The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nurul Salwa Karoh, 2023-11-26 04:31:23

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 97 4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะทางสังคมโดยตรง 5. ผู้เรียนมีความตื่นเต้น สนุกสนานกับการเรียน ข้อจำกัดของเทคนิค TGT 1. ถ้าผู้เรียนขาดความเอาใจใส่และความรับผิดชอบจะส่งผลให้ผลงานของกลุ่มและการเรียนรู้ไม่ประสบ ความสำเร็จ 2. เป็นวิธีการที่ผู้สอนจะต้องเตรียมการดูแลเอาใจใส่ในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างใกล้ชิดถึงจะ ได้ผลดี 3. ผู้สอนมีภาระงานมากขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 98 การจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์STAD ความหมาย การจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์STAD หมายถึง รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ ร่วมมือกันเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีชื่อเต็มว่า Student Teams Achievement Divisions เป็นการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มๆ ละ 4 -5 คน ซึ่ง ประกอบด้วย นักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน นักเรียนที่เรียนปานกลาง 2.3 คน และนักเรียนที่เรียนอ่อน 1 คน จุดประสงค์ เพื่อจูงใจผู้เรียนให้กระตือรือร้นกล้าแสดงออกและช่วยเหลือกันในการทำความเข้าใจเนื้อหานั้นๆ อย่าง แท้จริง ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้กับทุกวิชา ตั้งแต่คณิตศาสตร์ศิลปะ ภาษา และสังคมศึกษา และใช้ได้กับ ระดับประถมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัย แนวคิด การสอนแบบ STAD พัฒนาขึ้นโดย Robert E. Slavin ผู้อำนวยการโครงการศึกษาระดับประถมศึกษา ศูนย์วิจัยประสิทธิภาพการเรียนของผู้เรียนมีปัญหาทางด้านวิชาการ แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอฟกินส์ สหรัฐอเมริกา และเป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนคณิตศาสตร์Slavin ได้พัฒนาเทคนิคนี้ขึ้น เพื่อขจัดปัญหาทาง การศึกษาโดยมุ่งเน้นทักษะการคิด การเรียนที่เป็นระบบ เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการเรียนเป็นกลุ่มและเป็นการ สร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้เรียน ส่วนประกอบพื้นฐานที่สำคัญอยู่2 ส่วน 1. กลุ่มหรือทีม (Student Teams) กลุ่มนักเรียนในกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ STAD นั้นในแต่ละ กลุ่มหรือทีม จะมีสมาชิก 4:5 คน ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลางและต่ำนักเรียน ที่มีผิวขาว ผิวดำ ต่างชาติและต่างเพศ สมาชิกในแต่ละกลุ่มหรือทีมจะต้องร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและ กันในด้านการเรียนเพื่อที่จะให้แต่ละคนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่ 2. ระบบกลุ่มสัมฤทธิ์(Achievement Divisions) ระบบกลุ่มสัมฤทธิ์เป็นวิธีทางที่จะช่วยให้เด็กทุกระดับ ความสามารถทางการเรียนสามารถที่จะทำคะแนนได้สูงสุดเต็มความสามารถของตนเอง ระบบกลุ่มสัมฤทธิ์จะเริ่ม จากการนำคะแนนทดสอบของครั้งที่ผ่านมาของนักเรียนทุกคน มาเรียงลำดับจากกลุ่มสัมฤทธิ์จะเริ่มจากการนำ คะแนนทดสอบของครั้งที่ผ่านมาของนักเรียนทุกคน มาเรียงลำดับจากคะแนนมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด นักเรียนที่


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 99 ได้คะแนนสูงสุด 6 คนแรก จะถือได้ว่าเป็นกลุ่มผลสัมฤทธิ์ที่(0vsions 1) นักเรียนที่ได้คะแนนรองลงไปอีก 6 คน จะ ถือว่าเป็นกลุ่มสัมฤทธิ์ที่ 2 (Divisions2) เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ แนวทางการจัดการเรียนรู้ การสอนแบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD มี5 ขั้นตอนหลักดังนี้ 1.การนำเสนอข้อมูล 2. การทำงานร่วมกัน 3. การทดสอบ 4. การปรับปรุงคะแนน 5. การตัดสินผลงานของกลุ่ม ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์ดังนี้ 1. ขั้นนำเสนอเนื้อหา โดยการทบทวนพื้นฐานความรู้เดิม จากนั้นครูสอนเนื้อหาใหม่กับนักเรียนกลุ่มใหญ่ ทั้งชั้น 2. ขั้นปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม โดยนักเรียนในกลุ่ม 45 คน ร่วมกันศึกษากลุ่มย่อยนักเรียนเก่งจะอธิบายให้ นักเรียนอ่อนฟังและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการทำกิจกรรม 3. ขั้นทดสอบย่อย นักเรียนแต่ละคนจะทำแบบทดสอบด้วยตนเอง ไม่มีการช่วยเหลือกัน 4. คิดคะแนนความก้าวหน้าแต่ละคน และของกลุ่มย่อย ครูตรวจผลการสอบของนักเรียนโดยคะแนนที่ นักเรียนทำได้ในการทดสอบจะถือเป็นคะแนนรายบุคคล แล้วนำคะแนนรายบุคคลไปแปลงเป็นคะแนนกลุ่ม 5. ชมเชย ยกย่อง บุคคลหรือกลุ่มที่มีคะแนนยอดเยี่ยม นักเรียนคนใดทำคะแนนได้ดีกว่าครั้งก่อน จะได้ รับคำชมเชยเป็นรายบุคคล และกลุ่มใดทำคะแนนได้ดีกว่าครั้งก่อน จะได้รับคำชมเลยทั้งกลุ่ม ลักษณะการเรียนรู้ การเรียนการสอนตามรูปแบบ STAD มีลักษณะการเรียนรู้ดังนี้ 1. ครูอธิบายงานที่ต้องทำในกลุ่มลักษณะการเรียนภายในกลุ่มกฎกติกาข้อตกลงในการทำงานกลุ่ม 2. ครูเป็นผู้กำหนดกลุ่มโดยผู้เรียนจะได้รับมอบหมายให้อยู่ในกลุ่มคละเพศคละความสามารถ ในกลุ่ม หนึ่งจะมีสมาชิกจำนวน 9 - 5 คน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 100 3. หลังจากที่ผู้สอนได้สอนเนื้อหาตามบทเรียนแล้ว มีการมอบหมายใบงาน/แบบฝึกหัดให้ผู้เรียนได้ ศึกษาด้วยกันในกลุ่มของตนเอง 4. มีการประเมินในสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนไป โดยทดสอบคะแนนเป็นรายบุคคล เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบ STAD สิ่งที่ครูต้องตระหนักถึง เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้กิจกรรมการ เรียนแบบ STAD มีดังนี้ 1. เป้าหมายของกลุ่ม (Group Goal) เงื่อนไขนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เรียน ทั้งนี้ เพราะกลุ่ม จำเป็นต้องให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้ทราบเป้าหมายของกลุ่มในการร่วมมือกันทำงาน ถ้าปราศจากเงื่อนไขข้อนี้ งานจะสำเร็จไม่ได้เลย 2. ความรับผิดชอบต่อตนเอง (Individual Accountability) สมาชิกในกลุ่มทุกคนจะต้องมีความ รับผิดชอบต่อตนเองเท่าๆ กับรับผิดชอบกลุ่ม กล่าวคือ กลุ่มจะได้รับการชมเชยหรือได้รับคะแนนต้องเป็นผลสืบ เนื่องมาจากคะแนนรายบุคคลของสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งจะนำไปแปลงเป็นคะแนนของกลุ่มโดยใช้ระบบกลุ่ม "สัมฤทธิ์" นั่นเอง หลักการพื้นฐานของการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ในการจัดการเรียนรู้แบบ STAD นั้น สมาชิกในกลุ่มทุกคนต้องปฏิบัติตามหลักการพื้นฐาน 5 ประการ ดังต่อไปนี้ 1. การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเชิงบวก (Positive Interdependent) นักเรียนจะรู้สึกว่าตนเอง จำเป็นจะต้องอาศัยผู้อื่นในการที่จะทำงานกลุ่มให้สำเร็จ กล่าวคือ "ร่วมเป็นร่วมตาย" วิธีการที่จะทำให้เกิด ความรู้สึกเช่นนี้อาจจะทำได้โดยทำให้มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน เช่น ถ้านักเรียนทำคะแนนกลุ่มได้สูงแต่ละคนจะได้รับ รางวัลร่วมกัน ประเด็นที่สำคัญก็คือสมาชิกทุกคนในกลุ่มจะต้องทำงานกลุ่มให้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งความสำเร็จนี้จะ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกทุกคน จะไม่มีการยอมรับความสำคัญหรือความสามารถของบุคคลเพียง คนเดียว 2. การติดต่อปฏิสัมพันธ์โดยตรง (Face to Face Interaction) เนื่องจากการพึ่งพาซึ่งกันและกันเชิงบวก มีใช้วิธีที่จะทำให้เกิดผลอย่างปาฏิหาริย์แต่ ผลดีที่จะเกิดขึ้นจากการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันนั้น จะต้องมีการ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันระหว่างนักเรียนที่เป็นสมาชิกกลุ่ม ในการจัดการเรียนรู้แบบ STAD นั้น การสรุปเรื่องการอธิบาย การขยายความในบทเรียนที่เรียนมาให้แก่เพื่อนในกลุ่มเป็นลักษณะสัมพันธ์ของการ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 101 ติดต่อปฏิสัมพันธ์โดยตรงการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ดังนั้นจึงควรมีการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่ง กันและกันโดยเปิดโอกาสให้สมาชิกได้เสนอแนวคิดใหม่ๆ เพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด 3. การรับผิดชอบงานกลุ่มของกลุ่ม (Individual Accountability at Group Work) การจัดการเรียนรู้ แบบ STAD จะถือว่าไม่สำเร็จจนกว่าสมาชิกทุกคนในกลุ่มจะได้เรียนรู้เรื่องในบทเรียนได้ทุกคน หรือได้รับการ ช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่มให้ได้เรียนรู้ได้ทุกคนเพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องวัดผลการเรียนของแต่ละคนเพื่อให้ สมาชิกในกลุ่มได้ช่วยเหลือเพื่อนที่เรียนไม่เก่ง บางทีครูอาจจะใช้วิธีทดสอบ สมาชิกในกลุ่มเป็นรายบุคคลหรือสุ่มเรียกบุคคลใดบุคคลหนึ่งในกลุ่มเป็นผู้ตอบ ด้วยวิธีดังกล่าวกลุ่มจะต้องช่วยกัน เรียนรู้และช่วยกันทำงาน มีความรับผิดชอบต่องานของตนเป็นพื้นฐาน ซึ่งทุกคนจะต้องเข้าใจและรู้แจ้งในงานที่ ตนเองรับผิดชอบ อันจะก่อให้เกิดผลสำเร็จของกลุ่มตามมา 4. ทักษะในความสัมพันธ์กับกลุ่มเล็กและผู้อื่น (Social skills) นักเรียนทุกคนไม่ได้มาโรงเรียนพร้อมกับ ทักษะในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของครูที่จะช่วยนักเรียนในการสื่อสารการเป็นผู้นำ การไว้ใจผู้อื่น การตัดสินใจ การแก้ปัญหา ความขัดแย้ง ครูควรจัดสถานการณ์ที่จะส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ทักษะ มนุษยสัมพันธ์และกลุ่มสัมพันธ์เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ครูควรสอบทักษะและมี การประเมินการทำงานของกลุ่มนักเรียนด้วยการที่จัดนักเรียนที่ขาดทักษะในการทำงานกลุ่มมาทำงานร่วมกันจะ ทาให้การทำงานนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ไม่ได้หมายถึงแต่เพียงการที่จัดให้ นักเรียนมานั่งทำงานเป็นกลุ่มเท่านั้น ซึ่งจุดนี้เป็นหลักการหนึ่งที่ทำให้นักเรียนที่เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ STAD แตกต่างจากการเรียนเป็นกลุ่มแบบเดิมที่เคยใช้กันมานาน จากทักษะการทำงานกลุ่มนี้เองที่จะทำให้ นักเรียนช่วยเหลือ เอื้ออาทรในการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกัน และมีการร่วมมือในกลุ่ม ดังนั้นทุกคนจึงเกิดการ เรียนรู้ที่จะมีส่วนร่วมในการทำงานให้กลุ่มได้รับความสำเร็จ 5. กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) กระบวนการกลุ่ม หมายถึง การให้นักเรียนมีเวลาและใช้ กระบวนการในการวิเคราะห์ว่ากลุ่มทำงานได้เพียงใด และสามารถใช้ทักษะสังคมและมนุษยสัมพันธ์ได้เหมาะสม กระบวนการกลุ่มนี้จะช่วยให้สมาชิกในกลุ่มทำงานได้ผล ในขณะที่สัมพันธภาพในกลุ่มก็จะเป็นไปด้วยดีกล่าวคือ กลุ่มจะมีความเป็นอิสระโดยสมาชิกในกลุ่ม สามารถจัดกระบวนการกลุ่มและสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวของพวกเขา เอง ทั้งนี้ข้อมูลย้อนกลับจากครูหรือเพื่อนนักเรียนที่เป็นผู้สังเกตจะช่วยให้กลุ่มได้ดำเนินการได้เป็นอย่างดีและ ประสิทธิภาพมากขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 102 สาเหตุที่วิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบ STAD ได้ผล 1. นักเรียนที่เก่งเข้าใจคำสอนของครูได้ดีจะเปลี่ยนคำสอนของครูเป็นภาษาพูดของนักเรียนอธิบายให้ เพื่อนฟังได้และทำให้เพื่อนเข้าใจได้ดีขึ้น 2. นักเรียนที่ทำหน้าที่อธิบายบทเรียนให้เพื่อนฟัง จะเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้นซึ่งครูทุกคนทราบ ข้อนี้ดีคือยิ่ง สอนยิ่งเข้าใจในบทเรียนที่ตนสอนได้ดียิ่งขึ้น 3. การสอนเพื่อนที่จะเป็นการสอนแบบตัวต่อตัว ทำให้นักเรียนได้รับการเอาใจใส่และมีความสนใจมาก ยิ่งขึ้น 4. นักเรียนทุกคนต่างก็พยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะคะแนนของสมาชิกในกลุ่มทุกคนจะถูก นำไปแปลงเป็นคะแนนของกลุ่มโดยใช้ระบบกลุ่มสัมฤทธิ์ 5. นักเรียนทุกคนเข้าใจดีว่า คะแนนของตนมีส่วนช่วยเพิ่มหรือลดคะแนนของกลุ่ม ดังนั้นทุกคนต้อง พยายามอย่างเต็มที่ จะคอยอาศัยเพื่อนอย่างเดียวไม่ได้ 6. นักเรียนมีโอกาสฝึกทักษะทางสังคม มีเพื่อนร่วมกลุ่มและเรียนรู้วิธีการทำงานเป็นกลุ่ม ซึ่งจะเป็น ประโยชน์มาก เมื่อเข้าสู่ระบบการทำงานอันแท้จริง 7. นักเรียนได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการกลุ่ม เพราะในการปฏิบัติงานร่วมกันนั้น ก็ต้องมีการทบทวน กระบวนการทำงานของกลุ่ม เพื่อให้ประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานหรือคะแนนของกลุ่มดีขึ้น 8. นักเรียนเก่งจะมีบทบาททางสังคมในชั้นมากขึ้น เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้เรียนหรือหลบไปท่องหนังสือ เฉพาะตน เพราะเขาต้องมีหน้าที่ต่อสังคมด้วย 9. ในการตอบคำถามในห้องเรียน หากตอบผิดเพื่อนจะหัวเราะ แต่เมื่อทำงานเป็นกลุ่มนักเรียนจะ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าหากตอบผิดก็ถือว่าผิดทั้งกลุ่ม คนอื่น 1 อาจจะให้ความช่วยเหลือบ้าง ทำให้นักเรียนใน กลุ่มมีความผูกพันกันมากขึ้น ข้อดีและข้อจำกัด ของการเรียนแบบร่วมมือ STAD ข้อดี 1 ผู้เรียนมีความเอาใจใส่รับผิดชอบตนเองและกลุ่มร่วมกับเพื่อนสมาชิก 2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันได้ร่วมมือกันเรียนรู้ 3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนผลัดกันเป็นผู้นำ ผู้เรียนได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะทางสังคม 4. ผู้เรียนมีความตื่นเต้นสนุกกับการเรียนรู้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 103 ข้อจำกัด 1. ถ้าผู้เรียนขาดความรับผิดชอบจะส่งผลให้งานกลุ่มและการเรียนรู้ไม่ประสบความสำเร็จ 2. เป็นวิธีที่ผู้สอนจะต้องเตรียมการและดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจึงจะได้ผลทำให้ผู้สอนมีภาระงานเพิ่มมาก ขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 104 รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้4 MAT ความหมาย การจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT เป็นการจัดกระบวนการเรียนเพื่อมุ่งพัฒนาสมองซีกซ้ายและซีกขวาโดย คำนึงถึงความแตกต่างของนักเรียน 4 แบบ ให้นักเรียน คือ ผู้เรียน แบบที่ 1 (WHY) มีการเรียนรู้จากประสบการณ์ ที่เป็นรูปธรรม ผู้เรียนแบบที่ 2 (WHAT) มีการเรียนรู้โดยใช้การคิดวิเคราะห์และเก็บรายละเอียดเป็นหลัก ผู้เรียน แบบที่ 3 (HOW) มีการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติทดลองทำ และผู้เรียนแบบที่ 4 (IF) มีการเรียนรู้จากการ ค้นพบด้วยตนเอง โดยอาศัยแนวคิดของ McCarthy (1995) วัตถุประสงค์ 1. เพื่อส่งเสริมความถนัดของผู้เรียนที่มีแตกต่างกัน 2. เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้สมอง 2 ซีกอย่างสมดุลกัน 3. เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง (Learning by doing) 4. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง ดีมีสุข รูปแบบการเรียนรู้แบบ 4 MAT 1. แบบ WHY เป็นคนช่างสงสัย อยากรู้อยากเห็น - ผู้เรียนแบบที่ 1 (Imaginative Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความถนัดในการรับรู้จากประสบการณ์ รูปธรรม ผ่านกระบวนการจัดข้อมูลด้วยการสังเกตอย่างไตร่ตรอง เขาจะเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับประสบการณ์เดิม ของตนเองได้อย่างดีการเรียนแบบร่วมมือการอภิปรายและการทำงานกลุ่มจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน กลุ่มนี้คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนกลุ่มนี้คือ "ทำไม" (Why ?) 2. แบบ WHAT เป็นผู้สนใจข้อเท็จจริง เรียนรู้จากการรับข้อมูลข่าวสาร - ผู้เรียนแบบที่ 2 (Analytic Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะสามารถ เรียนรู้ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรมได้เป็นอย่างดีผู้เรียนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความรู้ที่เป็นทฤษฎีรูปแบบ และความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ การอ่าน การค้นคว้าข้อมูลจากตำราหรือเอกสารต่าง ๆ รวมทั้งการเรียนรู้แบบบรรยาย จะส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนเหล่านี้คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ "อะไร" (What ?) 3. แบบ HOW เป็นผู้สนใจในวิธีการต่าง ๆ ชอบลงมือปฏิบัติ - ผู้เรียนแบบที่ 3 (Commonsense Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความสามารถมีความถนัดในการรับรู้ ความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรมแล้วนำสู่การลงมือปฏิบัติเขาให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้ความรู้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 105 ความก้าวหน้า และการทดลองปฏิบัติกิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติและกิจกรรมการประยุกต์ใช้ความรู้ความก้าวหน้า และการทดลองปฏิบัติกิจกรรมที่เน้นการปฏิบัติและกิจกรรมการแก้ปัญหาจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนใน กลุ่มนี้คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ "อย่างไร" (How ?) 4. แบบ IF เป็นผู้ชอบค้นหาว่าเป็นไปได้หรือไม่ - ผู้เรียนแบบที่ 4 (Dynamic Learners) คือ ผู้เรียนที่ มีความถนัดในการเรียนรู้ประสบการณ์ที่เป็น รูปธรรมแล้วนำสู่การลงปฏิบัติเขาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เป็นการสำรวจค้นคว้า การค้นพบด้วยตนเอง แล้ว เชื่อมโยงความรู้เหล่านั้นไปสู่การทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง คำถามนำทางสำหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ "ถ้า" (IF ?) ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้มี8 ชั้นตอน ดังนี้ 1. การบูรณาการประสบการณ์ด้วยตนเอง (WHY) ขั้นที่ 1 สร้างประสบการณ์(สมองซีกขวา) ครูสร้างประสบการณ์ด้วยการ กระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจ ให้ ผู้เรียนเชื่อมโยงประสบการณ์เป็นของตนเอง ขั้นที่ 2 วิเคราะห์ประสบการณ์(สมองซีกซ้าย) ครูให้ผู้เรียนสะท้อน ความคิดจากประสบการณ์และ ตรวจสอบประสบการณ์ 2. การพัฒนาความคิดรวบยอด (WHAT) ขั้นที่ 3 บูรณาการการสังเกตไปสู่ความคิดรวบยอด (สมองซีกขวา) ครูให้ข้อมูลข้อเท็จจริง และจัด กิจกรรมไปสู่ความคิดรวบยอด ผู้เรียนบูรณาการ ประสบการณ์และความรู้ไปสู่ความคิดรวบยอด ขั้นที่4 พัฒนาความคิดรวบยอด (สมองซีกซ้าย) ครูให้ผู้เรียนได้รับข้อมูล หรือข้อเท็จจริงตามทฤษฎีหรือ ความคิดรวบยอด ให้ผู้เรียนวิเคราะห์และไตร่ตรอง ประสบการณ์ 3. การปฏิบัติและปรับแต่งเป็นแนวคิดของตนเอง (HOW) ขั้นที่5 ปฏิบัติและปรับแต่งเป็นแนวคิดของตนเอง (สมองซีกซ้าย) ผู้เรียน ลองปฏิบัติโดยผ่านประสาท สัมผัส เพื่อพัฒนาแนวคิดและทักษะ ขั้นที่6 ปรับแต่งเป็นแนวคิดของตนเอง (สมองซีกขวา) ผู้เรียนปรับปรุงสิ่งที่ ปฏิบัติด้วยวิธีการของตนเอง และบูรณาการเป็นองค์ความรู้ของตนเอง 4. การบูรณาการและการประยุกต์ประสบการณ์(IF) ขั้นที่ 7 วิเคราะห์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้(สมองซีกซ้าย) ผู้เรียนวิเคราะห์แล้ว วางแผนเพื่อประยุกต์หรือ ดัดแปลงสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 106 ขั้นที่ 8 แลกเปลี่ยนความรู้ของตนกับผู้อื่น (สมองซีกขวา) ผู้เรียน แลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้มากับผู้อื่น การเรียนรู้แบบ 4 MAT การเรียนรู้แบบ 4MAT สามารถแบ่งผู้เรียนตามแนวคิดของคอล์บและแมคคาร์ธีได้4 แบบหลักๆ ดังนี้ ผู้เรียนแบบที่ 1 (Type One Learner) ผู้เรียนถนัดการใช้จินตนาการ (Imaginative Learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและความรู้สึก และสามารถประมวลกระบวนการเรียนรู้ได้ดียิ่งในภาวะที่ตนเองได้ มีโอกาสเฝ้ามอง หรือการได้รับการสะท้อนกลับทางความคิดจากที่ต่าง ๆ สมองซีกขวาของพวกนี้ทำหน้าที่เสาะหา ความหมายของสิ่งต่าง ๆ จากประสบการณ์สมองซีกซ้ายขุดค้นเหตุผลและความเข้าใจจาก ผู้เรียนแบบที่ 2 (Type Two Learner) ผู้เรียนถนัดการวิเคราะห์(Analytic Learners) จะรับรู้ใน ลักษณะรูปธรรมและนำสิ่งที่รับรู้มาประมวลกลไกหรือกระบวนการเรียนรู้ในลักษณะของการมองสังเกตสมองซีก ขวาเสาะหาประสบการณ์ที่จะสามารถผสมผสานการเรียนรู้ใหม่ๆ และต้องการความแจ่มกระจ่างในเรื่องคำตอบ ขององค์ความรู้ที่ได้มา ในขณะนี้สมองซีกซ้ายมุ่งวิเคราะห์จากความรู้ใหม่เป็นพวกที่ชอบถามว่าข้อเท็จจริง คำถาม ที่สำคัญที่สุดของเด็กกลุ่มนี้คือ "อะไร" หรือ what? ผู้เรียนแบบนี้ชอบการเรียนรู้แบบดั้งเดิม ต้องการศึกษาหา ความรู้ความจริง ต้องการข้อมูลที่เหมาะสม ถูกต้อง แม่นยำโดยอาศัยข้อเท็จจริง ข้อมูล ข่าวสาร มีความสามารถ สูงในการนำความรู้ไปพัฒนาเป็นความคิดรวบยอด(Concept) ทฤษฎีหรือจัดระบบหมวดหมู่ของความคิดได้อย่างดี เด็กกลุ่มนี้เรียนรู้โดยมุ่งเน้นรายละเอียดข้อเท็จจริงความถูกต้องแม่นยำ จะยอมรับนับถือเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ ผู้รู้จริง หรือผู้มีอำนาจสั่งการเท่านั้น เด็กกลุ่มนี้จะเรียนอะไรล่อเมื่อรู้ว่าจะต้องเรียนอะไร และอะไรที่เรียนได้สามารถเรียน ได้ดีจากรูปธรรมไปสู่ความคิดเชิงนามธรรม การจัดการเรียนการสอนให้เด็กกลุ่มนี้จึงควรใช้วิธีบรรยายและการ ทดลอง การวิจัยหรือการทำรายงาน การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น ผู้เรียนแบบที่3 (Type Three Learner) ผู้เรียนถนัดใช้สามัญสำนึก (Commonsense Learners) รับรู้โดยผ่านจากกระบวนความคิดและสิ่งที่เป็นนามธรรม แต่การประมวลความรู้นั้น ผู้เรียนประเภทนี้จะต้องการ การทดลอง หรือกระทำจริง สมองซีกขวามองหากลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบขององค์ความรู้ไปสู้การนำไปใช้ ในขณะที่สมองซีซ้าย มองหาสิ่งที่จะเป็นข้อมูลเพิ่มเติมคำถามยอดนิยมของกลุ่มนี้คือ "อย่างไร" หรือ How? ผู้เรียน แบบนี้สนใจกระบวนการปฏิบัติจริงและทดสอบทฤษฎีโดยการแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยการวางแผนจากข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ที่เป็นนามธรรมมาสร้างเป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ในชีวิตประจำวัน "ใครเขาทำอะไรไว้บ้างแล้วหนอ" เด็ก กลุ่มนี้ต้องการที่จะทดลองทำ ผู้เรียนแบบที่4 (Type Four Learner) ผู้เรียนที่สนใจค้นพบความรู้ด้วยตนเอง (Dynamic Learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านสิ่งที่เป็นรูปธรรมและผ่านการกระทำ สมองซีกขวาทำงานในการถักทอความคิดให้ขยาย


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 107 กว้างขวางยิ่งขึ้น ในขณะที่สมองซีกซ้ายเสาะหาการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนและโดดเด่นขึ้น เป็นพวกที่ชอบตั้งเงื่อนไข คำถามที่ผุดขึ้นในหัวใจของเด็กกลุ่มนี้บ่อย ๆ คือ "ถ้าอย่างนั้น" ลักษณะเด่นของรูปแบบ ผู้เรียนจะสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองในเรื่องที่เรียน จะเกิดความรู้ความเข้าใจ และนำความรู้ความ เข้าใจนั้นไปใช้ได้และสามารถสร้างผลงานที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการ ต่าง ๆ อีกจำนวนมาก ดังนั้น ลักษณะเด่นของรูปแบบการจัดกิจกรรมเรียนรู้แบบ 4 MAT จะช่วยส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ตาม กรอบความแตกต่างระหว่างบุคคล ได้แก่ 1. การนำเสนอประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับผู้เรียน 1.1 การเสริมสร้างประสบการณ์(สมองซีกขวา) 1.2 การวิเคราะห์ประสบการณ์ที่ได้รับ (สมองซีกซ้าย) 2. การเสนอเนื้อหา สาระข้อมูลแก่ผู้เรียน (Presentation) 2.1 การบูรณาการประสบการณ์สร้างความคิดรวบยอด (สมองซีกซ้าย) 2.2การพัฒนาเป็นความคิดรวบยอด (สมองซีกซ้าย) 3. การฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาความคิดรวบยอด 3.1 ปฏิบัติตามขั้นตอน (สมองซีกซ้าย) 3.2 การนำเสนอผลการปฏิบัติงาน (สมองซีกขวา) 4. การนำความคิดรวบยอดไปสู่การประยุกต์ใช้(Application) 4.1 การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้พัฒนางาน (สมองซีกซ้าย) 4.2 การนำเสนอผลงานการเผยแพร่ (สมองซีกขวา)


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 108 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning) ความหมาย การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นการจัดกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นปัญหา เป็นเครื่องช่วยให้ นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ซึ่งเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันแก้ปัญหาเป็นกลุ่มย่อย โดยปัญหาที่กำหนดให้จะเป็น ตัวกระตุ้นให้นักเรียนช่วยกัน ระดมความคิดวิเคราะห์พร้อมทั้งใช้ทักษะต่างๆความสามารถของนักเรียนในกลุ่ม ย่อยมาช่วยใน การแก้ไขปัญหาเพื่อหาคำตอบ แล้วนำมารวมอภิปรายและสรุปผลร่วมกัน เพื่อให้เกิดการ แลกเปลี่ยนความรู้และเกิดความรู้จากกระบวนการแก้ปัญหาอย่างแท้จริง แนวคิด เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากปัญหาที่เกิดขึ้นโดยสร้างความรู้จากกระบวนการทำงานกลุ่ม ตัวปัญหาจะเป็นจุดตั้งต้นของกระบวนการเรียนรู้และเป็นตัวกระตุ้นการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยเหตุผล และการสืบค้นหาข้อมูลเพื่อเข้าใจกลไกของตัวปัญหา รวมทั้งวิธีการแก้ปัญหา จุดมุ่งหมาย รูปแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานมีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหาอย่าง มีเหตุผลและเป็นระบบให้แก่นักเรียนโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหา การคิด สร้างสรรค์คิดวิจารณญาณ การสืบค้นและรวบรวมข้อมูล กระบวนการกลุ่ม การบันทึกและการอภิปราย ลักษณะเด่น การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากปัญหาที่เกิดขึ้นโดย สร้างความรู้จากกระบวนการทำงานกลุ่ม เพื่อแก้ปัญหาหรือสถานการณ์เกี่ยวกับชีวิตประจำวันและมีความสำคัญ ต่อผู้เรียน ตัวปัญหาจะเป็นจุดตั้งต้นของกระบวนการเรียนรู้และเป็นตัวกระตุ้นกระบวนการพัฒนาทักษะการ แก้ปัญหาด้วยเหตุผลและการสืบค้น หาข้อมูลเพื่อเข้าใจกลไกของตัวปัญหา รวมทั้งวิธีการแก้ปัญหา การเรียนรู้ แบบนี้มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้โดยการชี้นำ ตนเอง ซึ่งผู้เรียนจะได้ฝึกฝนการสร้างองค์ความรู้โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยการแก้ปัญหาอย่างมีความหมายต่อ ผู้เรียน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 109 ลักษณะการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ลักษณะของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมีลักษณะสำคัญ 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ 1. ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้เพื่อแสวงหาคำตอบ 2. ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และหากมีการเรียนรู้แบบกลุ่มย่อย จะทำให้ ผู้เรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการแสวงหาคำตอบ และเลือกวิธีการได้มาซึ่งคำตอบได้รอบ ครอบมากยิ่งขึ้น 3. ผู้สอนเป็นเพียงผู้สนับสนุน ให้คำแนะนำกระตุ้น ให้ผู้เรียนแก้ปัญหาและแสวงหา คำตอบได้ด้วย ตนเอง 4. ปัญหาที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ต้องเป็นปัญหาที่ผู้เรียนเคยพบเจอหรือเกิดขึ้นจริงได้ใน ชีวิตประจำวัน 5. การประเมินผลการเรียนรู้ต้องประเมินจากสภาพจริงโดยประเมินทั้งกระบวนการ เรียนรู้และผลที่ ได้จากการแสวงหาความรู้ ขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ขั้นที่1 กำหนดปัญหา เป็นขั้นที่ผู้สอนจัดสถานการณ์ต่าง ๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความ สนใจและมองเห็น ปัญหา สามารถกำหนดสิ่งที่เป็นปัญหาที่ผู้เรียนอยากรู้อยากเรียนได้ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะค้นหาคำตอบ ขั้นที่2 ทำความเข้าใจกับปัญหา ผู้เรียนจะต้องทำความเข้าใจกับปัญหาที่ต้องการเรียนรู้ซึ่งผู้เรียนจะต้อง สามารถอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น ๆได้ ขั้นที่3 ดำเนินการศึกษาค้นคว้า ผู้เรียนกำหนดสิ่งที่ต้องเรียน จากนั้นดำเนินการศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเอง ด้วยวิธีการหลากหลาย ขั้นที่4 สังเคราะห์ความรู้เป็นขั้นที่ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ค้นคว้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอภิปรายผล และสังเคราะห์ความรู้ที่ได้มาว่ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด ขั้นที่5 สรุปและประเมินคำของคำตอบ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มสรุปผลงานของกลุ่มตนเอง จากนั้นประเมินผล งานว่าข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด โดยพยายาม ตรวจสอบแนวคิดภายในกลุ่มของตนเอง จากนั้นทุกกลุ่มช่วยกันสรุปองค์ความรู้ในภาพรวมของ ปัญหาอีกครั้ง ขั้นที่6 นำเสนอและประเมินผลงาน ผู้เรียนนำข้อมูลที่ได้มาจัดระบบองค์ความรู้และ นำเสนอเป็นผลงาน ในรูปแบบทีหลากหลาย ผู้เรียนทุกกลุ่มรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาร่วมกันประเมินผลงาน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 110 แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน สิ่งสำคัญในการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานคือ ปัญหา เพราะปัญหาที่ดีจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดแรงจูงใจใฝ่แสวงหาความรู้ในการเลือกศึกษาปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องคำนึงถึงพื้นฐานความรู้ ความสามารถของผู้เรียน ประสบการณ์ความสนใจและภูมิหลังของผู้เรียน เพราะคนเรามีแนวโน้มที่จะสนใจเรื่อง ใกล้ตัวมากกว่าเรื่องไกลตัว สนใจสิ่งที่มีความหมายและมีความสำคัญต่อตนเองและเป็นเรื่องที่ตนเองใส่ใจใคร่รู้ ดังนั้น การกำหนดปัญหาจึงต้องคำนึงถึงตัวผู้เรียนเป็นหลัก นอกจากนั้น ปัญหาที่ดียังต้องคำนึงสภาพแวดล้อมทั้ง ภายในและภายนอกโรงเรียนที่เอื้ออำนวยต่อการแสวงหาความรู้ของผู้เรียนอีกด้วย การนำแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนผู้สอนควรมี ขั้นตอนพิจารณาประเด็นต่าง ๆ เพื่อประกอบการเลือกใช้แนวทางการจัดการเรียนรู้ในแนวทางนี้ซึ่งมีประเด็น สำคัญที่ควรดำเนินการ ดังนี้ 1. พิจารณาหลักสูตรของสถานศึกษา โดยดูจากผลการเรียนรู้ที่คาดหวังให้เหมาะสมกับวิธีการการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ทั้งทางด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้จากนั้น จึงเลือกเนื้อหาสาระมากำหนดการสอน เช่น พิจารณาว่า ผู้การเรียนรู้ที่คาดหวังต้องการให้ผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการค้นหาและแสวงหาความรู้ด้วย ตนเอง เป็นต้น 2. กำหนดแหล่งข้อมูล เมื่อผู้สอนพิจารณาจากผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและกำหนดเนื้อหาสาระแล้ว ผู้สอนต้องกำหนดแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ให้เพียงพอเพื่อให้ผู้เรียนนำมาแก้ปัญหาหรือค้นหาคำตอบได้ซึ่งแหล่งข้อมูล เหล่านี้ได้แก่ตัวผู้สอน ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต วิดีทัศน์บุคลากรต่าง ๆ และแหล่งการเรียนรู้ทั้งในโรงเรียนและ นอกโรงเรียน 3. กำหนดและเขียนขอบข่ายปัญหาที่เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนต้องศึกษา ค้นหาคำตอบ 4. กำหนดกิจกรรมการจัดกระบวนการเรียนรู้กิจกรรมการสอนที่ผู้สอนเลือกหรือสร้างขึ้นมาจะต้องทำให้ ผู้เรียนสามารถเห็นแนวทางในการค้นพบความรู้หรือคำตอบได้ด้วยตนเอง 5. สร้างคำถาม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถดำเนินกิจกรรมได้ควรสร้างคำถามที่มีลักษณะกระตุ้นให้ผู้เรียน สนใจงานที่กำลังทำอยู่และมองเห็นทิศทางในการทำงานต่อไป 6. กำหนดวิธีการประเมินผล ควรเป็นการประเมินผลตามสภาพจริงโดยประเมินทั้งทางด้านเนื้อหาทักษะ กระบวนการและการทำงานกลุ่ม


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 111 การประเมินการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การประเมินการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เริ่มประเมินตั้งแต่เริ่มจัดการเรียนรู้ถึงสิ้นจุดการ จัดการเรียนรู้โดยควรทำการประเมิน 3 ลักษณะดังนี้ 1. ประเมินปัญหา ผู้สอนควรประเมินปัญหาว่ามีความเหมาะสมกับวัย ความสามารถ ของผู้เรียน และ ปัญหาสามารถกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียนได้หรือไม่ 2. การประเมินผู้เรียน ผู้สอนทำการประเมินผู้เรียนตั้งแต่เริ่มจนจบการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อดู ทักษะ ความรู้และการทำงานเป็นกลุ่มของผู้เรียน 3. การประเมินผู้สอน เพื่อสะท้อนการจัดการเรียนรู้ของผู้สอนความมีสิ่งใดที่ควร ปรับปรุงหรือพัฒนา เพื่อจะสามารถหาวิธีการจัดการเรียนรู้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด การเตรียมตัวของครูก่อนการจัดการเรียนรู้ 1. ศึกษาหลักสูตร เพื่อให้ครูเกิดความเข้าใจจุดประสงค์ของหลักสูตร ตลอดจนตัวชี้วัดและมาตรฐาน การเรียนรู้ต่าง ๆอย่างละเอียดและสามารถนำความรู้ดังกล่าวไปจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตร แกนกลางตามเป้าหมายการเรียนรู้ได้ 2. วางแผนผังการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่จะสอน โดยครูต้องหาความรู้ที่เชื่อมโยงกับเนื้อเรื่อง ในการกำหนดแผนการจัดการเรียนรู้คือมีการออกแบบกิจกรรมด้วยตนเอง ใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้ชุมชนเพื่อเป็น การสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ให้กับเด็ก ออกแบบกิจกรรมใช้สื่อให้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ทันกับคำตอบ ของเด็ก และเชื่อมโยงกับสิ่งที่เด็กเรียนรู้โดยเน้นออกแบบกิจกรรมการสอนแบบบูรณาการรายวิชา 3. ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม ครูผู้สอนต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้อย่างรัดกุม ให้ รายละเอียดการจัดกิจกรรมที่ชัดเจน คือ ไม่ว่าครูท่านใดอ่านแผนการจัดการเรียนรู้แล้วสามารถจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแผนดังกล่าวได้ 4. ครูผู้สอนสอบถามความต้องการในการเรียนและสร้างความคุ้นเคยกับนักเรียน ครูจะต้องสร้าง ความคุ้นเคยกับนักเรียนและถามความต้องการของนักเรียนว่าอยากเรียนอะไรในปีการศึกษานั้นเพื่อสำรวจความ ต้องการของผู้เรียนไว้เป็นแนวทางในการออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องระหว่างหลักสูตรและความ ต้องการของนักเรียน เพื่อความสะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสมและเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ สำหรับนักเรียนมากขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 112 ประโยชน์ มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้โดยการชี้นำ ตนเอง ซึ่งผู้เรียนจะได้ฝึกฝนการสร้างองค์ความรู้โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยการแก้ปัญหาอย่างมีความหมายต่อ ผู้เรียน จุดเด่นและข้อจำกัด จุดเด่นที่สำคัญ คือ ผู้เรียนจะมีทักษะในการตั้งสมมติฐานและการให้เหตุผลดีขึ้น สามารถพัฒนาทักษะการ เรียนรู้ด้วยตนเองทำงานเป็นกลุ่ม และสื่อสารกับผู้อื่นได้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพความคงอยู่ของความรู้นานกว่า การเรียนแบบบรรยาย นอกจากนั้นบรรยากาศการเรียนรู้มีชีวิตชีวาจูงใจให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้มากขึ้น และยัง ส่งเสริมความร่วมมือและการทำงานร่วมกันระหว่างภาควิชาหรือหน่วยงาน ข้อจำกัดของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกัน ได้แก่ครูมีความกังวลว่า ผู้เรียนจะมีความรู้น้อยลง ความรู้ที่ได้รับจะไม่เป็นระบบ ความถูกต้องของเนื้อหาหรือข้อมูลที่ผู้เรียนไปค้นคว้า ศึกษามา ตลอดจนครูต้องมีทักษะที่หลากหลายมากกว่าการสอนแบบบรรยาย ในส่วนของผู้เรียนจะกังวล เกี่ยวกับ ความถูกต้องของเนื้อหา ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองไปเรียนรู้มาถูกต้องหรือไม่มีขอบเขตของการเรียนรู้ต้อง เรียนรู้มาก น้อยเพียงไร รวมถึงความแตกต่างกันของครูหรือผู้สอนประจำกลุ่ม นอกจากนี้อาจยังมีข้อจำกัด เกี่ยวกับ งบประมาณหรือสิ่งสนับสนุนที่ใช้จำนวนครูการบริหารจัดการซึ่งต้องมีการประสานงานและร่วมมือ กันอย่างดี ระหว่างภาควิชา และเวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของการจัดการเรียนรู้แบบ PBL ** คุณภาพของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจะขึ้นกับปัจจัยต่อไปนี้ 1.ความสำคัญของเนื้อหา ต้องเลือกเนื้อหาที่เป็นแกนหรือหลักการและสอดคล้องกับการนำไปใช้ใน สถานการณ์จริง 2.คุณภาพของโจทย์ปัญหา ต้องเลือกปัญหาที่พบบ่อยในสถานการณ์จริงและสร้างปัญหาให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของหลักสูตร ปัญหาที่ดีจะต้องน่าสนใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถอภิปรายและเรียนลงไป ในระดับ ลึกจนเข้าใจแนวคิดของปัญหามากกว่าการท่องจำ สามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมของผู้เรียนกับข้อมูลใหม่ 3. กระบวนกลุ่ม ทั้งครูและผู้เรียนต้องเข้าใจพลวัตของกระบวนการกลุ่ม บทบาทของสมาชิกแต่ละคนใน กลุ่ม กระบวนการกลุ่มที่ดีจะทาให้การเรียนรู้มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 113 4. บทบาทและทักษะของครูครูหรือผู้สอนยังมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานแต่จะ เปลี่ยนไปจากการสอนแบบบรรยาย คือไม่ได้เป็นผู้เอาความรู้มาบอกแต่มีบทบาทที่สำคัญในการออกแบบ กิจกรรม และบริหารจัดการให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ตามที่วางแผนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และ พัฒนาวิธีการเรียนรู้ และความสามารถในการแก้ปัญหาไปพร้อม ๆ กัน 5. การพัฒนาทักษะต่าง ๆ ของทั้งครูและผู้เรียน ครูอาจไม่มั่นใจในตนเองในการที่ต้องเป็นครูในวิชาที่ตน ไม่ชำนาญ ครูจะต้องได้รับการพัฒนาและฝึกทักษะต่าง ๆ ของการเป็นครูประจำกลุ่ม จะช่วยให้การเรียนการสอน ประสบความสำเร็จมากขึ้น ผู้เรียนก็จะต้องได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานและ การเตรียมความพร้อมก่อนการเรียนแบบนี้ 6. ทรัพยากรการเรียนรู้เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลหรือความรู้ที่สำคัญ การเตรียมและจัดหาแหล่ง ทรัพยากร การเรียนรู้ที่หลากหลาย พร้อมทั้งเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจึงมีความจำเป็นต่อการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐาน 7. การบริหารจัดการ ความร่วมมือและประสานงานกันระหว่างภาควิชาหรือหน่วยงานตลอดจนการ วางแผนที่ เหมาะสมจะทาให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 114 การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning: PBL) ความหมาย การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (Project-based Learning: PBL) หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่มี ครูเป็นผู้กระตุ้นเพื่อนำความสนใจที่เกิดจากตัวนักเรียนมาใช้ในการทำกิจกรรมค้นคว้าหาความรู้ด้วยตัวนักเรียนเอง นำไปสู่การเพิ่มความรู้ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติการฟัง และการสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ โดยนักเรียนมีการเรียนรู้ผ่าน กระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม ที่จะนำมาสู่การสรุปความรู้ใหม่มีการเขียนกระบวนการจัดทำโครงงานและได้ผลการ จัดกิจกรรมเป็นผลงานแบบรูปธรรม โครงงานหรือโครงการ (Project) ซึ่งในที่นี้ใช้คำว่า “โครงงาน” หมายถึง กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ ศึกษา ค้นคว้าและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการ 6 ขั้นตอน ในการศึกษาหาคำตอบในเรื่องนั้น โดยมีครูผู้สอนหรือครูที่คอยกระตุ้นแนะนำ และให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียน อย่างใกล้ชิด โครงงานสามารถทำได้ทั้งระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง (ปวส.) ซึ่งผู้เรียนอาจทำ เป็นกลุ่มเล็กหรือเป็นกลุ่มใหญ่ก็ได้ อาจเป็นโครงงานเล็ก ๆ ที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน หรือเป็นโครงงานใหญ่ ที่มีความยากและซับซ้อนขึ้นก็ได้ ทั้งนี้ อาจขึ้นอยู่กับประเภทของโครงงาน ระยะเวลา หรือ ขอบเขตของการศึกษา ลักษณะเด่น การเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่มีผู้ให้ความสนใจมากในปัจจุบัน McDonell (2007) ได้ กล่าวว่า การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นรูปแบบหนึ่งของ Child- centered Approach ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ ทำงานตามระดับทักษะที่ตนเองมีอยู่ เป็นเรื่องที่สนใจและรู้สึกสบายใจที่จะทำนักเรียนได้รับสิทธิในการเลือกว่าจะ ตั้งคำถามอะไร และต้องการผลผลิตอะไรจากการทำงานชิ้นนี้ โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนอุปกรณ์และจัด ประสบการณ์ให้แก่นักเรียน สนับสนุนการแก้ไขปัญหา และสร้างแรงจูงใจให้แก่นักเรียน โดยลักษณะของการเรียนรู้ แบบโครงงาน มีดังนี้ • นักเรียนกำหนดการเรียนรู้ของตนเอง • เชื่อมโยงกับชีวิตจริง สิ่งแวดล้อมจริง • มีฐานจากการวิจัย หรือ องค์ความรู้ที่เคยมี • ใช้แหล่งข้อมูล หลายแหล่ง • ฝังตรึงด้วยความรู้และทักษะบางอย่าง (embedded with knowledge and skills)


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 115 • ใช้เวลามากพอในการสร้างผลงาน • มีผลผลิต แนวคิดสำคัญ การเรียนรู้แบบโครงงานนั้น มีแนวคิดสอดคล้องกับ John Dewey เรื่อง "learning by doing" ซึ่งได้กล่าว ว่า "Education is a process of living and not a preparation for future living." (Dewey John, 1897: 79 cite in Douladeli Efstratia, 2014) ซึ่งเป็นการเน้นการจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ชีวิต ขณะที่เรียน เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพัฒนาการคิดของ Bloom ทั้ง 6 ขั้น คือ ความรู้ความจำ (Remembering) ความเข้าใจ (understanding) การประยุกต์ใช้ (Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing) การประเมินค่า (Evaluating) และ การคิดสร้างสรรค์ (Creating) ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบใช้ โครงงานเป็นฐาน นั้นจึงเป็นเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ถือได้ว่าเป็น การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เนื่องจาก ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติเพื่อฝึกทักษะต่าง ๆ ด้วยตนเองทุกขั้นตอน โดยมีครูเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน วัฒนา มังคสมัน (2551) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานไว้ 4หลักการ คือเมื่อใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานแล้ว ผู้เรียนมีลักษณะสำคัญดังนี้ 1. สามารถพัฒนากระบวนการคิดของตนเอง 2. สามารถลงมือปฏิบัติกิจกรรมได้ด้วยตนเอง 3. สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นกระบวนการ 4. เห็นคุณค่าในตนเอง ประเภทโครงงาน โครงงานแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. โครงงานประเภทสำรวจ (Survey Project) เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจนั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่และนำเสนอ ในรูปแบบ ต่าง ๆ อย่างมีระบบ เป็นโครงงานประเภทเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อหาสาเหตุของปัญหาหรือ สำรวจความคิดเห็น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 116 ข้อมูลที่รวบรวมได้บางอย่างอาจเป็นปัญหาที่นำไปสู่การทดลองหรือค้นพบสาเหตุ ของปัญหาที่ต้องหาวิธีแก้ไขและ ปรับปรุงร่วมกัน 2. โครงงานประเภททดลอง (Experimental Project) เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเรื่องใด เรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะ ที่ต้องออกแบบทดลองเพื่อศึกษาว่าเป็นไปตามที่ตั้งสมมติฐานไว้หรือไม่ มีการควบคุม ตัวแปร อื่นซึ่งอาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษา มีการรวบรวมข้อมูล การดำเนินการทดลอง การแปลผล และสรุปผลการ ทดลองที่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ (Development Project) เป็นโครงงานที่ มีวัตถุประสงค์ในการ นำเอาความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดมาประยุกต์ใช้ โดยการประดิษฐ์เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อ ประโยชน์ในการเรียน การทำงาน หรือการใช้สอยอื่น ๆ การประดิษฐ์คิดค้นตามโครงงานนี้อาจเป็น การประดิษฐ์ ขึ้นมาใหม่โดยที่ยังไม่มีใครทำ อาจเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือดัดแปลงของเดิมที่ มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งการสร้างแบบจำลองต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบการ อธิบายแนวคิดในเรื่องต่าง ๆ 4. โครงงานประเภททฤษฎี (Theory Project) เป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอความรู้ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ยังไม่มีใครคิดมาก่อน หรือศึกษาขยายจากเดิมที่มีอยู่ ซึ่งความรู้ ทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดที่เสนอ ต้องผ่านการพิสูจน์อย่างมีการหรือใช้วิธีการที่น่าเชื่อถือ เช่น วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ เป็นผู้ทำโครงงานต้องเป็น ผู้ที่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี หรือต้องมีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลมาประกอบอย่าง ลึกซึ้ง จึงจะทำให้สามารถกำหนดความรู้ ทฤษฎี หลักการหรือ แนวคิดใหม่ ๆ ขึ้นได้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน ขั้นที่ 1 การเตรียมความพร้อม การเตรียมความพร้อม เป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับผู้สอนและผู้เรียน เป็น การเตรียมความพร้อมผู้สอนเพื่อให้เข้าใจบทบาทผู้สอนในการทบทวนสร้างความเข้าใจกับกิจกรรมในแผน การ จัดการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ให้พร้อมต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน (PBL) ให้ประสบ ความสำเร็จ ส่วนการเตรียมความพร้อมผู้เรียนเป็นการสร้างความเข้าใจในบทบาทผู้เรียน ให้เกิดความตระหนักถึง เป้าหมายการเรียนรู้และบทบาทผู้เรียนที่ต้องมีส่วนร่วมในการเรียนรู้รวมไปถึงการเตรียมแหล่งข้อมูล วัสดุอุปกรณ์ งบประมาณ ระยะเวลา ความปลอดภัย และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำโครงงาน ขั้นที่ 2 การกำหนดและเลือกหัวข้อ การกำหนดและเลือกหัวข้อ เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของแต่ละ หัวข้อที่จะทำโครงงาน รวมถึงการศึกษาความคุ้มค่าของโครงงานที่จะทำของผู้เรียน การกำหนดและเลือกหัวข้อ เป็นกิจกรรม ที่ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันกำหนดหัวข้อที่จะทำเป็นโครงงานศึกษาความเป็นไปได้ ความคุ้มค่าของ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 117 แต่ละหัวข้อเพื่อเลือกโครงงานที่จะจัดทำ การกำหนดและเลือกหัวข้อได้เหมาะสมจะทำให้ผู้สอนและ ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ โดยเชื่อมโยงองค์ความรู้เดิมและสร้างองค์ความรู้ใหม่ไปพร้อมกัน ดังนั้นผู้เรียน จะต้องนำเสนอหัวข้อ โครงงานต่อผู้สอน เพื่อให้ความเห็นชอบก่อนการดำเนินการขั้นต่อไป ขั้นที่ 3 การเขียนเค้าโครงของโครงงาน การเขียนเค้าโครงของโครงงาน เป็นการสร้างผังมโนทัศน์ (Conceptual Map) หรือแผนที่ ความคิด (Mind Map) ที่แสดงถึงภาพรวมทั้งหมดของโครงงานตั้งแต่ต้นจนจบ ประกอบด้วย แนวคิด หลักการ แผนงาน และขั้นตอนในการทำโครงงานตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น มีการกำหนด บทบาทและ ระยะเวลาในการดำเนินงาน ทำให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรัดกุม รอบคอบ ไม่สับสน ทำให้ผู้ที่ เกี่ยวข้องมองเห็นภาระงาน สามารถปฏิบัติโครงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ก่อนนำเสนอ ต่อครูผู้สอนหรือ ครูที่ปรึกษาเพื่อขอความเห็นชอบก่อนนำไปปฏิบัติในขั้นตอนที่ 4 ต่อไป เค้าโครงของโครงงาน มีส่วนประกอบและแนวทางการเขียน ดังนี้ 1. ชื่อโครงงาน 2. ชื่อผู้จัดทำโครงงาน 3. ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน 4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน 5. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน 6. สมมติฐานของโครงงาน (ถ้ามี) 7. วิธีดำเนินงานของโครงงาน 8. แผนปฏิบัติงานของโครงงาน 9. ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงงาน 10. เอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม ขั้นที่ 4 การปฏิบัติงานโครงงาน การปฏิบัติงานโครงงาน เป็นการนำขั้นตอนวิธีการตามเค้าโครงของ โครงงานสู่การปฏิบัติ หลังจากที่ผู้เรียนได้รับความเห็นชอบจากครูผู้สอนหรือครูที่ปรึกษาแล้ว ขั้นที่ 5 การนำเสนอผลงาน การนำเสนอผลงาน เป็นการจัดทำรายงานและการนำเสนอผลการปฏิบัติ โครงงาน ได้แก่ กระบวนการและผลงาน เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนปฏิบัติงานโครงงานเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เล่มรายงานของโครงงานควรประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๆ 3 ส่วน ดังนี้ 1. ส่วนหน้า โดยทั่วไปประกอบด้วย ปกนอก ปกใน คำนำ และสารบัญ แต่อาจมีบทคัดย่อ และ กิตติกรรมประกาศอีกก็ได้ 2. ส่วนเนื้อหา ประกอบด้วย 5 ตอน ดังนี้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 118 ตอนที่ 1 บทนำ ประกอบด้วย ความเป็นมาของโครงงาน วัตถุประสงค์ของขอบเขตของโครงงาน วิธีการ ดำเนินงาน ประโยชน์ที่ได้รับ และนิยามศัพท์ ตอนที่ 2 เอกสารและงานที่เกี่ยวข้อง ตอนที่ 3 วิธีการดำเนินโครงงาน ตอนที่ 4 ผลการดำเนินโครงงาน ตอนที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 3. ส่วนอ้างอิง ประกอบด้วย หนังสืออ้างอิงหรือบรรณานุกรม และภาคผนวก ชั้นที่ 6 การประเมินโครงงานการประเมินโครงงานเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญ ที่จะสะท้อนให้เห็นถึง ความสำเร็จของ โครงงานในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่ก่อนทำโครงงานจนถึงเสร็จสิ้นโครงงาน ซึ่งเป็นการประเมินอย่าง ต่อเนื่องด้วยวิธีการและเครื่องมือที่หลากหลาย เน้นการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ทั้ง ความรู้ กระบวนการ พฤติกรรมของผู้เรียน ผลงาน และข้อค้นพบที่ผู้เรียนได้จาก การทำโครงงาน การประเมินเป็น บทบาทหน้าที่ของครูผู้สอนหรือครูที่ปรึกษา ซึ่งมีขั้นตอนการ ประเมินการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน ดังนี้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 119 การประเมิน ขั้นตอนของโครงงาน ประเด็น/สิ่งที่ประเมิน ขั้นตอนที่ ๑ การเตรียมความพร้อม ประเมินความพร้อมเช่น แหล่งข้อมูล วัสดุอุปกรณ์และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการทำโครงงาน ก่อนการทำ โครงงาน ขั้นตอนที่ ๒ การกำหนดและเลือกหัวข้อ ประเมินก้าวหน้าสภาพปัญหา พฤติกรรมกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการแก้ปัญหาในการดำเนิน โครงงาน ระหว่าง การทำโครงงาน ขั้นตอนที่ ๔ การปฏิบัติโครงงาน ขั้นตอนที่ ๓ การเขียนเค้าโครงของ โครงงาน ประเมินความถูกต้องความสอดคล้อง ความเหมาะสมของเค้าโครงของ โครงงาน ประเมินความเป็นไปได้ในการทำ โครงงาน ประเมินผลงาน ข้อค้นพบที่ได้จากการ ทำโครงงาน หลังเสร็จสิ้น การทำโครงงาน ขั้นตอนที่ ๕ การนำเสนอผลงาน ประเมินผลกระทบที่เกิดจากโครงงาน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 120 การเรียนการสอนรายบุคคล (Individualized Instruction) การศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญสำหรับมนุษย์ แต่ละคนจึงมีความสามารถ ความสนใจ ความพร้อมและความ ต้องการที่แตกต่างกัน ทำให้การเรียนรู้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นแนวคิดทางการศึกษาแผนใหม่จึงเน้นในเรื่องการจัด การศึกษา โดยคำนึงถึงความแดกต่างระหว่างบุคคล ((Individualized Differences) เรียกการเรียนการสอน ลักษณะนี้ว่า การจัดการเรียนการสอนรายบุคคล หรือการจัดการรสอนตามเอกัตภาพ ( แบบเอกัตบุคคล ) หรือการ เรียนด้วยตนเอง (Individualized Instruction) โดยยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยมุ่งจัดสภาพการเรียน การสอนที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความสามารถ ความสนใจและความพร้อม โดยทั่วไป การจัดการเรียนการสอนจะแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ ดังนี้ แบบกลุ่มใหญ่เป็นการสอนใน ห้องเรียนที่มีการสื่อสารเพียงทางเดียว เช่น การบรรยายของครูผู้สอน แบบกลุ่มย่อยเป็นการเรียนที่ผู้เรียนสามารถ โต้ตอบได้ เป็นการสื่อความหมายสองทาง และลักษณะสุดท้ายเป็นการสอนแบบรายบุคคล คือการเรียนการสอน รายบุคคล ตามความสมารถเฉพาะคน ความหมายของการศึกษารายบุคคล การศึกษารายบุคคล คือ การเรียนการสอนที่เน้นความแตกต่างของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ เลือกเรียนตามความสามารถ ความสนใจของตนเอง โดยผู้สอนทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียน องค์ประกอบของการศึกษารายบุคคล 1.วัตถุประสงค์รายบุคคล ความต้องการ และความสนใจ 2.วิธีการเรียนรายบุคคล 3.ความก้าวหน้ารายบุคคล วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนรายบุคคล การเรียนการสอนรายบุคคล ยึดหลักปรัชญาทางการศึกษาและอาศัยพื้นฐานจากทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการและ จิตวิทยาการเรียนรู้ วัตถุประสงค์ในการจัดการเรียนการสอนรายบุคคล จึงมุ่งเน้น 1. การเรียนการสอนรายบุคคลมุ่งสนับสนุนให้ผู้เรียนรู้จักรับผิดชอบในการเรียนรู้ รู้จักแก้ปัญหาและ ตัดสินใจเอง การเรียนการสอนรายบุคคลสอดคล้องและส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตและการศึกษานอกโรงเรียน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 121 ครูและผู้เรียนเชื่อว่า การศึกษาไม่ใช่มีหรือสิ้นสุดอยู่เพียงในโรงเรียนเท่านั้น การเรียนการสอนรายบุคคลสนับสนุน ให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาและเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและตัวเอง ให้รู้จักแก้ปัญหา รู้จักตัดสินใจ มีความ รับผิดชอบและพัฒนาความคิดในทางสร้างสรรค์มากกว่าทำลาย 2. การเรียนการสอนรายบุคคลสนองความแตกต่างของผู้เรียนให้ได้เรียนบรรลุผลกับทุกคน การเรียนการ สอนรายบุคคลสนับสนุนความจริงที่ว่า คนย่อมมีความแตกต่างกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคลิกภาพ สติปัญญา หรือความสนใจ โดยเฉพาะความแตกต่างที่มีผลต่อการเรียนรู้ที่สำคัญ 4ประการ คือ 2.1 ความแตกต่างในเรื่องอัตราเร็วของการเรียนรู้ (Rate of learning) ผู้เรียนแต่ละคนจะใช้เวลา ในการเรียนรู้และทำความเข้าใจในสิ่งเดียวกัน ในเวลาที่แตกต่างกัน 2.2 ความแตกต่างในเรื่องความสามารถ (Ability) เช่น ความฉลาด ไหวพริบความสามารถในแง่ ของความสำเร็จ ความสามารถพิเศษต่าง ๆ 2.3 ความแตกต่างในเรื่องวิธีการเรียน (Style of learning) ผู้เรียนเรียนรู้ในทางที่แตกต่างกันและ มีวิธีเรียนที่แตกต่างกันด้วย 2.4 ความแตกต่างกันในเรื่องความสนใจและสิ่งที่ชอบ (Interests and preference) เมื่อผู้เรียน แต่ละคนมีความแตกต่างกันในหลายด้านเช่นนี้ ครูจึงต้องจัดบทเรียนและอุปกรณ์การเรียนในระดับและ ลักษณะต่าง ๆ ให้ผู้เรียนได้เลือกด้วยตนเอง (Self-selection) เพื่อสนองความแตกต่างดังกล่าว 3. การเรียนการสอนรายบุคคล เน้นเสรีภาพในการเรียนรู้ เชื่อว่าถ้าผู้เรียนเรียนด้วยความอยากเรียนด้วย ความกระตือรือร้นที่ได้เกิดขึ้น ผู้เรียนจะเกิดแรงจูงใจและการกระตุ้นให้พัฒนาการเรียนรู้ โดยที่ครูไม่จำเป็นต้องทำ โทษหรือให้รางวัลและผู้เรียนก็จะรู้จักตนเอง มีความมั่นใจในการก้าวหน้าไปข้างหน้า ตามความพร้อมและขีด ความสามารถ (Self-pacing) 4. การเรียนการสอนรายบุคคล ขึ้นอยู่กับกระบวนการและวิชาการที่เสนอความรู้ให้แก่ผู้เรียน การเรียน การสอนรายบุคคลเชื่อว่า การเรียนรู้เป็นปรากฎการณ์ส่วนตัวที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคลการเรียนรู้เกิดขึ้นเร็วหรือข้า และจะเกิดขึ้นอยู่กับผู้เรียนได้นานหรือไม่ นอกจากจะขึ้นอยู่กับความสามารถ ความสนใจของผู้เรียนแล้ว ยังขึ้นอยู่ กับกระบวนการและวิธีการที่เสนอความรู้นั้นให้แก่ผู้เรียน การกำหนดให้ผู้เรียนรู้เรื่องหนึ่งในระยะเวลาหนึ่ง และ เรียนรู้เรื่องหนึ่งด้วยวิธีการเดียวไม่เป็นการยุติธรรมต่อผู้เรียน ผู้เรียนควรจะได้เป็นผู้กำหนดเวลาด้วยตนเองและควร จะมีโอกาสเรียนรู้หรือมีประสบการณ์ในการเรียนรู้ด้วยขบวนการและวิธีการต่าง ๆ 5. การเรียนการสอนรายบุคคลมุ่งแก้ปัญหาความยากง่ายของบทเรียน เป็นการสนองตอบที่ว่าการศึกษา ควรมีระดับแตกต่างกันไปตามความยากง่าย ถ้าบทเรียนนั้นง่ายก็ทำให้บทเรียนสั้นขึ้น ถ้าบทเรียนนั้นยากมาก ผู้สอนก็สามารถที่จะจัดย่อยเนื้อหาที่ยากนั้นออกเป็นส่วนๆและปรับปรุงให้เข้าใจ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 122 ได้ง่ายขึ้น อาจจะเพิ่มเวลาที่เรียนให้ได้สัดส่วนกับความยากโดยเรียงลำดับจากเรื่องที่ง่ายไปสู่เรื่องราวที่ ยากขึ้นตามลำดับการเรียนการสอนรายบุคคลเป็นหนทางที่ทำให้การสอนบรรลุจุดมุ่งหมายตามความต้องการ (Need) และให้สอดคล้องกับบุคลิก (Characteristics) ของผู้เรียนแต่ละคน โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ 5 ประการคือ 1. เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินทักษะเบื้องต้นของผู้เรียน 2. เพื่อช่วยในการค้นหาจุดเริ่มต้นของผู้เรียนแต่ละคนในการจัดลำดับการเรียนตาม 3. ช่วยในการจัดวัสดุและสื่อให้เหมาะสมกับการเรียน 4. เพื่อสะดวกต่อการประเมินผลและส่งเสริมความก้าวหน้าของนักเรียนแต่ละคน 5. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเรียนตามอัตราความสามารถของตน ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนรายบุคคล 1.ศึกษาปัญหาและความต้องการของผู้เรียน 2.กำหนดหลักสูตร โดยถือประสบการณ์ที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 3.กำหนดจุดมุ่งหมายโดยยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลและมุ่งให้ผู้เรียนก้าวตามความสามารถ ความสนใจ และความพร้อมของตนเอง 4.กำหนดเนื้อหาและประสบการณ์ โดยนำหลักสูตรมาแบ่งเนื้อหาเป็นตอน บทหน่วย และ กำหนดความคิดรวบยอดให้เด่นชัด 5.กำหนดแผนการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้ใช้ดำเนินการได้ถูกต้อง 6 กำหนดวิธีการเรียนการสอน รวมทั้งสื่อและกิจกรรม 7.การประเมินความก้าวหน้า กำหนดแนวการประเมินผลไว้ให้เรียบร้อย ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน ตลอดจนการรายงานความก้าวหน้าในการเรียนไว้อย่างชัดเจน ข้อดี - เรียนตามความสามารถของแต่ละคน - เน้นความแตกต่างของผู้เรียน - ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนมากกว่าการเรียนปกติ - ครูผู้สอนมีเวลาทำงานและให้ความสนใจกับผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้มากขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 123 ข้อเสีย - ต้องมีวินัยในตนเอง - ใช้เวลามาก - ต้องมีความรับผิดชอบ สื่อที่ใช้ในการศึกษารายบุคคล สื่อการสอนเครือข่าย WBI - ขยายขอบเขตของการเรียนรู้ของผู้เรียนในทุกหนทุกแห่ง จากห้องเรียนปกติไปยังบ้าน และที่ทำงาน ทำให้ไม่เสียเวลาในการเดินทาง - ขยายโอกาสทางการศึกษาให้ผู้เรียนรอบโลกในสถานศึกษาต่าง ๆ ที่ร่วมมือกันได้มี โอกาสเรียนรู้พร้อมกัน - ผู้เรียนควบคุมการเรียนตามความต้องการ และความสามารถของตนเอง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) - ผู้เรียนสามารถมีการโต้ตอบกับบทเรียนได้ - สามารถให้การเสริมแรงได้อย่างรวดเร็ว และมีระบบ โดยการให้ผลย้อนกลับทันทีใน รูปของคำอธิบาย สีสัน ภาพ และเสียงซึ่งช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น - มีรูปแบบการเรียนให้เลือกใช้มากมาย เช่น การสอน ทบทวน เกม การจำลอง ฯลฯ เสนอบทเรียนได้ทั้งลักษณะตัวอักษร ภาพ และเสียง - ผู้เรียนสามารถทบทวนเนื้อหาบทเรียนและทำกิจกรรมได้ตามความสามารถของตนใน ลักษณะการศึกษารายบุคคล E-Learning - ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนเนื้อหา และ สะดวกในการเรียน - เข้าถึงได้ง่าย . - ปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยกระทำได้ง่าย - ประหยัดเวลา และค่าเดินทาง ผู้เรียนสามารถเรียนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใด ก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียน หรือที่ทำงาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องประจำก็ได้ การศึกษานอกสถานที่ - ผู้เรียนสามารถสังเกตการณ์และ มีส่วนร่วมได้ด้วยตนเอง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 124 - เปิดโอกาสให้ผู้เรียนร่วมทำงานเป็นกลุ่ม และสร้างสรรค์ความรับผิดชอบร่วมกัน - สามารถจูงใจเป็นรายบุคคลได้ดี ทฤษฎีการเรียนการสอนรายบุคคล การจัดการเรียนการสอนรายบุคคลมุ่งสอนผู้เรียนตามความแตกต่างโดยคำนึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความพร้อมและความถนัด ทฤษฎีที่นำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนรายบุคคล คือ ทฤษฎีความแตกต่างระหว่าง บุคคล ได้แก่ 1. ความแตกต่างในด้านความสามารถ (Ability Difference) 2. ความแตกต่างในด้านสติปัญญา (Intelligent Difference) 3. ความแตกต่างในด้านความต้องการ (Need Difference) 4. ความแตกต่างในด้านความสนใจ (Interest Difference) 5. ความแตกต่างในด้านร่างกาย (Physical Difference) 6. ความแตกต่างในด้านอารมณ์ (Emotional Difference) 7. ความแตกต่างในด้านสังคม (Social Difference) จะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนการสอนแบบนี้เป็นการจัดที่รวมแนวทางใหม่ในการปฏิรูประบบการ เรียนการสอนและการจัดห้องเรียน จากแบบเดิมที่มีครูเป็นผู้นำแต่เพียงผู้เดียว มาเป็นระบบที่ครูและผู้เรียนมีส่วน ร่วมกันรับผิดชอบ การจัดการศึกษาจะเป็นแบบเปิด (Open Education) ผู้เรียนรู้ด้วยตนเองและปฏิบัติด้วยตนเอง จนสามารถบรรลุเป้าหมายได้เมื่อจบบทเรียนแต่ละหน่วยหรือแต่ละบทเรียน โดยจะมีการทดสอบ หากผู้เรียน สามารถสอบผ่าน จึงจะสามารถเรียนบทเรียนหรือหน่วยเรียนบทต่อไปได้ บทเรียนนั้นอาจทำในรูปของชุดการเรียน การสอน (Instructional Package) บทเรียนสำเร็จรูป (Programmed Instruction) หรือโมดูล (Instructional Module) รูปแบบการสอนรายบุคคล รูปแบบการสอน LFM (Learning For Mastery Model) เวลาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการเรียนรู้ ซึ่ง ขึ้นกับสิ่งต่อไปนี้ 1.ความถนัดของผู้เรียน 2.ความสามารถหรือระดับเชาวน์ปัญญาของผู้เรียน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 125 3.คุณภาพในการสอนของครู ถ้าครูสอนดีจำนวนเวลาที่นักเรียนจะต้องใช้ในการเรียนรู้จะน้อยลง นักเรียน สามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของบทเรียนหรือวิชาที่จะต้องเรียน ให้โอกาสแก่นักเรียนที่จะใช้เวลาในการเรียนรู้ เท่าที่ต้องการ รูปแบบการสอน IGE (Individually Guided Education) เพื่อช่วยนักเรียนแต่ละบุคคล ให้เกิดการเรียนรู้ ให้มากที่สุด และจะแบ่งกลุ่มนักเรียนตามความสามารถหรือระดับความรู้ของนักเรียน รูปแบบการสอน PSI (Personalized System Of Instruction) รูปแบบการสอนผู้เรียนรายบุคคลที่เน้น ความสำคัญว่าทุกครั้ง ผู้เรียนจะต้องแสดงว่าได้เรียนรู้จนเกิดความรอบรู้ ใช้แรงเสริมเพื่อช่วยให้นักเรียนมีการเรียนรู้ จนมีความรอบรู้ในวิชาที่เรียน สรุปรูปแบบการสอนรายบุคคล 1. ผู้เรียนแต่ละคนเป็นปัจเจกบุคคล มีระดับเชาวน์ปัญญา ความต้องการ แรงจูงใจ ความ สนใจ และทัศนคติต่อการเรียนรู้วิชาต่าง ๆ แตกต่างกัน 2. เป็นการเรียนรู้ที่อนุญาตให้ผู้เรียน ใช้เวลาตามที่ตนต้องการ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่า 3. หลักสูตรวิชาต่าง ๆ แบ่งออกเป็นหน่วยเรียนย่อย ทุกหน่วยเรียนมีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อให้ผู้เรียน ทราบว่าควรจะเรียนรู้อะไรบ้าง 4. ก่อนจะเริ่มบทเรียน ต้องมีการทดสอบระดับความสามารถ และความรู้ของผู้เรียนเพื่อจัดบทเรียนให้ เหมาะสม 5. เมื่อผู้เรียนได้ทำกิจกรรมเกี่ยวกับบทเรียนแล้ว จะมีการทดสอบเพื่อประเมินผลว่า ผู้เรียนได้เรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ เป็นการให้ข้อมูลผลย้อนกลับแก่ผู้เรียน 6. ทุกรูปแบบตั้งเกณฑ์ที่นักเรียนควรจะเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ หรือตอบคำถามได้ทุกคำถาม ถ้า ยังตอบไม่ได้ก็จะต่อบทเรียนใหม่ไม่ได้สำหรับการศึกษารายบุคคลที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า บุคคลแต่ละ คน มีความสามารถแตกต่างกัน ทั้งด้านร่างกาย ความคิดและสติปัญญา ความสามารถด้านต่าง ๆของบุคคลจึง ต่างกันไปด้วย ด้านการศึกษาก็เช่นกัน ผู้เรียนมีความสามารถของผู้เรียนแตกต่างกันออกไป จึงส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ เรียนตามความสามารถโดยไม่มีความกังวลใจ การศึกษารายบุคคลเป็นการประยุกต์ร่วมกันระหว่างเทคนิค วิธีการ และสื่อการสอน จึงช่วยเสริมประสิทธิภาพของผู้เรียนที่ต้องการศึกษาด้วยตนเองเป็นอย่างดี


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 126 วิธีสอนโดยใช้การไปทัศนศึกษา (Field Trip) วิธีสอนโดยใช้การไปทัศนศึกษาคือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ ที่กำหนด โดยผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันวางแผนและเดินทางไปศึกษาเรียนรู้ ณ สถานที่อันเป็นแหล่ง ความรู้ในเรื่องนั้น ( ซึ่งอยู่นอกสถานที่ที่เรียนกันอยู่เป็นปกติ ) โดยมีการศึกษาสิ่งต่าง ๆ ในสถานที่นั้นตาม กระบวนการหรือวิธีการที่ได้วางแผน และมีการอภิปรายสรุปการเรียนรู้จากข้อมูลที่ได้ศึกษามา วัตถุประสงค์ วิธีสอนโดยใช้การไปทัศนศึกษาเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง ในเรื่องที่เรียน ได้เรียนรู้ สภาพความเป็นจริง ได้ใช้แหล่งชุมชนให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ ทำให้เกิดความเข้าใจ และเกิดเจตคติที่ดีต่อทั้ง สถานที่นั้นและต่อการเรียนรู้ องค์ประกอบสำคัญ (ที่ขาดไม่ได้) ของวิธีสอน 1. มีการวางแผนร่วมกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียนในเรื่องวัตถุประสงค์ สถานที่ การเดินทางเรื่องที่จะศึกษา วิธีศึกษา ค่าใช้จ่าย กำหนดการเดินทางและหน้าที่ความรับผิดชอบ 2. มีการเดินทางออกไปยังสถานที่เป้าหมายซึ่งอยู่นอกโรงเรียน หรือนอกสถานที่ที่เรียนกันอยู่เป็นปกติ 3. มีกระบวนการในการศึกษาสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ในสถานที่นั้น 4. มีสรุปผลการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากการไปทัศนศึกษา ขั้นตอนสำคัญ (ที่ขาดไม่ได้) ของการสอน 1. ผู้สอนและผู้เรียนวางแผนร่วมกันในเรื่องวัตถุประสงค์ สถานที่ที่จะไป การเดินทาง สิ่งที่จะไปศึกษา วิธี ศึกษา ค่าใช้จ่าย กำหนดการเดินทาง และหน้าที่ความรับผิดชอบ 2. ผู้สอนและผู้เรียนเดินทางไปยังสถานที่เป้าหมาย 3. ผู้เรียนศึกษาสิ่งต่าง ๆ ในสถานที่นั้นตามกระบวนการหรือวิธีการศึกษาที่ได้วางแผนไว้ 4. ผู้สอนและผู้เรียนเดินทางกลับ และสรุปผลการเรียนรู้ หรือผู้สอนและผู้เรียนสรุปผลการเรียนรู้ และ เดินทางกลับ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 127 เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้การไปทัศนศึกษาให้มี ประสิทธิภาพ 1. การวางแผน ผู้สอนและผู้เรียนจำเป็นต้องมีการวางแผนร่วมกันก่อนจะเดินทางไปทัศนศึกษาสิ่งที่ผู้สอน ควรทำความเข้าใจกับผู้เรียนให้ชัดเจนคือ วัตถุประสงค์ของการไปศึกษา ซึ่งหากวัตถุประสงค์ชัดเจนแล้ว ผู้เรียนอาจ มีส่วนในการเลือกสถานที่ที่จะไปด้วย (ในกรณีที่ผู้สอนไม่เจาะจงสถานที่) เมื่อมีการกำหนดแน่ชัดแล้ว จะเป็นการดี มากหากผู้สอนและ/หรือผู้เรียนบางคนมีโอกาสไปสำรวจสถานที่ก่อน จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ดีในการวางแผนขั้นต่อไป และช่วยลดปัญหาเมื่อมีการเดินทางจริงหลังจากไปสำรวจสถานที่และได้ข้อมูลกลับ มาแล้ว ผู้สอนและผู้เรียนจึง วางแผนในรายละเอียดต่อไปเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องตกลง กันให้ชัดเจนมีหลายประการ ได้แก่ 1) การเดินทาง จะใช้พาหนะ ไปอย่างไร 2) เรื่องที่จะศึกษามีอะไรบ้าง 3) วิธีการที่จะศึกษา จะใช้วิธีอะไร เช่น ใช้การสังเกต จดบันทึก อัดเทป ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีทัศน์สัมภาษณ์ เข้าร่วมกิจกรรม ลงมือปฏิบัติ ทดลอง ฯลฯ ซึ่งถ้าวิธีการที่จะใช้ดังกล่าว จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ อะไร ก็ต้องมีการจัดเตรียมให้เรียบร้อย เช่น จัดทำแบบสังเกตแบบสัมภาษณ์เตรียมเครื่องเล่นเทป กล้อง เป็นต้น 4) กำหนดการ ได้แก่ โปรแกรมการเดินทางที่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน 5) ค่าใช้จ่าย จำนวนค่าใช้จ่ายในแต่ละเรื่องรวมแล้วเป็นเท่าใด ถ้าผู้เรียนจำเป็นต้องช่วยออกค่าใช้จ่าย จะ เฉลี่ยกันออกมากน้อยเพียงใดและ 6) หน้าที่ความรับผิดชอบ ใครจะต้องช่วยส่วนไหนอย่างไร ควรกำหนดให้ชัดเจนเรื่องต่างๆ ที่ตกลงกันนี้ ควรจัดทำเป็นเอกสารแจกให้สมาชิกทุกคนได้รับรู้ตรงกัน ในเรื่องการวางแผนนี้ ถ้าผู้สอนแบ่งกลุ่มผู้เรียนให้ช่วยกัน คิดในแต่ละเรื่องให้ได้ข้อตกลงร่วมกัน จะเป็นการดี เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง และเกิดความรู้สึก รับผิดชอบร่วมกันสำหรับผู้สอนไม่ควรลืมที่จะติดต่อยืนยัน ต่อเจ้าของสถานที่อย่างเป็นทางการและขออนุญาต ผู้บังคับบัญชาและผู้ปกครองนักเรียน ( ในกรณีที่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักศึกษา นอกสถานที่ ) 2. การเดินทางไปทัศนศึกษา ผู้สอนควรดูแลเอาใจใส่ในเรื่องความปลอดภัย สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน และให้คำปรึกษาแนะนำตามความเหมาะสม 3. ศึกษาในสถานที่เป้าหมาย เมื่อไปถึงยังสถานที่เป้าหมายแล้ว ผู้สอนควรประชุมผู้เรียนทั้งหมดก่อน ปล่อยผู้เรียนให้ไปศึกษาตามความสนใจของ ตน โดยย้ำถึง 1) วัตถุประสงค์ของการมาศึกษา 2) การเคารพต่อสถานที่ ไม่ทำสิ่งใดอันเป็นการทำลายหรือทำความเสียหายต่อสถานที่


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 128 3) ความปลอดภัย 4) การศึกษาด้วยวิธีการที่เตรียมมา และ 5) การนัดหมายและการตรงต่อเวลา เมื่อทำความเข้าใจแล้ว จึงปล่อยให้ผู้เรียนไปศึกษาด้วย ตนเอง โดยผู้สอนสังเกตการณ์ทั่ว ๆ ไป 4. การเดินทางกลับ และสรุปบทเรียน โดยทั่วไป หลังจากที่ชมและศึกษาสถานที่แล้ว ผู้สอนและ ผู้เรียนมักไม่มีเวลาที่จะสรุปการเรียนรู้ในทันที เพราะต้องรีบเดินทางกลับ แต่หากไม่รีบเดินทางกลับและสามารถ จัดสรรเวลาได้ การสรุปประเมินผลการเรียนรู้ในทันที จะให้ผลดีมากเนื่องจากผู้เรียนยังจำวามคิด ประสบการณ์ และความรู้สึกต่าง ๆ ได้ดี แต่ถ้ายังสรุปไม่ได้ทันทีจำเป็นต้องรอไปอีกระยะความรู้สึก ความคิด และประสบการณ์ บางส่วนอาจเลือนไปบ้าง การสรุปผลการเรียนรู้ ทำได้หลายวิธีเช่น การให้ผู้เรียนแต่ละคนนำเสนอประสบการณ์ และข้อมูลที่ตนได้จากการศึกษาและ อภิปรายร่วมกันสรุปเป็นประเด็นการเรียนรู้ที่ได้รับและอาจจะประเมินดูว่า การเรียนรู้ที่ได้รับเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด หรือผู้สอนอาจให้ผู้เรียนเขียนเป็นรายงาน จัดนิทรรศการ หรือถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับแก่ผู้อื่น (เช่น ผู้เรียนกลุ่มอื่น ๆ หรือในการประชุมต่าง ๆ ) อย่างไรก็ถาม ไม่ว่าผู้สอนจะใช้วิธีใด ในกรณีสรุปผลการเรียนรู้ ผู้สอนควรดูแลให้มีการสรุปให้ครอบคลุมการ เรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน คือ 1) การเรียนรู้ในด้านความรู้ (สิ่งที่ศึกษา) 2) การเรียนรู้ในด้านเจตคติ 3) การเรียนรู้ในด้านกระบวนการต่าง ๆ (เช่น กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทำงานร่วมกับผู้อื่น ฯลฯ) ข้อดี และข้อจำกัดของวิธีการสอนโดยใช้การไปทัศนศึกษา ข้อดี 1) เป็นวิธีสอนทีช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง ได้เรียนรู้สภาพความเป็นจริง มีการเชื่อมโยงระหว่าง การเรียนรู้ในห้องเรียนและความเป็นจริง 2) เป็นวิธีสอนที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและชุมชนให้เป็นประโยชน์ของ การเรียนรู้ของผู้เรียนและ ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน 3) เป็นวิธีการสอนที่เอื้อให้ผู้เรียนมีโอกาสฝึกทักษะต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น ทักษะการวางแผนทักษะการ ประสานงาน ทักษะการทำงานกลุ่ม ทักษะการแสวงหาความรู้ นอกจากนั้นยังส่งเสริมการพัฒนาคุณธรรมต่าง ๆ เช่น ความรับผิดชอบ ความสามัคคี ความเสียสละ เป็นต้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 129 4) เป็นวิธีการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เปลี่ยนบรรยากาศในการเรียนรู้ทำให้ผู้ เรียนมีความกระตือรือร้น และ ความสนใจในการเรียนเพิ่มขึ้น ข้อจำกัด 1) เป็นวิธีสอนที่ยุ่งยากสำหรับผู้สอน เนื่องจากต้องมีการเตรียมการติดต่อประสานงาน จัดการและ รับผิดชอบงานหลายด้าน 2) เป็นวิธีสอนที่มีค่าใช้จ่ายสูง ใช้เวลามาก และมีความเสี่ยง อาจเกิดอันตรายระหว่างการเดินทางได้ 3) เป็นวิธีสอนที่อาจเกิดผลไม่คุ้มค่า หากการจัดการ และกระบวนการศึกษาไม่ดีเท่าที่ควร


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 130 รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์ (Concept Attainment Model) ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ จอยส์และวีล( Joyce & Weil, 1996: 161-178) พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นโดยใช้แนวคิดของบรุนเนอร์ กู๊ดนาว และออสติน (Bruner, Goodnow, and Austin) การเรียนรู้มโนทัศน์ของสิ่งในหนึ่งนั้น สามารถทำได้โดยการ ค้นหาคุณสมบัติเฉพาะที่สำคัญของสิ่งนั้น เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกสิ่งที่ใช่และไม่ใช่สิ่งนั้นออกจากกันได้ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ของเนื้อหาสาระต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และสามารถให้คำนิยามของ มโนทัศน์นั้นด้วยตนเอง กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขั้นที่ 1 ผู้สอนเตรียมข้อมูลสำหรับให้ผู้เรียนฝึกหัดจำแนก 1) ผู้สอนเตรียมข้อมูล 2 ชุด ชุดหนึ่งเป็นตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนอีกชุดหนึ่งไม่ใช่ ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน 2) ในการเลือกตัวอย่างข้อมูล 2 ชุดข้างต้น ผู้สอนจะต้องเลือกหาตัวอย่างที่มีจำนวนมากพอที่จะ ครอบคลุมลักษณะของมโนทัศน์ที่ต้องการนั้น 3) ถ้ามโนทัศน์ที่ต้องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือเป็นนามธรรม อาจใช้วิธีการยกเป็น ตัวอย่างเรื่องสั้นๆ ที่ผู้สอนแต่งขึ้นเองนำเสนอแก่ผู้เรียน 4) ผู้สอนเตรียมสื่อการสอนที่เหมาะสมจะใช้นำเสนอตัวอย่างมโนทัศน์เพื่อแสดงให้เห็นลักษณะ ต่าง ๆ ของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนอย่างชัดเจน ขั้นที่ 2 ผู้สอนอธิบายกติกาในการเรียนให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจตรงกันผู้สอนชี้แจงวิธีการเรียนรู้ให้ผู้เรียน เข้าใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอาจสาธิตวิธีการและให้ผู้เรียนลองทำตามที่ผู้สอนบอกจนกระทั่งผู้เรียนเกิดความเข้าใจ พอสมควร ขั้นที่ 3 ผู้สอนเสนอข้อมูลตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอนและข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ ต้องการสอนการนำเสนอข้อมูลตัวอย่างนี้ทำได้หลายแบบ แต่ละแบบมีจุดเด่น จุดด้อยดังต่อไปนี้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 131 1) นำเสนอข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนหมดทั้งชุด โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่า เป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนแล้วตามด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนทีละข้อมูลจนครบหมดทั้ง ชุดเช่นกัน โดยบอกให้ผู้เรียนรู้ว่าข้อมูลชุดหลังนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสอน ผู้เรียนจะต้องสังเกตตัวอย่างทั้ง 2 ชุด และคิดหาคุณสมบัติร่วมและคุณสมบัติที่แตกต่างกันเทคนิควิธีนี้สามารถช่วยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้เร็ว แต่ใช้กระบวนการคิดน้อย 2) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนสลับกันไปจนครบเทคนิควิธีนี้ช่วยสร้างมโน ทัศน์ได้ช้ากว่าเทคนิคแรก แต่ได้ใช้กระบวนการคิดมากกว่า 3) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วเสนอข้อมูลที่เหลือ ทั้งหมดทีละข้อมูลโดยให้ผู้เรียนตอบว่าข้อมูลแต่ละข้อมูลที่เหลือนั้นใช่หรือไม่ใช่ตัวอย่างที่จะสอนผู้เรียน ตอบ ผู้สอนจะเฉลยว่าถูกหรือผิด วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการคิดในการทดสอบของตนไปทีละขั้นตอน 4) เสนอข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างสิ่งที่จะสอนอย่างละ 1 ข้อมูล แล้วให้ผู้เรียนช่วยกัน ยกตัวอย่างข้อมูลที่ผู้เรียนคิดว่าใช่ตัวอย่างของสิ่งที่จะสอน โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ วิธีนี้ ผู้เรียนจะมีโอกาสคิดมากขึ้นอีก ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนบอกคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอนจากกิจกรรมที่ผ่านมาในขั้นต้นผู้เรียนจะต้อง พยายามหาคุณสมบัติเฉพาะของตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่สิ่งที่ผู้เรียนต้องการสอนและทดสอบคำตอบของตน หาก คำตอบของตนผิดผู้เรียนก็จะต้องหาคำตอบใหม่ซึ่งก็หมายความว่าต้องเปลี่ยนสมมติฐานที่เป็นฐานของคำตอบเดิม ด้วยวิธีนี้ผู้เรียนจะค่อย ๆ สร้างความคิดรวบยอดของสิ่งนั้นขึ้นมาซึ่งก็จะมาจากคุณสมบัติเฉพาะของสิ่งนั้นนั่นเอง ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนสรุปและให้คำจำกัดความของสิ่งที่ต้องการสอนเมื่อผู้เรียนได้รายการของ คุณสมบัติเฉพาะของสิ่งที่ต้องการสอนแล้ว ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเรียบเรียงให้เป็นคำนิยามหรือคำจำกัดความ ขั้นที่ 6 ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายร่วมกันถึงวิธีการที่ผู้เรียนใช้ในการหาคำตอบให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับ กระบวนการคิดของตัวเอง ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ เนื่องจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ จากการคิด วิเคราะห์และตัวอย่างที่หลากหลายดังนั้นผลที่ผู้เรียน จะได้รับโดยตรงคือ จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะการสร้างมโนทัศน์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ใน การทำความเข้าใจมโนทัศน์อื่น ต่อไปได้ รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลโดยการอุปนัย ( inductive reasoning) อีกด้วย


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 132 การเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self -Directed Learning) การรู้จักเชื่อมโยงความรู้กับการทำงาน และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ ตามสภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดตลอดเวลา และทวีความรวดเร็วมากขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การ เรียนรู้ด้วยตนเองเพิ่งมีการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบเมื่อสามสิบกว่าปี แนวคิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง วางบน รากฐานความเชื่อทางมนุษยนิยม (humanistic philosophy) ที่กำหนดของการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ไว้ที่ การพัฒนา ตนเอง (personal growth) การเรียนรู้ด้วยตนเป็นการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งมีความสำคัญ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบันที่บุคคลควรพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณดังนั้น การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นแนวคิดของการเรียนรู้ชนิดหนึ่งที่สนับสนุนการเรียนรู้ ตลอดชีวิต (life-long learning ของผู้ใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและสนับสนุนสภาพ “สังคมแห่งการเรียนรู้ (learning society)” ได้เป็นอย่างดี ความหมายและลักษณะของการเรียนรู้แบบนำตนเอง การเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self -Directed Learning) เป็นวิธี การหนึ่งที่ใช้สอนในระดับอุดมศึกษา โดยมี จุดมุ่งหมายหลัก คือ ให้ผู้เรียน ได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผู้เรียนจะจบการศึกษาไปแล้วก็ตาม ซึ่ง ถือว่าเป็นการเอื้อต่อ การพัฒนาการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-directed learning) เป็นการเรียนรู้ซึ่งผู้เรียนรับผิดชอบในกาวางแผน การ ปฏิบัติ และการประเมินผล ความก้าวหน้าของการเรียนของตนเอง เป็นลักษณะซึ่งผู้เรียนทุกคนมีอยู่ในขณะที่อยู่ใน สถานการณ์การเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้และทักษะที่เกิดจากการเรียนจากสถานการณ์หนึ่งไปยัง อีกสถานการณ์หนึ่งได้ (Hiemstra, 1994) ดิกสัน (Dixon, 1992)อธิบายว่า การเรียนรู้แบบนำตนเอง เป็น กระบวนการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง ตั้งเป้าหมายในการเรียน แสวงหาผู้สนับสนุน แหล่งความรู้ สื่อการศึกษาที่ใช้ในการเรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้ของตนเอง ทั้งนี้ผู้เรียนอาจได้รับความ ช่วยเหลือจากผู้อื่น หรืออาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็ได้ ในการกำหนดพฤติกรรมตามกระบวนการ ดังกล่าว การเรียนรู้แบบนำตนเอง เป็นแนวคิดที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีกลุ่มมนุษยนิยม ซึ่งมีความเชื่อเรื่องความ เป็นอิสระ และความเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ ดังที่มีผู้กล่าวไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความดี มีความ เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง สามารถหาทางเลือกของตนเอง มีศักยภาพและพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างไม่มี ขีดจำกัด มีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น (Elias and Merriam,1980 อ้างถึงใน Hiemstra and Brockett, 1994)


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 133 รูปแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 50 -51) ได้เสนอหลักการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนี้ คือ 1. ศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งในด้านความสามารถในการ เรียนรู้ วิธีการเรียนรู้เจตคติ ฯลฯ ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ จึงต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะ อย่างยิ่งด้านความสามารถในการเรียนรู้ และวิธีการเรียนรู้ โดยจัดการเรียนรู้ เนื้อหาและสื่อที่เอื้อต่อการเรียนรู้ รายบุคคล รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำเอาประสบการณ์ของตนมาใช้ในการเรียนรู้ด้วย 2. จัดให้ผู้เรียนมีส่วนรับผิดชอบในการเรียน การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมรับผิดชอบการ เรียนรู้ของตนเอง ดังนั้น การจัดการเรียนรู้จึงควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีบทบาทตั้งแต่ การวางแผนกำหนดเป้าหมาย การเรียนที่สอดคล้องกับความต้องการของตน หรือกลุ่มการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียน การเลือกใช้ วิธีการเรียนรู้การใช้แหล่งข้อมูล ตลอดจนถึงการประเมินผลการเรียนของตน 3. พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เรียนจะต้องได้รับการฝึกให้มีทักษะ และยุทธศาสตร์การเรียนรู้ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่น การบันทึกข้อความ การจัดประเภทหมวดหมู่ การสังเกต การแสวงหาและใช้แหล่งความรู้ เทคโนโลยีและสื่อที่ สนับสนุนการเรียนรวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ ในการตัดสินใจ แก้ปัญหากำหนดแนวทางการ เรียนรู้ และเลือกวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง 4. พัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น การเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนต้องเรียนคนเดียว โดยไม่มีขั้นเรียนหรือเพื่อนเรียน ยกเว้นการเรียนแบบรายบุคคล โดยทั่วไปแล้ว ในการเรียนรู้ด้วยตนเองผู้เรียนจะได้ ทำงานร่วมกับเพื่อน กับครูและบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงต้องพัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นให้กับ ผู้เรียนเพื่อให้รู้จักการทำงานเป็นทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกับเพื่อนที่ มีความรู้ความสามารถ ทักษะเจตคติที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในกระบวนการเรียนรู้ 5. พัฒนาทักษะการประเมินตนเอง และการร่วมมือกันประเมินในการเรียนรู้ด้วยตนเองผู้เรียนเป็นผู้มี บทบาทสำคัญในการประเมินการเรียนรู้ ดังนั้น จึงต้องพัฒนาทักษะการประเมินให้แก่ผู้เรียน และสร้างความเข้าใจ ให้แก่ผู้เรียนว่า การประเมินตนเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบประเมินผลรวมทั้งยอมรับผลการประเมินจากผู้อื่นด้วย นอกจากนี้ต้องจัดให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์การประเมินผลหลาย ๆ รูปแบบ 6. จัดปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการ เรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นบริเวณในโรงเรียนจึงต้องจัดให้เป็นแหล่งความรู้ที่นักเรียนจะค้นคว้าด้วยตนเองได้ เช่น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 134 ศูนย์วิทยาการ บทเรียนสำเร็จรูป ขุดการสอน ฯลฯ รวมทั้งบุคลากร เช่น ครูประจำศูนย์วิทยบริการที่ช่วยอำนวย ความสะดวกและแนะนำเมื่อผู้เรียนต้องการ สามารถสรุปได้ว่าหลักการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองผู้จัดกิจกรรมต้องศึกษาผู้เรียน เป็นรายบุคคลจัดให้ผู้เรียนมีส่วนรับผิดชอบในการเรียน พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ร่วมกับผู้อื่น พัฒนาทักษะการประเมินตนเอง และการร่วมมือกันประเมินและจัดปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้ด้วย ตนเองของผู้เรียน ซึ่งจากแนวคิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมีแนวโน้มที่จะเป็นแนวคิดที่สำคัญของวงการการศึกษาของ ผู้ใหญ่ในอนาคต ซึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเอง จะเน้นถึงความรับผิดชอบของบุคคลและเชื่อในศักยภาพที่ไม่สิ้นสุดของ มนุษย์ ซึ่งการที่ผู้เรียนจะประสบความสำเร็จและผลสัมฤทธิ์ของการเรียนได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความสนใจ ในเนื้อหาของผู้เรียนเป็นปัจจัยสำคัญ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 135 รูปแบบการเรียนการสอนแบบทฤษฎีกระบวนการกลุ่ม (Group Process) กระบวนการกลุ่มเป็นวิทยาการที่ศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มคนเพื่อนำความรู้ไปใช้ในการปรับเปลี่ยนเจตคติและ พฤติกรรมของคน ซึ่งจะนำไปสู่การเสริมสร้างความสัมพันธ์และการพัฒนาการทำงานของ กลุ่มคนให้มี ประสิทธิภาพ จุดเริ่มต้นของค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ การศึกษากลุ่มคนด้านพลังกลุ่มและผู้ที่ได้เชื่อว่าเป็นบิดา ของกระบวนการกลุ่มก็คือ เคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin) นักจิตวิทยาสังคมและนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน โดยเริ่ม ศึกษาตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ 1920 เป็นต้นมา และได้มีผู้นำหลักการของพลังกลุ่มไป ใช้ในการพัฒนาพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม การพัฒนาบุคลิกภาพและจุดประสงค์อื่น ๆ วงการ รวมทั้งในวงการศึกษา หลักการและแนวคิดทฤษฎีกระบวนการกลุ่ม แนวคิดพื้นฐานของกระบวนการกลุ่มก็คือ แนวคิดในทฤษฎีภาคสนาม ของเคิร์ท เลวิน ที่กล่าวโดยสรุปไว้ ดังนี้ พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่มโครงสร้างของกลุ่มจะเกิดจากการ รวมกลุ่มของบุคคลที่มีลักษณะแตกต่างกัน และจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของสมาชิกกลุ่ม การ รวมกลุ่มจะเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่มในด้านการกระทำ ความรู้สึกและความคิดสมาชิกกลุ่มจะมีการ ปรับตัวเข้าหากันและจะพยายามช่วยกันทำงานโดยอาศัยความสามารถของแต่ละบุคคลซึ่งจะทำให้การปฏิบัติงาน ลุล่วงไปได้ตามเป้าหมายของกลุ่ม หลักการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่ม ที่สำคัญมีดังนี้ 1. การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย การเรียนรู้ที่เกิดจากการบรรยายเพียง อย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาพฤติกรรม แต่การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนา พฤติกรรมผู้เรียนโดยกระบวนการกลุ่มจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ศักยภาพของแต่ละคนทั้งในด้านความคิด การ กระทำและความรู้สึกมาแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ซึ่งกันและกัน 2. การเรียนรู้ควรจะเป็นกระบวนการกลุ่มที่สร้างสรรค์บรรยากาศการทำงานการทำงานกลุ่มที่ให้ผู้เรียนมี อิสระในการแสดงความรู้สึกนึกคิด มีบทบาทในการรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนโดยมีส่วนร่วมในกิจกรรมการ เรียนการสอนจะช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีชีวิตว่าและช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน 3. การเรียนรู้ควรเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนค้นพบด้วยตนเอง การเรียนรู้ด้วยการกระทำกิจกรรมด้วย ตนเองจะช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้เนื้อหาวิชาหรือสาระจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิด


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 136 ความใจอย่างลึกซึ้ง จดจำได้คืออันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเจตคติและพฤติกรรมของตนได้รวมทั้งสามารถนำไปสู่ การนำไปพัฒนาบุคลิกภาพทุกด้านของผู้เรียน 4. การเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการแสวงหาความรู้ที่เป็นต่อ การพัฒนาคุณภาพชีวิตทุกด้าน ดังนั้นถ้าผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีระบบและมีขั้นตอนจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เป็น เครื่องมือในการแสวงหาความรู้หรือตอบคำถามการรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม การเรียนแบบกระบวนการกลุ่ม คือ ประสบการณ์ทางการเรียนรู้ที่นักเรียนได้รับจากการลงมือร่วมปฏิบัติ กิจกรรมเป็นกลุ่ม กลุ่มจะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของแต่ละคนแต่ละคนในกลุ่มมีอิทธิพลและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และกัน หลักการสอนโดยวิธีกระบวนการกลุ่ม มีหลักการเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน สรุปได้ดังนี้ ( คณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ สำนักงาน 2540 ) 1. เป็นการเรียนการสอนที่ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนโดยให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสเข้าร่วม กิจกรรมมากที่สุด 2. เป็นการเรียนการสอน ที่เน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้จากกลุ่มให้มากที่สุด กลุ่มจะเป็นแหล่ง ความรู้สำคัญที่ จะฝึกให้ผู้เกิดความรู้ความใจ และสามารถปรับตัวและเข้ากับผู้อื่นได้ 3.เป็นการสอนที่ยึดหลักการค้นพบและสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตัวเองของนักเรียนเอง โดยครูเป็นผู้จัดการ เรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพยายามค้นหา และพบคำตอบด้วยตนเอง 4. เป็นการสอนที่ให้ความสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ ว่าเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการ แสวงหาความรู้ และคำตอบต่างๆ ครูจะต้องให้ความสำคัญของกระบวนการต่าง ๆในการแสวงหาคำตอบ รูปแบบและขั้นตอนการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม รูปแบบการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม รูปแบบการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม (คณะกรรมการ ศึกษาแห่งชาติ สำนักงาน 2540 ) มีขั้นตอนดังนี้ 1. ตั้งจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน ทั้งจุดมุ่งหมายทั่วไปและจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม 2. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยเน้นให้ผู้เรียนลงมือประกอบกิจกรรมด้วยตนเองและ มีการเพื่อ ทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อให้มีประสบการณ์ในการทำงานกลุ่ม ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 2.1 ขั้นนำ เป็นการสร้างบรรยากาศและสมาธิของผู้เรียนให้มีความพร้อมในการเรียนการสอน การจัดสถานที่ การแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย แนะนำวิธีดำเนินการสอน กติกาหรือกฎเกณฑ์การ ทำงาน ระยะเวลาการทำงาน 2.2 ขั้นสอน เป็นขั้นที่ครูลงมือสอนโดยให้นักเรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมเป็นกลุ่มๆ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 137 เพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรง โดยที่กิจกรรมต่างๆจะต้องคัดเลือกให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องในบทเรียน เช่น กิจกรรม เกมและเพลง บทบาทสมมติ สถานการณ์จำลอง การอภิปรายกลุ่ม เป็นต้น 2.3 ขั้นวิเคราะห์ เมื่อดำเนินการจัดประสบการณ์เรียนรู้แล้ว จะให้นักเรียนวิเคราะห์และแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมต่าง ๆ ความสัมพันธ์กันในกลุ่ม ตลอดจนความร่วมมือในการทำงาน ร่วมกัน โดยวิเคราะห์ประสบการณ์ที่ได้รับจาการทำงานกลุ่มให้คนอื่นได้รับรู้ เป็นการถ่ายทอด ประสบการณ์การเรียนรู้ของกันและกัน ขั้นวิเคราะห์จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น และมองเห็น ปัญหาและวิธีการทำงานที่เหมาะสม เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงการทำงานเป็นการถ่ายโอน ประสบการณ์การเรียนที่ดี จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถค้นแนวคิดที่ต้องการด้วยตนเอง เป็นการขยาย ประสบการณ์การเรียนรู้ให้ถูกต้องเหมาะสม 2.4 ขั้นสรุปและนำหลักการไปประยุกต์ใช้ นักเรียนสรุป รวบรวมความคิดให้เป็นหมวดหมู่ โดยครู กระตุ้นให้แนวทางและหาข้อสรุป จากนั้นนำข้อสรุปที่ค้นพบจากเนื้อหาวิชาที่เรียนไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับ ตนเองและนำหลักการที่ได้ไปใช้เพื่อการปรับปรุงตนเอง ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับคนอื่นประยุกต์เพื่อแก้ปัญหา และสร้างสรรค์สิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และดำรงชีวิตประจำวันเช่นการปรับปรุงบุคลิกภาพ เกิด ความเห็นอกเห็นใจ เคารพสิทธิของผู้อื่น แก้ปัญหา ประดิษฐ์สิ่งใหม่ เป็นต้น 2.5 ขั้นประเมินผล เป็นการประเมินผลว่า ผู้เรียนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายมากน้อยเพียงใด โดย จะประเมินทั้งด้านเนื้อหาวิชาและด้านกลุ่มมนุษย์สัมพันธ์ ได้แก่ ประเมินด้านมนุษย์สัมพันธ์ผลสัมฤทธิ์ ของกลุ่ม เช่น ผลการทำงาน ความสามัคคี คุณธรรมหรือคู่นิยมของกลุ่ม ประเมินความสัมพันธ์ในกลุ่ม จากการให้สมาชิกติชมหรือวิจารณ์แก่กันโดยปราศจากอคติ จะทำให้ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองได้และ จะทำผู้สอนเข้าใจนักเรียนได้ อันจะทำให้ผู้เรียนผู้สอนเข้าใจปัญหาซึ่งกันและกัน อันจะเป็นหนทางในการ นำไปพิจารณาแก้ปัญหาและจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่นักเรียน ขนาดของกลุ่มและการแบ่งกลุ่ม การแบ่งกลุ่มเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติงานร่วมกันนั้น ผู้สอนอาจจะแบ่งกลุ่มโดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์การ จัดการเรียนการสอน (คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ สำนักงาน 2534 : 230) เช่น 1. แบ่งกลุ่มตามเพศ ใช้ในกรณีครูมีวัตถุประสงค์ที่ชี้เฉพาะลงไป เช่น ต้องการสำรวจความระหว่างเพศ หญิงและชาย ในด้านต่าง ๆ เช่น ทัศนคติ ค่านิยม ฯลฯ 2. แบ่งตามความสามารถ ใช้ในกรณีที่ครูมีภาระงานมอบหมายให้แต่ละกลุ่มแตกต่างไปตามความ สามารถ หรือต้องการศึกษาความแตกต่างในการทำงานระหว่างกลุ่มที่มีความสามารถสูงและต่ำ 3. แบ่งตามความถนัด โดยแบ่งกลุ่มที่มีความถนัดเรื่องเดียวกันไว้ด้วยกัน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 138 4. แบ่งกลุ่มตามความสมัครใจ โดยให้สมาชิกเลือกเข้ากลุ่มกับคนที่ตนเองพอใจ ซึ่งครูทำได้แต่ไม่ควรใช้ บ่อยนักเพราะจะทำให้นักเรียนขาดประสบการณ์ในการทำงานกับบุคคลที่หลากหลาย 5. แบ่งกลุ่มแบบเจาะจง ครูเจาะจงให้เด็กบางคนอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น ให้เด็กที่เรียนเก่งกับเด็กที่เรียน อ่อนเพื่อให้เด็กเรียนเก่งช่วยเด็กที่เรียนอ่อน หรือให้เด็กปรับตัวเข้าหากัน 6. แบ่งกลุ่มโดยการสุ่ม ไม่เป็นการเจาะจงว่าให้ใครอยู่ใครกับใครแบ่งกลุ่มตามประสบการณ์ คือ การ รวมกลุ่มโดยพิจารณาเด็กที่มีประสบการณ์คล้ายคลึงกันมาอยู่ด้วยกันเพื่อประโยชน์ในการช่วยกันวิเคราะห์หรือ แก้ปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ วิธีการสอนที่สอดคล้องกับหลักการการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม 1. การระดมความคิด เป็นการรวมกลุ่มที่ประกอบด้วยสมาชิก 4 -5 คน และให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น อย่างทั่วถึง เพื่อรวบรวมความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ได้หลายแง่มุม ทุกความคิดได้รับการยอมรับโดยไม่มีการ โต้แย้งกัน แล้วนำความคิดทั้งมวลมาผสานกัน 2. ผู้สอนสร้างสถานการณ์สมมติขึ้นโดยให้ผู้เรียนตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีการสรุปผลในลักษณะ ของการแพ้การชนะ วิธีการนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมต่างๆ วิธีการสอนนี้จะ ช่วยให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนและเกิดความสนุกสนาน 3. บทบาทสมมติ เป็นวิธีการสอนที่มีการกำหนดบทบาทของผู้เรียนในสถานการณ์ที่สมมติขึ้นมาโดยให้ ผู้เรียนสวมบทบาทและแสดงออกโดยใช้บุคลิกภาพประสบการณ์และความรู้สึกนึกคิดของ ตนเป็นหลักวิธีการสอน นี้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสศึกษาวิเคราะห์ความรู้สึกและพฤติกรรมของตน อย่างลึกซึ้ง ทั้งยังช่วยสร้าง บรรยากาศการเรียนรู้ที่มีชีวิตชีวา 4. สถานการณ์จำลอง เป็นวิธีการสอนโดยการจำลองสถานการณ์จริงหรือสร้างสถานการณ์ให้ใกล้เตียงกับ ความเป็นจริงแล้วให้ผู้เรียนอยู่ในสถานการณ์นั้นพร้อมทั้งแสดงพฤติกรรมเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่กำหนดให้ วิธีนี้จะ ช่วยให้ผู้เรียนฝึกทักษะการแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งในสถานการณ์จริงผู้เรียนอาจจะไม่กล้าแสดงออก 5. กรณีตัวอย่าง เป็นวิธีการสอนที่ใช้การสอนเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง แต่นำมาดัดแปลง เพื่อให้ผู้เรียน ใช้เป็นแนวทางในการศึกษาวิเคราะห์และอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อันจะนำไปสู่การสร้าง ความเข้าใจและฝึกทักษะการแก้ปัญหา การรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย สำหรับผู้เรียนยิ่งขึ้น 6. การแสดงละคร เป็นวิธีการสอนที่ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทตามบทที่มีผู้เขียนหรือกำหนดไว้ให้โดยผู้แสดง จะต้องแสดงบทบาทตามที่กำหนดโดยไม่นำเอาบุคลิกภาพและความรู้สึกนึกคิดเข้ามาใส่ในการแสดงบทบาทนั้นๆ วิธีนี้จะช่วยให้มีประสบการณ์ในการรับรู้เหตุผล ความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของผู้อื่นซึ่งจะช่วยฝึกทักษะการ ทำงานร่วมกันและรับผิดชอบร่วมกัน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 139 7. เป็นวิธีการสอนโดยการจัดผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยที่มีสมาชิกประมาณ 6 -12 คน และมีการกำหนดให้มี ผู้นำกลุ่มทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแล้วสรุปหรือ ประมวลสาระที่ได้จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน วิธีการนี้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมในการเสนอ ข้อมูลหรือประสบการณ์ของตนเองเพื่อให้กลุ่มได้ข้อมูลมากขึ้น วิธีการสอนที่สนับสนุนหลักการสอนแบบกระบวนการกลุ่มเหล่านี้ เป็นวิธีการสอนที่ช่วยให้การจัด ประสบการณ์การสอนที่หลากหลายและผู้สอนอาจใช้วิธีสอนอื่น ๆ ได้อีก โดยยืดหลักสำคัญ คือ การเลือกใช้วิธีการ สอนที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการสอนแต่ละครั้ง การประเมินผลการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม (ทิศนา แขมมณี และคณะ 2522) มีดังนี้ 1. การให้ผู้เรียนประเมินผลการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งผู้สอนควรสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้เรียนมี โอกาสประเมินผลการเรียนรู้ของตนเองจะช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายและมีประโยชน์ต่อผู้เรียน 2. การให้ผู้เรียนร่วมประเมินผลการเรียนรู้จากการทำงานร่วมกัน ซึ่งสามารถประเมินผลได้ 2 ลักษณะ คือ 1) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกลุ่ม 2) การประเมินผลความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม บทบาทของครูและนักเรียนในการสอนแบบกระบวนการกลุ่ม บทบาทครู (คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักงาน 2540) มีดังนี้ 1. มีความเป็นกันเอง มีความเห็นอกเห็นใจนักเรียน สร้างบรรยากาศที่ดีต่อการเรียน สนใจ ให้กำลังใจ สนทนา ไถ่ถาม 2. พูดน้อย และจะเป็นเพียง ผู้ประสานงาน แนะนำ ช่วยเหลือเมื่อนักเรียนต้องการเท่านั้น 3. ไม่ชี้นำหรือโน้มน้าวความคิดของนักเรียน 4. สนับสนุน ให้กำลังใจ กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นในการทำงานแสดงออกอย่างอิสระ และ แสดงออกซึ่งความสามารถของนักเรียนแต่ละคน 5.สนับสนุนให้นักเรียนสมารถวิเคราะห์ สรุปผลการเรียนรู้และประเมินผลการกระทำงานให้เป็นไปตาม จุดมุ่งหมายที่วางไว้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 140 การเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-Directed Learning) การรู้จักเชื่อมโยงความรู้กับการทำงาน และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ ตามสภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดตลอดเวลา และทวีความรวดเร็วมากขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การ เรียนรู้ด้วยตนเองเพิ่งมีการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบเมื่อสามสิบกว่าปี แนวคิด การเรียนรู้ด้วยตนเอง วางบน รากฐานความเชื่อทางมนุษย์นิยม (humanistic philosophy) ที่กำหนดเป้าหมายของการเรียนรู้ขอผู้ใหญ่ไว้ที่ การ พัฒนาตนเอง (personal growth) การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งมี ความสำคัญสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ปัจจุบันที่บุคคลควรพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆโดยเฉพาะการ คิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ ดังนั้น การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นแนวคิดของการเรียนรู้ชนิดหนึ่งที่สนับสนุน การเรียนรู้ตลอดชีวิต (life-long learning) ของผู้ใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและสนับสนุนสภาพ “สังคมแห่ง การเรียนรู้(learning society)” ได้เป็นอย่างดี ความหมายและทักษะของการเรียนรู้แบบนำตนเอง การเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นวิธี การหนึ่งที่ใช้สอนในระดับอุดมศึกษา โดยมี จุดมุ่งหมายหลัก คือ ให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผู้เรียนจะจบการศึกษาไปแล้วก็ตาม ซึ่ง ถือว่าเป็นการเอื้อต่อการพัฒนาการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self directed leaning) เป็นการเรียนรู้ซึ่งผู้เรียนรับผิดชอบในการวางแผน การปฏิบัติ และการประเมินผล ความก้าวหน้าของการเรียนของตนเอง เป็นลักษณะซึ่งผู้เรียนทุกคนมีอยู่ในขณะที่ อยู่ในสถานการณ์การเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้และทักษะที่ เกิดจากการเรียนจากสถานการณ์หนึ่ง ไปยังอีกสถานการณ์หนึ่งได้ (Hiemstra, 1994) ดิกสัน(Dixon,1992) อธิบายว่า การเรียนรู้แบบนำตนเอง เป็น กระบวนการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง ตั้งเป้าหมายในการเรียน แสวงหาผู้สนับสนุน แหล่งความรู้ สื่อการศึกษาที่ใช้ใน การเรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้ของตนเอง ทั้งนี้ผู้เรียนอาจได้รับความ ช่วยเหลือจากผู้อื่น หรือ อาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นก็ได้ ในการกำหนดพฤติกรรมตามกระบวนการ ดังกล่าว การเรียนรู้แบบนำตนเอง เป็นแนวคิดที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีกลุ่มมนุษยนิยม ซึ่งมีความเชื่อเรื่องความ เป็นอิสระ และความเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ ดังที่มีผู้กล่าวไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความดี มีความ เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง สามารถหาทางเลือกของตนเอง มีศักยภาพและพัฒนา ศักยภาพของตนเองอย่างไม่มี ขีดจำกัด มีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น (Elias and Merriam, 1980 อ้างถึงใน Hiemstra and Brockett, 1994)


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 141 รูปแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2545 : 50- 51) ได้เสนอหลักการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ดังนั้น คือ 1. ศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันทั้งในด้านความสามารถในการ เรียนรู้ วิธีการเรียนรู้เจตคติ ฯลฯ ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ จึงต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะ อย่างยิ่งต้านความสามารถในการเรียนรู้ และวิธีการเรียนรู้ โดยจัดการเรียนรู้ เนื้อหาและสื่อที่เอื้อต่อการเรียนรู้ รายบุคคล รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำเอาประสบการณ์ของตนมาใช้ในการเรียนรู้ด้วย 2. จัดให้ผู้เรียนมีส่วนรับผิดชอบในการเรียน การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมรับผิดชอบการ เรียนรู้ของตนเอง ดังนั้น การจัดการเรียนรู้จึงควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีบทบาทตั้งแต่ การวางแผนกำหนดเป้าหมาย การเรียนที่สอดคล้องกับความต้องการของตน หรือกลุ่มการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้สื่อการเรียน การเลือกใช้ วิธีการเรียนรู้การใช้แหล่งข้อมูล ตลอดจนถึงการประเมินผลการเรียนของตน 3. พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เรียนจะต้องได้รับการฝึกให้มีทักษะ และยุทธศาสตร์การเรียนรู้ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่น การบันทึกข้อความ การจัดประเภทหมวดหมู่ การสังเกต การแสวงหาและใช้แหล่งความรู้ เทคโนโลยีและสื่อที่ สนับสนุนการเรียนรวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ใน การตัดสินใจ แก้ปัญหากำหนดแนวทางการ เรียนรู้ และเลือกวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง 4. พัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น การเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนต้องเรียนคนเดียว โดยไม่มีชั้นเรียนหรือเพื่อนเรียน ยกเว้นการเรียนแบบรายบุคคล โดยทั่วไปแล้ว ในการเรียนรู้ด้วยตนเองผู้เรียนจะได้ ทำงานร่วมกับเพื่อน กับครูและบุคคลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงต้องพัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นให้กับ ผู้เรียนเพื่อให้รู้จักการทำงานเป็นทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกับเพื่อนที่มีความรู้ความสามารถ ทักษะเจตคติที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในกระบวนการ เรียนรู้ 5. พัฒนาทักษะการประเมินตนเอง และการร่วมมือกันประเมินในการเรียนรู้ด้วยตนเองผู้เรียนเป็นผู้มี บทบาทสำคัญในการประเมินการเรียนรู้ ดังนั้น จึงต้องพัฒนาทักษะการประเมินให้แก่ผู้เรียน และสร้างความเข้าใจ ให้แก่ผู้เรียนว่า การประเมินตนเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบประเมินผลรวมทั้งยอมรับผลการประเมินจากผู้อื่นด้วย นอกจากนี้ต้องจัดให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์การ ประเมินผลหลาย ๆ รูปแบบ 6. จัดปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการ เรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นบริเวณในโรงเรียนจึงต้องจัดให้เป็นแหล่งความรู้ที่นักเรียนจะค้นคว้าด้วยตนเองได้ เช่น ศูนย์วิทยาการ บทเรียนสำเร็จรูป ชุดการสอน ฯลฯ รวมทั้งบุคลากร เช่น ครูประจำศูนย์วิทยบริการที่ช่วยอำนวย ความสะดวกและแนะนำเมื่อผู้เรียนต้องการ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 142 สรุปรูปแบบการเรียนรู้แบบนำตนเอง หลักการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองผู้จัดกิจกรรมต้องศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคลจัดให้ ผู้เรียนมีส่วนรับผิดชอบในการเรียน พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน พัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น พัฒนา ทักษะการประเมินตนเอง และการร่วมมือกันประเมินและจัดปัจจัย สนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน ซึ่ง จากแนวคิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมีแนวโน้มที่จะเป็น แนวคิดที่สำคัญของวงการการศึกษาของผู้ใหญ่ในอนาคต ซึ่ง การเรียนรู้ด้วยตนเอง จะเน้นถึงความรับผิดชอบของบุคคลและเชื่อในศักยภาพที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์ ซึ่งการที่ ผู้เรียนจะประสบความสำเร็จ และผลสัมฤทธิ์ของการเรียนได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความสนใจในเนื้อหาของ ผู้เรียนเป็นปัจจัยสำคัญ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 143 วิธีการสอนแบบสะเต็มศึกษา (STEM Education) ลักษณะเด่น/แนวความสำคัญของรูปแบบการจัดการการเรียนรู้ สะเต็มศึกษา (STEM Education) STEM Education คือการสอนแบบบูรณาการข้ามกลุ่มสาระวิชา (Interdisciplinary Integration) ระหว่างศาสตร์สาขาต่างๆ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineer: E)และคณิตศาสตร์(Mathematics: M) โดยนำจุดเด่นของ ธรรมชาติตลอดจนวิธีการสอนของแต่ละสาขาวิชามาผสมผสานกันอย่างลงตัว เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ทุกแขนงมา ใช้ในการแก้ปัญหา การค้นคว้า และการพัฒนาสิ่งต่างๆในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ซึ่งอาศัยการจัดการเรียนรู้ที่ ครูผู้สอนหลายสาขาร่วมมือกัน เพราะในการทำงานจริงหรือในชีวิตประจำวันนั้นต้องใช้ความรู้หลายด้านในการ ทำงานทั้งสิ้นไม่ใด้แยกใช้ความรู้เป็น นอกจากนี้STEM Education ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาทักษะสำคัญใน โลกโลกาภิวัตน์ หรือทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 อีกด้วย ทั้งนี้STEM Education เป็นการจัดการศึกษาที่มี แนวคิดและลักษณะดังนี้ 1. เป็นการบูรณาการข้ามกลุ่มสาระวิชา (Interdisciplinary Integration) นั่นคือเป็นการบูรณาการระหว่างศาสตร์สาขาต่าง ๆ ได้แก่ วิทยาศาสตร์(S) เทคโนโลยี(T) วิศวกรรมศาสตร์ (E) และ คณิตศาสตร์ (M) ทั้งนี้ได้นำจุดเด่นของธรรมชาติตลอดจนวิธีการสอนของแต่ละ สาขาวิชามา ผสมผสานกันอย่างลงตัว กล่าวคือ ㆍวิทยาศาสตร์ (S) เน้นเกี่ยวกับความเข้าใจใน ธรรมชาติ โดยนักการศึกษามักชี้แนะให้อาจารย์ครูผู้สอน ใช้วิธีการสอนวิทยาศาสตร์ด้วยกระบวนการสืบเสาะ (Inquiry-based Science Teaching) กิจกรรมการสอนแบบ แก้ปัญหา (Scientific Problem-based Activities) ซึ่งเป็นกิจกรรม ที่เหมาะกับผู้เรียนระดับประถมศึกษา แต่ไม่ เหมาะกับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษา หรือมหาวิทยาลัย เพราะทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่ายและไม่สนใจ แต่การสอน วิทยาศาสตร์ใน( STEM Education )จะทำให้นักเรียนสนใจ มีความกระตือรือร้น รู้สึกท้าทายและเกิดความมั่นใจ ในการเรียน ส่งผลให้ผู้เรียนสนใจที่ จะเรียนในสาขาวิทยาศาสตร์ในระดับชั้นที่สูงขึ้นและประสบความสำเร็จในการ เรียน ㆍ เทคโนโลยี(T) เป็นวิชาที่เกี่ยวกับกระบวนการ แก้ปัญหา ปรับปรุง พัฒนาสิ่งต่าง ๆ หรือกระบวนการ ต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของคนเรา โดยผ่านกระบวนการทำงานทางเทคโนโลยีที่เรียกว่า Engineering Design หรือ Design Process ซึ่งคล้ายกับกระบวนการสืบเสาะ ดังนั้น เทคโนโลยีจึงมิได้หมายถึงคอมพิวเตอร์ หรือ ICT ตามที่คนส่วน ใหญ่เข้าใจ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 144 ㆍวิศวกรรมศาสตร์(E) เป็นวิชาที่ว่าด้วยการคิด สร้างสรรค์พัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ให้กับนิสิตนักศึกษา โดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งคน ส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นวิซาที่สามารถเรียนได้แต่ จากการ ศึกษาวิจัยพบว่าแม้แต่เด็กอนุบาลก็สามารถเรียนได้ดีเช่นกัน ㆍ คณิตศาสตร์ (M) เป็นวิชาที่มีได้หมายถึงการนับจำนวนเท่านั้น แต่เกี่ยวกับองค์ประกอบอื่นที่สำคัญ ประการแรก คือกระบวนการคิดคณิตศาสตร์ (Mathematical Thinking) ซึ่งได้แก่ การเปรียบเทียบ การ จำแนก/จัดกลุ่มการ จัดแบบรูป และการบอกรูปร่างและคุณสมบัติ ประการที่สอง คือภาษาคณิตศาสตร์ เด็กจะสามารถถ่ายทอดความคิดหรือ ความเข้าใจ ความคิดรวบยอด (Concept) ทางคณิตศาสตร์ใด้โดยใช้ภาษาคณิตศาสตร์ในการสื่อสาร เช่น มากกว่า น้อยกว่า เล็กกว่าใหญ่กว่า ฯลฯ ประการสุดท้าย คือการส่งเสริมการคิดคณิตศาสตร์ขั้นสูง (Higher Level Math Thinking) จากกิจกรรม การเล่นของเด็กหรือการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน 2. เป็นการบูรณาการที่สามารถจัดสอนได้ในทุกระดับขั้น ตั้งแต่ชั้นอนุบาล - มัธยมศึกษาตอนปลาย โดยพบว่าในประเทศสหรัฐอเมริกาได้กำหนด เป็นนโยบายทาง การศึกษาให้ แต่ละรัฐนำ STEM Education มาใช้ผลจากการศึกษาพบว่า ครูผู้สอนใช้วิธีการสอนแบบ Projectbased Learning, Problem-based Learning, Design-based Learning ทำให้นักเรียนสามารถสร้างสรรค์ พัฒนาชิ้นงานได้ดีและถ้าครูผู้สอนสามารถใช้STEM Education ใน การสอนได้เร็วเท่าใดก็จะยิ่งเพิ่มความสามารถ และศักยภาพผู้เรียนได้มากขึ้นเท่านั้นซึ่งในขณะนี้ในบางรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกามีการนำSTEM Education ไปสอนตั้งแต่ระดับวัยก่อนเรียน (Pre-school) ด้วย 3. เป็นการสอนที่ ทำให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการด้านต่าง ๆ อย่างครบถ้วน และสอดคล้องกับ แนวการ พัฒนาคนให้มีคุณภาพในศตวรรษที่ ๒๑ เช่น ㆍด้านปัญญา ผู้เรียนเข้าใจในเนื้อหาวิชา ㆍด้านทักษะการคิด ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิด โดยเฉพาะการคิดขั้นสูง เช่น การคิด วิเคราะห์ การคิด สร้างสรรค์ ฯลฯ ㆍ ด้านคุณลักษณะ ผู้เรียนมีทักษะการทำงานกลุ่มทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การเป็นผู้นำ ตลอดจนการน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 145 จากแนวคิดข้างตันนักการศึกษาก็ยังได้มีบูรณาการศาสตร์อื่นประกอบเพื่อให้การจัดการศึกษา STEM Education นั้นครอบคลุมและพัฒนาผู้เรียนได้อย่างแท้จริงแบบรอบด้าน เช่น การจัดการศึกษา STEAM Education ที่มีการบูรณาการศิลปะ (A) ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสถ่ายทอดหรือประยุกต์ใช้ แนวคิดสำคัญ (Concept) ด้วยความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการยิ่งขึ้นผู้เรียนยังสามารถสื่อสารความคิดของตนเอง ในรูปแบบของดนตรี แสะการเคลื่อนไหว การสื่อสารด้วยภาษาท่าทางหรือการวาดภาพ หรือการสร้างโมเดลจำลอง ทำให้ชิ้นงานนั้น ๆ มีองค์ประกอบด้านความสุนทรีย์และความสวยงามเพิ่มขึ้น เกิดเป็นชิ้นงานที่มีความสมบูรณ์ทั้งการใช้งานและความ สวยงาม นอกจาก STEM Education จะเป็นการบูรณาการศาสตร์ทั้ง 4 สาขาดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังเป็นการบูร ณาการ ด้านบริบท (Context Integration) ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอีกด้วยการสอนนั้นมีความหมายต่อ ผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของการเรียนนั้น ๆ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ซึ่งจะเพิ่ม โอกาสการทำงาน การเพิ่มมูลค่า และสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศด้านเศรษฐกิจได้ ขั้นตอนการจัดการการเรียนรู้ตามวิธีสอน ลักษณะสำคัญของสะเต็มศึกษา ประกอบด้วย ๕ ประการ ได้แก่ (1) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้บูรณาการความรู้ และทักษะของวิชาที่เกี่ยวข้องในสะเต็ม ศึกษาในระหว่างการ เรียนรู้ (2) มีการท้าทายผู้เรียนให้ใต้แก้ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ผู้สอนกำหนด (3) มีกิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้แบบแอกทีฟ (active learning) ของผู้เรียน (4) ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ผ่านการทำกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่ผู้สอนกำหนดให้ (5) สถานการณ์หรือปัญหาที่ใช้ในกิจกรรมมีความเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน หรือการประกอบ อาชีพในอนาคต


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 146 การเปรียบเทียบแนวคิดและทักษะด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี คณิตศาสตร์ ตั้งคำถาม (เพื่อเข้าใจธรรมชาติ) นิยามปัญหา (เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต) ตระหนักถึงบทบาทของ เทคโนโลยีต่อสังคม ทำความเข้าใจและ พยายามแก้ปัญหา พัฒนาและใช้โมเดล พัฒนาและใช้โมเดล ใช้คณิตศาสตร์ในการ สร้างโมเดล ออกแบบและลงมือ ทำการค้นคว้า วิจัย ทดลอง ออกแบบและลงมือ ทำการค้นคว้า วิจัย ทดลอง เรียนรู้วิธีการใช้งาน เทคโนโลยีใหม่ๆ ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ในการแก้ปัญหา วิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ให้ความสำคัญกับความ แม่นยำ ใช้คณิตศาสตร์ ช่วยใน การคำนวณ ใช้คณิตศาสตร์ ช่วยใน การคำนวณ เข้าใจบทบาทของ เทคโนโลยีในการพัฒนา ด้านวิทยาศาสตร์และ วิศวกรรม ใช้ตัวเลขในการให้ ความหมายหรือเหตุผล สร้างคำอธิบาย สร้างคำอธิบาย พยายามหาวิธีการและ ใช้โครงงานในการ แก้ปัญหา ใช้หลักฐานในการยืนยัน แนวคิด ใช้หลักฐานในการยืนยัน แนวคิด ตัดสินใจเลือกใช้ เทคโนโลยีโดยพิจารณา ถึงผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม สร้างข้อโต้แย้งและ สามารถวิพากษ์การให้ เหตุผลของผู้อื่น ประเมินและสื่อสาร แนวคิด ประเมินและสื่อสาร แนวคิด มองหาและนำเสนอ ระเบียบวิธีในการให้ เหตุผล จากตาราง แนวปฏิบัติ(practice) ในทางวิทยาศาสตร์มีกระบวนการส่วนใหญ่เหมือนกับแนวปฏิบัติทางวิศวกรรมศาสตร์ กล่าวคือ ทั้งสอง ศาสตร์มีการพัฒนาและใช้โมเดลในการดำเนินงาน มีการออกแบบและลงมือค้นคว้าวิจัยเพื่อรวบรวมข้อมูล และ วิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว ทั้งวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ต้องการความรู้ทาง คณิตศาสตร์ในการคำนวณ


Click to View FlipBook Version