The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คุณธรรมจริยธรรมจรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครู โดยคณาจารย์ ผู้สอนวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wichian Intarasompun, 2020-08-29 00:36:56

คุณธรรมจริยธรรมจรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครู

คุณธรรมจริยธรรมจรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครู โดยคณาจารย์ ผู้สอนวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

Keywords: คุณธรรมจริยธรรมจรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครู

คณุ ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ และจติ วิญญาณความเป็นครู

(Moral, Ethics, Code of Ethics, and Thechers’ Spirituality)
คณะครศุ าสตร์

มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ และจติ วญิ ญาณความเป็นครู
(Moral, Ethics, Code of Ethics, and Thechers’ Spirituality)

โดย ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษดา ผ่องพิทยา รองศาสตราจารย์ ดร.นิรนั ดร์ สุธนี ิรันดร์
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.พชั รา เดชโฮม ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ศนุ ิสา ทดลา
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐมน พนั ธช์ุ าตร ี อาจารย์ ดร.อโนทัย แทนสวัสด์ิ
ผทู้ รงคุณวุฒติ รวจพจิ ารณาเอกสาร:
ศาสตราจารย์ ดร.คณติ เขียวชัย มหาวิทยาลัยศลิ ปากร
รองศาสตราจารย์ ดร.ธรี ะศกั ด์ิ อปุ ไมยอธิชัย มหาวิทยาลัยนเรศวร

ISBN : 978-974-373-624-7

ขอ้ มูลทางบรรณานุกรมหอสมดุ แห่งชาติ
คณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรรณ และจติ วญิ ญาณความเปน็ คร=ู Moral, ethics, Code of Ethics, and
Thechers’ Spirituality. --- กรงุ เทพฯ: คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเดจ็ เจา้ พระยา, 2563.
204 หนา้ .
1. ครู --- จรรยาบรรณ. 1. กฤษดา ผ่องพิทยา II. ชื่อเร่ือง
371.11
ISBN 987-974-373-624-7

พมิ พ์ครัง้ ที่ 2 สิงหาคม 2563 จ�ำนวน 1,000 เล่ม
ออกแบบปก ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ แฝงกมล เพชรเกลย้ี ง
สงวนลิขสิทธิต์ ามพระราชบญั ญตั ลิ ขิ สทิ ธิ์ (ฉบับเพ่ิมเติม) พ.ศ. 2558
หา้ มลอกเลียนแบบ หรือคดั ลอกสว่ นใดส่วนหนึ่งของหนังสอื เล่มน้ี
ยกเวน้ แตไ่ ด้รบั อนญุ าตเป็นลายลักษณอ์ ักษรจากผเู้ ขียน

หนงั สอื ยมื เรียน หรือแจกฟรี (ห้ามจำ� หน่าย)

จัดทำ� โดย คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏบา้ นสมเด็จเจา้ พระยา
1061 ซอย 15 ถนนอิสรภาพ แขวงหิรญั รูจี เขตธนบุรี กรงุ เทพฯ 10600
โทร. 02-473-7000 ตอ่ 5000 โทรสาร : 02-472-5712 E-mail : [email protected]
https://www.edu.bsru.ac.th
พมิ พท์ ่ี โรงพิมพ์ หจก.วรานนท์ เอน็ เตอร์ไพรส์
6, 8 ซอย 13 ถนนสะแกงาม แขวงแสมด�ำ เขตบางขนุ เทยี น กรุงเทพมหานคร 10150
โทร. 02-894-9050-3 E-mail : [email protected]



คำนำ

หนังสือเล่มนี้ได้เรียบเรียงขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นคู่มือในการเรียนของนักศึกษาและเป็นแนวทางใน
การศึกษาค้นคว้าที่จะให้ความรู้ในรายวิชาซึ่งนักศึกษาควรได้ศึกษารายละเอียดแต่ละหัวข้อเรื่องจากเอกสาร ตำรา
หรือหนังสืออื่นๆ เพิ่มเติมอีกเพื่อให้เกิดความรู้ที่กว้างขวางย่ิงขึ้น การเรียบเรียงได้แบ่งสารเนื้อหาไว้ 7 บท มุ่งเน้นให้
ผเู้ รียนมีความรู้ ความสามารถ หลกั การ แนวคิด และวธิ กี าร เพื่อสรา้ งองคค์ วามรูใ้ นความเปน็ ครู อนั นำไปสกู่ ารปฏิบัติ
มีการปรบั ตวั อยา่ งเหมาะสม และให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงอยา่ งสรา้ งสรรค์ ตลอดจนมปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อ
องค์การต่อไป ผู้เขียนและคณะใคร่ขออนุญาตและขอขอบพระคุณเจ้าของบทความ เอกสาร และตำรา ที่นำมา
ประกอบในหนังสือเล่มน้เี ปน็ อยา่ งสงู มา ณ โอกาสนี้

แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะดำเนินการด้วยความพิถีพิถัน โดยพยายามลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอน
ต่างๆ อย่างมากที่สุดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอาจมีข้อผิดพลาดบางประการที่อยู่นอกเหนือการสังเกตเห็นของผู้เขียนและ
คณะ ผู้เขียนและคณะขอน้อมรับข้อผิดพลาดนั้นไว้ และจะดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้หนังสือเล่มนี้มีความสมบูรณ์
มากทส่ี ดุ ในโอกาสตอ่ ไป

คณะครศุ าสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา



สารบัญ

คำนำ หนา้
สารบัญ
สารบัญตาราง ก
สารบญั ภาพ ข
บทท่ี ค

1 บทบาท หนา้ ท่ี และความรบั ผิดชอบของครู
2 จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู 1
17
3 จติ วญิ าณความเปน็ ครู 54
4 ค่านยิ มของครู 92
5 คณุ ธรรมจริยธรรมสำหรบั ครู 107
6 การจัดการเรยี นรู้สำหรบั ครู 127
7 กฎหมายทเ่ี กยี่ วข้องกบั วชิ าชพี ครู 150

บรรณานกุ รม 169
ภาคผนวก 176
177
ภาคผนวก ก ข้อบังคบั ครุ ุสภา วา่ ด้วยจรรยาบรรณของวชิ าชีพ พ.ศ. ๒๕๕๖ 181

ภาคผนวก ข พระราชบัญญตั ิ ระเบยี บข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับท่ี ๔) 182
พ.ศ. ๒๕๖๒
187
ภาคผนวก ค พระราชบญั ญัติ เงนิ เดอื น เงินวทิ ยฐานะ และเงนิ ประจำตำแหน่ง ขา้ ราชการครูและ
บคุ ลากรทางการศึกษา (ฉบบั ท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘

ภาคผนวก ง พระราชบัญญตั ิ การศกึ ษาแห่งชาติ (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๖๒

ค ค

สารบัญตาราง หน้า

ตารางท่ี 14
62
1.1 เปรียบเทียบผลการเรยี นรู้แบบครเู ป็นศูนยก์ ลางกบั ผ้เู รียนเป็นศนู ยก์ ลาง 64
3.1 สมรรถนะครูตามเกณฑ์มาตรฐานความรูข้ องครู
3.2 สมรรถนะครตู ามเกณฑ์มาตรฐานประสบการณ์วชิ าชพี ครู



สารบญั ภาพ

ภาพที่ หน้า

3.1 แบบจำลองภูเขาน้ำแขง็ (The Iceberg Model) 57
3.2 ความสมั พนั ธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเองและความคาดหวังผลที่เกิดขน้ึ 65

3.3 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเอง และความคาดหวงั ผลท่ีจะเกิดข้ึน 66
4.1 แสดงลำดบั ขนั้ ตอนของการเกิดศรัทธา 102
4.2 แสดงระยะเวลาต่าง ๆ ของศรทั ธา 103

5.1 หลกั ธรรมาภบิ าลของการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี 118
6.1 ในหลวงรัชกาลที่ 9 127
6.2 ลักษณะของครูไทยในศตวรรษท่ี 21 135
6.3 ความสำคญั ของสเ่ี สาหลักของการเรยี นรตู้ อ่ ผู้บริหาร ผูป้ ฏิบตั ิ และผ้เู ก่ียวข้อง 143

1
1

บทที่ 1
บทบาท หน้าที่ และความรบั ผิดชอบของครู

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พชั รา เดชโฮม

บทบาทของครู

การศึกษาเล่าเรียนแสวงหาความรูต้ ้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ อาจจำแนกได้หลายรูปแบบและผันแปรไปตาม
ความก้าวหนา้ ของวทิ ยาการและวิวัฒนาการของสงั คม แมว้ ธิ ีการจัดการเรยี น การสอนจะเจริญก้าวหน้าไปเทา่ ไรก็ตาม
ครูยังมีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาอยู่เสมอและบุคคลทีเป็นครูส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นครูอย่าง
สมบรู ณ์ แตก่ ม็ เี พียงสว่ นหนง่ึ ซ่งึ เป็นสว่ นน้อยเท่าที่ไดล้ ะท้ิงอุดมการณ์ความเป็นครูมิได้ปฏบิ ตั หิ น้าท่ีอยา่ งแท้จริง ซึ่งถ้า
หากปล่อยปละละเลยจนทำให้ขยายใหญโ่ ตเปน็ วงกวา้ งแล้ว ความเป็นครูปูชนียบคุ คลและอาชีพท่ีมีเกยี รตยิ ่อมลดน้อย
ถอยลงไปตามลำดบั (สายหยุด จำปาทอง, 2543, น.1)

บทบาท ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Role เป็นเรื่องของพฤติกรรมและหน้าที่ความรับผิดชอบ (Function)
เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า เมื่อบุคคลดำรงตำแหน่งใดก็ควรแสดงพฤติกรรมให้ตรง และเหมาะสมกับหน้าท่ี
ความรบั ผิดชอบนั้น มีนกั การศกึ ษาและสถาบนั ต่างๆไดใ้ ห้ความหมายของคำว่า บทบาท หรือ Role ไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี

ความหมายของบทบาท
พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546, น.602) ให้ความหมายคำว่า บทบาท ไว้ว่า บทบาท (Role)
หมายถงึ การทำหน้าทท่ี ี่กำหนดไว้ เช่น บทบาทของพอ่ แม่ บทบาทของครู เปน็ ต้น
พจนานุกรมการศึกษา (Dictionary of Education) กลา่ วว่า บทบาท หมายถงึ
1. ลักษณะพฤตกิ รรมทแี่ สดงออกชองแตล่ ะบุคคลภายในกลมุ่ ทก่ี ำหนด
2. แบบกระสวนพฤติกรรมของหน้าที่ที่คาดหวัง หรือหน้าที่บุคคลต้องกระทำให้บรรลุผลสำเร็จภายใต้
สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมทก่ี ำหนด
จันทร์ฉาย ปันแก้ว (2546, น.10) กล่าวว่า บทบาท หมาย ถึง พฤติกรรมที่บุคคลกระทำหรือปฏิบัติเมื่อเขา้
ดำรงตำแหนง่ นั้นๆ โดยพฤตกิ รรมทแี่ สดงออกนนั้ ขึน้ อยกู่ ับความคิดเห็นของตนเองและตามความคาดหวัง ในตำแหน่ง
อาชพี ท่คี รองอยู่
ณัฏฐพร ชนิ บตุ ร (2547, น.46) กล่าวว่า บทบาท หมายถงึ การกระทำหรือพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกมา
ตามตำแหน่งหน้าที่ทางสังคมที่ตนดำรงอยู่ในขณะนั้น ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับสิทธิและหน้าที่ของตำแหน่งและยังต้อง
เป็นไปตามความคาดหวังของตนเองและผู้อื่นเก่ยี วข้องสัมพันธ์กนั ดว้ ย
ปรีชา สุวังบุตร (2547, น.22) กล่าวว่า บทบาท หมายถึง การที่บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมาตามสถานภาพ
หรือตำแหน่ง หรือสิทธิหน้าที่หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่มีความคาดหวังต่อการกระทำของบุคคลกลุ่มคน และสังคม
เพื่อให้เกิดการปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างกนั ในสังคมนนั้
นิตย์ ประจงแต่ง (2548, น.5, 23) กล่าวว่า บทบาท หมายถึง ลักษณะของพฤติกรรมที่แสดงออกตาม
ตำแหน่งท่ีบคุ คลนน้ั ได้รับ การแสดงออกนน้ั ย่อมผูกพันกบั ความคดิ ของผู้ดำรงตำแหน่งเองและตามความคาดหวังของ
ผอู้ ่ืนทม่ี ีส่วนเก่ยี วขอ้ งกบั ตำแหนง่ นน้ั
มหาพนมนคร มีราคา (2549, น.26) กล่าววา่ บทบาท หมายถึง การปฏิบัติหนา้ ที่ตามสถานภาพทีเ่ ปน็ มาโดย
ธรรมชาติ หรือตามสถานภาพที่ถูกกำหนดหรือถูกคาดหวังจากสังคม อันเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ของสมาชิกใน
สังคม

22
สำเริง กล้าหาญ (2549, น.7, 12) กล่าวว่า บทบาท หมายถึง แนวทางของการแสดงออกหรือปฏิบัติตาม
อำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในตำแหน่งทาง สังคม ทางหน้าท่ีการงานตามสภาพแวดล้อมของแต่ละบุคคลที่เป็นอยู่ของ
คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธกิ ารว่าด้วยคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
บุญตา ไล้เลิศ (2550, น.12) กล่าวว่า บทบาท หมายถึง การปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของสถานภาพของ
ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งที่บุคคลได้รับ ต้องมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบตามที่กำหนดไว้ตามบทบาทของตำแหน่ง
น้นั และ คล้อยตามความม่งุ หวงั ของสงั คม เชน่ บทบาทของผ้บู ริหารสถานศึกษาก็หมายถงึ พฤตกิ รรมท่แี สดงออกของ
ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน เก่ียวข้องกบั งานในหนา้ ท่ที ีป่ ฏบิ ตั ใิ นสถานศึกษานนั้
สินธร คำเหมือน (2550, น.7) กล่าวว่า บทบาท หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและพฤติกรรมที่คาดหวัง
หรือการแสดงออกทางพฤตกิ รรมทีเ่ กิดจากการมีปฏสิ มั พันธก์ ับบุคคลอื่นและ ได้แสดงออกตามบทบาท
ลุม (Lum, 1979, p.128) กล่าวว่า บทบาท หมายถึง เป็นหน้าที่ที่บุคคลหนึ่งพึงกระทำเมื่อเข้าครอบครอง
ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งรวมถึงหน้าที่ตามตำแหน่งและความคาดหวัง โดยเกี่ยวข้องกับบุคคลและสังคม การ
กระทำน้ันตอ้ งขนึ้ อยกู่ บั บรรทัดฐานของสังคมดว้ ย
ทอมมี่ (Tomey, 1992, p.146) กล่าวว่า บทบาท หมายถึง การกระทำหรือการแสดงพฤติกรรม ของบุคคลที่
เป็นไปตามความคาดหวังตามตำแหน่งในอาชีพหรือตำแหน่งที่สังคมกำหนดขึ้นซึ่งโครงสร้างขอบทบาทประกอบด้วย
ลักษณะทเ่ี ฉพาะของแต่ละบคุ คล การแสดงพฤติกรรม และตำแหน่งที่ครองอยู่
จากที่นกั การศกึ ษากลา่ วมาสรุปไดว้ า่ บทบาท หมายถึง อำนาจ หน้าที่ และความรบั ผดิ ชอบ
เกย่ี วกบั การงานโดยตรงและงานพิเศษท่ีควรจะต้องกระทำ หรอื พฤตกิ รรมท่ีคาดหวังสำหรับผู้อยู่ใน
สถานภาพตา่ งๆ วา่ ต้องปฏบิ ัติอยา่ งไร เป็นบทบาททค่ี าดหวังโดยกล่มุ คนหรอื สังคม
ความหมายบทบาทของครู
พทุ ธทาสภิกขุ (2529, น.242-253) ได้กล่าวถึงบทบาทของครูไว้ว่า ครู คือ ผูน้ ำทางวิญญาณ ท้ังแก่บุคคลและ
สงั คมใน 3 ประการคอื
1. สอนให้รูจ้ ักความรอดท่ีแท้จริง คอื การดบั ทุกข์
2. สอนให้รู้จกั ความสขุ ทแี่ ท้จรงิ คือความสขุ จากการทำหน้าท่ี หนา้ ท่นี นั้ แยกได้ 2 ประการ ประการท่ี 1 คือ
การบริหารชวี ติ ใหเ้ ปน็ สุข ประการที่ 2 คือ การใชช้ วี ิตใหเ้ ป็นประโยชนม์ ากทส่ี ุด ท้งั แก่ตนเองและผูอ้ ื่น
3. สอนใหร้ จู้ กั หน้าท่ีที่แทจ้ ริง คือรู้จักหน้าที่ในฐานะท่เี ปน็ ส่ิงสูงสุด รกั ท่จี ะทำหน้าที่และมีความสุขในการทำ
หน้าที่
บทบาทของครู หมายถึง ภาระหน้าที่ของผู้เป็นครู ควรกระทำและเมื่อกระทำแล้วครูจะต้องรับผิดชอบใน
สง่ิ ทีก่ ระทำไป เมื่อแสดงบทบาทตอ่ ส่งิ ใดหรอื บคุ คลใดแลว้ จะต้องรับผดิ ชอบตอ่ สงิ่ นน้ั อยา่ งเต็มที่
ความม่งุ หวงั ของสังคมท่ีมีต่อบทบาทของครู
สายหยดุ จำปาทอง (2543, น.1-10) ได้นำเสนอเกย่ี วกบั บทบาทครูกับการพฒั นาสังคมในลักษณะของอาชีพ
ครูที่มีบทบาทและหนา้ ท่ีตอ่ การพัฒนาสังคมตามยุคตามสมัยอนั ทำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงในวงการอาชพี ครอู ยูห่ ลาย
ประการที่น่าสนใจและควรที่จะนำไปเป็นแนวปฏิบัติต่อไป โดยให้ทัศนะไว้ว่าอาชีพครูไม่ว่าจะเป็นครูระดั บ
ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษาหรือครูอาจารย์ที่อยู่ในระบบหรือนอกระบบการศึกษาก็ตาม จะเห็นได้ว่าเป็น
อาชีพท่มี เี กยี รตไิ ด้รบั การยกยอ่ งจากสังคม โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ บุคคลท่ีเปน็ ครนู ้ันได้รับการยกย่องและเคารพนับถือจาก
ลูกศิษย์และบุคคลทั่วๆไปอีกด้วย จนเป็นที่กล่าวว่า “ครูคือปูชนียบุคคล” ความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้มีมาตั้งแต่สมัยอดีต
เพราะทกุ คนทีเ่ ติบใหญ่ข้นึ มา มวี ชิ าความรปู้ ระกอบอาชีพเปน็ หลักเป็นฐาน มีการดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขในสังคมได้
เพราะอาศัยวิชาความรู้ที่คุณทั้งหลาย เคยอบรมสั่งสอนมาทั้งนั้นเป็นพื้นฐาน ความผูกพันทางใจจึงเกิดขึ้นระหว่างครู
กบั ศิษย์ บทบาทและหนา้ ทขี่ องครูพอจะกล่าวไดด้ งั นี้

33
ก่อนที่จะได้กลา่ วถึงความมุ่งหวงั ของสังคมท่ีมีต่อหนา้ ที่และบทบาทของครู ใคร่ขอกล่าวถึงลกั ษณะโดยท่ัวไป
ของสังคมไทยไว้เล็กน้อย ลักษณะของสังคมไทยโดยทั่ว ๆ ไปนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าสังคมไทยเป็นระบบชนชั้นอันสืบ
เนื่องมาจากระบบศักดินา โดยถือเอาเกียรติหรือฐานะทางสังคมเป็นเครื่องวัด เช่น วงศ์ตระกูล ความมั่งคั่งหรือฐานะ
ทางการศึกษา เป็นต้น สังคมไทยในสังคมชนบทมักจะประกอบด้วยครอบครัวมีขนาดใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่าง
ครอบครัวเป็นไปตามความรู้สึกหรือขนบธรรมเนียมประเพณี รักถิ่นที่อยู่ เป็นสังคมเกษตรกรรม นอกจากนี้ในด้าน
คุณคา่ ของสังคมไทยยังนิยมยกย่องเงนิ อำนาจ ความเป็นอาวุโสและยกย่อง การเปน็ เจา้ คนนายคน
ครูเป็นบุคลากรที่สังคมยอมรบั ในฐานะเป็นผูม้ ีความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิง่ สังคมในชนบทซ่ึงค่อนขา้ งจะให้การ
ยอมรับและมีความมุ่งหวังในบทบาทของครูสูงมากกว่าสังคมในเมือง อย่างไรก็ตามทั้งครูระดับประถมศึกษา
มธั ยมศกึ ษาและอุดมศกึ ษา สังคมทกุ ระดับมคี วามมุ่งหวงั ตอ่ บทบาทของครูในเรอื่ งต่อไปนี้
1. การเป็นแบบอย่างทีด่ ขี องสังคม ในสังคมปัจจุบนั มักจะมองภาพลักษณ์ว่าครูจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดแี ก่
เด็กทัง้ ด้านการปฏบิ ัติตนและการปฏิบัติต่อสังคม การมองภาพลักษณ์ครูในลักษณะน้ีสังคมมักมองข้ามสภาพแวดล้อม
และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จนบางครั้งเมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับผู้เรียน สังคมมักจะโยนความผิดให้แก่ครูหรือ
สถาบันการศกึ ษาโดยมิได้คำนึงถงึ สภาพความเปลย่ี นแปลงดังกลา่ ว
2. การผู้นำของชุมชน ในสังคมชนบทจะให้ความยอมรับและนับถือครูเป็นอย่างมากเนื่องจากชุมชนเห็นว่า
ครูเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถชุมชนต้องการให้ครูเป็นผู้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง ซึ่งบางครั้ง
งานดังกล่าวมิได้เป็นหน้าที่ครูโดยตรง การเป็นผู้นำของชุมชนนั้น ชุมชนมีความต้องการจะให้ครูมีบทบาท
ในการเปล่ยี นแปลงในลักษณะทด่ี ขี ้ึน
3. การเป็นผู้ปลูกฝงั ค่านยิ มของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย บทบาทครูอาจารย์ในมหาวิทยาลยั ที่
ได้ปลูกฝังแนวความคิดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้แก่นิสิตนักศึกษา รวมทั้งการจัดกิจกรรมที่ส่งเสรมิ
ระบอบประชาธิปไตยจะมีผลต่อการพัฒนาประเทศในระบบดังกล่าวเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่าขณะนี้นิสิตนักศึกษา
ส่วนใหญ่ไดต้ นื่ ตัวตอ่ บทบาทตนและสิทธทิ ี่ตนจะต้องใช้แกส่ ังคมในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น

ความมุ่งหวังของสังคมที่ต้องการจะเห็นบทบาทครูใน 3 ประการที่ได้กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นความ
มุ่งหวังท่ีสอดคล้องกบั บทบาทครูอาจารย์อยูแ่ ลว้ เพยี งแตว่ า่ ส่ิงเหล่านน้ั ครูจะสามารถปฏิบตั ิได้อย่างสัมฤทธ์ิผลแค่ไหน
สังคมไม่ควรจะมุ่งหวังสิ่งใดๆมากเกนิ ไปจะตอ้ งดสู ภาพแวดลอ้ มที่เปล่ียนแปลง ปัญหาของสังคมท่ีติดตามมาเนื่องจาก
ผลกระทบจากการสื่อสารและมวลชน และประการสำคัญที่สุดคือ ข้อจำกัดของบุคคลที่ชื่อว่า“ครู“นั้นมิได้มีพื้นฐาน
หรือฐานะเท่าเทียมกันทุกคนบทบาทหนึ่งอาจจะเหมาะสมกับครู-อาจารย์ในมหาวิทยาลัย แต่ไม่เหมาะสมกับครู-
อาจารยใ์ นชนบท สังคมจะตอ้ งคิดวา่ “ครู คือ ปุถชุ น” คนหน่งึ

บทบาทหลักของครู
การที่ครูจะต้องมีบทบาทต่อการพัฒนาสังคมอย่างไรนั้น จำเป็นจะต้องศึกษาถึงบทบาทหน้าที่ให้แจ่มชัด
เสียก่อนว่า หน้าที่หลักของครูคืออะไร ครูจะต้องมีบทบาทต่อศิษย์อย่างไร มีบทบาทต่อการพัฒนาตนเองอย่างไร
บทบาทของครทู ่ีปฏบิ ัตติ ่อสังคมมากน้อยเพยี งใดข้นึ อยู่กบั องค์ประกอบหลายอยา่ ง คือ ครูเข้าใจสภาพสังคมเพียงใด
มีความกล้าหาญที่จะทำอะไรที่ท้าทายต่อการไม่ได้เลื่อนเงินเดือนหรือถูกคำสั่งย้ายด่วนหรื อไม่ สิ่งเหล่านี้ครูจะต้อง
พิจารณาไตร่ตรองใหร้ อบคอบ
บทบาทหน้าที่ของครูสามารถแบง่ ได้ 3 ประการ คือ 1) บทบาทหน้าที่ตอ่ ตนเอง 2) บทบาทหน้าที่ตอ่ ผ้เู รยี น
และ 3) บทบาทหนา้ ทต่ี อ่ สังคม
1. บทบาทหน้าท่ตี อ่ ตนเอง

1.1 ครูจะตอ้ งมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในอาชีพครู รกั การอ่านการศึกษาค้นคว้า และปรับปรุงตนเองให้
ทันสมยั อยเู่ สมอ

44
1.2 มีความคิดเป็นของตนเอง เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือความรู้ใหม่ๆต่อสาธารณะหรือเพิ่มพัฒนา
วชิ าชพี ของตนโดยบรสิ ุทธใิ์ จ
1.3 ประพฤตแิ ละวางตนอยใู่ นกรอบศลี ธรรม จรรยา อนั เปน็ บรรทัดฐานที่ยอมรับท่วั ไปในสงั คม
1.4 ประกอบอาชีพเพ่อื หารายได้เลี้ยงชีพพอสมควรแก่อัตภาพ มานะ บากบนั่ มธั ยัสถ์ อดออม ไม่เห็นแก่
ความเจริญทางวตั ถุเกินกว่าคณุ ธรรม
2. บทบาทหนา้ ท่ีตอ่ ผเู้ รียน
2.1 เปลี่ยนแปลงจากบทบาทจากการเป็นผู้บอก ผู้แสดงนำ ในการสอนการเรียนมาเป็นผู้กระตุ้นให้เกิด
ความคิดริเริ่ม สนับสนุนให้นักเรียนมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเรียนรู้เป็นผู้ช่วยและผู้แนะนำให้นักเรียน
มีหลักรู้จักวิธีศึกษาค้นคว้า และเลือกทางของตนเองได้ โดยไม่มีการบังคับให้เชื่อตามครู เปิดโอกาสให้นักเรียนได้มี
ความคดิ ทอ่ี สิ ระอยา่ งมเี หตุผล
2.2 ฝึกนักเรียนให้มีความสามารถในการทำงานรวมกลุ่ม รู้จักวิพากษ์วิจารณ์ อดทนต่อการถูกวิจารณ์
ยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผู้อ่นื มคี วามอดกลั้น มวี นิ ัยในตนเอง เคารพกฎของสงั คม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมรู้
แพร้ ชู้ นะ เคารพเสียงข้างมาก
2.3 ศึกษาธรรมชาติและความแตกต่างในตัวศิษย์แต่ละคน เพื่อนำมาเป็นข้อสังเกต พิจารณาในการปฏิบัติ
ตวั ต่อศิษย์ ให้ความรักความเข้าใจ เอาใจใสเ่ ท่าเทียมกนั เพ่อื ให้ไดร้ ับความสนทิ สนมและไวว้ างใจจากศษิ ย์
2.4 พยามยามค้นหาความเข้าใจ ความสามารถ และความถนัดของแต่ละคน เพ่อื หาทางส่งเสริมและนำการ
เลอื กอาชพี แกน่ กั เรยี นให้เหมาะสม
2.5 ส่งเสริมให้นักเรียนเป็นคนฝักใฝ่คุณธรรม จริยธรรม โดยไม่หลงใหลในวัตถุและเห็นคุณค่าของการ
รักษาเอกลักษณข์ องไทย
3. บทบาทหน้าที่ต่อสังคม
เมื่อครูได้ทราบถึงบทบาทตนเองและบทบาทที่มีต่อผู้เรียนแล้ว ครูจะได้ทราบว่าตนเองจะมีบทบาทต่อ
การพัฒนาสังคมได้แค่ไหนเพียงใด ก่อนที่ครูจะกำหนด บทบาทของตนเองต่อการพัฒนาของสังคมนั้นควรจะได้
คำนึงถึงสิ่งตอ่ ไปนี้
3.1 สำรวจบทบาทหนา้ ที่ของตนเองว่า ได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อตนเองและผู้เรียนได้ครบถ้วนและสมบูรณแ์ ล้ว
หรือไม่ หากครูไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อตนเองและผู้เรียนได้อย่างครบถ้วนแล้วการพัฒนาสังคมไม่อาจบรรลุผล
สำเร็จได้ การสำรวจบทบาทและหน้าท่ีของตนเองน้นั ควรคำนึงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครวั สภาพเศรษฐกิจและ
หนา้ ทห่ี ลักท่จี ะตอ้ งสง่ั สอนแกศ่ ิษย์
3.2 การศึกษาโครงสร้างของสังคม การที่จะพัฒนาสังคมให้บรรลุผลสำเรจ็ และเกิดประสทิ ธิภาพนั้นครู
จะตอ้ งศกึ ษาโครงสรา้ งของสังคมเพอ่ื จะได้ทราบพื้นฐานในอนั ท่จี ะช่วยแกป้ ญั หาของสังคมตอ่ ไป
3.3 ศึกษาข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้ครูไม่สามารถมีบทบาทในการพัฒนาสังคมได้อย่างสมบูรณ์ เช่น
สถานภาพการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ข้อจำกัดของระเบียบกฎเกณฑ์กฎหมายที่มีต่อครูในฐานะที่อยู่ในระบบ
ราชการ ตลอดจนข้อจำกดั อื่นๆ
บทบาทของครูต่อการพฒั นาสังคม
เมื่อได้พิจารณาถึงหน้าที่บทบาทของครทู ี่มีตอ่ ตนเองและนักเรียนแล้ว จะเห็นวา่ หน้าที่ของครูที่สำคัญคือการ
พัฒนาคน ความรู้ ความคิด วินัย ตลอดจนจริยธรรมให้แก่นักเรียนนั้นเอง และเพื่อความเข้าใจในบทบาทครูต่อการ
พฒั นาสงั คมไดช้ ดั เจนยิ่งขึน้ จึงขอแยกบทบาทของครูระดับประถมและมธั ยมศึกษาไวส้ ่วนหน่งึ และครรู ะดับอุดมศึกษา
ไว้อีกสว่ นหน่งึ

55
ครูระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ครูในระดับนี้ส่วนใหญ่เป็นครูที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในชนบท
มีความคุ้นเคยสนิทสนมกบั ชุมชนเปน็ อย่างดี เข้าใจในขนบธรรมเนยี มประเพณี กจิ กรรมของชุมชนเป็นอยา่ งดี บทบาท
ในการพฒั นาสงั คมจะมงุ่ ไปในเรอ่ื งต่อไปน้ี
1. การพัฒนาความรู้ ความสามารถ ทักษะ ในการเรียนการสอนให้เต็มความสามารถ เป็นที่ทราบแล้วว่า
นักเรียนเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม การที่ครูได้อบรมสั่งสอนศิษย์ให้มีความรู้ ความสามารถดีแล้วมีจริยธรรมที่ดีงาม
นักเรียนก็จะสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข ดังที่ได้เคยกล่าวไว้ว่าการศึกษาเป็นการพัฒนาสังคม บทบาท
หนา้ ทีด่ งั กลา่ วถอื ไดว้ า่ เป็นหนา้ ที่หลกั ของครู
2. การเปน็ ผสู้ ่งเสริมการดำเนนิ ชวี ติ ตามวถิ ีทางประชาธปิ ไตยแกช่ ุมชน โดยประพฤตเิ ปน็ แบบอย่างและชักนำ
ผู้อื่นให้ปฏิบัติตามโอกาสอันเหมาะสม ในสังคมชนบท ครูมีความสำคัญต่อการส่งเสริมประชาธิปไตยในท้องถิ่นเป็น
อย่างมากกิจกรรมต่างๆของชุมชน ครูมักจะได้รับเกียรติให้ไปมีส่วนร่วมด้วยอยู่เสมอ เช่น การเลือกต้ัง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาจังหวัด สมาชกิ สภา เทศบาล และกจิ กรรมอื่นๆอีกมากมายในบทบาทดังกล่าว
ครคู วรจะได้แนะนำรูปแบบการปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตยให้ชุมชนไดต้ ระหนกั และเหน็ คุณค่าความสำคัญในระบอบการปกครองดงั กล่าว
3. การเปน็ ผใู้ หค้ วามรูแ้ ละการพฒั นาเกย่ี วกบั อาชีพต่างๆในชุมชน เป็นทท่ี ราบกนั ดแี ล้ววา่ สังคมไทยในชนบท
ส่วนมากมีอาชีพเกษตรกรรม ครูควรจะได้มีส่วนร่วมในการแนะนำให้ความรู้และพัฒนาวิชาชีพดังกล่าว โดยเป็น
ส่อื กลางระหว่างโรงเรียนกบั ชุมชน สำหรับวธิ กี ารท่ีใหค้ วามรู้ในด้านข่าวสารแกช่ ุมชนอาจจะใช้รูปแบบการศึกษานอก
ระบบมาใช้ เช่น การจัดต้งั ทอี่ า่ นหนังสือพิมพส์ ำหรบั หมูบ่ า้ น การสอนหนงั สอื สำหรบั วิทยไุ ปรษณยี ์ เป็นต้น
4. เป็นผู้รักความยุติธรรมและความกล้าหาญที่จะต่อสู้ความเป็นธรรมของสังคมด้วยปัญญาและสติ ตาม
ขบวนการท่ถี กู ตอ้ งและเหมาะสม ตามครรลองของขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรม และตามสทิ ธแิ ห่งกฎหมาย
ในบทบาทนี้ครูจะต้องปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างและรูปแบบที่ดีต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติตนอยู่กรอบจา รีต
ประเพณี ปฏิบตั ติ นใหถ้ ูกต้องตามกฎหมายจะเปน็ ตวั อยา่ งใหแ้ กส่ ังคมไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
5. หาโอกาสเข้ามีส่วนร่วมโดยเต็มใจในกิจกรรมต่างๆของท้องถิ่น อุทิศตนเป็นที่ปรึกษาหรือช่วยแก้ปัญหา
โดยเฉพาะในชนบทเพื่อสรา้ งสมั พันธภาพและความเข้าใจอันดี ระหว่างโรงเรยี นและชุมชนในท้องถน่ิ
ครู-อาจารย์ในระดับอุดมศึกษา ครูอาจารย์ในระดับอุดมศึกษาที่กล่าวนี้ส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์ที่สอนใน
มหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งบทบาทของครู-อาจารย์เหล่านี้อาจจะมีความสัมพันธ์กับ ชุมชนไม่แนบแน่นเหมือนครู
ระดับประถมหรือมัธยมศึกษา เนื่องจากสภาพแวดล้อมของสังคมเปล่ียนไปและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีบทบาท
สำคญั ย่ิงในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนสิ ิตนักศึกษาในด้านความคดิ การแสดงออก บทบาททีค่ วรจะมุ่งเนน้ ได้แก่
1. บทบาทในฐานะผู้ปลูกฝังค่านิยมของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ให้แก่นิสิต นักศึกษา และ
สังคม เพ่อื ให้ทกุ คนตระหนักในสทิ ธิบทบาทหน้าท่ขี องตน รจู้ ักคิด แสดงออกตามครรลองท่ถี กู ต้อง
2. บทบาทในฐานะนักวิชาการที่ทรงคุณวุฒิ มีอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาหลายท่านที่มีความรู้
ความสามารถในด้านสาขาวชิ าต่างๆเช่น สาขาวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาสังคมได้ เช่น ผลงานการวิจัยต่างๆ
ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี ตลอดทั้งการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม สุขภาพอนามัย เป็นตน้
3. บทบาทในการพัฒนาชุมชน ในช่วงเวลาที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีนิสิตนักศึกษาได้อาสาสมัครออกไปพัฒนา
ชุมชนกนั เปน็ จำนวนมาก กิจกรรมดังกล่าวได้รับการส่งเสริมจากคณะครู อาจารยใ์ นสถาบันอดุ มศึกษา ซ่ึงเล็งเห็นแล้ว
ว่าการพฒั นาสังคมในชนบทน้ันมคี วามจำเป็นอย่างยิ่ง แม้ในปัจจบุ นั โครงการพัฒนาชมุ ชนของรฐั บาลกย็ ังเป็นโครงการ
ทีป่ ฏิบตั ติ อ่ เน่ืองกนั อยู่

66
4. บทบาทในการเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม ครู อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษามีบทบาทต่อพฤติกรรมของ
นิสิตนักศึกษาเป็นอย่างมาก และบุคคลเหล่านี้จะต้องออกไปปฏิบัติงานเพื่อรับใช้สงั คมและเป็นส่วนหนึ่งขอสังคม ครู
จะต้องปฏบิ ตั ิตนเปน็ แบบอย่างทด่ี ีปละเหมาะสมกบั กาลสมัยตลอดเวลา
จากบทบาทของครูต่อการพัฒนาสังคมที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งครูในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและ
ระดับอุดมศึกษา จะเห็นได้ว่าบทบาทที่มีต่อสังคมยังแตกต่างกันบ้างเนื่องจากสภาพแวดล้อมของสังคมแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามบทบาทพื้นฐานของทั้งสองระดับก็ยังมีจุดร่วมที่เหมือนกันหลายประการเพราะทุกคนก็มีสถานะของ
ความเป็น “คร”ู ท้งั สน้ิ
ในสภาพความเปล่ียนแปลงของสังคม ไมว่ ่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกจิ การเมืองระบบการบริหารการศึกษาและ
ค่านิยมต่างๆ บทบาทของครูที่มีต่อสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลงไปครูเริ่มตระหนักในสิทธิและศักดิ์ศรีของตนมากขึ้น การมี
สว่ นร่วมดา้ นการบรหิ ารการศึกษาในรูปแบบของคณะกรรมการ ทำให้ครูเรมิ่ มีบทบาททางการเมืองมากขน้ึ พฤติกรรม
ของครูเริ่มเปลี่ยนแปลง กลุ่มผลประโยชน์เริ่มมีบทบาทสำคัญในวงการครู นอกจากนี้สภาพความเปลี่ยนแปลงของ
เศรษฐกิจทำให้ครูมุ่งสนใจในการหารายได้ให้แก่คนในรูปแบบต่างๆครูเริม่ ผละหน้าท่ีจากด้านวิชาการมาปฏิบัตหิ นา้ ท่ี
ในลักษณะบริหารมากขึ้น เช่น การบริหารคน เงิน การจัดซื้อ การจัดจ้างต่างๆ จนทำให้ลืมบทบาทหน้าที่ของตนเอง
สิง่ เหลา่ น้ีปรากฏใหเ้ ห็นทว่ั ไปในปัจจบุ ัน
บทบาทของครูตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ
ดร.จกั รพรรดิ วะทา (2544, น.7–9) ไดน้ ำเสนอทศั นะเก่ียวกบั บทบาทของครูตามพระราช บัญญัติการศึกษา
แห่งชาติซึ่งได้นำเอาบทบาทของครูในมาตราต่างๆมาวิเคราะห์แจกแจงโดยได้อธิบายไว้ว่า พระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติ พ.ศ.2542 กำหนดแนวทางปฏิรูปการศึกษาไว้หลายด้านตั้งแต่ปรัชญา ความมุ่งหมายและหลักการจัด
การศึกษา สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา ระบบการศึกษา แนวทางการจัดการศึกษา บริหารและการจัดการศึกษา
มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา ครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาทรัพยากร การลงทุนเพื่อ
การศึกษา และเทคโนโลยีเพือ่ การศึกษา ในการปฏิรูปด้านต่างๆการปฏิรูปแนวทางการจัดการศึกษานับเป็นหัวใจของ
การปฏริ ูป เน่ืองจากการปฏริ ปู การศึกษาที่แท้จริง คือ การปฏิรูปการจัดกระบวนเรียนรนู้ ่ันเอง ซึง่ การจดั กระบวนการ
เรียนรู้ได้กำหนดไว้ในการปฏิรปู แนวทางการจดั การศกึ ษา และเปน็ บทบาทสำคัญของครู รวมทั้ง ผบู้ ริหารสถานศึกษา
ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานและเป็นไปตามแนวทางปฏิรูปดังกล่าวให้ได้ การจัดการศึกษาของประเทศจึง
ปฏิรูปได้
เพื่อวิเคราะห์แนวทางจัดการศึกษาและสาระสำคัญด้านอื่นๆที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติแล้ว
ครูจะต้องมีบทบาทสำคัญในการจดั กระบวนการเรียนรทู้ ั้งในสถานศึกษาและนอกสถาบันการศึกษา ดังน้ี
1. จัดการเรียนการสอน โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่า
ผเู้ รียนมคี วามสำคญั ที่สุด รวมถึงจะตอ้ งส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศกั ยภาพ (ม.22)
2. จดั สาระการเรยี นรู้ โดยเนน้ ความสำคัญท้งั ความรู้ คณุ ธรรม กระบวนการเรียนรู้ และ บูรณาการตามความ
เหมาะสมของแต่ละระดบั การศกึ ษากล่าวคือ (ม.23)

2.1 ความรู้เกี่ยวกับตนเองและความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคมได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ สังคมโลก
รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของสังคมไทย และระบบการเมือง การปกครอง ในระบอบ
ประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ

2.2 ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์
เร่อื งการจัดการ การบำรงุ รักษาและการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และสงิ่ แวดล้อมอย่างสมดุลยง่ั ยนื

2.3 ความรเู้ กีย่ วกับศาสนา ศิลปะ วฒั นธรรม การกฬี า ภูมปิ ัญญาไทยและการประยุกตใ์ ช้ภมู ิปัญญา
2.4 ความรู้และทกั ษะดา้ นคณิตศาสตร์ ดา้ นภาษา เน้นการใชภ้ าษาอย่างถูกตอ้ ง

77
2.5 ความร้แู ละทกั ษะในการประกอบอาชพี และการดำรงชีวติ อยา่ งมคี วามสุข
3. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบคุ คล (ม.24 (1))
4. ฝกึ ทักษะ กระบวนการคดิ การจัดการ การเผชญิ สถานการณ์และการประยกุ ต์ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกันและ
แกป้ ัญหา (ม. 24 (2))
5. จดั กจิ กรรมใหผ้ ู้เรียนไดเ้ รยี นรู้จากประสบการณจ์ ริง ฝกึ การปฏิบัติให้ทำได้ คิดเปน็ ทำเป็นรักการอ่านและ
เกิดการใฝ่รู้อยา่ งต่อเนอื่ ง (ม. 24 (3))
6. จัดการเรียนการสอน โดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วน สมดุลกันรวมท้ังปลูกฝัง
คณุ ธรรม ค่านยิ มท่ีดีงาม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคไ์ วใ้ นทกุ วิชา (ม. 24 (4))
7. จัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และ
ความรอบรู้ รวมทง้ั สามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการเรียนรู้ ทง้ั นผ้ี ู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อม
กันจากสอื่ การเรยี นการสอนและวิทยากรประเภทตา่ งๆ (ม.24 (5))
8. จัดการเรียนรู้ใหเ้ กิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และ
บุคลากรในชุมชนทุกฝ่ายเพอ่ื รว่ มกนั พัฒนาการเรียนตามศักยภาพ (ม.24 (6))
9. จัดการประเมินผู้เรียน โดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกต พฤติกรรมการ
เรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ
และรปู แบบการศึกษา (ม. 26)
10. จัดทำสาระของหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชน และสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมท้ัง
คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ โดยสาระของ
หลักสูตร ทั้งทีเป็นวิชาการและวิชาชีพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความ สมดุล ทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ
ความดงี าม และความรับผดิ ต่อสังคม (ม. 27, 28)
11. รว่ มกบั บคุ คล ครอบครัว ชมุ ชน องค์กรชุมชน องคก์ รปกครองสว่ นท้องถน่ิ เอกชน องค์กรเอกชน องค์กร
วิชาชีพ สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสงั คมอ่ืน ส่งเสริมความเขม้ แข็งของชุมชน โดยจัดกระบวนการ
เรียนรู้ภายในชมุ ชน เพ่อื ให้ชมุ ชนมีการจัดการศกึ ษา อบรม มีการแสวงหา ความรู้ ขอ้ มูล ขา่ วสาร และรู้จัก เลือกสรร
ภูมิปัญญาและวิทยากรต่างๆเพื่อพัฒนา ชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของชุมชน รวมทั้งหา
วิธีการสนับสนนุ ใหม้ ีการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ การพฒั นา ระหวา่ งชมุ ชน (ม. 29)
12. พัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ และดำเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสม
กับผ้เู รยี น แต่ละระดบั การศึกษา (ม. 30)
13. พัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของผู้เรียน เพื่อให้มีความรู้และทักษะเพียง
พอทีจ่ ะใชเ้ ทคโนโลยี เพื่อการศกึ ษาในการแสวงหา ความรู้ดว้ ยตนเอง อยา่ งต่อเนื่องตลอดชีวติ (ม. 66)
14. ปฏบิ ัตงิ านและประพฤติปฏิบัตติ น ตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวชิ าชีพ (ม. 53) การดำเนินงานจัด
กระบวนการเรียนรู้ให้ขึ้นกับผู้รับผิดชอบและชุมชนตามแนวทางที่กล่าวมาแล้วเป็นบทบาทของครู ซึ่งถือว่าเป็น
บุคลากรหลักในการปฏิรูปการศึกษา สามารถจะดำเนินการได้เลยตลอดเวลาโดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือทิศทางจาก
กระทรวงหรือหน่วยงานต้นสังกัดแต่อย่างใด เนื่องจากสิ่งที่ปรากฏเป็นแนวทางจัดการศึกษาอยู่ในพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ ลว้ นเปน็ หลกั วิชาชีพครู ผู้ประกอบวชิ าชีพครู หรอื ครูมอื อาชีพ ได้ศกึ ษาเล่าเรยี นและฝึกอบรมแล้ว
ท้ังสิ้น ถ้าครไู ดเ้ ริ่มต้นเปลยี่ นแปลงหรือปฏริ ูปการจัดกระบวนเรยี นรู้ให้แก่ผเู้ รียนเสยี แตบ่ ัดน้ีกจ็ ะเป็นการเรียก “ความ
เป็นมืออาชีพ” ของครูกลับคืนมา คุณภาพและมาตรฐานการประกอบอาชีพของครูก็จะสูงข้ึนทำให้ครู มีศักดิ์ศรี เป็น
ทย่ี อมรับนับถือและไว้วางใจจากสาธารณชน โดยทั่วไป

88
บทบาทเชงิ ประจักษ์ของครู
บทบาทและหน้าที่ของครูได้แสดงออกเป็นที่ประจักษ์พบเห็นโดยทั่วไป พอสรุปได้ดังนี้ (ครูบ้านนอก.คอม,
2551, น.ออนไลน)์
1. บทบาทของครูในการเป็นผู้บริหาร ผู้บริหารสถาบันการศึกษา ได้แก่ ผู้อำนวยการ ซึ่งเปรียบเสมือน
เฟืองจักรใหญ่ที่จะกำกับและควบคุมให้ครูผู้สอนซึ่งเป็นเฟืองจักรเล็กทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารเป็นผู้นำ
สถาบันที่ควรต้องเป็นกลไกใหม่ในการจัดการศึกษา จัดบุคคลจัดสถานที่ จัดบริการต่างๆ เพื่อให้การเรียนการสอน
ดำเนนิ ไปสู่เป้าหมายของหลักสูตรที่วางไว้ ฉะน้นั หลกั ตา่ งๆ ทค่ี วรจำไว้ปฏิบัติมีดงั นี้ (ทองคำ ผดุงสุข, 2532, น.104 –
105)

1.1 ต้องเป็นผู้บริหารที่เป็นหัวหน้าที่ดี มีประสิทธิภาพใช้ผู้ร่วมงานให้ได้ประโยชน์มาก ต้องเป็นผู้วาง
มาตรการในการทำงาน การผลิตได้สูง แต่ปฏิบัติต่อผู้บังคบั บัญชาแตกต่างไปบ้าง ทำงานโดยคำนึงถึงความสำเร็จของ
งานรวมกับสัมพันธภาพ ผู้ร่วมงานดีเป็นแบบอย่างที่ดีทำให้ทุกคนร่วมงานกัน ร่วมมือกันทำงานที่ได้รับมอบหมาย มี
ความรับผิดชอบสูง และมวี ิธียั่วยุในการทำงาน

1.2 มคี วามสามารถในการสรา้ งแนวความคิดและความสมเหตสุ มผล คอื สามารถรวมปัจจัย ข้อเท็จจริงที่
จำเป็นต่าง ๆ เขา้ เปน็ แรงความคดิ อนั หนึ่งอันเดยี วกนั ได้

1.3 กล้าตดั สินใจ มองทะลุได้ และไมห่ วนั่ ตอ่ อปุ สรรค
1.4 การตัดสินใจทใี่ ชญ้ าณหยงั่ รู้ คอื สามารถตัดสินใจฉับพลนั ได้ทันที แตส่ ขุ มุ รอบคอบละเอียดลกึ ซ้ึง
1.5 เป็นคนใจกว้าง สนใจและยอมรับฟงั ความคิดเห็นใหม่ ๆ รวมทั้งความคดิ เห็น ไมเ่ หมือนกับของผอู้ ่นื
1.6 มีความสามารถในการชักจูงผู้อื่นให้เห็นพ้องต้องกัน วิธีที่ดีที่สุดให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมอย่าง
แทจ้ รงิ ในรูปแบบแผนท่ีเหมาะสม
2. บทบาทของครใู นการเป็นผสู้ นับสนนุ สง่ เสริม และพัฒนาเยาวชน โดยการให้การศึกษาที่มีคณุ ภาพแก่
นักเรียน ให้ความรู้ทั้งวิชาสามัญและวิชาชีพตามหลักสูตร ครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญไม่ว่าจะจัดการสอนโดยวิธีใด ครู
ตอ้ งมีการวางแผนและเตรยี มการสอนเปน็ อย่างดี ไมล่ ะท้งิ เด็ก และมีการจดั กจิ กรรมเสริม เพือ่ ใหเ้ ดก็ เข้าใจในบทเรียน
ยิ่งข้ึน นอกจากการสอนวิชาความรแู้ ล้ว ครูยงั มีบทบาทในการสอนใหเ้ ด็กมคี วามคดิ สร้างสรรค์ ร้จู ักคิดเป็น แกป้ ัญหา
เปน็ เพอื่ ให้สามารถดำรงชวี ติ อย่ใู นสงั คมปัจจุบนั ได้อยา่ งเหมาะสม และมีความสุขตามควรแกอ่ ัตภาพ
3. บทบาทของครูในการเป็นผู้นำด้านศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม โดยการประพฤติตนให้
เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ มีศีลธรรม สุขภาพ มีความเมตตากรุณา เอื้ออาทรต่อความเป็นอยู่ของศิษย์ คอยช่วยเหลือ
เมอ่ื ศิษย์มีปัญหา มีความอดทนและเสียสละ
4. บทบาทของครูในการพัฒนาเศรษฐกจิ สังคม และการเมืองการปกครอง
ด้านเศรษฐกิจ ปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศไทยเจริญเติบโตเปน็ อยา่ งมาก มีการพัฒนาทัง้ ภาคเกษตร
อุตสาหกรรม และธุรกิจ ครูเป็นผหู้ น่ึงทม่ี สี ่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกจิ ของ
ประเทศชาติ โดยการใหค้ วามรแู้ กน่ กั เรียน และเน้นทกั ษะในการทำงานตา่ งๆ เพอื่ นักเรยี นจะไดม้ ี
ความรู้ที่ได้มาตรฐานและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นครูควรส่งเสริมให้มีกิจกรรมสหกรณ์
ร้านค้าในโรงเรียน ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น ทำสวนครัว ปลูกผัก และไม้ดอก เป็นต้น
ส่งเสริมให้เด็กรู้จักออมทรัพย์ให้ความรู้และส่งเสริมสุขภาพอนามัยแก่ชุมชน เพื่อให้เด็กนักเรียนและคนในชุมชนมี
สุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ รู้จักหลักโภชนาการที่ถูกต้อง รู้จักการรักษาความสะอาดและรู้จักการวางแผน
ครอบครัว แนะนำอาชีพใหม่ๆ ให้แก่ชุมชน พร้อมทั้งจัดฝึกอบรมอาชีพดังกล่าวและส่งเสริมให้มีการผลิตและนำ
เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใชใ้ นการประกอบอาชีพของชุมชน เพ่ือทำใหป้ ฏบิ ตั ิงานได้รวดเร็ว มปี ระสทิ ธิภาพ และมีผลผลิต
เพิม่ ขนึ้ เชน่ แนะนำการใชป้ ๋ยุ การผสมเทยี มสัตว์ และการนำเคร่ืองมอื มาช่วยดา้ นเกษตร เปน็ ต้น

99
ด้านสังคม ครูมีส่วนช่วยในการพัฒนาสังคม โดยการให้ความรู้แก่คนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นความรู้วิชา
สามัญหรือวิชาชีพก็ตาม เพราะจะทำให้คนในชุมชนมีพื้นฐานการศึกษาอันจะนำไปสู่ความรู้และความเข้าใจในเรื่อง
ต่างๆ รอบๆ ตัวได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นครูยังมีส่วนในการริเริ่ม ส่งเสริมและแนะนำในเรื่องการประกอบอาชีพ ความ
เปน็ อยู่และการพัฒนาชมุ ชนใหม้ คี วามเปน็ อย่ทู ด่ี ี
ด้านการเมืองการปกครอง ครูต้องจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพ แวดล้อมและระบบ
การเมืองการปกครองของประเทศ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาการเมืองการปกครอง ให้มีความมั่นคง โดยการให้
ความรู้ในเรื่องระบบการปกครองของประเทศ โดยเฉพาะระบอบประชาธปิ ไตยแก่เด็กและคนในชุมชน สนับสนุนและ
ฝึกหัดให้นักเรียนรู้จักรูปแบบการปกครองประเทศ โดยให้มีการจัดตั้งสภานักเรียน การเลือกหัวหน้าชั้น เป็นต้น
นอกจากนัน้ ครยู ังชว่ ยแนะนำประชาชนในเรอ่ื งการเลอื กต้งั ผแู้ ทนในระดับตา่ ง ๆ อยา่ งถกู ต้อง
5. บทบาทของครูในการช่วยส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรม โดยการช่วยทะนุบำรุงรักษาพระศาสนาให้มี
ความมั่นคงควบคู่กับสถาบันชาติและพระมหากษัตริย์ มีความเลื่อมใสและศรัทธาในศาสนาที่นับถือ ปฏิบัติตาม
หลักธรรมและปฏิบัติศาสนกิจเป็นประจำ นอกจากนั้นครูจะต้องช่วยส่งเสริมและพัฒนาวัฒนธรรมของชาติให้มั่นคง
ถ่ายทอดวัฒนธรรมอนั ดีงามให้แก่เด็ก ช่วยกันจัดกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมและส่งเสรมิ ให้มีการจดั ห้องวัฒนธรรมใน
โรงเรยี น
6. บทบาทของครูในการพัฒนาประเทศ ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาใน
ระดบั สงู มกี ารจัดการศึกษาตามแผนพฒั นาการศึกษาแห่งชาติซึ่งเปน็ แผนแม่บทในการพัฒนาประเทศ การดำเนินการ
พัฒนาการศึกษาในแต่ละแผนได้มีการประเมินผลเพื่อใช้ในการปรับปรุงปฏิบัติงานในระยะต่อมา โดยตลอด ปัญหา
ทางการศึกษาที่ผ่านมาเป็นเรื่องของปริมาณการศึกษา คือ เยาวชนของประเทศยังขาดโอกาสทางการศึกษาในระดับ
ประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษาทจ่ี ะช่วยใหพ้ ลเมืองส่วนใหญ่มีคณุ ภาพ หนทางแก้ปัญหาสว่ นหน่งึ ได้มุ่งขยาย
โอกาสทางการศึกษาอยา่ งกวา้ งขวางให้ท่วั ถงึ
ครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาท้องถิ่นตามบทบาทหน้าที่ของโรงเรียนเนื่องจากครูเป็นผู้ที่
เกย่ี วขอ้ งกับการให้การศึกษาติดต่อสัมพันธ์กบั นักเรียนและผู้ปกครองโดยตรงครจู ึงเปน็ ปัจจัยสำคัญท่ีจะก่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียนและเกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆในทิศทางที่พึงประสงค์แก่ท้องถิ่นที่โรงเรียนตั้งอยู่โดยเฉพาะ
ครูประถมศึกษาซ่ึงมีจำนวนมากทสี่ ุดและใกล้ชดิ กบั ประชาชนมากที่สุดครเู ปน็ ผูม้ ีความรสู้ ูงเม่ือเทยี บกับชาวบ้านทั่ว ๆ
ไปในสังคมชนบท ดังที่ สุเทพ เชาวลิต (2524) ได้ระบุถึงบทบาทของครูในเขตชนบทว่า ครูเป็นผู้นำชนบทที่สำคัญ
เป็นผู้ที่มีความรู้แจ้งข่าวสารต่าง ๆ แก่ชาวบ้านได้ ชาวบ้านเดือดร้อนมักมาหาครูขอคำปรึกษา ครูจึงเป็นที่เคารพรัก
ของชาวบ้าน นอกจากนี้ เมธี ปิลันธนานนท์ (2524) ได้ระบุถึงบทบาทของครูกับการพัฒนาชนบทยากจนได้ว่า ครูท่ี
ทำงานชนบทยากจนมักจะได้รบั การยกย่องว่าเปน็ ผู้มีความเสียสละ อดทนพากเพียรและมีกุศลจติ ดังนั้นครูจะต้องเป็น
ตัวอย่างในด้านการมีบทบาทในการให้ความรู้แก่ประชาชนในชุมชนและช่วยพัฒนาชุมชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนที่
ยากจน นอกเหนือจากการสอนในชั้นเรียน ครูจึงควรจะมีบทบาทพัฒนาชมุ ชนในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และอาชีพ
สงั คมและวัฒนธรรม สขุ ภาพอนามัย และการเมอื งการปกครอง
การพัฒนาท้องถิ่นด้านการศึกษาถือว่าเป็นบทบาทโดยตรงของครู เพราะการให้การศึกษา เป็นหน้าที่
โดยตรงสำหรับคนที่มีวิชาชีพครูจะกระทำได้ โดยการพยายามใช้ความรู้ความสามารถและใช้ประโยชน์จากวัสดุและ
อุปกรณ์ที่มีอยู่ในโรงเรียนและชุมชนแนวทางในการจัดการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาชุมชน การศึกษาเป็นกล
ยุทธ์อย่างหนึ่งของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งการลงทุนทางการศึกษาของมนุษย์ก็เพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่าและ
คุณภาพของมนุษย์ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศต่อไปการผลิตผู้ที่มีการศึกษาเป็นการผลิต
กำลังคนเพื่อสนองความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการผลิตกำลังคนที่สำคัญคือการ

10 10
เปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมและความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยดี ังนัน้ แนวโน้มการผลติ ผู้มกี ารศึกษาในอนาคต
จึงจำเปน็ ต้องคำนึงถงึ ปจั จยั ดังกลา่ วขา้ งต้นเป็นสำคัญ

ยังมีบทบาทหน้าที่ของครูอีกมาก นอกเหนือจากที่ยกมากล่าวข้างต้น ซึ่งกำหนดโดยนักวิชาการ องค์กร
สมาคมวิชาชีพ ตลอดจนระบบการบริหารงานบุคลากรครู ทั้งหมดล้วนมุ่งสร้างประโยชน์ คุณค่า แก่ตัวครู บุคลากร
รอบข้าง และสงั คมโดยสว่ นรวม ประหน่งึ ว่า ครนู ั้นถกู กำหนดใหม้ ีบทบาทเพื่อมนุษยชาตจิ ริงๆ เฉพาะบทบาทที่พุทธ
ทาสภิกขุกล่าวถึง ดูจะเป็นหลักการที่ครอบคลุมทุกหน้าที่ของครูไม่ว่าใครหรือองค์กรใดจะกำหนด ซึ่งมีประเด็นที่น่า
พิจารณา คือ "ความเป็นผู้นำทางวิญญาณ" ข้อ ความนี้มีความสำคัญอย่างไร น่าจะพิจารณา เชิงเปรียบเทียบกับ
ขอ้ ความทว่ี า่ "ความเป็นผู้นำทางวิชาการ" คนยุคโลกาภิวัตน์น้ี น่าจะเลอื กเอาอยา่ งหลงั มากกวา่ ซง่ึ หมายความวา่ การ
นำทางวิชาการมีความสำคัญกว่าการนำ ทางวิญญาณ เพราะสื่อความหมายตรงใจกว่าและเป็นรูปธรรมมากกว่า ถ้า
ถามว่า ครูปัจจุบันชอบที่จะเป็นผู้นำทางวิญญาณหรือเป็นผู้นำทางวิชาการ คำตอบน่าจะเป็นอย่างหลัง แม้อาจมี
คำตอบวา่ ชอบท้งั สองอยา่ ง แตใ่ นทางปฏิบัตินา่ จะเป็นอย่างหลงั มากกว่า

กิจกรรมทางการศึกษาสำหรับครูและ/หรือผู้จะเป็นครู ดูจะให้ความสำคัญแก่ความเป็นผู้นำทางวิชาการ
เป็นเบื้องแรก ซึ่งก็อาจสอดคล้องกับยุคโลกาภิวัตน์ที่วิชาการทั้งหลายสามารถดึงมาได้จากทุกมุมโลก โดยผ่าน
อินเตอร์เนต แต่ไม่สามารถจะดึงการนำทางวิญญาณได้ จากสื่อใดที่ดีกว่าตัวครูที่เป็น มองเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่า
บทบาทการเป็นผู้นำทางวิญญาณของครูปัจจุบันอยู่ในสภาพที่มีปัญหา อันเนื่องมาจากปัญหาใน ทุกขั้นตอน
กระบวนการผลิตและใช้ครู เพราะบทบาทดังกล่าวมีปัญหา จึงปรากฏว่ามีปัญหาหลายหลากเกิดขึ้นในสังคมโลกาภิ
วัตน์ ไม่ว่าจุดเล็กที่สุดของสังคมคือครอบครัวหรือสังคมใหญ่อันได้แก่ประเทศชาติและโลกโดยภาพรวม ถ้าครูคนใด
สอนไมใ่ ห้ศิษย์ยื้อแย่ง แข่งขนั ช่วงชิง เอาชนะ คงเปน็ เรือ่ งโบราณและแปลกสำหรับยุคน้ี แตถ่ ้าสอนใหแ้ ข่งขัน ช่วงชิง
จงั หวะการได้เปรียบในทุกกิจกรรมต้องเปน็ หน่ึงไว้ก่อน นนั่ แหละคือการสอนท่ีทันยุค ดังนั้น จึงไม่แปลกท่ีเด็กทุกวันน้ี
ต้องกวดวิชาหรอื เรียนพเิ ศษมาต้ังแตช่ ้ันอนบุ าล ในหวั สมองเด็กแทบไม่มีช่องวา่ งสำหรับการเรยี นรูเ้ พ่ือความเปน็ มนุษย์
ท่ีจะตอ้ งศกึ ษาวา่ ชีวิตคืออะไร เกดิ มาทำไม ความทกุ ข์คืออะไร ความสุขคือ อะไร

ในวงสนทนาของคนยุคนี้ คงไม่มีคำถามเช่นนั้น ซึ่งเป็นคำถามแบบเชย ๆ จะมี ก็แต่คำถามเรื่องนอกตัว
หรือเกี่ยวกับวัตถุ เช่น หุ้นขึ้นหรือลง, ทำธุรกิจได้กำไรหรือขาดทุน, วันนี้จะไปช็อปปิ้งที่ไหน... ไม่แปลกที่มีคำถาม
เช่นนี้ เพราะที่ ไหน ๆ ในโลกก็ถามกันเช่นนี้ และไม่แปลก อีกเหมือนกันที่ไหน ๆ เกือบทุกประเทศ ก็มี คนฆ่าตัวตาย
เพราะแก้ปัญหาชวี ติ ไม่ตก ปีละหมื่น ๆ คน ประเทศไทยก็ไม่ได้รับการยกเวน้ การมองสาเหตุของปัญหาไม่ว่าที่ไหนก็
จะมองไปที่ปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาทางวัตถุเปน็ หลัก มิได้มองมาที่ปัญหาวิญญาณ หรือจิตใจแต่อย่างใด บทบาท
การเป็นผู้นำทางวิญญาณ น่าจะเป็นปัญหาเร่งด่วนท่ีผู้เกี่ยวข้องควรให้ ความสนใจอย่างถูกหลักและมีเหตุผล มิฉะน้ัน
บทบาทครูจะเพ้ียนเปลีย่ นไปมากกว่าน้ี และจะมีเทคโนโลยี (วัตถ)ุ มาทดแทนครพู รอ้ มๆกบั เกดิ ความคิดสรุปรวมเหมา
เอาอย่างผิดๆว่าครกู ับเทคโนโลยีก็เท่ากนั นั่นเอง เมื่อถึงจุดนั้นคงไม่จำเป็นตอ้ งมีครู มีแต่ใครก็ได้ที่ใช้เคร่ืองเทคโนโลยี
เป็น เมื่อฟื้นบทบาทการเป็นผู้นำทางวิญญาณของครูกลับคืนมา บทบาทอื่นๆก็จะติดตามมาไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็น
บทบาทครูเป็น ผู้สรา้ งโลก หรอื สร้างความอยรู่ อดของสังคม ตลอดจนบทบาทท่ีกำหนดโดยองค์กรอืน่ ๆ

สรุปบทบาทและหนา้ ท่ขี องครู – อาจารย์
1. ปฏบิ ตั ติ ามระเบียบ วนิ ยั ข้าราชการครู และเป็นแบบอย่างท่ดี ี
2. ปฏบิ ัติหนา้ ท่ีตามงานท่ีกำหนด ตามบทบาทหนา้ ทที่ ี่โรงเรยี นมอบหมาย
3. ปรบั ปรงุ พฒั นาการสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั เปา้ หมายการจดั การศึกษาและจดุ มุ่งหมายของ หลักสูตร
4. จักทำแผนการสอนและกิจกรรมการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย โดยเนน้ ผู้เรียนเปน็ ศูนย์กลาง การเรียนรู้
5. จดั หา ผลิต เลือกใชส้ ่อื พัฒนาส่อื นวตั กรรม เทคโนโลยใี หส้ อดคลอ้ งกับเนื้อหาและกระบวนการเรียนรู้

11 11

6. วัดและประเมินผลได้ตามหลักการประเมินผลของหลักสูตร นำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงการ
เรยี นการสอน

7. ประเมินผลนกั เรยี นตามสภาพที่แทจ้ รงิ
8. จกั ทำการวจิ ัยในชน้ั เรียนและโครงงาน เพอื่ พัฒนาและปรับปรงุ การเรียนการสอนให้มคี ุณภาพ
9. เป็นผทู้ ีแ่ สวงหาความรแู้ ละสรา้ งองค์ความรเู้ พอื่ พัฒนาการเรียนรู้
10. สร้างมนษุ ย์สัมพนั ธ์ มสี ุขภาพจิตทีด่ ี พร้อมทจี่ ะแนะนำและรบั คำแนะนำจากผู้อ่นื เพือ่ ร่วมแก้ปัญหาของ
นักเรียน โรงเรียนและชมุ ชนท้องถ่ิน
11. มีวินัย ความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา เสียสละ อุทิศตนและเวลาในการพัฒนานักเรียน โรงเรียนและ
ชุมชน
12. มคี วามรกั เอื้ออาทร เอาใจใส่ ดูแลนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ
13. มีความซอ่ื สัตย์สจุ รติ และยตุ ธิ รรม มคี วามเป็นประชาธิปไตย
14.มีเจตคตทิ ีด่ ตี อ่ วชิ าชีพครู
กล่าวได้วา่ การศกึ ษาถือว่าเปน็ บทบาทและหนา้ ทีโ่ ดยตรงของครู การศึกษาถือได้วา่ เป็นกลยทุ ธ์อย่างหนึ่งของ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นอกจากนั้นยังมีบทบาทหน้าที่ของครูอีกมากซ่ึงกำหนดโดยนักวิชาการ องค์กร สมาคม
วิชาชีพ ตลอดจนระบบการบริหารงานบุคลากรครู ทั้งหมดล้วนมุ่งสร้างประโยชน์ คุณค่า แก่ตัวครู บุคลากรรอบข้าง
และสงั คมโดยส่วนรวม
การศึกษาเปน็ กระบวนการทีท่ ำให้มนุษย์สามารถพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของตนเองให้สามารถอยใู่ นสังคมได้อย่าง
มีความสุข มีการเกื้อหนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้าน และ
บุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิง่ ต่อการจัดการศึกษาดังกล่าวก็คือครนู ั่นเอง เพราะครูเป็นผู้ทีม่ ีหน้าที่สร้างประสบการณ์
การเรียนรู้ และการพัฒนาโดยรอบให้เกิดในตัวผู้เรียน เพื่อให้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในเชิงวิชาการ
นำไปสู่การมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งการดำรงตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ดังนั้นการจะพัฒนา
การศึกษาให้มคี ุณภาพจึงย่อมต้องพงึ่ พาอาศยั ครทู ่มี ีคณุ ภาพ ครทู ่ีมคี วามเป็นครู
คำว่า ครู หรอื คุรุ ในภาษาไทย มาจากคำว่า คุรุธาตุ หรือ ครธาตุ ซ่งึ แปลความได้ว่าเปน็ ผู้ท่ีหนกั ในวิชา
ความรู้ ในคุณธรรม และในภารกิจการงาน รวมท้ังการทำหน้าทยี่ กย่องเชิดชศู ษิ ย์ของตนเอง จากผทู้ ่ีไมร่ ู้ให้กลายเป็น
ผู้รู้ ผทู้ ไี่ มม่ คี วามสามารถให้มีความสามารถ ผ้ทู ี่ไมม่ ีความคิดใหม้ ีความคดิ ผทู้ ่มี คี วามประพฤติไม่เหมาะสมให้มคี วาม
เหมาะสม และจากผทู้ ี่ไม่พงึ ปรารถนาใหเ้ ป็นผ้ทู ี่พงึ ปรารถนา ซงึ่ ตามนยั ของความเปน็ ครูในภาษาไทยจึงเป็นผทู้ ่ตี อ้ ง
ทำงานหนักจริงๆ สว่ นในภาษาองั กฤษมาจากคำว่า TEACHER กเ็ ชน่ เดยี วกัน กล่าวคือ
1. TEACH (การสอน)
คณุ ลกั ษณะประการแรกของความเป็นครูก็คือ ต้องสอนได้ สอนเพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเกดิ กระบวนการเรยี นรู้ในตนเอง
มีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปในทางท่ดี ี โดยการ :
1. ฝึกฝนแนะนำให้เป็นคนดี
2. สอนให้เขา้ ใจแจ่มแจง้
3. สอนศลิ ปวิทยาให้หมดสน้ิ
4. ยกย่องให้ปรากฏในหมคู่ ณะ
5. สร้างเครื่องคุ้มกนั ในสารทิศ (สอนให้รูจ้ ักเลีย้ งตวั รักษาตนในอันทีจ่ ะดำเนนิ ชีวติ ต่อไปด้วยดี) และทสี่ ำคัญ
6. ต้องสอนใหเ้ กดิ ความงอกงามทางสตปิ ญั ญา มีความคดิ และสร้างสรรค์

12 12

อย่างไรก็ตามการสอนของครูแต่ละคนนั้นขึ้นกับทักษะและลักษณะของตนเอง (Teaching skill and style)
เป็นการนำเทคนิควิธีและทักษะหลาย ๆ ดา้ นมาผสมผสานใหเ้ หมาะสมสอดคล้องกัน จึงต้องใช้เทคนิคและทักษะหลาย
ด้านร่วมกับประสบการณ์เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และต้องมุ่งจัดสรรการเรียนรู้นั้นไปในทิศทางที่ดีและมี
คณุ ธรรมในสงั คม บทบาทการสอนของครูจึงต้องดำเนินการ ดงั นี้

1. สอนเนื้อหาวิชาการตามหลกั สูตรรายวชิ าที่ไดร้ ับมอบหมาย โดยการมีการเตรียมการสอนอย่างเป็นข้ันเป็น
ตอน ตั้งแต่การทำ Course Syllabus แผนจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอนรายชั่วโมง การดำเนินการสอน และ
การประเมินผล มีการปรับปรุงพัฒนา และสรา้ งผลงานทางวิชาการอยเู่ สมอ

2. สอนการปรับตัวให้เหมาะสมในสงั คม
3. สอนให้ให้เจรญิ เตบิ โต มคี วามคดิ มเี หตุผล และมีความคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรค์ ตามแผนที่ได้กำหนดหรือ
เตรยี มการไว้เป็นอยา่ งดี

2. EXAMPLE (เปน็ ตัวอยา่ ง)
ผู้เรียนโดยท่ัวไปน้ันจะ “เรยี น” และ “เลียน” จากตัวครู การทำตัวเป็นตน้ แบบหรือแบบอย่างจึงเป็นส่ิงท่ีมี
อิทธพิ ลมากกว่าการบอกกล่าวเฉยๆ เพราะการแสดงตน้ แบบให้เห็นด้วยสายตาน้ัน เป็นภาพท่ีมองเห็นชัดเจนและง่าย
ต่อการลอกเลียนยิ่งกว่าการรับฟังและบอกเล่าอย่างปกติ ถ้าต้องการให้ผู้เรียนเป็นอะไร จงพยายามแสดงออกเช่นน้ัน
ทงั้ ในการดำเนนิ ชีวิตและในการสนทนา
การวางตัวของครูเป็นตัวอย่างหรือเยี่ยงอย่างให้แก่ผู้เรียนได้มาก แม้ว่าผู้เรียนจะมีความคิด ความอ่านของ
ตนเองที่ไม่ต้องการเลียนแบบผู้ใหญ่ทกุ ประการเหมือนเด็กเล็ก แต่ครูก็ คือครูที่ผู้เรียนพิจารณาว่ามีความหมายสำคญั
อยู่มาก โดยเขาจะสนใจและเฝา้ สงั เกตนบั ตั้งแตก่ ารแต่งกาย ไปจนถึงการประพฤติปฏิบัติ จะเป็นประสบการณใ์ ห้เขา
ได้พิจารณา นอกจากนี้การรู้ตัวเองของครู การแนะนำให้ผู้เรียนประพฤติให้เหมาะสม ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ครู (ตัวเรา)
ต้องประพฤติและปฏบิ ตั ติ นใหเ้ หมาะสมดว้ ย

3. ABILITY (ความสามารถ)
คำว่า “ความสามารถ” หมายถึงกำลังที่มีจริงในการแสดงหรือในการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าการ
กระทำนั้นจะเป็นการกระทำทางกายหรือทางจิตใจ และไม่ว่ากำลังนั้นจะได้มาจากการฝกึ ฝนอบรมหรือไม่ก็ตาม แบ่ง
ออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ความสามารถทั่วไป (general ability) และความสามารถพิเศษ (specific ability)
นอกจากนั้นครูจะต้องทราบถึงการเปลี่ยนแปลงใหม่หรือนวัตกรรมทางการศึกษา (innovation in teaching) เพื่อจะ
ช่วยปรับปรุงและพัฒนากระบวนการเรียนรู้หรือการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้นไป การเรียนการสอนก็เช่นเดียวกับการ
วินิจฉัย การรักษาโรคทางการแพทย์หรือจะสมมติเป็นการปรุงอาหารในครัวก็ได้ ที่จะต้องแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ให้ได้
อาหารอร่อยทีส่ ุด ดงั นน้ั ครูจงึ ตอ้ งประเมินตัวเอง ประเมนิ การสอน และปรบั ปรงุ ข้อบกพร่องของสิ่งที่ตนสอนไปเสมอ
(diagnosis and treatment of course defects) เพ่ือใหผ้ ลการสอนดที ีส่ ดุ
4. CHARACTERISTIC (คณุ สมบัติ)
ความหมายที่ใช้โดยทั่ว ๆ ไป หมายถงึ คณุ ภาพหรือคณุ สมบัตทิ ี่สงั เกตไดช้ ัดเจนในตัวบุคคล ทำให้ทราบได้ว่า
บุคคลนั้นแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ ในความหมายเฉพาะ อุปนิสัยหมายถึง ผลรวมของนิสัยต่างๆ ที่บุคคลมีอยู่ หรือ
ผลรวมของลักษณะของพฤติกรรมต่างๆ ของบคุ คล ตามความเข้าใจของคนทั่วไป คำวา่ อุปนสิ ัยนี้แฝงความหมายของ

13 13

คุณธรรมจรรยาในตัวด้วย เช่น เราพูดว่าเขาผู้นั้นมีอุปนิสัยดี เป็นต้น ในคุณสมบัติของความเป็นครู สิ่งสำคัญคือ ครู
จะตอ้ งมเี จตคติท่ีดตี ่อผู้เรยี น ต่อวิชาที่สอน และตอ่ งานที่ทำ

5. HEALTH (สขุ ภาพดี)
การมีสขุ ภาพดี หมายถงึ การไม่มีโรค รวมถงึ มสี ภาพทางร่างกายและจติ ใจทีส่ มบูรณ์แข็งแรงพอที่จะดำรงชีวิต
ในสังคมได้อย่างปกตสิ ุข ผู้ที่เป็นครูน้ันตอ้ งทำงานหนัก ดงั น้ันสุขภาพทางด้านร่างกายจึงเปน็ สิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่า
คือสุขภาพจิต คงเคยได้ยินคำว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ดังนั้นครูจึงจำเป็นต้องมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย จิตดีนั้นไม่
เพียงแต่ไม่เป็นโรคจิตโรคประสาทเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่มีสมรรถภาพ มีการงานและมีชีวิตทีเ่ ป็นสุขทำประโยชน์ต่อสังคม
ด้วยความพอใจ สามารถปรับตัวใหเ้ ขา้ กับสิง่ แวดล้อม รวมทง้ั ต่อบคุ คลที่เราอยู่ร่วมและต่อสังคมทีเ่ ราเกี่ยวข้อง โดยไม่
ก่อความเดือดร้อนให้ท้งั ตอ่ ตนเองและผู้อนื่
6. ENTHUSIASM (ความกระตอื รอื รน้ )
ความกระตือรือร้นของครูนั้น อาจจะเป็นการใฝ่หาความรู้ใส่ตน เพราะจะต้องถือว่าการใฝ่หาความรู้เพ่ือ
ปรับปรุงการเรียนการสอนนั้นเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งของการพัฒนาตน (Learning to teach is a process of
self-development) การเพิ่มพูนความรู้มีหลายรูปแบบ เช่น การประชุมสัมมนา อบรมระยะสั้น จะทำให้ครูที่ขาด
ความรู้ในเรื่องที่ตนสอนได้มีความรู้เพิ่มเติมและทำให้มีความมั่นใจในการสอนมากขึ้น ความกระตือรือร้นของครูน้ัน
ไมใ่ ชม่ ุง่ เนน้ เฉพาะการพัฒนาตัวครูเทา่ นนั้ แตจ่ ะต้องมคี วามกระตือรอื รน้ ในการพัฒนาการเรยี นการสอนดว้ ย
7. RESPONSIBILITY (ความรบั ผิดชอบ)
ครทู ด่ี จี ะต้องมคี วามรับผิดชอบในหนา้ ทีข่ องตนตามท่ีได้กล่าวมาแลว้ เป็นอย่างดี รวมทั้งยอมรับผลแหง่ การ
กระทำนั้นๆ ไม่ว่าจะดีหรือไม่กต็ าม และพร้อมทจ่ี ะปรบั ปรุงแกไ้ ข

บทบาทของครู-อาจารยก์ ับการเรียนการสอนทม่ี ผี ู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง

1. เปน็ ผจู้ ัดการ (Manager) คร-ู อาจารย์จะเป็นผกู้ ำหนดบทบาทใหผ้ ู้เรยี นทุกคนไดม้ ีส่วนร่วมทำกิจกรรม
แบ่งกลมุ่ หรอื จับคู่ เปน็ ผู้มอบหมายงานหน้าที่ความรับผดิ ชอบแก่ผเู้ รียนทกุ คน จดั การให้ทกุ คนได้ทำงานที่เหมาะสม
กบั ความสามารถความสนใจของตน

2. เปน็ ผ้รู ่วมทำกจิ กรรม (An Active Participant) เขา้ ร่วมทำกิจกรรมในกลมุ่ จริงพร้อมทงั้ ให้ความคดิ และ
ความเห็นหรือเชื่อมโยงประสบการณ์ส่วนตวั ของผเู้ รียนขณะทำกจิ กรรม

3. เปน็ ผู้ช่วยเหลือและแหลง่ วิทยาการ (Helper and Resource) คอยให้คำตอบเมื่อผ้เู รียนต้องการความ
ชว่ ยเหลอื ทางวิชาการ เพราะการให้ข้อมลู หรอื ความรู้ในขณะท่ผี เู้ รียนต้องการจะชว่ ยทำให้การเรยี นรู้มีประสบการณ์
เพมิ่ ขน้ึ

4. เป็นผสู้ นบั สนุนและเสรมิ แรง (Supporter and Encourager) ช่วยสนบั สนนุ ดา้ นสอ่ื อุปกรณห์ รือให้
คำแนะนำท่ชี ว่ ยกระตุ้นให้ผ้เู รียนสนใจเขา้ ร่วมกิจกรรมหรอื ฝกึ ปฏบิ ัติด้วยตนเอง

5. เป็นผู้ตดิ ตามตรวจสอบ (Monitor) คอยตรวจสอบงานที่ผเู้ รยี นผลิตข้นึ มาก่อนท่ีจะส่งตอ่ ไปใหผ้ เู้ รียนคน
อื่นๆโดยเฉพาะความถูกต้อง

14 14

ตารางที่ 1.1 เปรียบเทียบผลการเรยี นร้แู บบครเู ป็นศนู ย์กลางกับผเู้ รียนเป็นศูนย์กลาง

วิธสี อนแบบครูเป็นศนู ยก์ ลาง วิธสี อนแบบผ้เู รียนเปน็ ศูนย์กลาง
1. ด้านบทบาทครู 1. ดา้ นบทบาทครู
1) มุ่งสอนเน้ือหาและการจำเน้อื หาได้ 1) มุ่งพฒั นากระบวนการเรยี นรู้ ศักยภาพ ความคิด
2) จะบอก เลา่ ส่งั อธิบายเนื้อหา 2) กระต้นุ ให้เด็กคิดและปฏบิ ตั ติ ามความคิด
3) ครจู ะจดั กิจกรรมแบบ Passive Learning 3) ครูจัดกิจกรรมแบบ Active Learning
4) ปฏสิ มั พนั ธ์จะเปน็ แบบทางเดยี ว ครจู ะเรยี นรว่ มกบั ผูเ้ รยี นและคดิ หาวิธกี ารใหม่ๆเพื่อพัฒนาผเู้ รยี น
2. ดา้ นผลท่ีเกิดกับผ้เู รียน : 2. ดา้ นผลทีเ่ กิดกับผูเ้ รียน :
ดา้ นการคดิ และดา้ นบุคลิกภาพ ดา้ นการคิดและด้านบคุ ลกิ ภาพ
1. คิดไดจ้ ำกดั คิดช้า 1. คิดเป็น เรียนรโู้ ดยการคิดแบบปฏิบัติ
2. เกิดกระบวนการเรียนร้แู บบนิรนัย 2. เกดิ กระบวนการเรียนรู้แบบอุปนัย
3. จะมบี ุคลิกภาพแบบพ่งึ พา ไมเ่ ชื่ออำนาจในตน 3. มบี คุ ลิกภาพแบบพง่ึ ตนเอง เชือ่ อำนาจในตน
4. เชื่อฟัง ทำตาม วา่ ง่าย 4. ใช้เหตุใชผ้ ล วิเคราะห์ สงั เคราะห์

วธิ กี ารจัดกระบวนการสอนที่เน้นผเู้ รยี นเป็นศนู ย์กลาง
ขั้นตอนกระบวนการสอนทเ่ี น้นผเู้ รียนเป็นศูนยก์ ลาง มดี ังน้ี คอื
1. ขั้นนำ
- สรา้ ง/กระตุ้นความสนใจ หรือ
- เตรียมความพร้อมในการเรียน
2. ขัน้ กจิ กรรม
จดั กิจกรรมทีใ่ หผ้ เู้ รยี นบรรลุวตั ถุประสงค์ โดยกิจกรรมควรมีคณุ สมบตั ิดังนี้
- ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดส้ ร้างความรูด้ ว้ ยตนเอง (Construct)
- ช่วยใหผ้ ู้เรยี นได้มีปฏิสมั พนั ธ์ช่วยกันเรยี นรู้ (Interaction)
- ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนมีบทบาทและสว่ นร่วมในการสรา้ งความรดู้ ้วยตนเอง (Participation)
- ช่วยใหผ้ ้เู รียนไดเ้ รียนรกู้ ระบวนการ (Process) ควบคูก่ ับผลงาน (Product)
- ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปใช้ (Application)
3. ข้ันวเิ คราะห์ อภปิ รายผลจากกจิ กรรม
- วเิ คราะห์ อภปิ รายผลงาน/ข้อความรทู้ สี่ รปุ ไดจ้ ากกิจกรรม (Product)
- วิเคราะห์ อภิปรายกระบวนการเรียนรู้

4. ขั้นสรุป และประเมนิ ผลการเรยี นรตู้ ามวัตถุประสงค์

ยทุ ธวธิ สี ง่ เสริมการคิด
การสอนที่มีคุณภาพ คือการสอนให้ผู้เรียนสามารถ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และความสามารถในการ

คิดของคนเรานี้โดยทั่วไปเชื่อว่าอยู่ทีส่ มอง คนเก่งมักได้รับการยกย่องว่ามีมันสมองดี นักวิทยาศาสตร์พบว่าการทำให้
คนมีสมองดีนั้น ทำได้โดยการกระตุ้นให้มีการขยายสาขาของประสาท (Neural branching) เพื่อสร้างจุดต่อ
(synapses) ระหว่างเซลล์ให้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้มีการส่งต่อสัญญาณได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพสูงขึ้นนั่นเอง

15 15

Cardellichio และ Field (อ้างถงึ ใน สรุ ศักดิ์, 2540, น.21-24) ไดเ้ สนอแนะแนวทางในการทำใหส้ มองมปี ระสิทธิภาพ
ไว้ 7 วธิ ี ซงึ่ สามารถนำไปใช้ในหอ้ งเรยี นได้โดยใหด้ ำเนินการ ดงั นี้

1. ฝึกการคดิ แบบสมมติฐาน (Hypothetical thinking)
2. ฝกึ การคิดกลบั ทศิ ทาง (Reversal)
3. ฝกึ การใช้แบบสัญลักษณใ์ หม่ (Application of different symbol)
4. ฝกึ การอุปมาอุปมยั (Analogy)
5. ฝกึ การวิเคราะห์แนวความคิด (Analysis point of view)
6. ฝกึ การเติมให้สมบูรณ์ (Completion)
7. ฝกึ วเิ คราะห์ความเก่ียวโยง (Web analysis)
ผู้ที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูทุกท่าน ล้วนแต่มีความต้องการให้ ลูกศิษย์ประสบผลสำเร็จในการเรียน
และในชีวิตของเขาทั้งสิ้น ความสำเร็จนั้นได้มีการทดสอบจนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากครู-
อาจารย์ผู้สอนอยู่ด้วย ดังนั้นเมื่อรู้แล้วว่าพฤติกรรมการสอนใดที่จะส่งผลต่อพวกเขา จึงเป็นสิ่งที่ต้องตระหนักและให้
ความสำคัญอย่างยิ่ง มีคำกล่าวว่า "การพัฒนาชาติให้เริ่มที่ประชาชน จะพัฒนาคนให้เริ่มที่ใจ จะพัฒนาอะไรให้เริ่มที่
ตวั เองก่อน" ทา่ นจะเปน็ ครู-อาจารย์แบบใดก็ตามตวั ท่านเองน่ันแหละรู้ดีท่ีสุด และพฤตกิ รรมใดๆ ที่ท่านแสดงออกมา
ย่อมทำใหบ้ งั เกิดผลอย่างใดอยา่ งหน่งึ เสมอ

สรุปกล่าวได้ว่า บทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของครูเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการประกอบวิชาชีพครู

และการดำรงความเป็นครูของครูแต่ละคน ครูยังมีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาอยู่เสมอ ถือได้ว่าเป็นบทบาทและ
หน้าที่โดยตรงของครู การศึกษาถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และครูส่วนใหญ่ยังคง
ปฏบิ ตั ิหน้าท่ดี ้วยความเป็นครูอยา่ งสมบรู ณ์ งานครูอาจกำหนดได้ว่ามีงานสอน งานอบรม และงานพัฒนาศิษย์ให้บรรลุ
ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและแผนการศึกษาแห่งชาติ บทบาทหน้าที่ของครูสามารถแบ่งได้ 3 ประการ คือ
1) บทบาทหน้าที่ต่อตนเอง 2) บทบาทหน้าที่ต่อผู้เรียน และ 3) บทบาทหน้าที่ต่อสังคม สำนักงานคณะกรรมการ
ขั้นพื้นฐานการศึกษา ได้วางแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของครูอย่างเต็มศักดิ์ศรีและเต็มความภาคภูมิมีอุดมการณ์ครู
อุดมการณ์ครูมีหลักการท่ีจะยึดไว้ประจำใจทุกขณะที่ประกอบภารกิจของครูมีอยู่ 5 ประการ ดงั นี้ 1) เต็มรู้ 2) เต็มใจ
3) เต็มเวลา 4) เต็มคน และ 5) เต็มพลัง ที่มีหลักยดึ ครบเต็ม 5 ประการนี้ ย่อมเป็นครูท่ีมคี รธุ รรม ที่พร้อมจะเป็นผ้ชู ี้
ทางแห่งปัญญา ชี้ทางแห่งชีวิต และชี้ทางแห่งสังคมในอนาคตได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ภาระงานของครู เป็นงานในหน้าที่
ความรับผิดชอบ โดยมีกรอบภาระงานแบ่งออกเป็น 7 ประเภท คือ 1) งานการสอน 2) งานวิจัยและสร้างสรรค์
วิชาการ 3) งานสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน 4) งานทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม 5) งานกิจการและการพัฒนาผู้เรียน
6) งานบริหารจัดการชัน้ เรียน และ 7) งานทมี่ อบหมายใหป้ ฏิบตั ิ

เอกสารอา้ งองิ
กรมวชิ าการ . 2539 . คูม่ ือการพัฒนาโรงเรยี นเขา้ สู่มาตรฐานการศึกษาอันดับท่ี 15 . ม.ป.ท. (อดั สำเนา)
กรมวิชาการ . 2541 . “ทศิ ทางการจดั หลกั สตู รการศึกษาขน้ั พื้นฐาน”. เอกสารประกอบการสัมมนาเชิงวิชาการ

ระดมความคิดเหน็ , 26 กมุ ภาพนั ธ์ 2541 ณ โรงแรมสยามซติ ี้ กรงุ เทพฯ. (อัดสำเนา)
จงกล พูลสวสั ดิ์. 2541 . รปู แบบการเรยี นของนสิ ิต: ศึกษาเฉพาะกรณนี สิ ติ สาขาศกึ ษาศาสตร์-เกษตร. กรุงเทพฯ,

น.วทิ ยานิพนธป์ ริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

16 16

จุมพต พุ่มศรพี านนท์. 2531. องค์ประกอบที่มอี ิทธพิ ลต่อผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าสัตววทิ ยาของนักศึกษาระดบั
ประกาศนียบตั รวิชาชพี ชนั้ สงู วิทยาเขตเกษตร พระนครศรีอยธุ ยา. กรงุ เทพฯ, น.วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาโท,
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. อ้างถึง H. Maddox. 1965. How to study London, น.The English
Language Book Society.

ทิศนา แขมณี และคณะ. 2540 . “การเรยี นรูเ้ พ่ือพัฒนากระบวนการคดิ ”. วารสารครุศาสตร์. 26(กค.-ตค.)35-60.
นฤมล ยุตาคม . 2541 . “แนวทางการปฏริ ูปกระบวนการเรียนรู้, น.การให้ผู้เรียนไดป้ ฏบิ ตั จิ ริง” สาระการศกึ ษา

“การเรยี นการสอน”. กรงุ เทพฯ, น.คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
สิรพิ ร ทพิ ยค์ ง . (มปป.) . ความเป็นครู . ภาควชิ าการศกึ ษา, คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

(เอกสารโรเนยี ว)
สรุ ชาติ สงั ข์รุ่ง. 2541. “ผลงานทางวิชาการตามสภาพจรงิ ”. วารสารข้าราชการครู. 5 (มยิ .-กค.), น.15-23.
สุรศักดิ์ หลาบมาลา . 2540 . “ยทุ ธวิธสี ่งเสริมการคดิ ” ศึกษาศาสตร์ปรทิ ัศน์. 12 (กันยายน-ธันวาคม 2540) 21-24

อา้ งถึง Cardellichio Thomas and Wendy Fild . 1997 . “Seven Strategies that Encourage
Neural Branching” Educational Leadership. pp. 33-36
หทัยรตั น์ เทพสถติ ย์. 2542 . รูปแบบการเรยี นการสอนในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี กล่มุ ภาคตะวันออก.
กรุงเทพฯ, น.วิทยานิพนธป์ ริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
อดุลย์ วริ ิยเวชกุล . 2541 . คมู่ อื การจัดการเรียนการสอนระดับบณั ฑิตศึกษา . บณั ฑิตวิทยาลยั ,
มหาวิทยาลยั มหิดล.
อุไร พลกล้า และ ศภุ มาศ ณ ถลาง . 2539 . “ทำไมจงึ ต้องนกั เรียนเป็นศูนย์กลาง” . กรุงเทพฯ, น.หนว่ ย
ศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา. (อดั สำเนา)

17
17

บทท่ี 2
การปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ

รองศาสตราจารย์ ดร.นิรันดร์ สธุ นี ริ นั ดร์

จรรยาบรรณวชิ าชีพครู

มตคิ ณะกรรมการคุรสุ ภาในการประชมุ ครั้งท่ี ๑๐/๒๕๔๘ วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๘ โดยความเห็นชอบของ
รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงศกึ ษาธกิ าร คณะกรรมการคุรุสภาจงึ ออกขอ้ บงั คับคุรสุ ภา
วา่ ดว้ ยจรรยาบรรณของวิชาชีพไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ (คุรสุ ภา, 2554 : ออนไลน์)

ขอ้ ๑๓ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ตอ้ งประพฤติตนตามจรรยาบรรณของวชิ าชีพและ
แบบแผนพฤตกิ รรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ

จรรยาบรรณของวิชาชีพ แบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณ และการประพฤติผดิ จรรยาบรรณ พ.ศ.
๒๕๕๔

หมวด ๑ จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง
ผู้ประกอบวิชาชพี ต้องมีวินัยในตนเอง มีความตระหนักในความสำคัญของพื้นฐานทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์
ค่านิยม และความเชื่อของตนที่อาจมีผลเสียต่อการปฏิบัติงานวิชาชีพ และมีการพัฒนาตนเองทางวิชาชีพอย่าง
ตอ่ เนือ่ ง
พฤติกรรมทพี่ ึงปฏบิ ตั ิ
(๑) อทุ ิศตนในการปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีภายในขอบเขตของวิชาชีพ และมีความรับผิดชอบต่อผลทเี่ กดิ ขน้ึ
(๒) กับประสิทธิผลในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมใด ๆ ที่นำไปสู่การ
ปฏิบตั วิ ิชาชพี ทไี่ ม่เหมาะสมหรอื สรา้ งความเสียหาย
(๓) มุง่ ม่นั ในการรักษาสมรรถนะและความคดิ รเิ ร่ิมทางวิชาชีพของตนเอง
(๔) ติดตามความกา้ วหน้าในศาสตรแ์ ละวิชาชพี เพือ่ ใหเ้ กดิ ความงอกงามทางวชิ าชีพอย่าง
ต่อเนอ่ื ง
พฤติกรรมทพ่ี ึงละเวน้ การปฏิบัติ
(๑) เก่ยี วขอ้ งกบั อบายมุขหรือสงิ่ เสพตดิ
(๒) การลว่ งละเมดิ ทางเพศ หรอื มคี วามสัมพนั ธ์ทางเพศกบั ผเู้ รยี น หรอื กบั ผู้อื่น ซ่งึ ไมใ่ ชค่ สู่ มรสของตน
(๓) ขาดความตั้งใจ เอาใจใส่ ความใคร่ครวญ ความกระตือรือร้น หรือความรับผิดชอบจนเกิดความ
เสยี หายในการปฏบิ ตั งิ านวิชาชพี
หมวด ๒ จรรยาบรรณต่อวชิ าชีพ
ผู้ประกอบวิชาชีพต้องพยายามทกุ วิถีทางที่จะยกระดับมาตรฐานวชิ าชีพ สงเสริมบรรยากาศทีจ่ ะกระตุน้ การ
พัฒนาการวนิ ิจฉัยทางวิชาชีพ จงู ใจใหบ้ คุ คลทม่ี ีค่าให้มีความเชื่อม่ันในวิชาชีพ และช่วยปอ้ งกันมิให้ผู้ที่มีคุณสมบัติไม่
เหมาะสมเขา้ สวู่ ิชาชีพ
พฤตกิ รรมท่พี ึงปฏิบตั ิ
(๑) ไม่สร้างรายงานที่เป็นเท็จหรือเจตนาปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสมรรถนะและคุณสมบัติของตนในการ
สมัครเขา้ สตู่ ำแหนง่ ทางวชิ าชีพ
(๒) ไม่เป็นตวั อยา่ งที่ผิดหรือตวั อยา่ งไมด่ ีทางวิชาชพี

18 18
(๓) ไม่ช่วยเหลือบคุ คลทีม่ คี ณุ สมบตั ิไมเ่ หมาะสมเขา้ สวู่ ชิ าชีพ
(๔) ไม่รับของขวัญ เงินรางวัล หรือการสนับสนุนใดๆ ที่จะมีผลเสียต่อการตัดสินใจ หรือการปฏิบัติทาง
วชิ าชพี
(๕) แสดงความช่นื ชมศรทั ธาในคุณค่าของวชิ าชีพ
(๖) รักษาชื่อเสียงและปกป้องศกั ดิ์ศรแี ห่งวิชาชีพ
(๗) ไมน่ ำผลงานทางวชิ าการของผอู้ ื่นมาเปน็ ของตนโดยมชิ อบ
(๘) ให้เกียรติและอ้างถึงบุคคลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาใช้ในผลงานวิชาการของตนเอง และแสดง
หลกั ฐานของกสรค้นควา้ ไว้อยา่ งชดั เจน
(๙) เสนอผลงานตามความเปน็ จรงิ ไม่ขยายขอ้ คน้ พบโดยปราศจากการตรวจสอบยืนยนั ตามหลกั วชิ าการ
(๑๐) ในผลงานไปใชป้ ระโยชน์ตอ่ วชิ าชีพในทางทีช่ อบธรรมและชอบดว้ ยกฎหมาย
พฤตกิ รรมที่พึงละเว้นการปฏบิ ตั ิ
(๑) ผกู พันกับการประกอบการงานอ่ืนท่ีมีผลเสยี ตอ่ ประสิทธิผลของการปฏบิ ัติงานวิชาชพี
(๒) เข้าสู่ตำแหน่งทีม่ ีข้อสัญญา เงือ่ นไข นโยบาย และการปฏบิ ัตทิ ่ีไมเ่ อ้อื ต่อภาพลักษณ์ของวิชาชพี
(๓) ใช้ความรู้ทางวิชาการ หรือวิชาชีพ หรืออาศัยองค์กรวิชาชีพแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเอง หรือผู้อ่ืน
โดยมิชอบ
(๔) แสดงออกโดยการส่อื สารหรือมพี ฤติกรรมซึ่งนำความเสื่อมเสียต่อวิชาชพี
(๕) นำผลงานของตนไปตีพมิ พใ์ นวชิ าการมากว่างหนึ่งแหล่งในลักษณะท่ีทำให้เขา้ ใจผดิ ว่า
เปน็ ผลงานใหม่
(๖) จงใจเบีย่ งเบนผลการวจิ ัยโดยหวังผลประโยชน์สว่ นตัวหรือสรา้ งความเสยี หายแกผ่ ู้อน่ื
(๗) ละเลยหรือละเมิดสทิ ธิสว่ นบคุ คลของผู้อ่นื และสิทธิมนุษยชนเพ่ือให้ได้มาซ่งึ ผลงานวชิ าการ
หมวด ๓ จรรยาบรรณต่อผรู้ ับบรกิ าร
ผู้ประกอบวิชาชีพต้องมุ่งมั่นในการช่วยผู้เรียนแต่ละคนให้ มีศักยภาพเป็นสมาชิกที่มีค่าและน่ายกย่องของ
สังคมกระตุ้นจิตวิญญาณของความอยากรู้อยากเห็น การเข้าถึงความรู้และความเข้าใจและการคิดไตร่ตรองเพ่ือ
กำหนดเป้าประสงค์ทม่ี ีตอ่ สงั คม
พฤตกิ รรมทีพ่ งึ ปฏบิ ตั ิ
(๑) ไมข่ ัดขวางผเู้ รยี นในการปฏิบัติการอยา่ งอิสระเกย่ี วกบั การเรียนรู้โดยไม่มีเหตุผลอันควร
(๒) ไม่ปฏเิ สธผเู้ รียนในการเข้าถึงมมุ มองทห่ี ลากหลายโดยไมม่ เี หตุผลอนั สมควร
(๓) ไม่ปิดบงั หรือบดิ เบือนอยา่ งจงใจในเรอ่ื งราวหรอื ประเดน็ เกีย่ วกบั ความก้าวหนา้ ของผูเ้ รียน
(๔) พยายามปกป้องผูเ้ รยี นใหม้ สี ภาพการเรียนร้ทู ่ปี ลอดภัย
(๕) ไม่ทำให้ผูเ้ รยี นเกิดความอบั อายหรอื ได้รับการดูหมนิ่ โดยตง้ั ใจ
(๖) รัก เมตตา เอาใจใส่ผู้เรียนทุกคนโดยเสมอหน้า ไม่เลือกปฏิบัติ หรือกีดกัน หรือให้สิทธิพิเศษแก่
ผู้เรยี นคนใดคนหน่งึ ในการมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมการเรยี นร้หู รือกิจกรรมทางสงั คม
(๗) ไม่ใชค้ วามสัมพนั ธท์ างวิชาชพี กบั ผู้เรียนเพื่อผลประโยชนส์ ว่ นตวั
(๘) ไม่เปิดเผยข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับผู้เรียนที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่บริหารทางวิชาชีพ เว้นแต่การ
เปิดเผยตามเกณฑ์ของวชิ าชพี หรอื บทบญั ญตั ิของกฎหมาย
(๙) ไมเ่ ปน็ ปฏิปักษต์ ่อความเจรญิ เติบโตของผเู้ รียนทง้ั ทางกาย สตปิ ญั ญา จิตใจ อารมณ์ และสงั คม
พฤติกรรมท่พี ึงละเวน้ การปฏบิ ตั ิ
(๑) ใช้ความรุนแรงต่อผเู้ รียนทัง้ กาย วาจา และจิตใจ

19
19

(๒) ลงโทษผ้เู รียนอยา่ งไมเ่ หมาะสม
(๓) ดูถูกเหยียดหยามและนินทาผู้เรียน
(๔) การสอนหรือการอบรมผู้เรียนเพื่อกระทำการที่รู้อยู่ว่าผิดกฎหมาย หรือฝ่าฝืนศีลธรรมอันดีของ
ประชาชนอย่างรา้ ยแรง
หมวด ๔ จรรยาบรรณตอ่ ผู้ประกอบวิชาชพี
ผู้ประกอบวิชาชีพต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ประกอบวิชาชีพบนฐานของ ความซื่อสัตย์ศักดิ์ศรี การ
เคารพซ่ึงกันและกนั รวมทั้งการทำงานร่วมกันอย่างสรา้ งสรรค์ บนหลกั การของเหตผุ ลคุณธรรมและความสมานฉนั ท์
พฤตกิ รรมทพี่ งึ ปฏบิ ัติ
(๑) ไมส่ ร้างรายงานเท็จหรอื มุง่ รา้ ยผูร้ ่วมประกอบวิชาชีพ
(๒) ไม่เปิดเผยข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับผู้ร่วมประกอบวิชาชีพที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่บริการทางวิชาชีพ
เวน้ แต่การเปดิ เผยตามเกณฑ์ของวิชาชพี หรอื บทบัญญัตขิ องกฎหมาย
(๓) ไมท่ ำให้ผูป้ ระกอบวชิ าชีพเกดิ ความอบั อาย หรอื ได้รบั การดหู มนิ่ โดยต้ังใจ
(๔) ไม่บดิ เบือนอย่างจงใจในเรื่องราวหรอื ประเด็นเก่ยี วกบั การปฏบิ ตั งิ านของผูร้ ว่ มประกอบ
วิชาชพี
(๕) ไมเ่ ลอื กปฏบิ ัติ หรือกดี กนั หรอื ใหส้ ทิ ธิพิเศษแก่ผปู้ ระกอบวชิ าชีพคนใดคนหน่ึง
(๖) ไม่นินทาหรอื เปน็ ปฏิปักษ์ต่อผ้รู ่วมประกอบวิชาชพี ทง้ั กาย วาจา
พฤตกิ รรมท่พี ึงละเว้นการปฏบิ ัติ
(๑) ปิดปังข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการปฏิบัติงานจนทำให้เกิดความเสียหายต่อการงานหรือผูร้ ่วมประกอบ
วชิ าชีพ
(๒) ปฏิเสธความรับผิดชอบในการปฏิบัติงานวิชาชีพแล้วตำหนิและให้ร้ายผู้ร่วมประกอบวิชาชีพในความ
เสียหายท่เี กิดข้นึ โดยไม่มเี หตุผลอนั สมควร
(๓) สร้างกลุ่มอทิ ธิพล หรอื กลนั่ แกลง้ ผู้ร่วมประกอบวิชาชพี ให้เกิดความเสยี หายหรือแตกความสามัคคี
หมวด ๕ จรรยาบรรณต่อสงั คม
ผู้ประกอบวชิ าชีพตอ้ งอุทิศตามหลักการของประชาธิปไตยแบบมสี ่วนร่วมในการพัฒนานโยบายสาธารณะกบั
พลเมืองทุกคน รับผิดชอบในการมีส่วนร่วมพัฒนานโยบายและหลักสูตรการศึกษา รวมทั้งการนำไปสู่การปฏิบัติ
เพื่อการพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข การพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง
และการพฒั นาทีย่ ง่ั ยนื ของประเทศ
พฤติกรรมท่ีพึงปฏิบตั ิ
(๑) ร่วมรับผดิ ชอบในการพฒั นาการเมืองตามหลักของประชาธิปไตยแบบมสี ่วนรว่ ม และความเป็นพลเมือง
คณุ ภาพในระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข
(๒) รว่ มรบั ผิดชอบในการพฒั นานโยบายสาธารณะกบั พลเมอื งทกุ คน
(๓) รับผดิ ชอบในการพฒั นานโยบายและหลกั สูตรสถานศึกษาเพ่อื ปวงชน
(๔) ยอมรบั สิทธขิ องสาธารณชนในการมีสว่ นรว่ มกำหนดนโยบายและหลกั สูตรการศกึ ษา
(๕) ประเมินสภาพการศึกษาในเขตการศึกษา หรือสถานศึกษาด้วยวิธีการทางวิชาการที่เหมาะสมเพื่อให้
ทราบจดุ บกพรอ่ งท่สี ำคัญ และลงมือแก้ไขอย่างเหมาะสม
(๖) รับผดิ ชอบในการนำนโยบายสู่การปฏบิ ัติ
(๗) ปกปอ้ งหลักสูตรการศกึ ษามิให้เกิดการลว่ งล้ำ การฝ่าฝนื หรอื การละเมดิ ทไี่ มพ่ งึ ประสงค์

20 20
(๘) ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษาตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ให้สอดคล้องกับนโยบาย กฎหมาย
ระเบยี บ และหลกั การทดี่ ี
พฤติกรรมทีพ่ งึ ละเวน้ การปฏบิ ัติ
(๑) การใช้ตำแหนง่ หน้าท่ีสนบั สนนุ พรรคการเมืองละผูส้ มัครทางการเมืองโดยมกี ารเลือก
ปฏบิ ัติ หรือการใหส้ ทิ ธพิ เิ ศษ หรอื ไม่ถูกตอ้ งตามทำนองครองธรรม
(๒) สนับสนุนหรือสร้างกลุ่มอิทธิพลเพื่อต่อรองผลประโยชน์ส่วนตัว หรือให้เกิดความเสยี หายต่อการอยู่ดมี ี
สขุ ของสังคม
(๓) การปฏิบัติตนเปน็ ปฏปิ กั ษ์ต่อวฒั นธรรมอนั ดงี ามของสงั คม
(๔) การปฏบิ ตั ิตนไม่เป็นแบบอยา่ งทด่ี ีในการพัฒนาทยี่ งั ยนื
หมวด ๖ การประพฤติผิดจรรยาบรรณ
การประพฤติผิดจรรยาบรรณในข้อตอ่ ไปนี้ เปน็ การกระทำผดิ จรรยาบรรณอยา่ งรา้ ยแรง
(๑) การลว่ งละเมดิ ทางเพศหรอื มคี วามสมั พันธท์ างเพศกบั ผเู้ รียน หรือกับผู้อื่น ซึง่ ไมใ่ ช่คู่สมรสของตน
(๒) การนำผลงานทางวิชาการของผอู้ น่ื มาเป็นของตนโดยมชิ อบ
(๓) การรับของขวัญ เงินรางวัล หรือการสนับสนุนใดๆ ที่จะมีผลเสียต่อการตัดสินใจ หรือการปฏิบัติทาง
วชิ าชีพ
(๔) เปดิ เผยข้อมูลสารสนเทศเกย่ี วกบั ผู้รว่ มประกอบวิชาชีพทไ่ี ด้จากการปฏิบัติหนา้ ทบี่ ริการทางวชิ าชพี เว้น
แตก่ ารเปดิ เผยตามเกณฑ์ของวชิ าชพี หรอื บทบัญญตั ขิ องกฎหมาย
(๕) การสอนหรือการอบรมผู้เรียนเพื่อกระทำการที่รู้อยู่ว่าผิดกฎหมาย หรือฝ่าฝืนศีลธรรมอันดีของ
ประชาชนอยา่ งรา้ ยแรง
(๖) การกระทำความผิดอืน่ ทคี่ รุ สุ ภากำหนด
ผู้ประกอบวิชาชพี ทีท่ ำผิดจรรยาบรรณ จะไดร้ กั การพจิ ารณาโทษตามที่กำหนดไว้ในพระราช
บัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาและข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพ การ
กระทำผิดจรรยาบรรณที่เป็นความผิดวินัยรา้ ยแรง ให้ดำเนินการทางวินัยตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครู
และบคุ ลากรทางการศึกษาและกฎหมายหรือระเบียบทีเ่ กี่ยวข้องดว้ ย
ทั้งนี้ข้อบังคับว่าดว้ ยจรรยาบรรณวชิ าชีพ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เล่ม ๑๓๐ ตอน
พิเศษ ๑๓๐ ง ลงวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ สารสำคัญโดยที่เป็นการสมควรยกเลิกข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วย
มาตรฐานวชิ าชพี และจรรยาบรรณ ของวชิ าชพี พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งมีรายละเอยี ดดังปรากฏในภาคผนวก ก

การพัฒนาวชิ าชีพครู

ความสำคัญของการพัฒนาวิชาชีพครูเพื่อพร้อมรับกับการปฎิรูปการศึกษา เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นตอน
หนึ่งในการบริหารงาน แม้ว่ากระบวนการจัดหาบุคคลเข้าทำงานนั้นจะได้มีการสรรหาและผ่านกระบวบการคัดเลือก
มาอย่างดีแล้วก็ตาม มิได้หมายความว่าบุคลากรเหล่านั้นจะเป็นบุคลากรที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพในการ
ทำงาน จำเป็นต้องมีการพัฒนาบุคลากรให้สามารถเพิ่มพูนความรู้ทักษะในการทำงานและสามารถปรับตัวให้
เปล่ียนแปลงสอดคลอ้ งกนั ความเจรญิ ทางวิทยาการ ตลอดจนลักษณะหน้าทก่ี ารงานและตำแหนง่ ทเ่ี ปลยี่ นไปในวิถีทาง
ทีก่ า้ วหน้าข้ึน

ความหมายของการพฒั นาครู
คำหมาน คนไค (2543 : 82-84) ใหค้ วามหมายการการพัฒนาตนเองของครูว่าเป็นการพฒั นาความรู้ และ
ทักษะในวิชาชีพ ให้ลึกซึ้งและกว้างขวางและพัฒนาให้ก้าวทันโลกและความก้าวหน้าของวิทยาการในของแต่ละ

21 21
สาขาวิชา แต่วิชาก็มีองค์ความรู้และทักษะเฉพาะของตน เช่น การประมวลข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนจิตวิทยาและ
พัฒนาการของผเู้ รียน การวเิ คราะห์ผเู้ รียน การจดั การเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกบั ผู้เรียน การสร้างองคค์ วามรดู้ ้วยกิจกรรม
ต่างๆ การส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง การตั้งคำถามเพื่อฝึกความคิด การส่งเสริมให้ผู้เรียนฝกึ คิด
วเิ คราะห์ การจดั ทำหลักสูตรและแผนการสอน การสอนที่ยึดผเู้ รยี นเป็นสำคญั เมือ่ ครมู ีความรู้ความเขา้ ใจและได้รับ
การพัฒนาครกู ็สามารถสอนโดยยดึ ผูเ้ รยี นเปน็ สำคญั ไดอ้ ยา่ งดี

อมรวิชช์ นาครทรรพ์ (2544 : 3) ได้กล่าวถึงความร้สู มยั ใหม่ทค่ี รรู ุ่นใหมต่ ้องขวนขวายหา
เพอื่ พฒั นาตนเองใหเ้ ปน็ ครูยุคปฎิรูป ความรเู้ กี่ยวกับเทคนิคการสอนแนวใหม่ ความรูห้ ลักจติ วิทยา ความรู้เกี่ยวกับ
คอมพิวเตอร์ ความรู้เกี่ยวกับการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนทั้งหลายที่กล่าวมาล้วนสัมพันธ์และสอดคล้องกัน
ครยู ุคใหมต่ อ้ งได้รบั การพัฒนาหรือพฒั นาตนเองจงึ จะมีความพร้อมทส่ี อนผเู้ รียนเป็นสำคญั ได้

สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2541 : 38) กลา่ วว่า ปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ทที่ ันสมัย ครูย่อมต้องมกี ารพัฒนาและปรับปรงุ ตนเองให้ทนั โลกทนั เหตการณ์ รัจกั ใชเ้ ทคโนโลยสี มัยใหม่ รู้จักคน้ ควา้
หาความรู้ที่เป็นวิทยาการใหม่ๆ รวมทั้งวิธีสอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วนตนเองได้มิใช่เพียงถ่ายทอด
ความรูเ้ ดิมๆของครูใหแ้ ก่ศิษยเ์ ท่านั้น บทบาทของครูจึงต้องเปล่ียนไปจากเดิม เพราะการเรียนการสอนในปัจจุบันครู
จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นอย่างมาก เพื่อสอนให้ผู้เรียนคิดสร้างสรรค์ รู้จักแก้ปัญหา ร้จักศึกษาค้นคว้าในทุกรูป
แบบอย่างฉลาดและมีความสุข ในขณะเดียวกันครูซึ่งเป็นผู้สอนก็ต้องฉลาดและมีความสุขเช่นกัน ครูจึงต้องมีการ
พัฒนาไม่ว่าจะเป็นการอบรม การประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ การศึกษาค้าคว้าตลอดจนการได้รับการนิเทศจากผู้มี
ประสบการณ์ ผู้มีความเชี่ยวชาญในการเรียนการสอน ครูจึงพร้อมที่ถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้เรียนเป็นสำคญั ได้ ถ้าครู
ไม่ได้รับการพัฒนาครยู อ่ มไม่มีความรู้ทีท่ ันสมยั ต่อเหตุการณ์ ที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่ามีความสัมพนั ธ์และสอดคล้องกนั
ดังนั้นครูยุคเทคโนโลยีจึงต้องควรได้รับการพัฒนาเพื่อความพร้อมที่สอนผู้เรียนในยุคใหม่ คือ ยุคผู้เรียนเป็นสำคัญ
นับจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2542 ได้ก่อให้เกิดการ
ตื่นตัวครั้งใหญ่ของครู อาจารย์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาเพราะการศึกษาของประเทศจะต้องมี
การปฎิรูปใหม่ไปสู่การจัดการศกึ ษา อบรม ให้เกิดความรู้คู่คณุ ธรรม สำหรับครตู ้องมีการพัฒนาวิชาชีพครู ครูต้อง
เตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาตนเองอยู่เสมอเพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงและการปฎิรูปการศึกษาที่มุ่งเน้น
พฒั นาศกั ยภาพผเู้ รียนเป็นสำคญั

สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติได้ใหค้ วามสำคัญกับการปฎริ ูปครูเป็นอย่างมากดงั ท่ีได้บรรจุไว้เป็น
แผนงานหลักประการหนึ่งและในแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (2545-2549) กำลังดำเนินการพัฒนา
นโยบายเพื่อนำแผนดงั กลา่ วไปสู่การปฎิบตั ิการอย่างจริงจงั ดงั ทีส่ ำนกั งานเลขาธกิ ารครุ สุ ภา (2543 : 14-16) ไดก้ ลา่ ว
ไว้ 3 เรอื่ ง คอื

1. การผลิตครู การสรา้ งครูยคุ ใหม่ โดยการเปล่ียนแปลงวธิ กี ารสอนจากการเปน็ ครใู นรูปแบบเดิมมาเป็นครู
ที่คอยช่วยอำนวยการในการเรยี น จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง คอยกระตุ้นให้เด็กร้จู ัก
แสวงหาและพฒั นาองค์ความรู้ด้วนตนเองเพ่ือวางรากฐานสำหรับการศึกษาตลอดชวี ิต ครูลกั ษณะน้ีเป็นครูแห่งความ
ดีและมีความรู้ ความสามารถแบบใหม่ การสรา้ งครูลกั ษณะเชน่ นี้ได้ จำเปน็ อย่างยิ่งจะต้องปฎิรปู การเรียนการสอน
ในสถาบันผลิตครูและฝึกอบรมอาจารย์ผู้ผลิตครูด้วย นอกจากนี้รัฐควรเปิดโอกาสให้สถานศึกษา เอกชนได้ผลิตครู
เอง ซงึ่ จะช่วยให้การเปล่ียนแปลงแนวการผลิตครูใหท้ นั กับยคุ สมัยและมีความเป็นไปไดร้ วดเรว็ ข้ึน

2. การพัฒนาครู ต้องจัดให้มกี ารอบรม ณ ท่ีต้งั หรือในสถานศึกษา โดยผบู้ รหิ ารและคณะครูรว่ มกันวางแผน
และดำเนินการในการพัฒนาครู เพอ่ื ให้มคี วามร้แู ละทักษะทจี่ ำเป็นตรงกับความ
ตอ้ งการและงานทป่ี ฎิบตั ริ วมท้งั เปิดโอกาสให้ครไู ด้พฒั นาตนเองอย่างต่อเนือ่ งมากขนึ้

22
22

3. การยกย่องและให้รางวัลกับครูส่วนใหญ่ที่ตั้งใจทุ่มเทและอุทิศเวลาเพื่องานในวิชาชีพ ตลอดจนการที่จะ
รักษาศกั ด์ิศรีในวิชาชีพครไู ว้ มคี วามจำเป็นอย่างยง่ิ

กระบวนการพฒั นาครู
รัฐจะต้องกำหนดเป็นหน้าท่ีให้ครูทุกคนต้องพัฒนาตนเองตามระยะเวลาที่กำหนด โดยการพัฒนาครูสามารถ
ดำเนินการได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การเรียนรู้ด้วยตนเอง การฝึกอบรม การศึกษาดูงาน การศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
การเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการการแลกเปลี่ยนครูอาจารย์ระหว่างสถาบันผลิตครู และสถานศึกษา และการทำงาน
วิจยั หรือรว่ มโครงการวิจัยกบั ผู้เชย่ี วชาญ เนอ้ื หาสาระหรือประเดน็ ของการพัฒนาจะต้องครอบคลุมการพัฒนาวิชาชีพ
ครูทุกด้าน ทั้งลักษณะความเป็นครู วิทยาการการสอน เนื้อหาสาระและประสบการณ์ ทักษะและความชำนาญการ
ต่างๆท่จี ำเปน็ สำหรบั การเป็นครยู ุคใหม่ นอกจากนัน้ รัฐจะต้องกำหนดมาตรการสนับสนุนการพัฒนาครูให้ชัดเจน เพื่อ
แก้ไขขอ้ จำกัดของการพัฒนาครูท่เี ป็นอยู่มาตรการที่สำคัญ ไดแ้ ก่
1. การกำหนดให้มีงบประมาณและวิธีการบริหารงบประมาณที่เหมาะสม เพื่อการพัฒนาครู ด้วยการระดม
ทนุ จากทุกฝ่าย ทัง้ ภาครัฐ ภาคเอกชน และชมุ ชน โดยสรา้ งแรงจูงใจดา้ นภาษแี ก่ผบู้ รจิ าค เพอ่ื จัดต้งั เปน็ กองทุนพัฒนา
วิชาชีพครู และจัดสรรดอกผลจากเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาครูโดยมีจุดเน้นอยู่ที่การให้งบประมาณส่วนใหญ่เกิด
ประโยชนโ์ ดยตรงแก่ตัวครู และครทู ุกคนมีโอกาส
ได้รบั การพัฒนาตามความตอ้ งการจำเป็นของตนอย่างเทา่ เทียมกัน
2. การสนับสนุนให้สถาบันผลิตครู องค์กรวิชาชีพเอกชน และชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาครูในประเด่นที่
เป็นจดุ เนน้ หรือความชำนาญการเฉพาะของแต่ละหน่วยงาน โดยรัฐจะต้องมกี ลไกใน
การกำกับดูแลมาตรฐานการดำเนนิ งานเพือ่ ใหก้ ารรบั รองคุณภาพหรือระงับการดำเนินงาน
3. หน่วยงานผู้ใช้ครูจะต้องกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพครูให้ชัดเจนโดยผูกโยงความก้าวหน้าใน
วิชาชีพและข้นั ตอนเขา้ กับผลการพัฒนาตนเองและการพัฒนางานของครูรวมท้ังประชาสัมพนั ธใ์ หค้ รูทุกคนได้รบั ทราบ
ในการพัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ด้านการเรียนการสอนนั้น อาจ
พิจารณาใน 3 ประเด็นหลัก คอื
1. การสำรวจสภาพความต้องการ การพัฒนาครูอาจารย์ที่เหมาะสมและมีคุณค่านั้นจะต้องตรงกับความ
ต้องการของครูอาจารย์ และสอดคลอ้ งกับจุดมุ่งหมายของสถาบัน และสนองความจำเป็นในสังคมพร้อมกนั ไปด้วยโดย
เหตุนี้เมอื่ เร่ิมตน้ การพฒั นาครูอาจารยค์ วรจะพิจารณาสภาพของสังคม จุดม่งุ หมายของสถาบนั ให้ชดั เจนก่อนว่าสังคม
มีความพร้อมและความต้องการมากมายเพียงใด เมื่อได้ความต้องการของครูอาจารย์แล้ว จึงจะนำข้อมูลเหล่านี้มา
พิจารณา
ดำเนนิ งานด้านการพัฒนาการเรียนการสอนตอ่ ไป
2. เทคนิคการพฒั นาโดยตรง หมายถึง กิจกรรมการดำเนินงานทีผ่ ู้รบั ผิดชอบในการพัฒนาครูอาจารย์ไดจ้ ัด
ข้ึน เพื่อส่งผลโดยตรงตอ่ การเรียนการสอนหรอื การทำงานของครูอาจารย์และ
ครอู าจารย์มสี ว่ นร่วมโดยตรงเช่นกนั เทคนิคเหล่าน้อี าจประมวลเปน็ กลมุ่ ใหญๆ่ ได้คอื
2.1 การประชุมปฏิบัติการ เป็นเทคนิคและกิจกรรมหลักของการพัฒนา การสอนการประชุมปฏิบัติการ
(Work-chop) นี้มีลักษณะที่สำคัญ คือ มีผู้นำการประชุมและสมาชิก ที่เข้าประชุมมีบทบาทในการลงมือปฏิบัติการ
หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง การประชุมจะเป็นระยะสั้น ระยะยาวในสถาบันนอกสถาบันแล้วแต่
ความเหมาะสมของเรอ่ื ง กลุม่ ผ้เู ข้าประชุมคณะวทิ ยากร และขอ้ จำกดั อน่ื ๆ
2.2 การประชาอภิปราย การอภิปรายเป็นกิจกรรมที่ผู้สอนทุกคนสนใจ และคุ้นเคย การอภิปรายมี
ความสำคัญในการพัฒนาการสอนเพราะมีการเชื่อว่าการที่ผู้สอนได้อภิปรายกันอย่างจริงจังและลึกซึ้ง ( In- depth

23 23
Discussion) น้นั จะนำไปสู่การปรับปรุงเปล่ียนแปลง และมีความม่ันใจในการสอนของตนเองดีข้ึน การอภิปรายในที่นี้
ถือว่าผู้เข้าประชุม คือ ครูอาจารย์ผู้สอนเป็นผู้มีประสบการณ์อยู่แล้ว แต่ถ้าได้มีผู้มีพื้นฐานความรู้ด้านนี้มานำการ
อภิปรายและเปิดโอกาสให้ครูอาจารย์ได้เตรียมตัวมาก่อน ก็จะทำให้การอภิปรายไดผ้ ลดีขน้ึ รูปแบบการอภิปรายน้ีจะ
เรยี กวา่ การประชุม การสมั มนา การอภิปรายกลุม่ ย่อย ฯลฯ

2.3 การให้คำปรึกษาหรอื การให้ข้อตชิ ม ( Feedback) รวมทั้งการให้ การเสนอแนะแก่บุคลากร ในเรื่อง
ของการสอนใหค้ ำปรึกษา ให้ขอ้ ติชม แนะนำและชว่ ยแก้ไขในบางเร่ือง การให้เทคนิคนจ้ี ะต้องแนบเนยี นไม่ให้อาจารย์
รู้สึกว่าตนเองมีปัญหา แต่เป็นการช่วยให้ทำดีขึ้นไปกว่าที่เปน็ อยู่และควรเป็นไปโดยสมัครใจ กิจกรรมประเมินผลการ
สอนนั้นไมส่ ้ชู ดั เจนนกั

3. เทคนิคการพฒั นาโดยอ้อม เทคนคิ การพฒั นาโดยอ้อมนเ้ี ปน็ กิจกรรมที่ไมส่ ่งผลโดยตรงต่อการสอน แต่จะ
ส่งผลโดยออ้ มคือทำให้การพฒั นาการสอนดำเนินไปไดด้ ว้ ยดี โดยการนำเทคนิคมาประกอบด้วย

3.1 ผู้บริหารเป็นผู้สนใจในวิชาการ โดยเฉพาะการเรียนการสอน ครูอาจารย์ก็จะมีแนวโน้มสนใจตามไป
ดว้ ย

3.2 ยำ้ และเน้นในเรื่องการสอนอยูเ่ สมอ ครูอาจารยแ์ ละผู้บรหิ ารควรย้ำและเนน้ ในเรื่องความสมั พันธ์ของ
การสอนอยู่เป็นประจำ

3.3 ยกยอ่ งชมเชย และสนทนาในเรือ่ งการสอน และการพฒั นาการสอนเพื่อให้ทุกคนเหน็ วา่ เรื่องของการ
สอนสำคัญ

3.4 จัดสภาพแวดล้อมให้เป็นวิชาการ มีหนังสือ มีข่าวคราว มีรายงาน ความก้าวหน้า ทางวิชาการ มี
ผลงานการสอนดีเดน่ เสนอใหค้ รูอาจารยท์ ราบอยู่เปน็ ประจำ

3.5 ประกาศเกยี รติคณุ ครอู าจารย์ทีด่ เี ด่นประจำปดี ้วยการยกย่องชมเชยมอบรางวลั หรอื เชญิ บคุ คลสำคัญ
มามอบของท่รี ะลกึ เพอื่ ใหค้ รอู าจารย์ภูมิใจในความสำเรจ็ ในการสอนของตน

3.6 บรกิ ารความสะดวกในดา้ นตา่ งๆให้กบั ครู อาจารย์อยา่ งแทจ้ ริง เชน่ การพิมพ์
เอกสารการติดต่อบคุ คล การใชบ้ ริการอุปกรณ์ต่างๆ

3.7 จัดหรือแนะครูอาจารยใ์ หม้ ีโอกาสไปเย่ียมสถาบันอื่นๆเพื่อพบปะแลกเปลีย่ นความคิดเห็น
3.8 เปิดโอกาสให้อาจารย์ได้มีเวลาพักหรือลดชั่วโมงสอนให้น้อยลง เพื่อให้อาจารย์ได้เตรียมตัวสอน ฟื้น
ความรหู้ รอื หาความรู้เพม่ิ เติม
3.9 มีการเปลี่ยนแปลงงาน เปลี่ยนวิธีสอน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนความสนใจแต่ไม่ควรบ่อย
จนเกินไป เพราะจะทำให้ความเชี่ยวชาญเฉพาะขาดหายไป
ในด้านการศึกษา การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา มีจุดประสงค์เพื่อให้บุคลากรในสถานศึกษา และ
ผู้เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา มีคุณภาพมีความรับผิดชอบเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทั้งเชิงบริหารและด้านการ
เรียนการสอน มีคุณธรรม จริยธรรม มีความสำนึกในวิชาชีพครูสามารถถ่ายทอดความรู้ รู้จักคิดเป็นทำเป็นและ
แก้ปัญหาเป็น การพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาจึงมีความจำเป็นและเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งนี้เพราะครูและ
บุคลากรทางการศึกษาถือได้ว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้เรียนอย่างมาก หากครูมีการพัฒนาในทางที่ดีแล้วเชื่อมั่นว่าผลท่ี
ได้รับจะตกถึงตัวผู้เรียนโดยตรง ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษามีประโยชน์และความจำเป็น
อย่างมากเพราะบุคลากรทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้นั้น ประกอบด้วยครู ผู้เรียนบุคลากรแกน
นำปฏิรปู การะบวนการเรยี นรู้ บุคลากรในโรงเรยี นทกุ คน บุคลากรในหนว่ ยงานทางการศึกษาสนบั สนุนการดำเนินงาน
ของโรงเรียน ผูป้ กครองและประชาชนทั่วไป บุคลากรเหล่านี้เปน็ บุคคลสำคัญท่ีจะทำให้การปฏริ ูปกระบวนการเรียนรู้
เกิดผล ดังนั้นบุคลากรกลุ่มนี้ต้องมีความตระหนักในการปฏิรูปการเรียนรู้ เข้าในแนวคิด แนวทางในการปฏิรูป
กระบวนการเรียนรู้สามารถปฏิบัติหน้าที่และภารกิจของตนเองในการดำเนินการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ได้อย่าง

24 24
ถูกต้องเหมาะสม และทส่ี ำคัญคือต้องตระหนักวา่ การปฏริ ูปกระบวนการเรียนรเู้ ปน็ ภารกิจท่หี นักและมีความสำคัญต่อ
การเปลี่ยนแนวทางในการจักการศึกษาของชาติจึงต้องดำเนินการให้เกิดผลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (ดิเรก พรสีมา
และคณะ. 2547 : 3-4)

กลา่ วไดว้ า่ การปฏิรปู กระบวนการเรยี นรู้จะสำเรจ็ ได้อย่างยั่งยนื ถ้าหากบุคลากรทกุ ฝ่ายได้รับการพัฒนาอย่าง
ตอ่ เนอ่ื ง อย่างเปน็ ระบบ โดยเฉพาะการทำใหบ้ คุ ลากรทกุ คนตระหนักในความสำคัญของการปฏริ ปู กระบวนการเรียนรู้
และมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างจริงจังด้วยถอื ว่าเป็นภารกจิ ที่สำคัญจะตอ้ งดำเนินการ หัวใจหลกั ของการพัฒนาครนู ้ัน
ก็คือความคาดหวังให้ครูเป็นผู้สอนให้มีประสิทธิภาพสูง มีความเข้าใจถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนและรู้ว่าจะ
แก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร โดยสรุปแล้วการที่ครูจะสามารถเป็นครูที่มีความสามารถในกระบวนการสอนได้น้ัน
จะต้องเป็นผู้ที่ไม่หยุดยั้งการพัฒนาวิชาชีพของตน ดังนั้นเราจึงกล่าวได้ว่า กระบวนการ พัฒนาวิชาชีพครูนั้นถือเป็น
ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของการปฏริ ูปการศึกษาเพราะเมือ่ ครูมีคุณภาพที่ดีเราก็สามารถมั่นใจได้ว่าคุณภาพ
การศกึ ษาจะดขี น้ึ ดว้ ยเชน่ กัน

องค์กรวิชาชพี ครู : คุรสุ ภา

คุรุสภาเป็นองค์กรหลักของของวิชาชีพครูที่ได้ดำเนินงานมาช้านานมีหลักฐานที่พอจะกล่าวได้ดังน้ี
(สำนกั งานเลขาธิการคุรสุ ภา, 2554 : ออนไลน์)

ประวัตคิ วามเป็นมา
ปีพุทธศักราช 2488 รัฐบาลในสมัยนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีและนายทวี บุณยเกตุ เป็น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาวิกฤติในวิชาชีพครู กล่าวคือ คนดี คนเก่ง ไม่อยากเรียนครู
และครูเก่ง ครูดีมีความสามารถจำนวนมากได้ละทิ้งอาชีพครูไปประกอบอาชีพอื่น จึงได้ตราพระราชบัญญัติครู
พุทธศักราช 2488 ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติวิชาชีพครูดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญคือให้มสี ภาในกระทรวงศึกษาธิการ
เรียกว่า "คุรุสภา" มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจหน้าที่ให้ความเห็นเรื่อง นโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไป
แก่กระทรวง ศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ และส่งเสริมฐานะครู และครอบครัวให้
ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู และทำหน้าที่แทน ก.พ. เกี่ยวกับการ
บรหิ ารงานบุคคล โดยกำหนดใหค้ รทู ุกคนต้องเปน็ สมาชิกครุ สุ ภา
ต่อมาปีพุทธศักราช 2546 รัฐบาลในสมัยของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นนายก รัฐมนตรีและนายปอง
พล อดิเรกสารเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. 2546 ออกมาบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2546 โดยปรับปรุงคุรุสภาเดิมตามพระราชบัญญัติครู
พุทธศักราช 2488 เป็นสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา (The Teachers Council of Thailand) มีชื่อเรียก
เหมือนเดิมวา่ คุรสุ ภา
สัญลกั ษณต์ ราครุ สุ ภา
“ตราคุรุสภาเป็นรูปพระพฤหัสบดี มีความหมายว่า เป็นครูของเทวดาในทางวิชาความรู้ มีกวางเป็นพาหนะ
พระหตั ถ์ขวาถอื ดอกบัว พระหตั ถซ์ า้ ยถอื พระขรรค์กับมรี ศั มีเปน็ ปริมณฑลลอ้ มรอบ”
ตราคุรสุ ภาน้ี ออกแบบโดยพระยาอนุมานราชธนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากรและคณะกรรมการ
อำนวยการคุรุสภาในการประชุมครั้งที่ 8/2488 วันที่ 3 กรกฎาคม 2488 มีมติให้ใช้เป็นตราของคุรุสภา จนถึง
ปัจจบุ นั

25 25
ผู้กอ่ ตัง้ คุรสุ ภา
นายทวี บุณยเกตุ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา (พ.ศ.2487) เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ทาง
การศึกษาที่กว้างไกล ท่านเห็นว่าในขณะทีป่ ระเทศยงั อยู่ในภาวะสงคราม รัฐบาลไม่สามารถปรับปรุงระบบการศึกษา
อย่างถาวรได้ ท่านจึงตัดสินใจพัฒนา “ครู” เป็นอันดับแรก เพราะครูเป็นแกนสำคัญในการบริการการศึกษาของชาติ
จึงเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติครูพุทธศักราช 2488 จัดตั้งคุรุสภาขึ้นในกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีหลักการที่
เป็นสาระสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ 1) เพื่อให้ความคิดเห็นเป็นสภาที่ปรึกษาและรักษานโยบายการ ศึกษาของชาติ 2)
เพือ่ ชว่ ยฐานะครู 3) เพอ่ื ให้ครปู กครองครู
สามคั ยาจารยส์ มาคม
สามัคยาจารย์สมาคมตั้งอยู่ ณ บริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบ เริ่มจัดตั้งเมื่อวันที่ 15 กันยายน ร.ศ.121 (พ.ศ.
2446) แต่ได้จัดเป็นสมาคมอย่างแท้จริง มีการตั้งกรรมการและรับสมัครสมาชิก เมื่อวันที่ 6 มกราคม ร.ศ.123
วัตถุประสงค์ของสมาคมมี 3 ประการ คือ 1) เพื่อเป็นบ่อเกิดแห่งศิลปวิทยา 2)เป็นที่ประชุมข้าราชการและเพื่อน
ขา้ ราชการทว่ั ประเทศ 3)เปน็ ที่ประชมุ จดั กิจกรรมสนั ทนาการ
สมาชิกของสามัคยาจารย์สมาคมในปีแรกมีจำนวน 213 คน มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมทางวิชาการให้แก่
สมาชิกเป็นประจำ สำหรับสมาชิกในต่างจังหวัดจะได้รับความรู้โดยทางหนังสือพิมพ์วิทยาจารย์ ซึ่งเป็นหนังสือ
นิตยสารของสมาคม อาคารสามัคยาจารย์ชั้นล่างใช้เป็นที่ประชุมแสดงปาฐกถาและบรรยายงานวิชาการ ชั้นบนเป็น
ห้องสมุดและที่ทำงานของคุรุสภาระหว่างปี พ.ศ. 2489 - 2502 ต่อมาปี พ.ศ.2502 ระบบการศึกษาเปลี่ยนไป มีการ
ขยายตวั ทางการศกึ ษามากขึ้น สามคั ยาจารยจ์ ึงคบั แคบ รัฐบาลไดม้ ดี ำรจิ ะสรา้ งครุ สุ ภาขนึ้ ใหม่ทีบ่ ริเวณ วงั จนั ทรเกษม
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (นายนาค เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ได้ติดต่อคุรุสภาขอรื้ออาคารสามัคยาจารย์หลังเก่า เพื่อ
ขายอฐิ หักและกากปนู นำเงินมาเป็นทนุ ในการจดั สร้างอาคารเรยี นหลงั ใหมแ่ ละสร้างห้องสมุดของโรงเรียนสวนกุหลาบ
วิทยาลยั ซึ่งเปน็ หอ้ งสมุดท่ที ันสมัยท่ีสุดในยุคนัน้ โดย ม.ล.ปิ่น มาลากลุ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงศึกษาธิการสมัยนั้น
(ท่านเป็นศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย) การรื้ออาคารหลังนี้และสร้างอาคารเรียน 3 ชั้นทำให้มีจำนวนห้องเรียนมาก
ขนึ้ และมหี อ้ งสมุดทที่ ันสมัย ต่อมาไดต้ ่อเตมิ เป็นอาคาร 4 ช้ัน และใชเ้ ปน็ อาคารเรียนมาจนถึงปัจจุบนั
กฎหมายเกี่ยวกับครุ ุสภา
พระราชบญั ญตั สิ ภาครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๖
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นกฎหมายที่บัญญัติข้ึนโดยมีวัตถุประสงค์
สำคัญในการกำหนดให้วิชาชีพทางการศึกษา ได้แก่ วิชาชีพครู วิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา วิชาชีพผู้บริหาร
การศึกษา เป็นวิชาชีพควบคุม และวิชาชีพศึกษานิเทศก์ เป็นวิชาชีพควบคุมอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
เนื่องจากครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษา (ศึกษานิเทศก์) เป็นผู้มีบทบาท
สำคัญต่อการจัดการศึกษาของชาติ จึงต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะเฉพาะในการประกอบวิชาชีพ
ทางการศึกษา มีคุณธรรม จริยธรรม และประพฤติปฎิบัติตนเหมาะสมกับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง โดย
กำหนดใหค้ รุ ุสภาในฐานะสภาวิชาชีพครูควบคุมดแู ลการประกอบวชิ าชีพทางการศึกษาและบคุ ลากรทางการศึกษา มี
อำนาจหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ ควบคุมดูแลการประกอบวิชาชีพทางการ
ศึกษา ออก พักใช้รับรองปริญญาประกาศนียบตั รและวุฒิบตั รทางการศึกษา และรับรองความชำนาญในการประกอบ
วชิ าชีพ โดยมรี ายละเอียดดงั นี้ (ราชกิจจานุเบกษา, 2546)
“วิชาชีพ” หมายความว่า วิชาชีพทางการศึกษาที่ทำหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริม
การเรียนรูข้ องผูเ้ รียนดว้ ยวิธกี ารต่าง ๆ รวมทงั้ การรับผดิ ชอบการบริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาปฐมวยั ขนั้ พ้ืนฐาน
และอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา ทั้งของรัฐ และเอกชน และการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษาในระดับเขตพื้นที่

26 26
การศึกษาตลอดจนการสนับสนุนการศึกษาให้บริการหรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน
การนิเทศและการบรหิ ารการศกึ ษาในหน่วยงานการศกึ ษาต่างๆ

“ผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศึกษา” หมายความว่า ครู ผู้บริหารสถานศกึ ษา ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากร
ทางการศึกษาอื่น ซึ่งได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๔๖

“คร”ู หมายความว่า บคุ คลซงึ่ ประกอบวิชาชีพหลักทางด้านการเรยี นการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของ
ผเู้ รยี นด้วยวิธกี ารต่างๆ ในสถานศกึ ษาปฐมวยั ข้ันพ้นื ฐาน และอดุ มศกึ ษาทตี่ ำ่ กว่าปริญญา ท้ังของรัฐและเอกชน

“ผู้บริหารสถานศึกษา” หมายความว่า บุคคลซึ่งปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาภายในเขตพื้นที่
การศกึ ษา และสถานศึกษาอนื่ ทจี่ ัดการศกึ ษาปฐมวยั ข้ันพนื้ ฐาน และอุดมศึกษาต่ำกวา่ ปริญญา ทงั้ ของรัฐและเอกชน

“ผบู้ ริหารการศึกษา” หมายความว่า บคุ คลซ่ึงปฏบิ ตั งิ านในตำแหน่งผู้บริหารนอก
สถานศกึ ษาในระดับเขตพ้นื ท่ีการศึกษา

“บคุ ลากรทางการศึกษาอ่นื ” หมายความว่า บคุ คลซึง่ ทำหน้าที่สนับสนุนการศึกษา ให้บริการหรือปฏิบัติงาน
เกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศ และการบริหารการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่างๆ ซ่ึง
หน่วยงานการศึกษากำหนดตำแหน่งใหต้ อ้ งมีคุณวฒุ ทิ างการศึกษา

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรวิชาชีพครู ได้แก่ พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ
๒๕๔๖ ในมาตรา ๘ – ๙, มาตรา ๑๒, มาตร๒๐ – ๒๑, มาตรา ๒๕, มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๔, มาตรา ๔๖ - ๕๔ ,
มาตรา ๕๗ - ๕๘ และมาตรา ๖๐ โดยมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี

มาตรา ๘ ครุ สุ ภามีวตั ถปุ ระสงคด์ งั ตอ่ ไปน้ี
(๑)กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาต กำกบั ดูแลการปฏบิ ัติตาม
มาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวชิ าชีพ รวมท้งั การพฒั นาวชิ าชพี
(๒) กำหนดนโยบายและแผนพัฒนาวชิ าชีพ
(๓) ประสาน ส่งเสริมการศึกษาและการวจิ ัยเก่ยี วกับการประกอบวิชาชพี
มาตรา ๙ ครุ สุ ภามอี ำนาจหนา้ ท่ดี ังตอ่ ไปนี้
(๑) กำหนดมาตรฐานวชิ าชีพและจรรยาบรรณของวิชาชพี
(๒) ควบคุมความประพฤติและการดำเนินงานของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐาน
วชิ าชพี และจรรยาบรรณของวชิ าชีพ
(๓) ออกใบอนุญาตใหแ้ กผ่ ูข้ อประกอบวิชาชพี
(๔) พกั ใช้ใบอนุญาตหรือเพกิ ถอนใบอนญุ าต
(๕) สนบั สนุนสง่ เสริมและพัฒนาวชิ าชพี ตามมาตรฐานวิชาชพี และจรรยาบรรณของวชิ าชพี
(๖) สง่ เสริม สนับสนุน ยกยอ่ ง และผดุงเกียรตผิ ้ปู ระกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา
(๗) รบั รองปรญิ ญา ประกาศนียบัตร หรือวฒุ บิ ตั รของสถาบนั ตา่ งๆ ตามมาตรฐาน วชิ าชพี
(๘) รบั รองความรแู้ ละประสบการณท์ างวิชาชีพ รวมท้งั ความชำนาญในการประกอบวิชาชพี
(๙) สง่ เสริมการศึกษาและการวจิ ยั เก่ียวกับการประกอบวชิ าชพี
(๑๐) เป็นตวั แทนผปู้ ระกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษาของประเทศไทย
(๑๑) ออกขอ้ บังคับของครุ ุสภาว่าดว้ ย

(ก) การกำหนดลักษณะตอ้ งหา้ มตามมาตรา 13
(ข) การออกใบอนุญาต อายุใบอนุญาต การพักให้ใบอนุญาต การเพิกถอนใบอนุญาต และการรับรอง
ความรู้ ประสบการณ์ทางวชิ าชพี ความชำนาญในการประกอบวิชาชพี

27 27
(ค) หลักเกณฑ์และวิธกี ารในการขอรบั ใบอนุญาต
(ง) คุณสมบัตแิ ละลกั ษณะตอ้ งห้ามของผู้ขอรบั ใบอนุญาต
(จ) จรรยาบรรณของวิชาชีพ และการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติ
ศักดิ์แห่งวิชาชีพ
(ฉ) มาตรฐานวิชาชพี
(ช) วิธีการสรรหา การเลือก การเลือกตั้ง และการแต่งตั้งคณะกรรมการคุรุสภาและคณะกรรมการ
มาตรฐานวชิ าชีพ
(ซ) องค์ประกอบ หลกั เกณฑ์ วิธกี ารคดั เลือกคณะกรรมการสรรหา
(ฌ) หลักเกณฑ์และวิธกี ารสรรหาเลขาธิการครุ ุสภา
(ญ) การใด ๆ ตามทก่ี ำหนดในพระราชบัญญัตนิ ี้
(๑๒) ให้คำปรกึ ษาหรอื เสนอแนะต่อคณะรฐั มนตรีเก่ียวกบั นโยบายหรอื ปญั หาการพฒั นาวิชาชีพ
(๑๓) ให้คำแนะนำหรือเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพหรือการออกกฎกระทรวง
ระเบียบ และประกาศต่าง ๆ
(๑๔) กำหนดใหม้ ีคณะกรรมการเพ่อื กระทำการใด ๆ อนั อยูใ่ นอำนาจหน้าที่ของ ครุ สุ ภา
(๑๕) ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคุรุสภา ข้อบังคับของคุรุสภาตามข้อ (11) นั้น ต้องได้รับ
ความเห็นชอบจากรัฐมนตรแี ละเมื่อไดป้ ระกาศในราชกิจจานเุ บกษาแล้วใหใ้ ช้บงั คับได้
มาตรา ๑๒ ใหม้ คี ณะกรรมการคณะหนง่ึ เรียกว่า คณะกรรมการครุ สุ ภา ประกอบด้วย
(๑) ประธานกรรมการ ซ่งึ คณะรัฐมนตรแี ต่งตั้งจากผู้ทรงคณุ วฒุ ิทม่ี ีความรู้ความเช่ียวชาญ และประสบการณ์
สูงดา้ นการศกึ ษา มนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ หรอื กฎหมาย
(๒) กรรมการโดยตำแหน่ง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการ
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมการศกึ ษาเอกชน และหัวหนา้ สำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบคุ คลส่วนท้องถิน่
(๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนเจ็ดคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และ
ประสบการณ์สูงด้านการบริหารการศึกษา การอาชีวศึกษา การศึกษาพิเศษมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีและกฎหมายด้านละหนึ่งคน ซึ่งในจำนวนนี้ต้องเป็นผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นครูผู้บริหารสถานศึกษาหรือ
ผ้บู ริหารการศกึ ษาไม่นอ้ ยกวา่ สามคน
(๔) กรรมการซึ่งไดร้ ับแต่งตัง้ จากผู้ดำรงตำแหนง่ คณบดีคณะครุศาสตร์ หรือศึกษาศาสตร์ หรือการศึกษา ซึ่ง
เลอื กกนั เองจากสถาบันอดุ มศึกษาของรฐั จำนวนสามคน และจากสถาบัน อุดมศกึ ษาเอกชนจำนวนหนึง่ คน
(๕) กรรมการจากผูป้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา ซึง่ เลอื กต้ังมาจากผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาจำนวน
สิบเก้าคน ในจำนวนนี้ต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ดำรงตำแหน่งครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหาร
การศกึ ษา และบุคลากรทางการศึกษาอืน่ และมาจากสงั กัดเขตพ้ืนที่การศึกษา สถาบันอาชวี ศึกษา สถานศึกษาเอกชน
และองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ตามสัดส่วนจำนวนผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศึกษา
มาตรา ๒๐ ใหค้ ณะกรรมการครุ ุสภามอี ำนาจหน้าท่ี ดงั ต่อไปน้ี
(๑) บริหารและดำเนินการตามวตั ถุประสงคแ์ ละอำนาจหนา้ ที่ของคุรุสภาซ่งึ กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตนิ ้ี
(๒) ให้คำปรึกษาและแนะนำแก่คณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพ
(๓) พิจารณาวินิจฉยั อุทธรณค์ ำสง่ั ของคณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชพี ตามมาตรา๕๔

28 28
(๔) เร่งรัดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ หรือคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพปฏิบัติตามอำนาจและ
หน้าที่ที่กฎหมายกำหนด
(๕) แตง่ ตง้ั คณะอนกุ รรมการเพอื่ กระทำการใด ๆ อนั อยู่ในอำนาจและหน้าทข่ี องคณะกรรมการครุ ุสภา
(๖) ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป ตลอดจนออกระเบียบข้อบังคับ ประกาศ หรือ
ข้อกำหนดเกย่ี วกบั สำนกั งานเลขาธิการครุ ุสภาในเรื่องดังต่อไปนี้

(ก) การจัดแบง่ สว่ นงานของสำนกั งานเลขาธกิ ารคุรสุ ภาและขอบเขตหนา้ ท่ขี องสว่ นงานดังกลา่ ว
(ข) การกำหนดตำแหน่ง คุณสมบัติเฉพาะ อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และค่าตอบแทนอื่นของพนักงาน
เจ้าหนา้ ที่ของครุ ุสภา
(ค) การคดั เลือก การบรรจุ การแตง่ ต้ัง การถอดถอน วินยั และการลงโทษทางวนิ ัย การออกจากตำแหน่ง
การร้องทุกข์ และการอทุ ธรณ์การลงโทษของเจ้าหน้าท่ี รวมทั้งวธิ ีการเง่อื นไขในการจา้ งพนกั งานเจ้าหน้าทขี่ องครุ สุ ภา
(ง) การบริหารและจัดการการเงิน การพัสดุ และทรัพยส์ ินของคุรุสภา
(จ) กำหนดอำนาจหน้าท่ีและระเบียบเกี่ยวกบั การปฏิบัตหิ น้าที่ของผู้ตรวจสอบภายใน
(๗) กำหนดนโยบายการบริหารงาน และให้ความเห็นชอบแผนการดำเนินงานของสำนักงาน เลขาธิการคุรุ
สภา
(๘) ปฏิบัติการอนื่ ใดตามทกี่ ฎหมายกำหนดไวใ้ ห้เป็นอำนาจและหนา้ ท่ขี องคณะกรรมการ
ครุ สุ ภา
(๙) พิจารณาหรือดำเนินการในเรื่องอื่นตามท่ีรฐั มนตรีมอบหมายคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ได้บัญญัติ
ไวใ้ นมาตรา 21 ถงึ มาตรา 25 ดงั น้ี
มาตรา ๒๑ ใหม้ คี ณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชพี ประกอบดว้ ย
(๑) ประธานกรรมการซง่ึ รฐั มนตรแี ตง่ ตงั้ จากกรรมการผทู้ รงคุณวฒุ ิในคณะกรรมการครุ สุ ภา
(๒) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการ
การอาชวี ศึกษา และเลขาธกิ ารคณะกรรมการขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษา
(๓)กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนที่คนซึ่งคณะกรรมการคุรุสภาสรรหาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความ
เช่ียวชาญ และประสบการณ์สูงด้านการศกึ ษา การบรหิ าร และกฎหมาย
(๔) กรรมการจากคณาจารยใ์ นคณะครุศาสตร์ ศกึ ษาศาสตร์ หรือการศกึ ษา ทั้งของรฐั และ
เอกชนท่มี กี ารสอนระดบั ปรญิ ญาในสาขาวชิ าครศุ าสตร์ ศกึ ษาศาสตร์ หรือการศึกษาซึ่งเลอื กกันเองจำนวนสองคน
(๕) กรรมการจากผ้ปู ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษาจำนวนหกคน ซง่ึ เลือกตั้งมาจากผ้ปู ระกอบวชิ าชีพทางการ
ศกึ ษาท่ดี ำรงตำแหน่งครูที่มีประสบการณด์ ้านการสอนไมน่ ้อยกว่าสบิ ปี หรือดำรงตำแหน่งอาจารย์ 3 หรือมีวิทยฐานะ
เป็นครูชำนาญการขึ้นไป ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาที่มีประสบการณ์ใน
ตำแหน่งไม่น้อยกว่าสิบปี ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารการศึกษาที่มีประสบการณ์ใน
ตำแหน่งไม่น้อยกว่าสิบปี และบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่มปี ระสบการณใ์ นตำแหนง่ ไม่น้อยกว่าสิบปีให้เลขาธิการคุรุ
สภาเป็นกรรมการและเลขานกุ าร
มาตรา ๒๕ คณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพมอี ำนาจและหน้าทดี่ ังต่อไปนี้
(๑) พิจารณาการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และการพักใช้หรือเพิกถอน
ใบอนญุ าต
(๒) กำกบั ดูแลการปฏิบตั ิตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของผู้ประกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา
(๓) ส่งเสริม พัฒนา และเสนอแนะคณะกรรมการคุรสุ ภากำหนดมาตรฐานและจรรยาบรรณในการประกอบ
วิชาชีพ

29
29

(๔) ส่งเสรมิ ยกย่อง และพฒั นาวิชาชีพไปสู่ความเปน็ เลิศในสาขาต่าง ๆ ตามทก่ี ำเนดิ ในขอ้ บังคบั ของคุรุสภา
(๕) แต่งตง้ั ทีป่ รกึ ษา คณะอนกุ รรมการ หรอื มอบหมายกรรมการมาตรูฐานวิชาชีพเพอื่
กระทำการใด ๆ อนั อยใู่ นอำนาจและหนา้ ทีข่ องคณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพ
(๖) ปฏบิ ตั กิ ารอน่ื ใดตามที่กฎหมายกำหนดไวใ้ ห้เป็นอำนาจและหนา้ ที่ของคณะกรรมการ มาตรฐาน วชิ าชพี
(๗) พจิ ารณาหรือดำเนนิ การในเร่ืองอ่ืนตามทีร่ ฐั มนตรหี รือคณะกรรมการคุรสุ ภามอบหมาย
มาตรา ๔๓ ให้วิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษาเป็นวิชาชีพควบคุมตาม
พระราชบัญญัตินี้ การกำหนดวิชาชีพควบคุมอื่นให้เป็นไปตามท่ีกำหนดในกฎ กระทรวงห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชพี
ควบคุม โดยไมไ่ ด้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ เวน้ แตก่ รณีอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ดงั ต่อไปนี้
(๑) ผูท้ ีเ่ ขา้ มาให้ความรูแ้ กผ่ ู้เรียนในสถานศึกษาเปน็ ครง้ั คราวในฐานะวิทยากรพิเศษทางการศึกษา
(๒) ผทู้ ีไ่ มไ่ ดป้ ระกอบวชิ าชพี หลกั ทางด้านการเรียนการสอนแต่ในบางครั้งต้องทำหนา้ ท่ี
สอนดว้ ย
(๓) นักเรียน นักศึกษา หรือผู้รับการฝึกอบรมหรือผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติการสอน ซึ่งทำการฝึกหัดหรือ
อบรมในความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาซึ่งเป็นผู้ให้การศึกษาหรือฝึกอบรม ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์
วธิ ีการ และเงอื่ นไขทค่ี ณะกรรมการครุ ุสภากำหนด
(๔) ผู้ทีจ่ ดั การศึกษาตามอัธยาศยั
(๕) ผู้ที่ทำหน้าที่สอนในศูนย์การเรียนตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติหรือสถานที่เรียนที่หน่วยงาน
จัดการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กร
เอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และ
สถาบนั สังคมอ่ืนเป็นผู้จัด
(๖) คณาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาทั้งของรัฐและ
เอกชน
(๗) ผู้บรหิ ารการศกึ ษาระดับเหนอื เขตพืน้ ที่การศึกษา
(๘) บุคคลอ่ืนตามทค่ี ณะกรรมการครุ ุสภากำหนด
มาตรา ๔๔ ผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพควบคุมต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
(ก) คุณสมบตั ิ

(๑) มีอายุไม่ตำ่ กว่ายส่ี ิบปบี ริบูรณ์
(๒) มวี ฒุ ปิ รญิ ญาทางการศึกษาหรอื เทยี บเท่า หรอื มคี ณุ วุฒิอ่ืนที่ครุ ุสภารบั รอง
(๓) ผ่านการปฏบิ ัติการสอนในสถานศกึ ษาตามหลักสตู รปรญิ ญาทางการศกึ ษาเป็นเวลาไมน่ ้อยกว่าหนึ่งปี
และผา่ นเกณฑ์การประเมินปฏบิ ัติการสอนตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงื่อนไขท่คี ณะกรรมการคุรสุ ภา กำหนด
(ข) ลักษณะตอ้ งหา้ ม
(๑) เปน็ ผูม้ ีความประพฤตเิ ส่อื มเสยี หรือบกพร่องในศลี ธรรมอันดี
(๒) เปน็ คนไรค้ วามสามารถหรือคนเหมือนไร้ความสามารถ
(๓) เคยต้องโทษจำคกุ ในคดที ่ีคุรุสภาเหน็ ว่าอาจนำมาซึ่งความเสือ่ มเสยี เกียรติศักดิ์ แห่ง วิชาชีพ
มาตรา ๔๖ ห้ามมใิ หผ้ ้ใู ดแสดงดว้ ยวธิ ใี ด ๆ ให้ผูอ้ นื่ เข้าใจว่าตนมีสทิ ธิหรอื พร้อมจะประกอบวชิ าชพี โดยไม่ได้
รับใบอนุญาตจากคุรุสภา และห้ามมิให้สถานศึกษารับผู้ไม่ได้รับใบอนุญาตเข้าประกอบวิชาชีพควบคุมในสถานศึกษา
เว้นแตจ่ ะได้รบั อนญุ าตจากคุรสุ ภา
มาตรา ๔๗ ผ้ซู ่ึงไดร้ ับใบอนญุ าตต้องประกอบวิชาชีพภายใตข้ ้อบังคับแหง่ ข้อจำกัดและ

30 30
เงอื่ นไขตามข้อบงั คับของครุ สุ ภา

มาตรา ๔๘ ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตต้องประพฤติตนตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพตามที่กำหนด
ในขอ้ บังคับของครุ ุสภา

มาตรา ๔๙ ใหม้ ีขอ้ บงั คบั วา่ ด้วยมาตรฐานวิชาชพี ประกอบด้วย
(๑) มาตรฐานความรูแ้ ละประสบการณว์ ิชาชีพ
(๒) มาตรฐานการปฏิบตั ิงาน
(๓) มาตรฐานการปฏิบตั ติ น
การกำหนดระดับคุณภาพของมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามข้อบังคับของคุรุ
สภา ท้งั น้ี ตอ้ งจัดให้มีการประเมนิ ระดบั คุณภาพของผู้รับใบอนุญาตอย่างต่อเน่ืองเพื่อดำรงไว้ซ่ึงความรู้ ความสามารถ
และความชำนาญการ ตามระดับคุณภาพของมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คุรุสภา
กำหนด
มาตรา ๕๐ มาตรฐานการปฏิบตั ติ น ให้กำหนดเปน็ ข้อบังคบั ว่าดว้ ยจรรยาบรรณของวชิ าชีพ ประกอบด้วย
(๑)จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง
(๒) จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ
(๓) จรรยาบรรณตอ่ ผรู้ ับบรกิ าร
(๔) จรรยาบรรณต่อผรู้ ่วมประกอบวชิ าชพี
(๕) จรรยาบรรณตอ่ สังคม
การกำหนดแบบแผนพฤตกิ รรมตามจรรยาบรรณของวิชาชพี ตามวรรคหนึง่ ใหเ้ ปน็ ไปตามขอ้ บังคบั ของคุรุสภา
มาตรา ๕๑ บคุ คลซ่ึงได้รบั ความเสียหายจากการประพฤติผิดจรรยาบรรณของวิชาชีพของผู้ได้รับใบอนุญาตมี
สิทธิกลา่ วหาผไู้ ด้รับใบอนญุ าตผ้นู นั้ โดยทำเรือ่ งย่นื ตอ่ ครุ ุสภา
มาตรา ๕๒ เมื่อคุรุสภาไดร้ ับเรื่องการกล่าวหาหรือการกล่าวโทษตามมาตรา ๕๑ ให้เลขาธิการคุรุสภาเสนอ
เรื่องดังกลา่ วตอ่ คณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชพี โดยไม่ชกั ชา้
มาตรา ๕๓ ให้ประธานกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ พร้อมทั้งส่ง
สำเนาเร่อื งทก่ี ล่าวหาหรอื กลา่ วโทษให้ผไู้ ด้รับใบอนญุ าตซึ่งถูกกล่าวหาหรือกล่าวโทษล่วงหน้าไม่น้อยกวา่ สบิ ห้าวันก่อน
เร่มิ พจิ ารณา
มาตรา ๕๔ คณะกรรมการมาตรฐานวชิ าชีพมีอำนาจวนิ จิ ฉัยชข้ี าดอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ดงั ตอ่ ไปนี้
(๑) ยกขอ้ กล่าวหา
(๒) ตกั เตือน
(๓) ภาคทณั ฑ์
(๔) พักใชใ้ บอนุญาตมีกำหนดเวลาตามท่เี ห็นสมควร แต่ไมเ่ กนิ ห้าปี
(๕) เพกิ ถอนใบอนุญาต
มาตรา ๕๗ ผไู้ ด้รับใบอนุญาตซง่ึ ถูกสัง่ เพกิ ถอนจะยื่นขออีกไม่ได้ จนกว่าจะพ้นหา้ ปนี ับแตว่ นั ทีถ่ กู สง่ั เพกิ ถอน
สมาชิกคุรุสภา ได้บัญญัตไิ ว้ในมาตรา๕๘ ถึง มาตรา ๖๑ ดังนี้
มาตรา ๕๘ สมาชิกของครุ สุ ภามสี องประเภท ดงั นี้
(๑) สมาชกิ สามญั
(๒) สมาชิกกิตติมศักด์ิ

การจดทะเบียนเป็นสมาชกิ ใหเ้ ป็นไปตามท่คี รุ ุสภากำหนด
มาตรา ๖๐ สิทธิและหน้าทีข่ องสมาชิกสามญั มีดงั ต่อไปน้ี

31 31
(๑) แสดงความเห็นและซักถามเป็นหนังสือเกย่ี วกบั กิจการของคุรุสภาต่อคณะกรรมการ เพ่อื พจิ ารณา
(๒) เลอื ก รบั เลอื กตัง้ หรอื รับแตง่ ต้งั เปน็ กรรมการตามมาตรา 12 หรอื มาตรา21
(๓) ชำระค่าธรรมเนยี ม ตามประกาศของคุรสุ ภา
(๔) ผดุงไว้ซึ่งเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ และปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้สมาชิกกิตติมศักด์ิ มีสิทธิและหน้าท่ี
เช่นเดียวกบั สมาชิกสามัญ เวน้ แต่สทิ ธิและหน้าที่ตาม (2) และ (3)
ขอ้ บงั คับคุรสุ ภาวา่ ดว้ ยใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพ พ.ศ. ๒๕๔๗
อาศยั อำนาจตามความในมาตรา ๙ (๑๑) มาตรา ๔๕ มาตรา ๘๔ และมาตรา ๘๕ แหง่ พระราชบญั ญตั สิ ภาครู
และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ และมติคณะกรรมการคุรุสภา ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๔๗ วันที่ ๖
กันยายน ๒๕๔๗ โดยความเห็นชอบของรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการคุรุสภาจึงออกข้อบังคับว่า
ด้วยใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพไว้ ดงั ต่อไปนี้
ขอ้ ๑ ข้อบังคับนเี้ รียกวา่ “ขอ้ บงั คับคุรุสภาวา่ ด้วยใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี พ.ศ. ๒๕๔๗”
ขอ้ ๒ ข้อบงั คบั นใ้ี หใ้ ช้บังคบั ตั้งแตว่ ันประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เปน็ ตน้ ไป
ขอ้ ๓ ในข้อบังคบั น้ี
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการคุรุสภา
“เลขาธิการ” หมายความวา่ เลขาธกิ ารคุรสุ ภา
“ใบอนญุ าต” หมายความวา่ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพซง่ึ ออกให้ผ้ปู ฏบิ ตั ิงานในตำแหน่ง
ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากร
ทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖
“คำขอ” หมายความว่า คำขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาต คำขอหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาต
คำขอต่ออายใุ บอนญุ าต แล้วแต่กรณี
“รัฐมนตรี” หมายความวา่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศกึ ษาธิการ
ข้อ ๔ ให้ประธานกรรมการคุรุสภารักษาการตามข้อบังคับนี้ และให้มีอำนาจออกระเบียบ ประกาศ หรือ
คำสั่ง เพื่อปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ รวมทั้งให้มีอำนาจตีความและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาอันเกี่ยวกับการปฏิบัติการตามที่
กำหนดไว้ในข้อบงั คบั
สว่ นท่ี ๑ คณุ สมบตั แิ ละลกั ษณะตอ้ งหา้ มของผขู้ อรับใบอนญุ าต
ขอ้ ๕ ผูข้ อรบั ใบอนญุ าตประกอบวิชาชีพครูตอ้ งมคี ุณสมบตั ิและไม่มลี ักษณะต้องห้าม ดงั ต่อไปน้ี
ก. คณุ สมบตั ิ

(๑) มีอายไุ มต่ ำ่ กว่ายสี่ ิบปีบริบูรณ์
(๒) มีวุฒปิ รญิ ญาทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรอื มคี ุณวุฒอิ น่ื ทค่ี ุรุสภารับรอง
(๓) ผ่านการปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษาตามหลักสตู รปริญญาทางการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
และผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ปฏบิ ัตกิ ารสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขท่คี ณะกรรมการกำหนด
ข. ลกั ษณะต้องห้าม
(๑) เปน็ ผ้มู ีความประพฤติเสอื่ มเสยี หรือบกพร่องในศลี ธรรมอนั ดี
(๒) เปน็ คนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๓) เคยต้องโทษจำคกุ ในคดที ี่ครุ ุสภาเหน็ วา่ อาจนำมาซงึ่ ความเสื่อมเสยี เกยี รติศักดิ์แห่งวชิ าชพี
นอกจากมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคหนึ่งแล้ว กรณีผู้ยื่นคำขอเป็นชาวต่างประเทศต้อง
ผ่านการทดสอบและประเมินความรู้ตามหลกั เกณฑ์และวิธีการทคี่ ณะกรรมการกำหนด
ขอ้ ๖ ผขู้ อรบั ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ผูบ้ ริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาหรือ

32 32
วิชาชีพควบคุมอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง นอกจากมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๕ แล้ว ต้องมี
คุณสมบัติ ดังตอ่ ไปน้ี

(๑) มใี บอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ครู
(๒) มีความรู้และประสบการณ์วิชาชีพตามทค่ี ณะกรรมการกำหนด
สว่ นท่ี ๒ การขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต
ข้อ ๗ ผู้ประสงค์ขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตให้ยื่นคำขอต่อเลขาธิการตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด
พรอ้ มด้วยเอกสารและหลกั ฐาน ดังต่อไปน้ี
(๑) สำเนาทะเบียนบา้ น หรอื สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรอื สำเนาบัตรประจำตวั เจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐ
(๒) สำเนาหลักฐานแสดงวฒุ ิการศึกษา
(๓) หลักฐานแสดงความรแู้ ละประสบการณต์ ามทีค่ ณะกรรมการกำหนด (ถ้าม)ี
(๔) รปู ถ่ายหน้าตรงครงึ่ ตัว ไม่สวมแวน่ ตาดำ ขนาด ๑ น้ิว ซ่ึงถา่ ยไว้ไมเ่ กนิ หกเดอื น จำนวน ๒ รูป
ข้อ ๘ ผู้ประสงค์ขอรับหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาต ให้ยื่นคำขอต่อเลขาธิการตามแบบที่
คณะกรรมการกำหนด
ข้อ ๙ ครูซึ่งเป็นสมาชิกครุ สุ ภาตามพระราชบัญญตั คิ รู พุทธศักราช ๒๔๘๘ อยู่แล้วก่อนพระราชบัญญตั สิ ภา
ครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ใชบ้ งั คับให้ยื่นคำขอต่อเลขาธกิ ารตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด พร้อม
ด้วยเอกสารและหลักฐาน ดงั ต่อไปน้ี
(๑) สำเนาทะเบียนบ้านหรือสำเนาบัตรประจำตวั ประชาชนหรือสำเนาบัตรประจำตัวเจ้าหนา้ ท่ีของรฐั
(๒) สำเนาบัตรสมาชิกครุ สุ ภาหรือหนงั สือรบั รองการเปน็ สมาชกิ คุรสุ ภาตามพระราชบญั ญตั ิ
ครู พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๘ หรือหลักฐานอื่นทใี่ ช้แทนกันได้
(๓) รปู ถา่ ยหนา้ ตรงคร่ึงตวั ไมส่ วมแวน่ ตาดำ ขนาด ๑ น้ิว ซ่งึ ถ่ายไว้ไมเ่ กินหกเดอื น จำนวน ๒ รูป
ครูตามวรรคหนึ่ง ซึ่งต่อมาลาออก หรือเกษียณอายุราชการ หรือพ้นจากหน้าที่ครูตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติ
สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ใช้บังคับ ผู้ใดประสงค์ขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาต ให้ยื่นคำขอต่อ
เลขาธกิ ารตามแบบทคี่ ณะกรรมการกำหนด พรอ้ มดว้ ยเอกสารและหลกั ฐานตามวรรคหนึง่
ข้อ ๑๐ ผมู้ วี ุฒปิ รญิ ญาทางการศึกษาหรอื ปริญญาอ่ืนท่ี ก.ค. กำหนดให้เป็นคณุ วุฒทิ ีใ่ ชใ้ น
การบรรจุ และแต่งตง้ั เปน็ ข้าราชการครูก่อนวนั ทพ่ี ระราชบัญญัติสภาครแู ละบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๔๖ ใช้บังคับ ผู้ใดประสงค์ขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาต ให้ยื่นคำขอต่อเลขาธิการตามแบบที่คณะกรรมการ
กำหนด พร้อมด้วยเอกสารและหลกั ฐาน ดงั ตอ่ ไปน้ี
(๑) สำเนาทะเบยี นบา้ นหรอื สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรอื สำเนาบตั รประจำตัว
เจา้ หน้าทขี่ องรฐั
(๒) หลักฐานแสดงวุฒิการศึกษา
(๓) รปู ถา่ ยหน้าตรงครึง่ ตวั ไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด ๑ นวิ้ ซึง่ ถ่ายไวไ้ มเ่ กินหกเดือน จำนวน ๒ รูป
ผู้ประกอบวิชาชีพครูซึ่งได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้ทำการสอนอยู่ในวันที่พร ะราชบัญญัติสภาครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มผี ลใชบ้ ังคับ ทมี่ วี ฒุ ปิ รญิ ญาทางการศึกษา หรอื ปรญิ ญาอน่ื ท่ี ก.ค. กำหนดให้เป็นคุณวุฒิ
ทีใ่ ช้ในการบรรจุและแต่งตั้งเปน็ ข้าราชการครูก่อนวนั ที่พระราชบญั ญตั สิ ภาครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖
ใชบ้ งั คับ ใหย้ ื่นคำขอตอ่ เลขาธิการตามแบบท่ีคณะกรรมการกำหนดพรอ้ มดว้ ยเอกสารและหลักฐานตามวรรคหน่ึง

33
33

ครอู ัตราจ้างตามสญั ญาจ้างทม่ี วี ุฒิปริญญาทางการศึกษา หรอื ปริญญาอน่ื ที่ ก.ค. กำหนดให้เปน็ คุณวุฒิที่ใช้ใน
การบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูก่อนวันที่พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ใช้
บงั คบั ใหย้ ืน่ คำขอตอ่ เลขาธิการตามแบบทีค่ ณะกรรมการกำหนด พรอ้ มด้วยเอกสารและหลกั ฐานตามวรรคหน่งึ

บุคคลตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสามต้องยื่นคำขอภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติสภาครู
และบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ใช้บงั คบั

ข้อ ๑๑ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่นซึ่งปฏิบัติงานในตำแหน่ง
ดังกล่าวอยู่ก่อนพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ ใช้บังคับ ให้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรับ
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหาร
การศึกษา หรือบุคลากรทางการศึกษาอื่น แล้วแต่กรณี ต่อเลขาธิการตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด พร้อมด้วย
เอกสารและหลักฐานตามข้อ ๙

ข้อ ๑๒ ผู้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.
๒๕๔๖ ใช้บังคับ ให้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู และยื่นคำขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพบุคลากรทางการศึกษาอื่น ต่อเลขาธิการตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด พร้อมด้วยเอกสารและ
หลักฐานตาม ข้อ ๙

ข้อ ๑๓ ให้วุฒิปริญญาทางการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษที่สถาบัน การศึกษาเปิดการสอนอยู่
ในวันที่พระราชบัญญตั สิ ภาครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖
มผี ลใช้บังคับเป็นคุณวฒุ ทิ ่ใี ช้ในการขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู

ผู้มีคุณสมบัติตามวรรคหนึ่งที่ประสงค์ขอขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูให้ยื่นคำขอต่อ
เลขาธิการตามแบบทีค่ ณะกรรมการกำหนด พร้อมดว้ ยเอกสารและหลกั ฐานตาม ขอ้ ๑๐

ขอ้ ๑๔ การยื่นคำขอตาม ข้อ ๗ ขอ้ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ขอ้ ๑๑ ข้อ ๑๒ และข้อ ๑๓ ผู้ยื่นคำขอ
ต้องชำระเงนิ คา่ ขึ้นทะเบยี นรับใบอนุญาตในอัตราท่ีกำหนดตามประกาศของรัฐมนตรี

เมือ่ ไดต้ รวจสอบคำขอพร้อมหลกั ฐานครบถ้วนถกู ต้องแล้ว ใหเ้ ลขาธกิ ารเสนอคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ
พิจารณาการออกใบอนญุ าตหรอื หนังสือรบั รองการข้ึนทะเบียนรบั ใบอนุญาต แล้วแต่กรณี

ข้อ ๑๕ ให้ผู้ที่มีคุณสมบัติตาม ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ ยื่นคำขอภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่
วนั ที่ข้อบงั คบั น้ใี ชบ้ ังคับ และในระหว่างที่ยงั ไมไ่ ด้ยนื่ คำขอ ให้มสี ทิ ธปิ ระกอบวิชาชพี เสมอื นเป็นผูไ้ ด้รบั ใบอนญุ าต

ข้อ ๑๖ ในระหว่างการดำเนินการออกใบอนุญาต ให้ผู้ยื่นคำขอตาม ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ และข้อ ๑๒ มี
สทิ ธปิ ระกอบวชิ าชพี เสมือนเปน็ ผูไ้ ดร้ ับใบอนญุ าต

ข้อ ๑๗ ใบอนญุ าตที่ออกใหแ้ กผ่ ู้ขอขนึ้ ทะเบียนรบั ใบอนุญาต ใหเ้ ปน็ ไปตามแบบทคี่ ณะกรรมการกำหนด
ส่วนที่ ๓ การกำหนดอายุและการต่ออายใุ บอนญุ าต
ข้อ ๑๘ ใบอนุญาตให้มีอายใุ ช้ได้เปน็ เวลาห้าปี นับแต่วนั ออกใบอนุญาต
ข้อ ๑๙ ผ้ไู ดร้ บั ใบอนญุ าต ผู้ใดประสงค์ขอต่ออายใุ บอนุญาตต้องมีคณุ สมบัติตามท่ีคณะกรรมการกำหนด
ข้อ ๒๐ ผู้ประสงคข์ อตอ่ อายุใบอนญุ าต ให้ย่นื คำขอต่อเลขาธิการตามแบบทีค่ ณะกรรมการกำหนด กอ่ นวันที่
ใบอนุญาตหมดอายุไม่นอ้ ยกว่าหนึ่งรอ้ ยแปดสิบวันพรอ้ มด้วยเอกสารและหลักฐาน
ดงั ต่อไปน้ี
(๑) สำเนาทะเบียนบา้ นหรอื สำเนาบัตรประจำตวั ประชาชน หรอื สำเนาบตั รประจำตวั เจ้าหน้าท่ขี องรฐั
(๒) สำเนาบตั รประจำตวั สมาชิกครุ สุ ภา
(๓) สำเนาใบอนญุ าต
(๔) เอกสารท่ีแสดงหรอื รบั รองว่าเป็นผมู้ ีคุณสมบตั ติ าม ขอ้ ๑๙

34
34

(๕) รูปถ่ายหน้าตรงครึ่งตัว ไม่สวมแวน่ ตาดำ ขนาด ๑ นว้ิ ถ่ายไว้ไมเ่ กินหกเดือน จำนวน ๒ รปู
ผยู้ ่ืนคำขอตามวรรคหนึ่ง ตอ้ งชำระเงนิ คา่ ตอ่ อายุใบอนุญาต ในอตั ราท่ีกำหนดตามประกาศ
ของรัฐมนตรี
เมือ่ ได้ตรวจสอบคำขอพร้อมหลักฐานครบถว้ นถูกต้องแล้ว ใหเ้ ลขาธกิ ารเสนอคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ
พจิ ารณาการออกใบอนุญาต
ข้อ ๒๑ ใบอนุญาตสิ้นสดุ ลงในกรณี ดงั ตอ่ ไปน้ี
(๑) ใบอนุญาตหมดอายตุ าม ข้อ ๑๘
(๒) ถูกสงั่ เพิกถอน
(๓) ถกู สง่ั พักใช้ใบอนญุ าต
ขอ้ ๒๒ ผทู้ ถี่ ูกเพิกถอนใบอนุญาต เม่อื พ้นกำหนดห้าปีนบั แตว่ นั ทถ่ี กู สงั่ เพิกถอนประสงค์ขอรับใบอนญุ าต
ตามประเภททีเ่ คยไดร้ ับ ใหย้ ่ืนคำขอต่อเลขาธิการตามแบบท่ีคณะกรรมการกำหนด พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน
ดังต่อไปน้ี
(๑) สำเนาทะเบียนบา้ นหรือสำเนาบัตรประจำตวั ประชาชน หรือสำเนาบตั รประจำตัวเจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั
(๒) สำเนาบตั รประจำตวั สมาชกิ คุรุสภา
(๓) ใบอนุญาตและสำเนาคำสง่ั เพิกถอนใบอนุญาต
(๔)เอกสารที่แสดงหรือรับรองความประพฤติ และการประกอบวิชาชีพหรือการทำงานระหว่างถูกเพิกถอน
ใบอนญุ าต ซง่ึ ออกโดยหนว่ ยงานต้นสงั กัดหรือผ้บู งั คับบัญชา หรือหน่วยงานทีเ่ ก่ยี วข้องของผ้ยู น่ื คำขอ (ถ้าม)ี
(๕) รปู ถ่ายหนา้ ตรงครงึ่ ตัว ไมส่ วมแว่นตาดำ ขนาด ๑ นิว้ ซ่ึงถ่ายไว้ไมเ่ กนิ หกเดือน จำนวน ๒ รูป
ผ้ยู ่นื คำขอตามวรรคหนึง่ ตอ้ งชำระเงนิ ค่าขน้ึ ทะเบียนรบั ใบอนุญาตในอัตราท่ีกำหนดตามประกาศของรฐั มนตรี
เม่ือไดต้ รวจสอบคำขอพรอ้ มหลกั ฐานครบถว้ นถูกต้องแลว้ ใหเ้ ลขาธกิ ารเสนอคณะกรรมการ
มาตรฐานวิชาชีพพิจารณาการออกใบอนุญาต โดยให้มีการประเมินความประพฤติ ความรู้ความสามารถ ตามที่
คณะกรรมการกำหนด
สว่ นท่ี ๔ ใบแทนใบอนญุ าต
ข้อ ๒๓ การขอรับใบแทนใบอนุญาต กรณีใบอนุญาตถูกทำลาย หรือชำรุด หรือสูญหาย ให้ยื่นคำขอต่อ
เลขาธกิ ารตามแบบทค่ี ณะกรรมการกำหนด พร้อมด้วยเอกสารและหลกั ฐาน ดงั ต่อไปน้ี
(๑) สำเนาทะเบยี นบ้านหรือสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาบัตรประจำตวั เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐ
(๒) ใบอนญุ าตทถี่ ูกทำลาย หรือชำรดุ หรือหลักฐานการรับแจง้ ความ แล้วแตก่ รณี
(๓) สำเนาบตั รประจำตวั สมาชกิ ครุ สุ ภา
(๔) รูปถา่ ยหนา้ ตรงครึง่ ตัว ไม่สวมแว่นตาดำ ขนาด ๑ น้วิ ถา่ ยไวไ้ มเ่ กินหกเดือน จำนวน ๒ รูป
ผูย้ ื่นคำขอต้องชำระเงินคา่ ใบแทนใบอนญุ าตในอตั ราที่กำหนดตามประกาศของรัฐมนตรี
เมอ่ื ไดต้ รวจสอบคำขอพร้อมหลักฐานครบถว้ นถกู ตอ้ งแล้ว ให้เลขาธกิ ารเสนอคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ
พิจารณาการออกใบแทนใบอนญุ าต
ข้อ ๒๔ ใบแทนใบอนุญาตให้ใช้แบบตาม ข้อ ๑๗ โดยมีคำว่า “ใบแทน” เป็นตัวอักษรสีแดงขนาดโตกว่า
อักษรธรรมดา ประทับด้านบนใบอนญุ าต
สว่ นที่ ๕ การเปลย่ี นแปลงขอ้ มลู ทางทะเบียนและใบอนญุ าต
ขอ้ ๒๕ ผไู้ ด้รบั ใบอนุญาตท่ปี ระสงค์ขอเปลีย่ นแปลงข้อมูลทางทะเบยี นหรือข้อมลู ที่ปรากฏในใบอนุญาต ให้
ยื่นคำขอตอ่ เลขาธกิ ารตามแบบที่คณะกรรมการกำหนดพร้อมเอกสารและหลกั ฐาน ดงั ต่อไปนี้
(๑) สำเนาทะเบียนบ้านหรือสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาบัตรประจำตวั เจา้ หน้าท่ีของรฐั

35
35

(๒) ใบอนุญาต
(๓) เอกสารและหลกั ฐานเกยี่ วกับการขอเปล่ียนแปลงขอ้ มูลทางทะเบียนหรือข้อมลู ที่ปรากฏในใบอนุญาต
เมื่อได้ตรวจสอบคำขอพร้อมหลักฐานครบถ้วนถูกต้องแล้ว ให้เลขาธิการดำเนินการเปลี่ยนแปลงข้อมูลทาง
ทะเบียนหรือข้อมลู ทป่ี รากฏในใบอนญุ าต แลว้ แตก่ รณี
สว่ นท่ี ๖ การอุทธรณ์
ขอ้ ๒๖ ในกรณที คี่ ณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพพิจารณาวนิ ิจฉัย ไมอ่ อกใบอนญุ าตตาม
ขอ้ ๗ และข้อ ๑๔ ไม่ตอ่ อายใุ บอนญุ าตตาม ขอ้ ๒๐ ไมอ่ อกใบอนญุ าตใหแ้ ก่ผถู้ กู เพิกถอนใบอนุญาต
ตาม ข้อ ๒๒ และไม่ออกใบแทนใบอนุญาตตาม ข้อ ๒๓ ผู้ยื่นคำขอมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการภายในสามสิบวัน
นบั แต่วันท่ีได้รับแจ้งการไมอ่ อกใบอนุญาต การไมต่ ่ออายุใบอนุญาต หรอื การ ไมอ่ อกใบแทนใบอนญุ าต
การอุทธรณ์ให้ทำเปน็ หนงั สือ ใชถ้ อ้ ยคำสุภาพและต้องมรี ายละเอียด ดงั ต่อไปนี้
(๑) ชื่อและท่ีอยขู่ องผ้อู ุทธรณ์
(๒) การกระทำทั้งหลายที่เป็นเหตุแห่งการอุทธรณ์ พร้อมทั้งข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ตามสมควรเกี่ยวกับ
การกระทำดังกลา่ ว
(๓) คำขอของผอู้ ุทธรณ์
(๔) ลายมือช่ือของผอู้ ทุ ธรณ์
คำอทุ ธรณ์ใดมรี ายการไม่ครบตามวรรคสอง หรอื ไมช่ ัดเจน หรอื ไม่อาจเข้าใจได้ใหส้ ำนักงานเลขาธิการคุรุสภา
ให้คำแนะนำใหแ้ ก่ผ้อู ทุ ธรณเ์ พอ่ื ดำเนนิ การแก้ไขเพมิ่ เติมคำอทุ ธรณน์ น้ั ให้ถูกต้อง
ในการน้ีใหถ้ อื วนั ท่ยี น่ื อทุ ธรณ์ครงั้ แรกเป็นหลกั ในการนับอายคุ วาม
ถ้าผู้อุทธรณ์เห็นว่าคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการไม่เป็นธรรมสำหรับผู้อุทธรณ์ให้ ผู้อุทธรณ์ยื่นฟ้องต่อ
ศาลปกครองภายในเกา้ สบิ วนั นับแต่วันทไ่ี ดร้ ับทราบคำสงั่

กฎหมายการศกึ ษาและวชิ าชีพครู

พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แกไ้ ขเพมิ่ เติม (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
การประกาศใช้พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเตมิ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
(ราชกจิ จานุเบกษา, ๒๕๔๕) มกี ารปฏริ ปู การบริหารทรพั ยากรมนษุ ยท์ างการศึกษาทสี่ ำคญั ๕ ประการ คือ
๑.การปฏริ ปู องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของขา้ ราชการครแู ละการกระจายอำนาจ

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ ระบุ การ
ปฏิรูปองคก์ รกลางบรหิ ารงานบคุ คลของขา้ ราชการครแู ละการกระจายอำนาจไว้ในมาตรา ๓๙ และมาตรา ๕๔ ดงั นี้

มาตรา ๓๙ ให้กระทรวงกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ
การบรหิ ารงานบุคคล และการบรหิ ารทวั่ ไป ไปยงั คณะกรรมการและสำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษา และสถานศึกษาใน
เขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาโดยตรง

มาตรา ๕๔ ให้มีองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา
ทง้ั ของหน่วยงานทางการศึกษาในระดับสถานศึกษาของรฐั และระดับเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาเป็นข้าราชการในสังกัดองค์กร
กลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู โดยยึดหลักการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลสู่เขตพื้นที่การศึกษา
และสถานศึกษาทัง้ น้ใี ห้เปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายกำหนด

๒. การปฏริ ูปกฎหมายว่าดว้ ยตำแหน่งเงนิ เดือนและสวสั ดกิ ารข้าราชการครู
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๕ ระบุการปฏิรูปกฎหมายว่า

ด้วยเงินเดอื นไวใ้ นมาตรา ๕๕ ดังน้ี

36 36
มาตรา ๕๕ ให้มีกฎหมายวา่ ด้วยเงินเดือน ค่าตอบแทน สวัสดิการ และสทิ ธิประโยชน์เกื้อกูลอื่น สำหรับ
ข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาเพือ่ ให้มีรายไดท้ เี่ พียงพอและเหมาะสมกบั ฐานะทางสงั คมและวชิ าชีพ
ให้มีกองทุนส่งเสริมครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนงานริเริ่ม
สร้างสรรค์ ผลงานดีเด่น และเป็นรางวัลเชิดชูเกียรติครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่
กำหนดในกฎกระทรวง
๓. การปฏิรปู การผลติ และการพัฒนาครู
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๕๔๕ ระบุการปฏิรูปการผลิตและ
การพฒั นาครไู ว้ในมาตรา ๕๒ และ มาตรา ๕๖ ดังนี้
มาตรา ๕๒ ให้กระทรวงส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากร
ทางการศกึ ษา ใหม้ ีคุณภาพและมาตรฐานทเี่ หมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชัน้ สูง โดยการกำกบั และประสานให้สถาบันที่
ทำหน้าที่ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความพร้อม และมีความเข้มแข็งในการ
เตรยี มบคุ ลากรใหมแ่ ละการพฒั นาบุคลากรประจำการอยา่ งตอ่ เน่ือง
รัฐพงึ จัดสรรงบประมาณ และจดั ต้ังกองทุนพฒั นาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาอย่างเพยี งพอ
มาตรา ๕๖ กำหนดให้การผลิตและพัฒนาคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา การพัฒนามาตรฐาน
และจรรยาบรรณของวิชาชีพ และการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ หรือพนักงานของรัฐในสถานศึกษาระดับ
ปริญญาทเี่ ป็นนติ ิบุคคล ให้เป็นไปตามกฎหมายวา่ ด้วยการจดั ตั้งสถานศึกษาแตล่ ะแห่งและกฎหมายที่เก่ียวข้อง
๔. การปฏริ ูปการควบคมุ ทางวชิ าชพี
พระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๔๕ ระบุ
การปฏริ ูปการควบคมุ ทางวชิ าชีพไวใ้ นมาตรา ๕๓ ดังน้ี
มาตรา ๕๓ ใหม้ อี งค์กรวิชาชีพครู ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา และผบู้ รหิ ารการศึกษา มฐี านะเป็นองค์กรอิสระ
ภายใต้การบริหารของสภาวิชาชีพ ในกำกับของกระทรวง มีอำนาจหน้าที่กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอน
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กำกับดูแลการปฏบิ ตั ิตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งการพฒั นาวิชาชีพ
ครู ผู้บริหารสถานศึกษาและผ้บู ริหารการศกึ ษา
ใหค้ รู ผบู้ ริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศกึ ษาอืน่ ทงั้ ของรฐั และเอกชน ต้องมี
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามที่กฎหมายกำหนดการจัดให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหาร
การศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกและเพิกถอนใบอนุญาต
ประกอบวชิ าชพี ใหเ้ ป็นไปตามทก่ี ฎหมายกำหนด
๕. การปฏิรูปสวัสดกิ ารและสวัสดิภาพครู
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มีการแยกงานสวัสดิการและสวัสดิภาพ
ออกจากคุรุสภา ซึ่งเป็นองคก์ รวิชาชีพครู
กฎหมายท่เี กย่ี วข้องกบั องค์กรกลางบรหิ ารงานบุคคล
กฎหมายท่ีเกีย่ วข้องกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู ประกอบดว้ ย
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ
พระราชบญั ญตั ิระเบียบบริหารขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ โดยมีรายละเอียด ดงั ต่อไปน้ี
พระราชบัญญตั ิระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖
เกย่ี วกบั การปฏิรูปองคก์ รกลางบริหารงานบุคลากรของข้าราชการครูและการกระจายอำนาจไว้ในมาตรา ๔๔
ถึงมาตรา ๔๗ และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ มีสำนักงานที่รับผิดชอบดูแลการ
บรหิ ารงานบุคลากรของขา้ ราชการครู ๔ หน่วยงานด้วยกัน ไดแ้ ก่

37 37
๑.๑ สถาบันพัฒนาผู้บรหิ ารการศึกษา อยูภ่ ายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานปลดั กระทรวง
๑.๒ สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติกร อยู่ภายใต้การกากับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขัน้ พื้นฐาน
๑.๓ สำนักส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะบุคลากร อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการ
อดุ มศึกษา
๑.๔ สำนกั พฒั นาสมรรถนะครูและบคุ ลากรอาชวี ศึกษา อยู่ภายใตก้ ารกำกบั ดูแลของสำนกั งานคณะกรรมการ
การอาชีวศกึ ษา
ซ่งึ มรี ายละเอียดดังตอ่ ไปน้ี
มาตรา ๔๔ ให้ปลัดกระทรวง เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา และเลขาธกิ ารคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา กระจายอำนาจการบริหารและ
การจัดการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป ไปยังคณะกรรมการเขต
พื้นที่การศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาโดยตรง ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจ
หน้าที่ของปลัดกระทรวง เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการ
คณะกรรมการการอุดมศึกษา และเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาไว้เป็นการเฉพาะ ให้ผู้ดำรงตำแหน่ง
ดังกล่าว มอบอำนาจให้แก่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือผู้อำนวยการสถานศึกษา แล้วแต่กรณี ทั้งนี้
ให้คำนึงถึงความเป็นอิสระและการบริหารงานทีคล่องตัวในการจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและ
สถานศึกษา ภายใต้หลกั การบรหิ ารงานการศึกษา ดังต่อไปน้ี
(๑) อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับงบประมาณและการดำเนินการทางงบประมาณ
ของผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมตลอดถึงหลักการการให้สถานศึกษา
หรือสำนักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษามีอำนาจทำนิติกรรมสัญญาใน
วงเงินงบประมาณทไ่ี ดร้ บั อนุมตั แิ ลว้
(๒) หลักเกณฑ์การพิจารณาความดีความชอบ การพัฒนา และดำเนินการทางวินัยกับครูและบุคลากร
ทางการศึกษาโดยสัมพันธ์กับแนวทางที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
การกระจายอำนาจและการมอบอำนาจตามวรรคหนึง่ ให้เป็นไปตามทกี่ ำหนดในกฎกระทรวง
ปลัดกระทรวง เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการ
คณะกรรมการการอดุ มศึกษา และเลขาธกิ ารคณะกรรมการการอาชวี ศึกษาอาจกำหนดใหห้ ัวหน้าส่วนราชการในสังกัด
มอบอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจที่ตนรับผิดชอบไปยังผู้อำนวยการสำนัก๗งานเขตพื้นที่การศึกษาและ
ผู้อำนวยการสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรงก็ได้ ทั้งน้ี ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ผู้ดำรงตำแหน่งในการ
บังคับบญั ชาสว่ นราชการดังกลา่ วเป็นผ้กู ำหนด
ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงและผู้อำนวยกาสำนักบริหารงานในสังกัด
สำนักงานคณะกรรมการต่าง ๆ อาจมอบอำนาจในส่วนที่เกี่ยวกับภารกิจที่ตนรับผิดชอบหรือที่ได้รับมอบหมายตาม
ระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ จากสำนักงานคณะกรรมการต่าง ๆ ไปยังผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือ
ผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอืน่ ที่มฐี านะเทียบเท่าผู้อำนวยการสถานศึกษาโดยตรง
ได้ ทง้ั นี้ โดยจะตอ้ งไมข่ ดั ต่อนโยบายหรือการสัง่ การของกระทรวงหรือคณะกรรมการต้นสงั กัด
มาตรา ๔๕ อำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการอื่นที่ผู้ดำรง
ตำแหน่งใดในพระราชบัญญัตินี้จะพึงปฏิบตั ิหรือดำเนินการตามกฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งใด หรือมติของ
คณะรัฐมนตรีในเรอ่ื งใด ถ้ากฎหมาย ระเบียบข้อบงั คับ หรอื คำสั่งนนั้ หรือมตขิ องคณะรฐั มนตรีในเร่อื งนัน้ มไิ ดก้ ำหนด
เรอื่ งการมอบอำนาจไวเ้ ป็นอย่างอ่นื หรือมไิ ด้หา้ มเรื่องการมอบอำนาจไว้ ผ้ดู ำรงตำแหน่งนน้ั อาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรง

38
38

ตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้ โดยคำนึงถึงความเป็นอิสระ การบริหารงานที่คล่องตัวในการจัดการศึกษาของ
สถานศกึ ษาและของสำนกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาทบ่ี ัญญัติในมาตรา ๔๔ (๑) และ(๒) ดังตอ่ ไปนี้

(๑) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอาจมอบอำนาจในรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
กระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวง เลขาธิการ หรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่าอธิการบดีใน
สถานศึกษาของรัฐท่ีจัดการศกึ ษาระดับปรญิ ญาในสงั กัด หรอื ผวู้ ่าราชการจงั หวัด

(๒) ปลัดกระทรวงอาจมอบอำนาจให้รองปลัดกระทรวง ผู้ช่วยปลัดกระทรวง หรือเลขาธิการ อธิการบดีใน
สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาในสังกัดหรือผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือ
ผ้อู ำนวยการสถานศกึ ษา หรือผวู้ ่าราชการจงั หวัด

(๓) เลขาธิการอาจมอบอำนาจให้รองเลขาธิการ ผู้ช่วยเลขาธิการ อธิการบดีในสถานศึกษาของรัฐที่จัด
การศึกษาระดับปริญญาในสังกัด ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานหรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษา หรอื ผอู้ ำนวยการสถานศึกษาหรอื ผู้วา่ ราชการจังหวดั

(๔) ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการสำนักบริหารงาน หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าอาจมอบอำนาจให้
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษา ผู้อำนวยการสถานศกึ ษาหรือผ้ดู ำรงตำแหน่งเทียบเทา่

(๕) ผู้อำนวยการสำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษาหรอื ผู้ดำรงตำแหนง่ เทยี บเทา่ อาจมอบอำนาจให้ข้าราชการใน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นในเขตพื้นที่
การศึกษาท่ตี นรบั ผดิ ชอบไดต้ ามระเบยี บท่เี ลขาธกิ ารคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐานกำหนด

(๖) ผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า อาจมอบอำนาจให้ข้าราชการในสถานศึกษาหรือ
ในหนว่ ยงานทีเ่ รียกชื่ออยา่ งอน่ื ได้ ตามระเบยี บท่คี ณะกรรมการเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษากำหนด

(๗) ผ้ดู ำรงตำแหนง่ (๑) ถงึ (๖) อาจมอบอำนาจให้บุคคลอนื่ ไดต้ ามระเบยี บที่คณะรัฐมนตรี กำหนด
การมอบอำนาจตามมาตรานใี้ ห้ทำเป็นหนงั สือ
คณะรัฐมนตรีอาจกำหนดให้มีการมอบอำนาจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตลอดจนการมอบอำนาจให้ทำนิติ

กรรม ฟ้องคดี หรือดำเนินคดีแทนกระทรวงหรือส่วนราชการตามมาตรา ๑๐ หรือกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือ
เง่ือนไขในการมอบอำนาจใหผ้ ้มู อบอำนาจ หรือผู้รบั มอบ อำนาจตาม
วรรคหน่ึงตอ้ งปฏบิ ัติก็ได้

มาตรา ๔๖ เมอ่ื มีการมอบอำนาจตามมาตรา ๔๕ โดยชอบแลว้ ผรู้ ับมอบอำนาจมีหน้าที่ต้องรับมอบอำนาจ
นน้ั และจะมอบอำนาจนน้ั ใหแ้ กผ่ ู้ดำรงตำแหนง่ อ่นื ต่อไปไม่ไดเ้ วน้ แต่กรณีการมอบอำนาจให้แกผ่ ู้ว่าราชการจังหวัดตาม
มาตรา ๔๕ (๑) (๒) หรือ (๓) ผู้ว่าราชการจังหวดั จะมอบอำนาจนัน้ ต่อไปตามกฎหมายว่าดว้ ยระเบียบบริหารราชการ
แผ่นดินก็ได้ ในการมอบอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดตามวรรคหนึ่งให้แก่รองผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ช่วยผู้ว่า
ราชการจังหวัดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งให้ผู้มอบอำนาจชั้นต้นทราบ ส่วนการมอบอำนาจให้แก่บุคคลอื่นนอกจาก
รองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากผู้มอบอำนาจ
ชน้ั ตน้ แลว้

มาตรา ๔๗ ในการมอบอำนาจตามมาตรา ๔๕ (๑) ถงึ (๖) ให้ผู้มอบอำนาจพิจารณาถงึ
การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ความรวดเรว็ ในการปฏบิ ัติราชการ การกระจายความรบั ผิดชอบตามสภาพของ
ตำแหน่งของผู้รับมอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบอำนาจตามวัตถุประสงค์ของการมอบ
อำนาจดังกล่าว เมื่อได้มอบอำนาจแล้วผู้มอบอำนาจ มีหน้าที่กำกับติดตามผลการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจ
และให้มอี ำนาจแนะนำและแก้ไขการปฏิบัตริ าชการของผู้รบั มอบอำนาจได้

39 39
กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖
กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ กำหนดให้มีสถาบันพัฒนา
ผ้บู ริหารการศกึ ษา โดยมีอำนาจหนา้ ทีด่ งั ต่อไปน้ี
(ก) จดั ทำนโยบายและแผนพัฒนาผู้บรหิ ารการศกึ ษา
(ข) พัฒนาผู้บริหารการศกึ ษาและผู้บริหารการศกึ ษาระดับสูง
(ค) วิจัยและพฒั นานวัตกรรมการพัฒนาผู้บริหารการศึกษา และให้บรกิ ารการศึกษาแก่ผบู้ ริหารการศกึ ษา
(ง) ประสานเครือข่ายการพฒั นาผบู้ รหิ ารการศกึ ษาทง้ั ในและตา่ งประเทศ
กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.
๒๕๔๖ กำหนดให้มี สำนกั พัฒนาระบบบรหิ ารงานบุคคลและนิตกิ ร โดยมอี ำนาจหนา้ ทีด่ งั ต่อไปน้ี
(ก) พัฒนาระบบงาน โครงสร้างส่วนราชการ หลักเกณฑ์และมาตรฐานการบริหารงานบุคคลของสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน
(ข) ดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน
พนื้ ฐาน
(ค) จัดทำข้อเสนอนโยบาย ระเบียบหลักเกณฑ์ แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารงานของสำนักงาน
คณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน
(ง) ดำเนินการเกี่ยวกับงานกฎหมาย งานนิติกรรมและสัญญา งานเกี่ยวกับความรับผิดทางแพ่ง อาญา งาน
คดีปกครอง และงานคดีอื่นที่อย่ใู นอำนาจหนา้ ท่ขี องสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
(จ) ปฏบิ ัติงานรว่ มกบั หรือสนับสนนุ การปฏบิ ัติงานของหน่วยงานอื่นท่เี กีย่ วขอ้ งหรือที่ไดร้ ับมอบหมาย
(ง) วจิ ยั และพฒั นาสอื่ และเทคโนโลยีการอาชวี ศกึ ษาและฝกึ อบรมวิชาชีพ ผลิตและบรกิ ารเครือ่ งจักรกลและ
เทคโนโลยี พัฒนาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การเรยี นการสอน เพ่ือเพ่มิ ขดี ความสามารถของครูและบุคลากรกรม
อาชวี ศึกษา
(จ) สร้างและพัฒนารูปแบบการฝึกสมรรถนะของครูและบุคลากรทางการศึกษาและสร้างเครือข่ายการ
ฝึกอบรมวิชาเรียน ครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษา
(ฉ) ปฏบิ ัติงานร่วมกบั หรอื สนบั สนุนการปฏิบตั งิ านของหนว่ ยงานอ่ืนท่ีเกยี่ วขอ้ งหรือที่ไดร้ ับมอบหมาย
พระราชบัญญตั ริ ะเบียบบรหิ ารขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ (ก.ค.ศ)
ได้กำหนดองค์ประกอบ อำนาจหนา้ ที่ไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้
มาตรา ๑๙ ให้ ก.ค.ศ. มีอำนาจและหน้าท่ีดงั ตอ่ ไปน้ี
(1) กำหนดนโยบาย วางแผน และกำหนดเกณฑ์อัตรากำลังของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
รวมท้ังใหค้ วามเหน็ ชอบจำนวนและอตั ราตำแหน่งของหนว่ ยงานการศึกษา
(๒) ออกกฎ ก.ค.ศ. ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ
ครูและบคุ ลากรทางการศึกษา กฎ ก.ค.ศ. เมอื่ ได้รบั อนมุ ติ จากคณะรฐั มนตรแี ละ
ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาแลว้ ใหใ้ ช้บังคับได้
(๓) พัฒนาหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรฐานการบริหารงานบุคคล รวมทั้งการพิทักษ์ระบบคุณธรรมของ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา
(๔) กำหนดวิธกี ารและเงอ่ื นไขการจา้ งเพื่อบรรจแุ ละแตง่ ตัง้ บคุ คลเพ่ือปฏิบตั ิหนา้ ทีใ่ น
ตำแหนง่ ครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาในหนว่ ยงานการศึกษา รวมท้งั กำหนดอัตราเงนิ เดือน หรือ คา่ ตอบแทน
(๕) ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนา การเสริมสรา้ งขวญั กำลงั ใจ และการยกย่องเชิดชูเกียรติข้าราชการครูและ
บคุ ลากรทางการศึกษา

40
40

(๖) ส่งเสริม สนับสนุนให้มีการจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่นแก่ข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา

(๗) ส่งเสริม สนับสนุน ประสานงาน ให้คำปรึกษา แนะนำและชี้แจงด้านการบริหารงานบุคคลแก่หน่วยงาน
การศึกษา

(๘) กำหนดมาตรฐาน พิจารณา และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยการออกจากราชการ การ
อุทธรณแ์ ละการรอ้ งทุกข์ตามทก่ี ำหนดไวใ้ นพระราชบญั ญัตนิ ้ี

(๙) กำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษาเพื่อรักษาความเป็นธรรมและมาตรฐานด้านการบริหารงานบุคคล ตรวจสอบและปฏิบัติการตาม
พระราชบัญญัตินี้ ในการนี้ให้มีอำนาจเรียกเอกสารและหลักฐานจากหน่วยงานการศึกษา ให้ผู้แทนของหน่วยงาน
การศึกษา ข้าราชการ หรือบคุ คลใด มาชี้แจงขอ้ เทจ็ จริง และใหม้ ีอำนาจออกระเบียบข้อบังคับ รวมท้งั ให้ส่วนราชการ
หน่วยงานการศึกษาข้าราชการหรือบุคคลใดรายงานเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษาท่ีอยู่ใน
อำนาจหนา้ ทไี่ ปยัง ก.ค.ศ.

(๑๐) พิจารณารับรองคุณวุฒิของผู้ไดร้ ับปรญิ ญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒอิ ย่างอื่นเพ่ือประโยชน์
ในการบรรจแุ ละแต่งต้ังเป็นขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและการกำหนดอัตราเงินเดือนหรือค่าตอบแทนท่ี
ควรไดร้ ับ

มาตรา ๒๐ ให้มีสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเรียก โดยย่อว่า
“สำนักงาน ก.ค.ศ.” โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เรียกโดยย่อว่า
“เลขาธิการ ก.ค.ศ.” ซึ่งมีฐานะเป็นอธิบดี เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและบริหารราชการของสำนักงาน
คณะกรรมการขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา สำนักงาน ก.ค.ศ. มอี ำนาจและหนา้ ทด่ี งั ตอ่ ไปน้ี

(๑) เป็นเจ้าหน้าท่เี ก่ยี วกับการดำเนินงานในหนา้ ทขี่ อง ก.ค.ศ.
(๒) วิเคราะห์และวิจัยเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และ
การจัดระบบบริหารราชการในหน่วยงานการศกึ ษา
(3) ศึกษา วิเคราะห์เกี่ยวกับมาตรฐาน หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา
(๔) พฒั นาระบบข้อมลู และจัดทำแผนกำลังคนสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศกึ ษา
(๕) ศึกษา วิเคราะห์ เสนอแนะนโยบาย ประสานงานและดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา
(๖) ศึกษา วเิ คราะห์ วจิ ยั และบริหารเงนิ ทุน ตลอดจนสวสั ดกิ ารขา้ ราชการครูและบคุ ลากร ทางการ ศกึ ษา
(๗) จัดทำรายงานประจำปีเกีย่ วกับการบริหารงานบคุ คลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเสนอ
ก.ค.ศ.
มาตรา ๒๓ ให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษามอี ำนาจและหนา้ ท่ี ดังต่อไปนี้
(๑) พิจารณากำหนดนโยบายการบริหารงานบุคคลสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขต
พื้นที่การศึกษา รวมทั้งการกำหนดจำนวนและอัตราตำแหน่งและเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับนโยบายการ
บรหิ ารงานบคุ คล ระเบียบ หลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด
(๒) พิจารณาให้ความเห็นชอบการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่
การศึกษา
(๓) พิจารณาเกยี่ วกับเรอ่ื งการดำเนินการทางวนิ ัย การออกจากราชการ การอุทธรณ์ และ

41 41
การร้องทุกข์ตามท่กี ำหนดไว้ในพระราชบัญญัตนิ ี้

(๔) ส่งเสริม สนับสนุนการพฒั นา การเสริมสร้างขวัญกำลังใจ การปกปอ้ งคุ้มครองระบบ
คุณธรรม การจัดสวัสดิการ และการยกย่องเชิดชูเกียรติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในหน่วยงาน
การศึกษาของเขตพน้ื ทีก่ าร ศึกษา

(๕) กำกบั ดแู ล ติดตามและประเมินผลการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน
หน่วยงานการศึกษาในเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษา

(๖) จัดทำและพัฒนาฐานข้อมูลข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในหนว่ ยงานการศึกษาในเขตพื้นที่
การศึกษา

(๗) จัดทำรายงานประจำปีที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน
หนว่ ยงานการศึกษาเพื่อเสนอ ก.ค.ศ.

(๘) พิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องการบริหารงานบุคคลในเขตพื้นที่การศึกษาที่ไม่อยู่ในอำนาจและหน้าที่
ของผู้บรหิ ารของหน่วยงานการศกึ ษา

มาตรา ๒๔ ใหผ้ ู้อำนวยการสำนกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาเป็นผูบ้ รหิ ารราชการในสำนกั งาน
เขตพ้ืนท่ีการศึกษา และเป็นผบู้ งั คับบัญชาของข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาในเขตพ้ืนท่ี
การศกึ ษา และมอี ำนาจหนา้ ท่ีดงั ต่อไปนี้

(๑) เสนอแนะการบรรจุและแต่งตั้ง และการบริหารงานบุคคลในเรื่องอื่นที่อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของ อ.
ก.ค.ศ. เขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษา

(๒) จดั ทำแผนและส่งเสรมิ การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในหนว่ ยงานการศึกษาในเขต
พื้นทก่ี ารศกึ ษา

(๓) จัดทำทะเบยี นประวัตขิ า้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาในเขตพื้นท่กี าร ศกึ ษา
(๔) จัดทำมาตรฐานคุณภาพงาน กำหนดภาระงานขัน้ ต่ำ และเกณฑ์การประเมนิ ผลงานสำหรับข้าราชการครู
และบุคลากร การศึกษา สำนักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษา
(๕) ประเมินคณุ ภาพการบริหารงานบคุ คลและจัดทำรายงานการบริหารงานบุคคลเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่
การศกึ ษาเพื่อเสนอ ก.ค.ศ. ตอ่ ไป
มาตรา ๒๖ ให้คณะกรรมการสถานศึกษามีอำนาจและหน้าทีเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลสำหรับ
ข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาในสถานศึกษา ดังต่อไปน้ี
(๑)กำกบั ดูแล การบริหารงานบุคคลในสถานศกึ ษาให้สอดคล้องกบั นโยบาย กฎระเบยี บ
ข้อบงั คบั หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารตามที่ ก.ค.ศ. และ อ.ก.ค.ศ.เขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษากำหนด
(๒) เสนอความต้องการจำนวนและอัตราตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน
สถานศกึ ษาเพ่ือเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่กี ารศกึ mพจิ ารณา
(๓) ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา
ตอ่ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
(๔) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติน้ี กฎหมายอื่น หรือตามที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่
การศกึ ษามอบหมาย
มาตรา ๒๗ ให้ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน
สถานศึกษา และมอี ำนาจและหนา้ ทด่ี งั ตอ่ ไปน้ี
(๑) ควบคุม ดูแล ให้การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสอดคล้องกับนโยบายกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
หลกั เกณฑ์และวิธีการตามที่ ก.ค.ศ. และ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษากำหนด

42 42
(๒) พจิ ารณาเสนอความดคี วามชอบของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน สถานศึกษา
(๓) สง่ เสรมิ สนับสนนุ ขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษาในสถานศึกษาให้มีการพัฒนาอย่างตอ่ เน่ือง
(๔) จดั ทำมาตรฐาน ภาระงานสำหรบั ข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาใน
สถานศึกษา
(๕) ประเมนิ ผลการปฏบิ ัติงานตามมาตรฐานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเสนอ อ.ก.ค.ศ.
เขตพื้นทีก่ ารศึกษา
มาตรา ๓๐ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาสำหรับการเป็นผู้ประกอบ
วิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ซึ่งจะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ต้องมี
คณุ สมบัตทิ ัว่ ไป ดังตอ่ ไปนี้
(๑) มีสญั ชาติไทย
(๒) มอี ายุไมต่ ำ่ กว่าสิบแปดปีบรบิ ูรณ์
(๓) เปน็ ผู้เลอ่ื มใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุขตามรัฐธรรมนูญ
แหง่ ราชอาณาจกั รไทย
(๔) ไม่เป็นผดู้ ำรงตำแหนง่ ทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถนิ่ หรือผู้บรหิ ารทอ้ งถน่ิ
(๕) ไม่เป็นคนไรค้ วามสามารถ หรือจิตฟนั่ เฟอื นไม่สมประกอบ หรอื เป็นโรคตามท่กี ำหนดในกฎ n.ค.ศ.
(๖) ไม่เป็นผู้อยู่ในระหวา่ งถูกสั่งพักราชการ ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามพระราช บัญญัตินีห้ รือตาม
กฎหมายอ่ืน หรอื ถูกสัง่ พัก หรือเพกิ ถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามหลกั เกณฑ์ทีก่ ำหนดในกฎหมายองคก์ รวิชาชีพ
น้นั ๆ
(๗) ไมเ่ ปน็ ผ้บู กพร่องในศีลธรรมอันดีสำหรบั การเป็นผูป้ ระกอบวชิ าชพี ครูและบคุ ลากร
ทางการ ศึกษา
(๘) ไม่เป็นกรรมการบรหิ ารพรรคการเมืองหรอื เจ้าหนา้ ทใี่ นพรรคการเมอื ง
(๙) ไมเ่ ป็นบคุ คลลม้ ละลาย
(๑๐) ไม่เป็นผ้เู คยตอ้ งโทษ จำคกุ โดยคำพพิ ากษาถึงที่สุดใหจ้ ำคุก เวน้ แต่เป็นโทษสำหรบั ความผิดท่ีได้กระทำ
โดยประมาณหรือความผิดลหโุ ทษ
(๑๑) ไม่เปน็ ผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากรัฐวิสาหกจิ องคก์ ารมหาชน หรือหน่วยงานอื่น
ของรัฐ หรอื องค์การระหว่างประเทศ
(๑๒) ไม่เปน็ ผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรอื ไล่ออกเพราะกระทำผดิ วนิ ัยตามพระราชบญั ญัติน้ีหรือตาม
กฎหมายอื่น
(๑๓) ไม่เปน็ ผูเ้ คยกระทำการทจุ ริตในการสอบเข้ารบั ราชการหรอื เขา้ ปฏิบตั ิงานในหนว่ ยงานของรัฐ
มาตรา ๔๕ การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรง
ตำแหน่งใด ให้บรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้สำหรับตำแหน่งนั้นโดยบรรจุและแต่งตั้งตามลำดับที่ในบัญชีผู้
สอบแข่งขันได้ความในวรรคหน่งึ มิให้นำมาใชบ้ ังคบั สำหรับการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการตามมาตรา ๕๐-
๕๒, มาตรา ๕๘, และมาตรา ๖๔-๖๗
มาตรา ๔๖ ผู้สมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจแุ ละแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่ง
ใด ต้องมีคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา ๓๐ และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งตามมาตรฐานตำแหน่งนั้นตาม
มาตรา ๔๒
มาตรา ๔๗ ให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพนื้ ทกี่ ารศึกษา เปน็ ผดู้ ำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจแุ ละแต่งตั้งบุคคลเข้ารับ
ราชการเปน็ ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา

43
43

มาตรา ๔๘ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษาอาจรับสมัครสอบแข่งขันเฉพาะบุคคลทีมี
คุณสมบัติพิเศษในสาขาวิชาใดได้ ทั้งนี้ ผู้สมัครสอบแข่งขันต้องมีคุณสมบัติพิเศษในสาขาวิชาน้ัน ๆ ตามท่ี ก.ค.ศ.
กำหนด

มาตรา ๔๙ ผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตาม
มาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง, มาตรา ๕๐, มาตรา ๕๑, มาตรา ๕๘, มาตรา ๖๔, มาตรา ๖๕ มาตรา ๖๖, และมาตรา ๖๗
หากภายหลังปรากฏว่าผู้นั้นขาดคุณสมบิตทั่วไปหรือขาดคุณสมบัติตามมาตรฐานตำแหน่งตามมาตรา ๔๒ หรือขาด
คุณสมบัติพิเศษตามมาตรา ๔๘ อยู่ก่อนก็ดี หรือ มีกรณีต้องหาอยู่ก่อนและภายหลังปรากฏว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบิต
เนื่องจากกรณีต้องหานั้นก็ดี ให้ผู้มีอำนาจตาม มาตรา 53 สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการโดยพลัน แต่ทั้งนี้ไม่
กระทบกระเทือนถึงการใดท่ี ผูน้ น้ั ไดป้ ฏบิ ัตไิ ปตามอำนาจและหนา้ ท่แี ละการรับเงินเดือนหรือผลประโยชนอ์ นื่ ใดท่ีได้รับ
หรือมีสิทธิจะได้รบั จากทางราชการก่อนมีคำสั่งให้ออกจากราชการนัน้ และถ้าการเข้ารับราชการเป็นไปโดยสุจริตแล้ว
ให้ถือว่าเป็นการสั่งให้ออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทนตามกฎหมาย ว่าด้วยบำเหน็จบำนาญ
ขา้ ราชการ

มาตรา ๕๑ หนว่ ยงานการศึกษาใดมเี หตผุ ลและความจำเปน็ อย่างย่ิงเพ่ือประโยชน์แก่ราชการทีจ่ ะต้องบรรจุ
และแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีความรู้ ความสามารถ มีความชำนาญหรือเชี่ยวชาญระดับสูงเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู
และบคุ ลากรทางการศึกษา ใหห้ น่วยงานการศึกษาดำเนินการขอความเห็นชอบจาก อ.ก.ค.ศ. เขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาก่อน
แล้วให้ขออนุมัติจาก ก.ค.ศ.เมื่อ ก.ค.ศ. ได้พิจารณาอนุมัติให้สั่งบรรจุและแต่งตั้งในตำแหน่งใด วิทยฐานะใด และ
กำหนดเงินเดือนที่จะให้ได้รับแล้ว ให้ผู้มีอำนาจตาม มาตรา ๕๓ สั่งบรรจุและแต่งตั้งได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ี
ก.ค.ศ. กำหนด

มาตรา ๕๒ นอกจากการบรรจุและแต่งตั้งเพื่อให้บุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษาแล้ว ก.ค.ศ. อาจกำหนดให้ตำแหนง่ ข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาบางตำแหนง่ เปน็ สญั ญาจ้าง
ปฏิบัติงานรายปี หรือโดยมีกำหนดเวลาตามระเบียบที่ ก.ค.ศ. กำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง หรือ
เป็นพนกั งานราชการโดยไมต่ อ้ งเปน็ ขา้ ราชการก็ได้

มาตรา ๕๔ การให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะใด และการเลื่อนเป็นวิทยฐานะใด
ต้องเป็นไปตามมาตรฐานวิทยฐานะตามมาตรา 42 ซึ่งผ่านการประเมินทั้งน้ี ให้คำนึงถึงความประพฤติด้านวินัย
คุณธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวิชาชพี ประสบการณ์คณุ ภาพการปฏิบัตงิ าน ความชำนาญ ความเชีย่ วชาญ ผลงานท่ี
เกิดจากการปฏิบัตหิ นา้ ที่ในด้านการเรียน
การสอน ตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารท่ี ก.ค.ศ. กำหนด

มาตรา ๕๕ ให้มีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะสำหรับตำแหน่งที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเป็น
ระยะ ๆ เพื่อดำรงไวซ้ ึง่ ความรู้ ความสามารถ ความชำนาญการ หรือความเชี่ยวชาญในตำแหน่งและวิทยฐานะท่ีไดร้ บั
การบรรจแุ ละแต่งตงั้ ทัง้ น้ี ตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการที่ ก.ค.ศ. กำหนด

มาตรา ๕๘ การโอนพนักงานส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นที่มิใช่
พนักงานวิสามัญ และการโอนข้าราชการอ่ืนที่มิใช่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามพระราชบัญญัติน้ีและ
มิใช่ข้าราชการการเมือง มาบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจทำได้หากบุคคลน้ัน
สมัครใจ โดยใหผ้ มู้ ีอำนาจตามมาตรา ๕๓ ของหนว่ ยงานการศึกษาท่ีประสงค์จะรับโอนทำความตกลงกับผู้มีอำนาจสั่ง
บรรจุของส่วนราชการหรือหน่วยงานสังกัดเดิม แล้วเสนอเรื่องให้ ก.ค.ศ. หรือ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาแล้วแต่
กรณี อนุมัติโดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่หน่วยงานการศึกษานั้นจะได้รับเป็นสำคัญ ทั้งนี้จะบรรจุและแต่งตั้งให้มี
ตำแหนง่ ใด วิทยฐานะใด และให้ได้รบั เงินเดือนเท่าใด ให้เปน็ ไปตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด แต่เงนิ เดือนท่ีจะให้ได้รับต้องไม่


Click to View FlipBook Version