แผนการจดั การเรียนรู้
วิชาฟสิ ิกส์ ว32101
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรอื่ ง การเคลื่อนทีแ่ นวตรง
ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี โรงเรยี นเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อดุ รธานี
นายนครินทร์ เกตทุ องมา
รหัสนกั ศึกษา 61100143112
นกั ศกึ ษาฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู สาขาวิชาวิทยาศาสตร์
การฝึกปฏบิ ตั กิ ารสอนในสถานศกึ ษา 1
รหสั วชิ า ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี
ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
แผนการจัดการเรียนรู้
วิชาฟิสกิ ส์ ว32101
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 เรอื่ ง การเคล่ือนท่ีแนวตรง
ระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อดุ รธานี
นายนครนิ ทร์ เกตทุ องมา
รหัสนกั ศึกษา 61100143112
นักศึกษาฝกึ ประสบการณ์วชิ าชีพครู สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์
การฝกึ ปฏิบตั กิ ารสอนในสถานศึกษา 1
รหสั วิชา ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏอดุ รธานี
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
คำนำ
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าฟสิ กิ ส์ รหสั วชิ า ว32101 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 เลม่ 1 นี้ จัดทำข้ึนเพื่อ
ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และให้นักเรียนบรรลุตามมาตรฐาน
การเรียนรู้ ตัวชี้วัด ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง
2560) ผู้จัดทำได้ศึกษาสาระการเรียนรู้ เทคนิค วิธีการสอน การวัดและประเมินผล มาจัดทำแผนการจัด
การเรียนรู้ในครัง้ น้ี
แผนการจัดการเรยี นรู้ในเลม่ 2 น้ี ประกอบไปด้วย หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พ.ศ.2551
(ฉบบั ปรบั ปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ คำอธิบายรายวชิ า โครงสรา้ งรายวิชา กำหนดการสอน
รายวิชา แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรง เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตาม
มาตรฐานการเรียนร้ไู ด้เต็มศกั ยภาพอย่างแทจ้ รงิ
ขา้ พเจา้ หวังเป็นอย่างยง่ิ ว่าแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้ จะสามารถนำไปใช้ประกอบการจัดการเรียน
การสอนวชิ าวิทยาศาสตร์ นำไปส่กู ารพฒั นาทถ่ี ูกต้องและเกิดผลแกผ่ ู้เรียนเป็นอยา่ งดี
นครินทร์ เกตทุ องมา
20 ตลุ าคม 2565
สารบญั ข
เรือ่ ง หนา้
คำนำ ก
สารบญั ข
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พ.ศ.2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560)
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ค
ค
ทำไมต้องเรียนวิทยาศาสตร์ ค
เรยี นรูอ้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์ ง
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ จ
คุณภาพของผูเ้ รยี นวทิ ยาศาสตร์ เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ช
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ช
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ซ
ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ฐ
คำอธบิ ายรายวิชา ฑ
โครงสรา้ งรายวชิ า ด
กำหนดการสอนรายวิชา
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรือ่ ง การเคลอ่ื นทีแ่ นวตรง 1
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 4 ตำแหน่ง 13
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 5 การกระจัดและระยะทาง 26
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 6 อัตราเร็วและความเร็ว 43
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 7 เครือ่ งเคาะสัญญาณเวลา 62
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 ความเร่ง 73
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 9 กราฟระหวา่ งตำแหนง่ กับเวลา 87
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 10 กราฟระหว่างความเรว็ กบั เวลา 100
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 กราฟระหว่างความเรง่ กับเวลา 113
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12 การเคล่อื นที่ด้วยความเร็วคงตวั 119
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 13 การเคล่ือนท่ดี ว้ ยความเรง่ คงตัว 129
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 14 สมการสำหรับการเคลอ่ื นท่แี นวตรง 137
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 15 ความเรง่ โน้มถ่วงของโลก 149
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 16 การตกแบบเสรี
ค
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พ.ศ.2551 (ฉบบั ปรับปรงุ 2560)
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์
ทำไมต้องเรยี นวทิ ยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตรม์ บี ทบาทสำคัญยงิ่ ในสงั คมโลกปจั จุบันและอนาคตเพราะวิทยาศาสตร์เก่ียวข้องกับทุกคน
ทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องใช้และผลผลิตต่าง ๆ ท่ี
มนุษย์ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของควา มรู้วิทยาศาสตร์
ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิดทั้งความคิดเป็น
เหตเุ ปน็ ผล คดิ สร้างสรรค์ คดิ วเิ คราะห์ วิจารณ์ มที ักษะสำคัญในการคน้ คว้าหาความรู้ มีความสามารถในการ
แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้
วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (K knowledge-based society)
ดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและ
เทคโนโลยที ม่ี นุษย์สร้างสรรค์ขน้ึ สามารถนำความรู้ไปใชอ้ ยา่ งมเี หตุผล สรา้ งสรรค์ และมีคณุ ธรรม
เรยี นรอู้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ทีเ่ น้นการเชื่อมโยงความรู้กับ
กระบวนการมีทักษะสำคญั ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรูโ้ ดยใช้กระบวนการในการสบื เสาะหาความรู้และ
แกป้ ัญหาทหี่ ลากหลาย ใหผ้ เู้ รียนมสี ่วนร่วมในการเรียนรูท้ ุกข้ันตอน มกี ารทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริง
อยา่ งหลากหลายเหมาะสมกบั ระดบั ช้ัน โดยกำหนดสาระสำคญั ดังนี้
✧ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับชีวติ ในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การดำรงชีวิต
ของมนุษย์และสัตว์การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของ
สง่ิ มชี ีวิต
✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่
พลังงาน และคลน่ื
✧ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบ
สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ
และผลต่อสิ่งมชี ีวติ และสิง่ แวดล้อม
✧ เทคโนโลยี
● การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ
แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้
เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม
● วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เป็นขั้นตอน
และเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความร้ดู า้ นวิทยาการคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอ่ื สาร ในการ
แกป้ ญั หาที่พบในชีวติ จรงิ ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
ง
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ
สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การ
เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ
และส่งิ แวดลอ้ มแนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาสิ่งแวดล้อมรวมท้ังนําความรู้ไป
ใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของสิง่ มชี วี ติ หนว่ ยพนื้ ฐานของสงิ่ มชี วี ติ การลําเลียงสารเขา้ และออก
จากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนําความรู้ไปใช้
ประโยชน์
มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคญั ของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม
สารพนั ธกุ รรม การเปล่ียนแปลงทางพนั ธุกรรมทมี่ ีผลต่อส่ิงมีชวี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวัฒนาการ
ของส่ิงมชี ีวิต รวมทง้ั นําความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ
สสารกับโครงสร้างและแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร
การเกดิ สารละลายและการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะ
การเคลอ่ื นที่แบบต่าง ๆ ของวตั ถรุ วมทงั้ นําความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง
กับเสียง แสง และคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทง้ั นาํ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ
กาแลก็ ซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทงั้ ปฏสิ ัมพันธ์ภายในระบบสุรยิ ะท่สี ่งผลตอ่ สิง่ มชี ีวติ และการประยกุ ต์ใช้
เทคโนโลยอี วกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัตภิ ัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลม ฟ้า อากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล
ต่อสง่ิ มีชวี ติ และสิ่งแวดล้อม
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยเี พือ่ การดำรงชีวิตในสงั คมทีม่ ีการ เปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็ว ใชค้ วามรู้และทกั ษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณติ ศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแกป้ ัญหาหรือพัฒนา
งานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดย
คำนงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชีวิต สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม
จ
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชงิ คํานวณในการแกป้ ัญหาท่ีพบในชวี ติ จริงอยา่ งเป็นขั้นตอน
และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี
ประสิทธิภาพรู้เทา่ ทัน และมีจริยธรรม
คณุ ภาพของผู้เรียนเมอ่ื จบชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6
❖เขา้ ใจการลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลลก์ ลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ ภูมิคุ้มกันใน
รา่ งกายของมนุษยแ์ ละความผิดปกติของระบบภูมิคมุ้ กนั การใชป้ ระโยชน์จากสารตา่ ง ๆ ทพ่ี ืชสร้างขน้ึ การ
ถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธกุ รรม ววิ ฒั นาการที่ทำใหเ้ กิดความหลากหลายของ
สิ่งมชี ีวติ ความสำคัญและผลของเทคโนโลยที างดีเอ็นเอต่อมนุษยส์ ่งิ มีชวี ิต และสง่ิ แวดล้อม
❖ เข้าใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภูมิศาสตรต์ ่าง ๆ ของโลก การเปล่ียนแปลง แทนทใี่ น
ระบบนิเวศ ปญั หาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปัญหาส่ิงแวดล้อม
❖ เข้าใจชนิดของอนภุ าคสำคญั ทเ่ี ป็นสว่ นประกอบในโครงสรา้ งอะตอม สมบตั บิ างประการ ของธาตุ
การจัดเรยี งธาตุในตารางธาตุ ชนดิ ของแรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนุภาคและสมบัตติ า่ ง ๆ ของสารท่ีมี
ความสมั พนั ธก์ ับแรงยึดเหน่ียว พันธะเคมโี ครงสรา้ งและสมบัติของพอลเิ มอร์การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีปจั จยั ท่ีมีผล
ต่ออัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีและการเขยี นสมการเคมี
❖ เข้าใจปริมาณท่เี กยี่ วกบั การเคล่ือนที่ ความสัมพันธร์ ะหว่างแรง มวลและความเรง่ ผลของ
ความเรง่ ที่มีต่อการเคลื่อนท่แี บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ แรงโนม้ ถ่วง แรงแมเ่ หลก็ ความสัมพนั ธ์ ระหวา่ ง
สนามแมเ่ หล็กและกระแสไฟฟา้ และแรงภายในนวิ เคลียส
❖ เข้าใจพลงั งานนวิ เคลียรค์ วามสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปลย่ี นพลังงาน ทดแทนเป็น
พลงั งานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลงั งาน การสะท้อน การหักเห การเลยี้ วเบน และการรวมคล่นื การได้ยิน
ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง สีกบั การมองเห็นสีคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า และประโยชน์ของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า
❖ เข้าใจการแบ่งช้นั และสมบตั ขิ องโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคล่ือนทีข่ องแผ่น ธรณีท่ี
สัมพันธก์ บั การเกิดลักษณะธรณสี ณั ฐาน สาเหตุกระบวนการเกิดแผ่นดนิ ไหว ภเู ขาไฟระเบดิ สนึ ามิผลกระทบ
แนวทางการเฝ้าระวงั และการปฏบิ ัติตนให้ปลอดภัย
❖ เข้าใจผลของแรงเนื่องจากความแตกตา่ งของความกดอากาศ แรงคอริออลสิ ท่ีมีต่อ การ
หมุนเวียนของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจดู และผลที่มตี ่อภมู อิ ากาศ ความสมั พันธข์ องการ
หมุนเวยี นของอากาศ และการหมุนเวียนของกระแสนำ้ ผิวหน้าในมหาสมทุ ร และผลต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ
สิ่งมชี ีวิตและสิง่ แวดลอ้ ม ปจั จัยต่าง ๆ ที่มีผลตอ่ การเปล่ยี นแปลง ภูมิอากาศโลก และแนวปฏิบตั เิ พ่ือลด
กิจกรรมของมนษุ ยท์ ีส่ ง่ ผลต่อการเปลย่ี นแปลงภมู อิ ากาศ โลกรวมทัง้ การแปลความหมายสญั ลักษณ์ลมฟ้า
อากาศทสี่ ำคัญจากแผนทอ่ี ากาศ และข้อมลู สารสนเทศ
ฉ
❖ เขา้ ใจการกำเนดิ และการเปลีย่ นแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อณุ หภูมขิ องเอกภพ หลักฐานท่ี
สนับสนนุ ทฤษฎบี ิกแบง ประเภทของกาแล็กซีโครงสรา้ งและองค์ประกอบของ กาแล็กซที างชา้ งเผอื ก
กระบวนการเกดิ และการสรา้ งพลงั งาน ปจั จยั ทีส่ ่งผลต่อความสอ่ งสว่าง ของดาวฤกษแ์ ละความสัมพันธ์ระหว่าง
ความส่องสว่างกับโชตมิ าตรของดาวฤกษค์ วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งสีอุณหภมู ผิ วิ และสเปกตรัมของดาวฤกษ์
ววิ ฒั นาการและการเปล่ียนแปลงสมบัติบางประการ ของดาวฤกษ์กระบวนการเกิดระบบสุรยิ ะ การแบง่ เขต
บรวิ ารของดวงอาทิตยล์ กั ษณะของดาวเคราะห์ ท่ีเอ้ือต่อการดำรงชวี ิต การเกิดลมสุรยิ ะ พายุสรุ ิยะและผลทมี่ ี
ตอ่ โลก รวมทง้ั การสำรวจอวกาศ และการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกาศ
❖ ระบุปญั หา ตั้งคำถามที่จะสำรวจตรวจสอบ โดยมกี ารกำหนดความสัมพันธร์ ะหวา่ งตัวแปรตา่ ง ๆ
สบื คน้ ข้อมูลจากหลายแหลง่ ต้ังสมมตฐิ านทีเ่ ป็นไปได้หลายแนวทาง ตดั สนิ ใจเลือกตรวจสอบสมมติฐานที่
เป็นไปได้
❖ ตั้งคำถามหรอื กำหนดปัญหาท่อี ยบู่ นพน้ื ฐานของความรู้และความเขา้ ใจทางวิทยาศาสตร์ ทแ่ี สดง
ให้เหน็ ถึงการใชค้ วามคิดระดับสูงทส่ี ามารถสำรวจตรวจสอบหรอื ศึกษาคน้ ควา้ ได้อยา่ งครอบคลมุ และเช่ือถอื ได้
สร้างสมมติฐานท่มี ีทฤษฎรี องรับหรือคาดการณส์ ง่ิ ทจ่ี ะพบ เพือ่ นำไปสู่การสำรวจตรวจสอบ ออกแบบวธิ กี าร
สำรวจตรวจสอบตามสมมติฐานทกี่ ำหนดไวไ้ ด้อยา่ งเหมาะสมมหี ลักฐานเชงิ ประจักษ์ เลอื กวัสดุ อุปกรณ์
รวมทง้ั วธิ กี ารในการสำรวจตรวจสอบอย่างถูกต้องทั้งในเชงิ ปริมาณและคณุ ภาพ และบันทกึ ผลการสำรวจ
ตรวจสอบอย่างเป็นระบบ
❖ วเิ คราะห์แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคลอ้ งของข้อสรปุ เพื่อตรวจสอบกับ
สมมตฐิ านที่ต้งั ไวใ้ ห้ข้อเสนอแนะเพ่ือปรับปรงุ วธิ กี ารสำรวจตรวจสอบ จัดกระทำข้อมูลและนำเสนอข้อมลู ด้วย
เทคนคิ วิธีทีเ่ หมาะสม ส่ือสารแนวคดิ ความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบโดยการพดู เขียน จดั แสดงหรอื ใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้อนื่ เขา้ ใจโดยมหี ลักฐานอ้างองิ หรอื มีทฤษฎรี องรบั
❖ แสดงถงึ ความสนใจ มุง่ มั่น รับผดิ ชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในการสืบเสาะหาความรูโ้ ดยใช้
เครอ่ื งมอื และวิธกี ารที่ให้ได้ผลถูกตอ้ ง เช่อื ถือได้มีเหตุผลและยอมรบั ไดว้ า่ ความรู้ทางวทิ ยาศาสตรอ์ าจมีการ
เปลีย่ นแปลงได้
❖ แสดงถึงความพอใจและเหน็ คณุ ค่าในการค้นพบความรู้พบคำตอบ หรือแกป้ ัญหาไดท้ ำงานรว่ มกบั
ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างองิ และเหตุผลประกอบเกย่ี วกับผลของการพฒั นาและ
การใชว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอยา่ งมีคุณธรรมตอ่ สังคมและส่งิ แวดล้อม และยอมรับฟังความคิดเหน็ ของ
ผู้อืน่
❖ เข้าใจความสมั พนั ธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ท่มี ผี ลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทตา่ ง ๆ และ
การพฒั นาเทคโนโลยที สี่ ่งผลให้มกี ารคิดค้นความรู้ทางวทิ ยาศาสตรท์ กี่ ้าวหนา้ ผลของเทคโนโลยีตอ่ ชวี ติ สังคม
และสงิ่ แวดลอ้ ม
ช
❖ ตระหนักถึงความสำคญั และเห็นคณุ ค่าของความรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีทใ่ี ช้ ใน
ชวี ติ ประจำวันใชค้ วามรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีในการดำรงชีวติ และการประกอบ
อาชพี แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานท่ีเป็นผลมาจากภมู ปิ ัญญา ทอ้ งถ่นิ และการ
พัฒนาเทคโนโลยที ี่ทันสมยั ศึกษาหาความร้เู พ่ิมเตมิ ทำโครงงานหรือสรา้ ง ช้ินงานตามความสนใจ
❖ แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกบั การใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดลอ้ มอย่างรคู้ ุณค่า เสนอตัวเอง ร่วมมือปฏิบัติกบั ชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและ
สงิ่ แวดล้อมของท้องถ่นิ
❖ วเิ คราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยีไดแ้ ก่ ระบบทางเทคโนโลยที ี่ซับซ้อนการเปล่ยี นแปลงของ
เทคโนโลยคี วามสมั พันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อ่ืน โดยเฉพาะวทิ ยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์วเิ คราะห์
เปรยี บเทยี บ และตัดสนิ ใจเพ่ือเลือกใช้ เทคโนโลยีโดยคำนงึ ถึงผลกระทบต่อชวี ิต สังคม เศรษฐกิจ และ
สิ่งแวดล้อม ประยุกตใ์ ชค้ วามรูท้ ักษะ ทรัพยากรเพือ่ ออกแบบสร้างหรือพัฒนาผลงาน สำหรับแก้ปัญหาท่ีมี
ผลกระทบต่อสังคม โดยใช้กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม ใช้ซอฟต์แวรช์ ่วยในการออกแบบและนำเสนอ
ผลงาน เลอื กใช้วัสดุ อปุ กรณ์และเคร่ืองมือได้อย่างถกู ต้อง เหมาะสม ปลอดภยั รวมท้ังคำนึงถึง ทรัพยส์ นิ ทาง
ปญั ญา
❖ ใชค้ วามร้ทู างด้านวทิ ยาการคอมพวิ เตอรส์ ่ือดิจิทลั เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร เพ่ือ
รวบรวมขอ้ มูลในชวี ติ จรงิ จากแหล่งต่าง ๆ และความร้จู ากศาสตร์อื่น มาประยกุ ต์ ใชส้ รา้ งความรใู้ หม่ เขา้ ใจ
การเปลีย่ นแปลงของเทคโนโลยีทมี่ ีผลต่อการดำเนนิ ชีวิต อาชีพ สังคมวัฒนธรรม และใชอ้ ย่างปลอดภยั มี
จริยธรรม
สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุงพุทธศักราช 2560)
มงุ่ ให้ผู้เรียนเกดิ สมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังน้ี
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด
ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจน
การเลือกใช้วิธีการสอื่ สาร ท่มี ีประสิทธิภาพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบทมี่ ีตอ่ ตนเองและสงั คม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง
สรา้ งสรรค์ การคิดอย่างมวี ิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ
เพอื่ การตัดสินใจเก่ียวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้
อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสมั พันธ์และการ
เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไข
ปญั หา และมกี ารตดั สินใจที่มปี ระสิทธภิ าพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบทเี่ กดิ ขึน้ ต่อตนเอง สังคมและส่งิ แวดลอ้ ม
ซ
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน
การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องการทำงาน และการอยู่ร่วมกันใน
สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง
เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง
พฤตกิ รรมไมพ่ งึ ประสงคท์ ส่ี ่งผลกระทบตอ่ ตนเองและผู้อนื่
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลือก และใชเ้ ทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมี
ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้การสื่อสาร การทำงาน การ
แกป้ ัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และมคี ุณธรรม
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมี
ความสุข ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก มี 8 ประการ ได้แก่
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
2. ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ
3. มวี นิ ัย
4. ใฝเ่ รยี นรู้
5. อยอู่ ยา่ งพอเพียง
6. มุ่งม่นั ในการทำงาน
7. รักความเปน็ ไทย
8. มจี ติ สาธารณะ
ผลการเรียนรแู้ ละสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4
สาระฟิสกิ ส์
1. เขา้ ใจธรรมชาติทางฟสิ ิกส์ ปรมิ าณและกระบวนการวดั การเคลอ่ื นท่แี นวตรงแรงและกฎการเคล่ือนท่ีของ
นิวตนั กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์พลงั งานกล โมเมนตัม
และกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลอ่ื นท่ีแนวโคง้ รวมท้งั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พ่ิมเติม
ม.4 1. สืบค้นและอธิบายการค้นหาความรู้ทาง • ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับสสาร พลังงาน
ฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมทั้ง อนั ตรกิรยิ าระหว่างสสารกับพลังงาน และแรงพน้ื ฐานในธรรมชาติ
พัฒนาการของหลักการและแนวคิดทาง • การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ได้มาจากการสังเกต การทดลอง
ฟิสิกส์ที่มีผลต่อ การแสวงหาความรู้ และเก็บรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือจากการสร้าง
ใหมแ่ ละการพัฒนาเทคโนโลยี แบบจำลองทางความคิด เพื่อสรุปเป็นทฤษฎี หลักการหรือกฎ
ความรู้เหล่านี้สามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือ
ทำนายสง่ิ ทอ่ี าจจะเกดิ ขึน้ ในอนาคต
ฌ
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เตมิ
• ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของหลักการและแนวคิดทาง
ฟิสิกส์เป็นพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ใหม่เพิ่มเติม รวมถึงการ
พัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็มีส่วนในการค้นหาความรู้
ใหมท่ างวทิ ยาศาสตร์ดว้ ย
ม.4
2. วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทาง • ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหนึ่งได้จากการทดลอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
ฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำความ กระบวนการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข และ
คลาดเคลอื่ นในการวัดมาพจิ ารณาในการ หน่วยวดั
นำเสนอผล รวมทั้งแสดงผลการทดลอง • ปริมาณทางฟิสิกส์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ โดยตรงหรือ
ในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปล ทางอ้อม หน่วยที่ใช้ในการวัดปริมาณทางวิทยาศาสตร์ คือ ระบบ
ความหมายจากกราฟเส้นตรง หนว่ ยระหวา่ งชาติ เรียกย่อว่า ระบบเอสไอ
• ปริมาณทางฟิสิกส์ที่มีค่าน้อยกว่าหรือมากกวา่ 1 มาก ๆ นิยมเขียน
ในรูปของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ หรือเขียนโดยใช้คำนำหน้าหน่วย
ของระบบ เอสไอ การเขียนโดยใช้สัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็นการ
เขียนเพื่อแสดงจำนวนเลขนยั สำคญั ทถี่ กู ต้อง
• การทดลองทางฟิสิกส์เกี่ยวกับการวัดปริมาณต่าง ๆ การบันทึก
ปริมาณที่ได้จากการวัดด้วยจำนวนเลขนัยสำคัญที่เหมาะสมและค่า
ความคลาดเคลอื่ น การวิเคราะหแ์ ละการแปลความหมายจากกราฟ
เช่น การหาความชันจากกราฟเส้นตรง จุดตัดแกน พื้นที่ใต้กราฟ
เปน็ ต้น
• การวัดปริมาณต่าง ๆ จะมีความคลาดเคลื่อนเสมอขึ้นอยู่กับ
เครื่องมือ วิธีการวัด และประสบการณ์ของผู้วัด ซึ่งค่าความ
คลาดเคลื่อนสามารถแสดงในการรายงานผลทั้งในรูปแบบตัวเลข
และกราฟ
• การวัดควรเลือกใช้เครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด เช่น
การวัดความยาวของวัตถุที่ต้องการความละเอียดสูง อาจใช้เวอร์
เนยี รแ์ คลลิเปริ ์ส หรอื ไมโครมิเตอร์
•ฟิสกิ ส์อาศยั คณติ ศาสตร์เป็นเคร่ืองมือในการศึกษาคน้ คว้า และการ
ส่อื สาร
ม.4
ญ
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ
3. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง •ปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ได้แก่ ตำแหน่ง การกระจัด
ตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และ ความเร็ว และความเร่ง โดยความเร็วและความเร่งมีทั้งค่าเฉล่ีย
ความเร่งของการเคลื่อนที่ของวัตถุใน และค่าขณะหนึ่ง ซึ่งคิดในช่วงเวลาส้ัน ๆ สำหรับปริมาณต่าง ๆ ท่ี
แนวตรงทมี่ คี วามเร่งคงตัวจากกราฟและ เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แนวตรงด้วยความเร่งคงตัวมี
สมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเร่ง ความสัมพนั ธต์ ามสมการ
โน้มถ่วงของโลก และคำนวณปริมาณ
v = u + at
ต่าง ๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง
u+v
∆x = ( 2 ) t
∆x = ut + 1 at2
2
v2 = u2 + 2a∆x
• การอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุสามารถเขียนอยู่ในรูปกราฟ
ตำแหน่งกับเวลา กราฟความเร็วกับเวลา หรือกราฟความเร่งกับ
เวลา ความชันของเส้นกราฟตำแหน่งกับเวลาเป็นความเร็ว ความ
ชันของเส้นกราฟความเร็วกับเวลาเป็นความเร่ง และพื้นที่ใต้
เส้นกราฟความเร็วกับเวลาเป็นการกระจัด ในกรณีที่ผู้สังเกตมี
ความเร็ว ความเร็วของวัตถุที่สังเกตได้เป็นความเร็วที่เทียบกับผู้
สงั เกต
• การตกแบบเสรีเป็นตัวอย่างหนึ่งของการเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติที่มี
ความเรง่ เทา่ กบั ความเร่งโนม้ ถ่วงของโลก
4. ทดลองและอธิบายการหาแรงลัพธ์ของ • แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์จึงมีทั้งขนาดและทิศทางกรณีที่มีแรงหลาย
ม.4 แรงสองแรงที่ทำมมุ ตอ่ กนั ๆ แรงกระทำต่อวัตถุสามารถหาแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุโดยใช้วิธี
เขียนเวกเตอร์ของแรงแบบหางต่อหัว วิธีสร้างรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน
ของแรงและวธิ ีคำนวณ
ฎ
ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พมิ่ เติม
5. เขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุ • สมบัติของวัตถุที่ต้านการเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ เรียกว่า
อิสระ ทดลองและอธิบายกฎการ ความเฉื่อย มวลเป็นปริมาณที่บอกให้ทราบว่าวัตถุใดมีความเฉื่อย
เคลื่อนที่ของนิวตันและการใช้กฎการ มากหรือน้อย
เคลื่อนที่ของนิวตันกับสภ าพ ก า ร • การหาแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุสามารถเขยี นเป็นแผนภาพของแรง
เคลื่อนที่ของวัตถุ รวมทั้งคำนวณ ทกี่ ระทำตอ่ วตั ถุอิสระได้
ปรมิ าณต่าง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง • กรณีที่ไม่มีแรงภายนอกมากระทำ วัตถุจะไม่เปลี่ยนสภาพการ
เคลอื่ นท่ีซ่ึงเปน็ ไปตามกฎการเคลอ่ื นท่ีข้อทห่ี นงึ่ ของนวิ ตัน
• กรณที ี่มีแรงภายนอกมากระทำโดยแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวตั ถุไม่เปน็
ศูนย์ วัตถจุ ะมีความเรง่ โดยความเร่งมที ศิ ทางเดยี วกับแรงลัพธ์
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งแรงลัพธ์ มวลและความเร่ง เขียนแทนไดด้ ว้ ย
สมการ
n
∑ ⃑Fi = m⃑a
i=0
ตามกฎการเคลอ่ื นที่ขอ้ ที่สองของนวิ ตนั
• เมื่อวัตถุสองก้อนออกแรงกระทำต่อกัน แรงระหว่างวัตถุทั้ง
สองจะมีขนาดเท่ากัน แต่มีทิศทางตรงข้ามและกระทำต่อวัตถุคน
ละก้อน เรียกว่า แรงคู่กิริยา-ปฏิกิริยา ซึ่งเป็นไปตามกฎการ
เคล่ือนที่ข้อท่ีสามของนิวตัน และเกดิ ขึ้นได้ทง้ั กรณีทวี่ ตั ถุท้ังสอง
สมั ผสั กนั หรอื ไม่สมั ผสั กนั ก็ได้
6. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผล • แรงดึงดูดระหว่างมวลเป็นแรงที่มวลสองก้อนดึงดูดซึ่งกันและกัน
ของสนามโน้มถ่วงที่ทำให้วัตถุมี ด้วย แรงขนาดเท่ากันแต่ทิศทางตรงข้ามและเป็นไปตามกฎ
น้ำหนัก รวมทั้งคำนวณปริมาณต่าง ๆ ความโน้มถ่วงสากล เขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการ
ทเี่ ก่ยี วข้อง FG = G m1m2
ม.4 R2
• รอบโลกมีสนามโนม้ ถว่ งทำใหเ้ กดิ แรงโน้มถ่วง ซง่ึ เป็นแรงดึงดูดของ
โลกทก่ี ระทำตอ่ วัตถุ ทำใหว้ ตั ถุมีนำ้ หนัก
7. วิเคราะห์ อธิบาย และคำนวณแรงเสียด • แรงที่เกิดขึ้นที่ผิวสัมผัสระหว่างวัตถุสองก้อนในทิศทางตรงข้ามกับ
ทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ ทิศทาง การเคลื่อนที่ หรือแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่ของวัตถุ
ในกรณีที่วัตถุหยุดนิ่งและวัตถุเคลื่อนท่ี เรียกว่า แรงเสียดทาน แรงเสียดทานระหวา่ งผิวสมั ผัสคู่
รวมท้งั ทดลองหาสมั ประสิทธิ์ความเสียด หนึ่ง ๆ ขึ้นกับสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน และแรงปฏิกิริยาต้ัง
ทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ ฉากระหว่างผิวสัมผัสคู่น้ัน ๆ
และนำความรู้เรื่องแรงเสยี ดทานไปใช้ใน • ขณะออกแรงพยายามแต่วัตถุยังคงอยู่นิ่งแรงเสียดทานมีขนาด
ชีวิตประจำวัน เท่ากบั แรงพยายามทก่ี ระทำต่อวัตถนุ นั้ และแรงเสียด
ทานมีค่ามากที่สุดเมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่ เรียกแรงเสียดทานนี้ว่า
ฏ
ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเติม
แรงเสียดทานสถิต แรงเสียดทานที่กระทำต่อวัตถุขณะกำลัง
เคลื่อนที่ เรียกว่า แรงเสียดทานจลน์ โดยแรงเสียดทานที่เกิด
ระหว่างผวิ สัมผสั ของวัตถุคหู่ น่ึง ๆ คำนวณได้จากสมการ
fs ≤ μsN
fk = μkN
• การเพิ่มหรือลดแรงเสียดทานมีผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่ง
สามารถนำไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั
ฐ
คำอธิบายรายวิชา
รายวชิ าเพ่ิมเติม ฟสิ ิกส์ 1 (ว30201) กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 เวลา 3 ช่ัวโมง / สัปดาห์ จำนวน 1.5 หน่วยกิต
ศึกษา ค้นคว้า สำรวจ ตรวจสอบ อธิบาย เกี่ยวกับธรรมชาติของฟิสิกส์ การวัดและการบันทึกผล
การวัด ปริมาณทางฟิสิกส์ การทดลองทางฟิสิกส์ ตำแหน่ง การกระจัดและระยะทาง อัตราเร็วและความเร็ว
ความเร่ง กราฟของการเคล่ือนทแี่ นวตรง สมการสำหรับการเคล่ือนท่ีแนวตรง การตกแบบเสรี แรง การหา
แรงลัพธ์ มวล แรงและกฎการเคลอ่ื นที่ แรงเสียดทาน แรงดงึ ดูดระหวา่ งมวล การประยุกตใ์ ชก้ ฎการเคล่ือนที่
โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ การสืบคน้ ข้อมูล
การอภิปราย การสรุป มีความสามารถในการคิด การแก้ปัญหา สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ ใช้เทคโนโลยี
ประกอบการเรียนรูอ้ ยา่ งเหมาะสม และสามารถนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจำวัน
มีจติ วทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรม คา่ นยิ มท่ีเหมาะสม และมีคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ คือ
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นการทำงาน รักความเปน็
ไทย และมีจติ สาธารณะ และมีคณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ คอื รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซือ่ สตั ยส์ ุจริต มีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ สามารถเรียนรู้ให้มี
คุณภาพตามมาตรฐานระดับสากล มีศักยภาพในการแข่งขัน และดำรงชีวิตอย่างสร้างสรรค์ในประชาคมโลก
สอดคลอ้ งกับประเทศไทย 4.0 ในโลกศตวรรษที่ 21
ผลการเรยี นรู้
1. สืบค้นและอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมทั้งพัฒนาการของหลักการและ
แนวคดิ ทางฟิสิกส์ที่มผี ลตอ่ การแสวงหาความรใู้ หม่และการพัฒนาเทคโนโลยไี ด้
2. วัดและรายงานผลการวัดปริมาณทางฟิสิกส์ได้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำความคลาดเคลื่อนในการวัดมา
พิจารณาในการนำเสนอผล รวมทั้งแสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์และแปลความหมายจาก
กราฟเสน้ ตรงได้
3. ทดลองและอธิบายความสมั พันธ์ระหว่างตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่งของการเคลื่อนทีข่ อง
วัตถุในแนวตรงที่มีความเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทั้งทดลองหาค่าความเร่งโน้มถ่วงของโลก และ
คำนวณปริมาณต่าง ๆ ทเี่ กีย่ วข้องได้
4. ทดลองและอธิบายการหาแรงลพั ธข์ องแรงสองแรงท่ีทำมุมต่อกันได้
5. เขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุอิสระ ทดลองและอธิบายกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันและการใช้กฎ
การเคลื่อนทข่ี องนวิ ตันกับสภาพการเคลื่อนที่ของวตั ถุ รวมทงั้ คำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ยี วข้องได้
6. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของสนามโน้มถ่วงท่ีทำใหว้ ัตถุมีน้ำหนัก รวมทั้งคำนวณปริมาณต่าง ๆ
ที่เกย่ี วขอ้ งได้
7. วิเคราะห์ อธิบาย และคำนวณแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หนึ่ง ๆ ในกรณีที่วัตถุหยุดนิ่งและ
วัตถุเคลื่อนที่ รวมทั้งทดลองหาสัมประสิทธิ์ความเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ คู่หนึ่ง ๆ และ
นำความร้เู รื่องแรงเสียดทานไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้
รวม 7 ผลการเรยี นรู้
ฑ
โครงสร้างรายวชิ า
รายวชิ าเพ่ิมเติมฟสิ ิกส์ 1 (ว30201) ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4
60 ชัว่ โมง/ภาค
ภาคเรียนที่ 1 3 ช่ัวโมง/สัปดาห์ จำนวน 100 คะแนน
จำนวน 1.5 หน่วยกิต
ลำดบั ชอ่ื หน่วยการ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนัก
ท่ี เรียนรู้ 1. สบื ค้นและอธิบายการค้นหา (ชว่ั โมง) คะแนน
1 ธรรมชาตแิ ละ ฟิสิกส์เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่
พฒั นาการทาง ความร้ทู างฟสิ กิ ส์ ประวตั คิ วาม ศึกษาเกี่ยวกับสสาร พลังงาน อันตรกิริยา 9 10
ฟิสิกส์ เปน็ มา รวมท้งั พัฒนาการของ ระหว่างสสารกับพลังงาน และแรงพื้นฐาน
หลักการและ แนวคดิ ทางฟสิ ิกสท์ ี่ ในธรรมชาติ 22.5 15
2 การเคลอื่ นที่ มีผลตอ่ การแสวงหาความรู้ใหม่
แนวตรง และการพฒั นาเทคโนโลยไี ด้ การค้นคว้าหาความรู้ทางฟิสิกส์ได้มา
2. วดั และรายงานผลการวดั ปริมาณ จากการสังเกต การทดลอง และเก็บ
ทางฟสิ ิกสไ์ ด้ถูกต้องเหมาะสม รวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือจากการ
โดยนำความคลาดเคลื่อนในการ สร้างแบบจำลองทางความคิด เพื่อสรุปเป็น
วดั มาพจิ ารณาในการนำเสนอผล ทฤษฎีหลักการหรือกฎ ซึ่งสามารถนำไปใช้
รวมทัง้ แสดงผลการทดลองในรูป อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือทำนาย
ของกราฟ วเิ คราะหแ์ ละแปล สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยประวัติ
ความหมายจากกราฟเสน้ ตรงได้ ความเป็นมาและพัฒนาการของหลักการ
และแนวคิดทางฟิสิกส์เป็นพื้นฐานในการ
3. ทดลองและอธิบายความสมั พันธ์ แสวงหา ความรู้ใหม่เพิ่มเติม รวมถึงการ
ระหวา่ งตำแหนง่ การกระจดั พฒั นาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็มี
ส่วนในการค้นหาความรู้ใหม่ทาง
วิทยาศาสตรด์ ว้ ย
ความรู้ทางฟิสิกส์ส่วนหนึง่ ได้จากการ
ทดลอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัด
ปริมาณทางฟิสิกส์ประกอบด้วยค่าที่เป็น
ตัวเลขและหน่วยวัด โดยสามารถวัดไดด้ ้วย
เครื่องมือต่าง ๆ โดยตรง หรือทางอ้อม
หนว่ ยท่ีใชใ้ นการวัดปรมิ าณทาวทิ ยาศาสตร์
คือ หน่วยในระบบเอสไอ ปริมาณที่มีค่า
นอ้ ยหรอื มากกวา่ 1 มาก ๆ นิยมเขยี นในรูป
ของสัญกรณ์วิทยาศาสตร์ การเขียนโดยใช้
สัญกรณ์วิทยาศาสตร์เป็นการเขียนเพื่อ
แสดงจำนวนเลขนยั สำคัญท่ีถกู ต้อง
การทดลองทางฟิสิกส์จะเกี่ยวกับการ
วัดปริมาณต่าง ๆ การวัดจะมีความ
คลาดเคลื่อนเสมอ ซึ่งขึ้นอยู่กับเครื่องมือ
วธิ ีการวัด และประสบการณ์ของผู้วดั
ในการบันทึกปริมาณที่ได้จากการวัดด้วย
จำนวนเลขนัยสำคัญที่เหมาะสมและค่า
ความคลาดเคลื่อน เพื่อการนำเสนอผลการ
เขียนกราฟ และลงข้อสรุป รวมทั้งมีทักษะ
ในการรายงานการทดลอง โดยการวัดควร
เลือกใช้เครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับสิ่งท่ี
ต้องการวัด
ปริมาณที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของ
วัตถุ ได้แก่ ตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว
และความเร่ง โดยความเร็วและความเร่งมี
ฒ
ลำดับ ชื่อหนว่ ยการ ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก
ที่ เรยี นรู้ (ช่ัวโมง) คะแนน
ความเรว็ และความเรง่ ของการ ทั้งค่าเฉลี่ยและค่าขณะหนึ่ง ซึ่งคิดใน
3 แรงและกฎการ เคลอ่ื นท่ีของวตั ถใุ นแนวตรงทม่ี ี ช่วงเวลาส้ันมาก ๆ เข้าใกล้ศูนย์ 24.5 15
เคล่อื นท่ี ความเรง่ คงตวั จากกราฟและ
สมการ รวมท้งั ทดลองหาค่า ก า ร อ ธ ิ บ า ย ก า ร เ ค ล ื ่ อ น ท ี ่ ข อ ง ว ั ต ถุ
ความเร่งโนม้ ถ่วงของโลก และ สามารถเขียนอยู่ในรูปกราฟตำแหน่งกับ
คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่ เวลา ความเร็วกับเวลา หรือความเร่งกับ
เก่ยี วขอ้ งได้ เวลา โดยความชนั ของเสน้ กราฟตำแหนง่
กับเวลาเป็นความเร็ว ความชันของ
4. ทดลองและอธิบายการหาแรง เส้นกราฟความเร็ว กับเวลาเป็นความเร่ง
ลัพธข์ องแรงสองแรงทที่ ำมมุ ตอ่ และพื้นที่ใต้เส้นกราฟความเร็วกบั เวลาเปน็
กันได้ การกระจัด ในกรณีทผ่ี ู้สังเกตมคี วามเร็ว
ความเร็วของวัตถทุ สี่ ังเกตไดเ้ ปน็ ความเร็วท่ี
5. เขียนแผนภาพของแรงทีก่ ระทำ เทียบกบั ผสู้ งั เกต สว่ นการเคลือ่ นท่ีของวัตถุ
ต่อวตั ถอุ ิสระ ทดลองและอธิบาย ในแนวตรงกรณีที่มีความเร่งคงที่ สามารถ
กฎการเคลอื่ นทขี่ องนวิ ตันและ อธิบายได้โดยใช้สมการจลน์ศาสตร์ 4
การใช้กฎการเคล่ือนท่ีของนวิ ตนั สมการ
กับสภาพการเคลือ่ นที่ของวัตถุ
รวมท้งั คำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่ การตกแบบเสรีเป็นตัวอย่างหนึ่งของ
เก่ยี วขอ้ งได้ การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติที่มีความเร่งเท่ากับ
ความเรง่ โนม้ ถ่วงของโลก
6. อธบิ ายกฎความโน้มถว่ งสากล
และผลของสนามโนม้ ถว่ งทีท่ าให้ แรงเป็นปริมาณเวกเตอร์จึงมีทัง้ ขนาด
วตั ถมุ นี ำ้ หนกั รวมทั้งคำนวณ และทิศทาง กรณีที่มีแรงหลาย ๆ แรง
ปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งได้ กระทำตอ่ วัตถุ สามารถหาแรงลพั ธท์ ก่ี ระทำ
ต่อวตั ถโุ ดยใชว้ ธิ เี ขียนเวกเตอรข์ องแรงแบบ
7. วิเคราะห์ อธิบาย และคำนวณ หางต่อหัว วิธีสร้างรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน
แรงเสยี ดทานระหวา่ งผิวสมั ผสั ของแรง และวิธคี ำนวณ
ของวัตถคุ ่หู นง่ึ ๆ ในกรณีที่วตั ถุ
หยดุ นิ่งและวตั ถเุ คลอ่ื นที่ รวมท้งั ความเฉื่อยเป็นสมบัติของวัตถุที่ต้าน
ทดลองหาสมั ประสิทธิ์ความเสยี ด การเปล่ียนสภาพการเคล่อื นทข่ี องวัตถุ โดย
ทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถคุ ู่ มีมวลเป็นปริมาณที่บอกให้ทราบว่าวัตถุใด
หน่ึง ๆ และนำความรเู้ ร่ืองแรง มีความเฉ่ือยมากหรอื นอ้ ย
เสียดทานไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั
ได้ การหาแรงลัพธ์ที่กระท าต่อวัตถุ
ส า ม า ร ถ เ ข ี ย น เ ป ็ น แ ผ น ภ า พ ข อ ง แ ร ง ที่
กระทำต่อวัตถุอิสระได้ ในกรณีที่ไม่มีแรง
ภายนอกมากระท าต่อวัตถุ หรือแรงท่ี
กระทำต่อวัตถุเป็นศูนย์ วัตถุจะไม่เปลี่ยน
สภาพการเคลื่อนท่ี ซึ่งเป็นไปตามกฎการ
เคลื่อนที่ข้อที่หนึ่งของนิวตัน แต่ถ้ามีแรง
ภายนอกมากระทำต่อวัตถุ โดยแรงลัพธ์ที่
กระทำต่อวัตถุไม่เป็นศูนย์ วัตถุจะมี
ความเร่ง โดยความเร่งมที ศิ ทางเดยี วกบั แรง
ลัพธ์ ซึ่งเป็นไปตามกฎการเคลื่อนที่ข้อท่ี
สองของนวิ ตัน
เมื่อวัตถุสองก้อนออกแรงกระทำต่อ
กัน จะเกดิ แรงกิรยิ าและแรงปฏิกิริยา โดย
แ ร ง ท ั ้ ง ส อ ง จ ะ ม ี ข น า ด เ ท ่ า ก ั น แ ต ่ ม ี ทิ ศ
ทางตรงข้ามและกระทำต่อวัตถุคนละก้อน
เรียกวา่ แรงคกู่ ิรยิ า-ปฏิกริ ยิ า ซึ่งเป็นไปตาม
กฎการเคลื่อนที่ข้อที่สามของนิวตัน และ
เกิดขึ้นได้ทั้งกรณีที่วัตถุทั้งสองสัมผัสกัน
หรอื ไม่สมั ผสั กนั ก็ได้
ณ
ลำดบั ชื่อหนว่ ยการ ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั
ที่ เรยี นรู้ (ชั่วโมง) คะแนน
เข้าเรียน วัตถคุ หู่ นึ่งจะมแี รงกระทำตอ่ กนั แรงน้ี
สอบกลางภาค เป็นแรงดึงดูดระหว่างมวลเป็นแรงที่มวล - 10
สอบปลายภาค สองก้อนดึงดูดซึ่งกันและกันด้วยแรงขนาด 20
เท่ากันในแนวเดียวกันแต่ทิศทางตรงข้าม
รวม และเป็นไปตามกฎความโน้มถว่ งสากล
แรงที่เกิดขึ้นที่ผิวสัมผัสระหว่างวัตถุ
สองก้อนในทิศทางตรงข้ามกับทิศทางการ
เคลื่อนที่ หรือแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่ของ
วัตถุ เรียกว่า แรงเสียดทาน ซึ่งแรงเสียด
ทานระหว่างผิวสัมผัสคู่หน่ึง ๆ จะขึ้นอยู่กบั
สัมประสิทธคิ์ วามเสยี ดทานและแรปฏกิ ริ ิยา
ต้งั ฉากระหวา่ งผิวสมั ผสั คู่นน้ั ๆ
ขณะวัตถุยังคงอยู่นิ่ง แรงเสียดทานมี
ขนาดเพิ่มขึ้นตามแรงที่กระทำต่อวัตถุน้ัน
และจะมีค่ามากที่สุดเมื่อวัตถุเริ่มเคลื่อนที่
เรียกแรงเสียดทานที่กระทำต่อวัตถขุ ณะอยู่
นิ่งว่า แรงเสียดทานสถิต และเรียกแรง
เสยี ดทานท่ีกระทำตอ่ วัตถขุ ณะกำลงั เคล่ือน
ท่วี า่ แรงเสียดทานจลน
2
2 30
60 100
เกณฑก์ ารประเมิน (แบบอิงเกณฑ)์
ระดบั เกรด
0
0-49 คะแนน 1
1.5
50-54 คะแนน 2
2.5
55-59 คะแนน 3
3.5
60-64 คะแนน 4
65-69 คะแนน
70-74 คะแนน
75-79 คะแนน
80-100 คะแนน
ด
กำหนดการสอน (Course syllabus)
รายวชิ าเพ่ิมเติม ฟิสิกส์ 1 (ว30201) ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
หนว่ ยการเรียนรู้ : 3 หนว่ ย เวลา 60 ชว่ั โมง
ครูผสู้ อนนครนิ ทร์ เกตุทองมา ภาคเรยี นที่ 1/2564
สปั ดาห์ เนอ้ื หา/สาระทีส่ อน ช่วั โมง คะแนน ผลการเรียนรู้ หมายเหตุ
ท่ี
บทท่ี 1 ธรรมชาติและ 1. สืบค้นและอธิบายการคน้ หาความร้ทู าง
ฟสิ ิกส์ ประวัติความเป็นมา รวมทงั้ พัฒนาการ
1 พัฒนาการทางฟิสิกส์ 2 ของหลกั การและ แนวคิดทางฟิสกิ ส์ท่ีมผี ลต่อ
การแสวงหาความรู้ใหมแ่ ละการพฒั นา
1.1 ธรรมชาตทิ างฟสิ ิกส์ เทคโนโลยไี ด้
1 1.2 การวัดและรายงานผลการ 3 10 2. วดั และรายงานผลการวัดปริมาณทางฟสิ ิกส์
วดั ปรมิ าณทางฟสิ ิกส์
ไดถ้ ูกต้องเหมาะสม โดยนำความคลาดเคล่อื น
1.3 เลขนยั สำคญั และ 2 ในการวดั มาพจิ ารณาในการนำเสนอผล รวมทัง้
2 การทดลองทางฟิสกิ ส์ แสดงผลการทดลองในรูปของกราฟ วิเคราะห์
และแปลความหมายจากกราฟเสน้ ตรงได้
สอบเก็บคะแนน 2
บทที่ 2 การเคลอ่ื นท่แี นวตรง 3
3 2.1 ตำแหน่ง
2.1 การกระจัด และระยะทาง
4-5 2.3 อตั ราเรว็ และความเรว็ 4 3. ทดลองและอธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง
2 ตำแหน่ง การกระจัด ความเรว็ และความเร่ง
6 2.4 ความเร่ง ของการเคลอ่ื นท่ขี องวัตถุในแนวตรงทีม่ ี
ความเร่งคงตวั จากกราฟและสมการ รวมท้งั
7-8 2.5 กราฟของการเคลอื่ นท่ี 3 15
แนวตรง
ทดลองหาคา่ ความเร่งโนม้ ถว่ งของโลก และ
2.6 สมการสำหรบั การ
8-9 เคลอื่ นที่ 5 คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งได้
9-10 2.7 การตกแบบเสรี 4
สอบเกบ็ คะแนน 1.5
11 สอบกลางภาค 2 20 -
บทท่ี 3 แรงและกฎการเคลื่อนที่ 4. ทดลองและอธิบายการหาแรงลพั ธ์ของแรง
สองแรงทที่ ำมุมตอ่ กนั ได้
11-12 3.1 แรง 6 5. เขยี นแผนภาพของแรงท่ีกระทำตอ่ วตั ถุอสิ ระ
3.2 การหาแรงลพั ธ์ ทดลองและอธบิ ายกฎการเคลือ่ นท่ีของนวิ ตนั
6 และการใช้กฎการเคล่อื นทข่ี องนิวตันกบั สภาพ
13-14 3.3 มวล แรง และกฎการ 5 การเคล่อื นทีข่ องวัตถุ รวมทง้ั คำนวณปริมาณ
เคลอื่ นท่ี
15 ต่าง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ งได้
15-16 3.4 แรงเสยี ดทาน
ต
สปั ดาห์ เนอ้ื หา/สาระที่สอน ชั่วโมง คะแนน ผลการเรียนรู้ หมายเหตุ
ที่
16-17 3.5 แรงดึงดูดระหว่างมวล 4 6. อธิบายกฎความโน้มถ่วงสากลและผลของ
สนามโนม้ ถ่วงท่ีท าให้วตั ถุมนี ำ้ หนกั รวมทง้ั
คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเกยี่ วข้องได้
3.6 การประยุกต์ใช้กฎการ 7. วิเคราะห์ อธบิ าย และคำนวณแรงเสยี ดทาน
17-19 เคลอื่ นท่ี
2 ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุคู่หน่งึ ๆ ในกรณีที่
วัตถุหยดุ นิ่งและวตั ถุเคล่ือนท่ี รวมทง้ั ทดลองหา
สมั ประสทิ ธิ์ความเสยี ดทานระหว่างผวิ สมั ผสั
สอบเก็บคะแนน ของวัตถุคหู่ นึ่ง ๆ และนำความรู้เรอ่ื งแรงเสียด
20 สอบปลายภาค
1.5 ทานไปใช้ในชีวติ ประจำวันได้
รวม
2 30 -
60 100 - เข้าเรยี น 10
คะแนน
1
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 4
รายวชิ าเพิ่มเติม ฟสิ กิ ส์ 1 (ว31201) ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 4
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 การเคลื่อนที่แนวตรง เวลา 22 ช่ัวโมง
เร่อื งท่ี 1 ตำแหนง่ เวลา 1 ชัว่ โมง
ภาคเรียนที่ 1 ครูผู้สอน นายนครนิ ทร์ เกตุทองมา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. สาระวิทยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ /ผลการเรียนรู้
สาระฟิสิกส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรงแรงและกฎ
การเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการ
อนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโคง้ รวมทั้งนำความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
ผลการเรียนรู้
3. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหวา่ งตำแหน่ง การกระจดั ความเร็ว และความเร่งของ
การเคล่ือนที่ของวัตถใุ นแนวตรงที่มคี วามเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมท้งั ทดลองหาค่าความเร่ง
โน้มถว่ งของโลก และคำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ งได้
2. สาระสำคัญ
การเคลื่อนที่แนวตรงทั้งในแนวระดับและแนวดิ่ง เป็นการเคลื่อนที่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก
แนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีความสัมพันธ์กับระยะทาง การกระจัด เวลา อัตราเร็ว ความเร็ว
ความเรง่ และทิศทาง
ระยะทางกับการกระจัดเปน็ ปริมาณท่ีต่างกัน โดยระยะทางเปน็ ระยะตามเสน้ ทางการเคล่ือนที่จริง
ของวัตถุ และเป็นปริมาณสเกลาร์ ส่วนการกระจัดเป็นระยะทางตามแนวเส้นตรงจากตำแหน่งเดิมไป
ยังตำแหน่งใหม่ และเป็นปริมาณเวกเตอร์
3. สาระการเรียนรู้
การระบุตำแหน่ง (position) ของวัตถใุ นแนวตรงต้องบอกเทียบกับจุด ๆ หน่ึงในแนวการเคล่ือนท่ี
เรียกว่า จุดอ้างอิง เราจำเป็นต้องระบุตำแหน่งของวัตถุ ณ เวลาหนึ่ง ๆ โดยเทียบกับจุดอ้างอิง และ
กำหนดแกนพิกัดเพื่อใช้ในการบอกตำแหน่งและทิศทาง ดังนั้น การระบุตำแหน่งจึงเป็นการบอกด้วย
ปรมิ าณเวกเตอร์
2
4. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เมื่อจบกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรยี นสามารถ
จุดประสงคการเรียนรู้ รายละเอยี ด
ด้านความรู้ 1. อธบิ ายการระบุตำแหน่งของวัตถุ
(K: Knowledge)
ด้านทกั ษะกระบวนการ 2. สามารถวัดและบอกตำแหนง่ ของวัตถุได้อยา่ งถูกต้อง
(P: Process)
ดา้ นคุณลกั ษณะท่ีพึง 3. มคี วามสนใจใฝร่ ้หู รอื อยากรูอ้ ยากเหน็ และทำงานรว่ มกับผอู้ ่ืนอยา่ ง
ประสงค์ (A: Attitude) สร้างสรรค์
ทักษะกระบวนการ 4. การวัด และลงความคิดเห็นจากข้อมลู
วทิ ยาศาสตร์ (Science
Process Skill)
5. ขนั้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจกั รการเรียนรู้ 5E
ขน้ั ท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ (Engagement)
1. ครถู ามนักเรียนว่า การเคลอื่ นทีแ่ นวตรง คอื อะไร
(แนวคำตอบ: ขนึ้ อยกู่ บั ประสบการณ์ของนักเรยี น)
2. ครูนำภาพการเคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆ ที่ได้เตรียมไว้ จำนวน 10-12 ภาพ ให้นักเรียน
จำแนกว่าภาพใดบา้ งเปน็ การเคลื่อนท่ีแนวตรง ซง่ึ ประกอบด้วยภาพตัวอย่าง ดงั ตอ่ ไปน้ี
• ภาพชงิ ชา้ สวรรค์
• ภาพผลไม้ตกสู่พืน้ ดนิ
• ภาพรถวง่ิ ตามถนนเส้นตรง
• ภาพคนวงิ่ แขง่ 100 เมตร
• ภาพการแกวง่ ชงิ ชา้
• ภาพลกู ตมุ้ นาฬกิ า
• ภาพรถเลย้ี วขวา
• ภาพคนเลน่ บาสเกตบอล
• ภาพนักเรียนเดนิ ทางไปโรงเรยี น
3. นกั เรยี นร่วมกันอภิปรายถึงวิธีการพิจารณาว่าภาพใดบา้ ง ท่เี ปน็ ภาพการเคลื่อนที่แนวตรง
เพ่ือนำไปส่คู วามเขา้ ใจลักษณะของการเคลื่อนท่ีแนวตรงวา่ “การเคล่อื นท่ีแนวตรง เป็นการเคล่ือนที่ท่ี
มรี ะยะทางและการกระจัดอยูใ่ นแนวเส้นตรงเดียวกนั ”
4. นักเรียนช่วยกันอภปิ รายและแสดงความคดิ เหน็ คำตอบจากภาพตัวอย่าง
ครูถามนกั เรียนว่า (โดยเปิดโอกาสให้นกั เรยี นได้แสดงความคิดเห็นโดยไมเ่ นน้ ถกู ผดิ )
คำถาม - ภาพแตล่ ะภาพมีลักษณะการเคล่ือนท่เี หมือนกนั หรอื แตกต่างกัน หรือไม่ อยา่ งไร
- ในชวี ติ ประจำวนั มกี ิจกรรมใดบา้ ง ทเี่ กี่ยวข้องกับการเคล่อื นท่ี และใหย้ กตัวอย่าง
3
(แนวตอบ: ในชวี ติ ประจำวัน เราพบเห็นการเคลอื่ นทีข่ องสงิ่ ตา่ ง ๆ เช่น นกบิน รถยนตแ์ ล่นบนถนน
ลูกฟุตบอลเคลื่อนท่ีในอากาศ ใบพัดลมหมุน เด็กแกวง่ ชงิ ชา้ ผลไมห้ ลน่ จากตน้ เปน็ ตน้ )
5. นักเรียนช่วยกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นคำตอบจากคำถาม เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การ
เรียนในเร่อื ง ตำแหนง่
ขัน้ ท่ี 2 ขัน้ สำรวจและค้นหา (Exploration)
1. ครทู บทวนเร่อื งปริมาณสเกลาร์ และปรมิ าณเวกเตอร์
(แนวทางอธิบาย: ปริมาณสเกลาร์มแี ค่ขนาด เช่น มวล เวลา ระยะทาง และปริมาตร
ส่วนปริมาณเวกเตอร์มีทั้งขนาดและทิศทาง ปริมาณเวกเตอร์เขียนแทนได้ด้วยลูกศร โดยความยาว
ของลกู ศรแทนขนาด และหวั ลูกศรแทนทศิ ทาง)
2. ครถู ามคำถาม เพื่อใหน้ กั เรยี นร่วมกันคิด
คำถาม - เราจะทราบได้อย่างไรว่าวัตถุเกิดการเคลื่อนที่ (แนวตอบ: วัตถุมีการ
เปลยี่ นตำแหน่งจากจดุ หนงึ่ ไปอีกจุดหนึง่ )
3. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า การเคลื่อนที่ของวัตถุเป็นผลมาจากการที่มีแรงไปกระทำต่อวัตถุ
ทำให้วตั ถเุ ปล่ยี นแปลงสภาพโดยเปลยี่ นตำแหนง่ จากจุดที่ 1 ไปยงั จดุ ที่ 2 โดยการเปล่ยี นตำแหน่งของ
วัตถจุ ะทำให้เกิดปรมิ าณท่ีเกย่ี วขอ้ งกับการเคลื่อนท่ี
ขน้ั ท่ี 3 ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
1. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถระบุตำแหน่งของวัตถุด้วยเวกเตอร์ตำแหน่งที่บอก
ระยะหา่ งและทศิ ทางเทียบกับจดุ อา้ งองิ จากตัวอย่างดงั ต่อไปน้ี
ตวั อยา่ ง
เวกเตอร์ตำแหน่งของรถยนต์ (เส้นสีฟ้า) ⃗x = +4m และ เวกเตอร์ตำแหน่งของคน
(เส้นสีแดง) ⃗x = -2m โดยใช้เสาไฟฟ้าต้นที่หนึ่งเป็นจุดอ้างอิงทั้งสองกรณี การระบุตำแหน่งของวัตถุ
จำเป็นต้องมีตำแหน่งอ้างอิงและในกรณีการเคลื่อนที่แนวตรง เครื่องหมาย + (หรือ -) ที่ใส่เพื่อบอก
ค่าตัวแปรที่เป็นค่าบวก (หรือค่าลบ) เป็นการใส่เพื่อบอกทิศทางเวกเตอร์ตำแหน่งของวัตถุ รวมทั้งไม่
จำเป็นต้องใส่เครอื่ งหมาย “→” บนตวั แปร
4
ครูควรเน้นว่า การบอกเวกเตอร์ตำแหน่งโดยทั่วไปจะกำหนดให้จุดอ้างอิงเป็นจุด
กำเนิดของแกนพิกัด เช่น จากรูปถ้ามีเด็กยืนตรงกึ่งกลางระหว่างรถยนต์และคนทางซ้าย เวกเตอร์
ตำแหนง่ ของเดก็ คือ ⃗x = +1m
ขัน้ ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration)
1. ใหน้ กั เรียนทำกิจกรรม เร่อื ง ตำแหนง่ และจดุ อ้างองิ
2. ครูและนักเรียนรว่ มกันอภิปรายและเฉลยแบบฝึกหัด และเปดิ โอกาสให้นักเรยี นซักถามข้อ
สงสยั ที่นักเรียนยงั ไมเ่ ขา้ ใจเกี่ยวกบั เรือ่ งท่เี รยี น
ขัน้ ที่ 5 ขนั้ ประเมนิ (Evaluation)
1. ครปู ระเมินนักเรยี นโดยการใช้คำถาม
คำถาม - เรามกี ารระบตุ ำแหน่งของวตั ถุ อย่างไร (แนวคำตอบ: ในการระบตุ ำแหน่ง
ของวัตถจุ ะเทียบกบั ตำแหน่ง อ้างอิงหนึ่งเสมอ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน)
- การระบุตำแหนง่ เปน็ ปรมิ าณเวกเตอรห์ รอื สเกลาร์ เพราะเหตใุ ด
(แนวคำตอบ: เป็นปริมาณเวกเตอร์ เพราะการระบุตำแหน่งของวัตถุจะต้องบอกทั้งระยะห่างจาก
ตำแหนง่ อา้ งองิ และทศิ ทางเทยี บกบั ตำแหน่งอา้ งอิง)
- เครื่องหมายบวกหรือลบในการระบุตำแหน่งหมายถึง (แนวคำตอบ:
การระบุเครอ่ื งหมายบวกหรอื เคร่ืองหมายลบนน้ั เพ่ือบอกทศิ ทางเมอื่ เทยี บกับตำแหนง่ อา้ งองิ )
6. ส่ือการเรียนรู้/อุปกรณ/์ แหล่งเรยี น
1. กิจกรรม เรอื่ ง ตำแหน่งและจุดอา้ งองิ
2. รูปภาพการเคลอ่ื นท่ตี ่าง ๆ (ข้ันสรา้ งความสนใจ)
3. PowerPoint หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรอ่ื ง การเคลอ่ื นท่ีแนวตรง
7. การวดั และประเมนิ ผล
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธีการวัด เครื่องมือทใ่ี ช้ เกณฑ์การประเมนิ
1. อธบิ ายการระบตุ ำแหนง่ ของวัตถุ - การถาม-ตอบ - แบบสงั เกตพฤติกรรม ผ่านเกณฑ์การ
ประเมนิ ร้อยละ 70
(K) - การแสดงความคิดเหน็ รายบคุ คล
- ตรวจใบกจิ กรรม - ใบกจิ กรรม
2. สามารถวัดและบอกตำแหนง่ ของ - ตรวจใบกจิ กรรม - ใบกิจกรรม
วัตถุได้อย่างถูกตอ้ ง (P) - การถาม-ตอบ
3. มีความสนใจใฝร่ หู้ รอื อยากรู้อยาก - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม
เหน็ และทำงานร่วมกบั ผู้อื่นอย่าง - การส่งงานตรงเวลา รายบุคคล
สร้างสรรค์ (A)
4. การวัด การคำนวณ และลงความ - สังเกตพฤติกรรมการ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม
คิดเหน็ จากข้อมลู ทำงาน รายบุคคล
(ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์) - การถาม-ตอบ - ใบกจิ กรรม
- ตรวจใบกิจกรรม
5
6
ความคิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................ ................................................................
............................................................................................................................. ...................................
ลงชือ่ ...........................................ผ้ตู รวจสอบ
( นางดลกาญจน์ พรหมพลจร )
หวั หน้ากลุ่มสาระ ฯ
ความคดิ เหน็ ของรองผู้อำนวยการกล่มุ บริหารวชิ าการ
................................................................................................................ ................................................
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ...........................................ผตู้ รวจสอบ
( นายสุรชัย ทองทิพย์ )
รองผู้อำนวยการกลุ่มบรหิ ารงานวิชาการ
ความคดิ เห็นของผอู้ ำนวยการโรงเรียนเตรยี มอุดมศกึ ษาพัฒนาการ อุดรธานี
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................ ................................................................
............................................................................................................................. ...................................
ลงชอื่ ...........................................ผูต้ รวจสอบ
( นายคมสนั ต์ ถานกางสุ่ย )
ผูอ้ ำนวยการโรงเรียน
7
เกณฑก์ ารตรวจแบบฝึกหดั
แก้ปัญหา ความ ความ ความ ตรงต่อ รวม
ที่ ชอื่ - สกลุ ด้วยตัวเอง สะอาด รับผิดชอบ ถูกตอ้ ง เวลา
2 2 2 2 2 10
ลงชือ่ ................................................ผูป้ ระเมนิ
(.......................................................)
เกณฑก์ ารประเมนิ 0 – 4 ปรับปรงุ
คะแนน 5 – 6 พอใช้
คะแนน 7 – 8 ดี
คะแนน 9 – 10 ดมี าก
คะแนน
8
แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล
คำชีแ้ จง ใหค้ รผู ้สู อนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้ว / ลงใน
ชอ่ งที่ตรงกับระดบั คะแนน
ลำดับ มีความใฝ่รู้ มคี วามมุ่งมนั่ ใน มีสว่ นรว่ มใน รวม 15
ท่ี
ช่อื -สกลุ ใฝเ่ รียน การทำงาน การทำกิจกรรม คะแนน
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1 5 4 32 1
ลงช่ือ................................................ผปู้ ระเมนิ
(.......................................................)
เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ เกณฑก์ ารให้
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ ระดบั การมสี ว่ นร่วมมากทสี่ ดุ ให้ 5 คะแนน
ระดบั การมสี ว่ นร่วมมาก ให้ 4 คะแนน
13 – 15 ดีมาก ระดับการมีสว่ นร่วมปานกลาง ให้ 3 คะแนน
10 – 12 ดี ระดบั การมีสว่ นร่วมน้อย ให้ 2 คะแนน
7–9 ระดับการมสี ่วนร่วมน้อยท่ีสุด ให้ 1 คะแนน
4 –6 ปานกลาง
1– 3 พอใช้
ปรบั ปรุง
9
10
11
12
13
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 5
รายวชิ าเพมิ่ เติม ฟสิ ิกส์ 1 (ว31201) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 การเคล่ือนทแ่ี นวตรง เวลา 22 ชัว่ โมง
เรอื่ งท่ี 2 การกระจัดและระยะทาง เวลา 2 ชว่ั โมง
ภาคเรยี นท่ี 1 ครูผูส้ อน นายนครนิ ทร์ เกตุทองมา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. สาระวิทยาศาสตร์เพ่มิ เตมิ /ผลการเรียนรู้
สาระฟิสิกส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรงแรงและกฎ
การเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการ
อนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนรุ กั ษ์โมเมนตมั การเคลื่อนที่แนวโคง้ รวมทั้งนำความร้ไู ป
ใชป้ ระโยชน์
ผลการเรียนรู้
3. ทดลองและอธิบายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตำแหน่ง การกระจัด ความเรว็ และความเร่งของ
การเคลื่อนทขี่ องวตั ถใุ นแนวตรงท่ีมีความเร่งคงตวั จากกราฟและสมการ รวมทงั้ ทดลองหาค่าความเร่ง
โนม้ ถ่วงของโลก และคำนวณปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งได้
2. สาระสำคัญ
การเคลื่อนที่แนวตรงทั้งในแนวระดับและแนวดิ่ง เป็นการเคลื่อนที่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก
แนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีความสัมพันธ์กับระยะทาง การกระจัด เวลา อัตราเร็ว ความเร็ว
ความเร่ง และทิศทาง
ระยะทางกับการกระจัดเป็นปริมาณท่ีตา่ งกัน โดยระยะทางเป็นระยะตามเส้นทางการเคลื่อนทีจ่ รงิ
ของวัตถุ และเป็นปริมาณสเกลาร์ ส่วนการกระจัดเป็นระยะทางตามแนวเส้นตรงจากตำแหน่งเดิมไป
ยงั ตำแหนง่ ใหม่ และเปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์
3. สาระการเรียนรู้
เมื่อวัตถุมีการเคลื่อนที่ ตำแหน่งของวัตถุนั้นจะเปลี่ยนไป การเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุ เรียกว่า
การกระจัด (displacement) Δx การกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ที่บอกทั้งขนาดและทิศทาง ส่วน
ความยาวตามเส้นทางทวี่ ตั ถเุ คลอ่ื นที่ เรยี กวา่ ระยะทาง (distance) d
14
4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ เม่ือจบกิจกรรมการเรียนรู้ นกั เรยี นสามารถ
จดุ ประสงคการเรยี นรู้ รายละเอียด
ด้านความรู้ 1. อธิบายการกระจดั และระยะทางการเคลื่อนทขี่ องวตั ถุ
(K: Knowledge)
ดา้ นทักษะกระบวนการ 2. สามารถคำนวณการกระจัดและระยะทางการเคล่อื นที่ของวัตถุ
(P: Process)
ดา้ นคุณลักษณะท่ีพงึ 3. มคี วามสนใจใฝร่ หู้ รืออยากรูอ้ ยากเหน็ และทำงานร่วมกับผอู้ นื่ อย่าง
ประสงค์ (A: Attitude) สรา้ งสรรค์
ทักษะกระบวนการ 4. การวดั การคำนวณ และลงความคดิ เห็นจากข้อมูล
วทิ ยาศาสตร์ (Science
Process Skill)
5. ขน้ั จดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบวัฏจกั รการเรียนรู้ 5E
ข้ันท่ี 1 ข้นั สร้างความสนใจ (Engagement)
1. ครูถามคำถามเพื่อทบทวนความรู้เดมิ ของผู้เรยี น เรอ่ื ง การระบุตำแหน่งของวัตถุ
คำถาม - การระบตุ ำแหน่งสามารถระบไุ ดอ้ ย่างไร
- การระบุตำแหนง่ เป็นปรมิ าณใด
- นกั เรยี นคดิ ว่ามีปริมาณใดบ้างท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การเคล่ือนที่แนวตรง
2. นักเรียนช่วยกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นคำตอบจากคำถาม เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การ
เรยี นในเรื่อง ระยะทาง และการกระจดั
ขนั้ ที่ 2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration)
1. นักเรียน 1 คน มายืนหน้าชั้นเรียนจากนั้นให้เดินในแนวตรงจากผนังด้านหนึ่งไปผนังอีก
ด้านหน่งึ แล้วต้งั คำถาม
คำถาม - การกระจดั และระยะทางมีคา่ เทา่ กนั หรือไม่ (แนวคำตอบ: มีค่าเทา่ กัน)
2. จากนัน้ ใหน้ กั เรยี นคนเดิมเดินยอ้ นกบั มาจดุ ตัง้ ตน้ แล้วครถู ามวา่
คำถาม - การกระจัดและระยะทางมีค่าเท่ากันหรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ: มีค่า
ไม่เท่ากัน การกระจัดมีค่าเท่ากับศูนย์ แต่ระยะทางเท่ากับสองเท่าของระยะจากผนังด้านหนึ่งถึงอีก
ด้านหนึ่ง)
3. นักเรยี นแบง่ กลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน และทำกจิ กรรม เร่ือง การกระจัดและระยะทาง
ขน้ั ที่ 3 ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
1. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มออกมานำเสนอผลการทำกจิ กรรมเร่ือง การกระจัด และระยะทาง
2. ครูอธบิ ายเพ่มิ เติม จากตัวอยา่ งต่อไปนี้
15
ตัวอย่าง จงหาการกระจัดและระยะทางที่เคลื่อนที่ได้ของรถยนต์ ในช่วงเวลา t =
0.0 s ถงึ t = 3.0 s
ตอบ การกระจดั มีคา่ กับ -12 เมตร ระยะทางมีค่าเท่ากบั 20 เมตร
3. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภิปราย โดยครใู ช้คำถามนำเพื่อหาขอ้ สรปุ ดังน้ี
แนวทางอธบิ าย: 1. การกระจดั คอื ปริมาณเวกเตอร์ท่ีมที ิศออกจากตำแหน่งเร่ิมต้น
ไปยงั ตำแหน่งสดุ ท้าย มขี นาดเทา่ กับระยะห่างระหว่างตำแหนง่ เรมิ่ ตน้ กับตำแหนง่ สดุ ทา้ ย
2. ระยะทาง คือ ความยาวของเส้นทางตลอดการเคลื่อนที่ตั้งแต่
ตำแหน่งเริม่ ต้นถึงตำแหน่งสุดทา้ ย เปน็
3. ระยะทางและการกระจัดในการเคลื่อนที่มี 2 ลักษณะ คือ
ระยะทางมากกวา่ การกระจัด และระยะเท่ากับและการกระจัด แต่จากตัวอย่างระยะทางมากกว่าการ
กระจัด
ขั้นที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration)
1. นกั เรยี นทำแบบฝึกหดั เรื่อง การกระจดั และระยะทาง ในเลม่ โจทย์ปญั หาทา้ ประลอง
2. นักเรียนและครรู ่วมกนั อภิปรายและเฉลยแบบฝึกหดั และเปดิ โอกาสให้นักเรยี นซักถามข้อ
สงสยั ท่ีนักเรยี นยงั ไม่เข้าใจเก่ียวกบั เรือ่ งทเี่ รยี น
ขน้ั ท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation)
1. ครูประเมินนกั เรยี นโดยการใชค้ ำถาม
คำถาม - เครื่องหมายบวกลบของการกระจัดหมายถึงอะไร (แนวคำตอบ:
เครื่องหมายบวกลบของการกระจัด หมายถงึ มี ทศิ ทางของการเปล่ยี นตำแหน่งไปตามทศิ ที่กำหนดไว้
เปน็ ทศิ อ้างองิ )
- การกระจัดเกี่ยวข้องกับตำแหน่งอย่างไร (แนวคำตอบ: การกระจัดบอก
การเปลีย่ นตำแหน่งของวัตถุ ซึ่งในกรณกี ารเคล่อื นที่แนวตรงการกระจัดเทา่ กับผลตา่ งตำแหน่งสุดท้าย
กับตำแหน่งเริ่มตน้ ดงั สมการ Δx=xf - xi)
- การกระจัดและระยะทางแตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ: การกระจัด
เป็นปริมาณเวกเตอร์ มีค่าเท่ากับระยะห่างระหว่างตำแหน่งเริ่มต้นกับตำแหน่งสุดท้าย ตามสมการ
Δx=xf - xi ระยะทาง เป็นปริมาณสเกลาร์ มีค่าเท่ากับความยาวตลอดเส้นทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
จากตำแหน่งเร่ิมต้นไปยงั ตำแหน่งสดุ ท้าย)
16
6. ส่อื การเรียนรู้/อปุ กรณ์/แหลง่ เรยี น
1. ใบกจิ กรรม เร่ือง การกระจัดและระยะทาง
2. แบบฝกึ หดั เร่ือง การกระจัดและระยะทาง ในเล่มโจทยป์ ัญหาทา้ ประลอง
3. PowerPoint หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 2 เร่ือง การเคล่อื นท่แี นวตรง
หมายเหตุ: หากได้จัดการเรียนการสอนออนไลน์ ครูจัดการเรียนการสอนผ่านโปรแกรม Google
meet
7. การวัดและประเมินผล วธิ ีการวัด เคร่อื งมือทีใ่ ช้ เกณฑก์ ารประเมนิ
จุดประสงค์การเรยี นรู้ - แบบสังเกตพฤติกรรม
1. อธบิ ายการกระจัดและระยะ - การถาม-ตอบ รายบุคคล ผา่ นเกณฑ์การ
ทางการเคล่ือนท่ีของวตั ถุ (K) - การแสดงความคดิ เหน็ - ใบกจิ กรรม ประเมนิ ร้อยละ 70
- การทำกจิ กรรม - แบบฝึกหดั
2. สามารถคำนวณการกระจัดและ - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝึกหดั
ระยะทางการเคล่ือนทีข่ องวัตถุ (P)
3. มคี วามสนใจใฝร่ ้หู รืออยากร้อู ยาก - ตรวจแบบฝึกหดั - แบบสงั เกตพฤติกรรม
เหน็ และทำงานร่วมกับผู้อน่ื อยา่ ง - การถาม-ตอบ รายบุคคล
สร้างสรรค์ (A)
4. การวดั การคำนวณ และลงความ - สังเกตพฤติกรรม
คดิ เหน็ จากข้อมลู - การส่งงานตรงเวลา
(ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร)์
- สังเกตพฤติกรรมการ - แบบสงั เกตพฤติกรรม
ทำงาน รายบคุ คล
- ตรวจแบบฝึกหดั - แบบฝึกหดั
17
18
ความคิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
............................................................................................................................. ...................................
............................................................................................................................................................ ....
............................................................................................................................. ...................................
ลงชอ่ื ...........................................ผตู้ รวจสอบ
( นางดลกาญจน์ พรหมพลจร )
หัวหน้ากลมุ่ สาระ ฯ
ความคิดเห็นของรองผูอ้ ำนวยการกล่มุ บรหิ ารวิชาการ
................................................................................................................................................. ...............
.................................................................................................................... ............................................
............................................................................................................................. ...................................
ลงชือ่ ...........................................ผู้ตรวจสอบ
( นายสรุ ชยั ทองทิพย์ )
รองผู้อำนวยการกลุ่มบรหิ ารงานวชิ าการ
ความคิดเหน็ ของผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุดรธานี
............................................................................................................................. ...................................
................................................................................................ ................................................................
............................................................................................................................. ...................................
ลงชอื่ ...........................................ผ้ตู รวจสอบ
( นายคมสนั ต์ ถานกางสยุ่ )
ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น
19
20
เกณฑก์ ารตรวจแบบฝึกหดั
แกป้ ญั หา ความ ความ ความ ตรงตอ่ รวม
ที่ ช่อื - สกุล ดว้ ยตวั เอง สะอาด รับผดิ ชอบ ถกู ต้อง เวลา
2 2 2 2 2 10
ลงช่ือ................................................ผู้ประเมนิ
(.......................................................)
เกณฑก์ ารประเมิน 0 – 4 ปรบั ปรุง
คะแนน 5 – 6 พอใช้
คะแนน 7 – 8 ดี
คะแนน 9 – 10 ดมี าก
คะแนน
21
แบบสังเกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล
คำชแ้ี จง ให้ครูผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้ว / ลงใน
ช่องที่ตรงกับระดับคะแนน
ลำดบั มคี วามใฝ่รู้ มีความมงุ่ มัน่ ใน มสี ว่ นร่วมใน รวม 15
ท่ี
ช่อื -สกุล ใฝเ่ รยี น การทำงาน การทำกิจกรรม คะแนน
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1 5 4 32 1
ลงช่ือ................................................ผปู้ ระเมนิ
(.......................................................)
เกณฑ์การตดั สินคณุ ภาพ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ ระดบั การมสี ่วนร่วมมากที่สดุ ให้ 5 คะแนน
ระดับการมสี ว่ นรว่ มมาก ให้ 4 คะแนน
13 – 15 ดีมาก ระดบั การมสี ่วนรว่ มปานกลาง ให้ 3 คะแนน
10 – 12 ดี ระดบั การมีสว่ นร่วมน้อย ให้ 2 คะแนน
7–9 ระดบั การมีสว่ นร่วมนอ้ ยทสี่ ดุ ให้ 1 คะแนน
4 –6 ปานกลาง
1– 3 พอใช้
ปรับปรงุ
22
ใบกจิ กรรม
เรอ่ื ง การกระจดั และระยะทาง
23
แนวคำ2ต4 อบ
ใบกจิ กรรม
เรอ่ื ง การกระจดั และระยะทาง
25
ไมส่ ามารถบอกทศิ ทางเสน้ ท่ี 1 ได้ เน่อื งจากเดก็ ชายตน้ เดนิ ไปในหลายทศิ ทาง
สามารถบอกทศิ ทางเสน้ ท่ี 2 ได้ เน่อื งจากระยะทางไปหาหญงิ เกเ๋ ป็นเสน้ ตรง จงึ สามารถบอกทศิ ทางได้ (ตะวนั ออกเฉยี งใต)้
ระยะเสน้ ทางท่ี 1 มคี า่ มากกว่าระยะเสน้ ทางท่ี 2
การเคลอ่ื นทต่ี ามเสน้ ทางท่ี 2
กำรกระจดั sറ หน่วย SI ระยะทำง s
เมตร (m)
• ความยาวเสน้ ตรงทล่ี าก • ความยาวตามเสน้ ทางท่ี
จากจุดเรม่ิ ตน้ ไปถงึ จดุ สุดทา้ ย วตั ถเุ คลอ่ื นท่ี
• เป็นประมาณเวกเตอร์ • เป็นประมาณสเกลาร์
• มที งั้ ขนาดและทศิ ทาง • มแี ตข่ นาดเท่านนั้
26
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 6
รายวิชาเพ่ิมเตมิ ฟิสิกส์ 1 (ว31201) ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 การเคลื่อนท่ีแนวตรง เวลา 22 ช่วั โมง
เรื่องที่ 3 อตั ราเร็วและความเรว็ เวลา 2 ชว่ั โมง
ภาคเรยี นที่ 1 ครูผสู้ อน นายนครินทร์ เกตุทองมา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. สาระวทิ ยาศาสตร์เพิม่ เตมิ /ผลการเรยี นรู้
สาระฟสิ กิ ส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรงแรงและกฎ
การเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งาน และกฎการ
อนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนรุ กั ษ์โมเมนตมั การเคลื่อนท่ีแนวโค้ง รวมทั้งนำความร้ไู ป
ใช้ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้
3. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ์ระหวา่ งตำแหน่ง การกระจัด ความเร็ว และความเร่งของ
การเคล่ือนที่ของวตั ถใุ นแนวตรงที่มคี วามเร่งคงตัวจากกราฟและสมการ รวมทัง้ ทดลองหาค่าความเร่ง
โนม้ ถ่วงของโลก และคำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่ีเก่ยี วข้องได้
2. สาระสำคัญ
อัตราเร็วเฉลี่ย คือ อัตราส่วนระหว่างระยะทางท่ีวัตถุเคลื่อนท่ีได้กับช่วงเวลาที่ที่ใช้ในการเคลื่อนที่
หนว่ ยในระบบเอสไอ คือ เมตรตอ่ วินาที (m/s) เปน็ ปริมาณสเกลาร์
อัตราเร็วขณะหนึ่ง มีค่าเท่ากับขนาดของความเร็วขณะหนึ่ง หน่วยในระบบเอสไอ คือ เมตรต่อ
วนิ าที (m/s) เป็นปรมิ าณสเกลาร์
ความเร็วเฉลี่ย คือ อัตราส่วนระหว่างการกระจัดที่วัตถุเคลื่อนที่ได้กับช่วงเวลาที่ที่ใช้ในการ
เคลอ่ื นท่ี หน่วยในระบบเอสไอ คือ เมตรต่อวนิ าที (m/s) เป็นปริมาณเวกเตอร์
ความเร็วขณะหน่งึ เป็นการหาควาความเร็วในช่วงเวลาสัน้ ๆ ช่วงใดช่วงหนง่ึ ของการเคล่อื นที่
3. สาระการเรียนรู้
1. อัตราเร็วเฉลยี่ และอตั ราเร็วขณะหนง่ึ
2. ความเรว็ เฉล่ยี และความเร็วขณะหน่ึง
27
4. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เมอ่ื จบกจิ กรรมการเรียนรู้ นกั เรียนสามารถ
จดุ ประสงคการเรียนรู้ รายละเอยี ด
ด้านความรู้ 1. อธบิ ายความหมายของอัตราเร็วเฉล่ยี อตั ราเร็วขณะหนึ่ง ความเรว็
(K: Knowledge) เฉลยี่ และความเร็วขณะหนึ่งของวัตถุ
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ 2. สามารถคำนวณหาอัตราเร็วเฉล่ยี อัตราเร็วขณะหนงึ่ ความเรว็ เฉล่ีย
(P: Process) และความเร็วขณะหนงึ่ ของวัตถุ
ดา้ นคณุ ลกั ษณะท่ีพึง 3. มคี วามสนใจใฝร่ หู้ รืออยากรู้อยากเหน็ และทำงานรว่ มกับผู้อน่ื อยา่ ง
ประสงค์ (A: Attitude) สรา้ งสรรค์
ทกั ษะกระบวนการ 4. การคำนวณ และลงความคิดเหน็ จากข้อมูล
วิทยาศาสตร์ (Science
Process Skill)
5. ขนั้ จดั กจิ กรรมการเรียนร้แู บบวัฏจกั รการเรียนรู้ 5E
ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
1. นักเรียนและครูร่วมกันทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับ เรื่อง ตำแหน่ง ระยะทางและ
การกระจดั เพ่อื เปน็ ความรูพ้ ้นื ฐานนำไปส่เู น้ือหา เรอ่ื ง อตั ราเร็วและความเร็ว
2. ครูถามคำถามกระต้นุ ใหน้ ักเรยี นแสดงความคิดเหน็ วา่
คำถาม - ในการขับรถมอเตอร์ไซค์ นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงระยะทางและ
การกระจัดแล้ว ยังมีปริมาณใดอีกที่เกี่ยวข้องกับ การเคลื่อนที่ของรถมอเตอร์ไซค์ (แนวคำตอบ:
อัตราเรว็ และความเร็วของรถมอเตอร์ไซค์ )
- เราจะสามารถบอกได้อย่างไรว่ารถคันไหนเคลื่อนที่เร็วหรือช้า ต้องใช้
ระยะทางและการกระจัดเทยี บกบั สิง่ ใด (แนวคำตอบ: เวลา)
ขั้นท่ี 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration)
1. นักเรียนทำกิจกรรมข้อที่ 1-3 ในใบกิจกรรมเรื่อง ใครวิ่งเร็วกว่ากัน โดยให้ผู้เรียน
ปรกึ ษาหารือกันในการทำกิจกรรมกบั เพื่อนทนี่ ั่งข้าง ๆ
2. เมอื่ นักเรยี นทำเสรจ็ แล้ว ครูอธบิ ายเพ่มิ เติมในสว่ นของกิจกรรมขอ้ ท่ี 4-8
(แนวการอธิบาย: อัตราเร็ว คือ อัตราส่วนระหว่างระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้กับ
ช่วงเวลาทที่ ี่ใชใ้ นการเคล่อื นท่ี หน่วยในระบบเอสไอ คอื เมตรตอ่ วินาที (m/s) เปน็ ปรมิ าณสเกลาร์
จากนิยามอตั ราเรว็ ขา้ งต้น จะได้ว่า
เมอ่ื กำหนดให้ v คือ อตั ราเร็ว มหี นว่ ยเป็น เมตรต่อวินาที (m/s)
s คอื ระยะทางท่เี คลื่อนท่ีได้ มีหนว่ ยเป็น เมตร (m)
t คือ ช่วงเวลาทีใ่ ชใ้ นการเคลื่อนที่ มีหนว่ ยเปน็ วินาที (s)
จะเขียนสมการแสดงความสมั พันธ์ระหวา่ งอตั ราเรว็ ระยะทาง และเวลา ได้วา่
28
ถ้าวัตถุเคลื่อนท่ดี ้วยความเร็วไม่คงท่ี เราสามารถหาค่าอัตราเร็วได้ 2 ลกั ษณะคือ
• อัตราเร็วเฉลี่ย (Average speed : vav) เป็นการหาค่าอัตราเร็วในชว่ งเวลา
หนึง่ ที่กำลังพิจารณา โดยคำนวณหาจากการเฉลี่ยระยะทางทัง้ หมดของการเคลื่อนทใี่ นหนงึ่ หนว่ ยเวลา
ของการเคล่อื นที่
• อัตราเร็วขณะหนึ่ง (Instantaneous speed : vt) เป็นการหาค่าอัตราเร็ว
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วงใดช่วงหน่ึงของการเคล่ือนท่ี)
3. หลังจากการอธิบายเพิ่มเติมเน้ือหาเรื่อง อัตราเร็ว ใหน้ กั เรยี นทำกิจกรรมข้อที่ 4-8 โดยให้
ผูเ้ รียนปรึกษาหารอื กนั ในการทำกจิ กรรมกบั เพื่อนท่นี ัง่ ข้าง ๆ
ขน้ั ท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
1. เมื่อนักเรียนตอบคำถามในกิจกรรมจนครบทุกข้อแล้ว นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย
เกย่ี วกบั กิจกรรมเรอ่ื ง ใครวิ่งเร็วกวา่ กัน
(ประเด็นอภิปราย: ความสัมพนั ธร์ ะหว่าง อตั ราเรว็ ระยะทาง และเวลา จากสูตรจะ
เห็นไดว้ ่า อตั ราเร็วจะแปรผันตรงกับระยะทาง และจะแปรผกผนั กบั เวลาทีใ่ ช้ในการเคลอื่ นท)ี่
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมในส่วนของเรื่อง ความเร็ว จากนั้นสรุปความรู้เรื่อง อัตราเร็วและ
ความเรว็ และพาทำโจทยป์ ญั หาเพอ่ื เปน็ แนวทางในการทำแบบฝกึ หัด
(แนวการอธิบาย: ความเร็ว คือ อัตราส่วนระหว่างการกระจัดที่วัตถุเคลื่อนที่ได้กับ
ช่วงเวลาท่ที ี่ใชใ้ นการเคลอ่ื นท่ี หน่วยในระบบเอสไอ คอื เมตรต่อวินาที (m/s) เปน็ ปริมาณเวกเตอร์
จากนยิ ามข้างตน้ จะได้วา่
เม่ือกำหนดให้ v⃗ คือ ความเร็ว มหี น่วยเป็น เมตร/วนิ าที (m/s)
s⃗ คือ การกระจัดที่ได้ มีหน่วยเป็น เมตร (m)
t คือ ช่วงเวลาที่ใช้ในการเคล่ือนที่ มหี น่วยเป็น วินาที (s)
จะเขยี นสมการแสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างความเรว็ การกระจดั และเวลา ได้วา่
เนื่องจากความเร็วอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดการเคลื่อนท่ี ดังนั้นบางครั้งจึงนิยม
บอกความเรว็ ของรถด้วยความเร็วเฉลย่ี (average velocity)
• ความเร็วเฉลีย่ (Average speed : v⃗av) เป็นการหาคา่ ความเร็วในช่วงเวลา
หนึ่งที่กำลังพิจารณา โดยคำนวณหาจากการเฉลี่ยการกระจัดทั้งหมดของการเคลื่อนที่ในหนึ่งหน่วย
เวลาของการเคล่ือนที่
29
• ความเร็วขณะหนึ่ง (Instantaneous speed : ⃗vt) เป็นการหาค่าความเร็ว
ในชว่ งเวลาส้ัน ๆ ช่วงใดช่วงหน่ึงของการเคล่ือนที่
ตวั อยา่ ง
จากภาพสามารถหาอตั ราเรว็ เฉล่ยี และความเร็วเฉลี่ยของรถได้จาก
วิธีทำ อตั ราเรว็ เฉลีย่ = ระยะทางที่เคล่ือนทไ่ี ด้
ชว่ งเวลาทีใ่ ชใ้ นการเคล่ือนที่
v = 600 (m)
10 (s)
v = 60 m/s
ความเรว็ เฉลยี่ = การกระจดั ท่เี คลอื่ นทีไ่ ด้
ชว่ งเวลาท่ีใช้ในการเคล่ือนท่ี
⃗v = 600 (m)
10 (s)
v⃗ = 60 m/s
ความเร็ว คือ 60 m/s เคลอื่ นทไี่ ปทางทศิ ตะวันออก
ขน้ั ท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration)
1. นกั เรยี นร่วมกนั สรุปองคค์ วามรู้ เรื่อง อัตราเร็วและความเรว็ ลงในแผนผงั ความคิด
2. นักเรียนทำแบบฝึกหดั เร่ือง การหาอัตราเรว็ และความเร็ว ในเลม่ โจทย์ปัญหาทา้ ประลอง
3. นักเรยี นและครรู ว่ มกันอภิปรายและเฉลยแบบฝึกหัด และเปิดโอกาสให้นกั เรียนซักถามข้อ
สงสัย ทนี่ ักเรยี นยังไม่เขา้ ใจเก่ียวกับเรือ่ งทเ่ี รียน
ขนั้ ท่ี 5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation)
1. ครูประเมนิ นกั เรียนโดยการใช้คำถาม
คำถาม - อัตราเร็วเฉลี่ย และอัตราเร็วขณะหนึ่งหมายถึงอะไร (แนวคำตอบ:
อัตราเร็วขณะหนึ่ง (Instantaneous speed : vt) เป็นการหาค่าอัตราเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วงใด
ช่วงหนงึ่ ของการเคลือ่ นที่ อัตราเร็วเฉลี่ย (Average speed : vav)เป็นการหาค่าอัตราเร็วในช่วงเวลา
หน่ึงท่กี ำลงั พจิ ารณา โดยคำนวณหาจากการเฉล่ยี ระยะทางท้ังหมดของการเคล่ือนทใ่ี นหนงึ่ หนว่ ยเวลา
ของการเคล่อื นท)่ี
30
- อัตราเร็วและความเร็วเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ:
อัตราเร็วและความเร็วมีหน่วยเป็น m/s อัตราเร็ว เป็นปริมาณสเกลาร์ อัตราส่วนระยะทางต่อเวลา
ส่วนความเรว็ เป็นปรมิ าณเวกเตอร์ อตั ราส่วนการกระจัดตอ่ เวลา)
- อัตราเร็ว ระยะทาง และเวลา มีความสัมพันธ์กนอย่างไร (แนวคำตอบ:
การเคลื่อนที่ของวัตถุมีระยะทางเท่ากัน แต่ใช้เวลาต่างกัน ถ้าวัตถุไหนใช้เวลาน้อยกว่าจะมีอัตราเร็ว
มากกว่า แต่ถ้าวัตถุมีการเคลื่อนที่โดยใช้เวลาเท่ากัน ถ้าวัตถุไหนเคลื่อนได้ระยะทางมากกว่าจะมี
อัตราเร็วมากกวา่ )
6. ส่อื การเรยี นร/ู้ อุปกรณ/์ แหลง่ เรยี น
1. ใบกิจกรรม เร่อื ง ใครวง่ิ เรว็ กวา่ กนั
2. แผนผงั ความคิด เร่ือง อัตราเร็วและความเรว็
3. แบบฝึกหัด เร่อื ง การหาอตั ราเร็วและความเรว็ ในเล่มโจทย์ปัญหาท้าประลอง
4. PowerPoint หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 เรือ่ ง การเคลอ่ื นที่แนวตรง
7. การวดั และประเมนิ ผล
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวดั เครือ่ งมอื ทีใ่ ช้ เกณฑก์ ารประเมนิ
1. อธิบายความหมายอัตราเร็วเฉลยี่ - การถาม-ตอบ - แบบสงั เกตพฤติกรรม ผ่านเกณฑ์การ
ประเมินร้อยละ 70
อัตราเรว็ ขณะหน่งึ ความเรว็ เฉล่ีย และ - การแสดงความคิดเห็น รายบคุ คล
ความเรว็ ขณะหนงึ่ ของวตั ถุ (K) - ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝกึ หดั
- การทำกจิ กรรม - ใบกจิ กรรม
2. สามารถคำนวณหาอตั ราเร็วเฉล่ยี - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝกึ หดั
อตั ราเรว็ ขณะหน่ึง ความเร็วเฉลีย่ และ - การถาม-ตอบ - แบบสังเกตพฤติกรรม
ความเรว็ ขณะหนึ่งของวัตถุ (P) รายบุคคล
3. มีความสนใจใฝร่ ู้หรอื อยากรอู้ ยาก - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม
เห็น และทำงานรว่ มกบั ผอู้ ่นื อยา่ ง - การสง่ งานตรงเวลา รายบุคคล
สรา้ งสรรค์ (A)
4. การคำนวณ และลงความคิดเห็น - สังเกตพฤติกรรมการ - แบบฝึกหัด
จากข้อมูล ทำงาน - แบบสังเกตพฤติกรรม
(ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร)์ - การถาม-ตอบ รายบคุ คล
- ตรวจแบบฝกึ หัด