The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by IYaKhup LP, 2020-05-28 03:13:23

ภูมิศาสตร์กายภาพ

eBook

101

การเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกนั ของความกดอากาศ อากาศบริเวณที่มีความกดอากาศสูงจะเคลื่อนที่
เขา้ มายงั บริเวณท่มี คี วามกดอากาศต่ำ มวลอากาศที่เคลอื่ นท่ีเราเรยี กวา่ ลม จงึ กล่าวได้วา่ ลมเกิดจาก
การเคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความกดอากาศสูงไปยังบริเวณท่ีมีความกดอากาศต่ำ การเคลื่อนที่ของลม
จะเรว็ หรอื ช้าข้นึ อย่กู ับความแตกตา่ งของความกดอากาศสงู และความกดอากาศตำ่ ถา้ มีความแตกต่าง
กันน้อยลมที่เกิดขึ้นจะเป็นลมเอื่อย และถ้ามีความแตกต่างกันมากจะกลายเป็นพายุได้ ดังนั้นการเกิด
ลมจึงเป็นปรากฏการณ์ทีอ่ ากาศร้อนลอยตัวสูงขึน้ และอากาศเย็นเคลือ่ นเขา้ มาแทนที่น่ันเอง มีหน่วย
เปน็ กโิ ลเมตรต่อชว่ั โมง หรือไมลต์ อ่ ชวั่ โมง หรอื นอต (Knot) สำหรับเครอ่ื งมือวัดทิศทางลมเรียกว่า วิน
เวน (Wind Vane) มีลักษณะเป็นลูกศรบอกทิศทางลมที่พัดมา ส่วนเครื่องมือที่ใช้วัดความเร็วลม
เรียกว่า แอนนีโมมิเตอร์ (Anemometer) มีลักษณะเป็นถ้วยรับลม เมื่อลมพัดมาจะหมุน โดยมีสเกล
บอกความเร็ว (ภาพท่ี 5.7)

(A) (B)
ภาพที่ 5.7 วินเวน (A) และแอนนีโมมิเตอร์ (B)
ทีม่ า: (A) Envatomarket (2017)

(B) Amazon (2017)

(3.1) ระบบลมบนพื้นโลก (Earth’s Surface Wind Systems) ระบบลมบนพื้นโลก
สมั พนั ธก์ บั แนวความกดอากาศ (นำพวลั ย์ กจิ รักษ์กุล และกลั ยา เทยี นวงศ,์ 2557: 119-120, ลกั ษณา
สัมมานิธ,ิ 2544: 57) ดังน้ี (ภาพท่ี 5.8)

ก. บริเวณร่องความกดอากาศต่ำแถบศูนย์สูตรหรือลมสงบแถบศูนย์สูตร
(Equatorial Low Pressure หรือ Equatorial Trough ) อยรู่ ะหว่างละติจดู 5 องศาเหนือถงึ 5
องศาใต้ บริเวณนี้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้อากาศยกตัวขึ้นข้างบน ทำให้อากาศไม่
เคล่ือนที่ในแนวระดบั จงึ เปน็ เขตลมออ่ นหรอื ลมสงบแถบศูนยส์ ูตรเรยี กว่า ดอลดรมั ส์

102

ภาพท่ี 5.8 ระบบลมบนพ้นื โลกสัมพันธก์ ับแนวความกดอากาศ
ท่ีมา: PMF (2015)

ข. เขตลมค้า (Trade Wind Belt) อยู่ระหว่างละติจูด 5-30 องศาเหนือและใต้
ลมคา้ เปน็ ลมที่พดั มาจากบริเวณแนวความกดอากาศสงู กง่ึ เขตร้อนมายังบริเวณแนวความกดอากาศต่ำ
ศูนย์สูตร หากพัดอยู่บริเวณซีกโลกเหนือเรียกว่า ลมค้าตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeast Trade)
แต่หากพัดอยู่บริเวณซีกโลกใต้เรียกว่า ลมค้าตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Trade) ลมนี้ปรากฏชดั
บริเวณน่านน้ำแถบมหาสมุทรแปซิฟิก มหาแอตแลนติก ลมนี้มีความเร็ว 16-24 กิโลเมตรต่อช่ัวโมง
ลมน้ีพัดสม่ำเสมอและมีทิศทางทค่ี ่อนขา้ งแนน่ อน เขตน้ที อ้ งฟ้าแจ่มใส

ค. เขตกึ่งเขตร้อนหรือฮอร์สละติจูด ( Subtropical Belts หรือ Horse
Latitudes) อยู่ระหว่างละติจูด 30-40 องศาเหนือและใต้ เป็นบริเวณที่มีความกดอากาศสูงที่ก่อตัว
ของลม ลักษณะเป็นลมแห้งพัดอ่อนๆ ทิศทางไม่แน่นอน บริเวณนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ปริมาณฝนน้อย จึง
เปน็ เขตทะเลทราย

ง. เขตลมตะวันตก (Prevailing Westerly Winds) อยู่ระหว่างละติจูด 30-60
องศาเหนือและใต้ เปน็ ลมทพ่ี ดั มาจากบริเวณแนวความกดอากาศสงู กึ่งเขตรอ้ นไปยงั บรเิ วณแนวความ
กดอากาศต่ำกึ่งขั้วโลก ในซีกโลกเหนือลมพัดรุนแรงมากในฤดูหนาว สำหรับซีกโลกใต้ลมพัดรุนแรงทงั้
ฤดูร้อนและฤดูหนาว ใช้ประโยชน์ในการเดินเรือจากตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกไปทาง
ตะวันออกผ่านมหาสมุทรอินเดียสู่ออสเตรเลียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกกับเดินทางจาก
มหาสมุทรแปซิฟิกอ้อมแหลมฮอร์น ปลายทวีปอเมริกาใต้ไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก ลมนี้มีอีกชื่อว่า
รอรงิ ฟอรต์ สี ์ (Roaring Forties) (ภาพที่ 5.9)

103

ภาพที่ 5.9 เขตลมดอลดรัมส์ ฮอรส์ ละตจิ ดู และรอรงิ ฟอร์ตสี ์
ที่มา: Mohr (2017)

จ. บริเวณความกดอากาศต่ำกึ่งขั้วโลก (Subpolar Low Pressure หรือ
Stromy Latitudes) อยู่ระหว่างละติจูด 60-70 องศาเหนือและใต้ เป็นเขตที่มีลมพัดมาจากความกด
อากาศสูงทั้งด้านเหนือและด้านใต้มาปะทะบริเวณนี้ มีผลทำให้ช่วงฤดูหนาวจะเกิดพายุหมุนซึ่งเป็น
พายุหมนุ นอกเขตรอ้ น

ฉ. ลมตะวันออกแถบขั้วโลก (Polar Easterlies) อยู่ระหว่างละติจูด 70-90
องศาเหนือและใต้ เป็นเขตที่ลมพัดมาจากขั้วโลกที่อากาศเย็นและความกดอากาศสูงมายังบริเวณ
ความกดอากาศต่ำกึ่งขั้วโลกที่มีอากาศอุ่นกว่า ลมที่พัดมาจะเป็นลมหนาวเย็นจัดและมีอิทธิพลในช่วง
ฤดูหนาว ซีกโลกเหนอื ลมจะพดั มาจากทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ สว่ นซีกโลกใตพ้ ดั มาจากทศิ ตะวันออก
เฉยี งใต้

(3.2) ลมมรสุมในประเทศไทย (Thai Monsoon) เน่ืองจากแกนโลกเอยี งทำมมุ 23.5
องศากับแนวดิ่งและมีการหมุนรอบตวั เองพร้อมกับการโคจรรอบดวงอาทิตย์ ซีกโลกทัง้ สองจึงผลัดกัน
หันเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดฤดูกาลต่างๆ สำหรับประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรใน เขตร้อน
อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุมหรือลมประจำฤดู ซึ่งเป็นลมที่พัดเปลี่ยนทิศทางตามฤดูกาลทุกครึ่งปี
และมที ศิ ทางพัดที่แน่นอน แยกพิจารณาไดด้ งั นี้ (ภาพท่ี 5.10)

ก. ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นลมที่พัดผ่านประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว
ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เกิดขึ้นเนื่องจากพ้ืนผิวโลกประกอบไปด้วยพื้นดินและ
พน้ื น้ำ ในช่วงเดือนดังกลา่ วดวงอาทิตย์ส่องแสงตรงกับพ้นื น้ำในมหาสมุทร ทำให้อากาศเหนือพ้ืนน้ำมี
อุณหภูมิสูงและลอยตัวขึ้น อากาศเย็นกว่าบริเวณภาคพื้นทวีปจึงเคลื่อนตัวออกไปแทนที่อากาศร้อน

104

ในมหาสมุทร ทำให้เกิดกระแสลมเย็นพัดผ่านจากภาคพื้นทวีปสู่มหาสมุทรเป็นลมมรสุม
ตะวันออกเฉียงเหนือ

ข. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เปน็ ลมมรสุมฤดูรอ้ นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดอื น
ตุลาคม ในชว่ งเดือนดังกล่าวเป็นช่วงท่ีพ้ืนดนิ ไดร้ บั แสงจากดวงอาทิตยเ์ ต็มที่ ทำให้อากาศเหนือพ้ืนดิน
มีอุณหภูมิสูงและลอยตัวขึ้น อากาศเย็นจากมหาสมุทรจึงเคลื่อนตัวพาความชุ่มชื้นและไอน้ำมาสู่
ภาคพื้นทวปี ฝนจึงตกมาก

ภาพท่ี 5.10 ลมมรสุมในประเทศไทย
ที่มา: Ruzgarlari (2015)

(3.3) ลมประจำเวลา แยกพจิ ารณาได้ดังน้ี (ลักษณา สัมมานธิ ิ, 2544: 59)
ก. ลมบก (Land Breeze) เกิดในช่วงเวลากลางคืน เป็นลมที่พัดจากพ้ืนดินสู่

ทะเล เนื่องจากเวลากลางคืนพื้นดินคายความร้อนได้เร็วกว่าพื้นน้ำ อุณหภูมิพื้นดินจึงต่ำกว่าอุณหภูมิ
พ้นื น้ำ เม่ืออากาศร้อนบนพ้ืนน้ำลอยตัวสงู อากาศเยน็ จากพ้นื ดนิ จึงพัดเขา้ ไปแทนที่ ทำให้เกิดลมบกท่ี
พดั จากฝ่งั ส่ทู ะเลในเวลากลางคนื

ข. ลมทะเล (Sea Breeze) เกิดในช่วงเวลากลางวัน เป็นลมที่พัดจากทะเลสู่
พื้นดินบริเวณชายฝั่งทะเล เนื่องจากเวลากลางวันพื้นดินและพื้นน้ำได้รับความร้อนเท่ากัน แต่พื้นดิน
ร้อนเรว็ กวา่ พื้นน้ำ เม่อื พ้ืนดนิ อณุ หภมู ิสงู อากาศจึงเกิดการลอยตัวขึ้น อากาศเหนอื พื้นน้ำจึงพดั เข้าไป
แทนที่ ทำใหเ้ กิดลมทะเลท่ีพดั จากทะเลสชู่ ายฝ่ังในเวลากลางวัน

ค. ลมภูเขา (Mountain Breeze) เกิดในช่วงเวลากลางคืน เมื่ออากาศเย็น
ตวั อยา่ งรวดเร็ว ความกดอากาศบรเิ วณทส่ี ูงจะมมี ากกวา่ อากาศบริเวณภูเขาจะไหลลงมาสหู่ ุบเขาเกิด
เป็นลมภูเขา โดยส่วนใหญ่จะพาความเย็นมาสู่หุบเขา แต่หากอากาศเย็นและชื้นมากจะเกิดหมอก
หนาทบึ ปกคลุมหุบเขาหรอื อาจเกิดน้ำคา้ งแขง็ ไดเ้ ชน่ กนั

ง. ลมหุบเขา (Valley Breeze) เกิดในช่วงเวลากลางวัน เมื่อบริเวณยอดเขาและ
ลาดเขาได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากกว่า อากาศบริเวณยอดเขาและลาดเขาจะลอยตัวสูงข้ึน

105

อากาศบริเวณหุบเขาที่เย็นกว่าจะเคลื่อนตัวเข้าไปแทนที่ทำให้เกิดลมหุบเขา ซึ่งลมดังกล่าวจะช่วย
ระบายความรอ้ นจากหุบเขาไปตามลาดเขาได้

(3.4) ลมประจำถิ่นในประเทศไทย (Local Wind) หมายถึง ลมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา
ตา่ งๆ ของชว่ งปี ซงึ่ มีชอื่ เรยี กแตกต่างกนั ไปตามทอ้ งถน่ิ ต่างๆ ในประเทศไทย ยกตัวอย่างได้ดงั น้ี

ก. ลมว่าว/ ลมข้าวเบา เป็นลมที่พัดมาจากภาคเหนอื ลงมายงั ลุ่มแมน่ ำ้ เจ้าพระยา
ไปทางทิศใต้ เป็นลมหนาว เกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่
ผู้คนนยิ มเล่นวา่ วจงึ เรียกว่า ลมว่าว ส่วนสาเหตุที่เรยี กว่า ลมขา้ วเบา เน่อื งจากเป็นลมทีพ่ ัดในชว่ งเวลา
ท่มี กี ารเก็บเกยี่ วขา้ วชนดิ หน่ึงในเดอื นพฤศจกิ ายน

ข. ลมตะเภา เป็นลมที่พัดจากอ่าวไทยไปยังที่ราบลุ่มแม่น้ำเจา้ พระยาหรือเป็นลม
ทพ่ี ัดจากทิศใต้ไปยังทศิ เหนือในชว่ งกลางฤดูร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเดอื นเมษายนของทกุ ปี ลมตะเภา
จะพัดแรงในเวลากลางวัน เนื่องจากมีลมทะเลพัดมาช่วยเสริม ส่วนเวลากลางคืนจะอ่อนกำลังลง
เล็กนอ้ ย เนือ่ งจากมลี มบกพัดต้านไว้

ค. ลมกรด เป็นลมที่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศระหว่าง 10,000-15,000 เมตร มี
ลักษณะเป็นลำคล้ายท่อรูปรีขนาดใหญ่ เกิดบริเวณแนวอากาศเย็นและอากาศร้อนมาพบกัน มี
ความเร็วระหว่าง 350-450 กโิ ลเมตรตอ่ ชวั่ โมง โดยแกนของลมกรดจะมีความเรว็ ลมสงู สุด

ง. ลมสลาตัน เป็นลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ เกดิ ข้ึนชว่ งตน้ ของการเปล่ยี นฤดูกาล
มกั จะเกดิ พายฝุ นหรือลมแรง

จ. ลมงวง/ นาคเล่นน้ำ เป็นพายุหมุนที่เกิดจากการหมุนเวียนของอากาศภายใน
เมฆคิวมูโลนิมบัสหรือเมฆฝน มีลักษณะคล้ายงวงยาวลงมาจากฐานเมฆฝน สำหรับประเทศไทย
ลมชนิดนี้จะเกิดขนึ้ ในทะเลจงึ มีช่อื เรยี กอกี อยา่ งว่า นาคเล่นนำ้ (Waterspout)

ฉ. ลมบ้าหมู เป็นลมที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ มีทิศทางพัดหมุนวนเข็ม
นาฬิกา มักเกิดขึ้นในบริเวณที่อากาศร้อนจัด ทำให้อากาศลอยตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดการไหล
เขา้ มาแทนทข่ี องอากาศ เกิดมากในฤดูร้อน

(4) ความชื้น (Humidity) หมายถึง ปริมาณไอน้ำที่มีอยู่ในอากาศที่มีอุณหภูมิจุดใดจุด
หนึ่ง หรือความสามารถของอากาศท่ีจะรับไอน้ำไว้ได้ อากาศที่มีอณุ หภูมแิ ตกต่างกันจะเก็บไปน้ำไว้ได้
ต่างกัน อุณหภูมิที่อากาศรับไอน้ำไว้ได้เต็มท่ี เรียกว่า จุดอิ่มตัว (Saturation Point) ความชื้นใน
อากาศสามารถแยกพิจารณาได้ ดงั น้ี

(4.1) ความชื้นสัมพัทธ์ (Relative Humidity) คือ สัดส่วนของปริมาณไอน้ำที่มีอยู่
จริงในอากาศขณะนั้น เปรียบเทียบกับปริมาณไอน้ำท่ีสามารถมีอยู่ในอากาศมากที่สุดจนถึงจุดอิ่มตัว
(Saturation Vapor Pressure) ณ อุณหภูมิของอากาศในขณะนั้น คิดเป็นร้อยละ เช่น ณ อุณหภูมิ
10 องศาเซลเซียส ปริมาณอากาศ 1 ลูกบาศก์ฟุต ไอน้ำสามารถรับน้ำได้มากที่สุด ณ อุณหภูมิอากาศ

106

10 องศาเซลเซียส (1 ลูกบาศก์ฟุต เท่ากับ 9 กรัม) เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณไอน้ำที่มีอยู่จริงใน
อากาศขณะนัน้ หากเทา่ กับ 9 กรัม ความชืน้ สัมพทั ธ์จะเทา่ กับ 9 ตอ่ 9 หรือเท่ากบั รอ้ ยละ 55 เปน็ ต้น

(4.2) ความชื้นสัมบูรณ์ (Absolute Humidity) คือ ปริมาณไอน้ำที่ปรากฏอยู่ใน
อากาศ ณ ช่วงระยะเวลาใดเวลาหน่ึง หรือกลา่ วไดว้ า่ ความชนื้ สัมบูรณ์ คือ ความหนาแน่นของไอนำ้ ใน
อากาศ มหี นว่ ยเปน็ กรมั ตอ่ ลูกบาศก์เมตร

(4.3) จุดน้ำค้าง (Dew Point) คือ จุดท่ีมีการกลั่นตัวของไอน้ำเกิดขึ้นอันเนื่องจาก
ปริมาณไอน้ำในอากาศอิ่มตัวเต็มท่ีและอุณหภูมิของอากาศลดลง จนทำให้เกิดการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ
ตามธรรมชาติ

(4.4) จุดเดือด (Boiling Point) คือ อุณหภูมิขณะที่ของเหลวได้รับความร้อนเพิ่มข้ึน
จนทำให้ความดันไอเท่ากับความดันบรรยากาศ ณ อุณหภูมินี้ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นไอได้ทั่ว
ทงั้ หมด ทง้ั นข้ี องเหลวต่างชนดิ กันจะมีจดุ เดือดแตกต่างกัน เชน่ นำ้ บริสุทธภ์ิ ายใต้ความกดดัน 1
บรรยากาศ มจี ุดเดอื ดท่ี 100 องศาเซลเซยี ส เปน็ ต้น

(4.5) จุดเยือกแข็ง (Freezing Point) คือ อุณหภูมิขณะที่ของเหลวเกิดการแข็งตัว
ภายใต้ภาวะที่กำหนดให้ ของเหลวแต่ละชนิดจะมีจุดเยือกแข็งแตกต่างกัน เช่น น้ำบริสุทธิ์ภายใต้
ความกดดนั 1 บรรยากาศ จะมจี ุดเยือกแข็งที่ 0 องศาเซลเซยี ส เปน็ ตน้

เครื่องมือสำหรับวัดความชื้นในอากาศ ได้แก่ ไฮโกรมิเตอร์ (Hygrometer) เป็น
เครื่องมือสำหรับวัดความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ สามารถวัดความชื้นสัมพัทธ์ได้ในช่วง ร้อยละ
0-100 RH และไซโครมิเตอร์ (Psychrometer) เปน็ เครอื่ งวัดความช้ืนสมั พัทธแ์ ละจุดนำ้ ค้างในอากาศ
ในการวัดจะต้องใหก้ ระเปาะอยใู่ นอากาศท่ีถ่ายเทสะดวก (ภาพท่ี 5.11)

(A) (B)
ภาพท่ี 5.11 ไฮโกรมิเตอร์ (A) และไซโครมิเตอร์ (B)
ท่ีมา: (A) Lemon (2016)

(B) Flinn (2017)

107

(5) เมฆ (Cloud) เป็นรูปแบบการกล่ันตัวของไอน้ำในอากาศในระดับท่ีสูงจากพ้ืนโลก มี
สภาพเป็นหยดน้ำขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 0.02-0.06 มิลลิเมตร หรืออาจเป็นผลึกน้ำแข็ง
เล็กๆ ที่ถูกยกตัวขึ้นไปสูงด้วยการเคลื่อนที่ของอากาศ มีฝุ่นละอองเป็นตัวกลาง (Nuclei) ให้หยดน้ำ
เกาะ เมฆแบง่ ตามระดบั ความสงู ได้เปน็ 4 ชนดิ ดงั นี้ (รัชนกี ร บญุ -หลง, 2536: 137) (ภาพท่ี 5.12)

(5.1) เมฆชั้นสูง (High Cloud) เกิดในระดับความสูง 6,000–12,000 เมตร เรียกอกี
อยา่ งว่า เมฆตระกูล A (Family A) สามารถแบ่งออกได้เปน็ 3 ชนดิ ยอ่ ย คือ

ก. เมฆซีร์รัส (Cirrus) มีสขี าวปุยคลา้ ยใยไหม ลกั ษณะเป็นฝอยละเอยี ด ค่อนข้าง
โปร่งแสงหรอื มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ ต่อเนือ่ งกันคลา้ ยขนนกหรือปอยผม แสดงถึงอากาศแจ่มใส

ข. เมฆซีร์โรสเตรตัส (Cirrostratus) เป็นเมฆแผ่นมีสีขาวโปร่งแสง เป็นฝ้าบางๆ
ราบเรียบสม่ำเสมอกัน ในบางครั้งอาจปกคลุมทั่วท้องฟ้าและทำให้เกิดเป็นวงแสง เรียกว่า Halo
เกิดปรากฎการณด์ วงอาทติ ย์หรือดวงจนั ทรท์ รงกลด

ค. เมฆซีร์โรคิวมูลัส (Cirrocumulus) เป็นลักษณะเป็นก้อนกลมเล็กๆ ไม่มีเงา
ปรากฏบนก้อนเมฆ บางส่วนของเมฆมีลักษณะคล้ายระรอกคลื่นเล็กๆ และเป็นเส้นผสมกัน เกิดเป็น
แนวต่อเนอ่ื งกนั หรอื กระจายออกห่างกนั อย่างเปน็ ระเบยี บ

(5.2) เมฆชั้นกลาง (Middle Cloud) เกิดในระดับความสูง 2,000–6,000 เมตร
เรยี กอีกอย่างว่า เมฆตระกูล B (Family B) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย คอื

ก. เมฆแอลโตคิวมูลัส (Altocumulus) มีสีขาวปนเทา ลักษณะเป็นคลื่นหรือ
เป็นลอน ประกอบด้วยเมฆก้อนขนาดเล็กๆ ช่องว่างระหว่างเมฆก้อนจะมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงิน
มักเกดิ ขนึ้ หลงั จากสภาพอากาศแปรปรวน การเกิดเมฆดังกลา่ วแสดงถึงอากาศที่ดี

ข. เมฆแอลโตสเตรตัส (Altostratus) เป็นเมฆแผ่นที่มีลักษณะเป็นเยื่อหรือเป็น
พืดบางๆ มีสีเทาหรือสีน้ำเงินอ่อน แผ่กระจายปกคลุมท้องฟ้าเป็นบริเวณกว้าง เวลาที่แดดส่ องผ่าน
ลักษณะคล้ายด่งั ดวงไฟส่องผ่านม่านขาวหรือเหน็ ดวงอาทติ ย์เป็นสีชดั

(5.3) เมฆชั้นล่าง (Low Cloud) เกิดในระดับความสูงจากพ้ืนดินถึง 2,000 เมตร
แบ่งออกเป็น 2 ชนิดยอ่ ย คอื

ก. เมฆสเตรตสั (Stratus) เปน็ เมฆระดับต่ำท่ีมีลักษณะเป็นชนั้ หรือแผ่นทึบคล้าย
หมอกที่ยกตัวสูงขึ้น ความสูงของฐานเมฆจะสม่ำเสมอในเขตภูมิอากาศอบอุ่น ในฤดูหนาวเมฆชนิดนี้
จะมฐี านอยสู่ งู จากพนื้ ดนิ ประมาณ 30–60 เมตร ถือวา่ เปน็ อุปสรรคตอ่ การบนิ มาก

ข. เมฆนิมโบสเตรตัส (Nimbostratus) มีลักษณะเป็นแผ่นหรือเป็นชั้นหนาสีดำ
แผเ่ ป็นบรเิ วณกว้าง ถ้าเกิดเมฆชนดิ นแี้ สดงถงึ สภาพอากาศแปรปรวนมฝี นตก จึงเรียกว่า เมฆฝน

108

ค. เมฆสเตรโตคิวมูลัส (Stratocumulus) มีลักษณะเป็นเมฆก้อนเรียงติดต่อกัน
เป็นพืดจนเป็นก้อนแบนกว้างใหญ่หรือเป็นลอนลูกฟูก บางครั้งเกิดมากจะปิดบังท้องฟ้าเกือบหมดจะ
เหน็ ทอ้ งฟา้ เป็นสนี ้ำเงนิ

ภาพที่ 5.12 ชนดิ ของเมฆแบ่งตามระดับความสงู
ทีม่ า: Cloud Master (2017)

(5.4) เมฆที่ก่อตัวในแนวตั้ง เกิดจากกระบวนการพาความร้อนจากการเคลื่อนที่ของ
กระแสอากาศในแนวดิ่ง (Convection) มีลักษณะความสูงจากพื้นดินเทียบเท่ากับเมฆตระกูล A หรือ
เมฆชนั้ สงู บางครั้งเรียกเมฆชนิดน้ีว่า เมฆตระกลู D (Family D) แบ่งออกเปน็ 2 ชนิดย่อย ไดแ้ ก่

ก. เมฆควิ มลู สั (Cumulus) เป็นเมฆก้อนทม่ี ยี อดเมฆคล้ายกบั รูปโดมหรือสุ่มทรง
หอคอย สว่ นทแ่ี สงอาทติ ยส์ อ่ งผา่ นลงมาได้จะเปน็ สขี าว สว่ นลา่ งหรอื ฐานเมฆมีสดี ำ เมฆชนิดนีบ้ ่งบอก
ถึงสภาวะอากาศค่อนขา้ งดี แต่ถา้ รวมตวั กันเปน็ จำนวนมากจะทำให้เกิดฝนตกได้

ข. เมฆคิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) เป็นเมฆก้อนขนาดใหญ่ มีลักษณะ
คล้ายกับภูเขาหรือหอคอยขนาดใหญ่ ตอนบนจะแผ่ออก เมฆชนิดนี้บ่งบอกถึงสภาพฝนฟ้าอากาศ
แปรปรวนหรือเป็นเมฆฝน มีสดี ำ เมฆชนิดน้กี อ่ ให้เกดิ พายุฝนฟ้าคะนอง

อย่างไรก็ตามจากลักษณะเมฆดังกล่าวอาจแบ่งชนิดของเมฆได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
เมฆแผน่ (Stratiform) และเมฆก้อน (Cumuniform)

(6) น้ำฟ้า (Precipitation) เกิดจากการกลั่นตัวของไอน้ำจากเมฆเป็นหยดน้ำ โดย
หยดนำ้ จะรวมตวั กนั เป็นหยดน้ำทม่ี ขี นาดใหญ่ตกจากฟา้ ลงมาส่พู ืน้ ดิน (พวงเพชร์ ธนสนิ , 2555: 134,
รัชนีกร บญุ -หลง, 2536: 138) ได้สรุปชนิดของนำ้ ฟ้าไว้ดงั นี้ (ภาพท่ี 5.13)

109

ภาพที่ 5.13 ลักษณะของน้ำฟ้าชนดิ ตา่ งๆ
ที่มา: Thompson (2010)

(6.1) น้ำค้าง (Dew) หมายถึง ปรากฏการณ์ที่เกิดจากไอน้ำในอากาศเหนือผิวดิน
เย็นตัวลง เกิดการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศเป็นหยดเล็กๆ เกาะอยู่บนยอดหญ้า พื้นดิน เนื่องมาจาก
การคายความร้อนของผิวดินอย่างรวดเร็วในตอนกลางคืน ประกอบกับอุณหภูมิที่ลงต่ำลง อากาศเย็น
จัด ทำให้อากาศผิวดินเย็นตัวลงตามไปด้วย ไอน้ำจึงกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำ เช่นเดียวกับการเกิด
น้ำคา้ งแขง็ ทอ่ี ากาศผิวดินเย็นตวั ลงจนถึงจดุ เยอื กแขง็ ไอน้ำจึงกลนั่ ตวั เป็นน้ำแข็งเกาะอยู่ตามผวิ ดนิ

(6.2) หมอกน้ำค้าง (Mist) หมายถึง ละอองน้ำขนาดเล็กมากจนไม่สามารถเห็นได้
ด้วยตาเปล่าหรือละอองน้ำดูดความชื้น (Hydroscopic Water Droplets) ลอยอยู่ในอากาศ หมอก
น้ำค้างมีลักษณะเช่นเดียวกับหมอกแต่บางกว่า เมื่อมีหมอกน้ำค้างเกิดขึ้นเหนือสถานที่ใดมักจะแลดู
คล้ายม่านบางสีเทาคลุมอยู่เหนือสถานที่นั้น ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงแต่ยังเห็นได้ไกลเกิน
กว่า 1 กิโลเมตร ซึ่งหมอกน้ำค้างเป็นสภาพอากาศทอี่ ยูร่ ะหวา่ งฟา้ หลัวชืน้ (Damp Haze) กบั หมอก

(6.3) หมอก (Fog) หมายถึง ละอองน้ำขนาดเล็กที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เกิดจากการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศที่มีระดับใกล้กับพื้นดินมาก ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็น ต่ำ
ถ้าหากอุณหภูมิบริเวณพื้นดินต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ละอองน้ำดังกล่าวจะกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง เรียกว่า
หมอกน้ำแข็ง (Ice Fog) สำหรับความแตกต่างระหว่างเมฆและหมอก คือ หมอกมีฐานอยู่ใกล้ระดับ
พื้นดิน เนื่องจากเป็นไอน้ำในอากาศทีม่ ีนำ้ หนักมากกว่า อย่างไรก็ตามสามารถแบ่งประเภทของหมอก
ได้เปน็ 4 ประเภท ดังน้ี (นำพวัลย์ กจิ รักษ์กลุ และกลั ยา เทยี นวงศ,์ 2557: 120-122) (ภาพที่ 5.14)

110

(A) (B) (C)

ภาพท่ี 5.14 การเกิดหมอกพ้ืนดนิ หมอกแอดเวกชนั และหมอกบรเิ วณลาดเขา

ท่มี า: The Weather Doctor (2017)

ก. หมอกพืน้ ดิน (Radiation Fog หรือ Ground Fog) เกดิ จากการแผร่ ังสี ความ
ร้อนมักเกิดเหนือพื้นดินในเขตอากาศอบอุ่น ในเวลากลางคืนที่อากาศแจ่มใสพื้นดินคายความร้อน ทำ
ให้อุณหภูมิของอากาศบริเวณใกล้พื้นดินเย็นลงกว่าอากาศทีอ่ ยู่ในระดับสูงขึ้นไป อากาศเหนอื พ้นื ดนิ มี
ความชื้นและลมสงบ ไอน้ำในอากาศเกิดการกลั่นตัวเป็นละอองน้ำเป็นหมอกที่อยู่สูงจากพื้นดิน 2-3
ฟตุ และค่อยๆ สงู ขน้ึ

ข. หมอกแอดเวกชัน (Advection Fog) เกดิ จากอากาศอนุ่ และชนื้ เคลอื่ นตัวทาง
แนวนอนที่บนพื้นดินที่เย็นจัด อากาศอุ่นและชื้นนั้นเย็นลงเท่ากับอุณหภูมิของจุดน้ำค้างจะเกิดการ
กลนั่ ตัวเป็นหมอก มักพบเห็นเสมอในทะเลเรยี กว่า หมอกทะเล (Sea Fog)

ค. หมอกบริเวณลาดเขา (Upslope Fog) เกิดจากอากาศเคลอ่ื นตัวขน้ึ ตาม ลาด
เขาและอุณหภูมิของอากาศจะลดลงเท่ากับอุณหภูมิของจุดน้ำค้าง ไอน้ำในอากาศจะเกิดการ กลั่นตัว
เป็นหมอกบรเิ วณลาดเขา

ง. หมอกที่เกิดจากการระเหย (Evaporation Fog) เกิดจากอากาศที่อุ่นและชน้ื
เกิดการกลายเป็นไอเพิ่มความชื้นให้กับอากาศ ทำให้อากาศมีไอน้ำมากและไอน้ำอิ่มตัวจนเกิดการ
กลั่นตัวเป็นละอองน้ำและเป็นหมอก ได้แก่ หมอกฝน (Rain Fog) หมอกแนวปะทะอากาศ (Frontal
Fog) หมอกไอ (Steam Fog) ซึ่งถ้าเกิดเหนือพื้นน้ำที่อุ่นบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกเรียกว่า ควันทะเล
(Sea Smoke) (ภาพท่ี 5.15) หมอกชนดิ นีอ้ าจยกตวั ข้ึนระดบั สูงถงึ 5,000 ฟตุ

111

ภาพที่ 5.15 หมอกไอหรอื ควันทะเล
ทมี่ า: Salutskij (2016)

นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่พบบ่อย คือ ฟ้าหลัว (Smog)
เกิดขึ้นเช่นเดียวกับหมอกควัน แต่เนื่องจากสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยมักก่อให้เกิดสภาวะผสม
กันระหว่างหมอกควันกับหมอก ในฤดูร้อนที่ท้องฟ้ามีฝุ่นละอองอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อฝุ่นละอองถูก
จับโดยไอน้ำในอากาศจึงกลายเป็นเมฆ ทำให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านไม่สะดวก บรรยากาศมัว ท้องฟ้ามี
ลักษณะเป็นฝ้าโดยทั่วไป

(6.4) ฝน (Rain) เป็นรูปแบบของน้ำฟ้าที่มีสภาวะเป็นของเหลว เกิดจากการกลั่นตวั
ของไอนำ้ ในอากาศเปน็ ละอองน้ำ หยดนำ้ จนรวมตัวกันมขี นาดใหญ่ ไม่สามารถลอยอยใู่ นอากาศไดจ้ ึง
ตกลงสู่พื้นผิวโลก โดยทั่วไปฝนมีสาเหตุการเกิดดังน้ี (นำพวัลย์ กิจรักษ์กุล และกัลยา เทียนวงศ์,
2557: 128)

ก. ฝนปะทะภเู ขา (Orographic Rain หรือ Relief Rain) เกิดจากอากาศที่พัดมา
จากบริเวณพื้นน้ำที่มีความชื้นเข้าสู่พื้นดิน เมื่อมาปะทะภูเขาจะลอยตัวขึ้นตามลาดเขา อุณหภูมิของ
อากาศลดลงจนไอน้ำในอากาศเกิดการกลั่นตัวเป็นหย ดน้ำและฝนบริเวณด้านหน้าภูเขาเรียกว่า
ด้านรับลม (Windward Side) จะมีฝนตกมาก เมื่ออากาศลอยผ่านยอดเขาก็จะเคลื่อนลงตามลาดเขา
บรเิ วณดา้ นหลงั ภเู ขาเรียกว่า ดา้ นหลงั ลม (Leeward Side) จะมีฝนตกนอ้ ยมากหรอื แทบจะไม่มี ฝน
ตกจึงเรยี กอกี อย่างว่า พื้นทอ่ี บั ฝนหรือเขตเงาฝน (Rainshadow) (ภาพท่ี 5.16)

112

ภาพที่ 5.16 ฝนปะทะภเู ขา
ที่มา: Salutskij (2016)

ข. ฝนพาความร้อน (Convectional Rain) เกิดจากอากาศร้อนและชื้นลอยตัว
สูงขึ้น อุณหภูมิของอากาศจนเกิดการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำและฝน ฝนตกเป็นบริเวณไม่กว้างและตกใน
ช่วงเวลาส้ันๆ

ค. ฝนแนวปะทะอากาศ (Frontal Rain) อากาศร้อนและอากาศเย็นเคลื่อนมา
ปะทะกัน อากาศเย็นจะดันอากาศร้อนให้ลอยตัวสูงขึ้น ไอน้ำในอากาศจะเกิดการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ
และฝน โดยฝนจะตกสม่ำเสมอ

ง. ฝนพายุหมุน (Cyclonic Rain) เกิดจากการยกตัวของอากาศที่พัดเวียนเข้าสู่
ศูนย์กลางความกดอากาศต่ำบริเวณเหนือพื้นน้ำ ทำให้เกิดเป็นฝนและเป็นฝนที่ตกหนักเป็นบริเวณ
กวา้ ง อาจตกติดต่อกันเป็นเวลานาน 2-3 วนั ตามเส้นทางท่พี ายุเคลือ่ นผา่ น

สำหรับเครื่องมือวัดปริมาณน้ำฝนเรียกว่า เรนเกจ (Rain Gauge) (ภาพที่ 5.17) มี
หน่วยการวัดเป็นนิ้ว เซนติเมตร และมิลลิเมตร ทั้งนี้ฝนตก 1 นิ้ว จะเท่ากับหิมะตก 1 ฟุต
โดยประมาณ

ภาพที่ 5.17 เรนเกจ
ท่มี า: AcuRite (2017)

113

(6.5) ลกู เหบ็ (Hail) มสี ถานะเป็นของแข็ง มขี นาดเส้นผ่าศูนย์กลางตงั้ แต่ 5

มิลลิเมตร มักเกิดในสภาพอากาศแปรปรวน เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง ภายในก้อนเมฆ พายุฝนฟ้า

คะนองจะพัดหอบเอาหยดน้ำหมุนเวียนขึ้นลงไปมา ประกอบกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงมาทำให้เม็ดฝน

กลายเป็นน้ำแข็ง เกาะพอกพูนกันเป็นชั้นๆ หลายชั้น โครงสร้างคล้ายหัวหอมผ่าซีก จนมีน้ำหนักมาก

พอท่ีจะตกลงสพู่ นื้ ดินได้

(6.6) หิมะ (Snow) เกิดในเขตอบอุ่นและเขตหนาว ลักษณะเป็นผลึกละเอียด เป็น

ปยุ เกิดจากไอน้ำในอากาศเปลย่ี นสถานะเป็นผลกึ ในขณะท่ีอุณหภมู ิลดตำ่ ลงกวา่ จุดเยอื กแข็ง ลักษณะ

ผลึกหิมะมรี ูปรา่ งต่างๆ มากมาย ได้แก่ ปรซิ ึม สีเ่ หล่ียม หา้ เหลยี่ ม เป็นตน้ หิมะใช่ว่าจะปกคลุมพืน้ ดิน

ได้เฉพาะเขตอบอุ่นและเขตหนาวเท่านั้น ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรก็สามารถพบหมิ ะบนยอดเขาสูง

ได้

1.8 มวลอากาศ แนวปะทะ และพายุ
จากการศึกษาข้างต้นเก่ียวกับการเกิดลม ลักษณะองค์ประกอบของลมฟ้าอากาศ และ

บรรยากาศ ตลอดจนรปู แบบต่างๆ ของการเกิดหยาดนำ้ ฟา้ อย่างไรกต็ ามการศึกษาจุดกำเนิดลักษณะ
และสาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์ตา่ งๆ นับวา่ เป็นส่งิ จำเปน็ ทต่ี ้องมกี ารศกึ ษาถึงและทำความเข้าใจ
เก่ียวกบั ลกั ษณะของการเกิดมวลอากาศ แนวปะทะอากาศ และการเกิดพายุ ดงั ต่อไปน้ี

5.8.1 มวลอากาศ (Air Mass) หมายถึง อากาศส่วนหนึ่งซึ่งมีอุณหภูมิ ความชื้น ความกด
อากาศ และทิศทางการพัดคลา้ ยคลึงกัน มวลอากาศจะเกิดขึ้นได้เม่ืออากาศส่วนนั้นอยู่กับท่ีและมีการ
สัมผัสกับพ้ืนผวิ โลก ซึ่งจะเปน็ พ้ืนดินหรือพื้นนำ้ ก็ได้ สัมผสั อยูเ่ ป็นระยะเวลานานจนมีสมบัตคิ ลา้ ยคลึง
กับผิวโลกสว่ นน้ัน เรยี กผวิ โลกบริเวณน้ันว่า แหลง่ กำเนดิ เมอ่ื เกิดมวลอากาศขนึ้ แล้วมวลอากาศนั้นจะ
เคลื่อนที่ออกไปยังบริเวณอื่นและจะไปทำให้ลักษณะของลมฟ้าอากาศบริเวณนั้น เปลี่ยนแปลงไป
เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมใหม่ มวลอากาศจะสามารถเคล่ือนที่ได้ในระยะทางไกล และยังคงรักษา
สมบัติสว่ นใหญเ่ อาไวไ้ ด้ (รัชนกี ร บุญ-หลง, 2536: 143)

การแบ่งประเภทของมวลอากาศจะแบ่งตามแหล่งกำเนิด โดยใช้เกณฑ์ละติจูดและผิวพื้น
แหลง่ กำเนิดของมวลอากาศมอี ยู่ 2 แหลง่ คอื

(1) บริเวณละติจูดสูงหรือบริเวณขั้วโลก มวลอากาศที่เกิดเรียกว่า มวลอากาศขั้วโลก
ใชอ้ ักษรยอ่ P

(2) บริเวณละติจูดต่ำหรอื เขตรอ้ น มวลอากาศท่เี กดิ เรียกว่า มวลอากาศเขตร้อน ใช้
อักษรย่อ T

114

มวลอากาศท้งั 2 ประเภทน้ีแยกออกเป็นประเภทยอ่ ยๆ คอื มวลอากาศภาคพนื้ ทวีป (c)
และมวลอากาศภาคพื้นสมุทร (m) เช่น cP หมายถึง มวลอากาศขั้วโลกที่เกิดในภาคพื้นทวีป และ
mT หมายถึง มวลอากาศเขตร้อนทีเ่ กิดในภาคพื้นสมทุ ร (ภาพที่ 5.18) เปน็ ตน้

ภาพที่ 5.18 การแบง่ ประเภทของมวลอากาศตามแหล่งกำเนดิ
ทีม่ า: Encyclopedia Britannica (2017)

นอกจากนี้สาเหตุที่จะทำให้มวลอากาศเปลี่ยนแปลง คือ การถ่ายเทความร้อนระหว่าง
ส่วนล่างของมวลอากาศกับพื้นดินที่มวลอากาศเคลื่อนที่ผ่านไป ถ้ามวลอากาศได้รับความร้อนจาก
พื้นดินเบื้องล่างจะมีภาวะไม่ทรงตัว ถ้ามวลอากาศเย็นลงจะอยู่ในภาวะทรงตัว เพื่อแสดงถึงสภาพ
เช่นนี้จึงมีการเพิ่มตัวอักษรเข้ามาอีก 2 ตัว คือ มวลอากาศที่เย็นกว่าบริเวณที่อากาศเคลื่อนที่เข้าไป
(K) และมวลอากาศที่อุ่นกว่าบริเวณที่อากาศเคลื่อนที่เข้าไป (W) เช่น cPK หมายถึง มวลอากาศ
ขว้ั โลกท่ีเกิดในภาคพ้นื ทวีปมอี ุณหภมู ิตำ่ กว่าบรเิ วณทอ่ี ากาศเคลอ่ื นท่เี ข้าไป เปน็ ต้น

5.8.2 แนวปะทะอากาศ (Air Front) เกิดจากสภาวะที่มวลอากาศแตกต่างกันมาก
กล่าวคือ มีอณุ หภูมิ ความชื้น ความกดอากาศ และทิศทางการพัดตา่ งกัน เมื่อเคล่ือนที่มาปะทะกันจะ
ไม่รวมกันแต่จะแยกจากกนั ส่วนหนา้ ของมวลอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงรปู ร่างลักษณะ มวลอากาศ
ที่อบอุ่นกว่าจะถูกดันตัวให้ลอยไปอยู่เหนือมวลอากาศเย็น เนื่องจากมวลอากาศอุ่นมีความหนาแน่น
น้อยกว่ามวลอากาศเย็น แนวที่แยกมวลอากาศทั้งสองออกจากกันเรียกว่า แนวปะทะอากาศ
โดยทวั่ ไปสามารถแบง่ ประเภทแนวปะทะอากาศเป็น 4 ประเภท ดงั นี้

(1) แนวปะทะอากาศเย็น (Cold Front) เมื่อมวลอากาศเย็นเคลื่อนตัวลงมายังบริเวณที่
มลี ะติจูดตำ่ มวลอากาศเย็นหนักจึงมีการเคลือ่ นตัวตดิ กบั ผวิ ดินและดนั ใหอ้ ากาศอนุ่ ทมี่ คี วามหนาแน่น
น้อยกว่าลอยตัวขึ้นตามความลาดเอียง ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวตามแนวปะทะอากาศเย็นจะมี
สภาพอากาศแปรปรวนมาก อากาศร้อนถกู ดันใหล้ อยตวั ยกสูงขน้ึ เปน็ ลกั ษณะการก่อตวั ของ เมฆ

115
คิวมูโลนิมบัส ท้องฟ้าจะมืดครึ้มเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง โดยทั่วไปจะเรียกบริเวณน้ีว่า แนวพายุฝน
(ภาพที่ 5.19)

ภาพที่ 5.19 แนวปะทะอากาศเย็น
ที่มา: Paragliding Info (2014)

(2) แนวปะทะอากาศอุ่น (Warm Front) เกิดจากการที่มวลอากาศอุน่ เคลือ่ นท่ีเขา้ มายงั
บรเิ วณทมี่ ีมวลอากาศเยน็ กวา่ โดยมวลอากาศเย็นจะอยู่ในภาวะทรงตัวบรเิ วณพน้ื ดิน ส่วนมวลอากาศ
อุ่นจะลอยตัวสูงขึ้น ถ้าลักษณะของอากาศอุ่นมีการลอยตัวขึ้นในแนวดิ่ง (มีความลาดชันมาก) จะ
กอ่ ใหเ้ กดิ ฝนตกหนักและพายุฝนฟา้ คะนอง (ภาพที่ 5.20)

ภาพท่ี 5.20 แนวปะทะอากาศอุน่
ที่มา: Weebly (2017)

(3) แนวปะทะอากาศซ้อนหรือแนวปะทะอากาศรวม (Occluded Front) เกิดจากการ
รวมตัวของแนวปะทะอากาศเย็นกับแนวปะทะอากาศอุ่นเคลื่อนที่ไปในแนวเดียวกัน อากาศอุ่นจะถูก
อากาศเยน็ ซ้อนตัวใหล้ อยสูงขน้ึ เนื่องจากอากาศเย็นเคลอ่ื นตัวได้เรว็ กวา่ จึงทำให้อากาศอุ่นซ้อนอยู่บน

116

อากาศเย็น ลักษณะของปรากฏการณ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดเมฆคิวมูโลนิมบัสและทำให้เกิดฝนตกหรือ
พายฝุ นได้ (ภาพท่ี 5.21)

(A) (B)
ภาพที่ 5.21 แนวปะทะอากาศซอ้ นหรือแนวปะทะอากาศรวม (A) และแนวปะทะอากาศคงท่ี (B)
ทม่ี า: Remis (2014)

(4) แนวปะทะอากาศคงที่ (Stationary Front) เป็นแนวปะทะอากาศที่เกิดจากการ
เคลื่อนที่ของอากาศอุ่นและอากาศเย็นเข้าหากันและจากสภาพที่ทั้งสองอากาศมีแรงผลักดันเท่ากัน
จึงเกิดภาวะสมดุลของแนวปะทะอากาศ แต่จะเกิดในชั่วระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อ
อากาศมีแรงผลักดันมากขึ้น จะทำให้ลักษณะของแนวปะทะอากาศเปลี่ยนไปเป็นแนวปะทะอากาศ
แบบอน่ื ๆ ทันที (ภาพท่ี 5.22)

5.8.3 พายุหมุน (Cyclone) เริ่มก่อตัวและมีกำลังแรงขึ้นจากหย่อมความกดอากาศต่ำที่
พัดเวียนเข้าสู่ศูนย์กลางความกดอากาศต่ำ อากาศในบริเวณโดยรอบที่มีความกดอากาศสูงกว่าจะพัด
เข้าหาศูนย์กลางความกดอากาศต่ำ ขณะเดียวกันศูนย์กลางความกดอากาศต่ำจะลอยตัวสูงขึ้นและ
เย็นลงด้วยอัตราแอเดียแบติก (อุณหภูมิลดลงเมื่อความสูงเพิ่มขึ้น) ทำให้เกิดเมฆและน้ำฟ้า พายุหมุน
จะมีความรนุ แรงหรอื ไมข่ ้นึ อยกู่ ับอตั ราการลดลงของความกดอากาศ ถ้าอตั ราการลดลงของ ความ
กดอากาศมีมากจะเกิดพายุรุนแรง ศูนย์กลางพายุหมุนเป็นบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำมากท่ีสุด
เรียกว่า ตาพายุ (Eye of Cyclone) (ภาพที่ 5.22) ลักษณะเกือบเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 50–
200 กิโลเมตร บริเวณตาพายุจะเงียบสงบ ไม่มีลม ท้องฟ้าโปร่งใส ไม่มีฝน ส่วนรอบตาพายุจะเป็น
บริเวณที่มีลมพัดแรงจัด มีเมฆครึ้ม มีฝนตก และพายุรุนแรง ทั้งนี้ประเภทของพายุหมุน สามารถแบง่
ตามสถานทีแ่ ละลักษณะการเกิดออกเปน็ 3 ประเภท ดงั นี้

117

ภาพท่ี 5.22 ตาพายุ
ทีม่ า: Parlier (2017)

(1) พายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclone) เป็นพายุหมุนที่เกิดขึ้นในเขตร้อนแนวเส้น
ศูนย์สูตรระหว่างละติจูด 8–12 องศาเหนือและใต้ โดยมากมักเกิดในทะเลและมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิ
น้ำสูงกว่า 27 องศาเซลเซียส พายุหมุนเขตร้อนเป็นลักษณะของบริเวณความกดอากาศต่ำ พายุหมุน
เขตร้อนจัดเป็นพายุที่มีความรุนแรงมาก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 120–200
กิโลเมตรต่อชั่วโมง องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกแบ่งประเภทพายุหมุนเขตร้อนตามความเร็วลมและ
ความรนุ แรงได้ 3 ประเภทยอ่ ย คือ ประเภทแรกพายุดีเปรสชัน่ (Depression) อักษรย่อ TD ความเรว็
ลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 50-61 กิโลเมตรต่อช่ัวโมง ประเภทที่สองพายุโซนร้อน (Tropical Strom)
อักษรย่อ TS ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 62–11กิโลเมตรต่อชั่วโมง และประเภทที่สามไต้ฝุ่น
(Typhoon) อักษรย่อ TY ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง118-239 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีช่ือ
เรียกแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น บริเวณอ่าวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน และหมู่เกาะอินดีส
ตะวันตก พายุที่เกิดบริเวณนี้เรียกว่า เฮอร์ริเคน (Hurricane) เกิดมากที่สุดช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดอื น
ตุลาคม บริเวณด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ ตั้งแต่หมู่เกาะญี่ปุ่น หมู่เกาะฟิลิปปินส์
และทะเลจีนใต้ เรียกว่า ไต้ฝุ่น เกิดมากที่สุดช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม บริเวณอ่าวเบงกอล
ทะเลอันดามัน และทะเลอาหรับ เรียกว่า ไซโคลน บริเวณด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซฟิ ิกตอนใต้
เกาะซามัว หมู่เกาะฟีจี และตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย เรียกว่า ไซโคลน บริเวณ
ตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดียและตะวันออกของมาดากัสการ์ เรียกว่า ไซโคลน และบริเวณตะวันออก
ของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือตั้งแต่ชายฝั่งด้านตะวันตกของเม็กซิโกขึ้นไปจนถึงด้านตะวันตกของ
สหรฐั อเมรกิ า เรียกวา่ เฮอร์ริเคน (ภาพท่ี 5.23)

118

ภาพที่ 5.23 การเรยี กพายหุ มนุ เขตรอ้ นในพนื้ ที่ต่างๆ ท่ัวโลก
ทมี่ า: Met Office (2016)

(2) พายหุ มุนนอกเขตร้อน (Extratropical Cyclone) หมายถงึ พายหุ มุนทเ่ี กิดข้ึนในเขต
ละติจูดกลางและเขตละติจูดสูง เนื่องจากมวลอากาศเย็นจากขั้วโลกหรือมหาสมุทรอาร์กติกเคลื่อนตวั
มาพบกับอากาศอุ่นจากเขตกึ่งโซนร้อน อากาศดังกล่าวมีคุณสมบัติต่างกัน แนวอากาศจะเกิดการ
เปลยี่ นโดยเรมิ่ มลี ักษณะโค้งเป็นรปู คลื่น อากาศอุ่นจะลอยตัวสูงขึน้ เหนอื อากาศเย็นและอากาศเย็นจะ
เคลื่อนเข้ามาแทนท่ี และจากคุณสมบัติการเคลื่อนที่ของอากาศเย็นที่เคล่ือนตัวได้เร็วกว่าแนวอากาศ
เยน็ จงึ เคลือ่ นไปทันแนวอากาศอนุ่ ทำให้เกิดแนวอากาศรวมและเกดิ นำ้ ฟ้า เมือ่ อากาศอ่นุ ที่ถกู บงั คับให้
ลอยตัวขึ้นหมดไปพายุหมุนก็สลายตัว อย่างไรก็ตามเวลาที่เกิดอายุหมุนจะเกิดบริเวณศูนย์กลางความ
กดอากาศต่ำ สำหรับลมที่พัดเข้าหาศูนย์กลางในซีกโลกเหนือจะมีทิศทางการพัดแบบทวนเข็มนาฬิกา
ส่วนในซีกโลกใต้จะมีทิศทางการพัดแบบตามเข็มนาฬิกา สาเหตุมาจากการหมุนรอบตัวเองของโลก
พายุหมนุ นอกเขตร้อนมตี ั้งแตพ่ ายอุ ่อนๆ ไปจนถงึ พายทุ ี่รุนแรงมาก

(3) พายทุ อรน์ าโด (Tornado) เป็นพายขุ นาดเล็กแตม่ ีความรุนแรงมาก พายดุ งั กล่าวเกดิ
จากการที่อากาศเคลื่อนตัวเข้าหาศูนย์กลางความกดอากาศต่ำอย่างรวดเร็ว เกิดการหมุนเวียนของ
อากาศใต้เมฆท่กี อ่ ตัวทางตั้ง คอื เมฆควิ มูโลนิมบัสท่ีมีฐานเมฆต่ำ กระแสอากาศเคล่อื นขึ้นอย่างรุนแรง
จนบิดเกลียวหรือเป็นลำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าหรือย้อยลงจากฐานเมฆ ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง
มากกว่า 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อพายุเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดฐานของพายุจะกวาดทุกอย่างบน
พื้นดนิ ไปดว้ ย ก่อให้เกิดความเสียหายมาก พายุทอร์นาโดเกิดกระจายทุกภูมภิ าคของโลก มีอีกช่อื หน่ึง
ว่า ลมงวง (Twister) แตถ่ ้าเกิดเหนอื พนื้ นำ้ เรยี กว่า พวยนำ้ หรอื นาคเล่นน้ำ

5.8.4 พายุฝนฟ้าคะนอง (Thunderstorm) หมายถึง ลักษณะอากาศที่มีฝนตกหนักมาก
เปน็ ฝนท่เี กิดจากการพาความรอ้ น มลี มพดั แรง เกดิ อย่างกะทันหันและยตุ ลิ งทันทีทันใด และมฟี ้าแลบ
ฟ้าร้อง พายุฝนฟา้ คะนองเกดิ จากการท่ีอากาศได้รับความรอ้ นแลว้ ลอยตวั สูงข้นึ ถา้ อากาศที่ลอยตัวสูง
มีไอน้ำในปริมาณมากพอประกอบกับการลดลงของอุณหภูมิจะเกิดการกลั่นตัวควบแน่นของไอน้ำ

119

และเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง พายุฝนฟ้าคะนองประกอบด้วยเซลล์อากาศจำนวนมาก ซึ่งในแต่ละเซลล์
จะมีอากาศไหลขน้ึ และลงหมุนเวยี นกัน พายุฝนฟา้ คะนองมกั เกิดมากในเขตรอ้ น เนื่องจากมอี ากาศชื้น
มากและเป็นเขตที่มีอุณหภูมิสูง ทำให้สภาวะอากาศไม่ทรงตัว พายุฝนฟ้าคะนองส่วนใหญ่เกิดจาก
เมฆคิวมูโลนิมบัส อย่างไรก็ตามการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองหากมีศูนย์กลางพายุหลายศูนย์กลางจะทำ
ให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองนานมาก และเกิดกระแสอากาศที่รุนแรงมากจนสามารถทำให้เกิดลูกเห็บได้
ช่วงเวลาของการเกิดพายุชนิดนี้ประมาณ 1–2 ชั่วโมง สำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดจากพายุฝนฟ้า
คะนอง ไดแ้ ก่ การเกดิ ฟ้าแลบ เกิดจากประจุไฟฟ้าเคลอ่ื นทจ่ี ากก้อนเมฆส่กู อ้ นเมฆ และจากกอ้ นเมฆสู่
พื้นดิน การเกิดฟ้าร้อง เนื่องจากประกายไฟฟ้าของฟ้าแลบทำให้อากาศในบริเวณนั้นมีอุณหภูมิสูงข้ึน
ถึง 25,000 องศาเซลเซียส อย่างเฉียบพลัน มีผลทำให้อากาศขยายตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้
เกิดเสียงฟ้าร้อง และการเกิดฟ้าผ่า เป็นปรากฏการณ์ควบคู่กันกับฟ้าแลบและฟ้าร้อง เนื่องจากประจุ
ไฟฟ้าได้มีการหลุดออกมาจากกลุ่มเมฆฝนและถ่ายเทสู่พื้นดินด้วยพลังงานไฟฟ้าที่สูงมาก จึงเป็น
อันตรายแกช่ วี ติ

1.9 การแบ่งเขตภูมอิ ากาศโลก
จากลักษณะภูมิอากาศที่ปรากฏอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก นักวิทยาศาสตร์พยายามรวบรวม

ลักษณะภูมิอากาศที่คล้ายคลึงกันมากที่สุดเข้าด้วยกันเพ่ือง่ายต่อการศึกษา ซึ่งผู้ที่แบ่งเขตภูมิอากาศ
โลกสำเร็จเป็นคนแรก คือ โทมัส เอ แบลร์ (Thomas A. Blair) การแบ่งเขตภูมิอากาศของโลกจะใช้
เกณฑ์ในการแบ่งหลายอย่าง เช่น อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฟ้า พืชพรรณและดิน แนวปะทะอากาศ และ
การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปิน (Koppen Climate Classification System) ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้
กนั อยา่ งกวา้ งขวาง

5.9.1 การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปิน อาศัยข้อมูลภูมิอากาศ 2 อย่าง คือ อุณหภูมิ
และปริมาณน้ำฟ้าเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง โดยการหาตัวเลขเฉลี่ยของเดือนและปี เคิปเปินยังใช้อักษร
เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงภูมิอากาศประเภทใหญ่ ประเภทย่อย ตลอดจนแสดงถึงลักษณะของอุณหภูมิ
และปริมาณน้ำฟ้าดว้ ย การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปนิ แบ่งออกเป็น 5 เขตใหญ่ ใช้สัญลกั ษณเ์ ป็น
อักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่อธิบายอุณหภูมิ คือ A, B, C, D, E และใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กเป็น
ตัวที่สองอธิบายปริมาณน้ำฟ้า และยังใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวที่สามอธิบายอุณหภูมิเดือนที่ร้อนที่สุด
กับเดือนท่หี นาวที่สุดดังนี้ (นำพวลั ย์ กิจรกั ษก์ ุล และกลั ยา เทยี นวงศ์, 2557: 131-133) (ภาพที่ 5.24)

(1) เขตภูมิอากาศร้อน (A: Tropical Climates) อุณหภูมิเฉลี่ยทุกเดือนสูงกว่า 18
องศาเซลเซียส เขตภูมิอากาศนี้ไมม่ ฤี ดูหนาว แบ่งเปน็ เขตภูมิอากาศย่อยโดยใชป้ ริมาณน้ำฝนดงั น้ี

ก. ภูมิอากาศร้อนชื้น (Af: Tropical Rainforest Climate) ปริมาณฝนกระจายทุก
เดอื นตลอดปแี ละปรมิ าณฝนเดือนทน่ี ้อยทีส่ ุดมากกวา่ 60 มิลลิเมตร

120

ข. ภูมิอากาศแบบมรสุม (Am: Tropical Monsoon Climate) ปริมาณฝนรวม
ตลอดปีค่อนข้างสูง ช่วงที่ได้รับลมมรสุมจะเป็นช่วงฤดูฝนมีปริมาณฝนสูง แต่มี 1-3 เดือนที่ปริมาณ
นำ้ ฝนน้อยกว่า 60 มิลลเิ มตร

ค. ภูมิอากาศแบบสะวันนา (Aw: Tropical Savanna Climate) ลักษณะอากาศชื้น
และแห้งแล้งแตกต่างกัน ช่วงที่อากาศชื้นมีฝนตกในฤดูร้อนและอากาศแห้งในฤดูหนาว มีระยะเวลา
หลายเดอื นที่ฝนตกน้อยกวา่ 60 มลิ ลิเมตร

(2) เขตภูมิอากาศแห้งแล้ง (B: Dry Climates) เป็นบริเวณที่มีการระเหยของน้ำสูงจึง
ไม่มีปริมาณฝนเหลือพอที่จะเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ปรากฏทั้งในเขตร้อนและเขตอบอุ่น แบ่งเป็นเขต
ภมู ิอากาศย่อยดงั นี้

ก. ภูมิอากาศกึ่งทะเลทรายหรือภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย (BS: Steppe
Climate) ลักษณะพื้นที่เป็นทุ่งหญ้าสั้นๆ ปริมาณน้ำฝนอยู่ระหว่าง 250-750 มิลลิเมตร พบอยู่รอบ
ทะเลทรายบริเวณอากาศร้อนและทะเลทรายบริเวณอากาศอบอุ่น ทำให้แบ่งภูมิอากาศย่อยเป็น BSh
และ BSk

ข. ภูมอิ ากาศแบบทะเลทราย (BW: Desert Climate) ปรมิ าณนำ้ ฝนตลอดปี น้อย
กว่า 250 มิลลิเมตร ส่วนมากพบอยู่ตอนในของภาคพ้ืนทวีปทั้งบริเวณอากาศร้อนและบริเวณอากาศ
อบอุน่ ทำให้แบง่ ภูมิอากาศยอ่ ยเปน็ BWh และ BWk

(3) ภ ู ม ิ อ า ก า ศ อ บ อ ุ ่ น ( C: Warm Temperate Climates ห ร ื อ Mesothermal
Climates) อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่หนาวที่สุดต่ำกว่า 18 องศาเซลเซียส แต่สูงกว่า -3 องศาเซลเซียส
และเดอื นท่ีรอ้ นที่สุดอุณหภมู ิเฉล่ียสงู กวา่ 10 องศาเซลเซยี ส แบ่งเขตภมู อิ ากาศยอ่ ยดังน้ี

ก. ภูมิอากาศอบอุ่นชุ่มชื้นตลอดปี (Cf: Temperate Rainy Climate Moist in All
Season) ปริมาณฝนกระจายตลอดปี เดือนที่ฝนน้อยที่สุดมากกว่า 30 มิลลิเมตร อุณหภูมิของอากาศ
บางเดือนต่างกัน ทำให้แบง่ ภมู ิอากาศย่อยเป็น Cfa, Cfb และ Cfc

ข. ภูมิอากาศอบอุ่นชื้นและแห้งในฤดูหนาว (Cw: Temperate Rainy Climate
with Dry Winter) ฤดูร้อนปริมาณฝนสูง ภูมิอากาศย่อยจะเป็นภูมิอากาศแบบ Cwa ซึ่งมีอุณหภูมิสูง
ในฤดูรอ้ น

ค. ภูมิอากาศอบอุ่นชื้นและแห้งในฤดูร้อนหรือภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน (Cs:
Temperate Rainy Climate with Dry Summer หรือ Mediterranean Climates) ฤดูหนาวมี
ปริมาณน้ำฝนสูง อณุ หภมู ิบางเดอื นต่างกันทำใหแ้ บง่ ภมู ิอากาศย่อยเปน็ Csa และ Csb

(4) ภูมิอากาศหนาว (D: Snow Climates หรือ Cold Climates หรือ Microthermal
Climates) อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่หนาวที่สุดต่ำกว่า -3 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่ร้อน
ที่สุดสงู กว่า 10 องศาเซลเซียส ทำให้แบ่งเป็นภูมอิ ากาศย่อยดงั นี้

121

ก. ภูมิอากาศหนาวชุ่มชื้นตลอดปี (Df: Cold Snowy Climate Moist in All
Season) ปริมาณน้ำฝนกระจายตลอดปี อุณหภูมิของอากาศบางเดือนที่ต่างกันทำให้แบ่งภูมิอากาศ
ยอ่ ยเปน็ Dfa, Dfb, Dfc และ Dfd

ข. ภูมิอากาศหนาวชื้นและแห้งแล้งในฤดูหนาว (Dw: Cold Snowy Climate with
Dry Winter) อุณหภูมิของอากาศบางเดือนต่างกันทำให้แบ่งภูมิอากาศย่อยเป็น Dwa, Dwb, Dwc
และ Dwd

(5) ภูมิอากาศน้ำแข็ง (E: Ice Climates) อุณหภูมิเฉลี่ยเดือนที่ร้อนที่สุดต่ำกว่า 10
องศาเซลเซียส ภูมิอากาศนี้ไม่มีฤดูร้อน การแบ่งภูมิอากาศย่อยพิจารณาจากอุณหภูมิเดือนที่หนาว
ทส่ี ุดหรือเดือนทรี่ อ้ นท่สี ดุ ดังนี้

ก. ภูมิอากาศแบบทุนดรา (ET: Tundra Climate) พบบริเวณใกล้ขั้วโลกมีน้ำแข็ง
ปกคลุมเกอื บตลอดปี ระยะเวลา 1-3 เดอื นท่นี ำ้ แขง็ ละลาย สว่ นน้ำใต้ดนิ เป็นนำ้ แข็งตลอดเวลา เดือน
ท่อี ณุ หภมู ิรอ้ นทส่ี ุดตำ่ กวา่ 10 องศาเซลเซยี ส แตส่ ูงกว่าจุดเยอื กแข็ง

ข. ภูมิอากาศแบบพืดน้ำแข็ง (EF: Ice Cap Climate) พบบริเวณขั้วโลก มีน้ำแข็ง
ปกคลุมตลอดปี อณุ หภมู ิเดือนที่ร้อนทส่ี ดุ ต่ำกวา่ จุดเยือกแข็ง

ภาพที่ 5.24 การแบ่งเขตภมู ิอากาศแบบเคิปเปิน
ทม่ี า: Zifan (2016)

122

บทสรปุ

ทกุ ชีวติ บนพน้ื โลกตอ้ งการอากาศเพื่อความอยูร่ อด มนษุ ยแ์ ละสัตวต์ ้องการออกซเิ จนเพื่อใช้

ในการหายใจ ในขณะเดยี วกันพืชก็ต้องการใช้คาร์บอนไดออกไซด์เพ่ือการสังเคราะหแ์ สง สร้างอาหาร

ในบรรยากาศประกอบด้วยก๊าซต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไนโตรเจนซึ่งมีเปอร์เซ็นต์โดย

ปริมาตรมากที่สุด รองลงมาเป็นออกซิเจน และก๊าซอื่นๆ ไม่ใช่แค่ก๊าซเท่านั้นที่เป็นส่วนประกอบของ

อากาศ ในอากาศยังมีไอน้ำ ฝุ่นละออง และคลื่นความร้อนปะปนด้วย สำหรับการแบ่งชั้นบรรยากาศ

ส่วนใหญ่จะใช้การแบ่งตามลักษณะของภาพตัดขวาง โดยบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกส่วนใหญ่จะอยู่สูง

จากพนื้ ผวิ โลกไม่เกนิ 29 กิโลเมตร ท่ีเหลอื จะฟงุ้ กระจายอยู่สงู จาก 29 กิโลเมตรข้นึ ไป เนื่องจาก ยง่ิ

สูงจากพื้นผิวโลกบรรยากาศก็จะยิ่งเบาบาง โดยบรรยากาศแต่ละชั้นจะมีองค์ประกอบของบรรยากาศ

อุณหภูมิ และหน้าที่แตกต่างกัน อาทิ ชั้นสแตรโตสเฟียร์เหมาะสำหรับเพดานบินของเครื่องบิน

เนือ่ งจากฝุ่นละอองมีน้อย ทอ้ งฟ้าแจม่ ใส และไรเ้ มฆ เป็นต้น

ในวันท่ีท้องฟ้าแจ่มใสพื้นผิวโลกจะได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากกว่าวันที่ท้องฟ้า

มืดครึ้ม เนื่องจากดวงอาทิตย์สามารถแผ่รังสีความร้อนมายังพื้นผิวโลกได้โดยไม่มีเมฆบดบัง รังสี

ความร้อนแต่ละชนิดมีความยาวของช่วงคลื่นแตกต่างกัน บางชนิดสะท้อนกลับและบางชนิดถูกโลก

ดูดซึมไว้เพ่ือความสมดุลของอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต จากการศึกษา

องค์ประกอบของบรรยากาศพบว่า บรรยากาศ ประกอบไปด้วย อุณหภูมิ ความชื้น ความกดอากาศ

น้ำฟ้า และลม ปัจจุบันการศึกษาองค์ประกอบของบรรยากาศเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจและทดลอง

ได้ง่าย เนื่องจากมีเครื่องมือที่สะดวกและหาง่าย เช่น หากอยากศึกษาเปรียบเทียบปริมาณน้ำฝน

ด้านหน้าภูเขากับด้านหลังภูเขา ก็สามารถใช้เรนเกจเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บรวบรวมปริมาณน้ำฝน

เพื่อหาคำตอบได้ นอกจากนี้องค์ประกอบของบรรยากาศแต่ละองค์ประกอบก็ยังมีความสัมพันธ์กัน

ยกตัวอย่าง อุณหภูมิกับความกดอากาศ กล่าวคือ ยิ่งอุณหภูมิสูงความกดอากาศจะยิ่งต่ำลง เป็นต้น

จากองค์ประกอบนำไปสู่การนำมาเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่งเขตภูมิอากาศ จะเห็นว่าเขตภูมิอากาศ

บนโลกนี้มีมากมายหลายเขตภายใตเ้ กณฑ์การจำแนกที่แตกต่าง บางครั้งในพื้นที่เดียวกันอาจมีชื่อเขต

อากาศต่างกัน เช่น ภาคใต้ของประเทศไทยหากใช้เกณฑ์ด้านอุณหภูมิจะจัดอยู่ในเขตอากาศร้อน

แต่หากใช้เกณฑ์ด้านพืชพรรณก็จะถูกจัดว่าอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบป่าฝนเมืองร้อน นักวิทยาศาสตร์

จำนวนมากจึงพยายามหาหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมและพิจารณารวมทั้งอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และ

พชื พรรณ จนมีรปู แบบของการแบง่ เขตภูมิอากาศท่ีเปน็ ทย่ี อมรบั ในปจั จบุ นั ก็คือการแบง่ เขต

ภูมิอากาศแบบเคิปเปน อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าการศึกษาเกี่ยวกับวิชาภูมิศาสตร์กายภาพ ถึงแม้ว่าจะ

แบ่งออกเป็นธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศ และชีวมณฑล แต่ทั้งหมดกไ็ ม่สามารถแยกความสัมพันธ์

ออกจากกันได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง บทต่อไปจึงเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับ ชีวภาคหรือ

ความสมั พันธ์ของส่ิงชวี ติ ทกุ ชนดิ กบั สภาพแวดลอ้ มต่างๆ บนโลก

123

คำถามท้ายบท
1. บรรยากาศหมายถงึ อะไร
2. ส่วนประกอบของอากาศมีอะไรบา้ ง
3. บรรยากาศของโลกแบง่ ออกเป็นกี่ชน้ั แต่ละช้นั มคี วามสำคญั อยา่ งไร
4. การแผร่ งั สขี องดวงอาทิตย์มายังพืน้ ผิวโลกประกอบด้วยรังสอี ะไรบ้าง
5. ความร้อนและอณุ หภมู ิแตกต่างกนั อย่างไร จงอธบิ ายพรอ้ มยกตัวอยา่ ง
6. บรรยากาศมอี งคป์ ระกอบอะไรบ้าง จงอธบิ ายมาโดยละเอียด
7. มวลอากาศและแนวปะทะอากาศสมั พนั ธ์กับการเกดิ พายุอย่างไร
8. การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคปิ เปนิ มีก่ีเขตภมู ิอากาศ แตล่ ะเขตภูมอิ ากาศแตกตา่ งกัน

อยา่ งไร จงอธบิ ายมาโดยละเอียด

เอกสารอ้างองิ
นำพวัลย์ กิจรกั ษก์ ุล และกลั ยา เทยี นวงศ.์ (2557). ภมู ิศาสตรก์ ายภาพ Physical Geography.

(108-133). กรงุ เทพฯ: ด่านสทุ ธาการพมิ พ์.
พวงเพชร์ ธนสิน. (2555). ภมู ศิ าสตร์กายภาพแนวบูรณาการ. (115-153). เชยี งใหม่:

ภาควชิ าภูมศิ าสตร์ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่. (เอกสารอดั สำเนา).
รชั นกี ร บุญ-หลง. (2536). ภมู ศิ าสตร์กายภาพ. (116-143). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
ลักษณา สัมมานิธิ. (2544). ภูมิศาสตร์กายภาพ. (50-59). เชียงใหม่: ภาควิชาภูมิทัศน์และอนุรักษ์

ส่ิงแวดล้อม มหาวิทยาลัยแมโ่ จ้. (เอกสารอดั สำเนา).
AcuRite. (2017). AcuRite Glass Rain Gauge. . Retrieved September 29, 2017,

from Web site: https://www.lowes.ca/weather-monitors/acurite-glass-rain-
gauge_g1836498.html.
Amazon. (2017). American Education Corrosion-Resistant Cup Anemometer, with
Revolving Wind Cups. Retrieved September 16, 2017, from Web site:
https://www.amazon.com/American-Educational-Corrosion-Resistant-
Anemometer-Revolving/dp/B005QDQ2JE.
Cloud Master. (2017). Cloud Chart. Retrieved September 20, 2017, from Web site:
http://pixdaus.com/cloud-chart-cloud-chart/items/view/164013.
Encyclopedia Britannica. (2017). Principal World Air Masses. Retrieved
September 20, 2017, from Web site:
http://kids.britannica.com/students/assembly/view/166713.

124

Envatomarket. (2017). Weather Vane. Retrieved September 4, 2017, from Web site:
https://3docean.net/item/weather-vane/6256401.

Flinn. (2017). Sling Psychrometer-Individual Kit. Retrieved September 3, 2017,
from Web site: http://www.flinnsci.com/sling-psychrometer-individual-
kit/fb0543.

Geogrify. (2017). Atmospheric Circulation. Retrieved August 7, 2017, from Web site:
http://www.geogrify.net/GEO1/Lectures/Circulation/Global.html.

Gringer. (2010). Thermometer CF. Retrieved July 23, 2017, from Web site:
https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Thermometer_CF.svg.

Lemon, C. (2016). What is a Hygrometer?. Retrieved September 16, 2017,
from Web site: http://www.pminstrumentation.co.za/?page_id=3260.

Met Office. (2016). Tropical Cyclone Facts. Retrieved September 28, 2017,
from Web site: https://www.metoffice.gov.uk/weather/tropicalcyclone/facts.

Mohr, R. (2017). Roaring and Screaming: The Science of South Swells.
Retrieved September 2, 2017, from Web site:
https://swelllinesmag.com/2014/07/22/the-science-of-south-swells.

Nallbati. (2017). Barometer-Atmospheric Pressure. Retrieved July 29, 2017,
from Web site: https://appadvice.com/app/barometer-atmospheric-
pressure/769602146.

Nandy, A. (2015). Lapse Rates, Stability and Instability. Retrieved July 29, 2017,
from Web site: http://www.nandyradiotelephony.com/lapse-rates-stability-
and-instability.

Paragliding Info. (2014). Cold Front Infogram. Retrieved September 25, 2017,
from Web site: http://paraglidinginfo.com/resources/cold-front-infogram.

Parlier, S. (2017). Tallahassee Leaders Prepare For 2017 Hurricane Season.
Retrieved September 28, 2017, from Web site:
http://news.wfsu.org/post/tallahassee-leaders-prepare-2017-hurricane-
season.

PMF. (2015). Pressure Belts and Wind Systems. Retrieved September 4, 2017,
from Web site: https://www.pmfias.com/pressure-belts-pressure-systems-
equatorial-low-sub-tropical-high-sub-polar-low-polar-high.

125

Remis, J. (2014). Weather: Air Masses. Retrieved September 26, 2017,
from Web site: http://catholicscienceteacher6.blogspot.com/2014/02.

Ruzgarlari, M. (2015). Winter Monsoon and Summer Monsoon.
Retrieved August 28, 2017, from Web site:
https://www.thinglink.com/scene/871357146313261056.

Salutskij, D. (2016). PILVISSA. Retrieved September 20, 2017, from Web site:
http://doritsalutskij.fi/tag/merisavu.

SSC. (2016). Earth’s Atmosphere. Retrieved August 7, 2017, from Web site:
http://www.sscadda.com/2016/06/study-notes-on-earths-atmosphere-part-
1.html.

The Ozone Hole. (2017). Atmosphere. Retrieved August 11, 2017, from Web site:
http://www.theozonehole.com/atmosphere.htm.

The Weather Doctor. (2017). The Different Type of Fog. Retrieved
September 20, 2017, from Web site: http://weathertogether.net/our-favorite-
posts/the-different-types-of-fog/.

Thompson, C. (2010) . The Water Cycle. Retrieved August 7, 2017, from Web site:
https://www.slideshare.net/cristinathompson/the-water-cycle-3082404.

TPI. (2013). Barograph. Retrieved August 11, 2017, from Web site:
http://www.industrial-needs.com/technical-data/barograph-2xxx-series.htm.

Weebly. (2017). Warm Fronts. Retrieved September 27, 2017, from Web site:
http://differentfronts.weebly.com/warm-front.html.

Zifan, A. (2016). World Map of Koppen Geiger Climate Classification. Retrieved
September 27, 2017, from Web site:
https://en.wikipedia.org/wiki/K%C3%B6ppen_climate_classification#/media/F
ile:World_Koppen_Classification_(with_authors).svg.

126

บทท่ี 6
ชีวภาค

1.1 ความหมายของชวี ภาค
เนื่องจากโลกเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ การศึกษาภูมิศาสตร์กายภาพ

นอกจากการศึกษาธรณีภาค อุทกภาค และบรรยากาศภาคซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมบนโลกที่ไม่มีชีวิตแล้ว
ยังต้องศึกษาชีวภาค (Biosphere) นั่นคือการตอบสนองของพืชและสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่
บนแผ่นดิน (Terrestrial Plants) นอกจากนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างเป็นระบบนักภูมิศาสตร์จึง
ต้องศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ การหมุนเวียนของพลังงานและห่วงโซ่อาหาร ลักษณะและ
สิ่งแวดลอ้ มของพชื และสตั ว์ รวมทัง้ การกระทำของมนษุ ยท์ ส่ี ง่ ผลกระทบต่อส่งิ แวดล้อมดว้ ย

วิชัย เทียนน้อย (2536: 197) กล่าวว่าชีวภาค หมายถึง การกำหนดสถานท่ีที่แน่นอนของ
ส่ิงมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่ปรากฏอยู่ในระบบ มุ่งไปที่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกระจายตัวของพืชและ
สัตว์อันเป็นระบบนิเวศทั้งหมดของโลก โดยจะเน้นเฉพาะเขตที่อยู่ใกล้กับพื้นผิวโลกเท่านั้น ชีวภาค
หมายถึง ระบบที่มีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกัน ทั้งลักษณะทางกายภาพ เช่น อุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน
แสงแดด ดนิ ภูมปิ ระเทศ และลักษณะของสิ่งมีชวี ติ ท้ังพืช สตั ว์ และจุลินทรีย์ (สถาพร มนตป์ ระภัสสร
และสุรยี ์พร นพิ ิฐวิทยา, 2557: 172) ความสำคญั ของชีวภาค คือ เป็นระบบนเิ วศโลก ดงั นั้นในชีวภาค
จะประกอบด้วยระบบนิเวศ (Ecosystem) อีกมากมาย นอกจากนี้ชีวภาคยังเป็นแหล่งปัจจัยสี่ในการ
ดำรงชวี ติ ของมนษุ ย์ รวมทั้งเป็นปจั จัยกำหนดความผนั แปรของสิ่งแวดลอ้ มด้วย

1.2 ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) หมายถึง การที่สิ่งมีชีวิตหลายชนิดมาอยู่

ร่วมกันในบริเวณหนึ่งหรือในระบบนิเวศหนึ่ง แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ (สถาพร มนต์ประภัสสร
และสุรีย์พร นิพฐิ วิทยา, 2557: 181)

(1) ความหลากหลายทางชนิด (Species Diversity) คือ ความหลากหลายของชนิดของ
สิ่งมชี ีวิตทอี่ ยูใ่ นพืน้ ท่ีหน่ึงๆ

(2) ความหลากหลายทางพันธุกรรม (Genetic Diversity) คือ ความหลากหลายของหน่วย
พันธุกรรมหรือยีนที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันอาจมียีนแตกต่างกันตาม
สายพนั ธ์ุ

127

(3) ความหลากหลายของระบบนิเวศ (Ecosystem Diversity) คือ สภาวะแวดล้อมที่เป็น
แหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ซึ่งจัดเป็นปัจจัยทางกายภาพ ได้แก่ อุณหภูมิ ความช้นื
ดิน และน้ำ ระบบนิเวศแต่ละระบบเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย (Habitat) ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งมีปัจจัยทาง
กายภาพและชีวภาพท่เี หมาะสม

1.3 การหมนุ เวียนของพลังงานและห่วงโซ่อาหาร
6.3.1 การหมุนเวียนของพลังงาน เป็นกระบวนการสำคัญในระบบนิเวศเป็นการถ่ายทอด

พลังงานตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้บริโภคลำดับต่างๆ ผู้บริโภคลำดับสุดท้าย และผู้ย่อยสลาย การหมุนเวียนของ
พลังงานจะเกิดขึน้ โดยผา่ นส่ิงแวดล้อม ได้แก่ ดิน นำ้ และอากาศ สิง่ มชี วี ติ ที่มบี ทบาทในการหมนุ เวียน
พลงั งานแบง่ ออกเป็น 3 กลุ่ม (สถาพร มนต์ประภัสสร และสรุ ยี ์พร นพิ ฐิ วิทยา, 2557: 182)

(1) ผู้ผลิต (Producer) เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารได้เอง เช่น พืชและแบคทีเรีย
บางชนดิ โดยผ่านกระบวนการสงั เคราะหแ์ สง (Photosynthesis) แสงทำหนา้ ที่เปน็ ตวั เรง่ ปฏกิ ิริยาทำ
ให้อนินทรีย์วัตถุขนาดเล็ก ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ เปลี่ยนเป็น สารประกอบที่มี
พลังงานสูง ได้แก่ คาร์โบไฮเดรตและออกซิเจนซึ่งเป็นก๊าซที่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศ
เป็นอยา่ งมาก (ภาพท่ี 6.1)

ภาพท่ี 6.1 กระบวนการสงั เคราะหแ์ สง
ทม่ี า: Duckster (2017)

(2) ผู้บริโภค (Consumer) เป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ ต้องได้รับ
อาหารจากผู้ผลิตด้วยการกิน แบ่งย่อยออกเป็นพวกกินพืช (Herbivore) พวกกินสัตว์ลำดับที่ 1
(Primary Carnivore) พวกกินสัตว์ลำดับที่ 2 (Secondary Carnivore) และพวกกินสัตว์ลำดับที่ 3
(Tertiary Carnivore) และพวกกินทง้ั พืชและสัตว์ (Omnivore)

128

(3) ผู้ย่อยสลาย (Decomposer) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้พลังงานมาจากการย่อยสลาย
สารอินทรีย์และดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เช่น เห็ด รา แบคทีเรีย เป็นกลุ่มท่ีสร้างอาหารเองไม่ได้ ในระบบ
นิเวศสิ่งมีชีวิตทั้ง 3 กลุ่มมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดกลไกที่สำคัญเกี่ยวกับการไหลเวียนของ
สารและพลังงานท่เี รยี กวา่ ห่วงโซอ่ าหาร (Food Chain)

6.3.2 หว่ งโซอ่ าหาร หมายถึง ความสัมพันธข์ องสง่ิ มีชวี ิตในเรื่องของการกนิ ต่อกัน เป็น
ทอดๆ จากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ทำให้มีการถ่ายทอดพลังงานในอาหารต่อเนื่องเป็นลำดับจากการกินต่อ
กันเป็นลำดับเชื่อมโยงเส้นตรงในสายใยอาหาร โดยเริ่มจากพืชและต่อด้วยสัตว์กินพืช จากนั้นจะเกิด
การกินเป็นทอดๆ ห่วงโซ่อาหารแตกต่างจากสายใยอาหาร เพราะสายใยมีเครือข่ายความสัมพันธ์การ
กินท่ีซับซ้อนแต่หว่ งโซอ่ าหารมีเสน้ ทางการกนิ เพียงอยา่ งเดยี วเปน็ เส้นตรงเทา่ นนั้ (ภาพที่ 6.2)

ภาพที่ 6.2 หว่ งโซ่อาหาร
ทม่ี า: Cobb (2017)

6.3.3 วัฏจักรสารอาหารในระบบนิเวศ (Nutrient Cycle) การย่อยสลายของผู้ย่อย
สลายสิ่งมีชีวิต ทำให้มีการหมุนเวียนของสารอาหารที่จำเป็นจากสิ่งมีชีวิตกลับสู่ระบบนิเวศอีกครั้ง
โดยจะมกี ารหมุนเวียนในรูปธาตุและสารประกอบท่ีสำคญั เชน่ คารบ์ อน ไนโตรเจน นำ้ เปน็ ตน้

(1) วัฏจักรคาร์บอน (Carbon Cycle) สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการธาตุคาร์บอนเพราะเป็น
ธาตุหลักในสารประกอบอินทรีย์ทุกชนิด คาร์บอนมีการหมุนเวียนระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตใน
รูปก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ประมาณ ร้อยละ 0.04 พืชจะ
นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปสร้างเป็นสารอาหาร โดยกระบวนการสังเคราะห์แสงซึ่งจะถ่ายทอดไป
ยังสัตว์โดยการกิน ในที่สุดทั้งพืชและสัตว์จะหมุนเวียนกลับสู่บรรยากาศใหม่หลังจากพืชและสัตว์ตาย

129

และมีการเน่าเปื่อยผุพัง นอกจากนี้บางส่วนที่ไม่เน่าเปื่อยผุผังทับถมกันเป็นเวลานานจะกลายเป็น
ถ่านหินน้ำมันและก๊าซ (ภาพที่ 6.3) เมื่อมนุษย์นำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมและเกิดการเผาไหม้จะได้
กลับคืนสู่บรรยากาศอีกครั้ง ทั้งนี้ป่าไม้เป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญและมีส่วน
ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกท่ีทำให้เกดิ ภาวะโลกรอ้ น

ภาพท่ี 6.3 วฏั จกั รคารบ์ อน
ท่มี า: Cobb (2017)

(2) วัฏจกั รไนโตรเจน (Nitrogen Cycle) ในบรรยากาศมีก๊าซไนโตรเจนประมาณร้อยละ
78 สง่ิ มีชีวิตไม่สามารถนำก๊าซไนโตรเจนในช้นั บรรยากาศมาใช้ไดโ้ ดยตรง จะใช้ได้เมอ่ื อยู่ในสภาพของ
สารประกอบแอมโมเนียไนไทรด์และไนเทรต ไนโตรเจนในบรรยากาศจึงต้องเปลี่ยนรูปให้อยู่ในสภาพ
ที่สิ่งมีชีวิตสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ วัฏจักรนี้ประกอบด้วยกระบวนการตรึงไนโตรเจน (Nitrogen
Fixation) กระบวนการสร้างแอมโมเนีย ( Ammonification) กระบวนการสร้างไนเทรต
(Nitrification) และกระบวนการเปลี่ยนไนเทรตเป็นไนโตรเจน (Dentrification) เพื่อวนกลับเข้าสู่ชั้น
บรรยากาศอีกครง้ั กระบวนการเหลา่ น้ีตอ้ งอาศัยแบคทเี รียหรอื จลุ ินทรีย์อนื่ ๆ จำนวนมากจึงทำให้เกิด
สมดุลของวัฏจักรไนโตรเจน ไนโตรเจนในบรรยากาศสามารถถูกตรึงจากธรรมชาติ เช่น เมื่อเกิด
ฟ้าแลบไนโตรเจนในท้องฟ้าจะเปลี่ยนแปลงทางเคมีฟิสิกส์ก่อให้เกิดสารประกอบไนเทรต จากน้ัน
น้ำฝนจะชะพาลงสพู่ ื้นดินต่อไป (ภาพที่ 6.4)

130

ภาพท่ี 6.4 วัฏจักรไนโตรเจน
ทมี่ า: Mikkelsen (2012)

(3) วัฏจักรฟอสฟอรสั (Phosphorus Cycle) ฟอสฟอรสั เปน็ ธาตุทจ่ี ำเปน็ ต่อการ ดำรง
ชีพของสิ่งมีชีวิตเพราะเป็นองค์ประกอบของสาร Deoxyribonucleic Acid (DNA), Ribonucleic
Acid (RNA) และ Adenosine Triphosphate (ATP) ฟอสฟอรัสเป็นธาตุที่อยู่ในธรรมชาติน้อยมาก
มักเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ ด้วยเหตุนี้ฟอสฟอรัส
จึงใช้หมนุ เวยี นอยูร่ ะหว่างสิง่ มชี ีวิตและไมม่ ีชีวติ ในปรมิ าณทจ่ี ำกัด ฟอสฟอรัสสว่ นใหญ่จะอยใู่ นรูปของ
หินฟอสเฟตหรือแร่ฟอสเฟต เมื่อถูกน้ำและกระแสลมกัดกร่อนทำให้ปะปนอยู่ในดิน น้ำจะชะล้างให้
อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ จากนั้นพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์และถ่ายทอดทางระบบนิเวศตามโซ่
อาหาร เมอ่ื ตายลงกจ็ ะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรีย (Phosphatizing Bacteria) ใหอ้ ยู่ในรูปฟอสฟอรัส
ที่ละลายน้ำได้ อาจถูกกระบวนการชะล้างพัดพาลงสู่ทะเลและมหาสมุทรทำให้ปะปนอยู่ในดินตะกอน
ทงั้ ทะเลลึกและต้นื และถกู ส่ิงมีชวี ติ ขนาดเลก็ ในทะเลนำมาใชถ้ า่ ยทอดไปตามโซอ่ าหาร (ภาพท่ี 6.5)

(4) วัฏจักรน้ำหรือวัฏจักรทางอุทกวิทยา (Water Cycle หรือ Hydrologic Cycle) คือ
การเกดิ และการหมนุ เวียนของน้ำท่ีอยใู่ นโลกและเปลี่ยนรูปเปน็ สภาพตา่ งๆ ตลอดเวลา วัฏจกั รของน้ำ
จึงไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุดหมุนเวียนอยู่เช่นนี้เสมอ ตั้งแต่ไอน้ำในบรรยากาศที่กลั่นตัวเ ป็น
ละอองน้ำและรวมตัวเป็นหยดน้ำหล่นลงมาสู่พื้นผิวโลก น้ำฝนที่ตกถึงพื้นจะซึมลงดินด้วยแรงดึงดูด
กลายเป็นน้ำทไ่ี หลในดินและโลกดดู ใหซ้ มึ ลกึ ลงไปเปน็ น้ำใต้ดนิ ไหลออกส่แู มน่ ำ้ หรอื ทะเลโดยตรง เม่อื
ได้รบั ความร้อนจากดวงอาทติ ย์เกดิ การระเหยเป็นไอน้ำในบรรยากาศหมุนเวยี นเชน่ น้ีต่อไป

131

ภาพที่ 6.5 วฏั จกั รฟอสฟอรสั
ท่ีมา: Almaweri and Salens (2017)

1.4 ลักษณะและสิง่ แวดลอ้ มของพืช
ชีวภาคของพืชสามารถแบ่งย่อยโดยใช้สภาพแวดล้อมเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาได้ 3 กลุ่ม

คือ พืชน้ำเค็ม พืชน้ำจืด และพืชบก ในท่ีนี้จะขอนำเสนอเรื่องราวของพืชบกเท่านั้น สำหรับชีวภาค
ของพืชบกจะแบ่งยอ่ ยออกไปตามระบบนเิ วศทม่ี ีขนาดและความสลับซบั ซ้อนโดยอาศยั รูปร่างลักษณะ
และองคป์ ระกอบต่างๆ ของพืชเปน็ เกณฑใ์ นการพจิ ารณาดังนี้ (วิชยั เทียนนอ้ ย, 2536: 198)

6.4.1 ถิ่นที่อยู่อาศัยของพืช (Plants Habitats) เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าลักษณะ
ภูมิประเทศและดินมีอิทธิพลต่อพืชพรรณธรรมชาติไม่แพ้ภูมิอากาศ พืชที่ขึ้นอยู่บนที่สูงที่มีดินชั้นบน
หนาและมีความลาดเอียงปานกลางจะแตกต่างไปจากพืชที่ขึ้นอยู่ตามหุบเขาที่ใกล้เคียง เหตุที่เป็น
เช่นนี้เพราะระดับน้ำใต้ดินตามหุบเขาจะตื้นกว่าบนที่สูง ส่วนพืชที่ขึ้นอยู่ตามหน้าผาชันก็จะมีความ
แตกต่างไปจากพืชที่อยู่ในพื้นที่ต่ำลงมา ทั้งนี้เพราะดินชั้นบนที่ปรากฏตามหน้าผาที่มีความลาดเอียง
จะบาง การที่พืชชนิดต่างๆ ขึ้นรวมกันอยู่อย่างหนาแน่นเรียกว่า ชุมชนของพืช (Plant Community)
เช่น ป่าเบญจพรรณภาคเหนือของประเทศไทย ในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรมีต้นสักขึ้นอยู่อย่าง
หนาแนน่ จึงเรียกบริเวณน้ันวา่ ชมุ ชนของสกั (Teak Community) จากความแตกต่างทาง ดา้ น
ลักษณะภูมิประเทศ ความหนาของดินชั้นบน และสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน จึงสามารถจำแนก
พืชพรรณออกเปน็ กลมุ่ ยอ่ ยๆ ไดม้ ากมาย ดังจะกลา่ วตอ่ ไป

6.4.2 องค์ประกอบทางนิเวศวิทยาของพืช จะมีผลต่อการจัดระบบของพืชออกเป็นชุมชน
หรือกลุ่มของพืช แม้ว่าจะสามารถแยกออกจากกันได้ แต่ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดซึ่งจะส่งผล
ต่อระบบนเิ วศวทิ ยาของพชื โดยองค์ประกอบทางนเิ วศวทิ ยาของพืชมีดงั น้ี

132

(1) น้ำ เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพืชมากที่สุด ในการกำหนดรูปแบบการกระจายของพืช
Strahler and Strahler (1992 อ้างใน พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 193) กล่าวว่า ในพื้นที่ใดพื้นที่หน่ึง
นั้นจะมีน้ำมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสมดุลระหว่างปริมาณน้ำฟ้า การระเหย การไหลบ่าบนผิวดิน
และการซึมลงดิน ซึ่งสมดุลดังกล่าวนี้จะมีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะพืช พืชมีการคายน้ำซึ่งการ
คายน้ำสง่ ผลให้ดนิ มีความพรุนสงู ขน้ึ ทำให้น้ำซึมลงดนิ มากขน้ึ เปน็ ผลทำใหน้ ้ำไหลบา่ ลดลง พืชต้องการ
น้ำไปละลายธาตุในดินเพื่อดูดซับไปยังใบ โดยที่ใบจะมีการสังเคราะห์แสงเปลี่ยนธาตุให้เป็นอาหาร
ของพืช ส่วนน้ำจะถูกคายออกไปทางรูปากใบ อัตราการคายน้ำของพืชจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิด
ของพืชและลักษณะอากาศ อากาศที่มีอุณหภูมิสูงความชื้นต่ำจะมีลมเอื้อให้เกิดการคายน้ำสูง พืชที่มี
ใบใหญแ่ ละบางมกี ารคายนำ้ สงู กว่าพชื ทม่ี ใี บแบบเข็มหรือใบเลก็ หรอื เปน็ หนาม

(2) แสงแดด ปริมาณแสงแดดท่ีพืชได้รบั มีอิทธพิ ลต่อการเจริญเตบิ โตของพืช ซึ่งปริมาณ
แสงแดดจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่งละติจูดและฤดูกาล นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับส่วนของพืช
กล่าวคือ บรเิ วณเรอื นยอดจะรบั แสงแดดไดม้ ากทส่ี ุด สว่ นของพืชทอี่ ยรู่ ะดบั ตำ่ ลงมากจ็ ะได้รับปริมาณ
แสงแดดน้อยลงไป บริเวณป่าผลัดใบในเขตละติจูดกลาง ช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิก่อนที่ต้นไม้จะ
ผลิใบเป็นชว่ งที่บริเวณพืน้ ทีป่ ่าจะไดร้ ับแสงอาทิตย์ ทำให้ต้นไม้ขนาดเล็กเจริญเตบิ โตอย่างรวดเร็ว แต่
พอฤดถู ัดมา คือ ฤดรู ้อนต้นไม้เล็กๆ เหลา่ นี้จะหายไป เนอ่ื งจากตน้ ไมใ้ หญร่ บั แสงไปหมด

(3) อุณหภูมิ เป็นปัจจัยทางภูมิอากาศที่สำคัญสำหรับพืช เขตที่มีอุณหภูมิแตกต่างกัน
พืชจะแตกต่างกัน พืชแต่ละชนิดจะมีหน้าที่ เช่น สังเคราะห์แสง ผลิดอก ผสมเกสร และออกผล
สนองตอบอุณหภูมิที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้แล้วอุณหภูมิยังมีอิทธิพลทางอ้อม กล่าวคือ อุณหภูมิท่ี
สูงจะทำให้พืชมีการคายน้ำสูงและทำให้น้ำในดินระเหยมาก โดยทั่วไปในเขตภูมิอากาศหนาวเย็นจะมี
พืชเพียงไม่กี่ชนิดที่จะขึ้นได้ พืชในเขตร้อนส่วนใหญ่ไม่สามารถทนอุณหภูมิที่ต่ำกว่าจุดเยืองแข็งได้ ใน
เขตภูมิอากาศหนาวขั้วโลก ทุ่งน้ำแข็ง บริเวณละติจูดสูงจะมีพืชเพียงไม่กี่ชนิดท่ีขึ้นได้ เหล่านี้เป็น
เหตุผลอธิบายว่าเพราะเหตุใดป่าในเขตร้อนชื้นบริเวณเส้นศูนย์สูตรจึงมีพืชหลากหลายชนิด ถ้านำพืช
ท่ปี ลูกในเขตร้อนไปปลกู ในเขตหนาวกไ็ ม่สามารถเจรญิ เตบิ โตได้ดีหรอื อาจตายได้

(4) ลม เป็นปัจจัยทางภูมิอากาศสำคัญที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างของพืช ในบริเวณที่มีลม
พัดผ่านรุนแรง ตน้ ไม้ทอ่ี ยู่ดา้ นรบั ลมจะมีลำตน้ กิ่งก้านสาขาผิดปกติไปโดยจะลู่ไปตามทศิ ทางของลม

(5) ภูมิประเทศ มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืช กล่าวคือ บริเวณพื้นที่ที่มีความ
ลาดชันมากจะมีการไหลบ่าของน้ำผิวดินอย่างรวดเร็วส่งผลให้หน้าดินถูกชะล้างพังทลายได้ง่าย ทำให้
ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดน้อยลง นอกจากนี้ยังทำให้น้ำซึมลงสู่ดินได้น้อย พืชจึงไม่สามารถดูดซึม
น้ำที่มีธาตุได้ทัน พืชเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร ในทางตรงข้าม ถ้าพื้นที่มีความลาดชันน้อยการ
ไหลบ่าของน้ำผิวดินจะช้า พืชสามารถดูดซึมน้ำที่มีธาตุได้ทัน พืชจึงเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะ
อย่างยง่ิ บริเวณที่เปน็ หุบเขา

133

(6) ดิน มีความสำคัญต่อพืชมากเพราะเป็นแหล่งให้ธาตุอาหารและน้ำซึ่งสำคัญต่อการ
เจริญเตบิ โตของพืช พืชตา่ งชนดิ กันจะขึน้ ได้ดใี นดนิ ตา่ งชนดิ กัน นอกจากน้แี ลว้ สิ่งมีชีวิตในดนิ ยังมีส่วน
ช่วยให้พืชเจริญเติบโต เช่น แบคทีเรียทำให้ซากพืชซากสัตว์เน่าเปื่อยผุพัง เพิ่มอินทรีย์สารให้กับดิน
ซึ่งเป็นธาตุอาหารให้กับพืชอีกทีหนึ่ง ไส้เดือนช่วยทำให้ดินร่วนซุยเหมาะแก่การเจริญเติบโตแก่พืช
เพราะเปรียบเสมอื นเปน็ การพรวนดินตามธรรมชาติ เปน็ ตน้

6.4.3 การจำแนกพืชพรรณธรรมชาติ (Classification of Natural Vegetation) นกั
ภูมิศาสตรพ์ ยายามจำแนกพืชพรรณธรรมชาติที่พบบนโลก โดยอาศยั ปัจจัย 2 ประการ คือ พืชทพี่ บใน
พื้นที่นั้นและลักษณะโครงสร้างของพืชซึ่งมีความหมายรวมไปถึงรูปร่างของพืชและความสัมพันธ์ของ
พชื นนั้ ๆ กบั พ้ืนท่ี ซงึ่ การจำแนกพชื พรรณธรรมชาตสิ ามารถแบง่ ได้เปน็ 5 กลุ่มใหญ่ (พวงเพชร์ ธนสนิ ,
2555: 200-203) ดังน้ี

(1) ชีวนิเวศป่าไม้ (Forest Biome) คือ พืชพรรณท่ีเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ ขึ้นหนาแนน่ จะมี
ใบแผข่ ยายปกคลมุ พื้นดินท้งั หมด มักพบในบรเิ วณทม่ี ีปริมาณน้ำฝนมาก แบง่ ย่อยออกได้เป็น 7 ชนิด

(1.1) ป่าไม้เขตศูนย์สูตร (Equatorial Forest) ลักษณะพืชพรรณจะเป็นต้นไม้ใหญ่
ขึ้นหนาแน่นและลำต้นสูง มียอดแผ่แน่นปกคลุมพื้นดิน ต้นไม้จะมีใบใหญ่ไม่ผลัดใบและเขียวชอุ่ม
ตลอดปี ลักษณะสำคัญของป่าประเภทนี้ คือ บริเวณลำต้น กิ่งก้านสาขาของต้นไม้มักจะมีเถาวัลย์พัน
อยู่ด้วยเพื่อเกาะและเลื้อยขึ้นไปรับแสงแดด นอกจากนี้แล้วยังพบพืชที่เกาะไม้อื่น (Epiphytes) ด้วย
บริเวณผิวดินของป่าเขตนี้จะมีใบไม้ทับถมกันอยู่เป็นบริเวณที่มีความชื้นสูงเพราะได้รับแสงแดดไม่
เพยี งพอ (ภาพท่ี 6.6)

(A) (B)
ภาพที่ 6.6 ปา่ ไมเ้ ขตศนู ยส์ ูตร (A) และปา่ ดิบช้ืนเขตร้อน (B)
ท่มี า: McArdle (2017)

134

(1.2) ป่าดิบชื้นเขตร้อน (Tropical Rain Forest) ป่าประเภทน้ีคล้ายกับป่าไม้เขต
ศูนย์สูตร พบบริเวณละติจูด 10–25 องศาเหนือและใต้ ในด้านรับลมซึ่งจะได้รับฝนเป็นช่วงๆ ทำให้
ป่าไม้เขียวชอุ่มตลอดปี มีป่าดิบน้อยกว่าป่าไม้เขตศูนย์สูตร แต่มีเถาวัลย์เกาะอยู่ตามต้นไม้มาก
เช่นเดยี วกบั ป่าเขตศนู ย์สตู ร เชน่ ป่าดิบชืน้ เขตรอ้ นบนเกาะบอร์เนยี ว (ภาพที่ 6.6)

(1.3)ป่าโปร่งหรือป่ามรสุม (Monsoon Forest) เป็นป่าที่มีต้นไม้ขึ้นห่างกว่าป่า เขต
ศูนย์สูตรและปา่ ดิบ ดังนั้นการแย่งกันรับแสงแดดของต้นไมจ้ ึงมีน้อย ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี แต่จะเต้ยี
กว่าตน้ ไมใ้ นปา่ เขตศนู ยส์ ูตร ป่าไม้ประเภทน้ีจะมกี ารผลัดใบในฤดรู ้อนซ่งึ มีความแห้งแล้งยาวนานและ
จะผลิใบในฤดูฝน โดยมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ป่าไม้ผลัดใบในเขตร้อน พบพืชพวกเถาวัลย์และพืชเกาะ
ไม้อื่นด้วย แต่จำนวนและขนาดจะน้อยกว่าป่าเขตศูนย์สูตร บริเวณใกล้พื้นดินจะมีพืชขนาดเล็กข้ึน
หนาแน่นและจะมีพืชพวกต้นไผข่ น้ึ กระจัดกระจายโดยทว่ั ไป

ภาพที่ 6.7 พนื้ ท่ีป่าดิบชนื้ เขตร้อนและป่ามรสุมท่ัวโลก
ท่ีมา: Primary School Geography Encyclopedia (2017)

(1.4) ป่าดบิ เขตอบอ่นุ (Temperate Rain Forest) ปา่ ชนิดนีจ้ ะมีพชื พรรณไม่กชี่ นิด
แต่ละชนิดจะมีเป็นจำนวนมากและไม่สูงมากนัก ส่วนใหญ่จะมีใบเล็กและมันวาว ป่าประเภทนี้จะมี
เฟิร์น ปาล์ม ไม้ไผ่ เถาวัลย์ และพืชอื่นๆ ขึ้นอยู่มาก ในบริเวณที่สูงๆ ที่มีหมอกลงจัดจะพบตะไคร่น้ำ
จับตามตน้ ไม้มากมาย (ภาพที่ 6.8)

(1.5) ป่าไม้ผลัดใบเขตอบอุ่น (Temperate Deciduous Forest) ป่าประเภทนี้เป็น
ป่าที่เขียวชอุ่มในฤดูร้อนและจะร่วงหมดในฤดูหนาว พบบริเวณละติจูด 30–60 องศาเหนือและใต้ มี
พืชพรรณมากชนิด ไม้พุ่มและพืชล้มลุกเจริญดี มีพืชชั้นต่ำขึ้นอยู่มาก เช่น ป่าไม้ผลัดใบเขตอบอุ่นใน
ภาคตะวันออกของสหรฐั อเมรกิ า (ภาพที่ 6.8)

135

(1.6) ป่าสน (Needle Leaf Forest) ป่าประเภทนี้เป็นป่าประเภทต้นไม้สูงยาว
รูปกรวย มีกิ่งก้านสั้น ใบเล็กเรียวคล้ายเข็ม เขียวชอุ่ม และมีร่มเงาคลุมดินตลอดปี ทำให้ต้นไม้เล็กๆ
ชั้นล่างไม่มีโอกาสเจริญเติบโต มอสจึงขึ้นหนาแน่น ป่าชนิดนี้จะขึ้นอยู่ที่ละติจูด 45–75 องศาเหนือ
ในประเทศรัสเซยี เรียกปา่ สนว่า ไทกา (Taiga) (ภาพท่ี 6.9)

(A) (B)
ภาพท่ี 6.8 ปา่ ดบิ เขตอบอ่นุ (A) และปา่ ไมผ้ ลดั ใบเขตอบอุ่น (B)
ท่ีมา: (A) Mariadna (2014)

(B) Zamboni (2015)

ภาพท่ี 6.9 ป่าสน
ท่มี า: Wetherbee and Lautt (2017)

(1.7) ปา่ ไม้เนื้อแขง็ ใบเขยี วชอ่มุ ตลอดปี (Evergreen Hardwood Forest) ปา่
ประเภทนี้เป็นป่าแบบผสม ประกอบด้วย ต้นไม้ไม่สูงนักมีเปลือกหนาและไม้พุ่มซึ่งจะเขียวชอุ่มตลอด
ปแี มใ้ นฤดรู ้อนทม่ี ีอากาศแห้งแล้ง ท้ังนี้เนอื่ งจากตน้ ไมส้ ว่ นใหญ่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอากาศที่แห้ง
แลง้ ได้ โดยการหยงั่ รากลึกลงไปในดิน

136

(2) ชีวนิเวศสะวันนา (Savanna Biome) เป็นป่าที่ต้นไม้เล็กๆ หรือไม้พุ่มขึ้นปนกับ
ทุ่งหญ้าซึ่งเป็นหญ้าสูง พืชพรรณที่เกิดในเขตนี้จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในฤดูฝน และเจริญเติบโต
ชา้ ในฤดแู ลง้ พชื พรรณในเขตนี้แบ่งออกได้ 2 ชนดิ

(2.1) ป่าสะวันนา (Savanna Woodland) ประกอบด้วย ไม้พุ่มและทุ่งหญ้าขึ้น
ปะปนห่างกันกระจัดกระจาย มักพบพืชพรรณชนิดนี้ในเขตอากาศค่อนข้างแห้งแล้ง เช่น ป่าสะวันนา
ในทวีปแอฟรกิ า (ภาพที่ 6.10)

(2.2) ไมพ้ ุม่ มหี นาม-ทุ่งหญา้ สะวันนา (Thorn Tree-Savanna Grassland) ลักษณะ
พืชพรรณส่วนใหญ่เป็นไม้พุ่มมีหนาม บางพวกอาจเป็นต้นไม้ขนาดสงู หรือไม้พุ่มแบบผลัดใบ เนื่องจาก
ฤดูแล้งยาวนาน ฤดฝู นสั้น แต่ปรมิ าณน้ำฝนมาก นอกจากนย้ี งั พบทุ่งหญ้าเขตร้อน หญ้าท่ีข้นึ มลี กั ษณะ
สูงเหนยี ว หยาบ และมีใบคม ในฤดแู ลง้ หญ้าเหลา่ นีจ้ ะแห้งและเกิดตดิ ไฟไดง้ า่ ย (ภาพท่ี 6.10)

(A) (B)
ภาพท่ี 6.10 ป่าสะวันนา (A) และไม้พุม่ มีหนาม-ทงุ่ หญา้ สะวันนา (B)
ทีม่ า: (A) Mossbacher (2017)

(B) Radford (2015)

(3) ชีวนิเวศทุ่งหญ้า (Grassland Biome) เป็นพืชพรรณที่เกิดขึ้นในที่ดอน ส่วนมาก
ประกอบไปด้วยพืชพรรณที่มีลำต้นอ่อน ได้แก่ หญ้า และพืชพรรณเล็กๆ ที่มีใบบางเรียกว่า วัชพืช
(Forb) พืชพรรณทงุ่ หญ้าไดร้ ับปริมาณน้ำฝนน้อย พืชพรรณทงุ่ หญา้ แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด

(3.1) ทุ่งหญ้าแพรรี (Prairie) เป็นทุ่งหญ้าท่ีไม่มีไม้ยืนต้น หญ้าเหล่านี้จะมียอด
แตกตา่ งไปตามปริมาณน้ำฝนท่ีไดร้ บั เชน่ ปรมิ าณนำ้ ฝนมากตน้ หญา้ จะสูง (ภาพที่ 6.11)

(3.2) ทุ่งหญ้าสเตปป์ (Steppe) ประกอบไปด้วยหญ้าสั้นๆ ขึ้นเป็นกอๆ ปะปนกับ
ไม้พุ่มเตี้ยๆ พืชปกคลุมดินมีน้อย แถวของทุ่งหญ้าสเตปป์จะเป็นรอยต่อของต้นไม้และทะเลทรายจะ
พบทุ่งหญ้าสเตปป์ในบรเิ วณระหวา่ งศูนยส์ ตู รกบั ละตจิ ดู ที่ 55 องศาเหนือและใต้ (ภาพที่ 6.11)

137

(A) (B)
ภาพท่ี 6.11 ทุง่ หญา้ แพรรี (A) และทุ่งหญา้ สเตปป์ (B)
ทีม่ า: (A) Toczynski (2017)

(B) Erdenebayar (2015)

(4) ชีวนิเวศทะเลทราย (Desert Biome) เนื่องจากในเขตทะเลทรายจะแห้งแล้งมาก
จนพืชพรรณต่างๆ ขึ้นไดย้ าก ส่วนใหญจ่ งึ เปน็ ทีว่ ่างเปลา่ อยา่ งไรกต็ ามพืชที่ข้นึ ในเขตทะเลทรายนเี้ ป็น
พืชท่มี ลี ำตน้ ออ่ นๆ เป็นพืชพุ่มและมีรากยาว พืชพรรณทะเลทรายแบง่ ออกเปน็ 3 ชนิด

(4.1) ไม้หนามกึ่งทะเลทราย (Thorn Tree Semidesert) ลักษณะพืชพรรณ
ธรรมชาติ ส่วนใหญ่เป็นไม้พุ่มมีหนามซึ่งปรับตัวให้เข้ากับลักษณะภูมิอากาศ ท่ีมีฤดูแล้งยาวนาน
ฤดูฝนสั้นแต่ฝนตกมาก ไม้มีหนามบางพวกจะเป็นต้นไม้ขนาดสูง บางพวกเป็นไม้พุ่ม โดยมากมักจะ
ผลัดใบในชว่ งฤดูแลง้ ในบางพืน้ ทอี่ าจจะพบต้นกระบองเพชร (ภาพที่ 6.12)

(4.2) พืชกึ่งทะเลทราย (Semidesert) เป็นพืชที่ขึ้นบริเวณแห้งแล้ง ไม่มีต้นไม้ใหญ่
ข้นึ พชื พรรณสว่ นใหญเ่ ป็นจำพวกไม้พ่มุ ตอ้ งการนำ้ นอ้ ยและพืชลำต้นอ่อนซ่งึ มตี น้ เตีย้ (ภาพที่ 6.12)

(A) (B)
ภาพที่ 6.12 ไมห้ นามก่ึงทะเลทราย (A) และพืชกึ่งทะเลทราย (B)
ทม่ี า: (A) Kalaharidesert (2017)

(B) Vanderveen (2017)

138

(4.3) พืชพรรณแบบทะเลทรายแห้งแล้ง (Dry Desert) ในเขตนี้เป็นเขตที่แห้งแล้ง
มากจะมีพืชพรรณพวกหญ้าเล็กๆ ที่ทนต่อความแห้งแล้งได้ดีขึ้นอยู่บ้างและมีพวกกระบองเพชรท่ี
สามารถเก็บน้ำได้ดีเท่านั้นที่ขึ้นได้ เขตนี้จะอยู่ในบริเวณทะเลทรายเขตร้อนและเขตอบอุ่นที่แห้งแล้ง
ละติจูด 30–35 องศาเหนือและใต้ เชน่ พชื พรรณแบบทะเลทรายแห้งแลง้ ในทวีปแอฟรกิ า (ภาพ
ท่ี 6.13)

ภาพที่ 6.13 พชื พรรณแบบทะเลทรายแห้งแล้ง
ทีม่ า: The Associated Press (2016)

(5) ชีวนิเวศทุนดรา (Tundra Biome) เป็นพืชพรรณที่เกิดขึ้นในบริเวณซึ่งอยู่ใกล้
ขั้วโลกที่หนาวเย็น มีปริมาณฝนน้อย เช่นเดียวกับทะเลทราย ดังนั้นในบางครั้งจึงเรียกทุนดราว่า
ทะเลทรายเปียก (Wet Desert) พืชพรรณเขตนีแ้ บง่ ย่อยได้ 2 ชนดิ

(5.1) อาร์กติกทุนดรา (Arctic Tundra) เป็นเขตที่มีลักษณะอากาศแถบขั้วโลก
หนาวจัดมีน้ำแข็งปกคลุมอยู่บนพื้นผิวตลอดปี ฤดูกาลเจริญเติบโตของพืชสั้นมาก เขตนี้มีพืชพรรณ
เพียงไมก่ ี่ชนดิ ส่วนใหญ่จะเปน็ พวกไลเคนส์ มอส และไมพ้ มุ่ เตยี้ ไม่พบตน้ ไม้เลย (ภาพที่ 6.14)

(5.2) ทุนดรา (Tundra) พบในเขตอากาศเย็นใกล้ขั้วโลกซึ่งมีอากาศหนาวยาวนาน
หรือยอดเขาปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ในฤดูร้อนกลางวันจะยาวนานทำให้น้ำแข็งละลายเป็นผลทำให้
พวกหญ้า วัชพืช และดอกไม้เจริญงอกงาม ดินในบริเวณนี้เป็นโคลนเลนจะเหลวในฤดูร้อนและแข็งใน
ฤดูหนาว ส่วนที่ลึกลงไปข้างใต้แขง็ เป็นแผ่นน้ำแข็งตลอดเวลา ในบางครั้งอาจพบต้นไม้เล็กๆ มีใบแข็ง
หนาและมันวาวเพื่อกันการระเหย เนื่องจากในปีหนึ่งๆ พื้นดินปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเป็นเวลาหลาย
เดอื นและมฤี ดูรอ้ นช่วงส้ัน ซ่ึงเป็นชว่ งทพ่ี ืชเจรญิ งอกงามอยา่ งรวดเร็ว ดังนน้ั พืชจึงต้องเร่งเจริญเติบโต
(ภาพท่ี 6.14)

139

(A) (B)
ภาพที่ 6.14 อาร์กติกทนุ ดรา (A) และทนุ ดรา (B)
ที่มา: (A) Thinglink (2017)

(B) Smith (2017)

1.5 ลกั ษณะและสง่ิ แวดลอ้ มของสตั ว์
6.5.1 อาณาจักรของสัตว์ สัตว์สามารถจำแนกออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ สัตว์มีกระดูก

สันหลัง (Vertebrate) ประกอบด้วยสัตว์ที่มีมันสมองและกระดูกสันหลังที่เป็นโครงร่างสำคัญของ
ร่างกาย และสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertebrate) ซึ่งลำตัวของสัตว์เหล่าน้ีจะไม่มีกระดูกสันหลัง
ปรากฏอยู่ อยา่ งไรก็ตามนกั ชีววิทยาแยกสตั วอ์ อกเป็น 3 อนอุ าณาจกั ร คอื โปรโตซัว (Protozoa) พา
ราซัว (Parazoa) และเมตาซัว (Metazoa) พวกโปรโตซัวจะเป็นสัตว์เซลล์เดียวที่มีขนาดเล็ก ร่างกาย
จะประกอบด้วยอวัยวะที่มีขนาดเล็กไม่สามารถจะแบ่งย่อยลงไปได้อีก พาราซัวจะเป็นสัตว์ชั้นต่ำที่
อวัยวะของร่างกายประกอบด้วยหลายเซลล์ เช่น ฟองน้ำ ส่วนพวกเมตาซัวจะเป็นพวกสัตว์ หลาย
เซลล์และมีอวัยวะของร่างกายที่ทำหน้าที่แตกต่างกันไป แบ่งแยกออกไปด้วยหลายไฟลัม เช่น
ปะการงั หอย ไส้เดอื น ปลาดาว แมลง และสตั ว์มกี ระดูกสันหลงั (ภาพที่ 6.15)

สำหรับสัตว์มีกระดูกสันหลังจะแบ่งย่อยออกไปอีก ซึ่งจะประกอบด้วยกลุ่มสัตว์จำพวกปลา
สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน นก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จากการที่สัตว์มีกระดูกสันหลังมี
ร่างกายที่แข็งแรงและมีการปรับปรุงอวัยวะของร่างกายให้เหมาะสมกับการใช้งานจึงทำให้สัตว์กลุ่มนี้
แผ่กระจายครอบคลุมพื้นโลกได้อย่างกว้างขวางและมีจำนวนรวมกันราว 40,000 ชนิด กลายเป็น
อาณาจกั รของสตั ว์

140

(A) (B) (C)
ภาพที่ 6.15 โปรโตซวั (A) พาราซวั (B) และเมตาซัว (C)
ทีม่ า: (A) Power and Syred (2013)

(B) Ornes (2009)
(C) Dosto (2009)

6.5.2 ลกั ษณะทวั่ ไปของชวี ิตสตั ว์ เป็นที่ทราบกนั ดแี ล้ววา่ บรรดาสตั วท์ ั้งหลายท่ีปรากฏอยู่
บนพื้นโลกจะมีความสามารถในการเคลื่อนไหวและมีความเฉลียวฉลาด ทั้งนี้เพราะสัตว์เหล่านี้มี
อวัยวะที่ใช้ในการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพและมีสมองในการคิด แต่ถึงกระนั้นก็ตามมิ ได้
หมายความว่าสัตว์ทุกชนิดจะมีศักยภาพในการคิดและการเคลื่อนไหวได้เท่าเทียมกัน สัตว์บางชนิดจะ
เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว บางชนิดจะมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าชนิดอื่นๆ จากความเฉลียวฉลาด
และความสามารถในการเคลื่อนไหวจึงเป็นผลทำให้สัตว์เหล่านั้นสามารถหลบภัยและป้องกันตัวเองได้
อย่างดี สัญชาตญาณจะมีบทบาทสำคัญที่ทำการควบคุมอากัปกิริยาและความเฉลียวฉลาดของสัตว์
เช่นเดียวกัน กล่าวคือ สัตว์บางชนิดมีถิ่นที่อยู่บนบก เมื่อถึงคราวจำเป็นก็จะสามารถว่ายน้ำได้ เช่น
หนู ลงิ สุนัข เป็นต้น

ในการเคลื่อนไหวของสัตว์ปรากฏว่าสัตว์ชั้นสูงจะเคลื่อนไหวได้เร็วและไปได้ไกลกว่าสัตว์
ชั้นต่ำ พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของสัตว์ทำให้สัตว์หลายชนิดสามารถอยู่รอด และแพร่กระจาย
จำนวนสมาชิกออกไปอย่างกว้างขวาง ลักษณะเด่นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของสัตว์ก็คือ รูปร่าง สัตว์
นอกจากจะมีขนาดแตกต่างกันแล้ว รูปร่างหน้าตาของสัตว์ยังแตกต่างกันออกไป แม้จะอยู่ในกลุ่ม
เดยี วกันก็ตาม เชน่ สตั วน์ ำ้ สัตว์ปกี สัตวเ์ ลื้อยคลาน สตั วค์ รึ่งบกครึ่งน้ำ และแมลง เปน็ ตน้

141

สำหรับการดำเนินชีวิตนั้น สัตว์แต่ละชนิดจะมีวิถีในการดำเนินชีวิตแตกต่างกัน โดยมี
อาหารและถิ่นที่อยู่อาศัยไม่เหมือนกัน สัตว์บางชนิดออกหากินเวลากลางวัน สัตว์บางชนิดออกหากิน
เวลากลางคืน สัตวบ์ างชนิดกินพชื เป็นอาหาร สัตวบ์ างชนดิ กนิ สัตว์เป็นอาหาร และสัตวบ์ างชนดิ กินท้ัง
พืชและสัตว์เป็นอาหาร แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้การดำเนินชีวิตของสัตว์มีความคล้ายคลึงกันก็คือ สัตว์เกือบ
ทุกชนิดจะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยแสงแดดเพื่อการผลิตอาหาร ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์จึง
แผ่ขยายกว้างขวางมากกวา่ พชื

6.5.3 ภูมิอากาศและพืชพรรณท่ีมอี ทิ ธพิ ลต่อสตั ว์ การดำเนนิ ชีวิตของสตั ว์จะแพร่กระจาย
ออกไปครอบคลุมพื้นผิวโลกอย่างกว้างขวางทั้งพื้นดินและพื้นน้ำ แต่การอุบัติขึ้นมาของสัตว์ทั้งหลาย
จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขและตัวควบคุมพื้นฐาน คือ ความสามารถที่จะเข้าไปอยู่อาศัยได้และความ
เหมาะสมทีจ่ ะดำเนินชีวิตต่อไป ถึงกระน้ันกต็ ามการอยู่รอดของสตั ว์จะมขี อ้ กำหนดเบอื้ งต้น 2
ประการ คือ สภาพความเหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิต กล่าวคือ มีพืชพรรณและน้ำเพื่อการบริโภค
อยา่ งพอเพยี งและลักษณะภูมอิ ากาศเพอื่ การคงอยู่อย่างสะดวกสบายของสัตว์ สามารถอธิบายไดด้ ังนี้

(1) ภูมิอากาศ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าส่วนประกอบขั้นพื้นฐานของอากาศได้แก่
ความช้ืน อณุ หภูมิ แสงสว่าง และความกดอากาศ สตั ว์ที่จะคงชวี ติ อยไู่ ดใ้ นสว่ นต่างๆ ของโลกจำเป็นท่ี
ต้องพึ่งอาหารและน้ำ สัตว์บางชนิดอาศัยอยู่ได้ดีในเขตภูมิอากาศชุ่มชืน้ และก็มีสัตว์หลายชนิดที่อาศยั
ไดด้ ใี นเขตภมู ิอากาศหนาวเย็นหรือแห้งแล้ง สัตวท์ ีส่ ามารถอาศยั อยู่ได้ภายใต้สภาพความชมุ่ ชื้นในช่วง
แคบๆ เรียกว่า สตีโนไฮกริค (Stenohygric) เช่น สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ไส้เดือน ทาก ฮิปโปโปเตมัส
และกระบือ เป็นตน้ ในทางตรงขา้ มสัตวท์ ีอ่ าศัยอยไู่ ดใ้ นความชมุ่ ชื้นช่วงกว้างซึง่ ความชมุ่ ช้ืนจะผันแปร
แตกต่างกันออกไปอย่างมากมายตลอดทั้งปีเรียกว่า ยูรีไฮกริค (Euryhygic) สัตว์กลุ่มนี้ปรากฏให้เห็น
ไดอ้ ยา่ งเด่นชดั มาก ได้แก่ แมลงชนดิ ต่างๆ นก และสัตว์เลยี้ งลูกด้วยนม อย่างไรก็ตามปริมาณน้ำฝนที่
ตกลงมาจะมีผลกระทบต่อสัตว์น้อยกว่าพืช แต่พืชพรรณที่เกิดขึ้นมาจะมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของ
สัตวอ์ ีกตอ่ หน่ึง ดงั นน้ั จงึ อาจกลา่ วได้วา่ ปรมิ าณนำ้ ฝนมอี ทิ ธิพลต่อสัตว์ในทางอ้อมมากกวา่ ทางตรง

อุณหภูมินับว่าเป็นองค์ประกอบทางด้านภูมิอากาศที่มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของสัตว์
แม้ว่าสัตว์บางชนิดจะสามารถอาศัยได้ภายใต้สภาพอุณหภูมิสูง แต่จะมีสัตว์อีกมากมายหลายชนิดท่ี
อาศัยอยู่ได้อย่างสบายในบริเวณทีม่ ีอุณหภูมิของอากาศปานกลางหรืออุณหภมู ิต่ำ พิสัยของอุณหภูมิท่ี
สัตว์จะดำรงชีวิตอยู่ได้จะเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสเล็กน้อย ไปจนถึง 50 องศาเซลเซียส จาก
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของอากาศที่เกิดขึ้นจะทำให้สัตว์มีการอพยพไปอยู่ที่อื่น หรือจำศี ล
เหมือนกับบริเวณขาดแคลนน้ำที่เกิดขึ้นในเขตสะวันนาในช่วงฤดูร้อน สัตว์สามารถอาศัยหรืออยู่รอด
ภายใตอ้ ณุ หภูมิในช่วงทีแ่ คบได้ เรยี กว่า สตีโนเธอรม์ อล (Stenothermal) เชน่ จระเขแ้ ละ นก
เพนกวิน เป็นต้น ส่วนสัตว์ที่อาศัยหรือมีความอดทนต่อสภาพอุณหภูมิของอากาศในช่วงกว้างได้อย่าง
ดี เรยี กวา่ ยูรเี ธอรม์ อล (Eurythermal) เชน่ ปลาวาฬและสัตวจ์ ำพวกแมวนำ้ เปน็ ต้น

142

จากการที่สัตว์ชอบอาศัยอยู่ใต้อุณหภูมิของอากาศที่แตกต่างจึงเป็นเหตุทำให้สัตว์ที่
อาศัยอยู่ในเขตร้อนไม่สามารถอพยพโยกย้ายเข้าไปยังเขตอบอุ่นหรือเขตหนาวได้หรือในทำนอง
เดียวกันสัตว์ในเขตหนาวก็ไม่สามารถกระจายลงในเขตร้อนได้ สัตว์เลื้อยคลานเป็นสัตว์ที่พบอยู่อย่าง
กว้างขวางเกือบทุกสภาพภูมิอากาศ แต่จะพบมากที่สุดในเขตร้อนทั้งชนิดและจำนวน เมื่อจำนวน
องศาละติจูดเพิ่มขึ้นจะทำให้ปริมาณและชนิดของสัตว์เลื้อยคลานค่อยๆ ลดลง กรณีจระเข้และเต่า
จะพบอยใู่ นเขตละตจิ ดู สงู สุดไมเ่ กนิ 57.5 องศาเหนอื นบั ว่าเปน็ ทีป่ รับตัวใหเ้ ขา้ กับสภาพความผันแปร
ของอุณหภูมิได้เป็นอย่างดี จึงอาจกล่าวได้ว่าอุณหภูมิของอากาศจะเป็นตัวสกัดกั้นการอพยพโยกย้าย
ของสัตว์ที่สำคัญ ดังจะเห็นได้ว่าสัตว์จำพวกกวางเรนเดียร์ หมีขาว และแมวน้ำจะพบอยู่เฉพาะใน
เขตหนาวเท่านั้น ส่วนนกเพนกวินบางคร้ังจะพบอยู่ตามดินแดนใกล้ศูนย์สูตรเพราะสามารถอพยพ
ขึน้ มาตามกระแสนำ้ เยน็ ได้

แม้ว่าการดำเนินชีวิตของสัตว์จะพ่ึงพาอาศัยแสงแดดไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับพืช
แล้ว แต่การดำรงชีวิตของสัตว์ชั้นสูงยังต้องอาศัยแสงสว่าง อย่างน้อยที่สุดก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ หรือ
ช่วงใดช่วงหนึ่ง สำหรับในบางบริเวณที่แสงสว่างมีความเข็มมากเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อสัตว์ เช่น
ในทะเลทรายหรือพื้นทีส่ ูง ซึ่งดินแดนดังกล่าวแสงของดวงอาทิตยจ์ ะเขม้ มาก ดังนั้นสัตวจ์ ึงจำเปน็ ต้อง
เปลีย่ นแปลงสขี องผวิ หนงั ใหท้ บึ เพื่อปอ้ งกันอนั ตรายทีเ่ กิดจากแสงของดวงอาทติ ย์

(2) สภาพความเหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิต สัตว์หลายชนิดพยายามปรับตัวให้
เหมาะสมกับถิ่นที่อยู่อาศัย แต่จะมีสัตว์ไม่กี่ชนิดที่สามารถอาศัยได้ทุกสภาพแวดล้อม โดยทั่วไปแล้ว
สัตว์ส่วนใหญ่จะถูกจำกัดให้อยู่อาศัยในสภาพพืชพรรณชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น สัตว์ที่อาศัย
อยู่ตามตน้ ไม้จะไม่พบตามทุง่ หญ้า สัตว์ท่อี าศยั อยตู่ ามทุ่งหญา้ จะพบอยู่น้อยมากตามป่ารกทึบ เป็นตน้
ทั้งนี้เพราะสภาพแวดล้อมดังกล่าวมีอาหารอยู่น้อยและไม่พอเพียง เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า
สภาพแวดล้อมสง่ ผลตอ่ อาหาร ปริมาณอาหารสัมพันธก์ บั ความเหมาะสมของสัตว์ สตั ว์บางชนิดกินพืช
เช่น กวาง มา้ เกง้ กระซู่ และกระบอื เป็นต้น สตั วบ์ างชนดิ กนิ สัตว์ เช่น สัตวต์ ระกลู แมวทกุ ชนดิ สตั ว์
ใช้พืชหรือสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอาหารจะเรียกว่า สตีโนฟากัส (Stenophagous) ส่วนสัตว์ที่
บริโภคทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร เรียกว่า ยูรีฟากัส (Euryphagous) ทั้งนี้การกระจายตัวของสัตว์ที่
กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหารมีแนวโน้มจะครอบคลมุ พ้ืนผิวโลกอย่างกว้างขวาง เพราะสภาพแวดล้อม
เอื้ออำนวย แต่สัตว์ท่ีกินอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะจะยากลำบากในการเข้าไปดำรงชีวิตใน
บางท้องถ่ิน ดว้ ยเหตนุ ีเ้ องการกระจายตวั ของสัตว์ประเภทน้ีจงึ อยใู่ นขอบเขตจำกัด (ภาพที่ 6.16)

143

ภาพท่ี 6.16 สภาพความเหมาะสมสำหรับการดำรงชีวติ ของสตั วท์ ัว่ โลก
ท่ีมา: Cramb (2017)

6.5.4 ถิ่นที่อยู่ที่สำคัญของสัตว์ ในการจำแนกถิ่นที่อยู่ของสัตว์เกี่ยวข้องกับกลุ่มพืชพรรณ
เพราะการดำเนินชีวิตของสัตว์จะได้พืชพรรณเหล่านั้นเป็นอาหารและที่หลบภัย ดังนั้นจึงแบ่งภูมิภาค
ท่ีเปน็ ถน่ิ ท่อี ยอู่ าศยั ของสัตวอ์ อกได้ 11 เขต (วิชัย เทยี นน้อย, 2536: 238-246) ดงั น้ี

(1) เขตทุนดรา แม้ว่าข้อจำกัดทางสภาพแวดล้อมของเขตทุนดราเกี่ยวกับการดำรงชีวิต
ของสัตว์จะมีอยู่มากแต่ถึงกระนั้นแล้วยังมีสัตว์หลายชนิดอาศัยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน
การอพยพโยกย้ายตามฤดูกาลของฝูงสัตว์ปรากฏให้เห็นได้อย่างเด่นชัดในเขตทุนดรา สัตว์ที่อพยพเข้า
ไปส่วนใหญจ่ ะเป็นพวกนก โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งกลมุ่ ของนกน้ำหรือนกท่ีอาศยั อยูต่ ามชายฝั่งซ่ึงจะอาศัย
สัตว์น้ำและแมลงที่มีอยู่อย่างชุกชุมเป็นอาหาร นกเหล่านี้มีจุดประสงค์สำคัญในการอพยพเข้าไปใน
เขตทุนดราเพื่อวางไข่เพราะเป็นสถานที่ปลอดภัยและอยู่ห่างไกลจากย่านชุมชน สัตว์บกชนิดอื่นที่มี
การอพยพโยกย้ายตามฤดูกาลที่เด่นชัดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คาริบู (Caribu) เป็นกวางชนิดหนึ่งที่มี
ลักษณะคล้ายคลึงกับกวางเรนเดียร์ปรากฏอยู่ทางตอนเหนือของยูเรเชีย คาริบูจะอพยพจากป่าไทกา
ขึ้นไปทุนดราในช่วงฤดูร้อนและจะอพยพหลบหนีความหนาวเย็นลงมาทางใต้ในช่วงฤดูหนาว
สัตว์เลือดอุ่นซึ่งมีถิ่นที่อยู่อาศัยในเขตทุนดราอย่างแท้จริงและสามารถอยู่ได้แม้จะมีช่วงฤดูหนาวท่ี
ยาวนาน ได้แก่ มัสค์ ออกซ์ (Musk Ox) กระต่ายอาร์กติก กวางเรนเดียร์ สุนัขจิ้งจอกอาร์กติก เลมมิง
(Lemming) และนกทามงิ กัน สำหรับนกทามงิ กนั และกระต่ายอาร์กติกจะสามารถเปล่ียนแปลงสีของ
ขนจากสเี ข้มใหเ้ ป็นสอี ่อนในชว่ งฤดูหนาวได้

144

(A) (B)
ภาพที่ 6.17 คารบิ ู (A) และมสั ออกซ์ (B)
ทม่ี า: (A) Mohammed (2014)

(B) Shoulderache (2010)

นอกจากสัตว์ขนาดใหญ่ได้กล่าวมาแล้ว ในเขตทุนดรายังมีแมลงหลายชนิดชุกชุม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่ชื้นแฉะจะเป็นที่เพาะพันธุ์และถิ่นที่อยู่ที่สำคัญของแมลง เช่น ยุงและ
แมลงวันดำ เป็นต้น จากการที่แมลงมีอย่างชุกชุมนี้เองจะเป็นสิ่งดึงดูดฝูงนกที่อพยพเข้าไปในช่วง
ฤดูร้อน สำหรับตามแหล่งน้ำในเขตอาร์กติกจะมีสัตว์ขนาดเล็ก จำพวกไดอะตอม (Diatom) และ
แพลงก์ตอน (Plankton) อย่างหนาแน่น ซึ่งนับเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำขนาดใหญ่สำคัญ เช่น
ปลา กุ้ง ปู และสัตว์อื่นๆ รวมทั้งสัตว์น้ำที่เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น แมวน้ำ ในขณะเดียวกันสัตว์เหล่าน้ี
นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารโปรตีนเสริมของมนุษย์แล้ว ยังเป็นอาหารของฝูงนกน้ำและฝูงนกที่อาศัย
อย่ตู ามชายฝ่ังได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสตั วท์ ่ชี อบกนิ เน้อื เป็นอาหาร เช่น สุนัขจง้ิ จอกและหมีข้ัวโลกดว้ ย

(2) เขตไทกา เป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์ที่พบอยู่ทางตอนเหนือของอเมริกาเหนือและยูเรเซีย
มีช่วงเวลาอย่างน้อย 5 เดือนที่อุณหภูมิสูงกว่า 6 องศาเซลเซียส และมีความชื้นพอเพียงสำหรับการ
พัฒนาของไม้เนื้ออ่อนกลายเป็นป่าสนขึ้นมา แม้ว่าความรุนแรงของสภาพภูมิอากาศจะไม่เท่ากับเขต
ทุนดราแต่การดำรงชีวิตของสัตว์จะคล้ายคลึงกัน โดยสัตว์ที่อาศัยอยู่ในเขตไทกาจะอพยพโยกย้ายลง
มาทางใตเ้ พอื่ หนคี วามหนาวเยน็ ในชว่ งฤดูหนาวและจะอยกู่ ันอย่างหนาแน่นในชว่ งฤดูร้อน สัตวป์ า่ เขต
ไทกา ได้แก่ กวางมูส (Moose) หมีขาว สุนัขจิ้งจอก สุนัขป่า แมวป่า หนู พังพอน อีเห็น แบดเจอร์
(Badger) สกงั ก์ (Skunk) และนาก

สำหรับแมลงปรากฏอยู่อย่างชุกชุมไม่แพ้เขตทุนดราและพบอยู่อย่างหนาแน่นในช่วง
ฤดูร้อน ทั้งน้ีเพราะฤดูร้อนตามที่ลุ่มและที่ชื้นแฉะโดยทั่วไปจะไม่มีน้ำแข็งปกคลุมจึงเป็นแหล่ง
เพาะพันธุ์ของแมลงได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ตามมาก็คือในช่วงฤดูร้อนจะมีฝูงนกเข้าไปอาศัยอยู่ตามป่า
ไทกาไดอ้ ยา่ งสบายเพราะมีอาหารสมบรู ณ์

145

(A) (B)
ภาพท่ี 6.18 กวางมสู (A) และสกงั ก์ (B)
ที่มา: (A) Perry (2017)

(B) Dorman and Sturr (2013)

(3) เขตป่าไม้ผลัดใบเขตอบอุ่น เป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์มากมายหลายชนิดที่พบในเขต
ละติจูดกลาง สัตว์ที่อาศัยอยู่ในเขตป่าไม้ผลัดใบเขตอบอุ่นแถบยุโรป ได้แก่ กวาง หมี สุนัขจิ้งจอก
หมูป่า และแมวป่า ส่วนอเมริกาเหนือ ได้แก่ กวาง หมีดำ สุนัขจิ้งจอกแดง เสือลายกลับ (Planter)
แรกคูน (Raccoon) และกระรอกสีเทา นอกจากน้ีจากการที่ป่าไม้ผลัดใบเขตอบอุ่นมีแมลงมากมาย
หลายชนิดชุกชุมจึงทำให้มีนกหลายชนิดอาศัยอยู่ เช่น นกอินทรี เหยี่ยว นกเค้าแมว และไก่งวงป่า
เปน็ ต้น สัตว์จำพวกนกจะมีการอพยพตามฤดูกาล ส่วนสตั ว์เลีย้ งลูกด้วยนมบางชนิดจะสะสมอาหารไว้
บริโภคในช่วงฤดูหนาวที่ขาดแคลนหรือไม่ก็ใช้วิธีการจำศีล สำหรับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจะพบอยู่ทั่วไป
ในแมน่ ้ำ ลำคลอง และทะเลสาบจะมีปลาและสตั ว์น้ำอ่นื ๆ อาศัยอย่อู ยา่ งชกุ ชมุ เชน่ เดยี วกัน

(A) (B)
ภาพท่ี 6.19 สุนขั จิ้งจอก (A) และนกเคา้ แมว (B)
ทม่ี า: (A) Kizeslak (2017)

(B) Christie (2014)

146

(4) เขตทุ่งหญ้าเขตอบอุ่น อยู่ในเขตอบอุ่นจะมีทั้งทุ่งหญ้าสเตปป์ในทวีปอเมริกาเหนือ
ได้แก่ บริเวณที่ราบใหญ่ (The Great Plain) และทุ่งหญ้าสเตปป์ที่อยู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ซึ่งเป็น
แนวต่อเนื่องกันมาจากทวีปยุโรปเข้าไปในทวีปเอเชีย ในอดีตทุ่งหญ้าเหล่านี้จะเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของ
สัตว์กีบที่กินหญ้าเป็นอาหาร ได้แก่ กระทิง ควายป่า ม้าลาย เนื้อทราย จิงโจ้ (ประเทศออสเตรเลีย)
และช้าง เป็นต้น และสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร ได้แก่ เสือชนิดต่างๆ หมาป่า แมวป่า และสุนัขจ้ิงจอก
เป็นตน้ แตด่ ้วยความเตียนโลง่ ของทุ่งหญ้าจึงยากทสี่ ตั วก์ ีบท่กี ินหญ้าเป็นอาหารจะหลบภัยจากสัตว์กิน
เน้ือได้ ส่งผลให้สัตวก์ ีบท่กี นิ หญ้าเปน็ อาหารลดปริมาณลงอย่างรวดเร็วและบางชนิดเกือบสูญพนั ธุ์

สำหรับสัตว์ที่มีขนาดเล็กลงมา เช่น กระต่ายและหนูจะขุดรูหรือโพรงเพ่ือใช้เป็นท่ี
หลบภัยและพักอาศัย อาหารที่กินจะได้มาจากส่วนต่างๆ ของพืชที่ขึ้นอยู่ตามทุ่งหญ้า นอกจากนี้ตาม
ทุ่งหญ้ายังมีแมลงมากมายหลายชนิด เช่น แมลงวัน ยุง ผีเสื้อ เหลือบ และตั๊กแตน แมลงเหล่านี้จะไม่
อพยพโยกยา้ ยไปตามฤดกู าล แต่พอถึงปลายฤดรู อ้ นมันจะตายไป

(A) (B)
ภาพท่ี 6.20 มา้ ลาย (A) และจิงโจ้ (B)
ท่มี า: (A) Oxford Dictionaries (2016)

(B) Macropus (2017)

(5) เขตป่าไม้เนื้อแข็งไม่ผลัดใบเขตอบอุ่น เป็นลักษณะพืชพรรณท่ีอยู่ในเขตภูมิอากาศ
แบบเมดิเตอร์เรเนียน ดังนั้นจึงมีชื่อเรียกว่าอีกอย่างหนึ่งว่า หมู่ไม้เมดิเตอร์เรเนียน ดินแดนแห่งนี้เคย
เปน็ ถนิ่ ทอ่ี ยอู่ าศยั ที่สำคญั ของสัตวป์ ่านานาชนิด แต่ปัจจุบันเนอ่ื งจากมีประชากรเข้าไปตงั้ ถิ่นฐานอย่าง
หนาแน่นจึงทำให้สัตว์ป่าเหลืออยู่น้อยมาก สัตว์ป่าที่ยังหลงเหลืออยู่ในทวีปยุโรป ได้แก่ หนูและ
สัตว์เลื้อยคลาน นอกจากน้ียังพบแพะภูเขา หมาป่า เนื้อสมัน และลิงในเขตเทือกเขาสูงที่อยู่ห่างไกล
จากย่านชุมชน ในสหรฐั อเมริกาพบกระรอก กวาง หมี สิงโตภูเขา และนกนานาชนิด ส่วนออสเตรเลีย
พบเฉพาะจิงโจ้ ในเขตนี้ตามบริเวณที่ชื้นแฉะจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงที่ดี เช่น ยุง แมลงวัน และ

147

แมลงปีกแข็งบางชนิดซึ่งแมลงเหล่านี้จะใช้เป็นอาหารของนกได้เป็นอย่างดี ส่วนยุงจะเป็นตัวพาหะท่ี
นำเช้อื ไขม้ าลาเรียมาสคู่ น

(6) เขตทะเลทราย เนอื่ งจากทะเลทรายเป็นดนิ แดนท่ขี าดแคลนนำ้ และพืชพรรณจึงเป็น
เหตุที่ทำให้ให้พันธุ์สัตว์ประจำถิ่นในทะเลทรายมีน้อยทั้งชนิดและจำนวน สัตว์ที่เข้าไปอยู่อาศัยใน
ทะเลทรายได้จะต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพความแห้งแล้งที่ปรากฏอยู่ได้ สัตว์ที่พบในเขต
ทะเลทราย ได้แก่ อูฐ เนื้อทรายบางชนิด และแกะภูเขา การดำรงชีวิตของสัตว์เหล่านี้จะอาศัยพืช
จำพวกหญ้าและไม้พุ่มทึบกระจัดกระจายอยู่อยา่ งเบาบางเป็นอาหาร สัตว์ที่มีขนาดเล็กลงมา เช่น หนู
กิ้งก่า และงูชนิดต่างๆ ทั้งมีพิษและไม่มีพิษ ส่วนมากจะออกหาอาหารในเวลากลางคืน หนูบางชนิด
สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยน้ำจากต้นพืชอวบน้ำเก็บสะสมเอาไว้ และสัตว์ทะเลทรายบางชนิดก็
ไดน้ ำ้ มาใชเ้ พ่อื การดำรงชวี ติ จากน้ำคา้ งหรอื นำ้ จากปสั สาวะของตัวเอง

สำหรับแมลงที่ปรากฏอยู่ในทะเลทรายจะชุกชุมเช่นเดียวกัน ซึ่งแมลงเหล่านี้สามารถ
ปรับตัวเพื่อสู้กับแสงแดดที่แผดกล้าได้ใช้ลำตัวท่ีมันเลื่อมสะท้อนความร้อนออกไปจากตัวเอง แมลง
เหลา่ นเ้ี ป็นอาหารของนกเล็กๆ ท่ีปรากฏอยใู่ นทะเลทราย

(A) (B)
ภาพที่ 6.21 อูฐ (A) และงูทะเลทราย (B)
ทม่ี า: (A) Reuters (2014)

(B) Clark (2017)

(7) เขตทุ่งหญ้าสะวันนา ตามเขตทุ่งหญ้าสะวันนาหรือทุ่งหญ้าเมืองร้อนจะมีหญ้า
หยาบๆ ต้นยาวและชื้นเบียดเสียดเยียดยัดกันอย่างหนาแน่น ซึ่งหญ้าเหล่านี้จะแห้งและตายในช่วง
ฤดแู ลง้ ดินแดนแถบนีก้ ่อนท่ีมนษุ ย์จะเขา้ ไปตั้งถิน่ ฐานอย่างถาวรจะมีสตั ว์ป่าอาศัยอยอู่ ย่างชกุ ชมุ สัตว์
ท่อี าศยั อยสู่ ่วนใหญ่จะเป็นสตั วท์ ี่กนิ หญา้ เป็นอาหาร เชน่ กวาง เกง้ มา้ ลาย ยรี าฟ ช้าง แรด เนอ้ื ทราย
และกูปรี เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็จะมีสตั วท์ ีก่ ินเน้ือเปน็ อาหารปรากฏอยู่ เชน่ แมวปา่ แมวดาว เสอื
ไฟ เสือปลา หมาป่า และสุนัขจิ้งจอก เป็นต้น ปัจจุบันสัตว์ดังกล่าวหลงเหลืออยู่น้อยมาก บางชนิด
เกอื บจะสูญพนั ธุ์ ภูมิภาคทุ่งหญ้าสะวนั นาที่ยังมสี ัตวเ์ หลอื อยู่บ้าง ไดแ้ ก่ ทุ่งหญา้ สะวันนาของแอฟริกา

148

นอกจากสัตว์ได้กล่าวมาแล้วตามทุ่งหญ้าสะวันนายังสมบูรณ์ไปด้วยนกป่านานาชนิด
เช่น นกกระเรียน นกยาง นกกระทาทุ่ง นกแสก และนกกะสา่ เป็นต้น นกเหล่านนี้ อกจากจะไดอ้ าหาร
จากสัตว์ท่ีมีอยู่ตามแหล่งนำ้ ภายในทุ่งหญา้ แล้ว ยงั ไดอ้ าหารมาจากแมลงชนดิ ต่างๆ ที่มีอยู่อย่างชุกชมุ
ด้วย เช่น เหลือบ แมลงวัน ตั๊กแตน และยุง ส่วนในแอฟริกาจะมีแมลงวันชนิดหนึ่งปรากฏอยู่ ชื่อว่า
แมลงวันเซตซี (Tsetse Fly) เป็นพาหะนำโรคเหงาหลับเช่นเดียวกับยุงทน่ี ำเชื้อไขม้ าลาเรียมาสู่คน ยิ่ง
ไปกว่านั้นแมลงชนิดนี้ยังเป็นตัวควบคุมในการแพร่กระจายของสัตว์ในแอฟริกาอีกด้วย สำหรับในเขต
ทุ่งหญ้าสะวันนาที่พบสัตว์ซึ่งแตกต่างไปจากที่กล่าวมาแล้ว ได้แก่ ลามา (Llama) เป็นสัตว์ที่พบอยู่ใน
บริเวณทุ่งหญ้ายาโนส (Llanos) ในประเทศเวเนซุเวลา และจิงโจ้ที่พบอยู่อย่างกว้างขวางในเขตทุ่ง
หญ้าสะวันนาทางตอนเหนือของออสเตรเลีย

(A) (B)
ภาพที่ 6.22 ลามา (A) และทงุ่ หญ้ายาโนส (B)
ทีม่ า: (A) Man (2006)

(B) Oturmerida (2011)

(8) เขตป่าไม้ผลัดใบเขตร้อน เป็นป่าไม้ที่พบในเขตภูมิอากาศแบบมรสุม ช่วงฤดูหนาวท่ี
ขาดแคลนน้ำจะมีการผลัดใบเกิดขึ้น ในประเทศไทยป่าชนิดนี้ ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และ
ป่าแดง บริเวณป่าดังกล่าวเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่สำคัญ ได้แก่ ช้าง กวาง กระทิง ควายป่า
แรด เนื้อทราย หมูป่า เสือโคร่ง เสือดาว เสือปลา หมาป่า สุนัขจิ้งจอก สมเสร็จ กระรอก กระแต
ชะมด พังพอน หนู เม่น ลิง ค่าง บ่าง ชะนี สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกคร่ึงน้ำ และงูนานาชนิดทั้งทมี่ ี
พิษและไมม่ พี ษิ เป็นตน้

นอกจากนี้ยังมีสัตว์สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ นก ในดินแดนแถบนี้จะมีนกมากมายหลาย
ชนิดเช่นเดียวกับบริเวณเขตป่าร้อนชื้น นกเหล่านี้จะมีสีสันสวยงามและเสียงไพเราะ เช่น นกแก้ว
นกขุนทอง นกเอ้ียง นกเขา และนกดเุ หวา่ เป็นต้น นอกจากจะได้อาหารจากส่วนตา่ งๆ ของต้นไม้แล้ว
ยงั ไดอ้ าหารเสริมจากแมลงซ่ึงมีอยู่อยา่ งชุกชุมอกี ด้วย

149

(A) (B)
ภาพที่ 6.23 กระทงิ (A) และค่าง (B)
ท่ีมา: (A) TripAvisor (2017)

(B) Marent (2012)

(9) เขตป่าหนามเขตร้อน จากความผันแปรของปริมาณน้ำฝนจึงทำให้เกิดป่าหนามเขต
ร้อน เนื่องจากต้นไม้ขึ้นอยู่ห่างๆ ทำให้หญ้าขึ้นแทรกอยู่ตามช่องว่างของหมู่ไม้เหล่านี้ซ่ึงสัตว์สามารถ
นำมาใช้เป็นอาหารได้เป็นอย่างดี จากสภาพดังกล่าวจึงทำให้ป่าหนามเขตร้อนกลายเป็นถิ่นที่อยู่ของ
สัตว์นานาพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์กีบ สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ปีก และแมลง
สำหรับแมลงทพี่ บสำคัญในเขตน้ี ได้แก่ ผีเสื้อ มด และต๊ักแตน เป็นตน้

(10) เขตป่าร้อนชื้น ป่าร้อนชื้นหรือป่าดิบชื้นจะเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์ในแถบศูนย์สูตร
ซึ่งมีสภาพอากาศร้อนและฝนตกชุกกตลอดปี เนื่องจากสภาพของป่าดงดิบไม่เหมาะที่จะเป็นที่อยู่
อาศัยของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ที่อยู่ตามพื้นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่กินหญ้าเป็นอาหาร ทั้งนี้เพราะ
ตามพื้นดินจะชื้นแฉะไม่มีหญ้าหรือพืชขนาดเล็กขึ้น ดังนั้นสัตว์ที่พบอยู่ตามป่าร้อนชื้นจะเป็นพวก
สัตว์เล้ือยคลาน สัตวค์ รึง่ บกคร่งึ นำ้ นก และสัตวท์ ่ีอาศัยอยู่ตามตน้ ไม้ เช่น ลิง ค่าง และชะนี เปน็ ตน้

สำหรับแมลงที่พบอยู่ตามป่าร้อนชื้นจะมีมากมายหลายชนิดและมีสีสันที่สวยงาม
โดยอาศัยรวมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ เช่น ผีเสื้อ มด ตั๊กแตน แมลงปีกแข็ง และยุง ทั้งนี้เพราะ
สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเหมาะสมมาก สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมเท่าที่พบเป็นพวกสตั ว์กินเนื้อเป็นอาหาร
สามารถปีนป่ายต้นไม้ได้ เดินผ่านที่ลุ่มชื้นแฉะหรือสามารถว่ายน้ำได้ เช่น แมวป่า เสือดาว เสือปลา
อีเห็น นาก พังพอน และชะมด เป็นต้น สัตว์ดังกล่าวจะได้อาหารมาจากสัตว์ที่อาศัยตามต้นไม้
สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์น้ำที่มีอยู่อย่างชุกชุมตามแม่น้ำลำธารและแหล่งน้ำจืดท่ี
ปรากฏในเขตป่าร้อนชื้นจะมีน้ำแช่ขังอยู่อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปีจึงกลายเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์
น้ำจดื ท่ีสำคัญแหง่ หนึ่งของโลก

150

(11) เขตภูเขา ตามธรรมชาติแล้วแนวเทือกเขาสูงจะมีลักษณะสิ่งแวดล้อมหลายชนิด
เคล้าคละปะปนอยู่ จึงยากลำบากที่จะแยกลักษณะที่เด่นของสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏอยู่ตามเทือกเขาสูง
ออกมาได้ อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือลักษณะของภูมิประเทศจะทำให้การดำเนินชีวิตของสัตว์
ตามแนวเทือกเขาสูงๆ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว สัตว์ที่พบอยู่ส่วนใหญ่จะบริโภคพืชเป็นอาหารสามารถ
เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและปีนป่ายหน้าผ่าที่สูงชันได้ดี เช่น เลียงผา กวางผา และแกะภูเขา เป็นตน้
จากความยากลำบากในการติดต่อกับบริเวณใกล้เคียง จึงทำให้แนวเทือกเขาสูงบางแห่งมีสัตว์ป่าท่ี
แตกต่างออกไป เช่น จามรี (Yak) ในแถบเทือกเขาหิมาลัยและบนที่ราบสูงทิเบต ลามาแถบที่สูงและ
เทือกเขาแอนดีส และกัวนาโค (Guanaco) ในบริเวณที่ราบสูงปาตาโกเนีย ส่วนสัตว์ที่บริโภคเนื้อเป็น
อาหารทพี่ บอยู่บา้ ง ไดแ้ ก่ เสือดาว ซง่ึ พบแถบเทอื กเขาหิมาลยั

(A) (B)
ภาพท่ี 6.24 จามรี (A) และกวั นาโค (B)
ท่ีมา: (A) Wikipedia (2017)

(B) Andeantrails (1998)

บทสรปุ
พืชและสัตว์เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จะนำพืชและสัตว์มาแปรรูป

และพฒั นาให้เป็นอาหาร เครื่องน่งุ ห่ม และยารกั ษาโรค ปัจจัยส่ีในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ดงั นั้นการ
เจริญเติบโตและอยู่รอดของพืชและสัตว์จึงส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ด้วยเช่นกัน
สำหรับถ่นิ ทีอ่ ยู่อาศัยของพืชจะแตกต่างตามระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมที่มีขนาดและความซบั ซ้อน
การอยู่ร่วมกันอย่างหนาแน่นของพืชจะเรียกว่า ชุมชนของพืช ที่ถูกจัดระบบด้วยองค์ประกอบทาง
นิเวศวิทยาของพืช หรือปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืช ประกอบด้วย น้ำ แสงแดด
อุณหภูมิ ลม ภูมิประเทศ และดิน การจำแนกประเภทของพืชพรรณธรรมชาติแบ่งตามโครงสร้างและ
ชีวนิเวศบกได้ 5 ประเภท คือ ชีวนิเวศป่าไม้ ชีวนิเวศสะวันนา ชีวนิเวศทุ่งหญ้า ชีวนิเวศทะเลทราย
และชีวนิเวศทุนดรา พืชพรรณนับว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติสำคัญที่เป็นบ่อเกิดแห่งปัจจัยส่ี


Click to View FlipBook Version