The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nurul Salwa Karoh, 2023-11-26 04:31:23

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 47 ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม 7. การคิดเชิงมโนทัศน์ มีความสามารถในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมด โดยมีการจัดระบบ จัดลำดับความสำคัญของข้อมูล เพื่อสร้างความคิดรวบยอด (Concept) 8. การคิดเชิงกลยุทธ์ มีความสามารถในการกำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุดโดยใช้จุดแข็ง ที่ตัวเองมี มีความยืดหยุ่นพลิกแพลงได้ภายใต้สภาวการณ์ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการ 9. การคิดเพื่อแก้ไขปัญหา มีความสามารถในการขจัดสภาวะความไม่สมดุลที่เกิดขึ้น โดยพยายามปรับตัวเองและสิ่งแวดล้อมให้กลับเข้าสู่สภาวะสมดุล 10. การคิดเชิงบูรณาการ มีความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลหรือแนวคิดหน่วยย่อย ๆ ทั้งหลายที่มีความสัมพันธ์เชิงเหตุผลเข้าด้วยกันกับเรื่องหลักได้อย่างเหมาะสมกลมกลืนเป็นองค์ รวมหนึ่งเดียวที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์ 11. การคิดเชิงสร้างสรรค์ มีความสามารถในการขยายขอบเขตความคิดที่มีอยู่เดิมสู่ความคิดที่ แปลกใหม่ โดยเป็นความคิดที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม 12. การคิดเชิงอนาคต มีความสามารถในการคาดการณ์แนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ อย่างชัดเจนและสามารถนำสิ่งที่คาดการณ์นั้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมโดยจะต้องฝึก นักเรียนในสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ 12.1 ฝึกสังเกต 12.2 ฝึกบันทึก 12.3 ฝึกการนำเสนอ 12.4 ฝึกการฟัง 12.5 ฝึกการอ่าน การค้นคว้า 12.6 ฝึกการตั้งคำถามและตอบคำถาม 12.7 ฝึกการเชื่อมโยงทางความคิด 12.8 ฝึกการเขียนและเรียบเรียงความคิดเป็นตัวหนังสือ ทฤษฎีที่ 4 การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพและลักษณะนิสัย ศิลปะ ดนตรีกีฬา โดยควรจะมีความ สอดแทรกหลักการของความเหมือน หลักการของความแตกต่าง หลักการของความเป็นฉันการผ่อนคลายทาง อารมณ์ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น ความสำคัญก็คือ การสร้างความสมดุลระหว่างความท้าทายอยากรู้กับความผ่อน คลาย มีระเบียบวินัยที่จากตนเองการใช้คำถามเพื่อให้ค้นหาคำตอบว่าทำไมต้องมีระเบียบวินัย การผิดระเบียบและ วินัยย่อมต้องมีเหตุผล แต่เหตุผลไม่ใช่ตัวตัดสินถูกผิด


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 48 ทฤษฎีที่ 5 การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพและลักษณะนิสัย การฝึกฝนกาย วาจา ใจ 1. สอนโดยใช้อุทาหรณ์แล้วตั้งคำถามให้เด็กตอบ แล้วให้เด็กสรุปด้วยตัวเอง 2. สอนโดยใช้การแฝงสาระ การพูดคุยถามความเห็นไม่ใช่ให้เด็กจำในสิ่งที่สั่งฟังในสิ่งที่พูดจาก แนวคิดพื้นฐานและทฤษฎีการเรียนรู้ตามหลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานตามที่กล่าวมา ข้างต้น สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ตามหลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน หมายถึง แนวทางการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักการสมองกับการเรียนรู้บนความคิดพื้นฐาน 3 ด้าน คือ อารมณ์เป็นส่วน สำคัญในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน การเรียนรู้ต้องใช้ทุกส่วนทั้งการคิด ความรู้สึกและการลงมือปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน จึงเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุดกระบวนการและลีลานำไปสู่การสร้างแบบแผนอย่างมีความหมายโดยใช้กระบวนการ เรียนพัฒนาผลการเรียนรู้ ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (วิมลรัตน์ สุมทรโรจน์. 2550 ; อ้างอิงมาจาก นิราศ จันทรจิตร. 2553 : 339-341) จึงได้เสนอกรอบในการจัดกิจกรรมตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นที่ครูวางแผนในการสนทนากับนักเรียน เพื่อเตรียมความพร้อมให้เข้าใจในสิ่ง ที่จะเรียน และสามารถเชื่อมโยงไปสู่เรื่องที่จะเรียนได้ 2. ขั้นตกลงกระบวนการเรียนรู้ เป็นขั้นที่ครูและนักเรียนตกลงร่วมกันว่านักเรียนจะต้องทำกิจกรรมใดบ้าง อย่างไร และจะมีวิธีวัดและประเมินผลอย่างไร 3. ชั้นเสนอความรู้ใหม่ เป็นขั้นที่ครูจะต้องเชื่อมโยงประสบการณ์การต่าง ๆมาสร้างองค์ความรู้ใหม่ คือ การสอนหรือการสร้างความคิดรวบยอดให้แก่นักเรียน จนเกิดความรู้ความเข้าเรียน 4. ขั้นฝึกทักษะ เป็นขั้นที่นักเรียนเข้ากลุ่มแล้วร่วมมือกันเรียนรู้ และสร้างผลงานในขั้นนี้คำว่า ฝึกทักษะ หมายถึง การวิจัย การฝึกปฏิบัติการทดลอง การสังเกตจากสิ่งแวดล้อมแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ การ ทำแบบฝึกการวาดภาพ และการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ จนประสบผลสำเร็จได้ผลงานออกมา (ผลงานควร ชัดเจนน่าสนใจ ไม่ใช่ใส่กระดาษ A4 หรือกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แต่ควรเป็นกระดาษขนาดใหญ่ เช่นกระดาษ ปรู๊ฟ ใช้นำเสนออาจเป็นการเขียนธรรมดาหรือแผนผังความคิด) 5. ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นขั้นที่ตัวแทนแต่ละกลุ่มที่ได้จากการจับสลาก ออกมาเสนอผลงาน เพื่อเป็น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 49 6. ชั้นสรุปความรู้ เป็นชั้นที่ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้แล้วให้นักเรียนทำใบงานเป็นรายบุคคลแล้ว เปลี่ยนกันตรวจโดยครูและนักเรียนร่วมกันเฉลย แล้วให้นักเรียนแต่ละคนปรับปรุงผลงานตนเอง ให้ถูกต้อง ครูรับทราบแล้วเก็บผลงานไว้ในแฟ้มสะสมงานของตนเอง 7. ขั้นกิจกรรมเกม เป็นขั้นที่ครูจัดทำข้อสอบมาให้นักเรียนทำเป็นรายบุคคลโดยไม่ซักถามกันส่งเป็นกลุ่ม แล้วเปลี่ยนกันตรวจเป็นกลุ่ม โดยครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยแล้วให้แต่ละกลุ่มหาค่าคะแนนเฉลี่ย บอก ครูบันทึกไว้แล้วประกาศผลเกม กลุ่มใดได้คะแนนเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นกลุ่มชนะเลิศ การจัดกิจกรรมทั้ง 7 ขั้นตอนนี้ เป็นกิจกรรมประสมประสานระหว่างการใช้กระบวนการกลุ่มแผนผัง ความคิด ใบงาน และเกม เป็นหลักการที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ลงมือทำเองได้ฝึกฝนซ้ำในเรื่องเต็มทำให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ และจดจำได้แม่นยำ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และยังสอดคล้องกับ หลักการเรียนของ B8L (Brain Based Learning) คือการเรียนเรื่องเดิมโดยใช้กิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ได้แม่นยำ และจำได้นาน นิราศ จันทรจิตร (2553 : 341-344) จึงได้เสนอกรอบในการจัดกิจกรรมตามลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ขั้นการสร้างความสนใจหรือนำเข้าสู่บทเรียน กิจกรรมในขั้นตอนนี้มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อม สร้างความสนใจหรือแรงจูงใจในการที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ ซึ่งอาจมีการตรวจสอบและทบทวนความรู้ พื้นฐานของผู้เรียนไปพร้อมด้วย โดยผู้สอนอาจคิดหากิจกรรมมาใช้ประกอบในชั้นนี้เป็นกิจกรรมที่สร้าง บรรยากาศในการเรียน ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป เป็นกิจกรรมที่กระตุ้นเร้าให้ผู้เรียนมีความพร้อมในทุกด้าน ในการเผชิญเหตุการณ์หรือสถานการณ์การเรียนรู้ที่จะตามมาในรูปแบบต่าง ๆ ในลักษณะที่ง่ายไม่ซับซ้อน และน่าสนใจ ได้แก่ กิจกรรมเกม เพลง เรื่องเล่า การแสดงความคิดเห็น การแสดงบทบาทท่าทาง การ แข่งขัน ปริศนาข้อความ การตอบ คำถาม การอภิปรายเหตุการณ์เรื่องราวจากสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อ ภาพเคลื่อนไหวหรือภาพ นิ่ง สื่อวิซีดีหรือ สื่อของจริง หรือการตรวจสอบความรู้พื้นฐานด้วยวิธีการที่ เหมาะสม ซึ่งเป็นประเด็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริบทของเนื้อหาสาระที่จะเรียนรู้ใหม่ ทั้งในรูปแบบของ กลุ่มหรือผู้เรียนรายบุคคล 2.ขั้นนำเสนอความรู้ใหม่ หรือชั้นการสำรวจความรู้หรือการเรียนรู้เนื้อหาสาระใหม่จากการนำเสนอของครู จากสื่อการเรียนหรือจากการที่ผู้เรียนลงมือสำรวจศึกษา หันหาคำตอบจากแหล่งความรู้ด้วยวิธีการที่ หลากหลายน่าสนใจ และไม่ซับซ้อนหรือเป็นนามธรรมยากที่ทำความเข้าใจมากเกินไป ซึ่งมีหลักการสำคัญ ของกิจกรรมในขั้นนี้ คือ จัดให้นักเรียนมีโอกาสทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกันหรือรายบุคคล รับรู้และทำความ เข้าใจในเนื้อหาหรือบทเรียนใหม่ด้วยประสาทสัมผัสรับรู้ที่หลากหลายเป็นรูปธรรมมากกว่ารวมทั้งการมี


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 50 ปฏิสัมพันธ์และการร่วมมือกันเรียนกับผู้อื่น การจัดลำดับขั้นตอนของเนื้อหาความรู้ที่เชื่อมโยงต่อเนื่องและ มีเหตุผลอธิบายได้ การเรียนรู้จากสื่อที่น่าสนใจเหมาะกับเนื้อหาในบทเรียน ข้อมูลความรู้ที่จัดให้เรียนควร สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงของผู้เรียน ดังนั้น กิจกรรมการเรียนในขั้นนี้จึงจำเป็นต้องใช้สื่อ กิจกรรม และวิธีที่ หลากหลาย ผู้เรียนมีโอกาสลงมือปฏิบัติและทำความเข้าใจด้วยตนเองให้มากที่สุด 3. ชั้นการวิเคราะห์และสรุปหรือสร้างความคิดรวบยอด เป็นกิจกรรมการเรียนที่มุ่งให้ผู้เรียนนำข้อมูล ความรู้ใหม่ที่ได้รับแต่ยังไม่มีการนำมาจัดระบบระเบียบให้เป็นความคิดรวบยอดหรือองค์ความรู้ใหม่ที่ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดังนั้น จึงต้องจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนนำมาสังเคราะห์หรือสรุปเป็นความรู้ ความคิดรวบยอดของบทเรียน ซึ่งอาจใช้แผนภูมิกราฟิกหรือผังความคิดช่วยในการสังเคราะห์และสรุป ความรู้ หากมีเวลาพออาจจัดกิจกรรมเริ่มจากนักเรียนแต่ละคนคิดสรุปของตนก่อนแล้วสังเคราะห์เชื่อมโยง ไปยังกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ โดยจัดเป็นกิจกรรมที่ใช้ทักษะการพูดการเขียนและการคิดควบคู่กันของ สมาชิกในกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความแตกฉานในการแสดงความคิดเห็นรอบด้านก่อนนำไปสู่การพิจารณา ตัดสินลงความคิดเห็นในข้อมูลความรู้นั้นในขั้นต่อมา 4. ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขั้นการฝึกปฏิบัติ ในกรณีที่การเรียนรู้ครั้งนั้นมีจุดประสงค์ต้องการให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้อย่างหลากหลาย และตัดสินใจหรือลงความคิดเห็นในข้อสรุปที่น่าเชื่อถือได้ และเกิดมุมมอง ทางความคิดที่แตกต่างกัน จึงเห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจในความรู้ นั้นมากขึ้น ประกอบกับเมื่อผู้เรียนได้รับการฝึกปฏิบัติหรือฝึกทักษะอย่างต่อเนื่อง ก็น่าจะช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้อย่ามีคุณค่าและมีความหมายต่อตนเองมากขึ้นด้วย 5. ขั้นประยุกต์ใช้ความรู้ เป็นกิจกรรมการเรียนที่สนับสนุนให้ผู้เรียนนำความรู้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับ บริบท และสถานการณ์ปัญหาที่เผชิญใหม่ เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง และเป็นที่ยอมรับซึ่งผู้เรียนที่มีวุฒิ ภาวะสูงอาจปรับใช้กิจกรรมประยุกต์ควบคู่กันการขยายหรือการองค์ความรู้ใหม่ เนื่องจากขั้นการขยาย ความรู้ เป็นขั้นกิจกรรมที่สนับสนุนให้ผู้เรียนใช้ประสบการณ์ความรู้เพิ่มเติมผนวกกับความคิดที่จะนำไปใช้ ในสถานการณ์ปัญหาใหม่ เพื่อปรับเปลี่ยนและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำไปสู่แนวคิดวิธีการปฏิบัติ ใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมในลักษณะสร้างสรรค์ เพราะการขยายความรู้จะมีความซับซ้อนมากกว่าเมื่อ พิจารณาในบริบทของการประยุกต์ให้ความรู้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 51 6. ขั้นการและประเมินผลการเรียน เป็นกิจการตรวจสอบว่าผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเข้าใจครอบคลุมบริบท เนื้อเนื้อหาของบทเรียน และทำให้ผู้สอนรับรู้ว่าจุดประสงค์การเรียนรู้หรือตัวชี้วัดนั้นผ่านการตรวจสอบว่า นักเรียนบรรลุหรือยังและบรรลุผลในระดับใด ยังต้องการปรับปรุงเพิ่มเติมในประเด็นใดบ้าง เจนเซ่น (Jensen. 2000 : 200-201) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. Preparation เป็นการเตรียมสมองสำหรับการเชื่อมโยงความรู้ผู้สอนอาจจะให้กำลังใจหรือกระตุ้น ผู้เรียนด้วยการอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วและสอบถามความต้องการของผู้เรียนว่า ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับอะไรในหัวข้อนั้นอีกบ้าง 2. Acquisition เป็นการเตรียมสมองเพื่อซึมซับข้อมูลใหม่ สมองจะเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลความรู้เพิ่มเติม กับข้อมูลใหม่ตามความเป็นจริงอย่างสร้างสรรค์ 3. Elaboration ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยการใช้ข้อมูลและข้อคิดเห็นเพื่อสนับสนุนเชื่อมโยงการเรียนรู้และเพื่อ ตรวจสอบแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด 4. Memory Formation สมองจะทำงานภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยดึงข้อมูลจากการเรียนรู้รวมทั้ง อารมณ์และสภาพทางร่างกายของผู้เรียนในเวลานั้นมาใช้แบบไม่รู้ตัวเป็นไปโดยอัตโนมัติ การสร้าง ความจำเกิดขึ้นทั้งในขณะที่ผู้เรียนพักผ่อน และนอนหลับ 5. Functional integration ผู้เรียนจะประยุกต์ข้อมูลเดิมมาใช้กับสถานการณ์ เช่น ผู้เคยเรียนการซ่อม เครื่องมือ อุปกรณ์ โดยการดูการซ่อมเตาอบที่บ้านพักมาแล้วเขาต้องสามารถประยุกต์ทักษะการซ่อมเตา อบไปซ่อมอุปกรณ์ชนิดอื่นได้ด้วย


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 52 การจัดการเรียนการสอนแบบบทบาทสมมติ (Role-Play Method) ความหมาย การจัดการเรียนการสอนแบบบทบาทสมมติ คือ การสอนแบบแสดงบทบาทสมมติ เป็นวิธีสอนที่ผู้สอน กำหนดหัวข้อเรื่อง ปัญหาต่าง ๆ หรือสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้คล้ายกับสภาพความเป็นจริง แล้วให้ผู้เรียนได้ เตรียมการล่วงหน้า แล้วจึงแสดงบทบาทตามที่สมมติขึ้นมาอันเป็นแนวทางที่สามารถนำไปแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ อาจจะประสบในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ผู้เรียนก็สามารถแสดงบทบาทในชั้นเรียน โดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า แนวคิด การแสดงบทบาทสมมุติเป็นวิธีการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกการแสดงออกตามสถานการณ์ที่กำหนดไว้เพื่อเป็น ประสบการณ์ที่จะนำไปแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ในชีวิตจริง ลักษณะสำคัญ การสอนโดยใช้บทบาทสมมุติเป็นการให้ผู้แสดง แสดงออกถึงความรู้สึก ความคิด ทัศนคติต่าง ๆออกมา เพื่อเป็นแนวทางการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงออกโดยตัวผู้เรียนเอง 2. เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกวางแผนการทำงานและทำงานร่วมกันได้ 3. เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมทั้งของตนเองและของผู้อื่น 4. เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้แสดงและผู้ดูที่ดี 5. เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้จากการแสดงบทบาทสมมุติ จำนวนผู้เรียน การสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ จะใช้ในห้องเรียนปกติแต่จะแบ่งผู้เรียนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่แสดงตามบทบาทที่กำหนด โดยครูหรือตามที่มอบหมายจาก เพื่อน ซึ่งจะมีเท่าใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หรือเนื้อหา


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 53 2. กลุ่มผู้สังเกตการณ์ อาจจะเป็นผู้เรียนที่อยู่นอกเหนือจากการแสดงทั้งหมดหรืออาจจะวางให้ ชัดเจนว่าผู้เรียนคนใดจะเป็นผู้สังเกตการณ์ ทั้งนี้อาจจะเลือกโดยผู้สอนหรือผู้เรียนเองก็ได้แต่ที่ สำคัญสังเกตการณ์ต้องมีไหวพริบความสามารถในการนำเสนอได้ 3. กลุ่มอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก 2 กลุ่มข้างต้น ลักษณะเนื้อหา การแสดงบทบาทสมมุติจะใช้ได้ดีในเนื้อหาที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของคน ไม่ว่าจะเป็น การแสดงบทบาทที่สมมุติขึ้นมาหรือบทบาทที่เป็นของผู้แสดงเอง ต่างก็เป็นเรื่องของพฤติกรรมนิสัย หรือ บุคลิกภาพของมนุษย์ทั้งสิ้น แต่ผู้สอนก็อาจจะปรับใช้ในวิชาอื่น ๆ ก็ได้ บทบาทผู้สอน การสอนบทบาทสมมุติผู้สอนมีบทบาทดังนี้คือ 1. ผู้สอนเป็นผู้พัฒนาหรือช่วยกันวิเคราะห์ร่วมกับผู้เรียนว่าจะกำหนดเรื่องราวใด ปัญหาใดที่จะ กำหนดบทบาทสมมุติและตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภายหลังการแสดงบทบาท สมมุติแล้ว 2. ผู้สอนจะต้องเป็นผู้เตรียมคำถามเพื่อถามผู้เรียนให้แสดงความคิดเห็นมากที่สุด 3. ผู้สอนจะต้องเตรียมประเด็นที่จะให้ผู้เรียนที่ทำหน้าที่สังเกตการณ์ได้สังเกตการณ์ประเด็นที่ กำหนด 4. ผู้สอนมีส่วนร่วมชี้แนะและคอยดูแลกำกับให้การแสดงบทบาทเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ กำหนดไว้ 5. ผู้สอนต้องเป็นผู้คัดเลือกผู้แสดง ทั้งนี้เพื่อให้การแสดงเป็นไปตามที่คาดหวัง 6. เป็นผู้ประเมินกระบวนการทั้งหมดร่วมกับผู้เรียน บทบาทผู้เรียน 1. เป็นผู้แสดงบทบาทสมบูรณ์ตามที่ผู้สอนกำหนด 2. เป็นผู้สังเกตการณ์ 3. เป็นผู้ชม 4. เป็นผู้แสดงความคิดเห็นหรือร่วมอภิปรายและสรุป


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 54 ขั้นตอนการสอน ขั้นเตรียมการ ผู้สอนเป็นผู้กำหนดสถานการณ์หรือช่วยกันวิเคราะห์เหตุการณ์หรือประเด็นต่าง ๆ ร่วมกับผู้เรียนแล้ว กำหนดผู้แสดงบทบาทหรือประเด็นต่าง ๆ ร่วมกับผู้เรียน ทั้งนี้ส่วนใหญ่การแสดงบทบาทสมมุติจะแสดงทันทีทันใด โดยไม่ต้องมีการฝึกซ้อมมาก่อน โดยผู้สอนเพียงเป็นผู้อธิบายหรือซักซ้อมคร่าว ๆ เท่านั้นบางครั้งการแสดงบทบาท สมมุติ อาจจะใช้วิธีการทันทีทันใดแต่กำหนดหรือเลือกให้แสดงทันทีทันใด ผู้สอนต้องกำหนดผู้สังเกตการณ์และ มอบหมายประเด็นที่จะสังเกตการณ์ให้ชัดเจน ขั้นแสดง ให้ผู้เรียนได้แสดงบทบาทตามที่ได้รับมอบหมายหรือเตรียมมาซึ่งบางครั้งก็แสดงทันทีทันใด ขั้นสรุป เมื่อการแสดงจบลงผู้เรียนควรจะวิเคราะห์ อภิปราย และสรุป ด้วยตัวนักเรียนเอง ทั้งนี้อาจจะมี รูปแบบการอภิปรายตามความเหมาะสม บางครั้งการแสดงบทบาทสมมุติอาจจะต้องแสดงช้ำเพราะว่าการ แสดงในครั้งแรกเร็วเกินไปหรือไม่ชัดเจน สื่อการสอนเมื่อสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ สื่อที่ใช้ในการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติส่วนใหญ่คือ ผู้เรียน เพราะผู้เรียนเป็นผู้ถ่ายทอดแนวคิดเนื้อหา และพฤติกรรมต่าง ๆ แต่ละขั้น และในการสรุปอาจจะใช้สื่อยื่นเสริมเพิ่มเติมก็ได้ การวัดและประเมินผล ในส่วนของการแสดงบทบาทสมมุตินั้น ผู้สอนเป็นผู้ประเมินว่าผู้แสดงแสดงได้ในระดับใด แต่สิ่งที่ ได้หรือข้อสรุปหรือแนวคิดที่ได้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป ผู้สอนก็ใช้วิธีสังเกตว่า ในพฤติกรรมของผู้เรียนเป็นอย่างไร การปรับใช้การสอนโดยใช้บทบาทสมมุติเพื่อเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การแสดงบทบาทสมมุติจะได้ผลดีและตรงกับแนวคิดผู้เรียนเป็นสำคัญต้องคำนึงถึง 1. ผู้สอนควรศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ก่อนที่จะให้ผู้เรียนได้แสดง 2. ผู้สอนต้องคาดหวังถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้วหาทางแก้ปัญหาไว้ก่อน 3. การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการเลือกสถานการณ์ บทบาท กำหนดผู้แสดงการ วิเคราะห์ผล และสรุป อภิปรายผลโดยนักเรียนเอง จะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 55 4. ครูผู้สอนจะต้องมีความสามารถในการกระตุ้นให้ผู้เรียน อยากคิด อยากทำ อยากแสดง และต้องการมี ส่วนร่วมให้มากที่สุด 5. บรรยากาศของการแสดงบทบาทสมมุติ ควรจะเป็นบรรยากาศของประชาธิปไตยไม่อึดอัดหรือไม่เต็มใจ 6. ขั้นการวิเคราะห์และสรุปผลเป็นขั้นที่สำคัญมาก ผู้สอนต้องกำกับและถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้เข้าใจและ สรุปผลได้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ มีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ขั้นเตรียมการใช้บทบาทสมมติ แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ขั้นการกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ ผู้สอนควรศึกษาและทำความเข้าใจพื้นฐานเสียก่อนว่า ต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้อะไรบ้างจากการแสดงและกรรมวิธีในการใช้บทบาทสมมตินำไป เพื่อต้องการให้เกิดอะไรขึ้น 1.2 ขั้นสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติ เมื่อผู้สอนได้ศึกษาและเข้าใจรายละเอียด เกี่ยวกับวัตถุประสงค์เฉพาะในการเตรียมใช้บทบาทสมมติแล้ว ก็จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์และ บทบาทสมมติให้สอดคล้องต้องกันกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว ซึ่งจำเป็นต้องเล็งเห็นถึงวัยของผู้เรียน เนื้อหาสาระ ปัญหา ความเป็นจริง ข้อโต้แย้ง ตลอดจนอุปสรรคที่จำเป็นต่าง ๆ ที่ผู้สอนต้องให้ ผู้เรียนได้รู้จักคิด ปฏิบัติและแก้ไขด้วยตนเอง 2. ขั้นแสดงบทบาทสมมติ แบ่งเป็น 7 ขั้นตอน ดังนี้ 2.1 การนำเข้าสู่สถานการณ์ ผู้สอนเตรียมเรื่องหรือสถานการณ์ให้ผู้เรียน แล้วนำเรื่องราว มาเล่าให้ผู้เรียนฟัง เพื่อเป็นการเร้าความสนใจ เป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนอยากเรียนและ อยากคิด ตาม และควรให้ผู้เรียนได้เล็งเห็นประโยชน์ที่จะได้รับ จากการที่เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดง บทบาทสมมตินั้นๆ 2.2 การกำหนดตัวผู้แสดง การเลือกผู้แสดงขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการสอนและการแสดง สำหรับการเลือกตัวผู้แสดง ควรให้ผู้เรียนอาสาสมัครมาแสดงบทบาทด้วยความเต็มใจ 2.3 การจัดสถานที่ ผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้ร่วมมือในการจัดสถานที่สำหรับการแสดงบทบาท สมมติ ซึ่งควรจัดและดัดแปลงให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่องที่กำหนดไว้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 56 2.4 การกำหนดตัวผู้สังเกตการณ์ โดยผู้สอนอาจจะกำหนดผู้เรียนกลุ่มหนึ่งให้เป็นผู้สังเกตการณ์ ในการแสดงบทบาท โดยฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตและรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์ อภิปราย และแก้ปัญหาร่วมกัน หลังจากสิ้นสุดการแสดงบทบาทสมมติแล้ว 2.5 การเตรียมพร้อมก่อนการแสดง วิธีเตรียมความพร้อมนั้นผู้สอนต้องเป็นผู้ช่วยเหลือไม่ให้ ผู้เรียนต้องมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแสดงให้มากเกินไป ควรชี้แจงให้ผู้แสดงทราบว่า การ แสดงก็เหมือนกับการพูด คุย และเล่นกันธรรมดา เพียงแต่ต้องแสดงบทบาทต่าง ๆ ตามที่ได้ กำหนดไว้เท่านั้น 2.6 การลงมือแสดง เมื่อผู้แสดงพร้อมแล้วก็เริ่มลงมือแสดงได้เลย ควรเปิดโอกาสให้ ผู้แสดงได้ใช้ ความสามารถของตนได้เต็มที่ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นในขณะที่แสดง ผู้สอนควรมีส่วนร่วมในการแก้ไข สถานการณ์ เพื่อให้การแสดงเป็นไปตามธรรมชาติและราบรื่นต่อไป 2.7 การตัดบท ถ้าบังเอิญการแสดงของผู้เรียนยืดเยื้อและใช้เวลานานเกินความจำเป็นและ ผู้สอนที่ความคิดเห็นว่าได้ข้อมูลในการแสดงพอสมควรแล้ว ก็สามารถขอให้ยุติการแสดง เพื่อจะ ได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์และอภิปรายและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ต่อไป 3. ขั้นวิเคราะห์และอภิปรายผล การนำข้อมูลที่ได้จากการแสดงมาวิเคราะห์และอภิปราย ผู้สอนและผู้เรียนต้องร่วมมือกัน แต่ควรอภิปราย ในรูปแบบของความมีเหตุมีผลเฉพาะ การแสดงออกของผู้แสดงทางพฤติกรรมเท่านั้น แต่จะไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ เกี่ยวกับตัวผู้แสดง 4. ขั้นแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุป เมื่อได้วิเคราะห์และอภิปรายผลของการแสดงแล้ว ผู้สอนจะเป็นผู้เร้าและจูงใจให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยน ประสบการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้มีแนวคิดกว้างขวางขึ้น โดยให้ข้อคิดว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้หรือประสบพบเห็นนั้น ๆ จะ เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงทั้งสิ้น แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันให้แนวมโนทัศน์และช่วยกันสรุปประเด็นให้ตรงกับ วัตถุประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติที่กำหนดไว้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 57 การจัดการเรียนการสอนแบบแสดงละคร (Dramatization) ความหมาย การแสดงบทบาทสมมุติเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยที่ผู้แสดงพูดตามบทหรือร้องตามบทที่ผู้เขียนกำหนด ไว้ให้ 1. ละครพูดหรือละครรำ อาจเตรียมตัวมาก่อนหรือไม่ก็ได้ 2. ลิเก นักเรียนผู้แสดงต้องขับร้องและพูดบทเจรจาเอง 3. โขน ช่วยให้บทเรียนสนุกสนาน เพลิดเพลิน ต้องตระเตรียมและหัดซ้อม 4. การแสดงบทบาทสมมุติบุคคลต่าง ๆ Role Playing หมายถึงการให้นักเรียนแสดง บทบาทสมมุติตนเองเป็นบุคคลในสังคม 5. การแสดงละครใบ้ แสดงโดยสมมุติเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างสั้นๆ แสดงความรู้สึกทาง ท่าทาง 6. การจัดขบวนแห่ เสียเวลาในการตระเตรียม ลงทุนลงแรงมากจึงจะให้ความรู้ความเข้าใจ 7. การจำลองเหตุการณ์ Tableau โดยจัดเหตุการณ์ตอนต้นตอนหนึ่งขึ้น มีตัวละครแต่งตัว ให้สมจริงยืนประจำที่ต่าง ๆ ไม่มีการเจรจาไม่มีการเคลื่อนไหว 8. การแสดงเกี่ยวกับปัญหาของสังคม ไม่มีการเตรียมตัว ซักซ้อมล่วงหน้า ให้นักเรียนคิดอ่าน แก้ปัญหาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 9. หุ่น 9.1 หุ่นมือ (Hand Puppet) ให้นิ้ว 3 นิ้ว แสดงความเคลื่อนไหวทำทางประกอบบทร้อง 9.2 หนังตะลุง (Shadow Play) ใช้ตัวหนัง การแสดงนี้ใช้แสงสว่างฉายผ่านหน้าตัวหนัง ทำให้เกิดเงาบนจอ หลักในการจัดการแสดง 1. ครูและนักเรียน ควรมีส่วนร่วมในการวางแผนงานร่วมกัน ครูต้องคำนึงถึงความสนใจ ความถนัด และ ความสามารถของนักเรียนเป็นสำคัญ 2. ควรเลือกเนื้อเรื่องที่จะนำมาแสดงให้เหมาะสม 3. ควรประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น การแต่งกาย ควรใช้สิ่งที่มีอยู่ดัดแปลงให้เหมาะสม


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 58 การดำเนินการจัดการแสดง ขั้นที่ 1 การเตรียม 1. เลือกเรื่องที่จะแสดงให้มีส่วนสัมพันธ์กับบทเรียน 2. ตั้งความมุ่งหมายในการแสดงเนื้อเรื่องตอนนั้น ๆ ให้แน่นอน 3. กำหนดตัวผู้แสดง และเตรียมตัวผู้แสดง 4. การเตรียมตัวผู้ชม ซักซ้อมความเข้าใจกับนักเรียนผู้ชม ทั้งหมดนี้นักเรียนควรมีส่วนร่วมในการวางแผน งานร่วมกับครูด้วยเป็นอย่างมาก 5. กำหนดระยะเวลาในการแสดง 6. เตรียมสถานที่และจัดฉากตามสมควร 7. คำนึงถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เหมาะสม ขั้นที่ 2 ดำเนินการแสดง นักเรียนจะเป็นผู้แสดงด้วยตนเอง ขั้นที่ 3 การติดตามผล เมื่อการแสดงจบลง ครูควรให้นักเรียนทั้งหมดร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็น 1. ผู้ชมการแสดง อภิปรายแสดงความคิดเห็น การแสดงเป็นไปตามความมุ่งหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ผู้ชมเกิด ความรู้สึกประทับใจหรือได้อะไรจากการแสดงบ้าง 2. ผู้แสดง ยอมรับฟังคำวิจารณ์ อย่างเต็มใจ 3. ครูสรุปบทเรียนร่วมกับนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสรุปความคิดรวบยอด (Concept) ของบทเรียนที่นำมาแสดงละคร


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 59 การจัดการเรียนการสอนแบบสถานการณ์จำลอง (Simulation Technique) ความหมาย วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ที่มีบทบาท ข้อมูล และกติกาการเล่น ที่สะท้อนความ เป็นจริง และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์นั้น โดยใช้ข้อมูลที่มีสภาพคล้ายกับข้อมูลในความเป็น จริง ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งการตัดสินใจนั้นจะส่งผลถึงผู้เล่นในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นใน สถานการณ์จริง ความมุ่งหมายของวิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง สถานการณ์จำลองเป็นเหตุการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบสถานการณ์จริง ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนได้ ฝึกฝนให้เกิดความรู้และทักษะที่เกิดจากการได้ปฏิบัติหรือเผชิญในสถานการณ์จำลองนั้นๆ ดังรายละเอียดที่นักการ ศึกษาท่านให้ข้อคิดเห็นไว้ ดังนี้ อินทิรา บุณยาทร (2542 : 102) อธิบายว่า ความมุ่งหมายของการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ประกอบด้วย 1. เพื่อฝึกการคิดวินิจฉัยแก้ปัญหา การควบคุมสถานการณ์ การตัดสินใจในสถานการณ์ที่ผู้เรียนอาจต้อง พบในชีวิตจริง 2. เพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม สร้างความสัมพันธ์กับสมาชิกในกลุ่ม การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น การ มีวินัยในตนเอง 3. เพื่อฝึกความกล้าของผู้เรียน ให้กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีในการ แก้ปัญหาต่อไปในอนาคต สรุปได้ว่า การสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง เป็นการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสภาพคล้ายความ เป็นจริง มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญดังนี้ คือ 1. ให้ผู้เรียนรู้จักการใช้ทักษะต่าง ๆ ที่ได้เรียนภาคทฤษฎีไปแล้วก่อนเข้าสู่สถานการณ์จริง 2. มุ่งฝึกการคิดวินิจฉัยแก้ปัญหา การควบคุมสถานการณ์ การตัดสินใจในสถานการณ์ที่ผู้เรียนอาจต้องพบ ในชีวิตจริง 3. มุ่งฝึกการใช้ทักษะด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น กระบวนการคิด การมีส่วนร่วมในการเรียนเป็นต้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 60 4. มุ่งให้ผู้เรียนเรียนรู้จากสถานการณ์คล้ายความเป็นจริง 5. มุ่งให้ผู้เรียนได้พบและรู้จักแก้ปัญหาในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6. มุ่งให้ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ กล้าคิดกล้าทำมากยิ่งขึ้น และเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่ สถานการณ์จริง 7. มุ่งให้ผู้เรียนรู้จักทำงานเป็นกลุ่ม ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ และฝึกความอดทน องค์ประกอบสำคัญของวิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ทิศนา แขมมณี (2550 : 370) กล่าวถึงการสอนโดยใช้สถนการณ์จำลอง มีองค์ประกอบที่สำคัญ 1. มีผู้สอนและผู้เรียน 2. มีสถานการณ์ ข้อมูล บทบาทและกติกา ที่สะท้อนความเป็นจริง 3. ผู้เล่นในสถานการณ์มีปฏิสัมพันธ์กันหรือมีปฏิสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆ ในสถานการณ์นั้น 4. ผู้เล่นหรือผู้สวมบทบาทมีการใช้ข้อมูลที่ให้ในการตัดสินใจ 5. การตัดสินใจส่งผลต่อผู้เล่นในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง 6. มีการอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ ข้อมูล และกติกาของสถานการณ์ วิธีการเล่นพฤติกรรมการเล่น และผลการเล่น เพื่อการเรียนรู้ 7. มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน กระบวนการในการสร้างสถานการณ์จำลอง ไสว ฟักขาว (2544 : 122) กล่าวถึงกระบวนการสร้างสถานการณ์จำลอง จะต้องประกอบไปด้วย 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ 2. คัดเลือกสถานการณ์ที่จะนำมาใช้ในกิจกรรมการเรียน 3. กำหนดโครงสร้างของสถานการณ์ซึ่งประกอบด้วย - การจัดสถานการณ์ให้เหมือนจริง - บทบาทของผู้ร่วมกิจกรรม - ลำดับขั้นตอนของสถานการณ์และปัญหาจากสถานการณ์ - การอภิปรายและสรุปหลังการใช้สถานการณ์จำลอง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 61 นอกจากนี้ วิธีการเสนอสถานการณ์จำลอง การเสนอสถานการณ์จำลองอาจทำได้ ดังต่อไปนี้ (เสริมศรี ลักษณศิริ, 2540 : 272) 1. เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 2. ให้ดูวีดีโอหรือภาพยนตร์เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 3. ให้ดูภาพซึ่งลำดับตามเหตุการณ์หรือดูภาพแล้วเล่าประกอบ 4. ให้ดูจากสถานที่ที่ตกแต่งให้เหมือนสถานที่จริงและมีผู้แสดงบทบาทด้วย 5. ให้ดูจากเกมจำลองสถานการณ์ หรือให้ดูจากการแสดงบทบาทสมมุติหรือจากการแสดงนาฏการ ขั้นตอนของวิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ทิศนา แขมมณี (2550 : 371-372) ได้แนะนำไว้ว่า ขั้นตอนของวิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง มี 1) การเตรียมการ 2) การนำเสนอสถานการณ์จำลอง 3) การเลือกบทบาท 4) การเล่นในสถานการณ์จำลอง และ 5) การอภิปราย ไสว ฟักขาว (2544 : 122) ได้เสนอขั้นตอนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ไว้ 4 ขั้นตอน ดังนี้ คือ ขั้นที่ 1 : ขั้นปฐมนิเทศ ขั้นที่ 2 : ขั้นแสดงบทบาทตามสถานการณ์ ขั้นที่ 3 : ขั้นอภิปราย ขั้นที่ 4 : ขั้นสรุปและประเมินผล ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548 : 224) กล่าวว่า ขั้นตอนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง มี 3 1. ขั้นเตรียม 2. ขั้นสอน 3. ขั้นสรุปอภิปรายผล อินทิรา บุณยาทร (2542 : 102-103) กล่าวว่า ขั้นตอนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ต้องประกอบไป ด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการสอน 1.1 กำหนดจุดประสงค์ 1.2 กำหนดสถานการณ์จำลอง 2. ขั้นตอนดำเนินการสอน 2.1 ผู้สอนเสนอสถานการณ์จำลองโดยอาจใช้วิธีต่อไปนี้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 62 2.2 ผู้เรียนศึกษาปัญหาและหาแนวทางที่จะแก้ปัญหา อาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อยร่วมกันแสดงความ คิดเห็น 2.3 ผู้เรียนเสนอแนวทางแก้ปัญหา 3. ขั้นตอนอภิปรายและสรุปผล เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 271) อธิบายขั้นตอนของการสอนแบบใช้สถานการณ์จำลองจะต้องประกอบ ไปด้วย 1. ขั้นนำ 2. ขั้นการเข้าร่วม 3. ขั้นแสดง 4. ขั้นอภิปราย 5. ขั้นสรุปและประเมินผล จากที่นักวิชาการได้กำหนดขั้นตอนของวิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง สรุปได้ว่ามีขั้นตอนที่สำคัญ คือ ขั้นเตรียมการสอน โดยผู้สอนกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดสถานการณ์ เตรียมอุปกรณ์สำหรับผู้เรียน รวมถึง กำหนดกฎเกณฑ์และกติกาให้พร้อม ชั้นดำเนินการสอน เป็นขั้นที่ผู้สอนเริ่มเสนอสถานการณ์ให้กับผู้เรียน โดย ผู้สอนจะต้องให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนให้เข้าใจถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ได้มากที่สุดและขั้นอภิปรายและสรุปผล ผู้เรียน และผู้สอนร่วมกันสรุปและอภิปรายบทเรียน หลังจากจบการจำลองสถานการณ์ ขั้นเตรียมการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง มีนักวิชาการได้ กล่าวถึง ขั้นเตรียมการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองไว้คล้ายคลึงกัน ดังนี้ ทิศนา แขมมณี (2550 : 37 1-372) กล่าวว่า การเตรียมการ ผู้สอนเตรียมสถานการณ์จำลองที่จะใช้สอน โดยอาจสร้างขึ้นเองเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์โดยตรง ซึ่งถ้าจะสร้างขึ้นเอง ผู้สร้างจะต้องมีความรู้ความ เข้าใจในการสร้าง รวมทั้งมีประสบการณ์ในสถานการณ์นั้นในความเป็นจริงหรือผู้สอนอาจเลือกสถานการณ์จำลอง ที่มีผู้สร้างไว้แล้ว หากตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการสถานการณ์จำลองที่วางจำหน่ายมีจำนวนไม่น้อย ผู้สอน สามารถศึกษาได้จากรายการและคำอธิบายซึ่งจะบอกวัตถุประสงค์และลักษณะของสถานการณ์จำลองไว้ สถานการณ์จำลองโดยทั่วไปมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ เป็นสถานการณ์จำลองแท้ กับการณ์จำลองแบบเกม หรือที่ เรียกว่า เกมจำลสถานการณ์ สถานการณ์จำลองแท้สถานการณ์การเล่นที่ให้ผู้เรียนได้เล่น เพื่อเรียนรู้ความจริง เช่น ผู้สอนอาจจำลองสถานการณ์นั้นในการตัดสินใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ส่วนเกมจำลองสถานการณ์ มีลักษณะเป็นเกม การเล่น แต่เกมการเล่นนี้มีลักษณะที่สะท้อนความเป็นจริง ในขณะที่เกมธรรมดาทั่ว ๆ ไป อาจจะไม่ได้สะท้อน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 63 ความเป็นจริงอะไรเกมจำลองสถานการณ์นี้มีอยู่ 2 ประเภทคือ เป็นเกมจำลองสถานการณ์แบบไม่มีการแข่งขัน เช่น เกมจำลองสถานการณ์การเลือกตั้ง เกมจำลองสถานการณ์การเลือกอาชีพ และเกม จำลองสถานการณ์การเลือกตั้ง เกมจำลองสถานการณ์การเลือกอาชีพ และเกมจำลองสถานการณ์แบบมีการแข่งขัน เช่น เกมจำลองสถานการณ์ มลภาวะเป็นพิษ เกมจำลองสถานการณ์การค้าขาย เป็นต้น เมื่อมีสถานการณ์จำลองแล้ว ผู้สอนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจในสถานการณ์จำลองนั้น และควรลง เล่นด้วยตนเอง เพื่อจะได้ทราบถึงอุปสรรคข้อขัดข้องต่าง ๆ ในการเล่น จะได้จัดเตรียมการป้องกันหรือแก้ไขไว้ให้ พร้อม เพื่อช่วยให้การเล่นเป็นไปอย่างสะดวกและราบรื่น ต่อจากนั้นจึงจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการเล่นไว้ให้พร้อม รวมทั้งการจัดสถานที่เล่นให้เอื้ออำนวยต่อการเล่น อินทิรา บุณยาทร (2542 : 102) กล่าวว่า ขั้นเตรียมการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง มีรายละเอียด ดังนี้ 1. กำหนดจุดประสงค์ ผู้สอนต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า มุ่งหมายให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรม หรือเกิดการ เรียนรู้อะไรบ้าง การกำหนดจุดประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยให้การสร้างสถานการณ์จำลองง่ายขึ้น 2. กำหนดสถานการณ์จำลอง ผู้สอนต้องพิจารณาเลือกสถานการณ์ที่เป็นจริงในสังคมมาแปลงให้เหมาะสม กับการจัดการเรียนกาสอนในห้องเรียน และต้องเป็นสถานการณ์ที่เปิดโอกาศให้นักเรียนได้คิด วิเคราะห์ วินิจฉัย ตัดสินใจใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่เป็นการก่อให้เกิดการเรียนรู้และทักษะที่ต้องการ 3. กำหนดโครงสร้างของสถานการณ์จำลอง ซึ่งประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้ 3.1 กำหนดจุดประสงค์ของสถานการณ์จำลอง 3.2 กำหนดบทบาทของผู้ร่วมกิจกรรมแต่ละคน 3.3 เตรียมข้อมูล เนื้อหา 3.4 กำหนดสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เหมือนจริงในสังคม 3.5 ลำดับขั้นของเหตุการณ์ เวลา และปัญหาจากสถานการณ์ 4. กำหนดและจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ให้พร้อม เสริมศรี ลักษณศิริ (2540 : 27 1) อธิบายขั้นตอนแรกของการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองจะต้อง ประกอบไปด้วย ขั้นนำ ซึ่งผู้สอนเสนอสถานการณ์ที่จะนำมาซึ่งปัญหาแนะนำผู้เรียนให้รู้จักหลักเกณฑ์พื้นฐานและ ข้อมูลที่จำเป็นแก่การปฏิบัติ แนะนำวิธีการเรียน วัตถุประสงค์ วิธีแสดง เตรียมอุปกรณ์ และเครื่องมือต่าง ๆ ที่ จำเป็น และต่อมาเป็น ขั้นการเข้าร่วม โดยแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย กำหนดบทบาท คัดเลือกผู้แสดงบอกกติกา วิธีการแสดงและการให้คะแนน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 64 สรุปได้ว่า ขั้นตอนการเตรียมการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองนั้น ผู้สอนควรเริ่มจากการกำหนด วัตถุประสงค์ กำหนดสถานการณ์ เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน รวมถึงกำหนดบทบาท กฎเกณฑ์และกติกาให้พร้อม เพื่อให้ผู้ที่เข้าร่วมในกิจกรรมได้ทราบและบรรลุจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ ขั้นดำเนินการสอน ทิศนา แขมมณี (2550 : 372) ในขณะที่ผู้เรียนกำลังเล่นในสถานการณ์จำลองนั้น ผู้สอนควรติดตามอย่าง ใกล้ชิด เพื่อสังเกตพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียน และจดบันทึกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนไว้ นอกจากนั้นต้องคอยดูแลให้การเล่นดำเนินไปอย่างไม่ติดขัด ให้คำปรึกษาตามความจำเป็น รวมทั้งช่วยแก้ปัญหา ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น อินทิรา บุณยาทร (2542 : 102) กล่าวถึง ขั้นดำเนินการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง ไว้ ดังนี้ 1. ผู้สอนเสนอสถานการณ์จำลองโดยอาจใช้วิธีต่อไปนี้ 1.1 เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 1.2 ให้ดูรูปภาพแล้วเล่าประกอบ 1.3 ให้ดูภาพยนตร์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น 1.4 ให้ดูจากฉากที่จัดไว้ และมีผู้แสดงบทบาทประกอบ 2. ผู้เรียนศึกษาปัญหาและหาแนวทางที่จะแก้ปัญหา อาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อยร่วมกันแสดงความ 3. ผู้เรียนเสนอแนวทางแก้ปัญหา ขั้นตอนอภิปรายและสรุปผล ทิศนา แขมมณี (2550 : 371-372) กล่าวว่า เนื่องจากการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเป็นการสอนที่มุ่ง ช่วยผู้เรียนให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นจริงที่สถานการณ์นั้นจำลองขึ้นมา ดังนั้นการอภิปรายจึงควรมุ่ง ประเด็นไปที่การเรียนรู้ความเป็นจริงว่า ในความเป็นจริง สถานการณ์เป็นอย่างไร และอะไรเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อสถานการณ์นั้น ๆ ซึ่งผู้เรียนมักได้เรียนรู้จากการเล่นของตนในสถานการณ์นั้นจึงทำให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อได้เรียนรู้ความเป็นจริงแล้ว การอภิปรายอาจขยายต่อไปว่า เราควรจะให้สถานการณ์นั้นคงอยู่ หรือ เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร และจะทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 65 การจัดการเรียนการสอนแบบอภิปราย (Discussion Method) ความหมาย คือกระบวนการที่ผู้สอนมุ่งให้ผู้เรียนมีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือระดมความคิดในเรื่องใด เรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนหรือกลุ่มที่มีความสนใจร่วมกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ หาคำตอบแนวทางหรือแก้ปัญหาร่วมกัน วัตถุประสงค์ 1. เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นหรือระดมความคิดเห็นร่วมกัน และมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้อย่างทั่วถึง 2. เพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม การเป็นผู้นำ ผู้ตาม การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและการเป็นสมาชิกที่ดี ของกลุ่ม 3. เพื่อฝึกการค้นคว้าหาความรู้ ข้อมูล ข้อเท็จจริงมาเพื่ออภิปรายให้ผู้อื่นรับทราบ องค์ประกอบ 1. เรื่องหัวข้อประเด็นปัญหาที่จะอภิปราย 2. ผู้อภิปรายและผู้ร่วมอภิปราย 3. กระบวนการอภิปราย 4. ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนหลังการอภิปราย ขั้นตอนการเรียนรู้ 1.ขั้นตอนการอภิปราย - กำหนดหัวข้อ วัตถุประสงค์ รูปแบบอภิปราย - ผู้สอนควรกำหนดบทบาทให้ผู้เรียน - สื่อการเรียน อาจจะเป็นเอกสารหรือวัสดุต่าง ๆที่จำเป็น - สถานที่ อาจจะเป็นห้องเรียนซึ่งผู้สอนควรจัดโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการอภิปราย 2.ขั้นบรรยาย


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 66 - บอกหัวข้อหรือปัญหาและวัตถุประสงค์ - บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์ - ดำเนินการอภิปราย 3.ขั้นสรุป สรุปผลการอภิปราย ผู้แทนกลุ่มสรุปผลการอภิปรายแล้วนำเสนอผลการอภิปรายต่อที่ประชุม 4.ขั้นสรุปบทเรียน ผู้สอนและผู้รีเยนร่วมกันสรุปสาระสำคัญและแนวคิดที่ได้จาการอภิปราย 5.ขั้นประเมินผลการเรียน ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงการเรียนรู้ ข้อดี 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ 3. ผู้เรียนไม่เบื่อ เพราะมีการปฏิบัติตลอดเวลาเรียน ข้อจำกัด 1. ใช้เวลามากพอสมควร ถ้าให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง 2. ผู้เรียนบางส่วนอาจไม่กล้าแสดงความคิดเห็น 3. ผู้สอนอาจเกิดความขับข้องใจ ถ้าการอภิปรายครั้งนั้นไม่สามารถสรุปผลในรูปที่ผู้สอนปรารถนา


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 67 การจัดการเรียนการสอนแบบใช้คำถาม (Questioning Method) ความหมาย เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอนจะป้อนคำถามใน ลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นคำถามที่ดี สามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพื่อให้ผู้เรียนใช้ความคิดเชิงเหตุผลวิเคราะห์ วิจารณ์ สังเคราะห์ หรือ การประเมินค่าเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้คำถามมีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้ 1. ขั้นวางแผนการใช้คำถาม ผู้สอนควรจะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้คำถามเพื่อวัตถุประสงค์ใด รูปแบบหรือประการใดที่จะสอดคล้องกับเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของบทเรียน 2. ขั้นเตรียมคำถาม ผู้สอนควรจะเตรียมคำถามที่จะใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการสร้างคำถาม อย่างมีหลักเกณฑ์ 3. ขั้นการใช้คำถาม ผู้สอนสามารถจะใช้คำถามในทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และอาจจะ สร้างคำถามใหม่ที่นอกเหนือจากคำถามที่เตรียมไว้ก็ได้ ทั้งนี้ต้องเหมาะสมกับเนื้อหาสาระและสถานการณ์นั้น ๆ 4. ขั้นสรุปและประเมินผล 4.1 การสรุปบทเรียนผู้สอนอาจจะใช้คำถามเพื่อการสรุปบทเรียนก็ได้ 4.2 การประเมินผล ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการประเมินผลตาม สภาพจริง ความสำคัญของการใช้คำถาม 1. ใช้เป็นสื่อสำหรับสำรวจและทบทวนพื้นความรู้เดิมและประสบการณ์เดิมของนักเรียน คำตอบของ นักเรียนจะเป็นสื่อนำไปสู่การเรียนการสอนบทเรียนใหม่และประสบการณ์ใหม่ 2. ใช้กระตุ้นความสนใจของนักเรียน ครูอาจใช้คำถามเพื่อเร้าความสนใจของนักเรียนได้ทุกขั้นตอนในการ เรียนการสอน เช่น การใช้คำถามเพื่อเริ่มต้นบทเรียน ถามให้นักเรียนสังเกต ให้ยกตัวอย่าง ใช้เป็นสิ่งเชื่อมโยงหรือ เริ่มต้นการสนทนาระหว่างครูกับนักเรียน เพราะนักเรียนจะตอบคำถามของครูได้หากสนใจเรียนตลอดเวลา 3. ใช้เสริมสร้างความสามารถทางความคิดให้แก่นักเรียน ช่วยให้นักเรียนฝึกคิดหาคำตอบหาเหตุผล และ หาความรู้ได้ด้วยตนเอง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 68 4. คำถามที่ดีจะช่วยให้มีการอภิปรายต่อเนื่อง เป็นการขยายความคิดและแนวทางในการเรียนรู้และ ข้อสรุปหลักเกณฑ์ใหม่ๆ 5. การใช้คำถาม ช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน เช่น ทำให้นักเรียนมีโอกาสตอบคำถาม เสนอความคิดเห็นและตั้งคำถาม รวมทั้งได้ร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย 6. ช่วยให้นักเรียนพยายามค้นคว้าหาความรู้ใหม่เพิ่มเติมเพื่อที่จะนำมาตอบคำถามของครู 7. ใช้ช่วยทบทวนหรือสรุปบทเรียนให้เป็นที่เข้าใจตรงกัน 8. ใช้ช่วยประเมินผลการเรียนของนักเรียนและการสอนของครู ลักษณะการใช้คำถามที่ดี นอกจากผู้สอนต้องรู้จักการใช้คำถามประเภทต่าง ๆ แล้วควรต้องรู้จักใช้ทั้งคำถามระดับต่ำหรือง่ายปนกับ คำถามระดับสูง หรือคำถามยาก เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนคิดทั้งง่ายและยากขึ้น เป็นลำดับ เพื่อพัฒนาสู่การเป็นผู้มี ความสามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) เพื่อที่จะสามารถตัดสิน จะทำจะเชื่อหรือแก้ปัญหาได้ อย่างมีหลักการและถูกทาง นอกจากการฝึกใช้ประเภทคำถามแล้ว ยังต้องฝึกการถามในลักษณะดี หลีกเลี่ยง ลักษณะไม่ดี ลักษณะการใช้คำถามที่ดี มีดังต่อไปนี้ - เตรียมคำถามล่วงหน้า เพราะจะสามารถถามได้อย่างเรียงลำดับตามความง่ายยาก ตามลำดับเนื้อหา และช่วยให้มีความมั่นใจในการถาม - ถามอย่างมั่นใจโดยใช้ภาษาชัดเจน กะทัดรัด - ถามแล้วต้องมีเวลารอคอย ประมาณ 3 วินาที เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทั้งเก่งและไม่เก่งได้คิดอย่างทั่วถึง จากนั้นจึงเรียกชื่อผู้เรียนให้ตอบคำถาม ไม่กำหนดผู้ตอบก่อนถามคำถาม - ถามทีละคน และตอบทีละคน แต่ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนตอบหลายๆ คน ในคำถามเดียวกัน - ถามแล้วไม่ทวนคำถาม และไม่ทวนคำตอบ - ควรใช้ท่าทาง เสียงประกอบการถามเพื่อกระตุ้นความสนใจ - ควรใช้คำถามปูพื้น เมื่อตอบคำถามแรกไม่ได้ - ควรใช้คำถามง่ายและยากปนกันในการสอนครั้งหนึ่ง ๆ - ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนถามคำถามผู้สอน ผู้สอนที่มีทักษะการใช้คำถาม หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ และความเข้าใจประเภทของคำถาม ต่าง ๆรวมทั้งรู้ ลักษณะที่ดีของการถาม และรู้วิธีหลีกเลี่ยงลักษณะที่ไม่ดีของการถาม และต้องเป็น ผู้สามารถนำความรู้ไปใช้ปฏิบัติ ในการถามคำถามผู้เรียนได้เป็นอย่างดี


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 69 ประโยชน์จากการจัดการเรียนรู้แบบใช้คำถาม 1. ผู้เรียนกับผู้สอนสื่อความหมายกันได้ดี 2. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. สร้างแรงจูงใจและกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน 4. ช่วยเน้นและทบทวนประเด็นสำคัญของสาระการเรียนรู้ที่เรียน 5. ช่วยในการประเมินผลการเรียนการสอน ให้เข้าใจความสนใจที่แท้จริงของผู้เรียน และ วินิจฉัย จุดแข็ง จุดอ่อนของผู้เรียนได้ 6. ช่วยสร้างลักษณะนิสัยการชอบคิดให้กับผู้เรียน ตลอดจนนิสัยใฝ่รู้ไฝ่เรียนตลอดชีวิต


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 70 การจัดการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ความหมาย ทิศนา แขมมณี (2545 : 14) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบซิปปา เป็นรูปแบบของการจัดการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจและมีนักการศึกษาให้คำจำกัดความของการจัดการ เรียนการสอนแบบชิปปา ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษร คือ C หมายถึง Construct คือการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยกระบวนการแสวงหาข้อมูล ทำความ เข้าใจ คิดวิเคราะห์ ตีความ แปลความ สร้างความหมาย สังเคราะห์ข้อมูลแสะสรุปข้อความ I หมายถึง Interaction คือ การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เรียนรู้จากกันแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดและ ประสบการณ์แก่กันและกัน P หมายถึง Participation คือการให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากที่สุด P หมายถึง Process หรือ Product คือการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการควบคู่ไปกับผลงาน ข้อความที่ สรุปได้ A หมายถึง Application คือการให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวัน วัตถุประสงค์ของรูปแบบ รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริงโดยการให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม การปฏิสัมพันธ์สังคม และกระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซิปปา (CIPPA) เป็นหลักการซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก "CIPPA" นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่งอาจ จัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้และได้มีการนำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 71 ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการ เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ ซึ่งครู อาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้ ชั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้อง สร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการ คิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการ เชื่อมโยงกับความรู้เดิม ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนรวมทั้ง ขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียนให้ เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนั้นจะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผล งานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของ ตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะ เป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 72 บทบาทของผู้สอนและผู้เรียนในการจัดกิจกรรมกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542, หน้า 12-14) ได้กล่าวถึงบทบาทของผู้สอนและผู้เรียนในการจัดกิจกรรมการ เรียนรูปแบบซิปปาไว้ดังนี้ 1. บทบาทของผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา สามารถสรุปบทบาทที่สำคัญๆ ได้ดังนี้ 1.1 บทบาทด้านการเตรียมการ ประกอบด้วย 1.1.1 การเตรียมตนเอง ผู้สอนจะต้องเตรียมตนเองให้พร้อมสำหรับบทบาทของผู้เป็นแหล่ง ความรู้ (resource person) ซึ่งจะต้องให้คำอธิบาย คำแนะนำ คำปรึกษา ให้ข้อมูลความรู้ที่ชัดเจนแก่ ผู้เรียน รวมทั้งแนะนำแหล่งความรู้ให้ผู้เรียนไปศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล 1.1.2 การเตรียมแหล่งข้อมูล ผู้สอนจะต้องเตรียมแหล่งข้อมูลความรู้แก่ผู้เรียน ทั้งในรูปแบบของ สื่อการเรียน ใบความรู้ และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะใช้ประกอบกิจกรรมในห้องเรียนหรือศูนย์การเรียนรู้ ด้วยตนเองที่มีข้อมูลความรู้ที่ผู้เรียนสามารถเลือกศึกษาค้นคว้าตามต้องการ 1.1.3 การเตรียมกิจกรรมการเรียน ผู้สอนต้องวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่กำหนด ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้ได้สาระสำคัญและเนื้อหาความรู้ อันจะนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยบทบาทของผู้สอนในส่วนนี้จะทำ หน้าที่คล้ายผู้จัดการ (manager) กำหนดบทบาทการเรียนรู้และเป็นผู้กำหนดบทบาทให้ผู้เรียนทุกคน ได้มี ส่วนเข้าร่วมทำกิจกรรมแบ่งกลุ่มหรือจับคู่ 1.1.4 การเตรียมสื่อ วัสดุอุปกรณ์ เมื่อออกแบบและกำหนดกิจกรรมการเรียนแล้วผู้สอนต้อง พิจารณาและกำหนดว่า จะใช้สื่อใดบ้าง วัสดุอุปกรณ์อะไรบ้าง เพื่อให้กิจกรรมการเรียนดังกล่าวบรรลุผล 1.1.5 การเตรียมการวัดและประเมินผล บทบาทในการเตรียมการอีกประการหนึ่ง คือ การ เตรียมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น โดยการวัดให้ตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้และวัดให้ ครอบคลุมทั้งในส่วนของกระบวนการ (process) และผลงาน (product) ที่เกิดขึ้นทั้งด้านพุทธิพิสัย (cognitive) จิตพิสัย (affective) และทักษะพิสัย (skill) โดยเตรียมวิธีการวัดและเครื่องมือวัดให้พร้อม ก่อนทุกครั้ง 1.2 บทบาทด้านการดำเนินการ เป็นบทบาทของผู้สอนขณะที่ผู้เรียนกำลังดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1.2.1 การเป็นผู้ช่วยเหลือให้คำแนะนำปรึกษา (helper and advisor) คอยให้คำตอบเมื่อผู้เรียน ต้องการความช่วยเหลือ เช่นให้ข้อมูลหรือความรู้ในเวลาที่ผู้เรียนต้องการ เพื่อให้การเรียนรู้นั้นมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 73 1.2.2 การเป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรง (supporter and encourage) ช่วยสนับสนุนหรือ กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจเข้าร่วมกิจกรรม 1.2.3 การเป็นผู้ร่วมกิจกรรม (active participant) โดยเข้าร่วมกิจกรรมในกลุ่มของผู้เรียนพร้อม ทั้งให้ความคิด และความเห็น หรือช่วยเชื่อมโยงประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เรียนขณะทำกิจกรรม 1.2.4 การเป็นผู้ติดตามตรวจสอบ (monitor) ตรวจสอบผลการทำงานตามกิจกรรมของผู้เรียน เพื่อให้ถูกต้องชัดเจนและสมบูรณ์ก่อนให้ผู้เรียนสรุปเป็นข้อความรู้ที่ได้จากจากการเรียนรู้ 1.2.5 การเป็นผู้สร้างเสริมบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นมิตร โดยการสนับสนุนเสริมแรงและกระตุ้นให้ ผู้เรียนเข้าร่วมทำงานกลุ่ม แสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยเต็มที่ ยอมรับฟังความคิดเห็นซึ่งละกัน อภิปรายโต้แย้งแสดงความคิดเห็นด้วยท่วงทีนุ่มนวล ให้เกียรติและเป็นมิตร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ เป้าหมายของกลุ่มบรรลุความสำเร็จ 1.3 บทบาทด้านการประเมิน เป็นบทบาทที่ผู้สอนต้องดำเนินการ เพื่อตรวจสอบว่าสามารถจัดกิจกรรม การเรียนรู้ให้บรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ ทั้งนี้ครูควรเตรียมเครื่องมือและวิธีการให้ พร้อมก่อนถึงขั้นการวัดและประเมินผลทุกครั้ง และการวัดควรให้ครอบคลุมทุกด้าน โดยเน้นการวัดตามสภาพจริง (authentic measurement) จากการปฏิบัติ และจากผลงาน ซึ่งในการวัดและประเมินผลนี้ นอกจากผู้สอนจะ เป็นผู้วัดและประเมินผลเองแล้ว ผู้เรียนและสมาชิกของแต่ละกลุ่ม ควรจะมีบทบาทร่วมวัดและประเมินตนเอง และ กลุ่มด้วย สรุปได้ว่า บทบาทของผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา คือผู้สอนต้องมีการเตรียมการทั้ง ในส่วนตัว แหล่งข้อมูล กิจกรรมการเรียนรู้ สื่ออุปกรณ์ การวัดและประเมินผล และบทบาทที่เหมาะสมในการ ดำเนินการเรียนการสอน และการวัดผลด้วยการเก็บรวบรวมผลงาน และการวัดผลตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ตาม แผนการจัดการเรียนรู้ 2. บทบาทของผู้เรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา สามารถสรุปบทบาทที่สำคัญๆ ได้ ดังนี้ 2.1 บทบาทการมีส่วนร่วมในการแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริง ความคิดเห็นหรือประสบการณ์ต่าง ๆ จาก แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อนำมาใช้ในการเรียนรู้ 2.2 บทบาทในการศึกษาหรือลงมือกระทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อทำความเข้าใจ ใช้ความคิดในการกลั่นกรอง แยกแยะ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลข้อเท็จจริง 2.3 บทบาทในการจัดระบบระเบียบความรู้ที่ได้สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อช่วยให้การเรียนรู้เกิดความคงทน และ สามารถนำความรู้นั้นไปใช้ได้สะดวกขึ้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 74 2.4 บทบาทในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตนอกจากนั้นการ ประยุกต์ใช้จะช่วยตอกย้ำความเข้าใจและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เรียนในความรู้นั้น และการนำความรู้ไปใช้ยัง ก่อให้เกิดการเรียนรู้อื่น ๆ เพิ่มเติมได้ด้วย สรุปได้ว่า บทบาทของผู้เรียนในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ก็มีความสอดคล้องกับการจัด กิจกรรมการเรียนรูปแบบซิปปา เช่นกัน คือเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน และยัง พัฒนาผู้เรียนทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์/จิตใจ สังคม และสติปัญญาได้อย่างเหมาะสม จากบทบาทของผู้สอนและผู้เรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบซิปปา หรือตามการประสาน 5 แนวคิดหลักของการจัดการเรียนรู้ที่เนั่นผู้เรียนเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะใช้แนวคิดใดในการจัดการเรียนรู้ก็ตาม การ จัดการเรียนรู้จะประสบผลสำเร็จไม่ได้ หากผู้สอนไม่เปลี่ยนบทบาทของตนเองดังกล่าวข้างต้น ผู้สอนจำนวนมากยัง เคยชินกับบทบาทเดิม คือการเป็นผู้บอกเล่า ถ่ายทอด อธิบายเนื้อหาความรู้ให้ผู้เรียน และผู้เรียนจำนวนมากก็เคย ชินกับการเป็นผู้ฟัง รับความรู้และจำความรู้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้สอนและผู้เรียนทั้ง 2 ฝ่าย ต่างก็ เปลี่ยนพฤติกรรม ผู้สอนเปลี่ยนพฤติกรรม การสอนและผู้เรียนก็เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียน อย่างไรก็ตามผู้ที่ต้อง เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงก็คือผู้สอน เพราะผู้สอนทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการรับผิดชอบการจัดการเรียนการสอนอยู่ แล้ว เมื่อสภาพการเรียนการสอนเปลี่ยนไปผู้เรียนก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไป ตามสภาพที่จัดให้ ไม่ช้าก็เร็วขึ้นอยู่ กับการปรับตัวของผู้เรียนและแรงเสริมได้รับจากผู้สอน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 75 การจัดการเรียนการสอนแบบ TAI (Team Assisted Individualization) ความหมาย วิธีการสอนที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และการสอน รายบุคคล (Individualization Instruction) เข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทำกิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตาม ความสามารถของตนและส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม วัตถุประสงค์ของรูปแบบ สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ อาภรณ์ใจเที่ยง (2550 : 121) ได้กล่าวว่า ดังนี้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะกระบวนการกลุ่มได้ฝึกบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ ในการทำงานกลุ่ม 2. เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดค้นคว้า ทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทักษะการ คิดสร้างสรรค์การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การตั้งคำถาม ตอบคำถาม การใช้ภาษา การพูด ฯลฯ 3. เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น การเสียสละ การยอมรับกันและกัน การไว้วางใจ การเป็นผู้นํา ผู้ตามฯลฯ ประโยชน์ของการรูปแบบ วันเพ็ญ จันเจริญ (2542 : 119) กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ มีดังนี้ 1. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก เพราะทุก ๆ คนร่วมมือในการทำงานกลุ่มทุก ๆ คนมีส่วนร่วมเท่า เทียมกัน 2. สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด พูดแสดงออก แสดงความคิดเห็น ลงมือกระทำอย่างเท่าเทียม 3. เสริมให้มีความช่วยเหลือกัน เช่น เด็กเก่งช่วยเด็กที่เรียนไม่เก่ง ทำให้เด็กเก่ง ภาคภูมิใจ รู้จักสละเวลา ส่วนเด็กที่ไม่เก่งเกิดความซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนสมาชิกด้วยกัน 4. ร่วมกันคิดทุกคน ทำให้เกิดการระดมความคิด นำข้อมูลที่ได้มาพิจารณาร่วมกัน เพื่อประเมินคำตอบที่ เหมาะสมที่สุด เป็นการส่งเสริมให้ช่วยกันคิดหาข้อมูลให้มาก และวิเคราะห์และตัดสินใจเลือก


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 76 5. ส่งเสริมทักษะทางสังคม เช่น การอยู่ร่วมกันด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เข้าใจกัน และกัน อีกทั้ง เสริม ทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ 1. จัดนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ประกอบด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน 2. ทดสอบจัดระดับ (Placement Test) ตามคะแนนที่ได้ 3. นักเรียนศึกษาเอกสารแนะนำบทเรียน ทำกิจกรรมจากสื่อที่ได้รับ เสร็จแล้วส่งให้เพื่อนใน กลุ่มตรวจ โดยมีข้อแนะนำดังนี้ 3.1 ตอบถูกหมดทุกข้อ ให้เรียนต่อ 3.2 ตอบผิดบ้างให้ซักถามเพื่อนในกลุ่มเพื่อช่วยเหลือก่อนที่จะถามครู 4. เมื่อนักเรียนทำแบบฝึกหัดทักษะในสื่อที่ได้เรียนจบแล้ว 4.1 ทดสอบย่อยฉบับ A เป็นรายบุคคล ส่งให้เพื่อนในกลุ่มตรวจ ถ้าได้คะแนน 75% ขึ้นไปถือว่า ผ่าน 4.2 ถ้าได้คะแนนไม่ถึง 75% ให้ไปเรียนจากสื่อที่ศึกษาไปแล้วอีกครั้ง แล้วทดสอบฉบับ B เป็น รายบุคคล 5. ทดสอบนักเรียนด้วยแบบทดสอบประจำหน่วย (Unit Test) ถ้าไม่ผ่าน 75% ผู้สอนจะ พิจารณาแก้ไข ปัญหาอีกครั้ง 6. ครูคิดคะแนนเฉลี่ยของแต่ละกลุ่ม แล้วจัดอันดับดังนี้ 6.1 กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์สูง ได้เป็น Super Team (ยอดเยี่ยม) 6.2 กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ปานกลาง ได้เป็น Great Team (ดีมาก) 6.3 กลุ่มที่ผ่านเกณฑ์ต่ำ ได้เป็น Good Team (ดี)


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 77 การจัดการเรียนการสอนแบบอุปนัย (Induction Method) การจัดการเรียนการสอนที่เน้นนำเสนอเหตุการณ์ตัวอย่าง ข้อมูล ก่อนการนำเสนอทฤษฎีหลักการของ บทเรียนนั้น ๆ จะทำให้ผู้เรียนได้มีความหลากหลายในด้านความคิด การแยกแยะ และการ จําแนกสิ่งต่าง ๆ นำไปสู่ความเข้าใจในทฤษฎีหลักการได้ยิ่งขึ้น การสอนวิธีนี้คือ การสอนโดยใช้การอุปนัย ซึ่งผู้สอนจะต้องเข้าใจ หลักการ นําเสนอเหตุการณ์ตัวอย่างที่ตรงกับหลักการที่จะสอนด้วย เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจวิธีการสอนโดยอุปนัยมาก ยิ่งขึ้น ดังที่ ระวีวรรณ วุฒิประสิทธิ์(2530 : 71) กล่าวถึง วิธีสอนแบบอุปมานหรืออุปนัยว่า เป็นวิธีใช้สอนมาตั้งแต่ สมัยอริสโตเติล โดยใช้การสอนจากตัวอย่างไปสู่ การสรุปเป็นกฎเกณฑ์หรือหลักทั่วไป หรือกล่าวได้ว่า การสอน แบบอุปมานเป็นการสอนจากรายละเอียด ปลีกย่อยไปหากฎเกณฑ์การสอนแบบนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียน รู้จักค้นหาข้อเท็จจริง และ หลักการต่าง ๆ จากการสังเกตตัวอย่างที่สัมพันธ์กันอย่างเพียงพอ ในบทนี้กล่าวถึง ความหมาย จุดมุ่งหมายในการสอน องค์ประกอบที่สำคัญ ขั้นตอนการสอนที่ ถูกต้อง เทคนิคข้อเสนอแนะในการสอน และข้อดีและข้อจำกัดสำหรับการสอนโดยใช้การอุปนัย นอกจากนี้ยังมีการสรุป เนื้อหาของบทเรียนไว้ในตอนท้าย พร้อมด้วยกิจกรรมและคําถามท้ายบท ความหมาย นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของวิธีสอนโดยใช้อุปนัย ไว้ดังต่อไปนี้ ทิศนา แขมมณี(2550 : 340) กล่าวถึงวิธีสอนโดยการใช้การอุปนัย คือ กระบวนการ สอนที่ผู้สอนใช้ใน การช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยการนําตัวอย่าง / ข้อมูล / ความคิด / เหตุการณ์/ สถานการณ์/ ปรากฏการณ์ที่มีหลักการ / แนวคิด ที่ต้องการสอน ให้แก่ผู้เรียน มาให้ผู้เรียนศึกษาวิเคราะห์จน สามารถดึงหลักการ / แนวคิดที่แฝงอยู่ออกมา เพื่อ นําไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ต่อไป กล่าวอย่างสั้น ๆ ได้ว่า เป็น การสอนที่ให้ผู้เรียนสรุปหลักการจากตัวอย่างต่าง ๆ ด้วยตนเอง ไสว ฟักขาว (2544 : 94) กล่าวว่า วิธีสอนแบบอุปมาน อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิธีสอน แบบอุปนัย ซึ่ง วิธีนี้ใช้ตั้งแต่สมัยอริสโตเติล (Aristotle) เป็นการสอนย่อยไปหาข้อสรุปซึ่งเป็นส่วนรวม หรือสอนจากตัวอย่างไปหา กฎเกณฑ์โดยการให้ผู้เรียนทำการศึกษา สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบ พิจารณาค้นหาองค์ประกอบ หรือลักษณะ ส่วนที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่างต่าง ๆ เพื่อ นํามาเป็นข้อสรุป สุพิน บุญชูวงศ์(2544 : 64) อธิบายถึงวิธีสอนแบบอุปนัย เป็นการสอนจากรายละเอียด ปลีกย่อยไปหา กฎเกณฑ์กล่าวคือ การสอนจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวมหรือสอนจากตัวอย่างไปหา กฎเกณฑ์หลักการ ข้อเท็จจริง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 78 หรือข้อสรุป โดยการให้นักเรียนทำการศึกษา สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบ แล้วพิจารณาค้นหาองค์ประกอบที่ เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่างต่าง ๆ นํามาเป็นข้อสรุป อินทิรา บุณยาทร (2542 : 104) ได้กล่าวถึงวิธีสอนแบบอุปนัย คือ การสอนจาก รายละเอียดปลีกย่อยไป หากฎเกณฑ์หรือสอนจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์โดยให้ผู้เรียนทำการศึกษา สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบ แล้ว พิจารณาหาองค์ประกอบที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่าง ต่าง ๆ เพื่อนํามาสรุปในความเป็นไปจาก ส่วนย่อยไปหากฎเกณฑ์ เสริมศรีลักษณศิริ(2540 : 78) กล่าวว่า การสอนแบบอุปมานหรืออุปนัยหรืออุปมัย หมายถึง การสอน จากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์หรือหลักเกณฑ์ หรือการสอนจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวม กล่าวคือ ใช้ตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่าง แล้วให้ผู้เรียนสรุปเป็นกฎเกณฑ์ หลักการ สูตร นิยาม ทฤษฎีข้อเท็จจริงหรือข้อสรุปต่าง ๆ มักใช้ในวิชาที่ เกี่ยวกับการคํานวณ การค้นคว้า และการทดลองต่าง ๆ เช่น วิชาคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ฯลฯ ตัวอย่างเช่น ให้ผู้เรียนดูภาพหูสองข้าง ตา สองข้าง จมูก และปาก เมื่อนํามารวมกันก็เป็นส่วนประกอบของใบหน้า หรือในการสอนเรื่องการ บวก ผู้สอนจะใช้ของจริงหรือของจําลอง รูปภาพ สัญลักษณ์แสดงตัวอย่างของการบวก ให้มาก จนกระทั่งผู้เรียนสรุปความคิดรวบยอดได้ว่า การบวกเป็นการนําจำนวนสองจำนวนมารวมกัน จำนวนที่ได้ จากการรวมสองจำนวนเข้าด้วยกัน เรียกว่าผลรวมหรือผลบอกและถ้อยคําที่ใช้แสดงการบวกก็มีหลายอย่าง เป็น ต้น วิธีสอนที่ตรงข้ามกับวิธีสอนแบบอนุมาน นอกจากนี้สามารถ คงสะอาด (2535 : 56) ยังได้อธิบายถึงวิธีสอนแบบอุปนัยหรืออุปมานว่า เป็นวิธีสอน ที่นิยมใช้สอนกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นการสอนจากตัวอย่างไปสู่กฎเกณฑ์หรือทฤษฎีหรืออาจพูดง่าย ๆ ว่า เป็นการสอนจากส่วนย่อยหรือจากรายละเอียดไปสู่ส่วนรวมก็ได้ตัวอย่างเช่นใน การสอนวิชาคณิตศาสตร์ครู อาจจะเริ่มสอนโดยให้นักเรียนดูตัวอย่าง หรืออธิบายตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่างก่อนแล้วจึงค่อยสรุปเป็นหลัก หรือ ทฤษฎีทีหลัง สรุปได้ว่า วิธีสอนโดยใช้การอุปนัย หมายถึง การสอนที่มีการลงรายละเอียดปลีกย่อยก่อนการ นําไปสู่ หลักการหรือทฤษฎีโดยอาจจะใช้กรณีตัวอย่าง ข้อมูล หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ มาใช้เพื่อให้ผู้เรียน ได้ศึกษา วิเคราะห์จนสามารถสรุปเป็นหลักการของตนเองได้อย่างถูกต้อง จุดมุ่งหมายของวิธีสอนโดยใช้การอุปนัย นักวิชาการกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการสอนโดยใช้การอุปนัย ไว้ดังนี้ ทิศนา แขมมณี(2550 : 340) กล่าวว่า เป็นวิธีที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการคิด วิเคราะห์สามารถจับ หลักการหรือประเด็นสำคัญได้ด้วยตนเอง ทำให้เกิดการเรียนรู้หลักการแนวคิด หรือข้อความรู้ต่าง ๆ อย่างเข้าใจ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 79 ไสว ฟักขาว (2535 : 94) อธิบายว่า การสอนแบบอนุมานที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้ค้นพบหลักเกณฑ์ด้วย ตนเองและเข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ระหว่างความคิดต่าง ๆ ในสิ่งที่เรียนอย่างแจ่มแจ้ง ตลอดจนสามารถ ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักทำการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ชาญชัย ยมดิษฐ์(2548 : 64) กล่าวถึงความมุ่งหมายของวิธีสอนแบบอุปนัยว่าเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ค้นพบ กฎเกณฑ์หรือความจริงที่สำคัญด้วยตนเองให้กับเข้าใจความหมายและความสัมพันธ์ของความคิดต่าง ๆ อย่างแจ่ม แจ้ง ตลอดจนกระตุ้นให้นักเรียนรู้จัดทำการสอบสวนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง อินทิรา บุณยาทร (2542 : 104) กล่าวว่าความมุ่งหมายของการสอนโดยใช้อุปนัยจําแนกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ 1. เพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นพบกฎเกณฑ์หรือความจริงที่สำคัญด้วยตนเอง 2. เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจความหมาย และความสัมพันธ์ของความคิดต่าง ๆ และคุณสมบัติของสิ่ง ต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน 3. เพื่อให้ผู้เรียนได้กระตือรือร้นที่จะได้ศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง สรุปได้ว่า วิธีสอนโดย ใช้อุปนัยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะ การคิด วิเคราะห์สามารถเข้าใจ ความหมาย ค้นพบความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง อีกทั้งมุ่ง ให้ผู้เรียนกระตือรือร้นต่อการเรียน การรู้ด้วย องค์ประกอบของวิธีสอนโดยใช้การอุปนัย ทิศนา แขมมณี(2550 : 340) กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญ (ที่ขาดไม่ได้) ของวิธีสอนโดย ใช้อุปนัยว่า ประกอบไปด้วย 1. มีผู้สอนและผู้เรียน 2. มีตัวอย่าง / ข้อมูล / สถานการณ์/ เหตุการณ์/ ปรากฏการณ์/ ความคิดที่เป็น ลักษณะย่อย ๆ ของสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 3. มีการวิเคราะห์ตัวอย่างต่าง ๆ เพื่อหาหลักการที่ร่วมกัน ๆ 4. มีข้อสรุปที่มีลักษณะเป็นหลักการ / แนวคิด 5. มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ขั้นตอนในวิธีสอนโดยใช้การอุปนัย ทิศนา แขมมณี(2550 : 340) อธิบายถึงขั้นตอนสำคัญของการสอนโดยใช้การอุปนัย ว่ามีดังนี้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 80 1. ผู้สอน และ/หรือผู้เรียน ยกตัวอย่าง / ข้อมูล / สถานการณ์/ เหตุการณ์/ ปรากฏการณ์/ ความคิด ที่เป็นลักษณะย่อยของสิ่งที่จะเรียนรู้ 2. ผู้เรียนศึกษาและวิเคราะห์หาหลักการที่แฝงอยู่ในตัวอย่างนั้น 3. ผู้เรียนสรุปหลักการ / แนวคิดที่ได้จากตัวอย่างนั้น 4. ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 132) กล่าวว่าในการดำเนินการสอนโดยวิธีอุปนัย ประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ขั้นเตรียม 2. ขั้นสอน 3. ขั้นสรุป 4. ขั้นประเมิน ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) ได้เสนอขั้นตอนกิจกรรมการเรียนการสอนแบบอุปมาน มีดังนี้ 1. ขั้นเตรียม 2. ขั้นนําเสนอ 3. ขั้นเปรียบเทียบและค้นหาลักษณะร่วม 4. ขั้นสรุปกฎเกณฑ์ 5. ขั้นนําไปใช้ นอกจากนี้อินทิรา บุณยาทร (2542 : 104) อธิบายถึงขั้นตอนการสอนโดยใช้อุปนัยมี5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ 2. ขั้นสอน 3. ขั้นวิเคราะห์ 4. ขั้นสรุป 5. ขั้นนําไปใช้ และ เสริมศรีลักษณศิริ(2540 : 279) กล่าวว่า วิธีสอนแบบอุปมานมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียม 2. ขั้นสอน 3. ขั้นเปรียบเทียบ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 81 4. ขั้นสรุป 5. ขั้นนําไปใช้ สุพิน บุญชูวงศ์(2544 : 64-65) เสนอขั้นตอนในการสอนแบบอุปนัย ไว้ดังนี้ 1. ขั้นเตรียม 2. ขั้นสอนหรือขั้นแสดง 3. ขั้นเปรียบเทียบและรวบรวม 4. ขั้นสรุป 5. ขั้นนําไปใช้ จากขั้นตอนการสอนโดยใช้การอุปนัยที่นักวิชาการได้เสนอมา สรุปได้เป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้1) ขั้นเตรียม 2) ขั้นสอน 3) ขั้นเปรียบเทียบ 4) ขั้นสรุป 5) ขั้นนําไปใช้ 1. การเตรียมตัวอย่าง ทิศนา แขมมณี(2550 : 341) กล่าวว่า ผู้สอนจำเป็นต้องเตรียมตัวอย่าง / ข้อมูล / สถานการณ์/ เหตุการณ์/ ปรากฏการณ์/ ความคิด ที่มีหลักการ / แนวคิด ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้แฝงอยู่ตัวอย่างที่ ควรให้ประกอบด้วยลักษณะหรือคุณสมบัติย่อย ๆ ที่ครอบคลุม หลักการ / แนวคิดนั้น เช่น ถ้าต้องการให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ว่า “สัตว์เลื้อยคลานคืออะไร” ตัวอย่างที่ให้ก็ควร ครอบคลุมคุณสมบัติย่อยของสัตว์เลื้อยคลาน หรือต้องการ ให้ผู้เรียนเข้าใจคําว่า “ซื่อสัตย์สุจริต” ตัวอย่างที่ให้ก็ควรประกอบด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ของความซื่อสัตย์จะเห็นได้ ว่า วิธีสอนในลักษณะนี้เป็นวิธีการหลักที่ใช้ในการสอนมโนทัศน์และหลักการต่าง ๆ ซึ่งการที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ใช้ ความคิด มาก นั้น ตัวอย่างที่ให้ควรจะเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจและท้าทายความคิด ความสามารถของผู้เรียน คือ ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเกินไป แต่ก็ไม่ยากจนเกินความสามารถ และตัวอย่างที่ให้ควรมีความ หลากหลายและ ครอบคลุมลักษณะ / องค์ประกอบสำคัญของมโนทัศน์/ แนวคิด / หลักการนั้น นอกจากนั้นการตั้งประเด็นคําถาม ให้ผู้เรียนได้คิดค้นหาคําตอบจากตัวอย่างที่ให้ก็มีความสำคัญมาก การตั้งประเด็นคําถามที่ตรงจุด ตรงประเด็น และมีลักษณะที่ท้าทายความคิด จะช่วยจูงใจให้ผู้เรียน อยากคิด อยากหาคําตอบ และอยากเรียนรู้เพิ่มขึ้น สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 132) กล่าวว่า ขั้นเตรียมการสอนของ การสอนโดยใช้ อุปนัยประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ดังนี้ 1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอน ก่อนจะเตรียมคําสอน ผู้สอนต้องเตรียม จุดมุ่งหมายว่า ต้องการจะให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความสามารถด้านใด และต้องการให้ทราบกฎและหลักการอะไร


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 82 2. กำหนดเนื้อหาและขั้นตอนการสอนในการสอนด้วยวิธีอุปนัย ขั้นตอนใน การสอน แต่ละ ขั้นตอนจะต้องมีความสัมพันธ์กัน ผู้สอนจะต้องเรียงลำดับของเนื้อหาของแต่ละขั้นตอนให้มีความสัมพันธ์ สอดคล้องกัน ถ้าหากขั้นตอนของเนื้อหาไม่สอดคล้องกันจะทำให้ผู้เรียนเกิดการไขว้เขวได้ 3. เตรียมอุปกรณ์การสอน ให้สอดคล้องกับเนื้อหาในแต่ละขั้นตอน ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) แนะนําว่า ขั้นเตรียมเป็นการเตรียมผู้เรียนให้พร้อมที่จะเรียน โดยการ ทบทวนความรู้เดิมให้พร้อมที่จะใช้ในการเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่ บอกจุดประสงค์และอธิบายจุดประสงค์ในการ เรียนให้ผู้เรียนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง นอกจากนี้อินทิรา บุณยาทร (2542 : 104) อธิบายถึง ขั้นเตรียมการของการสอนโดยใช้อุปนัยว่า ขั้น เตรียมการ คือ การเตรียมตัวผู้เรียน โดยการทบทวนความรู้เดิมและปูพื้นฐานความรู้ใหม่ หรือเชื่อมโยง ประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ พร้องทั้งบอกจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนเข้าใจ เสริมศรีลักษณศิริ(2540 : 279) กล่าวว่า ขั้นเตรียม เป็นการนําเข้าสู่บทเรียน เร้า ความสนใจของผู้เรียน ทบทวนความรู้เดิม เพื่อให้สัมพันธ์กับความรู้ใหม่อธิบายความมุ่งหมายให้ผู้เรียนเข้าใจ สุพิน บุญชูวงศ์(2544 : 64-65) กล่าวถึง ขั้นตอนของการสอนโดยใช้อุปนัย ว่า ขั้น เตรียม คือ การเตรียม ตัวนักเรียน เป็นการทบทวนความรู้เดิม กำหนดจุดมุ่งหมาย และอธิบายความมุ่งหมายให้นักเรียนได้เข้าใจแจ่มแจ้ง สรุปได้ว่า ขั้นเตรียม ผู้สอนต้องกำหนดจุดมุ่งหมายในการสอน เตรียมอุปกรณ์สำหรับการ เรียนการสอน ให้กับผู้เรียน 2. ขั้นสอน ทิศนา แขมมณี(2550 : 341-342) กล่าวถึง ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในขั้นสอนว่า เป็นการ ให้ผู้เรียนศึกษา วิเคราะห์หาหลักการ / แนวคิด จากตัวอย่าง หากตัวอย่างที่ให้แก่ผู้เรียนเป็นตัวอย่างที่ ครอบคลุมลักษณะหรือ คุณสมบัติย่อยๆ ของหลักการ / แนวคิดนั้น ๆ และมีคําถามที่สามารถนํา ผู้เรียนไปสู่วัตถุประสงค์ที่ต้องการแล้ว ย่อมจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถศึกษาและวิเคราะห์ได้ตรง วัตถุประสงค์อย่างรวดเร็ว แต่หากผู้เรียนไม่ประสบ ความสำเร็จ หรือทำได้ไม่ถูกต้อง ผู้สอนสามารถใช้คําถามเพิ่มเติม หรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้แต่ไม่ควรให้ในลักษณะ ที่เป็นการบอกคําตอบ ผู้สอนพึงระลึก อยู่เสมอว่า วิธีสอนนี้มุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้คิด ได้ทำความเข้าใจด้วยตนเอง จึง ควรใช้วิธีกระตุ้นให้ผู้เรียน ได้คิดค้นต่อไป โดยการตั้งประเด็นคําถามเพิ่มเติมและควรให้ผู้เรียนได้ร่วมกันคิดร่วมกัน วิเคราะห์เป็น กลุ่มย่อย เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น กระตุ้นและตรวจสอบความคิดของกันและกัน อันจะ นําไปสู่ความคิดที่รอบคอบขึ้นและถูกต้องมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การร่วมกันคิดเป็นกลุ่มนี้ก็มีข้อเสีย ตรงที่ว่า ผู้เรียนที่เรียนรู้ได้ช้า มักจะถูกครอบงำหรือถูกข่มโดยผู้เรียนที่เรียนรู้ได้เร็วกว่า ดังนั้น ผู้สอน จึงควรจัดให้ผู้เรียนได้มี


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 83 เวลาในการคิดเป็นรายบุคคลด้วยก่อนที่จะอภิปรายกลุ่มย่อย และควรใช้เทคนิค วิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้เรียน ทุกคนมีส่วนร่วมในการอภิปรายกลุ่มย่อยอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันพอสมควร สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 132) กล่าวถึง ขั้นสอนของการสอน โดยใช้อุปนัยว่า การ สอนโดยวิธีนี้ควรใช้วิธีการอธิบายแต่เพียงสั้น ๆ เฉพาะในเรื่องของความหมาย แนวคิดกว้างๆ และตัวอย่างเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้สอนควรใช้เทคนิคการใช้คําถามให้ผู้เรียนได้ตอบและสรุปความคิดเห็น หรือแนวคิด ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) กล่าวว่า ขั้นนําเสนอ เป็นขั้นที่ครูนําเสนอตัวอย่างหรือ กรณีต่าง ๆ ให้ผู้เรียน ได้พิจารณาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเปรียบเทียบลักษณะร่วมที่สำคัญเป็นกฎเกณฑ์ได้สำหรับการนําเสนอตัวอย่างนั้น ควรเสนอหลาย ๆ ตัวอย่างให้มากพอที่จะทำให้ผู้เรียนสรุปเป็นกฎเกณฑ์ได้ด้วยตนเอง อินทิรา บุณยาทร (2542 : 104) กล่าวว่า ขั้นสอน คือ การให้ตัวอย่างหรือกรณีตัวอย่าง หลายๆ ตัวอย่าง เพื่อให้ผู้เรียนได้เปรียบเทียบพิจารณาข้อมูลต่าง ๆ มาสรุปเป็นกฎเกณฑ์ เสริมศรีลักษณศิริ(2540 : 279) กล่าวว่า ขั้นสอน ผู้สอนให้ตัวอย่างแก่ผู้เรียน หลายๆ ตัวอย่างให้มาก พอที่ผู้เรียนจะสังเกตพิจารณาและหาข้อสรุปได้สำหรับวิชาที่ต้องการทดลอง เช่น วิทยาศาสตร์ผู้สอนอาจหา อุปกรณ์การทดลองให้จำนวนเพียงพอกับผู้เรียนที่จะทดลองด้วยตนเอง หรือผู้สอนทำการสาธิตซ้ำหลาย ๆ ครั้งจน ผู้เรียนสรุปได้เอง สุพิน บุญชูวงศ์(2544 : 64-65) กล่าวว่า ขั้นสอนหรือขั้นแสดง คือ การเสนอตัวอย่าง หรือกรณีต่าง ๆ ให้ นักเรียนได้พิจารณา เพื่อให้นักเรียนสามารถเปรียบเทียบ สรุปกฎเกณฑ์ได้การเสนอ ตัวอย่างควรเสนอหลาย ๆ ตัวอย่างให้มากพอที่จะสรุปกฎเกณฑ์ได้ไม่ควรเสนอเพียงตัวอย่างเดียว สรุปได้ว่า ขั้นสอน ผู้สอนนําเสนอการสอนโดยการอธิบายเนื้อหาสั้น ๆ แต่ต้องยกตัวอย่าง ให้แก่ผู้เรียน หลายๆ ตัวอย่างให้มากพอที่ผู้เรียนจะสังเกตพิจารณาและหาข้อสรุปได้ 3. ขั้นเปรียบเทียบหรือขั้นวิเคราะห์ สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 132) กล่าวถึง ขั้นสรุปว่า ในการสรุปนั้น ควรให้ผู้เรียน ช่วยสรุปโดยผู้สอนพยายามหลีกเลี่ยงการสรุป เสียเอง ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) อธิบายว่า ขั้นเปรียบเทียบและค้นหาลักษณะร่วม เป็นการให้ผู้เรียน พิจารณาองค์ประกอบร่วมที่คล้ายคลึงกันในตัวอย่างที่ครูนําเสนอ เพื่อเตรียมไว้เป็นข้อมูลในการสรุปเป็นกฎเกณฑ์ ต่อไป เสริมศรีลักษณศิริ(2540 : 279) กล่าวว่า ขั้นเปรียบเทียบ เมื่อผู้เรียนได้พิจารณาจาก ตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่าง หรือได้ลงมือทดลอง สังเกต วิเคราะห์ด้วยตนเอง ผู้เรียนก็สามารถ เปรียบเทียบแยกแยะข้อแตกต่างหา องค์ประกอบร่วม และมองเห็นความสัมพันธ์ของรายละเอียดที่ เหมือนกัน ซึ่งจะนําไปสู่การสรุปในขั้นต่อไป


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 84 อินทิรา บุณยาทร (2542 : 104) กล่าวว่า ขั้นวิเคราะห์คือ การเปรียบเทียบและรวบรวม หาองค์ประกอบ จากการทดลองจาก การสังเกตจนพบความแตกต่าง และหาความสัมพันธ์ของ รายละเอียดที่เหมือนกันจนสามารถ นํามาสรุปได้ สุพิน บุญชูวงศ์(2544 : 64-65) กล่าวว่า ขั้นเปรียบเทียบและรวบรวม เป็นขั้นหา องค์ประกอบรวม คือ การที่นักเรียนได้มีโอกาสพิจารณาความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบใน ตัวอย่างเพื่อเตรียมสรุปกฎเกณฑ์ไม่ควร รีบร้อนหรือเร่งเร้าเด็กเกินไป สรุปได้ว่า ขั้นเปรียบเทียบ ผู้เรียนพิจารณาตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่าง หรือได้ลงมือ ทดลอง สังเกต วิเคราะห์ด้วยตนเอง ผู้เรียนก็สามารถเปรียบเทียบแยกแยะข้อแตกต่างหา องค์ประกอบร่วม และมองเห็น ความสัมพันธ์ของรายละเอียดที่เหมือนกัน 4.ขั้นสรุป สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 132) กล่าวถึง ขั้นสรุป ในการสรุป นั้นควรให้ผู้เรียนช่วย สรุปโดยผู้สอนพยายามหลีกเลี่ยงการสรุป เสียเอง ไสว ฟักขาว (2535 : 94-95) กล่าวว่า ขั้นสรุปกฎเกณฑ์เป็นการนําผลการเปรียบเทียบ และค้นหา ลักษณะร่วมที่ได้ดำเนินการไว้มาสรุปเป็นกฎเกณฑ์นิยาม หลักการ หรือสูตรด้วยตัวผู้เรียนเอง อินทิรา บุณยาทร (2542 : 104) กล่าวว่า ขั้นสรุป คือ การสรุปประเด็นสำคัญต่าง ๆ จากการสังเกต ตัวอย่างจนเป็นหลักการ หรือกฎเกณฑ์ด้วยตนเองได้ เสริมศรีลักษณศิริ(2540 : 279) กล่าวว่า ขั้นสรุป เป็นการสรุปองค์ประกอบร่วมจาก ตัวอย่างต่าง ๆ ที่ ผู้เรียนได้สังเกตพิจารณาทดลอง พิสูจน์แล้วมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์หลักสูตร สูตร นิยาม ทฤษฎีข้อเท็จจริงหรือ ข้อสรุปต่าง ๆ สุพิน บุญชูวงศ์(2544 : 64-65) กล่าวว่า ขั้นสรุป คือ การนําข้อสังเกตต่าง ๆ จาก ตัวอย่างมาสรุปเป็น กฎเกณฑ์นิยาม หลักการ หรือสูตร ด้วยตัวนักเรียนเอง สรุปได้ว่า ขั้นสรุป เป็นการสรุปองค์ประกอบร่วมจากตัวอย่างต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้สังเกต พิจารณา ทดลอง พิสูจน์แล้วมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์หลักสูตร สูตร นิยาม ทฤษฎีข้อเท็จจริงหรือ ข้อสรุปต่าง ๆ 5. ขั้นนำไปใช้ ไสว ฟักขาว (2535 : 95) กล่าวว่า ขั้นนําไปใช้เป็นการทดสอบความเข้าใจของผู้เรียน เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ นิยาม หลักการ หรือสูตร ที่ผู้เรียนสรุปได้ว่าสามารถนําไปใช้แก้ปัญหาได้หรือไม่ โดยการให้ผู้เรียนทำ แบบทดสอบหรือแบบฝึกหัด


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 85 สุพิน บุญชูวงศ์(2544 : 64-65) ขั้นนําไปใช้คือ ขั้นทดลองความเข้าใจของนักเรียน เกี่ยวกับกฎเกณฑ์หรือ ข้อสรุปที่ได้ทำมาแล้วว่าสามารถที่จะนําไปใช้ในปัญหาหรือแบบฝึกหัดอื่น ๆ ได้หรือไม่ สรุปได้ว่า ขั้นนําไปใช้เป็นการทดสอบความเข้าใจของผู้เรียนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ นิยาม หลักการ หรือสูตร ที่ผู้เรียนสรุปได้ว่าสามารถนําไปใช้แก้ปัญหาได้หรือไม่ โดยการให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัด จุดเด่นของวิธีสอนโดยใช้การอุปนัย ทิศนา แขมมณี(2550 : 341-342) กล่าวถึงจุดเด่นหรือข้อดีของการสอนโดยใช้การอุปนัย ดังนี้ 1. เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนสามารถค้นพบการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จึงทำให้เกิดความเข้าใจและจดจำ ได้ดี 2. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์อันเป็นเครื่องมือสำคัญของการ เรียนรู้ 3. เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนได้ทั้งเนื้อหาความรู้ได้แก่ หลักการ / แนวคิด ฯลฯ) และ กระบวนการ (ได้แก่กระบวนการคิด) ซึ่งผู้เรียนสามารถนําไปใช้ประโยชน์ในการเรียนรู้เรื่อง อื่น ๆ ได้ สิริวรรณ ศรีพหล และ พันทิพา อุทัยสุข (2540 : 131) ได้กล่าวว่าสำหรับคุณค่าของวิธีการ สอนแบบ อุปนัยมีดังนี้ 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักคิด และสังเกต 2. การที่ผู้เรียนได้มีโอกาสสรุปและจดข้อสังเกตจะทำให้สามารถจำสิ่งที่ได้จากบทเรียนได้นาน 3. การเรียนโดยวิธีนี้นาน ๆ จะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยชอบคิดหาเหตุผล 4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดค้นหาเหตุผลด้วยตนเองไม่คอยแต่คําสอนของผู้สอนแต่เพียงอย่างเดียว 5. ผู้เรียนได้มีโอกาสเข้าร่วมในพฤติกรรมการเรียนด้วย เสริมศรีลักษณศิริ(2540 : 279-280) ได้อธิบายถึงข้อดีหรือจุดเด่นของวิธีสอนแบบอุปมานไว้ดังนี้ 1. ผู้เรียนเข้าใจและจดจําได้นาน เพราะได้เรียนโดยการกระทำ 2. ผู้เรียนเข้าใจวิธีที่จะแก้ปัญหาในทางรูปธรรมได้ในภายหลัง 3. ผู้เรียนรู้จักวิธีทำงานที่ถูกต้องตามหลักจิตวิทยา 4. ผู้เรียนได้ฝึกหัดคิดทั้งตามหลักธรรมศาสตร์และตามหลักวิทยาศาสตร์ เสริมศรีลักษณศิริ(2540 : 279-280) ได้อธิบายถึงข้อดีหรือจุดเด่นของวิธีสอนแบบอุปมานไว้ดังนี้ 1. ผู้เรียนเข้าใจและจดจําได้นาน เพราะได้เรียนโดยการกระทำ 2. ผู้เรียนเข้าใจวิธีที่จะแก้ปัญหาในทางรูปธรรมได้ในภายหลัง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 86 3. ผู้เรียนรู้จักวิธีทำงานที่ถูกต้องตามหลักจิตวิทยา 4. ผู้เรียนได้ฝึกหัดคิดทั้งตามหลักธรรมศาสตร์และตามหลักวิทยาศาสตร์ 5. ฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนรอบคอบถี่ถ้วน ช่างสังเกต มีเหตุผล ไม่เชื่ออย่างงมงายโดยไม่ได้พิสูจน์ให้ เห็นจริง 6. การสอนแบบนี้เหมาะที่จะใช้สำหรับวิชาที่จะต้องคิดตามหลักตรรกศาสตร์และ จำเริญ ชูช่วย สุวรรณ (2544 : 57) กล่าวว่า ข้อดีของวิธีสอนแบบอุปมัยว่าจําแนกได้ดังนี้ 1. ผู้เรียนได้เรียนรู้และกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ด้วยความละเอียดรอบคอบ 2. ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์และสรุปเป็นกฎเกณฑ์หรือเป็นแนวปฏิบัติได้ 3. ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและจดจําได้นาน นอกจากนี้อินทิรา บุณยาทร (2542 : 105) กล่าวว่า ข้อดีของวิธีสอนแบบอุปนัย คือ 1. ผู้เรียนได้ฝึกคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุมีผล 2. ผู้เรียนเกิดความรู้แจ่มแจ้ง 3. ผู้เรียนรู้จักการค้นหา พิจารณา แยกแยะ เปรียบเทียบในความเหมือนและความ แตกต่าง สุพิน บุญชูวงศ์(2544 : 65) ได้กล่าวถึงข้อดีของการสอนโดยใช้อุปนัย ว่ามีดังนี้ 1. จะทำให้นักเรียนเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งและจำได้นาน 2. ฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดตามหลักตรรกศาสตร์และหลักวิทยาศาสตร์ 3. ให้นักเรียนเข้าใจวิธีการในการแก้ปัญหา และรู้จักวิธีทำงานที่ถูกต้องตามหลัก สรุปได้ว่า การสอนโดยใช้อุปนัย มีจุดเด่น ดังนี้ 1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาการคิด วิเคราะห์และการสังเกต 2. ผู้เรียนสามารถค้นพบด้วยตนเอง เข้าใจและจดจํารายละเอียดของเนื้อหาได้ดี 3. ผู้เรียนมีการสรุป จดจําบทเรียนได้นาน 4. ผู้เรียนได้เรียนรู้และกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ด้วยความละเอียดรอบคอบ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 87 ข้อเสียของวิธีสอนโดยใช้การอุปนัย ทิศนา แขมมณี(2550 : 342) กล่าวถึง ข้อจํากัดของการสอนโดยใช้การอุปนัย ดังนี้ 1. เป็นวิธีสอนที่ใช้เวลาค่อนข้างมาก 2. เป็นวิธีสอนที่อาศัยตัวอย่างที่ดีหากผู้สอนขาดความเข้าใจในการจัดเตรียมตัวอย่างที่ ครอบคลุมลักษณะสำคัญ ๆ ของหลักการ / แนวคิดที่สอน การสอนจะไม่ประสบผลสำเร็จ 3. เป็นวิธีการสอนที่ผู้เรียนจะต้องคิดค้นหาคําตอบด้วยตนเอง หากผู้เรียนขาดทักษะ พื้นฐานใน การคิด และการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม อาจไม่เกิดผลที่ต้องการ เสริมศรีลักษณศิริ(2540 : 279-280) ได้อธิบายถึง ข้อจํากัดของวิธีสอนแบบอุปมาน ไว้ดังนี้ 1. ไม่เหมาะที่จะใช้สอนกับทุกวิชา โดยเฉพาะไม่เหมาะกับวิชาที่มีคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ 2. ผู้สอนต้องเข้าใจเทคนิคการสอนวิธีนี้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน เพื่อให้ผู้เรียนสรุปได้เอง 3. ถ้าผู้สอนรีบบอกข้อสรุป หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ จะทำให้การสอนแบบนี้ไม่ได้ผล 4. เป็นวิธีสอนที่เสียเวลามาก ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและมีปัญหาทางวินัย 5. มักจะทำให้บทเรียนมีพิธีรีตองมากเกินไป และ จำเริญ ชูช่วยสุวรรณ (2544 : 57) กล่าวถึง ข้อจํากัดของวิธีสอนแบบอุปมัยว่าการสอนวิธีนี้นักเรียน บางคนอาจจะเข้าใจยากเพราะเป็นการสอนในลักษณะนามธรรม ครูจึงต้องมีวิธีให้ความรู้ที่ ชัดเจน บางครั้งอาจจะ ต้องเสียเวลาในการอธิบายมาก นอกจากนี้อินทิรา บุณยาทร (2542 : 105) กล่าวว่า ข้อจํากัดของวิธีสอนแบบอุปนัย คือ 1. ผู้สอนต้องมีความเข้าใจในเทคนิควิธีสอนแบบนี้เป็นอย่างดี 2. ผู้สอนต้องมีประสบการณ์เพียงพอ มิฉะนั้นจะทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่ายเพราะใช้เวลามาก 3. ผู้สอนต้องรู้จักการสร้างบรรยากาศการเรียนการสอนให้น่าสนใจ ผู้เรียนจะได้กระตือรือร้นที่ จะเรียน สุพิน บุญชูวงศ์(2544 : 65) ได้กล่าวถึงข้อจํากัดของการสอนโดยใช้อุปนัย ว่า 1. ไม่เหมาะสมที่จะใช้สอนวิชาที่มีคุณค่าทางสุนทรียะ 2. ใช้เวลามาก อาจทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่าย 3. ทำให้บรรยากาศการเรียนเป็นทางการเกินไป 4. ครูต้องเข้าใจเทคนิควิธีสอนแบบนี้อย่างดีจึงจะได้ผลสัมฤทธิ์ในการสอน สรุปได้ว่า การสอนโดยใช้อุปนัยมีข้อจํากัด ได้ดังนี้ 1. ไม่เหมาะสำหรับวิชาที่มีเนื้อหาเข้าใจได้ยาก เพราะผู้เรียนอาจสรุปกฎเกณฑ์ด้วยตัวเอง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 88 2. ใช้เวลาในการสอนมาก ทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย 3. ครูต้องใช้เทคนิคการสอนอย่างดีการสอนจึงจะสัมฤทธิ์ผล 4. ไม่เหมาะสมที่จะใช้สอนวิชาที่มีคุณค่าทางสุนทรียภาพ สิ่งต่าง ๆ โดยมีองค์ประกอบสำคัญของการสอน คือ ผู้สอนและผู้เรียน จะต้องมีตัวอย่างข้อมูลหรือ เหตุการณ์ต่าง ๆ มีการวิเคราะห์ตัวอย่างต่าง ๆ เพื่อหาหลักการร่วมกัน มีข้อสรุปที่เป็นหลักการ และ ต้องมีผลการ เรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสำคัญ วิธีสอนโดยการใช้อุปนัยมีขั้นตอนการสอน 5 ขั้นตอน คือ 1. ขั้นเตรียม ผู้สอนต้อง กำหนดจุดมุ่งหมายใน การสอนให้กับผู้เรียน 2. ขั้นสอน ผู้สอนนําเสนอการสอนโดยการอธิบายเนื้อหา สั้นๆ แต่ต้องยกตัวอย่างให้แก่ ผู้เรียนหลายๆ ตัวอย่างให้มากพอที่ผู้เรียนจะสังเกตพิจารณาและหา ข้อสรุปได้3. ขั้นเปรียบเทียบ ผู้เรียนพิจารณา ตัวอย่างหลายๆ ตัวอย่าง หรือได้ลงมือทดลอง สังเกต วิเคราะห์ด้วยตนเอง ผู้เรียนก็สามารถเปรียบเทียบแยกแยะ ข้อแตกต่างหาองค์ประกอบร่วม และ มองเห็นความสัมพันธ์ของรายละเอียดที่เหมือนกัน 4. ขั้นสรุป เป็นการสรุป องค์ประกอบร่วมจาก ตัวอย่างต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้สังเกตพิจารณาทดลอง พิสูจน์แล้วมาสรุปเป็นกฎเกณฑ์หลักสูตร สูตร นิยาม ทฤษฎีข้อเท็จจริงหรือข้อสรุปต่าง ๆ และสุดท้าย 5. ขั้นนําไปใช้เป็นการทดสอบความเข้าใจ ของ ผู้เรียนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์นิยาม หลักการ หรือสูตร ที่ผู้เรียนสรุปได้ว่าสามารถนําไปใช้แก้ปัญหา ได้หรือไม่ โดยการ ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหรือแบบฝึกหัด ข้อดีของวิธีสอนโดยการใช้อุปนัย คือ ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการสังเกต ซึ่งจะค้นพบ ได้ด้วยตนเองและจะจดจําได้นาน ส่วนข้อจํากัดของการสอนวิธีนี้คือ ใช้ได้กับบางวิชาเท่านั้น และไม่เหมาะสำหรับ เนื้อวิชาที่ยาก และครูต้องใช้เทคนิคการสอนอย่างดีการสอนจึงจะสัมฤทธิ์ผลและมีประสิทธิภาพ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 89 การจัดการเรียนการสอนแบบ GI (Group Investigation) รูปแบบ GI (Group Investigation) GI (Group Investigation) พัฒนาโดย Sharan และคณะ เป็นรูปแบบการเรียนแบบ ร่วมมือที่มีความ ซับซ้อนและกว้างมาก ปรัชญาของรูปแบบ GI ก็คือ ต้องการปลูกฝังการร่วมมือกัน อย่างมีประชาธิปไตย มีการ กระจายภาระงานและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของ สมาชิกในกลุ่ม GI มีการกระตุ้นบทบาทที่ แตกต่างกันทั้งภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม แนวคิดในการจัดการเรียนการสอน 1. นักเรียนแต่ละคนจะได้แสดงความสามารถของตน ในการแสวงหาความรู้ 2. นักเรียนแต่ละคน ต้องถ่ายทอดความรู้หรือวิธีการทำงานให้เพื่อนนักเรียนเข้าใจด้วย 3. ทุกคนต้องร่วมแสดงความคิดเห็นอภิปรายซักถามจนเข้าใจในทุกเรื่อง (หรือทุกงาน) 4. ทุกคนต้องร่วมมือกันสรุปความเข้าใจที่ได้(สูตรหรือความสัมพันธ์หรือผลงาน) นําส่ง อาจารย์เพียง 1 ฉบับเท่านั้น 5. เหมาะกับการสอนความรู้ที่สามารถแยกเป็นอิสระได้เป็นส่วน ๆ หรือแยกทำได้หลายวิธีหรือการ ทบทวนเรื่องใดที่แบ่งเป็นเรื่องย่อย ๆ ได้หรือการทำงานที่แยกออกเป็นชิ้น ๆ ได้ GI มีองค์ประกอบอยู่ด้วยกัน 6 ประการ คือ 1. การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา (Topic Selection) นักเรียนเลือกหัวข้อที่เฉพาะเจาะจง ของปัญหาที่ เลือก แล้วกลุ่มจะแบ่งภาระงานออกเป็นงานย่อย ๆ ที่มีสมาชิก 2 - 5 คน ร่วมกันทำงาน 2. การวางแผนร่วมมือกันในการทำงาน (Cooperative Planning) ครูและนักเรียน วางแผนร่วมกันใน วิธีดำเนินการ ภาระงานที่ทำและเป้าหมายของงานในแต่ละหัวข้อย่อยตามปัญหาที่เลือก 3. การดําเนินงานตามแผนการที่วางไว้(Implementation) นักเรียนดําเนินงานตาม แผนการที่วางไว้ใน ขั้นที่ 2 กิจกรรมและทักษะต่าง ๆ ที่นักเรียนจะต้องศึกษาควรมาจากแหล่งข้อมูล ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ครูจะให้คำปรึกษากับกลุ่มพร้อมกับติดตามความก้าวหน้าในการทำงานของนักเรียนและช่วยเหลือนักเรียนเมื่อเขา ต้องการความช่วยเหลือ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 90 4. การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทำ (Analysis and Synthesis) นักเรียนวิเคราะห์และประเมิน ข้อมูลที่เขารวบรวมได้ในขั้นที่ 3 และวางแผนหรือลงข้อสรุปในรูปแบบที่น่าสนใจเพื่อนำเสนอต่อชั้นเรียน 5. การนําเสนอผลงาน (Presentation of Final Report) กลุ่มนําเสนอผลงานตาม หัวข้อเรื่องที่เลือก ครู ต้องพยายามให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมขณะที่มีการนําเสนอผลงานหน้าชั้น เรียน เพื่อเป็นการขยายความคิด ของตัวนักเรียนเองให้กว้างไกล โดยเฉพาะในหัวข้อเรื่องที่กลุ่มไม่ได้ศึกษาครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานใน ระหว่างการเสนผลงาน 6. การประเมินผล (Evaluation) ครูและนักเรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ถูกนําเสนอ พร้อมทั้งแสดง ความคิดเห็นที่มีต่อผลงานทุกชิ้น การประเมินผลอาจรวมทั้งการประเมินเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม GI เป็นการเรียนแบบร่วมมือที่มอบหมายความรับผิดชอบอย่างสูงให้กับนักเรียน ในการที่จะ บ่งชี้ว่าเรียน อะไรและเรียนอย่างไร ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และตีความหมายของสิ่งที่ศึกษา โดย เน้นการสื่อความหมาย และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกันในการทำงาน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 91 การจัดการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวน (Inquiry Method) ความหมาย การสอนแบบสืบสวนสอบสวน หมายถึง การสอนที่มีระบบการจัดการเรียนรู้โดยครูผู้สอนจะ ทำหน้าที่ สร้างสถานการณ์ที่น่าสนใจและท้าทาย เพื่อทำให้เกิดแรงกระตุ้นต่อผู้เรียน ผู้เรียนเห็น ความสำคัญของปัญหาและ เกิดการเรียนรู้ด้วยการสืบสวนสอบสวนจากข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อให้ได้พบ คําตอบ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการสังเกต อธิบาย พยากรณ์และนําไปใช้เป็นแนวทางในการ แก้ปัญหาด้วยตนเอง และสามารถนําไปประยุกต์ใช้กับกิจกรรม ที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างหลากหลาย เป้าหมายของการสอนแบบสืบสวนสอบสวน เฟอร์เดอริก เอช เบลล์(Frederick H.Bell.1978: 342 ) ได้กล่าวว่า การสอนแบบสืบสวน สอบสวนทาง คณิตศาสตร์มีจุดประสงค์ทั่วไป เพื่อให้ผู้เรียน 1. พัฒนาทักษะทางสมองในการค้นหาและพัฒนากระบวนการแสวงหาความรู้ 2. เรียนหลักการต่าง ๆ ทางตรรกศาสตร์ 3. เข้าใจเหตุและผลที่สัมพันธ์กัน 4. เรียนวิธีการถามหรือสืบสวนอย่างเป็นอิสระ 5. ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งนาไปสู่นัยทั่วไปทางคณิตศาสตร์ 6. ให้คุณค่าแก่กลวิธีการสืบสวนสอบสวน เสมือนเป็นวิธีที่นาไปสู่การค้นพบและแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ 7. เข้าใจวิธีต่าง ๆ ของการพิสูจน์และการดำเนินการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 8. ได้รับความเข้าใจดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับพื้นฐานทางคณิตศาสตร์และธรรมชาติของการเรียน 9. ค้นพบวิธีและหลักการทางคณิตศาสตร์ 10. ได้วิธีทางคณิตศาสตร์ที่มีความเหมาะสม รูปแบบการสอนแบบสืบสวนสอบสวน บรูเนอร์(Bruner. 1966: 89) ได้เสนอกระบวนการสืบสวนสอบสวนไว้เป็น 4 ขั้น ซึ่งเป็นที่รู้จักกัน ในชื่อ OEPC Techniques ดังรายละเอียดต่อไปนี้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 92 1. ขั้นสังเกต (Observation - O) เป็นขั้นที่สำคัญที่สุดอันดับแรก ของกระบวนการแสวงหา ความรู้ขั้นสังเกตนี้ครูจัดสถานการณ์กิจกรรม หรือสาธิตการทดลองให้ผู้เรียนสังเกต จะทำให้ผู้เรียนเกิด ปัญหาคับข้องใจ (Conflict) ผู้เรียนจะถาม เพื่อให้ได้ข้อมูล แล้วจดบันทึกข้อมูลเหล่านั้นไว้เป็นพื้นฐาน เพื่อจะนํามาประกอบการพิจารณาตั้งสมมติฐานต่อไป 2. ขั้นอธิบาย (Explanation - E) เมื่อใช้การสังเกตการเก็บรวบรวมข้อมูลในขั้นแรกแล้ว ต่อไป จะอธิบายสถานการณ์หรือปรากฏการณ์นั้น ๆ ว่ามีอะไรเป็นสาเหตุ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นโดย พยายามหาแนวทางในการอธิบายไว้หลายๆ แนวทางตามแบบการตั้งสมมติฐาน 3. ขั้นทํานายหรือคาดคะเน (Prediction - P) เมื่อทดลองสมมติฐาน เพื่ออธิบายว่า ปัญหา เหล่านั้นมีสาเหตุจากอะไร ผู้เรียนก็พอจับเค้าโครงของปัญหาได้แน่ชัดขึ้น ฉะนั้นจะสามารถคาดคะเนได้ว่า ถ้ามีสาเหตุเช่นเดียวกันอีก จะเกิดอะไรตามมา แม้ว่าจะไม่มีสถานการณ์เช่นนั้นปรากฏให้เห็นจริง ๆ 4. ขั้นนําไปใช้และสร้างสรรค์ (Control and Creativity - C) คือ ขั้นที่สามารถนาแนวคิดที่ ได้รับไปใช้ในการแก้ปัญหากับสถานการณ์อื่น ๆ ได้อย่างถูกต้อง บทบาทของครูในการสอนแบบสืบสวนสอบสวน คาลลาฮาน และลีโอนาด (Callahan ;& Leonard. 1988: 261-262) ได้กล่าวถึง บทบาทของครูในการ สอนแบบสืบสวนสอบสวน ซึ่งสรุปได้ ดังนี้ 1. ครูมีหน้าที่ให้คำแนะนำกับนักเรียนมากกว่าบอกให้นักเรียนทำตาม 2. ครูตั้งคําถามเลือกประเด็นที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดและพยายามค้นหาคําตอบ 3. ในขณะที่นักเรียนค้นหาคําตอบ ครูควรแนะนําในการค้นพบ โดยหาความชัดเจนของปัญหา 4. ครูพยายามสร้างบรรยากาศในขั้นเรียนที่เป็นการส่งเสริม การสร้าง ข้อคาดเดา การตั้งข้อ สงสัย และการคิดแก้ปัญหา 5. สนับสนุนให้นักเรียนตั้งสมมติฐาน เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ตรวจสอบสมมิตฐานด้วยตนเอง 6. ช่วยนักเรียนในการวิเคราะห์และประเมินความคิดของตนเอง โดยเปิดโอกาสให้มีการ อภิปราย ในชั้นเรียน พยายามกระตุ้นให้นักเรียนคิด ไม่ข่มขู่เมื่อคําตอบไม่เป็นดังที่คาดหวัง ข้อดีและข้อจํากัดของการสอนแบบสืบสวนสอบสวน บราวน์(Brown, 1997: 20-21) ได้สรุป


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 93 ข้อดีของการสอนแบบสืบสวนสอบสวนไว้ดังนี้ 1. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จากการค้นพบคําตอบด้วยตนเอง เป็น การ ส่งเสริมความกระตือรือร้นการเอาใจใส่และการรับผิดชอบในกิจกรรม 2. เกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองในการสืบสวนสอบสวน และต้องมีการปรึกษา ข้อมูลต่อผู้เรียนด้วยกัน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเกิดการเรียนรู้อย่าง หลากหลายและได้แนวทางการพัฒนาระบบความคิดได้มากขึ้น 3. ความรู้ที่ได้มาจากประสบการณ์จริง จากการทำกิจกรรม จะช่วยให้สามารถ แก้ปัญหา จากเหตุการณ์จริง และสามารถนําไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้ 4. ผู้สอนจะพบว่าการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวน จะดีกว่าที่ครูผู้สอนคอย บรรยายความรู้เพียงอย่างเดียว เพราะจุดประสงค์การเรียนรู้ที่คาดหวังต้องการให้นักเรียนรู้จัก การสืบค้น คว้าหาความรู้จากข้อมูล เป็นการเรียนรู้และการตัดสินใจของผู้เรียนเอง 5. การเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวน เป็นการออกแบบกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ จริง และปฏิบัติจริง จนเกิดการเรียนรู้ในการตัดสินใจที่ดี 6. หลักสูตรจะมีชุดการเรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียนและสามารถพัฒนาความคิดของ ผู้เรียนได้ตลอดเวลาและเกิดประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ข้อจํากัดของการสอนแบบสืบสวนสอบสวนไว้ดังนี้ 1. ข้อมูลที่มีอาจถูกจํากัด และอยู่ในเวลาที่ระบุตามกิจกรรม 2. ผู้เรียนไม่สนใจศึกษาและแสดงความคิดเห็นเพราะไม่เข้าใจบทบาทของตนเอง 3. ผู้สอนต้องมีความรับผิดชอบสูงและสร้างความพึงพอใจต่อผู้เรียน 4. เกิดการเปรียบเทียบระหว่างการสอนแบบบรรยายและการสอนแบบสืบสวนสอบสวน ที่ต้องแสดงความคิดในเวลาจํากัด 5. ผู้เรียนประสบปัญหาในด้านแนวความคิดและการเรียนรู้คําตอบ จากข้อมูล


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 94 การจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคกลุ่มแข่งขัน TGT (Team - Games - Tournament) ความหมาย การจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคกลุ่มแข่งขัน TGT เป็นกระบวนการเรียนที่เป็นการนำเสนอเนื้อหาหรือ บทเรียนใหม่ รูปแบบการนำเสนอมีลักษณะเป็นการบรรยาย อภิปราย อาจจะมีสื่อการเรียนรู้อื่น ๆประกอบด้วยก็ ได้ เทคนิค TGT จะแตกต่างจากเทคนิคอื่น 1 ตรงที่ผู้สอนต้องเน้นให้ผู้เรียนทราบว่าผู้เรียนนั้นจะต้องให้ความ สนใจมากในเนื้อหาสาระ เพราะจะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในการแข่งขัน วิธีนี้ เหมาะสมกับการเรียนรู้ในวิชาพื้นฐานที่สามารถถามตอบที่มีคำตอบที่แน่นอนตายตัว แต่ไม่เหมาะกับ บางวิชา และเทคนิคการจัดกิจกรรม TGT ยังเป็นเทคนิครูปแบบหนึ่งในการสอนแบบร่วมมือและมี ลักษณะของกิจกรรมคล้ายกันกับ STAD แต่เพิ่มเกมและการแข่งขันเข้ามาด้วย เหมาะสำหรับการ จัดการเรียนการสอนในจุดประสงค์ที่มีคำตอบถูกต้องเพียงคำตอบเดียว โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรม องค์ประกอบ 4 ประการ ของ TGT 1. การสอน เป็นการนำเสนอความคิดรวบยอดใหม่หรือบทเรียนใหม่ อาจเป็นการสอนตรงหรือจัดใน รูปแบบของการอภิปราย หรือกลุ่มศึกษา 2. การจัดทีม เป็นขั้นตอนการจัดกลุ่ม หรือจัดทีมของนักเรียน โดยจัดให้คละกันทั้งเพศ และความสามารถ และทีมจะต้องช่วยกันและกัน ในการเตรียมความพร้อมและความเข้มแข็งให้สมาชิกทุกคน 3. การแข่งขัน การแข่งขันมักจัดในช่วงท้ายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียน ซึ่งจะใช้คำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่ เรียนมาในข้อ 1 และผ่านการเตรียมความพร้อมของทีมมาแล้วการจัดโต๊ะแข่งขันจะมีหลายโต๊ะแต่ละโต๊ะจะมี ตัวแทนของกลุ่ม/ทีม แต่ละทีมมาร่วมแข่งขัน ทุกโต๊ะการแข่งขันควรเริ่มดำเนินการเพื่อนำไปเทียบหาค่าคะแนน โบนัส 4. การยอมรับความสำเร็จของทีม ให้นำคะแนนโบนัสของแต่ละคนในทีมมารวมกันเป็นคะแนนของทีม และหาค่าเฉลี่ยทีมที่มีค่าสูงสุด จะได้รับการยอมรับให้เป็นทีมชนะเลิศ โดยอาจเรียกชื่อทีมที่ได้ชนะเลิศกับรองลงมา โดยใช้ชื่อเก๋ๆ ก็ได้หรืออาจให้นักเรียนตั้งชื่อเอง และควรประกาศผลการแข่งขันในที่สาธารณะด้วย


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 95 ขั้นตอนการจัดกิจกรรม ขั้นที่1 ครูทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้วครั้งก่อน ด้วยการตักถามและอธิบาย ตอบข้อสงสัยของนักเรียน ขั้นที่2 จัดกลุ่มแบบคละกัน (Home Team) กลุ่ม 3-4 คน ขั้นที่3 แต่ละทีมศึกษาหัวข้อที่เรียนในวันนี้จากแบบฝึก (Worksheet And Answer Sheet) นักเรียนแต่ ละคนทำหน้าที่และปฏิบัติตามกติกาของ Cooperative Learning เช่น เป็นผู้จดบันทึก ผู้คำนวณ ผู้สนับสนุน เมื่อ สมาชิกทุกคนเข้าใจและสามารถทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้องทุกข้อ ทีมจะเริ่มทำการแข่งขันตอบปัญหา ขั้นที่4 การแข่งขันตอบปัญหา (Academic Games Tournament) 4.1 ครูทำหน้าที่เป็นผู้จัดการห้องเรียน โดยแบ่งตามความสามารถของนักเรียน เช่น โต๊ะที่1 เป็นโต๊ะแข่งขันสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถเก่งมาก โต๊ะที่2 และ 3 เป็นโต๊ะแข่งขันสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถปานกลาง โต๊ะที่4 เป็นโต๊ะที่แข่งขันสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถอ่อน 4.2 ครูแจกซองคำถามจำนวน 10 คำถามให้ทุกโต๊ะ (เป็นคำถามเหมือนกัน) 4.3 นักเรียนเปลี่ยนกันหยิบซองคำถามทีละ 1 ซอง (1 คำถาม) แล้ววางลงกลางโต๊ะ 4.4 นักเรียน 3 คนที่เหลือคำนวณหาคำตอบ จากคำถามที่อ่าน 4.5 เขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบที่แต่ละคนมีอยู่ 4.6 นักเรียนคนที่ทำหน้าที่อ่านคำถามจะเป็นคนให้คะแนน โดยมีกติกาการให้คะแนน ดังนี้ 4.6.1 ผู้ตอบถูกเป็นคนแรก จะได้2 คะแนน 4.6.2 ผู้ตอบถูกคนต่อไป จะได้คนละ 1 คะแนน 4.6.3 ถ้าตอบผิด ให้0 คะแนน 4.7 ทำขั้นตอนที่ 4.3 - 4.5 โดยผลัดกันอ่านคำถามจนกว่าคำถามจะหมด 4.8 นักเรียนทุกคนรวมคะแนนของตัวเอง โดยที่ทุกคนควรได้ตอบคำถามจำนวนเท่าๆ กันจัดลำดับ ของคะแนนที่ได้ซึ่งกำหนดโบนัสของแต่ละโต๊ะดังนี้โบนัส ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดที่ 1 ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส 10 แต้ม ผู้ที่ได้คะแนนรองที่ 2 ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส 8 แต้ม ผู้ที่ได้คะแนนรองที่ 3 ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะ จะได้โบนัส 6 แต้ม ผู้ที่ได้คะแนนน้อยที่สุด ประจำโต๊ะแต่ละโต๊ะจะได้โบนัส 4 แต้ม ขั้นที่5 นักเรียนกลับมากลุ่มเดิม (Home Team) รวมแต้มโบนัสของทุกคน ทีมใดที่มีแต้มโบนัสสูงสุด จะ ให้รางวัลหรือติดประกาศไว้ในมุมข่าวของห้อง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 96 ประเภทของเกม 1 เกมพัฒนาการ เป็นเกมแนะนำให้ผู้เล่นได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ 2. เกมยุทธวิธีเป็นเกมที่ต้องแก้ปัญหาให้ผู้เล่นสร้างแผนการขึ้นเพื่อจะได้บรรลุจุดประสงค์ 3. เกมเสริมแรง เป็นเกมที่ช่วยให้ผู้เล่นได้เรียนรู้ความรู้ต่าง ๆ และเพิ่มพูนทักษะให้สามารถนำความคิด รวบยอดไปใช้ประโยชน์ได้ หลักในการนำเกมมาใช้ในกิจกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ หลักในการนำเกมมาใช้ในกิจกรรมกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ จะใช้เกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครูควรมี หลักดังนี้ 1. เกมที่นำมาสอน ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ -ใช้เครื่องมือบ่อย ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก - ควรเป็นการเล่นที่ส่งเสริมทักษะที่สอน - นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วม - การเล่นควรเหมาะสมกับวัยของเด็ก 2. ผู้สอนต้องสนุกสนานกับการเล่นด้วย 3. การเล่นแต่ละครั้งต้องคำนึงถึง - การปฏิบัติตามกฎกติกา - การมีน้ำใจนักกีฬา มารยาท และความยุติธรรม 4. ใช้เวลาในการอธิบายน้อยที่สุดแต่เข้าใจ เช่น วิธีเล่นเกม หน้าที่ของแต่ละคนพอสังเซป 5. ควรให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งมาแสดงให้เพื่อนๆ ดูก่อนเพื่อความเข้าใจ 6. การเล่นแต่ละครั้งอย่าใช้เวลานานเกินไป ประมาณ 10 - 15 นาที 7. การเล่น ถ้านักเรียนมากเกินไป ควรแบ่งกลุ่ม 8. เกมที่เล่นต้องดึงดูดความสนใจ สนุกสนาน และท้าทายความสามารถของผู้เล่น 9.เกมนั้นจะต้องสามารถทำให้การเรียนการสอนไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ ข้อดีของเทคนิค TGT 1. ผู้เรียนมีความเอาใจใส่รับผิดชอบตัวเองและกลุ่มร่วมกับ สมาชิกอื่น 2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันได้เรียนรู้ร่วมกัน 3 ส่งเสริมให้ผู้เรียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้นำ


Click to View FlipBook Version