The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nurul Salwa Karoh, 2023-11-26 04:31:23

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

เทคนิคการสอนและวิธีการสอน(Teaching Techniques and Methods)

เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 147 นอกจากนี้ทั้งนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมีการใช้หลักฐานในการยืนยัน แนวคิดซึ่งอาจเป็นคำตอบของข้อสงสัย เกี่ยวกับธรรมชาติหรือปัญหา และสุดท้ายต้องมีการประเมินและ สื่อสารแนวคิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แนวปฏิบัติทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่ 2 ประการ คือ (1) ในขณะที่วิชาวิทยาศาสตร์พยายามตั้งคำถามเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจธรรมชาติวิศวกรรมศาสตร์ พยายามนิยามปัญหาซึ่งเกิดจากความไม่พอใจและต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ (2) ผลลัพธ์ของการทำงานทางวิทยาศาสตร์ คือการสร้างคำอธิบายเพื่อตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับธรรมชาติใน ขณะที่ผลลัพธ์ของการทำงานทางวิศวกรรมศาสตร์คือวิธีการแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของมนุษย์และ วิธีการดังกล่าวจะนำมาซึ่งผลผลิตที่เป็นเทคโนโลยีใหม่หรือนวัตกรรม ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า ลักษณะที่ชัดเจนข้อ หนึ่งของการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา คือการ ผนวกกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเข้ากับการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีของ ผู้เรียนกล่าวคือในขณะที่ผู้เรียนทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาความรู้ความ เข้าใจ และฝึกทักษะด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีผู้เรียนต้องมีโอกาสนำความรู้มาออกแบบวิธีการ หรือกระบวนการเพื่อ แก้ปัญหาเพื่อให้ได้เทคโนโลยีซึ่งเป็นผลผลิตจากกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม สรุป การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา ต้องอาศัยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ประกอบด้วย องค์ประกอบ 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ระบุปัญหา (Problem Identification) ขั้นตอนนี้เริ่มต้นจากการที่ผู้แก้ปัญหาตระหนักถึงสิ่งที่เป็นปัญหาในชีวิตประจำวันและจำเป็นต้องหาวิธีการ หรือสร้างสิ่งประดิษฐ์ (Innovation) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในการแก้ปัญหาใน ชีวิตจริงบางครั้งคำถามหรือ ปัญหาที่เราระบุอาจประกอบด้วยปัญหาย่อย ในขั้นตอนของการระบุปัญหา ผู้แก้ปัญหาต้องพิจารณาปัญหาหรือ กิจกรรมย่อยที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อประกอบเป็นวิธีการในการแก้ปัญหาใหญ่ด้วย 2. รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (Related Information Search) หลังจากผู้แก้ปัญหาทำความเข้าใจปัญหาและสามารถระบุปัญหาย่อย ขั้นตอนต่อไปคือการรวมข้อมูลและ แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาดังกล่าว ในการค้นหาแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาอาจมีการดำเนินการ ดังนี้ (1) การรวบรวมข้อมูล คือการสืบค้นว่าเคยมีใครหาวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวนี้แล้วหรือไม่และหากมี เขาแก้ปัญหาอย่างไร และมีข้อเสนอแนะใดบ้าง (2) การค้นหาแนวคิด คือการค้นหาแนวคิดหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์หรือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและสามารถประยุกต์ในการแก้ปัญหาได้ในขั้นตอนนี้ผู้แก้ปัญหาควรพิจารณา ความรู้ ทั้งหมดที่สามารถใช้แก้ปัญหาและจดบันทึกแนวคิดไว้เป็นทางเลือก และหลังรวมแนวคิดเหล่านั้นแล้วจึง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 148 ประเมินแนวคิดเหล่านั้น โดยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ความคุ้มทุนข้อดีและจุดอ่อน และความ เหมาะสมกับเงื่อนไขและขอบเขตของปัญหา แล้วจึงเลือกแนวคิดหรือวิธีการ ที่เหมาะสมที่สุด 3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (Solution Design) หลังจากเลือกแนวคิดที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาแล้วขั้นตอนต่อไป คือ การนำความรู้ที่ได้รวบรวมมา ประยุกต์เพื่อออกแบบวิธีการ กำหนดองค์ประกอบของวิธีการหรือผลผลิต ทั้งนี้ ผู้แก้ปัญหา ต้องอ้างอิงถึงความรู้ วิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีที่รวบรวมได้ประเมิน ตัดสินใจเลือกและใช้ความรู้ที่ได้มาในการสร้างภาพ ร่างหรือกำหนดเค้าโครงของวิธีการแก้ปัญหา 4. วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา (Planning and Development) หลังจากที่ได้ออกแบบวิธีการและกำหนดเค้าโครงของวิธีการแก้ปัญหาแล้ว ขึ้นตอนต่อไปคือ การพัฒนา ต้นแบบ (Prototype) ของสิ่งที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นตอนนี้ ผู้แก้ปัญหาต้องกำหนดขั้นตอน ย่อยในการทำงาน รวมทั้งกำหนดเป้าหมายและระยะเวลาในการดำเนินการแต่ละขั้นตอนย่อยให้ชัดเจน 5. ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ไขปัญหาหรือแก้ไขขึ้นงาน (Testing, Evaluation and Design Improvement) เป็นขั้นตอนทดสอบและประเมินการใช้งานต้นแบบเพื่อแก้ปัญหา ผลที่ได้จากการทดสอบและ ประเมิน อาจถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหามากขึ้น การทดสอบและ ประเมินผลสามารถเกิดขึ้นได้หลายครั้งในกระบวนการแก้ปัญหา 6. นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือขึ้นงาน (Presentation) หลังจากการพัฒนา ปรับปรุงทดสอบและประเมินวิธีการแก้ปัญหาหรือผลลัพธ์จนมีประสิทธิภาพตามที่ ต้องการแล้ว ผู้แก้ปัญหาต้องนำเสนอผลลัพธ์ต่อสาธารณชน โดยต้องออกแบบ วิธีการนำเสนอข้อมูลที่เข้าใจง่าย และน่าสนใจ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 149 การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย (Deductive Method) การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย คือ กระบวนการที่ผู้สอนจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความรู้เข้าใจ เกี่ยวกับกฎ ทฤษฎี หลักเกณฑ์ ข้อเท็จจริงหรือข้อสรุปตามวัตถุประสงค์ในบทเรียน จากนั้นจึงให้ตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่าง หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกการนำทฤษฎี หลักการ หลักเกณฑ์ กฎหรือข้อสรุปไปใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย หรือ อาจเป็นลักษณะให้ผู้เรียนหาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยันทฤษฎีกฎหรือข้อสรุปเหล่านั้น การจัดการเรียนรู้แบบ นี้จะช่วยให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ และมีความเข้าใจในกฎเกณฑ์ ทฤษฎี ข้อสรุปเหล่านั้นอย่าง ลึกซึ้ง การสอนแบบนี้อาจกล่าวได้ว่า เป็นการสอนจากทฤษฎีหรือกฎไปสู่ตัวอย่างที่เป็นรายละเอียด วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาโดยยืดกฎ สูตร และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ 2.เพื่อฝึกทักษะการแก้ปัญหาและตัดสินใจในการทำงาน ด้วยการพิสูจน์ให้ทราบข้อเท็จจริง องค์ประกอบสำคัญ องค์ประกอบสำคัญของการสอนแบบนิรนัยมีดังนี้ คือ 1. ทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปในเนื้อหาที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ 2. ตัวอย่างสถานการณ์ที่หลากหลายที่สามารถนำทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปในเนื้อหาที่ ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้นั้นไปใช้ได้ 3. การฝึกนำทฤษฎี หลักการ กฎ หรือข้อสรุปในเนื้อหาที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไปใช้ ในสถานการณ์ที่หลากหลาย 4. ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดขึ้นจากการนำหลักการไปใช้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัยมีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้ 1. ขั้นกำหนดขอบเขตของปัญหา เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนโดยการเสนอปัญหาหรือระบุสิ่งที่จะสอนในแง่ ของปัญหา เพื่อยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบ ปัญหาที่จะนำเสนอควรจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ ของชีวิตและเหมาะสมกับวุฒิภาวะของผู้เรียน 2. ขั้นแสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ เป็นการนำเอาทฤษฎี หลักการ กฎ ข้อสรุปที่ต้องการสอน มาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทฤษฎี หลักการนั้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 150 3. ขั้นใช้ทฤษฎี หลักการ เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะเลือกทฤษฎี หลักการ กฎ ข้อสรุป ที่ได้จากการเรียนรู้มาใช้ใน การแก้ปัญหาที่กำหนดไว้ได้ 4. ขั้นตรวจสอบและสรุป เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะตรวจสอบและสรุป ทฤษฎี หลักการ กฎข้อสรุปหรือนิยามที่ ใช้ว่าถูกต้อง สมเหตุสมผลหรือไม่ โดยอาจปรึกษาผู้สอน หรือค้นคว้าจากตำราต่าง ๆ หรือจากการทดลอง ข้อสรุป ที่ได้พิสูจน์หรือตรวจสอบว่าเป็นจริงจึงจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง 5.ขั้นฝึกปฏิบัติ เมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจในทฤษฎี หลักการ กฎ ข้อสรุป พอสมควร ผู้สอนเสนอ สถานการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนฝึกนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย ข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย 1. เป็นวิธีการที่ช่วยในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้ง่าย รวดเร็วและไม่ยุ่งยาก 2. ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ไม่มากนัก 3. ฝึกให้ผู้เรียนได้นำเอาทฤษฎี หลักการ กฎ ข้อสรุป หรือนิยามไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ 4. ใช้ได้ผลดีในการจัดการเรียนรู้วิชาศิลปศึกษา และคณิตศาสตร์ 5. ฝึกให้ผู้เรียนมีเหตุผลไม่เชื่ออะไรง่ายๆโดยไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง ข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย 1.เป็นวิธีการที่ใช้ได้เฉพาะบางเนื้อหาส่งเสริมคุณค่าในการแสวงหาและคุณค่าทางอารมณ์ค่อนข้างน้อย 2. เป็นวิธีการที่ผู้สอนต้องเตรียมตัวอย่างสถานการณ์ปัญหาที่ดีมีความชัดเจนและหลากหลายให้ ผู้เรียนฝึกทำ 3. ผู้เรียนบางส่วนอาจใช้วิธีการท่องจำมากกว่าการทำความเข้าใจอย่างแท้จริง ความจำ จึงกลายเป็นเรื่อง จำเป็นและเป็นสิ่งสำคัญถ้าผู้เรียนลืมทฤษฎี กฎ สูตร ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ข้อสังเกตของการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย 1. ครูผู้สอนต้องศึกษากฎเกณฑ์ หลักการหรือข้อสรุปต่าง ๆ อย่างแม่นยำก่อนทำการสอน 2. ครูเป็นผู้กำหนดความคิดรวบยอดให้นักเรียน จึงไม่ช่วยฝึกทักษะในการคิดหาเหตุผลและ แก้ปัญหาด้วยตัวนักเรียนเองได้มากเท่าที่ควร


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 151 การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือตามรูปแบบ LT (Learning Together) ความหมาย รูปแบบ LT (Learning Together) นี้ Johnson & Johnson เป็นผู้เสนอในปี ค ศ. 1975ต่อมาในปี ค.ศ. 1984 เขาเรียกรูปแบบนี้ว่า วัฏจักรการเรียนรู้ (Circles of Learning) รูปแบบนี้มีการกำหนดสถานการณ์และ เงื่อนไขให้นักเรียนทำผลงานเป็นกลุ่ม ให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร การแบ่งงานที่ เหมาะสม และการให้รางวัลกลุ่ม องค์ประกอบสำคัญ 1. สร้างความรู้สึกพึ่งพากัน (Positive Interdependence) ให้เกิดขึ้นในกลุ่มนักเรียนซึ่งอาจทำได้หลาย วิธี คือ 1.1 กำหนดเป้าหมายร่วมของกลุ่ม (Mutual Goals) ให้ทุกคนต้องเรียนรู้เหมือนกัน 1.2 การให้รางวัลรวม เช่น ถ้าสมาชิกทุกคนของกลุ่มได้คะแนนคิดเป็นร้อยละ 90 ขึ้นไปของ คะแนนเต็ม (Joint Rewards) สมาชิกในกลุ่มนั้นจะไต้คะแนนพิเศษอีกคนละ 5 คะแนน 1.3 ให้ใช้เอกสารหรือแหล่งข้อมูล (Share Resources) ครูอาจแจกเอกสารที่ต้องใช้เพียง 1 ชุด สมาชิกแต่ละคนจะต้องช่วยกันอ่าน โดยแบ่งเอกสารออกเป็นส่วนๆ เพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ 1.4 กำหนดบทบาทของสมาชิกในการทำงานกลุ่ม (Assigned Roles) งานที่มอบหมายแต่ละงาน อาจกำหนดบทบาทการทำงานของสมาชิกในกลุ่มแตกต่างกัน หากเป็นงานเกี่ยวกับการตอบคำถามใน แบบฝึกหัดที่กำหนด ครูอาจกำหนดบทบาทของสมาชิกในกลุ่มเป็นผู้อ่านคำถาม ผู้ตรวจสอบผู้กระตุ้นให้ สมาชิกช่วยกันคิดหาคำตอบและผู้จดบันทึกคำตอบ 2. จัดให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน (Face-To-Face Interaction) ให้นักเรียนทำงานด้วยกันภายใต้ บรรยากาศของความช่วยเหลือและส่งเสริมกัน 3. จัดให้มีความรับผิดชอบในส่วนบุคคลที่จะเรียนรู้ (Individual Accountability) เป็นการทำให้นักเรียน แต่ละคนตั้งใจเรียนและช่วยกันทำงาน ไม่กินแรงเพื่อน ครูอาจจัดสภาพการณ์ได้ด้วยการประเมินเป็นระยะ สุ่ม สมาชิกของกลุ่มให้ตอบคำถามหรือรายงานผลการทำงาน สมาชิกทุกคนจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะเป็นตัวแทนของ กลุ่ม


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 152 4. ให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะสังคม (Social Skills) การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดีนักเรียนต้องมีทักษะ ทางสังคมที่จำเป็น ได้แก่ ร่วมเป็นผู้นำ การตัดสินใจ การสร้างความไว้ใจ การสื่อสาร และทักษะการจัดการกับข้อ ขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ 5. จัดให้มีกระบวนการกลุ่ม (Group Processing) เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนประเมินการทำงานของ สมาชิกในกลุ่ม ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และหาทางปรับปรุงการทำงานกลุ่มให้ดีขึ้น จากหลักการดังกล่าวทำให้ได้รูปแบบการเรียนรู้ร่วมกัน หรือ Learning Together ที่นักเรียนทำงานเป็น กลุ่มเพื่อให้ได้ผลงานกลุ่ม ในขณะทำงานนักเรียนช่วยกันคิดและช่วยกันตอบคำถาม พยายามทำให้สมาชิกทุกคนมี ส่วนร่วมและทุกคนเข้าใจที่มาของคำตอบ ให้นักเรียนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนก่อนที่จะถามครู และครูชมเชย หรือให้รางวัลกลุ่มตามผลงานของกลุ่มเป็นหลัก ในการนำรูปแบบนี้ไปใช้ควรดำเนินการ ดังนี้ 1. กำหนดวัตถุประสงค์การสอนให้ชัดเจน 2. จัดกลุ่มให้มีขนาดไม่เกิน 6 คน หากนักเรียนยังใหม่ต่อการเรียนแบบร่วมมือ ควรใช้กลุ่มที่มีขนาดเล็ก เพื่อให้นักเรียนมีส่วนร่วมมากที่สุด นักเรียนในแต่ละกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีเพศหญิงและเพศขาย แต่ใน บางครั้งการจัดนักเรียนที่มีความสามารถเหมือนกันเข้ากลุ่มเดียวกันเพื่อฝึกทักษะก็สามารถทำได้ 3. จัดให้มีนักเรียนนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นวง เพื่อให้สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้สะดวก 4. จัดเอกสารหรือสื่อการสอนที่ทำให้นักเรียนต้องพึ่งพาอาศัยกัน เช่น จัดเอกสารให้กลุ่มละชุดเดียว เพื่อให้นักเรียนแบ่งกันดู แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อยให้แต่ละคนรับผิดชอบในการอ่าน และทำให้เกิดการแข่งขัน ระหว่างกลุ่มเพื่อให้สมาชิกภายในกลุ่มต้องพี่งพาช่วยเหลือกันทำให้กลุ่มของตนเป็นกลุ่มที่ชนะ 5. กำหนดบทบาทของสมาชิกในกลุ่มเพื่อให้เกิดการพึ่งพากัน ตัวอย่างบทบาทในการทำงานกลุ่มได้แก่ ผู้ สรุปย่อ ทำหน้าที่สรุปบทเรียน ผู้ตรวจสอบ ทำหน้าที่สอบถามเพื่อนสมาชิก ผู้กระตุ้น ทำหน้าที่ส่งเสริมชักชวนให้ เพื่อนสมาชิกทุกคนแสดงความคิดเห็น ผู้บันทึก ทำหน้าที่จดบันทึกการตัดสินใจของกลุ่มหรือรายงานของกลุ่ม ผู้ สังเกต ทำหน้าที่ตรวจสอบความร่วมมือระหว่างสมาชิกภายในกลุ่ม 6. อธิบายงานที่มอบหมายให้นักเรียนทำ 7. แจ้งเงื่อนไขเพื่อจัดสภาพให้เกิดความเกี่ยวพันกันในเรื่องของเป้าหมายร่วม อาจทำได้โดยกำหนดให้กลุ่ม ผลิตผลงานร่วมกันเพียงขึ้น หรือให้รางวัลกลุ่มจากผลงานของสมาชิกแต่ละคน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 153 8. จัดสภาพให้เกิดความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของแต่ละคน ซึ่งจะทำให้ทุกคนมีส่วนให้กับกลุ่ม เช่น ครู จัดสอบนักเรียนเป็นรายบุคคล ครูสุ่มเลือกสมาชิกของคนใดคนหนึ่งขึ้นมารายงานผลงานของกลุ่ม หรือครูเลือก ผลงานของสมาชิกคนใตคนหนึ่งมาเป็นตัวแทนของกลุ่มแล้วให้คะแนนกลุ่มจากผลงานของสมาชิกคนนั้น เป็นต้น 9. จัดสภาพให้เกิดความร่วมมือระหว่างกลุ่ม เป็นต้นว่าให้ถามเพื่อนกลุ่มอื่นได้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ 10. อธิบายเกณฑ์ของความสำเร็จ การให้คะแนนควรเป็นแบบอิงเกณฑ์มากกว่าอิงกลุ่ม สำหรับกลุ่มแบบ แตกต่าง (Heterogeneous Groups) เกณฑ์การให้คะแนนสำหรับแต่ละกลุ่มจะต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป 11. ระบุพฤติกรรมที่คาดหวัง ในระยะแรกพฤติกรรมที่คาดหวัง คือ ให้อยู่กับกลุ่ม ถามชื่อเพื่อนสมาชิกใน พฤติกรรมระดับที่ขับซ้อนชื้น ได้แก่ ให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการอภิปราย ทุกคนเข้าใจและเห็นด้วยกับคำตอบ ของกลุ่ม 12. ระหว่างที่นักเวียนทำงานเป็นกลุ่ม ครูมีบทบาท ดังนี้ 12.1 สังเกตพฤติกรรมการทำงานของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินการแก้ไข หากนักเรียน ประสบปัญหาในการทำงานหรือปัญหาเกี่ยวกับการร่วมมือกัน 12.2 ให้ความช่วยเหลือนักเรียน ครูจำเป็นต้องเข้าไปแทรกในระหว่างการทำงานของนักเรียนเป็น ครั้งคราว เพื่อชี้แจงคำสั่ง เพื่อตอบปัญหาข้อสงสัย เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น พูดคุย และ เพื่อสอนทักษะการเรียน 12.3 สอนทักษะการร่วมมือเพื่อให้สื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 13. สรุปบทเรียนโดยนักเรียนและครู 14. นักเรียนประเมินการทำงานของสมาชิกในกลุ่มและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการทำงานในครั้งต่อไป 15. การประเมินผล 15.1 ประเมินผลงานของนักเรียน อาจทำได้หลายวิชี เช่น ให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้คะแนน เท่ากัน ซึ่งเป็นการเสริมแรงให้นักเรียนร่วมมือกัน หรือให้แรงเสริมแบบร่วมมือไปพร้อมกับการให้แรงเสริม รายบุคคล โดยให้คะแนนเป็นรายบุคคลจากผลงานของแต่ละคนและให้รางวัลกลุ่มจากคะแนนรวมของ สมาชิกในกลุ่ม หรือนักเรียนได้คะแนนของตนเองรวมกับคะแนนพิเศษ (Bonus Points) ที่ได้จากจำนวน สมาชิกภายในกลุ่มที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 15.2 ประเมินการทำงานของกลุ่มจากการสังเกตระหว่างเรียน และการอภิปรายในขั้น กระบวนการกลุ่ม


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 154 ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนแบบ LT 1. ครูและนักเรียนทบทวนเนื้อหาเติม หรือความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้อง 2. ครูแจกแบบฝึกหรือใบงานให้ทุกกลุ่ม กลุ่มละ 1 ชุดเหมือนกัน นักเรียนช่วยทำงานโดยแบ่งหน้าที่แต่ละ คน เช่น นักเรียนคนที่ 1 อ่านคำแนะนำ คำสั่งหรือโจทย์ในการดำเนินงาน นักเรียนคนที่ 2 ฟังขั้นตอนและรวบรวมข้อมูล นักเรียนคนที่ 3 อ่านสิ่งที่โจทย์ต้องการทราบแล้วหาคำตอบ นักเรียนคนที่ 4 ตรวจคำตอบ เมื่อนักเรียนทำแต่ละข้อหรือแต่ละส่วนเสร็จแล้ว ให้นักเรียนหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่กันในการทำโจทย์ข้อ ถัดไปทุกครั้งจนเสร็จแบบฝึกทั้งหมด 3. แต่ละกลุ่มส่งกระดาษคำตอบหรือผลงานเพียงชุดเดียว ถือว่าเป็นผลงานที่สมาชิกทุกคนยอมรับ และ เข้าใจแบบฝึกหรือการทำงานชิ้นนี้แล้ว 4. ตรวจคำตอบหรือผลงานให้คะแนนด้วยกลุ่มเองหรือครูก็ได้ กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รางวัลหรือติด ประกาศไว้ในบอร์ด


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 155 การจัดการเรียนรู้แบบ Storyline ความหมาย การจัดการเรียนรู้แบบ Storyline เป็นการเรียนรู้แบบบูรณาการที่นำเอาสาระการเรียนรู้หลายๆ สาระมา เชื่อมโยงกัน โดยจัดการเรียนรู้กายในหัวข้อเรื่อง (Theme) เดียวกัน มีการผูกเรื่องเป็นตอนๆ (Episode) แต่ละตอน จะมีลำตับเหตุการณ์ (Sequence) หรือ "เส้นทางการเดินเรื่อง" (Topic line) และใช้คำถามหลัก (Key question) เป็นตัวนำไปสู่กิจกรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้ตามสภาพจริง ลง มือปฏิบัติจริง เน้นทักษะกระบวนการคิด การวิเคราะห์ การตัดสินใจ กระบวนการกลุ่ม ตลอดจนการสร้างความรู้ ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบStoryline จึงเป็นการบูรณาการเนื้อหาสาระพร้อมทักษะกระบวนการต่าง ๆ เข้า ด้วยกัน (สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ. 2545 ก : 198) แนวคิดหลักของการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline ทิศนา แขมมณี (2546 : 54) ได้กล่าวไว้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบ Storyline นี้ พัฒนาโดยดร สตีฟ เบ็ล และแซลลี่ ฮาร์ดเนส (Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์ โดยมีแนวคิด หลักของทฤษฎี ดังนี้ 1. การเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะบูรณาการ หรือเป็นสหวิทยาการ คือเป็นการเรียนรู้ที่ผสมศาสตร์ หลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน 2. การเรียนรู้ที่ดีเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านทางประสบการณ์ตรง หรือ การกระทำ หรือการมี ส่วนร่วมของผู้เรียนเอง 3. ความคงทนของผลการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการที่ได้รับความรู้มา 4. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้คุณค่าและสร้างผลงานที่ดีได้ หากมีโอกาสลงมือกระทำ องค์ประกอบสำคัญ การสร้างเรื่องใน Story Line เป็นการดำเนินเรื่องที่ต่อเนื่อง ประดุจเส้นเชือก โดยมีคำถามหลักเป็นตัว ดำเนินการ องค์ประกอบที่สำคัญในการสอบแบบ Story Line คือ 1. ตัวละคร หมายถึงบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ผูกขึ้นมา 2. ฉาก หมายถึง การระบุลักษณะของสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏ ตามหัวเรื่อง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 156 3. การดำเนินชีวิต หมายถึงการดำเนินชีวิตของตัวละครว่าใครทำอะไรบ้าง 4. เหตุการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้น หมายถึงเหตุการที่ดำเนินชีวิตของละคร เช่นเหตุการณ์อะไรที่เป็นปกติ เหตุการณ์อะไรที่ต้องแก้ไข เหตุการณ์อะไรที่ต้องดีใจ หรือแสดงความยินดี ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนแบบ Storyline 1. ศึกษาหลักสูตร เพื่อเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ ทักษะและประสบการณ์เพื่อวางแผนใน การกำหนดหัวเรื่อง 2. กำหนดหัวเรื่อง ควรเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ สนใจ ช่วยขยายความรู้ของเด็ก 3. เตรียมการผูกเรื่องหรือเส้นทางการดำเนินเรื่อง 4. ตั้งคำถามหลักหรือคำถามสำคัญ ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อมโยงการดำเนินเรื่องในแต่ละตอนเป็นตัวกระตุ้น ผู้เรียน หรือเปิดประเด็นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ บทบาทของครูและผู้เรียนเมื่อใช้การจัดการเรียนการสอนแบบ Storyline บทบาทของครู 1. เป็นผู้เตรียมการ ในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ 1) กรอบแนวคิดของเรื่องที่จะสอนโดยเขียนเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และกำหนดเรื่อง เป็นตอน ๆ (Episode) โดยแต่ละหัวข้อเรื่องในแต่ละตอนได้จากการบูรณาการ 2) เตรียมคำถามสำคัญหรือคำถามหลัก เพื่อใช้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติ 2. เป็นผู้อำนวยความสะดวกระหว่างการเรียนการสอน เช่น 1) เป็นผู้นำเสนอ (Presenter) เช่น นำเสนอประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน 2) เป็นผู้สังเกต (Observer) สังเกตขณะผู้เรียนตอบคำถาม ถามคำถาม ปฏิบัติกิจกรรม รวมทั้ง สังเกตพฤติกรรมอื่น ๆ ของผู้เรียน 3) เป็นผู้ให้กระตุ้น (Motivator) กระตุ้นความสนใจ ผู้เรียน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเรียนอย่าง แท้จริง 4) เป็นผู้ให้การเสริมแรง (Reinforcer) เพื่อให้เพิ่มความถี่ของพฤติกรรมการเรียน 5) เป็นผู้แนะนำ (Director)


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 157 6) เป็นผู้จัดบรรยากาศ (Atmosphere Organizer) ให้บรรยากาศการเรียนการสอนดีทั้งด้าน กายภาพและด้านจิตสังคม เพื่อให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข 7) เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Reflector) ให้การวิพากย์วิจารณ์ข้อดี ข้อบกพร่องเพื่อให้พฤติกรรม คงอยู่ หรือปรับปรุง แก้ไข พฤติกรรมการเรียน 8) เป็นผู้ประเมิน (Evaluator ควรมีการประเมินผลเป็นระยะ ๆ ประเมินกระบวนการ (Process) พฤติกรรมระหว่างหาความรู้ (Performance) และประเมินผลงาน (Product) ซึ่งอาจเป็นองค์ความรู้ และ/หรือ ผลงาน 3. เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการ (Process Oriented) มากกว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาสาระ (Content Oriented) 4. เน้นการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) หรือผสมผสานระหว่างวิซาในหลักสูตร (Interdisciplinary) 5. เป็นแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้แหล่งหนึ่งที่ให้ผู้เรียนชักถาม ปรึกษาเพื่อคันคว้าหาความรู้ 6. เป็นผู้รีเริ่มประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน และต้องจัดกิจกรรมเพื่อจบลงตัวยความตื่น ต้น ความพอใจ ทั้งครู ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และคนในชุมนุม เป็นต้น บทบาทของผู้เรียน 1. เป็นผู้ศึกษาคันคว้าปฏิบัติตัวยตนเองในทุกเรื่องตามที่ครูกำหนด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ 2. ดำเนินการเรียนด้วยตนเอง เพื่อให้การเรียนสนุกสนาน ตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และท้าทายอยู่ตลอดเวลา 3. มีส่วนร่วมในการเรียนทั้งร่างกาย จิตใจและการคิด ในทุกสถานการณ์ที่ครูกำหนดขึ้นอย่างเป็น ธรรมชาติเหมือนสถานการณ์ในชีวิตจริง 4. เรียนทั้งในห้องเรียน (Class) และในสถานการณ์จริง (Realty) เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม 5. ตอบคำถามสำคัญ หรือคำถามหลัก (Key Questions) ที่ครูกำหนดจากประสบการณ์ของตนเอง หรือ ประสบการณ์ในชีวิตจริง 6. มีความกระฉับกระเฉง ว่องไว้ ในกรมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เช่น สามารถจำ พิจารณาทำตามคำแนะนำ ของครูได้อย่างดี 7. ทำงานด้วยความร่วมมือร่วมใจ อาจจะทำงานเดี่ยว เป็นคู่ เป็นกลุ่ม ได้ด้วยความเต็มใจและด้วยเจตคติ ที่ดีต่อกัน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 158 8. มีความสามารถในการสื่อสาร เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน มีทักษะสังคม รวมทั้งมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีระหว่าง เพื่อนในกลุ่ม เพื่อนในกลุ่มอื่น ๆ และกับครู 9. เป็นผู้มีความสามารถก้ปัญหา คิดวิเริ่มสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์ 10. เป็นผู้สามารถสร้างความรู้ (Construct) ด้วยตนเอง และเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ที่สามารถ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ข้อดีของการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline การเรียนรู้เช่นนี้ ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเหมือนเป็นหุ้นส่วนกัน ครูวางโครงเรื่อง ผู้เรียนลงรายละเอียดที่มา จากประสบการณ์ชีวิต แล้วสร้างการเรียนรู้ใหม่ที่เชื่อมต่อจากความรู้เดิม มีการแลกเปลี่ยนความคิดและเคารพใน ความคิดเห็นของกันและกัน ผู้เรียนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของในผลงานที่สร้าง และกลายเป็นแรงผลักดันให้มีการ แก้ปัญหา หากมีเหตุกรณ์เลวร้ายเกิดขึ้น นอกจากนี้ ครูยังสามารถบูรณาการทุกวิชาได้ในทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันนักเรียนก็ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ ใกล้เคียงกับชีวิตจริง รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เมื่อผู้เรียนมีความสุข จุดหมายของการเรียนรู้ก็นับได้ว่าประสบ ความสำเร็จแล้ว นักเรียนจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน ในระดับที่สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้รวมทั้งได้ พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบ Storyline 1. กิจกรรมนี้อาจเหมาะกับเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต 2. ค่อนข้างใช้เวลาในการเรียนรู้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 159 การจัดการเรียนรู้แบบโพลยา (Polya) กระบวนการแก้ปัญหาที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือกระบวนการ แก้ปัญหาของโพลยา (George Polya นักคณิตศาสตร์ชาวฮังกาเรียน ค.ศ.1887 - 1985) ซึ่งประกอบด้วยชั้นตอน การแก้ปัญหา 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบโพลยา ขั้นที่ 1 ทำความเข้าใจปัญหาเป็นการสำรวจว่าในปัญหามีคำ หรือวลี หรือประโยคย่อย ๆ อะไรบ้าง มี ความหมายอย่างไร แล้วจำแนกเป็น 3 ข้อ ดังนี้ 1. โจทย์กำหนดอะไรให้ 2. สิ่งที่ต้องการหาคือคืออะไร 3. ข้อมูลที่กำหนดให้มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง ขั้นที่ 2 วางแผนแก้ปัญหา เป็นขั้นการวิเคราะห์รายละเอียดและหาความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลที่กำหนด กับสิ่งที่ต้องการหา โดยใช้บทนิยาม สมบัติ และทฤษฎีบทต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้มาก่อนแล้วในการพิจารณาอาจใช้ วิธีการต่างๆ เพื่อช่วยให้ได้ข้อสรุปที่สามารถดำเนินการแก้ปัญหาและหาคำตอบได้ เช่น การวาดรูปประกอบ การ สร้างตารางวิเคราะห์ การแยกสถานการณ์หรือเงื่อนไขเป็นส่วนย่อย ๆเป็นต้น ขั้นที่ 3 ดำเนินการแก้ปัญหา เป็นขั้นของการแก้ปัญหาตามแผนที่วางไว้ และมีการตรวจสอบแต่ละขั้นตอน ที่ปฏิบัติว่าถูกต้องหรือไม่ ขั้นที่ 4 ตรวจสอบผล เป็นการตรวจสอบผลที่ได้ในแต่ละขั้นตอนว่าถูกต้องหรือไม่ หรือใช้วิธีการแก้ปัญหา วิธีอื่น ๆ แล้วตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ว่าตรงกันหรือไม่ หรืออาจใช้การประมาณคำตอบอย่างคร่าว ๆ คนส่วนใหญ่ มักจะมองว่าขั้นตอนการแก้ปัญหาของโพลยาทั้ง 4 ขั้นตอน เป็นขั้นตอนที่เรียงลำดับเป็นแนวเส้นตรง ดังแผนภาพ ทำความเข้าใจปัญหา วางแผนแก้ปัญหา ตรวจสอบคำตอบ ดำเนินการแก้ปัญหา


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 160 รูปแบบเช่นนี้ทำให้เข้าใจกันว่ากระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาเป็นชุดของชั้นตอนการแก้ปัญหา เป็น กระบวนการในแนวตรง ซึ่งต้องคำเนินการไปทีละขั้นตามลำคับห้ามข้ามชั้น และเน้นการได้คำตอบ ปัจจุบันมีการ ปรับปรุงกระบวนการแก้ปัญหา 4 ขั้นตอนของโพลยาขึ้นใหม่ โดยเสนอเป็นกรอบแนวคิดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาที่ แสดงการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้ในทุกขั้นตอนดังแผนภาพต่อไปนี้ ในแต่ละขั้นตอนสามารถพิจารณาตัดสินใจเคลื่อนการกระทำไปสู่อีกขั้นตอนหนึ่ง หรืออาจจะย้อนกลับ ไปขั้นตอนเดิมหากมีปัญหาหรือข้อสงสัย เช่น เมื่อทำการแก้ปัญหาในขั้นตอนแรกคือทำความเข้าใจปัญหาแล้ว เคลื่อนไปสู่ชั้นการวางแผน ระหว่างการดำเนินการในชั้นการวางแผนนั้นอา ย้อนกลับไปคันพบสิ่งที่ทำให้เข้าใจ ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น หรือในขั้นตอนดำเนินการตามแผนที่วางไว้แต่ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ จำเป็นต้องย้อนกลับ ไปเริ่มวางแผนใหม่ เป็นต้น กำหนด สถานการณ์ ตรวจสอบผล ดำเนินการแก้ปัญหา ทำความเข้าใจปัญหา วางแผนปัญหา


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 161 ตัวอย่างการแก้โจทย์ปัญหาแบบโพลยา แดงซื้อปากกา 4 ด้าม ราคาด้ามละ 15 บาท โดยให้ธนบัตรฉบับละหนึ่งร้อยบาท 1 ฉบับ แดงจะได้เงิน ทอนเท่าไหร่ ขั้นตอนการสอน ขั้นตอนการแก้ปัญหา กิจกรรมการเรียนการสอน 1. ขั้นทำความเข้าใจปัญหา - อ่านโจทย์ปัญหา 1. อ่านโจทย์โดยแบ่งวรรคตอนให้ถูกต้อง ถ้านักเรียนอ่านไม่ถูกต้อง ครูช่วย แก้ไขจนอ่านไต้ถูกต้อง ดังนี้ ตอนที่ 1 แดงซื้อปากกา 4 ด้าม ตอนที่ 2 ราคาต้ามละ 15 บาท ตอนที่ 3 ให้ธนบัตรฉบันละหนึ่งร้อยบาท 1 ฉบับ ตอนที่ 4 แดงไต้เงินทอนกี่บาท 2. นักเรียนบอกโจทย์ตามความเข้าใจของนักเรียน โดยครูอาจจะตั้งคำถาม ถามนักเรียน เช่น ครูถามว่า (1) โจทย์ข้อนี้บอกอะไรให้บ้าง - แดงซื้อปากกา 4 ด้าม - ปากการาคาด้ามละ 15 บาท - แดงให้ธนบัตรฉบับละหนึ่งร้อยบาท 1 ใบ (2) โจทย์ข้อนี้ต้องการทราบอะไร - แดงจะได้เงินทอนเท่าไร (3) คำตอบมีหน่วยเป็นอะไร -มีหน่วยเป็นบาท 2. ขั้นวางแผนแก้ปัญหา - ใช้ยุทธวิธีต่างๆ (4) มีวิธีการคิดหาเงินทอนได้อย่างไร - หาว่าซื้อปากกาทั้งหมดเท่าไหร่ - นำเงินที่ซื้อปากกาทั้งหมดไปหักออกจากเงินที่ ให้เงิน 100 บาทซื้อปากา15บาท 15บาท15บาท15บาท 4x15 = ได้เงินทอน 100 – (4x15) -ครูอาจเขียนแผนภาพประกอบการคิดหาเงินทอนดังนี้ -เขียนเป็นประโยคสัญลักษณ์ 100- (4x15)=


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 162 ขั้นตอนการแก้ปัญหา กิจกรรมการเรียนการสอน 3. ขั้นดำเนินการตามแผน - แก้ปัญหาตามแผนที่วางไว้ 3. เมื่อนักเรียนเข้าใจในวิธีการหาคำตอบแล้วให้นักเรีย แสดงวิธีทำ (อาจจะใช้ 1 วิธี หรือหลายวิธีก็ได้ ) เช่น วิธีทำ ประโยคสัญลักษณ์ 100 - (4x15) = 0 ซื้อปากกา 4 ด้าม ด้ามละ 15 บาท ตังนั้นซื้อปากกาทั้งหมด 60 บาท ให้ธนบัตรไป 100 บาท ดังนั้น จะได้เงินทอน 100 - 60 = 40 บาท ตอบ 40 บาท 4. ขั้นตรวจสอบผลลัพธ์ - ตรวจสอบแต่ละขั้นตอน นักเรียนอาจตรวจคำตอบไห้ตั้งนี้ ตอนที่ 1 4 x 15= 60 ตอนที่ 2 100-60 = 40 ตรวจย้อน 40 + 60 = 100


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 163 การจัดการเรียนการสอนแบบประสบการณ์ (Experiential Learning) ความหมาย การจัดการเรียนการสอนแบบประสบการณ์ หมายถึง การเรียนรู้จากประสบการณ์หรือการเรียนรู้จาก การได้ลงมือปฏิบัติจริง โดยผู้เรียนที่มีโอกาสได้รับประสบการณ์แล้วได้รับการกระตุ้นให้สะท้อนสิ่งต่าง ๆ ที่ได้จาก ประสบการออกมาเพื่อ พัฒนาทักษะใหม่ ๆ หรือวิธีคิดใหม่ ๆ แนวคิด การเรียนรู้จากประสบการณ์ เป็นปัจจัยหลักหนึ่งของการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง(Transformative Leaning) ประสบการณ์นี้หมายรวมทั้งประสบการณ์ที่บุคคลนั้นผ่านพบมาแล้วและประสบการณ์ในชั้นเรียน โดย จะนำข้อมูลสำหรับนำมาพูดคุยแลกเปลี่ยนการตีความหรือสะท้อนคิด เพื่อตรวจสอบและทำความเข้าใจ ระบบ คุณค่าของแต่ละปัจเจกบุคคล โดยผู้สอนเป็นผู้ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีมิติด้านคุณค่า และมีกิจกรรมให้ ผู้เรียนลงมือทำหรือสัมผัสจวิง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทำความเข้าใจ คุณคำของกิจกรรมหรือสิ่ง ต่าง ๆ ยิ่ง กิจกรรมนั้นก่อให้เกิดความอึดอัด หรือได้รับประสบการณ์เชิงอารมณ์จะยิ่งมีโอกาสเรียนรู้สู่การเปลี่ยน โลกทัศน์ สูงขึ้น (วิจารณ์ พานิช 2558: 18-19) รูปแบบการจัดการเรียนการสอน เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มี 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นประสบการณ Experiencing เป็นขั้นลงมือทำกิจกรรมจากสภาพจริง เช่นกิจกรรมการ สำรวจราคาสินค้าในตลาด การสัมภาษณ์ หรือการปฏิบัติการต่าง ๆ 2. ขั้นนำเสนอและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ Publishing เป็นขั้นของการพูดการเขียน เช่นการนำ ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวม มานำเสนอในรูปแบบการพูดหรือการเขียนเป็นตารางเป็นกราฟหรือรูปแบบอื่นๆ 3. ขั้นอภิปรายผล Discussing เป็นขั้นของการอภิปรายซักถามเพื่อความเข้าใจที่แจ่มชัดและให้ได้ แนวคิดในการประยุกต์ใช้ ในขั้นนี้ทั้งผู้เรียนและผู้สอนอาจใช้การชักถามในการอภิปรายร่วมกัน 4. ขั้นสรุปพาดพิง Generalizing เป็นขั้นสรุปผลการเรียนรู้จากทั้ง 3 ขั้นข้างดัน โดยสรุปพาดพิง สู่หลักการหรือมุมมองแบบแผนที่กว้างขึ้นอาจร่วมกันสรุปหรือลงมือกระทำ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 164 วิธีการสอนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน (Co - operative Learning) ความหมาย การจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่ผู้เรียนทำงานร่วมกันและช่วยเหลือ กันในชั้นเรียน ซึ่งจะสร้างบรรยากาศที่ดี ในชั้นเรียน และยังเพิ่มปฏิสัมพันธ์ที่ยอมรับซึ่งกันและกัน สร้างความภาคภูมิใจให้ผู้เรียนทุกคน นอกจากนี้ยังเพิ่ม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอีกด้วย เพราะใน ขั้นเรียนมีความร่วมมือ ผู้เรียนจะได้ฟัง เขียน อ่าน ทวนความ อธิบาย และปฏิสัมพันธ์ ผู้เรียน จะเรียนด้วยการลงมือกระทำ ผู้เรียนที่มีจุดบกพร่องจะได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่ม ความมุ่งหมายของการสอน ความมุ่งหมายของการเรียนแบบทำงาน รับผิดชอบร่วมกัน คือ การให้สมาชิกทุกคนใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ในการทำงานกลุ่ม โดยยังคงรักษา สัมพันธภาพที่ดีต่อสมาชิกกลุ่มในการเรียนเป็นกลุ่มแบบเดิมนั้น จุดมุ่งหมายอยู่ที่การทำงานให้ สำเร็จเท่านั้น แนวคิดทฤษฎี บุญครอง ศรีนวล (2543 : 11 - 13) ได้รวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบกลุ่ม ร่วมมือไว้ ดังนี้ Slavin กล่าวว่าการสอนแบบกลุ่มร่วมมือเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนให้ความสามารถ เฉพาะตัวแทนและศักยภาพในตนเองและร่วมมือแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จ โดยสมาชิกในกลุ่มตระหนักว่า แต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ทั้งนี้นักเรียนจะรู้สึกถึงคุณค่าของตนเองที่เพิ่มขึ้น เพราะว่านักเรียนได้มีส่วนร่วมใน การทำกิจกรรมกลุ่ม นอกจากนั้นการสอนแบบกลุ่มร่วมมือยังก่อให้เกิดบรรยากาศที่นักเรียนได้พูดคุยกัน เป็นการ ช่วยให้นักเรียนและเพื่อนเข้าใจปัญหาชัดเจนยิ่งขึ้น การที่นักเรียนสามารถอธิบายให้เพื่อนฟังได้เป็นการยกระดับ ความเข้าใจให้ชัดเจนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น สำหรับบทบาทของครูที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมต้องไม่ถือว่าตนเองเป็นผู้ ถ่ายทอดความรู้ในชั้นเรียนเดียวกัน แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้นักเรียนสามารถค้นหาความรู้ได้ จากการร่วมมือกันเรียนรู้ ซึ่งเกิดจากการกระทำของตนเองและจากเพื่อนนักเรียนด้วยกัน นอกจากนี้ Joyce and Weil ได้กล่าวว่า เทคนิคการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือเป็นเทคนิคที่ช่วยพัฒนาผู้เรียน ทั้งทางด้านสติปัญญา ให้เกิดการเรียนรู้จนบรรลุถึงขีดความสามารถสูงสุดได้ โดยมีเพื่อนในวัยเดียวกัน กลุ่ม เดียวกันเป็นผู้คอยแนะนำหรือช่วยเหลือ ทั้งนี้เนื่องจากผู้เรียนที่อยู่ในวัยเดียวกัน ย่อมจะมีการใช้ภาษาสื่อสารที่ เข้าใจกันง่ายกว่าครูผู้สอน ซึ่งการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือมีหลักที่ผู้สอนต้องคำนึงถึงอยู่ 3 ประการ คือ


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 165 1.มีรางวัลหรือเป้าหมายของกลุ่ม 2.ความหมายของแต่ละบุคคลในกลุ่ม 3.สมาชิกในกลุ่มมีโอกาสในการช่วยเหลือให้กลุ่มประสบผลสำเร็จได้เท่าเทียมกัน เป้าหมายและลักษณะของผลผลิตของการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ การจัดการเรียนการสอนแบบกลุ่มร่วมมือหรือร่วมมือกันเรียนรู้ เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้ความสำคัญต่อการ พัฒนาทัศนคติและค่านิยมในตัวนักเรียนที่จำเป็นทั้งในและนอกห้องเรียน การจำลองรูปแบบพฤติกรรมทางสังคมที่ พึงประสงค์ในห้องเรียน การเสนอแนะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวความคิดที่หลากหลายระหว่างสมาชิกใน กลุ่ม การพัฒนาพฤติกรรมการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์และการคิดอย่างมีเหตุผล รวมทั้งการพัฒนาลักษณะของ ผู้เรียนให้รู้จักตนเองและเพิ่มคุณค่าของตนเองจากกิจกรรมดังกล่าวจะมีผลต่อผู้เรียน โดยสรุปใน 3 ประการ คือ 1. ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียน (Cognitive Knowledge) 2. ทักษะทางสังคม โดยเฉพาะทักษะการทำงานร่วมกัน (Social Skills) 3. การรู้จักตนเองและตระหนักในคุณค่าของตนเอง (Self - Esteem) ขั้นตอนการสอน 1. แนะนำ ด้วยการบอกว่าชั้นเรียนแบ่งเป็นกี่กลุ่ม กลุ่มละกี่คน สมาชิกแต่ละคน ต้องรับผิดชอบที่จะเรียน เกี่ยวกับหัวข้อที่กลุ่มได้รับให้ได้มากที่สุด แต่ละกลุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อนั้น มีหน้าที่จะสอนกลุ่มอื่น ๆ ด้วย ทุก คนจะได้รับเกรดรายบุคคลและเป็นกลุ่ม 2. แบ่งกลุ่มให้คละกัน แล้วให้กลุ่มตั้งชื่อกลุ่ม เขียนชื่อกลุ่ม และสมาชิกบนป้าย นิเทศ ผู้สอนแจ้ง กฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติระหว่างการประชุมกลุ่ม ก. ห้ามคนใดออกจากกลุ่มก่อนที่จะเสร็จงานกลุ่ม ข. แต่ละคนในกลุ่มต้องรับผิดชอบที่จะให้สมาชิกทุกคนเข้าใจและทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ ค. ถ้าผู้เรียนคนใดไม่เข้าใจเรื่องใด ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนในกลุ่มก่อนที่จะถามผู้สอน 3. สร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยผู้สอนแจกเอกสารหัวข้อต่าง ๆ ซึ่งภายในบรรจุด้วย เนื้อหาถ้ามีกลุ่ม 6 กลุ่ม ผู้สอนต้องเตรียมเอกสาร 6 ชุด ผู้เรียนที่ได้รับหัวข้อเดียวกันจะศึกษาเรื่องนั้นด้วยกันเมื่อทุกคนเข้าใจดีแล้ว ก็ เตรียมตัววางแผนการสอนเพื่อกลับไปสอนสมาชิกในกลุ่มเดิมของตน 4. ผู้เชี่ยวชาญสอนเพื่อนในกลุ่ม ทุกคนจะผลัดกันสอนเรื่องที่ไปศึกษามาตรวจสอบความเข้าใจและช่วย เพื่อนสมาชิกในการเรียน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 166 5. ประเมินผลและให้คะแนนแต่ละคน ผู้สอนทำการทดสอบเพื่อดูว่าต้องสอน เพิ่มเติมหรือไม่ให้เกรด และ คิดคะแนนกลุ่ม รูปแบบการสอน สุลัดดา ลอยฟ้า (2537 : ไม่มีเลขหน้า) ได้กล่าวถึงรูปแบบการสอนแบบกลุ่มร่วมมือว่าแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. รูปแบบการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ ตามแนวคิดของ Robert Slavin และคณะจาก Johns Hopkins University ได้พัฒนาเทคนิคการสอนแบบกลุ่มร่วมมือต่าง ๆ เป็นที่ยอมรับกันแพร่หลาย ดังนี้ 1.1 STAD (Student Teams - Achievement Division) เป็นรูปแบบการสอนที่สามารถดัดแปลง ใช้ได้เกือบทุกวิชาและทุกระดับชั้น เพื่อเป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคมเป็น สำคัญ 1.2 TGT (Team Games Tournament) เป็นรูปแบบการสอนที่คล้ายกับ STAD แต่เป็นการจูงใจ ในการเรียนยิ่งขึ้น โดยการใช้การแข่งขันเกมแทนการทดสอบย่อย 1.3 TAI (Team Assisted Individualization) เป็นรูปแบบการสอนที่ ผสมผสานแนวความคิด ระหว่างการสอนแบบกลุ่มร่วมมือกับการสอนรายบุคคล รูปแบบการสอน TAI เป็นการประยุกต์ใช้กับการ สอนคณิตศาสตร์ 1.4 CIRC (Cooperative Integrate Reading and Composition) เป็นรูปแบบการสอนแบบ กลุ่มร่วมมือแบบผสมผสาน ที่มุ่งพัฒนาขึ้นเพื่อสอนการอ่านและการเขียน สำหรับนักเรียนขั้นประถมศึกษา ตอนปลายโดยเฉพาะ 1.5 jigsaw ผู้คิดค้นการสอนแบบ jigsaw เริ่มแรกคือ Elliot - Aronson และคณะ (1978) หลังจาก นั้น Slavin ได้นำแนวคิดดังกล่าวมาปรับขยายเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการสอนแบบกลุ่มร่วมมือมาก ยิ่งขึ้น ยิ่งเป็นรูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับการบรรยาย เช่น สังคมศึกษา วรรณคดี บางส่วนของวิชาวิทยาศาสตร์ รวมทั้งวิชาอื่น ๆ ที่เน้นการพัฒนาความรู้ความเข้าใจมากกว่าการพัฒนา ทักษะ 2. รูปแบบการสอนแบบกลุ่มร่วมมือตามแนวคิดของ David Johnson และคณะจากมหาวิทยาลัย Minnessota (1989) ได้พัฒนารูปแบบการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ โดยยึดหลักการเบื้องต้น 5 ประการด้วยกัน คือ 2.1 การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Positive Interdependence) 2.2 การปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว (Face to Face promotive Interaction)


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 167 2.3 ความหมายและทักษะความสามารถของแต่ละบุคคลในกลุ่ม (Individual) 2.4 ทักษะทางสังคม (Social Skills) 2.5 กระบวนการกลุ่ม (Group Processing) 3. รูปแบบการสอนแบบร่วมมือในงานเฉพาะอย่าง เช่น Group Investigation ของ Shlomo และ Yael Sharan , co-op-co-op องค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้ด้วยการทำงานร่วมกัน 1. การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพากัน ต้องมีทัศนคติที่ดีในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Positive Interdependence) ผู้เรียนต้องมีความตระหนักว่าทุกคนต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันคนใดคนหนึ่งไม่สามารถ ทำงานบรรลุวัตถุประสงค์ได้คนเดียว ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภายในกลุ่ม 2. มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน (Face to Face Interaction) ผู้เรียนต้องทำงานร่วมกันให้ประสบ ความสำเร็จร่วมกัน ฉะนั้นผู้เรียนควรมีการแบ่งปันข้อมูล การสนับสนุนช่วยเหลือกัน ส่งเสริม ซึ่งกันและกัน และ กระตุ้นการทำงานร่วมกัน ซึ่งการทำงานร่วมกันนี้ จะเป็นการพูดคุยถกเถียงการแก้ปัญหาร่วมกัน รวมทั้งเป็นการ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เป็นการตรวจสอบความเข้าใจ การเรียนรู้ทั้งที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน 3. การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (social skills) โดยเฉพาะทักษะในการทำงานร่วมกัน 4. การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (group processing) สมาชิกในกลุ่มต้องมีการ อภิปรายถกเถียงกันถึงความสำเร็จของงาน รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างกันในการทำงานให้มี(Accountability) ประสิทธิภาพ 5. การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถตรวจสอบและวัด ประเมินได้ (Individual Accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกันนอกจากจะช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ทางด้านเนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นแล้วยังสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสังคม และอารมณ์มากขึ้นด้วย รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอีกมาก รูปแบบนี้มุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและความ ช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะทางสังคมต่าง ๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิดการแก้ปัญหาและอื่น ๆ รูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการ ดำเนินการหลัก ๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนนและระบบการให้รางวัล


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 168 แตกต่างกันออกไปเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะแต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือหลักการ เรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการและมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไป ในทิศทางเดียวกันคือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ใน เรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัย การร่วมมือกันช่วยเหลือกันและแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียน ด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระและวิธีการเสริมแรงและการให้ รางวัล เป็นประการสำคัญ การเรียนแบบ Collaborative สามารถใช้ในการเรียนได้ดังต่อไปนี้ 1. Group Process/Group Activity/Group Dynamics 1.1 เกม 1.2 บทบาทสมมุติ 1.3 กรณีตัวอย่าง 1.4 การอภิปรายกลุ่ม 2. Cooperative Learning 2.1 การเล่าเรื่องรอบวง (Round robin) 2.2 มุมสนทนา (Corners) 2.3 คู่ตรวจ สอบ (Pairs Check) 2.4 คู่คิด (Think-Pair Share) 2.5 ปริศนาความคิด (Jigsaw) 2.6 กลุ่มร่วมมือ (Co-op Co-op) 2.7 การร่วมมือกันแข่งชัน (The Games Tournament) 2.8 ร่วมกันคิด (Numbered Headed Together) 3. Constructivism 3.1 The Interaction Teaching Approach 3.2 The Generative Learning Model 3.3 The Constructivist Learning Model 3.4 Cooperative Learning


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 169 บทบาทของผู้สอน 1. ต้องวางแผนทักษะการทำงาน เพื่อถ่ายทอดการเรียนรู้ 2. สอนผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ 3. พัฒนาผู้เรียนให้มีความรับผิดชอบ 4. ส่งเสริมให้เกิดเรียนรู้อย่างแท้จริง 5. อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถประเมินตนเองได้ 6. กระตุ้นให้ผู้เรียนเรียนรู้ 7. ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุก ๆ คน 8. สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนใช้ความคิดให้มากขึ้น 9. ผู้สอนต้องสอนทักษะการเข้าสังคม 10. มีความสัมพันธ์ที่สมดุลระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนกับวัสดุฝึก นักเรียนกับนักเรียน การเรียนภายในกลุ่ม มีลักษณะดังนี้ 1. มีทัศนคติที่ดีในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน 2. แต่ละคนมีความรับผิดชอบตนเอง 3. ผู้เรียนมีคุณลักษณะที่แตกต่างกัน 4. มีการสับเปลี่ยนการเป็นผู้นำ 5. มีความรับผิดชอบร่วมกัน 6. มีการอภิปรายและประเมินผลงาน และการมีปฏิสัมพันธ์กันมาก ควรแบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 7. การแบ่งกลุ่มมีหลายลักษณะ อาจแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ละ 2-6 คน การแบ่งกลุ่มไม่ควรใช้เวลามาก ควรแบ่งกลุ่ม เล็กๆ 8. ครูผู้สอนควรแบ่งกลุ่มที่ผู้เรียนสามารถทำงานด้วยกันได้ ไม่ควรให้ผู้เรียนเลือกกันเอง 9. ควรคละผู้เรียนที่มีความสามารถสูง ปานกลางและต่ำให้อยู่ภายในกลุ่มเดียวกันให้ได้มากที่สุด เงื่อนไขในการสอน 1. ควรสอนกิจกรรมที่เหมาะสมการเรียนรู้ให้มากที่สุด 2. ห้องเรียนควรจัดให้เหมาะสมและส่งเสริมผู้เรียนกลุ่มเล็กในการทำงานร่วมกันได้ และครูผู้สอนสามารถดินไป มาหาสู่ผู้เรียนได้โดยสะดวก


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 170 3. วัสดุอุปกรณ์การเรียนควรจัดให้ตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ในแผนการสอน 4. การสอนวิชาการควรให้รายละเอียดมากที่สุด 5. การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ควรสอบถามผู้เรียนแต่ละกลุ่มตกลงร่วมกันว่า จะให้แต่ละคนช่วยกันทำ อะไรบ้าง 6. สื่อวัสดุอุปกรณ์การเรียน ข้อมูลต่าง ๆ และการอาศัยซึ่งกันและกัน ควรผลิต/จัดหาให้ 7. ผู้สอนควรมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอ 8. ผู้เรียนทุกคนควรช่วยเหลือ และช่วยกันทำงานตามที่ได้รับมอบหมายร่วมกัน 9. ผู้สอนควรขับเคลื่อนการเรียนรู้จากการทำงานเป็นกลุ่ม โดยให้ความร่วมมือกับผู้เรียนอย่าง 10. การวัดผลประเมินผลควรตั้งเกณฑ์การวัดไว้ก่อนเริ่มการเรียนการสอนเหมาะสมแท้จริง


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 171 วิธีการสอนแบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Constructionism) ความเป็นมาของทฤษฎี ทฤษฎี Constructionism เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองพัฒนาขึ้น โดย Professor Seymour Papert แห่ง MI.T. (Massachusetts Institute of Technology)สหรัฐอเมริกา โดย พัฒนามาจากทฤษฎี Constructivism ของ Piaget ประวัติผู้พัฒนาทฤษฎี เซย์มัวร์ ปาเปิร์ต (Seymour Papert ) เป็นนักคณิตศาสตร์และนักการศึกษาที่สถาบันเอ็มไอทีเขาเป็น หนึ่งในผู้บุกเบิกปัญญาประดิษฐ์โดยเสนอแนวคิดเรื่องความรู้ของเครื่องจักร และได้สร้างภาษาโลโกในปี 1968 ซึ่ง เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับเด็กในการฝึกหัดเขียนโปรแกรม โดยสามารถระดมสมอง ร่วมกันคิดเพื่อสร้างโปรแกรม เขายังคิดเพื่อการศึกษานั่นคือ การนำเอาแนวคิดการเรียนรู้ของ ฌอง เพียเจต์(Jean Piaget) มาใช้ในโรงเรียนได้ อย่างไร และได้เน้นผลกระทบของเทคโนโลยีในการเรียนรู้ทั้งในโรงเรียนและในชีวิตประจำวัน ทฤษฎี (Constructionism) นี้จึงเกี่ยวข้องกับการสร้าง 2 ประการ 1. เมื่อเด็กสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่างออกมาเท่ากับว่าเด็กได้สร้างความรู้ขึ้นมาภายในตนเองด้วย 2. ความรู้ที่เด็กได้สร้างขึ้นภายในตนเองนี้จะช่วยให้เด็กนำไปสร้างความรู้ใหม่ หรือ สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ อื่น ๆ ที่ความสลับซับซ้อนกันมากขึ้น ทำให้เกิดความรู้เพิ่มพูนขึ้นตามไปด้วย แนวคิดสำคัญของทฤษฎี (Constructionism) 1. เริ่มที่ผู้เรียนต้องอยากจะรู้ อยากจะเรียน จึงจะเป็นตัวเร่งให้เขาขับเคลื่อน (ownership) 2. ใช้ความผิดพลาดเป็นบทเรียนเป็นแรงจูงใจ (internal motivation) ให้เกิดการสร้างสรรค์ความรู้ 3. การเรียนรู้เป็นทีม (team learning) จะดีกว่าการเรียนรู้คนเดียว 4. เป็นการเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ (Learning to learn) ไม่ใช่การสอน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 172 หลักการของทฤษฎี (Constructionism) มีหลักการสำคัญดังนี้ (สุชิน เพ็ชรักษ์, 2548 : 31 - 34) 1. หลักการที่ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หลักการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionismคือ การ ให้ผู้เรียนลงมือสร้างสิ่งของหรือประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่ มีความหมาย ซึ่งจะรวมถึงปฏิกิริยาระหว่างความรู้ในตัวของผู้เรียนเองกับสบการณ์และสิ่งแวดล้อมภายนอก สามารถเชื่อมโยงและสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ 2. หลักการที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ หลักการตามทฤษฎี Constructionism ครูต้อง จัดบรรยากาศการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนด้วยตนเอง โดยมีทางเลือก ที่หลากหลายและเรียนรู้อย่างมีความสุข สามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้ใหม่กับความรู้เก่าได้ ส่วนครูทำ หน้าที่เป็นผู้ช่วยและคอยอำนวยความสะดวก 3. หลักการเรียนรู้จากประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม หลักการนี้เน้นให้เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ ร่วมกัน ทำให้ผู้เรียนเห็นว่าคนเป็นแหล่งความรู้อีกแหล่งหนึ่งที่ สำคัญ การสอนตามทฤษฎี Constructionism เป็นการจัดประสบการณ์เพื่อเตรียมคนออกไปเผชิญโลก ถ้าผู้เรียนเห็นว่าคนเป็นแหล่งความรู้สำคัญและ สามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ เมื่อจบการศึกษาออกไปก็จะปรับตัวและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 4. หลักการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ หลักการนี้เน้นการใช้เทคโนโลยีแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ ต่าง ๆ ด้วยตนเอง เป็นผลให้เกิดพฤติกรรมที่ฝังแน่นเมื่อผู้เรียน เรียนรู้ว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไร (Learning how to Learn) หลักการของทฤษฎี Constructionism เป็นการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติหรือสร้างสิ่งที่มี ความหมายกับตนเอง ดังนั้นเครื่องมือที่ใช้ต้องมีลักษณะเอื้อต่อการให้ผู้เรียนนำมาสร้างเป็นชิ้นงานได้สำเร็จ ตอบสนองความคิดและจินตนาการของผู้เรียน กล่าวโดยสรุปก็คือ เครื่องมือทุกชนิดที่สามารถทำให้ผู้เรียนสร้าง งานหรือลงมือปฏิบัติด้วยตนเองได้เป็นเครื่องมือที่สอดคล้องตามหลักการทฤษฎีConstructionism แนวการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎี (Constructionism) ขั้นตอนตามแนวทฤษฎี Constructionism ( 5 Steps to Constructionism ) ดังนี้ ขั้นที่ 1 จุดประกายความคิด (Sparkling) ขั้นที่ 2 สะกิดให้ค้นคว้า (Searching) ขั้นที่ 3 นำพาสู่การปฏิบัติ (Studying)


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 173 ขั้นที่ 4 จัดองค์ความรู้ ( Summarizing) ขั้นที่ 5 นำเสนอควบคู่การประเมิน ( Show and Sharing) การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองได้ แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนหลัก ๆ 1. Explore คือ การสำรวจตรวจค้น ในขั้นตอนนี้บุคคลจะเริ่มสำรวจตรวจค้นหรือพยายามทำความเข้าใจ กับสิ่งใหม่ (assimilation) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อได้พบหรือ ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ที่ไม่มีอยู่ในสมองของตน ก็จะ พยายามรับหรือดูดซึมเก็บเข้าไปเป็นความรู้ใหม่ พฤติกรรมเหล่านี้หลายท่านอาจจะสัมผัสด้วยตนเองหรือเคย สังเกตเห็นจากการเข้าร่วมกิจกรรมการต่อเลโก้ & โลโก้ จะเห็นว่าได้พบกับอุปกรณ์ที่เป็นตัวต่อ หลายๆคนที่ไม่มี ประสบการณ์เลยอาจจะเริ่มจากสำรวจชิ้นส่วนต่าง ๆ ว่ามีอะไรบ้างและแต่ละตัวใช้ทำงานอะไร หรือนั่งมองคนอื่นๆ ต่อไปก่อน อาจจะสอบถามจากเพื่อนที่นั่งใกล้ ๆหรือบางคนอาจจะดูจากคู่มือที่มีอยู่เพื่อพยายามทำความเข้าใจกับ สิ่งใหม่นั้น 2. Experiment คือ การทดลอง ในขั้นตอนนี้ จะเป็นการทดลองทำภายหลังจากที่มีการสำรวจไปแล้ว เป็นการปรับความแตกต่าง(accommodation) เมื่อได้พบหรือปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่สัมพันธ์กับ ความคิดเดิมที่มีอยู่ในสมอง นั่นหมายความว่าเริ่มจะปรับความแตกต่างระหว่างของใหม่กับของเดิมจนเกิดความ เข้าใจว่าควรจะทำอย่างไรกับสิ่งใหม่นี้ เช่น ในการต่อเลโก้ &โลโก้ หลังจากที่สำรวจชิ้นส่วนต่าง ๆ และเก็บเป็น ความรู้ไว้ในสมองแล้ว ต่อไปอาจจะเป็นการทดลองสร้างโดยอาจจะสร้างตามตัวอย่างในคู่มือ หรืออาจจะทดลองต่อ เป็นชิ้นงานที่ตนเองอยากจะทำ หรืออาจจะทดลองต่อตาม เพื่อนๆ ก็ได้ แต่บางคนก็พยายามที่จะปรับตนเองโดย การสอบถามเพื่อนที่สามารถทำได้ (ซึ่งจุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ทราบว่าคนเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ อย่างหนึ่งและการแสวงหาความรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆตัว) ในขั้นตอนนี้อาจจะมีลองผิดลองถูกบ้างเพื่อจะเก็บ เกี่ยวเป็นประสบการณ์และสร้างเป็นองค์ความรู้เก็บสมองของตนเอง อย่างไรก็ตามในขั้นตอนนี้จะเกิดทั้งการดูดซึม (assimilation) และ การปรับแตกต่าง (accommodation) ผสมผสานกันไป 3. Learning by doing คือ การเรียนรู้จากการกระทำ ขั้นนี้เป็นการลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่างใดอย่าง หนึ่งหรือการได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่มีความหมายต่อตนเอง แล้วสร้างเป็นองค์ความรู้ของตนเองขึ้นมา ซึ่งจะ คาบเกี่ยวกับขั้นตอนที่ผ่านมา ขั้นนี้จะเกิดทั้งการดูดซึม (assimilation) และการปรับความแตกต่าง (accommodation) ผสมผสานกันไป เช่นเดียวกัน 4. Doing by learning คือ การทำเพื่อที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ ขั้นตอนนี้จะต้องผ่านขั้นตอนทั้ง 3 จน ประจักษ์แก่ใจตนเองว่าการลงมือปฏิบัติกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือการได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่มี ความหมายนั้น สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ได้และเมื่อเข้าใจแล้วก็จะเกิดพฤติกรรมในการเรียนรู้ที่ดี รู้จักคิด


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 174 แก้ปัญหา รู้จักการแสวงหาความรู้ การปรับตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ฯลฯ นั่นก็คือเกิดภาวะที่เรียกว่า “Powerful learning” ซึ่งก็คือเกิดการเรียนรู้ที่จะดูดซึม (assimilation) และการปรับความแตกต่าง (accommodation) อยู่ตลอดเวลาอันจะนำไปสู่คำกล่าวที่ว่า “คิดเป็น ทำเป็นแก้ปัญหาเป็น” นั่นเองอย่างไรก็ตาม ขั้นตอนที่กล่าวมาทั้ง 4 ขั้นจะเห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจนบางที่ ไม่สามารถแยกออกว่าพฤติกรรมที่ เห็นนั้นอยู่ในขั้นตอนไหนเพราะมีการผสมผสานกันอยู่ตลอดเวลา และในการเริ่มต้นของแต่ละบุคคลนั้นอาจมีความ แตกต่างกันออกไป บางคนอาจจะเริ่มที่ Experiment หรืออาจจะเริ่มที่ Learning by doing เลยก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กับความรู้เดิมที่มีอยู่ในสมองของแต่ละบุคคลนั้นไม่เท่ากัน


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 175 การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎี (Constructionism) การจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism เป็นนวัตกรรมด้านการจัดการเรียนรู้ที่ พัฒนากระบวนการ คิดของผู้เรียนและนำเสนอผ่านผลงานที่จัดทำ ดังนั้นครูผู้สอนต้องดำเนินการจัดการเรียนรู้ดังนี้(สุชิน เพ็ชรักษ์, 2548 : 3 - 4) 1. เชื่อมโยงสิ่งที่รู้แล้วกับสิ่งที่ผู้เรียนกำลังเรียน 2. การให้โอกาสผู้เรียนเป็นผู้ริเริ่มทำโครงการที่ตนเองสนใจ 3. เปิดโอกาสให้มีการนำเสนอความคิด ผลงาน ผลการวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ของตนเอง เพื่อ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อน 4. ให้เวลาทำงานอย่างต่อเนื่อง บทบาทของครู ในการดำเนินกิจกรรมการสอน ครูควรรู้จักบทบาทของตนเองอย่างแจ่มแจ้ง ครูนับว่าเป็นบุคคลสำคัญที่จะ ทำให้การสอนสำเร็จผล ดังนั้นจึงควรรู้จักบทบาทของตน ดังนี้ คือ 1. จัดบรรยากาศการเรียนรู้ให้เหมาะสม โดยควบคุมกระบวนการการเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมายตามที่ กำหนดไว้และคอยอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนดำเนินงานไปได้อย่างราบรื่น 2. แสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เรียนตามโอกาสที่เหมาะสม(ต้องคอยสังเกต พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนและบรรยากาศการเรียนที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา) 3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามแนวทางของทฤษฎี Constructionism โดยเน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง เป็นผู้จุดประกายความคิดและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนโดยทั่วถึงกัน ตลอดจนรับฟังและสนับสนุนส่งเสริมให้กำลังใจแก่ผู้เรียนที่จะเรียนรู้เพื่อประจักษ์แกใจด้วยตนเอง 4. ช่วยเชื่อมโยงความคิดเห็นของผู้เรียนและสรุปผลการเรียนรู้ ตลอดจนส่งเสริมและนำทางให้ผู้เรียนได้ รู้วิธีวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อผู้เรียนจะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 176 ในการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎี Constructionism ครูเป็นบุคคลสำคัญที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติความ เชื่อ ดังนี้ 1. ต้องไม่ถือว่า ครูเป็นผู้รู้แต่ผู้เดียว ผู้เรียนต้องเชื่อตามที่ครูบอก แต่ครูต้องตระหนักว่าตนเองมีความรู้ที่ จะช่วยเหลือนักเรียนเท่าที่จะช่วยได้ ดังนั้นครูจึงไม่อับอายผู้เรียนที่จะพูดว่า “ครูก็ยังไม่ทราบ พวกเรามาช่วยกันหา คำตอบดูซิ” 2. ต้องพยายามให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมากที่สุด อดทนและปล่อยให้นักเรียนประกอบกิจกรรม ด้วยตนเอง อย่ารีบบอกคำตอบ ควรช่วยเหลือแนะนำผู้เรียนที่เรียนข้าและเรียนเร็วให้สามารถเรียนไปตาม ความสามารถของตนเองให้มากที่สุด 3. ไม่ควรถือว่า “ผู้เรียนที่ดีต้องเงียบ” แต่ครูควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่ง กันและกัน 4. ต้องไม่ถือว่าการที่ผู้เรียนเดินไปเดินมาในการทำกิจกรรมการเรียนรู้เป็นการแสดงถึงความไม่มีระเบียบ วินัย แต่ต้องคิดว่าการเดินไปเดินมาเป็นกระบวนการหนึ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และช่วยทำให้ ผู้เรียนไม่เบื่อหน่ายต่อการเรียน 5. ไม่ควรยึดติดกับหลักสูตรมากเกินไป ไม่ควรจะยัดเยียดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นให้กับผู้เรียนควรคิดว่าการให้ เนื้อหาที่จำเป็นแม้จะน้อยอย่างก็ยังดีกว่าสอนหลายๆอย่าง แต่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้น้อยมากหรือนำความรู้ที่เรียน ไปประยุกต์ใช้ไม่ได้ 6. การจัดตารางสอนควรจัดให้ยืดหยุ่น เหมาะสมกับเวลาที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม ภายในเวลาที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยไป บทบาทของผู้เรียน ในการเรียนตามทฤษฎี Constructionism ผู้เรียนจะมีบทบาทเป็นผู้ปฏิบัติและสร้างความรู้ไปพร้อม ๆ กัน ด้วยตัวของเขาเอง (ทำไปและเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน) บทบาทที่คาดหวังจากผู้เรียน คือ 1. มีความยินดีร่วมกิจกรรมทุกครั้งด้วยความสมัครใจ 2. เรียนรู้ได้เอง รู้จักแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ด้วยตนเอง 3. ตัดสินปัญหาต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล 4. ความรู้สึกและความคิดเป็นของตนเอง 5. วิเคราะห์พฤติกรรมของตนเองและผู้อื่นได้ 6. ให้ความช่วยเหลือกันและกัน รู้จักรับผิดชอบงานที่ตนเองทำอยู่และที่ได้รับมอบหมาย


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 177 7. นำสิ่งที่เวียนรู้ไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้นั้น การนำทฤษฎี Constructionism มาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน ประยุกต์ใช้บางส่วน กล่าวคือ นำทฤษฎี Constructionism มาประยุกต์ใช้เป็นครั้งคราว โดยเลือกให้ เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และเนื้อหา ประยุกต์ใช้ในชั่วโมงปฏิบัติเต็มเวลา กล่าวคือ นำทฤษฎี Constructionism มาประยุกต์ใช้ในชั่วโมงปฏิบัติ ทั้งหมดของวิชานั้น โดยครูให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติและเชื่อมโยงความรู้ให้สัมพันธ์กับทฤษฎีที่เรียน เทคนิคการสอนและวิธีการสอน (Teaching Techniques and Methods) ประยุกต์ใช้ทั้งวิชา กล่าวคือ นำทฤษฎี Constructionism มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนทั้งวิชา ซึ่งนับว่า เป็นวิธีที่ดีหากปฏิบัติได้จริง เพราะการเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนคติของผู้เรียนนั้นจะต้องอาศัยระยะเวลานาน พอสมควรและจะต้องทำอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 178 วิธีการสอนแบบโดยใช้เกม (Game) ความหมาย วิธีสอนโดยใช้เกม เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถ โดยผู้เรียนเป็นผู้เล่นเอง ทำให้ได้รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง วัตถุประสงค์ วิธีสอนโดยใช้เกม เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถ โดยผู้เรียนเป็นผู้เล่นเอง ทำให้ได้รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง องค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ของวิธีสอน • มีผู้สอนและผู้เรียน • มีเกมและกติกาการเล่น • มีการเล่นเกมตามกติกา • มีการอภิปรายเกี่ยวกับผลการเล่น วิธีการเล่น และพฤติกรรมการเล่นของผู้เล่นหลังการเล่น • มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของการสอน • ผู้สอนนำเสนอเกม ชี้แจงวิธีการเล่น และกติกาการเล่น • ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา • ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับผลการเล่นและวิธีการหรือพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียน • ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดนใช้เกมให้มีประสิทธิภาพ 1. การเลือกและนำเสนอเกม เกมการศึกษา เป็นเกมที่มีวัตถุประสงค์ มุ่งให้ผู้เล่นเกิด การเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ มิใช่เล่นเพียงเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้สอนอาจนำเกมที่เล่นเพื่อความ บันเทิงเป็นสำคัญมาใช้ในการสอน โดยนำมาเพิ่มขั้นตอนสำคัญคือ การวิเคราะห์อภิปรายเพื่อการเรียนรู้


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 179 เกมที่ได้รับการออกแบบให้เป็นเกมการศึกษามี 3 ประเภท ประกอบด้วย • เกมแบบไม่มีการแข่งขัน เช่น เกมการสื่อสาร เกมการตอบคำถาม เป็นต้น • เกมแบบแข่งขัน มี ผู้แพ้ ผู้ชนะ เกมส่วนใหญ่จะเป็นเกมแบบนี้ เพราะการแข่งขันช่วยให้การเล่น เพิ่มความสนุกสนานมากขึ้น • เกมจำลองสถานการณ์ เป็นเกมที่จำลองความเป็นจริง สถานการณ์จริง ซึ่งผู้เล่นจะต้องคิด ตัดสินใจ จากข้อมูลที่มีและได้รับผลของการตัดสินในเหมือนกับที่ควรจะได้รับความเป็นจริง 2. การชี้แจงวิธีการเล่นและกติกาการเล่น กติกาการเล่น เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเล่นเกม เพราะกติกานี้ จะตั้งขึ้นเพื่อควบคุมการเล่นให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ผู้สอนควรศึกษากติกาการเล่นและวิเคราะห์ กติกาว่ากติกาแต่ละข้อมีขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อะไรและควรดูแลให้ผู้เล่นปฏิบัติตามกติกาของการเล่น อย่างเคร่งครัด 3. การเกม การเล่นเกมควรให้เป็นไปตามขั้นตอน และในบางกรณีต้องควบคุมเวลาในการเล่นด้วยในขณะที่ ผู้เรียนกำลังเล่นเกม ผู้สอนควรติดตามพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด และควรบันทึกข้อมูลที่ จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนไว้ เพื่อนำไปใช้ในการอภิปรายหลังการเล่น หากเป็นไปได้ ผู้สอนควรมอบหมายผู้เรียนบางคนให้ทำหน้าที่สังเกตการเล่นและควบคุมกติกาการเล่นด้วย 4. การอภิปรายหลังการเล่น การอภิปรายควรมุ่งประเด็นไปตามวัตถุประสงค์ของการสอนนั้น ๆกล่าวคือ ถ้าการใช้เกมนั้นมุ่งเพียงเป็นเครื่องมือฝึกทักษะให้ผู้เวียน การอภิปรายก็ควรมุ่งไปที่ทักษะนั้น ๆ ว่า ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะนั้นเพียงใด ประสบความสำเร็จตามต้องการหรือไม่ และจะมีวิธีใดที่จะช่วยให้ ประสบความสำเร็จมากขึ้น หรือ หากมุ่งเนื้อหาสาระจากเกม ก็ควรอภิปรายในประเด็นที่ว่าผู้เรียนได้ เรียนรู้เนื้อหาสาระอะไรจากเกมบ้าง ได้อย่างไร ด้วยวิธีใด มีความเข้าใจเนื้อหาสาระนั้นอย่างไร ได้ความ เข้าใจนั้นการเล่นเกมตรงส่วนใด เป็นต้น


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 180 บรรณานุกรม วัฒนาพร ระงับทุกข์. (2542). แผนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพฯ : ม.ป.ท. สถาพร พฤฑฒิกุล. (2558). เอกสารประกอบการฝึกอบรม “คุณภาพผู้เรียน.......เกิดจากกระบวนการ เรียนรู้” โดย ดร.สถาพร พฤฑฒิกุล. สระแก้ว :คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยบูรพาวิทยาเขตสระแก้ว. ชัยยงศ์ พรหมวงศ์ และคณะ. (2550). “ชุดการเรียนการสอน” ในประมวลสาระชุดวิชาการพัฒนา หลักสูตร และสื่อการเรียนการสอน หน่วยที่ 14. นนทบุรี : บัณฑิตศึกษา สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548). เทคนิคและวิธีการสอนร่วมสมัย. กรุงเทพมหานคร : หลักพิมพ์ ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2553). ลักษณะของการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning.สืบค้นจาก : https:/km.buu.ac.th. [22 กุมภาพันธ์ 2563]. ไชยยศ เรืองสุวรรณ. (2553), เทคโนโลยีการศึกษา : ทฤษฎีและการวิจัย. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร. ณัชนัน แก้วชัยเจริญกิจ. (2550). บทบาทของอาจารย์ผู้สอน. สืบค้นจาก :https:/km.buu.ac.th. [22 กุมภาพันธ์ 2563]. ดร.ไสว ฟักขาว. (2556). การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการศึกษาทางไกล. [เว็บบล็อก].เข้าถึงได้จาก : http//www.budmgt.com. [13/2/2563]. ทิศนา แขมมณี. (2550). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี (2560). 14 วิธีสอนสำหรับครูมืออาชีพ. พิมพ์ครั้งที่ 13. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี (2514). 14 วิธีการสอนสำหรับครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมณี (2545) ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมณี (2548). รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี (2550). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหานคร : จุฬาสงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธนันชนก. (2556). การศึกษารายบุคคล. เข้าถึงได้จาก : http://tananchanok.blogspot.com/.[สืบคัน 18 กุมภาพันธ์ 2563].


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 181 บรรณานุกรม (ต่อ) นราวดี จ้อยรุ่ง. (2559). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาและทักษะกระบวนการกลุ่ม ของนักเรียนสายวิทยาศาสตร์พิเศษ ขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา. นิราศ จันทรจิตร. (2553). การเรียนรู้ด้านการคิด. มหาสารคาม: สำนักงานมหาวิทยาลัยมหาสารคาม. บุญครอง ศรีนวล. (2543). ความหมายการจัดการสอนแบบกลุ่มร่วมมือ. สืบค้นจาก : http://wilailuckjanekrueng.blogspot.com. [22 กุมภาพันธ์ 2563]. บุญชม ศรีสะอาด. (2537). หลักและวิธีการสอน. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น. ประทีป จันทร์สกุลณี. (2550). ตัวอย่าง การสอนแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์. [เว็บบล็อก].เข้าถึงได้จาก : https://www.gotoknow.org. [20/2/2563]. ประเทือง วิบูลศักดิ์(ม.ป.ป.). การเรียนรู้แบบนำตนเอง (Self -Directed Learning). เข้าถึงได้จาก : http://ww.sahavicha.com. [สืบค้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563]. ประภัสรา โคตะขุน. (2555). การเรียนแบบร่วมมือตามรูปแบบ LT (Learning Together).[เว็บ บล็อก]. เข้าถึงได้จาก : https://sites.google.com. [14/2/2563]. ประภัสรา โคตะขุน. (2555). รูปการสอนแบบ Story line. [เว็บบล็อก]. เข้าถึงได้จาก : https://sites.google.com.[19/2/2563]. พรทิพย์ ศิริภัทราชัย. (2556). STEM Education กับการพัฒนาทักษะในคตวรรษที่ 21.วารสารนัก บริหาร. 33(2) : 49-56. พิมพันธ์ เดชะคุปต์. (2545). พฤติกรรมการสอนวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ : บริษัท พัฒนาคุณภาพ วิชาการ (พว.) จำกัด. พิริยา สร้อยแก้ว. (ม.ป.ป.). ผลการจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์และความคงทนในการเรียนรู้ ของนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 5.วิทยานิพนธ์ปริญญา. มัลลิกา มานันที. (2558). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง วัฒนธรรมประเทศตะวันตกที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) กับการจัดการเรียนรู้แบบ ปกติ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ศูนย์อำนวยการเครือข่ายกุสุมาลย์ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษา มหาบัณฑิต คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี.


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 182 บรรณานุกรม (ต่อ) วนิช บรรจง. (2519). หลักการสอน. พิมพ์ครั้งที่4. กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์. วรกมล วงศตรบุญวัศมิ์ (2557). การเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาทางคนิดศาสตร์ เรื่องโจทย์หา สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานกับการจัดการเรียนรู้ตามคู่มือของ สสวท. ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม. วิทยานิพนธ์ปริญญา วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาศิลปากร. ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. วิจารณ์ พานิช. (2558). เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง Transformative Learning. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสยามกัมมาจล ศรีมาลานน. (2556). ทฤษฎีกระบวนการกลุ่ม. เข้าถึงได้จาก :https://seemalanonech.wordpress.com. [สืบคัน 18 กุมภาพันธ์ 2563] สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกรมวิชาการ. (2546). วารสารวิชาการ (Online).http://www.kroobannok.com. [สืบคั้น 18 กุมภาพันธ์ 2563]. สุวิทย์ มูลคำ. (2552). 21 วิธีจัดการเรียนรู้ : เพื่อพัฒนากระบวนการคิด. พิมพ์ครั้งที่ 8.กรุงเทพฯ : ดวง กมลสมัย. เสริมศรี ลักษณศิริ. (2540). หลักการสอน. กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ วิทยาลัยครูสวนดุสิต. เสาวภาคย์ เศรษฐศักดาศิริ. (2549). การศึกษาผลการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ที่สอนด้วยวิธี สอนแบบร่วมมือกัน เทคนิคแข่งขัน (TGT) แล้เทคนิคกลุ่มผลสัมฤทธิ์ (STAD)ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.หน่วยส่งเสริมและพัฒนาวิชาการ. (2553). งานบริการการศึกษาคณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ : ม.ป.ท. สุชิน เพ็ชรักษ์. (2548). หลักการของทฤษฎี Constructionism. สืบค้นจาก : https://nattarikablog.wordpress.com. [22 กุมภาพันธ์ 2563] สุลัดดา ลอยฟ้า. (2537). รูปแบบการสอน. สืบค้นจาก :http://wilailuckjanekrueng.blogspot.com. [22 กุมภาพันธ์ 2563] อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2540). หลักการสอน. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดี่ยนสโตร์ อินทิรา บุญยาทร. (2542) หลักการสอน. กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จ เจ้ายาพระยา.


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 183 บรรณานุกรม (ต่อ) Caine, R. and Caine, G. (2013). 12 Principles for brain - based learning. 1989 October 9. Jensen, Eric. (2000). Brain-based learning: A reality check. Educational Leadership. Nareenat. (2015). วิธีสอนแบบระดมพลังสมอง (Brainstorming). [เว็บบล็อก]. เข้าถึงได้จาก http://poemair.blogspet.com. [16 กุมภาพันธ์ 2563] Renate Nummela Caine. 12 Brain/Mind Learning Principles in Action- One Author's Personal Journey (Online). เข้าถึงได้จาก : http://www.newhorizons.org.[22 กุมภาพันธ์ 2563]. smart math psc and destiny. (2555). กระบวนการแก้ปัญหา. [เว็บบล็อก]. เข้าถึงได้จาก : https://www.blogger.com. [20 กุมภาพันธ์ 2563].


เทคนิคการสอนและวิธีการ (Teaching Techniques and Methods) 184


Click to View FlipBook Version