The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by IYaKhup LP, 2020-05-28 03:13:23

ภูมิศาสตร์กายภาพ

eBook

ภมู ิศาสตรก์ ายภาพ

จิตคปุ ต์ ละอองปลิว

สาขาวิชาสงั คมศึกษา คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบงึ

2

บทที่ 1
ความเป็นมาและความหมายของภูมศิ าสตร์กายภาพ

ภูมิศาสตร์กายภาพเป็นศาสตร์ที่เก่าแก่ศาสตร์หนึ่ง เริ่มปรากฏในงานเขียนยุคแรกๆ ของ
นักวิชาการชาวจีนและกรีก ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 และปรากฏเป็นศาสตร์อย่างชัดเจนในช่วง
ศตวรรษที่ 18 (พวงเพชร์ ธนสนิ , 2555: 3)

ภูมิศาสตร์กายภาพ เป็นการศึกษารูปลักษณ์ทางธรรมชาติที่เป็นสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ซ่ึง
นักภูมิศาสตร์กายภาพจะมงุ่ สนใจไปยังสารประกอบทางบรรยากาศทมี่ อี ิทธิพลตอ่ ผวิ โลก ลมฟ้าอากาศ
และภูมิอากาศ การตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของดิน และพืชพรรณธรรมชาติ ความผันแปรของ
แหล่งน้ำบนพื้นโลก ลักษณะความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของภมู ิ
ประเทศที่มีต่อมนุษย์ ดังนั้นสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดข้างต้นจัดว่าเป็นเนื้อหาที่สำคัญของวิชา
ภูมิศาสตร์กายภาพ จึงสรุปได้ว่าภูมิศาสตร์กายภาพ เป็นการศึกษาเรื่องราวของสิ่งแวดล้อมและ
ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศทางธรรมชาติ (วชิ ยั เทียนนอ้ ย, 2536: 14)

นักภูมิศาสตร์กายภาพจะพยายามนำเอาข้อเท็จจริง แนวความคิด และวิธีการจาก
นักวิทยาศาสตร์ด้านดาราศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ และชีววิทยา มาใช้ในการศึกษาสภาพแวดล้อมทาง
กายภาพและชีวภาพ นอกจากนี้ยังนำกฎเกณฑ์ทางอุตุนิยมวิทยามาใช้ศึกษาการเคลื่อนไหวของ
อากาศ นำหลักการทางธรณีวิทยามาใชอ้ ธิบายลกั ษณะภมู ิประเทศแบบต่างๆ นำองค์ประกอบการเกิด
ดินในศาสตร์ปฐพีวิทยามาใช้อธิบายชนิดดิน และนำเอาแง่คิดจากศาสตร์ชีววิทยาเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
ของพืชและสัตวม์ าช่วยในการอธิบายเก่ียวกบั การกระจายของพืชพรรณและสตั ว์ตา่ งๆ เป็นตน้

1.1 ความหมายของภูมิศาสตรก์ ายภาพ
Webster’s Dictionary ได้ให้ความหมายของ Physical Geography หรือภูมิศาสตร์

กายภาพว่า เป็นวิชาที่ศึกษาถึงโครงสร้างและปรากฏการณ์บนพื้นโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะท่ี
เห็นในปัจจุบัน รวมไปถึงลักษณะภูมิประเทศ กระแสน้ำ ภูมิอากาศ และการกระจายตัวของพืชและ
สัตว์

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของภูมิศาสตร์กายภาพว่า
เปน็ ภมู ิศาสตร์แขนงหนึ่ง ศกึ ษาเน้นหนกั ในเร่อื งลกั ษณะและการเปล่ียนแปลงทางธรรมชาตทิ ่ีแวดล้อม
ตวั มนุษย์

3

National Research Council ให้ความหมายของภูมิศาสตร์กายภาพว่า เป็นศาสตร์ท่ี
เกี่ยวข้องกับวิชาย่อยๆ หลายวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 วิชาหลักๆ คือ ภูมิศาสตร์ชีวภาค
(Biogeography) ภูมิอากาศวิทยา (Climatology) และภูมิสัณฐานวิทยา (Geomorphology)
(พวงเพชร์ ธนสนิ , 2555: 5)

Slaymaker and Spencer (1998 อ้างในพวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 5) กล่าวว่า ภูมิศาสตร์
กายภาพเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับระบบย่อยทั้ง 4 ของโลก คือ (A) บรรยากาศภาค (Atmosphere)
(B) ชีวภาค (Biosphere) (H) อุทกภาค (Hydrosphere) และ (L) ธรณีภาค (Lithosphere) เป็น
ศาสตร์ที่ศึกษาถึงการซ้อนทับกันหรือคาบเกี่ยวกันระหว่างระบบย่อยทั้ง 4 ของโลก และยังศึกษาถึง
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างระบบย่อยทั้ง 4 ของโลกภายในระบบเปิด ซึ่งมี Input ของพลังงาน สสาร และ
กจิ กรรมของมนษุ ย์ และมี Output เป็นผลกระทบทางสง่ิ แวดลอ้ ม

Strahler and Strahler (1977 อ้างในพวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 7) ได้ให้ความหมายของ
ภูมิศาสตร์กายภาพว่า เป็นวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่ง ศึกษาเกี่ยวกับพื้นผิวโลกว่ามีการเปลี่ยนแปลงได้
อย่างไร และทำไมหรือเหตใุ ดถงึ มีการเปลย่ี นแปลง ศาสตร์นี้จะม่งุ เน้นไปยงั พนื้ ทท่ี เ่ี รียกวา่ Life Layer
หรือชั้นสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นชั้นพื้นผิวตื้นๆ ที่แผ่นดินและมหาสมุทรจดกับบรรยากาศ และเป็นที่ซ่ึง
สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ของโลกอาศัยอยู่ ชั้นสิ่งมีชีวิตจะเป็นอาณาบริเวณพื้นผิวของแผ่นดินรวมไปถึง
บรเิ วณพน้ื ผวิ ของมหาสมุทรลงไปถึงระดับความลกึ 100 เมตร หรอื 300 ฟุต (ภาพท่ี 1.1)

ภาพที่ 1.1 ชน้ั สิ่งมีชวี ติ (Life Layer)
ท่มี า: Rye (2016)

4

1.2 องคป์ ระกอบของภมู ศิ าสตรก์ ายภาพ
Strahler and Strahler (1977 อ้างในพวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 7) อธิบายว่า ภูมิศาสตร์

กายภาพมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ บรรยากาศภาค (Atmosphere) อุทกภาค (Hydrosphere) ธรณี
ภาค (Lithosphere) และชีวภาค (Biosphere)

บรรยากาศภาค หมายถึง ส่วนของก๊าซที่ห่อหุ้มโลก ซึ่งได้รับความร้อนความชื้นจาก
พื้นผิวโลก แล้วกระจายและส่งกลับความร้อนความชื้นบางส่วนมายังพื้นผิวโลก ชั้นบรรยากาศยังให้
ธาตทุ ่สี ำคัญ คอื คารบ์ อน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน ซ่ึงมคี วามสำคญั ต่อสิง่ มีชีวติ บนโลก

อุทกภาค หมายถึง ส่วนของน้ำทกุ รปู แบบทพ่ี บบนโลก ปรมิ าณน้ำส่วนใหญ่ที่พบบนโลก ใน
มหาสมุทร ในบรรยากาศ ในธรณีภาคมกี ารพบน้ำในบริเวณชั้นบนของแผ่นดนิ ในรปู แบบของน้ำผิวดนิ
ทะเลสาบ และแม่น้ำลำธาร บริเวณชั้นล่างของแผ่นดินในรูปแบบของน้ำใต้ดิน ซึ่งน้ำมีความสำคัญตอ่
สิง่ มชี ีวติ บนโลก

ธรณีภาค หมายถึง ส่วนที่เป็นของแข็งของโลก ทำหน้าที่รองรับสิ่งมีชีวิตบนโลก หินจะเป็น
ต้นกำเนิดของดิน ซึ่งเป็นแหล่งของธาตุอาหาร ซึ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต ธรณีภาคจะถูกธรรมชาติ
สร้างสรรค์ให้เกิดลักษณะภูมิประเทศแบบต่างๆ เช่น ภูเขา เนินเขา ที่ราบ ซึ่งกลายเป็นถิ่นที่อยู่อาศัย
(Habitat) สำหรับพืช สตั ว์ และมนษุ ย์

ชวี ภาค หมายถงึ สง่ิ มชี ีวิตทกั ชนดิ ทพี่ บบนโลก ส่ิงมชี วี ติ ไดใ้ ช้ก๊าซในบรรยากาศ นำ้ จากอทุ ก
ภาค และธาตุอาหารจากธรณีภาค จะเห็นได้ว่าชีวภาคจะต้องพึ่งพาอาศัยอีกทั้ง 3 ภาค แสดงถึง
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งท้งั 4 ภาค (ภาพท่ี 1.2)

เมื่อดูถึงความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศภาค อุทกภาค ธรณีภาค และชีวภาค กับชั้น
สิ่งมีชีวิตจะพบว่า ภาคทั้ง 4 จะมีการกระทำระหว่างกันหรือปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ภายในชั้น
สิ่งมีชีวิต โดยที่บนแผ่นดิน ชั้นสิ่งมีชีวิตเป็นบริเวณซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างชีวภาค ธรณีภาค และ
บรรยากาศภาค โดยที่อุทกภาคจะปรากฏบนแผ่นดินในรูปของฝน หิมะ ห้วย หนอง คลอง บึง
ทะเลสาบ และแม่น้ำลำธาร ในมหาสมุทรชั้นสิ่งมีชีวิตเป็นบริเวณซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างอุทกภาค
ชีวภาค และบรรยากาศภาค โดยที่ธรณีภาคจะปรากฏในมหาสมุทรในรูปของธาตุอาหารที่ละลายใน
บรเิ วณพ้นื ผิวของนำ้ ทะเล

จะเห็นได้ว่าภูมิศาสตร์กายภาพเป็นวิชาหนึ่งที่จะวางรากฐานความรู้ความเข้าใจทางด้าน
ธรรมชาติให้มนุษย์เรา นอกจากนี้แล้วเนื้อหาวิชาภูมิศาสตร์กายภาพยังจัดอยู่ในลักษณะของพื้นฐาน
พหุวทิ ยาการ (Multidisciplinary Basis) ซ่ึงเกยี่ วข้องกับศาสตร์อื่นๆ อีกมากมาย

5

ภาพท่ี 1.2 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งบรรยากาศภาค อทุ กภาค ชวี ภาค และธรณภี าคของโลก
ทีม่ า: Tiddy (2016)
บทสรปุ

มนุษย์จะมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับโลกอยู่ตลอดเวลา และ
การกระทำของธรรมชาตินี้เองที่ทำให้สภาพแวดล้อมของมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น การศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ลักษณะภูมิประเทศทางธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโลก
สามารถทำความเข้าใจผ่านการเรียนวิชาภูมิศาสตร์กายภาพ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเรียนเกี่ยวกับ
4 ภาคของโลก ทั้งบรรยากาศภาค อุทกภาค ธรณีภาค และชีวภาค นักศึกษาควรทำความเข้าใจ
เกี่ยวกับความเป็นมาและความหมายของภูมิศาสตร์กายภาพเสียก่อน เพื่อให้เกิดความกระจ่างใน
ขอบข่ายของวชิ านี้อย่างแท้จรงิ เนื่องจากวิชาภมู ิศาสตร์กายภาพเปน็ ศาสตร์ทก่ี วา้ งและซบั ซอ้ น ศึกษา
ตั้งแต่ระบบสุริยจักรวาล การเกิดดาวเคราะห์โลก ความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์และ
ดวงจันทร์ โครงสร้างของโลก เปลือกโลก การเกิดลักษณะภูมิประเทศต่างๆ องค์ประกอบของน้ำ
ประเภทของแหล่งน้ำธรรมชาติ ส่วนประกอบของบรรยากาศ เขตภูมิอากาศโลก รวมถงึ ส่งิ มีชวี ิตต่างๆ
ที่อยู่บนโลก ทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาและความหมาย
ของภูมิศาสตร์กายภาพจะช่วยให้นักศึกษาประยุกต์ใช้วิชาภูมิศาสตร์กายภาพเข้ากับชีวิตประจำวันได้
เป็นอย่างดี

6

คำถามท้ายบท
1. ภูมิศาสตร์กายภาพมคี วามหมายวา่ อยา่ งไร
2. ภูมิศาสตรก์ ายภาพมอี งคป์ ระกอบอะไรบา้ ง
3. นักศึกษาสามารถนำวิชาภูมิศาสตร์กายภาพไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร จงอธิบาย

โดยละเอยี ด

เอกสารอ้างอิง
พวงเพชร์ ธนสนิ . (2555). ภมู ศิ าสตร์กายภาพแนวบูรณาการ. (3-7). ภาควชิ าภมู ิศาสตร์

คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่. (เอกสารอัดสำเนา).
วชิ ยั เทยี นน้อย. (2536). ภมู ิศาสตรก์ ายภาพ เลม่ 1. (14). กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.์
Rye, L. (2016). Field; Contextualization. Retrieved November 10, 2016, from Web

site: https://lilyryefineart.wordpress.com/2016/02/06/field-context.
Slaymaker, O., and Spencer, T. (1998). Physical Geography and Global

Environmental Change. New York: Addison Wesley Longman Limited.
Strahler, A.H., and Strahler, A.N. (1977). Geography and Man’s Environment.

New York: John Wiley & Son.
Tiddy, Julie. (2016). Carmel Earth as a System. Retrieved November 10, 2016, from

Web site: https://www.tes.com/lessons/Gd4NEq4ouyu3sw/carmel-earth-as-a-
system.

7

บทที่ 2
ระบบสรุ ิยะ

มนษุ ย์พยายามทุกวิถีทางเพ่อื ศกึ ษาความเปน็ มาของจักรวาล นักดาราศาสตรศ์ กึ ษาอายุของ
ระบบสุริยะ โดยนำหินจากดวงจันทร์มาวิเคราะห์การสลายตัวของสารกัมมันตภาพรังสี ทำให้ทราบวา่
อายุของระบบสุริยะ นับตั้งแต่เริ่มเกิดจากฝุ่นละอองก๊าซน่าจะมีอายุไม่เกิน 5,000 ล้านปี และเชื่อว่า
โลก ดวงจันทร์ และอกุ กาบาต มอี ายปุ ระมาณ 4,000 ล้านปี

ส่งิ ทีน่ ่าสนใจเก่ียวกับการกำเนิดระบบสรุ ิยะท่ีปรากฏอยใู่ นท้องฟา้ ทไ่ี รข้ อบเขตก็คือ มที ฤษฎี
ที่เชื่อว่าระบบสุริยะเกิดจากการที่มีดาวดวงหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามาชนดวงอาทิตย์ ทำให้ก๊าซต่างๆ หลุด
ออกมาจากดวงดาวและดวงอาทติ ย์ ก๊าซเหลา่ น้จี ะค่อยๆ เย็นตวั ลง และรวมตัวกันเข้าเปน็ ดาวเคราะห์
และเทห์ฟากฟ้า อีกทฤษฎที ่มี ผี ้ยู อมรบั กันอยา่ งกวา้ งขวางเกยี่ วกับการกำเนดิ โลกและดาวเคราะห์อ่นื ๆ
ในระบบสุริยะก็คือ เมื่อดวงอาทิตย์เกิดขึน้ เนื่องมาจากการทดและรวมตัวเข้าสู่ศนู ย์กลางของกลุม่ ก๊าซ
ส่วนของกลุ่มก๊าซเบาบางเหลืออยู่โดยรอบจะถูกตัดขาดออกจากกัน และต่อมาจะค่อยๆ รวมตัว
กลายเป็นดาวเคราะห์และเทห์ฟากฟ้าอื่นๆ ที่มีวิถีการโคจรรอบดวงอาทิตย์ (วิชัย เทียนน้อย, 2536:
17) อีกทฤษฎีท่ีน่าสนใจก็คือ กำเนิดของระบบสรุ ิยะสืบเนื่องมาจากการระเบดิ ของดาวขนาดใหญ่มาก
(Supernova Explosion หรือ Big Bang) เป็นสาเหตุทำให้เกิดการรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนของฝุ่น
และก๊าซ โดยการรวมตัวกันแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนในเป็นการรวมตัวของฝุ่นและก๊าซ เมื่ออุณหภูมิ
ลดลง แรงโน้มถ่วงจะดึงดูดใหฝ้ ุน่ และก๊าซมีการอัดตัวแน่นเกดิ ความร้อนและปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่แกน
ของก๊าซไฮโดรเจน เป็นก๊าซฮีเลียมและเกิดเป็นพลังงาน ส่วนนี้กลายเป็นดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะ
ส่วนฝุ่นและก๊าซส่วนที่เหลือ เมื่อเย็นตัวลงจะกลายเป็นดาวเคราะห์หมุนรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งดาว
เคราะห์เหล่านี้ประกอบไปด้วยของแข็ง เช่น ดิน หิน และปกคลุมด้วยก๊าซ ส่วนดาวเคราะห์ที่อยู่ห่าง
จากดวงอาทิตยม์ ากๆ จะเป็นกลมุ่ ก้อนกา๊ ซทมี่ ขี นาดใหญ่มาก (ลักษณา สัมมานิธิ, 2544: 1)

เอกภพ (Universe) เป็นที่ว่างที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลจนไม่สามารถกำหนดขอบเขต
ได้ ในเอกภพประกอบด้วยหลายๆ กลุ่มดาว หรือเรียกว่า กาแล็กซี (Galaxy) ภายในกาแล็กซี
ประกอบด้วยดวงดาวมากมายหลายร้อยล้านดวง ทั้งดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ฝุ่น และกลุ่มเนบิวลา
เชน่ เดียวกบั กลุ่มดาวที่โลกเป็นสมาชิกอยู่ ไดแ้ ก่ กาแล็กซีทางช้างเผือก (Milky Way) สาเหตทุ ่ีเรียกวา่
กาแล็กซีทางช้างเผือก เนื่องจากเมื่อมองจากโลกไปยังกาแล็กซีดังกล่าว จะมองเห็นท้องฟ้าเป็นทาง
ขาวคล้ายเมฆพาดยาวบนท้องฟ้าในเวลากลางคืน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่าทางช้างเผือกนี้มีดวงดาว
อยู่ประมาณแสนล้านดวง สำหรับระบบสุริยะ (ภาพที่ 2.1) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางช้างเผือก มีดวง
อาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีเทห์ฟากฟ้าหรือดวงดาวต่างๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ โดยดวงดาวทุกดวง

8

จะมีความเกี่ยวพันกันอยู่กับดวงดาวดวงหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ดวงจันทร์กับโลก โลกกับดวงอาทิตย์
เปน็ ตน้ (ลักษณา สมั มานธิ ,ิ 2544: 1)

ภาพท่ี 2.1 ระบบสุริยะ
ที่มา: Wikipedia (2013)

2.1 ความหมายของระบบสรุ ยิ ะ
ระบบสรุ ิยะ หมายถึง เทห์ฟากฟา้ ทุกชนิดท่ีมคี วามเกีย่ วขอ้ งและผกู พันอยู่กบั ดาวดวงใดดวง

หนึ่งโดยเฉพาะ มีดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งท่ีศูนย์กลางของระบบสุริยะ (วิชัย เทียนน้อย,
2536: 16)

ระบบสุริยะ (Solar System) คือ ระบบการโคจรของดวงอาทิตย์และเทห์ฟากฟ้า
(Celestial Objects) จำนวนมากมายซง่ึ หมนุ วนอยรู่ อบดวงอาทติ ย์ เทห์ฟากฟา้ เหลา่ น้ี ได้แก่ ดาว
เคราะห์ (Planets) ดาวบริวารของดาวเคราะห์ (Satellites) ดาวเคราะห์น้อย (Asteroids) ดาวหาง
(Comets) และเทห์ฟากฟ้าต่างๆ ในอวกาศระหว่างดาวเคราะห์ อันได้แก่ สะเก็ดดาว (Meteor) และ
อุกกาบาต (Meteorite) (พวงเพชร์ ธนสนิ , 2555: 15)

2.2 องค์ประกอบของระบบสุริยะ
ระบบสุริยะเป็นระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ จำนวน 8 ดวง และ

ดาวบริวารมากกว่า 48 ดวง นอกจากน้ันยังประกอบด้วย ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง สะเก็ดดาว และ
อุกกาบาตโคจรรอบรอบดวงอาทิตย์เป็นรูปวงรี จากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกหรือทวนเข็ม
นาฬกิ า อธบิ ายไดด้ ังนี้

9

1.2.1 ดวงอาทิตย์ (Sun) หมายถึง ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสสารขนาดใหญ่ที่มี
อุณหภูมิสูงและมีการแผ่รังสีความร้อนออกจากตัวโดยรอบ แหล่งพลังงานในดวงอาทิตย์เกิดจาก
ปฏิกิริยาหลอมรวมทางเทอร์โมนิวเคลียร์ (Thermonuclear Fusion Reaction) ณ บริเวณใจกลาง
ของดวงอาทิตย์ ปฏิกิริยานี้เกิดจากการที่นิวเคลียร์ของธาตุที่เบากว่าหลอมรวมติดกันเป็นนิวเคลียส
ของธาตุซึ่งมีมวลอะตอมสูงขึ้น ซึ่งการทำปฏิกิริยาเช่นนี้จะทำให้มวลส่วนหนึ่งของสสารที่เข้าทำ
ปฏกิ ริ ยิ าหายไป มวลทห่ี ายไปจะแปรเปน็ พลังงานความร้อน

ดวงอาทิตย์ประกอบด้วยไฮโดรเจน ร้อยละ 70 ฮีเลียม ร้อยละ 28 และอีกร้อยละ 2 เป็น
ธาตุอื่นๆ โดยบริเวณศูนย์กลางของดวงอาทิตย์อุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านองศาเซลเซียส ซึ่งเกิดจาก
ไฮโดรเจนรวมตัวกันกับฮีเลียม และปลดปล่อยพลังงานออกมา นักดาราศาสตร์ได้สังเกตดูดวงอาทิตย์
ขณะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงพบเห็นการระเบิดของกลุ่มก๊าซที่ผิวดวงอาทิตย์มาก และเห็นเปลวก๊าซ
ร้อนพวยพุ่งจากผวิ ดวงอาทิตย์ไปไกลถึง 2 ล้านกิโลเมตร ช่วงที่เกิดการระเบิดน้ีอุณหภมู ิบนพื้นผิวของ
ดวงอาทิตย์จะสูงถึง 5 ล้านองศาเซลเซียส เป็นเวลา 2-3 นาที จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงจนมืดเป็น
เวลานานประมาณ 1 ชั่วโมง กลายเป็นจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sunspot) หมายถึง พื้นที่ส่วนหนึ่งบน
ชั้นโปโตสเฟียร์ของดวงอาทิตย์ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณโดยรอบและมีสนามแม่เหล็กที่มีความ
ป่นั ปว่ นสงู ขดั ขวางกระบวนการพาความรอ้ นบนพนื้ ผิวดวงอาทติ ย์ เกิดเป็นพนื้ ท่ที มี่ คี วามเข้มของแสง
ต่ำกว่าบริเวณโดยรอบหรือมืดกว่าอาณาบริเวณทั่วไป จุดเหล่านี้จะมีขนาดและจำนวนจุดไม่แน่นอน
บางปีมีมาก บางปีมีน้อย จุดจุดดับบนดวงอาทิตย์นี้ใช้เป็นหลักฐานอันหนึ่งที่แสดงว่าดวงอาทิตย์
หมุนรอบตวั เอง

1.2.2 ดาวเคราะห์ (Planets) หมายถึง เทห์ฟากฟ้าที่มีขนาดเล็กและไม่มีแสงสว่างใน
ตัวเอง ต้องอาศัยแสงสว่างและพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์มีทั้งหมด 8 ดวง คือ
ดาวพุธ ดาวศกุ ร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวมฤตยู และดาวสมทุ ร

ในอดีตคนสมัยโบราณรู้จักดาวเคราะห์จริงๆ เพียง 5 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร
ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ เนื่องจากมองจากโลกจะเห็นด้วยตาเปล่าเพียง 5 ดวง เมื่อประกอบกับ
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะรวมเป็นวันทั้ง 7 ในสัปดาห์ ซึ่งดาวทั้ง 7 น้ี มีอิทธิพลกับดวงชะตาชีวิต
ของคนตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ ส่วนดาวเคราะห์อีก 2 ดวง คือ ดาวมฤตยูและดาวสมุทร
ถูกค้นพบภายหลัง ทั้งน้ีชือ่ ของดาวเคราะห์ท้ัง 7 ยกเว้นโลก ถูกตั้งช่ือตามเทพของชาวกรกี เพราะเชอ่ื
ว่าเทพเหล่านน้ั อยบู่ นสรวงสวรรค์และเปน็ ทีเ่ คารพบูชาแตโ่ บราณกาล

ดาวเคราะห์ทุกดวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ไปทางเดียวกัน คือ จากตะวันตกไปตะวันออก
หรือทวนเข็มนาฬิกา นอกจากนี้แล้วดาวเคราะห์ทุกดวงยังหมุนรอบตัวเอง (Rotation) ไปพร้อมกับ
การโคจรรอบดวงอาทิตย์ ระวิ สงวนทรัพย์ (2532 อ้างในพวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 21) ได้ให้
ความหมายของการหมุนรอบตัวเองว่า หมายถึงการที่วัตถุหมุนรอบแนวแกนสมมติที่อยู่ภายในตัวเอง

10

ส่วนการโคจร (Revolution) หมายถึง การเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ทั้งดวงไปรอบวัตถุอื่นหรือจุดอ่ืน
ภายนอกตวั เอง

การจัดกลุ่มของดาวเคราะห์ ประพันธ์ เตละกุล (2534 อ้างในพวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 21)
ไดก้ ลา่ วว่ามวี ิธกี ารจำแนกดังน้ี

(1) ใช้ตำแหน่งของโลกเป็นหลัก ดาวเคราะห์ดวงใดมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ภายใน
วงโคจรของโลก เรียกว่า ดาวเคราะห์วงใน (Inferior Planets) ประกอบด้วย ดาวพุธและดาวศุกร์
ส่วนดาวเคราะห์ดวงใดมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่นอกวงโคจรของโลกออกไป เรียกว่า ดาวเคราะห์
วงนอก (Superior Planets) ประกอบด้วย ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวมฤตยู และดาว
สมทุ ร

(2) ใช้ตำแหน่งของดาวเคราะห์น้อยเป็นหลัก แบ่งดาวเคราะห์ออกเป็น 2 พวก
ดาวเคราะห์ที่มีวงโคจรอยู่ภายในวงโคจรของดาวเคราะห์น้อย เรียกว่า ดาวเคราะห์ใน ( Inner
Planets) ประกอบไปด้วย ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร ส่วนดาวเคราะห์ที่มีวงโคจรรอบดวง
อาทิตยอ์ ยู่นอกวงโคจรของดาวเคราะห์นอ้ ย เรยี กวา่ ดาวเคราะห์นอก (Outer Planets) ประกอบด้วย
ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวมฤตยู และดาวสมทุ ร

(3) ใชค้ ณุ สมบตั ิทางฟิสกิ ส์เปน็ หลกั ดาวเคราะหใ์ ดทม่ี คี ุณสมบัตทิ างฟิสิกส์คลา้ ยคลงึ กับ
โลก เช่น มีขนาดเล็ก มีความหนาแน่นสูง มีความเร็วหลุดพ้นต่ำ มีเวลาหมุนรอบตัวเองนาน และมี
ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารไม่กี่ดวง ถูกจัดให้อยู่ในพวกเดียวกัน เรียกว่า ดาวเคราะห์แข็ง (Terrestrial
Planets) ประกอบด้วย ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร และดาวพลูโต ส่วนดาวเคราะห์ที่มี
คุณสมบัติทางฟิสิกส์คล้ายคลึงกับดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ เช่น มีขนาดใหญ่ มีความหนาแน่นต่ำ มี
ความเร็วหลุดพ้นสูง มีเวลาหมุนรอบตัวเองสั้น เส้นผ่านศูนย์กลางมีการโป่งออก มีบรรยากาศหนา
และมีดวงจันทร์เป็นดาวบริวารหลายดวง เรียกว่า ดาวเคราะห์ก๊าซ (Jovian Planets) ประกอบด้วย
ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน

คุณลักษณะของดาวเคราะห์ดวงอื่น นอกเหนือจากโลก Scott (1989 อ้างในพวงเพชร์
ธนสิน, 2555: 22) (ตารางท่ี 2.1) ได้กลา่ วสรปุ ไวด้ งั นี้

(1) ดาวพุธ (Mercury) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด มีอุณหภูมิ
พนื้ ผิวสูงมากและไมม่ ีบรรยากาศ เนือ่ งจากเป็นดาวเคราะหท์ ีม่ ขี นาดเลก็ ส่งผลให้มแี รงดึงดูดน้อย หาก
สังเกตด้วยตาเปล่าจะเห็นดาวพุธได้ตอนใกล้ค่ำและรุ่งเช้า ดาวพุธไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร ใช้เวลา
หมุนรอบตัวเอง 59 วนั และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 88 วัน

(2) ดาวศุกร์ (Venus) เป็นดาวเคราะห์ที่นักดาราศาสตร์ เรียกว่า น้องสาวของโลก
(Sister of the Earth) เพราะมีส่วนคล้ายคลึงโลกมาก ดาวศุกร์มีบรรยากาศที่หนาแน่นมาก มีความ
ดันของบรรยากาศที่พื้นผิวสูงกว่าโลกถึง 90 เท่า บรรยากาศของดาวศุกร์เต็มไปด้วยก๊าซ

11

คาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 97 และไนโตรเจน ร้อยละ 2 นอกจากนี้ยังพบน้ำและออกซิเจนอยู่
เล็กน้อย เนื่องจากบรรยากาศของดาวศุกร์มีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่มากทำให้ดูดซับรังสีจากดวง
อาทิตย์ได้สูง ส่งผลให้อุณหภูมิพื้นผิวของดาวศุกร์สงู ถึง 480 องศาเซลเซียส ดาวศุกร์สามารถมองเห็น
ได้ด้วยตาเปล่าเช่นกัน โดยเห็นได้ทางทิศตะวันตกในเวลาใกล้ค่ำ เรียกว่า ดาวประจำเมือง (Evening
Star) ส่วนช่วงเช้ามืดปรากฏให้เห็นทางทิศตะวันออก เรียกว่า ดาวรุ่ง (Morning Star) มักสังเกตเห็น
ดาวศุกร์มีแสงสว่างมาก (ภาพที่ 2.2) เนื่องจากมีชั้นบรรยากาศที่ประกอบไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์
มากจึงดูดซับความร้อนที่พื้นผิวได้ดี ดาวศุกร์ไม่มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร ใช้เวลาหมุนรอบตัวเอง
243 วนั และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 226 วัน

ภาพที่ 2.2 การปรากฏใหเ้ หน็ ทางทิศตะวนั ออกของดาวศุกรช์ ่วงเช้ามดื (ดาวร่งุ )
ท่ีมา: Kumar (2014)

ตารางท่ี 2.1 ขอ้ มูลดาวเคราะห์ท้งั 8 ดวงในระบบสุรยิ ะ

ดาวเคราะห์ ระยะห่างจากดวงอาทติ ย์ เวลาในการโคจรรอบ เวลาในการหมุน ดาวบรวิ าร
รอบตัวเอง (ดวง)
(ล้านกโิ ลเมตร) ดวงอาทิตย์ (ปี) 59 วนั 0
243 วัน 0
ดาวพธุ 58 0.24 1 วนั 1
1 วัน 2
ดาวศกุ ร์ 108 0.62 9.50 ช่วั โมง 63+
10.39 ช่วั โมง 49+
โลก 150 1 17.18 ช่ัวโมง 6
18 ชวั่ โมง 2
ดาวอังคาร 228 1.88

ดาวพฤหัสบดี 778 11.86

ดาวเสาร์ 1,472 29.46

ดาวมฤตยู 2,870 84.01

ดาวสมุทร 4,486 164.97

ทมี่ า: พวงเพชร์ ธนสนิ (2555: 23)

12

(3) ดาวอังคาร (Mars) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 4 มี
อุณหภมู พิ ืน้ ผิวประมาณ -50 องศาเซลเซยี ส บรรยากาศของดาวองั คารคล้ายคลงึ กับดาวศกุ ร์ กล่าวคอื
มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นองค์ประกอบหลัก ร้อยละ 95 ไนโตรเจน ร้อยละ 3 อาร์กอน ร้อยละ
1.5 ออกซิเจน ร้อยละ 0.25 และไอน้ำปะปน บริเวณขั้วของดาวอังคารจะปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ซึ่งอาจ
มีที่มาจากน้ำหรือคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากอุณหภูมิของพื้นผิวต่ำกว่าจุดเยือกแข็งของน้ำ กรณีท่ี
ดาวองั คารมลี กั ษณะใกลเ้ คียงกับโลก คือ ระยะเวลาในการหมุนรอบตวั เอง 1 วนั

(4) ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มี
บรรยากาศหนา 1,000 กิโลเมตร ก่อให้เกิดแรงกดดันบรรยากาศมากจนทำให้สสารทั้งหลายมีสถานะ
เป็นก๊าซ นอกจากนี้แล้วดาวพฤหัสบดียังมีแรงดึงดูดมากกว่าโลกถึง 2.5 เท่า บรรยากาศด้านนอก
ประกอบด้วยกา๊ ซไฮโดรเจน ร้อยละ 80 ฮีเลียม ร้อยละ 19 และมีเทน แอมโมเนีย ไอน้ำ ร้อยละ 1 ใช้
เวลาในการหมุนรอบตัวเอง 9.5 ชั่วโมง และโคจรรอบดวงอาทิตย์ 12 ปี มีดวงจันทร์เป็นดาวบริวาร
มากถึง 16 ดวง

(5) ดาวเสาร์ (Saturn) เป็นดาวเคราะห์ที่มีวงแหวนล้อมรอบ เป็นอนุภาคเล็กๆ หลาย
ชนิดที่หมุนรอบดาวเสาร์ บรรยากาศของดาวเสาร์ประกอบด้วย ไฮโดรเจนเป็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 89
และฮีเลียม ร้อยละ 11 นอกจากนี้ยังพบมีเทน แอมโมเนีย และก๊าซอื่นๆ อยู่บ้าง ในบรรยากาศด้าน
นอกใกล้ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางของดาวเสาร์จะมีลมพัดแรงจัด ความเร็วลมมากถึง 500 เมตรต่อวินาที
ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับดาวเคราะห์ดวงอื่น บริวารของดาวเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เรียกว่า ไททัน
(Titan) ดาวเสารใ์ ชเ้ วลาหมุนรอบตวั เอง 10.4 ชัว่ โมง และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 29 ปี

(6) ดาวมฤตยู (Uranus) เป็นดาวเคราะห์ที่ประกอบด้วยก๊าซและของเหลว ใช้เวลา
หมุนรอบตัวเอง 17.2 ชว่ั โมง และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 84 ปี มีดวงจนั ทร์เป็นดาวบริวาร 6 ดวง

(7) ดาวสมุทร (Neptune) เป็นดาวเคราะห์ที่มีระยะเวลาในการหมุนรอบตัวเอง 18
ชว่ั โมง และโคจรรอบดวงอาทติ ย์ 165 ปี มดี วงจันทรเ์ ป็นดาวบรวิ าร 2 ดวง

1.2.3 ดาวบริวาร (Satellites) มลี ักษณะคล้ายดวงจนั ทร์ทโ่ี คจรรอบโลก ดาวบรวิ ารเหล่านี้
มวี ถิ ีการโคจรรอบดาวเคราะหด์ วงใดดวงหน่ึงในระบบสุรยิ ะ

1.2.4 ดาวเคราะห์น้อย (Asteroids) เป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็ก มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อย
กวา่ 800 กิโลเมตร

1.2.5 ดาวหาง (Comets) เป็นเทห์ฟากฟ้าที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ แนวการโคจรโดยปกติ
จะคงที่ ดาวหางไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ที่สว่างขึ้นเนื่องจากรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้ดาว
หางบางส่วนเกิดการระเบิดกลายเป็นก๊าซและแผ่กระจายออกโดยรอบ ส่วนประกอบที่สำคัญของดาว
หาง มี 2 ส่วน คือ ส่วนหัว (Coma) ประกอบด้วยอนุภาคต่างๆ และหมอกอันเกิดจากก๊าซและน้ำแข็ง
ตรงส่วนหัวกลายเป็นไอเมื่อโคจรใกล้ดวงอาทิตย์ ตรงกลางส่วนหัวจะมีใจกลาง ( Nucleus)

13

ประกอบด้วยน้ำแข็งและก๊าซ ส่วนหาง (Tail) จะแผ่จากส่วนหัวยาวออกไปทางด้านตรงข้ามกับดวง
อาทิตย์เสมอ เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ หางก็ยาว เพราะวัตถุของแข็งเมื่อถูกรังสีความร้อนจาก
ดวงอาทิตย์เผาไหม้จะกลายเป็นก๊าซ เมื่อโคจรห่างดวงอาทิตย์หางจะหดสั้นเข้ามีลักษณะโค้ง ทั้งนี้
เพราะหางส่วนนอกเคลือ่ นทช่ี า้ กวา่ สว่ นใจกลาง (ภาพที่ 2.3)

ภาพที่ 2.3 ส่วนประกอบของดาวหาง
ทมี่ า: Geek (2017)

1.2.6 สะเก็ดดาว (Meteor) หรือดาวตก (Shooting Star) เป็นเทห์ฟากฟ้าที่มีขนาดเล็ก
และกระจดั กระจายอยูท่ ัว่ ไปในระบบสุรยิ ะ เทหฟ์ ากฟา้ เหล่านี้เมือ่ เคล่ือนท่เี ข้าสบู่ รรยากาศของโลกจะ
เกิดการเผาไหม้เป็นประกายแสงสวา่ งปรากฏขน้ึ มา ดาวตกเกดิ จากสะเก็ดดาวเคราะห์ดวงอืน่ ๆ ท่ีหลุด
ออกจากวงโคจรตามปกตแิ ละเมือ่ โคจรเขา้ ใกลโ้ ลก แรงดึงดูดของโลกจะดูดสะเก็ดเหลา่ นน้ั ให้ผ่าน ชัน้
บรรยากาศตกลงมายังโลก ระหว่างเคลื่อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามายังโลกจะเกิดการเสียดสี เผา
ไหม้ ทำให้เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะเห็นเป็นแสงสว่างลุกวาบบนท้องฟ้า สำหรับปรากฏการณ์ ฝน
ดาวตก (Meteor Shower) เป็นปรากฏการณ์ที่คนบนโลกมองเห็นแนวเส้นสว่างมากมายพาดผ่าน
ท้องฟา้ ยามค่ำคนื เปน็ ระยะๆ เกดิ ข้ึนจากการท่โี ลกโคจรฝา่ เข้าไปในกลุ่มฝุ่นอุกกาบาต ซ่ึงโดยมากจะมี
ต้นกำเนิดมาจากดาวหางที่เคยโคจรผ่านเข้ามาในระบบสุริยะชั้นในและทิ้งกลุ่มฝุ่นอุกกาบาตเหล่าน้ี
ตามแนวโคจร ตัวอย่างฝนดาวตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและอาจเป็นฝนดาวตกกลุ่มสำคัญกลุ่มแรกที่มี
การบันทึกไว้ คอื ฝนดาวตกลโี อนิดส์ (Leonids) (ภาพท่ี 2.4)

1.2.7 อุกกาบาต (Meteorite) เป็นดาวตกที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่หมดและตกลงมายังพนื้
โลก ประกอบด้วย เหล็กและนิเกิลเป็นส่วนใหญ่ อุกกาบาตตกลงมายังพื้นโลกมากมาย สำหรับหลุม
อุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ค้นพบชื่อว่าหลุมอุกกาบาตแบริงเจอร์ ( Barringer) พบที่รัฐแอริโซนา

14
สหรัฐอเมริกา มีความกว้าง 4,660 ฟุต ลึก 629 ฟุต เกิดจากการตกของอุกกาบาตขนาด 50,000 ตัน
ตกลงมายงั พืน้ ผิวโลก (ภาพที่ 2.5)

ภาพที่ 2.4 ฝนดาวตกลีโอนดิ ส์
ทม่ี า: Stevens (2014)

ภาพท่ี 2.5 หลุมอกุ กาบาตแบรงิ เจอร์ รฐั แอริโซนา สหรฐั อเมริกา
ทม่ี า: Pavils (2013)
2.3 โลก

โลก (Earth) เปน็ ดาวเคราะห์ดวงเดียวทีม่ ีสิ่งมชี วี ติ อาศยั อยู่ เนือ่ งจากมีช้นั บรรยากาศและมี
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ท่ีเหมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตและการดำรงชีวติ ของส่ิงมีชวี ติ โลกเป็น ดาว
เคราะห์แข็งขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 3 จากดาวเคราะห์ทั้ง 8 ดวง ที่มี
ระยะหา่ งจากดวงอาทิตยเ์ ฉล่ยี ประมาณ 150 ลา้ นกโิ ลเมตร

15

2.3.1 ววิ ฒั นาการทางความเชื่อเก่ยี วกบั สณั ฐานของโลก
คนไทยโบราณเชื่อว่าโลกมีลักษณะเป็นแผ่นกลมแบนที่โผล่ขึ้นอยู่กลางทะเลและ

ล้อมรอบด้วยนำ้ ทะเล แผ่นโลกนี้อยู่บนหลงั ของปลาอานนท์ 2 ตัว หากปลาอานนท์บิดขีเ้ กยี จกจ็ ะเกิด
แผน่ ดนิ ไหว

ชาวฮินดูเชื่อว่าโลกเป็นแผ่นดินที่มีช้างหลายเชือกรองรับอยู่ ซึ่งช้างจะยืนอยู่บนหลังเต่า
(ชาวฮินดูเชื่อว่าเต่าคือพระวิษณุ) และเต่าจะนอนอยู่บนวงขนดของพญานาคที่แผ่ครอบคลุมท้องฟ้า
ของโลกไว้ วันดีคืนดหี ากพญานาคพน่ นำ้ ลายจะกลายเป็นฝนหรือหากขยับตัวก็จะเกดิ แผ่นดนิ ไหว

ชาวอยี ปิ ตโ์ บราณเชอื่ ว่าโลกคือร่างของเทพเจา้ ผชู้ ายทีก่ ำลังนอนหลบั ท้องฟา้ คอื รา่ งของ
เทพเจ้าผู้หญิงและยงั มีเทพเจ้าแหง่ ดวงอาทิตยป์ ระทบั อยู่บนเรอื แล่นไปมา

ชาวกรีกโบราณที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของนักดาราศาสตร์เชื่อว่าท้องฟ้าเป็น
ทรงกลมขนาดใหญ่ มีโลกเป็นศูนย์กลาง โดยซีกหนึ่งของท้องฟ้าจะมืดและจะประกอบไปด้วยดวงดาว
แบง่ ออกเปน็ ดาวนิ่งหรือดาวฤกษ์และดาวเคลือ่ นทห่ี รือดาวเคราะห์ สว่ นอีกซีกหน่ึงสว่างด้วย ดวง
อาทิตย์ ท้องฟ้าหมุนรอบโลกทำใหส้ ว่ นที่มดื เป็นกลางคนื ส่วนท่ีสว่างเป็นกลางวันหมนุ สลบั กันเร่ือยไป

ความเชื่อของนักปราชญ์โบราณหลายท่าน อาทิ Thales (640 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
เชื่อว่าโลกมีสัณฐานแบน Pythagorus (600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เชื่อว่าโลกมีสัณฐานกลมเหมือนกับ
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ดวงอื่น Aristotle (400 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เชื่อว่าโลกมี
รูปร่างกลมและยังเป็นศูนย์กลางของเอกภพ Eratosthenes (200 ปีก่อนคริสต์ศักราช) บิดาแห่ง
ภมู ิศาสตร์และเป็นบุคคลแรกทีค่ ำนวณเสน้ รอบวงของโลกไดใ้ กล้เคยี งกบั ความจริงมากที่สุดเชอ่ื ว่าโลก
เปน็ ทรงกลม (พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 29)

ปัจจุบันวิทยาการสมัยใหม่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าโลกมีสัณฐาน 2 แบบ คือ
รูปทรงแบบทรงรีที่ขั้วทั้งสองยุบ (Oblate Ellipsoid) เมื่อโลกมีการหมุนรอบตัวเองจะทำให้เกิดแรง
เหวี่ยง จึงทำให้เกิดการยุบตัวบริเวณขั้วทั้งสองและทำให้บริเวณศูนย์สูตรป่องออกไปโดยรอบ
หลักฐานคือความยาวรอบเส้นศูนย์สูตร (แนวนอน) 12,757 กิโลเมตร ที่มากกว่าความยาวขั้วโลกจาก
เหนือมาจรดขั้วโลกใต้ (แนวดิ่ง) 12,714 กิโลเมตร และรูปทรงแบบยีออยด์ (Geoid) กล่าวคือ โลกมี
รูปทรงเกือบกลม พื้นผิวโลกขรุขระ บริเวณภาคพื้นทวีปจะสูงนูน ส่วนท้องทะเลจะลดต่ำเป็นผลมา
จากกระบวนการทางธรรมชาติที่กระทำทั้งภายในโลกและภายนอกโลก ทำให้พื้นผิวโลกมีภูมิสัณฐาน
(Landform) ที่แตกตา่ งกัน (ลกั ษณา สมั มานิธ,ิ 2544: 8) (ภาพท่ี 2.6)

16

ภาพท่ี 2.6 สณั ฐานของโลก ข้อมลู
ทม่ี า: Fraczek (2003)
12,714 กิโลเมตร
ตารางท่ี 2.2 ข้อมูลที่สำคัญของโลก 12,757 กโิ ลเมตร
1,083 x 1027 ลบ.ซม.
รายการ 5.98 x 1027 กรัม
5.52 กรัม/ ลบ.ซม.
เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางข้ัวโลก 333,432 : 1
เสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางเส้นศนู ยส์ ตู ร 81.45 : 1
ปรมิ าตร 365.25 วนั
มวล (น้ำหนัก) 23 ชม. 56 นาที 4.09 วินาที
ความหนาแน่นเฉลย่ี 147 ลา้ นกโิ ลเมตร
อัตราสว่ นมวลของดวงอาทิตย์ตอ่ โลก 152 ลา้ นกิโลเมตร
อตั ราส่วนมวลของโลกตอ่ ดวงจันทร์ 150 ลา้ นกโิ ลเมตร
ระยะเวลาในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 510 x 106 ตารางกิโลเมตร
ระยะเวลาในการหมนุ รอบตวั เอง 4,000 – 5,000 ลา้ นปี
ระยะหา่ งจากดวงอาทติ ย์น้อยท่สี ุด
ระยะห่างจาดวงอาทิตย์มากทีส่ ดุ
ระยะห่างจากดวงอาทิตยเ์ ฉลี่ย
พืน้ ทร่ี วม
อายุ

ทมี่ า: พวงเพชร์ ธนสิน (2555: 32)

17

2.3.2 การเคลื่อนไหวของโลก
(1) การหมุนรอบตัวเอง เป็นการเคลื่อนไหวของโลกรอบแกนตัวเองหรือหมุนครบรอบ

360 องศา ในแนวทิศทางทวนเข็มนาฬกิ า โดยแกนโลกจะเอียงทำมุม 23.5 องศาในแนวดิ่งกบั ทิศ
เหนือจริง (ภาพที่ 2.7) ปรากฏการณ์การหมุนของโลกทำให้เกิดกลางวันและกลางคืนรวมกันเรียกว่า
วัน ซึ่งแบ่งออกเป็น วันดาราคติ (Sidereal Day) หมายถึง โลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 23 ชั่วโมง 56
นาที 4.09 วินาที และวันสุริยคติ (Solar Day) หมายถึง ระยะเวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่านเส้นเม
ริเดียนหนึ่งครบ 1 รอบ ใช้เวลา 24 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 2 ส่วนเท่ากัน ส่วนละ 12 ชั่วโมง อัตรา
ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลก บริเวณศูนย์สูตรความเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลก
เทา่ กับ 1,700 กิโลเมตร/ ชวั่ โมง สว่ นละตจิ ดู ท่ี 60 องศา ความเร็วของการหมุนรอบตัวเองของโลกจะ
มีค่าประมาณ 850 กิโลเมตร/ ชั่วโมง หรือประมาณครึ่งหนึ่งของความเร็วที่ศูนย์สูตร ส่วนบริเวณ
ขว้ั โลกความเร็วในการหมนุ รอบตัวเองของโลกมีค่าเป็นศูนย์

ภาพที่ 2.7 การหมุนรอบตัวเองของโลก
ท่ีมา: NASA (2008)

ปรากฏการณ์ท่เี กดิ จากการหมุนรอบตัวเองของโลกมีดังนี้
(1.1) การเกิดกลางวันกลางคืน กล่าวคือ เมื่อเกิดการหมุนรอบตัวเองของโลก ด้าน

ทห่ี ันหน้าเขา้ หาดวงอาทติ ยจ์ ะทำให้เกดิ กลางวนั ส่วนดา้ นท่ีหันหลงั ใหด้ วงอาทติ ย์จะเปน็ เวลากลางคืน
ในขณะที่โลกหมุนรอบตัวเองจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกหรือทวนเข็มนาฬิกา จะทำให้เห็น
ดวงอาทิตย์ข้ึนมาจากขอบฟา้ ทางทิศตะวนั ออกและตกทางทิศตะวันตกเสมอ (ภาพท่ี 2.8)

18

ภาพท่ี 2.8 การเกดิ กลางวนั กลางคนื
ทม่ี า: NASA (2001)

(1.2) การเกิดแสงอรุณแสงสนธยา กล่าวคือ โมเลกุลหรืออนุภาคต่างๆ ภายใน
บรรยากาศ ทำให้เกิดการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์กลับมายังพื้นโลกช่วงเวลาก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น
และหลังดวงอาทิตย์ตกดิน ทำให้มองเห็นท้องฟ้าเป็นสีแดง เนื่องจากแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ใน
ลักษณะลาดเอียงไม่ได้ตั้งฉากเหมือนตอนกลางวัน ทำให้แสงสีน้ำเงินและสีเหลืองมีการหักเหของแสง
มาก สว่ นสีแดงมีการหกั เหของแสงนอ้ ยจึงมองเห็นท้องฟา้ เป็นสแี ดงในชว่ งเวลาดังกล่าว (ภาพที่ 2.9)

ภาพท่ี 2.9 การเกิดแสงอรุณแสงสนธยา
ที่มา: NASA (2001)

(2) การโคจรรอบดวงอาทิตย์ วงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์มีลักษณะเป็นวงรี
(Ellipse) จากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกหรือหมุนทวนเข็มนาฬิกา ประกอบกับแกนโลกเอียงทำมุม
23.5 องศาในแนวดิ่งกับทิศเหนือจริง มีผลทำให้ตำแหน่งต่างๆ ของโลกที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มี

19

ความแตกต่างกัน คือ ระยะห่างของโลกที่โคจรใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด 147 ล้านกิโลเมตร โดยจะ
ตรงกับวันที่ 3 มกราคม เรียกว่า พสุสงกรานต์เหนือ (Perihelion) หมายถึง ช่วงที่พื้นดินส่วนใหญ่อยู่
ทางเหนือ ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า ในวันดังกล่าวโลกจะโคจรตามวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์
ประกอบกับแกนโลกเอียง ทำให้ขั้วโลกเหนือไม่ได้รับแสงในแนวดิ่งจากดวงอาทิตย์มากเท่าขั้วโลกใต้
ส่วนวันที่โลกโคจรห่างดวงอาทิตย์มากที่สุด เรียกว่า วันพสุสงกรานต์ใต้ (Aphelion) ซึ่งตรงกับวันท่ี
4 กรกฎาคม โดยระยะห่างของโลกท่ีโคจรหา่ งดวงอาทติ ย์มากทสี่ ุด 152 ลา้ นกิโลเมตร โดยใน วงโคจร
ระยะที่โลกจะเคลื่อนที่ลงมาทางทิศตะวันตกประกอบกับแกนโลกเอียง ทำให้พื้นดินส่วนใหญ่ของ
ขัว้ โลกเหนอื ได้รับแสงดง่ิ จากดวงอาทิตยม์ ากทสี่ ดุ

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากกล่าวโดยเฉลี่ยแล้วโลกจะมีแนวการโคจรห่างจากดวงอาทิตย์
ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ทำให้เกิดปี (Year) ซึ่งการนับเวลาท่ี
โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ หรือ 1 ปี มีวิธีการพิจารณาหลายแบบด้วยกัน หากพิจารณา
จากความสัมพันธ์ของการโคจรของโลกกับดวงดาว เรียกว่า ปีดาราคติ (Sidereal Year) แต่ถ้า
พิจารณาจากวงโคจรของโลกที่สัมพันธ์กันระหว่างแนวเส้นศูนย์สูตรและดวงอาทิตย์ ซึ่งจะมีเวลา
เท่ากับ 365 วัน 5 ชั่วโมง 48 นาที 45.68 วินาที เรียกว่า ปีสุริยคติ (Solar Year) และหากพิจารณา
จากปีสุริยคติ ซึ่งมีระยะเวลาเท่ากับ 365 วันกับอีก ¼ วัน จะเห็นว่าเมื่อครบ 4 ปี จะมีจำนวนวันเพิ่ม
ขึน้ มา 1 วนั ทุกๆ 4 ปี ดงั นน้ั ในเดือนกุมภาพนั ธ์ของทกุ 4 ปี จึงมี 29 วนั

2.4 ความสัมพันธ์ระหว่างโลกกบั ดวงอาทติ ย์
แกนโลกเอียงทำมุม 23.5 องศาในแนวดิ่งกับทิศเหนือจริง ทำให้การเคลื่อนที่ของโลก

โดยเฉพาะแกนโลกจะชี้ไปยังจุดใดจุดหนึ่งบนท้องฟ้าเพียงจุดเดียว แกนโลกด้านหนึ่งจะเอนเข้าหา
ดวงอาทิตย์ ส่วนแกนอีกด้านหนึ่งจะเอนออกห่างจากดวงอาทิตย์เสมอ ซึ่งผลจากการโคจรของโลก
รอบดวงอาทิตย์จะทำใหเ้ กดิ ปรากฎการณต์ ่างๆ ดังน้ี (ลกั ษณา สัมมานธิ ิ, 2544: 12)

(1) ความผันแปรของระยะเวลากลางวันและกลางคืน สืบเนื่องมาจากแกนโลกเอียงจึงทำ
ให้เกิดความผันแปรความยาวนานของกลางวันและกลางคืน เมื่อโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์และ
แกนโลกเอียง ในฤดูหนาวซีกโลกเหนือจะไม่ได้รับแสงดิ่งจากดวงอาทิตย์มีผลทำให้ความยาวนานของ
ระยะเวลากลางคืนเพิ่มมากถึง 24 ชั่วโมง ในทางตรงข้ามในฤดูร้อนซีกโลกเหนือจะได้รับแสงดิ่งจาก
ดวงอาทิตย์มาก ทำให้ความยาวนานของเวลากลางวันเพิ่มมากถึง 24 ชั่วโมง จึงเกิดดินแดนแห่ง
พระอาทติ ย์เท่ยี งคนื ข้ึน

20

(2) การเกิดฤดูกาล (Seasons) การเกิดฤดกู าลจะแปรผันโดยตรงกับปริมาณของความร้อน
ที่โลกได้รับจากดวงอาทิตย์ จำนวนฤดูกาลที่เกิดบนพื้นโลกในส่วนต่างๆ จะมีระยะเวลาและจำนวน
ฤดูกาลแตกต่างกัน ซึ่ง Lutgens and Tarbuck (1998 อ้างในพวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 42) สรุป
ฤดกู าลในซกี โลกเหนือและซกี โลกใต้ไว้ 4 ฤดูกาล ดังภาพที่ 2.10

ภาพที่ 2.10 ฤดกู าลในซกี โลกเหนือและซีกโลกใต้
ทีม่ า: DAILYPOST (2010)
2.5 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งโลกกบั ดวงจนั ทร์

ดวงจันทร์ (Moon) เป็นดาวบริวารของโลก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3,480 กิโลเมตร มี
มวลเป็น 1 ใน 8 ของโลก วถิ กี ารโคจรของดวงจนั ทร์รอบโลกเปน็ วงรี (ภาพที่ 2.11) เชน่ เดยี วกับทีโ่ ลก
โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มีระยะการโคจรห่างจากโลกเฉลี่ย 385,000 กิโลเมตร มีระยะการ
โคจรห่างจากโลกมากที่สุด 406,000 กิโลเมตร เรียกตำแหน่งที่อยู่ห่างจากโลกมากที่สุดว่า แอโพจี
(Apogee) ส่วนระยะการโคจรใกล้โลกมากที่สุด 357,000 กิโลเมตร เรียกตำแหน่งที่อยู่ใกล้โลกมาก
ที่สุดว่า เพริจี (Perigee) วิถีการโคจรของดวงจันทร์จะหมุนทวนเข็มนาฬิกา บริเวณพื้นผิวของ
ดวงจันทร์เต็มไปด้วยภูเขา ที่ราบ และหุบเหวต่างๆ จากการวิเคราะห์หินและดินบนดวงจันทร์ ทำให้
ทราบวา่ วตั ถุต่างๆ ไมไ่ ดอ้ ยู่ในสภาพแวดลอ้ มทม่ี ีออกซเิ จนและนำ้ ดวงจันทรจ์ งึ ไม่มสี ่งิ มีชีวิตอาศัยอยู่

21

ภาพที่ 2.11 การโคจรของดวงจนั ทร์รอบโลก
ทมี่ า: QuantumPhoenix (2013)

การโคจรของดวงจันทร์รอบโลกทำให้เกิดเดือนต่างๆ ตามแต่ละหลักการอ้างอิง หากอาศัย
ดวงดาวเป็นตำแหน่งอ้างอิงในการหมุนรอบโลกของดวงจันทร์ พบว่า 1 รอบ ใช้เวลา 27.32166 วัน
เรียกว่า เดือนดาราคติ (Sidereal Month) หากอาศัยดวงอาทิตย์เข้ามาเกี่ยวข้องในการหมุนรอบโลก
พบวา่ 1 รอบ ใชเ้ วลา 29.5 วัน เรียกวา่ เดือนจันทรคติ (Synodic Month) เดอื นจันทรคตจิ ะต่างจาก
เดือนดาราคติ โดยเดือนดาราคติจะมีระยะเวลาที่แน่นอนกว่า ในขณะที่เดือนจันทรคติจะอาศัย
ความสัมพันธ์ของวิถีการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงทำให้ตำแหน่งของ
ดวงจันทร์แต่ละวันต่างกันออกไป สำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดจากการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์มี
ดังนี้

(1) การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง (Tide) เกิดจากแรงดึงดูดระหว่างโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์
ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างแรงดึงดูด ระยะทาง ซึ่งเมื่อพิจารณาพบว่า ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลก
และดวงจันทร์มาก ดังนั้นอิทธิพลการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงจะเกิดจากดวงจันทร์มากกว่า ดวงจันทร์มีแรง
ดึงดูดน้ำในที่ต่างๆ ไม่เท่ากัน คือ น้ำที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์จะได้รับแรงดึงดูดมากกว่าน้ำที่อยู่ไกลออกไป
ณ ทแี่ ห่งหนง่ึ จะมนี ้ำขึ้นน้ำลงวันละสองครั้ง กรณที ี่โลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่ในแนว
เดียวกัน ในวันนี้ระยะระหว่างความสูงของการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงจะต่างกันมากหรือเรียกว่าน้ำเกิด
(Spring Tide) ตรงกับแรม 15 ค่ำ และขึ้น 15 ค่ำของทุกเดือน แต่ถ้าหากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มี
แรงดึงดูดที่กระทำต่อโลกเป็นมุมฉาก ระยะระหว่างความสูงของการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงจะต่างกันน้อย
หรอื เรียกว่าน้ำตาย (Neap Tide) ตรงกับแรม 8 ค่ำ และขนึ้ 8 คำ่ ของทกุ เดือน (ภาพท่ี 2.12)

22

ภาพที่ 2.12 อทิ ธพิ ลของดวงจนั ทรต์ ่อการเกดิ นำ้ เกิดและน้ำตาย
ทม่ี า: Postma (2010)

(2) การเกิดเดือนมืดหรือเดือนดับ (New Moon) ตรงกับแรม 15 ค่ำ เกิดจากดวงจันทร์
และดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้าด้านเดียวกัน แนวเดียวกัน เนื่องจากดวงจันทร์มีขนาดเล็กและระนาบ
โคจรเอียง ดวงจันทร์จะหันด้านมืดเข้าหาโลก คนบนโลกมองไม่เห็นดวงจันทร์จึงเรียกว่าเดือนมืดหรือ
เดือนดับ (ภาพที่ 2.13)

(3) การเกดิ วนั เพญ็ (Full Moon) ตรงกบั ขึน้ 15 ค่ำ เกดิ จากดวงจันทรแ์ ละดวงอาทิตย์อยู่
คนละด้านกัน ดวงจนั ทรจ์ ะปรากฏใหเ้ ห็นสวา่ งทง้ั ดวงเรียกวา่ วันเพ็ญ (ภาพท่ี 2.13)

(4) การเกิดข้างขึ้น (Waxing) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างคืนเดือนมืดจนถึงคืนวันเพ็ญ โดย
ใช้ด้านสว่างของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรก ขึ้น 1-7 ค่ำ เรียกว่า
Waxing Crescent ดวงจันทร์จะปรากฏเป็นเสี้ยวสว่างบางๆ จนถึงเกือบครึ่งดวง โดยหันด้านสว่างไป
ทางด้านใกล้ดวงอาทิตย์ด้านทิศตะวันตก จะเห็นอยู่บนท้องฟ้าด้านทิศตะวันตกตอนหัวค่ำ ช่วงที่สอง
ขึ้น 8 ค่ำ เรียกว่า First Quarter หรือจันทร์ครึ่งดวง เกิดจากดวงจันทร์ทำมุม 90 องศา ระหว่างโลก
กับดวงอาทิตย์ เริ่มเห็นจับขอบฟ้าตั้งแต่เวลาเที่ยงวันและเริ่มมองเห็นได้ในตอนกลางวันเพราะมีเสี้ยว
ค่อนข้างใหญ่ แล้วจะตกลับขอบฟ้าในตอนเที่ยงคืน และช่วงที่สาม ขึ้น 9-15 ค่ำ เรียกว่า Waxing
Gibbous ดวงจันทร์จะปรากฏด้านสว่างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มดวง มองเห็นได้ในตอนกลางวันทาง
ขอบฟา้ ดา้ นทศิ ตะวนั ออกตงั้ แต่เท่ยี งวนั (ภาพที่ 2.13)

(5) การเกิดข้างแรม (Waning) เป็นช่วงที่เกิดข้ึนระหว่างคืนวนั เพ็ญจนถึงคนื เดือนมืด โดย
ใช้ด้านมืดของดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรก แรม 1-7 ค่ำ เรียกว่า
Waning Gibbous จะเห็นด้านสว่างของดวงจันทร์ค่อนข้างมาก และเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนถึงครึ่งดวง

23

เห็นไดต้ ัง้ แต่ตอนหวั คำ่ จนถงึ เทยี่ งคนื ด้านทิศตะวันออก ช่วงที่สอง แรม 8 ค่ำ เรยี กว่า Third Quarter
หรือจันทร์ครึ่งดวงครั้งสุดท้าย เกิดจากดวงจันทร์ทำมุม 90 องศา ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์อีกคร้ัง
เริ่มเห็นจับขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนและตกลับฟ้าในตอนเที่ยงวันของอีกวันหนึ่ง
ช่วงที่สาม แรม 9-15 ค่ำ เรียกว่า Waning Crescent ดวงจันทร์จะปรากฏเป็นเสี้ยวตั้งแต่ครึ่งดวง
จนถึงเสี้ยวบางๆ เห็นได้ค่อนข้างดึกจนถึงใกล้รุ่งเช้า โดยหันด้านเสี้ยวสว่างเข้าหาดวงอาทิตย์ด้านทิศ
ตะวนั ออก (ภาพที่ 2.13)

ภาพท่ี 2.13 อิทธพิ ลของดวงจันทรต์ อ่ การเกดิ เดอื นมืด วันเพญ็ ข้างขน้ึ และขา้ งแรม
ทีม่ า: Matthews (2017)

(6) การเกิดสุริยุปราครา (Solar Eclipse) เกิดจากตำแหน่งร่วม (Conjunction) ของการ
โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกันของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ทำให้เงาของดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์
เอาไว้ในเวลากลางวัน แต่มีโอกาสเกิดข้ึนน้อยมาก เนื่องจากดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์มาก
สำหรับการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง (Total Eclipse of Sun) เกิดได้เนื่องจากตำแหน่งการโคจรของ
ดวงจันทรเ์ ข้ามาใกล้โลกมาก เงามืดของดวงจันทร์จึงบงั ดวงอาทติ ย์ไดเ้ ตม็ ดวง

(7) การเกดิ จนั ทรปุ ราคา (Lunar Eclipse) เกดิ จากตำแหนง่ รว่ ม (Conjunction) ของการ
โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกันของดวงจันทร์ โลก และดวงอาทิตย์ ทำให้เงาของโลกบังดวงจันทร์และ
เนื่องจากเงาของโลกยาว เมื่อดวงจันทร์โคจรผ่านเงาของโลก คนที่อาศัยบนโลกจึงมองเห็น
จันทรุปราคาต่างกัน เช่น ถ้าดวงจันทร์โคจรผ่านมาในเงามืดทั้งดวง เรียกว่าจันทรุปราคา ( Total
Eclipse) แตถ่ า้ โคจรเฉยี ดเงามดื จะเกดิ เพยี งจันทรปุ ราคาบางส่วน (Partial Eclipse) เปน็ ต้น

24

ภาพที่ 2.14 อิทธิพลของดวงจนั ทรต์ ่อการเกดิ สุรยิ ปุ ราคาและจันทรปุ ราคา
ทีม่ า: Nesvold (2014)

บทสรปุ
การเกิดระบบสุริยะและการเกิดโลกมีทฤษฎีมารองรับหลายทฤษฎี ซึ่งทฤษฎีที่มีได้รับการ

ยอมรับมากที่สุด คือ ทฤษฎีการระเบิดอย่างรุนแรงของดาวฤกษ์ หรือ Big Bang Theory ออกมา
จับกลุ่มก้อนหลอมรวมกลายเป็นดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์น้อย ดาวบริวาร ดาวหาง สะเก็ดดาว และ
ฝุ่นละอองต่างๆ ในกาแล็กซีทางช้างเผือก โดยมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ปัจจุบัน
ดาวเคราะหใ์ นระบบสุรยิ ะมที ง้ั สิ้น 8 ดวง ไดแ้ ก่ ดาวพุธ ดาวศกุ ร์ โลก ดาวองั คาร ดาวพฤหัสบดี ดาว
เสาร์ ดาวมฤตยู และดาวสมุทร ท้งั นโี้ ลกเป็นดาวเคราะห์เพยี งดวงเดียวทม่ี ีส่ิงมีชวี ิตอาศยั อยู่ เน่ืองจาก
มีบรรยากาศที่ประกอบด้วยก๊าซออกซิเจนและมีน้ำสำหรับการเจริญเติบโตและดำรงชีวิตของสิ่งมชี ีวิต
ทุกชนิด นักวิชาการจำนวนมากพยายามศึกษารูปร่างของโลกโดยมีสมมติฐาน 2 แบบ คือ รูปทรงรี
และรูปทรงยีออยด์ ดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลกคือดวงจันทร์ มีขนาดเล็กว่าโลกถึง 8 เท่า
โลกหมุนรอบตัวเองในทิศทวนเข็มนาฬิกาเช่นเดียวกับที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โคจร
รอบโลก โลกเอียงทำมุม 23.5 องศาในแนวดิ่งกับทิศเหนือจริง การหมุนรอบตัวเองของโลกและการ
โคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์มีแรงดึงดูดและก่อให้เกิดปรากฏการณ์สำคัญมากมาย ยกตัวอย่างการ
หมุนรอบตัวเองของโลกกอ่ ให้เกิดกลางวนั กลางคืนและแสงอรุณแสงสนธยา การโคจรของโลกรอบดวง
อาทิตย์ก่อให้เกดิ ฤดูกาล ส่วนการโคจรของดวงจนั ทร์รอบโลกก่อใหเ้ กิดน้ำขึน้ น้ำลง คืนเดือนมืดคืนวัน
เพญ็ ข้างขึ้นขา้ งแรม และสุรยิ ุปราคาจนั ทรปุ ราคา เป็นตน้

25

คำถามทา้ ยบท
1. ระบบสรุ ยิ ะหมายถึงอะไร
2. ระบบสุรยิ ะเกดิ ขนึ้ ไดอ้ ย่างไร
3. ระบบสุริยะมอี งค์ประกอบอะไรบา้ ง จงอธิบายมาโดยละเอยี ด
4. ดาวเคราะหโ์ ลกมีรูปทรงแบบใดบา้ ง
5. ดาวเคราะหโ์ ลกเอยี งทำมุมกอี่ งศาและหมุนในทิศทางใด
6. การหมุนรอบตัวเองของโลกก่อให้เกดิ ปรากฏการณ์ใดบ้างและเกิดขึ้นได้อยา่ งไร
7. การโคจรรอบดวงอาทิตย์ของโลกก่อให้เกิดปรากฏการณ์ใดบา้ งและเกดิ ขนึ้ ได้อย่างไร
8. การโคจรรอบโลกของดวงจนั ทร์กอ่ ใหเ้ กิดปรากฏการณ์ใดบา้ งและเกดิ ข้ึนไดอ้ ย่างไร

เอกสารอ้างองิ
พวงเพชร์ ธนสิน. (2555). ภมู ศิ าสตร์กายภาพแนวบูรณาการ. (15-42). ภาควิชาภูมศิ าสตร์

คณะสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (เอกสารอัดสำเนา).
ลักษณา สัมมานิธิ. (2544). ภูมิศาสตร์กายภาพ. (8-12). ภาควิชาภูมิทัศน์และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้. (เอกสารอัดสำเนา).
วิชยั เทยี นนอ้ ย. (2536). ภมู ิศาสตร์กายภาพ เล่ม 1. (16). กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์.
DAILYPOST. (2010). Spring Equinox 2010-Vernal Equinox Today. Retrieved August 20,

2017, from Web site: http://dailypostal.com/2010/03/20/spring-equinox-2010-
vernal-equinox-today.
Fraczek, W. (2003). Mean Sea Level, GPS, and the Geoid. Retrieved August 20, 2017,
from Web site: http://www.esri.com/news/arcuser/0703/geoid1of3.html.
Geek, W. (2017). What is a comet?. Retrieved August 20, 2017, from Web site:
http://www.wisegeek.org/what-is-a-comet.html.
Kumar, A. (2014). How Do Venus and Mercury Act as Morning and Evening Star?.
Retrieved August 12, 2017, from Web site: http://astro-
interest.com/2014/07/how-do-venus-and-mercury-act-as-morning-and-
evening-star.
Matthews, S. (2017). General Meaning: New Moon. Retrieved July 30, 2017, from
Web site: http://www.universallifetools.com/2017/05/new-moon-super-
moon-may-25-26-2017-gemini.

26

NASA. (2001). Why is there day and night?. Retrieved July 25, 2017, from Web site:
https://starchild.gsfc.nasa.gov/docs/StarChild/questions/question31.html.

NASA. (2008). NASA photos of Earth and Moon labeled with some data on orbits
and tilts. Retrieved August 12, 2017, from Web site:
https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Earth-Moon.

Nesvold, E. (2014). Today’ s Partial Solar Eclipse. Retrieved August 10, 2017, from
Web site: https://astrobites.org/2014/10/23/todays-partial-solar-eclipse.

Pavils, G. (2013). METEOR CRATER (BARRINGER CRATER). Retrieved June 4, 2017,
from Web site:
http://www.wondermondo.com/Countries/NA/US/Arizona/Meteor.html.

Postma, M. (2010). BAY OF FUNDY TIDES: THE HIGHEST TIDES IN THE WORLD.
Retrieved July 25, 2017, from Web site:
https://www.bayoffundy.com/about/highest-tides.

QuantumPhoenix. (2013). SUPERMOON FACT & DATA FOR 2014-2020. Retrieved
August 12, 2017, from Web site: https://quantumphoenix.net/tag/lunar-
apogee-perigee-data.

Stevens, M. (2014). Leonid Meteor Shower Expected to Peak Late Monday Night
into Tuesday Morning. Retrieved June 4, 2017, from Web site:
http://www.latimes.com/local/lanow/la-me-ln-leonid-meteor-shower-
20141117-story.html.

Wikipedia. (2013). Solar System. Retrieved August 12, 2017, from Web site:
https://en.wikipedia.org/wiki/Solar_System.

27

บทที่ 3
ธรณภี าค

3.1 ความหมายของธรณีภาค
ธรณภี าค (Lithosphere) หมายถึง ส่วนท่ีเปน็ ของแขง็ ของโลก โลกเรามีววิ ัฒนาการมานาน

มาก โดยท่ีมอี ายุระหว่าง 4,600–5,000 ลา้ นปี พนื้ ผิวโลกมปี ระวตั คิ วามเปน็ มายาวนาน นกั ธรณีวทิ ยา
ได้ทำการศึกษาชั้นหินเปลือกโลก และพบว่ามีซากดึกดำบรรพ์ (Fossils) ปะปนอยู่กับหินชั้นหรือหิน
ตะกอน ซากสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสะสมตัวในช่วงระยะเวลาเดียวกันกับการสะสมตัวของ หินตะกอน
เหล่านั้น การตรวจสอบอายุของหินจึงได้อาศัยอายุของซากดึกดำบรรพ์ที่ฝังอยู่ในเนื้อหินนั้นเป็นหลัก
อายุของซากดึกดำบรรพ์ทราบได้จากการตรวจธาตุกัมมันตภาพรังสีที่อยู่ในซากดึกดำบรรพ์นั้น แล้ว
นำมาเทียบหาอายุว่าเก่าแก่เพียงใด กำหนดขึ้นเป็นจำนวนปี ได้มีการแบ่งช่วงระยะเวลาทางธรณีหรอื
ธรณกี าล (Geologic Time Scale) ออกเป็น 4 มหายคุ (Era) ในแตล่ ะมหายคุ จะมียคุ (Period) ยอ่ ยๆ
และในแตล่ ะยคุ จะแบง่ เป็นสมัยย่อยๆ อกี (พวงเพชร์ ธนสนิ , 2555: 204) (ภาพท่ี 3.1)

3.2 โครงสร้างของโลก
ทราบมาแล้วว่าโลกมีสัณฐานกลมหรือทรงรีแห่งการหมุน โดยขั้วโลกทั้งสองมีการยุบตัวลง

อันเนื่องมาจากแรงเหวี่ยงการหมุนของโลก และพื้นผิวของเปลือกโลกยังมีระดับความสูงที่แตกต่างกัน
รวมถึงพื้นมหาสมุทร จุดที่สูงทีส่ ุดของโลกอยู่บรเิ วณเทือกเขาหิมาลัยทีย่ อดเขาเอเวอรเ์ รสต์ มีความสูง
ประมาณ 8,848 เมตร และจุดที่ลึกที่สุดของพื้นมหาสมุทรอยู่ที่ร่องลึกมารีนา ความลึกประมาณ
10,997 เมตร นักวิทยาศาสตร์สามารถสันนิษฐานโครงสร้างและองค์ประกอบของโลกได้ จาก
การศึกษาทางด้านคลื่นความสั่นสะเทือนที่เกิดจากแผ่นดินไหว การทดลองในห้องปฏิบัติการโดย
การศึกษาสมบัติของคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านหินต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมการทำเหมืองแร่ของมนุษย์ การ
ขุดเจาะเปลือกโลกในระดับลึก โดยใช้วิธีการศึกษาทางธรณีฟิสิกส์ ทำให้มนุษย์ได้รับความรู้อย่างยิ่ง
เกี่ยวกับโครงสร้างของโลก ว่าโลกประกอบด้วยชั้นโครงสร้างที่มีสมบัติทางฟิสิกส์และเคมีเฉพาะ
ในแตล่ ะชน้ั (ลกั ษณา สัมมานธิ ิ, 2544: 23) สำหรบั อายุของโลก Strahler and Strahler (1996 อ้าง
ในพวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 204) กล่าวว่าหินที่เก่าที่สุดของโลก คือ หิน Acasta Gneiss พบทาง
ตะวันออกเฉียงเหนือของแคนาดา มีอายุ 4,030 ล้านปี หลักฐานหนึ่งที่บ่งบอกว่าโลกมีอายุประมาณ
4,000-5,000 ล้านปี

28

ภาพท่ี 3.1 ตารางธรณีกาล
ท่ีมา: Erick (2015)

29

จากการศึกษาของนักธรณีฟิสิกส์สามารถสรุปโครงสร้างของโลกตามสมบัติมวลสารของโลก
ได้วา่ โลกแบ่งออกเป็น 3 ชน้ั ดงั นี้

(1) เปลือกโลก (Crust) คือ ส่วนของแข็งชั้นนอกสุด ตั้งแต่ผิวโลกจนถึงความลึกประมาณ
70 กิโลเมตร และอยู่เหนือ Mohorovicic Discontinuity หรือเรียกย่อว่า แนวโมโฮ (Moho) ความ
ลึกของแนวโมโฮแต่ละแห่งบนผิวโลกไม่เท่ากัน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรก Continental
Crust หรือ Sial หรือ Granite Layer ประกอบด้วยหินแกรนิตเป็นหลัก พบได้ทั่วไปบริเวณเปลือก
โลกส่วนที่เป็นทวีป ประกอบด้วยซิลิกอนและอะลูมินา มีความหนาประมาณ 16-40 กิโลเมตร ส่วนที่
สอง Oceanic Crust หรือ Sima หรือ Basaltic Layer ประกอบด้วยหินบะซอลต์เป็นหลัก พบได้
ทั่วไปบริเวณเปลือกโลกที่เป็นพื้นมหาสมุทรและบริเวณรอยแยกของเปลือกโลกส่วนที่เป็นภูเขาไฟ
ประกอบด้วยซิลิกอนและแมกนีเซียม มีความหนาประมาณ 8 กิโลเมตร (ภาพที่ 3.2) และส่วนที่สาม
ส่วนบนสุดของเปลือกโลก ประกอบด้วยตะกอน ซึ่งผุพังมาจากหินอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้น เรียกว่า
ชั้นตะกอน ความหนาของชั้นหินตะกอนไม่สม่ำเสมอกัน บางบริเวณอาจมีตะกอนทับถมเป็นชั้นหนา
และบางบริเวณอาจไม่มีตะกอนเลย เมื่อถูกความร้อน แรงบีบอัด และปฏิกิริยาเคมีอาจถูกทำให้
แปรเปล่ยี นเป็นหนิ แปรได้

ภาพท่ี 3.2 เปลือกโลกเปน็ ส่วนหน่ึงของธรณีภาคประกอบดว้ ยเปลือกสมุทรและเปลอื กทวีป
ทมี่ า: Borilla (2015)

(2) เนื้อโลกหรือแมนเทิล (Mantle) เป็นชั้นที่อยู่ระหว่างเปลือกโลกกับแก่นโลกและอยู่ใต้
แนวโมโฮ หนาประมาณ 2,900 กิโลเมตร (ภาพที่ 3.3) ประกอบด้วยแมกนีเซียมและเหล็กเป็นส่วน
ใหญ่ เป็นของแข็ง ยกเว้นที่ความลึกประมาณ 70-260 กิโลเมตร หรือเรียกว่าฐานธรณีภาค
(Asthenosphere) ที่มีการหลอมละลายของหินเนื้อโลกเป็นบางส่วน เนื้อโลก ประกอบด้วยเนื้อโลก
ส่วนบน (Upper Mantle) เป็นหินอัคนีสีเข้ม และเนื้อโลกส่วนล่าง (Lower Mantle) เป็นสารจำพวก
ออกไซด์ (Oxide) และซลิ กิ อน (Silicate)

30

ภาพที่ 3.3 โครงสรา้ งของโลกตง้ั แตเ่ ปลอื กโลกถึงแก่นโลก
ทม่ี า: Ryazanov (2017)

(3) แก่นหรือแกนของโลก (Core) เป็นชั้นในสุดของโลกที่หนาแน่นมาก มีรัศมีประมาณ
3,440 กิโลเมตร ประกอบด้วยโลหะผสมระหว่างเหล็ก นิกเกิล และโคบอลต์ แก่นโลกมี 2 ชั้น คือ
แก่นโลกชั้นใน (Inner Core) เป็นของแข็งอยู่ในระดับความลึกจากผิวโลกระหว่าง 5,100 กิโลเมตร
กับจุดศูนย์กลางโลก และแก่นโลกชั้นนอก (Outer Core) เป็นของเหลว อยู่ในระดับความลึกจากผิว
โลกระหว่าง 2,900 กับ 5,100 กิโลเมตร (ภาพที่ 3.3) มีความหนาแน่นกว่าหินทั่วไปถึง 5 เท่า และมี
ความรอ้ นสูงถงึ 4,000 องศาเซลเซียส

3.3 หิน
เปลือกโลกเกือบทั้งหมดประกอบไปด้วยหนิ (Rock) หิน คือ ของแข็งที่ประกอบไปด้วยแรท่ ่ี

มากกว่าหนึ่งชนิดขึ้นไปและจัดเป็นวัตถุต้นกำเนิดของดิน หินเปลือกโลกแบ่งตามลักษณะการเกิด
(Mode of Occurrence) ได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนี (Igneous Rocks) เกิดจากการเย็นตัวลง
ของหินหนืด หินตะกอน (Sedimentary Rocks) เกิดจากการยืดรวมตัวกันของเศษหิน กรวด ทราย
และตะกอนทางเคมขี องแร่ต่างๆ ส่วนหนิ แปร (Metamorphic Rocks) เกดิ จากการแปรสภาพของหิน
เดิมโดยความร้อนและความกดดันภายใต้เปลือกโลก หินทั้งสามกลุ่มจะเปลี่ยนแปลงเป็นหินอื่นๆ ได้
อีก เรียกว่า วัฏจักรของหิน (Rock Cycle) เช่น หินหนืดเย็นตัวลงกลายเป็นหินอัคนี หินอัคนีผุพัง
เคลอ่ื นทีย่ า้ ยไปตกทบั ถมกนั กลายเปน็ หนิ ตะกอน หนิ ตะกอนเม่อื ไดร้ ับความรอ้ นและแรงกดดันภายใต้
เปลือกโลกก็จะแปรสภาพเป็นหินแปรต่อไป นอกจากนี้หินแปรและหินตะกอนเม่ือถูกหลอมละลาย
โดยความรอ้ นและความกดดนั สูง กจ็ ะกลายเป็นหินอคั นีได้อีกต่อไป (ภาพท่ี 3.4)

31

ภาพที่ 3.4 วัฏจักรของหนิ
ท่ีมา: Nace (2016)

3.3.1 หินอัคนี (Igneous Rocks) หินชนิดนี้เกิดจากการเย็นตัวลงของหินหนืด (Magma)
ใต้ผิวโลกที่แทรกตัวขึ้นมายังเปลือกโลก โดยมีส่วนผสมของแร่ซิลิเกตเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะของการ
เกิดหินอัคนีจะไม่เกิดติดต่อกันเป็นผืนใหญ่ แต่จะเกิดเป็นหย่อมๆ โดยทั่วไปถือว่าหินอัคนีจะอยู่ใต้ผิว
โลกอย่างน้อย 20 กิโลเมตรขึ้นไป เราจะสามารถจำแนกลักษณะของหินอัคนีตามการเกิดได้เป็น 2
ประเภท (ภาพที่ 3.5) ดงั นี้

(1) หินอัคนีภายนอกหรือหินอัคนีพุ (Extrusive Igneous Rock) เกิดจากมวลหินหนืด
หรอื ลาวา (Lava) โผลต่ วั ขนึ้ มากระทบกบั อากาศบนโลกแล้วเกดิ การเย็นตัวลงอย่างรวดเรว็ แร่
ประกอบในหนิ ไม่สามารถตกเป็นผลึกได้ทัน ลักษณะเนอื้ หนิ จึงมคี วามละเอียดมากกว่า บางชนิดมีเน้ือ
เป็นแก้ว บางชนิดมีรูพรุนเต็มไปหมด เนื่องจากการเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วทั้งที่ยังมีฟองอากาศอยู่
ภายในมากมาย สำหรับตัวอยา่ งหินอัคนีพุ ไดแ้ ก่

(1.1) หินออบซิเดียน (Obsidian) เกิดจากการไหลออกมาของลาวาและเกิดการเย็น
ตัวลงอย่างรวดเร็ว เนื้อหินจะมีความละเอียด มีสีน้ำตาลแก่ถึงดำ มีรอยแตกเป็นวาวเหมือนกับการ
แตกของแกว้ เรยี กอกี อยา่ งว่า แกว้ ภูเขาไฟ

(1.2) หินไรโอไลต์ (Rhyolite) เกิดจากการปะทขุ องภเู ขาไฟ ลกั ษณะหนิ เน้ือละเอียด
มแี ก้วธรรมชาติผสมอยู่มาก มสี อี อ่ นหรือสเี ทา

(1.3) หินแอนดีไซต์ (Andesite) เกิดจากการเย็นตัวของลาวาอย่างรวดเร็ว จึงมีเน้ือ
ละเอยี ด มีแรฟ่ ันมา้ ผสมอยู่มาก

(1.4) หินบะซอลต์ (Basalt) เกิดจากลาวาไหลลงมาจากภูเขาไฟ เมื่อกระทบกับ
อากาศเย็นจึงแข็งตัวกลายเป็นหินสีเทาถึงดำคล้ายแก้ว ลักษณะหินเนื้อแน่น เป็นบ่อเกิดของแร่รัตน
ชาติ โดยเฉพาะอย่างยิง่ พลอยต่างๆ

32

(1.5) หินตะกรันภูเขาไฟ (Scoria) เกิดจากการเย็นตัวของลาวาอย่างเฉียบพลัน เนื้อ
หินจึงมีรูพรุนและสากเหมือนกระดาษทราย แข็งแต่เปราะ มีน้ำหนักเบา ลอยน้ำได้ ไม่ทนทานต่อการ
กรอ่ น มสี ีเขม้ คอ่ นข้างดำ

(1.6) หินพัมมิซ (Pumice) เกิดจากการเย็นตัวของลาวาอย่างเฉียบพลัน มีรูพรุนอยู่
ภายในจำนวนมาก จึงสามารถลอยน้ำได้ระยะเวลาหน่ึง

ภาพท่ี 3.5 ตัวอย่างหนิ อคั นีพแุ ละหินอัคนแี ทรกซอน
ทีม่ า: Hawkins (2015)

(2) หินอัคนีภายในหรือหินอัคนีแทรกซอน (Intrusive Igneous Rock) เป็นหินอัคนีท่ี
เกิดจากเย็นตัวลงของหินหนืดภายใต้พื้นผิวโลก ลักษณะของเนื้อหินมีเนื้อหยาบ เป็นผลมาจากการท่ี
หินหนืดแทรกตัวขึ้นมาใต้พื้นผิวโลกอย่างช้าๆ ทำให้ผลึกแร่ในเนื้อหินมีเวลามากพอที่จะแยกตัว
ตกตะกอนได้อย่างช้าๆ ผลึกของเนื้อหินจึงมีขนาดใหญ่ หินอัคนีแทรกซอนสามารถจำแนกออกเป็น
ประเภทตา่ งๆ ไดต้ ามรปู รา่ งและตำแหน่งการเกิด สำหรับตวั อย่างของหนิ อคั นีแทรกซอน ได้แก่

(2.1) หินแกรนิต (Granite) ลักษณะเนื้อหินเป็นผลึกหยาบมีสีดำ เขียวคล้ำ และมีด
อกเป็นสีขาวใสหรือขาวขุ่น อันเนื่องมาจากผลึกแร่ในหิน เช่น สีดำหรือเขียวคล้ำเป็นสีของแร่ฮอร์นเบ
ลนด์ (Hornblende) สีใสหรอื ขาวขุน่ มาจากแร่เขี้ยวหนมุ าน (Quartz) และสขี าวดา้ นมาจากแร่ฟันม้า
(Feldspar)

(2.2) หินไดออไรต์ (Diorite) เนื้อหินประกอบด้วยแร่ฟันม้าและแร่ฮอร์นเบลนด์ ทำ
ใหห้ นิ ดงั กลา่ วมสี ีเขียวคล้ำหรอื เขยี วแกป่ ระจดุ ขาว

(2.3) หินแกบโบร (Gabbro) เนื้อหินประกอบดว้ ยแร่ฟันม้าและแร่ออไจต์ ผลึกมีเนอื้
หยาบสีเขยี วบนประขาว

33

(2.4) หินเพริโดไทต์ (Peridotite) หินชนิดนี้เป็นหินต้นกำเนิดของเพชร โดยมาก
ประกอบด้วยแรจ่ ำพวกไพรอกซีนและโอลิวนี หรอื เพริดอต

(2.5) หินดูไนต์ (Dunite) ประกอบไปด้วยแร่โอลิวีนเกือบทั้งหมดมีสมบัติทางเคมีคือ
เปน็ ดา่ งจดั มาก

3.3.2 หินตะกอน (Sedimentary Rocks) เกิดจากกระบวนการกร่อนของเศษหินดิน
ทรายต่างๆ จากตัวการกระทำคือลมและน้ำที่พัดพามาตกทับถมกัน ณ บริเวณที่เหมาะสม เช่น ที่ราบ
ลุม่ แม่น้ำ ชายฝ่งั ทะเล จนมีการสะสมทับถมมากขึน้ การกดทบั จากนำ้ หนักของดินตะกอนช้ันบนทำให้
เกิดการอัดตัวแน่นจนแข็งตัวกลายเป็นหิน นอกจากนี้ในกระบวนการทับถมของดินตะกอนต่างๆ จะมี
แรเ่ ชอื่ มประสานตะกอนเหลา่ น้ี ซง่ึ เป็นแร่ทล่ี ะลายอยู่กับน้ำใต้ดนิ เชน่ ซิลิกาหรอื คาร์บอเนต ลักษณะ
ของหินตะกอนจึงมีลักษณะเป็นชั้นๆ จึงเรียกอีกอย่างว่าหินชั้น ชั้นดังกล่าวจะมีความหนาตั้งแต่
2-3 เซนติเมตร ไปจนถึงหลายเมตร แต่ละชั้นจะมีการสะสมตัวในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป ในเนื้อหิน
อาจจะมีซากดึกดำบรรพ์ (Fossil) ปรากฏอยู่ หินตะกอนอาจจำแนกตามกระบวนการเกิดได้
3 ประเภท (ภาพท่ี 3.6) ดงั นี้

ภาพที่ 3.6 ตัวอยา่ งหนิ ตะกอน
ท่ีมา: Beck (2006: 5)

(1) หินตะกอนที่เกิดจากกระบวนการทางกลศาสตร์ (Mechanically Formed
Sedimentary Rock) หินตะกอนกลุ่มนี้เกิดจากการรวมตัวกันของตะกอนขนาดต่างๆ ที่ได้รับมาจาก
หินชนดิ อืน่ ๆ อาจมีรปู รา่ งกลมมนหรือเปน็ เหล่ียมมมุ สำหรบั ตวั อยา่ งหินตะกอนประเภทน้ี ไดแ้ ก่

(1.1) หินทราย (Sandstone) เกิดจากชั้นส่วนของควอตซ์ (Quartz) ที่แตกหัก
ออกมาจากหินแกรนติ เปน็ หนิ ทีย่ อมให้นำ้ ไหลซมึ ผ่านได้ มีหลายสี มกั นำมาเปน็ วสั ดุปพู ้นื และขัดถู

34

(1.2) หินกรวดมน (Conglomerate) เกิดจากการรวมตัวของตะกอนขนาดต่างๆ

เชน่ หินกรวดมน และทราย ทำใหห้ นิ มเี นอื้ ค่อนขา้ งหยาบ

(1.3) หินทรายแป้ง (Siltstone) เกิดจากการรวมตัวของเม็ดทรายขนาดเล็กขนาด

เส้นผ่าศนู ย์กลางระหว่าง 0.004-0.0625 มลิ ลิเมตร มเี น้ือหินทค่ี ่อนขา้ งละเอียด

(1.4) หินดินดาน (Shale) หรือหินโคลน (Mudstone) เกิดจากการรวมตัวของเม็ด

ดินที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางต่ำกว่า 0.004 มิลลิเมตร เนื้อของหินจะละเอียดและแน่น จึงทำให้น้ำ

สามารถซึมผา่ นลงไปไดย้ ากมาก

(2) หินตะกอนที่เกิดจากกระบวนการทางอินทรียสาร (Organically Formed

Sedimentary Rock) เกิดจากการทับถมจนกลายเป็นหินตะกอนจากส่วนที่เหลือของสิ่งมีชีวิต เช่น

ปะการังหรือเปลอื กหอย สำหรบั ตัวอยา่ งหนิ ตะกอนประเภทน้ี ไดแ้ ก่

(2.1) หินปูน (Limestone) เนื้อหินประกอบด้วยสารแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งเกิด

จากกระบวนการสลายตัวของสิ่งมีชวี ติ

(2.2) หินชอล์ก (Chalk) เรียกอีกอย่างว่า หินดินสอพอง เกิดจากการรวมตัวของ

แคลเซยี มคารบ์ อเนตทีม่ กี ารจบั ตัวกันไม่แนน่ หนามากนกั จงึ เปราะยุ่ยงา่ ย

(2.3) หินเนื้อคาร์บอน (Carbonaceous Rock) เกิดจากการสะสมตัวของสิ่งมชี ีวติ ที่

เปน็ พชื ปรากฏตามป่าไม้ท่ีล่มุ ชืน้ แฉะหรือมาบ การทับถมกนั ทำให้เกิดเป็นหินคาร์บอนและถ่านหินท่ีมี

คุณค่าทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก

(3) หินตะกอนที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี (Chemically Formed Sedimentary

Rock) เกิดจากการแข็งตัวของสารละลายที่มีแร่ชนิดเดียวกันผสมอยู่ เมื่อน้ำระเหยออกไปจึงเกิดการ

แข็งตัวกลายเป็นหิน เช่น เกลือหิน (Rock Salt) ยิปซัม โพแทช และไนเตรท เป็นต้น มักพบมาก

บริเวณท่ีเปน็ ทะเลหรอื ทะเลสาบมากอ่ น

3.3.3 หนิ แปร (Metamorphic Rocks) เกดิ จากกระบวนการแปรสภาพของหิน ต้น

กำเนิด ภายใต้ความกดดันและอุณหภูมิสูง มักเกิดพร้อมกับการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก อัน

เนื่องมาจากกระบวนการแผ่นดินแปรสัณฐานและกระบวนการภูเขาไฟ (Volcanism) โดยความร้อน

ของหินหนืดและสารละลายต่างๆ ที่ผสมอยู่จะทำให้หินข้างเคียงแปรสภาพ เรียกว่า การแปรสัมผัส

หนิ แปรแบ่งออกเป็น 2 ชนดิ ตามลกั ษณะโครงสรา้ งและเนือ้ หนิ (ภาพท่ี 3.7) ดงั นี้

(1) หินแปรประเภทมลี ายในเน้อื หิน ไดแ้ ก่

(1.1) หินชนวน (Slate) เกิดการแปรสภาพของหินดินดานอันเนื่องมาจากสภาพ

ความกดดันและอุณหภูมิสูง เป็นหินเนื้อละเอียดที่สามารถสกัดออกมาเป็นแผ่นๆ ได้ มักมีลายในตัว

และมหี ลายสี เชน่ สดี ำ สีแดง และสมี ่วง เป็นตน้ ใชท้ ำกระดานชนวนและแผน่ มงุ หลงั คา

35

ภาพที่ 3.7 ตัวอยา่ งหินแปร
ที่มา: Gibbs (2016)

(1.2) หินฟิลไลต์ (Phyllite) เกิดจากการแปรสภาพของหินดินดาน ลักษณะคล้าย
หินชนวน แต่มีเนื้อหยาบกว่า มักมีสีน้ำตาล เมื่อสกัดออกมาเป็นเนื้อหินจะมีเกล็ดวาวจากแร่กลีบหิน
(Mica) ที่ผสมอยู่ หินชนดิ นี้จะมีผลึกใหญ่กว่าหินชนวน

(1.3) หินไนส์ (Gneiss) เกิดจากการแปรสภาพของหินแกรนิต กระบวนการท่ีเกิดขนึ้
นั้นอาจจะปรากฏขึ้นตั้งแต่หินแกรนิตหนืดอยู่ก็ได้ ประกอบด้วยแร่ที่คล้ายคลึงกับหินแกรนิต แต่มี
ลักษณะการวางตัวที่แตกต่างกันกล่าวคือ แร่ในหินไนส์จะวางตัวเป็นแนวเส้นตรง ทั้งนี้เนื่องมาจาก
แร่ถูกแรงอัดและผลักดันให้ไหลไปอยู่ในแนวทางเดียวกัน ลายในเนื้อหินมีสีเข้มสลับกับสีอ่อนเป็น
แถบๆ บางคราวแถบของหนิ ไนสอ์ าจจะมีการบดิ เบย้ี วและโคง้ งอเกิดขนึ้

(1.4) หนิ ชสี ต์ (Schist) เกดิ จากการแปรสภาพของหนิ ฟลิ ไลต์ เน้ือของหินจะละเอียด
และมองเห็นเป็นริ้วคดงอไปมา ในเนื้อหินจะปรากฏแสงแวววับออกมาให้เห็น ส่วนใหญ่จะเกิดจากแร่
กลีบหิน โครงสร้างของหินเวลาแตกจะเป็นกาบประกอบดว้ ยชั้นหินบางๆ เรยี งซ้อนกันอยู่

(2) หินแปรที่ไม่มลี ายในเนือ้ หิน ไดแ้ ก่
(2.1) หินอ่อน (Marble) เกิดจากการแปรสภาพของหินปูน หรือหินอ่อนบริสุทธิ์ จะ

มีสีขาว ส่วนสีอื่นๆ มักเกิดจากการปะปนของแร่ธาตุในเนื้อหิน ส่วนแถบลายในเนื้อหินนั้นเกิดจาก
ความร้อนและแรงกดดัน ทำให้มวลหินที่มีอยู่ถูกผลักดันให้ไปรวมกันในบริเวณใดบริเวณหน่ึง
โดยเฉพาะ ทำใหเ้ กดิ ลวดลายทสี่ วยงาม มักนำไปเป็นวัสดกุ ่อสรา้ ง ปูพน้ื และตกแต่งผนังอาคาร

(2.2) หินควอร์ตไซต์ (Quartzite) เกิดจากการแปรสภาพของหินกรวด หินทราย
และ หินทรายแป้ง โดยมีแร่ซิลิกา จะถูกน้ำใต้ดินพัดพาแทรกซอ้ นเข้าไปสะสมอยู่ตามรูพรุนของเน้ือ
หินอย่างช้าๆ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงความกดดันและอุณหภูมิสูง จึงทำให้รูปร่างของเม็ดควอตซ์
เปล่ียนไป มีเนื้อแน่น

36

(2.3) แกรไฟต์ (Graphite) เกิดจากการแปรสภาพของถ่านหินภายใต้ความร้อนและ
ความกดดนั สงู มสี ีดำ ประกอบด้วย คารบ์ อนเน้ือออ่ น เรยี กอกี อย่างว่า แรด่ ินสอดำ

3.4 ดนิ
ดินหรือส่วนของโลกที่เป็นของแข็งหุ้มห่ออยู่รอบนอกสุดของโลก ไม่ใช่ประกอบด้วยหิน

เทา่ นั้น ยงั รวมไปถงึ ดนิ ดว้ ย ดินจะมคี วามสำคัญตอ่ มนุษยม์ ากเพราะเปน็ แหล่งปัจจัยสใี่ นการดำรงชีวติ
ของมนษุ ย์ ได้แก่ อาหาร เครือ่ งนุง่ หม่ ยารักษาโรค และท่อี ยอู่ าศัย ดินเปน็ องค์ประกอบท่ีสำคัญอย่าง
หนึ่งในทางภูมิศาสตร์ ลักษณะของดินจะบอกถึงความหนาแน่นของประชากรและพืชผลที่เจริญงอก
งามอยู่บนดิน หลายคนเข้าใจว่าดินเป็นวัตถุที่ไร้ชีวิต แต่ตามจริงแล้วดินเป็นวัตถุที่เปลี่ยนแปลงได้
(Dynamic Body) ซึ่งจะประกอบด้วยวัตถุที่ผุพังทับถมเป็นชั้นๆ สะสมกันอยู่เป็นเวลานาน ดินแต่ละ
ชั้นเป็นวัตถุที่เปลี่ยนแปลงและประกอบไปด้วยสารเคมีหลายประเภท นอกจากนี้ยังมีปฏิกิริยาทาง
ฟิสิกส์และทางชีววิทยาดำเนินอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเหตุให้ดินนั้นเปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิ ต มีการ
เปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้แล้วดินจะปรับสภาพให้เข้ากับภูมิอากาศ ภูมิประเทศ
พืชผล และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น หากวัตถุที่เป็นองค์ประกอบเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไป
(พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 269)

ในทางปฐพีวิทยา (Pedology) หรือดิน (Soil) หมายถึง วัตถุธรรมชาติ (Natural Body) ที่
ปกคลุมผิวโลกอยู่บางๆ เกิดขึ้นจากผลของการแปรสภาพ หรือผุพังของหินและอินทรียวัตถุผสม
คลุกเคลา้ กัน

ในทางธรณีวิทยา ดิน หมายถึง วัตถุที่ทับถมปกคลุมเป็นชั้นบางๆ อยู่บนส่วนใหญ่ของ
พื้นผิวโลก ประกอบด้วย อินทรียวัตถุ อนินทรียวัตถุต่างๆ ปะปนกันในสภาพของของเหลว และก๊าซ
ผสมผสานกัน มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของพืช ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และสัตว์อีกต่อหน่ึง
ดินที่มีลักษณะและสมบัติแตกต่างกันไปในที่ต่างๆ ของโลก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญ คือ
ภูมอิ ากาศ ภมู ิประเทศ ชนิดของหิน เปลือกโลกท่ีทำใหก้ ำเนดิ ดิน และระยะเวลาทดี่ นิ น้ันมีววิ ัฒนาการ

ในทางวิศวกรรม ดิน หมายถึง อะไรก็ตามที่อยู่บนพื้นผิว ไม่รวมกับแร่ธาตุ มีความแข็งน้อย
กว่าหินฐาน (Bed Rock) วตั ถตุ น้ กำเนดิ ดินเป็นพวกทไ่ี มใ่ ช่โลหะ

1.4.1 ส่วนประกอบของดิน (Soil Components) ดินก่อกำเนิดมาจากการสลายตัวของ
หนิ ต้นกำเนดิ (Parent Rock) โดยมีอณุ หภูมิและความชืน้ พรอ้ มทง้ั สิ่งมชี วี ิตทั้งพชื และสตั ว์ อำนวยให้
หินสลายเป็นดิน ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานหลายๆ ปี จึงจะได้ดินสูงประมาณ 1 เซนติเมตร โดยทั่วไป
แล้วดินประกอบดว้ ยส่วนสำคัญ 4 สว่ น ดงั น้ี

37

(1) อนินทรียวัตถุ (Inorganic Matter) เป็นพวกแร่ธาตุต่างๆ ที่สลายตัวทางเคมี
กายภาพ และชีวเคมี เป็นแหล่งกำเนิดของธาตุอาหารพืช และเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ดิน เป็น
สว่ นท่ีควบคมุ เนอ้ื ดิน (Soil Texture) นอกจากนส้ี ว่ นของอนุภาคดนิ เหนียวยงั เป็นสว่ นท่ีสำคัญที่สุดใน
การเกดิ กระบวนการเคมตี ่างๆ ในดิน

(2) อนิ ทรียวตั ถุ (Organic Matter) เป็นพวกเศษพชื และสตั วท์ ีเ่ นา่ เปอ่ื ยผุพัง และสะสม
หรือทับถมอยู่ในดิน เป็นแหล่งกำเนิดธาตุอาหารของพืชและจุลินทรีย์ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน รวมไปถึงบทบาทในการควบคุมโครงสร้างดิน ความร่วนซุย การ
ระบายนำ้ และการเปลย่ี นแปลงอากาศของดนิ

(3) น้ำ (Water) อยู่ในช่องระหว่างเม็ดดินหรืออนุภาคดิน (Pore Space) เป็นส่วนที่มี
บทบาทสำคัญในการให้น้ำแก่พืช สลายธาตุอาหารในดิน และขนย้ายธาตุอาหารจากดินสู่ส่วนต่างๆ
ของพืช

(4) อากาศ (Air) อยใู่ นช่องระหว่างเม็ดดนิ มีบทบาทสำคัญในการให้ออกซเิ จนแร่รากพชื
และจุลนิ ทรียใ์ นการหายใจ ให้คาร์บอนไดออกไซด์ ซง่ึ เม่อื รวมกบั น้ำจะให้กรดคาร์บอนิก ซ่งึ เป็นกรดที่
มีความสำคัญในกระบวนการทางเคมีในดิน และยังเป็นแหล่งให้คาร์บอนิกแก่จุลินทรีย์บางชนิดในดิน
ด้วย และใหก้ ๊าซไนโตรเจนซ่ึงเป็นแหล่งของไนโตรเจนแก่จุลินทรียบ์ างชนดิ

อย่างไรก็ตาม ดินที่ได้ชื่อว่าเหมาะที่จะนำมาใช้ในการเพาะปลูกนั้นจะต้องมีอัตราส่วนของ
ของแข็ง ของเหลว และก๊าซอยู่ในสภาพที่สมดุลกัน ตัวอย่างเช่น ดินร่วนปนทรายแป้ง (Silt Loam)
จะเหมาะสำหรับนำมาใช้ทำการเพาะปลูกมาก ซ่ึงดิน 1 หนว่ ย จะประกอบด้วย อนนิ ทรียวตั ถุ รอ้ ยละ
45 อนิ ทรยี วัตถุ รอ้ ยละ 5 นำ้ รอ้ ยละ 25 และอากาศ รอ้ ยละ 25 (ภาพท่ี 3.8)

ภาพท่ี 3.8 ส่วนประกอบของของแขง็ ของเหลว และก๊าซในดิน 1 หน่วย
ท่ีมา: Pidwirny and Jones (2014)

38

3.4.2 ปัจจัยควบคุมการสร้างตัวของดิน นักวิทยาศาสตร์ทางดินกล่าวว่า ดินชนิดต่างๆ มี
กำเนดิ จากการกระทำรว่ มกันของปัจจยั 5 ประการด้วยกัน คอื

(1) วัตถุต้นกำเนิดดิน (Parent Material) วัตถุต้นกำเนิดดินมีอิทธิพลต่อคุณสมบัติของ
ดิน ดินที่เกิดจากหินประเภทใดก็จะมีลักษณะคุณสมบัติของหินประเภทนั้นอยู่ วัตถุต้นกำเนิดดิน
นอกจากจะประกอบไปด้วยอนินทรียวัตถุ ซึ่งสลายตัวมาจากหินแล้ว ยังประกอบไปด้วยส่วนที่เป็น
อินทรยี วัตถุ ซ่งึ มาจากซากพชื ซากสัตว์

(2) ภูมิอากาศ (Climate) เป็นตัวควบคุมการผุพังอยู่กับที่ที่จะเกิดขึ้น องค์ประกอบทาง
ภูมอิ ากาศ ซึง่ มอี ิทธพิ ลตอ่ การพัฒนาของดนิ ไดแ้ ก่ อณุ หภมู ิ ความช้นื และลม

(2.1) อุณหภูมิ เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิดผลต่อดิน 2 ประการ คือ ประการแรก
ปฏิกิริยาทางเคมีจะเกิดมากในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง และลดน้อยลงเมื่ออุณหภูมิต่ำ ถ้าหากน้ำในดิน
แข็งตัวปฏิกิริยาทางเคมีในดินจะหยุด ดังนั้นดินในเขตร้อนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีตลอดเวลา
แต่ดินในบริเวณที่มีอากาศหนาวจัดจะมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมี น้อยหรือไม่มีเลย ประการที่สอง
กิจกรรมของแบคทีเรีย จะมีมากในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง โดยเฉพาะในบริเวณที่มีอากาศร้อนช้ืน
แบคทีเรียจะทำลายสิ่งมีชีวิตให้เน่าเปื่อยได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีการทับถมของซาก
อินทรียวัตถุอยู่บนพื้นดิน ในเขตอากาศหนาวเย็นกิจกรรมของแบคทีเรียมีน้อยเป็นผลทำให้ซาก
อนิ ทรียวตั ถุเหลอื ตกคา้ งอยู่บนพ้ืนดินมาก

(2.2) ความชื้น เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ขบวนการทางเคมีและชีววิทยาดำเนินไป
ถ้าขาดความชื้นขบวนการทั้งสองจะไม่เกิดขึ้น การที่มีความชื้นมากเกินต้องการ น้ำจะพัดพาอนุมูล
ของสารตา่ งๆ ลงไปอยู่ท่ชี ั้นดนิ ล่าง (Leaching)

(2.3) ลม ช่วยในการระเหยของน้ำในดินเป็นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นแล้วลม
อาจจะพดั พาเอาดนิ ชนั้ บนในเขตท่อี ากาศแห้งแล้ง ซึ่งขาดพชื ปกคลุมได้

(3) ลักษณะภูมิประเทศ (Topography) ลักษณะภูมิประเทศที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดิน
คอื ความลาดชัน (Slope) ถ้าภมู ปิ ระเทศมคี วามลาดชันมาก นำ้ จะไหลบา่ แรง ซ่งึ เปน็ ผลทำใหห้ น้าดิน
ถูกชะล้าง ดังนั้นบริเวณที่ลาดชันชั้นดินจะบาง ส่วนที่ราบชั้นดินจะหนา นอกจากนี้แล้วบริเวณที่ราบ
จะมกี ารสะสมของอนิ ทรียวตั ถุ ทำใหด้ นิ มคี วามอดุ มสมบรู ณ์สูง

(4) การกระทำของสิ่งมีชีวิต (Biological Activity) ทั้งพืชและสัตว์มีบทบาทสำคัญต่อ
การเกิดดิน สิ่งที่มีชีวติ ประเภทจุลินทรีย์ (แบคทีเรีย รา และอื่นๆ) ทำให้ซากสิ่งมีชวี ิตเน่าเปื่อย จึงเกิด
เป็นฮิวมัส (Humus) แบคทีเรียบางชนิดซึ่งอาศัยอยู่ในปมของรากพืชตระกูลถั่ว ทำให้เอาก๊าซ
ไนโตรเจนในอากาศมาเปลี่ยนเป็นสารเคมีพวกไนเตรต ซึ่งละลายน้ำและเป็นประโยชน์ต่อพืชได้ ราก
พชื ทำใหด้ นิ แตกและรว่ น สตั วพ์ วกไส้เดอื นจะขุดคุ้ยดิน ทำให้ดินรว่ นซยุ และชว่ ยเปล่ียนโครงสรา้ งและ

39

องค์ประกอบของดนิ เมอ่ื ดินผ่านระบบย่อยอาหารของไสเ้ ดอื น สภาพของดินจะเปล่ียนไป และเม่อื พืช
และสัตว์ตายไปก็จะชว่ ยเพิม่ อนิ ทรยี วัตถุในดินด้วย

(5) เวลา (Time) เวลาเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดดิน เนื่องจากว่าดินที่เกิดขึ้นได้น้ัน
ต้องอาศัยระยะเวลานาน ดินที่เกิดขึ้นในที่หนึ่งๆ กินเวลามากน้อยแตกต่างกันตามลักษณะวัตถุต้น
กำเนิดดินและปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย ดินบางแห่งใช้เวลาเพียง 100-200 ปี บางแห่งใช้เวลานานนบั
พนั ปี

3.4.3 สมบตั ิของดนิ หมายถึง สมบัติทางกายภาพของดินที่มองเหน็ ได้และสัมผสั ไดท้ ี่สำคัญ
คอื (พวงเพชร์ ธนสนิ , 2555: 275-279, วิชยั เทยี นนอ้ ย, 2537: 17-24)

(1) สีของดิน (Soil Color) เป็นสมบัติทางกายภาพที่มองเห็นได้ง่าย ดินที่มีสีน้ำตาลเข้ม
หรอื สดี ำ เป็นดินท่มี ปี รมิ าณอินทรยี วัตถมุ าก ดินท่มี สี ีแดงและสเี หลืองเปน็ ผลมาจากดินมีออกไซด์ของ
เหล็กเคลือบผิวอนุภาค ดินมีสีขาว หรือสีเทาอ่อนเป็นดินที่เกิดจากการสะสมของปูน หรือยิบซัม หรือ
เกลือปะปนอยู่ ดินมีสีเทาปนน้ำเงินเป็นดินท่ีมีสภาวะการถ่ายเทน้ำไม่ดี หรือตกอยู่ในสภาวะน้ำขัง กร
ระบายน้ำไมพ่ อ ดินที่มีหลายสีผสมกัน มักเห็นจุดประสีเหลือง หรือสีแดงบนพ้ืนแสดงวา่ เปน็ ดินท่มี ีน้ำ
ขังเป็นบางช่วงของปี และหน้าตัดดินแห้งในอีกบางช่วงของปี โดยมากดินที่เกิดขึ้นใหม่ๆ จะคงสีเดิม
ของวตั ถุทใี่ ห้กำเนดิ ดนิ เม่ือเจรญิ เตม็ ที่แล้วจะเปลยี่ นไป

(2) เนื้อดิน (Soil Texture) หมายถึง ขนาดของอนุภาคดิน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2
ประเภทใหญ่ๆ คือ อนุภาคดินที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่กว่า 2 มิลลิเมตร และอนุภาคดินที่มี
เส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเล็กกว่า 2 มิลลิเมตร อนุภาคดินที่มีขนาดใหญ่กว่า 2 มิลลิเมตร บางครั้งจะ
แสดงให้ทราบถึงวัตถุต้นกำเนิดดิน เช่น ถ้าอนุภาคดินมีลักษณะกลมจะเป็นตะกอนที่น้ำพัดพามา ถ้า
อนุภาคดินมีลักษณะเหลี่ยมจะเป็นการแตกตัวของหินที่อยู่กับที่ สำหรับอนุภาคดินที่มี
เส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 2 มิลลิเมตร แบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทตามระบบสากล (International
System) ได้แก่ กรวด (Conglomerate) ทรายหยาบ (Coarse Sand) ทรายละเอียด (Fine Sand)
ทรายแปง้ (Silt) และดนิ เหนยี ว (Clay)

ตารางท่ี 3.1 การจำแนกขนาดอนุภาคตะกอนทป่ี ระกอบเป็นเนื้อดิน

ช่อื ขนาดอนุภาคตะกอน เสน้ ผ่าศูนยก์ ลาง (มิลลิเมตร)

กรวด มากกว่า 2

ทรายหยาบ 0.2-2.0

ทรายละเอียด 0.02-0.2

ทรายแปง้ 0.002 – 0.02

ดนิ เหนียว ตำ่ กวา่ 0.002

ท่มี า: (พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 275)

40

ดินโดยทั่วไปจะประกอบด้วยอนุภาคทั้ง 3 กลุ่มขนาด คือ ทราย ทรายแป้ง และดิน
เหนียว โดยแสดงไว้ในไดอะแกรมสามเหลี่ยมแจงประเภทของเนื้อดิน (Soil Textural Triangle)
(ภาพที่ 3.9)

ภาพที่ 3.9 สามเหลี่ยมแจงประเภทของเนื้อดิน ตามสัดส่วนโดยมวลของทราย ทรายแป้ง และดิน
เหนียว
ท่มี า: USDA (1987)

ดินแบ่งออกได้เป็น 12 ประเภท ตามชนิดของเนื้อดิน (พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 276)
ได้แก่

(1) ดินทราย (Sand)
(2) ดนิ ทรายปนดินรว่ น (Loamy Sand)
(3) ดินร่วนปนดนิ ทราย (Sandy Loam)
(4) ดินร่วน (Loam)
(5) ดินร่วนปนดนิ ทรายแป้ง (Silly Loam)
(6) ดนิ ทรายแป้ง (Silly)
(7) ดินรว่ นเหนียวปนดนิ ทราย (Sandy Clay Loam)
(8) ดนิ รว่ นเหนยี ว (Clay Loam)
(9) ดนิ ร่วนเหนียวปนดนิ ทรายแป้ง (Silly Clay Loam)
(10) ดนิ เหนยี วปนดินทราย (Sandy Clay)
(11) ดนิ เหนียวปนดนิ ทรายแปง้ (Silly Clay)
(12) ดินเหนยี ว (Clay)

41

การจะบอกถึงชนิดของดินได้นั้นต้องทราบสัดส่วนโดยมวลของทราย ทรายแป้ง และดิน
เหนียว ตัวอย่างเช่น สมมติว่าตัวอย่างดินชนิดหนึ่งประกอบด้วยทราย ร้อยละ 65 ทรายแป้ง ร้อยละ
20 และดินเหนียว ร้อยละ 15 เมื่อดูไดอะแกรมสามเหลี่ยมแจงประเภทของเนื้อดินแล้ว พบว่าดิน
ดังกล่าวเปน็ ดินประเภทดนิ รว่ นปนดินทราย

สมบัติของดินรวมทั้งการใช้ประโยชน์ที่ดินมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับเนื้อดิน ดินเน้ือ
หยาบอนุภาคมกั ไม่เกาะกันเป็นกลมุ่ ก้อน จงึ มลี ักษณะร่วน มกี ารระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี แต่ดิน
เหล่านี้มีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำและดูดซับธาตุอาหารได้น้อย การจัดการดินเนื้อหยาบ จึงต้อง
มุ่งเน้นไปที่การชลประทานและการใส่ปุ๋ย โดยกำหนดอัตราและปริมาณต่อครั้งไม่มากเกินไป ส่วนดิน
เนื้อละเอียดมักมีช่องขนาดเล็ก ทำให้อุ้มน้ำได้มากและมีการระบายน้ำเลว อย่างไรก็ดีดินเนื้อละเอียด
ดูดซับธาตุอาหารไดม้ าก จึงมีความอุดมสมบูรณ์สูง ดินเนื้อละเอยี ดสามารถใส่ปุ๋ยครั้งละมากๆ แต่การ
ชลประทานตอ้ งระวังเรือ่ งผลกระทบต่อการถ่ายเทอากาศของดิน

(3) โครงสร้างดิน (Soil Structure) หมายถึง ลักษณะการรวมตัวกันของอนุภาคเม็ดดิน
ที่มีหลากหลายแบบ โดยกลไกธรรมชาติ ได้แก่ โครงสร้างชนิดทรงกลม โครงสร้างชนิดทรงแผ่น
โครงสร้างชนิดทรงเหลี่ยม และโครงสร้างชนิดทรงแท่ง (วิชัย เทียนน้อย, 2537: 20, ลักษณา
สมั มานธิ ิ, 2544: 37) (ภาพท่ี 3.10)

ภาพท่ี 3.10 ลกั ษณะโครงสร้างดินแบบตา่ งๆ
ทม่ี า: Katai (2013)

(3.1) โครงสร้างชนิดทรงกลม เป็นก้อนโครงสร้างของดินที่มีขนาดเล็ก ยังไม่
สม่ำเสมอ รูปร่างคล้ายรูปกลม จัดเรียงตัวหลวมๆ มีทั้งแบบก้อนกลมพรุน ก้อนกลมทึบ (Granular)
โครงสรา้ งดินชนิดนม้ี กั พบในดนิ ช้นั บน โดยเฉพาะชัน้ ผวิ ดนิ ท่มี อี ินทรยี วัตถุอยมู่ าก

42

(3.2) โครงสร้างชนิดทรงแผ่น (Platy) ลักษณะคล้ายแผ่นกระดาษหรือผืนเสื่อ มีการ
จัดเรียงตวั ซอ้ นกนั มีเพยี งแบบเดียว คือ แบบแผน่

(3.3) โครงสร้างชนิดทรงเหลี่ยม ลักษณะมี 6 ด้าน คล้ายกล่องหรือลูกเต๋าไม่
สม่ำเสมอหรือเรียบเท่ากันหมดทุกด้าน แบ่งออกเป็นก้อนเหลี่ยมมุมคม (Angular Blocky) และแบบ
ก้อนเหลี่ยมมมุ มน (Subangular Blocky)

(3.4) โครงสร้างชนิดทรงแท่ง ลักษณะเป็นแท่งในแนวตั้งคล้ายแท่งดินสอหรือท่อน
เสา ประกอบดว้ ยแบบแท่งหัวตดั (Prismatic) และแบบแท่งหัวมน (Columnar)

โครงสร้างดินจะมีอิทธิพลต่อการดูดซับน้ำ อัตราการพังทลาย และความง่ายในการขุด
ไถพรวนเพื่อการเพาะปลูก สำหรับช่องว่างที่ปรากฏอยู่ในโครงสร้างของดินจะมีอากาศแทรกซ้อนเข้า
ไปในชว่ งทด่ี นิ แหง้ เรยี กวา่ อากาศในดิน

3.4.4 หน้าตัดด้านข้างดิน (Soil Profile) หมายถึง ลักษณะของเนื้อดินที่ซ้อนกันอยู่เป็น
ช้ันๆ ตามแนวนอน ในแตล่ ะช้นั เนอ้ื สี และสว่ นประกอบของดนิ จะแตกตา่ งกนั (ภาพท่ี 3.11) ถา้ หาก
ดินพัฒนาถึงขั้นสมบูรณ์แบบจะทำให้หน้าตัดด้านข้างดินปรากฏชั้นดินให้เห็นอย่างเด่นชัด 5 ช้ัน
(วชิ ัย เทยี นน้อย, 2537: 21-22, พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 272) คือ

ภาพท่ี 3.11 หน้าตดั ด้านข้างดินประกอบดว้ ยชัน้ ทสี่ ำคัญต่างๆ
ทม่ี า: Farrell and Proffitt (2016)

(1) ดนิ ชน้ั O เป็นช้ันอินทรีย์ (Organic Horizons) ที่เกดิ อยเู่ หนือชัน้ ดนิ และแร่ธาตุ
(2) ดินชั้น A เป็นชั้นดินที่อยู่ข้างบนสุดหรือบางครั้งเรียกว่า ชั้นผิวดิน (Topsoil) เป็น
ชั้นดินที่มีขุยอินทรีย์ปรากฏอยู่มาก เมื่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดินหรือในดินตายจะกลายเป็นขุย
อนิ ทรีย์ทับถมอยู่

43

(3) ดินชั้น B เป็นชั้นดินรอง (Subsoil) เป็นชั้นดินทีอ่ ยู่ถัดจากชั้นผิวดิน ในดินชั้นรองจะ
มีธาตุและตะกอนขนาดเล็กซึม (Leaching) ลงมาจากชั้นบนสะสมอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุพวก
เหล็กและอะลมู เิ นยี ม ปริมาณขุยอินทรีย์ในดินชน้ั นีจ้ ะน้อยกว่าช้ันบน

(4) ดินชั้น C หรือดินชั้นล่าง (Substratum) ดินชั้นนี้จะประกอบด้วยวัตถุต้นกำเนิดดิน
ที่พึ่งจะสลายตัวผุพังและกำลังจะพัฒนาเป็นดินในลำดับต่อไป บางครั้งเรียกว่า ชั้นหินผุ ดินช้ันนี้จึงมี
ลักษณะคล้ายวตั ถตุ น้ กำเนดิ ดนิ มากที่สดุ มสี ่ิงมชี วี ิตอาศยั อยู่นอ้ ย และมีสคี อ่ นข้างอ่อน

(5) ดินชั้น R หรือดินดาน (Base Rock) ในชั้นนี้ความเป็นดินยังไม่ปรากฏ ยังไม่มีการ
สลายตวั ผพุ ัง ส่วนใหญจ่ ะเปน็ หนิ ดินดานท่รี องรบั ดนิ ท่อี ยขู่ า้ งบนไว้

3.4.5 การจำแนกดิน (Soil Classification) นักปฐพีวิทยาทั่วไปยอมรับกันว่าดินท่ี
ปรากฏอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก สามารถจำแนกออกเป็นกลุ่มได้ มีการนำดินมาใช้ทำการเพาะปลูก
การปรับปรุงดิน ความสูญเสียของดินที่เกิดจากกระบวนการกษัยการและการถือครองที่ดินดำเนิน
ติดตอ่ กนั มาหลายศตวรรษ จึงทำใหด้ นิ มีการเปลย่ี นแปลงไมม่ ากก็นอ้ ย

พวงเพชร์ ธนสิน (2555: 280) กล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับดินจำแนกดินออกเป็น
3 หมวดใหญๆ่ คือ อนั ดับดนิ โซนัล อันดับดนิ อินทราโซนลั และอนั ดับดินเอโซนลั

(1) อันดับดินโซนัล (Zonal Soil Order) คือ ดินที่เกิดภายในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์
มีระบบการระบายน้ำดี เป็นดินที่ผ่านการดำเนินการทางภูมิอากาศและพืชพรรณธรรมชาติมาเป็น
เวลานาน นับวา่ เปน็ ดินท่ีมีความสำคญั มากกว่าดินในหมวดอ่ืน

(2) อันดับดินอินทราโซนัล (Intrazonal Soil Order) คือ ดินที่อยู่ในบริเวณที่มีการ
ถ่ายเทน้ำไม่ดี เชน่ ดนิ ท่ีอยใู่ นหนอง บงึ ซึ่งถูกน้ำท่วม ดินในทุ่งหญา้ ท่ีมีนำ้ แช่ขงั หรอื ดินทอ่ี ยู่ในบริเวณ
ท่ีลุ่มของทะเลสาบในแถบทะเลทราย ลักษณะของดนิ มกั ประกอบดว้ ยหินปนู เปน็ สว่ นใหญ่

(3) อันดับดินเอโซนัล (Azonal Soil Order) คือ ดินที่มีการพัฒนาไม่เด่นชัด หรือไม่
เต็มท่ี อาจเป็นเพราะดินเกิดในระยะเวลาสัน้ หรือไมก่ ็เป็นดินทอี่ ยูใ่ นบรเิ วณเขตทลี่ าดชัน ซึ่งดินช้นั บน
มีโอกาสเจริญได้น้อยมาก ดินชั้นนี้รวมถึงชั้นของดินบางๆ ที่อยู่บริเวณเขตภูเขา และรวมทั้งตะกอน
ใหมๆ่ ทเี่ กิดจากแม่น้ำพัดพามาทับถมกัน และดินพวกสนั ทราย ดนิ หมวดนี้มลี ักษณะช้นั ดินไมช่ ดั เจน

ดินตามบริเวณต่างๆ ของโลก สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ชนิดใหญ่ๆ ตามอุณหภูมิท่ี
เปลีย่ นไป (วฒุ ิพงษ์ ต้ังธนากาล, 2530 อ้างใน พวงเพชร์ ธนสนิ , 2555: 281-283) ได้แก่

(1) Tundra Soil ดินประเภทนี้จัดอยู่ในอันดับดินโซนัล ในเขตภูมิอากาศหนาวเย็นแบบ
ทุนดรา น้ำในดินจะเป็นน้ำแข็งเกือบตลอดเวลาในระดับความลึก 2-3 นิ้ว จึงเป็นเหตุให้น้ำไม่มีการ
ไหลอย่างอิสระ โครงสร้างของดินแตกหักหมด การพัฒนาตัวของชั้นดินไม่มี ฤดูร้อนอากาศอบอุ่น แต่
มีระยะเวลาส้นั มากๆ จึงไม่สง่ เสรมิ ใหม้ ีการพฒั นาดินได้

44

(2) Podzolic Soil เป็นดินที่จัดอยู่ในอันดับดินโซนัล ส่วนมากมักพบอยู่ในบริเวณเขต
อากาศแบบกึ่งขั้วโลก ซึ่งเป็นช่วงที่มีฤดูหนาวยาวนาน ทำให้ดินชื้นกลายเป็นน้ำแข็งนาน ดินมีการ
พัฒนาตัวในฤดูร้อนจากการสลายตัวของพืชและสัตว์ที่ตายลง แต่ขบวนการพัฒนาดินจะเป็นไปอย่าง
เชื่องช้ามาก ทั้งนี้เป็นเพราะแบคทีเรียมีอายุการทำงานสั้นมากในฤดูร้อน ดังนั้นบนผิวดินจึงเกิดฮิวมัส
ช้า การชะล้างธาตุโดยน้ำในรูปของสารละลายจากดินระดับชั้น A ไปยังชั้นล่างมีมาก การชะล้างนี้จะ
ทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดสูง นอกจากนี้แล้วการชะล้างยังทำให้ดินระดับชั้น A คงเหลือแต่ชิลิกา
ดินประเภทนี้เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำและมักจะมีป่าสนชื้น ทั้งนี้เนื่องจากป่าสนต้องการ
ธาตุต่างๆ ในดินน้อยกว่าพืชประเภทอื่น พืชบางชนิดที่อยู่ในดินประเภทนี้ต้องพยายามปรับตัวให้เข้า
กับสภาพของดิน ดนิ ประเภทนไี้ ม่เหมาะสมทางด้านการเกษตร

(3) Latosolic Soil เป็นดินที่อยู่ในเขตภูมิอากาศร้อนชื้นบริเวณศูนย์สูตร ซึ่งอาจจะ
เรียกว่า ดินลูกรัง ดินประเภทน้ีจะสูญเสียความอุดมสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากการชะล้างของ
น้ำทำใหธ้ าตุซึมลงสู่พื้นล่าง อย่างไรก็ตามดินประเภทนีเ้ หมาะสำหรับปลกู ตน้ ไม้ใบกว้างที่เป็นลกั ษณะ
ไม้ยืนต้น และดินประเภทนี้มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเพราะมีการสะสมของออกไซด์ของเหล็กและ
อะลูมินมั เป็นชน้ั ๆ ซึ่งสามารถนำมาใชเ้ ป็นวัสดใุ นการก่อสร้างทีเ่ รยี กวา่ ศิลาแลง (Laterite)

(4) Red–Yellow Podzolic–Latosolic Soil เป็นดนิ ทีอ่ ยู่ระหวา่ ง Podzolic Soil และ
Latosolic Soil เปน็ ดนิ ทมี่ ีการพัฒนาชัน้ ของดนิ น้อยมาก เป็นดนิ ท่ขี าดฮิวมัสและในระดับช้ันลึกลงไป
จะมีธาตุอาหารของพืชต่ำมาก จึงจัดได้ว่าเป็นประเภทของดินเลว มีการชะล้างอาหารของพืช ทำให้
ภายในดินมีแต่ทรายหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าจะนำดินชนิดน้ีมาทำการเพาะปลูกต้องทำการใส่
ปุ๋ย โดยทั่วไปแล้วจะปลกู ปา่ สนเพราะเปน็ พืชที่ไม่ต้องการธาตุอาหารมากนกั หรือไม่ก็ปล่อยทิ้งไว้เป็น
ป่าละเมาะสำหรับเล้ียงสัตว์

(5) Dark Tropical Soil เป็นดินที่พบในเขตภูมิอากาศร้อนชื้นแถบศูนย์สูตร มีสีดำ ดิน
ประเภทนี้จะมีคอลลอยด์สูงมากเพราะระหว่างเม็ดดินมีการยึดตัวกันเหนียวแน่นมากจึงยึดจับ
คอลลอยด์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นกับตัวดิน การยึดตัวกันแน่นของดินประเภทนี้ ถ้ามีน้ำในดินจะทำให้
ดนิ มีความเหนยี วหนืดยดื ตวั ได้ ในทางตรงข้ามในฤดูแล้งดินขาดน้ำกจ็ ะหดตัวจับกันแน่นทำให้เกิดรอย
แตกระแหงออกเป็นร่องๆ ลึกลงไปในชั้นล่างของดิน เมื่อฤดูร้อนผ่านไปฝนแรกที่ตกลงมาบนผิวดินท่ี
แตกระแหงนี้ จะชะล้างเอาผิวหนา้ ดินหลดุ ไหลลงไปตามแนวรอ่ งทแ่ี ตก เมือ่ ดนิ มีความชืน้ มากและเศษ
ดินจากข้างบนไหลลงไปในรอยแตก ร่องของรอยแตกกจ็ ะถกู ปดิ สนิทแนน่ เม่อื ถงึ ฤดแู ล้งดินก็จะหดตัว
และแตกระแหงอีกวนไปเช่นนี้ตลอดไป ดินประเภทนี้จะมีเนื้อละเอียด มีฤทธิ์เป็นด่างค่อนข้างสูง มัก
ใช้เป็นแหล่งเพาะปลกู ขา้ ว

(6) Grassland Soil เปน็ ดนิ ท่ีเกดิ ในทงุ่ หญ้ากึ่งแหง้ แลง้ ของเขตละตจิ ดู ตอนกลาง ดนิ จะ
พัฒนาตามขบวนการ (Calcification) ขบวนการนี้เป็นการสะสมพวกหินปูน (CaCo3) ที่มีจำนวนมาก

45

เกินพอในดิน เนื่องจากการที่น้ำใต้ดินที่ซึมผ่านจากเบื้องล่างขึ้นมาสู่ผิวดินด้านบน ดินที่เกิดจาก
ขบวนการ จะมีชั้น A ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยฮิวมัส เนื่องจากเนื้อที่ภายในดินระดับชั้น A จะมีรากของ
หญ้าฝังตัวอยู่กันอย่างหนาแน่น รากของหญ้าเหล่านี้จะมีชีวิตเพียงฤดูร้อนเดียวก็ตายเน่าเปื่อยไป ใน
ฤดูร้อนต่อมาก็จะมีรากหญ้ารุ่นใหม่เกิดขึ้นอีกและตายลงเมื่อสิ้นฤดูร้อนวนอยู่เช่นนี้ตลอดไป การที่มี
ซากของพืชเพิ่มพูนทุกปีจะทำให้มีการเพิ่มพูนฮิวมัสให้แก่ดิน นอกจากนี้ฮิวมัสจะไม่ถูกพัดพาไปที่อ่ืน
เนื่องจากน้ำฝนมีไม่มากนัก ดังนั้นดินชั้น A จะมีความอุดมสมบูรณ์สูง ดินระดับชั้น B จะมีการสะสม
ของหนิ ปนู ปรากฏเปน็ เม็ดกลมเล็กๆ หรือก้อนแบนๆ อยู่ทัว่ ไปในชนั้ B จะมฮี ิวมสั สะสม

(7) Desert Soil เป็นดินทะเลทราย ซึ่งมีอยู่ทั้งทะเลทรายเขตร้อนและเขตหนาวของ
ละติจูดตอนกลาง สภาพของดินตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอากาศแบบ Tropical Desert Climate
and Cold Desert of Midlatitude Desert Climate ดินประเภทนี้มีสีอ่อนจากสีแดงไปสีเทา บนผิว
ดินมีพืชขึ้นอยู่ห่างๆ และเป็นพืชทีม่ ีการเจริญเติบโตช้ามาก ฮิวมัสบนดินมีน้อย ระดับชั้นของดินมีการ
พัฒนาไม่ชัดเจน ตามปกติแล้วดินประเภทนี้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหาร สามารถให้ผลผลิต
ทางด้านการเกษตรไดส้ ูง

3.5 ลักษณะภมู ปิ ระเทศทเ่ี กดิ จากธารนำ้
แม่น้ำและธารน้ำ (River and Stream) จัดเป็นแหล่งน้ำผิวดิน (Surface Water) ที่ไหลอยู่

ในร่องน้ำ มีต้นกำเนิดมาจากน้ำที่ไหลบนแผ่นดิน ในขณะที่ไหลกระแสน้ำ หรือการไหลของธารน้ำ
บางส่วนอาจถูกกักอยู่บนผิวดินเป็นแหล่งน้ำ และบางส่วนจะมีการกัดเซาะพื้นดินเป็นร่องเล็กๆ
โดยมากมักจะก่อตัวในที่ที่มีความลาดชันและมีปริมาณน้ำมากพอสมควร เพราะน้ำที่ไหลแรงจะมีการ
กัดเซาะสงู ทำให้มีระดับความลึกตา่ งกนั จำนวนของร่องน้ำทีไ่ หลมารวมกันจนมากข้ึนทุกที จน
กลายเปน็ ร่องนำ้ ขนาดใหญ่ หรือแม่น้ำ แมน่ ำ้ หน่ึงๆ มักจะมีธารน้ำสายย่อยเปน็ สาขามากมาย

3.5.1 ส่วนประกอบของระบบธารน้ำ (River System) ระบบธารน้ำ ประกอบด้วย
ต้นน้ำ รอ่ งน้ำ ปากน้ำ แคว แม่น้ำสาขา ล่มุ นำ้ และสันปนั น้ำ (ภาพท่ี 3.12)

(1) ต้นน้ำ (Source) เป็นจุดเริ่มต้นของธารน้ำ อาจเกิดจากตาน้ำหรือน้ำที่ไหลซับ
ออกมาจากแหลง่ นำ้ หรือสันปนั น้ำบนภูเขากไ็ ด้ ต้นน้ำเปน็ บรเิ วณจุดเรม่ิ ตน้ ของรอ่ งนำ้ หรือธารนำ้

(2) ร่องน้ำ (Channel) คือ ส่วนที่ลึกที่สุดของธารน้ำ เป็นที่รวมของตะกอนขนาดต่างๆ
ที่ถกู พดั พามา และเป็นช่องทางการระบายน้ำลงสู่บรเิ วณท่ตี ่ำกวา่

(3) ปากน้ำ (Mouth) คือ บริเวณที่ร่องน้ำมาบรรจบกับแหล่งน้ำ เชน่ ทะเลหรือบรเิ วณท่ี
ตำ่ ที่สดุ หรือจดุ สนิ้ สุดของแม่น้ำ

(4) แคว (Tributary) เป็นธารน้ำสายย่อยที่เป็นสาขาของแม่น้ำที่ไหลลงมาจากต้นน้ำ
และไหลลงมารวมกันที่แม่น้ำสายหลัก

46

ภาพท่ี 3.12 ส่วนประกอบของระบบธารนำ้
ทม่ี า: Chakrabortysubrata (2017)

(5) แมน่ ้ำสาขา (Distributary) เป็นแม่นำ้ สายยอ่ ยทไ่ี หลแตกแยกออกจากแมน่ ้ำ สาย
หลักออกไป แลว้ ไหลลงสู่ทะเลหรอื มหาสมุทร

(6) ลุ่มน้ำ (River Basin) คอื พืน้ ทบ่ี ริเวณท่รี องรับนำ้ ฝนทต่ี กลงมาและนำ้ ฝนดงั กล่าวจะ
ไหลมารวมกนั ทธ่ี ารนำ้ และแม่น้ำ เชน่ ลมุ่ น้ำเจา้ พระยา ล่มุ น้ำป่าสกั ลมุ่ นำ้ แม่กลอง เปน็ ตน้

(7) สันปันน้ำ (Divide) เป็นส่วนแบ่งของลุ่มน้ำ โดยสันปันน้ำเป็นส่วนที่สูงที่สุดของสัน
เขา เป็นแนวแบ่งการไหลของธารน้ำมาตามความลาดชนั ของสภาพภมู ิประเทศ

จากส่วนประกอบของธารนำ้ ดงั กลา่ วทง้ั หมดที่กล่าวมาแลว้ นน้ั เรยี กวา่ ระบบธารนำ้ (River
System) ซึ่งระบบธารน้ำบนโลกจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ระบบธารน้ำถาวร (Permanent
Stream ) ซึ่งมีน้ำแช่ขังอยู่ตลอดปี และระบบธารน้ำชั่วคราว (Intermittent Stream) จะมีน้ำแช่ขัง
อยู่เพยี งบางชว่ งเวลาเท่านน้ั น้ำจะแห้งในฤดูแล้ง

3.5.2 การกระทำของธารน้ำ (Fluvial Landform) หรือเรียกอีกอย่างว่า กษัยการ เป็น
กระบวนการในการเกลี่ยผวิ ดินให้ปรากฏบนพื้นโลก เป็นกระบวนการกัดเซาะ การพัดพา และการทบั
ถม การกระทำของธารน้ำเป็นตัวการสำคัญในการเปลี่ยนแปลงผิวโลก แต่จะขึ้นอยู่กับความรุนแรง
ของกระแสน้ำ ตลอดจนสภาพของดนิ วา่ จะมโี อกาสถูกกระทำมากน้อยเพยี งใด อธิบายได้ดังน้ี

(1) การกร่อนหรือการกัดกร่อน (Erosion) หมายถึง การกระทำของธารน้ำต่อท้องน้ำ
และตล่งิ ทงั้ สองขา้ งของธารนำ้ และแมน่ ำ้ เรียกอกี อยา่ งว่า กรยิ าอทุ ก (Hydraulic Action) แบ่ง
ออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบแรก การกร่อนแบบครูดถู (Corrasion) เกิดจากการที่ก้อนหิน
กรวด หรือทรายที่แม่น้ำพัดพามาครูดไถ กระแทกกับท้องน้ำ และตลิ่ง ทำให้เกิดการกัดกร่อนใน
บริเวณดังกล่าว รูปแบบที่สอง การกร่อนแบบสลายตัว (Corrosion) เป็นการกระทำของธารน้ำที่
เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมีอันเนื่องมาจากกรดคาร์บอนิกที่เกิดจากการรวม ตัวของน้ำฝนและก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้หน้าของหินดินดานผุกร่อนและง่ายต่อการกัดเซาะ และรูปแบบที่สาม

47

การสึกกร่อน (Attrition) เกิดจากการที่ตะกอนหิน ดิน ทราย กลิ้งไปกระแทกตัวกับท้องน้ำและข้าง
ธารนำ้ แรงอดั กระแทกทำให้หนิ ตล่งิ ทงั้ สองฝัง่ กร่อนได้จำนวนมาก

(2) การพัดพา (Transportation) หมายถึง การพัดพาของธารน้ำจะขึ้นอยู่กับวัตถุที่น้ำ
จะสามารถนำพาไปได้ เช่น วัตถุที่มีขนาดใหญ่ ประเภทตะกอนหยาบ จะมีการเคลื่อนที่ไปตามทอ้ งน้ำ
เป็นช่วงๆ ไม่ต่อเนื่อง โดยการกระดอน (Saltation) ไปตามการพัดพาของกระแสน้ำ ส่วนวัตถุที่มี
ขนาดเล็ก เช่น เม็ดทราย มีความหนาแน่นไม่มากจะถูกพัดพาให้ลอยไปกับน้ำ จัดเป็นวัตถุพัดพาชนิด
แขวนลอย (Suspension) อย่างไรก็ตามการเคลื่อนที่ของวัตถุจากการพัดพาบนพื้นท้องน้ำจะสัมพันธ์
กับความสามารถในการพัดพา ซึ่งขึ้นอยู่กับฤดูกาลด้วย เช่น ฤดูน้ำหลาก ความสามารถในการพัดพา
จะมมี ากท่ีสดุ

(3) การทับถม (Deposition) หมายถึง การทับถมมักขึ้นอยู่กับการพัดพาของน้ำ โดย
ปกติแม่น้ำจะมีการปรับสมดุลปริมาณของวัตถุที่จะพัดพา ปริมาณของวัตถุที่แม่น้ำตอนใดตอนหนึ่ง
ได้รับจากแม่น้ำตอนต้นน้ำ หรือจากบริเวณที่ทำให้น้ำไม่แน่นอนหรือสม่ำเสมอ การกัดกร่อนและการ
ทับถมวัตถุหรือตะกอนของธารน้ำเป็นวิธีการหนึ่งในการรักษาสมดุลของท้ องน้ำที่มีความลาดเทสูง
กระแสน้ำไหลแรง และมกี ำลังการพัดพาสูงเกนิ กว่าปริมาณวัตถุที่ตอ้ งพัดพา แม่น้ำตอนน้ันจะกัดเซาะ
ทอ้ งน้ำเพ่ือเพ่ิมปรมิ าณวตั ถุ ในขณะเดยี วกนั กล็ ดความลาดเทของทอ้ งนำ้ หรือลดความสามารถในการ
พัดพาของน้ำด้วย ตรงกันข้ามตอนใดที่ท้องน้ำมีความลาดเทน้อย แต่มีปริมาณวัตถุที่ต้องนำพามาก
เกินไป แม่น้ำจะทับถมวัตถุที่ต้องพัดพาลงจนพอดีกับกำลังการนำพาของมัน ในเวลาเดียวกันการทับ
ถมจะเพิ่มความลาดเทของท้องน้ำให้สูงขึ้นด้วย ในบริเวณที่ความเร็วของกระแสน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว
เช่น เมื่อแม่น้ำไหลลงบริเวณที่มีท้องน้ำกว้างและนิ่ง ความเร็วของกระแสน้ำจะลดลงทันที บริเวณ
เหลา่ น้ีจะมีการทบั ถมของวัตถุที่น้ำพัดพามาและตะกอนด้วยเชน่ กัน

3.5.3 ลกั ษณะภมู ิประเทศทเี่ กิดจากกษยั การของธารน้ำ สามารถแยกพิจารณาได้ดงั น้ี
(1) น้ำตก (Waterfall) เป็นลักษณะภูมปิ ระเทศทีเ่ กิดจากการกดั เซาะของธารน้ำ โดยน้ำ

จะตกลงมาที่หน้าผา พลังน้ำจะทำให้เกิดการกัดเซาะบริเวณท้องน้ำที่น้ำตกลงมาอย่างมากมาย
มหาศาล แรงดันของน้ำจะกระแทกและกัดเซาะหินตะกอน (Soft Rock) ทำให้เกิดเป็นแอ่งหรือโพรง
ท่ฐี านนำ้ ตก (Plunge Pool Lake) มักพบบริเวณตน้ นำ้ (ภาพที่ 3.13)

(2) แก่ง (Rapid) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำบริเวณ
ท้องน้ำที่เป็นโขดหินซึ่งมีความแข็งแกร่งแตกต่างกัน ในฤดูแล้งเมื่อระดับน้ำลกลงจะปรากฏแก่งข้ึน
มากมาย ถ้าโขดหินมีขนาดใหญ่กีดขวางการไหลของกระแสน้ำจะทำให้เกิดกระแสน้ำไหลโจนผ่าน
โขดหิน เรียกว่า แก่งน้ำตก (Cataract) มีคุณค่าทางภมู ทิ ัศน์และเป็นสถานที่ทอ่ งเที่ยว เช่น แก่งตะนะ
จังหวดั อุบลราชธานี (ภาพท่ี 3.14) แก่งคดุ คู้ จังหวดั เลย เป็นต้น

48

ภาพท่ี 3.13 กระบวนการเกดิ น้ำตก
ทม่ี า: Chambers (2006)

ภาพที่ 3.14 แกง่ ตะนะ จังหวัดอุบลราชธานี
ทีม่ า: การท่องเทยี่ วแหง่ ประเทศไทย (2017)

(3) กุมภลักษณ์หรือบ่อรูปหม้อ (Pothole) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการ
กัดเซาะของธารน้ำ มีลักษณะคล้ายบ่อกลม เกดิ จากธารนำ้ พัดพาเอาตะกอนจำพวก กรวด ทราย หรือ
หินขนาดเล็กมาหมุนวนในแอ่งเล็กๆ บนหน้าหินทราย ทำให้เกิดลักษณะของโพรงหิน หลุม
ทรงกระบอก หรือหม้อ ขนาดของหลุมมีตั้งแต่ 2-3 เซนติเมตร จนถึง 40-50 เซนติเมตร ส่วนล่างของ
หลุมจะมีเศษหิน กรวด ทราย ปรากฏอยู่ มักพบบริเวณน้ำไหลเชี่ยววน เช่น สามพันโบก จังหวัด
อุบลราชธานี (ภาพที่ 3.15) เปน็ ต้น

(4) ทางน้ำโค้งตวัด (Meander) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากทั้งการกัดเซาะและ
การทับถม โดยธารน้ำมีลักษณะโค้งไปโค้งมาคล้ายเส้นเชือกที่วางขดไว้ มักพบในบริเวณค่อนข้างราบ
โดยที่ธารน้ำจะกัดเซาะทางด้านข้างมากกว่าทางลึก เมื่อกระแสน้ำไหลมาปะทะตลิ่งด้านอ่อนๆ จะ
ค่อยๆ กัดเซาะตลิ่งด้านนั้นให้พังทลายไป ในขณะเดียวกันตลิ่งด้านตรงข้ามจะเกิดการทับถมงอก

49
ออกมา เมื่อธารน้ำไหลไปพบตลิ่งด้านที่แข็งจะมีการไหลวกกลับ การไหลโค้งเข้าโค้งออกดังนี้ ทำให้
เกิดทางน้ำโค้งตวัด บางแห่งโค้งตวัดเกือบประชิดกัน ทำให้น้ำไหลตัดโค้งเป็นทางตรง (Cut Off)
สำหรับทางน้ำส่วนโคง้ ทีถ่ กู ตัดขาดจะกลายเปน็ บึง หรือทะเลสาบรปู โค้งคล้ายแอก เรียกว่า ทะเลสาบ
รูปแอก (Oxbow Lake) (ภาพท่ี 3.16)

ภาพท่ี 3.15 สามพันโบก จงั หวัดอุบลราชธานี
ทม่ี า: นักเท่ียวเช่ยี วทาง (2014)

ภาพที่ 3.16 กระบวนการเกิดทางน้ำตวัดโคง้ และทะเลสาบรูปแอก
ทมี่ า: BBC (2017)

(5) หุบผาชัน (Canyon) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำ มี
ลักษณะเป็นหุบผาลึกชัน มักเกิดในเขตภูมิอากาศแห้งแล้งที่มีฝนตกเป็นครั้งคราว เกิดการกัดเซาะ
อย่างรุนแรง ทำให้หุบเขาที่เป็นทางของธารน้ำมีการขยายตวั ออกกว้างและธารน้ำจะมีการกัดเซาะหุบ
ผาลึกและชันลงไปมาก เช่น แกรนด์แคนยอน สหรฐั อเมริกา (ภาพท่ี 3.17) เป็นตน้

50

ภาพท่ี 3.17 แกรนดแ์ คนยอน สหรัฐอเมริกา
ทมี่ า: Harrison (2014)

(6) สะพานหินธรรมชาติ (Natural Arch or Natural Bridge) เป็นลักษณะภูมิประเทศ
ที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำ โดยมีลักษณะเป็นสะพานหินโค้งเชื่อมผนังสองด้านของหุบเขา เกิด
จากธารนำ้ กดั เซาะบรเิ วณรอยแตก รอยแยกของหนิ จนลกึ เขา้ ไปเป็นถำ้ แล้วคอ่ ยขยายใหญข่ นึ้ จนทะลุ
ถึงกัน ลักษณะที่ปรากฏจึงมีลักษณะเหมือนสะพาน เช่น สะพาน Fairy ประเทศจีน (ภาพที่ 3.18)
เปน็ ตน้

ภาพท่ี 3.18 สะพาน Fairy ประเทศจีน
ที่มา: Wilhelm (2011)

(7) ที่ราบน้ำท่วมถึง (Flood Plain) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมของ
ธารน้ำ โดยมีลักษณะเป็นที่ราบริมธารน้ำ ซึ่งมักจะมีน้ำท่วมเป็นคร้ังคราวในชว่ งหน้าฝน โดยที่ตะกอน
ดินทรายที่ธารน้ำพัดพามาจะไปทับถมแผ่เป็นบริเวณกว้าง โดยจะหนามากที่สุดตรงบริเวณใกล้แม่น้ำ
และจะบางลงในบริเวณที่ห่างออกไป เช่น ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท (ภาพที่ 3.19)
เปน็ ตน้


Click to View FlipBook Version