The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by IYaKhup LP, 2020-05-28 03:13:23

ภูมิศาสตร์กายภาพ

eBook

51

ภาพที่ 3.19 ทรี่ าบลมุ่ แมน่ ำ้ เจ้าพระยา จังหวดั ชยั นาท
ทม่ี า: Dot Property (2017)

(8) เนินตะกอนน้ำพารูปพัด (Alluvial Fan) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการ
ทับถมของตะกอนจากธารน้ำในบริเวณที่มีการเปลี่ยนความลาดชันจากหุบเขาลงสู่ที่ราบ ซึ่งส่งผลให้
ความเร็วของน้ำลดลง น้ำพาตะกอนต่อไปไม่ไหว เกิดการสะสมของตะกอนในลักษณะที่คลี่แผ่น
กระจายเหมือนพัด เชน่ อุทยานแหง่ ชาติ Death Valley สหรัฐอเมรกิ า (ภาพท่ี 3.20) เป็นตน้

ภาพท่ี 3.20 อุทยานแห่งชาติ Death Valley สหรฐั อเมริกา
ท่มี า: Fry (2016)

(9) ลานตะพักลำน้ำ (River Terrace) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมของ
ตะกอนจากธารน้ำ โดยมีลักษณะเป็นที่ราบขั้นบันไดริมตลิ่ง อยู่สูงกว่าระดับน้ำในปัจจุบันเป็นขั้นๆ
แต่ละขัน้ อาจสูงกว่ากันเปน็ เมตรหรือหลายสิบหลายร้อยเมตรก็ได้ (ภาพท่ี 3.21)

52

ภาพที่ 3.21 กระบวนการเกดิ ลานตะพักลำน้ำ
ทีม่ า: V-ron (2012)

(10) ดินดอนสามเหลี่ยม (Delta) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมของ
ตะกอนที่ธารน้ำพามาในบริเวณปากแมน่ ้ำ เกิดจากการท่ีธารน้ำไหลสูท่ ะเล ความเร็วลดลง จึงเกิดการ
ทับถมของตะกอนแผ่ขยายเป็นรูปสามเหล่ียมฐานโค้ง เช่น ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
ประเทศเวยี ดนาม (ภาพที่ 3.22) เป็นตน้

ภาพที่ 3.22 ดินดอนสามเหลย่ี มปากแม่นำ้ โขง ประเทศเวยี ดนาม
ที่มา: Cruce (2014)
3.6 ลกั ษณะภมู ิประเทศทเ่ี กดิ จากน้ำใต้ดิน

น้ำใต้ดิน (Subsurface Water) จัดว่าเป็นตัวการทางธรรมชาติที่ทำให้เปลือกโลกเกิดการ
เกลี่ยผิวของแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณภูมิประเทศที่มีโครงสร้างเป็นหินปูนหรือหินชอล์ก
น้ำใต้ดินจะเกิดการไหลซึมของน้ำฝนหรือหิมะละลายลงไปแช่ขังอยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดดินหรือ
ทรายที่มีหินดานรองรับอยู่ แต่ถ้าหากน้ำใต้ดินแทรกซอนเข้าไปแช่ขังอยู่ในชัน้ ของหินจำพวกหินทราย
ที่ทอดตัวอยู่ระหว่างชั้นหินเนื้อทึบ (Impermeable Rock) ที่เป็นพวกหินแกรนิตหรือหินดินดาน

53

เรียกว่า น้ำบาดาล (Ground Water) ส่วนความชื้นที่อยู่ตามผิวดินตื้นๆ ลึกไม่เกิน 90 เซนติเมตร
เรียกวา่ ความชน้ื ในดิน สำหรบั แนวสูงสดุ ของนำ้ ที่อ่ิมตวั อยู่ในช้นั ดินหรอื ชั้นหนิ เรยี กว่า ระดบั นำ้ ใต้
ดนิ (Water Table)

น้ำใต้ดินมบี ทบาทเชน่ เดียวกบั ธารนำ้ คือ จะก่อให้เกิดกระบวนการผุพงั อยูก่ ับที่ โดยเฉพาะ
กระบวนการผุพังอยู่กับที่ทางเคมี (Chemical Weathering) กระบวนการเคลื่อนที่ของมวล (Mass
Wasting) การกร่อน (Erosion) การพัดพา (Transportation) และการทับถม (Deposition) ซึ่ง
ก่อให้เกิดลักษณะภูมิประเทศแบบต่างๆ ทั้งลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะ และลักษณะ
ภมู ปิ ระเทศที่เกิดจากการทับถมของตะกอนท่ีน้ำใต้ดินพัดพามา

3.6.1 การเคลือ่ นท่ีของน้ำใตด้ ิน แบง่ ออกเป็น 2 แบบ ดังน้ี
(1) การไหลตามแนวดิ่ง เป็นการไหลซึมลงดินตามแนวดิ่ง อัตราการไหลจะเร็วหรือช้า

ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของชั้นดินและหิน ว่ามีช่องว่างในเนื้อหินและความสามารถในการยอมให้น้ำซึม
ผา่ น

(2) การไหลตามแนวระดับ เป็นการไหลตามแรงโน้มถ่วงของโลก เช่น การไหลจาก
ระดับสูงลงไปสู่ระดับที่ต่ำกว่า อัตราการไหลจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศและเนื้อหิน
เช่น หินเนื้อละเอียดมาก อัตราการไหลของน้ำจะไหลได้ช้ามาก แต่ถ้าไหลผ่านโพรง เช่น ถ้ำ ท่ี
ติดตอ่ กนั เป็นทางยาว น้ำใต้ดนิ จะไหลได้เรว็ พอๆ กับการไหลของนำ้ ผิวดิน

โดยสรุปอัตราการไหลของน้ำใต้ดินจะเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับความพรุนของเนื้อดิน
(Porosity) และความสามารถในการยอมให้น้ำซึมผ่านชั้นหิน (Permeability) นอกจากนี้การยอมให้
น้ำไหลซึมผ่านจะเป็นสัดส่วนกับความลึก เนื่องจากมีแรงกดดันสูงและความลาดชันของพื้นที่ด้วย
เชน่ กนั

3.6.2 ลกั ษณะภูมปิ ระเทศที่เกดิ จากกษัยการของน้ำใตด้ ิน สามารถแยกพจิ ารณาได้ดังน้ี
(1) หลุมยุบ (Sinkhole) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากน้ำใต้ดินละลายเอาเกลือหิน

(Rock Salt) หรือหินปูนที่อยู่ข้างล่างออกไป ทำให้พื้นดินยุบตัวลง มีรูปร่างเป็นรูปบ่อหรือกรวยทราย
หรือจาน แต่เกิดจากน้ำฝนละลายเนื้อหินปูนลงสู่เบื้องล่าง เช่น หลุมยุบที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติใน
ประเทศจนี (ภาพท่ี 3.23) เปน็ ต้น

(2) ถ้ำ (Cave) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะโดยน้ำใต้ดิน มีลักษณะ
เป็นช่องหรือโพรงใต้ดิน มักพบในภูเขาหินปูน โดยที่การกัดเซาะจะเป็นไปย่างรวดเร็วในบริเวณ
รอยแยก รอยร้าว ซึ่งจะกว้างขึ้นๆ ทุกที เนื่องจากหินปูนถูกละลายไปเร่ือยๆ เกิดเป็นช่องทั้งใน
แนวนอน เรียกว่า ถ้ำ และแนวตั้ง เรียกว่า ปล่องหรือโพรง ช่องเหล่านี้อาจมีหลายช่องหลายระดับ
แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยแตกรอยร้าวที่เกิดขึ้น ส่วนถ้ำหลวง (Cavern) หมายถึง
ถำ้ ขนาดใหญ่มเี นื้อที่กวา้ งขวางมาก เช่น ถำ้ หลวงเชยี งดาว จงั หวัดเชยี งใหม่ (ภาพที่ 3.24) เปน็ ต้น

54

ภาพท่ี 3.23 หลมุ ยบุ ท่เี กิดขึน้ เองโดยธรรมชาติในประเทศจีน
ทม่ี า: Howard (2016)

ภาพท่ี 3.24 ถ้ำหลวงเชยี งดาว จังหวัดเชยี งใหม่
ทม่ี า: Mahapunt (2017)

(3) หินงอก (Stalagmite) และหินย้อย (Stalactite) หินงอกเป็นลักษณะภูมิประเทศที่
เกิดจากการทับถมของตะกอนที่น้ำใต้ดินพัดมา มักพบในถ้ำหินปูน เป็นคราบหินปูนที่งอกขึ้นมาจาก
พื้นถ้ำ กำเนิดจากน้ำที่หยดสูงลงสู่พื้นถ้ำ เมื่อน้ำระเหยไปแล้วจะปล่อยให้สารประกอบที่ละลายน้ำมา
นั้นสะสมตัวเป็นหินงอก สำหรับหินย้อยเป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมของตะกอนที่น้ำ
ใต้ดินพามาเช่นกัน มักพบในถ้ำ เป็นคราบหินปูนที่ย้อยลงมาจากเพดานถ้ำหินปูน มีลักษณะเป็นท่อน
เป็นกรวยหรือเป็นแผงม่านลงมา ปกติแวววาวเมื่อต้องแสง มีสีอ่อนตรงปลายล่างสุดของส่วนย้อยมีน้ำ
หยดลงสู่พ้ืนถ้ำ การเกิดหินย้อยเป็นผลมาจากน้ำที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ละลายอยู่ ได้ละลายเอา
สารประกอบในหินปูนออกมาแล้วหยดจากรอยร้าวในเพดานถ้ำ เมื่อน้ำระเหยไปจึงปล่อยให้
สารประกอบที่ละลายมานั้นสลายตัว แล้วพอกพูนจับตัวกันเป็นหินย้อย ในบางพื้นที่เรียกว่า นมผา
อยา่ งไรกต็ ามหากหินงอกและหินย้อยมาบรรจบกนั เปน็ แท่งจะเรยี กวา่ เสาหินหรอื หนอ่ หนิ (Pedestal
Rock) (ภาพที่ 3.24)

55

(4) นำ้ พุ (Spring) หมายถึง นำ้ ใตด้ นิ ที่ไหลกลับขึน้ มายังพ้ืนผวิ ดนิ อาจไหลซึมข้นึ มาหรือ
พงุ่ ขน้ึ ไปบนอากาศสูงๆ น้ำพมุ กั พบตรงบริเวณระนาบรอยเล่ือน (Fault) เกดิ จากน้ำที่ซึมตามร่องหินสู่
แหล่งน้ำใต้ดินและไปสัมผัสกับบริเวณรอยแยกของเปลือกโลกที่มีพลังงานความร้อน ทำให้อุณหภูมิ
สูงขึ้นจนน้ำบางส่วนกลายเป็นไอและมีแรงดันกลับขึ้นมายังพื้นผิวโลก แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
ชนิดแรก น้ำพุร้อน (Thermal Spring) เป็นน้ำพุที่พุ่งขึ้นมาบริเวณพื้นดินมีระดับอุณหภูมิสูง เกิดจาก
การที่น้ำใต้ดินไหลไปสัมผัสกับหินเปลือกโลกที่มีอุณหภูมิสูง บางแห่งร้อนจัดจนมีควันพวยพุ่งออกมา
ด้วย เนื่องจากปกตเิ ปลือกโลกมีอุณหภูมสิ ูงขึน้ 1 องศาเซลเซียส ทุกระยะความลึก 30 เมตร น้ำที่ไหล
ลงไปลึกๆ แล้วพุ่งสู่พื้นดินอย่างรวดเร็วตามแรงดันจึงกลายเป็นน้ำพุร้อน ซึ่งมักมีแร่ต่างๆ ปะปนอยู่
มากมาย เช่น ซิลิกา แคลเซียมคาร์บอเนต และกำมะถัน ส่วนชนิดที่สอง น้ำพุร้อนกีย์เซอร์ (Geyser)
เป็นน้ำพุร้อนที่มีการพุ่งขึ้นมาอย่างแรงแล้วหยุดสลับกัน มักเกิดบริเวณภูเขาไฟ แนวรอยเลื่อนของ
เปลือกโลก เช่น น้ำพุร้อนสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ (ภาพที่ 3.25) น้ำพุร้อนกีย์เซอร์ เกิดจากน้ำ
ผวิ ดินที่ไหลลงไปตามปลอ่ งหรือรอยร้าวของเปลือกโลก เม่อื น้ำใตด้ นิ ไหลไปสมั ผสั กับหนิ ร้อนจดั ภายใต้
ความกดดนั สูง น้ำตอนลา่ งที่อยใู่ กล้กบั แหลง่ ความร้อนจะเดอื ดกลายเปน็ ไอดันให้น้ำตอนบนเอ่อล้นมา
ที่ผิวดิน เป็นการระเหยน้ำบางส่วนออกมา ความกดดันภายในรอยแยกจะลดลงแบบเฉียบพลัน ทำให้
น้ำที่เหลืออยู่เดือดทันที กลายเป็นไอและพุ่งออกมาได้สูง เมื่อน้ำในปล่องแหง้ แรงดันจะหมดลง น้ำจะ
ไม่พงุ่ ขน้ึ มาอกี จนรอใหน้ ้ำไหลเขา้ มาสะสมใหม่แล้ววนเวียนเช่นนีเ้ รื่อยไป

ภาพท่ี 3.25 น้ำพุรอ้ นสนั กำแพง จงั หวัดเชยี งใหม่
ที่มา: การทอ่ งเทยี่ วแห่งประเทศไทย (2016)

3.7 ลักษณะภมู ิประเทศทเ่ี กดิ ในมหาสมทุ ร
พื้นผิวโลกส่วนที่อยู่ใต้ทะเล เรียกว่า ท้องทะเลหรือมหาสมุทร สามารถแบ่งย่อยได้เป็น

6 สว่ น คอื ไหล่ทวีป ลาดทวปี ลาดตนี ทวปี กน้ สมุทร ร่องลึกกน้ สมทุ ร และสนั เขาใต้มหาสมุทร มี
รายละเอยี ดดงั นี้ (ภาพท่ี 3.26)

56

ภาพที่ 3.26 ลกั ษณะภูมปิ ระเทศทเี่ กิดในมหาสมุทร
ทีม่ า: IAS Score (2017)

(1) ไหล่ทวีป (Continental Shelf) เป็นบริเวณที่มีความลาดเอียงประมาณ 0.1 องศา
อยู่ระหว่างชายฝั่งไปจนถึงลาดทวีป ในบริเวณที่ไม่มีลาดทวีปให้ถือความลึก 200 เมตรเป็นเกณฑ์
ความกว้างเฉลี่ยของไหล่ทวีปที่พบบนโลกประมาณ 70 กิโลเมตร เป็นบริเวณที่ระดับทะเลมีการ
เปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก การชะล้างพังทลายบนแผ่นดิน และการ
ทับถมของตะกอนในมหาสมุทร

(2) ลาดทวีป (Continental Slope) เป็นส่วนของท้องทะเลที่มีความลาดชันสูง พื้นท่ี
ค่อนข้างแคบ อยู่ต่อจากไหล่ทวีปไปจนถึงลาดตีนทวีป มีความลาดเอียงระหว่าง 2-5 องศา มี
ความกว้างระหวา่ ง 20-100 กิโลเมตร และมคี วามลกึ ระหวา่ ง 201–3,000 เมตร

(3) ลาดตีนทวีป (Continental Rise) เป็นส่วนของท้องทะเลที่อยู่ระหว่างลาดทวีปกับ
ที่ราบก้นสมุทร บริเวณนี้มีความลาดเอียงตั้งแต่ 1: 40-1: 1,800 มีความกว้างระหว่าง 0–600
กโิ ลเมตร และมคี วามลกึ ระหวา่ ง 3,001-4,000 เมตร

(4) ก้นสมุทร (Abyssal Plain or Ocean Floor) เป็นส่วนของท้องทะเลที่มีลักษณะ
เป็นทร่ี าบ มคี วามลาดชันน้อยกว่า 1: 1,000 เกิดจากการสะสมของตะกอนและซากของส่ิงมชี วี ิต ใต้
ทะเลทับถมจนทำให้เป็นท่รี าบกน้ ท้องทะเลลกึ บางแห่งมีหบุ เขาใต้ทะเล

(5) ร่องลึกก้นสมุทร (Oceanic Trench) หรือสะดือทะเล ร่องลึกยาว แคบ มีขอบสูงชัน
อยู่ใต้ท้องทะเล ซึ่งจะเกิดตามแนวโซนมุดตัว (Subduction Zone) ร่องลึกก้นสมุทรที่ลึกที่สุดในโลก
คือ รอ่ งลกึ มาเรียนา (Mariana) ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีความลกึ ถงึ 11 กิโลเมตร

57

(6) สันเขาใต้มหาสมุทร (Oceanic Ridge) เป็นแนวเทือกเขาใต้มหาสมุทร มีฐานกว้าง
มากเมื่อเทียบกับความสูง มีพื้นที่ประมาณร้อยละ 28 ของพื้นมหาสมุทร เช่น สันเขาใต้มหาสมุทร
แอตแลนติกจากตอนเหนือถึงตอนใต้ แนวสันเขาขนานไปตามรูปร่างของทวีป โดยด้านหนึ่งขนานไป
กับชายฝ่งั ของทวีปอเมริกาและอีกดา้ นหนึง่ ขนานกับทวีปยโุ รปและแอฟริกา เป็นต้น

นอกจากนี้แล้วในบริเวณรอยต่อระหว่างฝั่งหรือแผ่นดินกับน้ำทะเลนั้น ยังประกอบไปด้วย
ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ ดงั น้ี (พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 256)

(1) ชายฝั่ง (Coast) เป็นบริเวณแผ่นดินตั้งแต่ชายทะเลขึ้นไปบนบก จนถึงบริเวณที่มี
ลกั ษณะภูมปิ ระเทศเปล่ยี นไปอย่างชัดเจน ในทางภูมิศาสตร์นน้ั บริเวณชายฝง่ั นั้นจะหมายความรวมไป
ถงึ ท่ีราบชายฝัง่ (Coastal Plain) ด้วย สำหรบั ทีร่ าบชายฝ่งั นน้ั หมายถึง ทร่ี าบท่อี ยูต่ ดิ ฝั่งทะเล

(2) แนวชายฝ่งั (Coastline) เป็นรอยตอ่ ระหวา่ งฝัง่ หรือแผ่นดินกบั น้ำทะเล
(3) แนวชายทะเล (Shoreline) เป็นแนวน้ำทะเล ณ บริเวณรอยต่อน้ำทะเลกับฝั่งหรือ
หาด
(4) ชายทะเล (Shore) เป็นบริเวณแถบของแผ่นดินอยู่ระหว่างแนวน้ำลงต่ำสุดกับแนว
นำ้ ขึ้นสงู สดุ ท้งั นชี้ ายทะเลสามารถแบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท ตามกำเนิดและการพัฒนา ดงั นี้

(4.1) ชายทะเลแบบยกตัว (Shore of Emergence) หมายถึง ชายทะเลที่เดิมจม
อยู่ใต้ทะเล ต่อมาเกิดการยกตัวของแผ่นดินหรือระดับน้ำทะเลลดลง เป็นผลทำให้มีการโผล่พ้นน้ำ
ชายทะเลจะมลี กั ษณะตรงเรยี บหรือโคง้ เล็กน้อย

(4.2) ชายทะเลแบบจมตัว (Shore of Submergence) หมายถึง ชายทะเลที่จมตวั
อยู่ใต้ทะเล เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นหรือแผ่นดินลดระดับลง เป็นผลให้ชายทะเลมีลักษณะ
เวา้ แหว่ง มอี ่าว แหลม เกาะ และท้องทะเลท่ไี มร่ าบเรยี บ

(4.3) ชายทะเลแบบผสม (Compound Shore) หมายถึง ชายทะเลที่ผสมท้ัง
ชายทะเลแบบยกตัวและชายทะเลแบบจมตัว ทั้งนี้เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกจะทำให้
แผ่นดินมีการยกตัวสูงขึ้นและลดระดับลง บางครั้งน้ำทะเลก็มีการเปลี่ยนแปลงทั้งเพิ่มระดับและลด
ระดับ ชายทะเลที่โผล่พ้นน้ำจะมีที่ราบชายฝั่ง ชายทะเลที่จมตัวลงใต้น้ำจะมีอ่าวและชายฝั่งเว้าแหว่ง
ต่อมาหากยกตวั ข้ึนอีกจะเกิดที่ราบขน้ั บันไดชายฝง่ั เพราะทร่ี าบใต้ทอ้ งทะเลถูกยกตวั สูงข้ึน

(4.4) ชายทะเลเปน็ กลาง (Neutral Shore) หมายถงึ ชายทะเลทีพ่ บในบริเวณท่ี ไม่
มีการเปลยี่ นแปลงของระดับนำ้ ทะเลและไม่มีการเปลี่ยนระดบั ของแผน่ ดิน ชายทะเลจะเกดิ การทบั ถม
ของวตั ถใุ หม่ เชน่ ตะกอนจากดินดอนสามเหลยี่ ม ปะการัง หรอื ตะกอนภเู ขาไฟในทะเลก็ได้

58

3.8 ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศทเ่ี กดิ จากคลืน่ และกระแสนำ้
น้ำทะเลมีการเคลื่อนไหว 3 รูปแบบ คือ คลื่น น้ำขึ้นน้ำลง และกระแสน้ำ โดยเฉพาะ

กระแสน้ำชายฝั่ง (Longshore Current) ซึ่งคลื่นตัวการสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ
ลักษณะภูมิประเทศบริเวณชายฝั่งทะเล โดยทำให้เกิดการกัดเซาะ การพัดพา และการทับถม
เช่นเดียวกันกับตัวการอื่นๆ Strahler and Strahler (อ้างใน พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 257) กล่าวว่า
คลื่นมีการเดินทางเคลื่อนที่ในเขตทะเลลึกโดยแทบไม่สูญเสียพลังงานเลย เมื่อคลื่นเคลื่อนที่มาถึงเขต
น้ำตื้น บริเวณคลื่นหัวแตก (Breaker Zone) ท้องคลื่นจะกระทบกับท้องทะเล ทำให้ท้องคลื่นสั้นลง
และความเร็วลดลง แต่ช่วงยอดคลื่นมีความเร็วมากกว่าจึงยกตัวสูงขึ้นและม้วนตัวลงแตกเป็นฟอง
กลายเปน็ คลื่นหัวแตก

เมื่อคลื่นแตกตัวลงจะเคลื่อนที่ชัดเข้าหาฝั่งในลักษณะเอียง เรียกว่า คลื่นซัดหาด (Swash)
ตะกอนต่างๆ ทคี่ ลื่นพามากจ็ ะถูกพัดเขา้ หาฝ่งั ด้วยและเม่อื คลืน่ ชดั เขา้ หาฝ่ังแล้วจะซดั กลบั ออกมาด้วย
เรยี กวา่ คลนื่ ถอยกลบั (Backwash) ซง่ึ ก็จะนำเอาตะกอนตา่ งๆ ตามกลับออกมาด้วย การซัดของคลื่น
ครั้งแล้วครั้งเล่าจะทำให้เกิดการพัดพาของวัตถุต่างๆ เมื่อใดก็ตามที่คลื่นซัดแล้วพาตะกอนเข้าฝ่ัง
มากกว่าพากลับออกมาชายฝั่งก็จะขยายเพิ่มพื้นที่ขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า การงอกของชายฝ่ัง
(Progradation) ในทางตรงข้ามหากคลื่นซัดแล้วพาตะกอนกลับออกมามากกว่านำเข้า ชายฝั่งก็จะ
แคบลงๆ เรื่อยๆ เรียกว่า การร่นของชายฝั่ง (Retrogradation) นอกจากนี้แล้วช่วงฤดูกาลที่แตกต่าง
กัน ทำให้ชายฝั่งมีลักษณะเปลี่ยน กล่าวคือ ในฤดูหนาวคลื่นจะมีขนาดใหญ่และรุนแรงกว่าคลื่นฤดู
ร้อน จึงสามารถซัดพาเอาวัตถุออกมาจากฝั่งได้มาก ดังนั้นตะกอนที่เหลืออยู่บนฝั่งจึงเป็นตะกอน
หยาบและชายฝงั่ จะแคบ ส่วนในฤดูรอ้ นชายฝัง่ จะกวา้ งและประกอบด้วยตะกอนท่ีมีขนาดเล็ก

นอกจากคลื่นจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดลักษณะภูมิประเทศชายฝั่งแล้ว ยังมีปัจจัย
อื่นๆ ประกอบด้วย เช่น รูปร่างของชายฝั่ง ที่ตั้งของชายฝั่งในการรับลม ลักษณะหิน และโครงสร้าง
ของหินบริเวณชายฝ่งั

3.8.1 ลักษณะภมู ปิ ระเทศทีเ่ กิดกษยั การของคลืน่ และกระแสน้ำ สามารถแยกพจิ ารณาได้
ดังนี้

(1) หน้าผาสงู ชนั ริมทะเล (Sea Cliff) เป็นลักษณะภมู ปิ ระเทศที่เกิดจากการกัดเซาะโดย
คลื่น ทำให้เกิดเป็นหน้าผาสูงชันตั้งอยู่ชายฝั่ง หันหน้าออกไปทางทะเล เช่น อ่าวไร่เลย์ จังหวัด
กระบ(ี่ ภาพท่ี 3.27) เป็นต้น

(2) เว้าทะเล (Sea Notch) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะของคลื่น ทำ
ให้มีลักษณะเป็นรอยเว้าเป็นแนวยาว ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับน้ำทะเลในอดีต เช่น อ่าวไร่เลย์ จังหวัด
กระบ(ี่ ภาพท่ี 3.27) เป็นต้น

59

ภาพท่ี 3.27 อา่ วไร่เลย์ จงั หวดั กระบี่
ทีม่ า: MGR Online (2013)

(3) ถ้ำทะเลหรือโพรงหินชายฝง่ั (Sea Cave) เปน็ ลักษณะภูมปิ ระเทศทเี่ กิดจากการ กดั
เซาะโดยคลื่น มีลักษณะเป็นช่องหรือโพรง มักเกิด ณ ตำแหน่งที่ง่ายต่อการกัดเซาะ คือ บริเวณรอย
แตกหรือรอยต่อของชั้นหิน ในระดับแนวน้ำทะเลหรือเหนือน้ำทะเลเล็กน้อย โดยคลื่นจะกัดเซาะจาก
ช่องขนาดเลก็ จนใหญข่ ้นึ ๆ เช่น ถ้ำมรกต จงั หวัดตรงั (ภาพท่ี 3.28) เป็นต้น

ภาพท่ี 3.28 ถำ้ มรกต จังหวัดตรงั
ทมี่ า: Kwansuda (2017)

(4) ซุ้มหินชายฝั่ง (Sea Arch) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการกัดเซาะของคล่ืน
ซึ่งจะมีพัฒนามาจากถ้ำทะเลที่ทะลุถึงกัน เกิดขึ้นบริเวณหัวแหลมผาชัน (Headland) ที่คลื่นกัดเซาะ
หินทั้งสองด้าน เวลาผ่านไปคลืน่ จะกดั เซาะจนทำให้ผนังที่กน้ั อยรู่ ะหวา่ งถ้ำทะเลทง้ั สองด้านทะลุถึงกัน
เกิดเป็นโคง้ ทะเลขึน้ (ภาพท่ี 3.22) เชน่ เกาะไข่ จังหวัดสตูล (ภาพท่ี 3.29) เปน็ ต้น

60

ภาพที่ 3.29 เกาะไข่ จงั หวดั สตูล
ทีม่ า: Wijarn (2010)

(5) โขดทะเลหรือเกาะหินโด่ง (Sea Stack) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการ
กัดเซาะของคลื่น โดยมีพัฒนาการมาจากการที่เพดานซุ้มหินชายฝั่งพังทลายลงมา กลายเป็นเกาะใกล้
ฝั่งทะเลที่มีลักษณะโด่งหรือแท่งหินที่ถูกตัดขาดจากแผ่นดิน เช่น เกาะตะปู จังหวัดพังงา
(ภาพที่ 3.30) เปน็ ต้น

ภาพท่ี 3.30 เกาะตะปู จงั หวดั พงั งา
ที่มา: Thinklink (2015)

(6) หาด (Beach) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมโดยคลื่นและกระแสน้ำ
เป็นพื้นที่ระหว่างน้ำขึ้นน้ำลง มีลักษณะเป็นแถบยาวขนานไปตามริมฝั่ง ประกอบด้วย ตะกอนทราย
เป็นส่วนใหญ่ และมีกรวด หิน ดิน ปะปน บางบริเวณก็เป็นชายหาดกรวด (Shingle Beach) ซึ่งเกิด
จากตะกอนกรวดริมทะเล และบางบริเวณก็เป็นหาดโคลน (Mud Beach) ซึ่งเกิดจากตะกอนโคลนที่
ถกู พดั พามาทับถมกันบรเิ วณปากแมน่ ำ้

61

(7) สันดอน (Bar) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากทับถมกันโดยคลื่น มีลักษณะเป็น
เนินสะสมตัวของตะกอน ทราย เปลือกหอย กรวด และโคลนรวมกันจนเกิดเป็นสันหรือแนวยาว
บริเวณปากแม่น้ำหรือแนวชายฝั่งทะเล จะเป็นสิ่งกีดขวางต่อการเดินเรือ มักพบในบริเวณชายฝั่งที่มี
ความลาดเทน้อยในบริเวณคลื่นหัวแตก ยอดคลื่นม้วนตัวไปกระทบท้องทะเลก็พัดพาตะกอนมาด้วย
แลว้ ทับถมกันจนเป็นสันดอนใต้น้ำ บางครั้งเรียกวา่ สนั ดอนทราย พบบริเวณปากอ่าวเรยี กว่า สันดอน
ปากอ่าว พบบริเวณก้นอ่าวเรียกว่า สันดอนก้นอ่าว หากพบเป็นแนวยาวขนานกับชายฝั่งและจมอยูใ่ ต้
น้ำทะเลเวลาน้ำขึ้นสูงสุดเรียกว่า สันดอนชายฝั่ง เช่น ดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม
(ภาพที่ 3.31) เป็นต้น

ภาพท่ี 3.31 ดอนหอยหลอด จงั หวัดสมทุ รสงคราม
ทม่ี า: กรมสง่ เสรมิ การปกครองทอ้ งถนิ่ (2554)

(8) สันทรายจะงอย (Sand Spit) เป็นลกั ษณะภมู ิประเทศทเี่ กิดจากทับถมโดยกระแสน้ำ
ชายฝั่งเป็นตัวการ สำหรับกระแสน้ำชายฝั่งเป็นกระแสน้ำที่เกิดจากคลื่นเคลื่อนที่มากระทบฝั่งแล้วทำ
ใหเ้ กิดกระแสน้ำไหลเกือบขนานไปกบั แนวของฝง่ั กระแสนำ้ นีเ้ กดิ ขึ้นภายในเขตท่มี ีคล่นื หัวแตก โดย
ที่กระแสนำ้ ชายฝ่ังจะพาตะกอนมาสะสม เกิดเป็นสันทรายจะงอยทีม่ ีลักษณะแคบและยาว ปลายด้าน
หนึ่งติดอยู่กับฝั่งอีกปลายหนึ่งยื่นออกไปในทะเล มักจะมีตอนปลายงอโค้งเป็นจะงอยตามอิทธิพลของ
กระแสน้ำและคล่นื เช่น แหลมตะลุมพุก จังหวัดนครศรีธรรมราช (ภาพที่ 3.32)

62

ภาพที่ 3.32 แหลมตะลมุ พุก จงั หวัดนครศรีธรรมราช
ท่ีมา: Migolf (2013)

(9) แหลม (Cape) และอ่าว (Bay) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากโครงสร้างหิน
บริเวณชายฝั่งมีความแตกต่างกัน ทำให้การผุพังช้าเร็วต่างกัน ลักษณะของชายฝั่งจะเว้าแหว่งไม่
สม่ำเสมอกัน บางส่วนยื่นออกไปในทะเลเรียกว่าแหลม และส่วนที่มีการพังทลายมากจะเว้าลึกเข้าไป
กลายเปน็ อ่าว เชน่ แหลมพรหมเทพ จังหวัดภเู กต็ (ภาพที่ 3.33) เปน็ ต้น

ภาพท่ี 3.33 แหลมพรหมเทพ จงั หวดั ภูเกต็
ทม่ี า: Atom (2016)
3.9 ลกั ษณะภมู ิประเทศทเี่ กดิ จากลม

ลมเป็นตัวการธรรมชาติอีกตัวการหนึ่งที่ทำให้ลักษณะภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไป การ
กระทำของลมปรากฏผลรุนแรงในบริเวณพื้นที่แห้งแล้งและกึ่งแห้งแล้ง สำหรับในบริเวณที่ชิ้นและ
กึ่งชื้น การกระทำของลมจะไม่ปรากฏผลรุนแรง เพราะพื้นที่นั้นมีน้ำซึ่งเป็นตัวทำให้ดิน หิน เกาะ
ติดกันพร้อมกับมีรากพืชยืดแน่นอยู่ ลมจะทำการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวภูมิประเทศ โดยวิธีการกัดเซาะ
พัดพา และทับถมเช่นเดียวกบั ตัวการอน่ื ๆ

63

การกัดเซาะโดยลมนั้น เกิดขึ้น 2 วิธี ได้แก่ การพัดกราด (Deflation) หมายถึง การที่ลม
กวาดเอาตะกอนออกไปจนถึงผิวพื้นที่ที่รองรับอยู่ข้างใต้ จนทำให้พื้นผิวมีระดับต่ำเป็นแอ่งเรียกว่า
แอง่ พัดกราด (Deflation Basin) และการครดู ถู (Abrasion) หมายถึง การที่ลมพัดพาตะกอนเคลื่อนที่
ไปครดู ถพู ืน้ ผิวหิน จนทำให้ผวิ หน้าของหินสึกหรอื เกดิ รอยครดู ถูเปน็ รูปรา่ งตา่ งๆ

การพัดพาโดยลมนั้น ลมสามารถพัดพาตะกอนไปได้โดยขึ้นอยู่กับความเร็วของลม
เช่นเดียวกับธารน้ำที่พัดพาตะกอนไป วิธีการที่ลมพัดพาตะกอนไปมีอยู่ 3 วิธี ได้แก่ การกลิ้งไป
(Sliding) มักเกิดกับตะกอนขนาดใหญ่ การเคลื่อนที่เป็นช่วง (Saltation) มักเกิดกับตะกอนขนาด
กลางที่ถกู ลมพดั ให้เคล่ือนทเ่ี ปน็ ช่วงๆ ไม่ต่อเนือ่ งกนั ดคู ลา้ ยกับตะกอนน้ันกระโดดเปน็ ช่วงๆ และการ
แขวนลอย (Suspension) เกดิ กับตะกอนขนาดเลก็ ท่ีมลี กั ษณะเป็นฝุน่ ละเอียด

การทับถมนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อลมมีความเร็วลดลง ลมหยุดพัด หรือถูกน้ำฝนชะล้างลงมา ซ่ึง
จะทับถมเป็นรูปทรงสัณฐานใหม่

3.9.1 สำหรับภมู ปิ ระเทศท่ีเกดิ จากกษัยการของลม ได้แก่
(1) ดินลมหอบหรือดินเลิสส์ (Loess) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมโดย

ลมเป็นตัวการตะกอนที่ทับถมประกอบด้วยทรายแป้งเป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นก็มีทรายละเอียดมากและ
อาจมีดินเหนียวปนอยู่บ้าง ตะกอนนี้จะไม่มีลักษณะเป็นชั้นๆ และไม่จับตัวแข็ง เช่น Loess Plateau
ประเทศจีน (ภาพที่ 3.34) เป็นต้น

ภาพที่ 3.34 Loess Plateau ประเทศจนี
ทม่ี า: Lesleyx (2010)

(2) เนิน (Dune) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการทับถมโดยลมพัดพาตะกอนมา
กองรวมกันเป็นเนินเขา มีรูปร่างขนาดต่างๆ กัน โดยทั่วไปตะกอนจะเป็นทราย ดังนั้นจึงมักเรียกว่า
เนินทราย (Sand Dune) ซึ่งจะเป็นลักษณะภูมิประเทศที่สำคัญในเขตทะเลทราย เนินทรายสามารถ
แบ่งย่อยได้เป็น เนินทรายตามขวาง (Transverse Dune) มีลักษณะเป็นริ้วคลื่นเป็นแนวขวางทางลม

64

ลมที่มีความเร็วปานกลางจะทำให้เกิดเนินทรายแบบนี้ เนินทรายอีกแบบ คือ เนินทรายตามยาว
(Longitudinal Dune) เนนิ ทรายจะวางทอดตัวยาวขนานไปตามทิศทางลม ลมท่ีมีความเรว็ มากจะทำ
ให้เกิดเนินทรายตามแนวยาว นอกจากนี้ยังมีเนินทรายรูปร่างพิเศษ คือ เนินทรายรูปพระจันทร์เสี้ยว
(Barchan or Crescentric Dune) มีลักษณะคล้ายพระจันทร์เสี้ยววางตัวขวางกับทิศทางลม หันด้าน
โค้งตามลมและปลายทั้งสองข้างชี้ไปทางต้นลม ความลาดของเนินด้านรับลมจะมีความลาดชันน้อย
กว่าด้านตรงข้าม ทั้งนี้เพราะตะกอนทรายด้านรับลมถูกพัดพาขึ้นไปตามลาดเนิน ส่วนด้านหลังนั้น
กระแสลมที่หมุนวนจะทำให้เกิดลักษณะเว้าเข้าไป เช่น Mui Ne Sand Dune ประเทศเวียดนาม
(ภาพท่ี 3.35) เป็นต้น

ภาพที่ 3.35 Mui Ne Sand Dune ประเทศเวยี ดนาม
ทม่ี า: Wong (2014)

(3) แอ่งพัดกราด (Deflation Hollows) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากการที่ลม
พัดพาเอามวลสารที่ปกคลุมอยู่ตามพื้นดินออกไป ทำให้เกิดแอ่งขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา ซึ่งจะพบอยู่
ตามทีร่ าบท่ีมีภมู ิอากาศแหง้ แลง้ ขนาดของแอ่งพัดกราดจะมีขนาดตั้งแต่ 2–3 เมตรไปจนถึง 1
กิโลเมตร และจะมคี วามลึกแตกตา่ งกนั ไป

(4) แป้นหิน (Pedestal Rock) เป็นลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากลดพัดพาเอาทรายไป
ขัดสี กัดกร่อน และครูดไถหินดานที่โผล่ออกมาตามหน้าผา เนินเขา หรือพื้นดินทั่วไป กษัยการ
ดังกล่าวเมื่อดำเนินต่อไปนานเข้าส่วนล่างของมวลหินจะค่อยๆ ผุพังทลายไป เหลือเป็นแท่งหินรองรับ
มวลสารที่แข็งกวา่ อย่เู บื้องบน มลี กั ษณะคล้ายเหด็ คบเพลงิ หรอื รูปทรงอื่นๆ ในลักษณะคลา้ ยกนั เช่น
มอหินขาว จงั หวัดชยั ภมู ิ (ภาพท่ี 3.36) เปน็ ต้น

65

ภาพท่ี 3.36 มอหินขาว จงั หวัดชัยภูมิ
ทีม่ า: ทอ่ งทว่ั ไทย (2017)

บทสรุป
โลก (Earth) มีวิวัฒนาการมายาวนาน ประมาณ 4,000–5,000 ล้านปี จากหลักฐานทาง

ธรณีวิทยาสำคัญนั่นคือหินที่เก่าแก่ท่ีสุดของโลก Acasta Gneiss ที่มีอายุถึง 4,030 ล้านปี การกำเนิด
ของระบบสุริยจักรวาลและการเกิดโลก นำไปสู่การศึกษาโครงสร้างของโลกซึ่งประกอบไปด้วยแร่ธาตุ
ต่างๆ มากมาย ท้ังที่เป็นของแข็งและของเหลว แบ่งโลกออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกแก่นโลก อยู่
ชั้นในสุด มีอุณหภูมิสูง และเป็นตัวการสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก แบ่งย่อยออกเป็น
แก่นโลกชั้นใน มีลักษณะเป็นของแข็ง และแก่นโลกชั้นนอก มีลักษณะเป็นของเหลว ส่วนที่สอง
เนื้อโลกหรือแมนเมิล อยู่ระหว่างแก่นโลกและเปลือกโลก มีลักษณะเป็นของแข็ง และส่วนที่สาม
เปลือกโลก อยู่ชั้นนอกสุด มีความหนาน้อยสุด และเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ พืช และสัตว์
องค์ประกอบของเปลือกโลกมีท้ังแร่ธาตุ หนิ และดิน ซ่ึงเรียงลำดบั ตามวิวัฒนาการการกำเนิด สำหรับ
วิวัฒนาการแรกเริ่ม คือ หิน (Rock) เกิดจากแร่ธาตุหลายชนิดมารวม มีกระบวนการเกิด 3 ลักษณะ
คือ (1) หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของหินหนืดหรือแมกมา แบ่งย่อยออกเป็น หินอัคคีพุและหินอัคนี
แทรกซอน (2) หินตะกอนเกิดจากการทับถมกันของตะกอน อันเนื่องมาจากสลายตัวและผุกร่อนของ
หินอัคนี รวมทั้งซากพืชซากสัตว์ในอดีต และ(3) หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหินอัคนีและหิน
ตะกอนท่ีได้รบั ความกดดันและอณุ หภมู สิ ูง บ้างเกดิ จากปฏิกิริยาทางเคมี

วิวัฒนาการลำดับต่อมา คือ ดิน (Soil) เกิดจากการสลายตัวของหิน ดินที่มีวัตถุต้นกำเนิด
ต่างกันจะมีคุณสมบัติต่างกัน นอกจากนี้ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างตัวของดินยังมีภูมิอากาศ
สิ่งมีชีวิต ภูมิประเทศ และเวลา อย่างไรก็ตามในเนื้อดิน 1 หน่วยนั้นจะประกอบด้วย องค์ประกอบ
4 ชนิด คือ อนินทรียวัตถุหรือวัตถุต้นกำเนิดดิน ร้อยละ 45 น้ำ ร้อยละ 25 อากาศ ร้อยละ 25 และ
อินทรียวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตในดิน ร้อยละ 5 ทั้งนี้ดินในแต่พื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกจะมีความแตกต่างและ
หลากหลายทั้งชนดิ และคุณสมบตั ิของดิน เช่น ดนิ ในเขตรอ้ นชน้ื จะมคี ณุ สมบตั แิ บบหนงึ่ ขณะเดียวกัน

66

ดินในเขตทุนดราก็มีคณุ สมบัติอีกแบบหนึ่ง โดยปฐพีวิทยาพบว่าดนิ หนึ่งชนดิ จะปะปนกันไปด้วยทราย
ทรายแป้ง และดินเหนียว การบอกชนิดดินสามารถดูได้จากไดอะแกรมสามเหลี่ยมแจงประเภทของ
เน้อื ดนิ ไดต้ ามมวลขององค์ประกอบ

จากท่กี ลา่ วมาขา้ งตน้ พบว่า ววิ ัฒนาการของโลกก่อให้เกิดการศึกษาเกยี่ วกับธรณีภาคทั้งหิน
และดิน นอกจากนี้ยังรวมถึงลักษณะภูมิประเทศแบบต่างๆ ด้วย สำหรับลักษณะภูมิประเทศที่พบได้
บนโลกของเราจะเกิดจากกระบวนการกระทำให้เปลี่ยนแปลงหรือที่เรียกว่า กษัยการ 3 รูปแบบ คือ
การกัดเซาะ การพัดพา และการทับถม โดยมีตัวการในการกระทำให้เปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่
ธารน้ำ น้ำใต้ดิน มหาสมุทร คลื่นและกระแสน้ำ และลม อย่างไรก็ตามการศึกษาเกี่ยวกับธรณีภาค
นับว่ามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่ส่งผลตอ่
การดำรงชีวิตของมนุษย์ เนื่องจากโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทั้งในส่วนของใต้
พื้นผิวโลก เช่น การเกิดแผ่นดินไหว เป็นต้น บนพื้นผิวโลก เช่น การเกิดอุทกภัย การเกิดวาตภัย
เป็นต้น และในระบบสุริยจักรวาล เช่น การเกิดอุกกาบาตตกมายังพื้นโลก ทั้งนี้หากนักศึกษาสนใจ
และตื่นรู้ต่อการศึกษาภูมิศาสตร์กายภาพ ควรศึกษาทั้งระบบ ซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงธรณีภาค ส่วน
อุทกภาค บรรยากาศภาค และชีวมณฑล จะกลา่ วในบทตอ่ ไป

คำถามทา้ ยบท
1. ธรณีภาคหมายถึงอะไร
2. โครงสร้างของโลกประกอบดว้ ยอะไรบ้าง จงอธบิ ายโดยละเอียด
3. หนิ มีความสมั พันธ์กับเปลอื กโลกหรือไม่ อยา่ งไร
4. หนิ อคั นเี กิดจากกระบวนการใด แบง่ ออกเป็นกีช่ นดิ จงอธิบายพรอ้ มทั้งยกตวั อยา่ ง
5. หินตะกอนเกดิ จากกระบวนการใด จำแนกตามกระบวนการเกดิ ได้กี่ประเภท จงอธบิ าย

พร้อมท้งั ยกตวั อยา่ ง
6. หนิ แปรเกดิ จากกระบวนการใด แบ่งออกเปน็ ก่ชี นดิ จงอธิบายพรอ้ มทง้ั ยกตัวอยา่ ง
7. องคป์ ระกอบของดนิ มีอะไรบา้ ง แต่ละองคป์ ระกอบมีสดั ส่วนต่อดนิ 1 หนว่ ยเทา่ ใด
8. ปจั จัยควบคุมการสร้างตวั ของดนิ ประกอบด้วยอะไรบา้ ง
9. สมมติวา่ ตวั อย่างดินชนิดหนึง่ ประกอบด้วยทราย ร้อยละ 40 ทรายแปง้ รอ้ ยละ 35 และ

ดินเหนยี ว ร้อยละ 25 เมอ่ื ดูไดอะแกรมสามเหล่ยี มแจงประเภทของเนื้อดนิ จะพบว่าเปน็ ดนิ ชนดิ ใด
10. ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศทเี่ กดิ จากการกระทำของธารน้ำมีอะไรบ้าง
11. ลักษณะภูมปิ ระเทศที่เกดิ จากการกระทำของน้ำใตด้ ินมีอะไรบา้ ง
12. ลักษณะภูมปิ ระเทศทีเ่ กิดในมหาสมทุ รมีอะไรบ้าง
13. ลักษณะภูมปิ ระเทศทเี่ กิดจากคลืน่ และกระแสนำ้ มอี ะไรบา้ ง

67

14. ลกั ษณะภูมิประเทศท่ีเกดิ จากลมมีอะไรบา้ ง

เอกสารอ้างอิง
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถน่ิ . (2554). วถิ ีแหง่ ความสมบรู ณ์ ดอนหอยหลอด ชุมชนหาด

แสนสขุ . สืบคน้ วนั ที่ 10 กรกฎาคม 2560, จากเว็บไซต:์
http://info.dla.go.th/public/travel.do?cmd=goDetail&id=509315&random=147
5781030520.
การท่องเท่ยี วแหง่ ประเทศไทย. (2559). น้ำพุร้อนสนั กำแพง (เชยี งใหม่). สบื คน้ วันท่ี 8 กรกฎาคม
2560, จากเวบ็ ไซต:์ http://chiangmaiairportthai.com/th/popular-
destinations/2038/san-kamphaeng-hot-springs-chiang-mai.
การท่องเที่ยวแหง่ ประเทศไทย. (2560). อทุ ยานแห่งชาตแิ ก่งตะนะ จังหวัดอุบลราชธาน.ี
สบื คน้ วนั ที่ 25 สงิ หาคม 2560, จากเว็บไซต:์
http://i-san.tourismthailand.org/detail/dcpread/76291.
ทอ่ งท่วั ไทย. (2017). อทุ ยานแห่งชาติภูแลนคา อำเภอเมือง จังหวดั ชัยภมู ิ. สบื คน้ วนั ที่
2 สงิ หาคม 2560, จากเวบ็ ไซต์: http://www.xn--72c5aba9c2a3b8a2m8ae.com.
นกั เทย่ี วเชย่ี วทาง. (2014). สามพันโบก ความงดงามในยามแลง้ . สืบค้นวันท่ี 25 สงิ หาคม 2560,
จากเว็บไซต:์ https://travel.mthai.com/region/northeast/71789.html.
พวงเพชร์ ธนสิน. (2555). ภมู ศิ าสตร์กายภาพแนวบรู ณาการ. (204-280). เชียงใหม่:
ภาควชิ าภมู ิศาสตร์ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ (เอกสารอดั สำเนา).
ลักษณา สัมมานิธิ. (2544). ภูมิศาสตร์กายภาพ. (23, 37). เชียงใหม่: ภาควิชาภูมิทัศน์และอนุรักษ์
ส่งิ แวดลอ้ ม มหาวิทยาลยั แมโ่ จ.้ (เอกสารอดั สำเนา).
วิชยั เทยี นน้อย. (2536). ภูมศิ าสตร์กายภาพ เล่ม 1. (17-24). กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร์.
Atom. (2016). แหลมพรหมเทพ. Retrieved June 30, 2017, from Web site:
http://gghxhxhxhxhj.blogspot.com/2016/04/blog-post_16.html.
BBC. (2017). Rivers and Valleys. Retrieved July 31, 2017, from Web site:
http://www.bbc.co.uk/education/guides/zyt9q6f/revision/5.
Beck, R. (2006). Module 21: Interior Structure of the Earth. (5). Retrieved July 25,
2017, from Web site: http://www.iupui.edu/~g107/mod21/lecture05.html.

68

Borilla. (2015). Why does sea level correspond to boundary between oceanic and
continental crust?. Retrieved August 15, 2017, from Web site:
https://earthscience.stackexchange.com/questions/4671/why-does-sea-level-
correspond-to-boundary-between-oceanic-and-continental-crust.

Chakrabortysubrata. (2017). River System. Retrieved August 10, 2017, from Web site:
https://subratachak.wordpress.com/2017/02/09/river-system.

Chambers. (2006). Upper Course of the River. Retrieved July 22, 2017, from Web
site: http://geobytesgcse.blogspot.co.uk/2006/11/upper-course-of-river-
waterfalls.html.

Cruce, A. (2014). Mekong River Rafting-Opportunities and Facts. Retrieved
August 19, 2017, from Web site: http://www.traveltipsor.com/mekong-river-
rafting-opportunities-facts.

Dot Property. (2017). ชยั นาท: “เสียงบนั ลือแหง่ ชยั ชนะ” เมืองโบราณแหง่ ที่ราบล่มุ แม่น้ำ
เจ้าพระยา. Retrieved August 1, 2017, from Web site:
https://www.dotproperty.co.th/blog.

Erick, D. (2015). What are the three evolutionary eras?. Retrieved August 1, 2017,
from Web site: https://socratic.org/questions/what-are-the-three-
evolutionary-eras.

Farrell, M. and Proffitt, M. (2016). Soil Sustain Life. Retrieved July 22, 2017, from
Web site: http://www.warrenswcd.com/education-connection-a-blog/soils-
sustain-life.

Fry, J. (2016). Death Valley National Park. Retrieved July 31, 2017, from Web site:
http://www.janetfryphotography.com/Landscapes/Death-Valley.

Gibbs, E. (2016). Metamorphic Rocks. Retrieved July 31, 2017, from Web site:
http://slideplayer.com/slide/10545465.

Harrison, E. (2014). What Mount Everest and the Grand Canyon have in common.
Retrieved July 23, 2017, from Web site:
https://boingboing.net/2014/01/02/what-mount-everest-and-the-gra.html.

Hawkins, D. (2015). Mineral and Rock Vocabulary. Retrieved July 31, 2017, from
Web site: http://slideplayer.com/slide/6092655.

69

Howard, B. (2016). World’s Largest Cluster of Sinkholes Discovered.
Retrieved August 7, 2017, from Web site:
http://news.nationalgeographic.com/2016/11/49-sinkholes-discovered-in-
china-worlds-largest-geology.

IAS Score. (2017). Ocean Topography. Retrieved August 1, 2017, from Web site:
http://www.iasscore.in/upsc-prelims/ocean-topography-temperature-salinity.

Katai, J. (2013). Applied Soil Science. Retrieved July 23, 2017, from Web site:
http://www.tankonyvtar.hu/hu/tartalom/tamop412A/2011_0009_Katai_Janos
-Applied_Soil_Science/ch02.html.

Kwansuda, K. (2017). ประวัติของถ้ำมรกต. Retrieved August 15, 2017, from Web site:
https://sites.google.com/site/kwansudakongthong29362/prawati-khxng-tha-
mrk.

Lesleyx. (2010). Loess Plateau in North China. Retrieved July 14, 2017,
from Web site: https://www.dreamstime.com/royalty-free-stock-photo-loess-
plateau-north-china-s-lots-residence-house-was-built-along-mountains-
image34519895#.

Mahapunt. (2017). ถำ้ ศักด์สิ ิทธแ์ิ หง่ เชียงดาว จดุ ตะเกยี งมุดถ้ำชมหนิ กราบพระพทุ ธรปู เก่าแก.่
Retrieved July 31, 2017, from Web site:
http://www.zthailand.com/place/chiang-dao-cave-chiang-mai.

MGR Online. (2013). “ไรเ่ ลย์” แชมปส์ ดุ ยอดชายหาดไทย ควา้ อนั ดับ 3 สดุ ยอดชายหาดเอเชยี .
Retrieved August 9, 2017, from Web site:
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9560000024836.

Migolf. (2013). ชายทะเลปากพนังและแหลมตะลุมพกุ จงั หวดั นครศรธี รรมราช. Retrieved
August 9, 2017, from Web site: https://www.clipmass.com/story/73610.

Nace, T. (2016). The Rock Cycle: Learn The Types of Rocks & Minerals.
Retrieved August 1, 2017, from Web site:
https://www.forbes.com/sites/trevornace/2016/02/21/rock-cycle-kids-types-
rocks-minerals/#930c922640b5.

Pidwirny, M. and Jones, S. (2014). Introduction to Soils. Retrieved August 10, 2017,
from Web site: http://www.physicalgeography.net/fundamentals/10t.html.

70

Rayner, D. (1999). Landforms, Erosion and Longshore Drift.. Retrieved August 9,
2017, from Web site: http://www.users.globalnet.co.uk/~drayner/leld.htm.

Ryazanov, M. (2017). Cutaway diagram of Earth’s internal structure (to scale) with
inset showing detailed breakdown of structure (not to scale). Retrieved
August 7, 2017, from Web site:
https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Earth-cutaway-schematic-
english.svg.

Thinklink (2015). Sonia Mohan-Thailand. Retrieved August 31, 2017, from Web site:
https://www.thinglink.com/scene/887744675148988416.

USDA. (1987). Soil texture triangle-classification system based on grain size.
Retrieved August 12, 2017, from Web site:
https://www.researchgate.net/figure/303864500_fig20_Figure-41-Soil-texture-
triangle-classification-system-based-on-grain-size-USDA-1987.

V-ron. (2012). Fluvial Landforms produced from deposition. Retrieved July 31,
2017, from Web site:
http://igcseandalevelgeography.blogspot.com/2012/09/fluvial-landforms-
produced-from.html.

Wijarn, S. (2010). Koh Khai Retrieved August 15, 2017, from Web site:
http://www.panoramio.com/photo/36789482.

Wilhelm, A. (2011). Meet the Fairy Bridge, a nearly unknown 400 foot natural arch
in China. Retrieved August 3, 2017, from Web site:
https://thenextweb.com/shareables/2011/12/23/meet-the-fairy-bridge-a-
nearly-unknown-400-foot-natural-arch-in-china/#.tnw_NEQRIhHS.

Wong, P. (2014). The Sand Dunes of Mui Ne. Retrieved August 3, 2017, from Web
site: http://www.vietnam-guide.com/mui-ne/sand-dunes.htm.

71

บทที่ 4
อทุ กภาค

1.1 ความหมายของอุทกภาค
อทุ กภาค (Hydrosphere) หมายถึง นำ้ ทกุ ประเภทท่พี บบนโลกทั้งที่พบในทะเล มหาสมุทร

แม่น้ำ ลำคลอง ใต้ดิน และรวมไปถึงน้ำที่พบในสิ่งมีชีวิตด้วย น้ำ (Water) เป็นสารประกอบอย่างหน่ึง
มีสูตรเคมีว่า H2O ในน้ำ 1 โมเลกุล จะประกอบไปด้วยไฮโดรเจน (Hydrogen) 2 อะตอม และ
ออกซิเจน (Oxygen) 1 อะตอม โดยที่โมเลกุลของน้ำเกาะเกี่ยวกันด้วย Hydrogen Bond เมื่อมอง
โลกจากนอกโลกหรืออวกาศจะพบว่าโลกมีสีฟ้าเป็นส่วนใหญ่ จึงเรียกโลกอีกชื่อหนึ่งว่าดาวเคราะห์
สีฟ้า (Blue Planet) ทั้งนี้สีฟ้าดังกล่าวเป็นสีของน้ำในมหาสมุทร ซึ่งมีมากถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่โลก
ทง้ั หมด

น้ำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุก
ชนิดจะมีน้ำเปน็ องคป์ ระกอบหลกั รอ้ ยละ 70 จากการศึกษาพบวา่ หากมนษุ ยข์ าดสารอาหารจะมีชวี ิต
อยู่ได้ถึง 50 วัน แต่ถ้าขาดน้ำจะมีชีวิตอยู่ไดเ้ พียง 2 วันเท่านั้น สมบัติที่สำคัญของน้ำในทางภูมิศาสตร์
มีดังนี้

น้ำเป็นสสารตามธรรมชาติชนิดเดียวที่สามารถเปลี่ยนสถานะได้ 3 สถานะ ตามความ
แตกต่างของอุณหภูมิและความกดของบรรยากาศ คือ เปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว ก๊าซหรอื
ไอน้ำ สุเทพ ติงศภัทิย์ และเคนซากุ ทาเคดะ (2521 อ้างใน พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 163) กล่าวว่า
การเปลี่ยนแปลงสถานะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีการทำลายหรือการสร้างพันธะที่ยึดระหว่างโมเลกุล หาก
พันธะถูกทำลายก็ต้องใช้พลังงานความร้อนไปกระทำ ถ้าสร้างพันธะใหม่ขึ้นมาก็จะคายพลังงาน
ความร้อนออก สมบัติข้อนี้เป็นกลไกสำคัญท่ีทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำหรือวัฏจักรทางอุทกวทิ ยา
(Hydrological Cycle)

น้ำมีสมบัติร้อนและเย็นช้ากว่าพื้นดิน นอกจากนี้น้ำยังมีความโปร่งแสงค่อนข้างสูงเมื่อ
เปรียบเทียบกับสารอืน่ ดังนัน้ จงึ สามารถดดู ซมึ พลงั งานแสงได้สูง โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในชว่ งอินฟราเรด
และอลุ ตราไวโอเลต สง่ ผลให้แหลง่ น้ำขนาดใหญ่บนโลกเปน็ แหล่งเก็บความร้อนในช่วงฤดหู นาว ทำให้
อากาศไม่หนาวจัดและมีผลทำให้อากาศเย็นลงในฤดูร้อน แต่ในช่วงแสงที่ตามองเห็นได้น้ำจะดูด
แสงนอ้ ย เราจงึ มองเหน็ ว่านำ้ ไม่มสี ี

สมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งของน้ำ คือ น้ำเป็นตัวทำละลายที่ดี ร้อยละ 50 ของธาตุหรือ
สารประกอบที่พบสามารถละลายในน้ำได้ ดังนั้นน้ำที่พบในธรรมชาติจึงเป็นน้ำที่ไม่บริสุทธ์ิจะมีสิ่งอื่น

72

เจือปนอยูด่ ว้ ยเสมอ นอกจากนีน้ ำ้ ยงั เป็นตวั การสำคญั ท่ที ำให้เกดิ การกดั เซาะ การพดั พา เปน็ ผลทำให้
เกดิ ลักษณะภูมิประเทศตา่ งๆ บนผวิ โลก

วัฏจักรทางอุทกวิทยา (Hydrological Cycle) หมายถึง กระบวนการเคลื่อนย้าย
เปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำบนโลก ได้แก่ การที่โมเลกุลของน้ำเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็น
ของแข็งหรือไอน้ำ จากของแข็งหรือไอน้ำเปลี่ยนกลับมาเป็นของเหลว กล่าวคือ เมื่อน้ำตามแหล่งน้ำ
ทั่วไปได้รับความร้อนจนระเหยกลายเปน็ ไอออกกลับไปสู่บรรยากาศ ต่อจากนั้นจะควบแน่นกลายเปน็
เมฆแลละตกลงมาบนพื้นโลกในรูปของหยาดน้ำฟ้าต่างๆ ดังนั้นวัฏจักรทางอุทกวิทยาจึงเป็นวงจรของ
น้ำที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ จัดเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้น
(ภาพท่ี 4.1)

ภาพท่ี 4.1 วฏั จกั รทางอุทกวทิ ยา
ท่มี า: RMB Environmental Laboratories (2017)

1.2 ประเภทของแหล่งนำ้ ธรรมชาติ
ปรากฏการณข์ องการเปลย่ี นสถานะของนำ้ หรือวัฏจักรทางอุทกวทิ ยา ทำใหส้ ามารถจดั แบง่

ประเภทของน้ำได้ Lutgens and Tarbuck (1998 อ้างใน พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 166) กล่าวว่า
น้ำจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่งบนโลกไม่ว่าจะเป็นในทะเล มหาสมุทร ธารน้ำแข็ง แม่น้ำลำธาร ทะเลสาบ
ในอากาศ ในดิน และในสิ่งมีชีวิต แหล่งน้ำต่างๆ บนโลกที่รวมกันเป็นอุทกภาค มีปริมาณ 1.36
พันล้านลูกบาศก์กิโลเมตร โดยแหล่งน้ำแหล่งใหญ่ที่สุดบนโลก คือ แหล่งน้ำในทะเลและมหาสมุทร
ร้อยละ 97.20 ที่เหลือ ร้อยละ 2.15 อยู่ในรูปของแข็ง (ธารน้ำแข็ง หิมะ และทุ่งน้ำแข็ง) ส่วนที่เหลือ
น้อยกว่า ร้อยละ 1 พบในทะเลสาบน้ำจืด แม่น้ำลำธาร น้ำใต้ดิน และในรูปของไอน้ำในอากาศ จาก
การแจกแจงปริมาณการกระจายของน้ำบนพื้นโลกที่อยู่ในสถานะและสถานที่ต่างๆ โดยประมาณ
Strahler (1975 อ้างใน ลกั ษณา สัมมานิธ,ิ 2544: 136) จำแนกได้ดงั น้ี (ตารางที่ 4.1)

73

ตารางท่ี 4.1 การกระจายปรมิ าณน้ำของแหล่งน้ำต่างๆ ของโลก

ประเภทแหลง่ น้ำ ปริมาณคิดเป็นรอ้ ยละของน้ำทง้ั หมด (รอ้ ยละ)

1. แหล่งนำ้ จดื ผวิ ดนิ

ทะเลสาบ 0.0089

แมน่ ้ำ ลำธาร 0.0001

2. แหลง่ นำ้ ฝน 0.001

3. แหล่งนำ้ ใต้ดนิ

บอ่ น้ำตนื้ 0.32

บอ่ นำ้ บาดาล 0.31

4. แหลง่ นำ้ เค็ม

มหาสมทุ รและทะเล 97.20

5. อน่ื ๆ 2.16

ท่มี า: เกรียงศกั ด์ิ อดุ มสนิ โรจน์ (2537 อ้างใน ลักษณา สมั มานธิ ิ, 2544: 136)

อภิสิทธิ์ เอี่ยมหน่อ (2525 อ้างใน ลักษณา สัมมานิธิ, 2544: 137) กล่าวว่า แหล่งน้ำที่พบ
ตามธรรมชาติบนพ้นื ผิวโลก แบง่ ออกเป็น 4 ประเภทใหญๆ่ ดังนี้

(1) แหล่งนำ้ ในบรรยากาศ (Atmospheric Water) ไดแ้ ก่ สถานะไอนำ้ เช่น เมฆ หมอก
สถานะของเหลว ไดแ้ ก่ ฝนและน้ำค้าง และสถานะของแขง็ ไดแ้ ก่ หมิ ะและลูกเหบ็ เป็นต้น

(2) แหล่งน้ำผิวดิน (Surface Water) ได้แก่ น้ำในบรรยากาศที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำและ
ตกลงสู่ผิวโลก ไหลลงมาขงั ตามแอ่งท่ีต่ำ เชน่ หนอง บงึ แม่นำ้ ทะเล ทะเลสาบ เปน็ ต้น

(3) แหล่งน้ำใต้ดิน (Underground Water) เป็นน้ำที่ไหลซึมผ่านชั้นดินและหิน ลงไป
สะสมตัวอยู่ตามชอ่ งว่างระหว่างอนุภาคดินและหิน นำ้ ชนดิ น้มี ปี ระโยชน์มาก และเป็นตวั การสำคัญใน
การควบคุมการแพร่กระจายพรรณพืช ตลอดจนเป็นตัวทำละลาย และตกตะกอนเป็นสารประกอบ
หลายอย่างใตพ้ ้นื ดิน

(4) น้ำที่เป็นส่วนประกอบทางเคมี (Chemical Water) ได้แก่ น้ำที่เป็นองค์ประกอบ
ทางเคมี หรือเป็นองค์ประกอบในแร่ หิน และดิน และแหล่งน้ำในบรรยากาศ จะเกิดการเปลี่ยนแปลง
ของน้ำที่เปน็ สว่ นประกอบทางเคมี เช่น การเย็นตัวของหินอคั นี การผุพังของแร่ การเปล่ยี นแปลงจนมี
ปรมิ าณน้ำมากบนผิวโลก และใช้ระยะเวลานานมาก

74

4.3 แหล่งน้ำในบรรยากาศ
แหล่งน้ำในบรรยากาศมีคุณสมบัติเป็นก๊าซ จึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และมี

ปริมาณไม่แน่นอน แหล่งที่มาของความชื้นในบรรยากาศ ได้แก่ แหล่งน้ำผิวดิน ความชิ้นผิวดิน
กระบวนการคายน้ำของพืช กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ กระบวนการระเบิดของภูเขาไฟ เป็นต้น ซึ่ง
ปริมาณไอน้ำในบรรยากาศจะมีการผันแปรไปตามเวลาและสถานที่ โดยไอน้ำส่วนใหญ่ของโลกมี
แหลง่ กำเนิดมาจากมหาสมุทร

กระบวนการเปล่ยี นสถานะของนำ้ ในบรรยากาศ เร่มิ จากสถานะของน้ำทะเลและมหาสมุทร
แหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่สุดของโลก จากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสถานะจากของเหลวกลายเป็นก๊าซ ด้วย
การที่ผิวน้ำได้รับความร้อนโดยการแผ่รังสี (Radiation) จากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดกระบวนการ
กลายเป็นไอน้ำ หรือเรียกว่า การระเหย (Evaporation) น้ำเปลี่ยนสถานะกลายเป็นไอที่ลอยอยู่ใน
บรรยากาศไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มเมฆ จนถึงจุดๆ หนึ่งจึงมีการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ มีการเปลี่ยนสภาพ
เป็นของเหลวจากกระบวนการคายความร้อน เรียกกระบวนการดังกล่าวว่า กระบวนการควบแน่น
(Condensation) ดังนั้นในวันท่ีอากาศร้อนจัด ก่อนเกิดฝนตกเราจึงรู้ได้ว่ากระบวนการคายความร้อน
ของไอน้ำ คือ อากาศร้อนอบอ้าว ไม่มีลม และเกิดฝนตกตามมา ฝนที่ตกลงมายังผิวโลกจะไหลซึมลง
ดินไปรวมกันตามแหล่งต่างๆ ต่อไปและหมุนเวียนเป็นวัฏจักรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (ลักษณา สัมมานิธิ,
2544: 60)

จะเห็นได้ว่าในอากาศประกอบไปด้วยไอน้ำในปริมาณที่แตกต่างกันและจะมีการ
เปลี่ยนแปลงสถานะอยู่ตลอด เนื่องจากน้ำทุกแหล่งบนโลกมีการระเหยอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดเป็นเมฆ
และกล่ันตวั เป็นหยดน้ำ

4.4 แหลง่ น้ำผิวดนิ
น้ำผิวดิน (Surface Water) หมายถึง น้ำที่อยู่บนดิน ซึ่งอาจจะไหลเป็นแม่น้ำ ลำธาร คลอง

ธารนำ้ ตา่ งๆ หรอื ขงั ตามทะเลสาบ หนอง บงึ บอ่ สระก็ได้ นำ้ ไหลบ่าบนผิวดิน (Run Off) คือ ส่วน
ของน้ำฝนที่ไหลไปถึงธารน้ำโดยไหลผ่านพื้นดิน น้ำไหลบ่าบนผิวดินจะเกิดขึ้นถ้าปริมาณฝน มี
มากกว่าปริมาณน้ำที่ซึมลงดิน ซึ่งน้ำส่วนเกินนี้จะไหลอยู่บนพื้นดินจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำตามแรงโน้มถ่วง
ของโลก การไหลของน้ำนี้อาจจะไหลแบบบริเวณกว้าง (Overland Flow) บริเวณที่ราบ แต่ถ้าเกิด
ฝนตกหนัก ประกอบกับพื้นที่ที่มีความลาดเอียง การไหลของน้ำจะรุนแรงและทำให้เกิดการกร่อนเป็น
ร่องน้ำ (Stream Channel) ซึ่งถ้าฝนตกมากข้ึนธารน้ำจะขยายมากยิง่ ข้ึน

75

น้ำในแม่น้ำลำธารเปน็ แหลง่ นำ้ จืดทม่ี นษุ ย์นำมาใชป้ ระโยชน์มากท่สี ดุ จรญู สุขเกษม (2538
อา้ งใน พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 168) ได้สรุปถึงแหลง่ ทีม่ าของนำ้ ในธารน้ำว่ามีท่ีมา 4 แหลง่ คอื

(1) น้ำฝนทีต่ กลงในธารนำ้ โดยตรง (Direct Precipitation)
(2) นำ้ ทีไ่ หลบ่าบนผวิ ดิน (Run Off)
(3) น้ำไหลภายในดิน (Subsurface Run Off) หมายถึง น้ำส่วนที่ซึมผ่านผิวดินลงไป
และไหลขนานไปกับผิวดินลงสู่ธารน้ำ บางส่วนจะไหลจะไหลลงสู่ธารน้ำทันทีภายหลังฝนตก และ
บางสว่ นจะค่อยๆ ไหลลงสธู่ ารนำ้ ในเวลาต่อมา
(4) น้ำใต้ดิน (Ground Water) หมายถึง น้ำส่วนที่ไหลซึมผ่านผิวดินแล้วกลายเป็น
นำ้ ใตด้ นิ ซึ่งจะไหลลงส่ธู ารนำ้ ในที่สดุ
พวงเพชร์ ธนสิน (2555: 168) กล่าวว่า การไหลของน้ำในธารน้ำ (Stream Flow) มี
ลักษณะการไหลอยู่ 2 ลักษณะ คือ การไหลนิ่งสงบไปตามผิวน้ำ (Laminar Flow) โดยที่โมเลกุลของ
น้ำจะมีการเคลื่อนที่เป็นระเบียบ และการไหลแรง (Turbulent Flow) ซึ่งโมเลกุลของน้ำมีการ
เคลือ่ นท่ไี มเ่ ปน็ ระเบียบ (ภาพที่ 4.2)

ภาพที่ 4.2 ลกั ษณะการไหลของธารน้ำแบบไหลนิ่งและไหลแรง
ท่มี า: Heading Out (2012)

ลักษณะการไหลของน้ำผิวดินแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ลักษณะแรกการไหลแบบแผ่ซ่าน
(Sheet Flow) โดยไหลไปตามความลาดเอียงของพื้นผิวและมีระดับความลึกไม่มาก ลักษณะที่สอง
การไหลตามร่องน้ำ (Channel Flow) หรือเป็นการไหลของน้ำไปตามลำธาร (ลักษณา สัมมานิธิ,
2544: 137)

4.4.1 วิวัฒนาการของธารน้ำ (Stream Evolution) ธารน้ำ ลำห้วย ลำน้ำ หรือแม่น้ำ
คือ ทางระบายน้ำในลุ่มน้ำ (Basin) วิวัฒนาการหรือกำเนิดธารน้ำ จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทราบว่าธาร
น้ำมีลักษณะทางเดินอย่างไร เพราะธารน้ำเกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝนและแนวการพังทลายของ
หน้าดิน น้ำฝนเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดธารน้ำ ต้นน้ำลำธารจะเริ่มจากพื้นที่สูง เมื่อน้ำฝนไหลบ่า

76

ลงมาตามความลาดชันของพื้นที่จะก่อให้เกิดการกัดเซาะ โดยน้ำจะพัดพาอนุภาคต่างๆ ไปทับถมใน
บริเวณท่ีต่ำกว่า ซึ่งเป็นผลทำให้พื้นที่ถูกกัดเซาะเกิดเป็นร่องน้ำเล็กๆ ร่องน้ำเล็กๆ ไหลบรรจบกัน
กลายเป็นรอ่ งนำ้ ที่ใหญ่ขึน้ แล้วไหลรวมกันเป็นธารน้ำ แล้วธารนำ้ ไหลลงมาบรรจบกับธารน้ำสายอ่นื ๆ
กลายเป็นแม่น้ำ ดว้ ยวธิ นี ี้ระบบแม่น้ำแต่ละระบบจงึ เกดิ ขึน้ ซึ่งระบบแมน่ ำ้ จะครอบคลมุ พื้นทท่ี ัง้ ลมุ่ น้ำ

วิวัฒนาการของแม่น้ำเร่ิมตั้งแต่แผ่นดินที่มีผิวหน้าราบเรียบ (Initial Surface) โดยการ
ยกตัวของเปลือกโลก เมื่อฝนตกลงมาก็จะชะหน้าดินและไหลไปรวมตัวกันบริเวณที่ต่ำ กระแสน้ำจะ
กัดเซาะให้เกิดเป็นร่องน้ำขนาดเล็กขึ้น (Rill) ต่อมาน้ำจะกัดเซาะให้ร่องน้ำใหญ่ขึ้น (Gully) และใน
ที่สุดกระแสน้ำก็จะกัดเซาะให้เกิดเป็นลำธาร (Stream) เล็กๆ ขึ้น แม่น้ำจะทำการกัดเซาะพังทลาย
ภูมิประเทศให้สึกกร่อนเปลี่ยนแปลงรูปทรงสัณฐานเป็นขั้นตอนตามลำดับ พวงเพชร์ ธนสิน (2555:
170) และลักษณา สัมมานิธิ (2544: 134) อธิบายว่า วิวัฒนาการของแม่น้ำแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
(ภาพที่ 4.3) ดังน้ี

ภาพที่ 4.3 วิวัฒนาการของแม่นำ้
ทมี่ า: Bentley (2010)

(1) ระยะปฐมวยั (Youth) เปน็ ระยะของแมน่ ำ้ เริ่มก่อตัวข้ึน ธารน้ำจะมลี กั ษณะเป็นสาย
สั้นๆ เกิดการกัดเซาะด้านตน้ น้ำ (Headwater Erosion) และร่องน้ำจะมีการกัดเซาะเฉพาะในแนวด่ิง
(Vertical) จะมีลักษณะเป็นรูปตัววี (V Shape) ท้องน้ำจะขรุขระ มีน้ำตกและแก่งเกิดขึ้นมากมาย ไม่
ปรากฎว่ามีทรี่ าบนำ้ ท่วมถึงและทางน้ำโค้งตวัดแตอ่ ยา่ งใด

(2) ระยะมัชฌิมวัย (Maturity) เมื่อธารน้ำกัดเซาะพื้นดินจนไปถึงระดับหนึ่ง ธารน้ำจะ
เริ่มไหลเอื่อยและช้าลง ระยะนี้จากธารน้ำจะกลายเป็นแม่น้ำ มีการกัดเซาะทางด้านข้างเป็นรูปตัวยู
(U Shape) ความชันของแม่น้ำจะลดลง มีการตกตะกอนเกิดขึ้น แม่น้ำเริ่มไหลคดเคี้ยว (Meander)
และพบทรี่ าบน้ำทว่ มถงึ (Flood Plain)

77

(3) ระยะปัจฉิมวัย (Old Age) จากการกัดเซาะที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม่น้ำจะ
กัดเซาะเฉพาะทางด้านข้างธารน้ำ (Horizontal) มีลักษณะเป็นรูปตัวยูและกว้างมาก ความชันของ
แม่น้ำลดลง กระแสน้ำไหลช้าลง การตกตะกอนมีมากขึ้นและการทับถมของตะกอนจะทำให้แม่น้ำ
คดเคี้ยวมากขึ้น ในฤดูน้ำหลากกระแสน้ำไหลเชี่ยว แม่น้ำจะมีการไหลตัดคอคอดของคุง้ น้ำเปน็ การลดั
ทางเดนิ นำ้ ทำให้เกดิ ทะเลสาบรปู แอก (Oxbow Lake) ขณะเดียวกนั นำ้ ทลี่ ้นฝงั่ จะทำใหเ้ กดิ การทับถม
ของตะกอนริมฝั่งแม่น้ำเกิดเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงและคันดินธรรมชาติ (Natural Levee) บริเวณใกล้
ปากอ่าวจะพบดินดอนสามเหลีย่ ม (Delta)

สำหรับระยะเวลาในแต่ละช่วงของวิวัฒนาการมีระยะเวลาที่ยาวนานมากเป็นล้านๆ ปี
ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับบริเวณแต่ละบริเวณว่ามีหินรองรับที่มีความทนทานต่อการกัดเซาะได้มากเพียงใด และ
เนอื่ งจากวิวฒั นาการที่ยาวนานจึงทำให้วิวฒั นาการของลำนำ้ มักไม่มโี อกาสทีจ่ ะเกิดได้ครบตามวฏั จักร
ทำให้ต้องมีการปรับวิวัฒนาการใหม่ เรียกว่า การคืนพลัง (Rejuvenation) สาเหตุที่ทำให้แม่น้ำ
คืนพลัง เช่น การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลง
ของเปลือกโลก เปน็ ตน้

4.4.2 แหล่งน้ำบนผิวดิน โดยทั่วไปสามารถแยกพิจารณาได้ดังนี้ (ลักษณา สัมมานิธิ,
2544: 135)

(1) ธารน้ำ แม่น้ำ ลำคลอง เป็นแหล่งน้ำบนผิวดินประเภทที่เกิดจากการกัดเซาะของ
ธารน้ำ แม่น้ำ และลำคลองในเวลาเดียวกัน แหล่งน้ำบนผิวดินประเภทนี้มักไหลตามความลาดชันของ
สภาพภูมปิ ระเทศลงสูท่ ะเล

(2) ทะเลสาบ บึง อ่างเกบ็ น้ำ เป็นแหลง่ นำ้ บนผิวดินประเภททร่ี องรบั นำ้ จากน้ำฝนท่ีไหล
จากพื้นที่ที่สูงกว่าลงมารวมกันในทะเลสาบ บึง และอ่างเก็บน้ำ สำหรับทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดใน
ประเทศไทย ไดแ้ ก่ บึงบอระเพ็ด จงั หวัดนครสวรรค์ (ภาพที่ 4.4)

(3) น้ำผิวดินอื่นๆ ได้แก่ ระดับน้ำผิวดินที่มีการแช่ขังอยู่ เกือบจะไม่มีการระบายออก
ไปสู่บริเวณอื่นๆ และมีพืชน้ำขึ้นผสมปะปนอยู่ โดยเฉพาะบริเวณน้ำตื้น เช่น มาบหรือที่ลุ่มน้ำขัง
(Swamp) ที่ลุ่มช้ืนแฉะ (Marsh) หมายถึง พื้นที่ที่มีระดับน้ำตื้นๆ พอที่พืชน้ำจะขึ้นได้กระจัดกระจาย
และพรุ (Bog) หมายถงึ บรเิ วณแหล่งน้ำผิวดินท่ชี นื้ และมพี ชื น้ำปกคลมุ หนาแน่น พชื บางส่วนที่ตายจะ
สะสมอยู่ใต้น้ำ บางส่วนกลายเป็นโคลนหนาและมีซากพืชซากสัตว์ทับถม เช่น พรุโต๊ะแดง จังหวัด
นราธิวาส (ภาพท่ี 4.5) เปน็ ต้น

78

ภาพท่ี 4.4 บงึ บอระเพด็ จงั หวัดนครสวรรค์
ทม่ี า: ปิ่น บตุ รี (2560)

ภาพท่ี 4.5 พรโุ ตะ๊ แดง จังหวดั นราธวิ าส
ท่ีมา: รุ่งรัตน์ วงษจ์ ู (2559)
4.5 แหลง่ นำ้ ใต้ดนิ

น้ำใต้ดิน (Underground Water) หมายถึง น้ำที่อยู่ใต้พื้นดิน หรือใต้พื้นผิวโลก โดยที่จะ
สะสมตัวอยู่ในโซนอิ่มน้ำ (Zone of Saturation) หรืออยู่ใต้ระดับน้ำใต้ดิน (Water Table) ลงมาใน
โซนน้ำใต้ดินน้ี ความดันของน้ำ (Hydrostatic Pressure) จะเท่ากับหรือมากกว่าความดันของ
บรรยากาศ (Atmosphere Pressure)

4.5.1 การเกิดของน้ำใต้ดิน น้ำใต้ดินเกิดจากน้ำฝนส่วนหนึ่งที่ไหลซึมลงไปในดินแทรกลง
ไปในเนื้อดินเนื้อหิน โดยน้ำที่ซึมลงไปนี้จะไปหยุดอยู่ที่ชั้นหินที่ไม่ซึมน้ำหรือหินเนื้อตัน (Impervious
Rock) ในเมื่อน้ำไม่สามารถซึมลงไปได้อีก น้ำก็จะสะสมอยู่เหนือชั้นหินไม่ซึมน้ำ ชั้นหินที่สามารถ
เก็บกักน้ำไว้ได้เรียกว่า ชั้นหินอุ้มน้ำ (Aquifer) ส่วนชั้นหินที่ไม่ยอมให้น้ำซึมผ่านเรียกว่า ชั้นหินซับน้ำ
(Aquiclude) โซนน้ำใต้ดิน แบ่งได้เป็น 2 โซนใหญ่ คือ โซนแรกเรียกว่า โซนอิ่มอากาศ (Zone of
Aeration) ในโซนนี้ช่องว่างของอนุภาคดินจะมีอากาศแทรกอยู่ น้ำที่อยู่ในโซนนี้เรียกว่า ความชื้นใน

79

ดิน (Soil Moisture) ถัดจากโซนอิ่มอากาศลงมาจะพบโซนขอการดึงผิว (Capillary Action) ซึ่งจะ
สวนทางกับแรงโน้มถ่วงของโลก ถัดจากโซนนี้ลงไปก็จะถงึ โซนอิ่มน้ำ (Zone of Saturation) หรอื โซน
ที่มนี ้ำสะสมอยเู่ ตม็ เนอ่ื งจากโซนน้ีนำ้ จะเขา้ ไปแทรกในชอ่ งวา่ งระหวา่ งอนภุ าคดิน (ภาพท่ี 4.6)

ภาพที่ 4.6 โซนของนำ้ ใต้ดิน
ทีม่ า: Pisanieprac (2017)

ชั้นหินอุ้มน้ำ (Aquifer) เป็นชั้นหินหรือชั้นตะกอนที่ยอมให้น้ำซึมผ่านได้ จึงเป็นชั้นที่ชุ่มไป
ด้วยน้ำใต้ดินและสามารถให้น้ำแก่บ่อน้ำได้ ตัวอย่างของชั้นหินอิ่มน้ำ ได้แก่ กรวด ทราย หินกรวด
หินทราย หินปูน โดยทั่วไปชั้นหินอุ้มน้ำจะแทรกอยู่ระหว่างชั้นหินที่น้ำซึมผ่านไม่ได้ เช่น หินดินดาน
ดังนั้นเมื่อน้ำบนพื้นดินซึมลงมาถึงชั้นนี้ก็จะแผ่ไปทั่วชั้นหินและเคลื่อนที่ไปได้ในระยะทางไกลๆ
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนดิ คอื (1) ชนั้ นำ้ ไม่มแี รงดัน (Water Table Aquifer) หากเจาะบอ่ บาดาลลง
ไปถึงชั้นนี้ ระดับน้ำในบ่อจะเท่ากับระดับน้ำใต้ดิน ความดันของน้ำในชั้นกักเก็บน้ำจะเท่ากับความดนั
อากาศ และ(2) ชั้นน้ำมีแรงดัน (Artesian Aquifer) เป็นชั้นกักเก็บน้ำชนิดที่อยู่ระหว่างชั้นที่น้ำซึม
ผ่านไม่ได้ ดังนั้นน้ำที่อยู่ในชั้นกักเก็บน้ำชนิดนี้จะอยู่ภายใต้ความดัน ถ้าหากเจาะบ่อบาดาลลงไปใน
ชั้นนี้ ระดับน้ำในบ่อจะสูงขึ้นมา เนื่องจากความดันในบ่อสูงกว่าความดันบรรยากาศ น้ำในบ่อจึง
เรียกว่า น้ำบาดาล ส่วนชั้นหินซับน้ำ (Aquiclude) เป็นชั้นดินเหนียว หินโคลน และหินบะซอลต์
(เสน่ห์ โรจนดิษฐ,์ 2530 อ้างใน พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 179)

4.5.2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณน้ำใต้ดิน น้ำใต้ดินเกิดจากน้ำในบรรยากาศที่สัมพันธ์
กับอตั ราการไหลซึมลงดิน ซงึ่ จะมากหรอื นอ้ ยข้นึ อยกู่ บั ปัจจัยตอ่ ไปน้ี (ลกั ษณา สมั มานธิ ,ิ 2544: 140)

(1) ช่วงเวลาที่มีฝนตก (Time) หมายถึง ถ้าช่วงเวลาที่มีฝนตกสั้น น้ำจะไหลผ่านผิวดิน
ไปอย่างรวดเร็ว ปริมาณการไหลซึมลงดินของน้ำจะต่ำและซึมลงได้น้อย แต่ถ้ามีฝนตกเป็นเวลานาน
และเบาๆ อัตราการไหลซึมจะมีมากกวา่

80

(2) ความลาดชันของพื้นที่ (Slope) หมายถึง ถ้าพื้นที่มีความลาดชันมากน้ำจะไหลไป
บนดินมากกว่าที่จะซมึ ลงดิน

(3) ความพรุนของดินและหิน (Porosity) หมายถึง อัตราส่วนระหว่างปริมาตรของ
ช่องว่างในหินก้อนหนึ่งกับปริมาตรทั้งหมดของหินก้อนนั้น โดยค่าความโพรกตัวจะแสดงเป็นร้อยละ
ความโพรกตัวจะข้ึนอย่กู บั รูปร่าง ขนาด การวางตวั ของหนิ และเศษแร่ท่ปี ระกอบตวั กนั เปน็ หิน

(4) ความสามารถในการยอมให้น้ำซึมผ่านของดินและหิน (Permeability) หมายถึง
ความสามารถในการยอมใหน้ ้ำไหลผ่านหินที่มีความฟ่ามสูง คือ หินที่น้ำไหลผ่านได้เร็ว โดยความฟ่าม
จะขึน้ อยู่กับขนาดของช่องว่าง ไมใ่ ช่ปริมาตรของชอ่ งว่าง

(5) ปริมาณของต้นไม้ กล่าวคือ ต้นไม้จะช่วยชะลอการไหลของน้ำผิวดินให้ช้าลง ซ่ึงจะ
ชว่ ยให้ปริมาณนำ้ ไหลซมึ ลงดินได้มากขนึ้

(6) ความลาดเทของชั้นหิน กล่าวคือ น้ำใต้ดินจะไหลได้ดีไปตามชั้นหินที่มีความฟ่ามสูง
โดยเฉพาะถ้าชั้นหินที่อยู่ถัดไปมีความแน่นทึบสูง น้ำจะไหลเฉพาะชั้นหินเนื้อฟ่ามนั้น และถ้าชั้นหินมี
ความลาดเทมากนำ้ จะไหลไดเ้ ร็ว

4.5.3 การเคลื่อนที่ของน้ำใต้ดิน แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบแรกการไหลตามแนวดิ่ง
ซึ่งอัตราการไหลจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับโครงสร้างของชั้นดินและหินว่ามีช่องว่างในเนื้อหินและมี
ความสามารถในการยอมให้น้ำซึมผ่าน แบบที่สองการไหลตามแนวระดับ เป็นการไหลตามแรง
โน้มถ่วงของโลก เช่น การไหลจากระดับที่สูงไปสู่ระดับที่ต่ำกว่า อัตราการไหลจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับ
ลักษณะภูมิประเทศและเนื้อหิน เช่น หินเนื้อละเอียดมากอัตราการไหลจะช้ามาก กล่าวโดยสรุปว่า
อัตราการไหลจะเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับความพรนุ ของเนื้อหิน (Porosity) และความสามารถในการยอม
ให้น้ำซึมผ่านของชั้นหิน (Permeability) นอกจากนี้การยอมให้น้ำไหลซึมผ่านจะเป็นสัดส่วนกับ
ความลึก เนือ่ งจากมแี รงกดดันสูงและความลาดชันของพื้นทดี่ ว้ ยเชน่ กนั

4.5.4 แหล่งน้ำใต้ดิน สามารถแยกพิจารณาไดด้ งั น้ี (ลกั ษณา สัมมานิธิ, 2544: 145)
(1) บ่อน้ำบาดาล (Deep Wells) เป็นบ่อที่มีระดับความลึกมากๆ ในทางวิศวกรรมไม่

สามารถกำหนดระดับความลึกได้แน่ชัด การนำน้ำขึ้นมาใช้ต้องใช้เครื่องมือช่วยขุด บ่อบาดาล จะมี
ปรมิ าณการใหน้ ้ำตลอดเวลา เนื่องจากน้ำใต้ดินบริเวณรอบบอ่ ไหลเข้ามาแทนท่ี (ภาพที่ 4.7)

(2) บ่อน้ำตื้น (Shallow Wells) เป็นบ่อที่ขุดขึ้นมีความลึกไม่มากนัก ระดับความลึกแค่
ผิวดินชั้นบน สามารถขุดเจาะเองได้ การขุดบ่อน้ำตื้นควรมีระยะห่างจากส้วมซึมอย่างน้อย 20 เมตร
บอ่ น้ำต้นื จะมปี ริมาณนำ้ เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลและสภาพภูมิประเทศบรเิ วณน้ัน (ภาพท่ี 4.7)

(3) ทางน้ำซับ (Infiltration Galleries) มีลักษณะเป็นน้ำใต้ดินที่ไหลซึมผ่านชั้นดินใน
แนวนอนหรือแนวราบ บางพ้นื ที่จะได้เหน็ น้ำซับซึมจากชั้นดนิ ถา้ มปี รมิ าณนำ้ มากสามารถนำมาใชไ้ ด้

81

ภาพท่ี 4.7 บอ่ น้ำบาดาลและบอ่ นำ้ ตื้น
ทมี่ า: Simpson (2015)

(4) นำ้ พุ (Spring) หมายถึง น้ำใต้ดนิ ทไี่ หลกลับขนึ้ มายังพน้ื ผิวดิน อาจไหลซึมข้นึ มาหรือ
พุ่งขึ้นไปบนอากาศสูงๆ น้ำพุมักจะพบตรงที่หินนำ้ ซึมโผล่ออกมาหรอื บรเิ วณระนาบรอยเลือ่ น (Fault)
เกิดจากน้ำที่ซึมตามร่องหินสู่แหล่งน้ำใต้ดินและไปสัมผัสกับบริเวณรอยแยกของเป ลือกโลกที่มี
พลงั งานความรอ้ น

4.6 แหลง่ น้ำในมหาสมุทร
มหาสมุทร (Ocean) หมายถึง เปลือกโลกส่วนที่มีลักษณะคล้ายแอ่งมีน้ำปกคลุมอยู่

ล้อมรอบทวีปต่างๆ ทั่วโลก พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกเป็นพื้นน้ำ มีเนื้อที่ร้อยละ 70 ส่วนพื้นดินมีเนื้อท่ี
ร้อยละ 30 พื้นที่ส่วนที่เป็นพื้นดินของโลกถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรต่างๆ ซึ่งจะติดต่อกันเรียกว่า
มหาสมุทรของโลก ดังที่กล่าวมาแล้วว่าส่วนของมหาสมุทรเป็นหินจำพวกหินบะซอลต์ เป็นส่วนหนึ่ง
ของเปลือกโลกที่เรียกว่า ไซมา (Sima) จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่าน้ำที่แช่ขังอยู่ในแอง่
ของมหาสมุทรในระยะแรกจะเป็นน้ำจืด แต่เมื่อบนโลกเกิดปรากฏการณ์ฝนตก น้ำฟ้าจะไหลจาก
ภาคพนื้ ทวปี ชะลา้ ง พัดพา และละลายเกลือแรต่ า่ งๆ บนโลกให้ไหลลงมาสะสมอยูใ่ นทะเลติดตอ่ กันมา
เป็นระยะเวลานาน และในขณะเดียวกันน้ำในมหาสมุทรจะมีอัตราการระเหยกลายเป็นไออยู่
ตลอดเวลา จึงทำให้สารละลายประเภทเกลือมีความเข้มข้นขึ้นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมน้ำทะเลจึงเค็ม
จากการศึกษารายชื่อเกลือแร่ที่ประกอบในน้ำทะเล พบว่าองค์ประกอบหลักเป็นเกลือคลอไรด์
ร้อยละ 55 รองลงมา คือ เกลือโซเดียม ร้อยละ 31 นอกจากนั้นก็เป็นแร่ธาตุชนิดอื่นๆ และก๊าซนานา
ชนิดจากบรรยากาศเป็นองค์ประกอบ นักสมุทรศาสตร์พบว่า มหาสมุทรแปซิฟิกที่มีพื้นที่มากที่สุด
1,800 x 106 ตารางกิโลเมตร มีความลึกเฉลี่ย 4,028 เมตร รองลงมาได้แก่มหาสมุทรแอตแลนติก มี
พน้ื ที่ 107 x 106 ตารางกโิ ลเมตร มีความลึกเฉล่ีย 3,333 เมตร

82

ส่วนทะเล (Sea) หมายถึง ส่วนขอบของมหาสมุทร บางส่วนเรียกว่าอ่าวตามสภาพภูมิ
ประเทศแบ่งได้เปน็ 3 ประเภท ดงั น้ี

(1) ทะเลเปิด (Open Sea) เป็นทะเลที่ติดต่อกับมหาสมุทรใดมหาสมุทรหนึ่ง เช่น ทะเล
จีนใต้ ติดต่อกับมหาสมทุ รแปซิฟิก เป็นตน้

(2) ทะเลภายใน (Partially Enclosed Sea) เป็นทะเลที่มีพื้นดินล้อมรอบเหลือเพียง
ช่องแคบๆ เป็นช่องทางติดต่อกับมหาสมุทรหรือทะเลอื่นได้ เช่น ทะเลแดง ติดต่อกับทะเลอาหรับ
เปน็ ต้น

(3) ทะเลปิด (Inland Sea) เป็นทะเลที่อยู่ภายในแผ่นดิน มีแผ่นดินล้อมรอบและไม่มี
ทางติดต่อกับทะเลหรอื มหาสมทุ รอืน่ ๆ เช่น ทะเลแคสเปียน เป็นต้น

ภาพที่ 4.8 ตวั อยา่ งทะเลเปิด ทะเลปดิ และทะเลภายในของทวีปเอเชีย
ท่ีมา: Worldatlas (2017)

4.6.1 สมบัติของมหาสมุทรและทะเล ที่สำคัญมี 4 ประการ ได้แก่ อุณหภูมิของน้ำทะเล
องค์ประกอบของน้ำทะเล ความเค็มของน้ำทะเล และความหนาแน่นของน้ำทะเล สามารถอธิบาย
ความสำคญั ของแตล่ ะสมบตั ิไดด้ งั น้ี

(1) อุณหภูมขิ องน้ำทะเล โดยทั่วไปจะขึน้ อยู่กบั ละติจูด ลกั ษณะภูมอิ ากาศ ความลึกของ
น้ำทะเล อุณหภูมิจะมอี ิทธิพลความหนาแน่นของน้ำทะเล ซึ่งจะมีผลต่อการไหลเวียนของน้ำ อุณหภมู ิ
พ้ืนผิวโดยเฉลยี่ ในฤดรู อ้ นของแต่ละมหาสมุทรจะแตกตา่ งกัน (ตารางที่ 4.2)

83

ตารางท่ี 4.2 อณุ หภูมพิ ื้นผวิ เฉลีย่ ในฤดูรอ้ นของมหาสมทุ ร

มหาสมุทร อุณหภมู ใิ นฤดรู ้อน (องศาเซลเซียส)

มหาสมทุ รอารก์ ติก 0–5

มหาสมทุ รแอตแลนตกิ 15.7

มหาสมุทรอินเดีย 25 – 27

มหาสมุทรแปซิฟกิ 16.6

ทม่ี า: ลักษณา สมั มานธิ ิ (2544: 178)

(2) องค์ประกอบของน้ำทะเล เนื่องจากน้ำเป็นตัวทำละลายที่ดี ดังนั้นในน้ำทะเลจึงมี
สารอื่นๆ ละลายอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีแร่ธาตุที่พบมากที่สุดในน้ำทะเลคือคลอรีน รองลงมาคือ
โซเดียม แล้วนอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียม แคลเซียม ซัลเฟอร์ และโปรแตสเซียม ส่วนธาตุอื่นๆ ที่พบใน
นำ้ ทะเล คือ โบรมนี คาร์บอน สตรอนเธยี ม โบรอน ซิลกิ อน และฟลูออรีน

(3) ความเค็มของน้ำทะเล น้ำที่เกิดตามธรรมชาติจะไม่บริสุทธิ์ เนื่องจากมีเกลือละลาย
น้ำตามแม่น้ำลำคลองจะมีเกลือละลายอยู่ประมาณ ร้อยละ 0.01 ในน้ำทะเลจะมีเกลือละลายอยู่
ประมาณ 35 ส่วนในพันส่วน ความเค็มของน้ำทะเล (Salinity) หมายถึง ปริมาณของสารละลาย
(Solid Material) เป็นกรัมที่ละลายอยู่ในน้ำทะเล 1 กิโลกรัม ซึ่งจะมีหน่วย 1 ส่วนในพันส่วน
(Part per Thousand or PPT) น้ำทะเลมาตรฐานจะเป็นน้ำทะเลที่มีความเค็ม 35 ส่วนในพันส่วน
และมีคลอไรด์ไออน 19.35 ส่วนในพันส่วนที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซยี ส นอกจากในน้ำทะเลจะมีเกลอื
แร่ธาตุต่างๆ ละลายอยู่แล้ว ยังมีก๊าซต่างๆ ละลายอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น น้ำทะเลบริเวณผิวน้ำที่มีค่า
ความเค็ม 36 ส่วนในพันส่วน และมีอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส จะประกอบไปด้วยก๊าซต่างๆ ต่อไปนี้
ก๊าซไนโตรเจน ร้อยละ 47.15 ออกซิเจน ร้อยละ 36 ไบคาร์บอเนต ร้อยละ 15.1 และก๊าซอื่นๆ อีก
ร้อยละ 1.4 นอกจากนี้แล้วแบคทีเรียบางชนิดสามารถทำให้ซัลเฟตแยกตัวได้เป็นก๊าซออกซิเจนและ
กา๊ ซไฮโดรเจนซัลไฟดห์ รือก๊าซไข่เนา่ เพอื่ ทีต่ ัวมันจะนำเอากา๊ ซออกซิเจนไปใช้ ทำใหก้ า๊ ซไขเ่ น่าละลาย
ในนำ้ ด้วย

(4) ความหนาแน่นของน้ำทะเล คือ อัตราส่วนระหว่างมวลต่อหน่วยปริมาตรของน้ำ
ทะเลที่อุณหภูมิหนึ่งหารด้วยมวลต่อหน่วยปริมาตรของน้ำหนักบริสุทธิ์ 4 องศาเซลเซียส (ที่ความดนั
บรรยากาศ) ตัวการที่ควบคุมความหนาแน่น คือ ความเค็ม และอุณหภูมิ โดยที่ยิ่งลึกความเค็มยิ่งสูง
ความหนาแน่นยิ่งมาก สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับความหนาแน่น คือ อุณหภูมิของน้ำที่
ลดลงจะมีผลทำให้ความหนาแน่นของน้ำยิ่งมากขึ้น ซึ่งความหนาแน่นจะมีผลต่อการไหลเวียนของน้ำ
เพราะความแตกต่างของความหนาแน่นทำให้เกิดการแทนที่ของน้ำขึ้น โดยเหตุที่น้ำมีความหนาแน่น

84

มากจะจมลง และจะถูกแทนที่โดยน้ำที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า ทำให้น้ำเกิดการเคลื่อนที่เป็น
กระแสน้ำขึ้น

4.6.2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดกระแสน้ำในมหาสมุทร ได้แก่ (1) ลม (Wind) เป็น
ตัวการสำคัญ โดยจะทำให้ผิวน้ำเกิดระรอกคลื่นเล็กๆ และเมื่อมีการถ่ายเทพลังงานมากขึ้น จึงทำให้
เกิดกระแสน้ำขึ้น และนับว่าลมยังมีส่วนในการกำหนดทิศทางการไหลของกระแสน้ำอีกด้วย (2)
อุณหภูมิ (Temperature) ทราบมาแล้วว่าความแตกต่างของอุณหภูมิมีผลต่อความหนาแน่นของน้ำ
ทะเล จงึ เป็นสาเหตหุ น่ึงของการเกดิ กระแสน้ำ นำ้ ทะเลทม่ี ีความหนาแนน่ มาก และมอี ณุ หภมู ิตำ่ จะจม
ตัวลง และน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิสูง และความหนาแน่นน้อยกว่าจะเคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ จึงเป็น
จุดเร่มิ ตน้ ของการเคล่ือนไหวของกระแสนำ้ ในมหาสมุทรน่ันเอง และ (3) แรงเหว่ยี งของโลก การที่โลก
หมุนรอบตัวเองทำให้เกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนที่ของกระแสน้ำ โดยใน
ซีกโลกเหนือการไหลของกระแสน้ำเบี่ยงเบนไปทางขวามือ ส่วนในซีกโลกใต้เบี่ยงเบนไปทางซ้ายมือ
เมื่อซีกโลกเหนือกระแสนำ้ ไหลตามเขม็ นาฬิกา และซกี โลกใตไ้ หลทวนเข็มนาฬิกา

4.6.3 คลื่นในมหาสมุทร คลื่น (Wave) ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
คลื่นที่เกิดจากลม (Wind Wave) และคลื่นที่เกิดจากแผ่นดินไหว (Seismic Sea Wave) อธิบายได้
ดังน้ี

(1) คลื่นที่เกิดจากลม เกิดเมื่อลมพัดผ่านผิวน้ำพลังของลมที่ถ่ายเทไปยังน้ำจะทำให้
เกิดคลื่น ซึ่งการเคล่ือนไหวของคลื่นจะเป็นแบบรูปวงกลม (Oscillatory) ซึ่งส่วนยอดของคลื่น
เรียกว่า Crest ส่วนต่ำสุดหรือร่องของคลื่น เรียกว่า Trough ระยะห่างตามแนวขวางจากยอดคลื่น
หนึ่งไปยังอีกยอดหนึง่ หรอื จากร่องคลื่นหน่ึงไปยังอีกร่องหนึง่ เรียกว่า ความยาวคลื่น (Wave Height)
ปัจจัยที่กำหนดขนาดของคลื่นขึ้นอยู่กับความเร็วของลม ระยะเวลาที่ลมพัด และระยะทางใน
มหาสมทุ ร ซึ่งลมสามารถพดั ผ่านและทำใหค้ ลื่นเคล่อื นไหวไดโ้ ดยไมม่ ีการขดั ขวาง

(2) คลื่นที่เกิดจากแผ่นดินไหวหรือบางทีเรียกว่า Tsunami (สึนามิ) เป็นภาษาญี่ปุ่น
มาจากคำวา่ Tsu แปลวา่ ท่าเรอื (Harbor) และNami แปลวา่ คล่นื (Wave) ซึง่ ใชเ้ รยี กคลน่ื ยักษ์ท่ีทำ
ความเสียหายต่อชายฝั่งของประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1963 เป็นต้นมา เมื่อคลื่นเคลื่อนตัวเข้าสู่
ระดับน้ำตืน้ ใกล้ชายฝั่ง ความเร็วของคล่ืนจะลดลง แต่พลังของคล่ืนจะดันให้ระดับน้ำทะเลสูงข้ึนอย่าง
รวดเร็วและก่อให้เกิดคลื่นสูงมหาศาลจนสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินที่อยู่รอบชายฝั่ง
สนึ ามเิ ปน็ คลนื่ ทีเ่ กิดจากแผ่นดินไหวใตส้ มทุ รหรือบริเวณใกล้ชายฝ่ังทะเล ซง่ึ เป็นผลมาจากการเคลื่อน
ตัวของเปลือกโลก เกิดจากภูเขาไฟใต้มหาสมุทรเกิดปะทุ การทดลองระเบิดปรมาณูในมหาสมุทรหรอื
มีเทหวัตถขุ นาดใหญ่ตกลงในมหาสมทุ ร สึนามิมีความยาวคล่ืนระหวา่ ง 80–200 กิโลเมตร ทำให้เรือท่ี
แล่นอยู่กลางทะเลไม่รู้ว่าเกิดคลื่นยักษข์ ึ้น แต่ละลูกจะทิ้งช่วงห่างกันอย่างน้อย 15 นาที เคลื่อนที่ด้วย
อัตราความเร็วเฉลี่ยประมาณ 700–1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คลื่นชนิดนี้มักเกิดขึ้นในมหาสมุทร

85

แปซิฟิก เพราะเป็นแนวที่มีการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟใต้มหาสมุทรมาก อีกทั้งยังล้อมรอบด้วย
ร่องน้ำลึกก้นมหาสมุทรที่เกิดจากเปลือกโลกมุดตัว ทั้งนี้ เสรี ศุภราทิตย์ (2542 อ้างใน พวงเพชร์
ธนสิน, 2555: 184) กล่าวว่า สึนามิที่เกิดขึ้นนั้นจะมีความสัมพันธ์กับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในบริเวณ
ล้อมรอบมหาสมุทรแปซิฟิก ตามแนววงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ซึ่งชายฝ่ังทะเลภาคใต้ของ
ประเทศไทยที่ติดกับทะเลอันดามัน จะมีแนวเชื่อมต่อวงแหวนจากอินโดนีเซีย ดังนั้นชายฝั่งบริเวณ
จงั หวัดระนอง กระบ่ี ภเู กต็ ตรัง พังงา จึงมีโอกาสที่จะเกิดคลืน่ ยักษ์สึนามไิ ด้

บทสรปุ
น้ำมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและดำรงชีวิตของมนุษย์ พืช และสัตว์มาก เนื่องจาก

ร้อยละ 70 ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีน้ำเป็นองค์ประกอบ แม้แต่โลกของเราก็ยังมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นน้ำ
จนได้ชื่อว่าดาวเคราะห์สีฟ้า (Blue Planet) สำหรับบทนี้เป็นการอธิบายเกี่ยวกับวิวัฒนาการและ
กระบวนการเกิดน้ำทุกชนิดบนโลก จากแผนภาพวัฏจักรทางอุทกวิทยาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าน้ำ
ทกุ ชนิดและทกุ สถานะมีความสัมพนั ธแ์ ละสามารถเปล่ยี นแปลงสถานะไดต้ ลอดเวลา ในระยะแรกของ
การกำเนดิ โลก พื้นผวิ ของโลกจะมอี ุณหภมู สิ งู มาก จงึ ทำให้กา๊ ซต่างๆ กระจายออไปจากแรงดึงดดู ของ
โลก เมื่อโลกค่อยๆ เย็นลงและเปลือกโลกกลายเป็นของแข็ง ก๊าซท่ีมีอยู่ในหินหนืดก็ถูกขับออกมา
ปะปนอยู่ในบรรยากาศทำให้ส่วนประกอบของบรรยากาศที่เกิดขึ้นมาใหม่เปลี่ยนแปลงไป
ส่วนประกอบของบรรยากาศที่สำคัญขณะนั้น ได้แก่ ละอองน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจน
เมื่อโลกเย็นมากขึน้ จะทำให้บรรยากาศมีเมฆหนาทึบและในที่สุดก็ตกลงมาเป็นฝน น้ำฝนที่ตกลงมายัง
พืน้ โลกจึงแชข่ ังอยบู่ นพ้ืนโลกอย่างถาวร ทำให้เกดิ แหลง่ น้ำธรรมชาตบิ นโลกปรากฏข้นึ จากการศึกษา
พบว่าแหล่งน้ำธรรมชาติมีอยู่หลายประเภท ได้แก่ แหล่งน้ำในชั้นบรรยากาศ เช่น น้ำฝน น้ำค้าง
แหล่งน้ำบนผิวดิน เช่น แม่น้ำ คลอง บึง หนอง ทะเลสาบ แหล่งน้ำใต้ดิน เช่น น้ำบาดาล น้ำพุร้อน
และแหล่งน้ำในมหาสมุทร ซ่ึงแหล่งน้ำธรรมชาติแต่ละประเภทก็มีกระบวนการเกิดและลักษณะ
แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามแม้ว่าน้ำจะเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วไม่หมด แต่หากมนุษย์ยังคงใช้
ประโยชน์จากแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยวิธีการที่ผิด ปัญหาต่างๆ ความเส่ือมโทรม มลภาวะ และภัย
ธรรมชาติก็จะกลับมาสร้างความเดือดร้อนและเสียหายให้แก่มนุษย์อย่างรุนแรง การเรียนรู้เกี่ยวกับ
อุทกภาคหรือแหล่งน้ำธรรมชาติก็เพื่อสร้างความเข้าใจและความตระหนักในคุณค่าและความสำคัญ
ของแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงรณรงค์ให้เกิดการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำธรรมชาติด้วยวิธีการที่ยั่งยืนอีก
ดว้ ย

86

คำถามท้ายบท
1. อทุ กภาคหมายถงึ อะไร
2. วัฏจกั รทางอทุ กวทิ ยามกี ระบวนการเกิดอยา่ งไร จงอธบิ ายมาโดยละเอียด
3. แหลง่ นำ้ ธรรมชาติมีก่ปี ระเภท ประเภทใดมมี ากและน้อยที่สดุ ในโลก
4. แหลง่ น้ำในช้นั บรรยากาศมกี ระบวนการเกิดอย่างไร
5. แหล่งน้ำบนผวิ ดินได้แกอ่ ะไรบ้าง จงยกตวั อยา่ ง
6. ธารนำ้ มีวิวัฒนาการอยา่ งไร จงอธบิ ายมาโดยละเอียด
7. บ่อบาดาลกับบ่อน้ำตนื้ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร
8. ปจั จัยทมี่ ีอิทธพิ ลตอ่ การเกดิ กระแสน้ำในมหาสมุทรไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง
9. คลน่ื ท่เี กิดจากลมกบั คลืน่ ท่เี กดิ จากแผ่นดินไหวแตกต่างกันอยา่ งไร

เอกสารอา้ งองิ
ปน่ิ บตุ รี. (2560). บึงบอระเพ็ด ไฮไลทเ์ ดด็ เทย่ี ว นครสวรรค์ ยลนกนำ้ เริงร่า ต่นื ตาทะเลบวั แดง.

สืบคน้ วันท่ี 10 สิงหาคม 2560, จากเวบ็ ไซต:์
http://www.manager.co.th/travel/viewnews.aspx?NewsID=9600000004198.
พวงเพชร์ ธนสิน. (2555). ภมู ิศาสตรก์ ายภาพแนวบรู ณาการ. (163-184). เชยี งใหม่:
ภาควชิ าภมู ิศาสตร์ คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ (เอกสารอดั สำเนา).
รุ่งรัตน์ วงษ์จ.ู (2559). องค์ความรู้: ปา่ พรโุ ตะ๊ แดง จงั หวดั นราธวิ าส. สบื ค้นวันที่ 25 สงิ หาคม
2560, จากเวบ็ ไซต:์ http://www.rdpb-journal.in.th/2016/12/08/knowhow_3-
2558-2.
ลักษณา สัมมานิธิ. (2544). ภูมิศาสตร์กายภาพ. (60, 136-178). เชียงใหม่: ภาควิชาภูมิทัศน์
และอนุรักษส์ ิ่งแวดลอ้ ม มหาวิทยาลยั แมโ่ จ.้ (เอกสารอัดสำเนา).
Bentley, C. (2010). River Landscape Evolution. Retrieved August 7, 2017,
from Web site: http://blogs.agu.org/mountainbeltway/2010/06/11/river-
landscape-evolution/.
Christopherson, R.W. (2003). Geosystem: An Introduction to Physical Geography.
New Jersey: Pearson Education.
Geographypods. (2016). River Processes. Retrieved August 7, 2017, from Web site:
http://www.geographypods.com/21-river-features.html.

87

Heading Out. (2012). Waterjetting 4b Line Losses. Retrieved July 15, 2017,
from Web site: http://bittooth.blogspot.com/2012/12/waterjetting-4b-line-
losses.html.

Pisanieprac. (2017). Zone of Saturation Definition: Info. Retrieved July 22, 2017,
from Web site: http://www.pisanieprac.info/2017/zone-of-saturation-
definition.tech.

RMB Environmental Laboratories. (2017). Water Cycle. Retrieved July 15, 2017,
from Web site: https://www.rmbel.info/water-cycle.

Simpson, H. (2015). Ground Water: An Important Rural Resource, Managing the
Quantity of Ground Water Supplies. Retrieved August 26, 2017, from Web
site: http://www.omafra.gov.on.ca/english/engineer/facts/15-043.htm.

Worldatlas. (2017). Asia Map. Retrieved July 20, 2017, from Web site:
http://www.worldatlas.com/webimage/countrys/as.htm.

88

บทที่ 5
บรรยากาศภาค

1.1 ความหมายของบรรยากาศภาค
บรรยากาศภาค (Atmosphere) หมายถึง ชั้นอากาศท่ีห่อหุ้มผิวโลก ความหนาแน่นของ

บรรยากาศจะเปลี่ยนแปลงตามระดับความสูงจากผิวโลก บริเวณใกล้ผิวโลกบรรยากาศมีความ
หนาแน่นสูงและบริเวณสูงจากผิวโลกบรรยากาศจะเบาบางลง (นำพวัลย์ กิจรักษ์กุล และกัลยา
เทียนวงศ์, 2557: 109) บรรยากาศของโลกมีลักษณะพิเศษกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ
Christopherson (1994 อ้างใน พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 115) กล่าวว่า บรรยากาศของโลกมี
พัฒนาการมากกว่า 5,000 ล้านปีกว่าจะมีสภาพอย่างปัจจุบัน บรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกเรานั้นถูกดึงดูด
ด้วยแรงโนม้ ถ่วงของโลกให้อย่ลู อ้ มรอบโลก องค์ประกอบทส่ี ำคญั ของบรรยากาศโลก คอื อากาศ (Air)
ซึ่งเป็นส่วนผสมของก๊าซนานาชนิดที่โดยธรรมชาติแล้วจะไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และไม่มีรูปร่าง ก๊าซต่างๆ
เหล่านี้จะผสมรวมกันเป็นอย่างดี จนบางครั้งทำให้มนุษย์เข้าใจผิดว่าอากาศของโลกเราประกอบด้วย
กา๊ ซเพยี งชนิดเดยี ว

สิ่งมีชีวิตบนโลกต้องอาศัยอากาศในการดำรงชีวิต Gabler (1982 อ้างใน พวงเพชร์ ธนสิน,
2555: 115) กล่าวว่า บรรยากาศโลกจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนก่อให้เกิดอุณหภูมิที่
พอเหมาะต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลก หากไม่มีบรรยากาศห่อหุ้มโลกความแตกต่างของ
อุณหภูมิของโลกระหว่างกลางวันและกลางคนจะแตกต่างกันถึง 260 องศาเซลเซียส นอกจากนี้แล้ว
บรรยากาศโลกยังทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตไว้บางส่วนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อ
สิ่งมีชีวิตบนโลก และยังป้องกันโลกจากอุกกาบาตที่จะพุ่งชน เนื่องจากอุกกาบาตเมื่อเสียดสีกับ
บรรยากาศของโลกจะลดความเร็วและความรุนแรงลงได้ด้วยการลุกไหม้ บรรยากาศยังช่วยกระจาย
แสงอาทิตย์ ทำให้ท้องฟ้ามีสีฟ้าและทำให้ท้องฟ้ามีสีแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา เช่น สีแดง สีส้ม สี
มว่ ง เปน็ ตน้ ช่วงดวงอาทิตยข์ ึ้นและตก หากไม่มีบรรยากาศแล้ว ทอ้ งฟา้ จะปรากฏเปน็ สีดำ

1.2 สว่ นประกอบของอากาศ
Lutgens and Tarbuck (1998 อ้างใน พวงเพชร์ ธนสิน, 2555: 115) กล่าวว่า ในสมยั ของ

Aristotle นน้ั มนุษย์เชื่อว่าอากาศเป็น 1 ใน 4 สสารสำคัญบนโลก นอกเหนือจากไฟ ดนิ และนำ้ ท้ังนี้
เนื่องจากอากาศมีเนื้อเดียวกันจนไม่สามารถแบ่งออกเป็นองค์ประกอบย่อยได้ ซึ่งตามความเป็นจริง
แล้ว บรรยากาศทีห่ อ่ หุ้มโลกจะประกอบไปด้วยก๊าซหลายชนิด โดยที่องค์ประกอบของบรรยากาศโลก
จะไม่คงที่ กล่าวคือ จะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและสถานท่ี อย่างไรก็ตามหากไม่คำนึงถึงไอน้ำ ฝุ่น

89

ละออง ก็จะพบว่าบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกมีองค์ประกอบที่คงที่จนถึงระดับความสูงประมาณ 80
กิโลเมตรจากพื้นผิวโลก ซึ่งจะพบว่าบรรยากาศโลกประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนถึง ร้อย
ละ 99 ของปริมาตรทั้งหมด ที่เหลืออีก ร้อยละ 1 ประกอบด้วยอาร์กอนหรือก๊าซเฉื่อย นอกจากนี้ใน
บรรยากาศยังประกอบไปด้วย ไอน้ำ โอโซน และสสารที่เป็นของแข็งจำพวกฝุ่นละออง เขม่าควันไฟ
เถา้ ถ่านจากภูเขาไฟ และผงเกลือ (ตารางท่ี 5.1) (ภาพท่ี 5.1)

ภาพที่ 5.1 องค์ประกอบของอากาศท่ีไม่มไี อน้ำ
ที่มา: SSC (2016)

ตารางที่ 5.1 องคป์ ระกอบของอากาศทไ่ี มม่ ไี อนำ้

กา๊ ซ ร้อยละโดยปรมิ าตร

ไนโตรเจน (Nitrogen) 78.084

ออกซิเจน (Oxygen) 20.946

อารก์ อน (Argon) 0.934

คารบ์ อนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) 0.038

นอี อน (Neon) 0.001818

ฮีเลียม (Helium) 0.000525

มีเทน (Methane) 0.00014

คริปทอน (Krypton) 0.00010

โอโซน (Ozone) Variable

ไนตรสั ออกไซด์ (Nitrous oxide) Trace

ไฮโดรเจน (Hydrogen) Trace

ซนี อน (Xenon) Trace

ที่มา: Christopherson (2003 อา้ งใน พวงเพชร์ ธนสนิ , 2555: 116)

90

นำพวลั ย์ กจิ รกั ษก์ ลุ และกลั ยา เทยี นวงศ์ (2557: 109) กลา่ วว่า บรรยากาศท่ีห่อหมุ้ ผิวโลก
มีสว่ นประกอบต่างๆ ดงั น้ี

(1) อากาศแห้งหรืออากาศบริสุทธิ์ เป็นอากาศที่ไม่มีไอน้ำปนอยู่ประกอบด้วยส่วนผสม
ของก๊าซหลายชนดิ มีความสูงจากผิวโลกไม่เกนิ 25 กิโลเมตร

(2) ไอน้ำในบรรยากาศเกิดจากน้ำบริเวณผิวดินและผิวน้ำทั่วไปเมื่อได้รับความร้อนจะ
ระเหยกลายเป็นไอลอยอยู่ในอากาศซึ่งมีอยู่ไม่เกิน ร้อยละ 4 ของอากาศทั้งหมด ไอน้ำนี้จะ
เปลี่ยนแปลงไปตามสถานท่ีและระดับความสูง โดยบริเวณละติจูดต่ำกับบริเวณใกล้ผิวโลกจะมีไอน้ำ
มากกว่าบริเวณละติจูดสงู และระดบั สูงขนึ้ ไป

(3) สิ่งเจือปนในอากาศ เป็นอนุภาคที่ลอยอยู่ในอากาศ มีตั้งแต่ขนาดเล็กมากจนมอง
ไม่เห็นด้วยตาเปล่า จนขนาดใหญ่สามารถมองเห็นมองเห็นได้ เช่น ผงเกลือ ฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้
เปน็ ต้น

1.3 การแบ่งชน้ั บรรยากาศ
การแบ่งชั้นบรรยากาศของโลก พิจารณาโดยการใช้อุณหภูมิเป็นเกณฑ์ การส่งบอลลูน

การตรวจสอบโดยการใช้คลื่นวิทยุ การตรวจสอบโดยการใช้ดาวเทียม พบว่าบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก
ส่วนใหญ่ ร้อยละ 97 อยู่สูงจากผิวโลกข้ึนไปประมาณไม่เกิน 29 กิโลเมตร และอีกประมาณ ร้อยละ 3
เป็นลักษณะของบรรยากาศทมี่ กี ารฟงุ้ กระจาย และ ณ ความสงู ที่มากขึ้นบรรยากาศจะเบาบางลงมาก
ดังนั้นการกำหนดขอบเขตของบรรยากาศโลกจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก (รัชนีกร บุญ-หลง, 2536:
116-117)

5.3.1 การแบง่ ชน้ั บรรยากาศตามเกณฑอ์ ุณหภูมิ แบ่งออกเป็น 3 ชน้ั รายละเอียดมดี ังน้ี
(1) บรรยากาศชั้นโฮโมสเฟียร์ (Homosphere) เป็นชั้นบรรยากาศที่อยู่สูงจากพื้นโลก

ไมเ่ กิน 80 กิโลเมตร เปน็ ชัน้ บรรยากาศทมี่ ีสมบัติทางฟิสกิ สแ์ ละเคมีเปน็ อย่างเดียวกัน มีส่วนประกอบ
ของกา๊ ซตา่ งๆ ผสมกลมกลนื กนั สามารถแบง่ ย่อยได้ 3 ช้ัน คือ

(1.1) บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) เป็นชั้นบรรยากาศที่อยู่ติดกับ
พื้นโลก มคี วามหนาไม่เท่ากนั บรรยากาศช้นั นี้อยใู่ กล้ชดิ กบั มนษุ ย์มากทสี่ ดุ มีระดบั ความสงู ไมเ่ กิน 14
กิโลเมตรจากพื้นดิน ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงเป็นไปในลักษณะยิ่งสูงยิ่งหนาว โดย
อุณหภูมิจะลดลงประมาณ 6.4 องศาเซลเซียส ต่อความสูงที่เพิ่มขึ้นทุก 1,000 เมตร บรรยากาศชั้นนี้
เป็นชั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของลม ฟ้า อากาศ และปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยา เช่น ฝน เมฆ ลม
พายุ เปน็ ต้น บรรยากาศชนั้ น้ีมีแนวสูงสุดเรียกวา่ โทรโพพอส

(1.2) บรรยากาศชั้นสแตรโทสเฟียร์ (Stratosphere) เป็นช้ันบรรยากาศที่อยู่เหนือ
ชั้นโทรโพพอสขึ้นไป เป็นชั้นบรรยากาศที่มีความสูงตั้งแต่ 14–50 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

91

ส่วนที่อยู่ชิดกับบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ เป็นส่วนล่างที่มีโอโซนอยู่อย่างหนาแน่น เป็นรอยต่อของ
ชั้นโทรโพพอส ซึ่งแนวโอโซนดังกล่าวทำหน้าที่ในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์และ
ส่วนที่สองอยู่ถัดจากแนวโอโซนขึ้นไปจนถึง 50 เมตร ชั้นนี้อุณหภูมิของอากาศเปลี่ยนแปลงน้อย
ท้องฟ้าโปร่ง ไม่ค่อยมีปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยา สำหรับบรรยากาศชั้นนี้มีแนวสูงสุดเรียกว่า
สแตรโทพอส

(1.3) บรรยากาศชั้นเมโซสเฟียร์ (Mesosphere) เป็นช้ันบรรยากาศที่มีระดับความ
สูงจากพื้นดิน 50–90 กิโลเมตร มีอากาศเบาบางมาก มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ คือ ยิ่งสูงอุณหภูมิ
ยิ่งลดต่ำลง ชั้นบรรยากาศนี้สามารถสะท้อนคลื่นวิทยุได้ดี และขณะเดียวกันด้วยสมบัติทางด้าน
อุณหภูมิจึงเป็นเสมือนเกราะป้องกันหรือลดความรุนแรงของอุกกาบาตที่จะตกลงมากระทบก้นโลก
โดยจะช่วยทำลายอุกกาบาตให้ลุกไหม้ก่อนที่จะตกลงมาก้นโลก บรรยากาศชั้นนี้มีแนวสูงสุดเรียกว่า
เมโซพอส

(2) บรรยากาศชั้นเฮเทอโรสเฟียร์ (Heterophere) เป็นชั้นบรรยากาศที่อยู่สูงระหว่าง
90–10,000 กิโลเมตร เป็นเขตบรรยากาศสุดท้ายที่มีอากาศเบาบางจนเข้าสู่ภาวะสุญญากาศ
แบง่ ออกเป็น 2 ช้นั ย่อย คอื

(2.1) บรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ (Ionosphere) อยู่สูงจากระดับพื้นดินไม่เกิน
90–350 กิโลเมตร มีแนวสูงสุดเรียกว่าไอโอโนพอส เนื่องจากสภาพของบรรยากาศเบาบางมาก
อนุภาคโปรตรอนและอิเล็กตรอนหลุดออกสู่อวกาศได้อย่างง่ายดาย ลักษณะอุณหภูมิเป็นแบบยิ่งสูง
ยิง่ รอ้ น บรรยากาศชั้นนีแ้ ยกไดด้ งั นี้

ก. บรรยากาศชั้น D (D Layer) มีระดับความสูงจากพ้ืนดิน 97 กิโลเมตร ช่วยใน
การสะทอ้ นระบบคลนื่ วทิ ยุคลื่นยาวกลบั มายังผิวโลก

ข. บรรยากาศชั้น E (E Layer) มีระดับความสูงจากพื้นดินระหว่าง 110–150
กิโลเมตร จะช่วยสะท้อนระบบวทิ ยุคลน่ื ปานกลางกลับมายงั ผวิ โลก

ค. บรรยากาศชั้น F (F Layer) มีระดับความสูงจากพื้นดินระหว่าง 150–300
กิโลเมตร ชว่ ยสะทอ้ นระบบวิทยคุ ลืน่ สน้ั กลับมายังผิวโลก

(2.2) บรรยากาศชั้นเอกโซสเฟียร์ (Exosphere) เป็นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก
ภายนอกสุด และจะกลืนเข้ากบั ห้วงอวกาศในที่สุด ไม่สามารถกำหนดไดว้ ่ามขี อบเขตเทา่ ใด มีอุณหภูมิ
สงู เนอ่ื งจากเข้าใกล้ความรอ้ นจากดวงอาทิตย์ ส่วนใหญ่เปน็ ก๊าซฮีเลียม

(3) บรรยากาศชั้นแมกนีโทสเฟียร์ (Magnetosphere) เป็นปรากฏการณ์ของ
สนามแม่เหล็กโลกเรียกว่า สนามแม่เหล็กภายนอก อยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 13,000 กิโลเมตร ซ่ึง
นบั วา่ อย่สู งู จากช้นั บรรยากาศ จงึ เรยี กสนามแมเ่ หลก็ ภายนอกนี้ว่า แมกนโี ทสเฟียร์ แนวสูงสุดเรียกวา่
แมกนโี ตพอส ลกั ษณะของสนามแมเ่ หล็กคลา้ ยกบั วงแหวนล้อมรอบโลกเอาไว้ รูปร่างของ แมกนี

92

โทสเฟียร์จะเปลี่ยนไปตามอำนาจของพายุแม่เหล็กท่ีเรียกว่า ลมสุริยะ (Solar Wind) และ ประจุ
ไฟฟา้ โปรตรอน อิเลก็ ตรอน จากดวงอาทิตย์

ภาพท่ี 5.2 การแบ่งชนั้ ของบรรยากาศ
ทม่ี า: The Ozone Hole (2017)

1.4 การแผร่ งั สขี องดวงอาทิตย์
แหล่งพลังงานที่ใหญ่ทีส่ ุดและสำคัญทีส่ ุดของโลก ได้แก่ ดวงอาทิตย์ (Sun) ซึ่งเป็นก๊าซร้อน

ที่มีแสงสว่างและความร้อนในตัวเอง การแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์เกิดจากปฏิกิริยาการระเบิดของ
ไฮโดรเจน เป็นพลังงานความร้อนที่ดวงอาทิตย์ส่งมายังพื้นผิวโลก ผ่านชั้นบรรยากาศต่างๆ พลังงาน
ความรอ้ นทสี่ ่งมานเ้ี รยี กวา่ พลงั งานคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Radiation) ส่วนพลังงาน
ความร้อนที่ส่งมาในรูปรังสีของแสงมีทั้งรังสีคลื่นสั้นและรังสีคลื่นยาว (ราชบัณฑิตยสถาน, 2549
อ้างใน นำพวลั ย์ กจิ รักษ์กุล และกลั ยา เทียนวงศ,์ 2557: 111) แยกพจิ ารณาได้ดงั นี้ (ตารางที่ 5.2)

(1) รังสคี ลืน่ สัน้ (Short Wave Radiation) ไดแ้ ก่ รงั สีเอก็ ซ์ (X-Ray) รังสแี กมมา (Gammar
Ray) และรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Ray) มีความยาวคลื่นน้อยกว่า 0.4 ไมครอน มีพลังงาน
ร้อยละ 9 ของพลงั งานทง้ั หมด

(2) รังสีที่สามารถมองเห็นได้ (Visible Radiation) มีความยาวคลื่น 0.4–0.7 ไมครอน มี
พลงั งาน ร้อยละ 41 ของพลงั งานท้งั หมด รงั สที ่สี ามารถมองเห็นได้ มที ัง้ หมด 7 สี ได้แก่ สีมว่ ง สคี ราม
สนี ้ำเงิน สีเขยี ว สเี หลอื ง สีแสด และสีแดง

(3) รังสีคลื่นยาว (Long Wave Radiation) ได้แก่ รังสีอินฟราเรดหรือรังสีความร้อน
(Infrared Ray) มีความยาวคล่นื มากกว่า 0.7 ไมครอน มีพลงั งาน ร้อยละ 50 ของพลงั งานท้งั หมด

93

ตารางที่ 5.2 เปรยี บเทยี บความยาวช่วงคล่นื และปรมิ าณพลงั งานทไ่ี ด้รับจากดวงอาทติ ย์

ชนิดของรังสี ความยาวชว่ งคลนื่ (ไมครอน) พลงั งานทงั้ หมด (รอ้ ยละ)

รงั สีคล่ืนส้ัน

รงั สีเอก็ ซ์ 0.0005–0.10 9

รังสแี กมมา 0.0005–0.10

รังสอี ัลตราไวโอเลต 0.2–0.4

รังสีทส่ี ามารถมองเห็นได้ 0.4–0.7 41

รงั สคี ลน่ื ยาว

รงั สีอินฟราเรด มากกว่า 0.70 50

ทีม่ า: บำรงุ สริกคานนท์ (2520 อ้างใน ลักษณา สมั มานธิ ิ, 2544: 50)

โลกจะได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการด้วยกัน คือ
ประการแรกข้ึนอยู่กบั มุมของแสงอาทติ ย์ที่ส่องลงมาบนพื้นโลก ซง่ึ ถ้าเปน็ มมุ ฉาก บริเวณน้ันก็จะได้รับ
พลังงานมากทส่ี ุด ประการท่ีสองขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่แสงสอ่ งมาบนพน้ื โลก ซึง่ ถ้าระยะเวลานานก็จะ
ได้รบั พลงั งานมาก

1.5 การแลกเปลย่ี นรงั สคี วามร้อน
โลกได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์โดยมีลักษณะของการส่งถ่ายความร้อนที่เป็นพลังงาน

รูปแบบหนึ่งและสามารถถ่ายโอนไปสู่อีกที่หนึ่งได้ รูปแบบการส่งถ่ายความร้อนที่สำคัญมี 3 ลักษณะ
ไดแ้ ก่ (ลกั ษณา สัมมานธิ ิ, 2544: 51)

(1) การแผ่รังสี (Radiation) เป็นกระบวนการที่ความร้อนจากดวงอาทิตย์แผ่มายังโลก
ทำให้มีความรอ้ นข้นึ โดยตรง โดยไมต่ ้องอาศัยตัวกลาง เป็นการทีด่ วงอาทติ ย์ส่งผา่ นพลงั งานความร้อน
มายังโลกโดยตรง เปรียบเทียบได้กับการนั่งใกล้กองไฟ จะรู้สึกถึงการแผ่รังสีความร้อนจากกองไฟมาสู่
รา่ งกายโดยตรง ทำให้รู้สกึ อนุ่

(2) การนำ (Conduction) เป็นลักษณะของการถ่ายโอนความร้อนตามโมเลกุลท่ีอาศัย
ตัวกลางของวัตถุ เช่น การเติมน้ำร้อนลงไปในถ้วยกาแฟ ถ้วยกาแฟจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องมาจาก
การนำความรอ้ นของน้ำรอ้ นผ่านโมเลกลุ ของน้ำไปยงั ถ้วยกาแฟ

(3) การพา (Convection) เป็นกระบวนการเคลื่อนที่ของความร้อนจากที่หนึ่งไปยังอีก
ที่หนึ่ง ที่ต้องอาศัยตัวกลางเป็นสื่อในการพาความร้อน โดยความร้อนเคลื่อนที่ไปกับโมเลกุลของวัตถุ
เช่น การต้มน้ำในกาจะค่อยๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องจากการเคลื่อนที่ของโมเลกุลของน้ำจนกลายเป็น
ไอ ซึ่งมีความร้อนสูงและลอยขึ้นข้างบน ส่วนที่อุณหภูมิต่ำกว่าจะเคลื่อนที่ลงล่างหมุนเวียนกันไป การ

94

พาความร้อนในบรรยากาศของโลกมีส่วนช่วยให้ความร้อนกระจายจากบริเวณศูนย์สูตร ไปยังขั้วโลก
และจากบริเวณผิวพนื้ ขึน้ ไปในแนวดง่ิ หรือไปในแนวผวิ พ้ืน เรยี กวา่ ลม

(4) ความร้อนแฝงของการควบแน่น ( Latent Heat of Condersation) เป็น
กระบวนการถ่ายโอนความร้อนที่เกิดข้นึ เนอื่ งมาจากพลังงานความรอ้ นจากดวงอาทิตย์ที่แผ่รังสีความ
ร้อนมายังผิวโลก จะมีความร้อนบางส่วนทำให้น้ำในแม่น้ำลำคลองและมหาสมุทรกลายเป็นไอ
พลังงานความร้อนจะแฝงอยู่ในละอองน้ำ ภายหลังจากนั้นเมื่อละอองไอน้ำในอากาศควบแน่น
กลายเป็นหยดน้ำก็จะคลายความร้อนออกมาเรียกว่า ความร้อนแฝงของการควบแน่น ซึ่งบทบาท
สำคญั ของการพาความร้อนท่ีเกดิ ขึน้ แบบนีจ้ ะเปน็ แหลง่ พลังงานสำคญั ที่ทำใหเ้ กดิ น้ำฟ้าขน้ึ มา

1.6 การรบั และสง่ ถ่ายพลงั งานความร้อนระหวา่ งวนั
การรับและส่งถ่ายพลังงานความร้อนระหว่างวันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง

อุณหภูมิประจำวันในแต่ละช่วงเวลาของวัน อันเนื่องมาจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ ทั้งนี้
แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมายังบริเวณละติจูดต่างๆ เปลี่ยนแปลงทุกวันตลอดปี บริเวณละติจูดใดที่เป็นฤดู
ร้อนจะได้แสงอาทิตย์ใน 1 วัน มีระยะเวลายาวนาน บางละติจูดได้รับแสงอาทิตย์เป็นเวลากลางวัน
ตลอด 24 ช่ัวโมง ส่วนช่วงที่เป็นฤดูหนาวระยะเวลาที่ได้รับแสงอาทิตย์สั้น ซึ่งเป็นช่วงที่เป็นเวลา
กลางคืนยาวนาน บางละติจดู จะไม่ไดร้ บั แสงอาทิตยต์ ลอด 24 ชัว่ โมง ดังตารางที่ 5.3

ตารางที่ 5.3 เวลากลางวัน ทุก 10 องศาละติจูด (ซีกโลกเหนืออ่านลงตามตาราง ส่วนซีกโลกใต้อ่าน

ขึน้ ตามตาราง)

Latitude March 21 June 21 Sept. 23 Dec. 21

0 องศา 12 ชั่วโมง 12 ช่ัวโมง 12 ชว่ั โมง 12 ช่ัวโมง

10 องศา 12 ช่วั โมง 12 ชว่ั โมง 35 นาที 12 ช่วั โมง 11 ชว่ั โมง 25 นาที

20 องศา 12 ชั่วโมง 13 ชว่ั โมง 12 นาที 12 ชั่วโมง 10 ช่ัวโมง 48 นาที

30 องศา 12 ชวั่ โมง 13 ชัว่ โมง 50 นาที 12 ชั่วโมง 10 ชวั่ โมง 4 นาที

40 องศา 12 ชว่ั โมง 14 ช่ัวโมง 52 นาที 12 ชัว่ โมง 9 ชัว่ โมง 8 นาที

50 องศา 12 ชั่วโมง 16 ชว่ั โมง 18 นาที 12 ชว่ั โมง 7 ชวั่ โมง 42 นาที

60 องศา 12 ช่ัวโมง 18 ชว่ั โมง 27 นาที 12 ชว่ั โมง 5 ชวั่ โมง 33 นาที

70 องศา 12 ชั่วโมง 2 เดอื น 12 ชั่วโมง 0 ชั่วโมง

80 องศา 12 ชว่ั โมง 4 เดือน 12 ชว่ั โมง 0 ชั่วโมง

90 องศา 12 ชั่วโมง 6 เดอื น 12 ชว่ั โมง 0 ช่วั โมง

Latitude Sept. 23 Dec. 21 March 21 June 21

ทีม่ า: นำพวัลย์ กจิ รักษก์ ลุ และกัลยา เทียนวงศ์ (2557: 112)

95

1.7 องคป์ ระกอบของบรรยากาศ
5.7.1 องค์ประกอบของบรรยากาศ แบ่งออกเป็น 6 องค์ประกอบ ดังน้ี (พวงเพชร์ ธนสิน,

2555: 127-153)
(1) อุณหภูมิ (Temperature) หมายถึง ระดับความร้อนหรือความเย็นของมวลสารซึ่ง

กรณีน้ีมวลสาร หมายถึง อากาศ เครื่องมือที่ใช้วัดอุณหภูมิ เรียกว่า เทอร์โมมิเตอร์ (Thermometer)
(ภาพที่ 5.4) หน่วยที่นิยมใช้มีอยู่ 2 แบบ คือ องศาเซลเซียส (Celsius) มีอักษรย่อว่า ซ (C) ส่วนอีก
หนว่ ยหนง่ึ คือ ฟาเรนไฮต์ (Fahrenheit) มีอักษรย่อว่า ฟ (F) (ภาพท่ี 5.3) นอกจากนีแ้ ล้วยงั มี หน่วย
อื่นที่ใช้ คือ เคลวิน (Kelvin) มีอักษรย่อวา่ K สำหรับการเปรียบเทยี บหน่วยวดั อุณหภูมิต่างๆ แสดงไว้
ตามสตู รดังนี้

°F = (1.8 x °C) + 32
°C = °F – 32

1.8
K = °C + 273

(1.1) การหาคา่ อุณหภูมหิ าไดห้ ลายแบบดังนี้
ก. อุณหภูมิเฉลี่ยรายวัน (Daily Mean Temperature) หาได้โดยวัดค่าอุณหภูมิ

ของอากาศทุกช่ัวโมงในหน่งึ วนั รวมกันแล้วหารด้วยจำนวนช่วั โมง คอื 24
ข. พิสัยอุณหภูมิรายวัน (Daily Temperature Range) พิสัยของอุณหภูมิ คือ

ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุด สำหรับพิสัยอุณหภูมิรายวันหาได้จาก อุณหภูมิสูงสุด
ของวันลบดว้ ยอุณหภูมิต่ำสุดของวนั

ค. อุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือน (Month Mean Temperature) หาได้จากการนำค่า
อณุ หภูมิเฉลย่ี รายวันในเดอื นน้นั มารวมกันแล้วหารดว้ ยจำนวนวันในเดือนนน้ั

ง. พิสัยอุณหภูมิรายเดือน (Month Temperature Range) หาได้จากการนำค่า
อุณหภูมเิ ฉล่ยี รายวันสงู สุดในเดอื นน้นั ลบดว้ ยอณุ หภมู เิ ฉลีย่ รายวันตำ่ สุดของเดอื นน้ัน

จ. อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี (Annual Mean Temperature) หาได้จากการนำค่า
อุณหภมู เิ ฉลย่ี รายเดือนของปีนัน้ มารวมกนั แลว้ หารด้วย 12

ฉ. พิสัยอุณหภูมิรายปี (Annual Temperature Range) หาได้จากการนำค่า
อณุ หภมู ิเฉลยี่ รายเดอื นสงู สุดของปีนน้ั ลบดว้ ยอณุ หภมู เิ ฉลยี่ รายเดอื นต่ำสุดของปนี ั้น

96

ภาพท่ี 5.3 เทอรโ์ มมิเตอร์
ท่มี า: Gringer (2010)

ท้งั น้ี กรมอตุ ุนิยมวทิ ยา ไดใ้ ช้อุณหภมู บิ รรยายลักษณะอากาศ ดงั นี้
ก. อากาศรอ้ นจดั หมายถึง อุณหภูมทิ ่ีสูงกว่า 40 องศาเซลเซยี สข้นึ ไป
ข. อากาศรอ้ น หมายถงึ อุณหภมู ทิ ่ีมรี ะดบั ตั้งแต่ 35–40 องศาเซลเซียส
ค. อากาศเย็น หมายถึง อณุ หภมู ทิ มี่ ีระดับตั้งแต่ 16–23 องศาเซลเซยี ส
ง. อากาศหนาว หมายถงึ อณุ หภูมทิ ่มี ีระดับต้งั แต่ 8-16 องศาเซลเซยี ส
จ. อากาศหนาวจดั หมายถงึ อณุ หภูมทิ ต่ี ำ่ กว่า 8 องศาเซลเซียสลงไป

(1.2) ปัจจัยสำคัญที่ควบคุมอุณหภูมิของอากาศ (นำพวัลย์ กิจรักษ์กุล และกัลยา
เทยี นวงศ์, 2557: 113-114) ได้แก่

ก. ความต่างของความสูง เป็นการเปลีย่ นอุณหภูมิในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์
โดยบรเิ วณทีส่ ูงจากผวิ โลกขึ้นไป อณุ หภูมขิ องอากาศโดยรอบจะลดลง

ข. ความต่างของละติจูด บริเวณละติจูดต่ำได้รับแสงอาทิตย์ตั้งฉากหรือเกือบ
ตั้งฉากตลอดปี ทำให้อุณหภูมิของอากาศสูง ส่วนบริเวณละติจูดสูงได้รับแสงอาทิตย์เป็นแสงเฉียง
ดังนนั้ บรเิ วณท่อี ยลู่ ะตจิ ดู สูงขนึ้ ไปทางข้ัวโลก อณุ หภมู ิของอากาศจะลดลง

ค. การผันแปรอุณหภูมิของอากาศประจำวัน เวลากลางวันผิวโลกได้รับความ
ร้อนจากดวงอาทติ ย์ อุณหภูมจิ ะค่อยๆ สูงขึ้นและอุณหภมู สิ ูงสุดใน 1 วัน จะอยู่เวลาประมาณ 14.00-
15.00 น. ทั้งนี้เพราะช่วงเวลานี้ ผิวโลกได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์โดยตรงและยังได้รับความร้อน
จากการคายรังสีความร้อนจากผิวโลกสู่บรรยากาศ หลังจากนั้นอุณหภูมิจะค่อยๆ เริ่มลดลง อุณหภูมิ

97

จะลดต่ำสุดเวลาประมาณ 02.00-04.00 น. แล้วอุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้น เมื่อได้รับพลังงานความร้อน
จากดวงอาทิตย์ในวันร่งุ ข้ึน

ง. ผลของฤดูกาลทำให้อุณหภูมิของอากาศตามละติจูดต่างๆ แตกต่างกัน โดย
ช่วงที่ซีกโลกเหนือเป็นฤดูร้อนจะได้รับแสงอาทิตย์เป็นเวลานาน บริเวณที่อยู่ตั้งแต่ละติจูด 66 องศา
33 ลิปดา เหนือถึงขั้วโลกเหนือ มีเวลากลางวันตลอด 24 ชั่วโมงหลายเดือนติดต่อกัน อุณหภูมิของ
อากาศจะสูงกว่าฤดูกาลอื่น ส่วนช่วงที่ซีกโลกเหนือเป็นฤดูหนาวจะได้รับแสงเฉียงจากดวงอาทิตย์
ส่งผลให้มีเวลากลางวันน้อยกว่ากลางคืน บริเวณตั้งแต่ละติจูด 66 องศา 33 ลิปดา เหนือถึงขั้วโลก
เหนือ เป็นเวลากลางคืนตลอด 24 ชั่วโมงหลายเดือนติดต่อกัน มีผลทำให้อุณหภูมิของอากาศลดลง
สำหรับซกี โลกใตจ้ ะอยู่ในลกั ษณะตรงกนั ขา้ ม

จ. เมฆ มีผลทำให้อุณหภูมิของอากาศแตกต่างกันไปตาม สถานที่ต่างๆ เพราะ
เมฆจะกั้นรังสีดวงอาทิตย์ที่จะลงสู่พื้นโลกทำให้อุณหภูมิของอากาศไม่สูงมาก ถ้าเวลากลางคืนท้องฟา้
มีเมฆปกคลุมมาก เมฆจะกั้นพลังงานความร้อนที่ผิวโลกคายออกสู่บรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิของ
อากาศบริเวณผิวโลกสูง แต่ถ้ากลางคืนท้องฟ้าโปร่งปราศจากเมฆ การคายความร้อนจากผิวโลกสู่
บรรยากาศไดง้ า่ ยและเรว็ อุณหภมู ิของอากาศลดลงอากาศจะเย็น

ฉ. การพาความร้อนอากาศบริเวณพื้นผิวร้อน อากาศจะลอยตัวข้ึนสู่เบื้องบนจะ
พาความร้อนขึ้นไปด้วย ขณะเดียวกันอากาศที่อยู่เบื้องบนเย็นกว่าจะเคลื่อนลงมาแทนที่จะพาเอา
ความเยน็ ลงมาดว้ ย ทำให้อณุ หภูมิบรเิ วณน้นั เกิดการเปลย่ี นแปลงและจะเกิดในบริเวณไม่กว้าง

ช. การเคลื่อนที่ทางแนวระดับของมวลอากาศ มวลอากาศอุ่นหรือมวลอากาศ
เย็นเคลื่อนที่ผ่านบริเวณใดมีผลทำให้อุณหภูมิของอากาศบริเวณนั้นเปลี่ยนไปตามสมบัติ ของมวล
อากาศที่เคลื่อนที่มา เช่น มวลอากาศร้อนภาคพื้นทวีป (cT) เคลื่อนที่ผ่านอุณหภูมิของอากาศบริเวณ
นั้นจะอุน่ ขึน้ และแหง้ ถ้ามวลอากาศรอ้ นภาคพนื้ สมทุ ร (mT) เคล่อื นท่ีผา่ นอุณหภูมขิ องอากาศบริเวณ
นั้นจะอนุ่ และชมุ่ ชนื้

ซ. การระเหย บริเวณใดที่มีการระเหยจะทำให้อุณหภูมิของอากาศบริเวณนั้น
ลดลง การระเหยจะมีมากหรือน้อย เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับตัวแปรบางอย่าง เช่น ได้รับพลังงานจาก
แสงอาทิตย์ ความช้ืนในบรรยากาศ ลม พนื้ ผวิ ปราศจากส่ิงปกคลมุ เปน็ ตน้

ฌ. การกลั่นตัวหรือการควบแน่น เมื่อไอน้ำในอากาศจะมีการกลั่นตัวเป็นหยดนำ้
เป็นฝน อากาศจะมกี ารคายความร้อนแฝงออกมาซงึ่ จะทำให้อากาศบรเิ วณโดยรอบมอี ณุ หภูมสิ งู ขึ้น

ญ. สิ่งแวดล้อมที่เป็นพื้นดินและพื้นน้ำ มีสมบัติในการรับและคายความร้อน
ต่างกัน พื้นดินเป็นวัตถุทึบแสงเมื่อได้รับพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์จะไม่ส่งผ่านความร้อนลงสู่
ระดับล่าง ในขณะท่พี ้ืนนำ้ เป็นวัตถุโปร่งแสงพลังงานความร้อนจากดวงอาทติ ย์ส่งผา่ นลงไปได้ในระดบั
ลึกและน้ำยังมีการเคลื่อนที่ทำให้ความร้อนกระจายไป ดังนั้นเวลากลางวันอุณหภูมิของพื้นดินจะสูง

98

กว่าพื้นน้ำ ส่วนเวลากลางคืนอุณหภูมิเหนือพื้นดินจะลดลงมากกว่าและเร็วกว่าพื้นน้ำทำให้อุณหภูมิ
เหนือพน้ื ดินมคี วามต่างกนั มากระหว่างกลางวันและกลางคนื ส่วนเหนือพนื้ น้ำจะต่างกันไมม่ าก

(1.3) การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ อุณหภูมิของอากาศหรือมวลอากาศมีการ
เปลีย่ นแปลงที่แตกต่างกัน ดงั นี้

ก. อัตราเปลี่ยนอุณหภูมิตามสูง (Temperature Lapse Rate; Normal Lapse
Rate; Standard Lapse Rate) หมายถึง การเปลี่ยนอุณหภูมิของอากาศตามระดับความสูง โดย
อุณหภูมิอากาศจะลดลงเมื่อความสูงจากผิวโลกเพิ่มขึ้นในอัตรา 6.4 ต่อ 1,000 เมตร การลดอุณหภูมิ
จะไม่เกีย่ วกับมวลอากาศหรือปริมาณไอนำ้ ในอากาศ จะเกี่ยวกบั การคายรังสีความร้อนจากพืน้ ผิวโลก
ซึง่ ไมส่ ามารถแผ่กระจายไปในระดับสูงๆ

ข. การเปลี่ยนแปลงแอเดียแบติก (Adiabatic Change) หมายถึง การเปลี่ยน
อุณหภูมิโดยไม่ได้รับหรือสูญเสียความร้อนไป เมื่อมวลอากาศเคลื่อนที่ในทางตั้ง ความกดอากาศในที่
สงู ลดลง ปริมาตรของมวลอากาศขยายออก โมเลกลุ ของมวลอากาศกระจายออกท่ัวปริมาตร อุณหภูมิ
ของมวลอากาศลดลงตามระดบั ความสูงทเี่ พม่ิ ขนึ้ ในอัตรา 10 องศาเซลเซียส ต่อ 1,000 เมตร เรียกว่า
อัตราแอเดียแบติกของอากาศแห้ง (Dry Adiabatic Rate) จนกระท่ังอากาศเย็นตัวลงและเกิดการ
ควบแน่นของไอน้ำในอากาศกลั่นตัวเป็นน้ำฟ้า ระดับความสูงที่เกิดการควบแน่นเรียกว่า ระดับอิ่มตัว
(Level of Condensation) อากาศที่กลั่นตัวแล้วแต่ยังมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิของอากาศโดยรอบ
อากาศจะเคลื่อนที่ในระดับสูงต่อไป อุณหภูมิของอากาศนี้จะลดลงอีกในอัตรา 5 องศาเซลเซียส ต่อ
1,000 เมตร เรยี กวา่ อตั ราแอเดียแบตกิ ของอากาศอิ่มตัว (Wet Adiabatic Rate) (ภาพที่ 5.4)

ภาพท่ี 5.4 อัตราแอเดียแบติกของอากาศแห้งและอัตราแอเดียแบตกิ ของอากาศอ่มิ ตวั
ที่มา: Nandy (2015)

99

(2) ความกดอากาศ (Air Pressure) คือ น้ำหนักของอากาศที่กดลงมาบนพื้นผิวโลกใน

พื้นที่ 1 ตารางหน่วย แรงโน้มถ่วงของโลกจะดูดบรรยากาศให้เข้าสู่ใจกลางโลก ทำให้อากาศกดลงมา

ใกล้ผิวโลก บริเวณที่อยู่ใกล้ผิวโลกความกดอากาศจะหนักกว่าบริเวณที่อยู่สูงขึ้นไป หน่วยที่นิยมใช้วัด

ความกดอากาศ คอื มิลลบิ าร์ (Millibar = mb) ตอ่ มาใช้คำว่า เฮก็ โตปาสคาล (Hectopascal = hPa)

ความกดอากาศที่ระดับทะเลปานกลางเป็นความกดอากาศมาตรฐานเท่ากับ 1,013.25 mb ความกด

อากาศจะลดลงประมาณ 34 mb ต่อความสูง 1,000 ฟุต สำหรับเครื่องมือที่วัด ความกด

อากาศเรยี กว่า บารอมเิ ตอร์ (Barometer) และบารอกราฟ (Barograph) (ภาพที่ 5.5)

(A) (B)
ภาพท่ี 5.5 บารอมเิ ตอร์ (A) และบารอกราฟ (B)
ทม่ี า: (A) Nallbati (2017)

(B) TPI (2013)

(2.1) แนวความกดอากาศโลก (World Pressure Belts) แบ่งออกเป็น 2 แนว คือ
(ภาพท่ี 5.6)

ก. แนวความกดอากาศตำ่ (Low Pressure Belt) แบ่งเปน็ 2 แนวยอ่ ย ไดแ้ ก่
a) แนวความกดอากาศต่ำบริเวณศูนย์สูตร (Equatorial Low Pressure)

ความกดอากาศประมาณ 1,008-1,011 mb อยู่ประมาณละติจูด 5 องศาเหนือถึง 5 องศาใต้ บริเวณ
นี้ได้รับแสงอาทิตย์ตลอดปี ทำให้อุณหภูมิของอากาศสูง การเคลื่อนตัวของอากาศมีลักษณะการเข้า
ประชดิ กนั (Convergence) อากาศจะลอยตวั ในทางตั้งสู่เบื้องบนและอากาศบริเวณใกล้เคียงโดยรอบ
เคลื่อนเข้ามาแทนที่ บริเวณนี้ลมมีความแปรปรวน ทิศทางการพัดไม่แน่นอน ไม่มีลมประจำพัดผ่าน
บางครั้งเรียกว่า เขตลมสงบแถวศูนย์สูตรหรือดอลดรัมส์ (Doldrums) เขตแนวความกดอากาศต่ำ
บริเวณศนู ย์สูตรจะมคี วามชืน้ สูง ฝนตกชกุ และมีพายุฝนฟ้าคะนองเกิดขน้ึ มากกว่าสว่ นอน่ื ของโลก

100

ภาพที่ 5.6 แนวความกดอากาศโลก
ท่ีมา: Geogrify (2017)

b) แนวความกดอากาศต่ำกึ่งขั้วโลก (Subpolar Low Pressure) ความกด
อากาศประมาณ 998 mb อยู่ประมาณละติจูด 60 องศาถึง 65-70 องศาเหนือและใต้ เป็นบริเวณ
แนวปะทะของอากาศที่อุณหภูมิและความชื้นต่างกัน อากาศอุ่นเคลื่อนมาจากความกดอากาศสูง
กึ่งเขตร้อนและอากาศเย็นที่เคลื่อนมาจากความกดอากาศสูงขั้วโลก ทำให้เกิดเป็นพายุหมุนเรียกว่า
พายุหมุนนอกเขตร้อน (Extratropical Cyclone) บริเวณซีกโลกใต้แนวความกดอากาศต่ำติดต่อกัน
บริเวณโดยรอบทวีปแอนตาร์กติกา เพราะบริเวณนี้เป็นมหาสมุทรทั้งสิ้น ส่วนซีกโลกเหนือศูนย์กลาง
ความกดอากาศต่ำจะอยู่บริเวณเกาะไอซ์แลนด์และหมู่เกาะอะลูเชียน ความรุนแรงจะปรากฏเด่นชัด
ในชว่ งฤดูหนาว

ข. แนวความกดอากาศสงู (High Pressure Belt) แบ่งเปน็ 2 แนวย่อย ได้แก่
a) แนวความกดอากาศสูงกึ่งเขตร้อน (Subtropical High Pressure) บริเวณ

ใกล้ศูนย์กลางหย่อมความกดอากาศสูงถึง 1,026 mb อยู่ประมาณละติจูด 30-40 องศาเหนือและใต้
ลักษณะอากาศจะเคลื่อนตัวจากเบื้องบนลงสู่พื้นและเคล่ือนตัวแยกออกจากกัน (Divergence) ซึ่งมี
ผลทำใหบ้ ริเวณนท้ี ้องฟ้าโปร่ง ไม่มเี มฆ และไอน้ำ อากาศแห้ง เป็นทะเลทรายเขตร้อนของโลก

b) แนวความกดอากาศสูงขั้วโลก (Polar High Pressure) เป็นเขตความกด
อากาศสูงถาวร ความกดอากาศประมาณ 1,030-1,032 mb เป็นบริเวณที่อากาศหนาวจัดตลอดปี
เพราะท้ังพื้นดินและพื้นนำ้ มีน้ำแขง็ ปกคลมุ ทกุ ฤดูกาล

(3) ลม (Wind) หมายถึง การเคลื่อนที่ของอากาศบนผิวโลกตามแนวราบในทุกทิศทาง
เกิดจากการแทนที่ของอากาศ เนื่องจากอากาศในบริเวณที่ร้อนจะลอยตัวสูงขึ้น ในขณะที่อากาศ
บริเวณใกล้เคียงที่อุณหภูมิต่ำกว่าจะเคลื่อนเข้ามาแทนที่ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของอากาศที่เกิดจาก


Click to View FlipBook Version