The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คุณธรรมจริยธรรมจรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครู โดยคณาจารย์ ผู้สอนวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wichian Intarasompun, 2020-08-29 00:36:56

คุณธรรมจริยธรรมจรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครู

คุณธรรมจริยธรรมจรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครู โดยคณาจารย์ ผู้สอนวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

Keywords: คุณธรรมจริยธรรมจรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครู

94
94

เกณฑก์ ารพจิ ารณาว่าการกระทำสิ่งใดเป็นค่านิยมที่แท้จริงทงั้ 7 ประการ ดงั กลา่ วนี้ “การกระทำ
ซ้ำ ๆ” ถือว่าสำคัญที่สุด เพราะหากการกระทำสิ่งใดเพียงครั้งสองครั้งหรือบางครั้งบางคราวแล้วหยุดกระท ำ
หรือเลกิ กระทำ เราจะตัดสินว่าส่งิ นัน้ เปน็ คา่ นยิ มไมไ่ ด้
เพื่อใหง้ ่ายตอ่ ความเขา้ ใจ เกณฑท์ ั้ง 7 ประการตามลำดบั ดังกล่าวขา้ งตน้ นนั้ สามารถสรปุ ไดเ้ ป็น 3
ประการ คอื “การเลอื ก เทิดทูน และกระทำ”
ข้ันการเลอื ก จำแนกออกเปน็ “การเลือกอย่างเสรี เลอื กจากหลาย ๆ ตวั เลือก และเลือกหลังจาก
ไดพ้ ิจารณาถงึ ผลทจ่ี ะเกิดจากการปฏบิ ตั ติ ามค่านิยมน้ัน ๆ”
ขัน้ การเทิดทูน จำแนกออกเป็น “การยกยอ่ งเทดิ ทนู และมีความสขุ กับค่านิยมทไ่ี ด้เลือกและเต็ม
ใจทจี่ ะยืนหยดั ในคา่ นยิ มท่ีเลือกอยา่ งเปดิ เผย”
สุดท้ายคือขั้นการลงมือกระทำ จำแนกออกเป็น “การกระทำตามค่านิยมที่ยอมรับ และกระทำ
ซำ้ ๆ เปน็ ประจำจนกระทงั่ เป็นนิสยั ”
การเกิดค่านยิ ม
เกณฑ์ทั้ง 7 ประการ ที่ใช้ในการพิจารณาว่าการกระทำสิ่งใด อย่างไรเป็นค่านิยมดังกล่าวข้างต้นนั้น
เป็นลักษณะสำคัญของค่านิยม ทั้งนี้เพราะการเกิดค่านิยมมีมูลเหตุหรือองค์ประกอบหลายประการ ค่านิยม
บางอย่างเกิดจากปัจจัยเพียงอย่างเดียวก็ได้ ในขณะเดียวกัน ค่านิยมบางอย่างต้องการอาศัยปัจจัยหลาย ๆ
ด้านมาช่วย จึงทำให้ค่านิยมนั้น ๆ เกิดขึ้นอย่างถาวร อย่างไรก็ตาม ค่านิยมของคนทุกคน หรือค่านิยมของ
สงั คมใด ๆ สามารถเปล่ยี นแปลงได้ตามความเหมาะสม
ตามยคุ สมัย
กล่าวโดยสรุป ค่านิยมที่คนยึดถือปฏิบัติเกิดจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (ยนต์ ชุ่มจิต 2546 :
246 – 249)
1. ความคิดและประสบการณ์ ความคิดและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ทำให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบคุ คลนั้น ๆ ได้ คนที่มีประสบการณม์ าก ย่อมมีโอกาสได้รู้ได้เห็นสิง่ ตา่ ง ๆ มามาก
ทำให้เกิดการเปรยี บเทยี บ เกิดความคิดคำนงึ ถึงข้อดีข้อบกพร่องของพฤติกรรมของตน มีสำนึกว่า
สงิ่ ใดควรทำและไมค่ วรทำ เป็นเหตใุ ห้เกิดการตดั สนิ ใจเลือกกระทำในสิ่งที่เหน็ ว่าเหมาะสมถกู ต้องตวั อยา่ ง เช่น
คนที่สูบบุหรี่ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งเกิดความคิดว่าบุหรี่เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อตนเองและ
บุคคลแวดล้อมแต่อย่างใด จึงตัดสินใจเลิกบุหรี่โดยเด็ดขาด อย่างนี้เรียกว่าเป็นการเลิกค่านิยมเก่าแล้วเปล่ยี น
นสิ ยั ไปกระทำสงิ่ ท่เี ป็นประโยชน์ (หรอื อาจจะทำ สงิ่ ที่ไม่เกิดประโยชน)์ อยา่ งอืน่ แทน
2. การอบรมสง่ั สอน การอบรมส่งั สอนของมารดาบิดา ครอู าจารย์ พระภกิ ษสุ งฆ์ หรอื
จากบุคคลที่เคารพนับถือของผู้นั้น จะทำให้บุคคลที่ได้รับการอบรมสั่งสอนเกิดความสำนึกอันถูกต้องว่าอะไร
ควรทำอะไรไม่ควรทำ สิ่งใดที่ไม่เหมาะสมไม่ถูกต้องก็เลิกพฤติกรรมนั้นเสีย เปลี่ยนไปกระทำในสิ่งที่ดีมี
ประโยชน์มากกว่า เช่น คนที่ชอบนอนตื่นสายเป็นประจำ เมื่อได้รับการอบรมสั่งสอนจากบัณฑิตหรือผู้รู้ ผู้ท่ี
เป็นกัลยาณมิตรว่าการนอนตื่นสายเป็นสิ่งไม่ดี ทำให้เราเสียโอกาสที่ควรทำ ควรได้โดยเปล่าประโยชน์ เม่ือ
ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดสำนึกในทางที่ดีขึ้นจึงเลิกนิสัยการนอนตื่นสาย เปลี่ยนมาเป็น
การต่ืนนอนแต่เช้าตรู่ อยา่ งน้เี รยี กวา่ ทำใหเ้ กิดคา่ นิยมใหมข่ ึ้น
3. การชักชวนจากบุคคลอื่น ปัจจัยข้อนี้คล้ายกับข้อที่ 2 ต่างกันเพียงแต่ว่า เป็นการชักชวนจาก
บุคคลอื่น ๆ ไม่อยู่ในลักษณะของการอบรมสั่งสอน บุคคลที่เคารพรักทั้งหลาย เช่น ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง

95
95

ชกั ชวนใหก้ ระทำสิง่ ตา่ ง ๆ โดยการกระทำนน้ั อาจจะเปน็ ส่ิงที่ดีมปี ระโยชน์หรือ ส่งิ เลวรา้ ยต่าง ๆ กไ็ ด้ เชน่ การ
ท่เี ยาวชนติดยาเสพยต์ ิดกเ็ กดิ มาจากการชกั ชวนจากเพอื่ นฝงู เป็นปจั จัยสำคัญ

4. การศึกษาเล่าเรียน การศึกษาเล่าเรียนทำให้คนเรามีความรู้และประสบการณ์มากขึ้น มีปัญญา
มากขึ้นสามารถใช้ความคิด สติปัญญา เลือกกระทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ค่านิยมต่าง ๆ โดยธรรมชาติแลว้ คนที่มีปัญญา มักจะมีพฤติกรรมไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม กระทำในสิ่งที่
เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นมากกว่าการกระทำในสิ่งที่เลวร้ายเว้นแต่ว่า บุคคลผู้นั้นได้รับการปลูกฝังให้
เป็นคนเห็นแก่ตัว หรืออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่คนสว่ นมากเป็นผู้เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบกัน กล่าวโดยรวม
การศกึ ษาเล่าเรยี นสามารถเปลีย่ นค่านิยมของคนใหส้ งู ขนึ้ ได้

5. การปลูกฝังอุดมการณ์ อุดมการณ์เป็นสิ่งที่ตนยึดมั่น หากบุคคลยึดมั่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเขาจะ
เทดิ ทนู สิ่งนนั้ และรักส่ิงนั้นประดุจดังชีวติ เช่น คนที่รกั การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข ก็จะไม่ยอมให้บุคคลใดมาทำลายระบอบการปกครองนี้ได้ หากมีผู้ใดมาทำลายก็จะต่อสู้ทุก
วิถีทางจนสุดความสามารถ เป็นต้น ในการปลูกฝังค่านิยมให้แก่บุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใด ถ้าหากสามารถ
ปลูกฝังอุดมการณ์ให้เกิดแก่ผู้นั้นหรือกลุ่มบุคคลนั้น ๆ ได้ จะทำให้เกิดค่านิยมที่คงทนถาวร ซึ่งอาจเป็นไป
ในทางดหี รือทางรา้ ยก็ได้

6. การเห็นตามกัน คนที่อยรู่ ่วมกนั เป็นกลมุ่ เป็นหมู่คณะ ย่อมมคี วามรสู้ ึกนกึ คิดคล้อยตามกันในบาง
สิ่งบางอย่าง ดังนั้น ในการปลูกฝังค่านิยมอย่างใดอย่างหนึ่งกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากสามารถกระทำให้ผู้ท่ี
เป็นผู้นำกลุ่มนั้นมีความนิยมชมชอบการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นการง่ายที่จะโน้มน้าวใจให้บุคคล
อื่นๆ กระทำตาม

7. การใช้กฎข้อบังคับ การปลูกฝังคา่ นยิ มที่พึงประสงคน์ ้ัน บางคร้งั การใชว้ ิธีการอบรม สั่งสอน การ
ให้การศกึ ษาเล่าเรยี น การชักชน หรือการปลกู ฝงั อุดมการณ์อาจใหผ้ ลไมท่ ันกาล จำเปน็ ตอ้ งใช้กฎข้อบังคับเข้า
มาช่วย การให้กฎระเบียบมาบังคับ เป็นวิธีการที่ต้องการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาบางสิ่งบางอย่างในเวลาอัน
จำกัด เช่น ต้องการปลูกฝังให้ประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ มีนิสัยรักความสะอาด จะใช้เพียงวิธกี ารให้การศึกษา
อบรม การชักชวน หรือการปลูกฝังอุดมการณ์มาชว่ ยคงต้องใช้เวลาอันยาวนานจงึ จะชว่ ยให้คนในท่องถิน่ นัน้ มี
นิสัยรักความสะอาดขึ้นได้ หากต้องการเห็นผลทันตา จึงจำเป็นต้องออกกฎระเบียบมาใช้บังคับควบคู่ไปด้วย
ตัวอย่างในเรื่องนี้มีให้เห็นในประเทศเพื่อนบ้านของไทยท่ียึดกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด บ้านเมืองของเขาจึง
สะอาดและเปน็ ระเบยี บเรียบร้อยอยเู่ สมอ

8. ความนยิ มตามยุคตามสมัย ความนยิ มตามยคุ ตามสมัยย่อมเกิดขนึ้ ได้กับบุคคลทกุ ระดบั แต่ความ
นิยมตามยุคตามสมัยมีช่วงระยะเวลาอันจำกัด ดังนั้น จึงทำให้คนที่เคยนิยมชมชอบในสิ่งใดสิ่งหน่ึ ง ต้อง
เปลย่ี นไปนิยมชมชอบหรือกระทำในส่ิงอนื่ ๆ เม่ือเวลาเปลี่ยนไป เช่น ความนยิ มในเร่ืองการไว้ทรงผม การแต่ง
กาย และการฟงั เพลง เปน็ ตน้

9. ความเปลีย่ นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ความเปล่ยี นแปลงทางสงั คม เป็นความเปลยี่ นแปลง
ทางด้านการปะทะสังสรรค์ระหว่างบุคคลในสังคม ซึ่งอยู่ในขอบเขตของการติดต่อ การสื่อสาร และการขนส่ง
ส่วนความเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรมเป็นความเปลี่ยนแปลงทางด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ เช่น การแต่ง
กาย การทำมาหาเล้ียงชพี การสรา้ งทอี่ ยู่อาศัย และการใช้ยารักษาโรค เปน็ ต้น

เมื่อสังคมหรือวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไป ทุกคนจำเป็นต้องเปลี่ยนค่านิยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้เพราะเราจะต้องปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงนั้น หากเราไม่เปลี่ยนค่านิยมยังคงยึดมั่นในค่านิยม
เดิม จะทำให้เราเป็นคนลา้ หลัง ดำรงชีวิตอย่างยากลำบาก ยกตัวอย่าง เช่น ปัจจุบันการเดินทางไปในทีต่ ่าง ๆ

96 96
จำเป็นตอ้ งอาศยั ยวดยานพาหนะทีร่ วดเรว็ เช่น รถยนต์สว่ นตัว รถประจำทาง รถไฟ หรือเคร่อื งบิน หากเรา
ไมย่ อมเปล่ยี นคา้ นิยมยังคงยึดมัน่ กับการขี่ช้าง ข่มี า้ ไปในทตี่ า่ ง ๆ ก็จะทำใหเ้ ราต้องเสียโอกาสบางส่ิงบางอย่าง
ที่ควรจะไดร้ บั เช่นเดียวกนั หากเราต้องการทจ่ี ะส่งข่าวสารติดต่อกบั บุคคลใดบุคคลหน่ึง ณ ที่ใดทีห่ นง่ึ ถ้าหาก
เรายังใช้นกพิราบหรือม้าเร็ว คงไม่ทันกาล เราจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้วิธีการส่งข่าวทางไปรษณีย์ ใช้โทรศัพท์
หรอื โทรสาร เป็นต้น ในดา้ นการทำมาหาเล้ยี งชีพกเ็ ชน่ เดียวกัน ชาวไร่ ชาวนา ต้องเปล่ียนวิธกี ารใช้ววั ควายไถ
นา มาเปน็ ใชร้ ถไถนา เลิกวธิ ีการเก่ียวขา้ วโดยใช้เคียวเก่ียว มาเป็นการใช้รถเก่ียวแทนคนเกยี่ ว เปน็ ต้น

นอกจากนี้ ในดา้ นปัจจยั ส่ี ต้งั แต่ อาหาร เครอ่ื งนุง่ หม่ ทอ่ี ยูอ่ าศยั และยารกั ษาโรค เราก็ต้อง
มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบันด้วย ตัวอย่าง เช่น ในสมัยโบราณคนรับประทาน
อาหารดบิ ๆ แลว้ พัฒนามารบั ประทานอาหารทท่ี ำใหส้ ุกโดยการเผาหรอื ต้มจากภาชนะที่สามารถทำได้ ต่อมามี
การผลิตหม้อดินสำหรับหุงต้ม ในไม่ช้าก็เปลี่ยนเป็นหม้อโลหะ ปัจจุบันเกือบทุกครัวหุงข้าวด้วยหม้อไฟฟ้า มี
ตู้เยน็ สำหรบั เกบ็ อาหารสดไวไ้ ดน้ านวันในกรณที อ่ี ากาศร้อน แทนที่จะใช้พดั โบกใหเ้ สียพลังงาน กม็ พี ัดลมไฟฟ้า
ใช้สำหรับที่มีฐานะดีก็สามารถติดเครื่องปรับอากาศเพื่อสุขสบายขึ้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นค่านิยมใหม่ที่
เกดิ จากความเปล่ยี นแปลงทางวัฒนธรรมท้งั สนิ้

ชนิดของค่านิยม
คา่ นยิ มสามารถจำแนกเป็นชนิดหรือประเภท ๆ ได้หลายมมุ มอง ทั้งนข้ี ้นึ อยกู่ บั ความรู้ความเข้าใจหรือ
ความพอใจของแต่ละบุคคล เช่น อาจจะจำแนกค่านิยมออกเป็น “ค่านิยมสูงกับค่านิยมต่ำ” “ค่านิยมดีกับ
ค่านยิ มเลว” หรือ “ค่านิยมพน้ื ฐานกับคา่ นยิ มวิชาชพี ” เปน็ ตน้
โดยท่ัวไป เราสามารถจำแนกค่านยิ มออกเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ดังเช่น
1. ค่านิยมทางวัตถุ (Material Values) ค่านิยมทางวัตถุ เป็นค่านิยมที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยส่ีในการ
ดำรงชีวิต ซึ่งได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่เป็นเครื่อง
เสริมหรืออำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิตอีกมากมาย บางสิ่งก็จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต เช่น
ยานพาหนะ และโทรศพั ท์ เป็นต้น บางสิง่ บางอย่างกไ็ ม่ค่อยจำเปน็ ตอ่ การดำรงชีวติ มากนกั เช่น เพชรนิลจนิ ดา
และเครื่องประดับต่าง ๆ เป็นต้น บุคคลที่มีค่านิยมในด้านนี้ มักจะเป็นผู้ที่คอยแสวงหาและสะสมสิ่งเหล่านี้ไว้
เป็นสมบัติของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะหามาได้ เช่น ผู้ที่มีความนิยมในที่ดินก็จะพยายามแสวงหาโดยการซื้อ
หรือโดยวิธีการใด ๆ ก็ตาม เพื่อให้ได้ที่ดินมาเป็นสมบัติของตนให้มากที่สุด ผู้ที่มีความนิยมในบ้า นเรือนที่อยู่
อาศยั กจ็ ะพยายามซื้อหรือปลกู สร้างใหส้ วยงามและมีจำนวนมากท่ีสุดเท่าทีจ่ ะสามารถทำได้ เปน็ ตน้
2. ค่านิยมทางสังคม (Social Values) ค่านิยมทางสังคม เป็นค่านิยมที่ทำให้เกิดความรักความ
เข้าใจและความต้องการทางสังคมของบุคคล ผู้ที่มีค่านิยมในด้านนี้ มักจะให้ความสนใจในเรื่องการปะทะ
สงั สรรคก์ บั บคุ คลต่างๆอยู่เป็นนิจ เช่น มีการจัดงานสังสรรคเ์ ปน็ ประจำ การจัดงานบุญงานกุศลในรูปแบบต่าง
ๆ เพ่อื นบา้ นมกี ิจกการงานใด ๆ จะใหค้ วามสนใจและไปร่วมงานอยา่ งสมำ่ เสมอ เปน็ ตน้ บางคนมีค่านิยมทาง
สังคมมากเกนิ ไปจนทำให้ลมื ครอบครัว ซึ่งอาจทำให้เกิดปญั หาทางสงั คมตามมาภายหลังได้
3. ค่านิยมทางความจริง (Truth Values) คา่ นยิ มทางความจริง เปน็ ค่านยิ มทีม่ ีความ สำคัญต่อผู้ที่
ชอบศึกษาค้นคว้าวิจัยหาความรู้ใหม่ ๆ ที่เห็นได้เด่นชัด ได้แก่ วิทยาศาสตร์ที่พยายามศึกษาค้นคว้ากฎเกณฑ์
แหง่ ธรรมชาติและทฤษฎีใหม่ๆ หรือนักจิตวิทยาท่ีพยายามศึกษาทฤษฎีใหม่ ๆ เป็นต้น ผู้ที่มีค่านิยมทางความ
จริง จะเปน็ ผ้ศู กึ ษาหาความรอู้ ยู่เปน็ นิจ

97
97

4. ค่านิยมทางจริยธรรม (Ethics Values) ค่านิยมทางจริยธรรม จะเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบ
ชั่วดีกระทำสิ่งที่ควรทำและงดเว้นในสิ่งที่ควรงดเว้นผู้ที่มีค่านิยมในด้านนี้ จะเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมในทางที่พึง
ประสงค์และพยายามให้ความรู้อบรมสั่งสอนให้ผู้ที่อยู่ในความควบคุมดู และเป็นผู้มีค่านิยมด้านนี้อยู่เสมอ
ตรงกันข้าม บคุ คลทม่ี คี ่านยิ มต่ำทางจรยิ ธรรม จะเปน็ ผูท้ ่ีมีพฤติกรรมฝืนระเบียบกฎเกณฑ์ของสงั คมอยเู่ สมอ

5. ค่านิยมทางสุนทรียภาพ (Aesthetic Values) ค่านิยมทางสุนทรียภาพ เป็นค่านิยมที่เกี่ยวข้อง
กับความซาบซึ้งในความสวยงาม ความไพเราะ บุคคลที่ทีค่านิยมในด้านนี้ จะเป็นผู้ที่ชื่นขอบในงานศิลปะ
ดนตรี งานหัตถศิลป์ ชื่นชมความงามของธรรมชาติ ป่า เขา ลำเนาไพร เป็นต้น บุคคลที่มีค่านิยมในด้านนี้ จะ
พยายามสรา้ งสรรค์งานศิลปะ ตนตรีในด้านต่าง ๆ อยเู่ สมอ เราจงึ มกั เรยี กบุคคลเหลา่ น้ีว่า “ศิลปิน”

6. คา่ นยิ มทางศาสนา (Religious Values) เป็นค่านิยมทเ่ี กย่ี วกับความปรารถนาความสมบูรณ์ของ
ชีวติ รวมทัง้ ความศรทั ธาและการบชู าในทางศาสนาด้วย บุคคลทีม่ ีความศรัทธาเลื่อมใสต่างกันจึงเคารพนับถือ
ศาสนาต่างกนั การเคารพนับถือศาสนาใดย่อมเป็นสิทธ์ิของผ้นู นั้ โดยปกติ บุคคลมักจะเคารพนับถือศาสนาตาม
บรรพบรุ ุษ จะมกี ารเปลีย่ นแปลงบ้างเม่ือได้รบั การชักชวนจากบคุ คลอ่ืน หรือเกิดจากความคิดเหน็ ของตน

นอกจากจะมีการจำแนกค่านิยมออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ศาสตราจารย์ ดร.
สาโรช บัวศรี (2526 : 10)ได้จำแนกค่านิยมออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ดังนี้ 1)
คา่ นยิ มพืน้ ฐาน และ 2) ค่านยิ มวิชาชพี

คา่ นิยมพ้ืนฐาน ประกอบดว้ ย ศีลธรรม คุณธรรม ธรรมเนยี มประเพณี วัฒนธรรม และกฎหมาย
ต่าง ๆ สำหรับปกครองบา้ นเมอื ง สว่ นค่านิยมวชิ าชีพ ประกอบด้วย อดุ มการณว์ ชิ าชีพวินยั
ของวชิ าชีพ มารยาททางวชิ าชีพ และพระราชบญั ญตั ิเกยี่ วกับวิชาชพี

ค่านิยมพื้นฐาน หมายถึง ค่านิยมที่ทุกคนในสังคมนั้น ๆ ต้องยึดถือปฏิบัติร่วมกัน เพื่อก่อให้เกิด
ความผาสุก เกิดความเจริญมั่นคง สังคมได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น ทุกคนในสังคมน้ัน
ปฏิบัติตามกฎระเบียบ เคารพกฎหมาย มีมารยาที่ดีต่อกัน ไม่เบียดเบียนกันด้วยคำพูดหรือการกระทำใด ๆ
เป็นต้น

ค่านิยมวิชาชีพ คือ ค่านิยมที่บุคคลในอาชีพหรือวิชาชีพนั้นจะต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อก่อให้เกิด
ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการปฏิบัติงาน ทำให้งานวิชาชีพมีความเจริญก้าวหน้า สังคมให้ความศรัทธา
เล่อื มใส ขณะเดยี วกัน ผู้ปฏิบตั ิงานนนั้ ๆ ก็ไดร้ ับการพฒั นาให้เกดิ ความเจรญิ ก้าวหนา้ อย่างต่อเนื่อง เปน็ ตน้

ค่านิยมทค่ี รคู วรนยิ มและไม่ควรนิยม
ค่านิยมที่คนทั่วไปในสังคมยึดถือปฏิบัตินั้นมีทั้งค่านิยมที่พึงประสงค์และค่านิยมที่ ไม่พึงประสงค์
ค่านิยมทีพ่ ึงประสงค์เป็นค่านิยมสูง จึงควรค่าแก่การนิยมยดึ ถอื ส่วนค่านยิ มที่ไมพ่ ึงประสงค์เป็นค่านิยมต่ำ ไม่
ควรนำมายึดถือปฏิบัติ ดังนั้น ค่านิยมที่ครูควรนิยม จึงควรเป็นค่านิยมสูง เมื่อนำมาปฏิบัติแล้วจะนำความ
เจรญิ ร่งุ เรืองมาสตู่ นเอง ตอ่ สถาบนั วชิ าชีพและต่อชาติบ้านเมือง ส่วนค่านยิ มท่ีครูไม่ควรนยิ มน้ันเป็นค่านิยมต่ำ
หากนำมายึดถือปฏิบัติ จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อตนเอง ต่อสถาบันวิชาชีพ และรวมไปถึงชาติบ้าน เมือง
ดว้ ย
1. ค่านิยมที่ครูควรนิยม ค่านิยมที่ครูอาจารย์ทุกคนยึดถือปฏิบัติควรเป็นค่านิยมสูงซึ่งมีมากมาย
ตัวอย่างของค่านิยมที่ครูอาจารย์ควรยึดถือปฏิบัติ เช่น 1) การพึ่งตนเอง ขยันหมั่นเพียร และมีความ
รับผิดชอบ 2) การประหยัดและออม 3) การมีระเบียบวินัยและเคารพกฎหมาย 4) การปฏิบัติตามศีล 5
(หรือข้อกำหนดในศาสนาของตน) 5) ความซื่อสัตย์สุจริต 6) ความยุติธรรม 7) การรักษาสุขภาพอนามัยให้
สมบูรณ์ 8) ความนิยมไทย 9) การปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมไทย 10) การหมั่น

98 98
ศึกษาหาความรูใ้ นวิชาชพี และความร้ทู ว่ั ไป 11) ความสันโดษ 12) ความคดิ ริเรมิ่ สร้างสรรค์ 13) ความสุภาพ
นอบน้อม 14) การรักษาอุดมการณ์ในวิชาชีพ 15) การยึดมั่นในคำสอนของศาสนา 16) ความเสียสละ 17)
ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและสิ่งแวดล้อม 18) ความเมตตากรุณา 19) ความกล้าหาญในสิ่งที่
สมเหตสุ มผล 20) ความสามัคคี 21) การยึดม่นั ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมขุ ฯลฯ

2. ค่านิยมที่ครูไม่ควรนิยม ค่านิยมที่ครูไม่ควรนิยม คือ สิ่งที่เมื่อนำมายึดถือปฏิบัติแล้วก่อให้เกิด
ผลเสียต่อตนเองต่อครอบครัว ต่อสถาบันวิชาชีพและอาจเสื่อมเสียถึงความเจริญมั่นคงของสังคมและ
ประเทศชาติด้วย ตอ่ ไปน้คี ือตวั อย่างค่านิยมท่ีครูไม่ควรนิยม เชน่ 1) การถอื ฤกษถ์ ือยาม 2) ความสนุกสนาน
เพลิดเพลิน 3) ความฟุ่มเฟือย 4) ความนิยมในศิลปะและวัฒนธรรมต่างชาติ 5)ความนิยมของนอก6) การ
ทำตัวตามสบาย 7) การยึดถือสิ่งศักดิ์สทิ ธิ์ 8) การแสวงหาโชคลาภ 9) การเสพสิ่งเสพย์ติดมึนเมา เช่น สุรา
บุหรี่ กญั ชา ฯลฯ 10) การยกย่องบุคคลท่ีมีทรัพย์สินเงินทองมากแตม่ ีพฤติกรรมไม่เหมาะสม 11) ความเห็น
แก่เงินทอง 12) การใช้อำนาจในทางที่ผิด 13) ความนิยมตัวใครตัวมัน 14) การนิยมตัวบุคคลมากกว่า
อุดมการณ์ 15) การนิยมวัตถสุ ิ่งของมากเกินความจำเป็น 16) การนิยมชมชอบในโฆษณา 17) การชอบของ
แจกของแถม 18) การกินพร่ำเพร่ือ 19) การชอบผดั วันประกนั พรุง่ 20) การเลน่ การพนัน ฯลฯ

การพัฒนาคา่ นยิ มในวชิ าชพี ครู
การพัฒนา หมายถึง การทำให้เจริญขึ้น ถ้าเป็นการพัฒนาคน หมายถึง การทำให้เกิดความเจริญงอก
งามแกค่ นโดยมีลักษณะทมี่ ีความเจรญิ งอกงามมาจากภายใน กลา่ วคือ จิตใจของผทู้ ่ีไดร้ บั การพฒั นานนั้ ยอมรับ
เพ่ือความเจรญิ หรือเพื่อความสำเร็จตามจุดประสงค์ของการพัฒนา ดังนนั้ การพัฒนาคำนิยมในวิชาชีพครู จึง
หมายถึง การทำให้ครูยอมรับความสำคัญของวิชาชีพครู เพื่อความเจริญงอกงามของผู้ที่ประกอบวิชาชีพครู
และสถาบันวิชาชีพครูด้วย หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การพัฒนาค่านิยมในวิชาชีพครูก็คือ การทำความเชื่อ
ความมนั่ ใจในคณุ ค่าของความเป็นครูให้ดีขนึ้ โดยบคุ คลท่ีควรได้รับการพฒั นาน้ันก็คือ ผปู้ ระกอบวิชาชีพครูทุก
คนและนักศกึ ษาทก่ี ำลังเรยี นวชิ าชีพครูในสถาบนั ฝกึ หัดครูทั่วไป
ดังได้กล่าวแล้วว่า ค่านิยมของบุคคลสามารถเปลีย่ นแปลงได้ตามความประสงค์ของแต่ละบุคคล หรือ
เปลี่ยนแปลงไปตามการอบรมส่ังสอน การศึกษาเล่าเรียน หรือการปลูกฝังอุดมการณ์ ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งหรอื
หลายๆ เหตปุ ัจจัยก็ได้ เมอ่ื เป็นเชน่ น้ี ค่านยิ มในวิชาชีพครยู อ่ มเปลี่ยนไดเ้ ชน่ เดยี วกัน นนั่ คอื ในกรณที ่นี กั ศึกษา
ครูหรือผู้ที่ประกอบวิชาชีพครูยังมีความรักความศรัทธาต่อความเป็นครูไม่มากนัก ก็สามารถพัฒนาค่านิยมใน
วิชาชีพครูให้สูงขึ้นได้ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ประกอบวิชาชีพครูด้วยความรักความศรัทธาอยู่แล้ว อาจ จะเสริม
ความรกั ความศรทั ธาต่อวชิ าชีพครูกย็ ่อมเกิดขึ้นไดเ้ ช่นเดียวกนั ดังน้ัน จงึ จำเปน็ อย่างยงิ่ ท่ีจะต้องพัฒนาค่านิยม
ในวิชาชพี ครูท้ังผทู้ ่ีกำลังประกอบวชิ าชีพครแู ละนักศกึ ษาครูทุกๆคน เพ่ือใหม้ ีค่านิยมสูงตอ่ วชิ าชพี ครตู ลอดไป
สำหรับแนวทางการพฒั นาค่านิยมในวิชาชีพครูนนั้ สามารถกระทำไดด้ งั ต่อไปนี้
1. สรา้ งศรทั ธาในวชิ าชีพครูโดยการตระหนกั ในคณุ ค่าของความเป็นครู

โดยใหน้ กั ศกึ ษาครูและผปู้ ระกอบวิชาชพี ครูตระหนกั ในสงิ่ ตอ่ ไปนี้
1.1 เกียรติและศักดิ์ศรีของวิชาชีพ ความมีเกียรติและศักดิ์ศรีของวิชาชีพมิใช่อยู่ที่การได้รับ
เงินเดือนสูงๆ แต่อยู่ที่ความสุจริตของอาชีพ ดังภาษิตที่ว่า “สุกมฺมิโก กิตฺติมาวหาติ” แปลว่า“อาชีพที่สุจริตมี
เกียรติทั้งสิ้น ” ดังนั้น ถ้าหากผู้ประกอบวิชาชีพครูและนักศึกษาครูทุกคนหมั่นพิจารณาดูอาชีพทางการสอน
จะเห็นว่าเป็นอาชีพสุจริตเพราะการกระทำหน้าที่ของผู้เป็นครูด้วยวิญญาณของครูจะไม่มีโอกาสกระทำความ

99
99

ทุจริตใด ๆ เลย ส่วนในกรณีที่มีข่าวว่าครูอาจารย์กระทำกระทำความผิดอย่างโน้นอย่างนี้นั้น ความจริงผู้ที่
กระทำความผิดใหป้ รากฏแก่สังคม มไิ ดก้ ระทำหนา้ ทขี่ องครู แต่ไปทำหนา้ ที่อื่นจึงมีโอกาสทุจริต แต่ก็มีจำนวน
น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เข้ามาสู่สถาบันวิชาชีพครูจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “อาชีพที่สุจริตทุกอาชีพมี
เกียรติและศักดิ์ศรีเท่าเทยี มกัน” อาชีพครูนั้น ถึงแม้รายได้จะตำ่ แต่ก็สูงด้วยคุณคา่ และน้ำใจ ดีกว่าอาชีพบาง
อาชีพท่ีมีรายไดส้ งู แต่ขาดความเมตตา เพราะคนในอาชพี น้นั ๆ มงุ่ แต่จะหาประโยชน์มาสคู่ นมากเกนิ ไป

1.2 เป้าประสงค์ของวิชาชีพ วิชาชีพหรืองานอาชีพบางอย่าง มีเป้าประสงค์เพื่อฐานะทาง
เศรษฐกิจหรือความร่ำรวยของผู้ประกอบอาชีพงานน้ัน ๆ เช่น อาชีพธุรกิจทั่ว ๆ ไป เป็นต้น ส่วนเป้าประสงค์
ของวิชาชีพครูที่แท้จรงิ มิได้อยู่ในฐานะความร่ำรวย การมีงานทำถือว่าเป็นเป้าประสงค์รอง เป้าประสงค์สูงสดุ
ของความเป็นครูคือ การยกระดับวิญญาณของศิษย์ไปสู่คุณธรรมชัน้ สูง ดังนั้นเม่ือพิจารณาถึงเป้าประสงคข์ อง
วิชาชพี จงึ สามารถกล่าวได้ว่า วชิ าชีพครู มีเป้าประสงค์เพ่ือยกระดบั วิญญาณมนุษย์ใหส้ ูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน
มใิ ชเ้ พ่อื ความมนั่ คงร่ำรวยหรือความสุขสบายใด ๆ

1.3 ความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ ถ้าหากนำสถานภาพของผู้ที่รับราชการครูกับผู้ที่เป็น
ขา้ ราชการอื่นๆมาเปรียบเทียบกันจะเหน็ อย่างเด่นชดั ว่า อาชพี ครมู ีความเจริญกา้ วหน้ารวดเร็วกว่าอีกหลาย
อาชีพ โดยเฉพาะการเล่ือนชนั้ เล่ือนตำแหน่ง แม้วา่ ฐานะทางการเงินของครูจะไมส่ ูงนักกต็ าม อย่างไรก็ตาม
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ผู้ประกอบวิชาชีพครูจะต้องมีสภาพความเป็นอยู่ดีข้ึน
กว่าเดมิ ทง้ั นีเ้ พราะ ทางราชการพยายามทีจ่ ะปรบั ปรุงสถานภาพของครใู หด้ ขี ้ึนกวา่ เดมิ อยา่ งแน่นอน

1.4 สถานภาพทางวิชาชีพ งานทางการสอนหรือวิชาชีพครูถือได้ว่าเป็นอาชีพชั้นสูงเหมือนกับ
วชิ าชีพอ่ืนๆ เช่น แพทย์ ทนั ตแพทย์ เภสัชกร วิศวกร ทนายความ และ พยาบาล เป็นต้น หลักพยานท่ียนื ยนั
ถึงความเปน็ วิชาชพี หรืออาชีพชั้นสงู กค็ ือ เกณฑ์มาตรฐานของอาชีพชน้ั สูง

จากการนำวิชาชีพครูไปเปรียบเทยี บกับวชิ าชีพอ่ืน จะเหน็ วา่ วชิ าชีพครมู ไิ ดด้ อ้ ยไปกวา่ วิชาชีพ
อื่น ๆ เลยไม่ว่าจะเป็นในด้านความมีเกียรติศักดิ์ศรีในสงั คมการกระทำประโยชน์ให้แกส่ ังคมและชาติบ้านเมือง
ความเจริญก้าวหน้าในการประกอบอาชีพหรือสถานภาพทางวิชาชีพ เป็นเช่นนี้ นักศึกษาครูและครูอาจารย์
พฒั นาความสามารถในการสอนเสยี สละความสุขส่วนตวั เพื่อความเจรญิ ก้าวหน้าของตนเอง ของศษิ ย์ และของ
ชาตบิ ้านเมอื ง

2. การพัฒนาคา่ นิยมในวชิ าชีพครโู ดยอาศยั ปัจจัยแวดลอ้ มอ่ืน ๆ เช่น
2.1 ผู้บริหารหรือผู้บังคบั บญั ชาของครูอาจารย์ทกุ ระดบั ชั้น จะต้องประพฤตปิ ฏิบัติตน

ให้แบบอย่างทด่ี ใี นดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นยิ มทด่ี ีงาม
2.2 ประชาสัมพนั ธ์เกี่ยวกบั จรรยามรรยาทของครู เพ่อื ใหค้ รอู าจารย์ทกุ ระดับชนั้

ไดร้ ับทราบและนำปฏิบัตอิ ยา่ งจริงจัง
2.3 จดั กิจกรรมเพือ่ เสรมิ สร้างค่านิยมและคุณธรรมความเป็นครใู นรูปแบบตา่ งๆ เช่นการประกวด

มารยาทครู การประกวดครดู ีเดน่ ในดา้ นตา่ ง ๆ การอบรมจริยธรรม หรอื การฟังปาฐกถาธรรม เปน็ ตน้
2.4 จดั ให้มกี ารทบทวนชี้แจงดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มของครอู ยา่ งสม่ำเสมอ
2.5 ประกาศเกียรติคุณยกย่องครูอาจารย์ที่มีความสามารถดีเด่นในด้าน ต่าง ๆ ตลอดจนการจัด

ใหม้ ีการสง่ เสริมสวัสดิการแก่ครูอาจารย์และครอบครัวทมี่ ีคุณธรรมดีเดน่ เชน่ การมอบทุนการศึกษาให้แก่บุตร
เปน็ ต้น

2.6 การสอบบรรจุและการปฐมนิเทศครูใหมต่ ้องบรรจเุ รื่องคุณธรรม จริยธรรมและคา่ นยิ มของครู
ไว้ด้วย เพราะเป็นเคร่ืองช่วยให้ครไู ดต้ ระหนกั ในสงิ่ ดงั กลา่ ว

100
100

2.7 ทำการวจิ ัยเพือ่ หาทางแก้ไขปรับปรุงคณุ ธรรมจริยธรรมและคา่ นยิ มของครู
2.8 จัดหาเอกสารเพอ่ื การเสรมิ สรา้ งคณุ ธรรม จริยธรรมและคา่ นิยมให้ครอู าจารย์ไดอ้ ่านทว่ั ถงึ
2.9 สถาบันวิชาชีพครูตอ้ งเรง่ รัตพัฒนาวชิ าชีพครูให้เจริญก้าวหนา้ ทั้งในดา้ นสถานภาพทางสังคม
และฐานะทางเศรษฐกิจ
2.10 คัดเลือกนักศกึ ษาท่ีจะมาเรยี นครูอย่างเคร่งครัดกลา่ วคือต้องพยายามคัดเลือก คนดีคนเก่ง
มาเรียนครูทั้งนี้ ทางราชการจะต้องส่งเสริมพัฒนาครูอย่างจริงจังและจริงใจโดยอาศัยวิธีการใดวิธีหนึ่ง
ดงั ต่อไปนี้

2.10.1ให้ทุนแก่นักเรียนดีในชั้นมธั ยมศึกษา เมื่อสำเร็จมัธยมศึกษาแล้วให้ทุนศึกษาตอ่ ใน
สถาบนั ฝกึ หัดครู สำเรจ็ การศกึ ษาแลว้ มงี านใหท้ ำทนั ที

2.10.2 คัดเลือกนักเรียนที่มีผลการเรียนดีจากชั้นมัธยมศึกษาเพื่อให้ทุนศึกษาเล่าเรียนใน
สถาบันฝึกหดั ครู สำเร็จการศึกษาแล้วมีงานใหท้ ำทนั ที

2.10.3 คัดเลือกนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่นเพื่อศึกษาต่อในสถาบันผลิตครูโดยใช้ทุก
สว่ นตัวของนกั ศึกษา เมื่อสำเรจ็ การศึกษาแล้วตอ้ งบรรจุเขา้ ทำงานทันที

ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังกล่าวข้างต้นนี้ เชื่อแน่ว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้นักเรียนและ
ผู้ปกครองมีค่านิยมที่ดีต่อวิชาชีพครู ให้ความสนใจที่จะส่งบุตรธิดาของตนเข้าศึกษาวิชาชีพครูมากขึ้น หาก
เปน็ เชน่ นี้ “วชิ าชพี ครูกจ็ ะได้คนดี คนเก่ง” เขา้ มาสู่สถาบนั วิชาชีพครูมากขึ้น

กล่าวสรปุ ได้ว่าบุคลิกภาพน้ันกค็ ือ คณุ ลักษณะทุกสิ่งทกุ อยา่ งท่ีมีอย่ใู นตวั บคุ คลน้ันแล้ว ทำให้บุคคลมี
ลกั ษณะแตกต่างจากบุคคลอื่น ๆ บุคลกิ ภาพมคี วามสัมพันธก์ ับบุคคลมากมาย เช่น ช่วยทำใหง้ ่ายต่อการจดจำ
และเข้าใจ เป็นแบบฉบับที่นำไปเป็นตัวอย่างได้ ช่วยทำให้มีความมั่นใจในตัวเอง ช่วยทำให้บุคคลสามารถ
ปรับตัวกับสังคมได้ดี สังคมให้การยอมรับ ง่ายต่อการทำนายพฤติกรรมของบุคคล และทำให้ประสบ
ความสำเร็จในอาชพี การงาน เปน็ ต้น

บุคลิกภาพสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ บุคลิกภาพภายนอกและบุคลิกภาพภายใน
บุคลิกภาพภายนอกหมายถึง คุณลักษณะ ทุกสิ่งทุกอย่างของบุคคลที่สามารถฟังได้ด้วยหแู ละดูได้ด้วยตา เชน่
รปู ร่าง ท่าทาง น้ำเสียง และการแตง่ กาย เปน็ ตน้ สว่ นบุคลกิ ภาพภายใน หมายถึง สง่ิ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัว
บุคคล ไม่สามารถจะมองเห็นได้ แต่จะทราบได้โดยการสังเกต เช่น สามารถทางสติปัญญา ความมั่นคงทาง
อารมณ์และความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นต้น เนื่องจากบุคลิกภาพมีความสำคญั ตอ่ บุคคลอย่างย่ิง ดังนั้น ผู้ที่เป็น
ครแู ละนักศกึ ษาทกุ คนจึงจำเปน็ ต้องพฒั นาบคุ ลิกภาพเพ่ือให้มีบคุ ลิกภาพทด่ี ีทง้ั ภายนอกและภายใน

นอกจากนักศึกษาและครูอาจารย์จะต้องพัฒนาบุคลิกภาพของตนแล้ว สิ่งจำเป็นอีกประการหน่ึง
จะต้องพัฒนา คือ ค่านิยม ทั้งนี้เพราะ ค่านิยม หมายถึง ความนิยมชมชอบสิง่ ใดสิ่งหนึ่งแล้วนำสิ่งนั้นมายดึ ถือ
ปฏิบัติ หากสิ่งที่นำมายึดถอื ปฏิบัติเป็นส่ิงที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติต้องมีชีวิตที่ตกต่ำ เสื่อม
เสยี เกียรตยิ ศ ชือ่ เสียงดังนัน้ ผเู้ ปน็ ครทู กุ คนและนกั ศึกษาจำเป็นต้องเลือกปฏิบัติตามคา่ นิยมทพ่ี ึงประสงค์ของ
สังคมเพ่ือใหเ้ ปน็ แบบอย่างที่ดีแกศ่ ิษยแ์ ละบุคคลทวั่ ไป

101 101

ความศรัทธาในวชิ าชีพครู

ศรทั ธาเป็นธรรมข้ันตน้ ทส่ี ำคัญย่งิ เปน็ อุปกรณช์ ักนำใหเ้ ดนิ หน้าต่อไป เมอ่ื ใช้ถูกต้องจึงเป็นการเร่ิมต้น
ที่ดีทำให้การก้าวหน้าไปสู่จุดหมายได้รวดเร็วขึ้น การขาดศรัทธาเป็นอุปสรรค์อย่างหนึ่งซึ่งทำให้ชะงักไม่
ก้าวหน้าตอ่ ไปในทิศทางทต่ี ้องการ การขาดศรทั ธามีความสงสัยแคลงใจไม่เช่ือมนั่ จงึ เปน็ อุปสรรคสำคัญในการ
พัฒนาปัญญาและก้าวหน้าไปสู่จุดหมาย สิ่งที่ต้องทำในกรณีนี้คือ ต้องปลูกศรัทธาและกำจัดความลังเลสงสัย
แคลงใจ แต่การปลูกศรัทธานี้มิได้หมายถึงการยอมรับและมอบความไว้วางใจ โดยไม่เคารพในคุณค่าแห่ง
ปัญญาของตน แต่หมายถึง การคิด พิสูจน์ ทดสอบ ด้วยปัญญาของตนให้เห็นเหตุผลชัดเจนจนมั่นใจ หมด
ความลังเลสงสยั (พระราชวรมุณ,ี 2529 : 656)

ความหมายของศรัทธา
พระราชวรมุณี (2529 : 396) กล่าวว่า ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่นในความจริง ความดีงาม และกฎ
ธรรมดาแหง่ เหตุผล มั่นใจในปัญญาของมนุษย์ท่ีจะดบั ทุกขห์ รอื แกไ้ ขปัญหาไดต้ ามทางแหง่
เหตุผล และเชื่อในสงั คมท่ีดีงามของมนุษย์ ซึง่ จะเจริญงอกงามข้นึ ตามแนวทางเช่นนั้น
ยนต์ ชมุ่ จติ (2541 : 121) กลา่ วว่า ศรทั ธา คือ ความเชื่อมน่ั ในความเปน็ จรงิ ความดีงาม
และกฎธรรมดาแห่งเหตผุ ล ม่ันใจในปญั ญาของมนุษยท์ ีจ่ ะดับทุกขห์ รือแก้ไขปญั หาได้ตามทางแห่ง
เหตผุ ล และเชอื่ มัน่ ในสังคมทดี่ งี ามของมนุษย์ ซ่ึงจะเจริญงอกงามข้ึนตามแนวทางเชน่ นนั้
ความหมายของศรัทธาตามที่กล่าวข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่จะเรียกว่าเป็นศรัทธานั้นจะต้องเป็น
ความเชื่อ ความเลื่อมใส หรือความรู้สึกซาบซึ้ง ซึ่งเกิดจากความมั่นใจในเหตุผล ความมั่นใจที่เกิดจากศรัทธานี้
สามารถจำแนกออกเป็นองค์ประกอบได้ 3 ประการ คือ 1) มั่นใจว่าเป็นไปได้ 2) มั่นใจว่ามีคุณค่า และ 3)
มั่นใจว่าสามารถพิสูจนใ์ ห้เห็นความจรงิ ได้ (ยนต์ ชุ่มจติ , 2541 : 121)
กระบวนการแห่งความเจรญิ ของปญั ญาอาจกำหนดขนั้ ตอนท่จี ดั วา่ เป็นระยะของศรัทธา คอื
1. สรา้ งทศั นคติท่ีมเี หตผุ ลไมเ่ ชอ่ื หรือยึดถอื สิง่ ใดสิ่งหนง่ึ เพราะไดร้ ับฟังมา
2. เปน็ ผ้คู ุ้มครองสจั จะ คือ ยนิ ดรี บั ฟังหลกั การ ทฤษฎี คำสอน ความเห็นของทกุ ฝา่ ยทุกดา้ นเป็นกลาง
3. เมื่อรับฟังหลักการ ทฤษฎี คำสอน ความเห็นต่าง ๆ ของผู้อื่นแล้วเห็นว่า เป็นผู้มีความจริงใจ ไม่
ลำเอียง มปี ญั ญา จงึ เลอ่ื มใสรับเอามาเพือ่ คิดหาเหตุผลและความจรงิ ต่อไป
4. นำสง่ิ ทีใ่ จรับมานน้ั มาขบคดิ ทดสอบด้วยเหตุผล จนแนแ่ ก่ใจตนว่าเปน็ ส่ิงท่ีถกู ต้อง ม่ันใจ
ในเหตุผล และพร้อมพิสูจนใ์ หเ้ ปน็ ทป่ี ระจกั ษ์ตอ่ ไป
5. ถ้ามีความเคลือบแคลงสงสัยรีบสอบถามด้วยใจบรสิ ุทธิ์ พิสูจน์ด้วยเหตุผลให้ชดั เจน เพื่อให้ศรัทธา
นั้นม่ันคงแนน่ แฟน้ เกดิ ประโยชน์ตามความหมายของมนั
การสรา้ งศรัทธาในอาชีพครู
ปรีชา เศรษฐีธร (2533 : 84 - 89) กล่าวว่า การที่จะปลูกฝังความรักความศรัทธาในอาชีพครูให้เกิด
ในบุคคลใดนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำแนวคิดทางศาสนาที่ตนนับถือมาเป็นเครื่องมือปลูกฝัง แนวคิดทาง
ศาสนาพุทธท่ีเกีย่ วข้องกับการสร้างศรัทธาในความเปน็ ครูท่ีจะนำมากล่าวคอื
1. ฉนั ทะ หมายถึง ความพอใจ ชอบใจ ยนิ ดี อยาก รักใคร่ ต้องการทดี่ งี าม สบาย เกือ้ กลู เป็นกุศล
ฉันทะเปน็ รากหรอื ต้นเคา้ ของธรรมทุกอย่าง พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "ธรรมท้ังปวงมฉี นั ทะเปน็ มลู " เนอ่ื งจาก
ฉันทะมีความสำคัญต่อการทำงานทุกอย่าง ดังนั้นนักศึกษาครูก็ดีหรือครูอาจารย์ก็ดี จึงควรมีฉันทะหรือความ
พอใจในอาชีพของตนดว้ ยความบริสทุ ธ์ใิ จ ท้ังนี้เพือ่ ใหก้ ารศกึ ษาเล่าเรียนบรรลุจดุ หมายท่ีต้ังไว้

102
102

2. เมตตา เป็นหลักธรรมที่รวมอยู่ใน "พรหมวิหาร 4" ซึ่งเป็นธรรมประจำใจาอันประเสริฐหรือเป็น
หลกั ความประพฤตทิ ี่ประเสรฐิ บรสิ ทุ ธ์ิ หลักธรรมนม้ี เี มตตาเปน็ ที่ต้งั และมีธรรมอืน่ ๆ เป็นองค์ประกอบดงั น้ี 1)
เมตตา หมายถึง ความรักใคร่ 2) กรุณา หมายถึง ความสงสาร 3) มุทิตา หมายถึง ความยินดี และ 4)
อุเบกขา หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง

ผู้เป็นครูอาจารย์จึงต้องมีเมตตาเป็นที่ตั้ง เพราะการมีเมตตาเป็นการคิดทำประโยชน์แก่มนุษย์
มนุษย์ในที่นี้คือ เด็กหรือเยาวชนที่กำลังเจริญเติบโตเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศชาติ ซึ่งต้องการความรู้
ความสามารถในการทำงานต่าง ๆ รวมทั้งการฝึกฝนตนเองให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคมด้วย เด็กหรือเยาวชน
ดังกลา่ วจะได้รบั การพัฒนาเป็นทรัพยากรทม่ี ีคุณภาพของชาติได้ ต้องอาศัยบคุ คลทีไ่ ด้รับการพฒั นามาก่อนคือ
ครู

3. กัลยาณมิตร หมายถึง เพื่อนที่ดี แต่ในความหมายที่แท้จริงของกัลยาณมิตรนั้น พระราชวรมุณี
กล่าวว่า หมายถึง บุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบตั ิทีจ่ ะสัง่ สอน แนะนำ ชี้แจง ชักจูง ช่วยบอกช่องทาง หรือ
เป็นตัวอยา่ งให้ผูอ้ นื่ ดำเนนิ ไปในมรรคาแห่งการฝกึ อบรมอยา่ งถูกต้อง

จากความหมายดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าคนที่จะเป็นครูอาจารย์นั้นต้องเป็นทั้งกัลยาณมิตรของ
ศิษย์ ในขณะเดียวกันครูอาจารย์ก็ต้องมกี ัลยาณมติ รด้วยเพราะการมมี ิตรที่ดที ี่เป็นสัตบุรุษหรอื บณั ฑิต จะช่วย
ให้ครูอาจารย์ได้รับฟังแต่เรื่องที่ดีมีประโยชน์พอกพูนสติปัญญาช่วย ชักนำให้ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควร
การมีกัลยาณมิตรนี้จะช่วยให้ครูอาจารย์มีศรัทธาในอาชีพของตนได้อย่างดียิ่ง ดังที่พระราชมุณี ได้ลำดับ
ขน้ั ตอนของการเกิดศรทั ธาไวด้ งั ภาพที่ 4.1

เสวนาสตั บรุ ุษ สดับธรรม ศรัทธา โยนีโสมนสกิ าร ปฏิบตั ธิ รรม
(มกี ลั ยาณมติ ร) ถกู หลกั

ภาพที่ 4.1 แสดงลำดบั ข้ันตอนของการเกดิ ศรัทธา
ท่ีมา : ปรชี า เศรษฐธี ร, 2533 : 93

ดร.สมศกั ดิ์ ดลประสิทธิ์ (2544 : 8–12) กลา่ วว่า จติ สำนกึ และวิญญาณครู จดุ เรม่ิ ต้นน่าจะอยูท่ ก่ี าร
สรา้ งศรัทธา คำวา่ ศรัทธาในท่ีน้มี ีความหมาย 3 มติ ิ คอื

ประการท่ีหนึ่ง คอื ศรทั ธาตอ่ ตนเอง ต้องเชื่อและศรัทธาในความรู้ความสามารถของตนเองว่าจะเป็น
ครูที่ดีได้เป็นตัวอย่างให้กับสังคมได้ กระตุ้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆและวิเคราะห์คัด
สรรความรมู้ าใชป้ ระโยชน์ไดแ้ ละมีความเชื่อมน่ั วา่ ตนเองสามารถสรา้ งภาพลกั ษณ์ของครูท่ีดีได้

ประการทส่ี อง คอื ศรทั ธาตอ่ อาชีพครู รกั ษาเกยี รติและศักดิ์ศรคี รูแห่งความเป็นครทู ี่เปน็
วิชาชีพชัน้ สงู เห็นคุณค่าของวถิ ชี วี ติ ทเ่ี ป็นครู

ประการที่สาม คือ ศรัทธาต่อองค์กรวิชาชีพครู ประพฤติและปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณ
ของวิชาชีพครู

ถ้าครูทกุ คนและครขู องครูทุกคนมีความศรทั ธาเป็นจุดเริ่มต้น จิตสำนกึ และวญิ ญาณของความเป็นครู
และส่งิ ทด่ี ที ีเป็นแบบอย่างของสังคมได้ก็จะขยายและถา่ ยทอดไปสู่เยาวชนช่วั ลูก ชวั่ หลาน เสมือนกับผู้นับถือ
ศาสนาไม่ว่าศาสนาใดจุดเริ่มต้นก็คืออยู่ที่ความศรัทธา เมื่อมีศรัทธา ก็ประกาศตนเป็นผู้นับถือศาสนานั้น เมื่อ

103
103

ครูศรัทธาต่อวิชาชีพครูจะทำให้เกิดพลังแห่งความมุ่งมั่นสร้างสรรค์วิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงตาม
เจตนารมณข์ องการปฏิรูปการศึกษา

ข้อคดิ เกี่ยวกับศรัทธา
1. ศรทั ธาเป็นธรรมข้ันต้น เปน็ เคร่ืองมอื ชักนำให้กา้ วไปสจู่ ุดหมายได้ผลรวดเร็วขน้ึ
2. ศรทั ธาในพุทธธรรมมเี หตผุ ลเป็นฐานรองรบั มปี ัญญาคอยควบคุม จึงยากท่จี ะผิด นอกจากพ้นวิสัย
จริง ๆ ถา้ ผิดแลว้ สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้จะไม่ผิดตลอดกาล เพราะตอ้ งค้นควา้ ทดลองหาเหตผุ ลอยู่เสมอ
3. ถ้าคนเราศรัทธาด้วยอารมณ์ด้านเดียวถือว่าเป็นความเชื่องมงามจำเป็นต้องกำจัดต้นตอแก้ไขให้
ถกู ต้อง
4. คนทกุ คนเม่ือเขา้ สอู่ าชพี ทีต่ นเลือกแลว้ ควรศรทั ธาในอาชีพนนั้ ๆ

สอบถามดว้ ยใจ มุง่ ปญั ญามใิ ช่อวดดี ถา้ ยังมคี วามสงสยั อยรู่ ีบสอบถามพิสูจน์
เพ่อื ใหเ้ กดิ ความชัดเจน ศรทั ธาจะได้ ด้วยเหตุผลด้วยตนเองซ้ำ ๆ

มัน่ คงแนน่ แฟ้น นำมาขบคิด ทดสอบ พสิ จู น์ด้วย
แนใ่ จในการพสิ จู นท์ ดลอง การปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง

แล้วเกิดความม่นั ใจ

ไม่ยนื กรานยึดตดิ แตส่ ง่ิ ที่ตนรู้ รับฟงั หลกั การ ทฤษฎี คำสอน
หรอื คิดว่าตนถูกต้อง ด้วยใจเปน็ กลาง

ไมเ่ ช่อื หรือไม่ยึดถือสง่ิ ใดสิง่ หน่งึ สร้างทัศนคติที่มีเหตุผล
เพราะฟังกนั มา

ภาพที่ 4.2 แสดงระยะเวลาต่าง ๆ ของศรัทธา
ทม่ี า : อดุ ม นิลแสง, 2542 : 78

การปฏิบัตติ นเปน็ แบบอยา่ งท่ดี ีมจี ติ สาธารณะ

ครูควรเป็นบุคคลที่กระทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีเป็นพิเศษ เพราะเด็กและเยาวชนต้องการ
แบบอย่าง การกระทำท่ถี ูกต้องดีงาม เพ่ือใช้เปน็ แนวทางในการดำเนนิ ชีวิตของตน ดงั นัน้ ครูควรระลึกอยู่เสมอ
ว่า การกระทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียนที่ตนเองรับผิดชอบเป็นสิ่งหนึ่งท่ีดีที่สุดที่ครูสามารถให้ความ
ชว่ ยเหลือสงั คม โดยตอ้ งมคี ณุ ลักษณะดังต่อไปน้ี

104
104

คุณลกั ษณะของครูท่ดี ตี ามพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส
อาภัสรา (2552) กล่าวว่า คุณลักษณะของครูที่ดี ควรมีจิตวิญญาณความเป็นครู เพราะคนที่มี จิต
วิญญาณความเป็นครู คงไม่ประพฤติตนออกนอกลู่นอกทาง จนเป็นที่ครหานินทาของผู้อื่น และ ต้องรู้จักการ
พัฒนาตน แสวงหาความรู้เพื่อที่ตนจะไต้ถ่ายทอดความรู้ ความคิด และมีเทคนิคใน การส่งเสริมสนับสนุนให้
ศิษย์ไต้เรียนรู้อย่างกว้างขวางและหลากหลาย อีกทั้งเป็นบุคคลที่เป็น แบบอย่างของเด็กในต้ านต่าง ๆ เช่น
ต้านศลี ธรรม กจิ นิสยั และอปุ นสิ ยั มีความใกลเ้ คยี งสอดคล้อง กบั พระบรมราโชวาทและพระราชดำรสั ท่ผี ู้วิจัย
ไต้ศึกษาล้นคว้าเกี่ยวกับคุณลักษณะของครูที่ดีจาก หนังสือที่ระลึกวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการ
ครบรอบ 107ปี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552) ที่ไต้มีการนำพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสท่ี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวภูมิพลอลุยเดช ไต้ทรงพระราชทานในวโรกาสต่าง ๆ เกย่ี วกบั คุณลักษณะของครู
ทด่ี ขี องครูไว้มากมาย ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ภูมิพลอลุยเดช พระราชทานพระบรมราโชวาท ถึงการประพฤติ ตน
ของครูแก่คณะครู นักเรียน โรงเรียนวังไกลกังวล ในวโรกาสเข้าเผ่ารับพระราชทานรางวัล เมื่อวันพุธที่ 17
มิถนุ ายน พ.ศ. 2524 มีขอ้ ความลักษณะของครทู ี่ดีตอนหน่ึงว่า “สำหรับครูน้ัน จะต้องทำตวั ให้เป็นที่รัก เป็นที่
เคารพรักใคร่ เป็นที่เชื่อถือโดยสนิทใจของนักเรียน คือ ข้อแรก ต้องแกฝนตนเองให้แตกฉานและแม่นยำ
ชำนาญทั้งในวิชาความรู้ และวิธีสอน เพื่อสามารถสอน วิชาทั้งปวงได้โดยถูกต้อง กระจ่างชัด และครบถ้วน
สมบูรณ์อีกข้อหน่ึง ต้องทำตัวให้ดี คือ ต้องมี และแสดงความเมตตากรุณา ความชื่อสัตย์สุจริต ความสุภาพ
ความเข้มแข็งและอดทนให้ปรากฏชัดเจน จนเคยชินเป็นปรกติวิสัย เด็ก ๆ จะไต้เห็นไต้เข้าใจในคุณค่า ของ
ความรู้ในความดี และในตัวครูเอง อย่างซาบซึ้ง และยึดถือเอาเป็นแบบอย่าง ภารกิจของครู คือ การให้
การศกึ ษา ก็จะบรรลุตามท่ี มงุ่ หวงั กันอย”ู่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอลุยเดช ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทาน แก่ครูอาวุโส ประจำปี
พ.ศ. 2523 ณ ศาลาดุสิตดาลัย เมื่อวันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2523 ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะ ของครูที่ดีว่า
“ครูที่แท้จริง เป็นผู้ที่ทำแต่ความดี คือ ต้องหมั่นขยันและอุตสาหะ พากเพียร ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเลียสละ
ต้องหนักแน่น อดกลั้นและอดทน สำรวม ระวังความประพฤติของ ตนให้อยู่ในแบบแผนที่ดีงาม ต้องปลีกตัว
ปลีกใจจากความสะดวกสบาย และความสนุกรื่นเริงที่ ไม่สมควรแก่เกียรติภูมิของตน ต้องตั้งใจมั่นคงแน่วแน่
ต้องชื่อสัตย์รักษาความจริงใจ ต้องเมตตา หวังดี ต้องวางใจเป็นกลาง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจอคติ ต้องอบรม
ปัญญาให้เพิ่มพูนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งต้านวิทยาการ และความฉลาดรอบรู้ในเหตุผล เมื่อครูที่ดีที่แท้เป็นตังนี้ จึง
กล่าวไต้อีกนัยหน่ึงไต้ ว่าการทำหน้าที่ครูก็ คือ การสร้างบารมีที่แท้นั้นเอง และการบำเพ็ญบารมีหรือเพิ่มพูน
ความดนี นั้ ย่อมบำรงุ จิตใจให้เจริญมนั่ คงข้นึ และขัดเกลาให้ประณีตสะอาดหมดจด”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอลุยเดช ทรงมีพระราชดำรัสแก่ครูอาวุโส ณ ศาลาดุสิตดาลัย เมื่อ
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2522 ความว่า “ความเป็นครูนั้น ประกอบชื้นดว้ ยส่ิงที่มีคณุ ค่าหลายอย่าง อย่าง
หนึ่งได้แก่ปัญญา คือ ความรู้ที่ดีประกอบด้วยหลักวิชาอันถูกต้อง รวมทั้งความฉลาดที่จะ พิจารณาเรื่องต่างๆ
ตลอดจนกจิ ทีจ่ ะทำคำท่จี ะพูดทุกอยา่ งไดโ้ ดยถูกต้องดว้ ยเหตผุ ลอย่างหนงึ่ ได้แก่ ความดี คอื ความสจุ ริต ความ
เมตตากรุณา เหน็ ใจ และปรารถนาดีต่อผู้อืน่ โดยเสมอหน้า อีกอยา่ งหนง่ึ ไดแ้ ก่ ความสามารถที่จะเผ่ือแผ่ และ
ถ่ายทอดความรู้ความดีของตนเองไปยังผู้อื่นอย่างได้ผล ความเป็นครูมีอยู่แล้วย่อมฉายออกให้ผู้อื่นไ ด้รับ
ประโยชน์ด้วย กล่าวคือ ความแจ่มแจ้งแน่ชัดในใจ ย่อมส่องแสดงความรู้ออกมาให้เข้าใจตามได้โดยง่าย และ
หวังดีโดยบริสุทธ์ิใจย่อมน้อมนำให้เกิด ศรัทธาแจ่มใส มีใจพร้อมที่จะรับความรู้ความดีด้วยความชื่นบาน
ร่วมงานดว้ ยโดยความเต็มใจและ มัน่ ใจโดยนัยนี้ ผู้ทไี่ ดร้ บั แสงสวา่ งแห่งความเป็นครชู บุ ย้อมกายใจแล้ว จึงเป็น

105
105

ผ้ใู ฝ่หาความรู้ ใฝ่หา ความดี ทงั้ ต้ังใจและเต็มใจที่จะชว่ ยเหลือสนับสนุนผู้อื่นโดยบริสุทธิ์ จะประกอบกิจการใด
ก็จะทำ ให้กิจการนั้นดำเนินไปโดยสะดวกราบรื่น และสำเร็จประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสมบูรณ์ ผู้ที่มีความเป็น
ครูสมบูรณ์ในตัวนอกจากจะมีความดีด้วยตนเองแล้ว จึงยังจะช่วยให้ทุกคนที่มีโอกาสเข้า มาสัมพันธ์เกี่ยวข้อง
บรรลุถงึ ความดคี วามเจริญไปดว้ ย”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอลุยเดชทรงมีพระบรมราโชวาทในโอกาสที่ คณะครูอาวุโสเข้าเฝ้า
รับพระราชทานเครื่องหมายเชิดชุเกียรติ ประจำปี 2520 ณ ศาลาดุสิตดาลัย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม
พ.ศ. 2520 ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของครูที่ดีว่า “ผู้เป็นครูอย่างแท้จริง นับว่าเป็นบุคคลพิเศษ ต้องมีเม ตตา
และเสียสละ เพื่อความสำเร็จ ความก้าวหน้า และความสุข ความเจริญของผู้อื่นตลอดชีวิต ที่กล่าวตังนั้น
ประการหนึ่งเพราะครูจำเป็นต้องมีความรัก ความสงสาร ศิษย์ เป็นพื้นฐานทางจิตใจอยู่อย่างหนักแน่น จึงจะ
สามารถทนสำบาก ตรากดรำทงั้ กาย และใจ อบรม สัง่ สอนและแม้เค่ยี วเข็ญศิษย์ใหต้ ลอดรอดฝงั ได้อีกประการ
หน่ึง จะต้องยอมเสียสละความสุข และ ประโยชน์ส่วนตัวเป็นอันมาก เพื่อมาทำหน้าที่เป็นครู ซึ่งทราบกันดี
แล้ววา่ ไมใ่ ช่ทางทีจ่ ะแสวงหา ความร่ำรวย ยศศักดิ์ หรืออำนาจความเป็นใหญ่ แต่ประการหน่งึ ประการใดให้แก่
คนไดเ้ ลย”

เอกสารอา้ งองิ

กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หนังสือที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากระทรวงศึกษาธิการครบรอบ 107ปี.
กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศกึ ษาธิการ.

ก่อ สวัสดิพานิช. (2519). เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการศึกษา. (วัยรุ่นกับค่านิยมระบบศีลธรรม) กรมสามัญศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ. กรงุ เทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ.

ชชู าติ พวงมาลี. (2550). คุณลักษณะของครูมืออาชีพของโรงเรยี นในโครงการหน่ึงอำเภอหนึ่งโรงเรยี นใน
ฝนั ลงั ลดั สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาหนองคาย. วทิ ยานิพนธค์ รศุ าสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ า
การบริหารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎอดุ รธาน.ี

ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง และ ปิยวรรณ วเิ ศษสวุ รรณภูมิ. (2553). การพัฒนาแบบวัดจติ วิญญาณความเปน็ ครู.
กรุงเทพมหานคร : รายงานฉบับสมบรู ณ์ มลู นธิ ิสดศรี-สฤษดวงศ์.

ดุษฎี โยเหลา และคณะ. (2553). การสรา้ งเครอ่ื งมือประเมนิ และตัวชี้วดั ระดับการพัฒนาจิตวิญญาณ
สำหรับบคุ ลากรดา้ นสาธารณสุข. กรุงเทพมหานคร : สถาบนั วิจยั พฤตกิ รรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย
ศรนี ครินทรวิโรฒ และมลู นธิ สิ ดศรี-สฤษดวงศ์.

นงเยาว์ มงคลอิทธเิ วช และคณะ. (2552). การสงั เคราะห์ความร้ทู างด้านการพฒั นาจิตปญญา (วิญญาณ)
จากเรือ่ งเลา่ ความสำเร็จของผใู้ หบ้ รกิ ารและผูร้ ับบริการในระบบสขุ ภาพ : พัฒนาการทางจติ
วิญญาณและปัจจัยทเ่ี กี่ยวข้อง. เชยี งใหม่ : โรงพยาบาลมหาราชนครเชยี งใหมแ่ ละ แผนงาน
พัฒนาจติ เพ่ือสุขภาพ มลู นิธิสดศรี-สฤษดวงศ.์

ประเวศ วะสี. (2553). ธรรมชาติของสรรพสิ่ง : การเขา้ ถงึ ความจรงิ ท้งั หมด. พิมพ์ครั้งที่ 2.
กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพก์ รนี -ปัญญาญาณ.

ปรีชา เศรษฐีธร. (2533). ความเปน็ ครู. เพชรบุรี : วิทยาลัยครเู พชรบุร.ี
พนัส หันนาคินทร์. (2523). การสอนค่านิยมและจริยธรรม. พิษณุโลก :มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒ

พิษณโุ ลก.

106
106

พรจนั ทร์ สุวรรณชาต. (2534). แนวคิดเกยี่ วกบั การพยาบาลในมิตจิ ติ วิญญาณ ในการพยาบาลในมติ ิ จิต
วญิ ญาณ. กรงุ เทพมหานคร : เรือนแกว้ การพมิ พ.์

พระราชวรมุณี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2528). ปรัชญาการศึกษาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์
การศาสนา.

พะนอม แก้วกำเนดิ . จติ วิญญาณความเป็นคร.ู (2552). [ออนไลน]์ . [สืบลน้ วันท่ี 30 พฤศจกิ ายน 2556], จาก
http://www.gotoknow.org/posts/259446.

ยนต์ ชุ่มจิต. (2541). ความเป็นครู. (พมิ พ์ครง้ั ที่ 2). กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
_________. (2546). การศึกษาและความเปน็ ครไู ทย. (พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2). กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร,์
_________. (2526). ปรชั ญาและคุณธรรมสำหรบั ครู. กรุงเทพมหานคร : กรงุ สยามการพิมพ.์
สมศักด์ิ ดลประสิทธิ์.(2544,ธันวาคม).“ครูของครูกบั ครูอาชพี ” วารสารขา้ ราชการครู. 21(2),8-12.
สอ เสถบตู ร. (2541). พจนานกุ รมอังกฤษ : ไทย. กรุงเทพมหานคร:ไทยวฒั นาพานิช.
สาโรจน์ บวั ศรี. (2526). จริยศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรสุ ภา.
สมุ น อมรวิวัฒน์. (2535). สมบัตทิ พิ ย์ของการศึกษาไทย. (พมิ พค์ ร้งั ที่ 2). กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แหง่

จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
อาภสั รา ดยี ่งิ . (2552). การปฏิบตั ิตามจรรยาบรรณวิชาชีพครูโรงเรยี นในกลุ่มสหวิทยา เขตกรงุ เทพ

ตะวันออก สังกดั สำนักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษากรุงเทพมหานคร เขต 2. วิทยานิพนธ์ ครศุ าสตรม
หาบัณฑติ สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนคร.
อารยา พรายแย้ม และคณะ. (2552). การสงั เคราะห์ความรทู้ างด้านการพฒั นาจติ ปญั ญา (วิญญาณ) จาก
เรือ่ งเล่าความสำเรจ็ ของผ้ใู ห้บริการและผู้รบั บริการในระบบสขุ ภาพ. กรุงเทพมหานคร :
รายงานฉบบั สมบรู ณ์ มลู นิธิสดศรี-สฤษด์วิ งศ์.
Good , Carter V. (1973). Dictionary of Education. New York : McGraw – little book.
UNESCO. (1986). Teaching Methodology for Population. Bangkok : UNESCO Regional
office for Education in Asia and the Pacific.

107 107

บทที่ 5
คุณธรรมจริยธรรมสำหรับครู

อาจารย์ ดร.อโนทัย แทนสวัสด์ิ

แนวคดิ และทฤษฎีเกีย่ วกบั คณุ ธรรมจรยิ ธรรมสำหรับครู

ครูเป็นบุคคลที่มีความสําคัญอย่างมากกับผู้เรียนเพราะครูเป็นผู้สร้างและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน
ทั้งในการจัดการเรียนการสอน การให้คําแนะนําและพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนให้มีความเหมาะสมกับการ
เปล่ยี นแปลงทางสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเรว็ ในปัจจุบนั ครูจึงต้องมคี ุณธรรมและจริยธรรมเพ่ือเป็น
แบบอยา่ งท่ดี ีใหก้ บั ผู้เรียน ประกอบกบั การทีค่ รเู ป็นผู้ท่ีมีความใกล้ชิดกับผูเ้ รยี นน้ันสามารถเปน็ เปน็ ผู้ที่บ่มเพาะ
ความรู้ ความคิดให้ผู้เรียนสามารถดำเนินชีวิตทางการศึกษาอย่างราบรื่น ดังนั้นครูจึงควรมีลักษณะเป็นผู้นํา
เป็นแบบอยา่ งทีด่ ีกบั ศษิ ย์หรือผู้เรียน แตส่ ่งิ ท่คี รูจะขาดไมไ่ ด้ คอื คุณธรรมและจริยธรรม

ความหมายของคณุ ธรรม
นักวิชาการไดใ้ หค้ วามหมายของคุณธรรมไวต้ ่างกัน หลายแนวคดิ และท่สี ําคญั แนวคิดเหลา่ น้ี ชว่ ยสร้าง
ความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกับความหมายของคุณธรรมดงั นี้ โสกราตีส (Socrates) ไดก้ ลา่ ววา่ คณุ ธรรม หมายถึง
ความรู้ ซึ่งหมายความว่า ถ้าบุคคลรับรู้และเข้าใจถงึ ธรรมชาติของความดีจริงๆ แล้ว บุคคลนั้นจะไม่พลาดจาก
การกระทําความดีอีกทั้งจะไม่ทําความชั่ว แต่เพราะความไม่รู้ทําให้ต้อง ทําความชั่ว ส่วนอาริสโตเติล ซึ่งเป็น
ศิษย์ของโสกราตสี ได้กล่าวเพมิ่ เตมิ ไวว้ ่า การทร่ี ้ยู ่อมไม่ทาํ ผดิ น้ันยงั รับรองกันไม่ได้ เพราะคนเรายงั มีอารมณ์ มี
กเิ ลสอยู่ แตค่ ุณธรรมย่อมเป็นจรงิ ในตัวเองไม่ขึน้ อยู่กบั ความรหู้ รือความเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูกของใคร ซ่ึงการ
ที่บุคคลมีความรู้สามารถสัมพันธ์กับการกระทํา เพราะการกระทําความดีบางครั้งต้องอาศัยตนเองและบุคคล
อ่ืน ซ่งึ นับวา่ เป็นส่ิงจําเป็นอยา่ งยงิ่ ที่คนเรา จะตอ้ งมคี วามรเู้ กย่ี วกับการทําความดี (พรรณอร อชุ ภุ าพ, 2561)
สว่ นเพลโต (Plato) ได้ใหแ้ นวคดิ ในเรื่องนีว้ ่า โดยธรรมชาตแิ ล้วมนษุ ย์ทุกคนมักแสวงหา แต่ส่ิงที่ดีหรือ
หาสงิ่ ตา่ งๆ ที่จะเพมิ่ พูนส่ิงท่ีมีอยู่และเป็นอยู่แล้วใหส้ มบูรณย์ ิ่งขึ้น และมนุษยก์ ต็ กอยู่ในกฎนี้ด้วย เมื่อวิญญาณ
ได้บรรลุถึงความสมบูรณ์โดยธรรมชาติแล้ว การปฏิบัติที่ดีตามหน้าที่ของ วิญญาณที่เรียกว่า “คุณธรรม” ซึ่ง
คุณธรรมหมายถึงความรู้ โดยคุณธรรมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ในบุคคลโดยฉับพลันหรอื โดยบังเอิญ แต่มนุษย์ไม่
สามารถปฏบิ ัติดี ปฏิบัตชิ อบได้ถ้าหากเขาไม่รู้วา่ กาํ ลงั ทําอะไร ทาํ เพือ่ ใครและทําอย่างไร คุณธรรมจึงต้องเกิด
จากความรู้และก็ไม่ใช่ความรู้ที่เป็นทฤษฎี หากแต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติ คุณธรรมที่สําคัญ มี 4
ประการ ได้แก่ ความฉลาด (Wisdom) ความยุติธรรม (Justice) ความกล้าหาญ (Courage) และความรู้จัก
ประมาณ (Temperance) ดงั มรี ายละเอียดต่อไปน้ี
1. ความฉลาดหรือปัญญา เป็นคุณธรรมที่ยอมกระทํากิจกรรมทุกอย่างด้วยเหตุผลเสมอ หรือ อีก
ความหมายกล่าวไว้ว่า กิจกรรมที่มีเหตุผลย่อมประกอบด้วยคุณธรรม ด้วยเหตุนี้ปัญญาจึงเป็นรากฐานของ
คณุ ธรรมทัง้ หมด
2. ความยุติธรรม เปน็ คุณธรรมทางสงั คมทไ่ี ด้รวบรวมเอาคณุ ธรรมอื่นๆ เขา้ ไว้ เชน่ ความรกั ความกล้า
หาญ ความซือ่ สัตย์ ความจงรักภกั ดี การทาํ หน้าที่ การรักษาสัญญา ฯลฯ ความฉลาดอย่างเดียว สามารถทําให้
กิจกรรมต่างๆ ดาํ เนนิ ไปได้ แต่ความยตุ ธิ รรมทาํ ทุกส่งิ ทกุ อยา่ งเป็นไปตามความต้องการ อย่างแทจ้ รงิ โดยตดั สิน
ด้วยเหตุผล

108 108

3. ความกล้าหาญ เป็นคุณธรรมที่สําคัญมากในการดํารงชีวิตของคนและจําเป็นต้องใช้ ในการป้องกัน
ชีวิตของเราให้หลุดพ้นจากสิ่งยั่วยวนใจ ความหมายของความกล้าหาญนี้ได้รวมเอาทั้ง ความกล้าหาญและ
ความอดทนไว้ด้วย ผู้ที่กล้าหาญเท่านั้นจะเอาชนะศัตรูและอุปสรรคได้ มนุษย์ต้องการความกล้าหาญที่มี
ระดับแตกต่างกัน ทั้งในด้านสถานที่และสถานการณ์ เช่น ทหาร ต้องการความกล้าหาญทางร่างกายใน
สถานการณส์ งคราม ครูหรือนักการศาสนาอาจจะตอ้ งใช้ความ กลา้ หาญทางดา้ นศลี ธรรมมากกวา่

4. ความรู้จักประมาณ เป็นคุณธรรมที่ช่วยให้รอดพ้นจากสิ่งยั่วยวนใจทั้งหลายได้ ความรู้จักประมาณ
หมายถงึ การหลีกเลยี่ งจากสิ่งยวั่ ยวนกวนใจจากประสาทสมั ผัสหรือ ความเพลดิ เพลิน ผ้รู ้จู ักประมาณจะเป็นผู้
ทีส่ ามารถควบคมุ ประสาทสัมผัสได้ สร้างระเบยี บวินัยในตนเอง ซง่ึ ตรงกนั ข้ามกบั คําวา่ การขาดความพอดี
ความหมายของจริยธรรม

การศึกษาความหมายของจริยธรรมนั้น นักวิชาการได้ให้แนวคิดไว้ต่างๆ กัน ซึ่งช่วยให้เข้าใจ
ความหมายได้ดังนี้ จริยธรรม (Ethics) หมายถึง หลักการประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นคนดี ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง
กับปัจจัยต่างๆ 4 ประการ ได้แก่ ธรรมชาติ ตัวเรา ผู้อื่น และความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติ ตัวเรา
และผู้อ่นื (http://learners.in.th/blog/alcoho/95990) อกี ความหมายหน่ึง จรยิ ธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็น
ข้อประพฤติปฏิบัติ ได้แก่ ศีลธรรม และกฎศีลธรรม (ราชบั ณฑิตยสถาน, 2542 : 291 อ้างถึงใน
http://th.wikipedia.org/wiki) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดหนึ่งที่กล่าวว่า จริยธรรม หมายถึง กฎเกณฑ์แห่ง
ความประพฤติหรือหลักความจริงทีเ่ ปน็ แนวทางแห่งความประพฤตปิ ฏิบัติ (ไสว มาลาทอง, 2542 : 63 อ้างถึง
ใน http://th.wikipedia.org/wiki)

จากแนวคิดดังได้กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า จริยธรรม หมายถึง ข้อควรประพฤติปฏิบัติ โดยใช้กฎ
ศีลธรรมมาเป็นแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ผู้อื่น ธรรมชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างตนเอง ผู้อ่ืน
และธรรมชาติ
ความสาํ คญั คุณธรรมสําหรบั ครู

การมีคุณธรรมของครูส่งผลต่อศักยภาพของครูเพื่อสร้างการยอมรับทั้งในด้านผลการปฏิบัติงานและ
เพื่อนร่วมงานอันเป็นหลักของภาวะผู้นํา ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหาร และเพื่อนครู ในบทบาท
ต่างๆ ที่ครูต้องปฏิบัติงานส่งผลต่อความเจริญก้าวหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการนํามาพัฒนา บุคลากรในด้าน
คุณลักษณะ เจตคตแิ ละการปฏิบัติ (Easley, 2008: 25-38) ซง่ึ ครูทีม่ คี ุณธรรมและจรยิ ธรรมมคี วามสําคญั ดงั น้ี
(ยนต์ ชุ่มจติ , 2539 : 207-208)

1. ดา้ นตวั ครู (1) ทําใหค้ รูมคี วามเจรญิ ก้าวหนา้ และมีความมนั่ คงในอาชพี (2) ได้รับคํายกยอ่ งสรรเสริญ
จากบุคคลทั่วไป เป็นที่เคารพเชื่อฟังของผู้เรียน และ (3) มีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ไร้ภยันตรายใด ๆ
เพราะแวดลอ้ มด้วยความรักความนบั ถอื จากศิษย์และประชาชนท่ัวไป

2. ด้านสถาบันวิชาชีพ (1) ช่วยสร้างชื่อเสียงของวิชาชีพครูให้เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของ ผู้รับบริการ
และวิชาชีพครูมีความเจริญก้าวหน้า เพราะครูทํางานเต็มกําลังความสามารถ มีความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งที่
เป็นประโยชน์ให้กบั วงการศึกษา และ (2) สถาบันการศกึ ษาได้รบั การพัฒนา อย่างเต็มทีด่ ้วยความศรัทธาและ
ความรว่ มมือช่วยเหลอื จากสงั คม

3. ด้านสังคมและชุมชน (1) สมาชิกของสังคมเป็นคนดี รู้จักสิทธิและหน้าที่อย่างถูกต้อง (2) สังคมมี
สันติสุข เพราะสมาชิกของสังคมมีคุณธรรม และ (3) สังคมได้รับการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วใน
ทุกๆ ดา้ น

109 109

4. ด้านความมั่นคงของชาติ (1) สถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์มีความมั่นคง เพราะประชาชนมีความรัก
และความเขา้ ใจเห็นความสําคัญอย่างแท้จริง และ (2) ขนบธรรมเนยี มประเพณีและวัฒนธรรมของชาติมีความ
ม่นั คงถาวร เพราะครไู ด้อบรมสัง่ สอนศษิ ยใ์ หม้ ีความรู้ความเข้าใจและปฏบิ ตั ติ นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม กุญชรี ค้าขาย (ประไพ สิทธิเลิศ, 2542 : 119 อ้างถึงใน กุญชรี ค้าขาย, 2542 : การ
สัมภาษณ์) ไดก้ ลา่ วถงึ ความสำคัญของของคุณธรรมจรยิ ธรรมของครูไวว้ ่า (1) ชว่ ยให้ครสู ามารถแยกแยะความ
ถูกต้องและความไม่ถกู ต้องออกจากกันได้ (2) ทาํ ให้ครมู ีแนวทางด้านความประพฤติ (3) ทาํ ให้มีความตา้ นทาน
ที่จะประพฤติมชิ อบ (4) เปน็ แบบอย่างกบั ศิษย์ และ (5) ก่อให้เกดิ การยอมรบั นบั ถือของคนในสังคม

จากแนวคิดที่ไดก้ ล่าวมาแลว้ สรปุ ไดว้ า่ ความสาํ คัญของคุณธรรมและจรยิ ธรรมสําหรบั ครูมีดงั นี้
1. ช่วยให้ครูมีความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงในวิชาชีพครู ก่อให้เกิดความสุขใจและมีความ
พยายามสร้างความดีต่อไป ผรู้ บั บรกิ ารมีความเชื่อถือ ศรทั ธา และยกยอ่ ง
2. ทําให้วิชาชีพทางการศึกษามีความเจริญก้าวหน้า สร้างความมั่นใจให้ผู้รับบริการว่าเป็นวิชาชีพ
ชน้ั สูง และเป็นการสรา้ งมาตรฐานความประพฤตทิ ดี่ ีของครู
3. ช่วยใหก้ ารพัฒนาสังคมและประเทศตรงตามเป้าหมาย โดยมีครเู ปน็ ผูท้ ําใหค้ นมีประสิทธิภาพ และ
ช่วยเพิ่มคุณภาพของคนให้แกส่ ังคม เพื่อช่วยพัฒนาสังคมและประเทศชาตใิ ห้มีความเจริญก้าวหน้าพร้อมที่จะ
แขง่ ขนั กบั นานาประเทศ
4. เป็นปัจจัยสําคัญที่ช่วยให้สังคมมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และ
การเมอื งของประเทศใหเ้ จริญกา้ วหน้า
คณุ ธรรมจรยิ ธรรมของวิชาชีพครู
ภาระงานของครูเป็นงานที่เกีย่ วข้องและซับซอ้ นที่สุดกับ “คน” และการสอนเป็นศิลปะที่ยากที่สุดใน
กระบวนการศิลปะทั้งมวล อีกทั้งเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งที่สุดในกระบวนศาสตร์ทั้งหลาย งานของครูจะประสบ
ความสําเร็จเมื่อสามารถทําให้บคุ คลได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามที่ตอ้ งการ ในขณะที่ครู ต้องประพฤติตน
อยู่ในกรอบของศีลธรรมเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้เรียนและสังคม การที่ครูจะทําหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์ ควร
จะต้องพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถทางวิชาการทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติจึงต้องมีความเพียบพร้อม
ทางดา้ นคุณธรรม ความประพฤติและการปฏบิ ัติงานในการทาํ หนา้ ท่ีของครู
งานของครูจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการพัฒนาผู้เรียนจึงจะเห็นผลได้เสมือนการโปรยหว่าน
เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาและความดีลงในตัวศิษย์ แล้วเฝ้าดูแลฟูมฟักด้วยสายใยแห่งความรักและศรัทธา จนต้น
กลา้ ทอี่ ่อนแอและเยาว์วยั นั้นเติบโตแข็งแรง ผลิดอกออกช่อและเป็นผล เปน็ คนดมี ากมายอยูใ่ นสังคม ซึ่งการที่
ครูจะทํางานดังกล่าวนี้สาํ เร็จลงได้ ตวั ครูกต็ ้องเปย่ี มไปดว้ ยความรู้และคุณธรรมท่ีจําเป็นสําหรับครูเสียก่อน ซ่ึง
คุณธรรมทคี่ รคู วรใชเ้ คร่อื งประเทืองปัญญาและประคองใจมดี งั น้ี
1. หลกั ธรรมสาํ หรบั ทางแห่งความสําเรจ็ ในหน้าท่ีครู ไดแ้ ก่ อิทธบิ าท 4 ประกอบดว้ ย

(1) ฉนั ทะ หมายถงึ ความรัก ความพอใจในการสอน รกั วชิ าทสี่ อน รกั วิชาชพี ครู รกั ศิษย์ รักที่จะ
เห็นศิษย์มีวิชาความรู้ มีความเจริญก้าวหน้าและประสบความสําเร็จในชีวิต การสอนและการให้คําปรึกษา
ใหก้ บั ผูเ้ รยี นกท็ ําไปด้วยใจรกั ไม่ทําเพ่อื ให้ผ่านไปหรือเสร็จไปเพราะเป็นหนา้ ท่ี

(2) วิริยะ หมายถึง ความขยันขันแข็ง พากเพียรที่จะค้นคว้าหาความรู้และวิทยาการที่ใหม่ๆ
แปลกๆ มาสอน ช่วยให้ผู้เรียนได้รับความรู้กว้างขวางและลึกซึ้ง การขยันจัดทําและเตรียมส่ือ การเรียนการ
สอนเพื่อให้การสอนประสบผลดี หรือการขยันจัดกิจกรรมต่างๆ ทั้งกิจกรรมในหลักสูตร หรือกิจกรรมนอก

110 110
หลักสูตร ตลอดจนการขยันหมั่นประชุมกับเพื่อนครูเพื่อปรึกษาหารือในการวางแผน การสอน หรือ
ประสานงานเพอื่ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนร่วมกัน รวมทั้งการหม่ันประชุมกับผ้เู รยี น เพื่อวางจดุ มงุ่ หมายใน
การเรยี นรว่ มกันและการให้คําปรกึ ษาหารือเป็นกลมุ่ และเป็นรายบุคคล

(3) จิตตะ หมายถึง ความเอาใจใส่ ความฝักใฝ่ในงานที่ทํา และความรับผิดชอบในงานที่ตนสอน
หรือทํางานอื่นที่ได้รับมอบหมายด้วยความตั้งใจแน่วแน่ในการถ่ายทอดความรู้และการปลูกฝัง คุณธรรมและ
จริยธรรมแกศ่ ิษยอ์ ย่างเต็มสตปิ ัญญาและกําลังความสามารถ

(4) วิมังสา หมายถึง การไตร่ตรองใช้เหตุผล รู้จักหาวิธีการทํางานให้สําเร็จรวดเร็ว เมื่อประสบ
ปญั หาใดไม่ว่าด้านการเรียนการสอน ด้านวนิ ัย หรอื ดา้ นมนษุ ยสัมพันธ์ก็ใช้ปญั ญาไตร่ตรอง อย่างรอบคอบไม่รู่
วาม นอกจากเป็นผู้ที่รู้จักไตร่ตรองใชเ้ หตุผลด้วยตนเองแล้ว ยังกระตุ้นใหศ้ ิษย์ รู้จักคิด รู้จักไตร่ตรองพิจารณา
สิ่งตา่ งๆ อยา่ งถถี่ ้วนและมเี หตุผล

2. หลักธรรมท่ชี ่วยยดึ เหนย่ี วน้ำใจคน ได้แก่ สงั คหวัตถุ 4 ประกอบดว้ ย
(1) ทาน หมายถึง การเป็นผู้ให้ความรู้ ให้แนวคิดที่ถูก รวมทั้งวิธีคิด วิธีศึกษาหาความรู้ ด้วย

ความเต็มใจ เพอื่ ศิษย์จะได้นําไปใช้ในการแสวงหาความรู้และดําเนินชีวิตต่อไป รวมท้งั การให้กําลังใจ ให้ความ
รักความเมตตา ให้อภัยเมื่อศิษย์หรือบุคคลที่ครูเกี่ยวข้องด้วยทําผิดพลาด ให้ปันสิ่งของ เช่น หนังสือ หรือ
เอกสารต่างๆ ให้กับผู้เรียนที่ยากไร้อยู่ในชั้นขาดอุปกรณ์การเรียน เช่น สมุด หนังสือ อันจะเป็นประโยชน์แก่
ผเู้ รียน

(2) ปิยวาจา หมายถึง การเจรจาด้วยถ้อยคําที่ไพเราะ นิ่มนวล จะว่ากล่าวตักเตือนศิษย์ก็ไม่
มุทะลุดดุ ัน ไม่พดู จาบาดหูบาดใจ อนั จะทาํ ให้ผู้ใดผู้หน่ึงต้องเจ็บน้ำใจเพราะคําพูดน้ัน ขณะท่ีโกรธไม่พอใจก็ใช้
ความอดทน ประหยัดถอ้ ยคาํ พูดจาใหเ้ หมาะสมและการใหค้ ําปรึกษาตา่ งๆ ก็พูดจากับศษิ ย์ด้วยถ้อยคําที่สุภาพ

(3) อัตถจริยา หมายถึง การประพฤติปฏิบัติหรือกระทําสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ศิษย์ และ
บคุ คลอืน่ ไดแ้ ก่ การให้คาํ แนะนาํ การให้คาํ ปรกึ ษาทเี่ ป็นประโยชน์ทั้งในด้านวิชาการและการดาํ เนินชีวิตให้กับ
ศิษย์ นอกจากในเรื่องการเรียนการสอนแล้ว ครูควรที่จะบําเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่ครูปฏิบัติงาน
อยู่ด้วย เช่น ช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน อาจจะเป็นผู้ริเริ่มหรือเป็นผู้นาํ ในการพัฒนาชุมชน เช่น การ
ปรับปรุงถนน การสร้างศาลาประชาคมและการร่วมแสดงความคิดเห็นในการพัฒนาชุมชนตามหลักปรัชญา
เศรษฐกจิ พอเพียง

(4) สมานัตตา หมายถึง การเป็นกันเองกับศิษย์ ไม่ถือตัวหรือวางตนสูงเกินไปจนผู้เรียนไม่กล้า
ซักถาม ตลอดจนการแสดงความคิดเห็นกับผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนก็เช่นเดียวกัน ครูควรวางตนให้มีสี
หน้ายมิ้ แย้มแจม่ ใส พดู จาทักทายหรือทํางานกับทกุ คนอยา่ งเป็นกนั เอง

3. หลักธรรมสําหรับผ้ปู กครองคน ไดแ้ ก่ พรหมวิหาร 4 ประกอบดว้ ย
(1) เมตตา หมายถึง การมีจิตเอื้อเฟือ้ เผือ่ แผ่ มีจิตปรารถนาท่ีจะใหศ้ ิษยแ์ ละบุคคลท่ีครเู ก่ียวขอ้ ง

ด้วยมีความสุขทั้งสุขกายและสุขใจ โดยเฉพาะการหาวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียน
เกดิ ความกระตือรือร้นในการเรียนจนสามารถสรา้ งองค์ความรู้ได้ดว้ ยตนเอง

(2) กรณุ า หมายถงึ การมจี ิตใจทดี่ ที งั้ ต่อศิษยห์ รือบคุ คลตา่ งๆ ทีค่ รเู กยี่ วข้องด้วย จะเปน็ เพ่ือนครู
ดว้ ยกันหรือผ้ใู ดก็ตามที่ประสบความเดือดร้อน มีปญั หาต่างๆ ครูกพ็ ยายามชว่ ยเหลือใหเ้ ขาพ้นทุกข์ มีความสุข
กายสบายใจ หรือเมื่อผู้ใดประสบทุกข์ยากก็รู้สึกสงสารเห็นอกเห็นใจและพยายามหาทางช่วยเหลือให้พ้นจาก
ความทุกขย์ ากน้ันๆ

111 111
(3) มุทิตา หมายถึง การที่ศิษย์หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยประสบความสุขหรือความสําเร็จ ครูก็
พลอยยนิ ดกี บั ศิษยห์ รือบคุ คลที่เกย่ี วข้องด้วยความจรงิ ใจ
(4) อุเบกขา หมายถึง การวางเฉย ครูที่ดีควรวางตนเป็นกลาง วางเฉย ไม่เอนเอียง ไม่ลําเอียง
หรอื มีอคติตอ่ ผู้เรียนคนใดคนหน่งึ เปน็ พเิ ศษ ครคู วรมคี วามปรารถนาดีต่อทกุ คนโดยเสมอภาคและไม่เลือกที่รัก
มกั ท่ีชงั
4. หลักธรรมที่ทําให้คนงาม เป็นหลักธรรมที่ทําให้ครูมีความงดงามทั้งกาย วาจาและใจ ช่วยให้ครูที่
ยดึ ถอื หลักธรรมน้มี คี วามประพฤติดี มอี ัธยาศัยเปน็ ทนี่ า่ ยกยอ่ งนบั ถือของคนทัว่ ไป ได้แก่ ขนั ตแิ ละโสรจั จะ
(1) ขันติ หมายถึง ความอดทน อดกลั้น งานครูเป็นงานที่หนักพอสมควร เช่น ครูจะต้อง
เตรียมการสอน ต้องทําหน้าที่ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตรวจงาน ให้คําปรึกษาแก่ผู้เรียน ดูแลช้ัน
เรียนและต้องแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งงานที่ได้รับมอบหมายให้สําเร็จ ดังนั้นในการสอนนั้นบางครั้ง
ผลการสอนและพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออก อาจไม่ได้ดั่งใจตามที่ครูปรารถนาหรือตามที่ตั้งจุดมุ่งหมายไว้
อาจมีผู้ไม่สนใจพูดคุยกันขณะเรียนพาออกนอกเรื่องหรือรบกวนชั้นเรียน ครูอาจเกิดความไม่พอใจผู้เรียนบาง
คน เช่น เรียนช้า เรียนไม่ทันเพื่อนๆ ดังนั้นครูก็ต้องใช้ความอดทน พยายามพลิกแพลงวิธสี อนโดยจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนทห่ี ลากหลาย การสอนซ่อมเสริมหรือ การทบทวนใหจ้ นกว่าผู้เรยี นจะเข้าใจ นอกจากผู้เรียน
แล้วครูจะต้องติดต่อกับบุคคลฝ่ายต่างๆ ที่อยู่ในชุมชนนั้นอีกด้วย โดยเฉพาะผู้ปกครองนั้นจะเป็นบุคคลที่ครู
จะต้องติดต่ออย่เู สมอ การติดตอ่ สอื่ สารและการปรึกษาหารือกบั ผูป้ กครองเพ่ือขอความร่วมมอื ในการแก้ปัญหา
ผู้เรียนหรือขอความร่วมมืออื่นๆ ที่จะร่วมกันพัฒนาผู้เรียน ครูก็ต้องใช้ความอดทนในการชักนําและถือว่าเป็น
ภารกิจท่ีครูจะต้องปฏิบตั แิ ละใช้ความอดทนอยา่ งมาก
(2) โสรัจจะ หมายถึง ความสงบเสงีย่ ม ครูจึงต้องเป็นผู้สํารวมทัง้ กาย วาจา และใจ กล่าวคือ ครู
ต้องดูแลการแต่งกายให้มีความสะอาดและเหมาะสมกับสมยั นิยม โดยเฉพาะครูผหู้ ญิง ไม่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าท่ี
ไม่สุภาพ มีกิริยามารยาทเรียบร้อยเป็นตัวอย่างที่ดีของศิษย์ ตลอดจนมีจิตใจที่ดีงาม ให้การสงเคราะห์
ชว่ ยเหลอื ผูอ้ ่ืน
5. หลักธรรมทีเ่ ป็นโลกบาลหรอื ธรรมที่ค้มุ ครองโลก ไดแ้ ก่ หิรแิ ละโอตตปั ปะ
(1) หิริ หมายถึง ความละอายแก่ใจที่จะทําชั่ว เมื่อครูมีความละอายแก่ใจที่จะกระทําผิด หรือ
กระทําชั่ว แสดงให้เห็นว่าครูมคี วามละอายแก่ใจในส่ิงใดที่ไม่ถกู ต้องกม็ ักจะไม่กระทําส่ิงนั้น เช่น การละอายท่ี
จะโกงเวลาของผเู้ รียนโดยไมส่ อนหรือเข้าสอนสาย สง่ ผลใหค้ รกู ็จะขะมักเขม้นสอนด้วยความต้ังใจ หรือเม่ือครู
เกิดความละอายในการฉ้อราษฎร์บังหลวง ครูกจ็ ะไม่กระทําผิดในสงิ่ นนั้ ๆ ดงั นั้นโอกาสทคี่ รูจะมีการฉ้อราษฎร์
บังหลวงก็ไมเ่ กิดขึน้
(2) โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลวั ในการทาํ ความชว่ั การทาํ ความผดิ และการทาํ บาป ซึง่ ถ้า
ครเู กดิ ความเช่อื และความเข้าใจวา่ การทําความช่ัวยอ่ มจะนําผลช่วั มาให้ ครกู จ็ ะละเว้นหรือ หลีกหนีการกระทํา
นั้นๆ และพยายามกระทําความดี นอกจากนี้ครูจะเป็นผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องผลการกระทํากรรมชั่วหรือกรรม ดีให้
ผ้เู รยี นได้เข้าใจ สง่ ผลให้ครตู อ้ งปฏิบัติตนไปในทางท่ีถูกที่ควรอกี ดว้ ย
6. หลักธรรมของฆราวาสหรือบุคคลทั่วไป ที่เรียกว่า ฆราวาสธรรมนั้น เป็นหลักธรรมที่สามารถนํามา
ช่วยในการปกครองให้เกิดผลดี กล่าวคือ ครูสามารถนํามาใช้ในการปกครองผู้เรียน ในชั้นเรียน ตลอดจนการ
ควบคุมดูแลคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของครู หลักธรรมดังกล่าวนี้จะช่วยให้ครูที่ยึดถือและปฏิบัติตนอย่าง
สม่ำเสมอเป็นคนท่มี คี วามซื่อสตั ย์ อดทน เสียสละ มนี ้ำใจนา่ คบหาสมาคมดว้ ยและทีส่ าํ คญั จะชว่ ยให้ครูประสบ
ความสําเรจ็ ในการทาํ งาน ซึ่งหลักฆราวาสธรรม ประกอบด้วย

112 112
(1) สัจจะ หมายถึง ความซื่อสัตย์ต่อกัน ครูควรเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์และความจริงใจต่อศิษย์
เพ่ือนครู และบคุ คลอน่ื ๆ เม่ือสญั ญากบั ผู้ใดเรอ่ื งใดก็รักษาคาํ ม่นั สญั ญา
(2) ทมะ หมายถึง การข่มใจ ในการทํางานของครูอาจเกิดความโกรธ ความคดิ ฟงุ้ ซ่าน หรือความ
กระวนกระวายใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ครูจะต้องรู้จักข่มใจ จะเป็นแนวทางที่ช่วยคุ้มครองครู ให้มีจิตใจแจ่มใส
เบิกบาน สามารถทํางานได้ดี และทํางานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข เช่น เรื่องระเบียบวินัยในชั้นเรียนน้ัน
บางครั้งครอู าจประสบความล้มเหลวเพราะผู้เรยี นไม่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตนไดด้ งั ที่ครูปรารถนา จนทําให้
ครูอาจเกิดความโกรธผู้เรียนและไม่สบายใจ ดังนั้น ครูควรรู้จัก ข่มใจและบังคับใจตนเองให้ได้และหาหนทาง
แกไ้ ขปัญหาต่อไป
(3) ขันติ หมายถึง ความอดทน ครูต้องอดทนต่อการทํางานหนัก อดทนต่อการทํางาน ร่วมกับ
ผู้อ่นื อดทนต่อคําพดู ของบุคคลหลายฝ่าย ซ่ึงความอดทนจะชว่ ยใหค้ รทู ํางานตา่ งๆ จนเกิดผลดี
(4) จาคะ หมายถึง การเสียสละสิ่งของ สติปัญญาและกําลังกายให้กับผู้เรียนหรือ เพื่อนครู
ดว้ ยกันเพอื่ สรา้ งความพงึ พอใจ อันจะสง่ ผลให้ครแู ละผทู้ ่ีได้รบั เกิดความยนิ ดีต่อกัน
7. หลักธรรมสําหรับคนดีหรือสัปปุริสธรรม 7 ประการ เป็นหลักธรรมที่ครูควรนํามาใช้ ในการดําเนิน
ชีวิตเมื่ออยู่ในสังคม ซึ่งจะช่วยให้ครูอยู่ในสังคมได้โดยปลอดภัยและมีความสุข หลักสัปปุริสธรรม 7 ประการ
ไดแ้ ก่
(1) ความเป็นผู้รู้จักเหตุ (ธัมมัญญตา) ครูควรจะเป็นผู้ที่รู้จักพิจารณาว่า เมื่อมีเหตุการณ์ อะไร
เกิดข้นึ สามารถทจ่ี ะคดิ พิจารณาไดว้ ่า อะไรเป็นต้นเหตหุ รือสาเหตขุ องเรอื่ งนัน้ ๆ และผลทีเ่ กิดข้ึนจะเป็นอย่างไร
หรือถ้ากล่าวให้ชัดเจนก็คือสามารถพิจารณาผลอันเนื่องมาแต่เหตุได้ เช่น กรณีผู้เรียน หนีเรียนน่าจะมาจาก
สาเหตุเพราะไม่ทําการบ้านและกลัวครูลงโทษ ซึ่งถ้าครูได้คิดวิเคราะห์ต่อไปว่า เหตุของการที่ผู้เรียนหนีเรียน
มากครั้งขึ้น ก็ยิ่งไม่เข้าใจบทเรียนมากขึ้นเท่านั้น ผลก็คือสอบตก หรือ บางครั้งการคิดหาสาเหตุของคนที่
ยากจนอาจจะพบท่ีมาของสาเหตุหลายประการ เช่น ความเกียจคร้าน หรือการไม่รู้จักใช้เงินที่หามาได้ ดังน้ัน
เมื่อครูเป็นผู้รู้จักเหตุ ก็ย่อมพิจารณาเรื่องต่างๆ ได้ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากสาเหตุใด และจะแก้ไข
เหตุการณ์อย่างไรจึงจะทําให้เกิดผลดีแก่ผู้เรียน ดังนั้นครูควรคิดวิเคราะห์หาสาเหตุในสถานการณ์ต่างๆ ท่ี
เกดิ ขน้ึ อยา่ งมเี หตุผลจะส่งผลใหค้ รปู ระสบผลสาํ เร็จในการทํางาน
(2) ความเป็นผู้รู้จักผล (อัตถัญญตา) เมื่อครูรู้จักวิเคราะห์ถึงเหตุของปัญหาแล้ว ก็ต้องพิจารณา
ผลทเี่ กดิ ขึ้นอยา่ งชาญฉลาด โดยไมม่ ีความลําเอียง เช่น การที่เห็นผู้อื่นมีชวี ิตอยอู่ ย่างมีความสุข กเ็ พราะมีความ
ขยนั ขันแขง็ หมั่นเพียร รจู้ ักเก็บหอมรอมริบ รู้จักปฏบิ ตั ิตนตามหน้าที่ รจู้ ักแสวงหา ผลประโยชน์ในทางที่ชอบ
สิ่งเหล่านี้เป็นผลให้คนร่ํารวยมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ความเป็นผู้รู้จักผลนี้ จะช่วยให้ครูรู้จักปรับปรงุ วิธีสอน
รู้จักปรบั ปรุงวิธกี ารทาํ งานรว่ มกับผู้อนื่ และร้จู กั การปรับตวั ในการดําเนินชวี ิต
(3) ความเป็นผู้รู้จักตน (อัตตัญญูตา) ครูควรเป็นผู้รู้จักตนเองว่ามีหน้าที่อย่างไรบ้างมี
ความสามารถมากน้อยเพียงใด จึงจะทําหน้าที่ของครูได้อย่างสมบูรณ์และเกิดผลดี เมื่อวิเคราะห์ได้แล้ว จึง
นํามาวางแผนพัฒนาตนเอง เช่น การไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นและการเข้ารับการอบรมสัมนา เพื่อนําเอา
ความรู้ความสามารถไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับผ้เู รยี น
(4) ความเป็นผู้รูจ้ ักประมาณ (มตั ตัญญตา) ครคู วรเปน็ ผู้รูจ้ กั ประมาณในการจับจา่ ยใชส้ อยในการ
ดํารงชีวติ เช่น ถ้าครูร้จู กั วางแผนการใชจ้ า่ ยไดด้ ี กจ็ ะไม่เกดิ ปญั หาด้านการเงนิ การร้จู ักประมาณ กาํ ลังร่างกาย
ไม่ทํางานหักโหมจนเกินไปก็จะไม่เกิดเจ็บป่วยอันเป็นอุปสรรคในการทํางานได้และการรู้จักประมาณในการ
มอบหมายงานให้ผู้เรียนทําก็เป็นสิ่งสําคัญ เพราะถ้าให้งานมากเกินไป ผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่ายท้อถอย

113 113
หรือมีเจตคติที่ไม่ดีต่อวิชาที่เรียนได้ การรู้จักประมาณ ดังได้กล่าวมาแล้วพอจะสรุปได้ว่า การเป็นผู้รู้จัก
ประมาณจะเป็นเครื่องช่วยใหค้ รปู ระสบความสาํ เร็จ ในการงานและการดาํ เนินชีวติ ในทุกกรณี

(5) ความเป็นผู้รจู้ ักกาล (กาลญั ญตา) ครูควรเป็นผู้รู้จักกาลหรือเวลา เชน่ รวู้ ่าเวลาใด เหมาะสม
ที่จะทําสิ่งใด ช่วงเวลาใดควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างใด หรือช่วงเวลาใดควรติชมและการดําเนิน
ชวี ิต

(6) ความรู้จักชุมชน (ปริสัญญตา) ครูต้องทํางานร่วมกับบุคคลหลายฝ่ายทั้งผู้เรียน เพื่อนครู
ผู้บรหิ าร ผปู้ กครอง และบุคคลต่างๆ ในชุมชน ครจู งึ ตอ้ งรจู้ กั วางตนใหเ้ หมาะสมกับลักษณะของชุมชนน้นั ๆ ทาํ
ใหส้ ามารถทาํ งานร่วมกับบุคคลทกุ ฝ่ายได้ดี

(7) ความเป็นผูร้ จู้ กั บคุ คล (บคุ คลปโรปรัญญตา) ครจู ะต้องร้จู กั ศึกษาคน ร้ธู รรมชาตขิ องคน รู้จัก
มอบหมายงานให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน เมื่อจะทํางานกับบุคคลใดก็รู้จักความสามารถของเขา
นอกจากนั้นครูควรเป็นคนชา่ งสังเกต การสังเกตท่าทางและพฤติกรรมของผู้เรยี นและบุคคลตา่ งๆ ที่เกี่ยวข้อง
ด้วยจะช่วยให้ครสู ามารถทํางานได้อย่างมีความสุข ดงั คํากลา่ วท่วี า่ เลือกบุคคลได้ถูกกเ็ ท่ากบั ว่าสามารถทํางาน
นั้นสําเร็จไปครึ่งหนึ่ง

จากแนวคิดที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า หลักคุณธรรมและจริยธรรมของครูมีความสําคัญกับการ
ทํางานของครเู น่อื งจากเป็นงานทเี่ ก่ยี วข้องกับคน นอกจากนี้การสอนยังถอื ได้วา่ เปน็ ศิลปะ อีกท้ังยงั เป็นศาสตร์
ท่ีมีความลึกซึ้งที่สุดในกระบวนศาสตร์ทั้งหลาย ครูจะประสบความสําเร็จและสามารถทําให้บุคคลได้
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามที่ต้องการนั้น ครูต้องประพฤติตนอยู่ในกรอบของศีลธรรม รวมถึงการเป็น
แบบอยา่ งท่ีดีของผ้เู รียนและสังคม ดังน้ัน ครูจะต้องใชห้ ลักคุณธรรมให้เหมาะสมเพื่อให้การทําหน้าท่ีได้โดย
สมบูรณ์

การพัฒนาครูให้มีคุณลักษณะครูที่ดีนั้นจําเป็นต้องใช้หลักธรรม โดยการส่งเสริมคุณธรรมและ
จรยิ ธรรมสําหรับครู ซง่ึ มแี นวทางดังนี้

1. การพัฒนาคุณธรรมตามแนวทางของคุรุสภา สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา (2534 : 6-9) ได้
กําหนดแนวทางการพฒั นาคณุ ธรรมของครไู ว้ 9 ประการ ดังน้ี

(1) ความเมตตากรุณา พฤติกรรมหลักคือ มคี วามเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผช่ ่วยเหลือเพ่ือนรว่ มงาน และ
สังคม มีความสนใจและห่วงใยในการเรียนและความประพฤติของผู้เรียน ส่วนพฤติกรรมบ่งชี้ คือ ไม่นิ่งดูดาย
และเต็มใจช่วยเหลือผู้อื่นตามกําลังความสามารถ การให้ความรักความเอาใจใส่ช่วยเหลือผู้เรียนให้ได้รับ
ความสุขและพ้นทุกข์ การให้ความเป็นกันเองกับผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้สึกที่จะเปิดเผย เป็นที่ไว้วางใจ
และเปน็ ทพี่ ่งึ ของผเู้ รียนได้

(2) ความยุติธรรม พฤติกรรมหลักคือ มีความเป็นธรรมต่อผู้เรียน และมีความเป็นกลาง ส่วน
พฤตกิ รรมบ่งชี้คือ การเอาใจใสแ่ ละปฏิบัตติ ่อผู้เรยี นทุกคนอย่างเสมอภาคและไม่ลาํ เอียง การตัดสินปัญหาของ
ผู้เรียนด้วยความเป็นธรรม การยินดีชว่ ยเหลือผูเ้ รียน ผรู้ ่วมงาน และผบู้ รหิ ารโดยไม่เลือกปฏบิ ัติ

(3) ความรับผิดชอบ พฤติกรรมหลักคือ มุ่งมั่นในผลงาน ใช้เวลาอย่างมีคุณค่าและปฏิบัติ
หน้าท่ีอย่างครบถ้วน ส่วนพฤติกรรมบง่ ชี้คอื การมวี ิธกี ารท่จี ะปฏบิ ัตงิ านให้บรรลุวตั ถุประสงค์ การวางแผนการ
ใช้เวลาอย่างเหมาะสมและปฏบิ ัติงานได้ทันเวลา ใชเ้ วลาค้มุ คา่ และมปี ระสิทธิภาพ การปฏบิ ตั ิงานอย่างมีระบบ
เสร็จตามเวลาและมีประสิทธิภาพ มีความรอบคอบระมัดระวังในการปฏิบัติ หน้าที่ทุกด้าน การปฏิบัติภารกิจ
ทุกด้านครบตามความสามารถและประเมินผลการปฏบิ ัตงิ านได้อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม

(4) ความมีวินัย พฤติกรรมหลักคือ มีวินัยในตนเองและปฏิบัติตามกฏและระเบียบ ส่วน
พฤติกรรมบ่งชี้คือ การควบคุมตนเองให้ปฏิบัติงานอย่างถูกต้องตามคํานองคลองธรรม การมีวิธีการทํางานที่

114 114
เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่นได้ การปฏิบัติตามกฏและระเบียบของหน่วยงานและสถานศึกษาและการปฏิบัติ
หนา้ ทกี่ ารงานเป็นไปตามขั้นตอน

(5) ความขยัน พฤติกรรมหลักคือ มีความตั้งใจและมีความพยายาม ส่วนพฤติกรรมบ่งชี้ คือ
ความกระตือรือร้นในการปฏบิ ตั งิ านอย่างเต็มความสามารถเสมอ การไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคในการทํางานและ
มคี วามพยายามท่ีจะจดั การเรียนการสอนใหบ้ รรลจุ ดุ มุ่งหมายของหลักสูตร

(6) ความอดทน พฤติกรรมหลักคือ มีความอดทนเมือ่ เจออุปสรรค และมคี วามสามารถในการ
ควบคุมอารมณ์ ส่วนพฤติกรรมบ่งชี้คือ การปฏิบัติงานเต็มที่ไม่ละทิ้งงาน มีความสามารถควบคุมอารมณ์ได้
อยา่ งเหมาะสมและมคี วามสามารถอดทนอดกล้นั ตอ่ คาํ วพิ ากษว์ จิ ารณ์

(7) ความประหยดั พฤติกรรมหลกั คือ การรจู้ ักประหยดั และอดออมและใชส้ ิ่งของอย่างคุ้มค่า
ส่วนพฤติกรรมบง่ ชคี้ ือ การช่วยรกั ษาและใช้ของสว่ นรวมอย่างประหยดั การรู้จกั เก็บออมทรัพยเ์ พื่อความมั่นคง
ของตนเองตลอดจนการรู้จกั ใชแ้ ละเก็บรักษาสง่ิ ของอยา่ งถูกวธิ ี

(8) ความรกั และศรทั ธาในอาชพี ครู พฤติกรรมหลกั คือ การเห็นความสําคญั ของอาชพี ครู และ
รักษาชื่อเสียงวิชาชีพครู ส่วนพฤติกรรมบ่งชี้คือ การสนับสนุนการดําเนินงานขององค์วิชาชีพครู การเข้าร่วม
กิจกรรมวิชาชีพครู การร่วมมือและส่งเสริมให้มีการพัฒนามาตรฐานของวิชาชีพครู การตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้
เกิดผลดีและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นสําคัญ การรักษาความสามัคคีและ ช่วยเหลอื ซ่ึงกันและกันในหน้าท่ี
การงาน การปกปอ้ งและสร้างความเขา้ ใจอันดตี ่อสงั คมเก่ียวกับวิชาชพี ครู

(9) ความเป็นประชาธิปไตยในการปฏิบัติงานและการดําเนินชีวิต พฤติกรรมหลักคือ การรับ
ฟังความคิดเห็นของผู้อื่นและมีเหตุผล ส่วนพฤติกรรมบ่งชี้คือ การเปิดโอกาสและรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน
การยอมรับและการปฏิบัติตามความคิดเห็นที่มีเหตุผลโดยคํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักและการใช้
หลักการและเหตุผลในการตัดสินใจและการแก้ปญั หา

2. การพัฒนาคุณธรรมของครูโดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory)
แบนดูรา (Bandura) (ชัยพร วิชชาวุธ, 2542 : 182-196 อ้างถึงใน Bandura, 1977: 22-27) ได้กล่าวว่า การ
พัฒนาคุณธรรมของครูสามารถใช้การเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งทําให้เกิดการพัฒนาคุณธรรมที่สมบูรณ์มากที่สุด
ดงั ทน่ี กั จติ วิทยากลุม่ ทฤษฎีวิเคราะหไ์ ด้แสดงแนวคิดไวด้ ังนี้

(1) มนุษย์เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ การที่มนุษย์เรียนรู้อาจจะเป็นเพราะ
ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ พฤติกรรมกับผลที่เกิดจากพฤติกรรม เป็นความรู้ที่เกิดการเรียนรู้ของมนุษย์
จากความเช่ือทส่ี ง่ ผลในการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ เมอื่ มนษุ ย์เรียนรู้ว่าเหตุการณ์ใดเกิดข้ึน จะส่งผลเป็น
เช่นไร ดังนน้ั เมื่อมนษุ ยป์ ระสบเหตุการณ์หน่ึงมนุษย์ก็มีความคาดหวัง (Expectancy) เก่ียวกับเหตุการณ์หนึ่ง
ได้ จึงทําให้เกิดความรู้ เช่น ความดีใจ ความวิตกกังวล หรือความกลัวเกิดขึ้นล่วงหน้า ในทํานองเดียวกันเมื่ อ
เรียนรู้เงื่อนไขความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับผลการกระทําหนึ่ง มนุษย์ก็สามารถคาดหวังเกี่ยวกับการ
เกิดผลการกระทําได้ จึงส่งผลให้มนุษย์ตัดสินใจกระทําหรือไม่ กระทําพฤติกรรมนั้นๆ เพื่อให้เกิดผลตามที่ตน
ปรารถนา สิง่ ทเี่ รยี นรู้ในทศั นะของแบนดรู าจึงเปน็ ความรู้และความเข้าใจว่าอะไรสัมพันธ์กับอะไรและจะส่งผล
ตอ่ ผเู้ รยี นอย่างไร ทาํ ใหเ้ กดิ การเรียนรแู้ ละสามารถปรบั ตวั ได้อยา่ งเหมาะสม

(2) การเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์ตรง (Direct experience) ของ
ตนเอง เช่น จากการประสบเหตุการณ์ต่างๆ หรือจากการกระทําต่างๆ ด้วยตนเอง แต่วิธีการเรียนรู้ด้วย
ประสบการณ์ตนเองนี้มีข้อจํากัดมาก เนื่องจากสิ่งที่เรียนรู้มากเกินกว่าที่เวลาและโอกาสของผู้เรียน แต่ละคน
จะสามารถสงั เกตประกอบพฤติกรรมของผู้อ่ืนและผลกรรมท่ีเกิดกบั ผู้อนื่ จงึ เป็นอกี วิธีหน่งึ ท่ีมนุษย์เรียนรู้ด้วย
การสังเกต (Observational learning) มีความสําคัญมากในการกําหนดพฤติกรรมและกําหนดความเข้าใจ

115 115
เก่ียวกับสง่ิ ต่างๆ ผทู้ สี่ ังเกตและช่างคดิ จะมโี อกาสเขา้ ใจส่ิงต่างๆ ไดม้ ากกว่าและลึกซึ้งกว่าผู้ท่ไี ม่ชอบสังเกตและ
ไมช่ อบคดิ ในขณะเดยี วกนั ผู้เรยี นท่ีประสบกบั ตัวแบบทแี่ ตกต่างกันจะเกิดการเรียนรูท้ ่ีแตกต่างกันดว้ ย

(3) ความเชื่อ ผลของการเรียนรู้อยู่ในรูปของความเชื่อว่าอะไรสัมพันธ์กับอะไรอย่างไรบ้าง
ความเช่ือว่าอะไรสมั พนั ธ์กบั อะไรไมจ่ ําเป็นต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง ท้ังนี้เปน็ เพราะความสามารถในการ
สังเกตและในการคิดของมนุษย์ยังมีข้อบกพร่องอยู่มากและความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับผลกรรมท่ี
เกดิ ขึ้นจริงกม็ ีความซับซ้อน นอกจากนีย้ งั มคี วามเชอ่ื อีกหลายอย่างทีเ่ กิดจากคําบอกเล่าของผู้อืน่ โดยเฉพาะคํา
บอกเล่าที่โน้มน้าวใจและมีความนา่ เชื่อสูง คาํ บอกเลา่ เหล่านี้จาํ นวนไมน่ ้อยทดสอบกบั ความเปน็ จริงไม่ได้ เช่น
คําสอนทางศาสนาส่วนใหญ่อยู่ในประเภทนี้ ความเชื่อของมนุษย์ มีอานุภาพในการกําหนดพฤติกรรมของ
มนษุ ย์จะเห็นได้จากตวั อย่างการยอมทนต่อความทุกขย์ ากลําบากดว้ ยความเช่ือวา่ จะทาํ ให้มคี วามสุขในอนาคต
และการยอมตายเพ่ือชีวติ ทีด่ กี ว่าในภพต่อไป

(4) การควบคุมพฤติกรรมด้วยความคิด (Cognitive control) มนุษย์มีความคิดและสามารถ
ใช้สัญลักษณแ์ ทนสิง่ ต่างๆ ที่ตนเรยี นรู้ ดังนั้น มนุษย์จึงสามารถที่จะนําสัญลักษณ์ตา่ งๆ เหล่านี้มาคิดไตร่ตรอง
ทําให้สามารถมองเห็นวิธีการที่จะหลีกเลี่ยงผลกรรมที่เลวร้ายต่างๆ การที่มนุษย์สามารถคิดในเชิงประเมิน
พฤติกรรมหนึ่งๆ จะทําให้เกิดผลกรรมอะไรบ้างและผลกรรมต่างๆ มีความน่าปรารถนามากน้อยเพียงใด จะ
เห็นได้วา่ การคิดในเชิงประเมนิ เช่นนีน้ ําไปสู่การตัดสินใจทจี่ ะกระทําหรือไม่กระทาํ พฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง
และนาํ ไปสู่การบงั คับตนเองให้ประพฤติปฏบิ ตั ิตามที่ตนตั้งใจไว้

(5) การใช้กฎ (Rule) ในการประเมินพฤติกรรม กฏเหล่านี้เกิดจากการเรียนรู้ทฤษฎีการ
เรียนรู้ทางสังคม ถือว่าการตัดสินใจทางคณุ ธรรมเป็นกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับความถูกผิดของการกระทํา
ตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่แต่ละคนคิดว่าเกี่ยวข้องกฎเกณฑ์ที่อาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนี้มีจํานวนมาก
เช่น คํานึงถึงลักษณะของผู้กระทําว่าเป็นอย่างไร เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มีสติดีเพียงใด การคํานึงถึงลักษณะของ
พฤติกรรมและผลที่เกิดตามมาทั้งในระยะส้ันและระยะยาวว่าเปน็ อยา่ งไร การคํานึงถึงสภาพแวดลอ้ มของการ
กระทํานั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร การคํานึงถึงความรู้สึกของผู้กระทําผิดว่าได้รู้สกึ สํานกึ ผิดหรือยัง ถึงจํานวนบุคคล
และประเภทบุคคลต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบกระเทือนจากการกระทําและการคํานึงถึงปัจจัยอื่นๆ อีกเป็น
จํานวนมากมาเป็นกฎเกณฑ์ การตัดสนิ ใจเหล่านี้เกิดจากการเรียนรู้ ท้ังทกี่ ารเรยี นรู้ดว้ ยประสบการณ์ตรง การ
เรียนรู้ด้วยการสังเกต และการเรียนรู้จากคําบอกของบุคคลอื่นๆ ในสังคม ซึ่งประสบการณ์ทั้งทางตรงและ
ทางอ้อมที่ได้รับ ทําให้คนเราเกิดความเข้าใจว่า การตัดสินพฤติกรรมหนึ่งๆ ต้องคํานึงถึงเกณฑ์อะไรบ้าง และ
จะให้น้ำหนักแก่เกณฑ์เหล่าน้ีอยา่ งไร พฤตกิ รรมของมนุษยใ์ นสงั คมแตกตา่ งกนั มากมาย การตัดสนิ ความถูกผิด
ของพฤติกรรมต่างๆ จึงใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกัน เนื่องจากความสามารถในการคิดและประสบการณ์ ยัง มี
ข้อจํากัดมาก ดังนั้นในการตัดสินทางจริยธรรมจึงจํากัดในเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่งเพียงเกณฑ์เดียวและมักเป็น
เกณฑท์ มี่ ีความเป็นรปู ธรรมทเ่ี ข้าใจงา่ ยๆ เช่น เด็กเมอื่ เติบโตขนึ้ สามารถคิดได้ดีข้ึนและมีประสบการณ์มากข้ึน
ก็สามารถเรียนรู้เกณฑ์การตัดสินเพิ่มมากขึ้นและซับซ้อนมากขึ้นทําให้สามารถที่จะนําเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้มา
พจิ ารณาตัดสินพรอ้ มๆ กัน

(6) การบังคับตนเอง (Self regulation) การเรียนรู้กฎเกณฑ์ในการประเมินพฤติกรรมไม่
เพยี งแตท่ าํ ให้มนุษยส์ ามารถประเมินพฤตกิ รรมของผู้อืน่ และแสดงปฏิกริ ยิ าต่างๆ ท้ังทีเ่ ป็นการยอมรับหรือเป็น
การปฏเิ สธ มนุษยย์ งั ใช้กฎเกณฑ์เหล่านี้ในการะประเมินพฤติกรรมของตนเองและมีปฏิกริ ิยาตอ่ ตนเองท้ังในเชิง
บวกและเชงิ ลบ ตัวอยา่ งปฏิกริ ยิ าในเชงิ บวก ไดแ้ ก่ ความปีตเิ มอ่ื สามารถทําตาม มาตรฐานที่ตนต้ังไว้ ความช่ืน
ชมยินดีในตนเองและความภูมิใจตนเองตลอดจนการให้รางวัลแก่ตนเอง ฯลฯ ตัวอย่างปฏิกิริยาในเชิงลบ เช่น
ความเสียใจ ความละอายใจ การประณามตนเอง และการลงโทษตนเอง ฯลฯ ปฏิกิริยาต่อตนเองนี้จึงเป็นผล

116 116

กรรมที่บุคคลบันดาลให้กับตนเองและมีผลในการบังคับตนเองให้กระทํา ในสิ่งที่จะนําไปสู่ปฏิกิริยาทางบวก
และเลี่ยงการกระทําที่จะนําไปสู่ปฏิกิริยาทางลบ การบังคับตนเอง จําเป็นต้องมีมาตรฐานของการประพฤติ
ปฏิบัติ และการประเมินการประพฤติปฏิบัติ องค์ประกอบ ทั้ง 2 ประการของการบังคับตนเองนี้เกิดจากการ
เรียนรู้ทั้งโดยทางตรงและการสังเกต เช่น ผู้ใหญ่ ที่แสดงว่าตั้งมาตรฐานของการประพฤติปฏิบัตไิ ว้สูงจะแสดง
ความพึงพอใจในตนเองเมื่อสามารถ ทําตามมาตรฐานที่ตั้งไว้เท่านั้น ก็จะมีผลให้เด็กได้เห็นแบบอย่างและถ้า
ผใู้ หญ่มีเงือ่ นไขที่จะใหแ้ รงเสริมแก่เด็กให้เกดิ การเรียนรู้ที่จะบังคบั ตนเองดว้ ยการต้ังมาตรฐานท่ีค่อนข้างสูงกับ
ตนเอง การบังคับตนเองด้วยการประเมินพฤติกรรมตนเองและบังคับตนเองด้วยการรู้สึกมีปฏิกิริยาต่อตนเอง
ซ่งึ ผลการวจิ ยั เก่ยี วกับตัวแบบทม่ี ีพฤติกรรมบังคับตนเอง พบว่าตวั แบบทไี่ ม่เขม้ งวดกบั ตนเองไม่อาจสอนให้คน
อื่นมีความเข้มงวด ตัวแบบที่สอนผู้อื่นแต่ตนเองไม่ทําหรือทําในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสอนก็ไม่ทําให้ผู้เรียนเกิด
พฤติกรรมตามทต่ี นสอน และตัวแบบท่ีมคี วามแตกต่างจากผเู้ รียนถอื วา่ เปน็ กรณยี กเว้นก็จะไมม่ ีผลตอ่ ผเู้ รียน

ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญในการจัดการศกึ ษาให้กับผู้เรียน ซึ่งครูที่มีคุณธรรมและจริยธรรมย่อม
สามารถสร้างความรักความศรัทธาทัง้ แกผ่ ้ปู กครองและผเู้ รยี นเปน็ สาํ คัญ สําหรบั องค์ประกอบสําคัญเพือ่ พัฒนา
ความมีคุณธรรมและจริยธรรมสําหรับครู คือ การใช้คุณธรรมในการปฏิบัติตนและปฏิบัติงาน ส่วนครูที่มี
จรยิ ธรรมคอื ครทู ่ีมีความประพฤติท่ีดีงามสามารถเป็นแบบอย่างแกผ่ ู้เรยี น เพราะครคู ือ ผู้ท่ีพัฒนาคนรุ่นต่อไป
แม้ว่าจะมีจรรยาบรรณวิชาชีพกําหนดไว้ก็ตาม แต่แนวประพฤติปฏิบัติตนนั้นครจู ําเปน็ ต้องมีหลักคุณธรรม 2
ประการ กล่าวคือ หลักคุณธรรมสําหรับการปฏบิ ตั ิตามหน้าที่ของครู ได้แก่ อิทธิบาท 4 ช่วยให้ครูทําหน้าทีค่ รู
ไม่บกพรอ่ งสงั คหวัตถุ 4 ชว่ ยใหค้ รสู ร้างความสมั พันธ์กบั ผูเ้ รียนและ ผปู้ กครอง ทําให้การเรยี นรู้และการพัฒนา
ผู้เรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พรหมวิหาร 4 ช่วยให้ครูสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ตามมาตรฐานการศึกษา
ของชาติที่เน้นความเป็นคนดี คนเก่งและสามารถอยูในสังคมได้อย่างมีความสุข สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเครื่องมือ
สำคัญในการพฒั นาประเทศตอ่ ไปในอนาคต

นอกเหนือจากการที่ครูจะต้องมีคุณธรรมจริยธรรม เมตตากรุณาต่อศิษย์แล้ว สิ่งที่สำคัญและ
จำเป็นในสถานศกึ ษาอกี ประการก็คือหลักธรรมาภบิ าล เพอื่ การบริหารกิจการบา้ นเมืองท่ีดี ซึ่งในสถานศึกษาท่ี
ประสบความสำเรจ็ นั้นการนำหลกั ธรรมภบิ าลมาใชใ้ นการบริหารงานกถ็ อื ได้ว่าเป็นสิง่ ทม่ี ีความสำคัญเช่นกัน
หลกั ธรรมาภิบาล
ความเปน็ มา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2540 ได้วางรากฐานของธรรมาภิบาล โดยมีหลักการท่ี
สำคัญ ได้แก่ การสร้างความโปรง่ ใสในการบรหิ ารประเทศ การตรวจสอบการใช้อำนาจรฐั การมีส่วนร่วม ของ
ทุกภาคส่วนในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การร่วมรับรู้ ร่วมคิดไปจนถึงการร่วมดำเนินการร่วมตรวจสอบอย่าง
กวา้ งขวางและครอบคลมุ ในทกุ ระดบั ตง้ั แตร่ ะดับชาติลงไปถึงระดบั ท้องถิ่นชุมชน

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้วางกรอบเกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาลของการ
บริหารกิจการบา้ นเมืองท่ีดี ไวด้ งั น้ี

หมวด 4 มาตรา 74 วรรคหนึ่ง บุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงานลูกจ้างของหน่วยราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษา
ประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหาร
กิจการบา้ นเมืองท่ดี ี

หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 78 (4) และ (5) กำหนดให้รัฐต้องดำเนินนโยบาย
เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดนิ ดงั ตอ่ ไปน้ี

117 117
(4) พฒั นาระบบงานภาครัฐ โดยมุง่ เนน้ การพฒั นาคณุ ภาพ คณุ ธรรม และจริยธรรมของเจา้ หน้าท่ี
ของรัฐ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงรูปแบบและวิธีการทำงาน เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพและส่งเสรมิ ให้หน่วยงานของรัฐใช้หลักการบริหารกิจการบ้านเมอื งที่ดเี ปน็ แนวทางในการปฏิบตั ิ
ราชการ
(5) จัดระบบงานราชการและงานของรัฐอย่างอื่นเพื่อให้การจัดทำและการให้บริการสาธารณะ
เปน็ ไปอย่างรวดเรว็ มปี ระสทิ ธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงการมสี ่วนร่วมของประชาชน
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 3/1 ได้วาง
หลักการว่า การบริหารราชการจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลดภารกิจและยุบเลิก
หน่วยงานทไี่ ม่จำเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรใหแ้ ก่ทอ้ งถิ่น กระจายอำนาจการตัดสนิ ใจ การอำนวย
ความสะดวกและสนองตอบความตอ้ งการของประชาชน
พระราชกฤษฎีกาวา่ ด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ได้กำหนด
ขอบเขตของคำว่า การบรหิ ารกิจการบ้านเมืองที่ดีและวางแนวทางในการปฏบิ ัตริ าชการเพื่อใหบ้ รรลุเป้าหมาย
ดังต่อไปน้ี คือ 1) เกิดประโยชน์สุขของประชาชน 2) เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ 3) มีประสิทธิภาพ
และเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ 4) ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น 5) มีการปรับปรุง
ภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อเหตุการณ์ 6) ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการ
ตอบสนองความต้องการ และ 7) มีการประเมินผลการปฏบิ ตั ิงานอย่างสมำ่ เสมอ
ต่อมา ปี พ.ศ. 2555 สำนักงาน ก.พ.ร. ได้มีการทบทวนและวิเคราะห์หลักธรรมาภิบาลของการ
บริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีใหม่ เพื่อให้หลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมีความง่ายต่อ
ความเข้าใจ สะดวกต่อการจดจำ และการนำไปปฏิบัติ รวมทั้งมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพบริบท
ของประเทศไทย ซึง่ ไดน้ ำเอาประเด็นที่มีความสัมพันธเ์ กีย่ วข้องรวมไว้ดว้ ยกนั เปน็ หมวดหมู่ นอกจากนี้ยังได้ให้
ความสำคัญในเรือ่ งของทัศนคติและพฤติกรรมของตัวบคุ คลท้ังในระดับผูน้ ำและผู้ปฏิบตั ิงาน โดยเห็นควรให้มี
การเพิ่มเติมประเด็นในเรื่องการสร้างจิตสำนึกด้านคุณธรรมและจริยธรรมอันเป็นไปตามบทบัญญัติของ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 279 ซึ่งได้กำหนดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับผู้
ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละประเภท อันประกอบไปด้วยค่านิยมหลัก 9
ประการ ไดแ้ ก่
1. การยดึ มัน่ ในคณุ ธรรมและจริยธรรม
2. การมจี ติ สำนกึ ทีด่ ี ซอ่ื สตั ย์ สจุ ริต และรบั ผิดชอบ
3. การยดึ ถือประโยชน์ของประเทศชาตเิ หนือกว่าประโยชนส์ ว่ นตน และไม่มผี ลประโยชน์ทับ
ซ้อน
4. การยืนหยัดทำในสง่ิ ท่ถี ูกต้อง เปน็ ธรรม และถูกกฎหมาย
5. การให้บริการแกป่ ระชาชนด้วยความรวดเรว็ มีอัธยาศยั และไม่เลือกปฏบิ ตั ิ
6. การให้ข้อมลู ข่าวสารแกป่ ระชาชนอย่างครบถว้ น ถูกต้อง และไมบ่ ิดเบือนขอ้ เทจ็ จริง
7. การมงุ่ ผลสมั ฤทธ์ขิ องงาน รกั ษามาตรฐาน มคี ุณภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้
8. การยดึ มน่ั ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข
9. การยึดม่ันในหลักจรรยาวิชาชพี ขององคก์ ร

118 118
คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2555 ได้มีมติเห็นชอบกับหลักธรรมาภิบาล
ของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ประกอบด้วย 4 หลักการสำคัญ และ 10
หลกั การยอ่ ย (สำนกั งาน ก.พ.ร., 2555) มีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี
หลกั การสำคญั 4 ประการ ได้แก่
1) การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) อันประกอบด้วยหลัก
ประสทิ ธิภาพ (Efficiency) หลกั ประสทิ ธิผล (Effectiveness) และหลกั การตอบสนอง (Responsiveness)
2) คา่ นิยมประชาธปิ ไตย (Democratic Value) อนั ประกอบด้วย หลักภาระรบั ผิดชอบ/ สามารถ
ตรวจสอบได้ (Accountability) หลักความเปิดเผย/โปร่งใส (Transparency) หลักนิติธรรม (Rule of Law)
และหลักความเสมอภาค (Equity)
3) ป ร ะ ช า ร ั ฐ ( Participatory State) อ ั น ป ร ะ ก อ บ ด ้ ว ย ห ล ั ก ก า ร ก ร ะ จ า ย อ ำ น า จ
(Decentralization) และ หลักการมสี ่วนร่วม/การมุง่ เนน้ ฉันทามติ (Participation/Consensus Oriented)
4) ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) อันประกอบด้วยหลัก
คุณธรรม/จริยธรรม (Morality/Ethics)

ภาพที่ 5.1 หลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ทม่ี า : สำนกั งาน ก.พ.ร. 2555, อ้างอิงจาก
https://opdc.go.th/special.php?spc_id=3&content_id=2225

หลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ประกอบด้วยหลักการย่อย 10 ประการ
ได้แก่

1) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด
เกิดผลิตภาพที่คุ้มค่าต่อการลงทุนและบังเกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม ทั้งนี้ ต้องมีการลดขั้นตอนและ

119 119
ระยะเวลาในการปฏิบัติงานเพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่าย ตลอดจนยกเลิกภารกิจที่ล้าสมัย
และไม่มคี วามจำเปน็

2) ประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องมีวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์
เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ปฏิบัติหน้าที่ตามพันธกิจให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ขององค์การ มีการวางเป้าหมายการปฏิบัติงานที่ชัดเจนและอยู่ในระดับที่ตอบสนองต่อความ
คาดหวังของประชาชน สร้างกระบวนการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน มีการจัดการความเสี่ยง
และมงุ่ เน้นผลการปฏบิ ตั งิ านเปน็ เลศิ รวมถงึ มีการติดตามประเมนิ ผลและพัฒนาปรับปรุงการปฏบิ ัติงานให้ดีขึ้น
อยา่ งต่อเนอื่ ง

3) การตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องสามารถให้บริการได้
อย่างมีคุณภาพ สามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด สร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจ รวมถึง
ตอบสนองตามความคาดหวัง/ความต้องการของประชาชนผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีความ
หลากหลายและมคี วามแตกตา่ งกนั ได้อยา่ งเหมาะสม

4) ภาระรับผดิ ชอบ/สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) หมายถึง ในการปฏบิ ัติราชการต้อง
สามารถตอบคำถามและชี้แจงได้เมื่อมีข้อสงสัย รวมทั้งต้องมีการจัดวางระบบการรายงานความก้าวหน้าและ
ผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อสาธารณะเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและการให้คุณให้โทษ
ตลอดจนมกี ารจดั เตรยี มระบบการแกไ้ ขหรือบรรเทาปัญหาและผลกระทบใดๆ ท่ีอาจจะเกดิ ขนึ้

5) เปิดเผย/โปร่งใส (Transparency) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องปฏิบัติงานด้วยความ
ซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา รวมทั้งต้องมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและเชื่อถือได้ให้ประชาชนได้รับ
ทราบอย่างสมำ่ เสมอ ตลอดจนวางระบบให้การเขา้ ถึงขอ้ มูลข่าวสารดังกล่าวเปน็ ไปโดยงา่ ย

6) หลักนิติธรรม (Rule of Law) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องใช้อำนาจของกฎหมาย
กฎระเบียบ ข้อบังคับในการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด ด้วยความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติและคำนึงถึงสิทธิ
เสรีภาพของประชาชนและผู้มสี ว่ นได้สว่ นเสียฝา่ ยต่างๆ

7) ความเสมอภาค (Equity) หมายถงึ ในการปฏบิ ัติราชการต้องให้บริการอยา่ งเทา่ เทยี มกัน ไม่มี
การแบ่งแยกด้านชายหญิง ถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล
ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม และอื่นๆ อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงโอกาส
ความเท่าเทยี มกันของการเขา้ ถึงบริการสาธารณะของกล่มุ บุคคลผดู้ อ้ ยโอกาสในสงั คมด้วย

8) การมีส่วนร่วม/การพยายามแสวงหาฉันทามติ(Participation/Consensus Oriented)
หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมใน
การรับรู้ เรียนรู้ ทำความเข้าใจ ร่วมแสดงทัศนะ ร่วมเสนอปัญหา/ประเด็นที่สำคัญที่เกี่ยวข้องร่วมคิดแก้ไข
ปัญหาร่วมในกระบวนการตัดสินใจและการดำเนินงานและร่วมตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ต้องมีความ
พยายามในการแสวงหาฉันทามติหรือข้อตกลงร่วมกันระหว่างกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ
กลมุ่ ท่ไี ด้รับผลกระทบโดยตรงจะตอ้ งไมม่ ีข้อคดั ค้านท่ีหาข้อยตุ ไิ มไ่ ด้ในประเดน็ ที่สำคญั

9) การกระจายอำนาจ (Decentralization) หมายถึง ในการปฏบิ ตั ิราชการควรมกี ารมอบอำนาจ
และกระจายความรับผิดชอบในการตัดสินใจและการดำเนินการให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในระดับต่างๆ ได้อย่าง
เหมาะสม รวมทั้งมีการโอนถ่ายบทบาทและภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือภาคส่วนอื่นๆ ใน
สงั คม

10) คุณธรรม/จริยธรรม (Morality/ Ethic) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องมีจิตสำนึกความ
รับผดิ ชอบในการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีให้เปน็ ไปอยา่ งมีศีลธรรม คณุ ธรรม และตรงตามความคาดหวงั ของสังคม รวมทั้ง

120 120

ยดึ ม่นั ในค่านยิ มหลกั ของมาตรฐานจริยธรรมสำหรับผู้ดำรงตำแหนง่ ทางการเมืองและเจา้ หน้าที่ของรัฐประมวล
จริยธรรมข้าราชการพลเรือนและจรรยาบรรณวิชาชีพ ตลอดจนคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของระบบราชการ
ไทย 8 ประการ (I AM READY) ไดแ้ ก่

I - Integrity ซ่อื สัตยแ์ ละกล้ายืนหยดั ในสิ่งท่ถี ูกต้อง
A - Activeness ทำงานเชิงรกุ คิดเชิงบวกและมีจิตบริการ
M - Morality มศี ลี ธรรม คุณธรรมและจริยธรรม
R - Responsiveness คำนงึ ถึงประโยชนส์ ุขของประชาชนเปน็ ท่ีตัง้
E - Efficiency มงุ่ เนน้ ประสิทธภิ าพ
A - Accountability ตรวจสอบได้
D - Democracy ยึดมัน่ ในหลกั ประชาธิปไตย
Y - Yield มงุ่ ผลสัมฤทธิ์
หลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้ระบบราชการ
เดินหน้าไปได้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม ได้กล่าวในโอกาสปาฐกถาพิเศษ เรื่อง หลักธรรมาภิ
บาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีว่า การประเมินผลเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่นำไปใช้ในการพิจารณา
โยกย้ายตำแหน่งต่างๆ แต่ในบางเรื่องยังถูกละเลย ได้แก่ การเปิดโอกาสให้สังคมมีส่วนร่วม และการถ่ายโอน
ภารกิจ ซึ่งคือเรื่องของการกระจายอำนาจ การตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในลักษณะที่จะทำให้ประชาชนและ
ผเู้ กยี่ วข้องเขา้ มาตรวจสอบ แตก่ ารรว่ มตัดสินใจหลายคนน้ันจะมีเร่ืองของความรับผิดชอบเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ดังนั้น การกระจายอำนาจจึงเป็นเร่ืองใหญ่ ซึ่งยังดำเนินการได้น้อย สำหรับเรื่องของการถ่ายโอนภารกิจนน้ั
ไดม้ กี ารนำร่องในเร่ืองการตรวจสอบคุณภาพซ่ึงเร่ืองดังกล่าวรฐั บาลไม่จำเป็นต้องเปน็ ผู้ดำเนินการเองสามารถ
จ้างเอกชนทีม่ ีความเชี่ยวชาญมาดำเนนิ การก็ไดผ้ ลดีเชน่ เดียวกัน ก.พ.ร.จะต้องทำหน้าทคี่ อยตดิ ตาม ให้ความรู้
ความเข้าใจกับส่วนราชการในเรื่องธรรมาภิบาล แล้วส่วนราชการไปดำเนินการเองเพราะการดำเนินการในแต่
ละหน่วยงานอาจไม่เหมือนกัน เช่น การดำเนินการเรื่องธรรมาภิบาลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอาจไม่
เหมือนกับกรมวชิ าการเกษตร สำนกั งาน ก.พ.ร. จะกระต้นุ ให้สว่ นราชการดำเนนิ การ โดยมีการจดั การประเมิน
หรือแข่งขันและใหร้ างวลั
นอกเหนือจากสิง่ ทีก่ ล่าวมาข้างต้นแล้ว ความซื่อสัตย์สุจริต ก็ถือได้ว่าเปน็ สิ่งทีม่ ีความสำคัญและ
จำเปน็ อย่างมากในเรอ่ื งของคุณธรรมจริยธรรมสำหรบั ครทู ี่พงึ ปฏิบัตไิ ม่วา่ จะอยู่ในสถานศึกษาใดก็ตาม
ความซ่ือสตั ย์สุจริต
พระบรมราโชวาทตอนหนง่ึ ท่ีพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมพิ ลอดยุ เดช พระราชทานแก่นิสติ ท่ี
สำเรจ็ การศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2499 ความว่า
“การที่จะประกอบกิจการใดๆ ให้เจริญเป็นผลดีนั้น ย่อมต้องอาศัยความอุตสาหะพากเพียร
และความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นรากฐาน สำคัญประกอบกับจะต้องเป็นผู้มีจิตเมตตากรุณาไม่
เบียดเบียนผ้อู ืน่ และพรอ้ มที่จะบำเพญ็ ประโยชน์ใหเ้ กดิ แก่ส่วนรวมตามโอกาสอกี ด้วย”
จะเห็นได้ว่า การนำพาประเทศชาติบ้านเมืองให้มีความมัน่ คง คือ ความซื่อสัตย์สุจริต5 ถือเป็น
รากฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืนและมน่ั คง การจะนำมาซ่ึงความซื่อสัตย์ได้นั้น ย่อมอยู่ที่การ
ใช้จ่ายอย่างพอเพียง ไม่นิยมวัตถุ ยึดถือคุณธรรมจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่มาว่าจะอยู่ ที่ใดก็ตาม ซึ่งตาม
แนวคิดนี้ได้สอดคล้องกับพระอัฉรยิ ภาพของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวภมู ิพลอดุยเดชที่ทรงมองการณ์ไกล
เสมือนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าที่อาจจะเกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินไทย พระองค์ท่านได้พระราชทานปรัชญา

121 121

“เศรษฐกิจพอเพียง”เป็นแนวทางการพัฒนาประเทศมาเป็นเวลานานแล้ว และดูเหมือนว่าสถานการณ์
ปัจจุบันปัญหาต่างๆ จะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้าแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี งนี้ไม่ถูกละเลยและเป็นที่ยึดถือ
ปฏิบัติอยู่ในจิตสำนึกของประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะผู้ที่ทำหน้าที่ผู้นำประเทศและดูแลความสงบเรียบรอ้ ย
ของบ้านเมือง หากประชาชนทุกระดบั ต้ังแตค่ รอบครัว ระดับชุมชน ถึงระดับรัฐ ยึดถอื ปรชั ญาน้ีเปน็ แนวทางใน
การดำรงชีวติ และปฏิบัติตน มีสำนึกในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความรูเ้ หมาะสม ดำเนินชีวติ ด้วย
ความอดทน ความเพียร มสี ตปิ ัญญา มคี วามรอบคอบ ประเทศไทยจะมนั่ คง สงบสุข รม่ เยน็ ดว้ ยความสามารถ
และความรว่ มมอื ของคนไทยดว้ ยกนั เอง (สำนักข่าวอิศรา, 2559)

ทั้งนี้ในการปลูกฝังค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตต้องอาศัยการศึกษาเป็นสำคัญคือ จะให้
ข้าราชการและประชาชนทั่วไปยึดมั่นค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต เขาเหล่านั้นก็พึงได้รับการศึกษาอบรม
เร่ืองความซอ่ื สัตย์สุจรติ แตเ่ ยาว์วัยและต้องปลูกและฝังใหล้ ึกเขา้ ไปในจติ ใจ ไมใ่ ชส่ กั แต่ว่าสอนกันเพียงผิวเผินรู้
ว่าความซื่อสัตย์สุจริตคืออะไร แต่ไม่ได้ยึดถือปฏิบัติอย่างจริงจังในการดำรงชีวิต ก็จะไม่เกิดประโยชน์ และ
เป็นอนั ตรายแกบ่ ้านเมืองด้วย ผมยอมรับในเหตุผลท่ีกล่าวมา จึงรบั ทำหนา้ ที่ดังกลา่ ว แล้วก็มานั่งพิจารณาว่า
การศึกษาจะมีบทบาทในการเสริมสร้างค่านิยมและทัศนคติเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตได้อย่างไรบ้าง (พนม
พงษ์ไพบูลย์, 2543). ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อที่มคี วามเกย่ี วข้องดงั นี้
1. ทำไมตอ้ งมาพูดกันเรอ่ื งความซื่อสตั ย์สุจรติ

ประเทศไทยของเราเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนเปน็ ทีอ่ ิจฉาของหลายประเทศในโลกน้ีด้วยซำ้
ไปในรอบ 35 ปี ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวไปถึง 32 เท่า คนไทยโดยเฉลี่ยมีรายได้สูงถึงปีละประมาณ
70,000 บาทต่อคน คนไทยมีการอยู่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านมากมาย บ้านเมืองเจริญอย่างรวดเร็ว เรามีตึก
ระฟ้าตึกสูง ๆ ผคู้ นมีรถยนตใ์ ช้มากจนมปี ัญหารถติดเป็นอันดับแรกๆ ของโลก มผี ูพ้ ยากรณ์วา่ อีกราว ๆ 40 ปี
ข้างหน้า ประเทศไทยจะมีความมั่นคงเป็นอันดับที่ 18 ของโลก แต่ในอีกภาพลักษณ์หนึ่งพบว่าประเทศไทยมี
ปัญหาอาชญากรรมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งบ่งบอกว่ามีธุรกิจนอก
กฎหมายที่ใหญ่โตมูลค่านับหมื่นนับแสนล้านอยู่หลายอย่าง เช่น การพนัน โสเภณี ยาเสพติด สินค้าเถื่อน
นำ้ มันเถ่ือน เป็นตน้ ถา้ ประเทศไทยไมม่ ีธรุ กจิ นอกกฎหมายใหญ่โตเชน่ น้ี

ประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้ารวดเร็ว และก้าวไกลกว่านี้อีกมาก การมีธุรกิจนอกกฎหมายมาก
นำมาสู่อาชญากรรมที่เกิดขึ้นมากตามมาด้วย และเหตุที่มีธุรกิจนอกกฎหมายมากเป็นเพราะความไม่ซื่อสัตย์
สุจรติ ของขา้ ราชการ นกั การเมือง พ่อคา้ และประชาชนท่ีเห็นแกไ่ ดน้ ่นั เอง

ด้วยเหตุนี้จึงจำเปน็ ตอ้ งคิดปลูกฝังค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตให้กับคนไทยทุกคน คนไทยท้ัง
ชาติ ไมว่ า่ จะเดก็ หรอื ผ้ใู หญ่ ผหู้ ญิงหรือผูช้ าย คนรวยหรือคนคน ไมว่ า่ เปน็ ประชาชนหรอื ข้าราชการ เพอื่ ให้
เป็นพื้นฐานความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ไม่ใช่เพียงข้าราชการเท่านั้นที่ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต คนไทยทุกคน
ต้องมคี วามซ่อื สตั ย์สุจรติ ดว้ ย
2. เราจะเริ่มปลูกฝังความซ่ือสัตย์สุจริตเม่ือไร

โบราณกล่าวว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก เปรียบดังคนก็เช่นเดียวกันการจะปลูกฝังทัศนคติ
ความเชื่อ ค่านิยม หรือลักษณะนิสัยใดๆ ก็ตาม ต้องเริ่มปลูกฝังแต่ยังเยาว์วัย ปลูกฝังทีละน้อยให้สะสมไป
เรื่อยๆ เมื่อโตขึ้นก็ต้องปลูกฝังต่อไป แม้เป็นผู้ใหญก่ ็ต้องมีการปลูกฝังไปจนตลอดชีวิต แต่ลักษณะและวิธีการ
ปลกู ฝงั จะตอ้ งแตกต่างกันไปตามวัยและวฒุ ภิ าวะของแตล่ ะคน ที่แตกต่างกนั

คงไม่เป็นการกล่าวไกลเกินความจริงไปว่า การปลูกฝังทัศนคติและค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์
สุจริตตอ้ งสร้างตัง้ แต่แรกเกิด ลักษณะนสิ ยั ความซื่อสัตย์สจุ รติ จะเร่ิมต่อตัวข้ึนจากความรักความอบอุ่นที่พ่อแม่

122 122

ญาติพี่น้องใกล้ชิดได้แสดงออกและให้แก่เด็ก เด็กก็จะแสดงความรัก ความเชื่อถือไว้วางใจตอบสนอง
เชน่ เดียวกนั และเดก็ จะเชอ่ื และเอาอยา่ งทกุ ส่งิ ทุกอยา่ งซ่งึ คนทต่ี ัวเองรักและไวใ้ จทำให้ดูหรือแสดงใหเ้ ห็น พ่อ
แม่จึงเป็นต้นแบบทีส่ ำคญั ในวัยเด็ก

เม่ือถงึ วยั เขา้ โรงเรยี นเด็กถือครูเหมือนพ่อแม่ทีส่ อง เดก็ เคารพและไว้ใจเช่ือในสิ่งท่ีครูสอนและสิ่ง
ที่ครูทำให้ดูเป็นตัวอยา่ ง ไมว่ ่าจะตง้ั ใจทำหรือไม่ก็ตาม เด็กได้เรยี นรสู้ ่ิงต่างๆ จากครู และจาการส่ังสอน อบรม
บ่มนิสัยของครู ดังนั้นครจู งึ เปน็ ผมู้ ีบทบาทสำคัญย่งิ ในการสร้างลักษณะนิสัยเรื่องความซอ่ื สตั ย์สุจริตไมน่ ้อยกว่า
พ่อแม่ผปู้ กครอง

เด็กอยู่ในโรงเรียนมิได้ศึกษาเอาอย่างเฉพาะจากครูประจำชั้นของตนเท่านั้น เด็กได้รู้ได้เห็นได้
เรียนรู้จากครูอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กทั้งทางตรงและทางอ้อมเช่นเดียวกัน เด็กไม่ได้เรียนรู้จากครูเฉพาะใน
ห้องเรียนในเวลาที่ครูเข้าสอน แต่เด็กเรียนรู้จากครูในพฤติกรรมของครูที่แสดงออกในโอกาสต่างๆ ด้วยการ
ปลูกฝังค่านิยมและทัศนคติเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต จึงเป็นบทบาทของครูทุกคนในโรงเรียน และทุกคนมี
บทบาทหน้าที่ในเร่ืองน้ีไม่ยิ่งหยอ่ นกวา่ กันเลย

ผู้บริหารเป็นทั้งครูและเป็นต้นแบบที่เด็กจะดูแบบอย่างเป็นพิเศษ และยังเป็นต้นแบบให้กับครู
เป็นผู้ดูแลครูอื่นๆ ให้เป็นต้นแบบที่เหมาะสมด้วย ผู้บริหารจึงเป็นต้นแบบและมีบทบาทที่สำคัญมากที่สุดใน
โรงเรยี นในการปลูกฝงั ทศั นคติและคา่ นยิ มเรอื่ งความซ่ือสัตย์สจุ รติ

เพือ่ นนกั เรียนกเ็ ปน็ ตวั อย่างทีส่ ำคัญ เด็กมกั เอาอยา่ งเพ่ือน ทำแบบเพ่อื นเพ่ือเอาใจเพ่ือน ถ้าเด็ก
มเี พอื่ นดกี ็มกั ทำดีตามด้วย การแก้เดก็ ไม่ดีจึงทำได้โดยการให้คบเพอ่ื นท่ดี ี เรื่องน้ีแมผ่ มสอนเสมอๆ ว่าให้เลือก
คบแต่เพื่อนดี เพื่อนเกเรให้หลีกให้หา่ ง บางทีก็ทำไม่ได้ แต่การคบเพื่อนเกเรในขณะที่รู้ตัวก็จะช่วยฉุดรั้งไม่ให้
เพื่อนทำชั่วได้เป็นสิ่งท่ีดเี สียอีก การสร้างทัศนคติและค่านิยมที่ดีจงึ ไม่สามารถแยกสร้างเป็นรายบคุ คลได้ ต้อง
สร้างให้เกิดขึ้นกับทุกๆ คนพร้อมกันเด็กจะได้ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เด็กเรียนรู้และสร้างลักษณะนิสัย
หลายอย่างจากสังคมรอบตัวเด็ก คือจากผู้ใหญ่ในชุมชน จากสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว จากข้อมูลข่าวสารที่เดก็
ได้รับ ไมว่ า่ จากวทิ ยุ โทรทศั น์ หนังสือพมิ พ์ หรอื จากคำเลา่ ลอื ตา่ งๆ ผู้ใหญใ่ นสังคมท่ีมีคนยกย่องนับถือมากๆ
เดก็ จะใหค้ วามสำคัญเปน็ พิเศษ บางทีเขาอาจจะเชอ่ื วา่ ทุกอยา่ งทผี่ นู้ นั้ ประพฤติปฏบิ ตั ิเปน็ ของดีหมด ดังนนั้ ถ้า
เดก็ ยกย่องนบั ถอื ถูกคนก็เป็นการดี แต่ถา้ ไปยกย่องนับถอื คนท่ีขาดความซื่อสัตย์สุจรติ กจ็ ะเป็นอนั ตรายมาก

เมื่อออกสู่โลกของการงานอาชีพ คนก็เรียนรู้และปรับลักษณะนิสัยตามสภาวะแวดล้อม ถ้าเข้าสู่
สังคมอาชพี ทด่ี ีกจ็ ะเป็นศรีกับตวั เขา ถา้ เขาเข้าสู่อาชีพท่มี ีคนไม่ซ่ือสัตย์สุจรติ ปนอยู่มากกจ็ ะเป็นอันตรายต่อตัว
เขา จริงอยู่เขาได้เรียนรู้ และน่าจะมีลักษณะนิสัยท่ีดตี ิดตัวเป็นเกราะกำบังไดบ้ ้าง แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดีก็อาจ
ดึงดูดให้เสียได้ และถ้าทำมาหากินกับคนที่มีธุรกิจผิดกฎหมายก็ยิ่งเป็นอันตรายร้ายแรงยิ่งขึ้น การสร้าง การ
ปลูกฝังทัศนคติค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำในสถานประกอบการในสถานท่ี
ทำงานด้วยเช่นเดียวกัน
3. การปลกู ฝังความซ่อื สตั ย์สุจรติ เป็นหนา้ ทข่ี องใคร

คนทกุ คนทุกเพศ ทกุ วัย ทุกอาชีพ จำเปน็ ตอ้ งมีคา่ นยิ มและทัศนคตเิ ร่ืองความซอ่ื สตั ยส์ จุ ริตและ
ต้องดำเนินชีวิตโดยมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐาน ดังนั้น การปลูกฝังเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตจึงต้องเป็น
หน้าที่ของทุกฝ่ายในสังคมที่จะต้องช่วยกัน จะยกให้เป็นภาระให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ ทุกคนต้องมีสำนึกและ
ปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจรติ และมีหน้าที่ดแู ลช่วยเหลือสรา้ งจิตสำนกึ ให้คนอื่นปฏบิ ัติ
หนา้ ทดี่ ว้ ยความซือ่ สตั ย์สุจริตดว้ ย

123 123
องคก์ รหลกั ทมี่ ีหนา้ ทีร่ บั ผดิ ชอบทสี่ ำคัญคือ

1) ครอบครวั พ่อแม่ ผูป้ กครอง ญาติพ่ีนอ้ ง ต้องช่วยกนั ดูแลสร้างและปลูกฝังจิต สำนึกนี้ด้วยการ
แนะนำ สั่งสอน ทำตัวอย่างที่ดีให้กับคนในครอบครัวของตน ตัวอย่างนิทานเรื่อง "สอนลูกให้เป็นโจร" เป็น
อุทาหรณ์เตอื นใจทีด่ ี เรือ่ งนเ้ี ลา่ ว่า มีพ่อแมค่ ่หู น่ึงเลย้ี งลูกด้วยความรักจงึ ตามใจลูกทุกอย่าง ลกู อยากได้อะไรหา
ให้ลูก ถ้าผดิ กไ็ มต่ กั เตอื น ลูกไปหยิบฉวยของผ้อู ืน่ กไ็ ม่วา่ ไมก่ ลา่ วจนเดก็ เกดิ เป็นนิสัยชอบลักขโมยของผู้อืน่ จาก
ของเล็กน้อย ก็เป็นของมีค่ามากขึ้นจนกระทั่งเมื่อโตขึ้นก็เป็นโจรลักของคนอื่น วั นหนึ่งไปปล้นทรัพย์ฆ่าเจ้า
ทรัพยต์ ายถูกเจ้าหน้าท่จี ับได้ จะต้องถูกลงโทษถงึ ประหารชีวิต พ่อแมไ่ ดข้ า่ วก็เสียใจ ขอพบลกู เม่อื ลูกไดพ้ บพ่อ
แม่ก็ต่อว่าว่าเป็นเพราะพ่อแม่เลี้ยงดูเขาไม่ดี ไม่เคยแนะนำสั่งสอนห้ามปรามเมื่อเขาทำผิดเขาจึงกลายเป็น
นกั โทษประหาร เช่นน้ี

2) โรงเรียนและสถานศกึ ษา เป็นสถาบันสำคญั ท่ที ำหนา้ ที่ให้การศึกษาอบรม บ่มนิสัย คือ ใหค้ วามรู้
ความเข้าใจที่ถูกต้อง การสร้างนิสยั การประพฤติปฏิบัติทีถ่ ูกต้อง หัวใจสำคัญของการศกึ ษา คือ การทำให้คน
เป็นคนดีเป็นคนที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นท้ังต่อสังคมที่ตนอยูอ่ าศัยและต่อประเทศชาตจิ นถงึ มนุษยชาติในที่สดุ
การสร้างลกั ษณะนิสัยความซ่ือสัตย์สุจรติ จึงเป็นเรือ่ งสำคัญท่ีโรงเรียนและสถานศึกษาจะต้องใหก้ ารเอาใจใส่
ดูแลไม่น้อยกว่าการทำให้ผู้เรียนมีความรู้ และมีลักษณะอื่นๆ ที่พึงประสงค์ การปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องความ
ซื่อสัตย์สุจริตก็เหมือนกับการปลูกฝังคุณลักษณะอื่นๆ คือต้องทำให้ผู้เรียนเกิดศรัทธา เชื่อว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีท่ี
ทุกคนพึงประพฤติปฏิบัติและตอ้ งให้ผู้เรียนปฏิบัติเป็นกิจนสิ ัยควบคู่กับการให้ความรู้ความเขา้ ใจท่ีถกู ต้องและ
ได้เห็นตัวอย่างของจริงที่ถูกต้องดว้ ยการสร้างนิสัยความซื่อสัตย์สุจริตให้กับเด็กเป็นเรื่องทีต่ ้องทำต่อเน่ืองเป็น
เวลานาน ตลอดเวลาที่เด็กได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในโรงเรียน เพื่อให้กระบวนการศึกษาเล่าเรียนเป็นไปอย่าง
เหมาะสม ทกุ ฝ่ายในโรงเรียนจะช่วยกนั รบั ผิดชอบตั้งแตผ่ ู้บริหารซึ่งต้องถือว่าเร่ืองน้ีเป็นเรื่องสำคัญ คอยกำกับ
ดแู ลตดิ ตามอย่างใกลช้ ิดกระบวนการเรียนก็ต้องถูกต้องเหมาะสมกับวัยและพืน้ ฐานของเด็ก ครูท่สี อนทกุ คนทุก
วิชาก็ต้องถือเป็นหน้าที่คอยดูแลเอาใจใส่กิจกรรมทุกอย่างที่จัดก็ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องเหมาะสมและ
ส่งเสริมใหเ้ กิดความซื่อสัตย์สจุ รติ ไม่ว่าจะเป็นกจิ กรรมเพื่อความรู้ความบันเทิงหรือการกีฬา กต็ าม

3) สถาบันสังคมต่างๆ ก็ต้องมีบทบาทส่งเสริมสนับสนุนการสร้างลักษณะนิสัย ความซื่อสัตย์สุจริต
วัดและองค์กรทางศาสนาต่างๆ จะมีส่วนช่วยได้มากในการอบรม สร้างความเชื่อ ความศรัทธาให้เกิดข้ึน
สื่อมวลชนต่างๆ ก็มีส่วนให้ความรู้ ความตระหนักความสำนึกในความสำคญั ของความซื่อสัตย์สุจริตได้มาก
ถ้ามีการยกตัวอย่างคนทำความดีให้ปรากฏเสมอๆ ก็จะทำให้สังคมเชื่อมั่นในความดีงานนั้นๆ ได้มากขึ้น ที่
สำคัญคอื จะตอ้ งไม่เผลอยกยอ่ งคนไม่ซ่ือสตั ยส์ ุจริตให้คนทว่ั ไปเห็นเพราะจะทำใหค้ นท่วั ไปรู้สึกว่าเป็นปกติวิสัย
ที่คนทั่วไปพึงประพฤติปฏิบัติได้ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เรามักจะได้ยินได้ฟังอยู่เสมอที่บางครั้งสังคมยกย่องเชิดชู
คนที่มีฐานะดี บริจาคเพื่อสังคมมากๆ แต่เคยมีประวัติชื่อเสียงในทางไม่ดีมาก่อนการทำเช่นนีเ้ ป็นอันตรายต่อ
สังคมรวมมาก ทำให้เยาวชนเห็นว่าความร่ำรวยมีความสำคญั มากกว่าการเป็นคนดขี องสังคม
4. การเรยี นการสอนเพ่อื ปลูกฝงั ความซ่ือสตั ยส์ ุจริต

แมว้ า่ การปลูกฝงั ความซื่อสัตย์สจุ ริตจะเป็นหน้าท่ีของทุกฝ่ายกต็ าม ผ้ทู ี่มีบทบาทสำคัญย่ิงคงเป็น
ของโรงเรยี นและสถานศึกษา ซึ่งมีหน้าทห่ี ลกั คอื การพฒั นาผ้เู รียนให้เกดิ ความเจรญิ งอกงามในทกุ ๆ ด้านอย่าง
มีดุลยภาพ คือ ต้องให้เด็กได้พัฒนาทั้งทางด้านจิตใจ ปัญญา ร่างกายและทางสังคม ความซื่อสัตย์สุจริตเป็น
คุณลกั ษณะทางจติ ใจ ประการหนงึ่ ท่ีพึงปลกู ฝังพฒั นาให้เกดิ กับเด็กทุกคน แต่การพฒั นาคุณลกั ษณะด้านความ
ซื่อสัตย์สุจรติ ก็ตอ้ งพัฒนาไปพร้อมๆ กับการพัฒนาทางด้านปัญญา คือ ความรู้ความเข้าใจและการพัฒนาทาง
ร่างกายและสงั คมดว้ ยเชน่ เดยี วกัน

124 124
การเรียนการสอนก็คือ กระบวนการกระตุ้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาน่ันเองเป็นกระบวนการท่ีทำให้
เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็น และได้เรียนรู้ ได้ปฏิบัติจนเกิดความเข้าใจ เกิดความเชื่อ ความศรัทธา และ
ยึดถือสิ่งนี้เป็นแนวดำเนินชีวติ ตลอดจนมีการศึกษาและพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ความศรัทธาน้ัน
ชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไปอีกในอนาคตเพื่อให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการพัฒนานิสัยเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ตามนัยที่
กลา่ วมานี้ กระบวนการจัดการเรียนการสอนจึงน่าจะมีลกั ษณะดังนี้
1) การกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตโรงเรียนสามารถทำได้ด้วยวิธี
งา่ ย ๆ เชน่ นำข่าวเหตุการณป์ ระจำวันที่เก่ยี วกับความซื่อสัตยส์ จุ ริต หรือเอาเร่ืองของคนในชุมชนท่ีคนยกย่อง
นับถือในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต มาเล่าให้นักเรียนฟัง ในเด็กเล็กๆ อาจต้องเล่าเป็นนิทาน ในเด็กโตขึ้นก็เล่า
เรื่องจรงิ และมรี ายละเอียดได้มากขึ้น
2) การยกย่องสรรเสริญผู้ที่ทำความดีต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่แสดงออกซึ่งความซื่อสตั ย์สุจรติ ควร
ยกยอ่ งนกั เรียนของตนเอง คนในสงั คมรอบๆ โรงเรยี นหรอื คนอื่นๆ ตามข่าวเหตกุ ารณ์ทีป่ รากฏ
3) การให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า หาบุคคลตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต
และ มีคุณสมบัติที่ดีงามอื่นๆ นักเรียนควรจะได้ศึกษาโดยการไปพูดคุยกับคนในชุมชน เพื่อหาคนที่ชุมชน
ยกย่องนับถือ และศึกษาจากหนังสือและเอกสารต่างๆ ควรให้นักเรียนได้ให้เหตุผลในการทีเ่ ขาเลือกบุคคลนั้น
มาเปน็ ตัวอยา่ งด้วย
4) การให้นักเรียนช่วยกันจัดนิทรรศการแสดงประวัติชีวิต และพฤติกรรมของผู้ที่นักเรียนหรือ
สงั คม หรอื องคก์ รตา่ งๆ ยกยอ่ งว่าเป็นคนซือ่ สตั ย์สจุ รติ เป็นระยะๆ
5) โรงเรียนประกาศยกย่องนักเรียนหรือครหู รือบุคคลในสงั คมที่มีพฤติกรรม ความซือ่ สัตย์สุจริต
ใหป้ รากฏแกน่ ักเรียนโดยท่ัวไปทุกครั้งทมี่ ีเหตกุ ารณ์เกิดขนึ้
6) โรงเรียนอาจจัดกิจกรรมประจำภาคเรียนหรือประจำปี ใหน้ กั เรียนช่วยกันเลือกเพ่ือนของเขา
เอง ทเ่ี ปน็ ผู้มคี วามซื่อสัตยส์ ุจรติ สมควรไดร้ ับการยกยอ่ งชมเชย
7) ในกิจกรรมการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดวิชาใดก็ตาม ครูทุกคนควรให้ความสำคัญกับการ
สร้างนิสัย ความมีวินัย ความรู้จักหน้าที่รับผิดชอบและความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเองและผู้อื่น เสมอๆ ไม่ควร
แยกการสอนเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตจากการสอนอื่นๆ เราสามารถสอนเรื่องความซ่ื อสัตย์สุจริต ควบคู่
สอดแทรกผสมกลมกลืนไปกับการสอนภาษา สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิชาการงาน วิชาศิลปะ วิชา
พลานามัย ฯลฯ ไดเ้ สมอ
8) ให้นกั เรยี นได้ศึกษาจากบุคคลในท้องถ่ิน เชน่ พระสงฆ์ ผ้นู ำชุมชน ถึงความดงี ามของการเป็น
ผ้มู คี วามซอ่ื สัตยส์ ุจรติ และโทษของการไมเ่ ป็นผมู้ ีความซื่อสัตย์สจุ รติ พรอ้ มทง้ั หาตวั อยา่ งท่เี ปน็ จรงิ มาประกอบ
9) โรงเรยี นอาจใหน้ กั เรียนเขียนนิทานเรอ่ื งจรงิ เก่ยี วกบั เรอื่ งความซื่อสตั ย์สจุ ริต
10) ให้นักเรียนสังเกต วิเคราะห์และวิจารณ์ตนเองในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต คือ การให้
นกั เรียนเปน็ ผู้ประเมนิ ตนเอง ซ่งึ อาจใหท้ ำไว้เป็นความลับเฉพาะตัวของแต่ละคน
11) โรงเรียนอาจจัดใหม้ ีการปาฐกถา โตว้ าที เกยี่ วกับความซอื่ สัตย์สจุ ริต โดยใหน้ ักเรียนจัดและ
ดำเนนิ การกันเอง
12) ใหน้ กั เรียนต้ังปณธิ านของตนเกีย่ วกบั ความซอื่ สัตยส์ ุจริต
13) โรงเรยี นเชญิ ผู้มชี ่อื เสยี งหรือผไู้ ด้รับยกยอ่ งเร่ืองความซื่อสตั ยส์ จุ รติ มาพูดคุยกับนักเรยี น
14) โรงเรียนจดั งานวนั แห่งความซื่อสัตยส์ ุจริต และจัดกิจกรรมต่างๆ ทเี่ ก่ียวข้องกับการปลูกฝัง
ความซ่ือสัตย์สจุ ริต
15) ครใู นโรงเรียนประพฤติตนใหเ้ ปน็ ตัวอยา่ งแก่นกั เรียน

125 125

ยังมีรูปแบบและวิธีการอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถนำมาใช้เพื่อส่งเสริมการปลูกฝัง สร้างนิสัยให้
นักเรยี นยดึ ม่นั ในความซื่อสัตย์สจุ รติ กิจกรรมใดๆ ก็ตามทใี่ หน้ ักเรียนไดร้ ู้ไดเ้ หน็ จากของจริง เหตุการณ์จรงิ และ
ไดล้ งมอื ปฏิบัตดิ ว้ ยตนเองจริง จะทำให้เด็กได้เรียนรู้ส่งิ ท่ีแท้จริงมากขึน้ กระบวนการและกิจกรรมต่างๆ เหล่าน้ี
ต้องทำสม่ำเสมอเป็นประจำ และต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นและหล่อหลอมลักษณะนิสัยนี้ใหเ้ กิดขึ้น คงอยู่อย่างแน่น
แฟ้นมั่นคง การได้รู้ได้เห็นของจริง จะทำให้เด็กเกิดศรัทธาและความเชือ่ มั่น ยิ่งถ้าผู้นั้นเป็นผู้ทีเ่ ดก็ รู้จักใกลช้ ิด
เคารพนับถือก็จะย่ิงสรา้ งศรทั ธาให้เกดิ ไดง้ า่ ยและมากยิ่งขึ้น เปา้ หมายสำคญั ของกิจกรรมการเรยี นรู้เร่อื งความ
ซ่อื สตั ย์สุจรติ คือ ความสำนกึ ในความซ่ือสัตย์สุจรติ นิสัยความเปน็ คนซือ่ สัตย์สจุ ริตและประพฤติตนอยู่บนฐาน
ความซ่อื สัตยส์ จุ ริต
5. กจิ กรรมเพ่ือปลกู ฝงั จิตสำนึกความซื่อสัตย์สจุ ริต

ที่กล่าวมาพอสรุปกจิ กรรมหลักการปลกู ฝงั จิตสำนึกและคา่ นิยมความซ่ือสตั ย์สุจริตได้ดงั น้ี
1) การให้พบเห็นตัวอย่างที่ดีอย่างสม่ำเสมอจนเกิดความเคยชิน หรือเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่า
ทำไมจึงต้องเป็นเช่นนั้น อาจนำตัวอย่างที่ไม่ดีให้พบเห็นได้เป็นครั้งคราว แต่ต้องให้เห็นผลของการประพฤติ
ปฏบิ ตั ิไมถ่ ูกตอ้ งด้วย
2) การยกย่องสรรเสริญให้ขวัญและกำลังใจกับผู้ประกอบความดีประพฤติปฏิบัติด้วยความ
ซ่ือสตั ยส์ จุ รติ
3) แนะนำตักเตือนเมื่อเขาประพฤตไิ มถ่ กู ตอ้ งเพื่อจะได้ปรับตน
4) ให้เด็กได้เรียนรู้จากตัวอย่างของจริง เช่น ได้พูดคุยกับคนที่สมควรเป็นตัวอย่างให้ไปศึกษา
นทิ าน เร่ืองราว สารคดี ชวี ิตจรงิ ของคนทป่ี ระพฤติตนดว้ ยความซ่ือสัตย์สจุ รติ ให้นกั เรยี นไดว้ เิ คราะห์ และสรุป
เหตแุ ละผลดว้ ยตนเอง ให้ทำบอ่ ยๆ เสมอๆ ในสถานการณท์ แ่ี ตกตา่ งกนั ท้ังทรี่ ู้ตัวและไม่รู้ตัว
5) ให้ได้วิเคราะห์วิจารณ์ เหตุการณ์จริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งจากการร่วมกันเป็นหมู่คณะและ
วเิ คราะห์ดว้ ยตนเอง เพอ่ื นำสคู่ วามเข้าใจเชิงเหตุและผลทั้งที่ดีหรือไม่ดีหรือยงั ไม่อาจหาข้อยตุ ิได้
6) ให้ได้แสดงเจตนารมณ์เป็นรายบุคคลหรือหมู่คณะที่จะประพฤติปฏิบัติตนในกรอบของ
คุณธรรม จริยธรรม เช่น การมีคติพจน์ประจำใจ เป็นต้น

ความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ เป็นความอยู่รอดและความสงบสุขของสังคม บ้านเมอื ง ประเทศชาติ และโลกท้ัง
มวล จึงเป็นค่านิยม ทัศนคติ และเป็นวิถีการดำเนินชีวิตที่มีความหมายและสำคัญยิ่งของมนุษยชาติ เป็นสิ่งท่ี
ทุกคนจะตอ้ งช่วยกันปลกู ฝงั ให้กับลกู หลาน ญาตพิ ีน่ ้อง เพือ่ นบา้ น และทุกคนในสงั คม และทกุ คนตอ้ งประพฤติ
ตนอยู่ในความซอ่ื สตั ย์สจุ รติ ดว้ ยให้สมดังโคลงโลกนิตทิ วี่ า่
เสยี สนิ สงวนศักด์ไิ ว้ วงศ์หงส์
เสยี ศักด์สิ ู้ประสงค์ สง่ิ รู้
เสยี รูเ้ รง่ ดำรง ความสัตย์ ไวน้ า
เสียสัตย์อยา่ เสยี สู้ ชพี ม้วยมรณา

126 126
สรุป

จากที่กลา่ วมาข้างต้น สง่ิ ที่สำคญั และจำเปน็ ในการพัฒนาความมคี ุณธรรมจริยธรรมสำหรับครูให้
เกิดขึ้นนั้นจะต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่ายโดยเริ่มตั้งแต่การผลิต การพัฒนา การฝึกอบรม การนิเทศ
ติดตามให้เกิดขึ้นในสถาบันครุศึกษาซึ่งเป็นสถาบันหลักในการพัฒนาครูในอนาคต นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับ
การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารราชการและความซื่อสัตย์สุจริตให้เกิดขึ้นในตัวครู ซึ่งเป็น ผู้ที่มี
ความสำคัญในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ คือ ผู้เรียนให้เป็นผู้ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างเป็นผู้ที่มีความรู้
ควบคู่กับคณุ ธรรมสามารถพัฒนาประเทศชาตใิ ห้มคี วามกา้ วหน้าร่งุ เรืองสบื ไป

รายการอา้ งอิง
ชยั พร วชิ ชาวธุ . (2542). แนวทางการพฒั นาจริยธรรมตามทฤษฎกี ารเรียนรู้ทางสังคม. ใน ความรู้คคู่ ณุ ธรรม.

หน้า 181-197. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประไพ สิทธเิ ลิศ. (2542). ความเปน็ คร.ู กรงุ เทพฯ : สถาบันราชภฏั สวนสุนนั ทา.
พนม พงษ์ไพบลู ย.์ (2543). การศึกษากบั การเสริมสรา้ งความซือ่ สตั ย์สุจรติ . สบื ค้น 20 เมษายน 2561, จาก

http://www.moe.go.th/main2/article/article11.htm#A.0
พรรณอร อชุ ภุ าพ. (2561). การศกึ ษาและวิชาชีพคร.ู กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สำนักขา่ วอิศรา. (2559). ความซ่ือสัตยส์ ุจริต. สบื ค้น 20 เมษายน 2561, จาก

https://www.isranews.org/isranews/51740-a-51740.html
สำนกั งาน ก.พ.ร. (2555). ธรรมาภบิ าล. สืบค้น 20 เมษายน 2561, จาก

https://opdc.go.th/special.php?spc_id=3&content_id=2225
สาํ นักงานเลขาธิการคุรสุ ภา. (2534). การพัฒนาคณุ ธรรมตามแนวทางของคุรสุ ภา. สบื คน้ 20 เมษายน

2561จาก https://sites.google.com/site/krutubtib/khru/khunthrrm-laea-crrya-brrn-khxng-
khru

127

บทท่ี 6
การจัดการเรียนรสู้ ำหรบั ครู

ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ศุนิสา ทดลา

แนวคดิ และหลักการ

คนเมื่อเกิดมาต้องไดร้ บั การพัฒนาใหม้ ีความเจริญทัง้ ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม เพื่อให้สามารถ
ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ความเจริญ ก้าวหน้ามั่นคง รวมถึงมีส่วนช่วยพัฒนาสังคมและประเทศให้มีความเจริญ ซึ่ง
บิดามารดามีหน้าที่พัฒนาเด็กเม่ือยังเยาว์วัย เมื่อเด็กโตขึ้นจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาในระดับที่สูง กว้าง และละเอียดใน
หลายๆ ด้านมากขึ้น ซึ่งผูท้ ที่ ำหนา้ ทนี่ คี้ อื ครู ครนู ัน้ มหี น้าที่ในการส่ังสอนให้ศษิ ย์มีความรู้ ประสบการณ์ ทักษะ และอบรม
ปลกู ฝังคณุ ธรรม จรยิ ธรรมให้เปน็ คนดี ดงั น้นั ครูตอ้ งเป็นแบบอยา่ งทด่ี ีให้แกศ่ ิษย์ ในบทนข้ี อกล่าวถึงคณุ ลกั ษณะของครู ซ่ึง
ประกอบด้วยหลักพุทธธรรมเพื่อพัฒนาคุณลักษณะของครู คุณลักษณะของครูตามมาตรฐานการปฏิบัติงานของคุรุสภา
การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ และการเป็นผู้นำทางวิชาการ เพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติให้เกิดความดี ความงาม
แก่ตนเองและสังคมเมื่อมโี อกาสออกไปประกอบวิชาชีพครูในอนาคตทเี่ ป็นครูดว้ ยจิตและวิญญาณท่ีพวกเรามักเรียกกันว่า
เป็นครูมืออาชีพ เป็น “ครูเพื่อศิษย์” ท่ีแท้จริง เหนืออื่นใดขออัญเชิญพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราช
ดำรสั ไว้เกี่ยวกบั ครู ดงั น้ี

ทม่ี า: สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา (2555, น. 1)
“..... ผู้ที่เป็นครู จะต้องนึกถึงความรับผิดชอบ เพราะว่าถ้าเป็นครูแล้วลูกศิษยจ์ ะต้องนับถือได้
ต้องวางตัวใหเ้ หมาะสมกับที่เป็นครู ไม่ใช่วางตัวอย่างหน่งึ แลว้ มาสอนอีกอย่างหนึง่ .....”

พระราชดำรัสพระราชทานเน่ืองในวันการศึกษาสมั พนั ธ์ ณ วทิ ยาลยั วิชาการศึกษาประสานมิตร
15 มนี าคม 2512

128 128

“..... ครูจะต้องตั้งใจในความดีอยู่ตลอดเวลา แม้จะเหน็ดเหนื่อย เท่าไรก็จะต้องอดทน เพื่อ
พสิ จู นว์ ่าครูนเ้ี ป็นที่เคารพสักการะได้ แต่ถ้าครไู ม่ตั้งตวั ในศลี ธรรม ถ้าครไู ม่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ เด็ก
จะเคารพได้อย่างไร .....”

พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะครู โรงเรียนราษฎร์ทัว่ ราชอาณาจักร ณ ศาลาผกาภิรมย์
8 พฤษภาคม 2513

“..... ครูจะต้องให้ความรู้แก่เด็ก ๆ ด้วยความเมตตา ด้วยความหวังดี คือ ด้วยความเมตตาต่อผู้ที่
เปน็ ลกู ศษิ ย์ และด้วยความหวังดีต่อสว่ นรวม เพราะถ้าสว่ นรวมประกอบด้วยบุคคล ท่มี ีความรู้ดี
สว่ นรวมก็ไปรอด .....”

พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่คณะอาจารย์และนกั เรียนโรงเรยี นวงั ไกลกังวล
ณ พระราชวงั ไกลกังวล หวั หิน
27 พฤษภาคม 2513

“..... ครูที่แท้จริงนั้นต้องเป็นผู้ทำแต่ความดี คือ ต้องหมั่นขยันและอุตสาหะพากเพียร ต้อง
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเสียสละต้องหนักแน่นอดทน และอดกลั้น สำรวม ระวังความประพฤติของ
ตน ให้อยู่ในระเบียบ แบบแผนที่ดีงาม รวมทั้งต้องซื่อสัตย์ รักษาความจริงใจ วางใจเป็นกลาง
ไมป่ ลอ่ ยไปตามอำนาจอติ .....”

พระราชดำรัสพระราชทานแก่ครอู าวุโส 28 ตลุ าคม 2523

“..... ถ้าใครไม่ห่วงประโยชนท์ ีจ่ ะหว่ ง หันไปห่วงอำนาจ ห่วงตำแหนง่ ห่วงสิทธ์ิ และห่วงรายได้
กันมากเข้า ๆ แล้วจะเอาจิตใจที่ไหนมาห่วงความรู้ ความดี ความเจริญของเด็ก ความห่วงในสงิ่
เหลา่ น้ัน ก็จะค่อย ๆ บ่นั ทอนทำลายความเป็นครไู ปจนหมดสิ้น จะไม่มีอะไรเหลอื พอท่ีตัวเองจะ
ภาคภูมิใจ หรือ ผูกใจใครไว้ได้ ความเป็นครูก็จะไม่มีค่าเหลืออยู่ให้เป็นที่เคารพบูชาอีกต่อไป
.....”

พระราชทานแก่ครูอาวโุ ส ณ พระตำหนักจติ รดารโหฐาน 21 ตุลาคม 2531

สรุปตามพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชดำรัสไว้เกี่ยวกับครูดังกล่าวข้างต้นนั้น ประกอบด้วย
ประพฤติตนตั้งอยู่ในความดีตลอดเวลา วางตัวเหมาะสมอยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดีงาม มีความรับผิดชอบ ต้องขยันหมั่นเพียร
อุตสาหะพากเพียร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ อดทน อดกลั้น สำรวม ให้ความรู้แก่นักเรียนด้วยความเมตตา ด้วยความหวังดี
ซ่อื สัตย์ จรงิ ใจ วางใจเปน็ กลาง

129 129

ความมงุ่ หวงั ของสังคมที่มีต่อครู ปรารถนาจะเหน็ ครู ประพฤติ ปฏบิ ตั ติ นและกระทำหนา้ ที่ (พะนอม แก้วกำเนิด,
2550, น.152) ดงั ตอ่ ไปน้ี

1. ทำหน้าทด่ี ว้ ยอุดมการณข์ องความเปน็ ครู
2. มุ่งมัน่ ปฏิบตั งิ านหนา้ ทค่ี รูให้สมบรู ณ์ ด้วยหลักธรรมและหลักวิชาชีพครู
3. เพยี รพฒั นาตนเองตลอดชีวิต ทางดา้ นคุณธรรม จริยธรรม วชิ าการ วชิ าชพี ครู ประพฤติ ปฏิบตั ิตนเปน็
แบบอยา่ งทดี่ ี สมกับการเปน็ ปูชนียบคุ คลของสังคม
4. เป็นพลังสำคัญของชุมชนในการแก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษา เยาวชน ชุมชน ชาติบ้านเมือง ได้รับการยกย่อง
เชดิ ชเู กียรติ สมกับความเป็นครูของสังคม

ความคาดหวังที่สังคมมีต่อครูต้องมีความรู้ ความสามารถและทักษะต่างๆ ในการพัฒนาศิษย์ รวมถึงมีคุณธรรม

จริยธรรม และประพฤติตามมาตรฐานแห่งวิชาชีพ ซึ่งค่าของครูอยู่ที่การยกระดับจิตใจให้กับศิษย์ ไม่ใช่การสอนเพื่อให้

ศิษย์ได้ความรู้เพียงอย่างเดียว ตามบทกวี “ใครคือครู” ของนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์

ประจำปี พ.ศ. 2536 และกวีซีไรท์ (อจั ฉราวรรณ สงั ขว์ าร,ี 2560, น. 254) มีดังต่อไปนี้

“ใครคือครูครูคอื ใครในวันน้ี ใช่อยูท่ ี่ปริญญามหาศาล

ใชอ่ ยูท่ ีเ่ รียกวา่ ครูอาจารย์ ใชอ่ ยนู่ านสอนนานในโรงเรียน

ครคู อื ผูช้ ี้นำทางความคิด ใหร้ ถู้ กู รู้ผดิ คดิ อา่ นเขียน

ให้รู้ทุกข์รยู้ ากรู้พากเพียร ให้รู้เปลย่ี นแปลงสู้รู้การงาน

ครคู ือผยู้ กระดบั วญิ ญาณมนษุ ย์ ให้สงู สุดกว่าสตั ว์เดรัจฉาน

ครคู ือผู้สั่งสมอดุ มการณ์ มีดวงมาลเพือ่ มวลชนใชต่ นเอง

ครูจึงเปน็ นกั สรา้ งผใู้ หญย่ ิง่ สร้างความจรงิ สรา้ งคนกลา้ สรา้ งคนเก่ง

สรา้ งคนใหเ้ ป็นตวั ของตัวเอง ขอมอบเพลงนมี้ าบชู าครู”

หลักพุทธธรรมเพื่อพฒั นาคุณลักษณะครู

ความหมายของหลกั พุทธธรรม
ประเวศ วะสี (2545, น. 14) ได้ให้ความหมายของพุทธธรรมไว้ว่า ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น คำว่า
“ค้นพบ” ย่อมหมายถึง “ธรรม” เป็นสิ่งที่มีอยู่เดิม มีมาก่อน ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมพระพุทธองค์ แต่เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น
ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ อาจะกล่าวได้ว่า การเรียนรู้ ธรรม ก็คือ การรับรู้ธรรมดาโลก เรียนรู้สิง่ ทีเ่ ปน็ ปกติท่ีมีบ่อเกดิ
ที่มาว่ามาอย่างไร และไปอย่างไร เพราะหลักธรรมคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสสอนไว้กว่าสองพันปีทีผ่ ่านมานัน้

เปน็ “สจั ธรรม” เพราะ “คนเราจะลว่ งพ้นความทุกข์ได้ เพราะความเพียรในการทำความดี” ผใู้ ส่ใจในธรรมเท่าน้ันถึงจะรู้
ถ่องแท้

130 130

อรรณพ โยนิจ. (2549, น. 8) ได้ให้ความหมายของพุทธธรรมไว้ว่า พุทธธรรมเป็นธรรมที่เป็นอุปกรณ์เปรียบ
เหมือนยานพาหนะ เป็นธรรมที่คงตัวและปรับได้ เป็นกุศลธรรมและอกุศลธรรมซึ่งธรรมะตามที่ได้ศึกษามาแล้วมี
ความหมายว่า เป็นธรรมชาติ หรือเป็นสิ่งพื้น ๆ ที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนเมื่อครั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมหรือเข้าถึงหลัก
ธรรมชาตแิ ลว้ พระองคก์ ท็ รงนำกฎของธรรมชาติมาตีแผ่ใหเ้ ห็นสภาพทเ่ี ป็นจริง

จากทก่ี ลา่ วมาสรุปไดว้ า่ พทุ ธธรรม หมายถงึ หลกั ธรรม คำสอนท่ีเป็นผลของการค้นคว้าของพระพทุ ธองค์ ซึ่งเป็น
สิง่ ทม่ี ีอย่ตู ามธรรมชาติเป็นธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย เรียกว่าเป็นกฎธรรมชาติ ซ่ึงหลกั พทุ ธธรรมเพอ่ื พฒั นาคุณลักษณะครูมี
มากมาย ซึง่ ทจี่ ะกล่าวถึงในบทนเ้ี ป็นเพียงตัวอยา่ งเพื่อเปน็ แนวทางในการนำไปประพฤติปฏบิ ัติ ดงั นี้

ยนต์ ชุ่มจติ (2531, น. 41-43) ไดก้ ล่าวถึงหลักพุทธธรรมสำหรบั ครูไวด้ ังนี้

▪ พรหมวิหารธรรม
ครูจำเป็นต้องมีพรหมวิหารธรรม เพราะเป็นธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐหรือผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่กว้างขวางดุจ

พระพรหม ซงึ่ มี 4 ประการคอื
1) เมตตา-ความรัก คอื ความรักความปรารถนาดีเป็นไมตรีกับศิษย์และคนทั่วไป
2) กรุณา-ความสงสาร คือ อยากช่วยเหลือศิษย์หรอื ผู้อื่นใหพ้ น้ ความทุกข์
3) มทุ ติ า-ความเบิกบานพลอยยินดี คอื เมื่อเหน็ ศิษย์ผรู้ ่วมงานหรือใครก็ตามมีความสขุ หรือประสบ

ความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรยี นการงานต่าง ๆ กม็ ีใจเบิกบานยนิ ดีด้วย
4) อเุ บกขา-ความมีใจเปน็ กลาง คอื การวางจิตใจใหม้ ั่นคง สม่ำเสมอเที่ยงตรง

▪ อิทธบิ าท
อทิ ธบิ าท คือ หลกั ธรรมทีจ่ ะนำผู้ปฏิบัตไิ ปส่คู วามสำเร็จในงานใดๆ มี 4 ประการ คือ
1) ฉันทะ-มีใจรกั คอื ความพอใจในงานท่ีจะทำ ผู้เป็นครูต้องมีใจรักในงานสอน งานจงึ จะกา้ วหนา้
2) วิรยิ ะ-ความพากเพยี รพยายาม คอื ความขย่นั หมนั่ เพยี ร ความเขม้ แข็ง อดทนในงานอาชพี ของตน
3) จิตตะ-การเอาจติ ใจฝักใฝ่ คอื การใฝร่ บั รูใ้ นงานท่ตี นกระทำอยูเ่ ปน็ ประจำ
4) วมิ ังสา-การหม่นั ไตร่ตรองพจิ ารณา คอื การใชป้ ญั ญาพิจารณาใคร่ควรญดงู านที่กระทำ

▪ ฆราวาสธรรม
ฆราวาสธรรม คือ หลกั ธรรมสำหรบั การครองชวี ิตของคนทวั่ ไปมี 4 ประการคือ
1) สัจจะ-ความจริง คือ การดำรงมั่นในความจรงิ มีความซอ่ื สัตย์จรงิ ใจพดู จริงทำจรงิ
2) ทมะ-ฝกึ ตน คือ การรจู้ กั ข่มใจไว้ได้ ควบคมุ ตนเองได้ รจู้ ักปรับตัวให้เขา้ กบั คนอืน่ ได้ ตลอดจนการปรับปรุง

ตนเองใหเ้ ป็นคนก้าวหน้าอยเู่ สมอ
3) ขนั ต-ิ อดทน คือ การทำงานดว้ ยความอดทนทง้ั กาย ท้ังใจ มีความมงุ่ มัน่ ไม่ทอ้ ถอยในงานทัง้ ปวง

131 131

4) จาคะ-เสียสละ คือ การมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลร่วมงานกับคนอื่นได้ไม่เป็นคนใจแคบ
รู้จกั การบำเพ็ญประโยชน์ตอ่ สว่ นรวม

▪ สังคหวตั ถธุ รรม
สังคหวัตถุธรรรม คือ หลักธรรมที่เป็นเครือ่ งยึดเหนี่ยวใจคน และประสานหมู่ชนใหม้ ีความสามัคคีกลมเกลียว

กนั มี 4 ประการคอื
1) ทาน-ให้ปัน คือ การใหค้ วามชว่ ยเหลือเอ้ือเฟ้อื เผือ่ แผ่ เสยี สละทรัพยต์ ามสมควร
2) ปยิ วาจา-พูดจาไพเราะ คอื เจรจากนั ดว้ ยถ้อยคำอ่อนหวานน่าฟงั มีการพูดให้กำลังใจ แสดงความเหน็ อกเหน็ ใจ
3) อัตถจริยา-ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ การช่วยเหลือคนอื่นทำกิจการงานต่าง ๆ ด้วยแรงกาย หรือด้วยการ

ช่วยแก้ปรับปรงุ สง่ เสริมคณุ ธรรม
4) สมานัตตตา-เอาตัวเข้าสมาน คือ การวางตนเสมอต้นเสมอปลายเข้ากับคนได้ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมแก้ไข

ปัญหาไม่เอาเปรียบกนั

ธราญา จติ รชญาวณิช (2560, น. 138-) ไดก้ ลา่ วถงึ หลักพุทธธรรมสำหรับครเู พิ่มเติม ดังนี้
▪ ครุ

ครุ หมายถึง การเป็นบุคคลทีม่ ีความหนักแน่นมัน่ คงในจิตใจทีจ่ ะเป็นคนดไี ม่หว่ันไหวไปตามกิเลสตัณหา สิ่งที่
จะชว่ ยให้ครมู คี ณุ สมบตั ิดงั กลา่ ว คือ พละ 5 ประการ คือ

1) ศรัทธาพละ คือ มีความเชื่อในทางที่ดี เช่น เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความเชื่อเกิดขึ้นในใจแล้วจะเป็น
พลงั ตอ่ ต้านฝ่ายอกุศล

2) วริ ิยะพละ คือ ความเพียรในทางท่ีดี คือ เพียรระวังความช่วั ไมใ่ ห้เกิดขนึ้ ในตัว เพียรทำความดีให้คงอยู่และ
เจริญย่ิงๆ ข้นึ ไป

3) สติพละ คือ ความระลึกได้ มคี วามรูส้ กึ ตวั ในการกระทำ การพดู การคดิ ใหร้ อบคอบ
4) สมาธิพละ คือ ความมีใจจดจ่อแน่วแน่มั่นคงในสิ่งที่เป็นบุญกุศลพลังสมาธินี้จะเป็นกำลังต่อต้านความ
ฟงุ้ ซ่านมิใหเ้ กิดขึ้นในใจ
5) ปญั ญาพละ คือ ความรอบรู้ รู้ว่าอะไรดี อะไรชวั่ อะไรควรทำ อะไรไมค่ วรทำ

คณุ ธรรมท่นี ำมาใช้กนั โดยท่วั ไป มุ่งเน้นไปในทางความรูส้ ึกนึกคิดของคนเราที่เป็นคุณ เปน็ ประโยชน์ เป็นความดี
งาม คุณธรรมจึงเปน็ นามธรรม เป็นความรู้สึกนึกคดิ ท่ีจะนำไปสู่การประพฤติ ปฏิบตั ิ ทเ่ี รียกว่า จรยิ ธรรม ดังน้ันคุณธรรม
เป็นนามธรรม สว่ นจรยิ ธรรมเป็นรปู ธรรม มคี วามต่อเนือ่ งกัน เม่อื คนเรามคี วามรู้สึกนึกคดิ ไปในทางใดก็จะชกั นำให้เกิดการ
ประพฤติ ปฏบิ ัติไปในทางนน้ั คนทีม่ คี วามร้สู ึกนกึ คิดไปในทางดที ีเ่ ป็นประโยชน์ คอื มคี ณุ ธรรม ก็จะประพฤติ ปฏิบัติดี คือ
จรยิ ธรรม คนทวั่ ไปมกั จะใช้สองคำนตี้ ่อเนอ่ื งกนั คือ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ซ่ึงจะขอกล่าวถึงคุณธรรมทส่ี ำคญั ของครู

132 132

คณุ ธรรมทส่ี ำคญั ของครู
การทำหน้าที่ครู และประพฤติ ปฏิบัติติตนตามความมุ่งหวังของสังคม ครูควรมีคุณธรรมที่สำคัญ(พะนอม แก้ว
กำเนิด, 2550, น.153-155) ดังตอ่ ไปน้ี
1. มอี ดุ มการณ์ ตระหนักในคุณค่าของความเป็นครู มีจติ วิญญาณของความเป็นครู ตัง้ ใจประพฤติ ปฏบิ ตั ิ
ตามจรรยาบรรณวชิ าชีพครู

▪ ตระหนกั ในคณุ คา่ ของความเป็นครู
ตระหนัก คือ เห็นคุณค่า และศรัทธา คือ มีจิตวิญญาณของความเป็นครูเชื่อด้วยความเคารพใน

ความสำคัญ ความมีคุณค่าของบทบาทหน้าที่ในการพัฒนาเยาวชนมีความผูกพัน ความมุ่งมั่นที่จะกระทำหน้าที่ให้เกิดผล
สัมฤทธิ์สูงสดุ

ครู คือ ผู้พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาติ ไม่มีทรัพยากรใดสำคัญเท่ากับทรัพยากรมนุษย์ สังคมมอบให้
ครูทำหน้าทอ่ี ันยงิ่ ใหญ่ พฒั นาทรพั ยากรทสี่ ำคัญท่ีสุดของชาติ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชดำรัสในพิธีเปิดงานวันครูโลก เมื่อวันที่ 5
ตลุ าคม 2547 วา่ ครู เป็นผูม้ อบสทิ ธพิ น้ื ฐานใหแ้ กม่ นุษย์

ท่านพุทธทาสภิกขุ เทศนาไวว้ ่า ครู คือ ผนู้ ำทางวิญญาณ ครู คือผสู้ ร้างโลก โลกจะเป็นอยา่ งไร ครูมีส่วน
ชว่ ยสร้าง

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ ไดเ้ คยมาใหท้ รรศนะเก่ียวกับครูในงานวันครูทคี่ รุ ุสภาวา่ ครู คือ ผู้พฒั นาคน ครู
คอื ผูท้ สี่ ังคมยกย่องเปน็ ปชู นียบคุ คล และให้เกยี รตถิ ึงลูกหลาน ครู มคี วามสงบสขุ ในชวี ิต ครู คือ ผ้ทู ่ีสวรรคส์ ่งใหม้ าเกิด
เพอ่ื กระทำความดีในการพัฒนาเยาวชน

พระพทุ ธองค์ คือ พระมหาบรมครูของโลก
ครไู มใ่ ชเ่ รือจา้ ง ครู ทำหน้าท่ีพัฒนาเยาวชนด้วยจติ ใจ ไมม่ ีสิ่งใดแทนครูได้อยา่ งสมบูรณ์

▪ ตั้งใจประพฤติ ปฏบิ ัติ ตามจรรยาบรรณวชิ าชีพครู
ครู เป็นผู้ประกอบวิชาชีพระดับสูง ผ่านการกลั่นกรองสรรหาเข้าสู่วิชาชีพครู ได้รับการศึกษาและได้รับ

การฝึกอบรม พัฒนาตลอดเวลาระหว่างการกระทำหน้าที่ครู เพื่อให้ยึดมั่นในหลักวิชาชีพครูและมีคุณธรรมในในวิชาชีพ
รวมเรยี กว่า จรรยาบรรณวิชาชีพครู ซง่ึ คุรสุ ภาได้กำหนดจรรยาบรรณวิชาชีพครูไว้ 9 ประการโดยเฉพาะในข้อแรก รักและ
เมตตาศิษย์ ครูจึงต้องมีสังคหวัตถธุ รรม ทาน หมายถึง การให้ ให้ความรัก ความเมตตาศิษย์ ซึ่งครูควรพึงให้ความรักก่อน
ใหค้ วามรู้

2. มุง่ มั่นปฏบิ ตั งิ านหนา้ ทคี่ รูให้สมบูรณ์ ด้วยหลักธรรมและหลักวิชาชีพครู
ครูมหี นา้ ท่ที ่ีสำคัญ 5 ประการคือ

133 133

1) สอน ฝกึ อบรม
จัดกระบวนการเรียนการสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งทางด้านความรู้ ความคิด การปฏิบัติ และ

คุณธรรรม จริยธรรม สอนให้นักเรียนมีความรู้ สอนให้รู้จักคิดแกป้ ญั หาและพัฒนาโดยใช้ความรู้เปน็ พื้นฐานในการคดิ ฝึก
ให้นำความรู้ไปปฏิบัติเกิดทักษะ มีความสามารถในการกระทำ อบรม พัฒนาทางจิตใจ คุณธรรม จริยธรรม โดยการสอน
สอดแทรกบูรณาการไปกับการสอนวชิ าการตา่ ง ๆ

2) จัดกจิ กรรมพฒั นานกั เรยี น
ตามโครงสร้างของหลักสูตร กำหนดให้ครูจัดกิจกรรมทางการศึกษาเพื่อเสริมพัฒนาการของนักเรียน

ได้แก่ กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมชมรมต่าง ๆ ตามความสนใจ
ความต้องการของนกั เรยี น เปน็ ตน้

3) เขา้ ร่วมกิจกรรมในชมุ ชนเพ่ือแก้ปญั หา พฒั นาการศึกษา เยาวชน สิ่งแวดลอ้ มและชมุ ชน
สังคมม่งุ หวังให้ครูเป็นท่ีพงึ่ ของชุมชน ครจู ึงตอ้ งถือเปน็ หนา้ ทีท่ ีจ่ ะตอ้ งมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมของชุมชน ท่ี

มีวัตถปุ ระสงค์เพอื่ แก้ปญั หาและพฒั นาการศึกษาเยาวชน สง่ิ แวดลอ้ มชองชมุ ชน
4) สรา้ งชอื่ เสี่ยง เกยี รตคิ ุณ ความเจริญกา้ วหน้าให้สถานศกึ ษา
ครูทุกคนพึงร่วมมือกันพัฒนางานของสถานศึกษา ให้มีคุณภาพทางการศึกษาสูง มีผลงาน ผลสัมฤทธ์ิ

ทางการศึกษาในดา้ นต่าง ๆ เป็นทย่ี อมรับ ศรัทธาของประชาชนในชมุ ชน
5) ศกึ ษา ค้นคว้า วจิ ัย พัฒนางานวิชาชีพครู
ครู มีหน้าที่ที่จะตอ้ งศึกษา ค้นคว้า วิจัย พัฒนาแผนการสอน กระบวนการเรียนการสอน งานวิชาชีพครู

เพื่อพัฒนาวิชาชีพครูให้มีความเจริญกา้ วหน้าอยา่ งตอ่ เนือ่ ง พร้อมทั้งพัฒนางานหนา้ ที่ของครูและความเจริญก้าวหน้าทาง
วชิ าชพี ครูเองดว้ ย

3. เพยี รพฒั นาตนเองตลอดเวลา
▪ ครูตอ้ งเพยี รพัฒนาตนเองตลอดเวลา ท้ังทางดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม วิชาการแขนงตา่ ง ๆ
▪ ครูต้องเพยี รพัฒนาตนเองให้เป็นคนดี เปน็ ผบู้ ริสทุ ธิป์ ราศจากส่ิงชวั่ ร้ายท้ังปวง ดำเนนิ ชวี ติ และสังคมด้วย

หลักเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ฯ เป็นผู้มปี ญั ญา รทู้ างแกป้ ญั หาและพฒั นา และ
เป็นผ้มู คี วามกรุณาชว่ ยเหลือผู้อนื่ และชุมชน

▪ ครูพึงดำเนินชีวิตและสังคมตามครรลองของวัฒนธรรมอันดีงามของไทยยึดมั่นในหลักธรรมของศาสนา
ประพฤติ ปฏิบัตติ นและกระทำงานหนา้ ทใ่ี ห้เป็นแบบอย่างทดี่ ีของเยาวชน ประชาชนและสงั คม

4. ตั้งปณธิ านทีจ่ ะเปน็ พลังสำคัญในการแก้ปญั หาและพัฒนาการศึกษา เยาวชน เศรษฐกิจ สงั คมของชุมชน
ชาตบิ า้ นเมือง

1) ศึกษา วิเคราะห์ปัญหา ความต้องการการพัฒนาการศึกษา เยาวชน เศรษฐกิจ สังคม เสนอแนะเพื่อการ
แกป้ ญั หาและพฒั นา

134 134

2) ร่วมมือกันพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพชีวิต เศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้การศึกษาเป็นกำลัง
สำคัญอยา่ งแทจ้ ริงในการแก้ปญั หา พัฒนาชุมชน ชาติบ้านเมอื ง

3) เป็นผู้นำ ผู้ร่วมงานในการริเริ่มกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น ด้านเศรษฐกิจ การตลาด การ
อาชพี ทรัพยากรธรรมชาตสิ ิง่ แวดลอ้ ม เทคโนโลยีทเ่ี หมาะสม นวัตกรรม สิง่ ประดษิ ฐ์ทมี่ ปี ระโยชน์ เปน็ ต้น

4) เป็นผู้นำเสริมสร้างค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม ที่จำเป็นต่อสังคมไทยปัจจุบัน ให้เกิดขึ้นในเยาวชนและ
ประชาชน เชน่ ในเรอ่ื งความรักแผ่นดนิ ความรักชาติท่ีถูกทาง จิตสำนึกสาธารณะ ความซือ่ สัตย์สุจริต ความมุ่งม่ันกระทำ
ความดี สรา้ งเกียรติคุณ เศรษฐกจิ พอเพียง ความมรี ะเบียบวนิ ยั ความรับผดิ ชอบจิตสำนึก อนาคต เป็นต้น

คุณธรรมของครูดังกล่าวเปน็ พลังที่สำคัญนำให้ครูกระทำหน้าที่ครูอยา่ งสมบูรณ์ ประพฤติ ปฏิบัติตน ดำเนิน
ชวี ติ และสงั คมเป็นแบบอย่างทด่ี ี สมตามความม่งุ หวงั ของสงั คมทม่ี ีต่อครู

คุณลกั ษณะของครตู ามมาตรฐานการปฏิบัติงานของครุ สุ ภา

คณุ ลกั ษณะของครูในศตวรรษท่ี 21
นักวชิ าการหลายท่านทก่ี ล่าวถงึ คณุ ลกั ษณะของครูในศตวรรษที่ 21 ในบทน้ีขอยกมาเปน็ ตัวอยา่ ง ดงั นี้
สุพรทิพย์ ธนภัทรโชติวัต (2560, น. 70-71) ได้สังเคราะห์คุณลักษณะของครูในศตวรรษที่ 21 ตามทัศนะของ
นักวิชาการและสถาบันผลิตครูทั้งในและต่างประเทศ สามารถแบ่งคุณลักษณะออกเป็น 3 ด้านได้แก่ 1) ด้านความรู้
ความสามารถในสาขาวิชา 2) ด้านการปฏิบัติตนและเห็นคุณค่าวิชาชีพ และ 3) ด้านสังคมพหุวัฒนธรรม ทั้งนี้ใช้กรอบ
แนวคดิ ของการพัฒนาวชิ าชพี ครใู นศตวรรษที่ 21 (Professionalism in Teaching for 21st Century) ของ Partnership
for 21st Century Skills เพ่อื นำมาจดั กลุ่มคณุ ลกั ษณะได้

1. ด้านความรู้ความสามารถในสาขาวิชา
1.1 มีความรู้ ความเช่ียวชาญในเน้ือหาวชิ า
1.2 มเี ทคนิค วิธกี ารถา่ ยทอดความรู้ที่หลากหลาย
1.3 มีทักษะการคำนวณ
1.4 มีความสามารถในการวัดและประเมินผลทีห่ ลากหลาย
1.5 รูจ้ กั และเข้าใจผู้เรียน
1.6 มีความสามารถในการพฒั นาหลักสตู ร จดั ทำแผนการสอน กิจกรรม และการประเมินผล ทสี่ อดคล้องกับ

ความแตกตา่ งระหวา่ งผเู้ รียน
2. ด้านการปฏบิ ตั ิตนและเห็นคณุ ค่าวชิ าชพี ครู
2.1 เปน็ ผู้ปฏิบตั ิตนเป็นแบบอยา่ งทีด่ แี ก่ศิษย์
2.2 มีสมั พันธ์ทดี่ ีระหวา่ งบคุ คล ทำงานเป็นทมี ได้

135 135

2.3 เป็นผู้มคี ุณธรรมจรยิ ธรรม และจรรยาบรรณในวชิ าชีพ
2.4 เปน็ บคุ คลแหง่ การเรยี นรู้ และใฝ่หาความรู้อยเู่ สมอ
2.5 รักและศรัทธาในวชิ าชพี ครู
2.6 เปน็ ผู้มภี าวะผู้นำทางวิชาการ
2.7 ปฏบิ ตั ิตามนโยบาย ของหน่วยงาน
3. ด้านสังคมพหุวฒั นธรรม
3.1 มคี วามสามารถดา้ นการใช้ภาษา/การสอ่ื สาร
3.2 เป็นผู้เลือกใชเ้ ทคโนโลยีไดอ้ ย่างเหมาะสม
3.3 เปน็ ผรู้ อบรเู้ ท่าทันตอ่ การเปล่ียนแปลง ทนั สมัย ทนั เหตกุ ารณ์
3.4 มีความคิด และแกป้ ัญหาอย่างสร้างสรรค์
3.5 มีความสามารถในการบรหิ ารจัดการ
พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยินดสี ุข (2557, น. 12) ได้สรปุ ลกั ษณะของครูไทยในศตวรรษท่ี 21 ดงั นี้

ลักษณะของครูไทยในศตวรรษที่ 21

ลักษณะของครูไทยในศตวรรษที่ 21 = E2 (CIAC)
= E1 X E2 (CIAC)

ภาพท่ี 6.1 ลกั ษณะของครูไทยในศตวรรษท่ี 21
ทมี่ า: พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยินดสี ขุ , 2557, น. 12

E1 = ความเปน็ ผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม (Ethics Character)
E2 = ความเปน็ ผู้มสี มรรถนะดา้ นคอมพิวเตอร์ (Electronic person)
C = สมรรถนะดา้ นพัฒนาหลกั สูตร รายวชิ า (Curriculum Competency)
I = สมรรถนะด้านการจัดการเรียนการสอน (Instructional Competency)
A = สมรรถนะดา้ นการประเมินผลการเรียนรสู้ ู่การทำวจิ ยั ปฏบิ ัตกิ ารในชั้นเรยี น

(Assessment Competency)
C = สมรรถนะดา้ นการจัดการช้ันเรียนเพ่ือสร้างบรรยากาศเชงิ บวก

(Classroom Management Competency)

136 136

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 4 แนวการจดั การศึกษา มาตรา 22 มาตรา 23 และมาตรา
24 มงุ่ ใหจ้ ดั การเรียนการสอนที่เนน้ ผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งในการจดั การเรียนการสอนนี้เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้น
ให้ผู้เรียนใช้ทักษะกระบวนการ สร้างความรู้ด้วยตนเองและสามารถถ่ายโอนความรู้ นำความรู้ไปใช้ได้ รวมถึงเป็นการ
จัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมสอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดและศักยภาพของผู้เรียน ซึ่งครูควรส่งเสริมจัด
บรรยากาศสภาพแวดล้อม สอื่ การเรยี นการสอน และอำนวยความสะดวก เพือ่ ให้ผูเ้ รียนเกดิ การเรยี นรู้ ตัวอยา่ งบรรยากาศ
ในชน้ั เรียนแบบที่เอ้ือต่อการจดั การเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มดี ังน้ี (พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข,
2557, น. 134, 138) มดี งั นี้

ผู้สอน ผูเ้ รียน

ผสู้ อนยิ้มแยม้ ผ้เู รียนแจ่มใส
ผู้สอนกระตือรอื ร้น ผูเ้ รียนกระปร้ีกระเปรา่
ผสู้ อนถามคำถาม ผเู้ รียนคดิ และตอบคำถาม
ผสู้ อนเปิดโอกาส ผู้เรยี นคดิ อิสระ
ผสู้ อนท้าทาย ผู้เรยี นกระตือรอื ร้น
ผ้สู อนนำวเิ คราะห์ ผู้เรยี นรว่ มอภปิ ราย
ผู้สอนเอาใจใส่ดแู ล ผเู้ รยี นมีระเบยี บวินยั
ผูส้ อนแตง่ ตวั เรียบรอ้ ย ผเู้ รียนเคารพ
ผู้สอนแสดงความเป็นมิตร ผเู้ รยี นสุขและอบอุ่นใจ
ผสู้ อนเนน้ กระบวนการ ผ้เู รียนคิดเปน็ ทำเปน็ แกป้ ัญหาเปน็

คณุ ลกั ษณะของครตู ามมาตรฐานการปฏบิ ัติงานของคุรสุ ภา
สำนักงานเลขาธิการคุรสุ ภา (2556, น. 69) ได้กำหนดมาตรฐานการปฏิบตั งิ าน ดังต่อไปน้ี
1. ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมทางวิชาการเพ่ือพัฒนาวิชาชีพครูใหก้ ้าวหนา้ อยู่เสมอ

2. ตัดสินใจปฏบิ ัติกจิ กรรมต่าง ๆ โดยคำนงึ ถงึ ผลที่จะเกดิ แก่ผ้เู รียน
3. ม่งุ ม่ันพฒั นาผู้เรียนให้เติบโตเต็มตามศักยภาพ
4. พฒั นาแผนการสอนใหส้ ามารถปฏบิ ตั ิได้จริงในชั้นเรยี น
5. พฒั นาสอ่ื การเรยี นการสอนใหม้ ปี ระสิทธิภาพอยเู่ สมอ

6. จดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้ผ้เู รียนรจู้ กั คดิ วิเคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์โดยเนน้ ผลถาวรท่เี กิดแก่ผู้เรียน
7. รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผเู้ รียนได้อยา่ งมีระบบ
8. ปฏบิ ัติตนเป็นแบบอยา่ งที่ดแี กผ่ ูเ้ รยี น

137 137

9. ร่วมมอื กบั ผู้อ่ืนในสถานศกึ ษาอยา่ งสรา้ งสรรค์
10. ร่วมมือกบั ผู้อน่ื ในชุมชนอย่างสร้างสรรค์
11. แสวงหาและใช้ข้อมูลขา่ วสารในการพฒั นา
12. สรา้ งโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รยี นรู้ในทุกสถานการณ์

รายละเอียดของมาตรฐานการปฏบิ ตั ิงานของคุรุสภา (สุพรทิพย์ ธนภัทรโชติวัต, 2560, น. 50-52) มรี ายละเอียดดังน้ี
มาตรฐานท่ี 1 ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมทางวิชาการเพอื่ พฒั นาวิชาชีพครใู หก้ ้าวหน้าอยู่เสมอ
หมายถึง การปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครู หมายถึง การศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนา

ตนเอง การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และการเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการที่องค์การหรือหน่วยงาน หรือสมาคมจัดข้ึน

เชน่ การประชมุ การอบรม การสัมมนา และการประชมุ ปฏบิ ัติการ เปน็ ต้น ทง้ั น้ีตอ้ งมผี ลงานหรือรายงานท่ีปรากฏชัดเจน
มาตรฐานท่ี 2 ตัดสินใจปฏบิ ัติกิจกรรมตา่ ง ๆ โดยคำนงึ ถงึ ผลทจ่ี ะเกิดแก่ผู้เรียน
หมายถงึ การเลอื กอยา่ งชาญฉลาดด้วยความรักและหวังดีต่อผ้เู รยี น ดงั นั้น ในการเลอื กกิจกรรมการเรียนการสอน

และกิจกรรมอื่น ๆ ครตู อ้ งคำนึงถึงประโยชนท์ ีจ่ ะเกดิ แก่ผเู้ รียนเปน็ หลัก
มาตรฐานท่ี 3 มงุ่ มน่ั พฒั นาผู้เรียนใหเ้ ติบโตเต็มตามศกั ยภาพ
หมายถึง การมุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียน หมายถึง การใช้ความพยายามอย่างเตม็ ความสามารถของครูที่จะให้ผู้เรยี นเกดิ

การเรียนรู้ให้มากทีส่ ุด ตามความถนัด ความสนใจ ความต้องการ โดยวิเคราะห์ วินิจฉัยปัญหาความต้องการทีแ่ ท้จริ งของ

ผเู้ รียน ปรบั เปลี่ยนวิธกี ารสอนท่จี ะใหไ้ ดผ้ ลดกี ว่าเดิม รวมทงั้ การส่งเสรมิ พฒั นาการดา้ นตา่ ง ๆ ตามศักยภาพของผเู้ รียนแต่

ละคนอยา่ งเป็นระบบ

มาตรฐานที่ 4 พัฒนาแผนการสอนใหส้ ามารถปฏิบัติไดจ้ รงิ ในชน้ั เรยี น
หมายถึง การพัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้เกินผลจริง หมายถึง การเลือกใช้ ปรับปรุง หรือสร้าง

แผนการสอน บันทึกการสอน หรือ เตรียมการสอนในลักษณะอื่น ๆ ที่สามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้

ผ้เู รยี นบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ของการเรยี นรู้

มาตรฐานท่ี 5 พัฒนาสอื่ การเรยี นการสอนให้มปี ระสิทธภิ าพอยู่เสมอ
หมายถึง การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ หมายถึง การประดิษฐ์คิดค้น ผลิตเลือกใช้ ปรับปรุง

เคร่ืองมอื อุปกรณ์ เอกสารส่งิ พมิ พ์ เทคนิควธิ กี ารตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ของการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 6 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์โดยเน้นผลถาวรที่เกิด

แก่ผเู้ รียน
หมายถงึ การจดั การเรียนการสอนโดยเน้นผลถาวร หมายถงึ การจัดการเรียนการสอนทม่ี ุ่งเนน้ ให้ผเู้ รียนประสอบ

ผลสำเร็จในการแสวงหาความรู้ตามสภาพความแตกต่างของบุคคล ด้วยการปฏิบัติจริง และสรุปความรู้ทั้งหลายได้ด้วย

ตนเอง ก่อใหเ้ กดิ คา่ นยิ มและนิสยั ในการปฏิบัติจนเปน็ บุคลกิ ภาพถาวรตดิ ตัวผูเ้ รียนตลอดไป

138 138

มาตรฐานท่ี 7 รายงานผลการพัฒนาคณุ ภาพของผ้เู รียนได้อย่างมรี ะบบ
หมายถึง การรายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างเป็นระบบ หมายถึง การรายงานผลการพัฒนา
ผู้เรียนที่เกิดจากการปฏิบัติการเรียนการสอนให้ครอบคลุมสาเหตุ ปัจจัย และการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง โดยครูนำเสนอ
รายงานปฏิบัตใิ นรายละเอยี ดดงั น้ี
1. ปญั หาความต้องการของผู้เรยี นที่ตอ้ งการไดร้ บั การพฒั นาและเป้าหมายของการพัฒนาผเู้ รยี น
2. เทคนิค วิธีการ หรอื นวัตกรรมการเรยี นการสอนทน่ี ำมาใชเ้ พ่อื การพฒั นาคณุ ภาพของผ้เู รียน และขน้ั ตอน
วธิ กี ารใชเ้ ทคนคิ วิธกี ารหรือนวัตกรรมน้ัน ๆ
3. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามวธิ ีการที่กำหนดทเ่ี กดิ กบั ผู้เรยี น
4. ขอ้ เสนอแนะแนวทางใหม่ ๆ ในการปรับปรุงและพฒั นาผู้เรียนให้ได้ผลดีย่ิงข้ึน
มาตรฐานท่ี 8 ปฏบิ ัตติ นเปน็ แบบอยา่ งทด่ี แี กผ่ ูเ้ รียน
หมายถึง การปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี หมายถึง การแสดงออก การประพฤติและปฏิบัติในด้านบุคลิกภาพ
ท่วั ไปการแต่งกาย กิรยิ า วาจา และจรยิ ธรรมทเ่ี หมาะสมกบั ความเปน็ ครูอยา่ งสม่ำเสมอ ท่ีทำใหผ้ ูเ้ รยี นเลื่อมใสศรัทธาและ
ถอื เปน็ แบบอยา่ ง
มาตรฐานที่ 9 รว่ มมอื กบั ผอู้ ื่นในสถานศึกษาอยา่ งสรา้ งสรรค์
หมายถึง การร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การตระหนักถึงความสำคัญ รับฟังความ
คิดเห็นยอมรับในความรู้ความสามารถ ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ ของเพื่อนร่วมงานด้วยความเต็มใจ
เพื่อให้บรรลุเปา้ หมายของสถานศึกษา และรว่ มรบั ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการกระทำน้นั
มาตรฐานที่ 10 รว่ มมือกบั ผู้อืน่ ในชมุ ชนอยา่ งสรา้ งสรรค์
หมายถึง การร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ในชุมชน หมายถึง การตระหนักในความสำคัญ รับฟังความคิดเห็น
ยอมรบั ในความรู้ความสามารถของบุคคลอน่ื ในชุมชน และรว่ มมอื ปฏบิ ัติงานเพื่อพฒั นางานของสถานศึกษา ให้ชุมชนและ
สถานศกึ ษามีการยอมรับซงึ่ กนั และกนั และปฏบิ ัติงานร่วมกันด้วยคาวมเต็มใจ
มาตรฐานที่ 11 แสวงหาและใช้ขอ้ มลู ขา่ วสารในการพฒั นา
หมายถึง การแสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนา หมายถึง การค้นหา สังเกต จดจำ และรวบรวมข้อมูล
ข่าวสารตามสถานการณ์ของสังคมทุกด้าน โดยเฉพาะสารสนเทศเกี่ยวกับวิชาชีพครู สามารถวิเคราะห์วิจารณือย่างมี
เหตุผล และใชข้ ้อมลู ประกอบการแก้ปัญหาผลิต เลอื กใช้ ปรบั ปรุงเครื่องมืออุปกรณ์ เอกสารสงิ่ พิมพ์ เทคนคิ วิธีการต่าง ๆ
เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นบรรลุจดุ ประสงค์ของการเรยี นรู้
มาตรฐานที่ 12 สร้างโอกาสให้ผ้เู รยี นได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์
หมายถึง การสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ หมายถึง การสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการนำปัญหาหรือความ
จำเป็นในการพัฒนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการเรียน และการจัดกิจกรรมอื่น ๆ ในโรงเรียนมากำหนดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้
เพื่อนำไปสู่การพัฒนาของผู้เรียนที่ถาวร เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของครูอีกแบบหนึ่ง ที่นำเอาวิกฤติต่า ง ๆ มาเป็น
โอกาสในการพัฒนา ครูจำเป็นต้องมองมมุ ต่าง ๆ ของปัญหา แลว้ ผนั มุมของปญั หาไปในทางพัฒนา กำหนดเป็นกจิ กรรมใน

139 139

การพฒั นาของผู้เรียน ครูจงึ ต้องเป็นผู้มองบวกในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้ กล้าทจ่ี ะเผชิญปัญหาตา่ ง ๆ มีสติในการแก้ปัญหา
มิได้ตอบสนองปัญหาต่าง ๆ ด้วยอารมณ์หรือแง่มุมแบบตรงตัว ครูสามารถมองหักมุมในทุก ๆ โอกาส มองเห็นแนวทางท่ี
นำสูผ่ ลกา้ วหนา้ ของผู้เรยี น

จะเหน็ วา่ มาตรฐานวชิ าชีพครทู งั้ 12 มาตรฐาน แสดงให้เห็นถงึ บทบาทหนา้ ทอ่ี นั สำคญั ของคนท่เี ป็นครวู า่ ต้องเป็น
ผู้ที่มีความรู้ด้านวิชาการ มีทักษะที่ดีในการจัดการเรียนการสอนและเป็นผู้มีจิตใจอันดีเป็นพืน้ ฐาน อาจกล่าวได้ว่าครูต้อง
เป็นผมู้ ีความสมบูรณพ์ ร้อมท้งั รา่ งกายและจติ ใจ คือ ตนเองต้องดพี ร้อมกอ่ นจะไปพฒั นาผอู้ ่นื ต่อไป

คณุ ลกั ษณะของครตู ามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดบั อดุ มศกึ ษาแหง่ ชาติ
ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2552 กำหนดให้
จัดทำมาตรฐานคุณวุฒสิ าขาหรือสาขาวิชาเพ่ือใหส้ ถาบนั อุดมศึกษานำไปจัดทำหลักสูตรหรือปรบั ปรุงหลักสูตรและจัดการ
เรียนการสอน เพื่อให้คุณภาพของบัณฑิตในสาขาหรือสาขาวิชาของแต่ละระดับคุณวุฒิมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึง
จำเป็นตอ้ งกำหนดมาตรฐานคุณวุฒริ ะดับปรญิ ญาตรี สาขาครศุ าสตร์และสาขาศึกษาศาสตร์ (หลกั สูตรห้าป)ี ให้สอดคล้อง
กับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาดังกล่าว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 16 แห่ง
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการโดย
คำแนะนำของคณะกรรมการการอุดมศึกษา ในการประชุมครั้งที่ 1/2554 เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554 จึงออก
ประกาศไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 การจัดการศึกษาหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์และสาขาศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรห้าปี) ต้องมี
มาตรฐานไมต่ ่ำกว่า “มาตรฐานคณุ วุฒริ ะดับปริญญาตรี สาขาครศุ าสตร์และสาขาศกึ ษาศาสตร์ (หลกั สูตรหา้ ปี)”
ข้อ 2 การจัดทำหลักสูตรหรือปรับปรุงหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์และสาขาศึกษาศาสตร์
(หลกั สูตรหา้ ป)ี ตอ้ งมุ่งให้เกิดมาตรฐานผลการเรียนรู้ของบัณฑิต โดยมหี ลักสตู รจดั การเรยี นการสอน และองคป์ ระกอบอ่ืน
ๆ ตามมาตรฐานคุณวฒุ ิระดับปรญิ ญาตรี สาขาครศุ าสตรแ์ ละสาขาศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรหา้ ปี) ทแ่ี นบทา้ ยประกาศนี้
ข้อ 3 สถาบันอุดมศึกษาใด จัดการศึกษาในหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์และสาขาศึกษาศาสตร์
(หลักสูตรห้าปี) อยู่ในวันที่ประกาศฉบบั นี้ใช้บังคับ ต้องปรับปรุงหลกั สูตรใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี
สาขาครศุ าสตร์และสาขาศึกษาศาสตร์ ภายในปีการศึกษา 2555
จากข้อความข้างต้น จึงได้กำหนดมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์และสาขาศึกษาศาสตร์
(หลกั สูตรหา้ ปี) โดยกำหนดคุณลกั ษณะบณั ฑติ ที่พงึ ประสงค์ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2554) ดงั นี้

คณุ ลกั ษณะบัณฑิตทพ่ี งึ ประสงค์
1. มีคุณธรรม มีความกล้าหาญทางจริยธรรม มีจรรยาบรรณวิชาชีพครู และมีความรับผิดชอบสูงต่อวิชาการ
วชิ าชีพ เศรษฐกิจ สังคม และสงิ่ แวดล้อม

140 140

2. มีความอดทน ใจกว้างและมีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้ รวมทั้งการทำงานร่วมกันกับผู้เรียนและ
ผูร้ ว่ มงานทกุ กลมุ่

3. มีความรอบรู้และมีความสามารถประยุกต์ความเข้าใจอันถอ่ งแท้ในทฤษฎี และระเบียบวิธีการศกึ ษาวจิ ัย เพื่อ
สรา้ งความรใู้ หม่

4. มคี วามคิดริเริม่ สร้างสรรค์ในการแกไ้ ขปัญหา และข้อโต้แย้งโดยการแสดงซ่ึงภาวะผ้นู ำในการแสวงหาทางเลือก
ใหม่ทเ่ี หมาะสมและปฏิบัติได้

5. มีความสามารถในการพิจารณาแสวงหา และเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาทางวิชาการ วิชาชีพ และ
สงั คมอยา่ งมีเหตผุ ลท่สี มเหตสุ มผล โดยการบรู ณาการศาสตรแ์ บบสหวิทยาการและพหวุ ิทยาการเพ่ือเสริมสร้างการพัฒนา
ทย่ี ่งั ยนื

6. มคี วามสามารถในการติดตามพัฒนาการของศาสตร์ท้ังหลาย และมคี วามมงุ่ ม่นั ในการพัฒนาสมรรถนะของตน
อยู่เสมอ

มาตรฐานผลการเรยี นรู้
1. ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม

1.1 แสดงออกซึ่งพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู มีคุณธรรมที่เสริมสร้างการ
พัฒนาท่ยี ั่งยืน มคี วามกล้าหาญทางจริยธรรม มีความเข้าใจผอู้ ่นื เข้าใจโลก มีจิตสาธารณะ เสียสละ และเปน็ แบบอยา่ งทีด่ ี

1.2 สามารถจัดการและคิดแก้ปัญหาทางคุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพครูเชิงสัมพันธ์ โดยใช้ดุลย
พินจิ ทางคา่ งนิยมความรูส้ ึกของผูอ้ ืน่ และประโยชน์ของสังคมสว่ นรวม

2. ดา้ นความรู้
2.1 มีความรอบรูใ้ นด้านความร้ทู ว่ั ไป วิชาชพี ครู และวชิ าทจี่ ะสอน อย่างกวา้ งขวางลกึ ซึ้ง และเปน็ ระบบ
2.2 มีความตระหนักร้หู ลักการและทฤษฎีในองคค์ วามรู้ท่ีเก่ยี วข้องอย่างบูรณาการ ทัง้ การบรู ณาการข้าม

ศาสตร์ และการบรู ณาการกับโลกแหง่ ความเป็นจริง
2.3 มีความเข้าใจความก้าวหน้าของความรู้เฉพาะด้านในสาขาวิชาที่จะสอนอย่างลึกซึ้ง ตระหนักถึง

ความสำคญั ของงานวิจัยและการวิจัยในการตอ่ ยอดความรู้
2.4 มีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินค่าองค์ความรู้ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้

ในการปฏิบัติงานวชิ าชพี ครอู ย่างมีประสิทธิภาพ

3. ดา้ นทกั ษะทางปญั ญา
3.1 สามารถคิดค้นหาข้อเทจ็ จริง ทำความเข้าใจ และประเมินข้อมลู สารสนเทศและแนวคิดจากแหล่งข้อมูลท่ี

หลากหลายเพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน การวินิจฉัย แก้ปัญหา และทำการวิจัยเพื่อพัฒนางาน และพัฒนาองค์ความรู้ได้ด้วย
ตนเอง

141 141

3.2 สามารถคิดแกป้ ญั หาท่ีมีความสลับซับซ้อน เสนอทางออก และนำไปสู้การแก้ไขได้อย่าง สร้างสรรค์ โดย
คำนึงถงึ ความรทู้ างภาคทฤษฎี ประสบการณ์ภาคปฏิบัติ และผลกระทบจากการตดั สินใจ

3.3 มีความเป็นผู้นำทางปัญญาในการคิดพัฒนางานอย่างสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ และการพัฒนาศาสตร์ทาง
ครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ รวมทัง้ การพัฒนาทางวิชาชีพอย่างมนี วัตกรรม

4. ดา้ นทกั ษะความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบคุ คลและความรับผิดชอบ
4.1 มีความไวในการรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจผู้อื่น มีมุมมองเชิงบวก มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ และทาง

สังคม
4.2 มีความเอาใจใสช่ ว่ ยเหลอื และเอือ้ ต่อการแก้ปัญหาในกลุม่ และระหวา่ งกลมุ่ ได้อย่างสร้างสรรค์
4.3 มีภาวะผู้นำและผู้ตามที่ดี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน และมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมทั้งด้าน

เศรษฐกิจ สงั คม และส่งิ แวดล้อม
5. ดา้ นทักษะการวิเคราะหเ์ ชิงตัวเลข การส่อื สาร และการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ
5.1 มีความไวในการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารทั้งที่เป็นตัวเลขเชิงสถิติ หรือคณิตศาสตร์ ภาษาพูด และภาษา

เขียน อนั มีผลใหส้ ามารถเข้าใจองค์ความรู้ หรอื ประเดน็ ปัญหาไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
5.2 มีความสามารถในการใช้ดุลยพินิจที่ดีในการประมวลผล แปลความหมาย และเลือกใช้ข้อมูลสารสนเทศ

โดยใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศได้อยา่ งสม่ำเสมอและตอ่ เนอื่ ง
5.3 มีความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการพูด การเขียน และนำเสนอด้วยรูปแบบที่

เหมาะสมสำหรับบคุ คลและกลุ่มคนทีม่ ีความแตกต่างกัน
6. ดา้ นทักษะการจัดการเรียนรู้
6.1 มีความเชย่ี วชาญในการจดั การเรียนรู้ทม่ี ีรปู แบบหลากหลาย ทงั้ รูปแบบท่เี ปน็ ทางการ (Formal) รปู แบบ

กงึ่ ทางการ (Non-formal) และรูปแบบไมเ่ ป็นทางการ (Informal) อย่างสร้างสรรค์
6.2 มีความเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนที่หลากหลาย ทั้งผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ

ผูเ้ รยี นท่ีมีความสามารถปานกลาง และผู้เรียนที่มีความตอ้ งการพเิ ศษอย่างมนี วตั กรรม
6.3 มีความเช่ยี วชาญในการจดั การเรยี นรใู้ นวิชาเอกท่ีจะสอนอยา่ งบรู ณาการ

องค์ประกอบของครูยุคใหม่
ครยู คุ ใหม่ จำเปน็ ต้องกา้ วทนั การเปลย่ี นแปลงของโลก ในขณะเดียวกนั ก็ต้องมีความเป็นครทู ี่ทนั ต่อยคุ สมยั ครูยุค
ใหม่ควรมคี ุณลกั ษณะ (สมบตั ิ นพรกั , 2555, น. 210) ดังน้ี
1. มคี วามรอบร้ดู ้านวชิ าการ (Knowledge) ในเน้อื หาวชิ าความรรู้ ะดับอดุ มศึกษา และความลุ่มลึกในเน้ือหาวิชา
ทต่ี อ้ งปฏิบัติหนา้ ท่ีในสาขาวิชาเฉพาะ (วิชาเอก)
2. มคี วามรูร้ อบสถานการณ์โลก (Knowledge) ในสังคมปัจจบุ นั ทง้ั ดา้ นสังคม สิง่ แวดลอ้ ม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ
และการเมือง

142 142

3. มีทักษะ (Skill) ด้านภาษา (Language) เทคโนโลยี (Technology) และด้านความเป็นครู (Pedagogy) คือ มี
ความชำนาญในศาสตร์และศิลปะในกระบวนการเรยี นการสอน และการจดั การเรียนรู้

4. มที ศั นคติ (attitude) ทดี่ ตี ่อวิชาชีพครู ประพฤตติ ัวเปน็ แบบอยา่ ง มคี ุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ และจิต
วิญญาณครู

การเปน็ บุคคลแหง่ การเรียนรู้

องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้จัดการประชุมนานาชาติ เพื่อ
แลกเปลยี่ นความคิดเห็นและประสบการณร์ ะหว่างกลุ่มคนต่างๆ ท่วั โลกเกีย่ วกบั แนวทางการจัดการศึกษาสำหรับศตวรรษ
ที่ 21 ซ่ึงได้ขอ้ สรุปแนวทางการจัดการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 โดยคณะกรรมาธิการนานาชาตวิ ่าด้วยการศึกษาในศตวรรษ
ที่ 21 แห่งยูเนสโก จำนวน 15 คน เป็นผู้จัดทำและตั้งชื่อรายงานว่า “Learning: The Treasure Within (การเรียนรู้:
ขมุ ทรัพย์ในตน)” โดยมสี าระสำคญั ตอนหน่ึงท่กี ล่าวถึง “ส่เี สาหลักของการเรียนรู้” ท่เี ป็นหลกั การจดั การศึกษาในศตวรรษ
ที่ 21 ประกอบด้วยการเรียนรู้ 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) การเรียนเพื่อรู้ (Learning to know) 2) การเรียนรู้เพื่อปฏิบัตไิ ด้จริง
(Learning to do) 3) การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น (Learning to live together) และ 4) การเรียนรู้เพื่อชีวิต
(Learning to be) ซึง่ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ยึดแนวทางการเรียนรู้ 4 แบบ ท่เี ปน็ การเรียนรู้เพ่ือชีวิตในสังคมท่ีกำลัง
เปล่ยี นแปลงมุง่ จัดการศึกษาใหผ้ ้เู รียนสามารถดำรงชีวติ อยู่ได้อยา่ งมีคุณภาพ (วิชยั วงษใ์ หญ่, 2555, น. 511-512 อ้างอิง
จาก คณะกรรมการธิการนานาชาตวิ า่ ด้วยการศกึ ษาในศตวรรษที่ 21) ดังน้ี

1. การเรยี นเพื่อรู้ (Learning to know)
หมายถึง การศึกษาที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ การแสวงหาความรู้และวิธีการเรียน

เพื่อให้สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต กระบวนการเรียนรู้เน้นการฝึกสติ สมาธิ ความจำ ความคิด
ผสมผสานกับสภาพจริงและประสบการณ์ในการปฏบิ ตั ิ

2. การเรียนร้เู พอ่ื ปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ (Learning to do)
หมายถึง การศึกษาที่มุ่งพัฒนาความสามารถและความชำนาญรวมทั้งสมรรถนะทางด้านวิชาชีพ สามารถ

ปฏิบัติงานเป็นหมู่คณะ ปรับประยุกต์องค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติงานและอาชีพได้อย่างเหมาะสม กระบวนการเรียนการ
สอนบูรณาการระหว่างความร้ภู าคทฤษฎีและการฝึกปฏบิ ัติงานท่เี น้นประสบการณต์ ่าง ๆ ทางสังคม

3. การเรยี นรูเ้ พอื่ ทีจ่ ะอย่รู ่วมกันกบั ผู้อน่ื (Learning to live together)
หมายถึง การศกึ ษาท่ีมุง่ ให้ผเู้ รยี นสามารถดำรงชวี ติ อยรู่ ่วมกับผู้อืน่ ในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อยา่ งมีความสุข มี

ความตระหนักในการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การแก้ปัญหาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี มีความเคารพสิทธิและ
ศักดศ์ิ รีความเปน็ มนษุ ย์ และเข้าใจความหลากหลายทางดา้ นวัฒนธรรม ประเพณี ความเชือ่ ของแต่ละบุคคลในสงั คม

143 143

4. การเรยี นรู้เพือ่ ชีวิต (Learning to be)
หมายถึง การศกึ ษาที่มุง่ พัฒนาผู้เรียนทุกด้าน ทัง้ จิตใจ ร่างกาย และสตปิ ญั ญา ใหค้ วามสำคัญกับจินตนาการ

และความคิดสร้างสรรค์ ภาษา และวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบู รณ์มีความรับผิดชอบต่อสังคม
ส่ิงแวดลอ้ ม ศลี ธรรม สามารถปรบั ปรุงบุคลกิ ภาพของตน เข้าใจตนเองและผู้อื่น

ความสำคญั การจดั การเรียนรู้เพือ่ เป็นบุคคลแหง่ การเรยี นรู้
หลักการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ซึ่งประกอบด้วยการเรียนรู้
4 ลกั ษณะ โดยเป็นสีเ่ สาหลกั ของการเรยี นรู้ ผบู้ ริหารการศึกษา ครู ผู้ปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ทางการศึกษา และผูม้ ีส่วนเก่ียวข้องทุก
ฝ่าย เช่น ชุมชน สังคม ที่มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ใช้เป็นกรอบการคิดและตัดสินใจในการมุ่งสู่เป้าหมายพัฒนา
คุณภาพผูเ้ รียนให้มีความรู้ความสามารถ การคดิ เปน็ ระบบ มีจิตสาธารณะ และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ท่ีจำเป็นต่อการ
เรียนร้แู ละดำรงชีวติ อยา่ งมคี ุณภาพและมคี วามสขุ ตามแผนภาพท่ี 6.3 ดังนี้

ผู้บรหิ าร

ผู้เกย่ี วข้อง สี่เสาหลกั ผู้ปฏบิ ตั ิ
ของการเรยี นรู้

ความรคู้ วามสามารถและคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ท่จี ำเป็นต่อการเรยี นรแู้ ละดำรงชีวติ

ภาพที่ 6.3 ความสำคญั ของสเี่ สาหลักของการเรียนรู้ต่อผ้บู รหิ าร ผู้ปฏิบัติ และผเู้ กย่ี วข้อง
ทม่ี า: วิชัย วงษใ์ หญ่, 2555, น. 512

เป้าหมายการจดั การศึกษาเพอ่ื พัฒนาคุณภาพผเู้ รียน
การจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับสี่เสาหลักของการเรียนรู้มีเป้าหมายคุณภาพผู้เรียน 4 ด้าน (วิชัย วงษ์ใหญ่,
2555, น. 513 อา้ งองิ จาก คณะกรรมการธิการนานาชาตวิ ่าดว้ ยการศกึ ษาในศตวรรษที่ 21) ดังน้ี


Click to View FlipBook Version