจไม่กว้าง เท่าที่ควร เพราะผู้เรียนมักมีมุมมองคล้ายกัน 2) หากกลุ่มผู้เรียนมีความรู้และประสบการณ์ไม่แตกต่างกัน การเรียนรู้อาจไม่กว้าง เท่าที่ควร เพราะผู้เรียนมักมีมุมมองคล้ายกัน 3) แม้ปัญหาและสถานการณ์จะใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ กับ ผู้เรียน ความคิดในการแก้ปัญหาจึงมักเป็นไปตามเหตุผลที่ถูกที่ควร ซึ่งอาจไม่ตรงกับการปฏิบัติจริง ได้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 39 การเรียนรู้แบบลงมือทำ(ปฏิบัติ) (Active Learning) ความหมาย Active Learning คือกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำและได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับ สิ่งที่เขาได้กระทำลงไป (Bonwell, 1991) เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้สมมติฐานพื้นฐาน 2 ประการคือ 1) การเรียนรู้เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์, และ 2) แต่ละบุคคลมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน (Meyers and Jones, 1993) โดยผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้(receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการ สร้างความรู้(co-creators) กระบวนการเรียนรู้ Active Learning กระบวนการเรียนรู้ Active Learning ทำให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มากและนาน กว่ากระบวนการเรียนรู้ Passive Learning เพราะกระบวนการเรียนรู้ Active Learning สอดคล้องกับ การทำงาน ของสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ โดยสามารถเก็บและจำสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์ กับเพื่อน ผู้สอน สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ได้ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บจำในระบบความจำระยะยาว (Long Term Memory) ทำให้ผลการเรียนรู้ ยังคงอยู่ได้ในปริมาณที่มากกว่าระยะยาวกว่า ซึ่งอธิบายไว้ ดังรูป จากรูปจะเห็นได้ว่า กรวยแห่งการเรียนรู้นี้ได้แบ่งเป็น 2 กระบวนการ คือ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 40 1. กระบวนการเรียนรู้ Passive Learning กระบวนการเรียนรู้โดยการอ่านท่องจำผู้เรียนจะจำได้ในสิ่งที่เรียนได้เพียง 10% การเรียนรู้โดยการฟัง บรรยายเพียงอย่างเดียวโดยที่ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมยื่นในขณะที่อาจารย์สอนเมื่อ เวลาผ่านไปผู้เรียนจะจำได้เพียง 20% หากในการเรียนการสอนผู้เรียนมีโอกาสได้เห็นภาพประกอบด้วยก็จะทำ ให้ผลการเรียนรู้คงอยู่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้สอนจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพิ่มขึ้น เช่น การให้ดูภาพยนตร์ การสาธิต จัด นิทรรศการให้ผู้เรียนได้ดู รวมทั้งการนำผู้เรียนไปทัศนศึกษา หรือดูงาน ก็ทำให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้นเป็น 50% 2. กระบวนการเรียนรู้ Active Learning การให้ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์จนเกิดความรู้ ความเข้าใจ นำไปประยุกต์ใช้สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินคำหรือ สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ และพัฒนาตนเองเต็ม ความสามารถ รวมถึงการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เขาได้มีโอกาสร่วมอภิปรายให้มีโอกาสฝึกทักษะการสื่อสาร ทำให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้น 70% การนำเสนองานทางวิชาการ เรียนรู้ในสถานการณ์จำลอง ทั้งมีการฝึกปฏิบัติ ในสภาพจริง มีการเชื่อมโยงกับ สถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผลการเรียนรู้เกิดขึ้นถึง 90% ลักษณะของ Active Learning (อ้างอิงจาก :ไชยยศ เรืองสุวรรณ) • เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา การนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้ • เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ • ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง • ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน มีการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน และ ร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน • ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทำงาน และการแบ่งหน้าที่ความ รับผิดชอบ • เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิด • เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูง • เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล, ข่าวสาร, สารสนเทศ, และหลักการสู่การ สร้างความคิดรวบยอดความคิดรวบยอด


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 41 • ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง • ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง สองปัจจัยที่มีความสำคัญต่อกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ก็คือ ผู้สอนและสิ่งแวดล้อม ดูเหมือนว่าผู้สอนจะ ค่อนข้างสบาย (เพราะผู้เรียนต้องทำเองหมด) แต่ความจริงแล้วผู้สอนจะเหนื่อยในการเตรียมตัวค่อนข้างมากเพราะ ผู้สอนจะต้องเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ให้เอื้อต่อการทำกิจกรรมของผู้เรียนอาจจัดแบ่งเป็นหลากหลายมุม เรียนรู้และช่วยให้ผู้เรียนได้ความรู้จากสิ่งที่ผู้เรียนปฏิบัติ โดยการกระตุ้นให้ผู้เรียนกระตือรือร้นในการหาคำตอบ ช่วยให้ผู้เรียนคิดและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ผู้สอนเป็นผู้ให้คำปรึกษามากกว่าผู้ให้คำตอบ อีกปัจจัยสำคัญก็คือ บรรยากาศในการเรียนรู้ในที่นี้หมายรวมถึงอุปกรณ์ในการเรียนรู้ด้วยจะต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมและครบครันให้ ผู้เรียนหรือไม่ ผู้สอนอาจจะให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมตั้งแต่การวางแผนและการทำอุปกรณ์ประกอบการทำกิจกรรม ซึ่งก็ แล้วแต่การวางแผนของผู้สอนแต่ปัญหาของการใช้ Active learning ก็คือเมื่อผู้เรียนเรียนรู้ชั้นสูงขึ้นไปเนื้อหาเริ่ม ยากและซับซ้อนมากขึ้นโจทย์ของผู้สอนในการเปลี่ยนเนื้อหาให้เป็นกิจกรรมจึงยากขึ้นตามไปด้วยหลายสถาบันจึง ยังคงทำอย่างจริงจังไม่ได้เท่าที่ควร สิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับ การลงมือทำผู้เรียนจะเกิดประสบการณ์ตรง แล้วใช้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนสำคัญในการ แก้ปัญหาและปรับปรุงให้ดีขึ้นผู้เรียนมีการปฏิบัติสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ มากมายผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาได้เมื่อได้ลงมือปฏิบัติผู้เรียนจะจำความรู้ได้แม่นและนานกว่าการท่องจำ เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จากการทำกิจกรรม


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 42 การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning : BBL) การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain-based learning) ในศตวรรษที่ 21 เริ่มเด่นชัดและ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก Brain based learning เป็นที่รู้จักในวงการการศึกษาไทย รวมไปถึงบรรดาพ่อแม่ ผู้ปกครองที่สรรหาความแปลกใหม่ทางการศึกษาสำหรับลูก แม้แต่กระทรวงศึกษาธิการเองก็มีนโยบายให้มีการจัด การศึกษาในแนวทางนี้เป็นแนวทางหลักที่ใช้ในโรงเรียน คนเราจะเกิดมาฉลาดหลักแหลมหรือเป็นคนโง่ทึ่มนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดยังคงเป็น "สมอง" เพราะสมองเป็นตัวที่จะรับรู้และสั่งการ ทำ ให้เรามีความคิดและการกระทำ ถ้าปราศจากการสั่งการจากสมองแล้ว เราคงจะทำอะไรไม่ได้เลย การที่จะเลี้ยงลูก ให้ฉลาดนั้น จำเป็นจะต้องพัฒนาสมองของลูกไปให้ถูกทาง สร้างเสริมความรู้ประสบการณ์ให้เหมาะสมกับวัย เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสมอง จะเห็นได้ว่าศักยภาพของสมองมนุษย์มีอยู่มากมายมหาศาลและพลังของ สมองนั้นไม่มีขอบเขตจำกัดหรือไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเอง ดังนั้น การนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมอง มาใช้ในการจัดการเรียนรู้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของผู้เรียน รวมถึงเป็นการ พัฒนาการจัดการศึกษาให้ดีขึ้นด้วย ความหมาย การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เป็นแนวความคิดของนักประสาทวิทยาและนักการศึกษากลุ่มหนึ่ง ที่สนใจ การทำงานของสมองมาประสานกับการจัดการศึกษา โดยนำความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสมองมาใช้เป็นเครื่องมือใน การออกแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์แต่ละช่วงวัย สมองมนุษย์เป็น อวัยวะที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ต้องใช้ในการเรียนรู้ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการต่างได้ให้นิยาม หรือแนวทางที่ แตกต่างกัน ดังนี้ เคน และเคน (Caine and Caine. 1989 : Web Ste) อธิบายว่า การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเป็น ทฤษฎีการเรียนรู้ที่อยู่บนพื้นฐานของโครงสร้างและหน้าที่การทำงานของสมองหากสมองยังปฏิบัติตาม กระบวนการทำงานปกติการเรียนรู้ก็ยังจะเกิดขึ้นต่อไป ทฤษฎีนี้เป็นสหวิทยาการเพื่อทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ซึ่งมาจากงานวิจัยทางประสาทวิทยา อิริก (Eric Jensen. 2000) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดการ เชื่อมต่อไปยังสมอง ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม ถือเป็นการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยเป็นการรวมสหวิทยาการต่าง ๆ เช่น เคมี ชีววิทยา ระบบประสาทวิทยา จิตวิทยาสังคมวิทยา มาอธิบายกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยเฉพาะ ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้กับสมองเพราะการเรียนรู้บนฐานสมองไม่ได้มุ่งเน้นการ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 43 ออกแบบการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมอง หรือทำอย่างไรให้สมองเจริญเติบโต แต่หัวใจสำคัญของการเรียนรู้บนฐาน สมองอยู่ที่การออกแบบการเรียนการสอนอย่างไรให้สมองสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุด เรเนต นัมเมลา เคน และ จอฟฟรี่ เคน (Renate Nummela Caine and Geoffrey Caine) ได้ให้ ความหมายการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ว่า เป็นการที่ผู้เรียนได้รับประสบการที่หลากหลายทั้งที่เป็นจริง และวาดฝัน และหาวิธีการต่าง ๆ ในการรับประสบการณ์เข้ามา ซึ่งหมายรวมถึงการสะท้อนความคิด การคิด วิจารณญาณและการแสดงออกในเชิงศิลปะซึ่งเป็นการสรุปความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้(เยาวพา เดชะคุปต์. 2548 : 36 ; อ้างอิงมาจาก Renate Nummela Caine and Geoffrey Caine.1990 : 66-70) สรุปได้ว่า การจัดการ เรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หมายถึง แนวการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักการของสมองกับการ เรียนรู้ การเรียนรู้ต้องใช้ทุกส่วนทั้งการคิด ความรู้สึก และการลงมือปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเป็นการสรุปความรู้ เกี่ยวกับการเรียนรู้ หลักการสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เคน และเคน (Caine and Caine. 1989 : Web Site) แนะนำว่า หลักการสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้ สมองเป็นฐานไม่ใช่ให้ใช้เพียงข้อเดียว แต่ให้เลือกใช้ข้อที่ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นมากที่สุดและการเรียนการสอน บรรลุผลสูงสุดเท่าใดก็ได้ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้สอนซึ่งหลักการสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานมี 12 ประการ ดังนี้ 1. สมองเรียนรู้พร้อมกันทุกระบบ แต่ละระบบมีหน้าที่ต่างกันและสมองเป็นผู้ดำเนินการที่สามารถทำสิ่ง ต่าง ๆ ได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันโดยผสมผสานทั้งด้านความคิดประสบการณ์และอารมณ์รวมถึงข้อมูลที่มีอยู่ หลากหลายรูปแบบ เช่น สามารถชิมอาหารพร้อมกับได้กลิ่นของอาหาร การกระตุ้นสมองส่วนหนึ่งย่อมส่งผลกับ ส่วนอื่น ๆ ด้วยการเรียนรู้ทุกอย่างมีความสำคัญ ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพจะทำให้การเรียนรู้ ที่หลากหลาย 2. การเรียนรู้มีผลมาจากด้านสรีรศาสตร์ทั้งสุขภาพพลานามัย การพักผ่อนนอนหลับ ภาวะโภชนาการ อารมณ์และความเหนื่อยล้า ซึ่งต่างส่งผลกระทบต่อการจดจำของสมองผู้สอนควรให้ความใส่ใจมิใช่สนใจเพียง เฉพาะความรู้สึกนึกคิดหรือสติปัญญาด้านเดียว 3. สมองเรียนรู้โดยการหาความหมายของสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ การค้นหาความหมายเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด สมองจำเป็นต้องเก็บข้อมูลในส่วนที่เหมือนกันและค้นหาความหมายเพื่อตอบสนองกับสิ่งเร้าที่เพิ่มขึ้นมา การสอนที่ มีประสิทธิภาพต้องยอมรับว่าการให้ความหมายเป็นเอกลักษณ์แต่ละบุคคลและความเข้าใจของนักเรียนอยู่บน พื้นฐานของประสบการณ์แต่ละคน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 44 4. สมองค้นหาความหมายโดยการค้นหาแบบแผน (Pattern) ในสิ่งที่เรียนรู้การค้นหาความหมายเกิดขึ้น จากการเรียนรู้แบบแผนขั้นตอนการจัดระบบข้อมูล เช่น 242 = 4,5+5 = 10, 10+10 = 20 แสดงว่า ทุกครั้งที่เราบวกผลของมันจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนเราสามารถเรียนรู้แบบแผนของความรู้ได้ และตรงกันข้ามเราจะ เรียนรู้ได้น้อยลงเมื่อเราไม่ได้เรียนแบบแผนการสอนที่มีประสิทธิภาพต้องเชื่อมโยงความคิดที่กระจัดกระจายและ ข้อมูลที่หลากหลายมาจัดเป็นความคิดรวบยอดได้ 5. อารมณ์มีผลต่อการเรียนรู้อย่างมาก อารมณ์เป็นสิ่งสำคัญต่อการเรียนรู้เราไม่สามารถแยกอารมณ์ออก จากความรู้ความเข้าใจได้และอารมณ์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ได้รับอิทธิพล จากอารมณ์ ความรู้สึกและทัศนคติ 6. กระบวนการทางสมองเกิดขึ้นทั้งในส่วนรวมและส่วนย่อยในเวลาเดียวกันหากส่วนรวมหรือส่วนย่อยถูก มองข้ามไปในส่วนใดส่วนหนึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ยาก 7. สมองเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม การสัมผัสจะต้องลงมือกระทำจึงเกิดการเรียนรู้หาก ได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งแวดล้อมมากเท่าใดจะยิ่งเพิ่มการเรียนรู้มากเท่านั้นการเรียนรู้จากการบอกเล่า จาก การฟังอย่างเดียวอาจทำให้มีปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งแวดล้อมน้อยส่งผลให้สมองเกิดการเรียนรู้น้อยลง 8. สมองเรียนรู้ทั้งในขณะรู้ตัวและไม่รู้ตัว ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้จากการได้รับประสบการณ์และ สามารถจดจำได้ไม่เพียงแต่ฟังจากคนอื่นบอกอย่างเดียว นอกจากนี้ผู้เรียนยังต้องการเวลาเพื่อจะเรียนรู้ด้วย รวมทั้ง ผู้เรียนจำเป็นต้องรู้ด้วยว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไรเท่า ๆ กับจะเรียนรู้อะไร 9. สมองใช้การจำอย่างน้อย 2 ประเภทคือ การจำที่เกิดจากประสบการณ์ตรงและการท่องจำ การจัดการ เรียนการสอนที่เน้นหนักด้านการท่องจำทำให้ผู้เรียนไม่เกิดการเรียนรู้ จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสและเรียนรู้ โดยตรง ผู้เรียนจึงไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมจากสิ่งที่ท่องจำมาได้ 10. สมองเข้าใจและจดจำเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้รับการปลูกฝังอย่างเป็นธรรมชาติเกิดการเรียนรู้จาก ประสบการณ์ การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดเกิดจากประสบการณ์ 11. สมองจะเรียนรู้มากขึ้นจากการท้าทายและการไม่ข่มขู่ บรรยากาศในชั้นเรียนจึงควรจะเป็นการท้าทาย แต่ไม่ควรข่มขู่ผู้เรียน 12. สมองแต่ละคนเป็นลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นรูปแบบการเรียนรู้และวิธีการเรียนรู้จึงเป็นเอกลักษณ์ส่วน บุคคล ในการสอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบบางคนชอบเรียน เวลาครูพาไปดูของจริง แต่บางคน ชอบนั่งฟังชอบจดบันทึก บางคนชอบให้เงียบ ๆ แล้วจะเรียนได้ดี แต่บางคนชอบให้มีเสียงเพลงเบา เพราะสมอง ทุกคนต่างกัน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 45 สรุปว่า การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบสัมผัสโดยตรงและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จะช่วยให้เกิด การเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงซึ่งมีส่วนส่งเสริมให้สมองสามารถรับรู้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เคน และเคน (Caine and Caine) ได้สรุปการเรียนรู้ของสมองไว้ 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. การเรียนรู้ชั้นพื้นฐาน เป็นการเรียนรู้เนื้อหา ข้อมูล ชั้นตอนและวิธีการต่าง ๆ 2. การเรียนรู้อย่างมีความหมาย เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเรียนรู้โดยมีเป้าหมายสิ่งที่เรียนมี ประโยชน์และมีคุณคำสำหรับผู้เรียน ผู้เรียนมีแรงบันดาลใจที่กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ และผู้เรียนมีความศรัทธาต่อสิ่งที่เรียนรู้ 3. การเรียนรู้แบบสัมผัสโดยตรง เป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสานการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานเข้ากับการ เรียนรู้อย่างมีความหมาย เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากประสบการณ์ตรงทำให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้อย่างแท้จริง เคน และเคน (Caine and Caine) เสนอแนะให้ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบสัมผัส โดยตรง เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเสนอแนะไว้ว่า ผู้สอนควรจัดการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงหลักการเรียนรู้ 12 ประการและองค์ประกอบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานด้วย เนื่องจากจะช่วยให้ การเรียนรู้ของสมองมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทฤษฎีการเรียนรู้ตามหลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน วิโรจน์ลักขณาอดิสร (2550 : เว็บไซต์) ได้เสนอทฤษฎีการเรียนรู้ตามหลักการเรียนรู้ โดยใช้สมองเป็นฐาน ไว้ดังนี้ ทฤษฎีที่ 1 การเรียนรู้อย่างมีความสุข เด็กแต่ละคนต้องได้รับการยอมรับว่าเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจเด็กมีสิทธิ์ที่ จะเป็นตัวของตัวเองไม่เหมือนใคร 1. เน้นการสอนด้วยการตั้งคำถามอธิบายด้วยคำถาม 2. เปิดโอกาสให้เด็กได้ลอง แต่อาจจะมีสัญญาในการจำกัดความเสียหาย 3. เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกแนวทางในการเรียนรู้ของตนเองตามความถนัดและความสนใจ 4. ทำให้สิ่งที่เรียนรู้เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันหรือสามารถเปรียบเทียบได้ในชีวิตประจำวัน 5. เรียนรู้จากง่ายไปหายาก 6. วิธีการเรียนรู้ต้องสนุกสนานไม่น่าเบื่อ 7. เน้นให้เด็ก ๆ ได้ใช้ความคิด ทั้งคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์และใช้จินตนาการ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 46 8. การประเมินผลต้องมุ่งประเมินผลในภาพรวมและให้เด็กได้ประเมินผลตนเอง ทฤษฎีที่ 2 การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม รูปแบบการถ่ายทอดความรู้ 1. การเรียนรู้เป็นกลุ่ม 2. ใช้คำถามเป็นสื่อการเรียนรู้ให้คิด 3. การจำลองสถานการณ์ (What if ?) 4. เน้นให้เด็กทำกิจกรรมและสร้างผลงาน 5. เน้นให้เด็กใช้จินตนาการ 6. เน้นการเชื่อมโยงกับชีวิตจริง 7. เน้นการใช้กิจกรรมกลุ่ม เกม การอภิปราย ฯลฯ 8. การสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง 9. การประเมินผล สนับสนุนให้เด็กไม่กลัวการแข่งขันด้วยการทดสอบบ่อย ๆ การให้เด็กยอมรับ ผลการประเมินและวางแผนในการแก้ไขปรับปรุงด้วยตนเองการประเมินผล จากผลงานของเด็ก และพฤติกรรม ทฤษฎีที่ 3 การเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด 1. การคิดเชิงวิเคราะห์ มีความสามารถในการจำแนก แยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ และหา ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นเพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริงหรือสิ่งสำคัญ ของสิ่งที่กำหนดให้ 2. การคิดเปรียบเทียบ มีความสามารถในการพิจารณาเปรียบเทียบได้สองลักษณะ คือ การเทียบเคียงความเหมือนและหรือความแตกต่างระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่น ๆ ตามเกณฑ์ 3. การคิดสังเคราะห์ มีความสามารถในการรวบรวมส่วนประกอบย่อยต่าง ๆ มาหลอม รวมได้อย่างผสมผสานจนกลายเป็นสิ่งใหม่ 4. การคิดเชิงวิพากษ์ มีความสามารถในการพิจารณา ประเมินและตัดสินสิ่งต่าง ๆ หรือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่มีข้อสงสัยหรือข้อโต้แย้งโดยการพยายามแสวงหาคำตอบที่มีควา ม สมเหตุสมผล 5. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลมีหลักเกณฑ์และ หลักฐานอ้างอิงก่อนตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อ 6. การคิดเชิงประยุกต์ มีความสามารถทางสมองในการคิดนำความรู้มาปรับใช้ให้เกิด


Click to View FlipBook Version